The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ปีที่ 12 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2563

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

วารสารการเมือง การบริหารและกฎหมาย

ปีที่ 12 ฉบับที่ 2 พฤษภาคม - สิงหาคม 2563

วชั รา ยะสีดา/ ธัญนันท์ บุญอยู่

เป็ นปัจจยั เชื่อมโยงสู่ความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ของผูป้ ระกอบการธุรกิจผลิตเคร่ืองปรับอากาศในเขต
กรุงเทพมหานคร เพื่อให้ทราบระดบั ของวฒั นธรรมองคก์ ร การเป็ นผูป้ ระกอบการ การจดั การความรู้ และ
ความได้เปรียบทางการแข่งขนั ของผูป้ ระกอบการธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร
โดยผลท่ีไดจ้ ะสามารถนาไปประยุกตใ์ ชใ้ นการปรับปรุงพฒั นาประสิทธิภาพการบริหารจดั การองคก์ รให้มี
ความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั เพือ่ ความมน่ั คง มง่ั คง่ั และยง่ั ยนื ขององคก์ ร

วตั ถุประสงค์ของการวจิ ยั

1. เพ่ือศึกษาระดับของวฒั นธรรมองค์กร การเป็ นผู้ประกอบ การ การจัดการความรู้ และ
ความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั ของผปู้ ระกอบการธุรกิจผลิตเคร่ืองปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร

2. เพื่อศึกษาอิทธิพลคน่ั กลางของการเป็ นผูป้ ระกอบการในฐานะปัจจยั ท่ีเช่ือมระหวา่ งวฒั นธรรม
องค์กรและความได้เปรี ยบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจผลิตเคร่ืองปรับอากาศในเขต
กรุงเทพมหานคร

3. เพื่อศึกษาอิทธิพลคน่ั กลางของการจดั การความรู้ในฐานะปัจจยั ที่เชื่อมระหว่างวฒั นธรรม
องค์กรและความได้เปรี ยบทางการแข่งขันของผู้ประกอบการธุรกิจผลิตเคร่ืองปรับอากาศในเขต
กรุงเทพมหานคร

ขอบเขตของการวจิ ยั

การวิจัยคร้ังน้ีกาหนดขอบเขตประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ ผู้ประกอบการธุรกิจผลิต
เคร่ืองปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร จานวนท้งั สิ้น 144 แห่ง (กรมโรงงานอุตสาหกรรม, 2561) และ
กลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ในการวิจยั คือ ผูป้ ระกอบการธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร จานวน
106 แห่ง มีวิธีการไดม้ าดว้ ยการคานวณขนาดกลุ่มตวั อย่างของยามาเน่ Yamane (1973) ภายใตค้ วามเชื่อมนั่
95% ยอมใหม้ ีความคลาดเคลื่อนท่ียอมรับได้ ±5% โดยใชส้ ุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

การทบทวนวรรณกรรม

จากการทบทวนวรรณกรรมแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ผวู้ จิ ยั ไดท้ าการสรุปไวด้ งั น้ี
1. วฒั นธรรมองคก์ ร (Organizational Culture--OC) ที่เป็ นความคิด ค่านิยม และความเช่ือ ซ่ึงเป็ น
ท่ียอมรับของคนในกลุ่มหรือองคก์ ร (Gordon et al, 1990) เพ่ือเป็ นขอ้ กาหนดระเบียบแบบแผน รูปแบบของ
พฤติกรรมการปฎิบตั ิงานร่วมกนั ตลอดจนใช้ยึดถือและสืบทอดกนั จากรุ่นหน่ึงไปสู่อีกรุ่นหน่ึง (ธญั นนั ท์
บูญอย,ู่ 2558) โดยวฒั นธรรมองคก์ รจะเป็ นรูปแบบขององคก์ รที่มีการส่งเสริมและเปิ ดโอกาสใหพ้ นกั งานมี
ส่วนร่วมในการกาหนดแผนการทางานร่วมกนั เพ่ือใหเ้ กิดความคิดสร้างสรรคใ์ นการทางานอยา่ งต่อเน่ืองท่ี

450 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2

C H A P T E R 20

สามารถสร้างความสาเร็จต่อองค์กรและมีส่วนร่วมในการตดั สินใจแก้ไขปัญหาที่เกิดข้ึนอย่างอิสระมี
แผนการดาเนินงานที่ยึดถือปฏิบตั ิร่วมกันอย่างชดั เจน ซ่ึงจากการศึกษาวิจยั ของธัญนันท์ บุญอยู่ (2561)
กล่าวว่า วฒั นธรรมองค์กรที่มีรูปแบบการมุ่งเนน้ การเปลี่ยนแปลงกบั วฒั นธรรมองค์กรที่มีรูปแบบมุ่งเน้น
การมีส่วนร่วมจะเป็ นวฒั นธรรมหลกั ที่ถือได้ว่าเป็ นส่วนสาคญั ในการพฒั นางาน พฒั นาคน และพฒั นา
องค์กร ซ่ึงทาให้บุคคลมีโอกาสไดแ้ ลกเปลี่ยนความรู้ความคิด ประสบการณ์ผ่านการจดั เก็บและถ่ายโอน
ความรู้ท่ีดีและส่ิงเหล่าน้ีจะส่งผลให้บุคคลมีการปฏิบตั ิงานท่ีดี เม่ือบุคคลมีการปฏิบตั ิงานที่ดีก็ยอ่ มส่งผลให้
ประสิทธิภาพการดาเนินงานขององค์กรดีย่ิงข้ึนตามไปดว้ ย นอกจากน้ีงานวิจยั ของ Sajjad, Shafi & Dad
(2012) ไดศ้ ึกษาเก่ียวกบั วฒั นธรรมองคก์ รท่ีมุ่งเนน้ การปฏิบตั ิงานท่ีแตกต่างจะมีอิทธิพลต่อการพฒั นาธุรกิจ
ใหม่ ๆ โดยอาศยั วฒั นธรรมองคก์ รท่ีแตกต่างกนั ในแต่ละประเทศท้งั ภายในประเทศหรือตา่ งประเทศก็จะทา
ใหอ้ งคก์ รมีวธิ ีการปฏิบตั ิงานท่ีแตกต่างกนั ไปตามบรรทดั ฐาน ประเพณีและค่านิยมของแต่ละองคก์ รเช่นกนั

2. การเป็ นผูป้ ระกอบการ (Entrepreneurship--EN) จะเป็ นการมุ่งเน้นกระบวนการสร้างสรรค์
ส่ิ งใหม่ ๆ ท่ีแตกต่างด้วยคุณค่า (ธัญนันท์ บุญอยู่, 2558) หรื อการจัดการภายในให้สอดคล้องกับ
สภาพแวดลอ้ มท่ีเปล่ียนแปลงไป เพื่อปรับปรุงผลิตภณั ฑ์หรือบริการให้สอดคล้องกบั ความตอ้ งการของ
ลูกคา้ โดยใชท้ รัพยากรท่ีมีอยใู่ นองคก์ รมาใชใ้ หเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุด (Covin & Lumpkin, 2011) คุณลกั ษณะ
ของการเป็ นผูป้ ระกอบการจะมีการพฒั นา ปรับปรุง และสร้างสรรค์นวตั กรรมอย่างต่อเนื่องให้มีคุณค่า
(Value) เพ่ือสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขนั และต่อยอดธุรกิจให้มีความก้าวหน้าและเกิดผลกาไรที่
สูงข้ึน เม่ือกา้ วเขา้ สู่ธุรกิจใหม่ (Miller & Friesen, 1982) ซ่ึงจากการศึกษาวิจยั ของนวพร สังวร และสุดาพร
สาวมว่ ง (2555) กล่าววา่ ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อการเป็นผปู้ ระกอบการน้นั ตอ้ งอาศยั คุณลกั ษณะของผปู้ ระกอบ
ธุรกิจท่ีมีท้งั ประสบการณ์ ทศั นคติและแรงจูงใจจะเป็ นปัจจยั นาพาใหเ้ กิดความสาเร็จแก่ผปู้ ระกอบการ และ
ปัจจยั ดา้ นการจดั องค์กรท่ีมุ่งเน้นวฒั นธรรมและการเรียนรู้จะถือเป็ นปัจจยั ที่สาคญั ต่อการกาหนดกลยุทธ์
การตลาดของธุรกิจ เพื่อก่อให้เกิดความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ท่ียง่ั ยืนได้ นอกจากน้ีการศึกษาวิจยั ของ
Anwar , Khan & Khan (2018) ไดก้ ล่าววา่ กลยทุ ธ์การเป็ นผูป้ ระกอบการยอ่ มมีอิทธิพลต่อผลการดาเนินงาน
ของผปู้ ระกอบการในเชิงบวกที่จะทาให้เกิดความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ท่ียงั่ ยืนดว้ ยเช่นกนั โดยการเป็ น
ผปู้ ระกอบการจะเป็ นปัจจยั ส่ือกลางในความสมั พนั ธ์ระหวา่ งวฒั นธรรมองคก์ รกบั ผลการดาเนินงานที่ทาให้
เกิดความไดเ้ ปรียบในการแข่งขนั ในตลาดท่ีมีความผนั ผวนได้

3. การจัดการความรู้ (Knowledge Management--KM) ที่เป็ นกระบวนการในการสร้างและ
แสวงหาความรู้ โดยมีการจดั เก็บความรู้ จดั เก็บคู่มือการปฏิบตั ิงานให้เป็ นระบบระเบียบมีการประมวลผล
กลน่ั กรองความรู้อยา่ งเป็ นระบบ (ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์, 2552) มีการแลกเปลี่ยนแบ่งปันและเผยแพร่
ความรู้ท่ีสามารถให้สมาชิกในองคก์ รเขา้ ถึงความรู้ไดอ้ ยา่ งทวั่ ถึง เพ่ือเพิ่มความรู้ความสามารถให้กบั บุคคล
ในองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพและสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจท่ียง่ั ยืนได้

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 451

วชั รา ยะสีดา/ ธัญนนั ท์ บุญอยู่

(Malhotra, 2003) และจากการศึกษาวจิ ยั ของพรทิพย์ บุญทรง, ประชา ตนั เสนีย์ และนงลกั ษณ์ ลคั นทินากร
(2559) กล่าววา่ การจดั การความรู้ดว้ ยกระบวนการถ่ายทอดความรู้จากบุคคลสู่บุคคล จะตอ้ งอาศยั ทกั ษะท่ีมี
การฝึ กฝน การจดบนั ทึกและการจดั กลุ่มในองค์กร เพ่ือฝึ กการมีส่วนร่วมต่อการปฏิบตั ิและการถ่ายทอด
ความรู้ นอกจากน้ีปัจจยั ดา้ นการจดั การความรู้จะไม่มีผลกระทบทางบวกต่อความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั
กบั องคก์ รขนาดเล็กได้ เนื่องมาจากองคก์ รขนาดเล็กจะมีจานวนพนกั งานนอ้ ยไม่เกิน 50 คน ซ่ึงพฤติกรรมท่ี
ก่อใหเ้ กิดกระบวนการจดั การความรู้จะไม่สามารถส่งเสริมหรือปลูกฝังให้พนกั งานมีความกลา้ แสดงออกที่
ก่อให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้ตรงกับความต้องการขององค์กรและบุคคลได้ (สุนทรารักษ์
สุทธิจนั ทร์ และเมธา สุธีรโรจน์, 2555)

4. ความ ได้เป รี ยบ ท างก ารแข่งขัน (Competitive Advantage - COM) ถื อเป็ น หัวใจของ
การวางแผนกลยุทธ์ วธิ ีการ แบบแผนในการปฏิบตั ิที่เก่ียวขอ้ งกบั การจดั สรรทรัพยากรที่มีอยูอ่ ยา่ งจากดั มา
ประยกุ ตใ์ ช้ เพื่อใหเ้ กิดขอ้ ไดเ้ ปรียบทางดา้ นความแตกต่างเหนือคู่แข่งขนั และสามารถบรรลุวตั ถุประสงค์ ณ
ระดบั ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด โดยองคก์ รสามารถยอมรับได้ ซ่ึงการสร้างความแตกต่างแบ่งออกเป็ น 3 ดา้ น
ประกอบดว้ ย (1) กลยุทธ์การเป็ นผูน้ าดา้ นตน้ ทุน (2) กลยุทธ์การสร้างความแตกต่าง และ (3) กลยุทธ์การ
เนน้ ตลาดเฉพาะส่วน (Porter, 1990) เพื่อสร้างให้เกิดความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ท่ีสามารถสร้างโอกาส
การในการทากาไรที่สูงกวา่ คู่แข่งขนั และการใชป้ ระโยชน์ในทรัพยากรท่ีมีอยูอ่ ยา่ งหลากหลายในการสร้าง
คุณค่าใหก้ บั สินคา้ และบริการ การนาเสนอให้กบั ลูกคา้ ให้เกิดความแตกต่างเหนือคู่แข่งขนั โดยการนาเสนอ
สิ่งท่ีดีมีคุณค่าแก่ลูกคา้ อยา่ งสม่าเสมอและเป็ นส่ิงท่ีคู่แข่งขนั ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ (Rogers, 1995;
Kotler, 1997; ฐิติพร วรฤทธ์ิ, 2550 ) ดังน้ันจากการทบทวนวรรณกรรมผูว้ ิจัยได้สังเคราะห์สร้างเป็ น
กรอบแนวความคิดในการวจิ ยั ดงั ภาพที่ 1

การเป็ นผู้
ประกอบการ - EN

วฒั นธรรม ความไดเ้ ปรียบทาง
องคก์ ร - OC การแขง่ ขนั - COM

การจดั การ
ความรู้ - KM

ภาพท่ี 1 กรอบแนวความคิดในการวจิ ยั

452 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2

C H A P T E R 20

สมมติฐานการวจิ ยั

สมมติฐานท่ี 1 (H1) วฒั นธรรมองคก์ รมีอิทธิพลตอ่ การเป็นผปู้ ระกอบการ
สมมติฐานที่ 2 (H2) วฒั นธรรมองคก์ รมีอิทธิพลต่อการจดั การความรู้
สมมติฐานท่ี 3 (H3) วฒั นธรรมองคก์ รมีอิทธิพลต่อความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั
สมมติฐานที่ 4 (H4) การเป็นผปู้ ระกอบการมีอิทธิพลต่อการจดั การความรู้
สมมติฐานที่ 5 (H5) การเป็นผปู้ ระกอบการมีอิทธิพลตอ่ ความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั
สมมติฐานที่ 6 (H6) การจดั การความรู้มีอิทธิพลต่อการเป็นผปู้ ระกอบการ
สมมติฐานท่ี 7 (H7) การจดั การความรู้มีอิทธิพลตอ่ ความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั
สมมติฐานที่ 8 (H8) การเป็ นผปู้ ระกอบการเป็ นปัจจยั เชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ระหว่างวฒั นธรรม
องคก์ รกบั ความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั
สมมติฐานท่ี 9 (H9) การจดั การความรู้เป็ นปัจจยั เช่ือมโยงความสัมพนั ธ์ระหว่างวฒั นธรรมองคก์ ร
กบั ความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั

วธิ ีดาเนินการวจิ ยั

การศึกษาวิจยั คร้ังน้ีผูว้ ิจยั ใช้วิธีการวิจยั เชิงปริมาณ ท่ีมุ่งเน้นขอ้ เท็จจริงและขอ้ สรุปเชิงปริมาณ
โดยใชแ้ บบสอบถามเป็นเครื่องมือเพ่ือยนื ยนั สมมติฐาน ซ่ึงผวู้ จิ ยั มีข้นั ตอนวธิ ีการวจิ ยั ดงั น้ี

1. ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือ ผูป้ ระกอบการธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร
จานวนท้งั สิ้น 144 คน (กรมโรงงานอุตสาหกรรม, 2561) และกลุ่มตวั อยา่ งท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คือ ผปู้ ระกอบการ
ธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร จานวน 106 คน โดยใช้วิธีการกาหนดกลุ่มตวั อยา่ งตาม
ตารางของ Taro Yamane ท่ีระดบั ความเชื่อมนั่ 95% และความคลาดเคล่ือน +5% (Yamane, 1973) และใช้
วธิ ีการสุ่มตวั อยา่ งแบบเจาะจง (Purposive Sampling)

2. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจยั เป็ นแบบสอบถาม ซ่ึงแบ่งเป็ น 5 ส่วน ไดแ้ ก่ ส่วนที่ 1 แบบสอบถาม
ปั จจัยส่ วนบุคคลของผู้ตอบแบบสอบถาม เป็ นแบบตรวจสอบรายการ (Check List) ส่ วนท่ี 2-5
แบบสอบถามเพื่อวดั ระดบั วฒั นธรรมองคก์ ร การเป็ นผปู้ ระกอบการ การจดั การความรู้ และความไดเ้ ปรียบ
ทางการแขง่ ขนั โดยลกั ษณะของขอ้ คาถามเป็นมาตราส่วนประมาณคา่ 5 ระดบั ตามแบบของ Likert (1932)

3. การตรวจสอบคุณภาพของเคร่ืองมือ ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือ โดยไดน้ า
แบบสอบถามท่ีสร้างข้ึนไปให้ผูท้ รงคุณวุฒิจานวน 3 ท่าน ตรวจสอบคุณภาพด้านความตรงเชิงเน้ือหา
(content validity) รายขอ้ เพ่ือพิจารณาความสอดคลอ้ งระหว่างขอ้ คาถามกบั ตวั แปรที่ตอ้ งการวดั ดว้ ยการหา
ค่าดัชนี ความสอดคล้อง (IOC) มากกว่าหรื อเท่ากับ 0.5 มาเป็ นข้อคาถามในแบบสอบถาม และ

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 453

วชั รา ยะสีดา/ ธัญนันท์ บุญอยู่

(2) นาแบบสอบถามท่ีผ่านการตรวจสอบคุณภาพจากผูท้ รงคุณวุฒิแลว้ เฉพาะขอ้ ที่อยูใ่ นเกณฑ์มาปรับปรุง
และสร้างเป็ นแบบสอบถามฉบบั สมบูรณ์ไปทดลองใช้กบั ประชากรที่เหลือจากการสุ่มตวั อยา่ งจานวน 30
คน เพ่ือนาคาตอบมาวิเคราะห์คุณภาพของแบบสอบถามท้งั ฉบบั โดยการหาสัมประสิทธ์แอลฟา (alpha
coefficient) ของครอนบัค (Cronbach) ซ่ึงผลการวิเคราะห์สัมประสิทธ์ิแอลฟา พบว่า วฒั นธรรมองค์กร
(α = 0.935) การเป็นผปู้ ระกอบการ (α = 0.934) การจดั การความรู้ (α = 0.922) และความไดเ้ ปรียบทางการ
แข่งขนั (α = 0.904)

4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล ผวู้ ิจยั แจกแบบสอบถามกบั กลุ่มตวั อยา่ งที่เป็ นผปู้ ระกอบการธุรกิจผลิต
เคร่ืองปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานคร จานวน 106 คน ซ่ึงมีการตอบกลบั ครบทุกฉบบั

5. การวิเคราะห์ขอ้ มูล ผูว้ ิจยั ใช้โปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติเพ่ือนาขอ้ มูลมาวิเคราะห์ทางสถิติ
โดยสถิติท่ีใช้ คือ (1) สถิติพรรณนา ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (2) สถิติการ
วิเคราะห์ตัวแบบสมการโครงสร้าง โดยใช้โปรแกรมสาเร็จรูป SmartPLS 3 (Hair, Sarstedt, Ringle &
Gudergan, 2018) และ (3) ทาการวิเคราะห์อิทธิพลของตวั แปรคน่ั กลางดว้ ยโปรแกรม Process (Preacher &
Hayes, 2008)

สรุปผลการวจิ ัย

1. ผลการวิเคราะห์ปัจจยั ส่วนบุคคล พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่เป็ นเพศชาย (ร้อยละ
81.13) มีอายุ 30-40 ปี (ร้อยละ 38.68) มีระดบั การศึกษาต่ากวา่ ปริญญาตรี (ร้อยละ 49.05) มีสถานภาพสมรส
(ร้อยละ 66.98) มีระยะเวลาการทางาน 10 ปี ข้ึนไป (ร้อยละ 33.02) และมีรายไดเ้ ฉลี่ยต่อเดือนมากกวา่ 50,000
บาทข้ึนไป (ร้อยละ 50.00)

2. ผลการวิเคราะห์ระดับวฒั นธรรมองค์กร การเป็ นผูป้ ระกอบการ การจัดการความรู้ และ
ความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั พบวา่ ส่วนใหญ่ผตู้ อบแบบสอบถามมีความคิดเห็นเก่ียวกบั ปัจจยั วฒั นธรรม

องค์กรโดยรวมอยู่ในระดับมากท่ีสุด ( x = 3.66, SD = 0.952) รองลงมาคือ ปัจจยั การเป็ นผูป้ ระกอบการ
( x = 3.65, SD=0.998) ปัจจยั ความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ( x = 3.65, SD = 0.989) และสุดทา้ ยปัจจยั การ
จดั การความรู้ ( x = 3.53, SD = 0.903)

3. ผลการวิเคราะห์ตวั แบบสมการโครงสร้างในภาพรวม ซ่ึงเป็ นผลการวิเคราะห์ความสัมพนั ธ์
โดยสัมประสิทธ์ิความถดถอยอิทธิพลทางตรงท่ีส่งผลต่อความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั โดยผลการวเิ คราะห์
เป็นดงั น้ี

454 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2

C H A P T E R 20

ภาพที่ 2 เส้นทางความสัมพนั ธ์ตวั แบบสมการโครงสร้าง
จากภาพที่ 2 แสดงเส้นทางความสัมพนั ธ์ของตวั แบบสมการโครงสร้าง พบว่า (1) การเป็ นผู้
ประการ (EN) และการจดั การความรู้ (KM) มีอิทธิพลทางตรงต่อความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั (COM) มีค่า
เท่ากับ 0.450 และ 0.337 ตามลาดบั แต่วฒั นธรรมองค์กร(OC) ไม่มีอิทธิพลทางตรงต่อความได้เปรียบ
ทางการแข่งขนั มีค่าเท่ากบั 0.099 (2) วฒั นธรรมองค์กร (OC) การเป็ นผปู้ ระกอบการ (EN) และการจดั การ
ความรู้ (KM) มีอิทธิพลทางออ้ มต่อความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั (COM) มีค่าเท่ากบั 0.538, 0.094 และ
0.098 ตามลาดบั (3) วฒั นธรรมองคก์ ร (OC) และการเป็ นผูป้ ระการ (EN) มีอิทธิพลทางตรงต่อการจดั การ
ความรู้ (KM) มีค่าเท่ากบั 0.519 และ 0.278 ตามลาดบั ส่วนวฒั นธรรมองค์กร (OC) มีอิทธิพลทางออ้ มต่อ
การจดั การความรู้ (KM) มีค่าเท่ากบั 0.225 และ (4) วฒั นธรรมองค์กร (OC) และการจดั การความรู้ (KM)
มีอิทธิพลทางตรงต่อการเป็ นผูป้ ระการ (EN) มีค่าเท่ากับ 0.808 และ 0.214 ตามลาดับ ส่วนวฒั นธรรม
องคก์ ร (OC) มีอิทธิพลทางออ้ มต่อการเป็นผปู้ ระการ (EN) มีคา่ เท่ากบั 0.111
4. ผลการทดสอบสมมติฐานจากผลการวิเคราะห์ตวั แบบสมการโครงสร้างปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อ
ความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั ไดด้ งั น้ี

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 455

วชั รา ยะสีดา/ ธัญนนั ท์ บุญอยู่

ตารางท่ี 1 สรุปผลการทดสอบสมมติฐาน

สมมตฐิ านการวจิ ัย สัมประสิทธ์ิเส้ นทาง ค่า t-test ผลลพั ธ์
(Coef.)

H1 OC  EN 0.808*** 24.272 สนบั สนุน

H2 OC  KM 0.519*** 3.615 สนบั สนุน

H3 OC  COM 0.099 0.782 ไม่สนบั สนุน

H4 EN  KM 0.278* 1.920 สนบั สนุน

H5 EN  COM 0.450*** 3.465 สนบั สนุน

H6 KM  EN 0.214** 2.015 สนบั สนุน

H7 KM  COM 0.337*** 3.193 สนบั สนุน

หมายเหตุ :(* หมายถึง p-value ≤0.10 หรือ คา่ t ≥ 1.65) (** หมายถึง p-value ≤0.05 หรือ ค่า t ≥ 1.96)

( หมายถึง ***p-value ≤0.01 หรือ คา่ t ≥ 2.58)

จากตารางท่ี 1 แสดงให้เห็นว่า (1) วฒั นธรรมองค์กรมีอิทธิพลต่อการเป็ นผูป้ ระกอบการและ
การจดั การความรู้ มีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทางเท่ากบั 0.808 และ 0.519 ตามลาดบั แต่วฒั นธรรมองคก์ รไม่มี
อิทธิพลต่อความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั มีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทางเท่ากบั 0.099 (2) การเป็ นผปู้ ระกอบการ
มีอิทธิพลต่อการจดั การความรู้และความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั มีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทางเท่ากบั 0.278
และ 0.450 ตามลาดบั และ (3) การจดั การความรู้มีอิทธิพลต่อการเป็ นผูป้ ระกอบการและความไดเ้ ปรียบ
ทางการแขง่ ขนั มีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทางเทา่ กบั 0.214 และ 0.337 ตามลาดบั

ตารางท่ี 2 ผลการทดสอบอิทธิพลของตวั แปรคนั่ กลาง

สมมตฐิ านการวจิ ัย Effect Boot SE Boot Boot
LLCI ULCI
H8 OC  EN  COM 0.720
H9 OC  KM  COM 0.454 0.131 0.223 0.445

0.288 0.080 0.133

จากตารางท่ี 2 ผลการทดสอบอิทธิพลทางออ้ มของการเป็ นผูป้ ระกอบการและการจดั การความรู้
เป็ นปัจจยั ที่เช่ือมโยงอิทธิพลของวฒั นธรรมองคก์ รสู่ผลความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั โดยมีค่าผลคูณของ
สัมประสิทธ์ิขอบเขตล่าง (Boot LLCI) และขอบเขตบน (Boot ULCL) ที่ช่วงของความเชื่อมนั่ ไม่คลุม 0

456 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2

C H A P T E R 20

แสดงว่า อิทธิพลของการเป็ นผูป้ ระกอบการและการจดั การความรู้เป็ นปัจจยั ท่ีเชื่อมโยงอิทธิพลของ
วฒั นธรรมองค์กรสู่ความได้เปรียบทางการแข่งขนั โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิขอบเขตล่างเท่ากบั 0.223 และ
0.133 ตามลาดบั และขอบเขตบนเท่ากบั 0.720 และ 0.445 ตามลาดบั

อภปิ รายผล

การวจิ ยั ในคร้ังน้ีสามารถอภิปรายผลการวจิ ยั และตีความขอ้ มูลต่าง ๆ ไดเ้ ป็น 3 ปัจจยั คือ
1. ปัจจยั วฒั นธรรมองค์ จากผลการวิจยั พบว่า วฒั นธรรมองค์กรมีอิทธิพลทางตรงต่อการเป็ น
ผูป้ ระกอบการและการจดั การความรู้ ซ่ึงเป็ นไปตามสมมุติฐานท่ีต้งั ไว้ แต่วฒั นธรรมองค์กรไม่มีอิทธิพล
ทางตรงต่อความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ท้งั น้ีเนื่องจากผปู้ ระกอบการธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศในเขต
กรุงเทพมหานคร ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจครอบครัวซ่ึงมีขนาดเล็ก จึงทาใหพ้ นกั งานไมม่ ีส่วนร่วมในการกาหนด
แผนการทางานร่วมกนั และตดั สินใจแกไ้ ขปัญหาท่ีเกิดข้ึนอยา่ งเป็ นอิสระ วฒั นธรรมองคก์ รจึงไม่มีอิทธิพล
ต่อความได้เปรียบทางการแข่งขนั ซ่ึงไม่สอดคล้องกับงานวิจยั ของอัจฉรา เมฆสุวรรณ (2560) ที่ว่า
วฒั นธรรมองคก์ รมีผลโดยรวมอยูใ่ นระดบั มากที่สุดและวฒั นธรรมองคก์ ร การผูป้ ระกอบการและเครือข่าย
ธุรกิจมีอิทธิพลทางตรงตอ่ ความไดเ้ ปรียบในการแข่งขนั
2. ปัจจยั การเป็ นผูป้ ระกอบการ จากผลการวิจัยพบว่า การเป็ นผูป้ ระกอบการมีอิทธิพลต่อ
การจดั การความรู้ ความได้เปรียบทางการแข่งขนั และเป็ นปัจจยั คนั่ กลางระหว่างวฒั นธรรมองค์กรกับ
ความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ซ่ึงเป็ นไปตามสมมุติฐานท่ีต้งั ไว้ ท้งั น้ีเน่ืองจากผูป้ ระกอบการธุรกิจผลิต
เคร่ืองปรับอากาศสามารถตอบสนองความตอ้ งการของลูกคา้ ไดอ้ ยา่ งต่อเนื่องและจดั การใชท้ รัพยากรท่ีมีอยู่
มาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์สูงสุด ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของธญั นนั ท์ บุญอยู่ (2561) ที่วา่ การสร้างวฒั นธรรม
องคก์ รท่ีมุ่งเนน้ การมีส่วนร่วมในการทางาน จะสามารถสร้างใหพ้ นกั งานรู้สึกเป็ นส่วนหน่ึงในความสาเร็จ
ขององค์กร และทาให้พนักงานไดม้ ีโอกาสแลกเปล่ียนความรู้ความคิด ประสบการณ์ผ่านการจดั เก็บและ
ถ่ายโอนความรู้ที่ดี ซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีจะส่งผลให้พนกั งานมีการปฎิบตั ิงานท่ีดี เมื่อพนกั งานมีการปฏิบตั ิงานท่ีดี
กย็ อ่ มส่งผลใหป้ ระสิทธิภาพการดาเนินงานขององคก์ รดียง่ิ ข้ึนตามไปดว้ ย
3. ปัจจัยการจัดการความรู้ จากผลการวิจัยพบว่า การจัดการความรู้มีอิทธิพลต่อการเป็ น
ผู้ประกอบการและความได้เปรียบทางการแข่งขัน ซ่ึงเป็ นไปตามสมมุติฐานท่ีต้ังไว้ ท้ังน้ีเน่ืองจาก
ผูป้ ระกอบการธุรกิจผลิตเครื่องปรับอากาศมีการจดั เก็บคู่มือการปฏิบตั ิงานอย่างเป็ นระบบสม่าเสมอและ
มีกระบวนการถ่ายโอนความรู้ในรูปแบบการอบรมอย่างต่อเน่ือง ซ่ึงสอดคล้องกบั งานวิจยั ของ พรทิพย์
บุญทรง, ประชา ตนั เสนีย์ และนงลกั ษณ์ ลคั นทินากร (2559) ที่วา่ การถ่ายทอดความรู้จากบุคคลสู่บุคคลที่

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 457

วชั รา ยะสีดา/ ธัญนนั ท์ บุญอยู่

เป็ นทกั ษะท่ีตอ้ งฝึ กฝนมีการจดบนั ทึกและมีการจดั กลุ่มแม่บา้ นในผลิตภณั ฑ์ต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือฝึ กปฏิบตั ิ
ในการถ่ายทอดความรู้จะสามารถสร้างความไดเ้ ปรียบในการแขง่ ขนั ของผปู้ ระกอบการไดเ้ ช่นกนั

ข้อเสนอแนะ

1. ขอ้ เสนอแนะเชิงวชิ าการ
1.1 จากผลการศึกษาของวฒั นธรรมองคก์ ร พบวา่ ผปู้ ระกอบการจะตอ้ งใหค้ วามสาคญั กบั การ

เปิ ดโอกาสใหพ้ นกั งานมีส่วนร่วมในการกาหนดแผนการทางานร่วมกนั และเปิ ดโอกาสใหพ้ นกั งานตดั สินใจ
แกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึนอยา่ งอิสระ ซ่ึงจะเป็ นปัจจยั ท่ีผลกั ดนั และส่งเสริมใหพ้ นกั งานเกิดทศั นคติท่ีดีกบั องคก์ ร
ปฏิบตั ิงานสนองตอบต่อนโยบายขององค์กรด้วยความต้งั ใจและส่งผลให้เกิดความสามารถในการสร้าง
ความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั ของธุรกิจ

1.2 จากผลการศึกษาของการเป็ นผูป้ ระกอบการ พบว่า ผูป้ ระกอบการจะตอ้ งให้ความสาคญั
กบั การจดั การความเส่ียงที่เกิดข้ึนภายในองคก์ รให้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและสามารถหาแนวทางในการจดั การ
กบั ความเส่ียงที่จะเกิดข้ึนไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล

1.3 จากผลการศึกษาของการจัดการความรู้ พบว่า ผู้ประกอบการต้องมุ่งเน้นและให้
ความสาคญั กบั การจดั ทาแผนการดาเนินงานดา้ นการจดั การความรู้ให้เป็ นรูปธรรม และควรมีแผนพฒั นา
กระบวนการการจดั การความรู้ในการทางานมาประยกุ ตใ์ ชอ้ ยา่ งเป็นระบบและเป็ นรูปธรรมท่ีชดั เจน เพ่ือให้
ความรู้ต่าง ๆ ท่ีฝังอยู่ในตัวบุคคลสามารถนามาใช้ในการสร้างสรรค์ผลิตภณั ฑ์ให้สามารถตอบสนอง
ความตอ้ งการของผบู้ ริโภคได้ และสามารถสร้างความไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั ไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื

1.4 จากผลการศึกษาของความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั พบว่า ผูป้ ระกอบการตอ้ งมุ่งเนน้ ให้
ความสาคญั กบั การจดั การตน้ ทุนการผลิตที่ต่ากวา่ คู่แข่งขนั และควรมีการพฒั นาปรับปรุงกระบวนการผลิต
โดยการนาเทคโนโลยีท่ีทนั สมยั มาใช้ในการผลิตท่ีตอบสนองความตอ้ งการของลูกคา้ และสามารถสร้าง
ความไดเ้ ปรียบในการแขง่ ขนั ไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื

2. ขอ้ เสนอแนะในการวจิ ยั คร้ังต่อไป
2.1 การวิจัยคร้ังน้ีผู้วิจัยเลือกกลุ่มตัวอย่างประชากรที่เป็ นผู้ประกอบการธุรกิจผลิต

เครื่องปรับอากาศในเขตกรุงเทพมหานครเท่าน้นั ซ่ึงควรนาไปศึกษาหรือเปรียบเทียบกบั องค์กรอ่ืน ๆ นอก
เขตกรุงเทหมหานคร มีการบริหารจัดการท่ีเป็ นระบบเพื่อพิจารณาตัวแปรต่าง ๆ ที่อาจส่งผลต่อ
ความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ใหค้ ลอบคลุมในทุกมิติ

2.2 ควรนาตัวแบบสมการโครงสร้างปั จจัยของความได้เปรี ยบทางการแข่งขันของ
ผู้ประกอบการธุรกิจผลิตเคร่ืองปรับอากาศไปประยุกต์ใช้กับผู้ประกอบการธุรกิจอื่น ๆ เพื่อสร้าง
ความสามารถในการแข่งขนั ทางธุรกิจใหอ้ งคก์ รมีความมน่ั คง มง่ั คง่ั และยง่ั ยนื

458 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับที่ 2

C H A P T E R 20

รายการอ้างองิ

กรมโรงงานอุตสาหกรรม. (2561). ข้อมูลโรงงานแยกตามพืน้ ที่. วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 10 ธนั วาคม 2561, เขา้ ถึงได้
จาก http://www. diw.go.th/hawk/content.php?mode=data1search

กฤตวรรณ พริ้งสกุล. (2558). ปัจจยั เก้ือหนุนกลยุทธ์การสร้างความไดเ้ ปรียบในการแข่งขนั ธุรกิจการสร้าง
ข่ายสายเคเบิลใตด้ ินในประเทศไทย. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบรุ ี, 3(2), 97-107.

ฐิติพร วรฤทธ์ิ. (2550). ความสัมพันธ์ ระหว่างคุณภาพระบบสารสนเทศทางการบัญชีความได้ เปรียบ
ทางการแข่งขันและความสําเร็จในการดาํ เนินธุรกิจ SMEs ในประเทศไทย. วิทยานิพนธ์บญั ชี
มหาบณั ฑิต, สาขาการบญั ชี, มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม.

ทิพวรรณ หล่อสุวรรณรัตน์. (2552). องค์กรแห่ งการเรียนรู้: จากแนวคิดสู่การปฎิบัติ (พิมพ์คร้ังท่ี 5).
กรุงเทพฯ: รัตนไตร.

ธญั นนั ท์ บุญอย.ู่ (2558). อิทธิพลค่ันกลางแบบอนุกรมของทุนทางปัญญาและการเป็นผ้ปู ระกอบการในการ
ถ่ายทอดวัฒนธรรมองค์การสู่ผลการดาํ เนินงานสําหรับอุตสาหกรรมต่อตัวถังรถโดยสาร. ดุษฎี
นิพนธ์บริหารธุรกิจดุษฎีบณั ฑิต, สาขาบริหารธุรกิจ, มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.

ธัญนันท์ บุญอยู่. (2561). อิทธิพลของความสามารถทางนวตั กรรมในฐานะตวั แปรคน่ั กลางที่ถ่ายทอด
อิทธิพลของวัฒนธรรมองค์การ การมุ่งเน้นการตลาด การจัดการความรู้และการเป็ น
ผูป้ ระกอบการสู้ความไดเ้ ปรียบในการแข่งขนั อยา่ งยงั่ ยนื . วารสารดุษฎีบัณฑิตทางสังคมศาสตร์ ,
8(ฉบบั พิเศษ), 44-62.

นวพร สังวร และสุดาพร สาวม่วง. (2555). กลยทุ ธ์การสร้างความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั ในการส่งออก
ยางพาราไทยสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน. วารสารสมาคมนักวิจัย, 19(1), 111-122.

พรทิพย์ บุญทรง, ประชา ตนั เสนีย์ และนงลักษณ์ ลคั นทินากร. (2559). รูปแบบการจัดการความรู้เพื่อ
ความได้เปรียบในการแข่งขันของผู้ประกอบการ ตลาดนา้ํ ลาํ พญา จังหวัดนครปฐม. นครปฐม:
มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลรัตนโกสินทร์.

ศูนยว์ ิจยั กสิกรไทย. (2560). บทวิเคราะห์แนวโน้มธุรกิจ. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 10 ธันวาคม 2561, เขา้ ถึงได้จาก
https:// kasikornresearch.com/th/ analysis /k-econ/business/Pages/36376.aspx

สุนทรารักษ์ สุทธิจนั ทร์ และเมธา สุธีรโรจน์. (2555). ปัจจยั ท่ีมีผลกระทบต่อความได้เปรียบทางการ
แข่งขนั ของอุตสาหกรรมส่งออกอญั มณีและเคร่ืองประดบั ในประเทศไทย. วารสารมหาวิทยาลัย
นครพนม, 2(2), 39-45.

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 459

วชั รา ยะสีดา/ ธัญนนั ท์ บุญอยู่

อจั ฉรา เมฆสุวรรณ. (2560). ความไดเ้ ปรียบในการแขง่ ขนั ของผปู้ ระกอบการวสิ าหกิจขนาดกลางและขนาด
ย่อม ประเภทอุตสาหกรรมแปรรูปการเกษตรภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย. วารสาร
มหาวิทยาลยั ราชภัฏยะลา, 12(ฉบบั พิเศษ), 13-25.

Anwar, M., Khan, S. Z., & Khan, N. U. (2018). Intellectual capital, entrepreneurial strategy and new
ventures performance: mediating role of competitive advantage. Business & Economic Review,
10(1), 63-94.

Covin, J. G. & Lumpkin, G. T. (2011). Entrepreneurial orientation theory and research: reflection on a
needed construct. Entrepreneurship Theory and Practice, 35(5), 855-872.

Gordon, J. R., Mondy, R. W., Sharplin, A., & Premeaux, S. R. (1990). Management and Organizational
Behavior. Needham Heights, Massachusetts: Allyn and Bacon.

Hair, J. F., Sarstedt, M., Ringle, C., & Gudergan, S. P. (2018). SmartPLS 3. Retrieved March 8, 2019,
from https://www.smartpls.com/downloads

Kotler, P. ( 1997) . Marketing management: Analysis, planning implementation and control. ( 9th ed.) .
New Jersey: Asimmon & Schuster.

Likert, R. A. (1932). A technique for the measurement of attitudes. Archives of Psychology, 140, 5-53.
Malhotra, Y. (2003). Is knowledge the ultimate competitive advantage?. Business Management Asia, 3(4),

66-99.
Miller, D., & Friesen, P. H. (1982). Innovation in conservative and entrepreneurial firms: Two models of

strategic momentum. Strategic Management Journal, 3, 1-25.
Porter, M. E. (1990). The competitive advantage of nations. New York: The Free Press.
Preacher, K. J., & Hayes, A. F. (2008). Asymptotic and resampling strategies for assessing and comparing

indirect effects in multiple mediator models. Behavior Research Methods, 40, 879-891.
Rogers, E. M. (1995). Diffusion of innovations (4th ed.). New York: The Free Press.
Sajjad, S. I., Shafi, H., & Dad, A. M. (2012). Impact of culture on entrepreneur intention. Information

Management and Business Review, 4(1), 30-34.
Yamane, T. (1973). Statistics: An introductory analysis (3rd ed.). New York: Harper and Row.

460 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2

C H A P T E R 21

กลยุทธ์การตลาดในการกระจายสินค้า จากผ้ผู ลติ ถงึ ผ้บู ริโภคในอุตสาหกรรม
ชิน้ ส่วนรถยนต์ไทย

Distribution Marketing Strategy of Goods from Manufacturers
to the Consumer in the Auto Parts Industry in Thailand

จิราภรณ์ บุญยงิ่ (Jiraporn Boonying)1
สุจิตรา จนั ทนา (Sujitra Chantana)2
1วทิ ยาลยั นวตั กรรมและการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั สวนสุนนั ทา
College of Innovation and Management, Suan Sunandha Rajabhat University
2หลกั สูตรบริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง
Master of Business Administration, Ramkhamhaeng University
E-mail: [email protected]

Received: 17 December 2019
Revised: 15 March 2020
Accepted: 9 April 2020

บทคดั ย่อ

การวจิ ยั คร้ังน้ีมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อ (1) เพื่อศึกษากลยทุ ธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ จากผผู้ ลิตถึง
ผูบ้ ริโภคในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์ไทย (2) เพื่อศึกษาคุณลกั ษณะทวั่ ไปของศูนยจ์ าหน่ายชิ้นส่วน
รถยนตใ์ นประไทย (3) เพ่ือศึกษาความพร้อมของศูนยจ์ าหน่ายชิ้นส่วนรถยนตไ์ ทย ในการกระจายสินคา้ ใน
ด้านพนักงาน ด้านเงินลงทุน ทางการตลาด ด้านการจดั การทางการตลาด และด้านข้อมูลข่าวสารทาง
การตลาด (4) เพ่ือศึกษาความสาคญั โลจิสติกส์การตลาดในการกระจายสินค้าของศูนยจ์ าหน่ายชิ้นส่วน
รถยนตไ์ ทย ได้แก่ การประมวลคาสั่งซ้ือสินคา้ สินคา้ คงคลงั คลงั สินคา้ การเคล่ือนยา้ ยสินคา้ การขนส่ง
ขาออก และการบริการลูกคา้ (5) เพื่อศึกษาปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ ของอุตสาหกรรม
ชิ้นส่วนรถยนต์ไทย (6) เพื่อศึกษาความสัมพนั ธ์ของปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ ของศูนย์
จาหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ไทยกบั ความสาคญั โลจิสติกส์การตลาด การวิจยั น้ีเป็ นการวิจยั แบบผสมผสาน
รูปแบบการวิจยั น้ีเป็ นการวิจยั เชิงปริมาณมีการใช้แบบสอบถามเป็ นเคร่ืองมือในการวิจยั โดยทาการเก็บ

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 461

จริ าภรณ์ บญุ ยงิ่ / สุจติ รา จนั ทนา

ขอ้ มูลจากผเู้ ก่ียวขอ้ งกบั บริษทั ผผู้ ลิตชิ้นส่วนรถยนตใ์ นประเทศไทย จานวน 500 คน โดยกลุ่มตวั อยา่ งหาได้
จากตารางกาหนดขนาดตวั อยา่ งของทาโร่ยามาเน่ ไดก้ ลุ่มตวั อยา่ ง 202 ตวั อยา่ ง และสมั ภาษณ์อีก 20 คน

ผลการวิจยั พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถามให้ความสาคญั มากกบั คุณสมบตั ิของผลิตภณั ฑ์ตรงกับ
ความคาดหวงั ของลูกคา้ คุณลกั ษณะผปู้ ระกอบการส่วนใหญ่มีตาแหน่งงานต่ากวา่ ผูจ้ ดั การ ความพร้อมของ
ศูนยจ์ าหน่ายโดยภาพรวมมีความพร้อมมากในดา้ นขอ้ มูลข่าวสารการตลาด ระดบั ความสาคญั ของโลจิสติกส์
การตลาด โดยภาพรวมให้ความสาคญั มากกบั การประมาณคาส่ังซ้ือ ปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจาย
สินค้า โดยภาพรวมให้ความสาคัญมากกับลูกค้าได้รับสิ นค้าตรงเวลา ความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัย
ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ กบั ความสาคญั ของโลจิสติกส์การตลาด พบวา่ มีความสมั พนั ธ์กนั

คาสาคญั : กลยทุ ธ์การตลาดการกระจายสินคา้ , ผผู้ ลิตและผบู้ ริโภค, อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนต์

Abstract

This research aims to ( 1) To study the marketing strategies in the distribution of goods from
manufacturers to consumers in the Thai auto parts industry. ( 2) To study the general characteristics of
Thai auto parts dealers. ( 3) To study the availability of Thai auto parts dealers. In the distribution of
employees. Marketing investment in marketing management. And marketing information. (4) To study the
importance of logistics in the distribution of Thai auto parts dealers, such as order processing,
warehousing, warehousing, moving goods. Outbound transport and customer service ( 5) To study the
efficiency factors in distribution of Thai auto parts industry. (6) To study the relationship of efficiency
factors in the distribution of Thai automobile parts distribution centers with importance to logistics. This
research is research of mixed weave pattern of this research is quantitative research a questionnaire was
used in this study were collected from the involved manufacturers of automotive parts in 500 samples for.
From the sample size table of Taro Yamanote. There were 202 samples and 20 interviewees.

The results show that respondents place great emphasis on product features that meet customer
expectations. Most entrepreneurs feature lower managerial positions.The availability of the distribution
center is very comprehensive in terms of market information. Importance of logistics. Overall, great
importance is given to ordering estimates.Distribution efficiency factor Overall, it is very important to get
your product on time. Relationship between efficiency factors in product distribution and the importance
of logistics.Found to be related

462 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2

C H A P T E R 21

Keywords: Marketing strategy, Distribution manufacturers and consumers, Auto parts industry

บทนา

การกระจายสินคา้ เป็ นการวางแผนในการใชเ้ คร่ืองมืออุปกรณ์เพ่ืออานวยความสะดวกที่จะทาให้
สินคา้ หรือพสั ดุเคลื่อนยา้ ยจากแหล่งผลิตไปสู่แหล่งที่มีความตอ้ งการของผบู้ ริโภคหรือลูกคา้ และการหวงั ผล
กาไรเป็ นสิ่งตอบแทนในท่ีสุด องค์ประกอบของการกระจายสินคา้ ไดแ้ ก่ การขนส่งซ่ึงคิดเป็ นอตั ราส่วน
ร้อยละ 46 ของค่าใช้จ่ายท้งั หมด การคลงั สินคา้ การเก็บสินคา้ คงเหลือ การรับส่งสินคา้ การบรรจุหีบห่อ
การบริหาร และการดาเนินงานตามการสั่งซ้ือ การกระจายสินคา้ ไดเ้ ขา้ มามีบทบาทท่ีสาคญั ในการเสริมสร้าง
ความตอ้ งการของธุรกิจต่าง ๆ กิจการพยายามจดั การตวั สินคา้ เพ่ือให้ทนั กบั ความตอ้ งการของผบู้ ริโภคตาม
สถานที่ท่ีมีความตอ้ งการ และยงั ใชว้ ิธีการกระจายสินคา้ อยา่ งมีประสิทธิภาพเขา้ มาช่วยในการจดั จาหน่าย
สินค้าให้แก่ผูบ้ ริโภคอย่างมีประสิทธิภาพด้วยการกระจายสินค้าจะเร่ิมต้นท่ีตวั สินค้า ณ โรงงานและ
หาวิธีการกระจายสินค้า โดยใช้ปัจจยั เก่ียวกบั เคร่ืองมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อให้สินค้าได้ถูกส่งไปยงั
ผูบ้ ริโภคอย่างมีประสิทธิภาพทาให้กิจการไดผ้ ลกาไรเป็ นส่ิงตอบแทน ซ่ึงปัจจุบนั ธุรกิจไดพ้ ิจารณาถึง
ผูบ้ ริโภคโดยพยายามจะจดั ส่งสินคา้ ให้ผูบ้ ริโภคได้รับสินคา้ ท่ีถูกตอ้ ง ตรงเวลา และสถานที่โดยให้เสีย
ค่าใชจ้ ่ายน้อยท่ีสุด เพื่อให้เป็ นไปตามวตั ถุประสงค์ ธุรกิจจาเป็ นตน้ วางระบบการจดั การกระจายสินคา้ ท่ีทา
ให้ตน้ ทุนต่าสุด ปัจจยั ท่ีตอ้ งพิจารณา คือ ธุรกิจจะจดั การรับคาส่ังซ้ืออย่างไร ควรเก็บสินคา้ ไว้ ณ ที่ใด
ตอ้ งเก็บสินคา้ ไวจ้ านวนมากนอ้ ยเท่าใด และจะจดั ส่งสินคา้ อยา่ งไร การนาโลจิสติกส์การตลาดเขา้ มาช่วยใน
การบริหารจดั การไดร้ ับความสาคญั เป็ นอนั มากสอดคลอ้ งกบั การตลาดสมยั ใหม่ที่ถือวา่ ลูกคา้ หรือผบู้ ริโภค
เป็ นบุคลท่ีสาคญั ที่สุด ดงั น้นั กระบวนการจดั การของผูผ้ ลิตและกระบวนการตอบสนองของผบู้ ริโภคจึงได้
เปล่ียนรูปแบบไปในเชิงของการให้เกิดประโยชน์ แนวคิดเร่ืองการบริหารและการจดั การตามระบบ
โลจิสติกส์เป็ นสิ่งสาคญั ในการนามาใช้เพ่ือก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มในตวั ของผลิตภณั ฑ์อยา่ งเต็มที่ ซ่ึงมีการจดั
วางระบบเชื่อมโยงต้งั แต่การจดั การวตั ถุดิบ การผลิต การกระจายสินคา้ การบริโภคสินคา้ เพ่ือช่วยให้ระบบ
การจดั การมีความถูกตอ้ งสามารถเคล่ือนยา้ ยสินคา้ หรือบริการไปยงั สถานที่ท่ีถูกตอ้ งในเวลาอนั รวดเร็ว
(ชชั สรัญ รอดยมิ้ , 2550)

อุตสาหกรรมยานยนต์ยงั ยกระดบั ประเทศไทยจากการเป็ นผูผ้ ลิต ไปสู่การผลิตเพื่อทดแทน
การนาเขา้ และพฒั นาสู่การเป็ นประเทศส่งออกสาคญั ในภูมิภาคเอเชีย นับเป็ นความสาเร็จท่ีเกิดจากการ
บูรณาการระหวา่ งภาครัฐและภาคเอกชนอยา่ งแทจ้ ริง (วารสารส่งเสริมการลงทุน, 2559) ดว้ ยเหตุผลดงั กล่าว
ทาใหป้ ระเทศต่าง ๆ มีความพยายามในการเขา้ มามีส่วนร่วมในอุตสาหกรรมยานยนตร์ วมถึงชิ้นส่วน ต้งั แต่
การผลิต การประกอบหรือการผลิตชิ้นส่วนเพ่ือป้อนให้กบั อุตสาหกรรม โดยมุ่งหวงั ที่จะเป็ นศูนยก์ ลางการ

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 463

จริ าภรณ์ บุญยง่ิ / สุจติ รา จนั ทนา

ผลิตและส่งออกยานยนต์และชิ้นส่วนอนั จะช่วยยกฐานะเศรษฐกิจของประเทศ ในส่วนของประเทศไทย
โดยหน่วยงานภาครัฐไดม้ ีความพยายามในการส่งเสริมผลกั ดนั ให้ไทยเป็ นศูนยก์ ลางการผลิตและส่งออก
ของอุตสาหกรรมยานยนตใ์ นภูมิภาคเอเชียและของโลก ขณะที่ประเทศตา่ ง ๆ ทวั่ โลกโดยเฉพาะประเทศใน
แถบเอเชียก็ดาเนินนโยบายในลกั ษณะเดียวกนั โดยพยายามผลกั ดนั ใหม้ ีการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์
ในประเทศของตนส่งผลให้สภาวะการแข่งขนั ของอุตสาหกรรมยานยนต์เป็ นไปอย่างรุนแรง (สามารถ
ดีพจิ ารณ์, 2558)

ปัญหาการวิจยั ที่ผวู้ ิจยั ให้ความสนใจ คือ เม่ือนาระบบการกระจายสินคา้ ผา่ นโลจิสติกส์การตลาด
มาใช้ในองค์กร ตน้ ทุนของระบบการกระจายสินคา้ ผา่ นโลจิสติกส์การตลาดเป็ นผลให้การกระจายสินคา้
ลดลงหรือไม่อย่างไร ลกั ษณะการดาเนินการของระบบการกระจายสินคา้ ผ่านโลจิสติกส์การตลาดจะเป็ น
เช่นไร เพ่ือให้สามารถตอบสนองความตอ้ งการของผูบ้ ริโภคได้อย่างเหมาะสมระบบการกระจายสินคา้
ผ่านโลจิสติกส์การตลาด ปัญหาและอุปสรรคท่ีอาจจะเกิดข้ึนเม่ือนาระบบกระจายสินคา้ เมื่อนาระบบการ
กระจายสินคา้ ผา่ นโลจิสติกส์การตลาดมาใช้ เพ่ือท่ีบริษทั จะไดม้ ีการกาหนดแนวทางในการแกไ้ ขปัญหาที่
อาจจะเกิดข้ึนไวล้ ่วงหนา้ ซ่ึงประเด็นปัญหาดงั กล่าว ทาใหผ้ ูว้ จิ ยั เลือกศึกษาเลือกศึกษาใหก้ ลุ่มอุตสาหกรรม
ชิ้นส่วนรถยนต์โดยในการศึกษาถึงกลยุทธ์การตลาดในการกระจายสินค้าจากผูผ้ ลิตถึงผู้บริโภคใน
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนตไ์ ทย ซ่ึงไดน้ าโลจิสติกส์การตลาดเขา้ มาเป็ นส่วนหน่ึงของกลยุทธ์การตลาดใน
การกระจายสินคา้ ชิ้นส่วนรถยนตไ์ ทย

วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย

1. เพื่อศึกษากลยทุ ธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ จากผผู้ ลิตถึงผบู้ ริโภคในอุตสาหกรรมชิ้นส่วน
รถยนตไ์ ทย

2. เพือ่ ศึกษาคุณลกั ษณะทวั่ ไปของศูนยจ์ าหน่ายชิ้นส่วนรถยนตใ์ นประไทย
3. เพื่อศึกษาความพร้อมของศูนย์จาหน่ายชิ้นส่วนรถยนต์ไทย ในการกระจายสินคา้ ในด้าน
พนกั งาน ดา้ นเงินลงทุน ทางการตลาด ดา้ นการจดั การทางการตลาด และดา้ นขอ้ มูลข่าวสารทางการตลาด
4. เพื่อศึกษาความสาคัญโลจิสติกส์การตลาดในการกระจายสินค้าของศูนยจ์ าหน่ายชิ้นส่วน
รถยนตไ์ ทย ไดแ้ ก่ การประมวลคาส่ังซ้ือสินคา้ สินคา้ คงคลงั คลงั สินคา้ การเคล่ือนยา้ ยสินคา้ การขนส่ง
ขาออก และการบริการลูกคา้
5. เพ่อื ศึกษาปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ ของอุตสาหกรรมชิ้นส่วนรถยนตไ์ ทย
6. เพื่อศึกษาความสมั พนั ธ์ของปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ ของศูนยจ์ าหน่ายชิ้นส่วน
รถยนตไ์ ทยกบั ความสาคญั โลจิสติกส์การตลาด

464 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2

C H A P T E R 21

กรอบแนวคดิ การวจิ ยั

จากการศึกษาแนวคิดทฤษฎี และเอกสารงานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง การวจิ ยั เรื่องกลยทุ ธ์การตลาดในการ
กระจายสินคา้ ในบริษทั ผผู้ ลิตช้ืนส่วนรถยนต์ ในประเทศไทย สามารถกาหนดกรอบแนวคิดของการวจิ ยั ได้
ดงั น้ี

ตวั แปรต้น ตวั แปรตาม ตัวแปรร่วม

ความพร้อมของ ความสาคญั โลจสิ ตกิ ส์ ปัจจยั ประสิทธิภาพในการ

บริษทั ผ้ผู ลติ การตลาด กระจายสินค้า

1. ดา้ นพนกั งาน 1. การประมวลคาสง่ั 1. ลกู คา้ ไดร้ ับสินคา้ ท่ีถกู ตอ้ ง

2. ดา้ นเงินลงทุน ซ้ือ 2. ลกู คา้ ไดร้ ับสินคา้ ตรงเวลา

3. ดา้ นการจดั การHท1าง H1 2. สินคา้ คงคลงั H2 3. ลกู คา้ ไดร้ ับสินคา้ ตาม
การตลาด 3. คลงั สินคา้
สถานท่ีท่ีตอ้ งการ

4. ดา้ นขอ้ มลู ข่าวสาร 4. การเคลื่อนยา้ ยสินคา้ 4. ลูกคา้ เสียคา่ ใชจ้ ่ายนอ้ ย

ทางการตลาด 5. การขนส่งขาออก ที่สุด

6. การบริการลกู คา้

ภาพท่ี 1 กรอบแนวคิดการวจิ ยั

วธิ ดี าเนินการวจิ ัย

1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง
ประชากรท่ีใชใ้ นการวจิ ยั คร้ังน้ี ไดแ้ ก่ เจา้ ของกิจการ ผบู้ ริหารสูงสุด ผจู้ ดั การ และต่ากวา่ ผูจ้ ดั การ
ของบริษทั ที่เป็ นสมาชิก สมาชิกสมาคมผูป้ ระกอบการชิ้นส่วนยานนต์ จานวน 590 คน โดยเก็บรวบรวม
ขอ้ มูลจากผูบ้ ริหาร 4 ท่านต่อ 1 บริษทั ท่ีมีตาแหน่งท่ีเก่ียวข้องกับการกระจายสินค้า โลจิสติกส์ และ
การตลาดโดยตรง
กลุ่มตวั อยา่ งที่ใช้ในการวจิ ยั น้ี ใช้หลกั การกาหนดกลุ่มตวั อยา่ งของ Taro Yamane โดยใชต้ าราง
กาหนดขนาดกลุ่มตวั อยา่ งของทาโร่ยามาเน่ ไดก้ ลุ่มตวั อยา่ ง 222 ตวั อยา่ ง

2. เครื่องมือทใี่ ช้ในการวจิ ัย
เครื่ องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามเป็ นเคร่ื องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล
แบบสอบถามประกอบดว้ ย 6 ส่วน และมีจานวน 97 ขอ้ ส่วนท่ี 1 คุณลกั ษณะของผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ส่วนที่ 2 กลยุทธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ ส่วนท่ี 3 ระดบั ความพร้อมของผูผ้ ลิตส่วนท่ี 4 ระดับ

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 465

จริ าภรณ์ บญุ ยง่ิ / สุจติ รา จนั ทนา

ความสาคญั ของโลจิสติกส์การตลาด ส่วนท่ี 5 ปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ ส่วนท่ี 6 ปัญหาและ
ขอ้ เสนอแนะ

3. การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูลผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการตามข้นั ตอน ดงั น้ี
1. ผูว้ ิจัยทาหนังสือถึงนายกสมาคมชิ้นส่วนยานยนต์ เพ่ือขอความอนุเคราะห์จากสมาคม
ผูป้ ระกอบการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์แจกและเก็บแบบสอบถาม จากสมาชิกสมาคมเพื่อขอข้อมูลท่ีเป็ น
ประโยชน์ในการศึกษาทางวชิ าการ โดยไมท่ าใหก้ ลุ่มตวั อยา่ งเสียหายแตป่ ระการใด
2. ผวู้ จิ ยั และผชู้ ่วยแจกแบบสอบถาม จานวน 222 ฉบบั
3. ผูว้ ิจยั กบั ผชู้ ่วยวจิ ยั รวบรวมขอ้ มูลที่ไดใ้ นแต่ละวนั ตรวจสอบความสมบูรณ์ของแบบสอบถาม
ถา้ เอกสารไม่สมบูรณ์ก็จะเก็บขอ้ มูลใหม่อีกคร้ังหน่ึงก่อนจะนาลงในโปรแกรมคอมพิวเตอร์ เพ่ือทาการ
วเิ คราะห์ขอ้ มูลต่อไป
4.การวเิ คราะห์ข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูลสาหรับการวิจัยคร้ังน้ี หลังจากได้เก็บรวบรวมข้อมูลและตรวจสอบ
ความถูกต้องของแบบสอบถามที่ได้รับแล้ว นามาทาการลงรหัสข้อมูล (Coding) แล้วจึงนาข้อมูลไป
ประมวลผลด้วยโปรแกรมสาเร็จรูปทางสถิติ ซ่ึงสถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลผูว้ ิจยั เลือกใชส้ ถิติในการ
วเิ คราะห์ขอ้ มูลเพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของขอ้ มูล และตอบวตั ถุประสงค์ ดงั น้ี
1. กลยุทธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ จากผูผ้ ลิตถึงผูบ้ ริโภคในบริษทั ผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ไทย จะวิเคราะห์ความถดถอยพหุแบบข้ันตอน (multriple regression analysis)เพื่อพยากรณ์กลยุทธ์ทาง
การตลาดในการกระจายสินคา้
2. การวิเคราะห์ขอ้ มูลทว่ั ไปเกี่ยวกบั บริษทั ผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนตไ์ ทย ลกั ษณะแบบสอบถามเป็ น
แบบตรวจสอบรายการ (check list) โดยวธิ ีการหาค่าความถ่ี (Frequency) แลว้ สรุปเป็นค่าร้อยละ
3. การวเิ คราะห์ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ความพร้อมของบริษทั ผผู้ ลิตชิ้นส่วนรถยนตไ์ ทย และความคิดเห็น
ของผูบ้ ริหารที่มีความพร้อมของบริษทั ลกั ษณะแบบสอบถามเป็ นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ใช้วิธีหา
ค่าเฉลี่ย และส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน
4. การวิเคราะห์ขอ้ มูลเกี่ยวกบั ความสาคญั โลจิสติกส์การตลาดของบริษทั ผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ไทย ความคิดเห็นของบริษทั ท่ีมีต่อความสาคญั โลจิสติกส์การตลาด ลกั ษณะแบบสอบถามเป็ นแบบมาตรา
ส่วนประมาณค่า ใชห้ าค่าเฉลี่ย และคา่ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
5. การวิเคราะห์ขอ้ มูลเก่ียวกบั ปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ และความคิดเห็นของ
บริษทั ท่ีมีผลต่อประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ ลกั ษณะแบบสอบถามเป็ นแบบมาตราส่วนประมาณค่า
ใชว้ ธิ ีหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน

466 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2

C H A P T E R 21

6. การวิเคราะห์ขอ้ มูลปัญหาและขอ้ เสนอแนะ ลกั ษณะแบบสอบถามเป็ นแบบปลายปิ ด ใช้วิธี
วเิ คราะห์เน้ือหา เป็นค่าความถ่ีแลว้ หาค่าเป็นร้อยละ

7. วเิ คราะห์บริษทั ผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนตไ์ ทย ท่ีมีความพร้อมแตกต่างกนั มีความสาคญั โลจิสติกส์
การตลาดความแตกต่างกนั จากแบบสอบถามท่ีเป็ นมาตราส่วนประมาณค่า ได้แก่ การประมวลคาสั่งซ้ือ
สินคา้ คงคลงั การเคลื่อนยา้ ยสินคา้ กาขนส่งขาออก และการบริการลูกคา้ ใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวน
ทางเดียว เพื่อวเิ คราะห์ความแตกตา่ งของตวั แปรรายกลุ่มโดยใชส้ ถิติทดสอบ โดยใชค้ ่า F

8. วิเคราะห์หาความสัมพนั ธ์ปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินคา้ ของบริษทั ผูผ้ ลิตชิ้นส่วน
รถยนตไ์ ทย กบั ความสาคญั โลจิสติกส์การตลาด จากแบบสอบถามที่เป็ นแบบมาตราส่วนประมาณค่า ไดแ้ ก่
การประมวลคาสัง่ ซ้ือ สินคา้ คงคลงั คลงั สินคา้ การเคลื่อนยา้ ยสินคา้ การขนส่งขาออก และการบริการลูกคา้
ใชค้ ่าสถิติทดสอบสัมประสิทธิสหสัมพนั ธ์ R เพ่ือวิเคราะห์หาความสัมพนั ธ์ของตวั แปรและค่าอีตา้ เพ่ือใช้
ในการวเิ คราะห์หาความสัมพนั ธ์ของตวั แปร ซ่ึงตวั เลขแสดงขนาดของความสัมพนั ธ์เป็นจุดทศนิยมคา่ สูงสุด
หมายถึงมีความสมั พนั ธ์สมบรูณ์ ค่าต่าสุดคือ 0 หมายถึง ไม่มีความสัมพนั ธ์เพ่ือใหไ้ ดแ้ บบสอบถามท่ีใชเ้ ป็ น
มาตรวดั ที่มีคุณภาพ ผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการสังเคราะห์แบบสอบถาม 2 ข้นั ตอน คือ 1) การตรวจสอบผเู้ ชี่ยวชาญ
เฉพาะด้าน เพ่ือเป็ นการทดสอบความเท่ียงตรงของเน้ือหา โดยผู้เช่ียวชาญที่ดาเนินการสังเคราะห์
ประกอบด้วย 1.1) ผู้เช่ียวชาญด้านผูน้ าองค์กร จานวน 1 ท่าน ได้แก่ ดร.สุ นันทา เสถียรมาศ อดีต
ผูอ้ านวยการกลุ่มธุรกิจสิ่งทอ 9 แห่ง ผูจ้ ดั การบริการทางการเงินธุรกิจ ฝ่ ายสินเชื่อธุรกิจขนาดกลางและ
ขนาดย่อม ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด จากัด (มหาชน) การศึกษา ป.เอก สาขานวตั กรรมการจดั การ
ปัจจุบนั นกั วิชาการ SMEs 6 ฝ่ ายติดตามและประเมินผลโครงการ สานกั งานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลาง
และขนาดยอ่ ม มีหนา้ ท่ี ให้คาปรึกษา แนะนาแก่ SMEs เพื่อการเร่ิมตน้ ธุรกิจ และแกป้ ัญหาการดาเนินธุรกิจ
1.2) ผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นทุนมนุษย์ จานวน 1 ท่าน ไดแ้ ก่ รศ. สุจิตรา จนั ทนา เป็ นผูเ้ ช่ียวชาญ และผูท้ รงคุณวุฒิ
ในการตรวจงานวิชาการ สาขาบริหารงานบุคคล และเป็ นอาจารย์ประจา หลักสูตร MBA มหาวิทยาลยั
รามคาแหง

สรุปผลการวจิ ัย

การศึกษาวจิ ยั เร่ือง “กลยุทธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ จากผผู้ ลิตถึงผบู้ ริโภคในอุตสาหกรรม
ชิ้นส่วนรถยนต์ ในประเทศไทย” ในคร้ังน้ี ผูว้ จิ ยั นาขอ้ มูลที่ไดม้ าวเิ คราะห์หาค่าทางสถิติ โดยวิเคราะห์และ
นาเสนอเป็น 5 ตอน ดงั น้ี

ตอนที่ 1 คุณลกั ษณะของผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศไทย คุณลกั ษณะของผูผ้ ลิตชิ้นส่วน
รถยนต์ในประเทศไทยพบวา่ ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีตาแหน่งต่ากว่าผูจ้ ดั การ ร้อยละ 33.2 และ

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 467

จริ าภรณ์ บุญยง่ิ / สุจติ รา จนั ทนา

นอ้ ยที่สุด ไดแ้ ก่ ผูบ้ ริหารระดบั สูง ร้อยละ 4.0 สถานประกอบการส่วนใหญ่อยูใ่ นภาคกลาง คิดเป็ นร้อยละ
87.6 รองลงมาอยู่ในภาคตะวนั ออก คิดเป็ นร้อยละ 12.4 ขนาดของสถานประกอบการส่วนใหญ่มีทุนจด
ทะเบียนมากกวา่ 5 - 50 ลา้ นบาท คิดเป็ นร้อยละ 36.6 รองลงมามีทุนจดทะเบียนมากกวา่ 50 - 200 ลา้ นบาท
คิดเป็นร้อยละ 26.2 และนอ้ ยที่สุดมีทุนจดทะเบียนนอ้ ยกวา่ 5 ลา้ นบาท คิดเป็นร้อยละ 12.9

ตอนที่ 2 กลยุทธ์ทางการตลาดในการกระจายสินคา้ โดยภาพรวมระดบั ความสาคญั กลยุทธ์ดา้ น
กระบวนการโดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก ( ̅ = 4.34) ระดับความสาคญั กลยุทธ์ด้านการสื่อสารทาง
การตลาดโดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก ( ̅ = 4.23) ระดบั ความสาคญั กลยุทธ์ดา้ นราคา โดยภาพรวมอยูใ่ น
ระดับมาก ( ̅ = 4.02)โดยให้ความสาคัญมากกับการแข่งขนั ด้านการสร้างความพึงพอใจให้กบั ลูกค้า
( ̅ = 4.37) และใหค้ วามสาคญั นอ้ ยกบั การแขง่ ขนั ดา้ นการส่งมอบสินคา้ ใหต้ รงเวลาและรวดเร็ว( ̅ = 4.32)

ตอนท่ี 3 ระดบั ความพร้อมของบริษทั ผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนตใ์ นประเทศไทย โดยภาพรวมอยู่ใน
ระดบั มาก ( ̅ = 4.29) โดยให้ความสาคญั มากกบั ขอ้ มูลมีความทนั สมยั เป็ นปัจจุบนั ตลอดเวลา ( ̅ = 4.48)
และความรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองการกระจายสินคา้ ของพนกั งาน( ̅ =4.51)

ตอนที่ 4 ระดับความสาคัญของโลจิสติกส์การตลาด พบว่า โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
( ̅ = 4.36) โดยให้ความสาคญั มากกบั การจดั เตรียมสินคา้ ได้ตรงตามความตอ้ งการของลูกคา้ ( ̅ = 4.61)
รองลงมาเป็ นเครื่องมือและอุปกรณ์ในการเคลื่อนยา้ ยสินค้า ( ̅ = 4.61) และให้ความสาคญั น้อยกับ
ความเสียหายในการจดั คลงั สินคา้ ( ̅ = 3.95)

ตอน ที่ 5 ปั จจัยป ระสิ ท ธิ ภาพ ใน ก ารก ระจายสิ น ค้า โดยภ าพ รวม อยู่ใน ระดับ มาก
( ̅ = 4.48) โดยให้ความสาคญั มากกบั การท่ีมีค่าใชจ้ ่ายในการกระจายสินคา้ นอ้ ยกวา่ บริษทั คู่แข่ง เน่ืองจาก
การกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพ ( ̅ = 4.63) รองลงมาเป็ นลูกค้าได้รับสินค้าที่มีวามถูกต้องตาม
ความต้องการของลูกค้าและตามเวลาที่ลูกค้ากาหนด( ̅ = 4.62) และให้ความสาคญั น้อยกับบริษัทมี
คา่ ใชจ้ ่ายโดนรวมลดลง เนื่องจากการกระจายสินคา้ ท่ีมีประสิทธิภาพ( ̅ = 4.37)

ตอนท่ี 6 ความสัมพนั ธ์ระหว่างปัจจยั ประสิทธิภาพในการกระจายสินค้ากับความสาคญั ของ
โลจิสติกส์การตลาด พบวา่ มีความสัมพนั ธ์กนั

คุณลกั ษณะของการผลติ
รายการสินคา้ ที่ผลิตในบริษทั ส่วนใหญ่ประกอบเคร่ืองยนต์ ผลิตชิ้นส่วนส่วนใหญ่ให้กบั ประเทศ
สหรัฐอเมริกา คิดเป็ นร้อยละ 29.7 การผลิตชิ้นส่วนของบริษทั ส่วนใหญ่ผลิตเป็ นรายยอ่ ยและรับจา้ งผลิต
การจาหน่ายสินคา้ ของผูผ้ ลิตส่วนใหญ่จาหน่ายภายในประเทศ การรับรองมาตรฐานส่วนใหญ่ไดร้ ับการ
รับรองมาตรฐาน ระดบั ราคาเม่ือเทียบกบั คู่แข่งส่วนใหญ่ราคาใกลเ้ คียงกนั คิดเป็ นร้อยละ 51.5 ส่วนใหญ่
ส่งมอบสินคา้ ตามกาหนดเวลา คิดเป็นร้อยละ 51.16

468 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2

C H A P T E R 21

สรุป การวิจยั เรื่องกลยุทธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ จากผูผ้ ลิตถึงผูบ้ ริโภค ได้ทราบขอ้ มูล
ตามวตั ถุประสงค์ และได้ผลการวิจยั ที่สามารถตอบคาถามการวิจยั ได้ครบถว้ น ซ่ึงผลการวิจยั น้ีสามารถ
นาไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ผูผ้ ลิต ผูป้ ระกอบการและตอบสนองความต้องการลูกค้า เมื่อโลจิสติกส์มี
ความพร้อมทุกด้าน ระบบขนส่งสินคา้ มีประสิทธิภาพลูกคา้ มีความพึงพอใจ องค์กรการผลิตตอบสนอง
ลูกคา้ ไดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื และเป็นองคก์ รการผลิตที่โลกตอ้ งการตลอดไป นอกจากน้นั ยงั ทราบกลยุทธ์การตลาดที่
เหมาะสมกบั อุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนรถยนตใ์ นอนั ที่จะทาใหก้ ิจการสาเร็จในอนาคต

การอภิปรายผล

ผวู้ จิ ยั ขออภิปรายผลและประเดน็ ท่ีคน้ พบ ดงั น้ี
1. คุณลกั ษณะของผูผ้ ลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศไทย พบวา่ ผตู้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่มี
ตาแหน่งต่ากวา่ ผูจ้ ดั การ ส่วนผบู้ ริหารระดบั สูงมีจานวนนอ้ ยสุด ดงั น้นั กิจการควรจดั ใหม้ ีการอบรมใหก้ บั ผู้
ท่ีมีตาแหน่งต่ากวา่ ผูจ้ ดั การ เกี่ยวกบั การบริหารจดั การ เรียนรู้กลยุทธ์การตลาดการกระจายสินคา้ เพื่อใหจ้ ะ
ไดน้ าความรู้มาพฒั นากิจการใหป้ ระสบความสาเร็จ
2. ท่ีต้งั ของสถานประกอบการ พบวา่ ส่วนใหญ่อยูใ่ นภาคกลาง ดงั น้นั องคก์ รท่ีเก่ียวขอ้ ง ควรขยบั
ขยายสถานท่ีผลิตชิ้นส่วนรถยนตไ์ ปยงั ทุกภาคของประเทศ เพ่อื จะไดม้ ีความหลากหลายและเพ่มิ การกระจาย
รายไดใ้ หก้ บั พนกั งาน
3. ขนาดการลงทุนของสถานประกอบการ พบวา่ ส่วนใหญ่มีขนาดเงินลงทุนมากกวา่ 5 ลา้ นบาท
ซ่ึงจดั ไดว้ ่าต่า ดงั น้นั องค์กรท่ีเกี่ยวข้อง ควรเขา้ ถึงสถานประกอบการเหล่าน้นั เพื่อหาทางช่วยเหลือด้าน
การเงินการลงทุน สนับสนุนได้จา้ งงาน เพ่ิมขนาดเศรษฐกิจให้ขยายใหญ่ข้ึนและสามารถส่งออกไป
ต่างประเทศได้
4. กลยทุ ธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ พบวา่ ส่วนใหญ่ใหค้ วามสาคญั กบั ดา้ นกระบวนการใช้
กลยุทธ์การตลาดการกระจายสินคา้ จากผูผ้ ลิตและผูบ้ ริโภคให้พบกบั ความสาเร็จในการผลิตและจาหน่าย
ชิ้นส่วนรถยนต์ ซ่ึงเป็นหวั ใจของการผลิตใหถ้ ึงผบู้ ริโภคง่ายข้ึน
เน่ืองจากผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่ไม่ให้ความสาคญั โดยไม่เขา้ ใจกลยทุ ธ์การกระจายสินคา้
ซ่ึงเป็ นหวั ใจหลกั ของกิจการ ผบู้ ริหารควรจะเสนอกลยุทธ์การตลาดเพื่อให้บุคลากรในองคก์ รทราบเพ่ือจะ
ใหก้ ลยทุ ธ์น้นั พบความสาเร็จ
5. การใชก้ ลยทุ ธ์การตลาดในการกระจายสินคา้ ผตู้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใหค้ วามสาคญั ดา้ น
กระบวนการและด้านส่ือสารการตลาด ดงั น้ันควรสนับสนุนให้พนักงานให้ความสาคญั กบั ส่ือโฆษณา

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 469

จริ าภรณ์ บญุ ยง่ิ / สุจติ รา จนั ทนา

ส่ิงพิมพ์ เทคโนโลยกี ารสื่อสาร การโฆษณาผา่ นสื่อทางตรงและทางออ้ ม รวมถึงส่ือออนไลน์ เพื่อให้สินคา้
จะถึงผบู้ ริโภคเร็วข้ึน

6. ความพร้อมของบริษทั ผูผ้ ลิต ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสาคญั ดา้ นขอ้ มูลข่าวสาร
การตลาดและความรู้เกี่ยวกบั ขอ้ มูลและข่าวสารการตลาดและการกระจายสินคา้ ถึงผบู้ ริโภค ดงั น้นั องคก์ ร
ควรให้ความรู้และเผยแพร่รูปแบบการกระจายสินคา้ จนถึงผูบ้ ริโภค เพื่อที่จะให้ลูกคา้ ไดร้ ับของไดร้ วดเร็ว
และสะดวก

7. ระดบั ความสาคญั ของโลจิสติกการตลาด ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่ให้ความสาคญั มาก
กบั โลจิสติก การตลาด ดงั น้นั องคก์ รควรใหค้ วามรู้ความเขา้ ใจและการปฏิบตั ิงานเก่ียวกบั โลจิสติกการตลาด
และให้ความสาคญั เก่ียวกบั การเคล่ือนยา้ ยสินคา้ และสินคา้ คงคลงั ดงั น้นั องคก์ รควรให้ความสาคญั มากโดย
จดั อบรมและใหค้ วามรู้เกี่ยวกบั สินคา้ คงคลงั การเคลื่อนยา้ ยสินคา้ จากผผู้ ลิตไปยงั ผบู้ ริโภคใหม้ ากข้ึน

8. ประสิทธิภาพการกระจายสินคา้ ของบริษทั ผผู้ ลิต ผตู้ อบแบบสอบถามส่วนใหญใ่ หค้ วามสาคญั
กบั การรับสินคา้ ตรงเวลา รับสินคา้ ถูกตอ้ งตามสถานที่ที่ลูกคา้ ตอ้ งการ ซ่ึงหมายถึงประสิทธิภาพการกระจาย
สินคา้ ดีมาก

ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะจากการศึกษา
ควรอบรมพนกั งานเก่ียวกบั การบริหารจดั การ ควรกระจายสถานที่ต้งั สถานประกอบกิจการทว่ั ทุก
ภาคเพื่ อกระจายฐานการผลิ ต กระจายรายได้ รัฐบ าลควรเพ่ิ มทุ นให้กับส ถานป ระกอบการ
สถานประกอบการควรใหค้ วามสาคญั เกี่ยวกบั กลยทุ ธ์การกระจายสินคา้ โดยใหพ้ นกั งานรับทราบและปฏิบตั ิ
ได้ รวมท้งั ใหค้ วามสาคญั ในการใชก้ ลยทุ ธ์การกระจายสินคา้ ในโรงงานใหท้ ุกคนไดท้ ราบและปฏิบตั ิตามกล
ยทุ ธ์
ข้อเสนอแนะสาหรับการวจิ ัยคร้ังต่อไป
ควรกระจายการผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ไปทว่ั ทุกจงั หวดั เนื่องจากโรงงานส่งขายให้กบั ผูใ้ ช้ใน
ประเทศไทยเท่าน้ันและควรใช้วิธีการจดั การลูกค้าสัมพนั ธ์ให้กบั ผูใ้ ช้อะไหล่เกิดความน่าเชื่อถือและ
ไวว้ างใจ
สิ่งท่ีค้นพบใหม่จากงานวิจยั ขอนาเสนอ 2 ส่วน คือ 1) ประโยชน์ในเชิงวิชาการ และในเชิง
ปฏิบตั ิการ จากงานวิจยั น้ี พบว่า ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่มีตาแหน่งเป็ นพนักงาน ซ่ึงไม่สามารถ
นาเสนอแนวคิดเชิงวิชาการใหม่ เนื่องจากไม่อยู่ในการบริหาร ดงั น้นั ความรู้ใหม่ การแกป้ ัญหาใหม่ การ
ปฏิบตั ิการใหม่ วิชาการใหม่ จึงไม่สามารถนาเสนอไปปฏิบตั ิการท่ีทนั สมยั และอาจไม่พบความสาเร็จได้
ส่วนความตอ้ งการกาหนดกลยุทธ์การตลาดที่จะพบความสาเร็จไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื พนกั งานส่วนใหญ่ตอ้ งการให้

470 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2

C H A P T E R 21

บริษทั ผูผ้ ลิตใชก้ ลยุทธ์การสื่อสารการตลาดและสร้างกลยุทธ์อยา่ งยงั่ ยนื เพราะกลยทุ ธ์การส่ือสารการตลาด
เป็ นกลยุทธ์ท่ีทนั สมยั และเป็ นต้นแบบการปฏิบตั ิการและเป็ นประโยชน์ทางวิชาการ จากกระบวนการ
กระจายสินคา้ ผูต้ อบแบบสอบถามให้ความสาคญั ดา้ นกระบวนการแทนที่จะให้ความสาคญั ดา้ นการผลิต
ซ่ึงเป็นหวั ใจของการให้เกิดรายได้ แต่ผตู้ อบแบบสอบถามสนใจกระบวนการ ไดแ้ ก่ กระบวนการผลิตซ่ึงได้
ทาไว้ ดงั น้นั จึงเป็ นจุดอ่อนในการบริหาร ควรจะใหพ้ นกั งานเพ่ิมเติมความรู้ใหม่ที่เป็ นหวั ใจทางธุรกิจ จะได้
มีเทคโนโลยที ่ีทนั สมยั และเป็นสินคา้ ท่ีลูกคา้ ตอ้ งการ

รายการอ้างองิ

ชชั สรัญ รอดยมิ้ . (2550). กลยทุ ธ์การตลาดในการกระจายสินค้าจากผ้ผู ลิตถึงผ้บู ริโภคใน
อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย. ดุษฎีนิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต, สาขาการตลาด, บณั ฑิต
วทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลยั อีสเทิร์นเอเชีย.

สามารถ ดีพิจารณ์. (2558). กลยทุ ธ์ส่วนประสมทางการตลาดเพื่อการส่งออกของอุตสาหกรรมชิ้นส่วน
รถยนต์ไทย. ดุษฎีนิพนธ์บริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต, สาขาการตลาด, บณั ฑิตวทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลยั
อีสเทิร์นเอเชีย.

Yamane, T. (1973). Statistics: An Introductory Analysis (3rd ed.). New York. Harper and Row
Publications.

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 471

C H A P T E R 22

ลาวไร้สัญชาตกิ บั ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนในสังคมไทย
กรณศี ึกษา บ้านบะไห่ อาเภอโขงเจยี ม จงั หวดั อบุ ลราชธานี*
Stateless Persons from Lao PDR and Human Rights Related Issues in Thailand:
Case study of Baan Ba Hai, Khong Khiam District, Ubon Ratchathani Province

จินตนา เมืองแมน (Jintana Muangman)
อาจารยป์ ระจาสาขาวชิ ารัฐศาสตร์ วทิ ยาลยั การเมืองการปกครอง มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม
Lecturer of Political Science, College of Politics and Governance Mahasarakham University

E-mail: [email protected]

Received: 31 July 2019
Revised: 8 0ctober 2019
Accepted: 12 November 2019

บทคดั ย่อ

สัญชาติ นบั เป็ นหลกั พ้ืนฐานในการเขา้ ถึงสิทธิต่าง ๆ ในรัฐ และเป็ นหลกั การที่ไดถ้ ูกยอมรับไว้
ในปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชน (the Universal Declaration of Human Right) วา่ มนุษยแ์ ต่ละคนควรมี
หน่ึงสัญชาติ อยา่ งไรก็ดีเม่ือพิจารณาจากบริบทของสังคมไทย พบวา่ มีจานวนคนไร้สัญชาติในประเทศไทย
อยจู่ านวนมาก ซ่ึงหน่ึงในจานวนน้นั คือกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติตามแนวชายแดนไทย - ลาว วตั ถุประสงคข์ อง
บทความน้ีคือ (1) เพ่ือศึกษาประวตั ิศาสตร์ความเป็ นมาของกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติตามแนวชายแดนไทย -
ลาว โดยใชก้ รณีศึกษาบา้ นบะไห่ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี (2) เพื่อศึกษาปัญหาดา้ นสิทธิมนุษยชนที่กลุ่ม
คนลาวไร้สัญชาติได้รับผลกระทบเนื่องจากไร้สัญชาติ ศึกษาโดยใช้กระบวนการวิจัยเชิงคุณภาพ
(Qualitative Research) โดยศึกษาจากเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง เช่น พระราชบญั ญตั ิสัญชาติของไทย และปฏิญญา
สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน รวมถึงการการลงพ้ืนท่ีสัมภาษณ์กลุ่มคนลาวไร้สัญชาติ บา้ นบะไห่ อาเภอ
โขงเจียม จงั หวดั อุบลราชธานี

ผลการวิจยั พบว่า สาเหตุของสถานะลาวไร้สัญชาติในรัฐไทย เกิดข้ึนจากสองเงื่อนไข ได้แก่
(1) เงื่อนไขทางประวตั ิศาสตร์การเมืองการเปล่ียนแปลงทางการเมืองภายในของประเทศลาวในช่วงปี 2517

*ไดร้ ับทุนสนบั สนุนจากวทิ ยาลยั การเมืองการปกครอง มหาวทิ ยาลยั มหาสารคาม

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 473

จนิ ตนา เมืองแมน

ส่งผลให้มีผอู้ พยพชาวลาวเขา้ มาในประเทศไทยจานวนมาก และบางส่วนไม่ไดก้ ลบั ประเทศตน้ ทางหรือไป
ต้งั ถ่ินฐานใหม่ในประเทศที่ 3 และยงั คงมีสถานะไร้สัญชาติในประเทศไทย (2) จากเงื่อนไขจากการกาหนด
พระราชบญั ญตั ิสัญชาติของไทย เร่ืองการกาหนดเงื่อนไข/ และขอ้ ยกเวน้ การไดส้ ัญชาติไทย ส่งผลกระทบ
ต่อกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติในประเทศไทย มีสิทธิในการขอสญั ชาติไทยตา่ งกนั ออกไป บางกลุ่มมีสิทธิในการ
ขอสัญชาติไทย ตามมาตรา 23 ของพระราชบญั ญตั ิสัญชาติ พ.ศ. 2508 ฉบบั ที่ 4 พ.ศ. 2551 บางกลุ่มยงั คง
ไม่มีแนวทางจากรัฐในการแกป้ ัญหาเรื่องสัญชาติ ทาให้ยงั คงสถานะคนไร้สัญชาติในประเทศไทย และ
ผลจากการภาวะไร้สัญชาตินาไปสู่การถูกปฏิเสธสิทธิต่าง ๆ จากรัฐ และในบางกรณีส่งผลตอ่ การละเมิดสิทธิ
มนุษยชน เช่น สิทธิในการเดินทาง สิทธิในการก่อต้งั ครอบครัว เป็นตน้

คาสาคญั : ลาวไร้สัญชาติ, พระราชบญั ญตั ิสญั ชาติ, สิทธิมนุษยชน

Abstract

Nationality is a fundamental principle for accessing to other rights in the state. It is accepted
under the Universal Declaration of Human Rights that each person shall haveอa nationality. However,
considering from a context of Thailand, a number of people in the country are still stateless including the
stateless persons from Lao PDR living along Thai-Lao border. Objectives of this article are (1) to study the
background of the stateless persons from Lao PDR living along Thai-Lao border and (2) to study their
problems in human rights due to the statelessness by using a qualitative research. This research has been
conducted by the documentary review which includes Nationality Act of Thailand and the Universal
Declaration of Human Rights and the interview with the stateless persons from Lao PDR at Baan Ba Hai,
Khong Khiam District, Ubon Ratchathani Province, Thailand.

The research reveals that causes of statelessness of the persons from Lao PDR living in Thailand
come from two factors. Firstly, as a political context in Lao PDR in B.E.2517, the political situation of Lao
PDR results in a number of Lao immigrants leaving the country to Thailand. Some of them have not since
then returned to the country of origin nor resettled in a third country. They are consequently being in stateless
status in Thailand. Secondly, the conditions set by the Nationality Act of Thailand under the subject of
Conditions/and Exceptions eligible for having a Thai nationality have an effect on the stateless persons from
Lao PDR to have a right to apply for a Thai nationality differently. Some of them fall under the conditions
set by Article 23 of Nationality Act B.E.2508 (No.4), B.E.2551 to apply for a Thai nationality, while for
others the state policy of Thailand has not yet provided the solutions to the problem. This situation has left

474 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2

C H A P T E R 22

these people being stateless in Thailand and therefore being refused the access to other rights. Thus, human
rights of this group of people in some cases are violated such as their freedom of movement and the right to
found the family.

Keywords: Stateless persons from Lao PDR, Nationality act, Human rights

บทนา

“ไม่มใี ครท่ีต้องการท่ีจะเกิดมาเป็ นคนไร้ รัฐ- ไร้ สัญชาติ แต่เราทุกคนสามารถเลือกที่จะมีชีวิตอยู่
อย่างเคารพสิทธิและศักด์ิของผู้อ่ืน” (Mueda Navanaat, Bangkok Post, 3 July 2011, p. 7 ) คาให้สัมภาษณ์
ของอดีตคนไร้สัญชาติรายน้ีไดน้ าเสนอภาพชีวติ และความคิดของคนไร้สัญชาติในประเทศไทยไดเ้ ป็ นอยา่ ง
ดี วา่ ยงั มีคนจานวนมากท่ียงั ประสบปัญหาเก่ียวกบั สถานะบุคคลและเขา้ ไม่ถึงสิทธิต่าง ๆ ของรัฐ จากขอ้ มูล
พ้ืนฐานครัวเรือนที่สารวจโดยสานกั งานสถิติแห่งชาติ ปี พ.ศ. 2561 แสดงให้เห็นวา่ ประเทศไทยมีประชากร
ที่ไม่มีสัญชาติไทยอยูท่ วั่ ประเทศมากถึง 1,846,888 คน (สานกั งานสถิติแห่งชาติ, 2560) เป็ นท่ีทราบกนั วา่
สญั ชาติ (Nationality) นบั เป็นสิทธิข้นั พ้ืนฐานท่ีมนุษยพ์ งึ มี เพ่ือแสดงใหเ้ ห็นถึงการรับรองสิทธิต่าง ๆ จากรัฐ
สิทธิท่ีจะไดร้ ับการคุม้ ครอง และเคารพในศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์

ในกลุ่มคนไร้สญั ชาติจานวนมากในประเทศไทยกลุ่มหน่ึงที่ไดร้ ับการพูดถึงนอ้ ยท้งั ในแง่ของงาน
ทางวิชาการและกระแสสังคม คือกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติตามแนวชายแดนไทย - ลาว ซ่ึงกลุ่มลาวไร้สัญชาติ
เหล่าน้ีอาศยั อยู่ในประเทศไทยมากว่า 30 ปี โดยเป็ นผลมาจากการเปล่ียนแปลงทางการเมืองภายในของ
ประเทศลาว และเมื่ออพยพหนีภยั เขา้ มาต้งั ถิ่นฐานในประเทศไทยก็ตกอยภู่ ายใตเ้ ง่ือนไขของพระราชบญั ญตั ิ
สัญชาติ และกฎหมายอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง เช่น พระราชบญั ญตั ิสัญชาติ พระราชบญั ญตั ิทะเบียนราษฎร และ
พระราชบญั ญตั ิคนเขา้ เมือง การไร้สัญชาตินามาซ่ึงปัญหาและผลกระทบต่าง ๆ ต่อตวั คนไร้สัญชาติ และ
บางกรณีนาไปสู่การละเมิดสิทธิมนุษยชน

สาหรับการศึกษาเร่ืองคนไร้สัญชาติในประเทศไทยน้นั จากการศึกษาพบวา่ มีคาหลกั ๆ ที่มกั ใช้
กนั อยู่สองคา ซ่ึงมีความหมายใกลเ้ คียงหรือทบั ซ้อนกนั คือ คาวา่ ไร้รัฐ และไร้สัญชาติ โดยสุชาดา ทวีสิทธ์ิ
และสุรสม กฤษะจูฑะ (2555) ไดอ้ ธิบายวา่ คาวา่ คนไร้รัฐและไร้สัญชาติมีความแตกตา่ ง ๆ แมว้ า่ อาจมีความ
เก่ียวขอ้ งกนั และตอ้ งใช้แนวคิดและวิธีการแกป้ ัญหาท่ีแตกต่างกนั กล่าวคือ คนไร้รัฐ คือ การที่คนคนหน่ึง
ไม่มีรัฐใดยอมรับวา่ เป็ นพลเมืองของประเทศตน โดยอา้ งอิงตามหลกั กฎหมายระหวา่ งประเทศหมายความวา่
ไม่มีรัฐเจา้ ของตวั บุคคล อาจใชว้ ธิ ีแกป้ ัญหาดว้ ยกฎหมายว่าดว้ ยทะเบียนราษฎร ขณะท่ีคนไร้สัญชาติน้นั มี
ประเด็นปัญหาท่ีตอ้ งแกไ้ ขตา่ งออกไป

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 475

จนิ ตนา เมืองแมน

ในงานวิจยั ชิ้นน้ีผูว้ จิ ยั ใชค้ าวา่ คนลาวไร้สัญชาติ เน่ืองจากกลุ่มคนลาวที่ประสบปัญหาส่วนใหญ่
มีเลขประจาตวั 13 หลกั คือ รับการข้ึนทะเบียนและมีบตั รท่ีข้ึนตน้ ดว้ ยเลข 6 สถานะลาวอพยพ หรือ 0 คือ
ไม่มีสถานะทางทะเบียน นนั่ หมายความวา่ คนเหล่าน้ีไดร้ ับการยอมรับวา่ มีตวั ตนในรัฐไทย และอยูร่ ะหวา่ ง
ดาเนินการเร่ืองสถานะ เช่นการขอสัญชาติไทย ดงั น้นั กระบวนการแกไ้ ขปัญหาดงั กล่าวเห็นดว้ ยกบั อาจารย์
สุชาดา ในแง่ที่วา่ แนวทางการแกไ้ ขปัญหาที่ดีท่ีสุด คือการใหร้ ัฐยอมมอบสัญชาติแก่คนไร้สัญชาติ (สุชาดา
ทวีสิทธ์ิ และสุรสม กฤษะจูฑะ, 2555, หน้า 24) ผูว้ ิจยั จึงใชก้ รอบแนวคิดเรื่องสัญชาติมาใช้ในการอธิบาย
สถานะของกลุ่มคนลาว ไร้สัญชาติ โดยพิจารณาผา่ นเงื่อนไขในพระราชบญั ญตั ิสัญชาติเกี่ยวกบั เงื่อนไข
ของการไดแ้ ละการเสียสัญชาติ ประกอบกบั แนวคิดเร่ืองสิทธิมนุษยชนที่กาหนดสิทธิพ้ืนฐานไวใ้ นปฏิญญา
สากลวา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชน

อยา่ งไรกต็ ามจากการศึกษา พบวา่ กระบวนการการรับรองสัญชาติของกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติน้นั
ยงั เป็ นเรื่องที่ค่อนขา้ งซับซ้อน เน่ืองจากมีหน่วยงานเก่ียวขอ้ งจานวนมาก และขอ้ กงั วลของรัฐไทยเรื่อง
ความมนั่ คง รวมถึงเงื่อนไขในกฎหมายสัญชาติและประกาศคาส่งั อ่ืนท่ีเกี่ยวขอ้ ง ยงั คงมีกลิ่นอายของแนวคิด
เรื่องชาตินิยม ซ่ึงส่งผลต่อแนวปฏิบตั ิท่ีมีต่อคนไร้สัญชาติ เช่น ความล่าช้าของกระบวนการทางราชการ
เป็ นตน้

วตั ถุประสงค์ของการศึกษา

1. เพื่อศึกษาประวตั ิศาสตร์ความเป็ นมาของกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติตามแนวชายแดนไทย - ลาว
โดยใชก้ รณีศึกษาบา้ นบะไห่ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี

2. เพื่อศึกษาปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนที่กลุ่มคนลาวไร้สัญชาติได้รับผลกระทบเนื่องจาก
ไร้สญั ชาติ

กรอบแนวคดิ ในการทาวจิ ัย

งานวิจัยชิ้นน้ีได้นากรอบแนวคิดเร่ืองสัญชาติ (Nationality Concept) และ แนวคิดเร่ืองสิทธิ
มนุษยชน (Human Rights Concept) ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน มาเป็ นกรอบในการทา
ความเขา้ ใจสถานะบุคคลของกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติในประเทศไทย และผลกระทบที่เกิดจากการไร้สญั ชาติ

แนวคิดเร่ืองสัญชาติ หรือ Nationality น้นั เป็ นแนวคิดท่ีปรากฏตวั พร้อมการเกิดข้ึนของรัฐสมยั
ใหม่ โดยเริ่มในประเทศกลุ่มยุโรปตะวนั ตกและอเมริกาเหนือ ภายหลงั การเส่ือมอานาจลงของอาณาจกั ร
โรมนั ทาให้คนจานวนมากไม่สามารถระบุได้ว่าเป็ นสมาชิกของประเทศใด (จินตนา เมืองแมน, 2555,
หน้า 19) แนวปฏิบตั ิในการกาหนดกฎหมายลายลกั ษณ์อักษรว่าด้วยสัญชาติของแต่ละรัฐเริ่มในปลาย
ศตวรรษที่ 18 เป็ นตน้ มา อนั เนื่องมาจากเหตุผลสองประการ ประการแรก การพฒั นาของแนวคิดวา่ ดว้ ยรัฐ -

476 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2

C H A P T E R 22

ชาติ ก่อใหเ้ กิดแนวคิดเกี่ยวกบั สิทธิและหนา้ ท่ีของคนชาติ เช่น การลงคะแนนเสียง หนา้ ที่ในการเกณฑท์ หาร
ประการท่ีสอง การที่บุคคลธรรมดาไดเ้ ขา้ ร่วมในกิจการของรัฐเพิ่มมากข้ึนและเพื่อเป็ นการรับรองสิทธิของ
เอกชนในกรณีที่ถูกละเมิดจากรัฐตา่ งประเทศภายใตห้ ลกั การที่เรียกวา่ “หลกั คุม้ กนั ทางการทูต” (Diplomatic
Protection) ดงั น้นั เม่ือเกิดกรณีพิพาทข้ึน เอกชนที่ร้องขอความคุม้ ครองจากรัฐก็จะตอ้ งกล่าวอา้ งไดว้ า่ ตนมี
สัญชาติของรัฐผใู้ ห้ความคุม้ ครอง ความจาเป็ นท่ีจะตอ้ งมีกฎเกณฑ์ท่ีชดั เจนในเร่ืองสัญชาติจึงมีความสาคญั
มากยงิ่ ข้ึน (พนั ธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร, 2538, หนา้ 25-26)

สัญชาติจึงเป็ นตวั เชื่อมความสัมพนั ธ์ระหว่างคนกบั รัฐ โดยเงื่อนไขการไดส้ ัญชาติตาม
กฎหมายน้ันสัมพนั ธ์อย่างใกลช้ ิดอยู่กบั โครงสร้างทางการเมืองของแต่ละประเทศ (Helen Silving, 1956,
p. 410) ทาใหเ้ กณฑส์ าหรับการไดส้ ัญชาติในแต่ละประเทศน้นั มีความแตกต่างกนั ในรายละเอียด โดยรัฐเป็ น
ผูก้ าหนดรับรองโดยตราออกมาเป็ นกฎหมาย โดยคานึงถึงความใกลช้ ิดความผูกพนั ท่ีบุคคลน้ันมีต่อรัฐ
เจา้ ของสัญชาติมากกว่ารัฐอ่ืนใดและผลแห่งความผูกพนั น้ีทาให้บุคคลน้ันเกิดภาระหน้าท่ีที่จะมีต่อรัฐใน
ฐานะเป็นคนชาติ และในขณะเดียวกนั รัฐก็มีสิทธิที่จะปกป้องคุม้ ครองบุคคลน้นั และมีสิทธิเรียกร้องแทนบุคคล
น้นั หากบุคคลน้นั ไดร้ ับความเสียหายจากการกระทาของรัฐอื่นโดยเป็ นไปตามหลกั กฎหมายระหวา่ งประเทศ
(ชุมพร ปัจจุสานนท,์ 2546, หนา้ 1) กฎหมายสัญชาติจึงเป็ นเหมือนเครื่องตรึงรัดทางกฎหมายซ่ึงทาหนา้ ที่ผกู
บุคคลไวก้ บั รัฐ (ประสิทธ์ิ ปิ วาวฒั นพานิช, 2554, หนา้ 3)

ท้งั น้ี หลกั การ/ เง่ือนไขในการกาหนดการไดส้ ัญชาติ มี 2 ลกั ษณะคือ 1) การไดส้ ัญชาติโดยการ
เกิด (Birth) ซ่ึงแบ่งออกเป็ น 2 เงื่อนไข คือการไดส้ ัญชาติโดยการสืบสายโลหิต (Jus sanguinis) คือ การได้
สัญชาติโดยการสืบสายโลหิตจากพ่อแม่ที่เป็ นคนสัญชาติน้นั โดยไม่คานึงวา่ จะเกิดในประเทศท่ีบิดาหรือ
มารดามีสัญชาติหรือเกิดในต่างประเทศ และการไดส้ ัญชาติโดยหลกั ดินแดน (Jus soli) คือ การไดส้ ัญชาติ
โดยการเกิดในดินแดนของรัฐน้นั ๆ โดยไม่คานึงวา่ เกิดจากบิดามารดาท่ีเป็ นคนสัญชาติของรัฐน้นั หรือไม่
และ 2) การไดส้ ัญชาติภายหลงั การเกิด (After birth) เช่น การแปลงสัญชาติ ซ่ึงรัฐจะกาหนดเง่ือนไขวา่ ใครมี
สิทธิหรือไม่มีสิทธิในการร้องขอการแปลงสัญชาติ เช่น ระยะเวลาในการอาศยั อยูใ่ นประเทศน้นั ๆ รวมถึง
ความกลมกลืนในทางวฒั นธรรมกบั ประเทศน้นั ๆ ดว้ ย

ตามหลกั การของปฏิญญาสากลวา่ ดว้ ยสิทธิมนุษยชน 1948 ท่ีกาหนดให้บุคคลมีสิทธิที่จะมีหน่ึง
สัญชาติ* แต่หลกั กฎหมายระหวา่ งประเทศก็ยงั อนุญาตให้เป็ นเอกสิทธ์ิของแต่ละรัฐในการกาหนดขอบเขต
และวิธีการในการไดส้ ัญชาติรวมถึงการเสียสัญชาติดว้ ย การกาหนดหลกั เกณฑ์ในการกาหนดวา่ ใครมีสิทธิ

* “Everyone has the rights to a nationality. No one shall be arbitrarily deprived of his nationality nor denied the right to
change his nationality” (Universal Declaration of Human Rights: Article 15)

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 477

จนิ ตนา เมืองแมน

หรือไม่มีสิทธิที่จะไดส้ ัญชาติก็รัฐน้ัน ๆ ถือว่ารัฐเจา้ ของสัญชาติมีอานาจสิทธิขาดในการกาหนดเงื่อนไข
ต่าง ๆ เกี่ยวกบั การไดม้ าหรือสูญเสียสัญชาติ เวน้ แต่การไดม้ าหรือเสียสัญชาติน้นั กระทบต่อขอ้ ตกลงที่ได้
ทาไวก้ บั รัฐอ่ืนโดยการกาหนดเงื่อนไขในเร่ืองการไดม้ าหรือเสียสัญชาติน้นั วางอยบู่ นเง่ือนไขเร่ือง เช้ือชาติ
ศาสนา วฒั นธรรม ค่านิยมของสังคม ตลอดจนความมนั่ คงของรัฐเป็ นสาคญั (พนั ธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา
สายสุนทร, 2534, หนา้ 5-6)

แนวคดิ เรื่องสิทธิมนุษยชน ตามกรอบปฏญิ ญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน
Susan, C. Mapp (2008) ไดอ้ ธิบายพฒั นาการของแนวคิดเร่ืองสิทธิมนุษยชน หรือ Human Rights
ปรากฏข้ึนภายหลงั สิ้นสุดสงครามโลกคร้ังท่ี 2 (World War II) โดยองคก์ ารสหประชาชาติไดส้ ร้าง ปฏิญญา
สากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights---UNDR) ข้ึนมา เอกสารฉบบั น้ีเป็ น
การยนื ยนั สิทธิของมนุษยท์ ุกคนโดยไมเ่ ลือกวา่ มีสญั ชาติใด มาจากระบบทางการเมืองแบบใด นบั ถือศาสนา
อะไร หรือมาจากกลุ่มใด เพยี งแตเ่ ป็นมนุษยก์ ็มีสิทธิไดร้ ับการคุม้ ครองตามปฏิญญาดงั กล่าว
ในเน้ือหาของปฏิญญาสากลว่าดว้ ยสิทธิมนุษยชนประกอบดว้ ย 30 มาตรา และสามารถจาแนก
ประเภทของสิทธิ 3 ประเภท ไดแ้ ก่
1. สิทธิทางกฎหมายและสิทธิทางการเมือง (Civil and Political Rights) ถือว่าเป็ น Negative
Freedoms เป็ นสิทธิที่เป็ นการกาหนดขอบเขตการใช้อานาจของรัฐต่อประชาชน ไดแ้ ก่ สิทธิในการแสดง
ความคิดเห็น สิทธิที่จะไดร้ ับการปฏิบตั ิอยา่ งเป็นธรรม สิทธิที่จะไม่ถูกทรมานใหร้ ับผดิ เป็นตน้
2. สิทธิทางสังคมและทางเศรษฐกิจ (Social and Economic Rights) ถือวา่ เป็ น Positive Freedoms
กล่าวคือเป็ นการคิดริเริ่มของรัฐเพ่ือพฒั นาชีวิตของประชาชน เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาล สิทธิทางการ
ศึกษา สิทธิในการไดร้ ับค่าแรงอยา่ งเป็นธรรม เป็นตน้
3. สิทธิของกลุ่ม/ สิทธิชุมชน (Collective Rights) เป็ นสิทธิท่ีมีลกั ษณะใหค้ วามสาคญั กบั กลุ่มคน
เช่น สิทธิในการนบั ถือศาสนา สิทธิในการอยอู่ ยา่ งสนั ติ และสิทธิในการพฒั นา เป็นตน้
แมว้ า่ ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนจะไดม้ ีการกาหนดสิทธิต่าง ๆ ของมนุษยไ์ วอ้ ย่าง
ครอบคลุม แต่ในทางกฎหมายระหว่างประเทศแล้วปฏิญญาไม่มีผลผูกพนั ในทางกฎหมาย (Non-Legal
Binding) ทาให้ตวั ปฏิญญาเองไม่มีสภาพบงั คบั (Forced) ใหท้ ุกประเทศตอ้ งปฏิบตั ิตามหรือมีการลงโทษใน
กรณีท่ีละเมิดปฏิญญา

ทบทวนวรรณกรรม

งานศึกษาเร่ืองเก่ียวกบั คนไร้สัญชาติในประเทศไทยน้นั ผวู้ ิจยั จาแนกออกเป็ น 2 แนวทางหลกั ๆ
ไดแ้ ก่ แนวทางแรก คือ กลุ่มท่ีมุ่งเนน้ การศึกษาเก่ียวกบั เงื่อนไขทางกฎหมาย ท่ีส่งผลกระทบหรือก่อให้เกิด
ภาวะไร้สัญชาติ เช่น การศึกษาเง่ือนไขในพระราชบญั ญตั ิสัญชาติของไทย หรือกรอบกติการะหวา่ งประเทศ

478 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2

C H A P T E R 22

ที่รับรองเรื่องสิทธิในสัญชาติไว้ เช่น ปฏิญญาสากลว่าดว้ ยสิทธิมนุษยชน เช่น งานศึกษาเกี่ยวกบั การเมือง
เบ้ืองหลงั พระราชบญั ญตั ิสัญชาติ ท่ีพูดถึงสถานการณ์และความจาเป็นทางการเมืองในแต่ละช่วงเวลาท่ีส่งผล
ต่อการกาหนด การไดม้ า/ การเสียไปของสัญชาติ มีผลใหค้ นจานวนหน่ึงกลายเป็ นคนไร้สัญชาติ และคนอีก
ส่วนหน่ึงไมม่ ีสิทธิในการเขา้ ถึงสัญชาติไทย (ชลิต ถาวรนุกิจกลุ , 2542) เป็นตน้

แนวทางท่ีสอง คือ การศึกษาท่ีมีลกั ษณะของการใช้ปัญหาที่คนไร้สัญชาติต้องเผชิญมาเป็ น
ประเด็นในการศึกษา เช่น การศึกษาประเด็นเร่ืองสิทธิในการศึกษาของคนไร้สัญชาติในประเทศไทย
(สุ วรรณี เข็มเจริ ญ, 2547) สิทธิในการก่อต้ังครอบครัวของคนไร้สัญชาติในประเทศไทย (กัลยา
เกียรติถาวรชยั , 2546)

สาหรับการศึกษากลุ่มคนไร้สัญชาติชาวลาว น้ันมีปรากฏในงานเร่ือง พลเมืองจินตนาการกบั
คนลาวไร้รัฐท่ีชายแดนภาคอีสาน (สุชาดา ทวีสิทธ์ิ, 2552) ท่ีศึกษาเก่ียวกบั เกี่ยวกบั สถานการณ์ทางด้าน
ประชากร เศรษฐกิจ และสังคมของกลุ่มคนไร้รัฐ - ไร้สัญชาติ ตามแนวชายแดนประเทศลาว รวมถึง
ประสบการณ์ชีวิตและการเขา้ ถึงสิทธิมนุษยชนที่คนกลุ่มน้ีตอ้ งเผชิญ และงานศึกษาเร่ืองแนวทางและกลไก
การแกไ้ ขปัญหาของความทบั ซอ้ น/ กากวมระหวา่ งคนไร้รัฐกบั แรงงานต่างดา้ วสัญชาติลาว: กรณีศึกษาพ้ืนท่ี
อาเภอบุณฑริก จงั หวดั อุบลราชธานี โดยงานวิจยั ชิ้นน้ีมุ่งเน้นการพิจารณาสถานะทางกฎหมายของกลุ่ม
คนลาวไร้รัฐท่ีมกั ถูกมองวา่ เป็ นแรงงานต่างดา้ ว ขณะที่ความเป็นจริงแลว้ คนเหล่าน้ีคือกลุ่มคนที่อพยพเขา้ มา
ต้งั แต่ปี 2518 และอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถขอสัญชาติไทยได้ แต่ด้วยการส่ือสารและความไม่ไวว้ างใจ
หน่วยงานราชการทาใหก้ ลุ่มคนลาวตกสารวจ

จากการทบทวนวรรณกรรม พบวา่ งานท่ีศึกษาเกี่ยวกบั คนไร้สัญชาติในประเทศไทยส่วนใหญ่
เป็ นงานศึกษาเกี่ยวกบั คนไร้สัญชาติในภาคเหนือของไทย ส่วนงานศึกษากลุ่มคนลาวไร้สัญชาติพบว่า
มีจานวนนอ้ ยจนอาจทาให้สังคมไทยหลงลืมปัญหาคนไร้สัญชาติชาวลาวท่ีอาศยั อยบู่ นแผน่ ดินไทยมากวา่
30 ปี แต่ยงั คงสถานะของคนไร้สัญชาติ และมีความซบั ซอ้ นในการแกไ้ ขปัญหา เช่น บางกลุ่มมีสิทธิในการ
ขอสัญชาติไทยไดต้ ามกฎหมายแต่ก็ยงั คงมีปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการดาเนินการ เช่น การตรวจ DNA
เพอื่ เขา้ สู่กระบวนการในการขอสญั ชาติไทย

งานวิจยั ชิ้นน้ีจึงเป็ นการต่อเติมองค์ความรู้ และสร้างความเขา้ ใจเกี่ยวกบั คนไร้สัญชาติชาวลาว
ท้งั ในแง่ของบริบททางประวตั ิศาสตร์ และเง่ือนไขจากพระราชบัญญตั ิสัญชาติ รวมถึงสภาพปัญหาท่ี
คนไร้สญั ชาติเหล่าน้ีตอ้ งเผชิญในปัจจุบนั

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 479

จนิ ตนา เมืองแมน

วธิ กี ารวจิ ยั

งานวิจยั ชิ้นน้ีใชก้ ารศึกษาแบบเชิงคุณภาพ (Qualitative Research) โดยผูว้ ิจยั แบ่งการเก็บขอ้ มูล
ออกเป็นสองส่วน ไดแ้ ก่

1. การศึกษาเชิงเอกสาร โดยศึกษาจากเอกสารงานวจิ ยั บทความทางวชิ าการ ตวั บทกฎหมาย และ
เอกสารอ่ืน ๆ ที่เก่ียวขอ้ ง โดยเฉพาะประเด็นเรื่องประวตั ิศาสตร์ทางการเมืองของกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติใน
จงั หวดั อุบลราชธานี และตวั บทกฎหมาย ขอ้ บงั คบั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั คนไร้สัญชาติ

2. การสัมภาษณ์แบบเชิงลึก (In-depth Interview) กลุ่มนกั วชิ าการนกั วิจยั และนกั พฒั นาเอกชนที่
ทางานดา้ นคนไร้สัญชาติและกลุ่มคนลาวไร้สญั ชาติใน อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี

ผลการวจิ ยั

ผลการวิจยั พบวา่ สาเหตุของสถานะลาวไร้สัญชาติในประเทศไทย กรณีศึกษาบา้ นบะไห่ อาเภอ
โขงเจียม จงั หวดั อุบลราชธานี มีดว้ ยกนั สองเง่ือนไข คือ ประการแรก เงื่อนไขทางประวตั ิศาสตร์การเมือง
ปัญหาการเมืองภายในประเทศลาว และ ประการที่ 2 เงื่อนไขจากการกาหนดพระราชบญั ญตั ิสัญชาติของ
ไทย เรื่องการกาหนดเง่ือนไข/ และขอ้ ยกเวน้ การไดส้ ญั ชาติไทย

สาเหตุและเง่ือนไขทางประวัติศาสตร์การเมืองของกลุ่มลาวไร้สัญชาติตามแนวชายแดนไทย –
ลาว

ความเป็นมาของกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติตามแนวชายแดนไทย - ลาว สาเหตุแรกมาจากเง่ือนไขทาง
ประวตั ิศาสตร์การเมือง กล่าวคือ เม่ือประเทศลาวได้รับเอกราชจากประเทศฝรั่งเศสในปี พ.ศ. 2496
เกิดปัญหาการเมืองภายในประเทศ เกิดการต่อสู้กนั ระหว่างรัฐบาลลาว และกลุ่มคอมมิวนิสตป์ ระเทศลาว
จนกระทง่ั ปี 2516 มีการเจรจาหยดุ ยงิ และมีการจดั ต้งั รัฐบาลผสมข้ึนในปี 2517 ที่ประกอบดว้ ยลาวฝ่ ายขวา
ฝ่ ายซา้ ย และฝ่ ายที่เป็นกลาง

อย่างไรก็ดี รัฐบาลใหม่ท่ีต้งั ข้ึนมาน้ีเป็ นรัฐบาลที่ขาดเสถียรภาพ จนในท่ีสุดฝ่ ายพรรคปฏิวตั ิ
ประชาชนลาวภายใตก้ ารสนบั สนุนจากสหภาพโซเวียต และพรรคคอมมิวนิสตเ์ วียดนามสามารถบงั คบั ให้
เจา้ มหาชีวิตสว่างวฒั นาประกาศยุบสภา และจดั ต้งั รัฐบาลคอมมิวนิสต์ในวนั ที่ 2 ธันวาคม 2518 อนั มี
เจ้าสุภานุวงศ์ สมาชิกราชวงศ์แห่งหลวงพระบางข้ึนเป็ นประธานาธิบดี มีนายไกรสอน พรหมวิหาร
เป็ นนายกรัฐมนตรี

การเปล่ียนแปลงระบอบการปกครองขา้ งตน้ มีผลใหผ้ เู้ ห็นต่างทางการเมืองจานวนมากอพยพเขา้ สู่
ประเทศไทย โดยมีการประมาณการว่ามีผูอ้ พยพจากประเทศลาวกลุ่มแรกราว 24,600 คน ภายหลงั ปี
พ.ศ. 2518 มีคนลาวจานวนมากอพยพเขา้ ในประเทศไทย โดยในยุคหลงั 2518 น้นั ส่วนหน่ึงเป็ นการอพยพ
อนั เนื่องมาจากการกลวั ภยั ทางการเมืองเน่ืองจากเกี่ยวพนั โดยตรงกบั การเมืองระบอบเก่า และอีกส่วนหน่ึง

480 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2

C H A P T E R 22

อพยพเขา้ มาเนื่องจากความแร้นแคน้ อนั เกิดจากนโยบายทางการเมืองและเศรษฐกิจ โดยนโยบายสาคญั คือ
นโยบายปลูกฝังความคิดอุดมการณ์สังคมนิยม ท่ีเรียกวา่ “สัมมนา” คือ กระบวนการปลูกฝังอุดมการณ์แบบ
สังคมนิยมโดยการบงั คบั ให้ประชาชนตอ้ งเขา้ ร่วมการสัมมนา เพ่ือฟังการบรรยายถึงการต่อสู้ในสงคราม
สามสิบปี การวิพากษ์วิจารณ์ระบบการปกครองแบบเก่า รวมถึงการบงั คบั ให้ประชาชนทางานต่าง ๆ
ท่ีนอกเหนือจากงานประจาในแต่ละวนั ซ่ึงประชาชนไม่พอใจต่อวิธีการดังกล่าวเน่ืองจากมองว่าเป็ น
การจากดั เสรีภาพทางความคิดและเป็ นการลา้ งสมอง จึงเป็นสาเหตุใหช้ าวลาวตดั สินใจหนีออกนอกประเทศ
ประกอบกบั การเปลี่ยนแปลงรูปแบบทางเศรษฐกิจ โดยการที่รัฐเขา้ ควบคุมระบบเศรษฐกิจและมีมาตรการ
ทางภาษีที่เข้มงวด รวมถึงการบริงานท่ีผิดพลาดทาให้การทามาหากินฝื ดเคือง จึงจาเป็ นต้องอพยพเพื่อ
แสวงหาโอกาสท่ีดีกวา่ (ดวงพร ศิลปะวฒุ ิ, 2535, หนา้ 57-58)

นโยบายของไทย ทม่ี ีต่อสถานการณ์ลาวอพยพในระยะแรก
การอพยพเขา้ มาในประเทศไทยช่วงแรกน้นั ชาวลาวอพยพถูกเรียกรวม ๆ ว่าผูอ้ พยพอินโดจีน
(ลาว กมั พูชา และเวียดนาม) กลุ่มลาวอพยพส่วนใหญ่เขา้ มาประเทศไทยตามแนวชายแดนไทยลาวด้าน
อ.เชียงคา จ.เชียงราย จ.น่าน จ.อุตรดิตถ์ และจงั หวดั อุบลราชธานี ที่มีความยาวถึง 1,750 กิโลเมตร

กลุ่มลาวอพยพที่เขา้ มาในประเทศไทยจะถูกจดั ให้อยู่รวมกนั ในศูนยท์ ่ีรัฐไทยจดั ไว้ 12 แห่ง
ตามมติคณะรัฐมนตรี 3 มิถุนายน พ.ศ. 2518 โดยมติคณะรัฐมนตรีดงั กล่าวไดก้ าหนดแนวทางในการปฏิบตั ิ
ต่อผอู้ พยพท้งั จากลาว กมั พูชา และเวยี ดนาม ดงั น้ี

1. ไม่พึงประสงค์ให้ผูอ้ พยพหนีภัยเข้ามาในราชอาณาจกั ร ถ้าหากมีผูอ้ พยพหนีภยั เขา้ มาให้
ผลกั ดนั ออกไปโดยเร็วที่สุด ถา้ ไมส่ ามารถจะผลกั ดนั ออกไปไดใ้ หค้ วบคุมไวใ้ นศูนยร์ ับผอู้ พยพ

2. ผูอ้ พยพที่เขา้ มาในราชอาณาจกั ร จะตอ้ งไปรายงานตวั และอยู่ในความควบคุมของศูนยร์ ับผู้
อพยพในกาหนด 20 วนั (นบั ต้งั แตว่ นั ท่ี 15 กรกฎาคม 2518 เป็นตน้ ไป) บุคคลที่รายงานตวั แลว้ เขา้ อยใู่ นศูนย์
อพยพ จะได้รับการปฏิบัติในฐานะผู้อพยพ บุคคลท่ีไม่ยอมเข้าไปอยู่ในศูนย์อพยพ (หรือเข้ามาใน
ราชอาณาจกั รภายหลงั วนั ที่ 4 สิงหาคม 2518) ให้ถือวา่ เป็ นบุคคลหลบหนีเขา้ เมืองจะตอ้ งถูกดาเนินคดีและ
ลงโทษตามกฎหมาย

3. ใหท้ าการปลดอาวธุ ในกรณีที่ผอู้ พยพนาอาวธุ ยทุ โธปกรณ์ติดตวั มา ถา้ เป็นอาวธุ ที่ใชใ้ นราชการ
สงคราม ให้นามามอบให้หน่วยทหารในพ้ืนท่ีน้ัน ถ้าเป็ นอาวุธส่วนตัวให้นาส่งกองกาลังกากับการ
ตารวจภูธรเกบ็ รักษา

4. ให้กระทรวงมหาดไทยกาหนดพ้ืนท่ีควบคุมโดยจดั ต้งั ศูนยร์ ับผอู้ พยพข้ึนตามจงั หวดั ชายแดน
ให้ผูอ้ พยพไดอ้ าศยั ชัว่ คราว เพื่อมนุษยธรรมและหลกั ปฏิบตั ิตามกฎหมายระหว่างประเทศ และติดต่อกบั
รัฐบาลลาว กัมพูชา และเวียดนาม เพ่ือให้ประเทศน้ัน ๆ รับผูอ้ พยพกลับประเทศของตน (สานักศูนย์
ดาเนินการเกี่ยวกบั ผอู้ พยพ, 2520, หนา้ 3-4 อา้ งถึงใน จนั ทรา ธนะวฒั นาวงศ,์ 2553, หนา้ 77)

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 481

จนิ ตนา เมืองแมน

สาหรับจงั หวดั อุบลราชธานีน้นั ศูนยผ์ ูอ้ พยพต้งั อยูใ่ นตวั เมืองมีพ้ืนที่ประมาณ 200 ไร่ รองรับผู้
อพยพกว่า 5,000 คน ซ่ึงเป็ นคลงั อาวุธเก่าของสหรัฐอเมริกา ในปัจจุบนั อยู่ในเขตโรงเรียนเตรียมอุมศึกษา
พฒั นาการ อุบลราชธานี

ภายหลงั การปิ ดศูนยผ์ อู้ พยพชาวอินโดจีน ในช่วงประมาณ ปี 2533 เกิดกลุ่มผอู้ พยพที่ตกคา้ ง คือ
ไม่ไดก้ ลบั ประเทศตน้ ทาง และไม่ไดไ้ ปต้งั ถิ่นฐานใหม่ในประเทศท่ีสาม กลุ่มคนเหล่าน้ีมีสถานะเป็นบุคคล
ผูเ้ ข้าเมืองโดยผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2493 แต่ได้รับการผ่อนผนั ให้อยู่ใน
ราชอาณาจกั รไทยเป็นการชวั่ คราว

ในปี 2534 ทางการได้เปิ ดให้มีการจดทะเบียนลาวอพยพกลุ่มน้ีและออกบัตรลาวอพยพให้
(บตั รเลข 6 ) อยา่ งไรก็ตาม จากการศึกษาของ จนั ทรา ธนะวฒั นาวงศ์ (2553) และการสัมภาษณ์กลุ่มชาวลาว
อพยพในพ้ืนท่ีบ้านบะไห่ พบว่า กลุ่มชาวลาวอพยพส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าสารวจเพ่ือทาทะเบียนประวตั ิ
เนื่องจากเหตุผลหลายประการ ไดแ้ ก่ 1) ไมม่ ีความรู้เก่ียวกบั การเขา้ สารวจจึงเกรงวา่ ถา้ เขา้ สารวจจะถูกจบั ส่ง
ประเทศลาว 2) บางส่วนไม่ไดอ้ ยู่ในพ้ืนท่ีขณะท่ีรัฐกาหนดให้มาข้ึนทะเบียน 3) ระยะเวลาท่ีรัฐใช้ในการ
ประชาสัมพนั ธ์น้อยเกินไปทาให้กลุ่มผูอ้ พยพไดร้ ับขอ้ มูลไม่ทว่ั ถึง 4) ระยะเวลาในการสารวจและทาบตั ร
นอ้ ยมาก คือใหเ้ วลาเพียง 1 วนั ทาใหผ้ อู้ พยพชาวลาวส่วนใหญ่ตกสารวจในช่วงเวลาน้นั

อยา่ งไรก็ตาม ในปี 2547 รัฐบาลไดด้ าเนินนโยบายเรื่องการจดั การแรงงานต่างดา้ วสามสัญชาติ
ไดแ้ ก่ ลาว กมั พูชา และเวียดนาม ทาให้รัฐเร่งรัดในการดาเนินการจดทะเบียนกลุ่มแรงงานเหล่าน้ี ส่งผลต่อ
ชาวลาวอพยพ กล่าวคือ กลุ่มชาวลาวอพยพซ่ึงส่วนใหญ่ตกสารวจในปี 2534 และดว้ ยความกงั วลใจถึง
สถานะการอาศยั อยู่ในประเทศไทย เนื่องจากไม่มีบตั รใด ๆ ที่แสดงตนไดเ้ ลยว่ามีสิทธิอยูใ่ นประเทศไทย
ชาวลาวอพยพบางส่วนจึงเขา้ รับการสารวจแรงงานต่างดา้ วในคร้ังน้ี โดยมีผลใหก้ ลุ่มลาวอพยพเขา้ มาอยูใ่ น
ทะเบียนประวตั ิแรงงานต่างดา้ ว ทร.38/1 ทาใหป้ ัญหาของกลุ่มลาวอพยพย่ิงมีความซบั ซอ้ นเนื่องจากการข้ึน
ทะเบียนผิดประเภท มีผลต่อสถานะการอาศยั อยูใ่ นประเทศไทย และส่งผลต่อการยื่นขอสัญชาติไทยตาม
มาตรา 23 แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติ พ.ศ. 2508 ฉบบั ที่ 4 แกไ้ ข 2551

กลุ่มบุคคลไร้สัญชาติที่อาศยั อยู่ในจงั หวดั อุบลราชธานี ไดร้ ับสถานะตามกฎหมายแตกต่างกนั
โดยแบง่ ออกเป็น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่

กลุ่มแรก คือกลุ่มท่ีถือบัตรลาวอพยพ และมีชื่ออยู่ในระบบการทะเบียนราษฎร (ท.ร.13
เลขประจาตวั 13 หลกั ข้ึนตน้ ดว้ ยเลข 6 หรือ 7

กลุ่มที่สอง มีผูเ้ ขา้ รับการสารวจและได้รับเอกสารทะเบียนประวตั ิแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ
(มีท.ร. 38/1 และเลขประจาตวั 13 หลกั ข้ึนตน้ ดว้ ยเลข 00)

กลุ่มท่ีสาม มีผรู้ ับการสารวจและจดั ทาทะเบียนประวตั ิผไู้ มม่ ีสถานะทางทะเบียนตามยทุ ธศาสตร์
การจดั การปัญหาสิทธิและสถานะบุคคล 2548 ส่วนใหญ่ไดแ้ ก่นกั เรียนในโรงเรียน และญาติของผูถ้ ือบตั ร
ลาวอพยพเดิม (เลขประจาตวั 13 หลกั ข้ึนตน้ ดว้ ย 0) (ศิริศกั ด์ิ คชสวสั ด์ิ, 2554, หนา้ 27-28)

482 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2

C H A P T E R 22

เง่ือนตามพระราชบญั ญตั สิ ัญชาตทิ ส่ี ่งผลกระทบต่อกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติ
แม้ว่าประเทศไทยประกาศใช้พระราชบัญญัติสัญชาติฉบับแรกมาต้ังแต่ พ.ศ.2456
แต่พระราชบญั ญตั ิที่กระทบต่อกลุ่มคนลาวท่ีอพยพเขา้ มาในประเทศไทยในช่วง พ.ศ. 2518 ไดแ้ ก่ ประกาศ
คณะปฏิวตั ิ ฉบบั ที่ ปว.337 ที่มีผลบงั คบั ใช้ ระหว่าง 144 ธันวาคม 2515 ถึง 25 กุมภาพนั ธ์ 2535 เพราะ
กาหนดไม่ใหส้ ัญชาติไทยแก่บุคคลท่ีเกิดในประเทศไทยระหวา่ งวนั ที่ 14 ธนั วาคม 2515 ถึง 25 กุมภาพนั ธ์
2535 หากมีบิดาท่ีชอบดว้ ยกฎหมายเป็ นคนต่างดา้ วหรือมีลกั ษณะเขา้ เมืองแบบไม่ถาวร หรือในกรณีท่ีไม่
ปรากฏบิดาที่ชอบดว้ ยกฎหมาย มารดาเป็ นต่างดา้ วท่ีมีลกั ษณะเขา้ เมืองแบบไม่ถาวร (ยกเวน้ การไดส้ ัญชาติ
โดยหลกั ดินแดน) ปว.337 จึงทาใหช้ าวลาอพยพท่ีเกิดในประเทศไทย และไดร้ ับสัญชาติตามหลกั ดินแดนถูก
ถอนสัญชาติ เน่ืองจากเขา้ ลกั ษณะตามประกาศ และแมว้ า่ ประกาศคณะปฏิวตั ิฉบบั น้ีจะถูกยกเลิกไปหลงั
การประกาศใช้ พระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบบั ที่ 2 ปี 2535 แต่ประเด็นเร่ืองขอ้ ยกเวน้ การไดส้ ัญชาติโดยหลกั
ดินแดนก็ยงั คงอยู่ ปรากฏใน มาตรา 4 ทวิ ที่กาหนดว่าผูเ้ กิดในราชอาณาจกั รไทยโดยบิดาและมารดาเป็ น
คนต่างดา้ วยอ่ มไม่ไดส้ ัญชาติไทย ถา้ ในขณะเกิดบิดาตามกฎหมายหรือบิดาซ่ึงไม่ไดม้ ีการสมรสกบั มารดา
ของผูน้ ้นั เป็ น (1) ผูท้ ี่ไดร้ ับการผอ่ นผนั ใหพ้ กั อาศยั อยใู่ นราชอาณาจกั รไทยเป็นกรณีพเิ ศษเฉพาะราย (2) ผทู้ ่ี
ได้รับอนุญาตให้เข้าอยู่ในราชอาณาจกั รไทยเพียงช่ัวคราว หรือ (3) ผูท้ ี่เข้ามาอยู่ในราชอาณาจกั รไทย
โดยไม่ไดร้ ับอนุญาตตามกฎหมายวา่ ดว้ ยคนเขา้ เมือง
สาหรับกฎหมายที่เป็ นคุณกบั กลุ่มคนลาวไร้สัญชาติอยา่ งมาก คือ มาตรา 23 แห่งพระราชบญั ญตั ิ
สัญชาติ ฉบบั ที่ 4 พ.ศ. 2551 ที่กาหนดไวใ้ นมาตรา 23 ให้บรรดาบุคคลที่เคยมีสัญชาติไทยเพราะเกิดใน
ราชอาณาจกั รไทยแลว้ ถูกถอนสัญชาติไทยตามประกาศ ปว. 337 และผูท้ ี่เกิดในราชอาณาจกั รไทยแต่ไม่ได้
สัญชาติไทยตามประกาศ ปว. 337 รวมถึงบุตรของบุคคลดงั กล่าวท่ีเกิดในราชอาณาจกั รไทย ก่อนวนั ที่
พระราชบญั ญตั ิน้ีใชบ้ งั คบั และไม่ไดส้ ัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติ
(ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2535 ถา้ บุคคลน้นั อาศยั อยใู่ นราชอาณาจกั รไทย หรือทาคุณประโยชน์แก่สงั คม หรือประเทศ
ไทย ใหไ้ ดส้ ญั ชาติไทยต้งั แตว่ นั ที่ 28 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2551 โดยผูม้ ีคุณสมบตั ิดงั กล่าวใหย้ น่ื คาขอลงรายการ
สัญชาติในเอกสารทะเบียนราษฎรต่อไป ผลจากการประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ี ทาให้ผูท้ ี่เกิดใน
ประเทศไทยไดร้ ับการแกไ้ ขปัญหาความไร้สัญชาติไดเ้ ป็นจานวนมาก โดยมีการกาหนดคุณสมบตั ิ
ผ้ทู ม่ี ีสิทธิย่ืนคาขอ ตามมาตรา 23

1) ผูท้ ่ีเกิดในประเทศไทยก่อนวนั ที่ 26 กุมภาพนั ธ์ 2535 โดยขณะเกิดมีพ่อและแม่เป็ นคน
ซ่ึงไม่มีสัญชาติ พ่อแม่ไม่ไดเ้ กิดในประเทศไทย และไม่มีใบสาคญั ถิ่นที่อยู่ หรือ ไม่มีใบสาคญั ประจาตวั
คนต่างดา้ ว

2) เป็นบุตรของคนตามขอ้ 1 ที่เกิดในประเทศไทยก่อนวนั ที่ 28 กุมภาพนั ธ์ 2551

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 483

จนิ ตนา เมืองแมน

3) นอกจากคุณสมบัติตามข้อ 1 หรื อข้อ 2 แล้ว จะต้องเป็ นผู้ท่ีมีความประพฤติดี
ทาคุณประโยชน์ใหแ้ ก่สงั คม มีภูมิลาเนาอาศยั อยจู่ ริงในประเทศไทย และมีหลกั ฐาน ทางทะเบียนราษฎรดว้ ย
รวมถึงพยานบุคคลท่ีน่าเชื่อถือท่ีสามารถให้การการรับรองประวตั ิความเป็ นมาและความประพฤติของผขู้ อ
ลงรายการสัญชาติไทย

สถานการณ์กลุ่มคนลาวไร้สัญชาตบิ ้านบะไห อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
บา้ นบะไห่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี มีประชากรประมาณ 400 คน ในจานวนน้ีเป็ นครอบครัว
คนไร้สญั ชาติอยู่ 27 ครัวเรือน จานวน 114 คน ประกอบดว้ ยปัญหาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่
กลุ่มแรก ลาวอพยพกลุ่มแรกที่ยงั คงประสบปัญหาไร้สัญชาติ คือ กลุ่มคนหลบหนีภยั สงครามมา
ในเหตุการณ์การทางการเมืองท่ีเรียกว่า ลาวแตก ช่วงปี 2518 กลุ่มน้ีส่วนใหญ่ถือบตั รเลขศูนยม์ ีช่ืออยู่ใน
ทร.38 ก. ในกลุ่มบุคคลที่ไม่มีสญั ชาติไทย แตม่ ีถ่ินท่ีอยใู่ นประเทศไทย
จากการสมั ภาษณ์พบวา่ คนกลุ่มน้ีส่วนใหญ่เป็ นกลุ่มท่ีมีสายสัมพนั ธ์กลบั กลุ่มอานาจเก่า ก่อนลาว
เปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น เป็นขา้ ราชการ ทหาร หรือหรือกลุ่มลูกหลานขา้ ราชการ สาเหตุของการอพยพ
มาจากสาเหตุทางการเมืองโดยตรง เน่ืองจากในช่วงท่ีลาวแตกท่ีนโยบายทางการเมืองที่เรี ยกว่า
“การสมั มนา” ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อกล่อมเกลาใหค้ นมีอุดมการณ์ทางเดียวกนั กบั ท่ีกลุ่มผปู้ กครองใหม่ตอ้ งการ
โดยจะมีการเรียกใหเ้ ขา้ สัมมนา ในสถานท่ีท่ีรัฐจดั เตรียมไว้ แต่คนท่ีไปเขา้ ร่วมสัมมนาก็ไม่ไดก้ ลบั ออกมา
อีก เหตุการณ์ดงั กล่าวไดส้ ร้างความกลวั แก่กลุ่มขา้ ราชการและลูกหลานอยา่ งมาก จึงเร่ิมอพยพเดินทางเขา้ มา
ในประเทศไทย โดยในช่วงแรกน้นั ส่วนใหญ่อพยพมาอาศยั อยกู่ บั ญาติทางฝั่งไทย
ในปี 2519 จึงเร่ิมมีการอพยพเขา้ มาฝั่งไทยเป็ นจานวนมาก โดยการชกั ชวนกนั มาของคนที่อพยพ
เขา้ ก่อนหนา้ เขา้ มาอาศยั อยบู่ ริเวณแนวชายแดนบริเวณอาเภอเขมราฎ จนกระทงั่ ในปี 2522 กองอานวยการ
รักษาความมน่ั คงในราชอาณาจกั ร (กอ.รมน.) ไดจ้ ดั ต้งั ศูนยอ์ พยพข้ึนตามแนวชายแดน และประกาศใหล้ าว
อพยพเขา้ ไปรายงานตวั และอยใู่ นศูนย์ ตอ่ มาปี 2532 มีการยบุ ศูนยต์ ามแนวชายแดนและไปต้งั ศูนยอ์ ยบู่ ริเวณ
ต.บา้ นผ้ึง อ.เมือง จ.นครพนม หรือท่ีเรียกวา่ ศูนยล์ าวอพยพบา้ นนาโพธ์ิ ในศูนยแ์ ห่งน้ีมีชาวลาวอพยพกว่า
70,000 คน มีเน้ือที่ 226 ไร่ จากการสัมภาษณ์พบวา่ ชีวติ ความเป็นอยใู่ นศูนยน์ าโพธ์ิค่อนขา้ งแออดั ไม่มีอะไร
ให้ทามากนักในศูนย์เน่ืองจากไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปทางานนอกศูนย์ ตอ้ งรอปันส่วนอาหารจาก
สานกั งานขา้ หลวงใหญ่ผูล้ ้ีภยั แห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ที่ประกอบด้วยอาหารประเภทเน้ือไก่ ถ่าน
หุงตม้ ผกั สด ขา้ วสาร น้ามนั พืช สาหรับการประทงั ชีวิต 1 สัปดาห์ ทาให้กลุ่มชาวลาวอพยพที่ตดั สินใจ
แน่แล้วว่าจะไม่ไปต้งั ถิ่นฐานในประเทศท่ีสาม บางส่วนจึงหลบหนีออกจากศูนยอ์ พยพ เช่น กรณีของ
นายสมศกั ด์ิ อินทะโสม ที่หลบหนีออกจากค่ายนาโพธ์ิ ในราวปี 2538 โดยหลบหนีออกจากศูนยพ์ ร้อมเพ่ือน
ชาวลาวอีกสองคน โดยขออาศยั ไปกบั รถส่งของที่จะไปโขงเจียม เม่ือถึงโขงเจียมก็เดินทางต่อมาที่บา้ นบะ
ไห่ ประกอบอาชีพรับจา้ ง และสร้างกระทอ่ มหลงั เล็กที่พอคุม้ ลมคุม้ ฝน หลงั จากน้นั ก็นดั หมายใหภ้ รรยาซ่ึงมี
ลูกเล็กอาศยั อยใู่ นคา่ ยตามมาอยดู่ ว้ ยกนั

484 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2

C H A P T E R 22

สภาพปัญหาของกลุ่มลาวอพยพท่ีเขา้ มาในประเทศไทยในช่วงปี 2518 คนกลุ่มน้ีเขา้ มาประเทศ
ไทยอนั เน่ืองมาจากภยั ทางการเมือง และเป็ นคนกลุ่มที่รัฐไทยไดด้ าเนินมาตรการอย่างเป็ นทางการ เช่น
การข้ึนทะเบียนบตั รลาวอพยพ (บตั รเลข 6) อยา่ งไรก็ดี พบวา่ ส่วนใหญ่ไม่ไดเ้ ขา้ สู่กระบวนการสารวจบตั ร
เลข 6 เนื่องจากความไม่รู้เรื่องกฎหมาย การกลวั ถูกส่งกลบั และการดาเนินการท่ีประชาสัมพนั ธ์ไม่ทวั่ ถึง
รวมถึงระยะเวลาที่นอ้ ยเกินไปสาหรับการดาเนินการ ทาให้มีกลุ่มลาวอพยพจานวนมากท่ีอาศยั อยใู่ นรัฐไทย
โดยไม่มีการรับรองทางกฎหมายใด ๆ

สาหรับลาวอพยพกลุ่มแรกที่บา้ นบะไห่ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี ในปัจจุบนั ถือบตั รผูไ้ ม่มี
สถานะทางทะเบียน หรือบตั รเลข 0 ซ่ึงยงั ไม่มีกฎหมายให้สถานะ เพียงแต่ให้อาศยั อยู่ในประเทศไทยได้
แต่ห้ามออกนอกเขตพ้ืนที่ ถา้ มีความจาเป็ นตอ้ งออกนอกเขตพ้ืนท่ีตอ้ งขออนุญาตจากทางอาเภอล่วงหน้า
อยา่ งนอ้ ย 3 เดือน

กลุ่มที่สอง เป็ นกลุ่มคนที่เกิดในประเทศไทยไทย ก่อนวนั ท่ี 26 กุมภาพนั ธ์ 2535 และบุตร
ซ่ึงคนกลุ่มน้ีมีสิทธิย่ืนขอสัญชาติไทยตามมาตร 23 แห่งพระราชบัญญตั ิสัญชาติฉบับที่ 4 พ.ศ. 2551
ในจานวนน้ีมีไดส้ ญั ชาติตามมาตรา 23 แห่ง

คนกลุ่มน้ีเป็ นกลุ่มท่ีสามารถย่ืนขอสัญชาติไทยไดต้ ามมาตรา 23 แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติ
ฉบบั ท่ี 4 พ.ศ. 2551 กลุ่มน้ีส่วนหน่ึงเป็ นลูกของบุคคลตามขอ้ 1 แต่พอ่ แม่ตกสารวจลาวอพยพ (บตั รเลข 6 )
ในปี 25344 ทาใหไ้ ม่สามารถยื่นขอสัญชาติไทยตามมาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบบั ที่ 4 พ.ศ.
2551 ได้ เน่ืองจากในมาตราดงั กล่าวผมู้ ีสิทธิยนื่ ขอพอ่ แม่ตอ้ งถือบตั รเลข 6 โดยมีเงื่อนไขดงั น้ี

ผเู้ ป็ นบิดาหรือมารดา ตอ้ งถือบตั รประจาตวั เลข 6 ที่ระบุวา่ เป็ นผอู้ พยพต่างชาติ บุตรจึงมีสิทธิใน
การขอสญั ชาติตามประกาศกระทรวงมหาดไทย “การสงั่ ใหบ้ ุคคลซ่ึงไม่มีสัญชาติไทย ที่เกิดในราชอาณาจกั ร
ไทยโดยบิดาและมารดาเป็ นคนต่างดา้ ว ไดส้ ัญชาติไทยเป็นการทว่ั ไป และการใหส้ ัญชาติไทยเป็นการเฉพาะ
ราย”

โดยบุคคลที่เกิดหลังวนั ที่ 26 กุมภาพนั ธ์ 2535 สามารถย่ืนขอลงรายการสัญชาติไทยได้ตาม
พระราชบญั ญตั ิสัญชาติ ฉบบั ที่ 4 พ.ศ. 2551 มาตรา 7 ทวิ โดยกาหนดให้ผูย้ ื่นตอ้ งเป็ นบุตรของบุคคล
เป้าหมาย 14 กลุ่ม ตามมติคณะรัฐมนตรี 7 ธนั วาคม พ.ศ. 2553 ซ่ึงไดร้ ับการจดั ทาทะเบียนประวตั ิแลว้ ในปี
2534 และมีเลขประจาตวั 13 หลกั ข้ึนตน้ ดว้ ยเลข 6 โดยมี 14 กลุ่มไดแ้ ก่ (1) กลุ่มชาวเขา 9 เผา่ (2) กลุ่มบุคคล
บนพ้ืนที่สูงท่ีอพยพมาก่อนและหลงั 3 ตุลาคม พ.ศ.2528 (3) กลุ่มอดีตทหารจีนคณะชาติ (4) กลุ่มจีนอพยพ
พลเรื อน (5) กลุ่มจีนฮ่ออิสระ (6) กลุ่มผู้พลัดถิ่นสัญชาติพม่า (7) กลุ่มผู้หลบหนีเข้าเมืองจากพม่า
(8) กลุ่มชาวเวยี ดนามอพยพ (9) กลุ่มชาวลาวอพยพ (10) กลุ่มเนปาลอพยพ (11) กลุ่มอดีตโจรคอมมิวนิสต์
มาลายา (12) กลุ่มไทล้ือ (13) กลุ่มมง้ ถ้ากระบอกท่ีทาคุณประโยชน์ (14) กลุ่มผหู้ ลบหนีเขา้ เมืองชาวกมั พชู า

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 485

จนิ ตนา เมืองแมน

เมื่อพอ่ แม่ของคนกลุ่มน้ีแมม้ ีขอ้ เทจ็ จริงวา่ อยใู่ นกลุ่มเดียวกบั ลาวอพยพท่ีไดบ้ ตั รเลข 6 แตต่ กหล่น
ในการสารวจทาใหบ้ ุตรไม่สามารถยนื่ ของสัญชาติตามมาตรา 7 ทวไิ ด้

อยา่ งไรก็ตามในพระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบบั เดียวกนั น้ีมีมาตราอ่ืนที่เป็ นคุณต่อคนไร้สัญชาติใน
กลุ่มน้ี คือ มาตรา 23 แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบบั ท่ี 4 พ.ศ. 2551 กล่าวคือในมาตราน้ีไดก้ าหนดให้
บุคคลท่ีเกิดในราชอาณาจกั รไทยก่อนวนั ท่ี 26 กุมภาพนั ธ์ 2535 สามารถยื่นขอสัญชาติไทยไดโ้ ดยไม่ตอ้ ง
คานึงถึงสถานะของพอ่ แม่ โดยมีรายละเอียดผมู้ ีสิทธิยนื่ ขอ ตามมาตรา 23 ไวด้ งั น้ี

1. ผูท้ ่ีเกิดในประเทศไทยก่อนวนั ที่ 26 กุมภาพนั ธ์ 2535 โดยขณะเกิดพ่อและแม่เป็ นคนซ่ึงไม่มี
สญั ชาติไทย พอ่ แม่ไม่ไดเ้ กิดในประเทศไทย และไมม่ ีใบสาคญั ถิ่นท่ีอยู่ หรือไม่มีใบสาคญั ประจาตวั คนต่าง
ดา้ ว

2. เป็นบุตรของคนตามขอ้ 1 ท่ีเกิดในประเทศไทยก่อนวนั ที่ 28 กุมภาพนั ธ์ 2551
3. นอกจากคุณสมบตั ิตามขอ้ 1 หรือขอ้ 2 แลว้ จะตอ้ งเป็ นผทู้ ี่มีความประพฤติดี ทาคุณประโยชน์
แก่สงั คม มีภูมิลาเนาอาศยั อยจู่ ริงในประเทศไทย และมีหลกั ฐาน ทางทะเบียนราษฎรดว้ ย
เงื่อนไขตามมาตรา 23 น้ีนบั วา่ เป็ นคุณอย่างมากสาหรับกลุ่มลูกของลาวอพยพท่ีเกิดในช่วงเวลา
ดงั กล่าว ซ่ึงในกรณีของบ้านบะไห่ มีกลุ่มลูกลาวอพยพท่ีเข้าเง่ือนไขตามพระราชบัญญัติน้ีหลายราย
แต่อยา่ งไรก็ตามจากการสัมภาษณ์พบปัญหาอยา่ งมากในการดาเนินการตามมาตรา 23 แห่งพระราชบญั ญตั ิ
สัญชาติ ฉบบั ที่ 4 พ.ศ. 2551โดยส่วนใหญ่ติดปัญหาเรื่องกระบวนการของระบบราชการที่มีความล่าชา้ และ
ไม่ต่อเน่ือง เช่นการเปลี่ยนเจา้ หน้าท่ีท่ีรับผิดชอบ และอีกส่วนเป็ นผลจากกลุ่มคนไร้สัญชาติท่ีไม่เขา้ ใจ
กระบวนการและขาดทุนทรัพยใ์ นการเดินทางไปติดตามผลท่ีอาเภอ และบางส่วนก็ไม่มีเงินมากพอในการ
ตรวจ DNA เพือ่ เขา้ สู่กระบวนการรับรองสัญชาติ
กลุ่มท่สี าม คือกลุ่มท่ีเกิดหลงั 26 กุมภาพนั ธ์ 2535 กลุ่มน้ีรัฐยงั ไม่มีนโยบายใหส้ ัญชาติไทย คนน้ี
ส่วนหน่ึงเป็ นลูกของคนกลุ่มแรก แต่ลูกไม่มีสิทธิไดส้ ัญชาติไทยเนื่องจากพอ่ แม่ตกหล่นจากการสารวจบตั ร
ลาวอพยพ (บตั รเลข 6) และอีกส่วนพ่อแม่เกิดก่อนวนั ท่ี 26 กุมภาพนั ธ์ 2535 แต่กระบวนการยนื่ ขอสัญชาติ
ไทยตามมาตรา 23 แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบบั ท่ี 4 พ.ศ. 2551 ยงั ไมแ่ ลว้ เสร็จ
ผลกระทบจากการเป็ นคนไร้สัญชาติทสี่ ่งผลต่อประเดน็ ด้านสิทธิมนุษยชน
1. การเข้าถึงสิทธิในหลกั ประกนั สุขภาพ สาหรับคนไร้สญั ชาติแลว้ ในอดีตการเขา้ รับการรักษาใน
โรงพยาบาลหรือหน่วยงานของรัฐเป็ นเร่ืองที่แทบจะเป็ นไปไม่ได้ เน่ืองจากไม่มีเงินในการจ่ายค่า
รักษาพยาบาล และกลวั จะถูกเจา้ หน้าท่ีดาเนินคดี อย่างไรก็ตาม การเขา้ ถึงหลกั ประกนั สุขภาพสาหรับ
คนไร้สัญชาติ เร่ิมในสมยั รัฐบาลทกั ษิณ ชินวตั ร ตามโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ที่ครอบคลุมกลุ่ม
คนไร้สัญชาติดว้ ย (ป่ิ นแกว้ อุน่ แกว้ , 2551, หนา้ 4) แตใ่ นปี พ.ศ. 2548 เกิดการเปลี่ยนแปลงระดบั นโยบายคือ
รัฐบาลไดเ้ ปลี่ยนโครงการจาก โครงการ “30 บาทรักษาทุกโรค” เป็น โครงการ “30 บาทช่วยคนไทยห่างไกล
โรค” สิทธิการเขา้ ถึงระบบบริการสุขภาพของคนไร้สัญชาติจึงถูกเรียกคืน และมีความเปล่ียนแปลงระดบั

486 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2

C H A P T E R 22

นโยบายอีกคร้ังเมื่อ มีมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวนั ท่ี 20 เมษายน 2558 ได้เห็นชอบในการคืนสิทธิด้าน
สาธารณสุขแก่คนไร้สัญชาติ จานวนกวา่ 208,631 คน แต่เง่ือนไขคือตอ้ งเป็ นกลุ่มบุคคลท่ีมีเลขประจาตวั 13
หลกั เรียบร้อยแลว้ ส่วนกลุ่มอื่น ๆ ยงั ตอ้ งรอตรวจสอบยนื ยนั สิทธิ (มติคณะรัฐมนตรี วนั ที่ 20 เมษายน 2558)

จากการลงพ้ืนที่สัมภาษณ์พบวา่ กลุ่มคนลาวไร้สัญชาติที่บา้ นบะไห่ อ.โขงเจียม จ.อุบลราชธานี
ส่วนใหญ่มีสิทธิในการรักษาพยาบาลจากนโยบายดงั กล่าว แต่มีบางส่วนที่กระบวนการขอสัญชาติยงั
ไมเ่ รียบร้อย หรือตกหล่นจากการสารวจทาใหไ้ มม่ ีเลขประจาตวั 13 หลกั จึงยงั ไม่มีสิทธิในการรักษาพยาบาล
ซ่ึงบางคนยากจนทาใหส้ ่วนใหญ่เลือกที่จะไมร่ ักษาหรือรักษาตามแพทยพ์ ้นื บา้ นเป็นหลกั

2. สิทธิทางการศึกษา ในอดีตคนไร้สัญชาติมกั ถูกปฏิเสธในการรับเขา้ ศึกษา เพราะขาดเอกสาร
ยืนยนั ตวั บุคคลในการสมคั รเข้าศึกษา เช่น ใบสูติบตั ร ทะเบียนบา้ นหรือบตั รประชาชน และถึงแม้บาง
สถานศึกษาจะรับเขา้ ศึกษาแต่เม่ือสาเร็จการศึกษาก็จะไม่ไดร้ ับวุฒิบตั ร หรือไดร้ ับแต่มีการระบุอยา่ งชดั เจน
วา่ เป็ นบุคคลไม่มีสญั ชาติไทย ทาใหส้ ่งผลกระทบต่อการสมคั รงานหรือศึกษาต่อ อยา่ งไรก็ตาม ในกรณีของ
ประเทศไทยถือได้ว่ามีความก้าวหน้าในการมอบสิทธิทางการศึกษาแก่คนไร้สัญชาติ ในปี 2548
มติคณะรัฐมนตรีวนั ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2548 มีมติให้รัฐไทยจดั การศึกษาท่ีครอบคลุมถึงกลุ่มคนที่ไม่มี
หลกั ฐานทะเบียนราษฎรหรือไม่มีสัญชาติไทยด้วย กล่าวคือ สาระสาคญั ของมติคณะรัฐมนตรีน้ีคือ รัฐจะ
จดั สรรงบประมาณสนบั สนุนการศึกษาแก่เด็กทุกคนในประเทศไทย รวมถึงเด็กไร้สัญชาติดว้ ย และระบุ
อยา่ งชดั เจนว่าเด็กไร้สัญชาติตอ้ งไดร้ ับหนงั สืออนุญาตอย่างเป็ นทางการให้ออกนอกพ้ืนที่เพ่ือเดินทางไป
ศึกษาตามระยะเวลาของหลกั สูตร และตอ้ งไม่บนั ทึกสถานภาพของนกั เรียนวา่ เป็ นคนไร้สัญชาติ (รววี รรณ
แพทยส์ มาน, 2560, หนา้ 241-242)

แมว้ า่ รัฐไทยจะเปิ ดกวา้ งเก่ียวกบั การศึกษาแต่คนไร้สัญชาติส่วนใหญ่ยากจนและไม่สามารถกูย้ มื
เงินกองทุนเพื่อการศึกษาได้ (ก.ย.ศ.) ทาใหส้ ่วนใหญไ่ ดเ้ รียนในระดบั ประถมหรือมธั ยมศึกษาของโรงเรียน
ในเขตอาเภอเท่าน้นั มีส่วนนอ้ ยที่ไดศ้ ึกษาต่อในระดบั อุดมศึกษา

3. สิทธิในการทางาน การทางานของคนไร้สัญชาติตอ้ งเป็ นไปตามเง่ือนไขของ พ.ร.บ. การทางาน
ของคนต่างดา้ ว พ.ศ. 2551 มีกาหนดงานที่คนต่างดา้ วอาจทาไดต้ ามมาตรา 7 “งานใดที่คนต่างดา้ วอาจทาได้
ในทอ้ งท่ีใด เม่ือใด ให้เป็ นไปตามท่ีกาหนดในกฎกระทรวง โดยคานึงถึงความมนั่ คงของชาติ โอกาสในการ
ประกอบอาชีพของคนไทยและความตอ้ งการแรงงานต่างดา้ วท่ีจาเป็ นต่อการพฒั นาประเทศ กล่าวไดว้ า่ สิทธิ
ในการทางานน้ันจะถูกจากัดทาได้เฉพาะงานที่รัฐมนตรี ว่าการกระทรวงแรงงานประกาศไว้ใน
ราชกิจจานุเบกษาเท่าน้นั และจะตอ้ งไดร้ ับอนุญาตก่อนดว้ ย ไมส่ ามารถเขา้ ทางานโดยพลการได้

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 487

จนิ ตนา เมืองแมน

4. สิทธิในการเดินทาง เน่ืองจากไม่มีสัญชาติไทย สิทธิในการเดินทางที่ถูกรับรองไว้ใน
รัฐธรรมนูญจึงถูกจากดั โดยการเดินทางของคนไร้สัญชาติตกอยู่ภายใตเ้ งื่อนไขตามกฎหมายคนเขา้ เมือง
พ.ศ. 2522 และตามระเบียบของกระทรวงมหาดไทยในการควบคุมใหอ้ ยใู่ นพ้ืนที่ที่กาหนด

ในกรณีท่ีคนไร้สัญชาติเดินทางออกนอกเขตควบคุมโดยไม่ได้รับอนุญาตจะถือว่าทาผิดตาม
กฎหมายคนเขา้ เมือง พ.ศ. 2522 สาหรับกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติท่ีไดร้ ับการผอ่ นผนั ให้อยูใ่ นราชอาณาจกั ร
ไทยเป็ นการชว่ั คราวการเดินทางออกนอกราชอาณาจกั รตามมาตรา 39 ตอ้ งไดร้ ับอนุญาตจากเจา้ พนกั งาน
ก่อน ไม่เช่นน้นั จะถือวา่ การไดร้ ับอนุญาตใหอ้ ยใู่ นราชอาณาจกั รไทยเป็นอนั สิ้นสุด รวมถึงการเดินทางออก
นอกพ้นื ที่ที่ไดร้ ับอนุญาตกต็ อ้ งทาหนงั สือแจง้ ล่วงหนา้ ดว้ ย

อย่างไรก็ตาม เพ่ือให้สอดคล้องกับนโยบายให้การศึกษาของรัฐบาลท่ีครอบคลุมถึงคนไม่มี
สถานะทางทะเบียนราษฎรและคนไร้สัญชาติ คณะรัฐมนตรีไดม้ ีมติวนั ท่ี 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2548 อนุมตั ิให้
กระทรวงมหาดไทยอนุญาต นกั เรียนนกั ศึกษา ที่ไม่มีสัญชาติไทยและมีระเบียบควบคุมใหอ้ าศยั อยใู่ นพ้ืนท่ีที่
กาหนดเดินทางออกนอกพ้ืนที่ไปศึกษาเล่าเรียนได้ ตลอดหลกั สูตร กระทรวงมหาดไทยไดม้ ีหนงั สือ ด่วน
มาก ที่ มท 0308.4/ว795 ลงวนั ที่ 7 มีนาคม 2550

และเพ่ือสร้างความชัดเจนในเรื่ องสิ ทธิและเสรี ภาพในการเดินทางของคนไร้สัญชาติ
กระทรวงมหาดไทยไดอ้ อกประกาศเรื่องการอนุญาตใหค้ นตา่ งดา้ วบางจาพวกเขา้ มาอยใู่ นราชอาณาจกั รเป็ น
การชวั่ คราวเพ่ือรอการส่งกลบั และกาหนดพ้ืนที่ควบคุม (ประกาศเม่ือวนั ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2552) โดยตอ้ ง
เป็นผทู้ ี่เขา้ มาก่อนวนั ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2548 โดยอนุญาตใหก้ ลุ่มบุคคลดงั กล่าวไดอ้ าศยั อยใู่ นประเทศไทย
เป็ นการช่ัวคราวเพ่ือรอการส่งกลับ และอนุญาตให้ออกนอกพ้ืนท่ีอยู่อาศัยเพ่ือไปทางานตาม พ.ร.บ.
การทางานของคนต่างดา้ ว พ.ศ. 2551 โดยอาศยั อานาจตามมาตรา 17 แห่ง พ.ร.บ. คนเขา้ เมือง พ.ศ. 2522

กล่มุ บุคคลทไี่ ด้รับการผ่อนผนั ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยฉบบั นี้ คือ
(1) บุคคลที่ไดร้ ับการสารวจเพือ่ จดั ทาทะเบียนประวตั ิบุคคลท่ีไม่มีสถานะทางทะเบียน
(2) ชนกลุ่มนอ้ ยกลุ่มตา่ ง ๆ ท่ียงั ไมม่ ีนโยบายใหอ้ อกนอกเขตพ้ืนที่
(2.1) ผพู้ ลดั ถิ่นสญั ชาติพม่าเช้ือสายไทยเขา้ มาหลงั วนั ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2519
(2.2) ผูอ้ พยพเช้ือสายไทยจากจงั หวดั เกาะกง กมั พูชา เขา้ มาหลงั วนั ท่ี 15 พฤศจิกายน พ.ศ.

2520
(2.3) ผหู้ ลบหนีเขา้ เมืองจากกมั พูชา
(2.4) ลาวอพยพ
(2.5) ผหู้ ลบหนีเขา้ เมืองจากพม่า

488 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2

C H A P T E R 22

การออกนอกเขตพืน้ ทค่ี วบคุม ต้องได้รับอนุญาตจากผ้มู อี านาจ ดงั นี้
(1) ปลดั กระทรวงมหาดไทยหรือผูท้ ี่ไดร้ ับมอบหมายในเขตกรุงเทพมหานครหรือระหว่าง

จงั หวดั
(2) ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั หรือผทู้ ี่ไดร้ ับมอบหมายในเขตทอ้ งที่จงั หวดั
(3) นายอาเภอหรือผทู้ ่ีไดร้ ับมอบหมายในเขตทอ้ งท่ีอาเภอ

คนต่างด้าวทไี่ ด้รับอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรเป็ นการชั่วคราวสิ้นสุดลงเป็ นการเฉพาะรายใน
กรณี ดังต่อไปนี้

(1) ไดร้ ับโทษจาคุกตามคาพิพากษาถึงที่สุดของศาล ยกเวน้ กระทาโดยประมาทหรือความผิด
ลหุโทษ

(2) ไม่ผา่ นกระบวนการการจดั ทาทะเบียนประวตั ิและบตั รประจาตวั บุคคลท่ีไม่มีสถานะทาง
ทะเบียนตามแนวทางที่กาหนด

(3) เดินทางออกนอกราชอาณาจกั รโดยไม่ไดร้ ับอนุญาตตามที่กฎหมายกาหนด
การรายงานตวั เมื่อออกนอกเขตพืน้ ที่

(1) กรุงเทพมหานครรายงานตวั ต่ออธิบดีกรมการปกครองหรือผูท้ ี่ไดร้ ับมอบหมายแจง้ ให้ผู้
บญั ชาการตารวจสนั ติบาล สานกั งานตารวจแห่งชาติ ทราบ

(2) จงั หวดั อ่ืนรายงานตวั ต่อนายอาเภอหรือผูท้ ี่ได้รับมอบหมายและแจง้ ให้หัวหน้าสถานี
ตารวจทอ้ งท่ีทราบ

ให้ปลัดกระทรวงมหาดไทยหรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายมีอานาจเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ใน
ราชอาณาจักรได้เป็ นการชั่วคราวของคนต่างด้าวในกรณี ดงั ต่อไปนี้

(1) มีพฤติการณ์ท่ีขดั ต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชนหรือเป็ นภยั ต่อ
ความมนั่ คงของรัฐ หรือมีพฤติการณ์น่าเช่ือวา่ เป็นภยั ตอ่ สังคมหรือจะก่อเหตุร้ายใหเ้ กิดอนั ตรายต่อความสงบ
สุขหรือความปลอดภยั ของประชาชน

(2) ออกนอกเขตโดยไมไ่ ดร้ ับอนุญาต
(3) ไม่มารายงานตวั ตามท่ีกระทรวงมหาดไทยกาหนดโดยไมม่ ีเหตุอนั สมควร
5. สิทธิในการก่อต้ังครอบครัว การก่อต้งั ครอบครัว เช่น การสมรส การรับรองบุตร การรับบุตร
บุญธรรม สิทธิเหล่าน้ีเป็ นสิทธิตามธรรมชาติที่มนุษยไ์ ดร้ ับการรับรองท้งั ในกฎหมายภายในและกฎหมาย
ระหวา่ งประเทศ แต่คนไร้สัญชาติมกั ถูกปฏิเสธสิทธิเหล่าน้ีจากเจา้ หนา้ ที่รัฐ อนั เนื่องมาจากการไม่มีสัญชาติ
ไทย จากการศึกษาของ กัลยา เกียรติถาวรชัย (2546, หน้า 59-62) พบว่า การปฏิเสธสิทธิในการก่อต้งั
ครอบครัวของคนไร้สัญชาติก่อให้เกิดการละเมิดสิทธิของคนไร้สัญชาติ เช่น กรณีปฏิเสธสิทธิในการจด

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 489

จนิ ตนา เมืองแมน

ทะเบียนสมรสระหวา่ งบิดาคนไทยและมารดาต่างดา้ วท่ีไม่มีเอกสารพิสูจน์ตน ทาให้ไม่ไดร้ ับค่าเล้ียงดูบุตร
ตามสิทธิของสานกั งานประกนั สงั คม

6. สิทธิในกระบวนการยุติธรรม สิทธิดงั กล่าวเป็ นสิทธิท่ีคนสัญชาติไทยไดร้ ับการคุม้ ครอง เช่น
สิทธิในการประกนั ตวั แต่ในกรณีของคนไร้สัญชาติ สิทธิดงั กล่าวอาจถูกปฏิเสธ และอาจถูกกกั กนั คุมขงั ไว้
เป็ นเวลานานระหว่างรอการพิจารณาคดี ซ่ึงในบางกรณีอาจเป็ นเด็ก การกักขงั ไวใ้ นสภาพแวดล้อมที่
ไม่เหมาะสมอาจเป็ นการละเมิดสิทธิเด็ก

จากประเด็นปัญหาดา้ นสิทธิต่าง ๆ ที่กลุ่มคนไร้สัญชาติตอ้ งเผชิญ จะพบว่าการขาดหรือไม่มี
สญั ชาติน้นั กระทบต่อสิทธิเป็ นลกั ษณะของลูกโซ่ กล่าวคือ การไม่มีสญั ชาติ ส่งผลตอ่ สิทธิต่าง ๆ ตามมาอีก
มากมาย และภาวะไร้สัญชาติน้นั ยงั ส่งต่อถึงรุ่นลูก รุ่นหลานไดด้ ว้ ย จากเงื่อนไขการไดส้ ัญชาติตามการเกิด
ที่มีขอ้ ยกเวน้ เร่ืองการเกิดบนหลกั ดินแดนแบบกรณีของประเทศไทย

สรุปอภปิ รายผลและข้อเสนอแนะการวจิ ัย

ผลการวิจยั พบว่า สาเหตุของสถานะลาวไร้สัญชาติในรัฐไทย เกิดข้ึนจากสองเง่ือนไข ได้แก่
(1) เงื่อนไขทางประวตั ิศาสตร์การเมืองการเปล่ียนแปลงทางการเมืองภายในของประเทศลาวในช่วงปี 2517
ส่งผลใหม้ ีผอู้ พยพชาวลาวเขา้ มาในประเทศไทยจานวนมาก และบางส่วนยงั ไม่ไดก้ ลบั ประเทศตน้ ทางหรือ
ไปต้งั ถิ่นฐานใหม่ในประเทศที่ 3 และยงั คงมีสถานะไร้สัญชาติในประเทศไทย (2) จากเง่ือนไขจากการ
กาหนดพระราชบญั ญตั ิสัญชาติของไทย เร่ืองการกาหนดเงื่อนไข/ และขอ้ ยกเวน้ การไดส้ ัญชาติไทย ส่งผล
กระทบต่อกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติในประเทศไทย มีสิทธิในการขอสัญชาติไทยต่างกนั ออกไป บางกลุ่มมี
สิทธิในการขอสัญชาติไทย ตามมาตรา 23 ของพระราชบญั ญตั ิสัญชาติ พ.ศ. 2508 ฉบบั ที่ 4 พ.ศ. 2551
บางกลุ่มยงั คงไม่มีแนวทางจากรัฐในการแกป้ ัญหาเร่ืองสัญชาติ ทาใหย้ งั คงสถานะคนไร้สัญชาติในประเทศ
ไทย และผลจากการภาวะไร้สัญชาตินาไปสู่การถูกปฏิเสธสิทธิต่าง ๆ จากรัฐ และในบางกรณีส่งผลต่อ
การละเมิดสิทธิมนุษยชน เช่น สิทธิในการเดินทาง สิทธิในการก่อต้งั ครอบครัว เป็นตน้

ปัญหาและอปุ สรรคในการดาเนินการเร่ืองสัญชาติ
จากการศึกษากรณีคนลาวไร้สัญชาติ บา้ นบะไห่ อ. โขงเจียม จ. อุบลราชธานี สามารถจาแนก
ปัญหาและอุปสรรคในการดาเนินการเร่ืองสัญชาติแบง่ เป็น 3 ประการหลกั ๆ ไดแ้ ก่
1. การขาดความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั สิทธิและสถานะของตนเองในการอาศยั อยูใ่ นประเทศไทย
ปัญหาดงั กล่าวเป็ นปัญหาที่สาคญั ยิ่ง เน่ืองจากการไม่รู้สิทธิและสถานการณ์อาศยั อยู่ในประเทศไทยอยา่ ง
แทจ้ ริง นาไปสู่การเขา้ ไม่ถึงกระบวนการในการดาเนินการสารวจของรัฐ เช่น กลุ่มผูอ้ พยพท่ีเขา้ มาใน
ประเทศไทยเนื่องจากภยั ทางการเมือง หรือที่เรียกวา่ ลาวแตก ช่วงปี 2518 ทาให้ไม่ไดเ้ ขา้ สู่กระบวนการ
สารวจลาวอพยพในปี 2534 กลายเป็นบุคคลตกหล่น นามาสู่ปัญหาการไร้สัญชาติท้งั ของตนเองและรุ่นบุตร

490 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2

C H A P T E R 22

2. ปัญหาเร่ืองการสาคญั ผิดในสถานะของตน กล่าวคือ กลุ่มลาวไร้สัญชาติท่ีบา้ นบะไห่ ก่อนหนา้
ปี 2547 ก็อาศยั อยอู่ ยา่ งกลมกลืนกบั ชาวบา้ นไทยในพ้ืนที่ เน่ืองจากมีเช้ือชาติ ภาษา และศาสนา ใกลเ้ คียงกนั
จนกระทงั่ ปี 2547 รัฐมีนโยบายเขม้ งวดต่อเรื่องการจดั การปัญหาแรงงานต่างดา้ ว ทาให้คนลาวไร้สัญชาติที่
บา้ นบะไห่ เกรงกลวั จะถูกจบั และคิดวา่ การมีบตั ร (บตั รอะไรกไ็ ด)้ จะช่วยใหส้ ามารถทามาหากินในไทยได้
โดยไมถ่ ูกส่งกลบั ซ่ึงการสาคญั ผดิ ในขอ้ เทจ็ จริงดงั กล่าวส่งผลอยา่ งมากต่อการยนื่ ขอสัญชาติไทย เช่น กรณี
เข้าเกณฑ์ตาม มาตรา 7 ทวิ แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบับที่ 4 พ.ศ. 2551 หรือ ตามมาตร 23 แห่ง
พระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบบั ท่ี 4 พ.ศ. 2551 เนื่องจากการข้ึนทะเบียนแรงงานต่างดา้ ว ทาใหข้ อ้ เท็จจริงท่ีว่า
พวกเขาอาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็ นเวลานาน และเข้าองค์ประกอบท่ีจะขอสัญชาติได้หายไป ทาให้
กระบวนการยื่นขอสัญชาติตอ้ งล่าออกไป เน่ืองจากตอ้ งมาดาเนินการแกไ้ ขสถานะจากแรงงานต่างด้าว
(บตั รข้ึนตน้ 00) มาเป็ นบตั รผูไ้ ม่มีสถานะทางทะเบียน (บตั รเลข 0) ก่อน จึงจะดาเนินการขอลงรายการ
สัญชาติได้

ดงั กรณีของกลุ่มคนลาวไร้สัญชาติท่ีบ้านบะไห่ ท่ีเข้าองค์ประกอบสามารถยื่นของสัญชาติ
ตามมาตรา 23 ได้ (เกิดก่อน 26 กุมภาพนั ธ์ 2535) ซ่ึงพระราชบญั ญตั ิฉบบั น้ีมีผลบงั คบั ต้งั แต่ ปี 2551 แต่กวา่
ท่ีคนกลุ่มน้ีจะย่ืนขอลงรายการสัญชาติได้ก็ปี 2555 เน่ืองจากต้องรอการแก้ไขสถานะของบตั รแรงงาน
ตา่ งดา้ ว

3. ปัญหาเรื่องความล่าชา้ และความไม่ต่อเนื่องของส่วนราชการที่เก่ียวขอ้ ง โดยเฉพาะการทางาน
ของอาเภอ จากกรณีศึกษา พบว่ากลุ่มคนลาวไร้สัญชาติ ท่ีเขา้ องค์ประกอบการขอสัญชาติตาม มาตรา 23
แห่งพระราชบญั ญตั ิสัญชาติฉบบั ท่ี 4 พ.ศ. 2551 จานวน 10 รายไดย้ ื่นคาร้องของลงรายการสัญชาติไปแลว้
ต้งั แต่ ปี 2555 แต่ยงั ไม่มีเอกสารตอบกลบั จากทางอาเภอ เม่ือไปติดต่อสอบถามก็ไดค้ าตอบเพียง เอกสาร
หาย เอกสารไม่ไดถ้ ูกส่งต่อจากปลดั คนเก่า หรือคนท่ีทาเกษียณไปแลว้ ซ่ึงกรณีความล่าชา้ ดงั กล่าวส่งผล
เสียหายอยา่ งยงิ่ ตอ่ การดาเนินการเร่ืองสัญชาติ และเป็นการลิดรอนสิทธิความเป็นพลเมืองของคนกลุ่มน้ี และ
ยงั ส่งผลต่อสถานะของบุตรของคนกลุ่มน้ีดว้ ย เน่ืองจากกลายเป็นคนไร้สัญชาติตามพอ่ แม่ไป ซ่ึงแมค้ นกลุ่ม
น้ีจะไดไ้ ปร้องเรียนที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติแลว้ เม่ือปี 2558 แต่กม็ ีหนงั สือตอบกลบั จากทาง
อาเภอว่าไม่พบหลกั ฐานการย่ืนคาร้อง ซ่ึงทางอาเภอให้ยื่นคาร้องใหม่ ซ่ึงจากปัญหาดงั กล่าวยิ่งทาให้การ
ดาเนินการเร่ืองสัญชาติล่าช้าออกไป อีกท้งั กระทบในเร่ืองการแสวงหาหลกั ฐานพยานเพื่อยืนยนั การเกิด
เน่ืองจากเวลาที่เนิ่นนานออกไปทาใหผ้ พู้ บเห็นการเกิด (หมอตาแย) หลายทา่ นเสียชีวติ ไป

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 491

จนิ ตนา เมืองแมน

ข้อเสนอแนะจากงานวจิ ยั

1. เนื่องจากการดาเนินการเร่ืองสัญชาติมีหน่วยงานราชการจานวนมากเขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง เสนอใหม้ ี
การดาเนินการในเร่ืองสญั ชาติอยา่ งบูรณาการ ลดข้นั ตอนที่ซบั ซอ้ นในการดาเนินการ มีแผนการทางานระยะ
ยาวสาหรับเรื่องปัญหาสัญชาติ มีการจดั สรรเงินและงบประมาณอยา่ งเพยี งพอ

2. จดั ใหม้ ีการทบทวนการกาหนดสถานะของคนไร้สัญชาติท่ีอยใู่ นประเทศไทยอยา่ งเป็นปัจจุบนั
และสอดคลอ้ งกบั สภาพความเป็ นจริง โดยคานึงถึงความมน่ั คงแห่งรัฐและความมนั่ คงของมนุษยค์ วบคู่
กนั ไป

492 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2

C H A P T E R 22

รายการอ้างองิ

กลั ยา เกียรติถาวรชยั . (2546). สิทธิในการก่อตง้ั ครอบครัวของคนไร้สัญชาติในประเทศไทย. วทิ ยานิพนธ์
ปริญญามหาบณั ฑิต, สาขากฎหมายมหาชน, คณะนิติศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.

คาสั่งกระทรวงมหาดไทยด่วนมาก ที่ มท.0309.1/ว1587 ลงวนั ท่ี 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551.
จินตนา เมืองแมน. (2555). ความสัมพนั ธ์ระหว่างแนวคิดว่าด้วยความเป็นพลเมืองและสัญชาติใน

พระราชบัญญตั ิสัญชาติกบั การผลิตสร้าง “คนไร้สัญชาติ” ในรัฐไทย. วทิ ยานิพนธ์ปริญญา
มหาบณั ฑิต, สาขาการปกครอง, คณะรัฐศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
จนั ทรา ธนะวฒั นาวงศ์ และคณะ. (2553). รายงานวิจัยเร่ือง แนวทางและกลไกการแก้ไขปัญหาของ
ความทับซ้อน/กากวมระหว่างคนไร้รัฐกบั แรงงานต่างด้าวสัญชาติลาว: กรณีศึกษาพืน้ ท่ีอาเภอ
บญุ ฑริก จังหวดั อุบลราชธานี. กรุงเทพฯ: สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการวิจยั (สกว.).
ชลิต ถาวรนุกิจกุล. (2547). บทวิเคราะห์แนวคิดทางการเมืองเบือ้ งหลังพระราชบัญญตั ิสัญชาติ พ.ศ. 2508.
วทิ ยานิพนธ์ปริญญามหาบณั ฑิต, ภาควิชาการปกครอง, สาขาวชิ าการปกครอง, คณะรัฐศาสตร์,
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ชุมพร ปัจจุสานนท.์ (2546). กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล สัญชาติ (ภาค 1). กรุงเทพฯ: วญิ ญูชน.
ดวงพร ศิลปวฒุ ิ. (2535). นโยบายของรัฐบาลไทยต่อผ้ลู ภี้ ัยกับปัญหาสิทธิมนษุ ยชน: กรณีศูนย์พนสั นิคม.
สารนิพนธ์ปริญญามหาบณั ฑิต, สาขาการปกครอง, คณะรัฐศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
ประสิทธ์ิ ปิ วาวฒั นพานิช. (2554). คาอธิบายกฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบคุ คล (พิมพค์ ร้ังที่ 2)
กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
ปิ่ นแกว้ อุ่นแกว้ . (2550). คนไร้รัฐ ไร้สัญชาติในรัฐไทย: เร่ืองเล่าของเส้นทางสู่การมี “ตวั ตน” บนแผ่นดิน
น.ี้ กรุงเทพฯ: วญิ ญูชน.
พระราชบญั ญตั ิสัญชาติ พ.ศ. 2508 ฉบบั ที่ 4 (แกไ้ ข พ.ศ. 2551). (2551, 27 กุมภาพนั ธ์). ราชกิจจานุเบกษา.
เล่มที่ 125 ตอนท่ี 39 ก.
พนั ธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร. (2534). เอกสารประกอบการสมั มนาเรื่อง "กฎหมายสัญชาติ: ปัญหา
และแนวทางแก้ไข”. กรุงเทพฯ: คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
พนั ธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร. (2538). คาอธิบายกฎหมายสัญชาติไทย ภายใต้ พ.ร.บ.สัญชาติ 2508
ซ่ึงถกู แก้ไขโดย พ.ร.บ.สัญชาติ (ฉบบั ที่ 2 และ 3) พ.ศ. 2535 (พมิ พค์ ร้ังท่ี 2 ฉบบั แกไ้ ข ปรับปรุง).
กรุงเทพฯ: นิติธรรม.

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 493

จนิ ตนา เมืองแมน

พนั ธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร. (2550). ความเป็ นไปไดท้ ่ีจะขจดั ความไร้รัฐใหแ้ ก่มนุษยใ์ นสังคมไทย:
ถอดประสบการณ์ของรัฐไทย. ใน รวมบทความงานวิชาการประจาปี 2550 (ครั้งที่ 3). กรุงเทพฯ:
คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.

รววี รรณ แพทยส์ มาน. (2560). การศึกษาของเดก็ ไร้สัญชาติ ตามนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ในประเทศไทย.
วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย, 9(3), 241-242.

ศิริศกั ด์ิ คชสวสั ด์ิ. (2554). คนไร้รัฐเมืองอุบล. สารแม่มนู , 8(กรกฎาคม 2552- มิถุนายน 2554), 27-28.
สุชาดา ทวสี ิทธ์ิ. (2552). พลเมืองจินตนาการกบั คนลาวไร้รัฐท่ีชายแดนภาคอีสาน. วารสารศิลปศาสตร์

มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี, ฉบบั พิเศษ, 72-126.
สุชาดา ทวสี ิทธ์ิ และสุรสม กฤษะจูฑะ. (2555). ภาวะไร้สัญชาติ – ไร้รัฐ ชายแดนอีสาน คนลาวอพยพ.

อุบลราชธานี: ศูนยว์ จิ ยั สงั คม อนุภูมิภาคลุ่มน้าโขง คณะศิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี.
สุวรรณี เขม็ เจริญ. (2547). สิทธิในการศึกษาของคนไร้สัญชาติในประเทศไทย. วทิ ยานิพนธ์ปริญญา

มหาบณั ฑิต, คณะนิติศาสตร์, มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
สานกั งานสถิติแห่งชาติ กระทรวงดิจิทลั เพ่อื เศรษฐกิจและสังคม. (2560). รายงานผลการสารวจข้อมลู

พืน้ ฐานของครัวเรือน พ.ศ. 2561 ทั่วราชอาณาจักร. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 10 พฤษภาคม 2562, เขา้ ถึงได้
จาก http://www.nso.go.th/sites/2014/DocLib13/2561.pdf
Mapp, S. C. (2008). Human R ights and Social Justice in a Global P erspective:
An Introduction to International Social Work. New York: Oxford University Press.
Silving, H. (1956). Nationality in Comparative Law. The American Journal of Comparative Law, 5(no.3
summer), 410-442.

494 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2

C H A P T E R 23

ตวั ชี้วดั ธรรมาภบิ าลทางกฎหมายกบั การระงบั ข้อพพิ าทโดยอนุญาโตตุลาการ*
Legal Governance Indicators and Arbitration Dispute Resolution

รัฐสิทธ์ิ คุรุสุวรรณ (Rattasidhi Kurusuwan)1
ยวุ ฒั น์ วฒุ ิเมธี (Yuwat Vuthimedhi)2

1รองศาสตราจารย,์ หลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าการจดั การ มหาวทิ ยาลยั สยาม
Doctor of Philosophy in Management, Siam University

2ศาสตราจารยพ์ เิ ศษ ดร., อาจารยท์ ี่ปรึกษาหลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต
สาขาวชิ าการจดั การ มหาวทิ ยาลยั สยาม

Prof. Dr., Advisor Doctor of Philosophy in Management, Siam University
E-mail: [email protected]

Received: 13 June 2019
Revised: 22 July 2019
Accepted: 21 August 2019

บทคดั ย่อ

บทความเรื่อง “ตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายกบั การระงบั ขอ้ พพิ าทโดยอนุญาโตตุลาการ”
มีวตั ถุประสงคเ์ พ่ือส่งเสริมหลกั ธรรมาภิบาลมาใชก้ บั การระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ โดยศึกษา
หาความสอดคล้องของตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายกบั การระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ”
นาไปสู่การพฒั นาสถาบนั อนุญาโตตุลาการให้เกิดความเชื่อถือและเป็ นที่ยอมรับของประชาชนในประเทศ
และนานาประเทศการบริหารภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) มีการนาแนวคิดเก่ียวกับ
การสร้างธรรมาภิบาล หรือการบริหารจดั การบ้านเมืองท่ีดี ให้เจา้ หน้าท่ีมีจริยธรรม คุณธรรม มุ่งให้
ประชาชนมีความเป็ นอยูท่ ี่ดี และการส่งเสริมให้เกิดการสร้าง ธรรมาภิบาลน้นั มาจากความร่วมมือของ
ท้งั สถาบนั ท้งั ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม โดยเฉพาะการนาหลกั ธรรมาภิบาลมาใชก้ บั การระงบั
ข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ซ่ึงเป็ นวิธีการระงบั ขอ้ พิพาทอีกทางเลือกหน่ึงอนั เป็ นที่ยอมรับของ

* งานวิจัยน้ีเป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยสยาม
ปี การศึกษา 2561

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 495

รัฐสิทธ์ิ ครุ ุสุวรรณ / ยวุ ฒั น์ วฒุ เิ มธี

ประชาคมโลก และเป็นที่นิยมใชใ้ นการแกบ้ ญั หาขอ้ โตแ้ ยง้ ระหวา่ งคู่กรณีมากข้ึน การนาหลกั ธรรมาภิบาล
ทางกฎหมายมาใชก้ บั การระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จะตอ้ งพิจารณาตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทาง
กฎหมายที่นามาใชก้ บั กระบวนการการระงบั ขอ้ พิพาท วา่ มีความสาคญั และมีความเหมาะสมและสามารถ
กาหนดขอบเขตที่นามาปรับใช้กับการทางานของอนุญาโตตุลาการแค่ไหน? อย่างไร? เพราะว่าต้อง
พิจารณาหลกั ธรรมาภิบาลที่มีหลายประเด็นท่ีไม่อาจครอบคลุมได้ท้งั หมด ซ่ึงจาเป็ นตอ้ งเลือกตวั ช้ีวดั
ธรรมาภิบาลทางกฎหมายที่มีความสัมพนั ธ์หรือความเกี่ยวขอ้ งและสามารถใชไ้ ดก้ บั กระบวนการการระงบั
ขอ้ พิพาทโดยเฉพาะ การนาตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลที่รัฐบาลกาหนดไวท้ ุกตวั มาใช้ ก็ยอ่ มเป็ นส่ิงที่เป็ นไปได้
ยากย่ิง เนื่องจากลกั ษณะการทางานของกระบวนการระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ เป็ นการใช้
อานาจตุลาการ เช่นเดียวกบั ผูพ้ ิพากษาท่ีแตกต่างจากหน่วยงานอื่น ๆ ที่เป็ นผูป้ ฏิบตั ิงานโดยตรง ดงั น้นั
การนาหลกั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายมาใช้กบั การระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จึงยอ่ มข้ึนอยู่กบั
ความเหมาะสม และขอบเขตท่ีนามาปรับใชก้ บั การทางานของอนุญาโตตุลาการ ไดแ้ ก่ ดา้ นนิติธรรม โดยมี
ตวั ช้ีวดั 5 ด้าน คือ ก. คุณธรรมและจริยธรรม ข. การเปิ ดเผยข้อเท็จจริง ค. หลักการรักษาความลับ
ง. การรับสินบนกบั ความรับผิดทางอาญาที่เกี่ยวกบั อนุญาโตตุลาการ และ จ. ความเสมอภาค และใช้
ตวั ประเมินคุณภาพของการดาเนินการ 10 ขอ้ คือ มุ่งไปยงั การประเมิน 1) ประสิทธิผล 2) ประสิทธิภาพ
3) การตอบสนอง 4) ภาระรับผิดชอบ 5) ความโปร่งใส 6) การมีส่วนร่วม 7) การกระจายอานาจ
8) นิติธรรม 9) ความเสมอภาค และ 10) มุ่งเนน้ ฉนั ทามติ เป็นตวั ช้ีวดั ความสัมฤทธิผลของการปฏิบตั ิงาน

คาสาคญั : ตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมาย, การระงบั ขอ้ พพิ าทโดยอนุญาโตตุลาการ, ความสัมฤทธิผล

Abstract

The article on "Legal Governance Indicators and Arbitration Dispute Resolution" aims to
promote good governance in dispute resolution by arbitration. By examining the consistency of the legal
governance indicators with the arbitration settlement "to promote and develop the institution of the
Arbitration to be trusted and accepted by many countries.

New Public Management has introduced the idea of creating good governance or good
governance to multiply the mind of the people. And the promotion of good governance. It is based on the
cooperation of both public, private and civil society. In particular, the introduction of good governance
applies to dispute settlement by arbitration. Another way of resolving the dispute is the acceptance of the
international community. And is used to resolve the dispute between the parties more. Applying Legal
Good Governance to Dispute Settlement by Arbitration It must consider the legal governance indicators

496 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2

C H A P T E R 23

that apply to the dispute resolution process. How important and appropriate is it and how can the scope
of the arbitration work be determined? How? It must be considered that many good governance principles
cannot be covered. It is necessary to select good legal or regulatory indicators that are relevant or relevant
and applicable to the specific dispute resolution process. Applying Government-set Good Governance
Indicators It is very difficult. Due to the nature of the dispute settlement process by arbitration. It's the
judicial power. Just like judges differ from other agencies that are direct operators. The adoption of legal
good governance applies to dispute settlement by arbitration. It depends on the appropriate. The scope
and scope of the arbitration shall be governed by the law, morals and ethics. Disclosure Maintain
transparency with confidentiality. Bribery with Criminal Liability Concerning Equal Arbitration

Keywords: Legal governance indicators, Dispute resolution by arbitration, Accomplishment

บทนา

การบริหารภาครัฐที่มีการเปลี่ยนแปลงในการนาหลกั ธรรมาภิบาล (Good Governance) เขา้ มา
ขบั เคลื่อนในการบริหารและจัดการการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) แนวคิดเกี่ยวกับ
การสร้างธรรมาภิบาลและการส่งเสริมใหเ้ กิดการสร้างธรรมาภิบาลน้นั มาจากความร่วมมือของสถาบนั
ท้ังภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาสังคม บทบาทของรัฐที่สาคัญน้ัน คือ รัฐเป็ นผู้มีบทบาทใน
การวางรากฐาน และรักษากฎระเบียบต่าง ๆ การสร้างธรรมาภิบาลของรัฐน้นั จาเป็ นตอ้ งอาศยั ระบบการ
จดั การภาครัฐที่มีประสิทธิภาพ มีภาระรับผิดชอบภายใตก้ ฎหมาย และ นโยบายท่ีโปร่งใส ตรวจสอบได้
ดงั น้นั จึงมีความจาเป็นอยา่ งยง่ิ ที่รัฐจะตอ้ งมีการปฏิรูประบบราชการ เพ่ือปรับปรุงระบบการบริหารจดั การ
ใหม้ ีประสิทธิภาพ และรับผิดชอบภายใตก้ รอบของกฎหมาย ซ่ึงจุดมุ่งหมายในการสร้างธรรมาภิบาลของ
ภาครัฐน้ัน จะตอ้ งพยายามปฏิรูปการบริหารจัดการให้ถูกต้องตามหลักเหตุผล และหน้าที่ มีระบบ
ความรับผิดชอบด้านการเงินที่มีประสิทธิภาพมาใช้ และให้มีความโปร่งใสการปฏิบตั ิงาน ยกระดับ
ความชานาญของภาครัฐใหม้ ีความทนั สมยั เป็ นตน้ ส่วนบทบาทขององคก์ ารภาคเอกชนและบทบาทของ
ประชาสังคม ที่มีต่อการสร้างธรรมาภิบาล คือ การรวมตวั กนั ของสาธารณชนในการต่อตา้ นการทุจริตและ
การประพฤติมิชอบ โดยรัฐควรมีการหามาตรการท่ีจะกระตุ้นให้เกิดการตระหนักถึงการทาผิด
จรรยาบรรณ เป็นตน้

คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 497

รัฐสิทธ์ิ คุรุสุวรรณ / ยวุ ฒั น์ วุฒเิ มธี

แนวคดิ หลกั ธรรมาภิบาล

ธรรมาภิบาล หมายถึง การปกครอง การบริหาร การจดั การควบคุมดูแลกิจการต่าง ๆ ให้เป็ นไป
ตามครรลองธรรม นอกจากน้ีคาวา่ “ธรรมาภิบาล” ยงั หมายถึงการบริหารจดั การที่ดี ซ่ึงสามารถนาไปใชไ้ ด้
ท้งั ภาครัฐและเอกชน ธรรมท่ีใช้ในการบริหารงานน้ีมีความหมายอยา่ งกวา้ ง กล่าวคือ หาไดม้ ีความหมาย
เพียงหลกั ธรรมทางศาสนาเท่าน้ัน แต่รวมถึง ศีลธรรม คุณธรรม จริยธรรม และความถูกตอ้ งชอบธรรม
ท้ังปวง ซ่ึงวิญญูชนพึงมีและพึงประพฤติปฏิบัติ อาทิ ความโปร่ งใสตรวจสอบได้โดยปราศจาก
การแทรกแซงจากองคก์ รภายนอกเป็นตน้ (ธรรมาภิบาลคืออะไร, ม.ป.ป., ออนไลน)์

ธรรมาภิบาล เป็ นหลกั การท่ีนามาใชบ้ ริหารงานในปัจจุบนั อยา่ งแพร่หลาย ดว้ ยเหตุเพราะช่วย
สร้างสรรคแ์ ละส่งเสริมองคก์ รใหม้ ีศกั ยภาพและประสิทธิภาพ อาทิ พนกั งานต่างทางานอยา่ งซื่อสัตยส์ ุจริต
และขยันหมั่นเพียร ทาให้ผลประกอบการขององค์กรธุรกิจน้ันขยายตัว นอกจากน้ีแล้วยังทาให้
บุคคลภายนอกท่ีเกี่ยวขอ้ ง ศรัทธาและเช่ือมนั่ ในองค์กรน้นั ๆ อนั จะทาใหเ้ กิดการพฒั นาอยา่ งต่อเนื่อง เช่น
องค์กรท่ีโปร่งใส ย่อมไดร้ ับความไวว้ างใจในการร่วมทาธุรกิจ รัฐบาลท่ีโปร่งใสตรวจสอบได้ ยอ่ มสร้าง
ความเช่ื อม่ันให้แก่นักลงทุนและประชาชน ตลอดจนส่ งผลดีต่อเสถียรภาพของรัฐบาลและ
ความเจริญกา้ วหนา้ ของประเทศ เป็นตน้

ธรรมาภิบาลจึงทาหนา้ ที่เป็ นกลไก เครื่องมือ และแนวทางการดาเนินงานที่เช่ือมโยงกนั ของภาค
เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง โดยเนน้ ความจาเป็ นของการสร้างความร่วมมือจากภาครัฐ ภาค เอกชน และ
ภาคประชาชน อย่างจริงจังและต่อเน่ือง เพื่อให้ประเทศมีพ้ืนฐานระบอบประชาธิปไตยท่ีแท้จริ ง
มีความชอบธรรมของกฎหมาย มีเสถียรภาพ มีโครงสร้าง และกระบวนการบริหารที่มีประสิทธิภาพ
มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ อนั จะไปสู่การพฒั นาท่ียงั่ ยนื (รัชยา ภกั ดีจิตต,์ 2555, หนา้ 21)

ดังน้ัน หากพจิ ารณาความหมายของธรรมาภิบาล หมายถึง การบริหารกิจการบา้ นเมืองและสังคม
ท่ีดี เป็ นแนวทางสาคญั ในการจดั ระเบียบให้สังคมรัฐ ภาคธุรกิจเอกชน และภาคประชาชน ซ่ึงครอบคลุมถึง
ฝ่ ายวชิ าการ ฝ่ ายปฏิบตั ิการ ฝ่ ายราชการ ฝ่ ายธุรกิจเอกชน และฝ่ ายประชาชน สามารถอยรู่ ่วมกนั อยา่ งสงบสุข
มีความรู้รักษส์ ามคั คีและร่วมกนั เป็ นพลงั ก่อให้เกิดการพฒั นาอยา่ งยง่ั ยืน และเป็ นส่วนเสริมความเขม้ แข็ง
หรือสร้างภูมิคุม้ กนั แก่ประเทศ เพ่ือบรรเทาป้องกนั หรือแกไ้ ขเยียวยาภาวะวิกฤติ ภยนั ตรายที่หากจะมีมาใน
อนาคต เพราะสังคมจะรู้สึกถึงความยุติธรรม ความโปร่งใส และความมีส่วนร่วม อนั เป็ นคุณลกั ษณะสาคญั
ของศกั ด์ิศรีความเป็ นมนุษย์ และการปกครอง แบบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นพระประมุข
สอดคลอ้ งกบั ความเป็ นไทย รัฐธรรมนูญ และกระแสโลกยุคปัจจุบนั (ระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรีว่าดว้ ย
การบริหารกิจการบา้ นเมืองและสังคมท่ีดี พ.ศ. 2542)

โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในประเด็นของการเสริมสร้างธรรมาภิบาลที่ดีในระบบราชการ รัฐบาลจึงได้
ประกาศใชพ้ ระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการบริหารกิจการที่ดี พ.ศ. 2546 ข้ึนมา ดว้ ยเล็งเห็นวา่

498 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2

C H A P T E R 23

หลักธรรมาภิบาลเป็ นพ้ืนฐานสาคญั ต่อการบริหารงานภาครัฐแนวใหม่และมิใช่หลักการท่ีเป็ นเพียงแต่
รูปแบบทฤษฎีการบริหารงานเท่าน้นั แต่เป็ นหลกั การการทางาน ซ่ึงหากมีการนามาใชเ้ พื่อการบริหารแลว้
จะเกิดความเช่ือมน่ั ว่าจะนามาซ่ึงผลลพั ธ์ท่ีดีที่สุดคือ ความเป็ นธรรม ความสุจริต ความมีประสิทธิภาพ
ประสิทธิผล และความสัมฤทธิผล โดยสานกั งาน ก.พ. ไดก้ าหนดเสนอเป็ นระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรีวา่
หลกั ธรรมาภิบาลน้นั ประกอบดว้ ย 6 หลกั การ คือ

1. หลกั นิติธรรม
2. หลกั คุณธรรม
3. หลกั ความโปร่งใส
4. หลกั ความมีส่วนร่วม
5. หลกั ความรับผดิ ชอบ
6. หลกั ความคุม้ ค่า
ต่อมาสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) ในการประชุมคร้ังที่ 7/2554
เมื่อวนั ท่ี 21 พฤศจิกายน 2554 ไดม้ ีมติเห็นชอบขอ้ เสนอแผนการส่งเสริมและพฒั นาธรรมาภิบาลในภาค
ราชการเพ่ือ การบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดีอย่างยง่ั ยืน และให้นาเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
คณะรัฐมนตรีในการประชุมเม่ือวนั ท่ี 24 เมษายน 2555 ไดม้ ีมติเห็นชอบกบั ขอ้ เสนอดงั กล่าว
สาหรับกรอบหลักธรรมาภิบาลของการบริ หารกิจการบ้านเมืองท่ีดี (Good Government
Framework) ประกอบดว้ ย 4 หลกั การสาคญั และ 10 หลกั การยอ่ ย ดงั น้ี
1) การบริหารจัดการภาครัฐแนวใหม่ (New Public Management) ประกอบดว้ ย

- ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการตอ้ งใช้ทรัพยากรอย่างประหยดั
เกิดผลิตผลที่คุม้ ค่าต่อการลงทุนและบงั เกิดประโยชน์สูงสุดต่อส่วนรวม ท้งั น้ี ตอ้ งมีการลดข้นั ตอนและ
ระยะเวลาในการปฏิบตั ิงานเพ่ืออานวยความสะดวก และลดภาระค่าใชจ้ ่าย ตลอดจนยกเลิกภารกิจที่ลา้ สมยั
และไม่มีความจาเป็ น

- ประสิทธิผล (Effectiveness) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการตอ้ งมีวิสัยทศั น์เชิงยุทธศาสตร์
เพ่ือตอบสนองความต้องการของประชาชนและผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ าย ปฏิบัติหน้าที่ตามพนั ธกิจ
ให้บรรลุวตั ถุประสงคข์ ององค์การ มีการวางเป้าหมายการปฏิบตั ิงานท่ีชดั เจนและอยูใ่ นระดบั ที่ตอบสนอง
ต่อความคาดหวงั ของประชาชน สร้างกระบวนการปฏิบตั ิงานอยา่ งเป็ นระบบและมีมาตรฐาน มีการจดั การ
ความเสี่ยง และมุ่งเน้นผลการปฏิบตั ิงานเป็ นเลิศ รวมถึงมีการติดตามประเมินผลและพฒั นาปรับปรุงการ
ปฏิบตั ิงานใหด้ ีข้ึนอยา่ งตอ่ เน่ือง

- “การตอบสนอง” (Responsiveness) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการตอ้ งสามารถใหบ้ ริการได้
อยา่ งมีคุณภาพ สามารถดาเนินการแลว้ เสร็จภายในระยะเวลาที่กาหนด สร้างความเชื่อมนั่ ไวว้ างใจ รวมถึง

คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 499

รัฐสิทธ์ิ ครุ ุสุวรรณ / ยุวฒั น์ วฒุ เิ มธี

ตอบสนองตามความคาดหวงั / ความต้องการของประชาชนผูร้ ับบริการ และผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสียที่มี
ความหลากหลายและมีความแตกตา่ งกนั ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม

2) ค่านิยมประชาธิปไตย (Democratic Value) ประกอบดว้ ย
- ภาระรับผดิ ชอบ/ สามารถตรวจสอบได้ (Accountability) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการตอ้ ง

สามารถตอบคาถามและช้ีแจงไดเ้ ม่ือมีขอ้ สงสยั รวมท้งั ตอ้ งมีการจดั วางระบบการรายงานความกา้ วหนา้ และ
ผลสัมฤทธ์ิตามเป้าหมาย ท่ีกาหนดไวต้ ่อสาธารณะเพื่อประโยชน์ในการตรวจสอบและการให้คุณให้
โทษ ตลอดจนมีการจดั เตรียมระบบการแกไ้ ขหรือบรรเทาปัญหาและผลกระทบใด ๆ ที่อาจจะเกิดข้ึน

- เปิ ดเผย/ โปร่งใส (Transparency) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องปฏิบัติงานด้วย
ความซ่ือสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา รวมท้งั ต้องมีการเปิ ดเผยข้อมูลข่าวสารที่จาเป็ นและเช่ือถือได้ให้
ประชาชนไดร้ ับทราบอยา่ งสม่าเสมอ ตลอดจนวางระบบใหก้ ารเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสารดงั กล่าวเป็นไปโดยง่าย

- หลกั นิติธรรม (Rule of Law) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการตอ้ งใช้อานาจของกฎหมาย
กฎระเบียบ ขอ้ บงั คบั ในการปฏิบตั ิงานอยา่ งเคร่งครัด ดว้ ยความเป็ นธรรม ไม่เลือกปฏิบตั ิ และคานึงถึงสิทธิ
เสรีภาพของประชาชนและผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียฝ่ ายตา่ ง ๆ

- ความเสมอภาค (Equity) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการตอ้ งให้บริการอยา่ งเท่าเทียมกนั ตาม
กฎหมาย กฎระเบียบ วฒั นธรรม ศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณีไม่มีการแบ่งแยกดา้ นเพศ ถิ่นกาเนิด
เช้ือชาติ ภาษา เพศ อายุ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม
ความเชื่อทางศาสนา การศึกษาอบรม และอ่ืน ๆ อีกท้งั ยงั ตอ้ งคานึงถึงโอกาสความเท่าเทียมกนั ของการเขา้ ถึง
บริการสาธารณะของกลุ่มบุคคลผดู้ อ้ ยโอกาสในสงั คมดว้ ย

3) ประชารัฐ (Participatory State) ประกอบดว้ ย
- การมีส่วนร่วม/ การพยายามแสวงหาฉนั ทามติ (Participation/ Consensus Oriented) หมายถึง

ในการปฏิบตั ิราชการตอ้ งรับฟังความคิดเห็นของประชาชน รวมท้งั ให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการรับรู้
เรียนรู้ ทาความเข้าใจ ร่วมแสดงทศั นะ ร่วมเสนอปัญหา/ ประเด็นท่ีสาคญั ที่เกี่ยวข้องร่วมคิดแก้ไขร่วม
ตดั สินใจและการดาเนินงานและร่วมตรวจสอบติดตามผลการปฏิบตั ิงาน ท้งั น้ีตอ้ งมีความพยายามในการ
แสวงหาฉนั ทามติหรือขอ้ ตกลงร่วมกนั ระหว่างกลุ่มผูม้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย โดยเฉพาะกลุ่มที่ไดร้ ับผลกระทบ
โดยตรงจะตอ้ งไม่มีขอ้ คดั คา้ นท่ีหาขอ้ ยตุ ิไมไ่ ดใ้ นประเด็นท่ีสาคญั

- การกระจายอานาจ (Decentralization) หมายถึง ในการปฏิบตั ิราชการควรมีการมอบอานาจ
และกระจายความรับผิดชอบในการตดั สินใจและ การดาเนินการใหแ้ ก่ผปู้ ฏิบตั ิงานในระดบั ต่าง ๆ ไดอ้ ยา่ ง
เหมาะสม รวมท้งั มีการโอนถ่ายบทบาทและภารกิจใหแ้ ก่องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ินหรือภาค ส่วนอื่น ๆ
ในสังคม

500 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2


Click to View FlipBook Version