137
dn dn
1.0 1.0
0.8 0.8
0.6 0.6
0.4 0.4
0.2 σY E 0.2 σY E
0000....000000002841
0000....000000008124 1 1
0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 n 0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 n
(ก) สภาวะความเคน ระนาบ (ข) สภาวะความเครยี ดระนาบ
รูปที่ 11 ผลของเลขชก้ี ําลงั n และอัตราสวน σY E ตอ dn [สมการท่ี (34)]
3.4 การหาคา J-อินทกิ รลั
วิธหี าคา J-อินทิกรลั มี 2 แนวทาง คือ 1) จากนยิ ามของ J-อนิ ทิกรลั [สมการท่ี (6)] และ 2) จาก
ความหมายของอัตราปลดปลอยพลงั งานศกั ย [สมการที่ (9)] ในแตล ะแนวทางจะมวี ธิ ียอย ๆ แทรกอยดู ว ย
สุดทายจะกลา วถงึ วธิ ีประมาณคา J-อินทิกรัล ดวยวิธีความเคนอา งองิ (reference stress method) ซง่ึ มีประโยชน
อยา งมากกรณที ท่ี ราบเพยี งผลเฉลย K และผลเฉลยภาระขดี จาํ กัด (limit load)
3.4.1 การหาคา J-อินทิกรลั จากนยิ าม
วิธนี ้ตี องการผลเฉลยความเคน และระยะเคล่อื นตัวท่ีจดุ ตาง ๆ บนเสนทางลอ มรอบปลายรอยราวที่
กาํ หนด โดยผลเฉลยสามารถหาไดจ ากวิธีเชงิ วเิ คราะห จากการทดลอง เชน วดั ความเครยี ดบนเสนทางทีก่ าํ หนด
ดว ยเกจความเครยี ด [11] เปน ตน หรือจากการคาํ นวณดว ยวธิ ีเชงิ ตวั เลข เชน ไฟไนตเอลเิ มนต เปน ตน
ตวั อยางท่ี 1 [4] จากรปู ที่ E1 แผน แบนกวา ง a+b หนวย สงู H หนวย มรี อยรา วยาว a จากขอบดานหนึ่งของแผน
แบน ถา ขอบบนของแผน แบนถูกดงึ ใหม ีระยะเคลอ่ื นตวั เทา กบั v กอนจะยึดแนน (สภาวะควบคมุ ระยะเคลื่อนตวั )
แลวจงคาํ นวณคาของ J-อินทกิ รัล สมมุติวา b มคี า มากจนการเสยี รปู ทีต่ าํ แหนง x = b ไมไ ดร บั ผลจากรอยราว
138
y ขอบวัตถุกอนเสียรูป v
H
x
ab
รูปท่ี E1 แผนแบนความยาวไมจ ํากัด สูง H มีรอยเจาะจากปลายดา นหนงึ่ ของแผนแบน
วิธที ํา เลอื กเสนทางทวนเขม็ นาฬกิ าดังแสดงในรปู ท่ี E2 ดงั น้ัน JΓ1 + JΓ2 + JΓ3 + JΓ4 + JΓ5 + JΓ6 = 0
บนเสน ทาง Γ1 และ Γ5 : σ ij =0 และ ∂ui =0 ดงั นน้ั J Γ1 =0 และ J Γ5 =0
∂x
บนเสนทาง Γ2 และ Γ4 : dy = 0 และ ∂ui =0 ดังนน้ั J Γ2 =0 และ J Γ4 =0
∂x
∂ui∫บนเสน ทาง Γ3 :
∂x =0 ดังนน้ั J Γ3 = U (x = b)dy = U (x = b)H
Γ3
บนเสนทาง Γ6 และ Γ7 : dy = 0 และ Ti = 0 ดงั น้ัน JΓ6 = 0
ดงั นน้ั J = JΓ3 = U (x = b)H ตอบ
หมายเหตุ ถาพฤตกิ รรมของวัสดุเปนแบบยดื หยนุ เชงิ เสน
U (x = b) = 1 σ yy (x = b)ε yy (x = b) = 1 ψEε 2
2 2 yy
Γ5 y Γ4
Γ6
Γ3
x
Γ7 Γ2
Γ1
รปู ที่ E2 เสนทางคาํ นวณคา J-อนิ ทิกรลั
139
โดย ψ = 1 สําหรับสถานะความเคนระนาบ เนอ่ื งจากขอบ x = b อยหู างจากปลายรอยราวมาก จึงถอื วา
1−ν 2
ความเครยี ดตามแนวแกน y มีขนาดสม่าํ เสมอ เทากับ ε yy = v ดังนัน้
H
J = 1 ψEv2 ตอบ
2H
การหาคา J-อินทิกรลั ดว ยวิธไี ฟไนตเ อลิเมนตน ัน้ นยิ มใช เอลเิ มนตไ อโซพาราเมตรกิ ซ (isoparametric
element) เอลเิ มนตช นดิ นีม้ ีฟง กช ันประมาณคา ภายใน (interpolation function) เหมือนกับฟงกชันสง (mapping
function) ระหวางพกิ ดั x-y กับพกิ ัด ξ −η รปู ท่ี 12 แสดงเอลเิ มนตสี่เหลย่ี ม 8 จุดตอ ในพิกัด x-y กับพิกัด ξ −η
สําหรบั เอลิเมนตไอโซพาราเมตรกิ ใด ๆ ฟงกช นั ประมาณคา ภายในของแตละจดุ ตอ Ni จะเปนฟงกชนั ของ
ตัวแปร ξ และ η
Ni = Ni (ξ ,η ) (35)
โดย i คอื ลําดบั ของจดุ ตอ ในเอลิเมนต
สาํ หรับเอลิเมนตในรปู ท่ี 12 ฟงกช ันประมาณคา ภายในคือ
N1 = − 1 (1 − ξ ) (1−η ) (1+ ξ +η ) (36ก)
4 (36ข)
(36ค)
N2 = 1 (1− ξ 2 ) (1−η )
2 5
ξ =1
N3 = 1 (1+ ξ ) (1 −η ) (ξ −η −1)
4 4ξ
η =1 η
6 5 76
7
ξ = −1
4
v
8
y8 u
3
2 12 3
x1 η = −1
(ก) พกิ ัด x-y (ข) พิกดั ξ −η (พิกดั ธรรมชาต)ิ
รปู ท่ี 12 การสง (map) ระหวางเอลิเมนตใ นพกิ ดั x-y และพกิ ดั ξ −η
140
N4 = 1 (1+ ξ ) (1−η 2 ) (36ง)
2 (36จ)
(36ฉ)
N5 = 1 (1 + ξ ) (1 + η )(ξ +η −1) (36ช)
4 (36ญ)
N6 = 1 (1− ξ 2 ) (1 + η )
2
N7 = 1 (1 − ξ ) (1 + η ) ( −ξ +η −1)
4
N8 = 1 (1− ξ ) (1 −η 2 )
2
พกิ ดั (x,y) จะสัมพันธก ับตําแหนง ในพิกดั ξ −η ดังน้ี
∑ ∑x = 8 Ni xi และ y = 8 Ni yi (37)
i=1 i=1
ประยกุ ตก ฎลูกโซ (chain rule) และสมการท่ี (37) เพอ่ื หาอนุพันธยอ ยของฟงกช ัน f เทียบกบั ตัวแปร ξ หรือ η
จะไดเ มตรกิ ซจ าโคเบยี น (Jacobian matrix) คือ
⎡ ∂x ∂y ⎤ ⎡ 8 ∂N i ∑8 ∂N i ⎤
⎢ ∑∂ξ ⎥ ⎢ ∂ξ xi ∂ξ yi ⎥
[ ]J ≡ ⎡ J11 J12 ⎤ = ⎢ ∂ξ ⎥ = ⎢ i =1 ∂N i xi i =1 (38)
⎢ J 22 ⎥ ⎢ ∂x ∂y ⎥ ⎢ 8 ∂η ⎥ (39)
⎣ ⎦ ⎢⎣ ∑8 ∂N i ⎥
J 21 ∑∂η ⎦⎥ i =1 ∂η yi ⎥
i =1
⎣⎢ ∂η ⎦
[ ]และ J−1 = 1 ⎡ J 22 − J12 ⎤
J ⎢⎣− J 21 ⎥
J11 ⎦
โดย [J ]−1 คอื เมตรกิ จาโคเบียนผกผัน
อนุพันธยอ ยของฟงกชัน f เทียบกบั กับตัวแปรในพกิ ดั ทงั้ สองจะสัมพนั ธก นั ตามสมการตอ ไปนี้
⎧ ∂f ⎫ ⎧∂f ⎫
⎪⎪ ⎪⎪ ]⎪⎨⎪⎪ ∂∂fx ⎪⎪
⎨ ∂ξ ⎬ = [J ⎬ (40ก)
⎪ ∂f ⎪ ⎪ (40ข)
⎩⎪∂η ⎭⎪ ⎪⎩∂y ⎭⎪
⎧∂f ⎫ ⎧ ∂f ⎫
⎪⎪ ⎪⎪
หรือ ⎪⎪ ∂x ⎪⎪ = [J ]−1 ⎨ ∂ξ ⎬
⎨ ∂f ⎬ ⎪ ∂f ⎪
⎪ ⎪
⎪⎩∂y ⎪⎭ ⎪⎩∂η ⎭⎪
ถา ฟงกชัน f คอื ระยะเคลอ่ื นตวั u(x,y) และ v(x,y) แลว ความสมั พันธระหวา งอนุพันธยอยในพกิ ดั ทั้งสองคอื
141
⎧∂u ⎫ ⎧ ∂u ⎫
⎪⎪ ⎪⎪
⎪⎪ ∂x ⎪⎪ = [J ]−1 ⎨ ∂ξ ⎬ (41ก)
⎨ ∂u ⎬ ⎪ ∂u ⎪
⎪ ⎪
⎩⎪ ∂y ⎭⎪ ⎪⎩∂η ⎪⎭
⎧∂v ⎫ ⎧ ∂v ⎫
⎪⎪ ⎪⎪
หรือ ⎪⎪ ∂x ⎪⎪ = [ J ]−1 ⎨ ∂ξ ⎬ (41ข)
⎨ ∂v ⎬ ⎪ ∂v ⎪
⎪ ⎪ (42ก)
⎪⎩∂y ⎭⎪ ⎪⎩∂η ⎭⎪ (42ข)
สนามระยะเคลอ่ื นตวั ในพิกดั ξ −η สมั พนั ธกบั ระยะเคลื่อนตวั ของจุดตอในพกิ ดั x-y ดงั น้ี
r
∑u(ξ ,η ) = Niui
i=1
r
∑v(ξ ,η ) = Nivi
i=1
⎧ ∂u ⎫ ⎡ ∂N1 0 ∂N 2 0 K ∂N 8 0 ⎤ ⎧u1 ⎫
⎪ ⎪ ⎢ ∂ξ ∂ξ ⎥ ⎪ ⎪
⎪ ∂ξ ⎪ ⎢ ∂ξ 0 ∂N 2 0 ⎥ ⎪ v1 ⎪
⎪ ∂u ⎪ ⎢ ∂N1 ∂N1 ∂η ∂N 2 ∂N 8
∂ξ ∂ξ K ∂η 0 ⎥ ⎪u ⎪
ดงั น้นั ⎪ ∂η ⎪ ⎢ ∂η 0 ⎥ ⎪ 2 ⎪ (43)
⎨ ∂v ⎬ ⎢ 0
⎪ ⎪ = ⎢ ∂N 8 ⎥ ⎨v2 ⎬
⎪ ∂ξ ⎪ ⎢ ∂ξ ⎥ ⎪
K0 ⎥ ⎪ M ⎪
⎪
⎪ ∂v ⎪ ⎢ ⎪⎪⎩uv88 ⎪
⎪ ⎪ ⎢0 ∂N1 0 ∂N 2 K 0 ∂N 8 ⎥ ⎪
⎩ ∂η ⎭ ⎣ ∂η ∂η ∂η ⎥ ⎭
⎦
เน่ืองจากพารามเิ ตอร J-อินทกิ รัล ไมข น้ึ กบั เสน ทาง ถา เลอื กเสนทางทไี่ มผา นบริเวณครากแลว U จะเทา กับพลังงาน
ความเครยี ดยดื หยนุ หรอื
U = 1 ⎡ ∂u + τ ⎜⎜⎝⎛ ∂u + ∂v ⎞⎟⎟⎠ + σ ∂v ⎤ (44)
2 ⎢σ xx ∂x ∂y ∂x ⎥ (45)
⎣ xy yy ∂y ⎦
สําหรับเทอม Ti ∂ui สามารถเขียนไดด งั น้ี
∂x
Ti ∂ui = Tx ∂u + Ty ∂v
∂x ∂x ∂x
แตเวกเตอรของแรงผิว {T} สามารถเขยี นในรูปองคป ระกอบของเทนเซอรค วามเคน σ ij ไดด งั น้ี
{T } ≡ ⎧Tx ⎫ = ⎡σ xx τ xy ⎤⎧nx ⎫ (46)
⎨⎩Ty ⎬ ⎢⎣τ xy ⎥ ⎩⎨n ⎬
⎭ σ yy ⎦ y ⎭
142
ดังนน้ั Tx = σ xxnx + τ xy ny (47ก)
(47ข)
และ Ty = τ xynx + σ yyny
เวกเตอรโคไซนแสดงทศิ ทาง nv ในรูปท่ี 13 คอื
nx = dy (48ก)
ds (48ข)
(49)
ny = − dx
ds
และ ds = dx2 + dy2
การอนิ ทเิ กรตเชงิ ตวั เลข (numerical integration) ทีน่ ิยมใชค ํานวณคา J-อนิ ทิกรลั ในสมการท่ี (6) คอื วิธี
เกาสค วอดดราเจอร (Gauss quadrature) สาํ หรบั วิธนี ี้คา อินทิกรลั ของฟงกช นั ในพิกัดธรรมชาติ f (ξ,η) จากขอบ
หนึ่งของเอลิเมนตถ งึ อกี ขอบหน่งึ ท่อี ยตู รงกนั ขาม (ξ เทา กบั -1 ถงึ 1 โดย η มีคา คงที)่ หรือ η เทา กบั -1 ถึง 1
โดย ξ มคี า คงที)่ เทากับผลบวกของผลคูณระหวา งคา ของฟงกชนั f ทจ่ี ุดเกาส (Gauss point) กับนาํ้ หนักของจดุ
เกาส (Gauss point’s weight)
ถา อินทเิ กรตบนเสนทาง η คงท่ี มคี า เทา กบั η p [รปู ท่ี 14(ก)] จะได
∫ ( ) ∑ ( )1 NG (50ก)
f ξ ,η p dξ ≈ wi f ξi ,η p
โดย NG
−1 i=1
wi
คือ จํานวนจดุ เกาส บนเสน ทาง η p
คอื นํา้ หนักของจดุ เกาสลําดบั ท่ี i บนเสน ทาง ηp
nv = ⎧⎨⎩nnxy ⎫
⎬
⎭
y
dy ds
x
dx
รูปท่ี 13 เวกเตอรต ง้ั ฉากหนึง่ หนว ย (unit normal vector) ทข่ี อบเอลิเมนต
143
ηη
5 5
6 6
เสนทาง η p = 1
+ +GP4 3 + เสน ทาง ξ = 1
4ξ + GP4 4ξ 3
7
7
GP2 GP2
เสน ทาง η p =− 1
+ +y 8 3
8
GP3 GP3
+ +GP1
3 เสนทางξ = − 1 GP1 3
x2 3 2
11
(ก) (ข)
รูปที่ 14 เสนทาง Γ กรณีใชจ ุดเกาส 2 จดุ ก) กรณีผานเสนทาง η คงที่ ข) กรณผี านเสน ทาง ξ คงที่
ถาอินทิเกรตบนเสน ทาง ξ คงที่ มคี า เทา กบั ξ p [รูปท่ี 14(ข)] จะได (50ข)
(51)
∫ ( ) ∑ ( )1 NG (52ก)
f ξ p ,η dη ≈ wi f ξ p ,ηi
−1 i=1
โดย NG คือ จํานวนจุดเกาส บนเสนทาง ξ p
wi คอื นา้ํ หนกั ของจุดเกาสลาํ ดบั ที่ i บนเสน ทาง ξ p
คา J-อนิ ทิกรัล จะเทากบั ผลบวกของคา J-อนิ ทิกรลั ของเอลเิ มนตทงั้ หมดที่เสนทาง Γ ผา น
NE
J =∑J e
e=1
โดย NE คอื จํานวนเอลิเมนตทีเ่ สน ทาง Γ ผา น
J e คอื คา J-อินทิกรลั ของเอลเิ มนต
กรณเี สน ทาง Γ เปน เสนทาง η คงที่ [(รูปท่ี 14(ก)] จะได
∫J e=1 ⎜⎜⎝⎛U ∂y − Ti ∂ui ∂s ⎞⎟⎠⎟dξ
−1 ∂ξ ∂x ∂ξ
แทนสมการท่ี (44), (47), (49) และ (50ก) ลงในสมการที่ (52ก) จะได
144
e∑J= NG wi ⎪⎧ 1 ⎡ ∂u +τ xy ⎛⎜⎝⎜ ∂u + ∂v ⎠⎞⎟⎟ +σ ∂v ⎤ ∂y ⎪⎫ −
i =1 ⎨ 2 ⎢σ ∂x ∂y ∂x ⎥ ∂ξ ⎬
⎪⎩ ⎣ xx yy ∂y ⎦ ⎪⎭
∑ ( ) ( )NG ⎧⎪⎡ ⎟⎞⎠⎟2 ⎟⎞⎟⎠2 ⎪⎫ (52ข)
⎪⎨⎩⎢⎣ ⎬
i =1 ∂u ∂v ⎤ ⎜⎜⎝⎛ ∂x ⎝⎜⎛⎜ ∂y ⎭⎪
wi σ xxnx + τ xyny ∂x + τ xynx + σ yyny ∂x ⎦⎥ ∂ξ + ∂ξ
dy
และ nx = dy dξ = dξ = J12
dξ ds
⎝⎛⎜⎜ dx ⎞⎟⎠⎟ 2 ⎝⎜⎛⎜ dy ⎟⎟⎠⎞ 2 J 2 + J 2
dξ + dξ 11 12
ในทํานองเดียวกนั ny = − J 11
J 121 + J 2
12
กรณเี สน ทาง Γ เปน เสน ทาง ξ คงท่ี [รปู ท่ี 14(ข)] จะได
∫J e = −11⎛⎝⎜⎜U ∂y − Ti ∂ui ∂s ⎞⎟⎠⎟dη (53ก)
∂η ∂x ∂η
แทนสมการท่ี (44), (47), (49) และ (50ข) ลงในสมการท่ี (53ก) จะได
e∑J= NG wi ⎧⎪ 1 ⎡ ∂u + τ xy ⎝⎜⎜⎛ ∂u + ∂v ⎞⎟⎟⎠ +σ ∂v ⎤ ∂y ⎫⎪ −
i=1 ⎨ 2 ⎢σ xx ∂x ∂y ∂x ⎥ ∂η ⎬
⎩⎪ ⎣ yy ∂y ⎦ ⎪⎭
∑ ( ) ( )NG ⎪⎧⎡ ⎞⎟⎟⎠2 ⎞⎠⎟⎟2 ⎪⎫ (53ข)
⎩⎨⎪⎢⎣ ⎬
i =1 ∂u ∂v ⎤ ⎝⎜⎜⎛ ∂x ⎜⎛⎜⎝ ∂y ⎭⎪
wi σ xx nx + τ xy ny ∂x + τ xy nx + σ yy ny ∂x ⎥⎦ ∂η + ∂η
J 22 −J 21
และ ,nx = ny =
J 2 + J 2 J 2 + J 2
21 22 21 22
ตัวอยางท่ี 2 [25] แผน แบนขนาดจํากดั กวาง 2W หนา t มีรอยรา วตรงกลางยาว 2a รับแรงดงึ กระจายสมํ่าเสมอที่
ขอบบน-ลาง แบบจําลองไฟไนตเอลิเมนตใ นรปู ขา งลา งน้ีแทน 1/4 สวนของแผน แบนทใี่ ช เอลเิ มนตหมายเลข 7, 13,
12 และ 2 คือ เอลเิ มนตลอมรอบปลายรอยรา ว โดยทค่ี วามเคน ภายในเอลิเมนตเหลานย้ี งั อยใู นชวงยืดหยุน พกิ ดั
ของจุดตอ และผลเฉลยระยะเคลอ่ื นตัวตามแนวแกน x, y แสดงอยูในตารางท่ี E1-E4 ผลเฉลยองคประกอบความ
เคน ทจ่ี ดุ เกาสแ สดงอยูในตารางที่ E5 และ E6 จงคาํ นวณคา J-อินทิกรัลบนเสน ทาง ξ คงทเ่ี ทา กบั 3 5 (ซึง่ จะ
ผานจดุ เกาสห มายเลข 7, 8 และ 9)
หมายเหตุ มติ ิของรอยราวและแผนแบน และผลเฉลยตา ง ๆ จะละหนวยไวเ พอื่ ความสะดวก
145
32 53 54
52 55
33 34 12 49 5013 41 42 43
48
26 7 27
y 21 2 22
x 13 14 15
3 45
a=4
W = 10
รปู ที่ E1 แบบจําลอง 1/4 สว นของแผนแบน
ตารางที่ E1 พิกดั จดุ ตอ และผลเฉลยระยะเคลือ่ นตัวของเอลเิ มนตหมายเลข 7
หมายเลขจุดตอ 13 14 15 27 43 42 41 26
พิกดั x
พกิ ัด y 5.50 6.10 6.70 6.70 6.70 6.10 5.50 5.50
u 0.00 0.00 0.00 0.70 1.40 1.15 0.90 0.45
-0.03104010
v -0.0321941 -0.0328437 -0.0339877 -0.03307040 -0.0307576 -0.0295602 -0.0286617 0.00682375
0.0000000 0.0000000 0.0000000 0.00929602 0.0189894 0.0163396 0.0138731
หมายเลขจดุ ตอ ตารางที่ E2 พิกดั จดุ ตอและผลเฉลยระยะเคลื่อนตวั ของเอลเิ มนตหมายเลข 13 50
พิกดั x
พิกดั y 41 42 43 55 54 52 49 4.75
u 5.50 6.10 6.70 5.35 4.00 4.00 4.00 1.25
-0.0216570
v 0.90 1.15 1.40 2.20 3.00 2.30 1.60 0.0244707
-0.0286617 -0.0295602 -0.0307576 -0.0193732 -0.00890561 -0.0106854 -0.0137014
0.0138731 0.0163396 0.0189894 0.0360462 0.06031980 0.0514632 0.0416548
หมายเลขจดุ ตอ ตารางที่ E3 พิกดั จดุ ตอ และผลเฉลยระยะเคลอื่ นตวั ของเอลิเมนตห มายเลข 12 48
พกิ ัด x
พิกดั y 49 52 54 53 32 33 34 3.250
u 4.00 4.00 4.00 2.65 1.30 1.900 2.50 1.375
-0.0111176
v 1.60 2.30 3.00 2.50 2.00 1.575 1.15 0.0552660
-0.0137014 -0.0106854 -0.00890561 -0.00439876 -0.00312630 -0.00619434 -0.0109292
0.0416548 0.0514632 0.06031980 0.07330100 0.08593660 0.07904330 0.0692646
146
ตารางท่ี E4 พกิ ดั จดุ ตอและผลเฉลยระยะเคล่ือนตัวของเอลิเมนตห มายเลข 2
หมายเลขจดุ ตอ 5 22 34 33 32 21 3 4
พกิ ัด x
พกิ ัด y 2.50 2.50 2.50 1.900 1.30 1.30 1.30 1.90
u 0.00 0.575 1.15 1.575 2.00 1.00 0.00 0.00
-0.0209016
v -0.0275023 -0.0179369 -0.0109292 -0.00619434 -0.00312630 -0.00736483 -0.0143537 0.0755574
0.0667081 0.0682252 0.0692646 0.07904330 0.08593660 0.08396450 0.0814629
ตารางท่ี E5 องคป ระกอบความเคนท่ีจดุ เกาสของเอลิเมนตหมายเลข 7 และ 13
หมายเลข เอลิเมนตห มายเลข 7 เอลิเมนตหมายเลข 13
จดุ เกาส σxx σyy τxy σxx σyy τxy
1 0.37199E+2 0.15790E+3 0.51486E+1 0.90793E+0 0.16895E+3 0.18441E+2
2 0.28437E+2 0.15924E+3 0.93048E+1 -0.57147E+1 0.18323E+3 -0.58063E+1
3 0.13471E+2 0.15872E+3 0.13299E+2 -0.32772E+2 0.14831E+3 -0.42625E+2
4 0.27844E+2 0.14624E+3 0.34419E+1 -0.22689E+1 0.15892E+3 0.16829E+2
5 0.21711E+2 0.14860E+3 0.75206E+1 -0.69162E+1 0.16695E+3 -0.56363E+1
6 0.10260E+2 0.14936E+3 0.11409E+2 -0.26368E+2 0.13752E+3 -0.37561E+2
7 0.19479E+2 0.13825E+3 0.25777E+1 -0.51520E+1 0.15068E+3 0.15013E+2
8 0.15372E+2 0.14137E+3 0.66520E+1 -0.95707E+1 0.15356E+3 -0.69286E+1
9 0.65775E+1 0.14309E+3 0.10516E+2 -0.25042E+2 0.12627E+3 -0.36223E+2
ตารางที่ E6 องคป ระกอบความเคนที่จดุ เกาสข องเอลิเมนตห มายเลข 12 และ 2
หมายเลข เอลเิ มนตห มายเลข 12 เอลิเมนตห มายเลข 2
จดุ เกาส σxx σyy τxy σxx σyy τxy
1 -0.20803E+2 0.12518E+3 -0.61342E+2 -0.24893E+2 0.86811E+1 -0.25268E+2
2 -0.14749E+2 0.177971E+2 -0.52408E+2 -0.50804E+2 0.69207E+1 -0.11597E+2
3 -0.17390E+2 0.17148E+2 -0.36484E+2 -0.94998E+2 -0.32461E+0 0.90438E+0
4 -0.19258E+2 0.11564E+3 -0.53432E+2 -0.25198E+2 0.96199E+1 -0.22749E+2
5 -0.13851E+2 0.72075E+2 -0.44941E+2 -0.53174E+2 0.61809E+1 -0.11517E+2
6 -0.15274E+2 0.19199E+2 -0.30989E+2 -0.95832E+2 -0.16628E+1 -0.12293E+1
7 -0.16007E+2 0.10598E+3 -0.47863E+2 -0.21566E+2 0.11567E+2 -0.18048E+2
8 -0.11288E+2 0.63011E+2 -0.39582E+2 -0.52426E+2 0.65699E+1 -0.83908E+1
9 -0.12265E+2 0.13157E+2 -0.26756E+2 -0.95613E+2 -0.21253E+1 0.46707E+0
147
วิธีทํา โจทยกาํ หนดใหใ ชเสน ทาง Γ ซึ่ง ξ คงทีเ่ ทา กบั 3 5 ซงึ่ หมายความวา เสนทางจะผานจุดเกาสห มายเลข 7,
8 และ 9 ของแตละเอลเิ มนต ระบบพกิ ัด ξ−η จึงตองวางตวั สมั พทั ธกบั เอลเิ มนตต า ง ๆ ดังในรูปท่ี E2 ทาํ ให
หมายเลขจดุ ตอของแตละเอลิเมนตจ ะตองถกู เรยี งลาํ ดบั ใหม ดังตารางท่ี E7
ตารางที่ E7 ลาํ ดบั ของหมายเลขจดุ ตอ
เอลิเมนต ลาํ ดับ
12345678
7 13 14 15 27 43 42 41 26
13 41 42 43 55 54 52 49 50
12 49 52 54 53 32 33 34 48
2 34 33 32 21 3 4 5 22
กรณใี ชจ ดุ เกาส 3 จดุ ตําแหนงของจดุ เกาสห มายเลข 7, 8, 9 คือ ( 3 5,− 3 5),( 3 )5,0 และ ( 3 5, 3 5)
และนํา้ หนกั ของจดุ เกาสค ือ 5/9, 8/9 และ 5/9 ตามลาํ ดับ ดงั นน้ั เทอมแรกของสมการท่ี 53(ข) ทีจ่ ุดเกาสหมายเลข
7 คือ
5 ⋅ 1 ⎡ xx ,GP 7 ⋅ ∂u ⎝⎜⎛⎜ 3 ,− 3 ⎞⎟⎠⎟ +τ xy ,GP 7 ⋅ ⎜⎛ ∂u ⎜⎝⎜⎛ 3 ,− 3 ⎟⎟⎠⎞ + ∂v ⎜⎝⎛⎜ 3 ,− 3 ⎞⎟⎟⎠ ⎟⎠⎟⎞ +
9 2 ⎢σ ∂x 5 5 ⎝⎜ ∂y 5 5 ∂x 5 5
⎣⎢
σ yy ,GP 7 ⋅ ∂v ⎜⎛⎝⎜ 3 ,− 3 ⎞⎠⎟⎟⎤⎥⎥⎦ J 2,2 ⎛⎜⎜⎝ 3 ,− 3 ⎠⎟⎞⎟
∂y 5 5 5 5
54
53 7+ 52 +9 55
32 9+ 8+ξ η ξ +8
12 13 +7 43
7+ 33 η 49 42 +9
21 8+ ξ 34 48 50 41
26
9+ η 2 22 η +8 27
ξ +7
7
3 45 13 14 15
รปู ที่ E2 เสนทางอนิ ทเิ กรต (วนทวนเขม็ นาฬกิ า) พกิ ัด ξ−η และหมายเลขจดุ เกาส
148
เทอมทส่ี องของสมการท่ี 53(ข) ท่จี ดุ เกาสหมายเลข 7 คอื
5 ⎨⎧⎪⎡⎢σ xx ,GP 7 n x ⎜⎝⎛⎜ 3 ,− 3 ⎟⎟⎠⎞ + τ xy ,GP 7 ny ⎛⎝⎜⎜ 3 ,− 3 ⎟⎟⎞⎠⎥⎤⎥⎦ ∂u ⎜⎛⎜⎝ 3 ,− 3 ⎞⎠⎟⎟ +
9 ⎩⎪⎣⎢ 5 5 5 5 ∂x 5 5
⎡ xy ,GP 7 n x ⎜⎝⎜⎛ 3 ,− 3 ⎟⎞⎟⎠ + σ yy ,GP 7 n y ⎛⎝⎜⎜ 3 ,− 3 ⎟⎠⎟⎞⎤⎥⎦⎥ ∂v ⎜⎛⎝⎜ 3 ,− 3 ⎞⎠⎟⎟⎬⎫⎪⎪⎭ J 2 2 ⎛⎝⎜⎜ 3 ,− 3 ⎠⎟⎟⎞ + J 2 ⎜⎜⎛⎝ 3 ,− 3 ⎟⎞⎠⎟
⎢τ 5 5 5 5 ∂x 5 5 2, 5 5 2,1 5 5
⎣⎢
การหาคาอินทกิ รลั ทีจ่ ุดเกาสห มายเลข 8 และ 9 ใหเปลีย่ นคาน้ําหนักในสมการขางตนเปน 8/9 และ 5/9
ตามลาํ ดับ เปลี่ยนพิกดั เปน ( 3 )5,0 และ ( 3 5, 3 5) ตามลําดับ และเปล่ียนคา องคประกอบความเคน เปน
ของจดุ เกาสหมายเลข 8 และ 9 ตามลาํ ดับ ผลการคํานวณสรุปไดด ังตารางตอ ไปนี้
หมายเลข เทอมแรก เทอมที่สอง รวม ตอบ
เอลเิ มนต
7 1.280 -0.057 1.337
13 1.772 -2.017 3.789
12 -0.449 -2.272 1.822
2 -0.416 -0.893 0.478
ดังนนั้ J-อินทกิ รลั รอบปลายรอยรา ว มคี า เทากบั 2(1.337+3.789+1.822+0.478) = 14.852
3.4.2 การหาคา J-อนิ ทิกรลั จากความหมายความแตกตางของพลังงานศกั ย
3.4.2.1 การทดสอบที่ใชชน้ิ งานทดสอบหลายชน้ิ
Begley และ Landes [11] เสนอแนวคดิ การหาคา J-อนิ ทิกรลั (โหมดท่ี 1) ดวยวิธที ดสอบแบบควบคมุ ระยะ
เคล่อื นตวั โดยมขี ัน้ ตอนดงั นี้
1) เตรียมชิ้นงานชนิดและขนาดเดียวกนั แตล ะช้ินมรี อยราวความยาวตา งกนั
2) ดึงชนิ้ งานแตล ะชนิ้ [รูปที่ 15(ก)] บันทกึ δLL และขนาดภาระ P ตง้ั แตเ รมิ่ ตน จนถงึ คา δLL ท่กี าํ หนด
ผลการทดลองจะมลี ักษณะดงั รปู ท่ี 15(ข)
3) คาํ นวณพื้นทใี่ ตก ราฟ (พลงั งานความเครยี ด U) ของช้ินงานแตละชิน้ ที่ δLL คา หน่ึง ยกตัวอยา งในรปู
ท่ี 15(ข) ท่ี δLL1 จะมี U ของชิน้ งานท่มี ีรอยรา วยาว a1 ถึง a4 เปนตน ใหท าํ เชนเดิมท่ี δLL คา อื่น ๆ
4) พลอ็ ตคา U ท่คี วามยาวรอยรา วตา ง ๆ สาํ หรบั คา δLL คงที่แตล ะคา [รปู ที่ 15(ค)]
149
5) หาความชันของเสนกราฟ U-a (กค็ อื ∂U ∂a ) ทีค่ วามยาวรอยราวเดียวกัน สาํ หรบั ระยะเคลือ่ นตัว
ตา ง ๆ แลวนาํ ไปแทนในสมการท่ี (8) จะไดค า J-อินทิกรัลทคี่ วามยาวรอยรา วตา ง ๆ ในเทอมของδLL
[รูปท่ี 15(ง)]
P ภาระ, P a1
δ LL a2
U a3
a
a4
(ก)
พลงั งานความเครยี ด, U δ δ δ δLL1 LL2 LL3 LL4
ระยะเคลอ่ื นตัวตามแนวแรง, δ LL
(ข)
− 1 dU ≡ J a1
B da
a2
dU δ LL4 a3
da δ LL3
δ LL2 a4
δ LL1
δ δ δ δLL1 LL2 LL3 LL4
a1 a2 a3 a4
ระยะเคล่อื นตวั ตามแนวแรง, δLL
ความยาวรอยรา ว, a (ง)
(ค)
รูปท่ี 15 การหาคา J-อินทกิ รัล โดยใชช ้ินงานทดสอบหลายชน้ิ
150
ตัวอยางที่ 3 [11] รูปท่ี E1 แสดงกราฟความสัมพันธระหวางพลงั งานความเครียดตอหนวยความหนา U B กับ
ความยาวรอยราว a ของชิน้ งานดดั 3 จดุ ทาํ จากวสั ดุ Ni-Cr-Mo-V การทดสอบกระทาํ ท่ีอุณหภมู ิ 200 องศา
ฟาเรนไฮต รายละเอยี ดของจดุ ขอ มูลในกราฟแสดงอยูในตารางท่ี 1 จงหา J-อนิ ทิกรัลในเทอมของ δLL ทคี่ วามยาว
รอยรา ว 0.1 นิ้ว, 0.2 นิ้ว 0.3 นว้ิ และ 0.4 นว้ิ ตามลําดบั
พ ัลงงานความเครียดตอหนวยความหนา, ตารางท่ี E1 ขอ มูลU B (ปอนด- นวิ้ /นว้ิ )
U/B (ปอนด-นิ้ว/นิ้ว) 300
250 a δLL (นิว้ )
(น้วิ ) 0.025 0.020 0.015 0.010
200 0.120 278 211 129 60
150 0.170 221 163 104 50
0.220 168 123 80 40
100 0.260 128 95 67 30
50 0.325 70 51 39 18
0.352 42 30 21 12
0
0 0.1 0.2 0.3 0.4
ความยาวรอยรา ว, a (นว้ิ )
รูปที่ E1 ความสัมพนั ธร ะหวา งพลงั งานตอหนวยความหนากับความยาวรอยรา ว
วิธีทาํ เพื่อใหคาํ นวณความชันทค่ี วามยาวรอยราวใด ๆ ไดส ะดวก จะแทนขอมูลท่โี จทยใหม าดว ยสมการตอไปนี้
U B = 632.37a2 −1306.30a + 425.23
δ LL =0.025
U B = 693.33a2 −1093.20a + 330.89
δ LL =0.020
U B = 18.97a 2 − 457.28a + 182.38
δ LL =0.015
U B = 9.84a 2 − 212.20a + 85.537
δ LL =0.010
จากสมการท่ี (8) จะได J = −1264.74a + 1306.30 ปอนด- น้ิว/นว้ิ 2
δ =0.025 ปอนด- นว้ิ /นิว้ 2
ปอนด- นว้ิ /นวิ้ 2
J δ =0.020 = −1386.66a + 1093.20 ปอนด- นิ้ว/นว้ิ 2
J δ =0.015 = −37.94a + 457.28
J δ =0.010 = −19.68a + 212.20
151
คา J-อินทกิ รัล ตามเงือ่ นไขทโี่ จทยระบุ สรุปอยใู นตารางที่ E2
ตารางท่ี E2 คา J –อนิ ทิกรลั (ปอนด- นวิ้ /นิ้ว)
δLL (นิ้ว) ความยาวรอยรา ว, a (นิว้ )
0.025
0.020 0.1 นิ้ว 0.2 นว้ิ 0.3 น้ิว 0.4 นวิ้ ตอบ
0.015 1179.83 1053.35 926.88 800.40
0.010 954.53 815.87 677.20 538.54
453.49 449.69 445.90 442.10
210.23 208.26 206.30 204.33
.
3.4.2.2 การทดสอบที่ใชช นิ้ งานทดสอบช้นิ เดยี ว
การหาคา J-อินทิกรัล ดว ยการทดสอบแบบใชช้นิ งานหลายช้ิน สิ้นเปลอื งทงั้ เวลาและคา ใชจ าย นกั วจิ ัย
หลายทาน ไดแก Rice[3], Zahoor [12,13] จึงเสนอวิธีหาคา J-อินทกิ รลั จากสมการท่ี (10) หรอื (13) แนวคดิ ของวธิ ีนี้
เริม่ จากการแบง δLL ออกเปน 2 องคป ระกอบ คอื องคประกอบยดื หยุน δ el และองคประกอบพลาสติก δ pl หรือ
LL LL
δ LL = δ el + δ pl (54)
LL LL
เม่ือแทนในสมการท่ี (13) จะไดองคป ระกอบยดื หยุน Jel และองคป ระกอบพลาสติก J pl ของพารามเิ ตอร J-
อินทกิ รัล ตามลาํ ดับ
J = J el + J pl (55)
(56)
ถาพิจารณาเฉพาะโหมดท่ี 1 J el = K 2
และ I (57)
E′
∫J pl = P ⎜⎝⎜⎛ ∂δ pl ⎞⎠⎟⎟dP
0 LL
∂A
เทอม Jel หาจากผลเฉลย K สวนเทอม Jpl จะตอ งจดั ปรพิ ัทธใหสะดวกกบั กรณีท่ีทราบความสมั พนั ธ
ระหวา ง δ pl กบั P ซ่งึ ตองการเพียงรูปฟง กช ันนัล (functional form) เทาน้นั การหารปู ฟงกชันนัลในกรณรี อยราว
LL
ลึก (deep crack)1 มักจะสมมตุ ิวาเกดิ การครากทง้ั หนาตดั ของลิกกาเมนตท ไี่ มม ีรอยรา ว สาํ หรบั ชิ้นงานทรี่ ับภาระ
1 รอยรา วลึก หมายถงึ รอยรา วทีม่ คี วามยาว (ลกึ จากผวิ ) มากเมือ่ เทยี บกบั ลิกกาเมนตท่ีหนา ตัดน้นั คอมพลายแอนชบนระนาบรอย
รา วจงึ สงู กวา สวนอน่ื ของวตั ถุอยา งมาก การสมมตุ วิ า สวนอื่นของวัตถุเคล่อื นทีแ่ บบวัตถุเกร็งจงึ สมเหตุสมผล โดยทัว่ ไปจะถอื วา รอยราว
เปนรอยรา วลึกถา อตั ราสว น a W มากกวา 0.5
152
ดดั เชน ชน้ิ งานทดสอบแบบดดั 3 จุด ฯลฯ หรือชิ้นงานทรี่ บั ภาระดงึ และดัด เชน ช้นิ งานทดสอบ C(T) ฯลฯ จะสมมุติ
ใหส ว นตา ง ๆ ของวัตถุหมนุ แบบวัตถเุ กรง็ รอบจุดหมนุ ซง่ึ อยบู นลกิ กาเมนต อยางไรกด็ ี การสมมตุ ิน้ีจะไมแ มน ยํา
สําหรบั รอยราวต้นื (shallow crack) ตัวอยา งการหาคา J-อนิ ทิกรัล ในวตั ถทุ มี่ รี อยรา วลกึ จะแสดงอยใู นตัวอยางท่ี
4 และ 5 ตามลําดบั
Zahoor [12,13] เสนอวธิ หี ารปู ฟง กช ันนัลของ δ pl กับ P จากผลตาง δ el ของวัตถทุ ่มี รี อยรา วยาวเทากับ
LL LL
ความยาวประสทิ ธผิ ล aeff [ aeff = a + ry ; สมการที่ (96) ของบทท่ี 2] กบั δ el ของวัตถชุ นิ้ เดยี วกันที่มีรอยรา วยาว
LL
a แมว า รูปฟง กชนั นลั จะสรา งจากพฤตกิ รรมในชว ง SSY แต Zahoor ก็อา งวา สามารถใชก ับกรณีทกี่ ารเสยี รูป
พลาสติกมขี นาดเกินขอบเขตของทฤษฎี SSY ได วธิ ีของ Zahoor มขี อดีอนั หน่งึ คือ ไมต อ งสมมตุ ิวารอยรา วลึก จงึ
ใชกบั รอยราวขนาดใดกไ็ ด แตขอเสยี คอื มีขัน้ ตอนทางคณิตศาสตรซบั ซอน การหาคา J-อินทิกรลั ในชน้ิ งานทดสอบ
แบบดัด 3 จุด และชนิ้ งานทดสอบ C(T) ดวยวิธีของ Zahoor จะแสดงอยใู นตัวอยา งที่ 6 และ 7 ตามลาํ ดบั
ตวั อยางที่ 4 [3] คานหนา ตดั สเ่ี หล่ียมผนื ผาหนา B มีรอยรา วยาว a จากขอบบน ถา คานนถ้ี กู โมเมนตด ดั M
กระทาํ จงหาคา J-อนิ ทิกรัล สมมตุ วิ า เปนรอยรา วลกึ
M a M
Ω2 b Ω2
รปู ที่ E1 คานหนาตดั สีเ่ หลย่ี มผนื ผามรี อยรา วท่ีขอบและรบั โมเมนตด ดั
วิธีทาํ
เม่ือคานมรี อยรา วรบั โมเมนตด ดั M ระยะเคลื่อนตวั เชิงมุม (angular displacement) Ω จะเทา กบั
ผลบวกของระยะเคลือ่ นตวั เชิงมมุ ของคานทไ่ี มม รี อยรา ว Ωnc กบั ระยะเคลื่อนตวั เชิงมมุ ทเ่ี พม่ิ ข้ึนเน่อื งจากรอยราว
โดยสมมตุ ิใหส ว นอน่ื ของคานเคลอ่ื นท่ีเหมอื นวตั ถเุ กร็ง Ωc ดงั น้นั
Ω = Ωnc + Ωc (E1)
สําหรับรอยราวลึก Ωc >> Ωnc ดังน้ัน Ω ≈ Ωc (E2)
153
จากการวิเคราะหมติ ิ [2] จะได Ωc = F ⎜⎛ M ⎞⎟ (E3)
⎝ b2 ⎠
จากสมการท่ี (13) เม่อื เปลย่ี นแรงดึงเปนโมเมนตด ดั M และเปลย่ี นระยะเคล่ือนตวั เชงิ เสน เปนระยะเคล่อื นตวั เชงิ มุม
Ω จะได
∫J = 1 M ⎛⎜ ∂Ω ⎟⎞ dM
B 0 ⎝ ∂a ⎠M
จากสมการท่ี (E2) และ da = −db ∫J = − 1 M ⎜⎛ ∂Ωc ⎟⎞ dM (E4)
B 0⎝ ∂b ⎠
M
หาอนุพันธยอยสมการท่ี (E3) เทียบกับ b จะได
⎜⎛ ∂Ωc ⎟⎞ = F ′ ⋅ ⎛⎜ − 2M ⎟⎞ (E5)
⎝ ∂b ⎠M ⎝ b3 ⎠
หาอนพุ ันธย อ ยสมการที่ (E3) เทยี บกบั M จะได
⎜⎛ ∂Ωc ⎟⎞ = F ′ ⋅ ⎜⎛ 1 ⎟⎞ (E6)
⎝ ∂M ⎠b ⎝ b2 ⎠
แทนสมการที่ (E6) ในสมการท่ี (E5) จะได ⎜⎛ ∂Ωc ⎟⎞ = − 2M ⎜⎛ ∂Ωc ⎟⎞ (E7)
⎝ ∂b ⎠M b ⎝ ∂M ⎠b
Ωc
แทนสมการท่ี (E7) ในสมการที่ (E4) จะได ∫2 ตอบ
J = MdΩ c
bB
0
หมายเหตุ 1. ผลเฉลย J-อนิ ทกิ รลั ทไ่ี ดจ ะใชร วมกับกราฟ M-Ωc จากการทดสอบ
2. องคป ระกอบพลาสติกของผลเฉลย J-อนิ ทกิ รลั คือ 2 Ωc
bB
J pl = ∫ MdΩ pl
c
0
ตวั อยางที่ 5 [8] จงหา Jpl สําหรบั ช้ินงานทดสอบ C(T) หนา B กวาง W และมรี อยรา วยาว a (รูปที่ 2) สมมตุ วิ า
เปนรอยราวลึก
วธิ ที าํ การหารปู ฟงกช นั นลั ของ δ pl เรม่ิ จากการสมมตุ วิ า เกดิ การครากทง้ั หนา ตดั บนลิกกาเมนต และสวนอน่ื ๆ
LL
เคลือ่ นทีร่ อบจุดหมนุ ซง่ึ อยบู นลกิ กาเมนต รูปที่ E1 แสดงผังวตั ถอุ สิ ระของชน้ิ งาน C(T) ขณะท่ลี ิกกาเมนตเ กดิ การ
ครากทงั้ หนาตัด และจดุ B แทนจุดหมุนของสว นบนและลา งของชิ้นงานขณะภาระกระทํา ในรปู PL คอื ภาระที่ทํา
154
ใหเ กดิ การครากทั้งหนา ตัดหรอื ภาระขีดจาํ กัด ถา สมมตุ ิใหว ัสดมุ ีพฤตกิ รรมแบบพลาสติกสมบรู ณ (perfectly
(E1)
plastic) แลว การกระจายความเคนบนลกิ กาเมนตจ ะมลี กั ษณะดงั แสดงในรูปที่ E1
จากเง่อื นไขสมดลุ ของแรงแนวด่งิ PL = σ Y (2αc) = σ Yαb
จากเง่ือนไขสมดลุ ของโมเมนตรอบจุด B
PL (a + c) = σ Y (c + α c )⎡⎣⎢ 1 (c + αc )⎦⎥⎤ + σ Y (c − αc )⎣⎡⎢ 1 (c − αc )⎥⎤⎦
2 2
[ ]PL (a + c) = σY c2 − (αc)2 (E2)
(E3)
แทนสมการ (E1) ใน (E2) จะได α 2 + 2⎛⎜ a + 1⎟⎞α − 1 = 0
⎝c ⎠
แกสมการจะได α = ⎛⎜ a ⎞⎟2 + 2 a + 2 − ⎛⎜ a + 1⎞⎟ (E4)
⎝c⎠ c ⎝c ⎠
การหา δLL จะประมาณคาโดยกาํ หนดใหเ ทากับระยะเคลอื่ นตัวของจดุ A และกาํ หนดใหช น้ิ งานซกี บน
และซกี ลางหมุนแบบวตั ถเุ กร็งรอบจดุ B ดังน้ัน (รูปท่ี E2)
θ pl = a + δ pl (E5)
LL
(1 + α )c
ดงั นั้น δ pl = θ pl [a + (1+ α )c]
LL
PL
cc
αc αc
−σY
AO
ปลายรอยรา ว B
σY b
a
รปู ท่ี E1 ผงั วัตถุอสิ ระของชิน้ งานทดสอบ C(T) ขณะเกิดการครากทั้งหนาตดั
δ pl θpl 155
LL
(E6)
A B (E7)
(E8)
a + c(1 + α ) (E9)
รปู ท่ี E2 การเคล่อื นทแ่ี บบวตั ถเุ กรง็ รอบจดุ หมุน B ของช้นิ งานซีกบน (E10)
(E11)
แต a = W − b และ c = b 2 ดังนน้ั δ pl = W ⎣⎡⎢2 − (1 − α ) b ⎦⎤⎥θ pl
LL 2
W
แต θ pl เปน ฟง กชันของ P PL ดังนัน้ รปู ฟงกช ันนัลของ δ pl คอื
LL
δ pl = F ⎜⎛⎜⎝ P ,b ⎟⎞⎠⎟
LL PL W
จากสมการที่ (57) จะได ∫J pl = 1 P ⎜⎜⎝⎛ ∂δ pl ⎞⎠⎟⎟P dP
หรือ B 0 LL
∂a
∫J pl = − 1 P ⎜⎜⎝⎛ ∂δ pl ⎟⎠⎞⎟ P dP
B 0 LL
∂b
⎛⎜⎝⎜ ∂δ pl ⎠⎟⎟⎞ P = ∂F ⋅ ∂(P PL ) + ∂F ⋅ ∂(b W )
LL
∂(P PL ∂b ∂(b W ∂b
∂b ) )
=− P ⋅ ∂F ) ⋅ ∂PL +1 ∂F
PL 2 ∂b W
∂(P PL ∂(b W )
⎛⎜⎜⎝ ∂δ pl ⎞⎟⎟⎠b = ∂F ⋅ ∂(P PL ) + ∂F ⋅ ∂(b W )
LL
∂(P PL ∂P ∂(b W ∂P
∂P ) )
= 1 ∂F
PL
∂(P PL )
แทนสมการ (E10) ลงในสมการที่ (E9) จะได
⎛⎜⎜⎝ ∂δ pl ⎞⎟⎟⎠ P = − P ⋅ ∂PL ⋅ ⎜⎜⎛⎝ ∂δ pl ⎟⎠⎞⎟b + 1 ∂F
LL PL ∂b LL W
∂(b W )
∂b ∂P
แทนสมการที่ (E11) ในสมการท่ี (E8) จะได
156
1⋅ 1 ⋅ ∂PL δ pl 1 P1 ∂F
B PL ∂b LL B W bW
(E12)
∫ ∫ ( )J pl= Pdδ pl − 0 ∂ dP
LL (E13)
(E14)
0
ตอบ
จากสมการท่ี (E1) ∂PL = σ Y ⎛⎜α + b ∂α ⎟⎞
จากสมการที่ (E3) ∂b ⎝ ∂b ⎠ (E15)
ดังนนั้ (E16)
ในทํานองเดยี วกนั ( )∂α = 1 1 + 2α − α 2 α (E17)
(E18)
∂b b 1 + α 2 (E19)
1 ∂PL = 2 1 + α (E20)
PL ∂b b 1 + α 2
∂F 2 − 2α − α 2
b 1+α2
∂(b W 2
( )1 = − ⋅ 1 αδ pl
LL
W )
แทนสมการที่ (E13) และ (E14) ในสมการท่ี (E12) จะได
∫ ( ( ) )∫J pl δ pl P
2 1+α LL 2 α 1 − 2α − α 2
bB 1+α2 bB 1+α2 2
= Pdδ pl + δ pl dP
LL LL
0 0
หมายเหตุ คาอนิ ทกิ รัลในผลเฉลยที่ไดสมั พนั ธกับพื้นที่สวนตา ง ๆ ของกราฟ P-δLL ในรปู ที่ E3 ดงั น้ี
δ pl
LL
∫ Pdδ pl ≡ U pl
LL
0
P
∫δ pl dP ≡ U *
LL pl
0
δ pl
LL
นอกจากนก้ี ําหนดให
∫ Pdδ LL ≡ U
จากรปู จะได 0
และ
U pl = U − U el
U * = Pδ LL −U − U el
pl
แทนสมการที่ (E18) และ (E19) ในผลเฉลย Jpl แลว จัดรูปจะได [15]
(( ) ) (( ) )J pl⎡ 1+α ⎤ ⎡α ⎤
2 − α 1 − 2α − α 2 ⎥U 2 ⎢ 1 − 2α −α 2 ⎥Pδ LL
bB 1+α2 2 ⎦⎥ bB ⎢⎣ 1+α ⎦⎥
= ⎢ + α 2 + 22
⎢⎣1
(( ) )−⎡ 1+α ⎤
2 ⎢ + α 1 − 2α − α 2 ⎥U el
bB ⎣⎢1 + α 2 1+α2 2 ⎥⎦
เม่ือ a W มคี ามากกวา 0.5 แลวเทอมสดุ ทายสามารถละทง้ิ ได [15]
157
P U *
P pl
U el
U pl
U el
δ δpl δ LL
LL LL
รูปที่ E3 ความสัมพนั ธร ะหวางภาระ P กับระยะเคล่ือนตัวตามแนวแรง δLL
ตัวอยา งท่ี 6 [13, 16] จงหา Jpl ของชน้ิ งานทดสอบ C(T) หนา B กวาง W และมรี อยราวยาว a (รปู ท่ี 2) ดว ยวิธขี อง
Zahoor
วิธที าํ วธิ ีของ Zahoor มี 3 ขั้นตอน คือ
1) หาความยาวรอยราวประสทิ ธิผล
2) หารปู ฟง กช นั นัลขององคประกอบพลาสตกิ ของระยะเคล่อื นตัว ณ จดุ ท่ภี าระกระทาํ และ
3) หาผลเฉลย J-อนิ ทิกรลั จากรปู ฟงกช นั นลั ในขั้นตอนท่ี 2
รายละเอยี ดในแตละข้นั ตอน มดี งั นี้
ขัน้ ตอนที่ 1
จากสมการท่ี (96) และ (92) ในบทท่ี 2 ความยาวรอยราวประสทิ ธผิ ล aeff คอื
aeff =a+ 1 ⎝⎜⎛⎜ KI ⎠⎞⎟⎟2 (E1)
βπ σY (E2)
รูปทัว่ ไปของผลเฉลย K ของช้นิ งานคือ KI = P f (α )
โดย α = a W BW (1 − α )3 2
แทนสมการที่ (E2) ในสมการที่ (E1) แลวจัดรปู จะได
158
aeff ⎡ 1 [P ⋅ f (α )]2 ⋅ 1 ⋅ 1 ⎤
= a⎢1 + βπ −α ⎥
B 2 aWσ 2 (1 )3 ⎦
⎣ Y
⎡⎤
⎢ ⎥
= a⎢1 + 1 [P ⋅ f (α )]2 1 W 4 (1 − α ) ⎥
βπ
aeff ⎢ ⋅ B2 ⎜⎛ a ⎞⎟W W 4 (1 − α )4 ⎥
⎢⎣ ⎝W ⎠
σ2 2 ⎦⎥
Y
แตความยาวลกิ กาเมนต b เทากับ W (1− α ) ดังน้ัน
aeff = ⎡ + z⎜⎛ 1 −α ⎟⎠⎞⎤⎦⎥
a⎢1 ⎝ α
⎣
หารท้ังสองขา งดว ย W จะได α eff = α ⎡ + z⎛⎜ 1 −α ⎠⎞⎟⎥⎤⎦ (E3)
⎢1 ⎝ α
⎣ (E4)
โดย และ 1 ⎛⎜ P ⋅ f (α ) ⎞⎟ 2 ⎛⎝⎜⎜ W ⎟⎞⎠⎟2 (E5)
βπ ⎝ ⎠ Bσ Y (E6)
α eff = aeff W z = b2 (E7)
ข้ันตอนที่ 2 (E8)
รูปทวั่ ไปของ δ el ของชน้ิ งานนี้ คือ δ el = P ⋅ g(α )
LL LL BE (1− α )2
รูปฟง กช นั นัลของ δ pl หาจากสมการตอ ไปน้ี
LL
( ) ( )δ δ α=pl el − δ el α
LL LL eff LL
( )δ pl= P ⎡ g α eff 2 − g(α ) ⎤
( )LL BE ⎢ 1 − α eff (1 − α )2 ⎥
⎣⎢ ⎦⎥
ให b W ≡ λ และจาก a + b = W จะได λ =1−α
ดังนัน้
λeff = 1 − α eff
แทนสมการที่ (E3) จะได
λeff = 1 − α ⎡ + z⎜⎛ 1 −α ⎟⎠⎞⎦⎤⎥
จดั รปู จะได ⎢1 ⎝ α
⎣
λeff = (1 − α )(1 − z)
λeff = λ ⋅ (1 − z)
จากสมการท่ี (E3), (E6), E(7) และ (E8) จะเขียนสมการท่ี (E5) ไดใหมเ ปน
159
δ pl = P ⎡ g(α + z ⋅ (1 − α )) − g(α )⎤ (E9)
LL BE ⎢ (1 − z)2
⎣ λ2 ⋅ λ2 ⎥
⎦
กระจายฟง กช นั g เปน อนกุ รมเทเลอร และใชก ารประมาณคาเชิงเสนกับเทอม (1 - z)2 จะได
δ pl ≈ P {[g(α )+ g′(α )⋅ z ⋅ (1 − α )](1 + 2z) − g(α )}
LL BEλ2
δ pl = PW 2 z ⋅ [2g(α )+ (1 − α )g′(α )]
LL BEb2
เทอมในวงเล็บใหญเปนฟงกชันของ α แต z เปน ฟงกช นั ของ P ⋅ f (α ) ดงั นนั้ จะเขียนสมการขางตนไดใ นรปู ของ
b2
δ pl = W ⋅z⋅ P ⋅ f (α ) ⋅ g* (α ) (E10)
LL BE
b2
โดย g * (α ) = 2g(α ) + (1 − α )g′(α ) (E11)
f (α )
รูปฟงกช นั นลั ของสมการท่ี (E10) คอื δ pl = h⎜⎛ P ⋅ f (α ) ⎟⎞ ⋅ g * (α ) (E12)
ขน้ั ตอนที่ 3 LL ⎝
b2 ⎠
หาอนพุ ันธยอ ยสมการท่ี (E12) เทียบกบั b จะได
⎜⎝⎜⎛ ∂δ pl ⎟⎟⎠⎞ P = g* ∂h + h ∂g *
LL ∂b ∂b
∂b
= g* ⋅ h′ ⋅ ∂ ⎛⎜ P ⋅ f (α ) ⎞⎟ + h ⋅ ∂g * ⋅ ∂α
∂b ⎝ ⎠ ∂α ∂b
b2
จาก ∂α ∂b = −1 W จะได = g* ⋅ h′ ⋅ ⎛⎜ P ⋅ f ⋅ −2 + b−2 ⋅ P⋅ ∂f ⎟⎞ + h⋅ g *′ ⎛⎜ − 1 ⎟⎞
⎝ b3 ∂b ⎠ ⎝ W ⎠
= g* ⋅ h′ ⋅ ⎝⎜⎛⎜ − 2P ⋅ f +P ⋅ ∂f ⎛⎜ − 1 ⎟⎞ ⎟⎞⎠⎟ − h ⋅ g *′ ⋅ g*
b3 b2 ∂α ⎝ W ⎠ W g*
= g*P⋅ f ⋅ h′ ⋅ ⎜⎛⎝⎜ − 2 −1 ⋅ f ′ ⎟⎠⎟⎞ − h ⋅ g *′ ⋅ g* (E13)
b2 b W f W g*
หาอนพุ นั ธย อยสมการท่ี (E12) เทียบกบั P จะได
⎜⎝⎛⎜ ∂δ pl ⎠⎟⎟⎞b = g* ⋅ h′ ⋅ f (E14)
LL b2
∂P
160
แทนสมการที่ (E14) ในสมการที่ (E13) จะได
⎛⎜⎝⎜ ∂δ pl ⎞⎟⎠⎟ P = P ⋅ ⎛⎜⎝⎜ − 2 − 1 f ′ ⎟⎟⎠⎞⎝⎛⎜⎜ ∂δ pl ⎟⎟⎠⎞b − δ pl ⋅ g *′ (E15)
LL b W f LL LL g* (E16)
∂b ∂P W
จากสมการที่ (57) จะได ∫J = 1 P ⎜⎛⎝⎜ ∂δ pl ⎠⎟⎞⎟ P dP
B 0 LL
pl ∂a
∫หรือ J pl = − 1 P ⎝⎜⎛⎜ ∂δ pl ⎞⎟⎟⎠ P dP
B 0 LL
∂b
แทนสมการที่ (E15) ลงในสมการที่ (E16) จะได
1 ⎡δ pl ⋅ ⎜⎜⎝⎛ 2 1 f ′ ⎞⎟⎟⎠dδ P δ pl g *′ ⎤
B LL b W f 0 LL g* dP⎥⎥
∫ ∫J pl = ⎢ P + pl + W
⎢ LL
⎣0
⎦
1 ⎡ f′ ⎤ δ pl 1 ⎡ g *′ ⎤ P
bB ⎢2 f ⎥ LL ⎢ 1−α g* ⎥ 0
⎣ ⎦⎥ ตอบ
Pdδ
∫ ∫( ) ( )J pl pl δ pl
= + 1−α ⋅ LL + bB ⎢⎣ LL dP
⎦0
หมายเหตุ
ฟง กช ันไรห นวย f (α ) และ g(α ) ของชิน้ งานคือ [13]
( )f (α ) = (2 + α ) 0.886 + 0.464α − 13.32α 2 + 14.72α 3 − 5.6α 4
g(α ) = 38.2α − 55.4α 2 + 33.0α 3
กาํ หนดให η =2+ f ′ (1 − α ) และ ηc = (1 − α ) g *′ จะไดค า ของ η,ηc ดังแสดงในรปู ที่ E1
g*
f
ถา วสั ดมุ พี ฤตกิ รรมการเสยี รูปดังสมการท่ี (20) แลวความสมั พนั ธระหวา งองคป ระกอบพลาสตกิ ของระยะเคลอ่ื นตวั
δ pl กับภาระ ท่คี วามยาวรอยราวคาหน่ึง คอื
LL
δ pl = A⋅ Pn ; A คือ คาคงที่
LL
ดงั นัน้ dδ pl = A⋅n⋅ P n−1dP
แทนในอินทกิ รัลอันเทอมทีส่ องจะได LL
ดังน้ันสมั ประสิทธ์ไิ รหนว ยรวม ηT คือ
∫ ∫P P 1 1 P
A ⋅ n ⋅ Pn−1 n
δ pl dP = A⋅ Pn ⋅ dδ pl ∫= Pdδ pl
LL LL LL
00 0
ηT =η + ηc
n
ัสมประ ิสทธิ์ไ รหนวย 161
สัมประสทิ ธ์ิไรห นว ยท่มี าตรฐาน ASTM E813 [3] แนะนํา คือ ηASTM = 2 + 0.522(1 − α ) รูปท่ี E2 เปรียบเทยี บ
สัมประ ิสทธิ์ไ รหนวยηASTM กบั ηT จากรปู จะเหน็ วา ผลลัพธทงั้ สองใกลเคยี งกนั ในชว ง α เทากบั 0.2 ถึง 0.8 2
4
η
2
ηc
0α
0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 0.6 0.7 0.8
-2
รปู ที่ E1 สมั ประสิทธ์ิไรห นวย η และ ηc
2.8
ηT ; n = 20
2.6
η ASTM
2.4
2.2 ηT ; n = 5
2α
0.1 0.2 0.3 0.4 0.5 0.6 0.7 0.8
รปู ที่ E2 สมั ประสิทธไิ์ รห นวยที่มาตรฐาน ASTM E813 แนะนาํ กบั ท่หี าโดยวิธขี อง Zahoor
2 มาตรฐานการทดสอบ JIc (บทที่ 4 หวั ขอท่ี 4.8) กาํ หนดใหช้นิ งานตองมีความยาวรอยรา วเร่ิมตน เทา กบั 0.5W ดังนน้ั สัมประสทิ ธข์ิ อง
ASTM จะมากกวา ของ Zahoor
162
ตัวอยา งท่ี 7 [12] จงหา Jpl ของช้นิ งานทดสอบคานดดั 3 จุด [รปู ท่ี 1(ก)] มคี วามหนา B ความสูง W และรอยรา ว
ยาว a ชิ้นงานวางอยบู นรองรบั ทีห่ างกนั เปน ระยะ S ดวยวิธีของ Zahoor
วิธีทํา
ข้ันตอนที่ 1 หาความยาวรอยรา วประสทิ ธิผล
จากสมการที่ (96) และ (92) ในบทที่ 2 ความยาวรอยรา วประสิทธิผล aeff คือ
aeff =a+ 1 ⎜⎜⎝⎛ KI ⎟⎠⎞⎟ 2 (E1)
βπ σY (E2)
รูปทวั่ ไปของผลเฉลย K ของชิน้ งาน คอื KI = 3PS f (α )
โดย α = a W 2BW W (1 − α )3 2
แทนสมการที่ (E2) ในสมการท่ี (E1) แลวจัดรูปจะได
⎡ 1 ⎝⎛⎜⎜ 3S ⎠⎟⎟⎞2 ⎜⎛ P ⋅ f (α ) ⎞⎟ 2 1 −α ⎤
= a⎢1 + βπ 2Bσ ⎝ ⎠ α ⎥
aeff ⋅ b2 ⋅ ⎦⎥
⎣⎢
Y
แตค วามยาวลกิ กาเมนต b เทากบั W (1− α ) ดังน้ัน
aeff = a ⎡ + z⎛⎜ 1 −α ⎞⎠⎟⎤⎥⎦
⎢1 ⎝ α
⎣
หารท้งั สองขางดวย W จะได α eff = α ⎡ + z⎜⎛ 1 −α ⎟⎞⎠⎤⎦⎥ (E3)
⎢1 ⎝ α
⎣ (E4)
(E5)
โดย α eff = aeff W และ z = 1 ⎝⎛⎜⎜ 3S ⎞⎟⎟⎠2 ⋅ ⎜⎛ P ⋅ f (α ) ⋅⎞⎟2
βπ 2Bσ Y ⎝ ⎠
b2
ข้นั ตอนท่ี 2
รูปท่วั ไปของ δ el ของช้นิ งาน คอื δ el = 3P ⋅ S 2 ⋅ g(α )
LL LL 2BE′ (1 − α )2
รปู ฟงกช ันนัลของ δ pl หาไดจากสมการ ( ) ( )δ δ α=pl el − δ el α
LL LL LL eff LL
( )δ pl= 3PS 2 ⎡ g α eff 2 − g(α ) ⎤
( )LL 2BE′ ⎢ 1 − α eff (1 − α )2 ⎥
⎣⎢ ⎥⎦
ให b W ≡ λ และจาก a + b = W จะได
ดงั นน้ั λ =1−α 163
λeff = 1 − α eff (E6)
(E7)
แทนสมการที่ (E3) จะได λeff = 1 − α ⎡ + z⎛⎜ 1 −α ⎞⎟⎠⎦⎤⎥
จดั รูปจะได ⎢⎣1 ⎝ α (E8)
(E9)
λeff = (1 − α )(1 − z)
(E10)
λeff = λ ⋅ (1 − z) (E11)
(E12)
จากสมการท่ี (E3), (E6), E(7) และ (E8) จะเขียนสมการที่ (E5) ไดใ หมเ ปน
(E13)
δ pl = 3PS 2 ⎡ g(α + z ⋅ (1 − α )) − g(α )⎤ (E14)
LL 2BE′ ⎢ ⎥
⎣ λ2 ⋅ (1 − z)2 λ2 ⎦
กระจายฟงกช ัน g เปนอนกุ รมเทเลอร และใชการประมาณคา เชิงเสนกับเทอม (1 - z)2 จะได
δ pl = 3PS 2W 2 z ⋅ [2g(α )+ (1 − α )g′(α )]
LL 2BE′b2
เทอมในวงเล็บใหญเ ปน ฟง กช ันของ α แต z เปนฟง กช ันของ P ⋅ f (α ) ดังน้ัน
b2
δ pl = 3W 2 ⋅ z ⋅ P ⋅ f (α ) ⋅ g*(α )
LL 2BE′
b2
โดย g* (α ) = 2g(α ) + (1 − α )g′(α )
f (α )
จากสมการที่ (E10) จะไดร ูปฟงกช นั นัลของ δ pl คือ
LL
δ pl = h⎜⎛ P ⋅ f (α ) ⎞⎟ ⋅ g * (α )
LL ⎝ ⎠
b2
ข้นั ตอนที่ 3
ทาํ เชนเดยี วกับตัวอยา งที่ 5 จะไดผลลัพธสดุ ทา ยคือ
⎛⎜⎜⎝ ∂δ pl ⎟⎞⎠⎟ P = P ⋅ ⎛⎜⎜⎝ − 2 − 1 f ′ ⎞⎟⎠⎟⎜⎜⎝⎛ ∂δ pl ⎟⎟⎠⎞b − δ pl ⋅ g *′
LL b W f LL LL g*
∂b ∂P W
จากสมการท่ี (57) ∫J pl= − 1 P ⎛⎝⎜⎜ ∂δ pl ⎠⎞⎟⎟ P dP
B 0 LL
∂b
แทนสมการท่ี (E13) ลงในสมการที่ (E14) จะได
164
1 ⎡δ pl ⎜⎝⎛⎜ 2 1 f ′ ⎠⎟⎟⎞dδ δP pl g *′ ⎤
B LL b W f + LL g* dP⎥
∫ ∫J pl= ⎢ P ⋅ + pl W ⎥
⎢ LL
⎣0 0
⎦
1 ⎡ f′ ⎤ δ pl 1 ⎡ g *′ ⎤ P
bB ⎢2 f ⎥ LL ⎢1−α g* ⎥ 0
⎣ ⎥⎦ ตอบ
Pdδ
∫ ∫( ) ( )J pl pl δ pl
= + 1−α ⋅ LL + bB ⎢⎣ LL dP
⎦0
หมายเหตุ
ฟงกชนั ไรหนวย f (α ) และ g(α ) ของชนิ้ งานทดสอบคานดดั 3 จดุ คอื [12]
[ ]( )f(α ) ⎛⎜⎝⎜ α ⎟⎞⎠⎟ (1 α ) 2
= + 2α 1.99 − α − 2.15 − 3.93α + 2.7α
1
( )g(α ) = α 2 5.58 − 19.57α + 36.82α 2 − 34.94α 3 + 12.77α 4
3.4.2.3 การประมาณดว ยผลเฉลยภาระขดี จํากัด
จากนิยามของ J-อนิ ทิกรัลในสมการที่ (10) ถา แบงพลงั งานความเครยี ดออกเปน 2 สว นคอื พลงั งาน
ความเครยี ดยดื หยุน Uel และพลงั งานความเครียดพลาสตกิ Upl จะได
( )J = − ∂ U el + U pl = − ∂U el − ∂U pl
∂A ∂A ∂A
เน่อื งจากเทอมแรกคือ Jel ดงั นั้น
J pl = − ∂U pl = − 1 ∂U pl (59)
∂A B ∂a
Bucci [17] เสนอวิธปี ระมาณคา Jpl โดยแทนพฤตกิ รรมการเสยี รูปของวัตถทุ ม่ี ีรอยรา วดว ยพฤตกิ รรมแบบ
พลาสตกิ สมบูรณ ดงั รปู ท่ี 16 จากรูปวตั ถทุ ่ีมีรอยรา วยาว a+∆a จะมีคอมพลายแอนซยืดหยนุ นอ ยกวา และมภี าระ
ขีดจาํ กดั ตํ่ากวาวตั ถทุ มี่ รี อยราวยาว a สมมตุ วิ าวตั ถุทั้งสองชนิ้ รบั ภาระจนมี δ LL เทา กบั คาทจี่ ดุ E แลวพนื้ ที่
สเ่ี หล่ียม ABDE ของวัตถุทม่ี ีรอยรา วยาว a หรอื Upl(a) ในทํานองเดียวกัน พน้ื ท่สี ่เี หลีย่ ม FGHE จะแทน Upl
ของวตั ถทุ ี่มีรอยราวยาว a+∆a หรอื Upl(a+∆a) ดังนน้ั พ้นื ที่แรเงาในรูปที่ 16 คือ
∆U pl = U pl (a + ∆a) − U pl (a)
∆U pl = PL (a + ∆a )⋅ δ pl (a + ∆a ) − PL (a ) ⋅ δ pl (a )
LL LL
จัดเทอมใหมจะได [ ]∆U pl (a [PL )]
= PL (a + ∆a)⋅ δ pl ) − δ pl (a + ∆a ) + δ pl (a ) ⋅ (a ) − PL (a + ∆a
LL LL LL
ถาสมมตุ ิวา δ pl (a) − δ pl (a + ∆a) มคี า นอยแลว
LL LL
165
∆U pl ≈ δ pl (a ) ⋅ [PL (a ) − PL (a + ∆a )]
LL
หารตลอดดวย ∆a และกําหนดเงอ่ื นไข ∆a เขาใกลศ ูนย จะได
∂U pl ≈ δ pl ⋅ ∂PL (60)
∂a LL ∂a
แทนสมการที่ (60) ในสมการท่ี (59) จะได
J pl ≈ − δ pl ∂PL = −δ pl ∂PL (61ก)
LL ∂a LL ∂A
B
( )หรือ ≈ − δ LL − δ el ∂PL (61ข)
J pl LL ∂a
B
นอกจากสมการท่ี (61) แลว Bucci ยังเสนอใหใชความยาวรอยราวประสิทธิผล aeff ในการคาํ นวณ Jel ดังน้นั
( )J el
= K2 ≡ K 2 aeff (62)
eff E′
E′
จากสมการท่ี (61ข) J pl เปน ฟง กช ันเชิงเสนของ δ pl และตัดแกน δ LL ท่ีจดุ δ LL = δ el เมือ่ พลอ็ ต
LL LL
สมการ (61) และ (62) บนแกนเดียวกนั ดังรูปที่ 17 แลว ผลเฉลย J-อนิ ทกิ รลั กค็ อื เสน โคง ที่สมั ผสั กบั เสนทงั้ สอง
ภาระ, P Ba
PL (a) A G a + ∆a
PL (a + ∆a) CF
DH δLL
E δLL
δ pl (a + ∆a )
LL
( )δ pla
LL
รปู ที่ 16 พฤตกิ รรมเสียรูปแบบพลาสตกิ สมบูรณข องวัตถุทม่ี ีรอยรา ว
166
J
J pl
ผลเฉลยที่ตอ งการ
J el
δ LL
δ el
LL
รปู ที่ 17 ผลเฉลย J-อนิ ทกิ รลั ดว ยวธิ ขี อง Bucci
ตวั อยางที่ 8 [17] จงคํานวณ Jpl ของช้นิ งานคานดัด 3 จุด ดวยวธิ ีของ Bucci กาํ หนดใหภาระขีดจํากดั คอื
PL = 1.456σ Y B (W − a)2
S
วิธที าํ
สาํ หรับ Jpl จากสมการที่ (61) จะได J pl ≈ − δ pl d ⎣⎢⎡1.456σ B (W − a )2 ⎤
LL da ⎥⎦
S
B Y
2.912 σ Y
S
( )= (W ตอบ
− a) δ LL − δ el
LL
3.4.3 การคาํ นวณจากผลเฉลย EPRI
วิธีของ EPRI แบงผลเฉลย J –อินทกิ รัล ออกเปน 2 สวน ดังสมการที่ (55) และใชพ ฤติกรรมการเสยี รูป
ของวสั ดตุ ามสมการของ Ramberg-Osgood [18]
องคป ระกอบยดื หยนุ ของ J–อนิ ทกิ รลั หรอื Jel คํานวณจากสมการที่ (62) โดยใชค วามยาวรอยรา ว
ประสทิ ธิผลตอไปนี้
aeff = a + φ ry (63)
โดย φ = 1+ 1 PL )2 (64)
(65)
(P
และ ry = 1 ⎜⎛ n − 1 ⎠⎞⎟⎛⎜⎜⎝ K ⎞⎟⎟⎠2
βπ ⎝ n + 1 σY
โดย β = 2 สําหรบั สถานะความเคนระนาบ และ β = 6 สาํ หรบั สถานะความเครยี ดระนาบ
167
องคป ระกอบพลาสตกิ ของ J–อนิ ทกิ รลั หรอื Jpl กระเบียบวิธีเชิงตัวเลข
J pl = αε Yσ Y ⋅ g1 ⋅ h1 ⋅ ⎜⎜⎝⎛ P ⎟⎟⎞⎠ n+1 (66)
PL (67)
คาฟงกชนั h1 ช้ินงานทดสอบมาตรฐานและทอทรงกระบอกทีร่ ับความดนั สรุปอยูในภาคผนวกของบทนี้
นอกจากน้ี องคป ระกอบพลาสตกิ ของผลเฉลย δ และ δLL สามารถเขยี นในรูปทว่ั ไปไดด งั นี้ [18]
δ pl = αε Y ⋅ g2 ⋅ h2 ⋅ ⎜⎜⎛⎝ P ⎞⎟⎠⎟ n
PL
δ pl = αε Y ⋅ g3 ⋅ h3 ⋅ ⎛⎝⎜⎜ P ⎠⎞⎟⎟ n (68)
LL PL
โดย gi (i = 1,2,3) คือ ฟง กชันท่ขี ้ึนกบั มติ ขิ องชิ้นงานทดสอบ และมิติของรอยรา ว
hi (i = 1,2,3) คือ ฟงกชนั ไรห นว ยที่ขึ้นอยกู บั มิตขิ องชนิ้ งานทดสอบ มติ ขิ องรอยรา ว และคา คงตวั n ใน
สมการของ Ramberg-Osgood [สมการที่ (20)]
PL คือภาระขีดจํากดั
α และ n คือ คาคงตัวในสมการของ Ramberg-Osgood
ตวั อยา งที่ 9 ทอทรงกระบอกขนาดเสน ผา นศนู ยก ลางภายใน เทากบั 50 ซม. และผนงั หนา 2.5 ซม. รับความดนั
ภายใน 5 MPa ถกู ตรวจพบรอยราววางตวั ตามแนวแกนของทอ และมคี วามลกึ 0.5 ซม.จงคาํ นวณ J-อนิ ทกิ รลั
กาํ หนดให
1) ความสมั พนั ธความเคน-ความเครยี ด ของวัสดทุ ี่ทําทอ คือ ε =σ + α ⎜⎛⎝⎜ σ ⎟⎞⎠⎟ n
εY σY σY
โดย σ Y = 138 MPa , n = 5 , εY = 7.88 ×10−4 , α = 1.27 และ E = 175 GPa
2) ผลเฉลย K คอื
K = 2 pRo2 πa ⎧⎨⎪1.1 + A⎡⎢4.951⎛⎜ a ⎟⎞2 + 1.092⎛⎜ a ⎟⎞4 ⎥⎤⎪⎫⎬
Ro2 − Ri2 ⎪⎩ ⎢⎣ ⎝ W ⎠ ⎝W ⎠ ⎦⎥⎭⎪
โดย A = [0.125(Ri ])W − 0.25 0.25 สําหรับ 5 ≤ Ri W ≤ 10 ; 5 ≤ (Ro + Ri ) 2W ≤ 20 และ a W ≤ 0.75
168
วิธที ํา Ri = 25 ซม.
ขอมูลในโจทยส ามารถแบงได 3 กลมุ ดงั นี้ W = 2.5 ซม.
กลมุ ที่ 1 มิตขิ องทอ และรอยรา ว: Ro = 27.5 ซม.
a = 0.5 ซม.
รศั มภี ายใน
ความหนา
รัศมภี ายนอก
ความลกึ รอยราว
กลมุ ท่ี 2 สมบตั ิวัสดุท่ใี ชท าํ ทอ :
σ Y = 138 MPa
ε Y = 7.88 ×10−4
α =1.27 และ n = 5
กลมุ ท่ี 3 สภาวะทาํ งาน :
ความดัน p = 5 MPa
ขน้ั ตอนการคํานวณ มดี งั น้ี
1) ตรวจสอบวา มติ ิทางเรขาคณติ ของทออยใู นขอบเขตใชงานของผลเฉลย K หรอื ไม
Ri = 10 อยใู นขอบเขตใชง าน
W
R0 + Ri =10.5 อยใู นขอบเขตใชง าน
2W
a = 0.2 อยูใ นขอบเขตใชงาน
W
2) คาํ นวณ aeff
จากผลเฉลย K ทโี่ จทยใ หมา เมอ่ื แทนขอมูลท่โี จทยใหมาจะได K = 9.386 MPa m ความดนั ที่ทําให
เกิดการครากท้ังหนา ตดั ของลกิ กาเมนต pL คอื (หัวขอ 6 ในภาคผนวกของบท)
pL = 2 bσ Y = 12.48 MPa
3 Ri + a
โดย b คอื ความยาวของลกิ กาเมนต ซึ่งเทา กบั W − a = 2 ซม.
169
แทนคา pL ลงในสมการที่ (64) จะได
φ = 1 = 1 = 0.86
1 + p pL 1 + 5 12.48
สมมตุ ิสถานะความเคนเปนแบบความเคน ระนาบ ดังนน้ั จากสมการท่ี (67) จะได
แทนในสมการที่ (63) จะได ry = 0.49 มม.
ดงั น้นั aeff = a + φry = 5.42 มม.
Keff = 10.04 MPa m
นาํ คา Keff ที่ไดก ลับไปคาํ นวณหา pL , φ , ry , aeff และ Keff ใหมอกี คร้ัง และทําซ้าํ เชน น้ี จนกวา ผลเฉลย Keff จะ
ลูเ ขา ตารางตอ ไปนแี้ สดงผลการคาํ นวณซํ้า จะเหน็ วาผลเฉลยลเู ขาตง้ั แตการทําซ้ําคร้ังท่ี 4
จาํ นวนครงั้ pL φ ry aeff K eff
การทําซา้ํ (MPa) (มม.) (มม.) (MPa m )
1 12.48 0.86 0.56 5.48 10.14
2 12.47 0.86 0.57 5.49 10.16
3 12.47 0.86 0.58 5.50 10.16
4 12.47 0.86 0.58 5.50 10.16
3) คํานวณ Jel
จากสมการที่ (59) จะได J el = K2 = 589.64 J
eff m2
E
4) คํานวณ Jpl
จากหัวขอท่ี 6 ในภาคผนวก
J pl = ασ Y ε Y a ⋅ ⎜⎛1 − a ⎞⎟ ⋅ h1 ⋅ ⎜⎝⎜⎛ p ⎠⎟⎟⎞ n +1
⎝ W ⎠ pL
สาํ หรบั ปญหาน้ี W Ri = 0.1 และ a W = 0.2 เม่อื ใชก ารประมาณคาเชิงเสนภายใน (linear interpolation) จะได
คาของฟง กชัน h1 เทา กบั 8.352 เม่ือแทนคา จะได
J pl = 19.14 J
m2
ดังนน้ั J = 589.64 + 19.14 = 608.78 J ตอบ
m2
170
3.4.4 วธิ คี วามเคน อา งอิง
เนอ่ื งจากฟงกชนั h1 ที่ปรากฎในสมการคํานวณคา Jpl ของ EPRI [สมการที่ (66)] ไวตอ คา n ในสมการ
ของ Ramberg-Osgood ดังนน้ั ถาพฤตกิ รรมการเสียรปู ของวัสดไุ มสอดคลองกบั สมการของ Ramberg-Osgood
เปน อยางดีแลว คา n ทรี่ ะบุจากการวเิ คราะหการถดถอยก็จะไมแ มน ยาํ ตามไปดว ย สงผลใหก ารระบุคา h1 และการ
คํานวณคา J-อนิ ทิกรลั ไมแมนยําตามไปดว ย ดังนัน้ ถาสามารถทําใหส มการท่ี (66) ไมไ วตอ คา n แลวความไม
แมนยาํ ในการระบคุ า n จะไมสง ผลมากตอ คา Jpl หรือกลาวอกี อยางหน่ึงคอื พฤตกิ รรมการเสยี รปู ของวสั ดมุ ี
ผลกระทบนอ ยตอ การประมาณคา Jpl วธิ ีความเคนอางอิง (reference stress method, RSM) [20] ถกู เสนอข้นึ เพอ่ื
วตั ถุประสงคด ังกลาว หลักการของวิธนี ้คี อื นอรม ลั ไลซภ าระ P ดว ยภาระอางองิ (reference load) Pref แทนการ
ใชภ าระขีดจาํ กดั PL คา ของภาระอา งองิ ทเ่ี หมาะสมทีส่ ดุ คอื คาท่ีทาํ ให Jpl ไวตอคา n นอยที่สดุ โดยทั่วไปแลว Pref
จะเปน สัดสว นกบั PL โดยมคี ามากกวาเลก็ นอย
ข้นั ตอนการสรางสมการสาํ หรับหาคา J-อินทิกรลั ดว ยวธิ คี วามเคนอางองิ มดี ังน้ี
จากสมการท่ี (66) J pl = ασ Y ε Y ⋅ g1 ⋅ h1 ⋅ ⎜⎜⎝⎛ P ⎞⎟⎟⎠ n +1
PL
นอรม ลั ไลซภ าระ P ดวยภาระอางองิ (reference load) Pref จะได
⎜⎝⎛⎜ Pref ⎞⎟⎟⎠ n+1 ⎜⎛ P ⎟⎞ n+1
PL ⎜⎝ Pref ⎠⎟
J pl = ασ Y ε Y ⋅ g1 ⋅ h1 ⋅ ⋅ (69)
(70)
กําหนดให h1* = h1 ⋅ ⎝⎜⎛⎜ Pref ⎟⎠⎟⎞n+1 (71)
แทนในสมการท่ี (69) จะได PL
(72)
J pl = ασ Y ε Y ⋅ g1 ⋅ h1* ⋅ ⎜⎛ P ⎞⎟ n+1
⎝⎜ Pref ⎟⎠ (73)
สําหรบั Jel สามารถเขียนในรปู สมการท่ี (71) ไดด ังนี้
J el = σYεY ⋅ g1 ⋅ h1* ⋅ ⎛⎜⎝⎜ P ⎞⎟ 2
Pref ⎠⎟
หารสมการท่ี (71) ดว ยสมการท่ี (72) จะได
J pl = α ⎜⎛⎝⎜ P ⎟⎞ n−1
J el Pref ⎠⎟
นิยามความเคน อางองิ (reference stress) σ ref ดงั นี้
171
σ ref = ⎜⎛ P ⎟⎠⎞⎟σ Y (74)
⎜⎝ Pref
แทนในสมการที่ (73) จะได J pl = α ⎝⎜⎜⎛ σ ref ⎠⎞⎟⎟ n−1 (75)
J el σY
จากสมการที่ (20) ถา ความเคน σ มีคาเทา กับ σ ref แลวองคประกอบพลาสตกิ ของเครยี ดอางอิง ε pl คือ
ref
ε pl = αε 0 ⎜⎜⎛⎝ σ ref ⎟⎞⎟⎠ n (76)
ref σY
แทนในสมการที่ (75) จะได J pl = α ⎛⎜ ε pl ⎞⎟ σ Y
J el ⎜⎝ ref ⎟⎠ σ ref
αε Y
เน่อื งจากσY εY = E ดงั นน้ั J pl = εE pl (77)
ref
σJ el ref
เน่อื งจากความเครยี ดอา งอิง ε ref ประกอบดวยองคป ระกอบยดื หยนุ ε el และองคป ระกอบพลาสตกิ ε pl หรือ
ref ref
ε ε ε= +el pl
ref ref ref
แทนในสมการท่ี (77) จะได J pl = Eε ref − εE el
ref
σJ el ref σ ref
แต ε el σ ref = 1 E ดงั นน้ั J pl = Eε ref −1
ref σJ el ref
1 + J pl = Eε ref
σJ el ref
ดงั นนั้ J = Eε ref (78)
σJ el ref
โดย εref หาจากสมการที่ (20) โดยแทนคา σ ดว ย σ ref
Ainsworth [20] ปรบั แกส มการที่ (78) สําหรับชวง SSY สมการท่ีไดค อื
J = Eε ref + 1 ⎝⎜⎛⎜ σ ref ⎠⎟⎟⎞ 2 ⎛⎜ Eε ref ⎟⎞ −1 (79)
J el σ ref 2 σY ⎜⎝ σ ref ⎠⎟
172
แมวาสมการท่ี (78) และ (79) จะสรางข้ึนโดยอางอิงสมการของ Ramberg-Osgood แตเน่ืองจาก Pref ทําให
สมการที่ (71) ไมข้นึ กบั คา n ดงั น้ันสมการท้งั สองใชไดก บั ความสมั พันธความเคน -ความเครยี ดใด ๆ ก็ได แตการหา
คา ของ εref จะตอ งหาจากความสมั พันธความเคน-ความเครียดของวสั ดุทพ่ี ิจารณา
สมการท่ี (78) และ (79) ทําใหการหาผลเฉลย J-อนิ ทกิ รลั ครอบคลมุ ปญ หามากขนึ้ เนอ่ื งจากใชข อมลู ท่ีมี
อยูอ ยางแพรหลาย 3 อยางไรก็ดี การหา Pref จําเปน ตอ งทราบคา ฟงกชัน h1 ท่ี n ตา ง ๆ ซ่ึงหาจากวิธเี ชงิ ตัวเลข
ดังนั้นจึงนยิ มใชภ าระขดี จํากัด PL แทน Pref
ตวั อยา งที่ 10 จงคาํ นวณหา Pref สาํ หรบั ชิ้นงานทดสอบ C(T) ทม่ี อี ัตราสวน a/W = 0.5 และสถานะความเคน ที่
ปลายรอยรา วเปน แบบความเครยี ดระนาบ จากความสมั พนั ธระหวางฟงกช นั h1 กบั n ของ EPRI [18] ดงั น้ี
n 1 2 3 5 7 10 13 16 20
h1 1.94 1.51 1.24 0.919 0.685 0.461 0.314 0.216 0.132
วธิ ีทาํ
จากสมการที่ (A 2.1) ภาระขีดจาํ กัดในสถานะความเครยี ดระนาบ คือ
PL = 1.455ηW (1 − a W )Bσ Y (E1)
และสมการที่ (A3) η = ⎜⎛ 2a ⎞⎟2 + 2⎛⎜ 2a ⎟⎞ + 2 − ⎜⎛ 2a + 1⎟⎞ (E2)
⎝b⎠ ⎝b⎠ ⎝b ⎠
กรณี a/W = 0.5 จะได a/b = 1 เมือ่ แทนในสมการที่ (E1) และ (E2) จะได η = 0.162 และ PL = 0.118BWσ Y
กาํ หนดให Pref = kPL โดย k คือ คาคงตัวทยี่ งั ไมท ราบคา นาํ ไปแทนในสมการที่ (70) จะได
h1* = h1 ⋅ k n+1
เม่ือลองเพมิ่ คา k ตงั้ แต 1 พบวา h1* ขน้ึ กับคา n นอ ยลง (รูปท่ี E1) จากดลุ พินจิ เลือก k = 1.144 ดงั นั้น
Pref = 1.144PL = 0.135BWσ Y ตอบ
3 1) ผลเฉลย K 2) สมบตั แิ รงดึงของวัสดุ คือ ความเคน คราก σY มอดลุ ัสของความยืดหยนุ E และคา คงตวั α,n (ถา การเสียรูป
แทนไดดว ยสมการของ Ramberg-Osgood)
173
h1* k = 1.144
k = 1.136
2.5
2
1.5
1 k = 1.093
0.5
k =1
0 n
0
5 10 15 20 25
รปู ที่ E1 ความสัมพนั ธร ะหวา ง h1* กับ n
ตัวอยา งท่ี 11 จงคํานวณหา J Jel ของชน้ิ งานทดสอบ C(T) ทม่ี ีอตั ราสวน a/W = 0.5 ดว ยวิธคี วามเคน อางอิง
โดยใชภาระอางอิงในตัวอยางท่ี 10 และเปรยี บเทียบผลลพั ธท ี่ไดกับวธิ ีของ EPRI
กําหนดให 1) สถานะความเคนทป่ี ลายรอยรา วเปน แบบความเครยี ดระนาบ
2) สมบตั ิของวัสดุ : σ Y = 500 MPa , E = 200GPa , ν = 0.3 , α =1 และ n = 8
3) มิตขิ องช้ินงานทดสอบ : B = 25.4 มม. W = 50.8 มม.
4) ภาระขดี จํากดั PL = 0.118BWσ Y
วิธีทํา
จากขอมลู ในโจทย ความเครยี ดคราก εY ในสมการของ Ramberg-Osgood คือ
εY = σY = 2.5 ×10−3 (E1)
E
แทนภาระอางอิงที่ไดจ ากตัวอยา งที่ 10 ลงในสมการที่ (74) จะได
σ ref = P (E2)
0.135BW
174
คาํ นวณความเครียดอางอิงโดยใชสมการที่ (20) จะได
⎡ σ ref ⎛⎜⎝⎜ σ ref ⎟⎟⎠⎞ n ⎤
⎢ σY σY ⎥
ε ref = ε 0 ⎣⎢ + α ⎦⎥ (E3)
แทนสมการที่ (E2) และ E(3) ลงในสมการที่ (78) จะได
J = Eε ref (E4)
σJ el ref (E5)
โดย Jel หาไดจากผลเฉลย K และใชค วามยาวรอยรา วประสิทธผิ ล aeff
สาํ หรบั วธิ ีประมาณของของ EPRI ผลเฉลย J-อินทกิ รลั คอื
( )J = J el aeff + J pl
เพ่อื เปรียบเทยี บความแมน ยาํ ของผลเฉลยจากวธิ ีความเคน อางอิง จึงเขยี นสมการท่ี (E5) ในรปู ตอไปน้ี
( ) ( )J = 1+ J pl (E6)
J el aeff J el aeff
( ) ( )Jel aeff
โดย = K 2 aeff (สาํ หรับกรณีความเครยี ดระนาบ E ′ = 1 E 2 )
E′ −ν
ผลเฉลย K ของชิน้ งานทดสอบ C(T) ท่ีความยาวรอยราวประสทิ ธผิ ล คือ
P ⎝⎜⎜⎛ 2 + aeff ⎠⎟⎞⎟ ⎜⎛ aeff 13.32⎛⎜⎝⎜ aeff ⎠⎟⎟⎞2 14.72⎜⎜⎝⎛ aeff ⎞⎟⎟⎠3 5.64⎛⎜⎜⎝ aeff ⎞⎟⎠⎟ 4 ⎟⎞
BW W ⎜ W W W W ⎟
( )K aeff = ⎝ 0.866 + 4.64 − + − ⎠
⎟⎞⎠⎟3 2
⎜⎛⎝⎜1 − aeff
W
โดย aeff หาไดจากสมการท่ี (63) ถงึ (65)
ผลการคํานวณคา J/Jel ทง้ั สองวิธี แสดงอยูใ นรูปที่ E1 แกนนอนของกราฟคือ อตั ราสวนของภาระทีก่ ระทํา
กบั ชิ้นงานทดสอบ P กับภาระขีดจาํ กดั PL และแกนตงั้ คอื J/Jel จากกราฟจะเหน็ วาผลเฉลยท้ังสองกรณีใกลเ คยี ง
กัน
175
2.5
2.5
2 วิธขี อง EPRI
วิธคี วามเคนอา งองิ
J ratio_RSM(PJ)
J el
J ratio_EPRI(P)
1.5
11 0.2 0.4 0.6 0.8 1 P
0 PL
1.314×10− 6 P 1.2
PL
รูปที่ E1 ความสมั พนั ธร ะหวา ง J Jel และ P PL ทีห่ าโดยวธิ ขี อง EPRI และวธิ ีความเคน อา งอิง
3.5 ขอบเขตของพารามิเตอร J-อินทกิ รลั
J-อินทิกรัล จะสูญเสยี ความเปน พารามเิ ตอรที่ระบุสนามความเคน -ความเครียดบรเิ วณปลายรอยรา วเมือ่
1) บรเิ วณกระบวนการ (process zone) ซอ นทับบริเวณ J-เดน (J-dominated zone) และ 2) เกดิ การปลดภาระ
(unloading) เน่อื งจากรอยรา วเตบิ โตจากความยาวเดมิ
รายละเอียดของเงือ่ นไขท้งั สองจะกลา วเพ่ิมเตมิ ในหวั ขอ ที่ 3.5.1 และ 3.5.2 ตามลาํ ดบั
3.5.1 บริเวณ J-เดน
ถารอยราวมคี วามยาวเทาเดมิ ตลอดเวลาทภ่ี าระเพิ่มขึน้ จนถึงคา หน่งึ แลว การเสียรูปที่บรเิ วณปลายรอย
ราวสามารถแบง ได 3 บรเิ วณ คือ 1) บรเิ วณกระบวนการ 2) บริเวณเสยี รปู พลาสตกิ และ 3) บริเวณยดื หยุน
ตามลาํ ดับ บริเวณกระบวนการอยูใกลก บั ปลายรอยรา วมากท่ีสดุ ความเครยี ดในบริเวณน้มี ีคา สงู ซ่งึ เกินขอบเขต
ของผลเฉลย HRR ดงั นน้ั J-อินทกิ รัล จะใชไมไ ดเ ม่ือบรเิ วณกระบวนการซอ นทับบรเิ วณ J-เดน
McMeeking และคณะ [21] ใชวธิ ีไฟไนตเอลิเมนตว ิเคราะหการเสียรปู ขนาดใหญใ นช้ินงานทดสอบ M(T)
และ SE(B) โดยคาํ นึงถงึ การท่อื ของปลายรอยรา วดว ย และกาํ หนดใหวสั ดุมพี ฤตกิ รรมการเสยี รูปแบบพลาสตกิ
176
สมบรู ณ เขาใชพารามิเตอร bσY J เพ่อื แสดงระดับการเสยี รปู พลาสตกิ โดยท่ี b คอื ความยาวลกิ กาเมนต และ
σY คือความเคน คราก ดังนนั้ ระดับของการเสียรูปพลาสติกจงึ แปรผกผันกบั พารามเิ ตอร bσY J เขาหาผลเฉลย
ความเคนกรณเี กิดการเสยี รูปขนาดใหญของรอยรา วทือ่ และกรณีเกดิ การเสยี รปู ขนาดเล็กของรอยรา วท่ือ (จะ
เรียกวา ผลเฉลย SSY) แลว นาํ มาเปรยี บเทียบกันโดยตัง้ เงอื่ นไขท่ี J-อินทิกรลั จะควบคุมพฤตกิ รรมรอยรา วได คอื
ผลเฉลยความเคน ของสองกรณีนี้ตอ งไมตา งกันมาก รูปที่ 18(ก) และ 18(ข) แสดงความเคนในทศิ ทาง y ซึง่ นอร
มัลไลซแ ลว หรือ σ yy σY ท่รี ะยะหา งจากปลายรอยรา วซ่งึ นอรมัลไลซแ ลว หรอื rσY J และท่รี ะดับการเสยี รปู
พลาสติก (หรือ bσY J ) ตา ง ๆ ของช้ินงานทดสอบ SE(B) และ M(T) ตามลําดับ จากรูปที่ 18(ก) เงอื่ นไข J-เดน
ในช้นิ งาน SE(B) จะเกิดขน้ึ เม่ือ bσY J ≥ 26 (หรอื J ≤ bσY 26 ) จากรูปท่ี 18(ข) เง่ือนไข J-เดน ในช้นิ งาน
ทดสอบ M(T) จะเกิดข้นึ เมอ่ื J < bσY 454 จะเห็นวาเงือ่ นไข J-เดนในชนิ้ งานทดสอบ M(T) เขม งวดกวา ชิ้นงาน
ทดสอบ SE(B)
Shih et al. [22] หาเง่ือนไข J-เดน ของชนิ้ งานทดสอบ M(T) และ SE(B) โดยพจิ ารณาความแตกตางของ
การกระจายความเคนจากวิเคราะหการเสยี รปู ขนาดใหญข องรอยราวท่มี ปี ลายแหลม กบั ผลเฉลย HRR ผลลพั ธ
แสดงอยใู นรูปที่ 19(ก)-(ง) สําหรับกรณี n = 3 และ รูปท่ี 20 (ก)-(ง) สาํ หรับกรณี n = 10 จากรปู เงื่อนไข J-เดน
ของช้ินงาน SE(B) และ M(T) จะเกิดข้ึนเม่อื J ≤ bσY 30 และ J < bσY 600 ตามลาํ ดบั
σ yy σ yy
σY σY
3 bσY 3 bσ Y
J
2 ผลเฉลย SSY J 2 ผลเฉลย SSY 11459516314
1 1
118291669
0 rσY 0 rσ Y
1 2345 J
1 2345 J
(ก) (ข)
รูปท่ี 18 การกระจายความเคนท่รี ะดบั การเสียรปู พลาสตกิ ตาง ๆ [21]
(ก) ชิน้ งาน SE(B) (ข) ชิ้นงาน M(T)
177
6 bσ Y = 600 6 bσ Y = 200
J J
4 ชน้ิ งาน M(T) 4 ช้นิ งาน M(T)
ชน้ิ งาน SE(B) ชิ้นงาน SE(B)
σ yy σ yy
σY σY
2 2
0 rσY 00 rσ Y
0 40 80 120 J
(ก) 20 40 J
(ข)
6 bσ Y = 60 12 bσ Y = 30
J J
4σ yy ชิ้นงาน M(T) 8σ yy ชิน้ งาน M(T)
ชิน้ งาน SE(B) ชิ้นงาน SE(B)
σY σY
2 4
00 4 (ค) 8 rσ Y 00 2 (ง) 4 rσ Y
12 J 6J
รปู ที่ 19 การกระจายความเคน ที่ระดบั การเสยี รปู พลาสติกตาง ๆ ของชนิ้ งานทดสอบ SE(B) และ M(T)
สําหรบั n เทา กบั 3 (จดุ กลมทบึ แสดงผลเฉลย HRR) [22]
โดยสรุปแลว เงอื่ นไข J-เดน คือ b≥M J (80)
σY
โดย M คอื คาคงตัว ท่ีขนึ้ กบั ชนิดช้นิ งานและชนิดภาระที่กระทํา ในมาตรฐานการทดสอบหาความตานทานการ
แตกหกั JIc หรือเสน โคง JR (บทที่ 4 หัวขอที่ 4.8 และ 4.9) แนะนําใหใ ชช ้ินงานทดสอบ SE(B) และ C(T) เง่อื นไข J-
เดน ของช้นิ งานท้งั สองชนดิ นถี้ กู กาํ หนดไวท ่ี M = 25 [สมการท่ี (24) ในบทที่ 4]
178 bσ Y = 600 4σ yy bσ Y = 200
J J
σ yy ช้ินงาน M(T) σY ชิ้นงาน M(T)
ชนิ้ งาน SE(B) ช้ินงาน SE(B)
σY 4 (ข) 2
(ก) 2
0 rσ Y 0 rσ Y
0 40 80 120 J 0
20 40 J
σ yy bσ Y = 60 σ yy
J bσ Y = 30
σY4 σY4 J
(ค) 2 (ง) 2
ชิน้ งาน M(T)
ช้นิ งาน M(T) ช้ินงาน SE(B)
ชน้ิ งาน SE(B)
rσ Y 0 rσY
00 4 0 2 46 J
8 12 J
รปู ท่ี 20 การกระจายความเคน ที่ระดบั การเสยี รปู พลาสตกิ ตาง ๆ ของชน้ิ งานทดสอบ SE(B) และ M(T)
สําหรับ n เทา กบั 10 (จดุ กลมทบึ แสดงผลเฉลย HRR) [22]
3.5.2 J ควบคมุ การเติบโต
การหาผลเฉลย J-อินทกิ รลั ในหวั ขอ ที่ 3.4 ต้ังอยูบนเงือ่ นไขวารอยราวมคี วามยาวเทาเดมิ เมอ่ื มภี าระ
กระทาํ หรือสมมุตใิ หเปน รอยราวหยดุ น่ิง (stationary crack) ความไมเปนเชิงเสน ของกราฟภาระ-ระยะเคล่อื นตวั
จึงเกดิ จากการครากทีป่ ลายรอยราวเพยี งอยางเดยี ว อยางไรกด็ ี รอยรา วสามารถเตบิ โตจากความยาวเดมิ ได เม่อื
ภาระเพ่มิ ถึงคาหนึ่งแลว การเตบิ โตนก้ี ท็ ําใหเ กดิ ความไมเ ปนเชงิ เสน ของกราฟภาระ-ระยะเคลือ่ นตัวไดเชน กนั จาก
กราฟ P-δLL ในรปู ที่ 21 พฤตกิ รรมการเสยี รูปของวัตถทุ มี่ ีรอยราวหยุดน่ิง ยาว a1 , a2 และ a3 แสดงดว ยเสน ประ
และพฤติกรรมการเสียรปู กรณรี อยราวเติบโตแสดงดวยเสน ทึบ จุด A คอื จุดทรี่ อยรา วเร่มิ เตบิ โตจากความยาว a1
สวนจุด B และจุด C คอื จดุ ท่ีรอยราวเตบิ โตจนมคี วามยาว a2 และ a3 ตามลําดับ จากรปู นีจ้ ะเห็นวาการคํานวณ
คา J-อนิ ทิกรัล กรณีนจ้ี ะตอ งปรับแกผลของการเตบิ โตของรอยรา วดว ย รายละเอยี ดจะกลาวในบทท่ี 4
179
ภาระ, P รอยราวเริม่ เตบิ โต
(จากความยาว a1)
A a1
B a2
C a3
พฤตกิ รรมการเสยี รูปของรอยราวหยุดนง่ิ
พฤตกิ รรมการเสยี รปู กรณีรอยราวเติบโต
δ LL
รปู ที่ 21 ความแตกตางระหวางกราฟ P-δLL กรณีรอยราวหยดุ นง่ิ และกรณรี อยราวเตบิ โต
รูปท่ี 22 แสดงการเสยี รูปบริเวณปลายรอยราวหลังจากเตบิ โตจากความยาวเดมิ เปนระยะทาง ∆a จากรูป
บริเวณเสียรูปพลาสตกิ ขนาดใหญท ่ีเดมิ อยูหนาปลายรอยรา วยาว a จะกลายเปน ระลอกพลาสติก (plastic wake)
ของรอยรา วยาว a+∆a สนามความเคนและความเครยี ดในบริเวณน้จี ะลดลงจากคา กอ นทรี่ อยรา วเตบิ โต จึงเรียก
บริเวณนว้ี า บรเิ วณปลดภาระ ขณะเดียวกันวัสดบุ ริเวณปลายรอยราวยาว a+∆a จะรบั ความเครียดเพิ่มข้นึ โดย
สวนเพ่มิ ของความเครยี ดไมไ ดเ ปน สัดสว นกับสว นเพ่มิ ของ J-อินทกิ รลั เหตุการณทงั้ สองนข้ี ัดแยงกบั ขอสมมตุ ใิ น
rJ บริเวณปลดภาระ
r บริเวณรบั ภาระอยา งไมเ ปนสดั สวน
บริเวณ J-เดน
rp (ภาระเพ่ิมขึ้นเปนสัดสว น)
∆a
บรเิ วณเสียรูปพลาสตกิ
รูปที่ 22 พฤตกิ รรมการเสยี รูปหลงั จากรอยรา วเติบโตจากความยาวเดมิ เปน ระยะทาง ∆a
180
ทฤษฎีพลาสตกิ ซติ ี้เสยี รปู ซ่ึงเปนกรอบทฤษฎีของพารามเิ ตอร J-อินทกิ รลั ดังน้นั พารามเิ ตอร J-อนิ ทิกรัลจงึ ใชไ ด
กบั การวิเคราะหรอยราวหยดุ น่งิ เทา นั้น อยางไรก็ดี ภายใตเง่อื นไขบางอยา งท่เี หตกุ ารณท้ังสองสามารถละทิ้งไดน ั้น
J-อนิ ทกิ รลั กย็ ังสามารถควบคมุ พฤตกิ รรมของรอยรา วขณะทีเ่ ติบโตได โดยรายละเอยี ดมดี งั น้ี [23]
สนามความเครยี ดของผลเฉลย HRR [สมการท่ี (23)] คอื
n
⎝⎛⎜⎜ J ⎠⎞⎟⎟ 1+ n ε~ij (n,θ )
ε
ε ij = αε Y ασ I r
Y Y n
n
จดั รปู ใหมเ ปน ⎛⎜ J ⎟⎞ 1+ n ε~ij (81)
( )ε ij = K ⎝ r ⎠ θ
n
พิจารณารอยรา วท่วี างตวั อยบู นแกน x และเตบิ โตตามแนวแกน x การเปลยี่ นแปลงขององคประกอบความเครยี ด
dεij เนือ่ งจากการเปล่ยี นแปลงคา J-อินทิกรัล dJ และการเปลี่ยนแปลงความยาวรอยรา ว da คอื
dε ij = ∂ε ij dJ + ∂ε ij dx
∂J ∂x
แทนสมการท่ี (81) จะได
n −1 n ⎜⎝⎜⎛ −n ⎟⎠⎞⎟
n ⎛⎜ 1 ⎞⎟1+n εn+1 ~ n+1 da ∂ εn+1 ~
+ ⎝ r⎠ ij ∂x ij
( ) ( )dεij= K θ − r θ
n 1 n J dJ KnJ
จาก ∂ = cosθ ∂ − sinθ ∂ ดงั น้นั
∂x ∂r r ∂θ
n ⎡ ∂ε~ij (θ ) ⎟⎠⎟⎞⎦⎥⎤⎥
⎢
dε ij = K ⎛⎜ J ⎞⎟ n+1 ⎣⎢ n ε~ij (θ ) dJ + da ⎜⎝⎜⎛ n cosθ ε~ij (θ ) + sin θ ∂θ
⎝ r ⎠ + J r +
n n 1 n 1
หารตลอดดวยสมการที่ (81) จะได
dε ij = n dJ + da ⎛⎝⎜⎜ n cosθ + sinθ ∂ε~ij (θ ) ⎟⎞⎟⎠ (82)
ε ij n+1 J r +
n 1 ε~ij (θ ) ∂θ
เทอมแรกของสมการท่ี (82) แสดงใหเ หน็ วา dεij ∝ dJ ดังนนั้ กรอบทฤษฎีพลาสตกิ ซติ ก้ี ารเสยี รูปจะเปนจรงิ เมอ่ื
เทอมแรกเดน กวา เทอมท่สี อง หรอื
n dJ >> da ⎛⎜ n cosθ + sinθ ∂ε~ij (θ ) ⎟⎞ (83)
n +1 J r ⎜⎝ n +1 ⎠⎟
ε~ij (θ ) ∂θ
181
แตเนือ่ งจากเทอม n และเทอมในวงเล็บดา นขวามอื มคี าในอันดบั ของหนง่ึ ดังนั้นสมการท่ี (82) จงึ ลดรูปเปน
n +1
dJ >> da
Jr
หรอื J << r
(dJ da)
โดยทวั่ ไปกาํ หนดให r คอื ขนาดของลกิ กาเมนตท ไ่ี มม รี อยราว b [8] ดงั น้ันเงื่อนไขท่ี J-อินทกิ รลั สามารถควบคุม
พฤตกิ รรมของรอยรา วที่มกี ารเตบิ โตคือ
b dJ ≡ ω >> 1 (84)
J da
ในมาตรฐานการทดสอบหาความตา นทานการแตกหกั JIc (บทที่ 4 หัวขอ ท่ี 4.8.1 ขอยอ ยท่ี 12 และเง่อื นไขขอ ท่ี 3)
ซึ่งแนะนําใหใชชิ้นงานทดสอบ SE(B) และ C(T) มีการระบุวาความชันของกราฟ J-∆a (ซง่ึ กค็ ือ dJ da ) ณ จุดที่
∆a = ∆aQ ตอ งนอยกวา σY เงอ่ื นไขนม้ี คี วามสมั พนั ธก บั สมการที่ (84) ดงั นี้
จากสมการที่ (80) ถา กําหนดให M = 25 จะได
เม่ือแทนในสมการที่ (84) จะได b ≥ 25
J σY
ω ≥ 25
เมอื่ รอยรา วเติบโตจนทําใหเ งอ่ื นไขในสมการท่ี (84) ไมเปนจริงแลว การคํานวณคาพารามเิ ตอร J-อนิ ทกิ รลั
(จากผลเฉลยกรณรี อยราวหยดุ นงิ่ ) จะตองปรับแกการเติบโตของรอยรา วดวย [สมการท่ี (47) ในบทที่ 4]
3.6 บทสรปุ
การแตกหกั ในชนิ้ สว นทที่ าํ จากวสั ดุเหนยี วจะเกดิ หลังจากการเสยี รูปพลาสตกิ ขนาดใหญทป่ี ลายรอยรา ว
เมือ่ บริเวณน้ีมีขนาดใหญก วาบรเิ วณ K-เดน (หรือบริเวณเอกฐาน r−1 2 เดน) แลว พารามเิ ตอร K จะไมสามารถ
อธิบายความรุนแรงทเี่ กดิ ข้ึนท่ีใกล ๆ กับปลายรอยรา วไดถกู ตอง พารามิเตอรต วั ใหมท่เี หมาะสมกวา ไดแก CTOD
และ J-อนิ ทิกรลั
พารามเิ ตอร CTOD นนั้ มีความหมายทางกายภาพชัดเจน โดยนยิ ามวา เปนระยะระหวา งผวิ หนารอยรา ว
(ทือ่ ) ณ จดุ ปลายรอยราวเดมิ (ซ่งึ ปลายแหลม) ขอบเขตใชง านของพารามเิ ตอรน ไ้ี มถ กู จาํ กดั ดวยขนาดของ
ความเครยี ดบริเวณปลายรอยราว อยา งไรกด็ ี การวดั CTOD โดยตรงนน้ั ทาํ ไดย าก ตองอาศยั ขอ สมมตุ ติ าง ๆ เพอื่
ประมาณคาจากการวดั CMOD แทน
182
พารามเิ ตอร J-อนิ ทกิ รัล ซ่ึงนยิ ามในรปู ของอินทกิ รลั น้ัน มีความหมายทางกายภาพคอื ความแตกตา งของ
พลงั งานศกั ยต อ หนว ยความหนา จากความหมายน้ที ําใหสามารถพิสูจนไดว าพารามิเตอร J-อนิ ทกิ รัล สมมูลกบั G
(ซ่ึงสัมพันธก บั K ตามสมการ G = K 2 E′ ) ถา ขนาดของบริเวณเสียรูปพลาสตกิ ท่ปี ลายรอยราวมขี นาดเลก็ SSY
(หัวขอ ท่ี 3.2.1) Hutchinson; Rice และ Rosengren พสิ จู นว า สนามความเคน ความเครยี ด และระยะเคลื่อนตัว
ในบรเิ วณใกลก บั ปลายรอยราวเปน ฟงกช นั ของ J-อินทกิ รลั และความเปนเอกฐานของสนามความเคน แปรผันตาม
−1 ผลการวเิ คราะหน ี้ทาํ ใหเ กดิ นยิ ามของบริเวณ J-เดน ภายในบริเวณเสยี รปู พลาสติก (กรณคี วามเครยี ดที่
r n+1
ปลายรอยรา วมากกวา SSY) ซง่ึ มแี นวคิดเหมอื นกับบรเิ วณเอกฐาน r−1 2 เดนใน LEFM (หวั ขอ ที่ 3.2.3)
วธิ ีหาผลเฉลย J-อินทิกรัล ที่กลา วถึงประกอบดว ย 1) การหาจากนยิ าม (หวั ขอที่ 3.4.1) 2) การหาจาก
ความหมายของอัตราปลดปลอ ยพลังงาน (หัวขอท่ี 3.4.2) 3) วิธีประมาณของ EPRI (หวั ขอ ท่ี 3.4.3) และ 4) วิธี
ความเคน อางองิ (หัวขอ ท่ี 3.4.4)
เงื่อนไขที่ทาํ ให J-อินทกิ รัล ยังควบคมุ สนามความเคน -ความเครยี ดบริเวณปลายรอยรา วไดค อื เงอ่ื นไข J-
เดน ซึ่งเกิดขึน้ เมอื่ b ≥ M (J σY ) และการเตบิ โตของรอยรา วจากความยาวเดมิ ยงั สอดคลองกับเงือ่ นไข
ω ≡ b dJ >> 1 เงื่อนไขท้ังสองนเ้ี ก่ียวของกบั เงอื่ นไขของการยอมรบั ผลการทดสอบหาความตา นทานการแตกหกั
J da
ซง่ึ จะกลา วในบทถัดไป
3.7 เอกสารอา งอิง
[1] Burdekin, F.M. and Stone, D.E.W. The crack opening approach to fracture mechanics in yielding
materials. J. of Strain Analysis, Vol. 1 No. 2, 1966, pp.145-153.
[2] Shiratori, M., Miyoshi, T., and Matsushita, H. SuuChi Hakai Riki Gaku. (In Japanese), 1996.
[3] Anderson,T.L. Fracture mechanics: Fundamental and Application, 2nd eds., CRC Press 1995.
[4] Rice, J.R. A path independent integral and the approximate analysis of strain concentration by
notches and cracks. Trans. ASME J. of App. Mech., Vol. 35, 1968, pp.379-386.
[5] Timoshenko, S.P., and Goodier, J.N. Theory of Elasticity,3rd eds., McGraw-Hill, 1970.
[6] Hutchinson, J.W. Singular behavior at the end of a tensile crack in a hardening material. J. Mech.
Phys. of Solids, Vol. 16, 1968, pp.13-31.
[7] Rice, J.R. and Rosengren, G.F. Plain strain deformation near a crack tip in a power-law hardening
material. J. Mech. Phys. of Solids, Vol. 16, 1968, pp.1-12.
183
[8] Saxena, A. Nonlinear Fracture Mechanics for Engineers. CRC Press, 1998.
[9] Hollstein, T. and Blauel, J.G. On the relationsh of the crack opening displacement to the J-integral.
Int. J. of Fracture, Vol. 13, No.3, 1977, pp.385-390.
[10] Li, Q. A study about Ji and δi in three-point bend specimens with deep and shallow notches. Eng.
Frac. Mech., Vol. 22, No.1, 1985, pp. 9-15.
[11] Begley J.A. and Landes, J.D. The J-Integral as a fracture criterion. Fracture toughness, ASTM STP
514, American Society for Testing Materials, 1972, pp.1-20.
[12] Zahoor, A. J-integral analysis of three-point bend specimen. Trans. ASME J. of Eng. Mat. Tech.,
Vol. 111, 1989, pp.132-137.
[13] Zahoor, A. J-integral analysis of the compact tension specimen. Trans. ASME J. of Eng. Mat.
Tech., Vol. 111, 1989, pp.138-144.
[14] Gdoutos, E.E. Fracture Mechanics : An Introduction, Kluwer Academic Publishers, 1993.
[15] Clarke, G.A. and Landes, J.D. Evaluation of the J-integral for the compact specimen. J. of Testing
and Evaluation, Vol. 7, No. 5, 1979, pp. 264-269.
[16] Smith, E. An appraisal of a recent analysis for estimating the plastic component of the deformation
J-integral for a stationary crack. Trans. ASME J. of Eng. Mat. Tech., Vol. 113, 1991, pp.344-349.
[17] Bucci, R.J., Paris, P.C., Landes, J.D., and Rice, J.R. J-Integral estimation procedures. Fracture
toughness ,ASTM STP 514, American Society for Testing Materials, 1972, pp.40-69.
[18] Kumar, V., German, M.D., and Shih, C.F. An engineering approach to elastic-plastic fracture
analysis. EPRI Report NP-1931, Electric Power Research Institute, Palo Alto, C.A. 1981.
[19] Shih, C.F., and Hutchinson, J.W. Fully plastic solutions and large scale yielding estimates for plane
stress crack problems. Trans. ASME J. of Eng. Mat. Tech. Vol.98, 1976, pp.289-295.
[20] Webster, G.A., and Ainsworth, R.A. High Temperature component life assessment. Chapman &
Hall, 1994.
[21] McMeeking, R.M. and Parks, D.M. On criteria for J-dominance of crack-tip fields in Large-scale
yielding. Elastic-Plastic Fracture, ASTM STP 668, J.D.Landes, J.A.Begley and G.A.Clarke, Eds,
American Society for Testing Materials, 1979, pp.175-194.
184
[22] Shih, C.F. and German, M.D. Requirements for a one parameter characterization of crack tip stress
fields by the HRR Singularity, Int. J. of Fracture, Vol.17, No.1, 1981, pp.27-43.
[23] Hutchinson, J.W., and Paris, P.C. Stability analysis of J-controlled crack growth. Elastic-Plastic
Fracture mechanics, ASTM STP 668, J.D. Landes, J.A. Begley and G.A. Clarke. Eds. American
Society for Testing and Materials, 1979, pp. 37-64.
[24] Shih, C.F., Delorenzi, H.G. and Andrews, W.R. Studies on crack Initiation and stable crack growth.
Elastic-Plastic Fracture mechanics, ASTM STP 668, J.D. Landes, J.A. Begley and G.A. Clarke.
Eds. American Society for Testing and Materials, 1979, pp.65-120.
[25] Owen, D.R.J. and Fawkes, A.J. Engineering Fracture Mechanics : Numerical methods and
application. Pineridge Press Ltd., 1983.
ภาคผนวก ก
ผลเฉลย Jpl ของ EPRI
186
1. ชิ้นงานทดสอบ Compact Tension (C(T)) [18]
J pl = ασ Y ε Y ⋅W ⋅ ⎜⎛1 − a ⎞⎟ ⋅ h1 ⋅ ⎝⎜⎜⎛ P ⎞⎠⎟⎟ n+1 (A1)
⎝W ⎠ PL (A2.1)
(A2.2)
โดย PL = 1.455ηbBσY กรณีสถานะความเครียดระนาบ
(A3)
PL = 1.071ηbBσY กรณสี ถานะความเคน ระนาบ
และ η = ⎛⎜ 2a ⎞⎟2 + 2⎜⎛ 2a ⎞⎟ + 2 − ⎜⎛ 2a + 1⎞⎟
⎝b⎠ ⎝b⎠ ⎝b ⎠
W
P มติ ขิ องชิ้นงานทดสอบ
D
H = 0.6W
H h = 0.275W
h D = 0.25W
d = 0.25W
h
H B = 0.5W (ความหนา)
da b
ตารางท่ี A1 คาฟง กช ัน h1 ของชิ้นงานทดสอบแบบ C(T)
ความเครยี ดระนาบ n
1 2 3 5 7 10 13 16 20
1/4 2.230 2.050 1.780 1.480 1.330 1.260 1.250 1.320 1.570
3/8 2.150 1.720 1.390 0.970 0.693 0.443 0.276 0.176 0.098
1/2 1.940 1.510 1.240 0.919 0.685 0.461 0.314 0.216 0.132
1.760 1.450 1.240 0.974 0.752 0.602 0.459 0.347 0.248
aW 1.710 1.420 1.260 1.033 0.864 0.717 0.575 0.448 0.345
1.570 1.450 1.350 1.180 1.080 0.950 0.850 0.730 0.630
5/8
1 2 3 5 n 10 13 16 20
3/4
7
Æ1
ความเคนระนาบ
1/4 1.610 1.460 1.280 1.060 0.903 0.729 0.601 0.511 0.395
3/8 1.550 1.250 1.050 0.801 0.647 0.484 0.377 0.284 0.220
1/2 1.400 1.080 0.901 0.686 0.558 0.436 0.356 0.298 0.238
aW
5/8 1.270 1.030 0.875 0.695 0.593 0.494 0.423 0.370 0.310
3/4 1.230 0.977 0.833 0.683 0.598 0.506 0.431 0.373 0.314
Æ1 1.130 1.010 0.775 0.680 0.650 0.620 0.490 0.470 0.420