C H A P T E R 23
4) ความรับผดิ ชอบทางการบริหาร (Administrative Responsibility) ประกอบดว้ ย
- คุณธรรม/ จริยธรรม (Morality/ Ethics) หมายถึง ในการปฏิบัติราชการต้องมีจิตสานึก
ความรับผิดชอบในการปฏิบตั ิหน้าที่ให้เป็ นไปอย่างมีศีลธรรม คุณธรรม และตรงตามความคาดหวงั ของ
สังคม รวมท้งั ยึดมนั่ ในค่านิยมหลักของมาตรฐานจริยธรรมสาหรับผูด้ ารงตาแหน่งทางการ เมืองและ
เจา้ หน้าท่ีของรัฐ ประมวลจริยธรรมขา้ ราชการพลเรือน และจรรยาบรรณวิชาชีพ ตลอดจน คุณลกั ษณะ
ท่ีพึงประสงคข์ องระบบราชการไทย 8 ประการ/ IAMREADY
I –Integrity ซื่อสัตยแ์ ละกลา้ ยนื หยดั ในส่ิงที่ถูกตอ้ ง
A - Activeness ทางานเชิงรุก คิดเชิงบวกและมีจิตบริการ
M - Morality มีศีลธรรม คุณธรรมและจริยธรรม
R - Responsiveness คานึงถึงประโยชน์สุขของประชาชนเป็นที่ต้งั
E - Efficiency มุ่งเนน้ ประสิทธิภาพ
A - Accountability ตรวจสอบได้
D - Democracy ยดึ มนั่ ในหลกั ประชาธิปไตย
Y - Yield มุ่งผลสมั ฤทธ์ิ
(หลกั ธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบา้ นเมืองที่ดี, ม.ป.ป., ออนไลน)์
กระบวนการการระงบั ข้อพพิ าทโดยอนุญาโตตุลาการ
สถาบนั อนุญาโตตุลาการ สานกั งานศาลยุติธรรมไดด้ าเนินการก่อต้งั สถาบนั อนุญาโตตุลาการมา
ต้งั แต่ พ.ศ. 2533 มีความเช่ียวชาญและพร้อมประสบการณ์ใหบ้ ริการอนุญาโตตุลาการเป็ นอยา่ งดี เพ่อื อานวย
ความสะดวกแก่คูส่ ัญญาใหเ้ กิดความรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพที่สุด
การอนุญาโตตุลาการ คือ หลกั และวิธีในกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยเสนอข้อพิพาทที่เกิดขึน้
แล้วหรือที่จะเกิดขึน้ ในอนาคตให้บุคคลภายนอก ซึ่งเรียกว่า อนุญาโตตุลาการ เป็ นผู้ทาการพิจารณาชี้ขาด
โดยคู่กรณผี กู พนั ทจี่ ะต้องปฏิบตั ิตามคาชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
การระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการเป็ นวิธีการระงบั ขอ้ พิพาทอีกทางเลือกหน่ึงอนั เป็ นท่ี
ยอมรับของประชาคมโลกและเป็ นที่นิยมใช้ในการแก้บัญหาข้อโต้แย้งระหว่างคู่กรณี มากข้ึน
ในกระบวนการการระงับข้อพิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ เม่ือคู่พิพาทมีความสมคั รใจเลือกใช้ระบบ
อนุญาโตตุลาการยอ่ มทาให้กระบวนการพิจารณาเป็ นไปโดยความสะดวก รวดเร็ว และประหยดั ค่าใชจ้ ่าย
โดยคาช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจะมีผลผูกพนั ให้คู่ความตอ้ งปฏิบตั ิตาม ซ่ึงมีสัญญาท่ีสามารถระงับ
ขอ้ พิพาทไดโ้ ดยระบบการอนุญาโตตุลาการ ไดแ้ ก่ การทาสัญญาที่เกิดจากการคา้ และการลงทุน ตลอดจน
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 501
รัฐสิทธ์ิ ครุ ุสุวรรณ / ยุวฒั น์ วฒุ เิ มธี
สญั ญาทางแพง่ และพาณิชย์ เช่น สัญญาซ้ือขาย สัญญาเช่า สัญญารับเหมาก่อสร้าง สัญญาประกนั ภยั สัญญา
รับขนส่ง สญั ญาเกี่ยวกบั หุน้ ส่วนบริษทั สญั ญาเฟรนไซส์ สญั ญาใหใ้ ชเ้ ครื่องหมายการคา้ เป็นตน้
หากมีขอ้ พิพาทเกิดข้ึน คู่สัญญาสามารถตกลงระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ โดยอาจทา
ขอ้ สัญญาหน่ึงในสัญญาหลัก หรืออาจทาเป็ นสัญญาอนุญาโตตุลาการแยกออกมาต่างหากก็ได้ เม่ือมี
ขอ้ สัญญาแลว้ คู่พิพาทอาจดาเนินการระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุโตตุลาการเฉพาะกิจ (Ad Hoc Arbitrator) หรือ
อ า จ จ ะ ใ ห้ ส ถ า บ ัน อ นุ ญ า โ ต ตุ ล า ก า ร ด า เ นิ น ก า ร ช่ ว ย อ า น ว ย ค ว า ม ส ะ ด ว ก ใ น ก า ร ด า เ นิ น ก า ร ใ น ท า ง
อนุญาโตตุลาการก็ได้
การเริ่มตน้ กระบวนการอนุญาโตตุลาการมีวิธีการดงั น้ี คู่พิพาทท่ีมีความประสงคร์ ะงบั ขอ้ พิพาท
โดยอนุญาโตตุลาการ สามารถยื่นขอ้ เรียกร้องต่อสถาบนั อนุญาโตตุลาการ สานกั งานศาลยุติธรรม โดยทา
เป็ นคาเสนอข้อพิพาทที่ระบุของสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างท่ีอาศัยเป็ นหลักแห่งข้อหา ข้อสัญญา
อนุญาโตตุลาการ จานวนอนุญาโตตุลาการ และคาขอคลา้ ยกบั คาฟ้องในคดีแพง่ นนั่ เอง เม่ือสถาบนั ฯไดส้ ่ง
ขอ้ เสนอแลว้ ก็จะดาเนินการส่งขอ้ พิพาทใหก้ บั คู่พิพาทอีกฝ่ ายหน่ึง ซ่ึงเรียกวา่ “ผคู้ ดั คา้ น” เพ่ือใหท้ ราบและ
ดาเนินการยน่ื คาคดั คา้ นและขอ้ เรียกร้องแยง้ ภายใน 15 วนั
การแต่งต้งั อนุญาโตตุลาการ คู่พพิ าทเป็ นผแู้ ต่งต้งั ตามกฎหมายกาหนดใหค้ ณะอนุญาโตตุลาการ
ประกอบดว้ ยอนุญาโตตุลาการเป็นจานวนเลขคี่ ในกรณีที่คู่พพิ าทกาหนดจานวนอนุญาโตตุลาการเป็ นเลขคู่
ให้อนุญาโตตุลาการร่วมกันต้งั อนุญาโตตุลาการเพ่ิมอีกหน่ึงคนเป็ นประธานคณะอนุญาโตตุลาการ
(ตามพระราชบญั ญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545) โดยส่วนมากจะกาหนด 1-2 คน โดยอาจมีการระบุ
จานวนอนุญาโตตุลาการไวใ้ นขอ้ สาคญั และกาหนดจานวนอนุญาโตตุลาการในภายหลงั ก็ได้ บุคคลที่ไดร้ ับ
การแต่งต้งั เป็ นอนุญาโตตุลาการตอ้ งมีความเป็ นกลาง และเป็ นอิสระ รวมท้งั ตอ้ งมีคุณสมบตั ิตามที่กาหนด
ไวใ้ นสัญญาอนุญาโตตุลาการ
เม่ือมีการแต่งต้ังคณะอนุญาโตตุลาการแล้ว คณะอนุญาโตตุลาการกาหนดกรอบระยะเวลา
เบ้ืองตน้ กบั คู่พิพาท กาหนดประเด็นขอ้ พิพาทและกระบวนพิจารณา กาหนดภาษาที่ใชใ้ นกระบวนพิจารณา
กาหนดกรอบระยะเวลาเบ้ืองตน้ ในการพิจารณา ระยะเวลาในการยื่นพยานเอกสาร กาหนดวนั สืบ สิ้นสุด
กระบวนพจิ ารณา มีกาหนดไม่เกิน 180 วนั ในการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ ใหค้ ู่พิพาทไดร้ ับการ
ปฏิบตั ิอย่างเท่าทียมกัน และให้มีโอกาสนาสืบพยานหลกั ฐานและเสนอขอ้ อ้างข้อต่อสู้ของตนได้ตาม
พฤติการณ์แห่งขอ้ พพิ าท
502 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 23
ตัวชี้วดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายทนี่ ามาใช้กบั กระบวนการการระงบั ข้อพพิ าท
การนาหลกั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายมาใช้กบั การระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ จะตอ้ ง
พิจารณาตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายที่นามาใช้กบั กระบวนการการระงบั ขอ้ พิพาท ว่ามีความสาคญั
และมีความเหมาะสมและสามารถกาหนดขอบเขตท่ีนามาปรับใช้กบั การทางานของอนุญาโตตุลาการ
แค่ไหน? อย่างไร? เพราะว่าต้องพิจารณาหลกั ธรรมาภิบาลที่มีหลายขอ้ ไม่อาจครอบคลุมได้ท้ังหมด
ซ่ึงจาเป็ นท่ีตอ้ งเลือกตัวชี้วัดธรรมาภิบาลทางกฎหมายที่มีความสัมพนั ธ์หรือความเกี่ยวขอ้ งและสามารถ
ใช้ได้กบั กระบวนการการะงบั ขอ้ พิพาทโดยเฉพาะ การนาตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลท่ีรัฐบาลกาหนดไวท้ ุกตวั
ย่อมเป็ นส่ิงท่ีเป็ นไปได้ยากยิ่ง เน่ืองจากลักษณะการทางานของกระบวนการระงับข้อพิพาทโดย
อนุญาโตตุลาการ เป็นการใชอ้ านาจตุลาการเช่นเดียวกบั ผพู้ ิพากษา
ตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายน้ีประกอบไปดว้ ย หลกั การสาคญั ยอ่ ยๆหลายประการ แลว้ แต่
วตั ถุประสงคข์ ององคก์ รที่นามาใช้ หลกั การท่ีมีผูน้ าไปใช้เสมอคือ การมีส่วนร่วมของประชาชน การมุ่ง
ฉันทามติ การมีสานึกรับผิดชอบ ความโปร่ งใส การตอบสนอง ประสิ ทธิผลและประสิ ทธิภาพ
ความเท่าเทียมกนั และการคานึงถึงทุกกลุ่ม หรือพหุภาคี เป็ นตน้ การปฏิบตั ิตามหลกั นิติธรรมระเบียบสานกั
นายกรัฐมนตรีวา่ ดว้ ยการบริหารกิจการบา้ นเมืองและสังคมท่ีดีน้นั ไดก้ าหนดปัจจยั ท่ีเป็ นองคป์ ระกอบหลกั
ของธรรมาภิบาลไวจ้ านวน 6 ปัจจยั คือ 1) หลักนิติธรรม 2) หลักคุณธรรม 3) หลักความโปร่งใส
4) หลกั ความมีส่วนร่วม 5) หลกั ความรับผดิ ชอบ และ 6) หลกั ความคุม้ คา่
วิลาส ทองสุทธ์ิ (2551, หน้า 168) ไดใ้ ห้ขอ้ คิดว่าความรู้และความเขา้ ใจของปัจเจกชนเก่ียวกบั
หลกั ธรรมาภิบาลจะแตกต่างกนั ปัญหาดงั กล่าวจะเป็ นไปไดห้ รือสามารถตรวจสอบกนั ได้ ก็คือ การจัดทา
ตัวช้ัวดั เพือ่ ทาให้บุคคลที่หยบิ ยกตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลมาใชใ้ นการตรวจสอบตนเอง หรือผอู้ ่ืนหรือหน่วยงาน
อื่นไดส้ ะดวกและง่ายยงิ่ ข้ึน
สานกั คณะกรรมการพฒั นาขา้ ราชการพลเรือนไดก้ าหนดตวั ช้ีวดั หลกั ธรรมาภิบาลไว้ 10 ประการ
ได้แก่ 1) หลักประสิทธิผล (Effectiveness) 2) หลักประสิทธิภาพ (Efficiency) 3) หลักการตอบสนอง
(Responsiveness) 4) หลักภาระรับผิดชอบ (Accountability 5) หลักความโปร่ งใส (Transparency)
6)หลกั การมีส่วนร่วม (Participation) 7) หลกั การกระจายอานาจ (Decentralization) 8) หลกั นิติธรรม (Rule
of Law) 9) หลกั ความเสมอภาค (Equity) 10) หลกั มุ่งเน้นฉนั ทามติ (Consensus Oriented) ซ่ึงเป็ นตวั ช้ีวดั ที่
สาคญั ท่ีมีการนามาใช้ในประเทศไทยอย่างกวา้ งขวางอยู่ ในปัจจุบนั น้ี แต่ก็มีคาถามว่าตวั ช้ีวดั ต่าง ๆ
น้ีหมายถึงอะไร? แลว้ จะทราบไดอ้ ยา่ งไรวา่ ตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลตวั ใดจะใชไ้ ดม้ ากหรือนอ้ ยหรือไม่ อยา่ งไร
และในกรณีพิพาทอะไร คาตอบท่ีอาจเป็ นไปได้ก็คือการจดั ทาตวั ช้ีวดั เพ่ือผูใ้ ช้จะไดเ้ ขา้ ใจและนาไปใช้
ตรวจสอบตนเองและผอู้ ื่นหรือหน่วยงานอ่ืนไดเ้ หมาะสมเป็นกรณีไป
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 503
รัฐสิทธ์ิ คุรุสุวรรณ / ยวุ ฒั น์ วฒุ เิ มธี
อย่างไรก็ตาม หลักการท่ีมีผู้นาไปใช้ในการระงับข้อพิพาทโดยอนุ ญาโตตุลาการ
ซ่ึงอนุญาโตตุลาการมีหนา้ ท่ีพิจารณาตดั สินขอ้ พพิ าทและมีคาช้ีชาด จึงมีความแตกต่างกบั ลกั ษณะเฉพาะของ
ผูป้ ฏิบตั ิงานในลกั ษณะอื่น ๆ ซ่ึงตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลกั เกณฑ์และวิธีการการบริหารกิจการ
บา้ นเมืองทีดี พ.ศ. 2546 ไดบ้ ญั ญตั ิไวช้ ดั เจนวา่ ใหใ้ ชบ้ งั คบั แก่หน่วยงาน ดงั น้ี
1. ส่วนราชการในทุกกระทรวง ทบวง กรม ราชการส่วนภูมิภาค รวมท้งั หน่วยงานอื่นของรัฐที่
อยใู่ นกากบั ของราชการฝ่ ายบริหาร
2. สาหรับรัฐวสิ าหกิจ องคก์ ารมหาชน และองคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน ซ่ึงกฎหมายในการจดั ต้งั
ให้อานาจอิสระ (Autonomy) ในการบริหารองค์กรของตน จึงไม่สามารถนาพระราชกฤษฎีกาฉบบั น้ีไป
บงั คบั ใช้ได้โดยตรง แต่ให้องคก์ รเหล่าน้ีไปกาหนดเป็ นหลกั เกณฑ์และวิธีการของแต่ละองค์กร ท้งั น้ีให้
สอดคลอ้ งกบั พระราชกฤษฎีกาน้ี
ดงั น้นั การนาหลกั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายมาใช้กบั การระงบั ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ
จึงย่อมข้ึนอยู่กบั ความเหมาะสม และขอบเขตท่ีนามาปรับใช้กบั การทางานของอนุญาโตตุลาการ ได้แก่
หลักนิติธรรมโดยมีตัวช้ีวัดคือ 1) ด้านคุณธรรมและจริ ยธรรม 2) การเปิ ดเผยข้อเท็จจริ งก่อนที่
อนุญาโตตุลาการจะเขา้ รับหนา้ ที่ 3) การรักษาความลบั ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ 4) การรับสินบน
กบั ความรับผิดทางอาญาที่เก่ียวกบั อนุญาโตตุลาการ ความเสมอภาคกบั วิธีพิจารณาช้นั อนุญาโตตุลาการ
ดงั จะไดอ้ ธิบายตามลาดบั ในหัวขอ้ การนาหลกั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายมาใชก้ บั การระงบั ขอ้ พิพาทโดย
อนุญาโตตุลาการ ดงั น้ีวิจยั คร้ังน้ี ผูว้ จิ ยั ไดก้ าหนดเอาหลกั ธรรมาภิบาลดา้ นหลกั นิติธรรมมาใชโ้ ดยกาหนด
ตวั ช้ีวดั หลธั รรมาภิบาลทางกฎหมาย 5 ตวั ช้ีวดั
หลกั ธรรมาภบิ าลทางกฎหมายมาใช้กบั การระงับข้อพพิ าทโดยอนุญาโตตุลาการ
หลกั ธรรมาภิบาลทางกฎหมาย หรือหลกั ธรรามภิบาลดา้ นนิติธรรม หมายถึง “หลกั พ้ืนฐานแห่ง
กฎหมายท่ีใชก้ ระบวนการยตุ ิธรรม จะตอ้ งไม่ฝ่ าฝื น ขดั หรือ แยง้ หลกั นิติธรรม และหลกั นิติธรรมน้ีจะถูก
ล่วงละเมิดไม่ได้ สาระสาคญั ไดแ้ ก่ 1) หลกั ความเป็ นอิสระของผูพ้ ิพิพากษา 2) กฎหมายไม่มีผลเป็ นโทษ
ยอ้ นหลงั 3) กฎหมายตอ้ งมีการประกาศใชแ้ ก่ประชาชนทราบและตอ้ งใชบ้ งั คบั เป็ นการทว่ั ไป 5) เจา้ หนา้ ท่ี
รัฐจะใช้อานาจได้ ภายใตก้ ารให้อานาจโดยกฎหมาย 6) ห้ามยกเวน้ ความรับผิดให้การกระทาในอนาคต ”
(โกวทิ วงศส์ ุรวฒั น์, 2559)
ดงั น้ันการนาหลกั นิติธธรมมาใช้กบั อนุญาโตตุลาการซ่ึงมีหน้าท่ีและความรับผิดชอบในการ
พิจารณาช้ีขาดขอ้ พพาทเ่ั กิดข้ึนในคดีแพ่งและพาณิชยน์ ้ัน การตีความต้องยึดตวั บทกฎหมายท่ีมีอยู่ใน
ขณะน้นั จะใชก้ ฎหมายตามอาเภอใจหาไดไ้ ม่ อนุญาโตตุลาการจึงตอ้ งยดึ และปฏิบตั ิตามท่ีกฎหมายบญั ญตั ิ
และใหอ้ านาจไวเ้ ท่าน้นั
504 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 23
ตัวชี้วดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมาย
1) ด้านคุณธรรม และจริยธรรม
สถาบนั อนุญาโตตตุลาการ ไดจ้ ดั ให้มีประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ ซ่ึงอุดมการณ์ของ
อนุญาโตตุลาการมีว่า “อนุญาโตตุลาการต้องดารงไว้ซ่ึงความบริ สุ ทธ์ิยุติธรรมของกระบวนการ
อนุญาโตตุลาการ” ดงั น้ันความสาเหนียกในการปฏิบตั ิหน้าท่ีของอนุญาโตตุลาการที่สาคญั ต้องยึดม่นั
“ความบริสุทธ์ิยุติธรรม” ตอ้ งมีมโนธรรม และจริยธรรมในการปฏิบตั ิหนา้ ที่การอานวยความยุติธรรมของ
การเป็ นผูท้ าหนา้ ท่ีตดั สินขอ้ พิพาทไม่เขา้ ขา้ งฝ่ ายหน่ึงฝ่ ายใด อนั เป็ นเหตุให้การตดั สินคดีเกิดความลาเอียง
ดงั น้นั อนุญาโตตุลาการไม่ว่าจะมาจากการแต่งต้งั ของคู่พิพาทฝ่ ายใดจะตอ้ งวางตน เป็ นกลาง และปฏิบตั ิ
หนา้ ท่ีดว้ ยความเป็นอิสระและใหค้ วามเป็นธรรมแก่คูพ่ ิพาทท้งั สองฝ่ าย
2) การเปิ ดเผยข้อเทจ็ จริงก่อนทอี่ นุญาโตตุลาการจะเข้ารับหน้าที่
อนุญาโตตุลาการที่ได้รับการร้องขอให้เป็ นอนุญาโตตุลาการ ก่อนท่ีจะเขา้ รับหน้าท่ี จะตอ้ ง
เปิ ดเผยขอ้ เท็จจริง ซ่ึงในความรู้สึกของคูพ่ ิพาทอาจเกิดความสงสัยในความเป็ นอิสระความเป็ นกลางของตน
ดงั น้ี
1. บุคคลใดท่ีไดร้ ับการร้องขอให้เป็ นอนุญาโตตุลาการ ก่อนที่จะเขา้ รับหนา้ ท่ีจะตอ้ งเปิ ดเผย
ขอ้ เท็จจริง ซ่ึงในความรู้สึกของคู่พิพาทอาจเกิดความสงสัยอนั สมควรในความเป็ นอิสระความเป็ นกลาง
ของตน ดงั ตอ่ ไปน้ี (ประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ สถาบนั อนุญาโตตุลาการหมวด 3 จริยธรรมในการ
เปิ ดขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ 12)
(1) ผลประโยชน์ทางการเงินหรือผลประโยชนอ์ ่ืนใดไม่วา่ โดยตรงหรือ โดยออ้ มในผลของ
การอนุญาโตตุลาการ
(2) ขอ้ เท็จจริงเก่ียวกบั การเงิน ธุรกิจไม่ว่าในอดีตหรือปัจจุบนั ขอ้ เท็จจริงเก่ียวกบั อาชีพ
ความสมั พนั ธ์ทางครอบครัวหรือทางสงั คม ซ่ึงน่าจะมีผลกระทบต่อความเป็นอิสระและเป็นกลาง ขอ้ เทจ็ จริง
เหล่าน้ี ไม่วา่ ผูท้ ่ีไดร้ ับการร้องขอใหเ้ ป็ นอนุญาโตตุลาการเอง สมาชิกในครอบครัว นายจา้ ง หรือผูร้ ่วมธุรกิจ
ของตนจะมีความเกี่ยวพนั กบั อนุญาโตตุลาการคนอื่น คู่พิพาทฝ่ ายใด ทนายความ หรือบุคคลซ่ึงอาจจะตอ้ ง
มาเป็ นพยานในคดี
2. บุคคลซ่ึงไดร้ ับการร้องขอให้เป็ นอนุญาโตตุลาการมีหนา้ ที่ตอ้ งขวนขวาย เพ่ือใหต้ นเองได้
ทราบขอ้ เทจ็ จริงตามขอ้ 1. ดว้ ย
3. หนา้ ที่เปิ ดเผยขอ้ เทจ็ จริงตามขอ้ 1 เป็นหนา้ ที่ต่อเน่ืองซ่ึงอนุญาโตตุลาการ
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 505
รัฐสิทธ์ิ คุรุสุวรรณ / ยวุ ฒั น์ วุฒเิ มธี
ตอ้ งเปิ ดเผยไม่ว่าขอ้ เท็จจริงน้ันจะเกิดข้ึน หรือตนเพ่ิงนึกไดห้ รือเพิ่งทราบขอ้ เท็จจริง ในข้นั ตอนใดของ
กระบวนการอนุญาโตตุลาการ (ประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ สถาบนั อนุญาโตตุลาการ หมวด 3
จริยธรรมในการเปิ ดขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ 14)
4. การเปิ ดเผยข้อเท็จจริงตามข้อ 1 และข้อ 3 ให้อนุญาโตตุลาการแจ้งแก่คู่พิพาทและ
อนุญาโตตุลาการคนอ่ืน (ประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ สถาบนั อนุญาโตตุลาการ หมวด 3 จริยธรรม
ในการเปิ ดขอ้ เทจ็ จริง ขอ้ 15)
3) การรักษาความลบั ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการ
ผทู้ าหนา้ ที่อนุญาโตตุลาการตอ้ งไม่นาขอ้ มูลที่ไดม้ าในระหวา่ งการพจิ ารณาของคูพ่ พิ าท ท่ีระบุ
วา่ เป็นความลบั ไปใชเ้ พื่อแสวงหาผลประโยชนส์ าหรับตนเองหรือผอู้ ่ืนหรือทาใหผ้ อู้ ื่นเสียหาย ท้งั น้ีประมวล
จริยธรรมอนุญาโตตุลาการ สถาบนั อนุญาโตตุลาการ ไดก้ าหนดจริยธรรมในเร่ืองการรักษาความลบั โดยมี
หลกั การหรือขอ้ กาหนด ดงั น้ี
1. อนุญาโตตุลาการตอ้ งไม่นาขอ้ มูลที่ไดม้ าในระหวา่ งการพิจารณาของคู่พิพาทท่ีระบุวา่ เป็ น
ความลบั ไปใชเ้ พื่อแสวงหาผลประโยชนส์ าหรับตนเองหรือผอู้ ื่นหรือทาใหผ้ อู้ ื่นเสียหาย (ประมวลจริยธรรม
อนุญาโตตุลาการ สถาบนั อนุญาโตตุลาการ หมวด 8 จริยธรรมในเรื่องการรักษาความลบั ขอ้ 40)
2. บุคคลที่ไดร้ ับทาบทามเป็ นอนุญาโตตุลาการตอ้ งรักษาความลบั ใด ๆ ท่ีตน ไดม้ าจากการ
ทาบทามน้นั (หมวด 8 ประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ สถาบนั อนุญาโตตุลาการ จริยธรรมในเรื่องการ
รักษาความลบั ขอ้ 41)
3. อนุญาโตตุลาการตอ้ งไม่ให้ผใู้ ดทราบถึงแนวการวนิ ิจฉยั ของตนก่อนทาคาช้ีขาดและไม่ให้
ผูใ้ ดทราบผลคาช้ีขาดก่อนส่งสาเนาคาช้ีขาดให้คู่พิพาท ท้งั จะตอ้ ง ไม่เปิ ดเผยคาช้ีขาด เวน้ แต่จะได้รับ
ความยนิ ยอมจากคูพ่ ิพาท (ประมวลจริยธรรมอนุญาโตตุลาการ สถาบนั อนุญาโตตุลาการ หมวด 8 จริยธรรม
ในเร่ืองการรักษาความลบั ขอ้ 42)
4) การรับสินบนกบั ความรับผดิ ทางอาญาทเ่ี กย่ี วกบั อนุญาโตตุลาการ
ในส่วนของความรับผดิ ทางอาญาท่ีเกี่ยวกบั อนุญาโตตุลาการ ที่เรียก รับสินบน หรือยอมจะรับ
ทรัพย์สินหรือประโยชน์อ่ืนใดสาหรับการกระทาการ หรือการไม่กระทาการอันเน่ืองจากหน้าท่ีของ
อนุญาโตตุลาการ ไม่ว่าการน้นั จะชอบดว้ ยหน้าที่ของตนหรือไม่ อนั มีลกั ษณะเป็ นความผิดฐานรับสินบน
ซ่ึงจะส่งผลกระทบในทางลบต่อการทาหนา้ ท่ีอนุญาโตตุลาการ แต่แมป้ ระมวลกฎหมายอาญาของประเทศ
ไทยมิได้กาหนดเรื่องความรับผิดกรณีรับสินบนดังกล่าวไวก้ ็ตาม แต่ความสัมพนั ธ์กับด้านคุณธรรม
จริยธรรม เช่นเดียวกบั การมีสถานะคลา้ ยผูพ้ ิพากษาซ่ึงเป็ นผูใ้ ชอ้ านาจตุลาการ ซ่ึงมีกฎหมายบญั ญตั ิไวเ้ ป็ น
ความรับผดิ ทางอาญา แต่สาหรับอนุญาโตตุลาการเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพยส์ ินหรือประโยชน์อ่ืนใด
สาหรับการกระทาการ หรือการไม่กระทาการอนั เน่ืองจากหนา้ ที่ของอนุญาโตตุลาการ ไม่วา่ การน้นั จะชอบ
ดว้ ยหนา้ ที่ของตนหรือไม่ แมว้ ่าจะมีลกั ษณะเช่นเดียวกบั เป็ นความผิดฐานรับสินบน แต่ประมวลกฎหมาย
506 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 23
อาญาของประเทศไทยมิไดก้ าหนดเร่ืองความรับผิดกรณีรับสินบนดงั กล่าวไว้ (เกรียงศกั ด์ิ อุรุพงศ์พิศาล,
2543)
อยา่ งไรก็ตาม ความรับผิดทางอาญาในเร่ืองสินบนอนุญาโตตุลาการ ตามประมวลกฎหมาย
อาญาของประเทศไทยก็มิไดก้ าหนดเรื่องความรับผิดกรณีอนุญาโตตุลาการรับสินบนดงั กล่าวไวเ้ หมือนกบั
เจา้ พนกั งานอ่ืน ๆ แต่ก็ยงั มีตวั ช้ีวดั หลกั ธรรมาภิบาล จารีตประเพณี คุณธรรม จริยธรรม ซ่ึงเป็ นมาตรฐาน
อยู่เหนือกฎหมายที่ควบคุมไว้ แม้ว่าจะไม่เข้าข่ายความผิดกฎหมาย แต่ถ้าหากคุณธรรม จริยธรรม
ขาดหายไป ก็ย่อมเป็ นสิ่งท่ีไม่ควรกระทา เพราะว่า จารีตประเพณี คุณธรรม จริยธรรม อยู่เหนือกฎหมาย
เน่ืองจากกฎหมายมีช่องโหว่ และอาศยั ช่องวา่ งของกฎหมายไม่สามารถเอาผดิ ไดก้ ็ตามอนุญาโตตุลาการท่ีดี
ตอ้ งมีคุณธรรม จริยธรรม และจิตสานึกความรับผิดชอบต่อการบริหาร หลกั ธรรมาภิบาลจึงเป็ นเร่ืองท่ีมี
ความสาคญั ท่ีพึงปฏิบตั ิตามกรอบที่รัฐไดว้ างแนวทางไว้
5) ความเสมอภาคกบั วธิ ีพจิ ารณาช้ันอนุญาโตตุลาการ
ตามพระราชบญั ญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545 หมวด 4 วิธีพิจารณาช้ันอนุุญาโตตุลาการ
มาตรา 25 วรรคแรก บญั ญตั ิวา่ “ในการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้คูพ่ ิพาทไดร้ ับการปฏิบตั ิอยา่ ง
เทา่ เทียมกนั และใหม้ ีโอกาสนาสืบพยานหลกั ฐานและเสนอขอ้ อา้ ง ขอ้ ต่อสู้ของตนไดต้ ามพฤติการณ์แห่งขอ้
พิพาทน้นั ”
เ ส า ว นี ย์ อัศ ว โ ร จ น์ ( 2548, ห น้า 133) ก ล่ า ว ว่า “ ใ น ก า ร รั บ ฟั ง พ ย า น ห ลัก ฐ า น
คณะอนุญาโตตุลาการตอ้ งมีความเป็ นกลางและตอ้ งใหโ้ อกาสแก่คู่กรณีอยา่ งเท่าเทียมกนั โดยตอ้ งไม่กระทา
การใด ๆ อนั เป็ นการลาเลียง คือจะให้โอกาสแก่คู่กรณีฝ่ ายใดฝ่ ายหน่ึงมากกวา่ อีกฝ่ ายหน่ึงไม่ได้ หากคณะ
อนุญาโตตุลาการจะรับฟังพยานหลกั ฐานต่าง ๆ ดว้ ยวธิ ีการใด ๆ ก็ตอ้ งกระทาต่อหนา้ คู่กรณีทุกฝ่ าย ตอ้ งให้
ทุกฝ่ ายรับรู้และให้ไดม้ ีส่วนร่วมในการกระทาน้นั ๆ เช่น หากคณะอนุญาโตตุลาการไดร้ ับพยานเอกสาร
ชิ้นหน่ึงของคู่กรณีฝ่ ายหน่ึงก็ตอ้ งใหค้ ู่กรณีอีกฝ่ ายหน่ึงไดต้ รวจดูเอกสารดงั กล่าวเพ่ือไดม้ ีเอกสารตรวจสอบ
หรือคดั คา้ นพยานเอกสารดงั กล่าว เช่น หากคณะอนุญาโตตุลาการไปเดินเผชิญสืบดูอาคารที่พิพาทกนั วา่ มี
ความชารุดจริงหรือไม่ หากคู่กรณีฝ่ ายหน่ึงไปดูดว้ ยกต็ อ้ งอนุญาตใหค้ ู่กรณีอีกฝ่ ายหน่ึงไปดูดว้ ยเช่นกนั ”
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 507
รัฐสิทธ์ิ คุรุสุวรรณ / ยุวฒั น์ วฒุ เิ มธี
สรุป
เน่ืองจากสานกั งานขา้ ราชการพลเรือนไดก้ าหนดหลกั ธรรมาภิบาล ในการบริหารราชการที่ดีน้นั
ได้กาหนดปัจจัยท่ีเป็ นองค์ประกอบหลัก ๆ สาคัญ 6 ปัจจัย คือ 1) หลักนิติธรรม 2) หลักคุณธรรม
3) หลักความโปร่ งใส 4) หลักความมีส่ วนร่ วม 5) หลักความรับผิดชอบ 6) หลักความคุ้มค่า
ในขณะเดียวกนั เม่ือหน่วยงานภาครัฐไดน้ าปัจจยั องคป์ ระกอบหลกั ท้งั 6 ประการไปดาเนินการไดก้ าหนด
ผลสัมฤทธ์ิของการดาเนินการบริ หารจัดการงานภาครัฐที่บังเกิดผล 10 ด้าน คือ 1) ประสิ ทธิผล
(Effectiveness) 2) ประสิ ทธิภาพ (Efficiency) 3) การตอบสนอง (Efficiency) 4) ภาระรับผิดชอบ
(Accountability) 5) ความโปร่งใส (Transparency) 6) การมีส่วนร่วม (Participation) 7) กากระจายอานาจ
(Decentralization) 8) นิติธรรม (Rule of Law) 9) ความเสมอภาค (Equity) และ 10) มุ่งเน้นฉันทามติ
(Consensus Oriented) ซ่ึงตามพระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการการบริหารกิจการบา้ นเมืองทีดี
พ.ศ. 2546 ไดบ้ ญั ญตั ิไวช้ ดั เจน อย่างไรก็ตาม การนาหลกั ธรรมาภิบาลทางกฎหมายมาใช้กบั การระงบั
ขอ้ พิพาทโดยอนุญาโตตุลาการ ซ่ึงการวจิ ยั คร้ังน้ีไดก้ าหนดเอาหลกั องค์ประกอบของธรรมาภิบาลในเร่ือง
หลักนิติธรรม มาใช้ปฏิบตั ิโดยมีตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมาย 5 ตวั ช้ีวดั คือ 1) ด้านคุณธรรม และ
จริยธรรม 2) การเปิ ดเผยขอ้ เท็จจริงก่อนท่ีอนุญาโตตุลาการจะเขา้ รับหน้าท่ี 3) การรักษาความลับใน
กระบวนการอนุญาโตตุลาการ 4) การรับสินบนกบั ความรับผิดทางอาญาท่ีเกี่ยวกบั อนุญาโตตุลาการ และ
5) ความเสมอภาคกบั วธิ ีพิจารณาช้นั อนุญาโตตุลาการ
ความสัมฤทธ์ิผลของการดาเนินการตามกระบวนการอนุญาโตตุลาการท่ีไดจ้ ากการวิจยั น้ี จะได้
ผลการวจิ ยั ที่จะช้ีย้าให้เห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ ตวั ช้ีวดั ธรรมาภิบาลทางกฎหมาย 5 ตวั ช้ีวดั ท้งั หมด ก่อใหเ้ กิด
ความสัมฤทธิผลในการปฏิบตั ิงานของกระบวนการอนุญาโตตุลาการสามารถปฏิบตั ิงานไดส้ อดคลอ้ งกบั
วตั ถุประสงคข์ องการบริหารภาครัฐแนวใหม่อย่างสมบูรณ์ ในขณะเดียวกนั หากผลการวิจยั พบว่า ตวั ช้ีวดั
บางตวั ยงั ไม่สามารถปฏิบตั ิไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ เกิดประสิทธิผล และบรรลุความสมั ฤทธิผล การวจิ ยั ก็จะ
ไดข้ อ้ มูลที่พบจุดออ่ น และจะไดเ้ สนอแนวทางปรับปรุงแกไ้ ขเพ่ือการปฏิบตั ิตอ่ ไปใหบ้ รรลุผลใหจ้ งได้
508 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 23
รายการอ้างองิ
เกรียงศกั ด์ิ อุรุพงศพ์ ิศาล. (2543). ความรับผิดทางอาญาของอนุญาโตตุลาการ. วทิ ยานิพนธ์นิติศาสตร
มหาบณั ฑิต, คณะนิติศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
โกวทิ วงศส์ ุรวฒั น์ (2559). หลักนิติธรรมคืออะไร. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 19 สิงหาคม 2560, เขา้ ถึงไดจ้ าก
https:// www.Matichon.co.th>news_48994
ธรรมาภิบาลคืออะไร. วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 19 สิงหาคม 2560, เขา้ ถึงไดจ้ าก https://medinfo.psu.ac.th
/pr/WebBoard/ readboard. php?id=20713
พระราชกฤษฎีกาวา่ ดว้ ยหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ีการบริหารกิจการท่ีดี พ.ศ. 2546. (2546, 9 ตุลาคม).
ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 120 ตอนที่ 100 ก.
พระราชบญั ญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. 2545. (2545, 29 เมษายน). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 119 ตอนท่ี 39 ก.
ระเบียบสานกั นายกรัฐมนตรีวา่ ดว้ ยการบริหารกิจการบา้ นเมืองและสงั คมท่ีดี พ.ศ. 2542. (2542, 10
สิงหาคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 116 ตอนท่ี 63 ง.
รัชยา ภกั ดีจิตต.์ (2555). ธรรมาภิบาลเพ่ือการบริหารรัฐและภาคเอกชน. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพแ์ ห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
วลิ าส ทองสุทธ์ิ. (2551). การบริหารจัดการท่ีด.ี กรุงเทพฯ: อินทภาษ.
เสาวนีย์ อศั วโรจน์. (2548). คาอธิบายกฎหมายว่าด้วยวิธีการระงบั ข้อพิพาททางธุรกิจโดยการ
อนญุ าโตตุลาการ (พมิ พค์ ร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
หลักธรรมาภิบาลของการบริหารกิจการบ้านเมืองท่ีด.ี วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 1 มิถุนายน 2561, เขา้ ถึงไดจ้ าก
https:// www. opdc.go.th/content.php? menu_id=5&content_id=2442
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 509
C H A P T E R 24
รูปแบบองค์กรเพื่อการป้องกนั และปราบปรามการค้ามนุษย์
Organization Model for the Prevention and Suppression of Trafficking
ฉฏั รเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็ (Chatpetchmongkol Junpen)1
สุนีย์ มลั ลิกะมาลย์ (Sunee Mallikamarl)2
1หลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขานิติรัฐกิจและการบริหาร คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ศรีปทุม
Doctor of Philosophy Program in Public and Business Administration Jurisprudence School of Law,
Sripatum University
2 Prof. Dr., Research Advisor
E-mail: [email protected]
Received: 23 September 2019
Revised: 16 October 2019
Accepted: 22 November 2019
บทคดั ย่อ
การวจิ ยั น้ีมีวตั ถุประสงคใ์ นการจดั ทารูปแบบองคก์ รเพ่ือการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์
ที่มีอานาจหน้าท่ีชดั เจนเพียงองค์กรเดียวในการสืบสวนจบั กุม การสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี และ
คุ้มครองเยียวยา มีพ้ืนที่รับผิดชอบทั่วราชอาณาจักร วิธีวิทยาการวิจัยที่ใช้เป็ นการวิจัยเชิงคุณภาพ
ประกอบดว้ ยการวิจยั เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก การมีส่วนร่วมออกแบบ,ร่วมออกแบบ และการรับฟัง
ความคิดเห็น
ผลการวจิ ยั พบวา่ ปัญหาการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยไ์ ม่มีประสิทธิภาพเพราะการมี
หลายองคก์ รท่ีทาหน้าทีในการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยท์ าให้เกิดความทบั ซ้อนกนั ขาดการ
บูรณาการการทางานร่วมและประสานกนั ขาดการตรวจสอบถ่วงดุลระหวา่ งองคก์ ร จนเป็นช่องวา่ งกฎหมาย
ให้เจ้าหน้าท่ีแสวงหาประโยชน์จากการใช้อานาจหน้าท่ีโดยมิชอบ การวิจยั จึงเสนอให้จดั ต้งั องค์กรใน
รูปแบบขององคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ ประกอบด้วย 6 องค์กร คือ สานกั งานตารวจแห่งชาติ
กองบงั คบั การปราบปรามการคา้ มนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กรมการปกครอง สานกั งานอยั การสูงสุด
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 511
ฉัฏรเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็
กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีขอบเขตอาจหน้าที่รับผิดชอบคดีค้ามนุษย์
ทว่ั ราชอาณาจกั ร
ขอ้ เสนอแนะของการวิจัย คือ ให้มีการจดั ต้งั องค์คณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษยโ์ ดยมีการ
จดั ทากฎหมายรองรับเพื่อใหก้ ารป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยม์ ีประสิทธิภาพมากข้ึน ขอ้ เสนอแนะ
หวั ขอ้ วจิ ยั ต่อคือการจดั ทาประมวลกฎหมายวา่ ดว้ ยการคา้ มนุษย์
คาสาคญั : รูปแบบองคก์ ร, การป้องกนั และปราบปราม, สืบสวนสอบสวน, การคา้ มนุษย์
Abstract
The objective of this research is to establish an organization model for the prevention and
suppression of human trafficking which has authority in investigation for arrest; investigation and arrest for
prosecution; and remedy. The responsibility area cover throughout the Kingdom. Research methodology is
qualitative research including documentary research; in-depth interview; participatory design, co-design;
and hearing.
The research found out that the problem of ineffectiveness of prevention and suppression of
human trafficking due to many organizations have the same authority in investigation for arrest;
investigation and arrest for prosecution; and remedy which overlapping, lack of integration, checks and
balances among responsible organizations which cause legal gap for government officials to improperly
exploit. The research therefore proposed to establish a committee organization consisting of 6 organizations
which are Royal Thai Police; Human Trafficking Suppression Division; Department of Special
Investigation; Department of Provincial Administration; Office of the Attorney General; Ministry of Social
Development and Human Security.The jurisdiction authority throughout the Kingdom.
The research suggested to establish a committee organization with legal support for the
effectiveness of prevention and suppression of human trafficking. Further research recommended to be “The
draft of code on Human Trafficking.
Keywords: Organization model, Prevention and suppression, Investigation, Human trafficking
512 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 24
บทนา
ปัญหาการคา้ มนุษยเ์ ป็นปรากฏการณ์ทางสงั คมที่ศกั ด์ิศรีความเป็นมนุษย์ ซ่ึงเป็ นคุณค่าของมนุษย์
ท่ีติดตวั มาต้งั แต่เกิดถูกกระทาละเมิดอยา่ งไม่เป็นธรรม โดยมีสาเหตุมาจากปัญหาดา้ นเศรษฐกิจและสังคมที่
เปลี่ยนแปลงไป ทาให้เกิดการดิ้นรนเพ่ือแสวงหาโอกาสท่ีดีกวา่ ในการดารงชีวติ ปัญหาการคา้ มนุษยเ์ กิดข้ึน
ไดท้ ้งั ในประเทศและต่างประเทศ โดยเฉพาะมกั เกิดข้ึนกบั ผูห้ ญิงและเด็กที่ถูกบงั คบั ให้คา้ ประเวณีหรือ
แสวงหาประโยชน์ทางเพศในหลายพ้ืนท่ี และขยายวงกวา้ งจนกลายเป็ นปัญหาสังคมและอาชญากรรม
รัฐธรรมนูญไทย (รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย, 2540, รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย, 2550,
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช, 2560) ไดใ้ ห้ความคุม้ ครองศกั ด์ิศรีความเป็ นมนุษย์ และ
สิทธิเสรีภาพของประชาชนในประเทศ ซ่ึงสวนทางกบั การคา้ มนุษยท์ ่ีเกิดข้ึนในประเทศไทยมาเป็นเวลานาน
แลว้ และสถานการณ์ไม่มีแนวโนม้ ลดลงแต่ไดท้ วีความรุนแรงเพิ่มข้ึน อนั เน่ืองมาจากสาเหตุหลายประการ
เช่น ความไมเ่ ทา่ เทียมกนั ดา้ นเศรษฐกิจ การศึกษา สภาพทางสงั คม จากการยา้ ยถ่ินในประเทศและการยา้ ยถ่ิน
ระหวา่ งประเทศ การอพยพเคลื่อนยา้ ยแรงงาน จากความตอ้ งการจา้ งแรงงานท่ีผดิ กฎหมาย ความเก่ียวพนั กบั
เศรษฐกิจนอกกฎหมาย กลุ่มอิทธิพลที่มีผลประโยชน์ ท้งั ในประเทศและนอกประเทศ ตลอดจนการพฒั นา
แนวพ้ืนที่เศรษฐกิจ ทาให้มีการหลง่ั ไหลของแรงงานต่างดา้ วจากประเทศเพื่อนบา้ น ที่ตอ้ งการหนีความ
ยากจน ลกั ลอบเดินทางเขา้ มาในประเทศไทยแบบผดิ กฎหมาย ซ่ึงแรงงานส่วนใหญ่ขาดความรู้ ทาใหถ้ ูกเอา
เปรี ยบ ถูกชักจูงข่มขู่ได้โดยง่าย เปิ ดโอกาสให้ขบวนการค้ามนุษย์บังคับหรื อหลอกลวงแรงงาน
ต่างด้าวเหล่าน้ันมาขายแรงงานหรือแสวงหาประโยชน์จากธุรกิจทางเพศโดยเฉพาะผูห้ ญิงและเด็ก
(ศูนยศ์ ึกษายทุ ธศาสตร์ สถาบนั วชิ าการป้องกนั ประเทศ, 2556)
ประเทศไทยมีรูปแบบการคา้ มนุษยท์ ่ีเกิดข้ึนและเป็ นความผิดฐานคา้ มนุษยต์ ามกฎหมายว่าดว้ ย
การคา้ มนุษย์ (พระราชบญั ญตั ิป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยแ์ ละแกไ้ ขเพิ่มเติม, 2551) มากที่สุด 3
รูปแบบ คือ
1. รูปแบบการคา้ ประเวณี คือการยอมรับการกระทาชาเราหรือการยอมรับการกระทาอื่นใดหรือ
การกระทาอื่นใดเพื่อสาเร็จความใคร่ในทางกามารมณ์ของผูอ้ ื่น อนั เป็ นการสาส่อนเพื่อสินจา้ งหรือเพ่ือ
ประโยชน์อื่นใด ท้งั น้ีไม่ว่าผูย้ อมรับการกระทาและผูก้ ระทาจะเป็ นบุคคลเพศเดียวกันหรือคนละเพศ
(พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี, 2539, มาตรา 4) การค้าประเวณีน้ัน แม้ว่า
ผถู้ ูกกระทาชาเราหรือผกู้ ระทาชาเราไดส้ มคั รใจยอมรับการกระทา โดยไม่มีการบงั คบั ขเู่ ขญ็ ก็เป็ นความผิด
ฐานคา้ ประเวณีได้ แต่ถา้ จะเป็ นความผิดฐานคา้ มนุษยไ์ ดน้ ้นั ถา้ ผูถ้ ูกกระทาชาเรามีอายุต้งั แต่ 18 ปี บริบูรณ์
ข้ึนไป จะเป็ นความผดิ ฐานคา้ มนุษยไ์ ดน้ ้นั ตอ้ งไม่สมคั รใจแต่ถูกข่มขู่ ใชก้ าลงั บงั คบั ฯลฯ แต่ถา้ เป็ นเด็กอายุ
ต่ากวา่ 18 ปี แมไ้ ม่มีการบงั คบั ขู่เข็ญ ก็เป็ นความผดิ ฐานคา้ มนุษยแ์ ลว้ และ ประโยชน์ท่ีแสวงหาน้นั จะเป็ น
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 513
ฉัฏรเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็
ทางตรงหรือทางออ้ มก็ไดแ้ ละไม่จาเป็ นตอ้ งเป็ นตวั เงินเพียงอยา่ งเดียว (สมพงศ์ เยน็ แกว้ , 2559, ออนไลน์)
โดยช่องทางหรือสถานที่ทาการคา้ ประเวณีจะเกิดข้ึนในกิจการประเภทสถานบริการอาบอบนวด นวดแผน
โบราณ เด็กเสิร์ฟร้านอาหารกลางคืน หรือร้านคาราโอเกะ ช่องทางสังคมสื่อออนไลน์ โดยผขู้ ายบริการทาง
เพศเองหรือผา่ นตวั แทนหรือนายหนา้ การคา้ ประเวณีมีผลตอบแทนสูงแตไ่ ม่ตอ้ งทางานหนกั
2. รูปแบบการบงั คบั ใช้แรงงานหรือบริการ ตามอนุสัญญาฉบับที่ 29 วา่ ดว้ ยการเกณฑ์แรงงาน
หรือแรงงานบงั คบั พ.ศ. 2473 (อนุสญั ญาฉบบั ท่ี 29 วา่ ดว้ ยการเกณฑแ์ รงงานหรือแรงงานบงั คบั , 2473) ให้
นิยามคาว่า “แรงงานบงั คบั ” หมายถึง งานหรือบริการทุกชนิด ซ่ึงเกณฑ์เอาจากบุคคลใด ๆ โดยการขู่เข็ญ
การลงโทษ และซ่ึงบุคคลดงั กล่าวน้นั มิไดส้ มคั รใจท่ีจะทาเอง การบงั คบั ใชแ้ รงงานหรือบริการ มกั เกิดข้ึนใน
กิจการภาคอุตสาหกรรม ภาคการประมง ภาคเกษตรกรรม ภาคการก่อสร้าง ลูกจา้ งรับใช้ประจาบ้าน
ท่ีมีความจาเป็ นต้องใช้แรงงานราคาถูกและสกปรก ซ่ึงประชากรในประเทศที่มีการใช้แรงงานใน
ภาคอุตสาหกรรมลกั ษณะน้ี ไม่นิยมประกอบอาชีพน้ี เพราะส่วนมากชอบท่ีจะประกอบอาชีพที่ไม่ตอ้ งใช้
แรงงานหนกั
3. รูปแบบการเอาคนลงเป็ นทาส เป็ นแนวคิดท่ีมีความเชื่อมโยงกบั การคา้ ทาส และการปฏิบตั ิ
เย่ยี งทาส คือ การกระทาลกั ษณะการจบั คนหรือขายคนมาเป็ นทาสหรือใหม้ ีฐานะคลา้ ยทาส ดว้ ยการนาเขา้
หรือส่งออกคนไปเป็ นทาสท่ีอ่ืน โดยมีจุดประสงค์เพื่อจะให้เป็ นทาสหรือมีฐานะคลา้ ยทาส คือ ตอ้ งเชื่อฟัง
รับใช้ กระทาตนเป็ นทาสและอีกฝ่ ายมีฐานะเป็ นเจา้ ของชีวิต ท้งั น้ี ตามอนุสัญญาวา่ ดว้ ยความเป็ นทาส ค.ศ.
1926 (The Slavery Convention, 1926) มีวตั ถุประสงคเ์ พอื่ ขจดั การคา้ ทาสจากคาวา่ slavery ภายใตบ้ ทบญั ญตั ิ
แห่งอนุสญั ญาน้ี ประเทศภาคีสมาชิกมีพนั ธะผูกพนั ในการป้องกนั และปราบปรามการคา้ ทาสและดาเนินการ
ต่าง ๆ เพ่ือให้เกิดการยกเลิกความเป็ นทาสในทุกรูปแบบ แต่มีปัญหาในเร่ืองขาดกลไกการบงั คบั ใช้ตาม
บทบญั ญตั ิในอนุสัญญา และยงั ไม่มีการต้งั กรรมการหรือหน่วยงานที่มีหนา้ ท่ีรับผิดชอบในการตรวจสอบ
และดูแลใหเ้ ป็นไปตามบทบญั ญตั ิอีกดว้ ย (Poravich Makornwatana, 2542)
การค้าทาสเป็ นการปฏิบตั ิต่อคนอย่างไม่เท่าเทียมกนั รวมถึงมีการกระทาอย่างทารุณโหดร้าย
มีการข่มเหงท้งั ร่างกายและจิตใจ เป็ นการลดคุณค่าและศกั ด์ิศรีความเป็ นมนุษย์ ซ่ึงเป็ นการละเมิดสิทธิ
มนุษยชนอยา่ งร้ายแรงและเป็นการละเมิดต่อกฎหมาย (คณะสังคมศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, 2550)
การคา้ มนุษยท์ ้งั 3 รูปแบบ มีองค์กรที่ทาหน้าท่ีป้องกันและปราบปรามหลายองค์กร โดยมี 2
ระดบั คือ ระดบั นโยบาย และระดบั ปฏิบตั ิ ซ่ึงระดบั นโยบายมีองคก์ รรับผดิ ชอบ 3 องคก์ ร คือ คณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ คณะกรรมการประสานและกากับการดาเนินงานป้องกันและ
ปราบปรามการค้ามนุษย์ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ระดับจังหวัด
ส่วนระดบั ปฏิบตั ิมีองค์กรรับผิดชอบจานวนมากซ่ึงมีอานาจหน้าท่ีตามกฎหมายครอบคลุม 3 ด้าน คือ
ดา้ นการสืบสวนจบั กุม มีองคก์ รรับผิดชอบ คือ กรมการปกครอง กองอานวยการรักษาความมน่ั คงภายใน
ราชอาณาจกั ร (กอ.รมน.) ศูนยป์ ระสานการปฏิบตั ิในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.)
514 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 24
กองทพั เรือ กองทพั บก กรมประมง กรมสวสั ดิการและคุม้ ครองแรงงาน ตารวจตระเวนชายแดน ทหารพราน
ดา้ นการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี คือ สานกั งานตารวจแห่งชาติ กองบงั คบั การปราบปรามการคา้
มนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ ดา้ นการคุม้ ครองเยียวยา คือ กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมน่ั คงของ
มนุษย์ กรมคุม้ ครองสิทธิและเสรีภาพ ปัจจุบนั แต่ละองค์กรต่างก็มีอานาจหนา้ ท่ีเฉพาะเป็ นของตนเอง และ
เป็ นอิสระต่อกัน ทาให้เกิดปัญหาตามมาคือเกิดความซ้าซ้อนและทบั ซ้อนกันในการใช้อานาจหน้าที่
ความขดั แยง้ การเก่ียงกนั หรือแยง่ กนั ทางาน ความเหล่ือมล้า เกิดช่องวา่ งทางกฎหมายทาใหเ้ จา้ หนา้ ท่ีบางคน
บางองค์กรใชอ้ านาจไปแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ ขาดความร่วมมือเชิงบูรณาการ ซ่ึงปรากฏเป็ นข่าว
หลายคดีที่องค์กรส่วนกลางหรือองค์กรเฉพาะกิจเข้าทาการจบั กุมผูก้ ระทาผิดฐานคา้ มนุษย์หลายพ้ืนที่
แต่ตรวจคน้ พบเอกสารบญั ชีการจา่ ยผลประโยชนใ์ หก้ บั เจา้ หนา้ ที่รัฐ
การคา้ มนุษยย์ งั เป็ นปัญหาระดบั สากลท่ีหลายประเทศให้ความสาคญั และได้มีมาตรการท่ีให้
ประเทศต่าง ๆ ถือเป็ นขอ้ ตกลงร่วมกนั ท่ีจะป้องกนั ปราบปรามการคา้ มนุษยใ์ ห้ลดลง และตรวจสอบการ
ดาเนินการซ่ึงกนั และกนั เพ่ือใหม้ ีมาตรฐานและทิศทางการแกป้ ัญหาในทางเดียวกนั โดยมีขอ้ ตกลงระหวา่ ง
ประเทศระหว่างภาคีสมาชิกสหประชาชาติที่มีลกั ษณะปัญหาการคา้ มนุษยค์ ลา้ ยคลึงกนั จนได้ขอ้ ตกลง
ร่วมกนั เป็ นกฎหมายระหวา่ งประเทศ คือ พิธีสารว่าดว้ ยการป้องกนั ปราบปราม และลงโทษการคา้ มนุษย์
โดยเฉพาะสตรี และเด็ก ค.ศ. 2000 (Protocol to Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons,
Especially Women and Children, 2000) ซ่ึ งเป็ นส่ วนหน่ึงของอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้าน
อาชญากรรมขา้ มชาติท่ีต้งั ข้ึนในลกั ษณะองค์กร ค.ศ. 2000 (UN Protocol to Prevent, Suppress and Punish
Transnational Organized Crime, 2000) ซ่ึงเป็ นกฎหมายที่ประเทศไทยใหก้ ารยอมรับ จึงทาใหม้ ีหนา้ ท่ีอนุวตั ิ
การดา้ นกฎหมายภายในประเทศเพ่ือการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยใ์ ห้สอดคลอ้ งกบั แนวทางการ
ป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยใ์ นระดบั ระหวา่ งประเทศ
ดงั น้นั การวจิ ยั น้ีจึงมีความประสงคท์ าการศึกษา และวจิ ยั เพ่อื นาไปสู่การจดั ทารูปแบบองคก์ รเพ่ือ
การป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ องประเทศไทยข้ึนใหม่ เพอ่ื ไดอ้ งคก์ รท่ีมีอานาจหนา้ ที่ชดั เจนเพยี ง
องคก์ รเดียว โดยมีอานาจครอบคลุมดา้ นการสืบสวนจบั กุม ดา้ นการสืบสวนสอบสวนดาเนินคดีและดา้ นการ
คุม้ ครองเยียวยา เพ่ือทาให้ขอบเขตแห่งอานาจหน้าท่ีและความรับผิดชอบ ในการป้องกนั และปราบปราม
การคา้ มนุษย์มีประสิทธิภาพ เห็นผลเป็ นรูปธรรม จึงนาไปสู่หัวขอ้ การวิจยั คือ “รูปแบบองค์กรเพ่ือการ
ป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย”์
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 515
ฉัฏรเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็
วตั ถุประสงค์การวจิ ยั
1. เพื่อศึกษาและวิจยั หลักการ แนวคิด และทฤษฎี ท่ีเก่ียวข้องการป้องกันและปราบปราม
การคา้ มนุษย์
2. เพ่อื ศึกษาและวเิ คราะห์สภาพปัญหา และรูปแบบการคา้ มนุษยข์ องประเทศไทย
3. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ รูปแบบองค์กรและกฎหมาย ด้านการป้องกันและปราบปราม
การคา้ มนุษยข์ องตา่ งประเทศ
4. เพ่ือศึกษาและวิเคราะห์ รูปแบบองค์กรและกฎหมาย ด้านการป้องกันและปราบปราม
การคา้ มนุษยข์ องประเทศไทย
5. เพื่อจดั ทารูปแบบองค์กรเพื่อการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ และกฎหมายรองรับ
รูปแบบองคก์ ร
กรอบแนวคดิ การทาวจิ ัย
ภาพท่ี 1 แผนผงั กรอบแนวคิดการทาวจิ ยั
516 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 24
สมมตฐิ าน
ปัจจุบนั มีองค์กรแกไ้ ขปัญหาการคา้ มนุษยห์ ลายองคก์ รที่มีอานาจหนา้ ท่ีซ้าซ้อนและทบั ซ้อนกนั
การแกไ้ ขปัญหาทาไดโ้ ดยการจดั ต้งั องค์กรในรูปแบบของคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการคา้
มนุษยข์ ้ึนใหม่ โดยมีโครงสร้างองคก์ รมาจากหน่วยงานเดิม 6 หน่วยงานคือ 1) สานกั งานตารวจแห่งชาติ
2) กองบงั คบั การปราบปรามการคา้ มนุษย์ 3) กรมสอบสวนคดีพิเศษ 4) กรมการปกครอง 5) สานกั งาน
อยั การสูงสุด 6) กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมน่ั คงของมนุษย์ และมีอานาจหนา้ ท่ีครอบคลุม 3 ดา้ น
คือ ดา้ นการสืบสวนจบั กุม ดา้ นการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี และดา้ นการคุม้ ครองเยียวยา โดยมี
พ้ืนที่รับผิดชอบทว่ั ราชอาณาจกั ร จะทาให้การป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยม์ ีประสิทธิภาพมากข้ึน
ลดปัญหาความซ้าซ้อน ความขดั แยง้ ความเหลื่อมล้า การเก่ียงงาน แยง่ งาน ลดช่องวา่ งของกฎหมายระหวา่ ง
องคก์ ร ลดปัญหาการแสวงหาประโยชนโ์ ดยมิชอบของเจา้ หนา้ ท่ี
ทบทวนวรรณกรรม
เพ่ือศึกษาแนวคิด ทฤษฏี หลกั การ และผลงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ งกบั การคา้ มนุษยค์ รอบคลุมท้งั ใน
ประเทศและต่างประเทศ แลว้ นามาเรียบเรียง จาแนกขอ้ มูล ใชป้ ระกอบการวเิ คราะห์ เพือ่ หาแนวทางสาหรับ
การการจดั รูปแบบองคก์ รเพอ่ื การป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ ดงั น้ี
1. หลกั การ แนวคิด และทฤษฎี ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การคา้ มนุษย์ ประกอบดว้ ย คือ หลกั การคา้ มนุษย์
หลกั สิทธิมนุษยชน หลกั นิติรัฐและหลกั นิติธรรม หลกั กฎหมายท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั การป้องกนั และปราบปราม
การคา้ มนุษย์ แนวคิดเก่ียวกบั การบริหาร ทฤษฎีองคก์ รและการจดั การ
2. สภาพปัญหา และรูปแบบการคา้ มนุษยข์ องประเทศไทยที่สาคญั ต้งั แต่อดีตจนถึงปัจจุบนั 8
รูปแบบ แตเ่ นน้ เฉพาะรูปแบบท่ีเกิดข้ึนมากที่สุด 3 รูปแบบ คือ การคา้ ประเวณี การบงั คบั ใชแ้ รงงาน และการ
เอาคนลงเป็ นทาส
3. องคก์ รเพอื่ การป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ องต่างประเทศ คือสหรัฐอเมริกา
4. องค์กรเพ่ือการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ องประเทศไทย ครอบคลุม 3 ด้านคือ
องคก์ รดา้ นการสืบสวนจบั กมุ ดา้ นการสืบสวนจบั กมุ ดาเนินคดี และดา้ นการคุม้ ครองเยยี วยา
5. กฎหมายเพื่อการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ องต่างประเทศ 5 ฉบบั คือ 1) กฎหมาย
คุม้ ครองเหยอื่ การคา้ มนุษยข์ องประเทศสหรัฐอเมริกา 2) พิธีสาร เพ่ือป้องกนั ปราบปราม และลงโทษการคา้
บุคคลโดยเฉพาะการคา้ หญิงและเด็ก ค.ศ. 2000 3) พิธีสารเลือกรับอนุสัญญาวา่ ดว้ ยสิทธิเด็ก เรื่องการคา้ เด็ก
การคา้ ประเวณี และสื่อลามกท่ีเก่ียวกบั เด็ก ค.ศ. 2000 4) อนุสญั ญาวา่ ดว้ ยการปราบปรามการคา้ มนุษย์ และ
การแสวงหาประโยชนจ์ ากการคา้ ประเวณีของผอู้ ื่น ค.ศ. 1949 5) อนุสญั ญาวา่ ดว้ ยสิทธิเดก็ ค.ศ. 1989
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 517
ฉัฏรเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็
6. กฎหมายเพื่อการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ องไทย ท้งั ท่ีเป็ นกฎหมายว่าด้วยการ
ป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ และกฎหมายของแต่ละองคก์ รท่ีมีอานาจหนา้ ท่ีครอบคลุมท้งั ดา้ นการ
สืบสวน จบั กมุ สอบสวนดาเนินคดี และคุม้ ครองเยยี วยาดา้ นการคา้ มนุษย์
วธิ กี ารวจิ ัย
1. การวจิ ัยเอกสาร (Documentary research)
เป็นการเกบ็ รวบรวมและวเิ คราะห์ขอ้ มูลที่เป็นเอกสาร โดยกาหนดประเภทเอกสารและประเดน็ ท่ี
วเิ คราะห์ คือ องคก์ รเพื่อการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ และกฎหมายที่เกี่ยวขอ้ งกบั การป้องกนั
และปราบปรามการคา้ มนุษย์ รวมท้งั เอกสารอ่ืน ๆ ท่ีเป็นทฤษฎี แนวคิด ตารา รายงานวิชาการ และบทความ
ท้งั ของไทยและตา่ งประเทศเฉพาะส่วนที่เก่ียวขอ้ ง ซ่ึงขอ้ มูลเอกสารที่ไดม้ าน้นั นาไปใชใ้ นการวเิ คราะห์เพื่อ
การจดั ทารูปแบบองคก์ รเพื่อการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์
2. การสัมภาษณ์เชิงลกึ (In-depth interview)
เป็ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเชิงลึกดว้ ยการสัมภาษณ์โดยตรงระหวา่ งผวู้ ิจยั กบั ประชากรสัมภาษณ์
ตามประเดน็ สัมภาษณ์ท่ีกาหนดไวล้ ่วงหนา้ โดยประชากรสัมภาษณ์ เป็นผทู้ ี่เก่ียวขอ้ งโดยตรงกบั การป้องกนั
และปราบปรามการคา้ มนุษย์ รวมประชากรสัมภาษณ์เชิงลึก 4 กลุ่ม คือ ดา้ นการสืบสวนจบั กุม ดา้ นการ
สืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี ดา้ นการคุม้ ครองเยยี วยา ผเู้ ชี่ยวชาญและองคก์ รพฒั นาเอกชนดา้ นการคา้
มนุษย์ โดยมีประเด็นประเด็นสัมภาษณ์เชิงลึก 4 ประเด็นหลกั คือ 1. ปัญหาอุปสรรคในการทางานดา้ นการ
ป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยใ์ นปัจจุบนั 2. ความคิดเห็นต่อการปรับปรุงหน่วยงานดา้ นการป้องกนั
และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ ้ึนใหม่ 3. รูปแบบองค์กรเพื่อการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ อง
ต่างประเทศ 4. ขอ้ คิดเห็น หรือขอ้ เสนอแนะ ท่ีเป็ นประโยชน์ในการจดั ทารูปแบบองคก์ รเพ่ือการป้องกนั
และปราบปรามการคา้ มนุษย์
3. การมีส่วนร่วมออกแบบ, ร่วมออกแบบ (Participatory design, Co - design)
เป็นการวจิ ยั วธิ ีใหม่ ซ่ึงมาจากแนวคิดวา่ การวจิ ยั ท่ีมุง่ ถึงการสร้างรูปแบบในการดาเนินการในเรื่อง
ใดก็ตาม คาตอบที่จะไดม้ าน้นั จาเป็ นท่ีจะตอ้ งให้ผูม้ ีส่วนไดเ้ สียโดยตรง (Stakeholders) มีส่วนร่วมในการ
ออกแบบเพ่ือนารูปแบบจากกระบวนวธิ ีการวจิ ยั น้ีไปใชว้ เิ คราะห์เชิงเปรียบเทียบกบั รูปแบบที่ผูว้ จิ ยั ไดจ้ ดั ทา
ข้ึนเพือ่ ใหไ้ ดร้ ูปแบบที่สามารถนาไปใชไ้ ดจ้ ริง
4. การรับฟังความคดิ เห็น (Hearing)
เมื่อผูว้ ิจยั ได้ขอ้ คน้ พบจากการวิจยั เป็ นรูปแบบองค์กรเพ่ือการป้องกันและปราบปรามการค้า
มนุษยใ์ หม่ท่ีเป็ นตน้ แบบแลว้ เพ่ือให้เกิดความมนั่ ใจว่าสามารถที่จะนาไปสู่การประยุกตใ์ ชไ้ ดจ้ ริง จากผูท้ ี่
เก่ียวขอ้ งกบั การป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ จึงไดใ้ ช้วธิ ีการสัมมนารับฟังความคิดเห็น (Hearing)
จากประชากรที่มีความเก่ียวขอ้ งกบั การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษยป์ ระกอบด้วยบุคลากรจาก
518 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 24
องค์กรด้านการสืบสวนจับกุม องค์กรด้านการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี และองค์กรด้านการ
คุม้ ครองเยียวยา ตลอดจนนกั วชิ าการและองคก์ รพฒั นาเอกชนดา้ นการคา้ มนุษย์ โดยการใหป้ ระชากรท่ีร่วม
สัมมนาไดว้ พิ ากษข์ อ้ คน้ พบของงานวจิ ยั เพ่อื นาเอาขอ้ วพิ ากษแ์ ละขอ้ เสนอแนะไปปรับปรุงแกไ้ ขผลการวจิ ยั
5. ขอบเขตด้านประชากร
ประชากรท่ีใหข้ อ้ มูล มี 4 กลุ่มองคก์ ร ประกอบดว้ ย 1) องคก์ รดา้ นการสืบสวนจบั กุม คือ กรมการ
ปกครอง กองอานวยการรักษาความมน่ั คงภายในราชอาณาจกั ร (กอ.รมน.) กรมสวสั ดิการและคุม้ ครอง
แรงงาน กองทพั บก ศูนยป์ ระสานการปฏิบตั ิในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.) 2) องคก์ ร
ดา้ นการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี คือ กรมสอบสวนคดีพิเศษ กองบงั คบั การปราบปรามการค้า
มนุษย์ สานกั งานตารวจแห่งชาติ สานกั งานอยั การสูงสุด 3) องค์กรดา้ นการคุม้ ครองเยียวยา คือ กระทรวง
การพฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนุษย์ 4) นักวิชาการและองค์กรพฒั นาเอกชนดา้ นการคา้ มนุษย์
(NGO)
6. ขอบเขตด้านพืน้ ทศ่ี ึกษา
พ้นื ที่ในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล เป็นพ้ืนที่ที่มีองคก์ รดา้ นการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์
ครอบคลุม 3 ด้าน ท้งั ด้านการสืบสวนจบั กุม ด้านการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี และด้านการ
คุม้ ครองเยยี วยา และเป็นพ้ืนท่ีท่ีมีปัญหาการคา้ มนุษยเ์ กิดข้ึน คือ กรุงเทพมหานคร
7. ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ
1. ไดร้ ูปแบบองคก์ รใหม่ที่เป็ นคณะกรรมการป้องกนั และปราบรามการคา้ มนุษยท์ ี่มีการทางาน
เชิงบูรณาการร่วมกนั ระหวา่ งองคก์ รปัจจุบนั มีขอบเขตอานาจหนา้ ที่ทวั่ ราชอาณาจกั ร ทาให้การป้องกนั และ
ปราบปรามการคา้ มนุษยม์ ีประสิทธิภาพเพิม่ ข้ึน
2. รูปแบบองคก์ รใหม่เป็ นประโยชน์ต่อการแกไ้ ขปัญหาการใชอ้ านาจหนา้ ท่ีของหลายหน่วยงาน
ท่ีมีความซ้าซ้อนและทับซ้อนกนั อันนาไปสู่ปัญหาของช่องว่างกฎหมายที่สามารถใช้ในการแสวงหา
ประโยชนโ์ ดยไมช่ อบของเจา้ หนา้ ที่ได้
3. การป้องกนั และปรบปรามการคา้ มนุษยม์ ีประสิทธิภาพเป็ นที่ยอมรับของต่างประเทศในดา้ น
การคุม้ ครองสิทธิมนุษยชน และทาให้ไทยสามารถถูกจดั อนั ดบั การแกป้ ัญหาการคา้ มนุษยจ์ ากประเทศ
สหรัฐอเมริกาใหด้ ีข้ึนกวา่ ปัจจุบนั
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 519
ฉัฏรเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็
ผลการศึกษา
1. ผลจากการวิเคราะห์ตามที่สรุปมาน้ัน มีเหตุผลสนับสนุนสรุปได้ว่าองค์กรป้องกันและ
ปราบปรามการคา้ มนุษยท์ ้งั 3 ดา้ น คือด้านการสืบสวนจบั กุม ดา้ นการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี
และดา้ นการคุม้ ครองเยียวยา ลว้ นมีความสาคญั ต่อการป้องกนั ปราบปรามการคา้ มนุษย์ แต่พบว่าองค์กร
ดงั กล่าวมีหลายองคก์ รทางานลกั ษณะแยกกนั ทา ขาดการบูรณาการ ทาให้เกิดความเหล่ือมล้าการใชอ้ านาจ
หน้าท่ีระหว่างองค์กร เกิดช่องวา่ งทางกฎหมาย ท่ีเจา้ หน้าท่ีรัฐแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบได้ เป็ นปัญหา
และทาให้เกิดความเสียหายและขาดประสิทธิภาพในการป้องกันปราบปรามการค้ามนุษย์ ปัญหาการ
ดาเนินงานขององคก์ รท้งั สามดา้ น สอดคลอ้ งกบั ความเห็นของผใู้ หส้ ัมภาษณ์เชิงลึก ผูเ้ ขา้ ร่วมออกแบบ และ
ผูเ้ ขา้ ร่วมสัมมนารับฟังความคิดเห็นว่าองค์กรของไทย ขาดการทางานเป็ นองค์คณะ ขดั แยง้ กนั เกี่ยงกนั
ซ้าซ้อนกนั มีลกั ษณะต่างคนต่างทา ซ่ึงแตกต่างกบั หน่วยงานของประเทศในภูมิภาคเดียวกนั แมม้ ีปัญหา
การคา้ มนุษยไ์ ม่นอ้ ยกวา่ ประเทศไทย แต่มีประสิทธิภาพในการแกไ้ ขปัญหา เพราะมีรูปแบบการทางานเชิง
บูรณาการองค์กร ไม่มีความเหลื่อมล้า หรือขดั แยง้ กนั ทาให้เกิดเอกภาพและการทางานเป็ นไปในทิศทาง
เดียวกนั
2. จากข้อสรุปการวิจยั ได้วิเคราะห์หาคาตอบและสรุปรูปแบบองค์กรเพ่ือการป้องกันและ
ปราบปรามการคา้ มนุษย์ คือ “องคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์” ที่มีอานาจหนา้ ที่ชดั เจนเพียงองคก์ ร
เดียวครอบคลุมดา้ นการสืบสวนจบั กุม ดา้ นการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี และดา้ นการคุม้ ครอง
เยยี วยาไวด้ ว้ ยกนั ตามโครงสร้าง ดงั น้ี
3. องค์คณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษยจ์ ดั ต้งั ข้ึนโดยรวม 6 องค์กร ท่ีมีอานาจหนา้ ที่ดา้ นการ
สืบสวนจบั กมุ ดา้ นการสืบสวนจบั กมุ สอบสวนดาเนินคดี และดา้ นการคุม้ ครองเยยี วยา ประกอบดว้ ย องคก์ ร
ดา้ นการสืบสวนจบั กุม 1 องคก์ รคือ กรมการปกครอง องคก์ รดา้ นการสืบสวนจบั กุมสอบสวนดาเนินคดี 3
องคก์ ร คือ สานกั งานตารวจแห่งชาติ กองบงั คบั การปราบปรามการคา้ มนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ องคก์ ร
ดา้ นการคุม้ ครองเยียวยาคือ กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนุษย์ (พม.) และสานักงาน
อยั การสูงสุด
4. ขอบเขตอานาจหนา้ ท่ีขององคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ มีรูปแบบดงั น้ี
1) องค์คณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ มีอานาจสืบสวน จบั กุม สอบสวนดาเนินคดี และ
คุม้ ครองเยยี วยา คดีคา้ มนุษยท์ ว่ั ราชอาณาจกั ร
2) องคก์ รในองค์คณะที่มีอานาจในการสืบสวนจบั กุม คือ สานกั งานตารวจแห่งชาติ กรมการ
ปกครอง และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ตามกฎหมาย แต่องคก์ รท้งั สามสามารถเชิญกระทรวงการพฒั นาสังคม
และความมนั่ คงของมนุษย์ และสานกั งานอยั การสูงสุดเขา้ ร่วมสืบสวนจบั กุมไดต้ ามความเหมาะสม
3) องค์กรในองค์คณะองค์กรใดเป็ นผูจ้ บั กุม ให้องค์กรน้ันเป็ นเลขานุการองค์คณะในคดีน้ัน
เวน้ กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมน่ั คงของมนุษย์ และสานกั งานอยั การสูงสุด
520 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 24
4) กรณีองค์กรอ่ืนนอกเหนือจากองค์คณะ เป็ นผูจ้ บั กุมให้องค์กรผู้จบั เขา้ ร่วมเป็ นองค์คณะ
ในคดีน้นั และใหพ้ นกั งานสอบสวนทอ้ งท่ีเกิดเหตุเป็นเลขานุการองคค์ ณะในคดีน้นั
5) ให้สานกั งานอยั การสูงสุดเป็ นหวั หน้าองคค์ ณะ เน่ืองจากเป็ นผูม้ ีความรู้ความเช่ียวชาญใน
การส่ังคดีที่ดาเนินการจากพนักงานสอบสวน จึงเป็ นประโยชน์ในการวางรูปคดี และการพิจารณา
พยานหลกั ฐาน แตม่ ิใช่ในฐานะผบู้ งั คบั บญั ชาขององคค์ ณะ
6) กรณีเกิดคดีการค้ามนุษย์ในพ้ืนที่ต่างจงั หวดั ให้องค์กรผูจ้ บั เป็ นผูแ้ จ้งองค์คณะในพ้ืนที่
รับผดิ ชอบ คือ เจา้ พนกั งานฝ่ ายปกครองอาเภอ อยั การจงั หวดั พฒั นาสังคมและความมน่ั คงของมนุษยจ์ งั หวดั
พนกั งานสอบสวนทอ้ งท่ี เจา้ หนา้ ท่ีกองบงั คบั การปราบปรามการคา้ มนุษยพ์ ้ืนท่ี และพนกั งานสอบสวนคดี
พเิ ศษกองคดีการคา้ มนุษย์ กรมสอบสวนคดีพเิ ศษ เพอ่ื ร่วมประชุมเปิ ดคดี
7) กรณีเกิดคดีการค้ามนุษย์ในพ้ืนท่ีกรุงเทพมหานครให้องค์กรผูจ้ ับเป็ นผูแ้ จ้งองค์คณะ
ส่วนกลางคือ สานกั การสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมนั่ คง
ของมนุษย์ กองบงั คบั การปราบปรามการค้ามนุษย์ และ กองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ
เพ่ือร่วมประชุมเปิ ดคดี
8) กรณีองค์กรอ่ืนนอกเหนือองค์กรในองค์คณะสืบสวนสอบสวนเป็ นผูจ้ บั ให้พนักงาน
สอบสวนทอ้ งที่เกิดเหตุเป็ นเลขานุการองค์คณะในคดีน้นั และ เป็ นผูแ้ จ้งองค์กรอื่นในองค์คณะสืบสวน
สอบสวนเพอ่ื ร่วมประชุมเปิ ดคดี
9) มติที่ประชุมเสียงขา้ งมากในองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนถือเป็ นท่ีสุด หากจานวนเสียงเท่ากนั
ใหพ้ นกั งานอยั การเป็นผชู้ ้ีขาดในฐานหวั หนา้ องคค์ ณะพนกั งานสืบสวนสอบสวน
10) องคค์ ณะสืบสวนสอบสวน จะตอ้ งจดั ทาสถิติการจบั กุมและสอบสวนดาเนินคดีคา้ มนุษย์
โดยแยกตามรูปแบบการคา้ มนุษย์ เพศและอายขุ อง ผูเ้ สียหายหรือเหย่ือคา้ มนุษย์ เพศและอายุของผูก้ ระทา
ผดิ และการคุม้ ครองเยยี วยาผเู้ สียหายหรือเหยอ่ื คา้ มนุษย์ โดยจดั ทาเป็นรายงานประจาเดือน รายงานประจา 6
เดือน และรายงานประจาปี เพ่ือประเมินผลการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษยข์ ององค์คณะ และ
นาเสนอรายงานต่อคณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ ท่ีมีนายกรัฐมนตรีเป็ นประธาน
เพอ่ื ใชเ้ ป็นขอ้ มูลในการกาหนดนโยบายการแกไ้ ขปัญหาการคา้ มนุษยข์ องประเทศ
จากผลสรุปรูปแบบองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ ที่มีอานาจครอบคลุมท้งั หมดเพียง
องคก์ รเดียว โดยไม่มีการแบ่งแยกองคก์ รเพ่ือใหเ้ กิดความเหล่ือมล้า ซ้าซ้อน ขดั แยง้ เก่ียงกนั แยง่ กนั ทางาน
และ เกิดช่องวา่ งของกฎหมาย ยอ่ มส่งผลต่อประสิทธิภาพในการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ มีการ
คุม้ ครองศกั ด์ิศรีความเป็ นมนุษย์ และสิทธิมนุษยชนมากข้ึน และสร้างความเชื่อมนั่ แก่ต่างประเทศท่ีมีต่อ
องคก์ รป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ (ดูภาพท่ี 2)
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 521
ฉัฏรเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็
ภาพท่ี 2 แผนภูมิ รูปแบบองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์
อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะการวจิ ัย
จากขอ้ สรุปรูปแบบ “องคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์” ท่ีไดจ้ ดั ต้งั ข้ึนใหม่น้ี หากจะให้มี
การนาไปใชป้ ระโยชน์อย่างเป็ นรูปธรรม เพ่ือให้เกิดประสิทธิภาพในการป้องกนั และปราบปรามการคา้
มนุษย์ ผลการวจิ ยั มีขอ้ เสนอแนะ ดงั น้ี
1. แนวทางการนาผลการวจิ ัยไปใช้ประโยชน์
ผลผลิตที่เป็ นขอ้ คน้ พบจากการวจิ ยั น้ี หากจะมีการนาไปใชป้ ระโยชน์แลว้ การวจิ ยั ขอเสนอแนะ
ให้มีการดาเนินการเพื่อให้องค์กรในองค์คณะเกิดการรับรู้และยอมรับองค์กรใหม่และสร้างความรู้
ความสามารถใหไ้ ดม้ าตรฐานเดียวกนั ดงั น้ี
1) การประชาสัมพนั ธ์ องคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ เป็ นรูปแบบองค์กรใหม่ท่ียงั
ไม่เคยเกิดข้ึน เพื่อให้เกิดการรับรู้ขององค์กรในองค์คณะ องค์กรดา้ นการสืบสวนจบั กุม ดา้ นการสืบสวน
จบั กุมสอบสวนดาเนินคดี ดา้ นการคุม้ ครองเยียวยา และประชาชน จึงสมควรแจง้ ใหผ้ ูเ้ กี่ยวขอ้ งดงั กล่าวได้
รับทราบถึงหลกั การและเหตุผล วตั ถุประสงค์ ผลกระทบ ผลประโยชน์ กระบวนการดาเนินการ ซ่ึงการ
ประชาสัมพนั ธ์ไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การเผยแพร่ทางสถานีวิทยุโทรทศั น์ การเผยแพร่ผ่านเว็บไซต์ของ
องคก์ รดา้ นการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์
522 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 24
2) การจดั สัมมนาร่วมองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ และองคก์ รอื่นนอกเหนือจาก 6
องคก์ รหลกั ลว้ นมีอานาจหน้าท่ีเขา้ เป็ นองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ ซ่ึงมีพ้ืนฐานแตกต่างกนั ท้งั
ด้านอานาจหน้าที่ จึงควรจดั ให้มีการสัมมนาเพ่ือสร้างและปรับพ้ืนฐานความรู้ด้านการค้ามนุษย์ให้มี
มาตรฐานใกลเ้ คียงกนั และสร้างความคุน้ เคยความสามคั คีระหวา่ งองคก์ ร เพื่อใหท้ ราบถึงความเปลี่ยนแปลง
รูปแบบการทางานใหม่
2. ข้อเสนอแนะด้านนโยบาย
การนาองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ ไปสู่การปฏิบตั ิท่ีมีประสิทธิภาพจะเก่ียวขอ้ งกบั การ
กาหนดนโยบายท้งั ระดบั นโยบาย (ระดบั ชาติ) และระดบั ปฏิบตั ิ (ระดบั องคก์ ร) ซ่ึงจะตอ้ งมีความสอดคลอ้ งกนั
ดงั น้นั รัฐควรมีนโยบายในประเด็น ดงั น้ี
1) ให้องค์กรดา้ นการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ ถือปฏิบตั ิพร้อมกนั อย่างเคร่งครัด
เพื่อให้แต่ละองคก์ รไดป้ รับเปล่ียนแนวทางการทางาน การพฒั นาองคค์ วามรู้ครอบคลุมทุกดา้ น เพื่อให้บรรลุ
วตั ถุประสงคข์ องการจดั ต้งั องคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์
2)การปฏิบตั ิหนา้ ท่ีตามรูปแบบองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ซ่ึงจะดาเนินการโดยองคก์ ร
หลกั 6 องคก์ รหลกั และองคก์ รอื่นที่มีอานาจหนา้ ที่เดียวกนั ใหแ้ ตล่ ะองคก์ รจดั ทาสถิติการคา้ มนุษยท์ ้งั จานวน
คดี รูปแบบการคา้ จานวนผกู้ ระทาผดิ เพศ อายุ สญั ชาติ ของเหย่อื หรือผเู้ สียหาย ผเู้ สียหาย เป็นวงรอบตามระยะ
3 เดือน ระยะ 6 เดือน และระยะ 1 ปี เพื่อเปรียบเทียบผลลพั ธ์และประสิทธิภาพการป้องกนั และปราบปราม
การคา้ มนุษยก์ ่อนจดั ต้งั องคค์ ณะและขณะจดั ต้งั องค์คณะ มีความแตกต่างกนั อยา่ งไร เพื่อเป็ นใชเ้ ป็ นขอ้ มูลใน
การประเมินผลรูปแบบองคค์ ณะ และกาหนดนโยบายการป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์
3. ข้อเสนอแสนอแนะด้านกฎหมาย
การแก้ไขกฎหมายป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ พ.ศ. 2551 และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม ให้มี
บทบญั ญตั ิท่ีสอดคลอ้ งกบั รูปแบบใหมข่ ององคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ 4 มาตรา ดงั น้ี
1) มาตรา .. ให้มีองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษย์ เป็ นองคก์ รที่มีอานาจหนา้ ที่สืบสวน
จบั กมุ สอบสวนดาเนินคดีผกู้ ระทาผดิ และคุม้ ครองเยยี วยา ผเู้ สียหายในคดีคา้ มนุษยท์ ว่ั ราชอาณาจกั ร
2) มาตรา .. องค์คณะสืบสวนสอบสวนคดีคา้ มนุษยป์ ระกอบด้วย 6 องค์กรคือ สานกั งาน
ตารวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กองบงั คบั การปราบปรามการคา้ มนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ สานกั งาน
อยั การสูงสุด กระทรวงการพฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนุษย์ โดยสานกั งานอยั การสูงสุดเป็ นหวั หนา้
องคค์ ณะสืบสวนสอบสวนแตม่ ิใช่ผบู้ งั คบั บญั ชาองคค์ ณะ
3) มาตรา .. องค์คณะผูม้ ีอานาจสืบสวนจับกุม 4 องค์กร คือ สานักงานตารวจแห่งชาติ
กองบงั คบั การปราบปรามการคา้ มนุษย์ กรมการปกครอง กรมสอบสวนคดีพิเศษ เวน้ องค์กรสานักงาน
อยั การสูงสุด และกระทรวงการพฒั นาสงั คมและความมนั่ คงของมนุษย์ โดยองคก์ รใดเป็นผูจ้ บั ใหอ้ งคก์ รน้นั
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 523
ฉัฏรเพช็ รมงคล จนั ทร์เพญ็
เป็นเลขานุการองคค์ ณะสืบสวนสอบสวน หากองคก์ รอื่นนอกเหนือจากองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนเป็นผจู้ บั
ให้องค์กรน้ันร่วมเป็ นองค์คณะสืบสวนสอบสวนในคดีน้ัน และพนักงานสอบสวนทอ้ งที่เกิดเหตุเป็ น
เลขานุการองคค์ ณะสืบสวนสอบสวนในคดีน้นั
4) มาตรา .. กรณีเกิดคดีคา้ มนุษยใ์ นพ้ืนที่ต่างจงั หวดั ให้องคก์ รผูจ้ บั แจง้ องคค์ ณะ ในพ้ืนที่ยกเวน้
กรมสอบสวนคดีพิเศษให้แจง้ ส่วนกลาง แต่หากเกิดในพ้ืนท่ีกรุงเทพมหานครให้องค์กรผูจ้ บั แจง้ องคค์ ณะ
ส่วนกลาง เพ่อื ร่วมประชุมเปิ ดคดี
524 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 24
รายการอ้างองิ
พระราชกาหนดแกไ้ ขเพิม่ เติมพระราชบญั ญตั ิป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ พ.ศ. 2562. (2562,
เมษายน 6). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 136 ตอนที่ 55 ก.
พระราชบญั ญตั ิป้องกนั และปราบปรามการคา้ ประเวณี พ.ศ. 2539. (2539, 22 ตุลาคม). ราชกิจจานุเบกษา.
เล่ม 113 ตอนที่ 54 ก.
พระราชบญั ญตั ิป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2558. (2558, 28 เมษายน).
ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 132 ตอนท่ี 34 ก.
พระราชบญั ญตั ิป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2560. (2560, 27 มกราคม).
ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 134 ตอนท่ี 12 ก.
พระราชบญั ญตั ิป้องกนั และปราบปรามการคา้ มนุษย์ พ.ศ. 2551. (2551, 6 กมุ ภาพนั ธ์). ราชกิจจานุเบกษา.
เล่ม 125 ตอนที่ 29 ก.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2540. (2540, 11 ตุลาคม). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 114
ตอนที่ 55ก.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2550. (2550, 24 สิงหาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 124
ตอนท่ี 47ก.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2560. (2560, 6 เมษายน). ราชกิจจานเุ บกษา. เล่ม 134
ตอนที่ 40 ก.
ศูนยว์ ิจยั และพฒั นาอาชญาวิทยาและกระบวนการยุติธรรม คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์.
(2550). โครงการวิจัยเร่ื อง กระบวนการเข้าสู่การค้ามนุษย์ ,กรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความม่ันคงของมนุษย์ . กรุ งเทพฯ: คณะสังคมศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
ศูนยศ์ ึกษายทุ ธศาสตร์ สถาบนั วิชาการป้องกนั ประเทศ. (2556). การค้ามนุษย์ในประเทศไทย, ปัจจัยที่เป็ น
สาเหตุ เครื่องมือ และกลไกในการแก้ไข. กรุงเทพฯ: ศูนยศ์ ึกษายทุ ธศาสตร์ สถาบนั วชิ าการ
ป้องกนั ประเทศ.
สมพงศ์ เยน็ แกว้ . (2559). รูปแบบการค้ามนุษย์. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 19 มิถุนายน 2562, เขา้ ถึงไดจ้ าก
https://hmtraffick.blogspot.com/2016/04/blog-post_77.html
Makornwatana, P. (2542). Trafficking in Women and its Human Right Violation. บทบณั ฑิตย์, 55(2), 140.
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 525
C H A P T E R 25
การคุ้มครองสิทธิเกย่ี วกบั การยดึ ทดี่ นิ ของผ้ปู ระกอบอาชีพชาวนา
ในกระบวนการยุตธิ รรมทางแพ่ง
Protection of Rights Concerning the Seizure of Farm Land in
Civil Justice Process
จิดาภา พรยง่ิ (Jidapa Pornying)
ดร.อาจารยภ์ าควชิ านิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา
Doctor of Laws., Lecturer Department of Political Science and Law, Burapha University
E-mail: [email protected]
Received: 9 September 2019
Revised: 10 October 2019
Accepted: 1 November 2019
บทคดั ย่อ
การวิจยั มีวตั ถุประสงค์เพื่อศึกษาถึงแนวคิดกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งและการคุ้มครอง
ปัจเจกชน ประเภทมูลหน้ีของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาท่ีควรไดร้ ับคุม้ ครองจากการบงั คบั คดีท่ีดินทานาขาย
ทอดตลาด กฎหมายเกี่ยวกับการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและกฎหมาย
ต่างประเทศ โดยใช้วิธีการวิจยั เชิงคุณภาพ ประกอบดว้ ย การวิจยั เอกสาร การมีส่วนร่วมออกแบบ - ร่วม
ออกแบบรับฟังความคิดเห็นของประชาชน
ผลวจิ ยั พบวา่ ในกระบวนการยตุ ิธรรมทางแพง่ สามารถคุม้ ครองสิทธิของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนา
ท่ีถูกบงั คบั ท่ีดินทานาขายทอดตลาดในประเภทมูลหน้ีของชาวนาได้บางประเภทซ่ึงจะส่งผลดีทาให้ผู้
ประกอบอาชีพชาวนายงั คงมีท่ีดินทานา เป็ นการรักษาพ้ืนท่ีดินทากินไวส้ าหรับเกษตรกรรมมิให้สูญสิ้นไป
ขณะเดียวกนั เจา้ หน้ีก็มิไดเ้ สียสิทธิในการไดร้ ับชาระหน้ีจากลูกหน้ี โดยท่ีรูปแบบการคุม้ ครองสิทธิเกี่ยวขอ้ ง
กบั บงั คบั คดีท่ีดินทานาประเภทมูลหน้ีของชาวนา ตอ้ งมีกฎหมายรองรับเพ่ือคุม้ ครองสิทธิ จึงนาไปสู่การ
ปรับปรุงแกไ้ ขและเพิ่มเติมบทบญั ญตั ิกฎหมายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 336/1
และร่างกฎกระทรวงวธิ ีการและเงื่อนไขที่เกี่ยวกบั การบงั คบั คดีประเภทมูลหน้ีของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนา
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 527
จดิ าภา พรยงิ่
การวจิ ยั เสนอแนะใหน้ าผลการวจิ ยั ไปใชป้ ระโยชน์ในรูปแบบของการปรับปรุงแกไ้ ขบทบญั ญตั ิ
กฎหมายของประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ โดยเพ่ิมเติมมาตรา 336/1 และร่างกฎกระทรวงวิธีการ
และเง่ือนไขที่เกี่ยวกบั การบงั คบั คดีประเภทมูลหน้ีของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาจากการวจิ ยั ไปใชต้ ่อไป
คาสาคญั : คุม้ ครองสิทธิ, บงั คบั คดีที่ดิน, ผปู้ ระกอบอาชีพชาวนา, กฎหมาย
Abstract
The objective of this research is to study the concept of civil justice process and individual
protection, sources of obligation that farmers as debtors should be protected from land seizure for the
purpose of auction, laws relating to legal execution according to Thai Civil Procedure Code and foreign
laws. This research adopted qualitative research methods based on documentary research and participation
of people to share opinions on this matter.
The research results show that, in civil justice procedure, protection of farmers’ right to avoid
land seizure from some sources of obligation is beneficial since farmers still own farmlands for
sustainable agriculture purpose. Simultaneously, creditors do not lose the rights of debt repayment from
farmers. Accordingly, provisions relating to such protection should be provided by amending Section
336/1 of the Civil Procedure Code as well as Draft regulations on process and conditions relating to legal
execution of farmers’ sources of obligation.
It is suggested that the research results should be used as a reference for the future amendment
of Section 336/1 of the Civil Procedure Code and Draft regulations on process and conditions relating to
legal execution of farmers’ sources of obligation on the next occasion.
Keywords: Protection of rights, Land seizure, Farmer, Law
บทนา
ประเทศไทยมีสินคา้ ส่งออกขา้ วทุกชนิดและถือเป็ นรายไดข้ องประเทศขอ้ มูลการสารวจลกั ษณะ
การถือครองที่ดินเพื่อการเกษตรของสานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร ปี 2560 พ้ืนท่ีเกษตรกรรมประมาณ
149.25 ลา้ นไร่ เป็ นพ้ืนท่ีท่ีเกษตรกรเช่าเกินคร่ึงหน่ึงส่วนท่ีเหลือเป็ นที่ดินของเกษตรกรเองที่ดินในกลุ่มน้ีมี
29.72 ล้านไร่เป็ นท่ีดินติดภาระจานอง และอีก 1.15 แสนไร่อยู่ระหว่างการขายฝาก (ฐานข้อมูลสถิติ
การเกษตรของประเทศ, 2561,หนา้ 5) จากปัจจยั ความผนั ผวนของราคาขา้ ว ตน้ ทุนการผลิต สภาพธรรมชาติ
528 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 25
รวมท้งั เงินที่ตอ้ งใชจ้ า่ ยในการดารงชีวติ ของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาและครอบครัวทาให้ตอ้ งไปกูย้ มื เงินจาก
สถาบนั การเงินหรือบุคคลภายนอกโดยนาที่ดินทากินไปจดทะเบียนจานองหรือขายฝากเพื่อประกนั หน้ี
นาเงินที่กยู้ มื มาน้นั ลงทุนทานาในรอบฤดูกาลการผลิต ซ่ึงการปลูกขา้ วตลอดท้งั ปี และในปี ติดกนั ผปู้ ระกอบ
อาชีพชาวนาตอ้ งลงทุนเพื่อการปลูกขา้ วสูงข้ึนแต่ผลผลิตที่ไดร้ ับกลบั ต่าลง การปลูกขา้ วของผูป้ ระกอบ
อาชีพชาวนา มิได้มีปัจจยั เพียงค่าลงทุนในการปลูกขา้ วและราคาขายเท่าน้ัน แต่ในระหว่างการปลูกขา้ ว
ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาต้องเผชิญกับความแปรปรวนของภูมิอากาศ ไม่ว่าฝนตกมาก น้าท่วม น้าแล้ง
เป็ นเหตุให้ตน้ ทุนการผลิตเพ่ิมข้ึนหรือเส่ียงต่อภาวะขาดทุน จากตน้ ทุนการผลิตขา้ วสูง แต่ขายขา้ วไดใ้ น
ราคาต่าจึงไม่สามารถชาระหน้ีคืนให้กบั เจา้ หน้ีไดต้ ามกาหนดเวลาท้งั ตน้ เงินและดอกเบ้ีย ประกอบกบั การ
ไม่เขา้ ใจการจดั การหน้ีสิน ขาดความรู้ดา้ นการประเมินความเสี่ยง เป็ นเหตุให้เจา้ หน้ีเงินกูฟ้ ้องคดีโดยบงั คบั
เอากบั หลกั ทรัพยท์ ี่ดินจานองขายทอดตลาดเพื่อนาเงินมาชาระหน้ีคืนทาให้ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาถูกยึด
ที่ดินทานาออกขายทอดตลาดตอ้ งสูญเสียท่ีดินทานาอนั เป็นแหล่งผลิตขา้ วไปในท่ีสุด
การบังคับคดียึดทรัพย์สินของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาท่ีเป็ นเกษตรกรรม ในประเทศไทยมี
กฎหมายหลายฉบบั ที่เก่ียวขอ้ งกบั บงั คบั คดี แตม่ ิไดค้ ุม้ ครองการยดึ ท่ีดินทานาของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาไว้
ชดั เจน ไดแ้ ก่
ประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ (ฉบบั ที่ 30) พ.ศ. 2560 มาตรา 336 กาหนดใหล้ ูกหน้ีตาม
คาพิพากษาผูป้ ระกอบอาชีพเกษตรกรรม ที่มีรายไดจ้ ากอสังหาริมทรัพยอ์ าจชาระหน้ีตามคาพิพากษาได้
ภายในเวลาอนั สมควร เมื่อศาลเห็นสมควรหรือเมื่อลูกหน้ีตามคาพิพากษาร้องขอ และไม่มีขอ้ เท็จจริงวา่ จะ
เป็ นการประวิงการชาระหน้ี ศาลอาจมีคาสั่งต้งั ผูจ้ ดั การอสังหาริมทรัพยห์ รือผูจ้ ดั การกิจการ โดยมอบเงิน
รายไดท้ ้งั หมดหรือแต่บางส่วนแก่เจา้ พนักงานบงั คบั คดีภายในเวลาและเงื่อนไขท่ีศาลเห็นสมควรกาหนด
แทนการขายหรือจาหน่ายทรัพยส์ ินของลูกหน้ีตามคาพิพากษาได้ จากบทบญั ญตั ิน้ี หมายถึงลูกหน้ีตามคา
พิพากษาน้ีตอ้ งมีรายไดจ้ ากการทาเกษตรกรรมอยา่ งต่อเน่ืองและสามารถให้ผลผลิตรายไดอ้ ยา่ งชดั เจน เช่น
การทาสวนท่ีมีตน้ ไมท้ ี่พร้อมให้ผลิตผลในปี การผลิตต่อไปได้ และมาตรา 301 บญั ญตั ิเกี่ยวกบั ทรัพยส์ ิน
สัตว์ สิ่งของ เคร่ืองมือ เครื่องใชใ้ นการประกอบอาชีพหรือประกอบวชิ าชีพเท่าที่จาเป็ นในการเล้ียงชีพของ
ลูกหน้ีตามคาพิพากษา ราคารวมกนั โดยไม่เกินหน่ึงแสนบาท ไม่อยูใ่ นความรับผิดแห่งการบงั คบั คดี และ
พระราชบญั ญตั ิว่าดว้ ยการยึดทรัพยส์ ินของกสิกร พุทธศกั ราช 2475 กาหนดเงื่อนไขในการห้ามยึดผลผลิต
ของชาวนา พนั ธุ์พืช สัตว์ เคร่ืองมือในการทานา แต่กฎหมายท้งั สองฉบบั น้ีไม่ไดก้ ล่าวถึงการคุม้ ครองสิทธิ
เก่ียวกบั การยดึ ท่ีดินทานาในการถูกบงั คบั คดีทางแพง่ แต่อยา่ งใด
พระราชบญั ญัติการเช่าที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 บญั ญัติเพ่ือคุ้มครองมิให้ชาวนาถูก
เจา้ ของท่ีดินรังแกโดยใชฐ้ านะเศรษฐกิจที่ดีกวา่ และกาหนดใหก้ ารเช่านามีการควบคุมตามมาตรา 22 โดยให้
มีคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม (คชก.) อาเภอ เป็ นผูพ้ ิจารณาคาร้องขอทบทวนการกาหนด
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 529
จดิ าภา พรยง่ิ
ราคาเช่าข้นั สูง และกาหนดเวลาที่ผูใ้ ห้เช่าอาจเรียกเก็บค่าเช่าในแต่ละปี ตามความเหมาะสมแห่งทอ้ งท่ีตาม
มาตรา 8/2 และให้คณะกรรมการการเช่าที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม (คชก.) ตาบลเป็ นผูว้ นิ ิจฉยั ขอ้ พิพาทเกี่ยวกบั
การเรียกเก็บค่าเช่า การชาระค่าเช่า ระยะเวลาของการเช่าตามมาตรา 13 ท้งั ควบคุมในกรณีท่ีเจา้ ของท่ีดินจะ
ขายที่ดินนา ที่มีผูเ้ ช่าทานาตามมาตรา 53 ซ่ึงกฎหมายฉบบั น้ีก็มิไดก้ ล่าวถึงการคุม้ ครองสิทธิเก่ียวกบั การยดึ
ท่ีดินทานาของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาขายทอดตลาด
พระราชบญั ญตั ิกองทุนฟ้ื นฟูและพฒั นาเกษตรกร พ.ศ. 2542 มีวตั ถุประสงคเ์ พียงเปิ ดโอกาสให้
เกษตรกรรวมตวั กนั เป็ นสมาชิกจดั ต้งั องคก์ รเกษตรกร เพื่อทาแผนและโครงการในการขอรับเงินสนบั สนุน
จากกองทุนเพื่อการฟ้ื นฟูและพฒั นาสภาพชีวติ และความเป็ นอยู่ของเกษตรกร แต่ไม่มีบทบญั ญตั ิเก่ียวขอ้ ง
กบั การแก้ไขปัญหาหน้ีของเกษตรกร และแม้ว่าจะมีพระราชบญั ญัติกองทุนฟ้ื นฟูและพฒั นาเกษตรกร
(ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2544 เพ่ือเขา้ มาแกไ้ ขปัญหาหน้ีของเกษตรกร ในทางปฏิบตั ิแลว้ ก็ยงั มีอุปสรรคที่กองทุน
ฟ้ื นฟูและพฒั นาเกษตรกร ไม่สามารถช่วยไดอ้ ยา่ งทนั ท่วงทีและทุกราย ซ่ึงกระบวนการช้นั บงั คบั คดีน้ัน
มีเง่ือนไขและระยะเวลากาหนดไวอ้ ยู่ เม่ือเขา้ สู่ข้นั ตอนการบงั คบั คดี เจา้ หน้าท่ีของกรมบงั คบั คดีจะไม่นา
ท่ีดินออกขายทอดตลาดหรือ งดการบงั คบั คดี เนื่องจากผูท้ ่ีมีอานาจหรือมีสิทธิในการสั่งก็คือ ศาลหรือ
เจา้ หน้ีเท่าน้นั และหากเจา้ หน้ีและลูกหน้ีไมส่ ามารถตกลงกนั ได้ ท่ีดินทานาของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาที่ตก
เป็นหน้ีตามคาพิพากษายอ่ มถูกบงั คบั คดีออกขายทอดตลาดเพื่อนาเงินท่ีไดม้ าน้ีชาระหน้ีใหแ้ ก่เจา้ หน้ี
หากพิจารณาแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ีสิบสอง พ.ศ. 2560 - 2564 กาหนด
เรื่องวตั ถุประสงคแ์ ละเป้าหมายการพฒั นาส่วนท่ี 3(3) เพอ่ื ใหเ้ ศรษฐกิจเขม้ แขง็ แข่งขนั ได้ มีเสถียรภาพ และ
มีความยงั่ ยนื สร้างความเขม้ แข็งของฐานการผลิตและบริการ และในส่วนท่ี 4 กาหนดเรื่องยุทธศาสตร์การ
พฒั นาประเทศในยุทธศาสตร์ท่ี 2 ขอ้ 3.1.3 กาหนดให้สร้างโอกาสในการมีท่ีดินของตนเองและยกระดบั
รายไดป้ ้องกนั การเปล่ียนมือผไู้ ดร้ ับการจดั สรรท่ีดินให้แก่คนจนในภาคเกษตรท่ีไร้ท่ีดินทากิน หากพิจารณา
ปัญหาการยึดที่ดินทานาของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาขายทอดตลาดท่ีผูว้ ิจยั ทาการศึกษาน้ี จะเห็นว่ามี
ความรุนแรงและสาคญั มากกวา่ การที่คนจนไดร้ ับการจดั สรรที่ดินจากรัฐ ซ่ึงเป็ นท่ีดินทากินโดยยงั ไม่มีการ
พฒั นาปรับพ้ืนที่และพร้อมในการทาการเกษตรกรรม ในขณะที่ลกั ษณะของท่ีดินทานาของผปู้ ระกอบอาชีพ
ชาวนา พ้ืนท่ีดินทานาดงั กล่าวอยู่ในสภาพพร้อมทานาได้ เพียงแต่มีอุปสรรคเงื่อนไขทางกระบวนการ
ยุติธรรมทางแพ่งท่ียงั ไม่มีกฎหมายใดรับรองคุม้ ครองพ้ืนท่ีดินทานาอนั เป็ นรากฐานแหล่งผลิตขา้ วของผู้
ประกอบอาชีพชาวนาท่ีเป็ นเกษตรกรรมของประเทศชาติ
เมื่อพจิ ารณาจากกฎหมายดงั กล่าวประกอบกบั แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติ ฉบบั ท่ีสิบ
สอง พ.ศ. 2560 - 2564 จะเห็นวา่ ไม่มีกฎหมายใดหรือเงื่อนไขใดเลย ที่ให้การรับรองและคุม้ ครองสิทธิท่ีดิน
ทานาของผูท้ ่ีประกอบอาชีพชาวนาในกรณีตกเป็ นลูกหน้ีตามคาพิพากษาและตอ้ งถูกบงั คบั คดีโดยนาเอา
ท่ีดินทานาขายทอดตลาด ในฐานะทรัพยต์ ิดจานอง หรือในฐานะเป็นทรัพย์ ท่ีถูกขายฝาก หากขืนปล่อยใหผ้ ู้
ประกอบอาชีพชาวนาถูกบงั คบั คดียึดที่ดินทานาขายทอดตลาดไปเป็ นจานวนมาก เป็ นเหตุใหท้ ่ีดินทานาถูก
530 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 25
โอนกรรมสิทธ์ิไปอยใู่ นความครอบครองของบุคคลอ่ืนท่ี ไม่ประสงคท์ านา และผรู้ ับโอนน้นั อาจนาที่ดินไป
ประกอบธุรกิจหมู่บา้ นหรือโรงงานอุตสาหกรรม จากปัญหาน้ียอ่ มส่งผลกระทบถึงแหล่งผลิตขา้ วอนั เป็ น
อาหารหลักเพ่ือบริโภคของประชาชน และต้องสูญเสียรายได้เน่ืองจากข้าวเป็ นสินค้าส่งออกไปขาย
ต่างประเทศ หากปล่อยให้มีการบงั คบั คดีกบั ท่ีดินทานาให้เป็ นไปตามกระบวนการยุติธรรมทางแพ่งแล้ว
ในอนาคตย่อมตอ้ งสูญเสียพ้ืนท่ีดินทานาการเกษตรอนั เป็ นแหล่งผลิตข้าวของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา
เป็นการก่อใหเ้ กิดความเสียหายต่อรากฐานทางเศรษฐกิจและสงั คมของประเทศไทย
จากเอกสารเผยแพร่ของสานกั งานปฏิรูปที่ดินเพ่ือการเกษตรกรรมฉบบั ท่ี 435 เดือนตุลาคม 2551
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัฐกาลที่ 9 ทรงมีพระราชกระแสรับส่ังในเรื่องของที่ดิน
ทากินวา่ “หากเราไม่บริหารจดั การท่ีดินสาหรับการเกษตรใหด้ ีไม่มีการดูแลระมดั ระวงั ตามสมควรแลว้ ใน
วนั ขา้ งหนา้ เราอาจจะตอ้ งเสียท่ีดินใหก้ บั กิจการอ่ืนและไม่มีท่ีดินเหลืออยเู่ พียงพอสาหรับการเกษตร พวกท่ี
เคยมีท่ีดินก็จะตอ้ งสูญเสียกรรมสิทธ์ิกลายเป็ นผูเ้ ช่าหรือไร้ท่ีดินทากินมากข้ึน” การส่งเสริมการเกษตรของ
ประเทศเป็ นส่ิงสาคญั ท่ีสุด จาเป็ นตอ้ งพยายามให้เกษตรกรรักษาที่ดินไวเ้ ป็ นพ้ืนท่ีเพ่ือเกษตรกรรมให้มาก
ที่สุดเทา่ ท่ีจะมากได้
ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงนามาสู่การวิจยั เพื่อการคุ้มครองสิทธิเก่ียวกบั การยึดที่ดินทานาของผู้
ประกอบอาชีพชาวนาในกระบวนยุติธรรมทางแพง่ ประเภทมูลหน้ีของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาท่ีรัฐควรให้
การรับรองและคุม้ ครองสิทธิบงั คบั คดียดึ ที่ดินทานาขายทอดตลาดตามกระบวนการยตุ ิธรรมทางแพง่ และหา
แน วท างป รั บ ป รุ งแ ก้ไข แล ะเพ่ิ ม เติ ม ก ฎ ห ม ายบังคับ ค ดี ใน ป ระม วล ก ฎ ห ม ายวิธี พิ จารณ าค วาม แพ่ ง
เพ่ือคุม้ ครองสิทธิเก่ียวกบั การยึดที่ดินทานาของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาให้คงมีที่ดินทานาอนั เป็ นรากฐาน
แหล่งผลิตขา้ วท่ีสาคญั ของประเทศใหค้ งอยอู่ ยา่ งมนั่ คงและยง่ั ยนื ต่อไป
วตั ถุประสงค์การวจิ ยั
1. เพ่อื ศึกษาถึงแนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกบั กระบวนการยตุ ิธรรมทางแพง่ และการคุม้ ครองปัจเจกชน
2. เพ่ือศึกษาถึงประเภทมูลหน้ีของผู้ประกอบอาชีพชาวนาที่ควรได้รับการคุ้มครองใน
กระบวนการยตุ ิธรรมทางแพง่
3. เพอ่ื ศึกษาถึงปัญหาทางกฎหมายเก่ียวกบั การบงั คบั คดียดึ ท่ีดินทานาขายทอดตลาดของกระบวน
ยตุ ิธรรมทางแพง่ ท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศ
4. หาขอ้ สรุปและเสนอแนะเพ่ือคุม้ ครองสิทธิเก่ียวกบั การยึดที่ดินของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาใน
กระบวนการยตุ ิธรรมทางแพง่
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 531
จดิ าภา พรยง่ิ
ทบทวนวรรณกรรม
แนวคิดในการบังคับคดี (The concept of execution)
การบงั คบั ชาระหน้ีมีแนวคิดมาจากกฎหมายโรมนั เก่ียวกบั “หน้ี” ความผูกพนั ระหว่าง “เจา้ หน้ี”
และ “ลูกหน้ี” จะตอ้ งผา่ นกระบวนการของนิติกรรม คูก่ รณีตอ้ งผูกพนั นิติกรรมน้นั ตามผลแห่งกฎหมาย คือ
หน้าที่ (Devoir) และความผูกพันหรือพนั ธะ (Engagement) รัฐจะต้งั Praetor ทาหน้าท่ีพิจารณาคดีแพ่ง
ออกคาส่ังให้เจ้าหน้ีเข้าครอบครองทรัพย์ของลูกหน้ีได้ (Mission in bona) การขายทรัพยเ์ ป็ นหน้าที่ของ
เจ้าหน้ีเอง ต่อมาการบังคับชาระหน้ีในระบบ Cognition extraordinaria กฎหมายให้ Court bailiffs หรือ
เจ้าหน้าท่ีศาลเป็ นผูย้ ึดและขายทรัพย์ของลูกหน้ี แทนการกระทาของเจา้ หน้ี และให้อานาจ Magistrate
ซ่ึงเป็นเจา้ หนา้ ที่ของรัฐนาตวั ลูกหน้ีมากกั ขงั (Prichard, 1961, p. 471) ในประเทศไทยมีกฎหมายสิบสองโตะ๊
รัฐสามารถช้ีขาดวา่ เมื่อใดบุคคลหน่ึงมีพนั ธะผูกพนั กบั อีกคนหน่ึง และตดั สินวา่ จะมีการปฏิบตั ิตามพนั ธะ
ดงั กล่าวไดอ้ ยา่ งไร และรัฐมีมาตรการที่บงั คบั ให้ลูกหน้ีท่ีตอ้ งปฏิบตั ิการตามคาช้ีขาดของรัฐตอ้ งดาเนินการ
อยา่ งไร ในการปฏิบตั ิการชาระหน้ี หากลูกหน้ีไม่ปฏิบตั ิตาม ลูกหน้ีจะถูกบงั คบั ทรัพยส์ ินทุกอยา่ งของลูกหน้ี
เพอ่ื การชาระหน้ีน้นั
ต่อมากฎหมายตราสามดวงบญั ญตั ิถึงการบงั คบั คดีแพ่งตามคาช้ีขาดของผูพ้ ิพากษาในยุคเดิมของ
รัฐไทยประสงค์เพียงทรัพยเ์ พ่ือชดใช้ให้แก่เจา้ หน้ี โดยไม่อนุญาตให้เจา้ หน้ีบงั คบั เอาทรัพย์ด้วยตนเอง
หากลูกหน้ีหลบหนีจะมีโทษปรับแยกต่างหาก ในการบงั คบั คดีทางแพ่งที่ไม่มีเบ้ียปรับที่ต้องจ่ายให้แก่
พระคลงั หลวง ลูกหน้ีจะขายบุคคลในครอบครัวใหแ้ ก่เจา้ เงินหรือเจา้ หน้ีแทนการชาระหน้ี หากมีเงินเม่ือใด
ลูกหน้ีก็จะนาเงินมาไถ่เอาตวั บุคคลในครอบครัวกลบั ไป ส่วนการใหเ้ จา้ หน้ียดึ เอาท่ีดินไป ตามกฎหมายเดิม
มิให้อานาจเช่นน้นั ได้ ดว้ ยเหตุว่าท่ีดินท้งั หมดเป็ นของรัฐผา่ นองคพ์ ระมหากษตั ริย์ เวน้ แต่พระมหากษตั ริย์
ทรงอนุญาตให้ราษฎรเขา้ บุกเบิกและสร้างท่ีดินเองต่อมาพระราชบญั ญตั ิกระบวนพิจารณาความแพ่ง ร.ศ.
115 กาหนดวธิ ีการบงั คบั คดีแพง่ โดยใหเ้ จา้ หน้ีตามคาพพิ ากษาร้องขอใหศ้ าลออกคาบงั คบั โดยเอาทรัพยส์ ิน
ของลูกหน้ีมาตีใช้หน้ี หรือยึดทรัพย์สินมาขายทอดตลาด ต่อมามีการแก้ไขวิธีพิจารณาความแพ่งเป็ น
พระราชบญั ญตั ิวิธีพิจารณาความแพง่ ร.ศ. 127 กาหนดใหบ้ งั คบั หน้ีตามคาพิพากษาท่ีเป็ นหน้ีเงินโดยการยึด
ทรัพยข์ อลูกหน้ีตามคาพพิ ากษาและนาออกขายทอดตลาดเทา่ น้นั
การขายทอดตลาด เป็ นการขายทรัพยส์ ินโดยเปิ ดเผยแก่บุคคลทว่ั ไปดว้ ยวิธีเปิ ดโอกาสให้ผูซ้ ้ือ
เสนอราคากนั ผูใ้ ดให้ราคาสูงสุดและผูข้ ายทอดตลาดตกลงดว้ ยการเคาะไม้ ผูท้ ี่เสนอราคาที่สูงกวา่ บุคคล
อื่นเป็ นผูซ้ ้ือทรัพยส์ ินไปโดยสุจริตจากการขายทอดตลาดตามคาสั่งศาล กระบวนการขายทอดตลาดถูก
นามาเป็ นเคร่ืองมือในการบงั คบั คดี ของเจา้ หน้ีเพ่ือได้รับชาระหน้ีตามคาพิพากษา และเปิ ดโอกาสให้ผู้
ประกอบธุรกิจเขา้ ประมูลแข่งขนั เพื่อให้ไดท้ ี่ดินท่ีถูกบงั คบั คดีขายทอดตลาด การขายทอดตลาดเกิดข้ึนได้
532 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 25
ด้วยกนั 2 วิธี คือการขายทอดตลาดตามคาสั่งศาล หรือตามคาพิพากษาของศาลหลงั จากท่ีมีการดาเนิน
กระบวนพจิ ารณาฟ้องร้องคดีทางแพง่ ต่อศาล
แนวคิดปรับปรุงการบงั คับคดขี องเจ้าหนีต้ ามคาพพิ ากษา
กฎหมายวา่ ดว้ ยการบงั คบั คดีมีลกั ษณะเป็ นกฎหมายมหาชนทางเศรษฐกิจ (Public economic law)
เพราะเป็ นกฎหมายที่ให้อานาจรัฐ ผ่านกระบวนการยุติธรรมท้งั ทางแพ่งและทางอาญาในการจดั การกับ
ลูกหน้ีตามคาพิพากษา หากเปรียบเทียบกบั กฎหมายลม้ ละลายที่เป็ นมาตรการของรัฐดาเนินการกบั ลูกหน้ีท่ี
มีหน้ีสินลน้ พน้ ตวั ตามแนวคิดเดิมรัฐเพียงเขา้ ยดึ ทรัพยข์ องลูกหน้ีน้นั และนาออกขายเพอ่ื นาเงินมาแบ่งใหแ้ ก่
บรรดาเจา้ หน้ีตามคาพิพากษา ส่วนลูกหน้ีตามคาพิพากษาน้ันจะเป็ นเช่นใด รัฐมิได้ให้ความสนใจหรือ
คุม้ ครองโดยถือวา่ การที่ลูกหน้ีน้นั ก่อให้เกิดหน้ีเป็ นเร่ืองส่วนตวั ของบุคคลน้นั และภายใตแ้ นวคิดเสรีนิยม
และตามหลกั ความศกั ด์ิสิทธิแห่งการแสดงเจตนา โดยไมค่ านึงถึงสาเหตุที่ลูกหน้ีน้นั ตอ้ งลม้ ละลาย
ปรากฏการณ์ว่าด้วยการล้มละลายของสหรัฐอเมริ กา The United States Bankruptcy court
(section 362) เรียกมาตรการหรือวธิ ีการน้ีวา่ ออโตเมติก สเตย์ (Automatic Stay) โดยกฎหมายลม้ ละลายของ
สหรัฐอเมริกามีเป้าหมาย เจตนารมณ์และหลกั การคือ การให้โอกาสลูกหน้ีไดต้ ้งั ตน้ ใหม่ หรือเริ่มตน้ ชีวิต
ใหม่ อนั หมายถึง การกาหนดเป้าหมายของกฎหมายลม้ ละลายไวอ้ ยา่ งชดั เจนวา่ ให้ลูกหน้ีปลดพนั ธะหรือ
ลดหน้ีท่ีจ่ายไม่ไหวอย่างถูกตอ้ งตามกฎหมาย เพื่อจะไดต้ ้งั ตน้ ชีวิตใหม่ หรือฟ้ื นกิจการข้ึนมาใหม่ เพ่ือให้
บรรลุเป้าหมายและหลกั การดงั กล่าว ในกฎหมายล้มละลายของสหรัฐได้กาหนดกระบวนการไวเ้ พ่ือให้
บรรลุเป้าหมายของกฎหมาย เรียกว่า การหยุดพกั อตั โนมตั ิ หรือ ออโตเมติก สเตย์ ซ่ึงหมายถึง การทวงหน้ี
การยึดทรัพย์ การคิดดอกเบ้ีย การขายทรัพยส์ ินทุกอยา่ งจากทุกฝ่ ายโดยเจา้ หน้ีและลูกหน้ีตอ้ งหยุดชว่ั คราว
ท้งั น้ี เพื่อวา่ กระบวนการฟ้ื นฟูกิจการหรือขายทรัพยส์ ินเพื่อแบ่งเฉล่ียจ่ายเจา้ หน้ีจะไดเ้ ริ่มตน้ ได้ กฎหมาย
ลม้ ละลายของสหรัฐอเมริกามีเป้าหมายและหลกั การอยา่ งชดั เจนคือ Fresh Start ให้โอกาสลูกหน้ีไดต้ ้งั แตต่ น้
ใหม่ ป้องกนั ลูกหน้ีจากเจา้ หน้ีที่ใชว้ ธิ ีการโดยไม่ชอบในการทวงหน้ี ป้องกนั เจา้ หน้ีจากลูกหน้ีท่ีนาทรัพยส์ ิน
ไปถ่ายโอน หรือ ทาให้เส่ือมค่า ดาเนินการแบ่งชาระหน้ีให้เจา้ หน้ีทุกคนอยา่ งยุติธรรม และ รวดเร็ว รักษา
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งลูกหน้ี และ เจา้ หน้ี ต่อไปโดยกระบวนการมาตรา 11 (Chapter 11) ของสหรัฐอเมริกา
ไดก้ าหนดให้ลูกหน้ีเป็ นผูบ้ ริหารกิจการต่อไป Debtor-in Possession ลูกหน้ีตอ้ งเสนอแผนการบริหาร ใน
แผนน้ีลูกหน้ีสามารถ เสนอขอลดเงินตน้ หรือดอกเบ้ีย หรือขายทรัพยบ์ างส่วน การเสนอยกเลิกสัญญา หรือ
ขอ้ บงั คบั ท่ีไม่เป็ นธรรม หรือ Executory Contracts แผนฟ้ื นฟูน้ัน ศาลตอ้ งเห็นชอบดว้ ยกระบวนการของ
มาตรา 13 (Chapter 13) ในกรณีท่ีมีหลกั ทรัพยค์ ้าประกนั เป้าหมายของมาตราน้ี คือเปิ ดช่องให้ปัจเจกบุคคล
ที่มีหน้ีสินลน้ พน้ ตวั ไดม้ ีโอกาสต้งั ตน้ ชีวติ ใหม่ (ศาลลม้ ละลายกลางสหรัฐอเมริกา, 2017, ออนไลน์) แนวคิด
น้ี รัฐเร่ิมมองเห็นทางออกจากการบงั คบั คดีแบบเก่าที่มุ่งทรัพยส์ ินของลูกหน้ีตามคาพิพากษาโดยเฉพาะการ
บงั คบั คดี ในคดีล้มละลายที่เคร่งครัดมากกว่าการบงั คบั คดีแพ่งทวั่ ไป โดยให้ความสาคญั การคงอยู่ของ
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 533
จดิ าภา พรยง่ิ
ลูกหน้ีตามคาพพิ ากษา สร้างเง่ือนไขให้ลูกหน้ีสามารถกลบั มาสร้างรายไดเ้ องเหมือนเดิมโดยไมก่ ระทบสิทธิ
ของเจา้ หน้ีตามคาพพิ ากษา
แนวคิดในการคุ้มครองปัจเจกชน
สญั ญาท่ีก่อใหเ้ กิดมูลหน้ีโดยกฎหมายแพง่ และพาณิชยม์ ีแนวคิดมาจากความเท่าเทียมกนั และเกิด
จากความสมคั รใจของคู่สัญญา เม่ือเกิดมูลหน้ี รัฐจะไม่เขา้ แทรกแซงกระบวนการทางกฎหมาย จึงเป็ น
ช่องว่างให้ฝ่ ายที่มีฐานะทางสังคม ทางเศรษฐกิจที่ดีกว่าเอาเปรียบฝ่ ายท่ีมีฐานะต่ากว่าตนเพ่ือได้
ผลประโยชน์ไปโดยกฎหมายไม่อาจแกไ้ ขได้ จึงเกิดแนวคิดในการช่วยเหลือฝ่ ายท่ีอ่อนแอหรือมีฐานะท่ีดอ้ ย
กวา่ อีกฝ่ ายหน่ึงในการทาสัญญา โดยรัฐเขา้ แทรกแซงกระบวนการทางกฎหมาย เช่น สัญญาไม่เป็ นธรรม
การดาเนินการคดีในคดีผบู้ ริโภค แนวคิดทฤษฎีทางนิติปรัชญา ทฤษฎีอรรถประโยชน์ (Utilitarianism) ถือวา่
สิ่งที่เป็ นความดีหรือความชวั่ สร้างความสุขหรือความทุกขใ์ หม้ นุษยห์ รือสังคมสิ่งเหล่าน้ีเป็ นแรงผลกั ดนั ให้
รัฐออกกฎหมายท่ีอาจจะสร้างหรือส่งเสริมความสุขใหแ้ ก่สังคมอยา่ งมากที่สุด (the greatest happiness of the
greatest number) แนวคิดทฤษฎีนิติศาสตร์เชิงสังคมวิทยา (Sociological jurisprudence) เป็ นสังคมปัจเจกชน
และระบบทุนนิยม เกิดการเปล่ียนแปลงสภาพสงั คม วถิ ีชีวติ ระเบียบทางสังคม เกิดเป็ นสังคมบริโภคใหเ้ กิด
ความคิดในการเปลี่ยนแปลงสิทธิของปัจเจกชนให้เป็ นเรื่องหนา้ ที่ทางสังคม (Social duties) แทน ปรับปรุง
กฎหมายที่เนน้ เรื่องปัจเจกชนนิยมไปสู่ลทั ธิรวมการ(Collective) หรือแนวคิดในเชิงสังคมนิยม รูดอลฟ์ ฟอน
เยี่ยร่ิง (Rudolf Von Jhering) วางแนวคิดวา่ ตน้ กาเนิดของกฎหมายอยูท่ ่ีเงื่อนไขทางสังคมวทิ ยา รากฐานอนั
แทจ้ ริงของเร่ือง “สิทธิ”อยูท่ ี่ “ผลประโยชน์” แบ่งออกเป็ น 3 ประการ คือ ผลประโยชน์ของปัจเจกชน ของ
รัฐ และของสังคม ตน้ เหตุสาคญั ของกฎหมายอยูท่ ่ีการเป็ นเคร่ืองมือเพื่อตอบสนองความตอ้ งการของสังคม
กฎหมายเกิดมาเพ่ือปกป้องหรือขยายการปกป้องผลประโยชน์ของสังคม ซ่ึงผลประโยชน์ท้งั สามส่วนที่มี
ของปัจเจกชน ของรัฐ และของสังคมน้ีตอ้ งอยใู่ นสภาพสมดุลกนั (จรัญ โฆษณานนั ท,์ 2547,หนา้ 246)
สิทธิได้รับการคุ้มครองทดี่ นิ เพื่อการเกษตรกรรม
เกษตรกรผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา นับเป็ นอาชีพท่ีเป็ นปัจจยั ข้นั พ้ืนฐานในการดาเนินชีวิตของ
เกษตรกรรมที่ดินทานาของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาตอ้ งไดร้ ับการคุม้ ครองท่ีดินไวเ้ พ่ือการทาเกษตรกรรม
จึงเป็ นหน้าที่ของรัฐ ต้องดาเนินการเพื่อคุ้มครองสิทธิของชาวนาเพ่ือการตอบสนองความตอ้ งการของ
ประชาชนภายในรัฐของตน แนวคิดของอบั ราฮมั มาสโลว์ (Abraham Maslow) นกั ปรัชญาดา้ นจิตวทิ ยาของ
สหรัฐอเมริกาเห็นว่า “มนุษยท์ ุกคนมีความต้องการท่ีจะตอบสนองความตอ้ งการให้กับตนเอง อนั เป็ น
ความต้องการพ้ืนฐานต่าสุดไปจนถึงสูงสุด” ความต้องการที่สาคญั แนวคิดของ มาสโลว์ (Maslow) คือ
ความตอ้ งการปัจจยั ข้นั พ้นื ฐานในการดารงชีวิตเพื่อความอยรู่ อด และประกอบอาชีพอยา่ งมีหลกั แหล่ง ความ
มนั่ คงในการดาเนินชีวิตที่รัฐจาเป็ นตอ้ งเขา้ มาตอบสนองคุ้มครองสิทธิของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาหาก
เกษตรกรเหล่าน้นั มิใหส้ ูญเสียสิทธิในท่ีดินเพื่อการเกษตรกรรม
534 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 25
คุ้มครอง หมายถึง ป้องกันรักษา ระวงั รักษา ปกป้องรักษา และคาว่า สิทธิ ในแนวคิดของ
นกั วิชาการ วิษณุ เครืองาม (2530, หน้า 67) หมายถึง ประโยชน์ท่ีกฎหมายรับรองและคุม้ ครองให้ ขณะท่ี
คณะกรรมการศึกษาแนวทางการแก้ไขเพ่ิมเติมรัฐธรรมนูญสานักงานเลขาธิการสภาผูแ้ ทนราษฎร
(2549,หน้า 18) กล่าววา่ สิทธิของบุคคล ตอ้ งไดร้ ับการรับรองและคุม้ ครองสิทธิเสรีภาพเป็ นพ้ืนฐานที่สุด
การรับรองสิทธิในท่ีดินเพื่อการเกษตรกรรมกาหนดไวต้ ามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช
2550 มาตรา 85 บญั ญัติว่า “รัฐตอ้ งดาเนินการกาหนดหลกั เกณฑ์และมาตรฐานการใช้ท่ีดินอย่างยง่ั ยืน
ดาเนินการกระจายการถือครองท่ีดินอยา่ งเป็นธรรม และใหเ้ กษตรกรมีสิทธิในท่ีดิน ตลอดจนใหม้ ีการวางผงั
การจดั การชุมชน เพื่อใชป้ ระโยชนท์ ี่ดินอยา่ งมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล” ประกอบกบั รัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 มาตรา 72(3) บัญญัติว่า “รัฐพึงจัดให้มีมาตรการกระจายการถือ
ครองที่ดินเพ่ือให้ ประชาชนสามารถมีที่ทากินได้อย่างทั่วถึงและเป็ นธรรม” หรือ มาตรา 73 บัญญัติว่า
“รัฐพึงจัดให้ มีมาตรการหรือกลไกท่ีช่วยให้ เกษตรกรประกอบเกษตรกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้
ผลผลิตท่ีมีปริมาณและคุณภาพสูง มคี วามปลอดภัย โดยใช้ต้นทุนตา่ และสามารถแข่งขนั ในตลาดได้ และ
พึงช่ วยเหลือเกษตรกรผู้ยากไร้ ให้ มีที่ทากิน โดยการปฏิรูปที่ดินหรื อวิธีอ่ืนใด” รัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทยท้งั สองฉบบั ไดร้ ับรองคุม้ ครองสิทธิที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม หรือสิทธิผูป้ ระกอบอาชีพ
ชาวนาอนั เป็ นรากฐานของเศรษฐกิจภายในประเทศใหย้ งั่ ยนื และมีที่ดินใหผ้ ูป้ ระกอบอาชีพชาวนาไดม้ ีท่ีดิน
ทานาส่งตอ่ ไปยงั ลูกหลานในอนาคต
วธิ ดี าเนินการวจิ ัย (Research methodology)
การวิจยั ไดใ้ ชว้ ธิ ีดาเนินการวจิ ยั เชิงคุณภาพ (Qualitative research) ประกอบดว้ ย การวิจยั เอกสาร
(Documentary research) โดยมุ่งเนน้ การวิเคราะห์ขอ้ มูลเอกสารท่ีเก่ียวขอ้ งเป็ นกฎหมายต่างประเทศ 3 ฉบบั
บญั ญัติเกี่ยวกับการบงั คบั คดีที่ดินของผูป้ ระกอบอาชีพเกษตรกร ได้แก่ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพง่ เยอรมนั (Code of Civil Procedure in German) พระราชบญั ญตั ิการบงั คบั ใชก้ ฎหมายแพง่ ประเทศ
ญี่ป่ ุน Civil Execution Act (Act No.4 of 1979) และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง่ แห่งสาธารณรัฐ
ประชาชนจีน Civil Procedure Law of the People’s Republic of China เพ่ือการเปรียบเทียบกบั การบงั คบั คดี
ที่ดินของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาท่ีเป็ นเกษตรกรของประเทศไทย และวธิ ีดาเนินการวจิ ยั อีกวธิ ีหน่ึงที่นามาใช้
คือ การมีร่วมออกแบบ, ร่วมออกแบบ (Participatory design/ Co-design) เป็ นการให้กลุ่มประชากรท่ีมี
ส่วนไดเ้ สีย (Stakeholders) กบั การบงั คบั คดีที่ดินของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา ท้งั ที่เป็ นกลุ่มตวั แทนเจา้ หน้ี
กลุ่มตวั แทนผมู้ ีส่วนไดเ้ สียจากหน่วยงานของรัฐ กลุ่มตวั แทนกรมส่งเสริมการเกษตร กลุ่มผปู้ ระกอบอาชีพ
ชาวนาที่ข้ึนทะเบียนเป็ นสมาชิกกบั องค์กรเกษตรกรหรือ และกลุ่มผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาท่ีไม่ได้เป็ น
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 535
จดิ าภา พรยงิ่
สมาชิกกบั องคก์ รเกษตรกรหรือกรมส่งเสริมการเกษตร ไดม้ ีส่วนร่วมในการออกแบบกฎหมายเพื่อคุม้ ครอง
สิทธิของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนามิให้สูญเสียที่ดินทานาจากการถูกบังคบั คดี ซ่ึงคาตอบที่ไดจ้ ากการทา
Co-Design น้ีผูว้ ิจยั ได้นามาวิเคราะห์ประกอบกบั แนวคิดทฤษฎี กฎหมายของประเทศไทยและกฎหมาย
ตา่ งประเทศเพื่อปรับปรุงแกไ้ ขกฎหมายประมวลวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ เกี่ยวกบั การบงั คบั คดีต่อไป
ผลการวจิ ยั
เมื่อวเิ คราะห์หลกั การและแนวคิดทฤษฎีในกระบวนการยุติธรรมทางแพง่ และการคุม้ ครองปัจเจก
ชน เพ่ือใชเ้ ป็ นแนวทางการคุม้ ครองสิทธิของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาเก่ียวกบั การถูกยดึ และบงั คบั คดีท่ีดินทา
นา และปัญหาเกี่ยวกบั ประเภทมูลหน้ีของ ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาควรเป็ นมูลหน้ีประเภทใดเพ่ือให้ไดร้ ับ
การรับรองหรือคุม้ ครองสิทธิ จากการถูกบงั คบั คดีท่ีดินทานาขายทอดตลาดและเพ่ือเป็ นการรักษาพ้ืนที่ดิน
ทานาของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาไวเ้ ป็ นพ้ืนที่ทานาสาหรับเกษตรกรรมผปู้ ระกอบอาชีพชาวนา และปัญหา
กฎหมายท่ีเก่ียวข้องกับการบงั คบั คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งอนั เป็ นกระบวนการ
ยตุ ิธรรมทางแพง่ โดยผวู้ จิ ยั ไดว้ เิ คราะห์ใหเ้ ห็นปัญหาทางกฎหมายที่เกิดข้ึนจริงในสงั คมไทย ซ่ึงคาตอบและ
ขอ้ คน้ พบท่ีไดม้ าผูว้ ิจยั จะนาไปสู่การปรับปรุงและแกไ้ ขเพมิ่ เติมกฎหมายการบงั คบั คดีในประมวลกฎหมาย
วธิ ีพจิ ารณาความแพง่ และร่างกฎกระทรวง ซ่ึงสรุปผลการวจิ ยั ได้ ดงั น้ี
จากการวิจัยพบว่า กระบวนการยุติธรรมทางแพ่งหากพิจารณาเงื่อนไขในการแทรกแซง
รัฐสามารถใชท้ ฤษฎีคุม้ ครองชาวนาได้ โดยที่รัฐอยใู่ นฐานะบิดาตอ้ งดูแลประชาชนในฐานะบุตร ให้สามารถ
ดารงชีวิตอยู่ต่อไปในสังคมได้อย่างมีคุณภาพแต่เนื่องจากรัฐในฐานะเป็ นผู้ปกครองดูแลประชาชน
จาเป็ นตอ้ งคุม้ ครองเขา้ แทรกแซงในกิจการบางประเภทท่ีเอกชนทาต่อกนั และคาดได้วา่ อีกฝ่ ายหน่ึงตอ้ ง
เสียเปรียบ และการเสียเปรียบน้นั มีผลต่อการสูญเสียต่อการประกอบอาชีพที่เป็ นรากฐานทางเศรษฐกิจมา
อยา่ งยาวนานอยา่ งเช่นผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาเกษตรกรที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมของประเทศ รัฐจาเป็ น
อย่างยิ่งในการให้หลักประกันการมีท่ีดินทากินของเกษตรกร อันเป็ นปัจจัยสาคัญในการทาเกษตร
ผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาจาเป็ นตอ้ งไดร้ ับความคุม้ ครองในการมีที่ดินทานา และรัฐมีหนา้ ท่ีตอ้ งคุม้ ครองและ
ป้องกันพลเมืองของตนไม่ให้ที่ดินทานาตกไปอยู่กบั ภาคเอกชนในระบบทุนนิยม โดยนาแนวคิด“บิดา
พิทกั ษ์” อนั เป็ นทฤษฎีการคุม้ ครอง ประกอบกบั ทฤษฎีความสัมพนั ธ์เป็ นแนวทางเพ่ือคุม้ ครองที่ดินทาดิน
ของชาวนา หากเม่ือรัฐต้องการให้ผลประโยชน์ของเอกชนดาเนินต่อไปตามเจตจานงของเอกชน
ขณะเดียวกันรัฐเองก็ต้องระวงั ผลประโยชน์ของส่วนรวมของประเทศดว้ ยเช่นกนั ที่อาจถูกกระทบโดย
กิจการของเอกชนน้นั การถือครองท่ีดินทานาของเอกชนท่ีไดม้ าจากการขายทอดตลาดของสานกั งานบงั คบั
คดี รัฐจาเป็ นตอ้ งคุม้ ครองและควบคุมจานวนท่ีดินทานาของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนามิให้สูญเสียสิ้นไปกบั
การขายทอดตลาดเพื่อชาระหน้ีของเอกชน การพจิ ารณาวา่ มูลหน้ีประเภทใดท่ีรัฐควรเขา้ มาใหค้ วามคุม้ ครอง
536 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 25
สิทธิของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา ถือเป็ นปัจจยั สาคญั ในการรักษาที่ดินทานาเอาไว้ รวมถึงมุ่งคุ้มครอง
ความสมดุลระหวา่ งผลประโยชนข์ องเอกชน ของสงั คม และของรัฐอยา่ งเป็นธรรม
ประเภทมูลหน้ีของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา พบวา่ มีประเภทมูลหน้ีท่ีควรไดร้ ับการคุม้ ครองสิทธิ
เก่ียวกบั การบงั คบั คดี ไดแ้ ก่ ประเภทที่ 1 ถึงประเภทที่ 4 ส่วนประเภทที่ 5, 6 และ ท่ี 7 ไม่ควรไดร้ ับคุม้ ครอง
สิทธิ ดงั น้ี
ประเภทที่ 1 กูย้ ืมเงินจากบุคคลภายนอกหรือธนาคารเพื่อการลงทุนในผลิตในรอบฤดูกาลผลิต
ต่อไปน้นั และเกิดภาวะขาดทุนจนไม่สามารถส่งคืนเงินตน้ และดอกเบ้ียได้ ควรถือเป็ นมูลหน้ีของชาวนา
ท่ีรัฐตอ้ งใหค้ วามคุม้ ครองจากการบงั คบั คดีท่ีบงั คบั ท่ีดินทากินออกขายทอดตลาด
ประเภทที่ 2 หน้ียมื เงินที่เกิดจากการใชส้ ินคา้ อุปโภคและบริโภคในชีวติ ประจาวนั ของชาวนาและ
ครอบครัว มูลหน้ีดงั กล่าวเป็ นการกูย้ ืมเงินจากบุคคลอื่นเพ่ือการดารงชีพของชาวนาน่ันเอง เมื่อชาวนาได้
ผลิตขา้ วในรองฤดูกาลผลิตแลว้ เกิดปัญหาดา้ นการชาระหน้ีคืนแก่เจา้ หน้ีดว้ ยเหตุประสบภาวะขาดทุนจาก
การทานา มูลหน้ีประเภทน้ีรัฐควรใหก้ ารคุม้ ครองจากการบงั คบั คดียดึ ท่ีดินทานาขายทอดตลาด
ประเภทท่ี 3 หน้ีเกี่ยวกับการศึกษาของลูกหลานของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา ซ่ึงชาวนาเป็ น
ผูป้ กครองไดท้ าสัญญาค้าประกนั ไว้ หากนกั เรียน นกั ศึกษาน้นั ผิดนดั ไม่ชาระหน้ี แมร้ ัฐจะมีอานาจในการ
หกั เงินเดือนของผกู้ ูย้ ืมเงินจากกองทุนฯไดต้ ามกฎหมายก็ตาม แต่ถา้ หากมีการผิดนดั ชาระหน้ีหรือส่งเงินคืน
ไม่ครบตามจานวน ชาวนายอ่ มรับผิดในฐานะผูค้ ้าประกนั ตามสัญญาค้าประกนั รัฐอาจฟ้องคดีต่อศาลเพื่อ
ขอใหบ้ งั คบั คดีท่ีดินทานาน้ีกอ็ าจถูกบงั คบั หน้ีดว้ ย ดงั น้นั หน้ีประเภทน้ีควรอยใู่ นเงื่อนไขไดร้ ับการคุม้ ครอง
ประเภทที่ 4 มูลหน้ีค่าซ้ืออุปกรณ์เครื่องจกั กลเพื่อใชใ้ นการทานา เช่น รถไถพรวนดินปรับพ้ืนดิน
ทานา รถสาหรับใช้ดานาหรือเกี่ยวขา้ ว กรณีน้ีควรพิจารณาว่าหากอุปกรณ์ใดที่เกี่ยวขอ้ งกบั กิจการทานา
ควรอยใู่ นเงื่อนไขท่ีรัฐเขา้ มาคุม้ ครองมูลหน้ีประเภทน้ีดว้ ย
ประเภทที่ 5 หน้ีที่เกิดจากการเช่าซ้ือรถยนต์ แมจ้ ะใชเ้ ป็ นพาหนะเดินทางไปทานาหรือขนขา้ ว
ก็ตาม แต่ก็เป็ นส่วนน้อยกวา่ ที่ใชใ้ นชีวิตประจาวนั มูลหน้ีเช่าซ้ือรถยนตจ์ ึงไม่ควรอยูใ่ นเงื่อนไขท่ีรัฐให้การ
คุม้ ครอง รถยนตจ์ ึงมิใช่อุปกรณ์ท่ีมีความจาเป็นเกี่ยวขอ้ งกบั การทานา
ประเภทท่ี 6 หน้ีที่เกิดจากการค้าประกนั หน้ีของผอู้ ่ืนที่ไมเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การทานา มูลหน้ีดงั กล่าวน้ี
ไม่เก่ียวขอ้ งกบั การทานาแตป่ ระการใด รัฐไม่ควรคุม้ ครองมูลหน้ีประเภทน้ี
ประเภทท่ี 7 มูลหน้ีท่ีเกิดจากการกระทาละเมิดมูลหน้ีลักษณะเช่นน้ี รัฐจึงไม่ควรให้เข้ามา
คุม้ ครองการบงั คบั คดี เน่ืองจากเป็นมูลหน้ีไมเ่ ก่ียวกบั การทานาแต่อยา่ งใด
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 537
จดิ าภา พรยง่ิ
อภิปรายผลและข้อเสนอแนะการวจิ ยั
จากการวิจยั พบว่า กฎหมายที่เก่ียวข้องกับการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่งมาตรา 301 เป็ นกฎหมายกาหนดเง่ือนไขของทรัพยส์ ินบางประเภทท่ีไม่อยูใ่ นความรับผดิ แห่งการ
บงั คบั คดี ประกอบมาตรา 302 กาหนดเรื่องเงินท่ีลูกหน้ีตามคาพิพากษาไดร้ ับ ไม่ว่าในรูปของเบ้ียเล้ียงชีพ
เงินเดือน ค่าจา้ งของพนกั งานท้งั ในภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึง เงินฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ลูกหน้ีตามคา
พิพากษาไดม้ า เนื่องจากความตายของบุคคลอื่น รวมถึงประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่งมีการแกไ้ ข
เพ่ิมเติม (ฉบบั ท่ี 30) พ.ศ. 2660 ตาม มาตรา 336 ไดใ้ ช้หลกั การแนวคิดในลกั ษณะของการฟ้ื นฟูลูกหน้ีที่
ลม้ ละลาย โดยไม่ตอ้ งให้มีการยดึ ทรัพยข์ องลูกหน้ีลม้ ละลายออกขายทอดตลาด โดยการออกแบบกฎหมาย
กาหนดให้ชาระหน้ีจากกิจการของลูกหน้ีในทานองเดียวกบั การการฟ้ื นฟูกิจการของลูกหน้ีในคดีลม้ ละลาย
โดยกาหนดเง่ือนไข ดงั น้ี
1. ลูกหน้ีตามคาพิพากษาน้นั ตอ้ งมีกิจการ การประกอบอุตสาหกรรมพาณิชยกรรม เกษตรกรรม
หรือการประกอบกิจการอื่น
2. กิจการเหล่าน้นั ตอ้ งแสดงให้เห็นวา่ อาจนารายไดจ้ ากกิจการเหล่าน้นั มาชาระหน้ีให้แก่เจา้ หน้ี
ตามคาพพิ ากษา และค่าฤชาธรรมเนียมท้งั หมดที่เกิดข้ึนในคดีไดอ้ ยา่ งครบถว้ น
3. การชาระหน้ีจากรายไดข้ องกิจการน้นั ตอ้ งอยใู่ นเง่ือนไขเวลาอนั สมควร
4. ตอ้ งไมป่ รากฏขอ้ เทจ็ จริงวา่ ลูกหน้ีน้นั มีพฤติการณ์ประวงิ คดี
5. ศาลเห็นขอ้ เท็จจริงตามขอ้ 1 ถึง ขอ้ 4 เอง หรือลูกหน้ีตามคาพิพากษาเป็ นผูร้ ้องขอ โดยการ
แสดงขอ้ เทจ็ จริงตามขอ้ 1 ถึงขอ้ 4
6. ศาลจะต้งั ผจู้ ดั การอสงั หาริมทรัพย์ หรือผจู้ ดั การกิจการน้นั
เมื่อนาหลกั การแนวคิดในลกั ษณะของการฟ้ื นฟูลูกหน้ีที่ลม้ ละลายมาเปรียบเทียบกบั กรณีของผู้
ประกอบอาชีพชาวนา พบว่า มีเพียงท่ีดินเปล่า ไม่มีผลผลิตที่จะคอยเก็บเกี่ยวไดท้ ุกเดือน จะมีก็เพียงแต่
ผลผลิตเป็ นตน้ ขา้ วที่รอการเก็บเกี่ยวตามฤดูกาล หรือเฉพาะปี การผลิตเท่าน้นั หากจะไดผ้ ลผลิตใหม่ก็ตอ้ ง
ผา่ นการลงทุนและทานาใหม่ในฤดูกาลผลิตต่อไป เช่นน้ี จึงเห็นวา่ ขอ้ ขดั ขอ้ งทางกฎหมายจากมาตรา 336
น้ี หากนามาใชใ้ นการบงั คบั ท่ีดินทากินของชาวนาออกขายทอดตลาดเกรงวา่ ไม่สามารถดาเนินการต่อไป
เพื่อที่จะให้ศาลต้งั ผูจ้ ดั การอสังหาริมทรัพย์ หรือผจู้ ดั การกิจการน้นั ดว้ ยเหตุความไม่แน่นอนวา่ เจา้ หน้ีจะ
ได้รับการชาระหน้ีภายในเงื่อนไขเวลา อนั สมควรหรือไม่ และหากศาลจะต้งั ชาวนาผูเ้ ป็ นลูกหน้ีตามคา
พิพากษาใหเ้ ป็นผจู้ ดั การกิจการน้นั โดยไมม่ ีเงินลงทุนในการทานาในฤดูกาลผลิตตอ่ ไป เจา้ หน้ีจะไดร้ ับชาระ
หน้ีจากกาไรในการผลิตผลขา้ วในปี ต่อไปหรือไม่ เม่ือพิจารณากฎหมาย German Code of Civil Procedure
ของสหพนั ธ์รัฐเยอรมนี และกฎหมาย Civil Execution Act (Act No 4 of 1979) ของประเทศญ่ีป่ ุน ในมาตรา
538 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 25
131 แลว้ พบวา่ ไม่ปรากฏกฎหมายใดที่บญั ญตั ิอยา่ งชดั เจนในการคุม้ ครองที่ดินทากินของ ผปู้ ระกอบอาชีพ
ชาวนาใหห้ ลุดรอดพน้ จากการถูกบงั คบั คดีขายทอดตลาดเพือ่ นาเงินมาชาระหน้ีแก่เจา้ หน้ีตามคาพิพากษาเลย
ข้อเสนอแนะ
ผลการวิจยั แสดงใหเ้ ห็นวา่ รัฐมีภาระหนา้ ท่ีตอ้ งให้ความสาคญั ในการปกป้องคุม้ ครองสิทธิของผู้
ประกอบอาชีพชาวนา เพ่ือให้ผปู้ ระกอบอาชีพชาวนามีสถานสภาพที่พร้อมในการประกอบอาชีพทานาได้
ท้ังน้ีรัฐควรคานึงว่า อาหารหลกั ท่ีประชาชนภายในประเทศใช้บริโภค ในชีวิตประจาวนั คือข้าว และ
หากเม่ือใดก็ตามท่ีผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาตอ้ งสูญเสียที่ดินทานา ย่อมส่งผลกระทบไม่มีท่ีดินทานาและ
ปลูกขา้ วไดใ้ นปริมาณที่เพยี งพอในการเล้ียงประชาชน ท้งั ประเทศ ก่อใหเ้ กิดความยงุ่ ยากและความไม่มนั่ คง
ดา้ นอาหาร แต่เมื่อพิเคราะห์จากขอ้ มูลทางกฎหมายอยา่ งรอบดา้ นแลว้ จะพบวา่ รัฐมิไดม้ ีกลไกที่สาคญั เพื่อ
คุม้ ครองสิทธิของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา ในกรณีที่ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาตกเป็ นลูกหน้ีตามคาพิพากษา
และรัฐโดยเจา้ พนกั งานบงั คบั คดีตอ้ งยดึ ที่ดินที่ทานาของชาวนาขายทอดตลาดเพ่ือชาระหน้ีใหแ้ ก่เจา้ หน้ีตาม
คาพิพากษา หากรัฐปล่อยให้ดาเนินการตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ในส่วนการบังคบั
คดีแพ่ง โดยไม่พยายามหาแนวทางป้องกนั ท่ียงั่ ยืนในการแกป้ ัญหาบงั คบั คดียึดท่ีดินทานาของผูป้ ระกอบ
อาชีพชาวนาขายทอดตลาดน้ี รัฐทราบข้อมูลดังกล่าวแล้วแต่เพิกเฉย โดยให้กระแสหรือกระบวนการ
ยุติธรรมทางแพ่งเดินต่อไป โดยไม่พิจารณาตามแนวคิดของทฤษฎีอรรถประโยชน์ ทฤษฎีโครงสร้าง -
หนา้ ท่ี ทฤษฎีความยุติธรรม และแนวนโยบายของแผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบบั ที่ 12 พ.ศ.
2660 – 2664 ประกอบกบั แนวนโยบายแห่งรัฐตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560
ยอ่ มก่อให้เกิดการสูญเสียท่ีดินทานาและอาชีพเกษตรกร ของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนายอ่ มจะล่มสลายไปใน
ท่ีสุด
ผวู้ จิ ยั กาหนดขอ้ เสนอแนะเพอ่ื คุม้ ครองสิทธิผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาและแกไ้ ขปัญหาการบงั คบั ยึด
ท่ีดินทานาขายทอดตลาด ในดา้ นของการปรับปรุงแกไ้ ขและเพ่ิมเติมการบงั คบั คดีบทบญั ญตั ิมาตรา 336/1
ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง และในรูปแบบของร่างกฎกระทรวง กาหนดหลกั เกณฑ์ วธิ ีการ
และเง่ือนไขท่ีเก่ียวกบั การบงั คบั คดีประเภทมูลหน้ีของ ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาตามความในมาตรา 336/1
ตามลาดบั ดงั น้ี
1. การปรับปรุงแก้ไขและเพิ่มเติมกฎหมายว่าด้วยการบังคับคดีบทบัญญัติมาตรา 336/1
ในประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพง่ ดงั น้ี
“มาตรา 336/1 ในการบังคับคดีที่ดินทากินของผู้ประกอบอาชีพชาวนา ให้เป็ นไปตาม
กฎกระทรวง ด้วยเหตุประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 5 บัญญัติว่า ให้รัฐมนตรีว่าการ
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 539
จดิ าภา พรยงิ่
กระทรวงยุติธรรมมีอานาจออกกฎกระทรวงตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณา ความแพง่ ในเรื่องตอ่ ไปน้ี คือ
จัดวางระเบียบทางธุรการในเรื่องการยึดและอายดั และการจาหน่ายทรัพย์สินเป็ นตัวเงินโดยวิธีขาย
ทอดตลาดหรือโดยวิธีอื่น และในเร่ืองวิธีการบงั คบั คดีทางอ่ืน ๆ ที่เจา้ พนกั งานบงั คบั คดีจะพึงปฏิบตั ิ และ
กฎกระทรวงน้นั เม่ือไดป้ ระกาศในราชกิจจานุเบกษาแลว้ ใหบ้ งั คบั ได”้
2. รูปแบบของร่างกฎกระทรวง กาหนดหลกั เกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขที่เก่ียวกบั การบงั คบั คดี
ประเภทมูลหน้ีของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาตามความในมาตรา 336/1 ดงั น้ี
ขอ้ 1 กาหนดลกั ษณะประเภทมูลหน้ีท่ีรัฐคุ้มครองในกรณีที่เจา้ หน้ีตามคาพิพากษานามูลหน้ี
เหล่าน้ีมาฟ้องต่อศาล และผู้ประกอบอาชีพชาวนาท่ีลงทะเบียนเป็ นเกษตรกรได้ตกเป็ นลูกหน้ีตาม
คาพิพากษา คือ
1) มูลหน้ีการกูย้ มื เพอ่ื นาเงินมาลงทุนเมลด็ พนั ธ์พชื ในผลิตผลรอบฤดูกาลผลิต
2) มูลหน้ีที่เกิดจากใชส้ ินคา้ เพื่ออุปโภคและบริโภคในชีวติ ประจาวนั ครอบครัวชาวนา
3) มูลหน้ีเกิดจากการศึกษาของลูกหลานชาวนา ผปู้ กครองไดท้ าสญั ญาค้าประกนั ไว้
4) มูลหน้ีค่าซ้ืออุปกรณ์เครื่องจกั รกลใชใ้ นการทานา
ประเภทมูลหน้ีท่ีรัฐไมค่ วรใหก้ ารคุม้ ครอง คือ
5) มูลหน้ีที่เกิดจากการเช่าซ้ือรถยนตท์ ี่ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
6) มูลหน้ีท่ีเกิดจากการที่ชาวนาไปค้าประกนั หน้ีของผอู้ ื่น
7) มูลหน้ีที่เกิดจากการละเมิดผอู้ ื่น
ขอ้ 2 กาหนดรูปแบบในการคุม้ ครองที่ดินท่ีทานาของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาจากการบงั คบั คดี
โดยอาศยั แนวคิดตามประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ มาตรา 336 ดงั น้ี
ก. กาหนดให้มีคณะบุคคลผูร้ ับผิดชอบ เพื่อรองรับภาระหน้าที่ในการตรวจสอบคุณสมบตั ิของ
ชาวนาท่ีจะขา้ มาในโครงการคุม้ ครองท่ีดินทากินจากการถูกบงั คบั คดีทางแพ่ง เช่น ลกั ษณะของประเภท
มูลหน้ี การให้ความร่วมมือกบั เจา้ หน้ีตามคาพิพากษาในการตรวจสอบทรัพยส์ ินลกั ษณะการไม่ประวิง
การบงั คบั คดี รูปแบบการต้งั ผูจ้ ดั การกิจการทานา การเขา้ ถึงเงินทุนในการลงทุนทานาในรอบปี ฤดูกาล
ต่อไป การคานวณรายไดท้ ี่เกิดจากการทานาในรอบปี ฤดูกาลผลิตเพื่อนาเงินกาไรบางส่วนมาชาระแก่เจา้ หน้ี
ตามคาพิพากษา จานวนระยะเวลาในการทานาเพ่ือใช้หน้ีตามคาพิพากษา การกาหนดให้เจ้าหน้ีตาม
คาพิพากษาเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจดั การกิจการทานาร่วมกับคณะผูร้ ับผิดชอบ การกาหนด
ผลประโยชน์อ่ืนที่เจา้ หน้ีตามคาพิพากษาควรไดใ้ นระหวา่ งกิจการทานาเพอื่ ชาระหน้ีตามคาพิพากษา
ข. กาหนดโครงสร้างของคณะบุคคลผูร้ ับผิดชอบ โดยเทียบเคียงกบั คณะกรรมการการเช่าที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรมตามพระราชบญั ญตั ิการเช่าที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 (คชก.) ซ่ึงในแต่ละพ้ืนที่ให้มี
คชก. จงั หวดั โดยให้มีรองผูว้ า่ ราชการจงั หวดั เป็ นประธานกรรมการ ผูแ้ ทนสานกั งานอยั การสูงสุด ผูแ้ ทน
กรมการปกครอง ผูแ้ ทนกรมบงั คบั คดี ผูแ้ ทนธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์ (ธกส.) ผูแ้ ทนสมาคม
540 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 25
ธนาคารแห่งประเทศไทย และผแู้ ทนท่ีมาจากกลุ่มชาวนา 4 คนในพ้ืนที่จงั หวดั เพ่ือทาหนา้ ที่ตามขอ้ ก. และ
กาหนดเง่ือนไขผจู้ ดั การกิจการ ซ่ึงอาจเป็นลูกหน้ี ตามคาพิพากษาน้นั ก็ได้
ค. ก าห น ดเงื่อน ไขใน ก ารจัดท าแผน งาน ใน กิ จก ารท าน าบ น ที่ ดิ น พิ พ าท ดังก ล่ าว
โดยคณะกรรมการตามขอ้ ข. และลูกหน้ีตามคาพิพากษา โดยผูจ้ ดั การกิจการจะเป็ นผูป้ ฏิบตั ิตามแผนงาน
ดงั กล่าว ซ่ึงแผนงานน้นั ตอ้ งมีรายการอยา่ งนอ้ ย ดงั น้ี
1. ระยะเวลาเร่ิมตน้ ของกิจการ และระยะเวลาท่ีคาดวา่ จะแลว้ เสร็จ
2. พนั ธุ์ขา้ วที่จะปลูก
3. ปริมาณขา้ วท่ีจะปลูก
4. บุคคลที่ลงมือปลูกขา้ ว
5. แหล่งเงินทุนท่ีตอ้ งใชใ้ นการลงทุนปลูกขา้ ว
6. การประเมินผลการปฏิบตั ิงานของกิจการปลูกขา้ ว
7. การทาบญั ชีรายรับ-รายจ่ายในการประกอบกิจการ
ง. กาหนดความสัมพนั ธ์ทางกฎหมายระหวา่ งคณะบุคคลตามขอ้ ก. ลูกหน้ีตามคาพิพากษา เจา้ หน้ีตาม
คาพิพากษา ศาล เจา้ พนกั งานบงั คบั คดีเพอื่ บรรลุจุดประสงคใ์ นการบงั คบั คดี
จ. กาหนดความรับผิดของลูกหน้ีตามคาพิพากษาที่ไม่ปฏิบตั ิตามคาส่ังของคณะบุคคลตามขอ้
ก. ศาล และเจา้ พนกั งานบงั คบั คดี โดยให้บงั คบั คดีตามประมวลกฎหมายวธิ ีพิจารณาความแพ่ง ภาคบงั คบั
คดีและใหช้ าวนาผนู้ ้นั ตอ้ งรับผดิ ในคา่ ใชจ้ ่ายในการดาเนินการของคณะบุคคลตามขอ้ ก.
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 541
จดิ าภา พรยง่ิ
ร่าง
กฎกระทรวง
ฉบบั ท่ี.. (พ.ศ. .... )
หลกั เกณฑ์ วธิ ีการ และเงื่อนไขท่ีเกี่ยวกบั การบงั คบั คดีประเภทมูลหน้ีของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาตามความ
ในมาตรา 336/1
..............................................
อาศยั อานาจตามความใน 5 วรรคหน่ึง (2) แห่งพระราชบญั ญตั ิให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง พุทธศกั ราช 2477 ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบญั ญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง (ฉบบั ที่ 30) พ.ศ. 2560 มาตรา 366 ประกอบกบั มาตรา 336/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพง่ รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงยตุ ิธรรมออกกฎกระทรวงไว้ ดงั ต่อไปน้ี
ขอ้ 1. ในกฎกระทรวงน้ี
การคุม้ ครองสิทธิ หมายความถึง ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาที่ข้ึนทะเบียนเป็ นชาวนา ย่อมไดร้ ับ
หลกั ประกนั วา่ มิใหส้ ูญเสียที่ดินทานาหรือที่ดินทากินโดยบงั คบั คดีนาท่ีดินขายทอดตลาด
ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนา หมายความถึง ผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาเป็ นหลัก และได้ข้ึนทะเบียน
ชาวนาไวก้ บั โครงการของรัฐ
มูลหน้ี หมายความถึง ประเภทของมูลหน้ีที่ผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาไดก้ ่อใหเ้ กิดข้ึนจากหน่วยงาน
ของรัฐหรือเอกชน และเป็นมูลหน้ีที่กฎหมายรับรองและคุม้ ครองสิทธิไว้
ขอ้ 2. กาหนดลกั ษณะประเภทมูลหน้ีที่รัฐคุ้มครองในกรณีท่ีเจา้ หน้ีตามคาพิพากษานามูลหน้ี
เหล่าน้ีมาฟ้องต่อศาล และผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาท่ีลงทะเบียนเป็ นเกษตรกรได้ตกเป็ นลูกหน้ีตามคา
พพิ ากษา
(1) มูลหน้ีการกูย้ มื เพอ่ื นาเงินมาลงทุนเมล็ดพนั ธ์พชื ในผลิตผลรอบฤดูกาลผลิต
(2) มูลหน้ีที่เกิดจากใชส้ ินคา้ เพอื่ อุปโภคและบริโภคในชีวติ ประจาวนั ครอบครัวชาวนา
(3) มูลหน้ีเกิดจากการศึกษาของลูกหลานชาวนาผปู้ กครองไดท้ าสัญญาค้าประกนั ไว้
(4) มูลหน้ีค่าซ้ืออุปกรณ์เครื่องจกั รกลใชใ้ นการทานา
ขอ้ 3. ประเภทมูลหน้ีของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาที่รัฐไม่ควรใหก้ ารคุม้ ครอง
(1) มูลหน้ีท่ีเกิดจากการเช่าซ้ือรถยนตท์ ่ีใชใ้ นชีวติ ประจาวนั
(2) มูลหน้ีที่เกิดจากการท่ีชาวนาไปค้าประกนั หน้ีของผอู้ ่ืน
(3) มูลหน้ีที่เกิดจากการละเมิดผอู้ ื่น
542 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 25
ขอ้ 4. รูปแบบและลกั ษณะการคุม้ ครองท่ีดินท่ีทานาของผปู้ ระกอบอาชีพชาวนาจากการบงั คบั คดี
(ก) กาหนดใหม้ ีคณะบุคคลผูร้ ับผิดชอบ เพื่อรองรับภาระหนา้ ท่ีในการตรวจสอบคุณสมบตั ิของ
ชาวนาท่ีจะเขา้ มาในโครงการคุม้ ครองที่ดินทานาจากการถูกบงั คบั คดีทางแพ่ง ลกั ษณะของประเภทมูลหน้ี
และใหค้ วามร่วมมือกบั เจา้ หน้ีตามคาพพิ ากษาในการตรวจสอบทรัพยส์ ินลกั ษณะการไม่ประวงิ การบงั คบั คดี
รูปแบบการต้งั ผูจ้ ดั การกิจการทานา การเขา้ ถึงเงินทุนในการลงทุนทานาในรอบปี ฤดูกาลต่อไป
การคานวณรายไดท้ ี่เกิดจากการทานาในรอบปี ฤดูกาลผลิตเพ่ือนาเงินกาไรบางส่วนมาชาระแก่เจา้ หน้ีตามคา
พิพากษา จานวนระยะเวลาในการทานาเพื่อใชห้ น้ีตามคาพิพากษากาหนดใหเ้ จา้ หน้ีตามคาพิพากษาเขา้ มามี
ส่วนร่วมในการบริหารจดั การกิจการทานาร่วมกบั คณะผูร้ ับผิดชอบ การกาหนดผลประโยชน์อ่ืนที่เจา้ หน้ี
ตามคาพพิ ากษาควรไดใ้ นระหวา่ งกิจการทานาเพ่ือชาระหน้ีตามคาพพิ ากษา
(ข) กาหนดโครงสร้างของคณะบุคคลผรู้ ับผิดชอบ โดยเทียบเคียงกบั คณะกรรมการ การเช่าที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรมตามพระราชบัญญัติการเช่าท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ในแต่ละพ้ืนที่ให้มี
คณะกรรมการ การเช่าท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมจงั หวดั โดยให้มีรองผูว้ า่ ราชการจงั หวดั เป็ นประธานกรรมการ
ผแู้ ทนสานกั งานอยั การจงั หวดั ผแู้ ทนกองทุนฟ้ื นฟูและการเกษตรจงั หวดั ผแู้ ทนสานกั งานบงั คบั คดีจงั หวดั
ผแู้ ทนธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณ์จงั หวดั ผูแ้ ทนสมาคมธนาคารแห่งประเทศไทยจงั หวดั และผูแ้ ทน
ที่มาจากกลุ่มชาวนา 4 คนในพ้ืนท่ีจงั หวดั เพ่ือทาหน้าท่ีตามข้อ ก. และ กาหนดเง่ือนไขผูจ้ ดั การกิจการ
ซ่ึงอาจเป็นลูกหน้ีตามคาพพิ ากษาน้นั ก็ได้
(ค) กาหนดเงื่อนไขในการจัดทาแผนงานในกิจการทานาบนท่ีดินพิพาทดังกล่าว โดย
คณะกรรมการตามขอ้ ข. และลูกหน้ีตามคาพิพากษา โดยผูจ้ ดั การกิจการจะเป็ นผูป้ ฏิบัติตามแผนงาน
ดงั กล่าว ซ่ึงแผนงานน้นั ตอ้ งมีรายการอยา่ งนอ้ ย ดงั น้ี
(1) ระยะเวลาเริ่มตน้ ของกิจการ และระยะเวลาท่ีคาดวา่ จะแลว้ เสร็จ
(2) พนั ธุ์ขา้ วที่จะปลูก
(3) ปริมาณขา้ วที่จะปลูก
(4) บุคคลที่ลงมือปลูกขา้ ว
(5) แหล่งเงินทุนท่ีตอ้ งใชใ้ นการลงทุนปลูกขา้ ว
(6) การประเมินผลการปฏิบตั ิงานของกิจการปลูกขา้ ว
(7) การทาบญั ชีรายรับ-รายจ่ายในการประกอบกิจการ
(ง) กาหนดความสัมพนั ธ์ทางกฎหมายระหว่างคณะบุคคลตามขอ้ ก. ลูกหน้ีตามคาพิพากษา
เจา้ หน้ีตามคาพิพากษา ศาล เจา้ พนกั งานบงั คบั คดี เพ่อื บรรลุจุดประสงคใ์ นการบงั คบั คดี
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 543
จดิ าภา พรยง่ิ
(จ) กาหนดความรับผดิ ของลูกหน้ีตามคาพิพากษาท่ีไม่ปฏิบตั ิตามคาสงั่ ของคณะบุคคลตามขอ้ ก.
ศาล และเจา้ พนกั งานบงั คบั คดี โดยให้บงั คบั คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาคบงั คบั คดี
โดยใหช้ าวนาผนู้ ้นั ตอ้ งรับผดิ ในคา่ ใชจ้ า่ ยในการดาเนินการของคณะบุคคลตามขอ้ ก.
ใหไ้ ว้ ณ วนั ท่ี พ.ศ. ....
รัฐมนตรีวา่ การกระทรวงยตุ ิธรรม
หมายเหตุ : เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบบั น้ี คือ กาหนดถึงหลกั เกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่
เก่ียวกบั การบงั คบั คดี ประเภทมูลหน้ีของผูป้ ระกอบอาชีพชาวนาตามความในมาตรา336/1 แห่งประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง เพื่อเป็ นแนวทางปฏิบัติและความชัดเจนเกี่ยวกับประเภทมูลหน้ีของผู้
ประกอบอาชีพชาวนา การแต่งต้งั และกาหนดอานาจหน้าท่ีของคณะบุคคลผูร้ ับผิดชอบ เพ่ือให้เป็ นไปตาม
เงื่อนไขในการจดั ทาแผนงานในกิจการทานาใหม้ ีประสิทธิภาพมากย่งิ ข้ึน ท้งั น้ี เพื่อสนบั สนุนการมีท่ีดินทา
กินสาหรับการเกษตรอยา่ งยง่ั ยนื
จึงจาเป็นตอ้ งออกกฎกระทรวงน้ี.
544 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 25
รายการอ้างองิ
จรัญ โฆษณานนั ท.์ (2547). นิติปรัชญา. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
ธนาคารเพอ่ื การเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (2560). กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (ประเทศไทย).
วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 27 กรกฎาคม 2560, เขา้ ถึงไดจ้ าก https://th.wikipedia.org/wiki/
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์(ประเทศไทย)
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง พุทธศกั ราช 2477. (2478. 20 มิถุนายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 52
หนา้ 723.
แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ที่สิบสอง พ.ศ. 2560 - 2564. (2559, 29 ธนั วาคม). กรุงเทพฯ:
สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสงั คมแห่งชาติสานกั นายกรัฐมนตรี.
พระราชบญั ญตั ิกองทุนฟ้ื นฟูและพฒั นาเกษตรกร พ.ศ. 2542. (2542, 18 พฤษภาคม). ราชกิจจานุเบกษา.
เล่ม 116 ตอนท่ี 39.
พระราชบญั ญตั ิกองทุนฟ้ื นฟูและพฒั นาเกษตรกร (ฉบบั ที่ 2) พ.ศ. 2544. (2544, 12 พฤศจิกายน).
ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 104 ตอนท่ี 16 ก.
พระราชบญั ญตั ิการเช่าท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524. (2524, 14 สิงหาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 98
ตอนท่ี 113 ฉบบั พิเศษ.
พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวธิ ีพจิ ารณาความแพง่ (ฉบบั ที่ 30) พ.ศ. 2560.
(2560, 6 กรกฎาคม). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 134 ตอนที่ 69 ก.
พระราชบญั ญตั ิลม้ ละลาย (ฉบบั ที่ 4) พ.ศ. 2541 (2541, 9 เมษายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 115 ตอนที่ 18 ก.
พระราชบญั ญตั ิวา่ ดว้ ยการยดึ ทรัพยส์ ินของกสิกร พุทธศกั ราช 2475. (2475, 22 กนั ยายน). ราชกิจจานุเบกษา.
เล่ม 49 ตอนท่ี 396.
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560. (2560, 6 เมษายน). ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 134
ตอนท่ี 40 ก.
วษิ ณุ เครืองาม. (2530). กฎหมายรัฐธรรมนูญ. กรุงเทพฯ: สานกั พมิ พน์ ิติบรรณการ.
ศาลล้มละลายกลางสหรัฐอเมริกา. (2017). วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 21 กรกฎาคม 2561, เขา้ ถึงไดจ้ าก
https://www.esquireglobalcrossings.com/wp-content/uploads/sites/21/2017/01/Bender-
Decision.pdf
สานกั งานเศรษฐกิจการเกษตร. (2561). ผ้ปู ลูกข้าวในครัวเรือน. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 7 สิงหาคม 2562,
เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.oae.go.th/
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 545
จดิ าภา พรยงิ่
Civil Execution Act (Act No.4 of 1979) in Japan. วันท่ีค้นข้อมูล 15 กรกฎาคม 2561. เข้าถึงได้จาก
http://www.cas.go.jp/jp/seisaku/hourei/data/ceta.pdf
Code of civil Procedure of the People’s Republic of China: Part Three Procedure of Enforcement. วันที่
ค้น ข้ อ มู ล 15 ก ร ก ฎ าค ม 2561 เข้ าถึ ง ไ ด้ จ าก https://www.wipo.int/edocs/lexdocs/laws/
en/cn/cn012en.pdf
German Code of Civil Procedure Civil Execution Act (Act No 4 of 1979). วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 5 มิถุนายน 2561,
เขา้ ถึงไดจ้ าก https://www.gesetze-im-internet.de/englisch_zpo/
Prichard. A. M. (1961). Leage’s roman private Law (3rd ed.). London: Macmilan & Co.Ltd.
546 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 26
ปัญหาเกยี่ วกบั สถานะทางกฎหมายของใบตราส่งต่อเน่ืองในฐานะเอกสารสิทธิภายใต้
ระบบกฎหมายองั กฤษ
Problems Relating to Legal Status of Multimodal Transport Documents as
Documents of Title under English Common Law
พิมพก์ มล กองโภค (Pimkamol Kongphok)
ดร., อาจารยป์ ระจาภาควชิ านิติศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา
Dr., Department of Law, Faculty of Political Science and Law, Burapha University
E-mail: [email protected]
Received: 18 February 2019
Revised: 14 May 2019
Accepted: 19 June 2019
บทคดั ย่อ
ในปัจจุบนั รูปแบบการขนส่งระหว่างประเทศเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีต กล่าวคือ การขนส่ง
รูปแบบเฉพาะอย่างใดอย่างหน่ึงมีบทบาทน้อยลง แต่ในทางกลบั กันการขนส่งต่อเน่ืองหลายรูปแบบ
ซ่ึงบูรณาการรูป แบบการขนส่งที่หลากหลายมารวมเขา้ ดว้ ยกนั เป็ นระบบปฏิบตั ิการการขนส่งเดียวกลบั มี
บทบาทมากข้ึนตามลาดบั อนั เป็นผลสืบมาเนื่องจากการพฒั นาการขนส่งดว้ ยตูค้ อนเทนเนอร์และเทคโนโลยี
ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ระบบ ปฏิบตั ิการขนส่งและระบบโครงสร้างพ้ืนฐาน ถึงแมว้ า่ การเติบโตของการขนส่งดว้ ย
ตูค้ อนเทนเนอร์และการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบจะเป็ นไปอยา่ งต่อเน่ือง บทบาทท่ีเพิ่มมากข้ึนดงั กล่าว
กลบั ไม่ถูกสะทอ้ นให้เห็นในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ ยงั ไม่มีสนธิสัญญาระหว่าง
ประเทศเกี่ยวกบั การขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ ฉบบั ใดท่ีมีจานวนประเทศสมาชิกรับรองถึงเกณฑ์ที่จะมี
ผลบงั คบั ใช้ ส่งผลใหไ้ ม่มีกฎหมายระหวา่ งประเทศซ่ึงสร้างความสอดคลอ้ ง กลมกลืน และบรรทดั ฐานใน
ระดบั นานาชาติ ผลท่ีตามมาอยา่ งหลีกเลี่ยงไม่ไดค้ ือ ปัญหาความไม่เป็ นแบบแผนอนั หน่ึงอนั เดียวกนั ของ
กฎหมายที่ใชบ้ งั คบั กบั การขนส่งตอ่ เน่ืองหลายรูปแบบ
ในบริบทของใบตราส่งต่อเน่ือง ในบางประเทศไม่มีกฎหมายเฉพาะใช้บงั คับกบั การขนส่ง
ต่อเนื่องหลายรูปแบบอยูเ่ ลยและหน่ึงในน้นั คือ ประเทศองั กฤษ การไม่มีกฎหมายที่ใช้บงั คบั กบั การขนส่ง
ตอ่ เนื่องหลายรูปแบบส่งผลใหเ้ กิดปัญหาความไม่แน่นอนทางกฎหมายเก่ียวกบั สถานะของเอกสารดงั กล่าว
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 547
พมิ พ์กมล กองโภค
ซ่ึงอาจส่งผลเสียในหลากหลายมิติรวมถึงในประเด็นของสถานะเอกสารสิทธิซ่ึงมีบทบาทสาคญั ในการ
รับรองสิทธิของผูร้ ับตราส่งและผูร้ ับโอนในฐานะผูท้ รงสิทธิท่ีจะรับมอบสินค้าจากผูข้ นส่ง ณ จุดหมาย
ปลายทางและสิทธิที่จะจาหน่ายจ่ายโอนสินค้าในระหว่างระยะเวลาขนส่ง หากประเด็นปัญหาความ
ไม่แน่นอนดงั กล่าวยงั คงอยู่ ย่อมส่งผลเสียแก่ผูร้ ับตราส่งและลดคุณค่าใบตราส่งต่อเนื่องลง อีกท้งั ใน
ระดบั มหภาคย่อมส่งผลกระทบในเชิงลบต่อระบบการคา้ ระหว่างประเทศท่ีมีการขนส่งต่อเนื่องหลาย
รูปแบบเขา้ มาเกี่ยวขอ้ ง บทความน้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือวิเคราะห์ความเป็ นไปไดท้ ่ีใบตราส่งต่อเนื่องจะไดร้ ับ
การยนื ยนั สถานะในระดบั เดียวกบั ใบตราส่งทางทะเลในประเด็นการเป็ นเอกสารสิทธิซ่ึงใหส้ ิทธิผูร้ ับตราส่ง
และผูร้ ับโอนใบตราส่งภายใตร้ ะบบกฎหมายองั กฤษ และจากผลการวิเคราะห์ ผูเ้ ขียนมีความเห็นว่าเพื่อ
รับรองและปกป้องสิทธิของผูร้ ับตราส่งและผูร้ ับโอนใบตราส่ง อีกท้งั เมื่อคานึงถึงวิวฒั นาการของรูปแบบ
การขนส่งและบทบาทของการใช้การขนส่งต่อเน่ืองหลายรูปแบบในปัจจุบนั สถานะในแง่ของการเป็ น
เอกสารสิทธิมีแนวโน้มที่จะได้รับการยอมรับจากศาลองั กฤษในอนาคตอนั ใกล้ ซ่ึงจะเป็ นทางออกของ
ปัญหาความไม่แน่นอนของสถานะของใบตราส่งตอ่ เน่ืองซ่ึงเป็นอยใู่ นปัจจุบนั
คาสาคญั : การขนส่งตอ่ เนื่องหลายรูปแบบ, ใบตราส่งต่อเน่ือง, เอกสารสิทธิ
Abstract
The current cross-border transport of goods has been shifted from unimodal carriage of goods to
an integrated multimodal transport where two or more modes of transport are involved in one journey under
a single contract. This phenomenon is obviously a by-product of containerisation and technological
developments in terms of transport operations and relevant infrastructure. Despite the constant growth of
containerisation and multimodal transport operations, the peculiar but true fact is that, in terms of regulatory
framework, there has been no successful attempt that could achieve global uniformity. Therefore, the
fragmented and disharmonious legal framework on multimodal transport both at international level and
national level is inevitable. Moreover, there is no specific law regulating multimodal transport in many
countries including England. In terms of multimodal transport documents, a lack of international set of rules
regulating multimodal transport leads to the situation where the legal status and functions of multimodal
transport documents are ambiguous and it can possibly jeopadise the legal value of this type of transport
documents in various dimensions including the legal status as document of title which entitles consignees
and transferees the right to claim delivery at the destination as well as the right to trade goods in transit.
Providing that this legal uncertainty still remains, not only the rights of consignees and transferee is put at
548 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 26
risk, at the larger scale, it can negatively affect international trade transaction as a whole. This article aims
to analyse the appropriateness and possibility that multimodal transport documents could be considered as
documents of title in the same level as maritime bills of lading under English common law. From the
discussion in this article, it is found that, in order to provide proportionate protection to all stakeholders
involving in multimodal transport contracts and according to the prevalence of multimodal transport, the
status as document of title is likely to be granted by the English Court in the near future.
Keywords: Multimodal transport, Multimodal transport document, Document of title
Introduction
Transportation is commonly accepted as a key sector for trade transactions, not only at
international but also at regional and national level (United Nations Conference on Trade and Development
[UNCTAD], 2000, p. 7). Contemporarily, this is the age of multimodalism or door-to-door transport based
on efficient use of all modes of transport, including sea, air, rail, road and inland waterway. Such transport
combines various forms of transportation under one responsible transport operator and one contract known
as the ‘multimodal transport contract’.* This phenomenon is obviously a by-product of containerisation and
technological developments in terms of transport operations and relevant infrastructure.
In terms of multimodal transport documents, various types of such documents have been
simultaneously used, namely COMBICONBILL (1995), MULTIDOC (1995), the FIATA Multimodal
Transport Bill of Lading, COMBICONWAYBILL (1995), MULTIWAYBILL 95 and the FIATA
Multimodal Transport Waybill. However, the legal status of these aforementioned documents is still
uncertain and confusing since some of them adopt the term ‘bill of lading’ such as the FIATA Multimodal
Transport Bill of Lading, and indeed, these documents also share some features of maritime bills of lading.
For example, Article 3.4 of the FIATA Multimodal Transport Bill of Lading regarding evidentiary effect of
the multimodal bills of lading. Despite some similarities, it is undoubtedly true that multimodal transport
* The definition of multimodal transport can be found in Article 1 of the 1980 United Nations Convention on International
Multimodal transport: ‘International multimodal transport means the carriage of goods by at least two different modes of
transport on the basis of a multimodal transport contract from a place in one country at which the goods are taken in charge
by the multimodal transport operator to a place designated for delivery situated in a different country.’
คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 549
พมิ พ์กมล กองโภค
documents and traditional ocean bills of lading are not the same things in terms of their legal status and
functions.
Even though national laws used in some countries such as Germany, the Netherlands, South
Korea, India and Thailand provide a clear status for multimodal transport documents, the issue of the legal
status and functions of multimodal transport documents is still unsettled at international level and also in
many jurisdictions including under English common law (Tettenborn, 2014, p. 127). This article aims to
discuss a specific topic relating to the problems and uncertainties relating to legal status of multimodal
transport documents as documents of title under English common law.
Significance of the legal status as a document of title
In case of negotiable maritime bills of lading, sea voyages normally take a long time from the
port of loading to the port of discharge. These can therefore be used during the sea transport in order to
provide the cargo interests with the opportunity to trade the goods in transit (Tettenborn, 2014, p. 132). A
document of title enables the consignee or the endorsee to receive the goods at the port of discharge, entitles
him to make legal claims against the carrier for shortage or damage to the goods as well as gives the
consignee or the endorsee a right to transfer those two abovementioned rights to a transferee during transit
(Lorenzon, 2012, para 5-047). In relation to the process to transfer such rights, there are two main methods:
1) To endorse and deliver the bill to the endorsee in cases of ‘order bill’; or,
2) To solely deliver the possession of the bill of lading to the transferee in cases of ‘bearer
bill’. (Baughen, 2012, p. 6)
Since possession of a negotiable bill of lading is considered as possession of the goods covered
by it, this leads to three major consequences:
1. The holder of the bill of lading has the right against the carrier to receive the goods at the port
of discharge (Baughen, 2012, p. 327). That is to say, the carrier has a responsibility to deliver the goods
only to the holder, not someone else.* Where the carrier delivered the cargo to the holder in good faith, he
is protected from liability even if it was later revealed that the holder was not entitled to delivery of goods.*
* Sze Hai Tong Bank Ltd v Rambler Cycle Co Ltd [1959] AC 576 [586].
* Glyn Mills Currie & Co v East & West India Dock Co (1881-82) 7 App Cas 591 (different copies of same bill in hands
of A and B: defendants surrendered goods to B: the defendants were protected despite the fact that A had better right to
goods as against B).
550 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 26
2. The holder of the bill of lading is entitled to transfer the right over the goods to third parties
by means of endorsement (Wilson, 2010, p. 133).
3. The bill of lading can be used as security for a debt. In other words, the bill can commonly
increase the financial credit when presented to the bank (Wilson, 2010, p. 133).
Multimodal transport documents as documents of title
1. Historical background of the concept ‘document of title’ at common law
Historically, one of the major issues that hindered the facilitation of overseas trade was the lack
of the buyer’s right to claim the goods from the carrier in the event that the carriage of goods contract was
concluded between the seller and the carrier according to the doctrine of privity, which does not allow third
parties to claim delivery from the carrier. In order to deal with this unfavourable situation, the solution by
the English courts was provided in the case of Lickbarrow v Mason.** According to this judgment, the court
acknowledged the customary use of transferable shipped bills of lading and identified this type of document
as ‘document of title’ at common law.*** The court also explained that the transfer of shipped bill of lading
to third parties, namely the buyer or the bank, was equivalent to the transfer of the right to receive the actual
possession of the goods identified in such document (Debattista, 2009, para 2.3; Treitel, 2014, para 18-
007).**** That is to say, firstly, the holder of a transferable shipped bill of lading has
the right to claim actual possession of goods upon tendering the document to the carrier* and, secondly, the
holder is able to re-sell the goods and transfer the rights over such goods by means of endorsement and/or
** Lickbarrow v Mason (1794) 5 Term Rep 683.
*** ibid; see also Hindley & Co Ltd v East Indian Produce Ltd [1973] 2 Lloyd’s Rep 515.
**** Lickbarrow v Mason (1794), 685-686; Barclays Bank Ltd v Commissioners of Customs & Excise [1963] 1 Lloyd’s Rep
81.
* Nevertheless, it should be borne in mind that, although the legal function is called ‘document of title’, there is no direct
relationship with title in the contractual goods as the transfer of title is governed by the parties’ intentions according to
Section 16-19 and 20A of the Sale of Goods Act 1979. However, the parties are free to agree amongst themselves that the
title is to pass at the same time the transport document is tendered, see Sewell v Burdick (1884) 10 App Cas [105] (Lord
Bramwell).
คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 551
พมิ พ์กมล กองโภค
passing the bill to third parties without the need of assignment.** After legally transferring the ‘document of
title’, the constructive possession over goods covered by the document is shifted to the transferee
(Debattista, 2009, para 2.3).*** However, it should be noted that this special characteristic of transferability
is not, per se, the evidence that entitles the shipped bill of lading as the ‘document of title’ at common law
(Treitel, 2014, paras 18-008 and 18-010).
2. An overview of the definition and qualifications of ‘document of title’ at common law
The next issue to be scrutinised is whether a multimodal transport document qualifies as a
‘document of title’ at common law since, up until now, there has been no court judgment that expressly
clarifies the specific legal status of multimodal transport documents (Thomas, 2014, p. 149). In the common
law context, the main criteria to determine this can be taken from Lickbarrow v Mason. This case provided
the general criteria that a transport document can be judicially considered as a document of title under the
condition that mercantile custom of the use of such a document can be proved. Commonly, in order to meet
the basis of mercantile custom, widespread and consistent acceptance of the practical use of such documents
is required. It can be seen that the concept of document of title at common lacks straightforward clarification
and depends on case-by-case basis consideration. Hence, it is unsurprising that the debate on whether
multimodal transport documents can be recognised as such at common is still ongoing.
In terms of the national statutes, the definitions of ‘document of title’ under the English
legislations, namely Section 1(4) of the Factors Act 1889, which is incorporated into the Sale of Goods Act
by virtue of Section 61 of the Sale of Goods Act 1979, and COGSA 1971 vary from one to another.
According to the Factors Act 1889, the definition of document of title is relatively extensive since ‘any bill
of lading’ is regarded as a document of title (Bridge, 2014, paras. 7-055, 7-069; Bugden and Lamont-Black,
2009, para 17-61). On the other hand, COGSA 1971 does not expressly provide a definition for it.
Nevertheless, this Act does mention ‘bills of lading or similar document of title’ in Section 1(4) for the
purpose of considering whether the Hague/Visby Rules is applicable to the carriage of goods contract
between the cargo interest and the carrier.*
** Lickbarrow v Mason (1794); Official Assignee of Madras v Mercantile Bank of India Ltd (1935) AC 53 [60].
*** See also Barber v Meyerstein (1869-70) LR 4 [330]; Ross T Smyth & Co Ltd v TD Bailey & Son Co [1940] 3 All ER 60
HL [69] (Lord Wright).
* See also Article I(b) of the Hague/ Visby Rules.
552 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2