C H A P T E R 15
ตารางท่ี 2 ผลการวเิ คราะห์หาความสมั พนั ธ์ระหวา่ งปัจจยั ดา้ นงานกบั ระดบั ภาวะความเครียดในการทางาน
        ของทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานท่ี 11 ที่ปฏิบตั ิงานอยใู่ นพ้ืนท่ี 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
        ปัจจยั ดา้ นงาน                        ระดับภาวะความเครียดในการทางาน
                                   r P-value   ระดับความสัมพนั ธ์
1. ดา้ นลกั ษณะงานที่รับผดิ ชอบ .202 .000*     มีความสัมพนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่ามาก
2. ดา้ นบทบาทในองคก์ ร             .328 .000*  มีความสมั พนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่า
3. ดา้ นความกา้ วหนา้ ในงาน        .314 .000*  มีความสมั พนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่า
4. ดา้ นสัมพนั ธภาพในหน่วยงาน .475 .000*       มีความสมั พนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่า
5. ดา้ นโครงสร้างองคก์ ร และ .396 .000*        มีความสัมพนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่า
บรรยากาศทวั่ ไป
6. ดา้ นนโยบาย คาส่ังหรือ          .268 .000*  มีความสัมพนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่ามาก
กฎระเบียบขอ้ บงั คบั ในหน่วยงาน
ภาพรวม                             .437 .000*  มีความสัมพนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่า
*มีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05
          3.2 พฤติกรรมในการจดั การคลายเครียด จากการศึกษาพบว่า พฤติกรรมในการจัดการ
ความเครียด ในภาพรวม, ดา้ นการแสวงหาแหล่งสนบั สนุนทางสังคม, ดา้ นการหลีกหนี, ด้านการต่อตา้ น,
และดา้ นการผอ่ นคลาย มีความสัมพนั ธ์กบั ระดบั ความเครียดในการปฏิบตั ิงานของทหารทหารหน่วยเฉพาะ
กิจกรมทหารพรานที่ 11 ท่ีปฏิบัติงานอยู่ในพ้ืนที่อาเภอแวง้ และอาเภอสุคิรินจงั หวดั นราธิวาส อย่างมี
นยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05 ซ่ึงยอมรับสมมติฐานการวจิ ยั ดงั ตารางที่ 3
                                               คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 347
ณัฐพงศ์ มงั่ อะนะ/ อนุรัตน์ อนันทนาธร/ สัมฤทธ์ิ ยศสมศักด์/ิ จรี ะ ประทปี
ตารางที่ 3 ผลการวิเคราะห์หาความสัมพนั ธ์ระหว่างพฤติกรรมในการจดั การความเครียดกบั ระดบั ภาวะ
        ความเครียดในการทางานของทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11 ท่ีปฏิบตั ิงานอยใู่ นพ้ืนท่ี
        3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
พฤติกรรมในการจัดการ                ระดบั ภาวะความเครียดในการทางาน
        ความเครียด                 r P-value                              ระดบั ความสัมพนั ธ์
1. ดา้ นการแกไ้ ขปัญหา             -.052 .342                             ไม่มีความสัมพนั ธ์
2. ดา้ นการยอมรับ                  .044 .425                              ไม่มีความสมั พนั ธ์
3. ดา้ นการแสวงหาแหล่ง             .350 .000*  มีความสมั พนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่า
สนบั สนุนทางสังคม
4. ดา้ นการหลีกหนี                 .664 .000* มีความสัมพนั ธ์ทางบวกในระดบั ปานกลาง
5. ดา้ นการตอ่ ตา้ น               .637 000* มีความสัมพนั ธ์ทางบวกในระดบั ปานกลาง
6. ดา้ นการเบ่ียงเบนความสนใจ -.048 386                                    ไมม่ ีความสัมพนั ธ์
7. ดา้ นการผอ่ นคลาย               .481 000*   มีความสัมพนั ธ์ทางบวกในระดบั ต่า
ภาพรวม                             .502 .000* มีความสมั พนั ธ์ทางบวกในระดบั ปานกลาง
*มีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั .05
        4. แนวทางในการป้องกันการเกิดความเครียดในการปฏิบัติงานของ ทหารหน่วยเฉพาะกิจ
กรมทหารพรานท่ี 11 ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพ้ืนที่อาเภอแวง้ และอาเภอสุคิรินจงั หวดั นราธิวาส ผู้วิจยั ได้
ทาการศึกษาท้ังจากการสัมภาษณ์เชิงลึกโดยสัมภาษณ์กับกลุ่มผู้บังคับบัญชา และนายแพทย์ท่ีมี
ความเก่ียวขอ้ งและปฏิบตั ิงานภายในหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานท่ี 11 ที่ปฏิบตั ิงานอยใู่ นพ้ืนที่อาเภอแวง้
และอาเภอสุคิริน จงั หวดั นราธิวาส โดยสรุปไดด้ งั น้ี
           1) ผูบ้ งั คบั บญั ชาควรทาความเขา้ ใจกบั กาลงั พลทุกนายไดเ้ ขา้ ใจว่าเมื่อเกิดอาการเครียดควร
เขา้ พบเจา้ หนา้ ท่ีเสนารักษท์ ่ีเกี่ยวขอ้ งกบั จิตเวช เพอื่ ประเมินผลความเครียดมากนอ้ ยเพียงใดและทาการรักษา
ตามอาการ
          2) ผูบ้ งั คบั บญั ชาควรลดปริมาณงานให้กาลงั พลท่ีมีความเครียด หรือเปล่ียนงานให้มาทางาน
ที่มีอตั ราความเส่ียงท่ีจะเกิดความเครียดต่า เพ่ือป้องกนั การเกิดความเครียดจากในการทางานของทหารพราน
ที่ปฏิบตั ิงานอยใู่ นพ้ืนที่ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
           3) กาลงั พลที่มีความเครียดสูงควรงดในการใชอ้ าวุธ หรือถา้ หากเป็ นมากควรให้หยุดพกั งาน
แลว้ กลบั ไปอยกู่ บั ครอบครัวสักระยะหน่ึง
 348 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 15
        4) ผูบ้ งั คบั บญั ชาควรจดั ให้มีการจบั คู่กาลงั พลเพ่ือสังเกตซ่ึงกนั และกนั วา่ เพื่อมีแนวโนม้ ท่ีจะเกิด
ภาวะความเครียดหรือไม่ รวมถึงการไดพ้ ูดระบายความในใจใหก้ นั และกนั ฟังเพือ่ รับทราบปัญหาของเพื่อน
อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะการวจิ ยั
        อภปิ รายผล
        1. สถานการณ์ความเครียดในการปฏิบตั ิงานของทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานท่ี 11
ที่ปฏิบตั ิงานอยูใ่ นพ้ืนท่ีอาเภอแวง้ และอาเภอสุคิริน จงั หวดั นราธิวาส พบว่า ความเครียดของทหารหน่วย
เฉพาะกิจกรมทหารพรานท่ี 11 ท่ีปฏิบตั ิงานอยูใ่ นพ้ืนที่อาเภอแวง้ และอาเภอสุคิริน จงั หวดั นราธิวาสน้นั อยู่
ในระดบั ปานกลางโดยความเครียดน้ันเกิดข้ึนมากเฉพาะกบั ทหารท่ีเขา้ มาปฏิบตั ิงานในพ้ืนที่เป็ นคร้ังแรก
และผทู้ ี่มีภาระทางครอบครัวท่ีตอ้ งดูแล โดยความเครียดท่ีเกิดข้ึนส่วนมากจะเกิดจากความขดั แยง้ ภายในท่ี
ทางานมากกวา่ เหตุการณ์ความรุนแรงในพ้ืนท่ี 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซ่ึงเม่ือกาลงั พลเกิดความเครียดแลว้
จะทาใหป้ ระสิทธิภาพในการทางานลดลงทนั ที โดยผวู้ จิ ยั มองวา่ เกิดจากการรับรู้เก่ียวกบั ขอ้ มูลต่าง ๆ ท่ีมีต่อ
พ้ืนท่ี 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ วา่ มีความรุนแรง มีเหตุการณ์ความไม่สงบ เมื่อตอ้ งเขา้ มาปฏิบตั ิงานในพ้ืนที่
จึงเกิดภาวะความเครียดได้จากทศั นคติท่ีมีต่อสถานการณ์ดงั กล่าว โดยโฮวเมส และราเฮย์ (Holmes and
Rahe, 1967) ไดม้ ีความคิดเห็นท่ีตรงกนั ว่า เหตุการณ์ชีวติ เป็ นตวั กระตุน้ ให้เกิดความเครียดและมีผลให้เกิด
ความเสี่ยงของความเจ็บป่ วยหรือการเป็ นโรคสูงข้ึน การเปล่ียนแปลงของชีวิตท่ีเก่ียวข้องกับการนอน
การกิน การเขา้ สงั คม การสร้างสรรค์ นิสัยการสร้างสมั พนั ธภาพกบั ผูอ้ ื่น ซ่ึงมีความแตกตา่ งกนั ในระดบั ของ
การปรับตัว และได้พัฒนามาตรวดั การปรับตัวใหม่ทางสังคมหรื อ SRRS ซ่ึงเกี่ยวข้องกับปริ มาณ
ความรุนแรง และช่วงเวลาของการปรับตวั เหตุการณ์แต่ล่ะอย่างได้รับการจดั เรียงตามลาดับ ดังน้ันการ
เปลี่ยนแปลงโยกยา้ ยงานในการเขา้ มาปฏิบตั ิงานในพ้ืนที่ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ซ่ึงเป็นพ้นื ที่ท่ีมีเหตุการณ์
ความไม่สงบน้นั กท็ าใหเ้ กิดความเครียดได้
        2. ระดับความเครี ยดในการปฏิบัติงานของทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11
ท่ีปฏิบัติงานอยู่ในพ้ืนท่ีอาเภอแว้งและอาเภอสุ คิริ น จังหวัดนราธิวาส พบว่า ทหารพราน ที่ตอบ
แบบสอบถามส่วนใหญ่มีระดบั ภาวะความเครียดในการทางานโดยรวม อยู่ในระดบั ต่า เมื่อพิจารณาเป็ น
รายดา้ น พบวา่ ดา้ นสุขภาพร่างกาย มีค่าเฉล่ียอยใู่ นระดบั ต่า และดา้ นสุขภาพจิต มีค่าเฉลี่ยอยูใ่ นระดบั ไม่มี
ภาวะความเครียด ซ่ึงเป็ นผลการศึกษาที่ได้ ค่อนขา้ งเป็ นที่น่าพอใจ โดยส่วนหน่ึงผูว้ ิจยั มองว่าเป็ นเพราะ
การทางานของกลุ่มทหารพรานน้นั มีลกั ษณะแบบราชการ มีกฎระเบียบท่ีตายตวั ลกั ษณะการทางานที่เป็ น
ลกั ษณะประจาไม่ยึดหยุน่ จึงทาให้ง่ายต่อการทางานและการตดั สินใจต่าง ๆ รวมถึงการเตรียมสภาพจิตใจ
ก่อนเขา้ มาปฏิบตั ิงานในพ้ืนที่ที่มีความอนั ตราย ทาใหม้ ีจิตใจท่ีเขม้ แข็งไม่เครียดมากนกั โดยผลการศึกษาที่
พบน้ัน มีความไม่สอดคล้องกับผลการวิจัยหลาย ๆ ฉบับได้แก่ งานวิจัยของมนทิรา ปรีชา (2552)
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 349
ณัฐพงศ์ มง่ั อะนะ/ อนุรัตน์ อนันทนาธร/ สัมฤทธ์ิ ยศสมศักด์/ิ จรี ะ ประทปี
ท่ีทาการศึกษาเร่ืองปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ความเครียดและพฤติกรรมการจดั การความเครียดของตารวจตระเวน
ชายแดน กองร้อย 446 จงั หวดั นราธิวาส พบว่า ส่วนใหญ่ตารวจตระเวนชายแดนกองร้อย 446 จงั หวดั
นราธิวาสมีความเครียดอยูใ่ นระดบั ปานกลาง เช่นเดียวกบั งานวิจยั ของอิศรา รักษก์ ุล (2554) ทาการศึกษา
เรื่อง ภาวะสุขภาพจิตและทศั นคติของกาลงั พลกองทัพบกท่ีปฏิบัติภารกจิ ในพืน้ ที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
พบว่า กาลงั ผลมีความรู้สึกเครียด จานวน 155 นาย (ร้อยละ 61.50) มีภาวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคซึมเศร้า
จานวน 85 ราย (ร้อยละ 34.55) มีพฤติกรรมการด่ืมแอลกอฮอล์เพิม่ ข้ึน จานวน 48 ราย (ร้อยละ 19.67) และมี
กาลงั พลที่ตอ้ งการไดร้ ับความช่วยเหลือจากปัญหาเรื่องเครียด จานวน 113 ราย ร้อยละ 45.93) ในงานวิจยั
ของดวงรัตน์ วฒั นกิจไกรเลิศ (2557) ท่ีทาการศึกษาเรื่องความเครียด ปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อความเครียด และ
การจดั การความเครียด ของตารวจ พบวา่ หน่ึงในสี่ของกตารวจนครบาลกลุ่มตวั อยา่ ง (ร้อยละ 25.6) มีระดบั
ความเครียดสูงกว่าปกติ ซ่ึงในจานวนน้ีมีความเครียดสูงกว่าปกติมากร้อยละ 3.7 และงานวิจยั ของณัฎฐา
มูลต๋า (2559) ท่ีทาการศึกษาเรื่องปัจจยั ท่ีมีผลต่อความเครียดในการปฏิบตั ิงานของตารวจตรวจคนเขา้ เมือง
สุวรรณภูมิ พบว่า ความเครียดของข้าราชการตารวจตรวจคนเข้าเมืองสุวรรณภูมิ ท้ัง 3 ด้าน คือการ
เปล่ียนแปลงด้านร่างกาย การเปล่ียนแปลงด้านจิตใจ และอารมณ์และการเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม
ในภาพรวมมีความเครียด อยใู่ นระดบั มาก
        ซ่ึงสาเหตุของความไม่สอดคลอ้ งน้นั ผวู้ จิ ยั มองวา่ เหตุการณ์ในพ้ืนที่รับผิดชอบในอาเภอแวง้ และ
อาเภอสุคิริน ต้งั แต่เดือนกนั ยายน พ.ศ. 2559 – สิงหาคม พ.ศ. 2561 น้นั เหตุการณ์ความมนั่ คง ไม่รุนแรง
เหมือนในอดีต โดยเกิดเหตุท้งั หมด 15 เหตุการณ์ เป็ นเหตุ ลอบยิง 3 คร้ัง ลอบวางระเบิด 7 คร้ัง ซุ่มโจมตี
2 คร้ัง ปลน้ 1 คร้ัง และ ก่อกวน 2 คร้ัง และมีข่าวสารความเคล่ือนไหว 36 ข่าวสาร จึงทาใหก้ ารปฏิบตั ิงาน
ไม่มีความเส่ียงมากนกั เม่ือเทียบกบั พ้ืนท่ี อื่น ๆ รวมถึงสิทธิประโยชน์ คา่ ตอบแทนท้งั ที่เป็นตวั เงิน และไมใ่ ช่
ตวั เงิน อาทิ ความกา้ วหน้าในหน้าที่การงาน การยกย่องคุณงามความดี ท้งั ในหน่วยงาน และภาคประชา
สังคมที่ให้การสนบั สนุนโดยเฉพาะการให้กาลงั ใจซ่ึงกนั และกนั ของพ่ีน้องชาวไทย รวมถึงความกา้ วไกล
ของเทคโนโลยีท่ีทาให้กาลงพลสามารถติดต่อสื่อสารกบั ครอบครัว คนทางบา้ นไดส้ ะดวกและใกลช้ ิดกนั
มากข้ึน สิ่งเหล่าน้ีน้นั น่าจะเป็ นส่วนสาคญั ที่ทาใหก้ ารศึกษาความเครียดของทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหาร
พรานที่ 11 ท่ีปฏิบตั ิงานอยใู่ นพ้ืนที่อาเภอแวง้ และอาเภอสุคิรินจงั หวดั นราธิวาสอยใู่ นระดบั ต่า
        3. ปัจจยั ที่มีผลตอ่ การเกิดความเครียดในการปฏิบตั ิงานของทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพราน
ที่ 11 ที่ปฏิบัติงานอยู่ในพ้ืนท่ีอาเภอแว้งและอาเภอสุ คิริน จังหวดั นราธิวาส พบว่า ปัจจัยด้านงาน
ในภาพรวม, ด้านลักษณะงานท่ีรับผิดชอบ, ด้านบทบาทในองค์กร, ด้านความก้าวหน้าในงาน,
ดา้ นสัมพนั ธภาพในหน่วยงาน, ดา้ นโครงสร้างองคก์ ร และบรรยากาศทว่ั ไป, และดา้ นนโยบาย คาส่ังหรือ
กฎระเบียบขอ้ บงั คบั ในหน่วยงาน มีความสัมพนั ธ์ทางบวกกบั ระดบั ความเครียดในการปฏิบตั ิงานของทหาร
หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11 ท่ีปฏิบตั ิงานอยูใ่ นพ้ืนท่ีอาเภอแวง้ และอาเภอสุคิริน จงั หวดั นราธิวาส
อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 โดยสอดคลอ้ งกบั แนวคิดของ ร็อบบินส์ และจดั ท์ (Robbins and Judge,
 350 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 15
2013, pp. 597-600) ไดก้ ล่าวว่าความเครียดน้นั เกิดจากการไดร้ ับการสนบั สนุนทางสังคม (Social Support)
ซ่ึงมกั เก่ียวขอ้ งกบั ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งเพ่ือนร่วมงาน ผูบ้ งั คบั บญั ชา เช่นเดียวกบั คูแนวคิดของคูเปอร์ และ
เดวิสสัน (Cooper & Davidson, 1987, pp. 99-108) ไดก้ ล่าวถึงปัจจยั จากการทางาน ท่ีทาให้เกิดความเครียด
ไวว้ ่าเกิดจาก ตาแหน่งหน้าที่ท่ีรับผิดชอบ บทบาทในหน่วยงาน ปริมาณงาน ส่ิงแวดล้อมในการทางาน
ความปลอดภัย การสนับสนุนในหน่วยงาน สัมพันธภาพระหว่างเพื่อนร่วมงาน ตลอดจนนโยบาย
กฎระเบียบของหน่วยงาน และแนวคิดของบราวน์ และโมเบอร์ก (Brown and Moberg, 1980) ท่ีไดก้ ล่าวถึง
สาเหตุของความเครียดในการทางานเกิดจากงาน บทบาทขององคก์ าร สัมพนั ธภาพในหน่วยงาน พฒั นา
ทางดา้ นอาชีพ และบรรยากาศในการทางาน โดยผลการศึกษาที่พบน้นั มีความสอดคลอ้ งกบั งานวิจยั ของ
อนุรัตน์ อนันทนาธร ที่ทาการศึกษาเร่ืองภาวะความเครียดและพฤติกรรมการจดั การความเครียดของ
ขา้ ราชการตารวจตารวจภูธร สังกดั ตารวจภูธรภาค 2 พบวา่ ปัจจยั ดา้ นงานท่ีมีผลต่อความเครียดในการทางา
น ไดแ้ ก่ ความกา้ วหน้าในงานโครงสร้างองค์กรและบรรยากาศทว่ั ไปของการทางานและลกั ษณะงานที่
ปฏิบตั ิ น้นั มีความสัมพนั ธ์ต่อความเครียดในการทางา น อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05
        ส่วนพฤติกรรมในการจดั การความเครียด ในภาพรวม, ด้านการแสวงหาแหล่งสนับสนุนทาง
สังคม, ดา้ นการหลีกหนี, ดา้ นการต่อตา้ น, และดา้ นการผอ่ นคลาย มีความสัมพนั ธ์กบั ระดบั ความเครียดใน
การปฏิบตั ิงานของทหารทหารหน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 11 ที่ปฏิบตั ิงานอยใู่ นพ้ืนที่อาเภอแวง้ และ
อาเภอสุคิรินจงั หวดั นราธิวาส อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 โดยสอดคลอ้ งกบั แนวคิดของลาซารัส
และโฟล์คแมน (Lazarus & Folkman, 1984) ท่ีกล่าวว่าพฤติกรรมในการจัดการความเครี ยดเป็ น
ความพยายามท่ีจะเปลี่ยนแปลงความรู้สึกนึกคิด และพฤติกรรมอยูต่ ลอดเวลา เพ่ือท่ีจะจดั การกบั สิ่งกระตุน้
ให้เกิดความเครียด นอกจากน้ันยงั สอดคล้องกบั แนวคิดของกรมสุขภาพจิต (2546) ว่าพฤติกรรมในการ
จดั การความเครียดน้ันเป็ นวธิ ีที่บุคคลใชจ้ ดั การกบั ความเครียด เช่น การสร้างพลงั ภายใน อาทิ การร้องไห้
การพูดระบายความรู้สึก การหวั เราะ ฯลฯ การพยายามกระทาสิ่งใดส่ิงหน่ึง เป็ นการพยายามนากระบวนการ
แกป้ ัญหามาใชใ้ น การจดั การต่อความเครียด เช่น การเปล่ียนนิสัยการทางาน การปฏิบตั ิตนเก่ียวกบั สุขนิสัย
ฯลฯ ซ่ึงวธิ ีการเหล่าน้ีไดร้ ับการยอมรับวา่ ช่วยจดั การกบั ความเครียดไดจ้ ริง โดยผลการศึกษาที่พบน้นั มีความ
สอดคลอ้ งกบั งานวจิ ยั ของดวงรัตน์ วฒั นกิจไกรเลิศ (2557) ที่ทาการศึกษาเรื่องความเครียด ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพล
ตอ่ ความเครียด และการจดั การความเครียดของตารวจ พบวา่ การจดั การความเครียดท่ีมีประสิทธิภาพ ไดแ้ ก่
วิธีการพูด คุยระบายกบั คนที่สนิทหรือคนในครอบครัว รองลงมาคือ ออกกาลงั กาย และงานวิจยั ของเกอร์
ชอน และคณะ (Gershon et al., 2009) พบว่า การจดั การความเครียดของตารวจในสหรัฐอเมริกาสามารถ
แบ่งเป็ น 4 ด้าน ไดแ้ ก่ 1. ด้านการรู้คิด (cognitive) ส่วนใหญ่ มีการวางแผนในการเผชิญความเครียดและ
ปฏิบัติตามแผนน้ัน รองลงมาคือ จัดการความเครียดโดยใช้ประสบการณ์เดิม และพูดคุยกับคนใน
ครอบครัวหรือผูเ้ ชี่ยวชาญ 2. ยดึ มนั่ ในส่ิงที่ศรัทธา (faith based) ส่วนใหญ่เช่ือมนั่ ในสิ่งศกั ด์ิสิทธ์ รองลงมา
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 351
ณฐั พงศ์ มง่ั อะนะ/ อนุรัตน์ อนันทนาธร/ สัมฤทธ์ิ ยศสมศักด์/ิ จรี ะ ประทปี
คือ สวดมนตร์ 3. หลีกเล่ียงปัจจยั ที่ทาให้เกิดความเครียด (avoidance) และ 4. มีพฤติกรรมในทางลบ
(negative behavior) เช่น สูบบุหรี่มากกวา่ ปกติ รองลงมาคือตะโกนเสียงดงั กบั คนในครอบครัว
ข้อเสนอแนะการวจิ ัย
        จากข้อค้นพบที่ได้จากการศึกษา ผู้วิจัยเห็นว่าควรมีข้อเสนอแนะต่อหน่วยเฉพาะกิจกรมทหาร
พรานท่ี 11 และหน่วยเหนือทเ่ี กย่ี วข้องในเชิงนโยบายทสี่ าคัญดังนี้
        1. ปัจจยั ดา้ นงาน ที่ส่งผลต่อการเกิดความเครียดจากในการทางานของทหารพรานท่ีปฏิบตั ิงาน
อยู่ในพ้ืนที่ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ น้ันผูว้ ิจยั มีขอ้ เสนอต่อหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งวา่ ควรมีแนวทางในการ
ป้องกนั ดงั น้ี
          1.1 ดา้ นสมั พนั ธภาพในหน่วยงาน ควรมีการส่ือสารกนั ระหวา่ งบุคคล ถึงขอ้ พิพาทที่เกิดข้ึนใน
ที่ทางานควรมีการพูดคุยกันทุกวนั อย่างเปิ ดเผยในทุก ๆ เช้า หรือหลังเลิกงานโดยพูดคุยแบบประชุม
โดยผบู้ งั คบั บญั ชา เพ่ือเป็ นการทบทวนการปฏิบตั ิงานอยเู่ สมอเพราะจะทาใหร้ ู้ถึงปัญหาต่าง ๆ ของกาลงั พล
ไดเ้ พอื่ ท่ีจะรีบดาเนินการแกไ้ ข รวมถึงการพดู คุยกนั แบบสองตอ่ สองระหวา่ งผพู้ ิพาท ถา้ ไม่สามารถลงเอยได้
กส็ ามารถใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาเป็นผรู้ ่วมประสานงาน
          นอกจากการสื่อสารพูดคุยกนั ระหว่างภายในหน่วยงานแลว้ ผูบ้ งั คบั บญั ชายงั ควรจดั กิจกรรม
ต่าง ๆ เพื่อสร้างความสัมพนั ธ์ท่ีดีภายในหน่วยงาน โดยการทากิจกรรมร่วมกันที่ไม่ใช่การทางาน อาทิ
การเล่นกีฬา การทาอาหาร เป็ นตน้ เพ่ือเป็ นการหาโอกาสในการผอ่ นคลายอารมณ์ไม่ให้ตึงเครียด และลด
ช่องวา่ งของกาลงั พลท่ีอยดู่ ว้ ยกนั ใหม้ ีการรักใคร่กลมเกลียว
          1.2 ดา้ นโครงสร้างองคก์ ร และบรรยากาศทว่ั ไป สภาพปัจจุบนั น้นั หน่วยเฉพาะกิจกรมทหาร
พรานท่ี 11 ยงั คงมีปัญหาเก่ียวกบั ระบบโครงสร้างการทางานท่ีพบว่า การทางานของกาลงั พลน้ันไม่ตรง
สายงาน ขาดประสานงานซ่ึงกนั และกนั ดงั น้นั หน่วยงานควรมีระบบโครงสร้างองคก์ รท่ีชดั เจนถึงอานาจ
หน้าท่ีของแต่ละตาแหน่งว่ามีอานาจหน้าที่อะไรบ้าง มีการแบ่งงานกันทาในแต่ละกลุ่มงานที่แน่ชัด
เพ่ือความไม่ซบั ซอ้ น และมีการประชุมหารือในทุก ๆ วนั ก่อนเร่ิมตน้ การทางานเพอ่ื ยืนยนั ถึงการทางานของ
ทุกคนเพ่อื ลดความผดิ พลาดของทุกคนก่อนเริ่มทางาน
          1.3 บทบาทในองค์กร ผู้บังคับบัญชาควรให้ความสาคัญกับการให้กาลังใจ ปลูกฝังถึง
ความสาคญั ของกาลงั พลแต่ละนายว่ามีความสาคญั กบั งาน หน่วยงาน และมีความสาคญั กบั ประเทศชาติ
อยา่ งไร เพอื่ ใหม้ ีกาลงั ใจ ความฮึกเหิมในการทางาน และรู้วา่ ส่ิงที่ตนเองทาน้นั มีประโยชนต์ ่อผอู้ ่ืนเพียงใด
        2. พฤติกรรมในการจดั การความเครียด ที่ส่งผลต่อการเกิดความเครียดจากในการทางานของทหาร
พรานท่ีปฏิบตั ิงานอยูใ่ นพ้ืนท่ี 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ น้นั ผูว้ จิ ยั มีขอ้ เสนอต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งวา่ ควรมี
แนวทางในการป้องกนั และแกไ้ ข ดงั น้ี
 352 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 15
           1.2 ผูบ้ งั คบั บญั ชาควรเรียนรู้ หาขอ้ มูลเกี่ยวกบั การสังเกตพฤติกรรมของบุคคลท่ีมีความเส่ียงที่
จะเกิดความเครียดเพื่อนามาปรับใชใ้ นการสังเกตดูพฤติกรรมของกาลงั พลในสังกดั วา่ มีใครมีกลุ่มเสี่ยงท่ีจะ
เกิดความเครียดบา้ ง
          2.2 ผบู้ งั คบั บญั ชาควรเรียนรู้ หาขอ้ มูลเก่ียวกบั การจดั การกบั ความเครียดใหแ้ ก่ผอู้ ่ืนโดยเฉพาะ
การพดู ปลอบขวญั ให้กาลงั ใจ ใชท้ กั ษะในการสอบถามพูดคุยกบั กาลงั พลในสังกดั อยา่ งถูกวธิ ีตามหลกั การ
ของการรักษาทางจิตเวช เพ่ือเป็ นการระบายความเครียด ความทุกขท์ ี่อยู่ภายในจิตใจของกาลงั พลในสังกดั
ทุกนาย และร่วมกนั หาทางออกใหป้ ัญหาเพ่อื ใหท้ ุกคนรู้สึกเหมือนเป็ นเพื่อน เป็นครอบครัวเดียวกนั
          2.3 ผบู้ งั คบั บญั ชาจะตอ้ งมีการส่งเสริมกิจกรรมตา่ ง ๆ ให้กาลงั พลไดผ้ อ่ นคลายจากความเครียด
ท่ีเกิดข้ึน อาทิ การเล่นกีฬา การฟั งเพลง เล่นดนตรี ทาอาหารร่ วมกัน การน่ังสมาธิสงบจิตใจ
การรับประทานอาหารร่วมกนั เป็นตน้
          2.4 สาหรับกาลงั พลที่มีความเครียดมาก ๆ ควรพิจารณาใหม้ ีการกลบั ภูมิลาเนาเพอื่ การพกั ผอ่ น
ผอ่ นคลายเป็ นรายพิเศษ และติดต่อสื่อสารถึงอาการกบั คนทางบา้ นอยเู่ ป็ นระยะ เพ่ือป้องกนั การหาทางออก
กบั ความเครียดในทางท่ีผดิ
        3. แนวทางในการป้องกนั การเกิดความเครียดจากในการทางานของทหารพรานที่ปฏิบตั ิงานอยใู่ น
พ้นื ที่ 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้ ผวู้ จิ ยั มีขอ้ เสนอแนะต่อหน่วยงานท่ีเกี่ยวขอ้ งวา่ ควรมีแนวทางในการป้องกนั
และแกไ้ ขดงั น้ี
          3.1 ผูบ้ งั คบั บญั ชาควรทาความเขา้ ใจกบั กาลงั พลทุกนายไดเ้ ขา้ ใจวา่ เมื่อเกิดอาการเครียดควร
เขา้ พบเจา้ หนา้ ที่เสนารักษท์ ่ีเก่ียวขอ้ งกบั จิตเวช เพื่อประเมินผลความเครียดมากนอ้ ยเพียงใดและทาการรักษา
ตามอาการ
          3.2 ผูบ้ งั คบั บญั ชาควรลดปริมาณงานให้กาลงั พลที่มีความเครียด หรือเปลี่ยนงานใหม้ าทางาน
ที่มีอตั ราความเส่ียงท่ีจะเกิดความเครียดต่า เพื่อป้องกนั การเกิดความเครียดจากในการทางานของทหารพราน
ที่ปฏิบตั ิงานอยใู่ นพ้นื ท่ี 3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต้
          3.3 กาลงั พลที่มีความเครียดสูงควรงดในการใชอ้ าวธุ หรือถา้ หากเป็ นมากควรให้หยุดพกั งาน
แลว้ กลบั ไปอยกู่ บั ครอบครัวสักระยะหน่ึง
          3.4 ผูบ้ งั คบั บญั ชาควรจดั ใหม้ ีการจบั คู่กาลงั พลเพ่ือสังเกตซ่ึงกนั และกนั วา่ เพ่ือมีแนวโน้มท่ีจะ
เกิดภาวะความเครียดหรือไม่ รวมถึงการไดพ้ ูดระบายความในใจให้กนั และกนั ฟังเพื่อรับทราบปัญหาของ
เพือ่ น
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 353
ณฐั พงศ์ มงั่ อะนะ/ อนุรัตน์ อนนั ทนาธร/ สัมฤทธ์ิ ยศสมศักด์/ิ จรี ะ ประทปี
รายการอ้างองิ
กุนนที นวลสุวรรณ. (2555). ความเครียด และวธิ ีการเผชิญความเครียดของพลทหารใหม.่ วารสารพยาบาล
        ทหารบก, 13(2), 72-81.
กองอานวยการรักษาความมน่ั คงในราชอาณาจกั ร. (2560). ยทุ ธศาสตร์ กองอานวยการรักษาความมนั่ คง
        ภายในราชอาณาจักร พ.ศ. 2560-2564. กรุงเทพฯ: กองอานวยการรักษาความมนั่ คงใน
        ราชอาณาจกั ร.
ดวงรัตน์ วฒั นกิจไกรเลิศ. (2557). ความเครียด ปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลตอ่ ความเครียด และการจดั การความเครียด
        ของตารวจ. J Nurs Sci, 32(3), 20-30.
ณฎั ฐา มูลต๋า. (2559). ปัจจัยที่มผี ลต่อความเครียดในการปฏิบตั ิงานของตารวจตรวจคนเข้าเมืองสุวรรณภมู ิ.
        วิทยานิพนธ์รัฐประศาสนศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชานโยบายสาธารณะและการจัดการ
        สมยั ใหม่, บณั ฑิตวทิ ยาลยั , มหาวทิ ยาลยั ราชภฎั บา้ นสมเด็จเจา้ พระยา.
มนทิรา ปรีชา. (2552). ปัจจัยท่ีเกี่ยวข้องกับความเครียดและพฤติกรรมการจัดการความเครียดของตารวจ
        ตระเวนชายแดน กองร้ อย 446 จังหวัดนราธิวาส. วิทยานิพนธ์วิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต, สาขา
        สุขภาพจิต, คณะแพทยศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
ศูนยเ์ ฝ้าระวงั สถานการณ์ภาคใต้. (2560). ความขัดแย้งชายแดนใต้ในรอบ 13 ปี : ความซับซ้อนของสนาม
        ความรุนแรงและพลังของบทสนทนาสันติภาพปาตานี. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 24 กุมภาพนั ธ์ 2561, เขา้ ถึง
        ไดจ้ าก https://www.deepsouthwatch.org/node/11053
สมประสงค์ ศุภะวิท และอานาจ รัตนวิลยั . (ม.ป.ป). อาการจิตประสาทจากการรบ: แนวทางการวินิจฉัย
        ก า ร รั ก ษ า แ ล ะ ป้ อ ง กั น . วัน ที่ ค้ น ข้ อ มู ล 2 4 กุ ม ภ า พั น ธ์ 2 5 6 1 . เข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก
        www.gmwebsite.com/upload/thaimilitarymedicine.com/.../unit33.d...
อนุรัตน์ อนนั ทนาธร. (2560). ภาวะความเครียดและพฤติกรรมการจัดการความเครียดของข้าราชการตารวจ
        ตารวจภูธร สังกัดตารวจภูธรภาค 2. รายงานการวิจยั คณะรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์, มหาวิทยาลยั
        บูรพา.
อิศรา รักษก์ ุล. (2554). ภาวะสุขภาพจิตและทศั นคติของกาลงั พลกองทพั บกที่ปฏิบตั ิภารกิจในพ้นื ที่
        3 จงั หวดั ชายแดนภาคใต.้ เวชสารแพทย์ทหารบก, 64(2), 67-74.
American Psychiatric Association. (1984). Diagnostic and Statistical Manual of Mental Disorder (DSM -
        III ). Washington, DC: American Psychiatric Association.
Brown, W. B., & Moberg, D. J. (1980). Organizational Theory and. Management: A Macro Approach.
        New York: John Wiley & Sons.
 354 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 15
Cooper, C. L., Sloan, S. J. & Williams, S. (1988). Occupational Stress indicator: Management Guide.
        Great Britain: NFER Nelson Publishing Company Limited.1998.
Cooper, C. L., & Davidson, M. J. (1987). The Stress Survivors. London: Gration.
Gershon, R. M., Barocas, B., Canton, A., Li, X., & Vlahov, D. (2009). Mental, physical, and behavioral
        outcomes associated with perceived work stress in police officers. Crim Justice Behav, 36(3).
        275-284.
Harry, C. H. (1990). Combat Stress and Battle Fatigue. Military Studies I. USUHS.
Holmes, T., & Rahe, R. (1967). The social readjustment rating scale. Journal of Psychomatic Research,
        11, 213.
Kalimo, R., El-Betawi, M. A.,& Cooper, C. L. (1987). Psychosocial factors at work and their relation to
        health. Geneva: World Health Organization.
Lazarus, R. S., & Folkman, S. (1984). Stress, appraisal and coping. New York: Springer.
Lazarus, R. S. (1991). Emotion and Adaptation. New York: Oxford University Press.
Robbins, S. P., & Judge, T. (2013). Organization behavior. Upper Saddle River, New Jersey: Pearson.
Yamane, T. (1973). Statistics, An Introductory Analysis (3rd ed.). New York: Harper and Row.
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 355
C H A P T E R 16
        การพฒั นากลยุทธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศ
      ในพืน้ ที่การท่องเทยี่ วทมี่ ีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า
    The Development of Community Management Strategies Payment for
     Ecosystem Services and Biodiversity in Tourism Zone Bang Kachao
                        พรธิดา เทพประสิทธ์ิ (Bhorntida Thepprasit) 1
                           ธีระวฒั น์ จนั ทึก (Thirawat Chuntuk) 2
                             พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์ (Phitak Siriwong) 3
          1นกั ศึกษาหลกั สูตรปรัชญาดุษฏีบณั ฑิต สาขาวชิ าการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร
                Ph.D., Candidate, Doctor of Philosophy Program in Management
 2,3 รองศาสตราจารย์ ดร., ประจาคณะวทิ ยาการจดั การ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร วทิ ยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี
    Assoc. Prof. Dr., Faculty of Management Science, Silpakorn University Phetchaburi IT Campus
                               E-mail: [email protected]
                                                               Received: 19 January 2019
                                                                  Revised: 17 April 2019
                                                                  Accepted: 29 May 2019
บทคดั ย่อ
        การพฒั นากลยุทธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศ ในพ้ืนที่การท่องเท่ียวท่ีมี
ความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า ใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ ประกอบด้วย การวิจยั เอกสาร
การสัมภาษณ์เชิงลึก การประยกุ ตว์ ธิ ีการถอดบทเรียน และการใชเ้ ทคนิคการวจิ ยั แบบ EDFR กลุ่มผใู้ หข้ อ้ มูล
หลกั ได้แก่ เจา้ หน้าท่ีผูด้ ูแลพ้ืนท่ีบางกะเจา้ ชาวบา้ นในชุมชน เจา้ หน้าท่ีหน่วยงานภาครัฐที่ดูแลเกี่ยวกบั
การทอ่ งเที่ยว นกั ทอ่ งเที่ยว นกั วชิ าการ และผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย จานวน 17 คน
        จากการศึกษาแนวทาง สถานการณ์ บทบาท และแนวโน้มของรู ปแบบการจดั การชุมชนแบบ
ตอบแทนคุณระบบนิเวศ ดว้ ยการใชช้ ุมชนเป็ นฐานเพื่อการท่องเท่ียวพ้ืนที่บางกะเจา้ นาไปสู่การสังเคราะห์
แนวทางการพฒั นากลยทุ ธ์การจดั การชุมชนตามกรอบของ Town Matrix พบวา่ ในดา้ นของกลยุทธ์เชิงรุก
น้นั ควรมีการกาหนดมาตรการทางสังคม กฎกติกาและกฎหมายในการการจดั การสิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 357
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
และการทอ่ งเที่ยวในชุมชน การสร้างความร่วมมือและการประสานแผนงานโครงการในการจดั การพ้ืนที่เชิง
ระบบนิเวศ สาหรับกลยทุ ธ์เชิงแกไ้ ข ควรมีการส่งเสริมการจดั สวสั ดิการจากฐานองค์กรการเงินชุมชนใน
รูปแบบของการออมทรัพยห์ รือการสะสมหุน้ ของสมาชิกสหกรณ์เพื่อใหเ้ กิดเป็ นกองทุนหมุนเวยี นในชุมชน
และนาผลกาไรที่เกิดจากการหมุนเวียนเงินออมมาจดั สวสั ดิการแก่ชุมชน ส่งเสริมการเพิ่มคุณค่าและมูลค่า
ของทรัพยากรชุมชนสู่การเป็ นสินคา้ และบริการฐานอตั ลกั ษณ์ของชุมชน และหากพิจารณาถึงกลยุทธ์เชิง
ป้องกนั เห็นวา่ ควรมีการเสริมสร้างบรรทดั ฐานทางสังคม เพ่ือสร้างค่านิยม ความเช่ือ และส่งเสริมจริยธรรม
กฎ ระเบียบของชุมชน และการส่งเสริมการสร้างภาคีความร่วมมือดา้ นการอนุรักษ์ทรัพยากรในชุมชน
ตลอดจนกลยทุ ธ์เชิงรับ ควรมีการตอบโตแ้ บบทนั ท่วงที เพื่อส่งเสริมการแกป้ ัญหาไดต้ รงจุดตามที่ตอ้ งการ
เน่ืองจากเป็ นการบริหารจดั การเพื่อคล่ีคลายสถานการณ์วิกฤติให้อยู่ในภาวะปกติโดยเร็วที่สุด รวมถึง
การบรรเทาและฟ้ื นฟู และการส่งเสริมใหม้ ีกระบวนการเรียนรู้ดา้ นสิ่งแวดลอ้ มใหก้ บั เยาวชน โดยการแทรก
เน้ือหาและกิจกรรมเสริมที่เนน้ การปลูกฝังจิตสานึกความรับผิดชอบต่อสังคมดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม เป็ นตน้ และ
จากการศึกษาองคป์ ระกอบของกลยทุ ธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศ ในพ้นื ที่การท่องเท่ียว
ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า ด้วยเทคนิคการวิจัยแบบ EDFR สามารถจาแนก
องค์ประกอบของกลยุทธ์ออกเป็ น 9 มิติ ได้แก่ มิติวิถีชีวิตชุมชน มิติความรับผิดชอบต่อสังคมของ
ผูป้ ระกอบการ มิติด้านการจัดการหน่วยวิจยั ชุมชน มิติด้านความเป็ นอนุรักษ์นิยมของชุมชน มิติด้าน
กฎหมาย หรือระเบียบแนวปฏิบตั ิในการบริหารจดั การ มิติดา้ นการทอ่ งเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มิติดา้ นการผลิตและ
การบริโภคท่ีเป็ นมิตรกบั สิ่งแวดลอ้ มอยา่ งยงั่ ยืน มิติดา้ นการจดั การระบบนิเวศ และมิติดา้ นการจดั การภาวะ
คุกคาม
คาสาคญั : กลยทุ ธ์, การจดั การชุมชน, การตอบแทนคุณระบบนิเวศ, ความหลากหลายทางชีวภาพ
Abstract
        The Development of Community Management Strategies Payment for Ecosystem Services and
Biodiversity in Tourism Zone Bang Kachao uses the qualitative research that consists of documentary
research, in-depth interview, applied lesson learned visualizing, and EDFR method research.The major
contributors are Bang Krachao local staffs, community folks, tourism government staffs, tourists,
academics, and stakeholders for 17 people.
        From the studies of guideline, scenario, role, and trend of the management model of ecosystems
stewardship community by using the community as tourism base of Bang Krachao area that leads to the
guideline synthesis for the development of community management strategy in the Town Matrix
 358 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 16
framework. This is found that, in term of aggressive strategy, the measurement of social, regulation, and
law should be determined for the management of environment, culture and community tourism, providing
cooperation and collaboration of project plan in the ecosystem area management. For the corrective
strategy, there should be the support for welfare establishment from community financial organization
base in term of savings or collecting shares of cooperative members for the circulated funds in the
community and utilize the revenue from savings circulation to provide welfares for the community and
support the value adding of community resources to the community identity based merchandises and
services. And, considering the preventive strategy, social norms should be supported in order to create
value, beliefs, and to encourage the community moral, rule, and regulation and also to support the
collaborative association of the community resources preservation. For the defensive strategy, the
promptly responses should be made in order to support the direct problem solving as necessary because
this is the management to normalize the critical scenarios as fast as possible including alleviation and
recovery, and encourage the environment learning procedures for youths by adding contents and activities
to foster the conscious for social and environment responsibility. Then, from the component study of
management strategy for ecosystems stewardship community in tourism area which has biological
diversity (Bang Krachao) by using EDFR research method, the component of strategies can be classified
into 9 dimensions as follows; community way of life, entrepreneur social responsibility, community
research unit management, community conservatives, laws, or the management guideline, conservative
tourism, sustainable eco-friendly production and consumption, ecosystem management, and threats
management.
Keywords: Community management, Strategies, Payment for Ecosystem Services, Biodiversity
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 359
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
บทนา
        ประเทศไทยประสบปัญหาความยงั่ ยืนของทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม ความปลอดภยั
ความสะอาด คุณภาพของแหล่งท่องเท่ียว และการกระจายตวั ของนกั ท่องเท่ียว (คณะกรรมการนโยบายการ
ท่องเที่ยวแห่งชาติ กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา., ม.ป.ป) โดยเฉพาะในด้านความย่ังยืนของ
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม จากการจดั อนั ดบั ของ World Economic Forum: WEF ประเทศไทยอยู่
ในอนั ดบั ที่ 116 ในดา้ นความยงั่ ยืนของส่ิงแวดลอ้ มจาก 141 ประเทศทวั่ โลก เนื่องจากมีความเส่ือมโทรม
ของแหล่งทอ่ งเที่ยวทางธรรมชาติจากการเดินทางเขา้ มาของนกั ทอ่ งเท่ียวจานวนมากที่ขาดการบริหารจดั การ
อยา่ งเป็ นระบบ ในดา้ นความปลอดภยั ประเทศไทยอยทู่ ี่อนั ดบั 132 จาก 141 ประเทศทว่ั โลก อนั เนื่องมาจาก
อุบตั ิเหตุ การหลอกลวงอาชญากรรม การก่อการร้ายที่เกิดกบั นกั ท่องเที่ยวบ่อยคร้ัง (คณะกรรมการนโยบาย
การท่องเท่ียวแห่งชาติ กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา, ม.ป.ป.) ดงั น้นั จึงควรให้ความสาคญั กบั การพฒั นา
คุณภาพของอุตสาหกรรมการท่องเท่ียว โดยเน้นในดา้ นการสร้างแหล่งท่องเที่ยวที่มีคุณภาพ การพฒั นา
โครงสร้างพ้ืนฐาน การอนุรักษ์รักษาแหล่งท่องเท่ียวท่ีเปราะบาง การให้ประชาชนและชุมชนเข้ามามี
ส่วนร่วมในการดูแลนักท่องเท่ียวและดูแลดา้ นความปลอดภยั เพ่ือเพ่ิมความสะดวก ความปลอดภยั และ
การเช่ือมต่อสู่พ้ืนที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ รวมท้งั การพฒั นาคุณภาพบุคลากรการท่องเที่ยว การสร้างจิตสานึกและ
การมีส่วนร่วมของภาคประชาชน โดยการส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายการท่องเที่ยว ท้งั ภาครัฐ เอกชน และ
ชุมชน เขา้ มามีส่วนร่วมดา้ นการบริหารจดั การ ต้งั อยูบ่ นพ้ืนฐานการพฒั นาการท่องเที่ยวอยา่ งยงั่ ยืน ท้งั ใน
เชิงอตั ลกั ษณ์ วิถีชีวิต วฒั นธรรม ประเพณี และสิ่งแวดล้อมในระดบั พ้ืนท่ี (คณะกรรมการนโยบายการ
ท่องเท่ียวแห่งชาติ กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา., ม.ป.ป) และการกาหนดกลยุทธ์การจดั การเพ่ือการ
วางแผนพฒั นาการท่องเที่ยวให้ไดต้ ามเป้าหมาย (ลลิดา ขุนทอง, 2550) ดงั เช่นที่ บุญมาก ศิริเนาวกุล และ
คณะ (2554) ไดท้ าการศึกษาเร่ือง แผนยุทธศาสตร์การท่องเท่ียวจงั หวดั ราชบุรีและดชั นีช้ีวดั แล้ว พบว่า
การพฒั นาการท่องเที่ยวระดบั จงั หวดั จะตอ้ งมีการจดั ทาแผนยทุ ธศาสตร์เพื่อส่งเสริมการท่องเท่ียวอยา่ งเป็ น
ระบบ และสอดรับกบั แผนยุทธศาสตร์การพฒั นาจงั หวดั อนั จะเป็ นแนวทางการปฏิบตั ิตามวิสัยทศั น์การ
ทอ่ งเท่ียวจงั หวดั ราชบุรี “มุ่งพฒั นาใหจ้ งั หวดั ราชบุรีเป็ นศูนยก์ ลางการทอ่ งเท่ียวเชิงธรรมชาติและวฒั นธรรม
ที่มีความสมดุลในดา้ นการบริการและการอนุรักษ์” ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั ขอ้ สเนอแนะเชิงนโยบายในรายงาน
สถานการณ์ คุณ ภาพส่ิ งแวดล้อม ในช่ วง พ.ศ. 2554 - 2558 ของสานักงานนโยบายและแผน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม (2561) สาขาส่ิงแวดลอ้ ม
ธรรมชาติและศิลปกรรม ท่ีไดส้ รุปไวว้ า่ การกาหนดนโยบายและแผนการบริหารจดั การ ตอ้ งนานโยบาย
ด้านการอนุรักษ์ส่ิงแวดล้อมไปเป็ นแผนปฏิบตั ิการ โดยให้องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินจดั ทาแผนเพื่อ
ดาเนินการภายในท้องถ่ิน สนับสนุนแนวทางการพฒั นาการท่องเท่ียวในเชิงอนุรักษ์และการท่องเท่ียว
อย่างยงั่ ยืน โดยคานึงถึงสภาพความเป็ นอยู่ของแต่ละชุมชน และบูรณาการความรู้จากภูมิปัญญาชาวบา้ น
 360 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 16
เจา้ หน้าที่ภาครัฐ และนกั วิชาการ ในการหาแนวทางในการใช้งานและอยูร่ ่วมกนั กบั แหล่งธรรมชาติและ
แหล่งศิลปกรรมอย่างยง่ั ยืน และเป็ นไปตามวิสัยทศั น์การท่องเที่ยวไทย พ.ศ. 2579 “ประเทศไทยเป็ น
แหล่งท่องเที่ยวคุณภาพช้ันนาของโลกที่เติบโตอย่างมีดุลยภาพบนพ้ืนฐานความเป็ นไทย เพื่อส่งเสริม
การพฒั นาเศรษฐกิจ สังคม และกระจายรายไดส้ ู่ประชาชนทุกภาคส่วนอยา่ งยงั่ ยนื ” (คณะกรรมการนโยบาย
การทอ่ งเที่ยวแห่งชาติ กระทรวงการทอ่ งเที่ยวและกีฬา, ม.ป.ป.)
        และถา้ พิจารณาการท่องเท่ียวเป็ นสินคา้ และบริการท่ีอาศยั ทรัพยากรธรรมชาติ ทุนสังคม และทุน
วฒั นธรรมท่ีเป็ นสมบตั ิร่วมกนั ของคนในชาติ (มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด, 2554) ซ่ึงทางเศรษฐศาสตร์ เรียกว่า
สินคา้ สาธารณะ (Public Goods) การใชป้ ระโยชนส์ มบตั ิส่วนรวมเหล่าน้ีโดยไม่มีกติกากากบั หรือการจดั การ
การใช้ประโยชน์ที่ดี จะก่อให้เกิดความทรุดโทรม ร่อยหรอ เกิดปัญหาท่ีเรียกว่าผลกระทบภายนอก
(Externality) ดังน้ันจึงได้มีการนาวิธีการวิเคราะห์การท่องเท่ียวในเชิงเศรษฐศาสตร์ ที่ว่าด้วยการจดั สรร
ทรัพยากรดา้ นการท่องเที่ยวใหม้ ีประสิทธิภาพมีเสถียรภาพ มีความเป็ นธรรมต่อผูม้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียทุกฝ่ าย
และให้มีความยง่ั ยืนเขา้ มาใช้ในการจดั การท้งั ในดา้ นของส่ิงแวดลอ้ มและทรัพยากรโดยการประมินคุณค่า
ระบบนิเวศและบริการของระบบนิเวศ (ม่ิงสรรพ์ ขาวสอาด และคณะ, 2556) เช่น การประเมินมูลค่าบริการ
ของระบบนิเวศพ้ืนท่ีชุ่มน้าด้านการเป็ นแหล่งผลิต (Provisioning service) ด้านการควบคุม (Regulation
service) ดา้ นวฒั นธรรม (Cultural service) และด้านการสนับสนุน (Supporting service) (ศกั ด์ิศรี รักไทย,
2560) และการจ่ายค่าตอบแทนการให้บริการของระบบนิเวศ (Payment for Ecosystem Service: PES)
ตามหลัก ผู้ที่ได้รับประโยชน์เป็ นผู้จ่ายให้กับชุมชนหรือผู้ท่ีดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ เพ่ือเป็ น
หลกั ประกนั ความยงั่ ยนื ของฐานทรัพยากร (สานกั วางแผนการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดลอ้ ม,
2554)
        สาหรับพ้ืนท่ีการท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า เป็ นพ้ืนท่ีท่ีถูก
กาหนดให้เป็ นพ้ืนท่ีสีเขียวต้งั แต่ปี พ.ศ. 2520 (ศรีณัฐ ไทรชมภู และบุญเกียรติ ไทรชมภู, ม.ป.ป) มีความ
สมบูรณ์ของทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ ธรรมชาติ สิ่งแวดลอ้ ม มีภูมิปัญญาทอ้ งถิ่นวถิ ีวฒั นธรรม
ไทย-มอญ และเป็ นพ้ืนที่สีเขียวที่ต้ังอยู่ใกล้กรุงเทพมหานคร (สถาบันวิจัยสภาวะแวดล้อม, ม.ป.ป)
ซ่ึงปัจจุบันประเทศไทยได้ให้ความสาคญั กับการบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม
ตลอดจนการพฒั นาพ้ืนท่ีสีเขียวในเขตเมืองและพ้ืนที่รอบเมืองเพ่ือสร้างสมดุลของส่ิงแวดลอ้ มและระบบ
นิเวศของเมือง (จุติชัย ด้วงลาพนั ธ์และคณะ, 2556) โดยมีพ้ืนที่บางกระเจา้ เป็ นพ้ืนท่ีนาร่องการพฒั นา
ส่งเสริมให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพ มีสินคา้ ที่ผลิตข้ึนจากความหลากหลายทางชีวภาพ (สานกั งาน
พฒั นาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ, 2560) และไดร้ ับยกยอ่ งให้เป็ น The best urban oasis of Asia จากนิตยสาร
ไทม์ เมื่อปี 2549 ส่งผลให้ปัจจุบันการใช้ประโยชน์ในที่ดินและพ้ืนท่ีสี เขียวถูกเปลี่ยนสภาพเป็ น
สิ่งปลูกสร้างมากข้ึน เหลือพ้ืนท่ีสีเขียวเพียงร้อยละ 32 จากพ้ืนที่ท้งั หมด จากความเปลี่ยนแปลงน้ีทาให้
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 361
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
กระทรวงท รัพ ยาก รธรรม ชาติและสิ่ งแวดล้อมได้ประกาศกฎ กระทรวงกาหนดให้พ้ืนท่ี คุ้งบางกะเจ้า
เป็ นพ้ืนที่คุม้ ครองส่ิงแวดล้อม ซ่ึงได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเมื่อวนั ท่ี 21 มิถุนายน 2559
(Nation TV, 2559) จากสถานการณ์ดังกล่าวจะพบว่าการอนุรักษ์พ้ืนท่ีสีเขียวของบางกะเจ้า ท่ามกลาง
ความเจริญของเมืองเป็นความทา้ ทา้ ยของคนในพ้นื ท่ี หากยงั คงรักษาคุณค่าของตวั เองไวไ้ ด้ อาจนามาซ่ึงการ
บริหารจดั การท่ีจะหลอมรวมชุมชนกบั พ้ืนท่ีสีเขียวไดอ้ ยา่ งมีคุณภาพและสร้างความเขม้ แข็งของเครือข่าย
ความร่วมมือระหว่างหน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ให้เกิดผลสัมฤทธ์ิ มีกลไกการประสานและบริหารจดั การ
ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งเป็ นรูปธรรม แต่ปัจจุบนั คุง้ บางกะเจา้ มีขอ้ จากดั ของพ้ืนที่ทางดา้ นแหล่ง
ท่องเที่ยวท่ีมีสภาพทรุดโทรม ปัญหาการจราจร และมลพษิ ทางอากาศ การบริหารจดั การแหล่งท่องเที่ยวขาด
เอกภาพในการทางานร่วมกนั และช่วยเหลือให้เป็ นไปในทิศทางเดียวกนั เกิดปัญหาขยะ การเปลี่ยนแปลง
การใชท้ ่ีดิน น้าเสีย การกดั เซาะชายฝั่ง ในแหล่งท่องเท่ียว ผูป้ ระกอบการส่วนใหญ่บริหารแหล่งท่องเที่ยว
ดว้ ยตนเอง แต่ขาดองคค์ วามรู้ในการบริหารจดั การแหล่งทอ่ งเท่ียวที่ดีและขาดการสนบั สนุนดา้ นการเงินเพื่อ
ส่งเสริมใหก้ ารท่องเท่ียวให้มีประสิทธิภาพ ซ่ึงส่งผลกระทบต่อการดูแลรักษาความหลากหลายทางชีวภาพ
ผูว้ ิจยั จึงมีความมุ่งหมายในการศึกษาการพฒั นากลยทุ ธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศใน
พ้ืนท่ีการท่องเท่ียวท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจา้ เพ่ือให้ทุกภาคส่วนท่ีเก่ียวข้องได้
ตระหนกั รับรู้ ในเร่ืองความยง่ั ยนื และดูแลอนุรักษร์ ะบบนิเวศเพื่อความยง่ั ยนื ของระบบนิเวศและกิจการของ
ตนเอง ใหค้ รอบคลุมมูลคา่ การใหบ้ ริการระบบนิเวศดา้ นการท่องเที่ยว และสิ่งแวดลอ้ ม
วตั ถุประสงค์ของงานวจิ ัย
        เพื่อพฒั นาองค์ประกอบของกลยุทธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศในพ้ืนที่
การท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจา้
ทบทวนวรรณกรรม (แนวคดิ ทฤษฎ)ี
        แนวคดิ และทฤษฎเี กย่ี วกบั การจัดการเชิงกลยุทธ์
        กลยุทธ์ มีความหมายเหมือนคาว่า กลยุทธ์ เดิมใช้ในความหมายท่ีเก่ียวข้องกับการรบมาจาก
ภาษาองั กฤษวา่ “Strategy” ใชค้ ร้ังแรกในวงการทหารและการทาสงคราม หมายถึง การวางแผนกลยทุ ธ์และ
การบญั ชาการรบเพ่อื เอาชนะศตั รู มีรากศพั ทม์ าจากภาษากรีกวา่ “Strategos” หมายถึง การบญั ชาการกองทพั
(Generalship) ดว้ ยจุดหมายตอ้ งการพิชิตศตั รู
        สาหรับความหมายของการจดั การเชิงกลยุทธ์ (Strategic management) น้ันไดม้ ีผูใ้ ห้ความหมาย
หลากหลาย ไดแ้ ก่ Carl Von Clausewitz นกั ทฤษฎีดา้ นกลยทุ ธ์แห่งสตวรรษที่ 19 ไดอ้ ธิบายไวว้ า่ กลยทุ ธ์เป็ น
กิจกรรมที่เกี่ยวขอ้ งกบั การร่างแผนการทาศึกสงคราม และการกาหนดรูปแบบการต่อสู้ในแต่ละสมรภูมิ
 362 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 16
ซ่ึงจะต้องตดั สินใจว่าจะต้องเข้ายึดสมรภูมิแต่ละแห่งด้วยวิธีใด ในขณะที่ Edward Mead Earle (1943)
ไดน้ ิยามไวว้ า่ กลยทุ ธ์เป็นส่ิงที่ธุรกิจสามารถสร้างข้ึนได้ และเป็ นสิ่งท่ีเป็ นไปไดท้ ี่จะเกิดข้ึนตอ่ ธุรกิจ รวมถึง
George Steiner (1979) กล่าววา่ กลยทุ ธ์คือส่ิงที่ทาเพื่อโตต้ อบหรือสนองตอบต่อการปรับตวั หรือเคลื่อนไหว
ของคู่แข่ง ในด้าน Michael E. Poeter (1980) ศาสตราจาร์แห่งมหาวิทยาลยั ฮาร์ดวาร์ด ไดใ้ ห้คาจากดั ความ
ไวว้ า่ กลยทุ ธ์ คือ หลกั การพ้ืนฐานทว่ั ไปในการแขง่ ขนั ทางธุรกิจ รวมถึง David R. Hampton (1986) กล่าววา่
กลยุทธ์ หมายถึง แผนรวม แผนสรุป หรือแผนบูรณาการผสมผสาน ซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั ความไดเ้ ปรียบของ
ธุรกิจในการทา้ ทายตอ่ สภาพแวดลอ้ ม และเป็นสิ่งท่ีกาหนดข้ึนเพื่อใหบ้ รรลุวตั ถุประสงคข์ ององคก์ รท่ีวางไว้
ส่วน Pearce และ Robison (2009) กล่าววา่ การจดั การเชิงกลยุทธ์ คือ ชุดของการตดั สินใจ และการกระทาที่
ส่งผลให้ให้เกิดการจดั ทาแผนและการปฏิบตั ิตามแผน เพื่อให้บรรลุวตั ถุประสงค์ขององค์การ รวมถึง
Robbin และ Coulter (2002) ไดใ้ ห้ความหมาย การจดั การเชิงกลยุทธ์วา่ หมายถึง กลุ่มของการตดั สินใจและ
การดาเนินการเพ่ือบ่งช้ีผลการดาเนินงานในระยะยาวขององค์การ ในขณะที่ Pitts และ Lei (2000) กล่าวว่า
การจดั การเชิงกลยุทธ์เป็ นความคิด แผนงานและการกระทาท่ีองคก์ ารนามาใชก้ ่อให้เกิดผลสาเร็จ ไดเ้ ปรียบคู่
แข่งขนั รวมถึง Scherhorn (2002) กล่าวว่าการจดั การเชิงกลยุทธ์เป็ นแผนแม่บทหรือแผนปฏิบัติการที่มี
ความสาคญั สาหรับองคก์ ารเพอื่ ใชใ้ นการกาหนดทิศทางการดาเนินงานใหบ้ รรลุเป้าหมายและเกิดประโยชน์
ในการแข่งขนั ในดา้ น Wheelen และ Hunger (2006) ไดใ้ หค้ วามหมายของการจดั การเชิงกลยทุ ธ์วา่ หมายถึง
การตดั สินใจในการปฏิบตั ิการเพ่ือใหอ้ งคก์ ารประสบผลสาเร็จในการดาเนินงานระยะยาว
        ในด้านของพจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ปี พ.ศ. 2542 ให้คาจากดั ความของกลยุทธ์ว่า
หมายถึง การรบที่มีเล่ห์เหลี่ยม และวธิ ีการต่อสู้ที่ตอ้ งใชอ้ ุบายต่าง ๆ หรือมีเล่ห์เหลี่ยมในการต่อสู้ ในขณะที่
สมยศ นาวีการ (2539) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ กลยทุ ธ์ คือแผนงานระยะยาวขององคก์ ารท่ีไดถ้ ูกกาหนดข้ึน เพื่อการ
บริหารภารกิจและเป้าหมายขององค์การ กลยทุ ธ์จะตอ้ งใชข้ อ้ ไดเ้ ปรียบจากการแข่งขนั ให้ไดม้ ากที่สุด และ
ขอ้ เสียเปรียบทางการแข่งขนั นอ้ ยที่สุด รวมถึงธงชยั สันติวงษ์ (2539) ไดใ้ หค้ วามหมายกลยทุ ธ์ ไวว้ า่ กลยทุ ธ์
คือเป้าหมายต่างๆ และวตั ถุประสงคพ์ ้ืนฐานท้งั หลายขององคก์ ารรวมท้งั แผนงานหลกั ต่าง ๆ ที่ซ่ึงไดม้ ีการ
จดั ทาข้ึนมาเพื่อจะนามาปฏิบตั ิให้บรรลุเป้าหมายและวตั ถุประสงต่าง ๆ ดงั กล่าวตลอดจนแบบวิธีการที่
สาคญั เกี่ยวกบั การแบ่งสรรทรัพยากรท้งั หลายท่ีนามาใช้ เพ่ือทาให้องคก์ ารปรับตวั สัมพนั ธ์กบั ส่ิงแวดลอ้ ม
ในดา้ นของสมชาย ภคภาสน์วิวฒั น์ (2540) ไดก้ ล่าววา่ กลยทุ ธ์ คือการตดั สินใจที่สัมพนั ธ์กบั การคาดการณ์
การเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อม เป็ นการตดั สินใจบนพ้ืนฐานของสมมติฐานการปรับตวั ให้เข้ากับ
การเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อมในอนาคต ในส่วนของเสนาะ ติเยาว์ (2546) ได้กล่าวว่า กลยุทธ์
หมายถึง แผนรวมของการดาเนินงานที่กาหนดทิศทางของการกระทา แนวทางการจดั สรรทรัพยากร
เพื่อบรรลุเป้าหมายในระยะยาวขององคาร รวมถึงนิโรธ เดชกาแหง (2558) ได้กล่าววา่ กลยุทธ์ หมายถึง
แนวทางท่ีทาใหอ้ งคก์ ารประสบความสาเร็จหรือเกิดการไดเ้ ปรียบทางการแขง่ ขนั เพ่ือบอกใหร้ ู้วา่ องคก์ ารจะ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 363
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
เติบโตอยา่ งไรและเติบโตเขา้ ไปในธุรกิจไหนอยา่ งไร และการเติบโตเขา้ ไปในธุรกิจน้นั จะช่วยทาใหอ้ งคก์ าร
ประสบความสาเร็จไดอ้ ยา่ งไร และเพ่ือบอกให้รู้วา่ องค์การจะสร้างความแตกต่างและคุณค่าในสายตาของ
ลูกคา้ อยา่ งไร ในท่ีน้ีหมายถึง กลยทุ ธ์เพื่อจดั การคุณภาพขององคก์ ารธุรกิจการจดั งานแสดงสินคา้ ในประเทศ
ไทย
        จากการศึกษาความหมายของการจดั การเชิงกลยุทธ์ ตามท่ีกล่าวมาข้างต้นน้ัน ทาให้นักวิจยั
สามารถกาหนดความหมายของการจดั การเชิงกลยุทธ์ ได้ว่า เป็ นการบริหารอยา่ งมีระบบที่ตอ้ งมีรูปแบบ
หรือแผนอยา่ งมีข้นั ตอน ซ่ึงตอ้ งผา่ นการตดั สินใจและการประเมินแลว้ วา่ มีความไดเ้ ปรียบทางการแข่งขนั
เหมาะสมกบั องคก์ าร และสามารถนาไปปฏิบตั ิไดจ้ ริง อนั จะนาความสาเร็จมาสู่องคก์ ารได้
        ในการจดั การเชิงกลยุทธ์น้นั มีกระบวนการจดั การเชิงกลยุทธ์อยู่ 4 ข้นั ตอน คือ 1) การวิเคราะห์
เชิงกลยุทธ์ (Strategic Analysis) 2) การกาหนดกลยุทธ์ (Strategic Formulation) 3) การนากลยุทธ์ ไปสู่การ
ปฏิบัติ (Strategic Implementation) และ 4) การประเมินและควบคุมกลยุทธ์ (Strategic Evaluation and
Control) โดยกระบวนการท้งั 4 น้ีเป็ นกระบวนการที่ต่อเน่ืองกัน และสามารถยอ้ นกลบั มาประเมินและ
ปรับเปลี่ยนภายในแต่ละกระบวนการ เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกบั สภาพแวดลอ้ มท้งั ภายใน และภายนอก
ท่ีเปล่ียนแปลงไป ดงั ภาพที่ 1
การวเิ คราะห์  การกาหนด      การนากลยทุ ธ์     การประเมินและ
เชิงกลยทุ ธ์     กลยทุ ธ์    ไปสู่การปฏิบตั ิ  ควบคุมกลยทุ ธ์
 (Strategic     (Strategic
 Analysis)                     (Strategic        (Strategic
               Formulation)  Implementation)   Evaluation and
                                                  Control)
ภาพท่ี 1 ข้นั ตอนพ้ืนฐานของกระบวนการจดั การเชิงกลยทุ ธ์ ท่ีมา Alkhafaji, A. F., 2003
        การกาหนดกลยทุ ธ์ (Strategy formulation) เป็ นสิ่งท่ีสาคญั ต่อความสาเร็จในการดาเนินการเชิงกล
ยทุ ธ์ในแต่ละองคก์ าร ทาใหผ้ บู้ ริหารสามารถกาหนดเป้าหมายขององคก์ ารได้ ตลอดจนสามารถรู้ถึงทิศทาง
ขององคก์ ารในอนาคต โดยการนาขอ้ มูลและความรู้ต่าง ๆ ที่ไดร้ ับจากการวิเคราะห์เชิงกลยทุ ธ์ มาจดั ทาเป็ น
กลยุทธ์ในระดบั และรูปแบบต่าง ๆ รวมท้งั ประเมินและคดั เลือกวา่ กลยุทธ์ใดมีความเหมาะสมกบั องคก์ าร
มากท่ีสุด ผลจากการวเิ คราะห์เชิงกลยทุ ธ์และการกาหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมจะนาไปสู่การวางแผนกลยุทธ์
(Strategic Planning) การกาหนดกลยุทธ์จะเริ่มตน้ จากการกาหนดจุดมุ่งหมายขององค์การ ไดแ้ ก่ วิสัยทศั น์
พนั ธกิจ เป้าหมาย และวตั ถุประสงคก์ ารกาหนดกลยทุ ธ์จึงมีความสาคญั มากต่อจุดหมายปลายทางในอนาคต
การประมวลขอ้ มูลท้งั หมดจากการวิเคราะห์ส่วนประกอบ (Portfolio approach) โดยเฉพาะการวิเคราะห์
 364 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 16
SWOT จะนามากาหนดเป็ นกลยุทธ์ในระดบั องคก์ ารโดยรวม (Corporate-level strategy) ซ่ึงถือเป็ นกลยุทธ์
หลกั (Grand strategy) ท่ีผบู้ ริหารระดบั สูงจะเป็ นผูต้ ดั สินใจวา่ ควรนากลยุทธ์ใดไปดาเนินการ โดยมีบรรทดั
ฐานในการตดั สินใจเลือกกลยุทธ์ ดงั น้ีคือ 1) กลยุทธ์ตอ้ งตอบสนองต่อส่ิงแวดลอ้ มภายนอก 2) กลยทุ ธ์ท่ีดี
ต้องคานึงถึงการรักษาสถานภาพ และความได้เปรี ยบในการแข่งขัน 3) กลยุทธ์แต่ละด้านต้องมี
ความสอดคล้องกนั 4) กลยุทธ์ท่ีดีต้องคานึงถึงความยืดหยุ่น 5) กลยุทธ์ต้องสอดคล้องกบั พนั ธกิจและ
เป้าประสงค์ 6) กลยทุ ธ์ที่ดีตอ้ งมีความเป็นไปไดใ้ นการดาเนินงาน (วรางคณา ผลประเสริฐ, ม.ป.ป.)
        ผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษาทบทวนวรรณกรรมที่เก่ียวขอ้ งท้งั หมดกบั กลยุทธ์ที่ใชใ้ นการพฒั นาการท่องเท่ียว
อยา่ งยงั่ ยืน และไดน้ ามาสรุปเป็นแนวทางเพอ่ื กลยทุ ธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศในพ้นื ท่ี
การท่องเท่ียวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจา้ ท่ีได้จากการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ที่
เกี่ยวขอ้ งดา้ นมิติเศรษฐกิจ ไดแ้ ก่ 1) ส่งเสริมการเพ่ิมคุณค่าและมูลค่าของทรัพยากรชุมชนสู่การเป็ นสินคา้
และบริการบนฐานอตั ลกั ษณ์ (Value) 2) ส่งเสริมการจดั สรรผลกาไรบางส่วนเพื่อนาไปพฒั นาชุมชนใน
รูปแบบต่าง ๆ (Profit allocation) และ 3) เสริมสร้างคุณภาพทกั ษะและความสามารถของทรัพยากรมนุษย์
ในชุมชนใหม้ ีศกั ยภาพในการจดั การการท่องเที่ยวโดยชุมชนแบบพ่ึงพาตนเอง บนฐานความพอเพยี ง (Skills
and capabilities of human resources) ด้วยแนวคิดทฤษฎีส่วนประสมทางการตลาด (7Ps) ของ Kotler (2003)
ดา้ นผลิตภณั ฑ์ (Product and Service) ดา้ นราคา (Price) ดา้ นช่องทางการจดั จาหน่าย (Place) ดา้ นส่งเสริมการตลาด
(Promotion) ด้านบุคคล (People) ด้านการสร้างและนาเสนอลักษณะทางกายภาพ (Physical Evidence and
Presentation) และดา้ นกระบวนการ (Process) มิติสังคม ไดแ้ ก่ 1) พฒั นาดชั นีช้ีวดั ความสุขระหวา่ งชุมชนและ
นกั ท่องเท่ียว (Happiness index) 2) บรรทดั ฐานทางสังคม (Social norm) เพื่อสร้างค่านิยม ความเชื่อ และ
ส่งเสริมจริยธรรม กฏ ระเบียบของชุมชน และ 3) พฤติกรรมสิ่งแวดลอ้ ม (Behavior) พฤติกรรมที่จะช่วยใหม้ ี
การดารงอยูข่ องทรัพยากรหรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของระบบนิเวศในทางบวก ดว้ ยแนวคิดทฤษฎีการ
เสริมแรง หรือการวางเง่ือนไขเชิงปฏิบตั ิการ (Reinforcement theory or Operant conditioning) ของ Skinner
(1983) คือ การไดร้ ับการเสริมแรง (ไดร้ ับรางวลั ) และถูกลงโทษการสร้างพลงั อานาจในตนและชุมชน (self-
Empowerment and Community Empowerment) โมเดลการเรียนรู้จากการสื่อสาร (Message learning model)
(Bettinghaus and Cody, 1994) แนวคิดการใชก้ ารสื่อสารใหเ้ กิดการเรียนรู้เพื่อการโน้มนา้ วใจหรือการชกั จูง
ใหบ้ ุคคลยอมรับ เห็นดว้ ย (persuasion) และเปลี่ยนแปลงทศั นคติหรือเจตคติ อนั อาจมีผลถึงการเปลี่ยนแปลง
ท่ีพฤติกรรม (1) การเปลี่ยนความเช่ือ (belief) (2) การเปล่ียนทศั นคติ ทศั นคติในท่ีน้ี หมายถึง การประเมิน
ส่ิงต่าง ๆ อย่างมีทิศทาง (ด้านบวกด้านลบ) จึงเป็ นได้ท้ังความคิดความเช่ือเชิงประเมินค่า และอารมณ์
ความรู้สึกชอบ - ไม่ชอบ ซ่ึงเป็ นลกั ษณะทางจิตอยู่ภายใน โดยคนอื่นอาจไม่สามารถสังเกตเห็นไดั และ
เกิดข้ึนจากการเรียนรู้ (3) การเปล่ียนพฤติกรรม มิติชุมชน ได้แก่ 1) โครงข่ายตาสับปะรดหรือขบวน
ตาสบั ปะรด (Pineapple Eyes Movement) เพื่อเสริมสร้างการมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวงั และตรวจสอบปัญหา
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 365
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
เบ้ืองตน้ เพื่อนาพาไปสู่การแกไ้ ขปัญหาอยา่ งทนั ท่วงที อีกท้งั ยงั เป็ นส่วนสาคญั ในการสร้างความตระหนกั รู้
และความหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติอนั เป็ นตน้ ทุนสาคญั ในการท่องเที่ยว 2) ส่งเสริมการอนุรักษ์และ
ฟ้ื นฟูศิลปะ วฒั นธรรม และวิถีชีวิตทอ้ งถ่ิน (Conservation and Rehabilitation) 3) ตอบโตแ้ บบทนั ท่วงที
(Immediate Feedback) เพื่อส่งเสริมการแก้ปัญหาไดต้ รงจุดตามท่ีตอ้ งการ เน่ืองจากเป็ นการบริหารจดั การ
เพ่ือคล่ีคลายสถานการณ์วิกฤติใหอ้ ยใู่ นภาวะปกติโดยเร็วที่สุด รวมถึงการบรรเทาและ การฟ้ื นฟู ดว้ ยแนวคิด
การมีส่วนร่วมของโคเฮน และอฟั ฮอฟ (Cohen and Uphoff, 1997) การมีส่วนร่วมในการตัดสินใจ (Decision
Making) โดยการปลูกจิตสานึกให้ประชาชนรักชุมชน มีการประชุมประชาสมาคมเพ่ือเสนอแนะ และรับฟัง
แนวทางต่าง ๆ ในการพฒั นาและฟ้ื นฟูทรัพยากร การมีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิการ (Implementation) โดยในการ
ดาเนินกิจกรรมในชุมชนมีการประชุมปรึกษาหารือเรื่องต่าง ๆ ในการผลกั ดนั ใหเ้ ป็นแหล่งท่องเท่ียวการมีส่วนร่วม
ในการรับผลประโยชน์ (Benefits) โดยคณะกรรมการในชุมชน สร้างกฎ กติกา การมีส่วนร่วมในการประเมินผล
(Evaluation)โดยการสงั เกตจากการจากดาเนินกิจกรรม และประเมินความรู้สึกของนกั ท่องเที่ยวท่ีเขา้ ร่วมกิจกรรม
ในการจดั งาน
        การท่องเทยี่ ว
        การท่องเท่ียวเป็ นกระบวนการทางสังคมและ เศรษฐกิจโดยมีความสัมพนั ธ์โยงใยระหว่าง
นกั ท่องเท่ียว การบริการในการเดินทางท่องเท่ียว และจุดหมายปลายทาง องคป์ ระกอบของการท่องเที่ยวมี
3 ด้าน ได้แก่ แหล่งท่องเท่ียว (Tourism Resource) บริการการท่องเท่ียว (Tourism Service) และตลาดการ
ท่องเท่ียว (Tourism Market) ซ่ึงแต่ละองค์ประกอบหลกั จะมีองค์ประกอบย่อยที่มีความสัมพนั ธ์กนั ดงั น้ี
(สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย, 2540) 1) แหล่งท่องเท่ียว (Attractions)
แหล่งท่องเท่ียวนับว่าเป็ นทรัพยากรท่ีสาคัญเป็ นองค์ประกอบด้านอุปทานการท่องเที่ยว (Supply)
เช่นเดียวกับอุดม เชยกีวงศ์ และคณะ (2548) ซ่ึ งได้แบ่งแหล่งท่องเท่ียว ออกเป็ น 3 ประเภทคือ
แหล่งท่องเที่ยวทางวฒั นธรรมและวิถีชีวิต แหล่งท่องเท่ียวทางธรรมชาติ (Natural Attractions) และแหล่ง
ท่องเท่ียวท่ีมนุษยส์ ร้างข้ึน (Manufactured Attractions) 2) บริการการท่องเท่ียว (Tourism Service) บริการท่ี
รองรับการท่องเท่ียวเป็ นองคป์ ระกอบดา้ นอุปาทาน (Supply) ประเภทหน่ึง ซ่ึงไม่ไดเ้ ป็ นจุดหมายปลายทาง
ของนกั ท่องเที่ยว แต่เป็ นบริการท่ีตอบสนองความตอ้ งการให้ความสะดวกสบายแก่นกั ท่องเที่ยวซ่ึงเป็ นส่ิง
ดึงดูดใจของนักท่องเท่ียวได้ เช่น การบริการที่สาคัญได้แก่ การคมนาคม สถานท่ีพักแรม อาหารและ
เครื่องด่ืม แหล่งจาหน่ายสินคา้ การบริการนาเทียวและมคั คุเทศก์ แหล่งบนั เทิง และกิจกรรมและบริการ
อื่น ๆ ท้งั น้ีรวมถึงโครงสร้างและสาธารณูประโภคพ้ืนฐานอื่น ๆ ดว้ ย และ3) การตลาดท่องเที่ยว (Tourism
Marketing) เป็ นการแสดงออกของอุปสงค์ (Tourism Demand) ซ่ึงมีความตอ้ งการที่จะเดินทางท่องเท่ียวจาก
ท่ีหน่ึงไปยงั อีกท่ีหน่ึ ง เพ่ือพักผ่อนหรือเพ่ือประกอบธุรกิจต่าง ๆ อีกท้ังการท่องเที่ยวมักจะเน้นท่ี
ตวั นกั ท่องเท่ียวเอง หรือรวมถึงการส่งเสริมการขายและพฒั นาการใหบ้ ริการแก่นกั ทอ่ งเที่ยวดว้ ย
 366 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 16
        อยา่ งไรก็ตาม ก่อนที่ชุมชนจะเปิ ดหมู่บา้ นเพื่อการท่องเที่ยวแลว้ ชุมชนจะตอ้ งรู้วา่ ตวั ชุมชนเองมี
ศกั ยภาพมากแค่ไหนท่ีจะรองรับนักท่องเท่ียว หากเปิ ดแล้วจะมีการจดั การหรือรับมืออย่างไรสาหรับ
การเปลี่ยนแปลงท่ีจะเกิดข้ึน หากมีการรับมือที่ดีก็จะทาให้ชุมชนประสบความสาเร็จในการจดั การการ
ท่องเที่ยวอยา่ งยงั่ ยนื ซ่ึงผูด้ าเนินการพฒั นาการท่องเที่ยวโดยชุมชนควรจะมีกระบวนการการทางานตามท่ี
พจนา สวนศรี (2546) ไดก้ ล่าวไวค้ ือ 1) ให้ขอ้ มูลดา้ นการท่องเที่ยวโดยใหช้ ุมชนพิจารณาดา้ นบวกและดา้ น
ลบของการท่องเท่ียว ซ่ึงในข้นั ตอนน้ีอาจจะมีเฉพาะผูน้ าหรือกลุ่มท่ีสนใจ 2) สร้างการมีส่วนร่วม เพื่อเป็ น
การดึงกลุ่มท่ีสนใจหรือผูท้ ่ีสนใจดา้ นการท่องเท่ียวโดยชุมชนและองคก์ รต่าง ๆ ในชุมชน เช่น กลุ่มเยาวชน
กลุ่มอนุรักษ์ เป็ นตน้ 3) ศึกษาเก่ียวกบั ชุมชนร่วมกบั ชาวบา้ น โดยการทางานร่วมกบั ชาวบา้ นเพ่ือศึกษาใน
และทาการสารวจทางกายภาพ 4) วเิ คราะห์ขอ้ มูลร่วมกนั ท้งั ในดา้ นศกั ยภาพ ขอ้ จากดั โอกาสและความเส่ียง
5) ร่วมกันแก้ไขจุดอ่อน และพัฒนาศักยภาพ สอดคล้องกับ Vinod Sasidharana et al. (2002) ท่ีได้
ทาการศึกษา Developing countries and tourism ecolabels แล้วพบว่าการจดั การที่เป็ นมิตรกบั สิ่งแวดล้อม
ของวิสาหกิจการท่องเที่ยว น้ันมีความสาคัญกบั ส่ิงแวดล้อม โดยในประเทศท่ีกาลงั พฒั นาน้ันพยายาม
ปกป้องทุนธรรมชาติโดยการปรับปรุงมาตรฐานดา้ นส่ิงแวดลอ้ มท่ีมีอยูภ่ ายในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
ซ่ึงประเทศท่ีกาลงั พฒั นามีแนวทางท่ีสามารถดาเนินการไดอ้ ย่างรวดเร็วดว้ ยการใช้มาตรการจดั การท่ีเป็ น
มิตรกบั สิ่งแวดล้อมในระดับนานาชาติ ด้วยการส่งเสริมรางวลั ด้านส่ิงแวดล้อมที่ได้รับการยอมรับจาก
นานาชาติ และเป็ นไปตามความต้องการของนักท่องเท่ียวตะวนั ตกที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ในขณะท่ี
Mortberg et al. (2007) ก็ไดส้ รุปไวว้ ่า การพฒั นาท่ียงั่ ยืนตอ้ งไม่มีการเปล่ียนแปลงโครงสร้างพ้ืนฐานของ
เมือง และการใช้ประโยชน์ท่ีดิน และตอ้ งมีการพิจารณาถึงผลกระทบของความหลากหลายทางชีวภาพท้งั
ระดบั ทอ้ งถิ่นและระดบั ภูมิภาค Tosun (2006) สรุปการมีส่วนร่วมของชุมชนในการพฒั นาการท่องเท่ียวใน
ทอ้ งถ่ินน้นั เป็ นโอกาสท่ีดีสาหรับคนในทอ้ งถิ่นท่ีไดร้ ับประโยชนจ์ ากการทอ่ งเท่ียวจากทรัพยากรในทอ้ งถิ่น
และเป็นการสร้างทศั นคติในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติทางการทอ่ งเที่ยวในทอ้ งถ่ิน ซ่ึงเม่ือพิจารณาถึง
ผลการศึกษาของ Ferhan Gezici and Ebru Kerimoglu (2010) ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั ประเมินความสัมพนั ธ์ระหว่าง
วฒั นธรรมกบั การท่องเท่ียวและกระบวนการพฒั นาเมืองในอิสตนั บูล แลว้ จะพบวา่ มีความสอดคลอ้ งในดา้ น
การนาวฒั นธรรมมาใชใ้ นกระบวนการฟ้ื นฟูทางดา้ นการท่องเที่ยว โดยใหค้ วามสาคญั ของการท่องเที่ยวเชิง
วฒั นธรรม และการพฒั นากิจกรรมใหม่ ๆ ในพ้ืนท่ี การสร้างสถานที่สาคัญต่าง ๆ ในเมืองเพ่ือดึงดูด
นกั ท่องเที่ยวเขา้ มาในพ้ืนท่ี ให้ความสาคญั กบั อุตสาหกรรมท่องเท่ียวเชิงสร้างสรรค์และวฒั นธรรม ท่ีเป็ น
แหล่งรวมมรดกทางการท่องเที่ยว สอดคลอ้ งกบั ท่ี Evans (2005) สรุปไวว้ า่ วฒั นธรรมมีบทบาทสาคญั ในการ
ปรับโครงสร้างเศรษฐกิ จและเอกลักษณ์ ของเมื องในการเพิ่มประสิ ทธิ ภาพของโครงสร้ างพ้ืนฐานการ
ท่องเท่ียว และจากการศึกษาของ Jensen (2007) พบว่าการส่งเสริมวฒั นธรรมท่องเที่ยวเป็ นกระบวนการ
ฟ้ื นฟูเศรษฐกิจ ให้ความสาคญั ต่อเป้าหมายการพฒั นาเศรษฐกิจ การพฒั นาอสังหาริมทรัพยแ์ ละเมือง
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 367
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
ท่องเท่ียว แต่ตอ้ งมีการพฒั นาท่ึควบคู่กบั ความยตุ ิธรรมทางสังคม ไม่มุ่งหวงั ผลของผปู้ ระกอบการมากกว่า
คุณภาพชีวิตของคนในทอ้ งถ่ิน ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การมีส่วนร่วมของชุมชนในการจดั การทรัพยากรธรรมชาติ
จากชุมชน (Community-Based Natural Resource Management : CBNRM) ของ Lesego S. Sebele (2010)
ซ่ึงสรุปไวว้ า่ เป็ นการจดั การท่ีมีความน่าเช่ือถือ เพ่ิมการมีส่วนร่วมในทอ้ งถ่ินระหวา่ งชุมชน และผูม้ ีอานาจ
ในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติ ซ่ึงหากไดร้ ับการจดั การอยา่ งถูกตอ้ งน้นั สามารถส่งเสริมการอนุรักษข์ อง
ทรัพยากรธรรมชาติและเพม่ิ ผลประโยชน์ในทอ้ งถิ่นโดยการมีส่วนร่วมในกิจกรรมการท่องเท่ียว
วธิ ีการวจิ ยั
        ข้นั ตอนที่ 1 การวจิ ัยเอกสาร
           1.1 ศึกษาขอ้ มูลจากเอกสารระดบั ปฐมภูมิ (Primary data) และเอกสารระดบั ทุติยภูมิ
           ผวู้ จิ ยั ศึกษาขอ้ มูลจากเอกสารระดบั ปฐมภูมิ (Primary data) ไดแ้ ก่ เอกสารที่เขียนข้ึนโดยบุคคล
ที่มีประสบการณ์ หรือเป็นประจกั ษพ์ ยานกบั เหตุการณ์เร่ืองราวต่าง ๆ และเอกสารระดบั ทุติยภูมิ (Secondary
data) ไดแ้ ก่ เอกสารที่เขียนจากบุคคลท่ีไม่ได้เป็ นประจกั ษ์พยานกบั เหตุการณ์เร่ืองราวโดยตรง แต่ได้รับ
การถ่ายทอดหรืออ้างอิงจากเอกสารอื่นท่ีเป็ นระดบั ปฐมภูมิ ท้งั น้ี เอกสารที่ผูว้ ิจยั นามาใช้ศึกษาข้อมูล
สนับสนุนเป็ นเอกสารสาธารณะ (Public Document) คือที่มีการตีพิมพ์และเผยแพร่สู่สาธารณะโดย
หน่วยงานภาครัฐ เช่น ขอ้ มูลแผนพฒั นาเศรษฐกิจจากสานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและ
สังคมแห่งชาติ ขอ้ มูลดา้ นวสิ าหกิจชุมชนจากสานกั งานการเกษตร เป็นตน้
           1.2 การคดั เลือกเอกสาร
           ในข้นั ตอนน้ีผูว้ ิจยั คดั เลือกเอกสารแต่ละชิ้นว่าให้ข้อมูลที่แทจ้ ริงหรือไม่โดยพิจารณาจาก
ผเู้ ขียนหรือหน่วยงานที่สร้างเอกสารวา่ มีความน่าเชื่อถือหรือไม่ อยา่ งไร รวมถึงพิจารณาวา่ ขอ้ มูลที่เขียนข้ึน
ณ ช่วงเวลาน้ันมีความสอดคล้องกับขอ้ มูลในบริบทอ่ืน ๆ ในช่วงเวลาน้ันหรือไม่ ผูว้ ิจยั ยงั ตรวจสอบ
ความถูกตอ้ งของเอกสารโดยเปรียบเทียบกบั เอกสารอ่ืน ๆ ที่มีขอ้ มูลประเภทเดียวกนั เพื่อเป็ นการยืนยนั
ความ ถู ก ต้องน่ าเชื่ อถื อ (Creditability) พ ร้อม กัน น้ี ยังคัดเลื อกความ เป็ น ตัวแท น ของเอกส าร
(Representativeness) วา่ ขอ้ มูลมีความหนกั แน่นสามารถนามาใชแ้ ทนเอกสารประเภทเดียวกนั ไดห้ รือไม่
           1.3 การวเิ คราะห์และสงั เคราะห์เอกสาร
           เมื่อคดั เลือกเอกสารแลว้ จึงนาเอกสารมาศึกษาหาความสัมพนั ธ์ระหวา่ งแนวคิด ทฤษฎี ขอ้ มูล
สนบั สนุนและงานวจิ ยั อ่ืน ๆ ที่เก่ียวขอ้ ง เพื่อใหเ้ กิดคาอธิบายปรากฏการณ์ท่ีเกิดข้ึนวา่ มีสภาพความเป็ นจริง
ต้งั แต่อดีตท่ีผา่ นมาและปัจจุบนั เป็ นอยา่ งไร หลงั จากที่ไดเ้ อกสารต่างๆที่ผวู้ จิ ยั เห็นวา่ อยภู่ ายในขอบเขตของ
งานวจิ ยั ก็รวบรวมนามาศึกษาเป้าหมายและสมมติฐานของเอกสาร คดั กรองคุณภาพของเน้ือหา วิเคราะห์
ความเช่ือมโยงของขอ้ มูลจากเอกสารแหล่งตา่ ง ๆ
 368 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 16
        ข้นั ตอนที่ 2 การสัมภาษณ์เชิงลกึ (In-depth Interview)
        ในส่วนน้ีเป็ นการศึกษาการจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศ จากการใชช้ ุมชนเป็ นฐาน
เพ่ือการท่องเที่ยวพ้ืนท่ีบางกะเจา้ อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ ดว้ ยการสัมภาษณ์เชิงลึกจากผูม้ ี
ส่วนเกี่ยวขอ้ ง ไดแ้ ก่ เจา้ หน้าที่ผูด้ ูแลพ้ืนท่ีบางกะเจา้ ชาวบา้ นในชุมชน เจา้ หน้าท่ีหน่วยงานภาครัฐที่ดูแล
เกี่ยวกบั การทอ่ งเที่ยว นกั ท่องเที่ยว และผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย
        ผู้ให้ข้อมูลหลกั (Key informant)
        การศึกษาแนวทาง สถานการณ์ บทบาท และแนวโน้มของรูปแบบการจดั การชุมชนแบบตอบ
แทนคุณระบบนิเวศ จากการใชช้ ุมชนเป็ นฐานเพื่อการท่องเท่ียวพ้ืนท่ีบางกะเจา้ อาเภอพระประแดง จงั หวดั
สมุทรปราการ ไดก้ าหนดผใู้ หข้ อ้ มูลหลกั ในการสมั ภาษณ์เชิงลึก จานวน 17 คน ไดแ้ ก่ เจา้ หนา้ ท่ีผดู้ ูแลพ้นื ที่
บางกระเจา้ จานวน 3 คน ชาวบ้านในชุมชนจานวน 5 คน เจา้ หน้าที่หน่วยงานภาครัฐท่ีดูแลเกี่ยวกบั การ
ท่องเที่ยว จานวน 3 คน นกั ทอ่ งเที่ยวจานวน 3 คน และผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย จานวน 3 คน
        โดยอา้ งอิงตามแนวคิดของ Thomas T. Macmillan (1971) ดงั ตารางท่ี ตารางที่ 1 แสดงการลดลง
ของคา่ ความคลาดเคล่ือน
จานวนผู้เช่ียวชาญ  ระดบั ความคลาดเคลื่อน  อตั ราการลดลงของความคลาดเคลื่อน
                                                       0.5
1-5 1.20-0.70                                          0.12
                                                       0.04
5-9 0.70-0.58                                          0.04
                                                       0.02
9-13 0.58-0.54                                         0.02
                                                       0.02
13-17 0.54-0.50
17-21 0.50-0.48
21-25 0.48-0.46
25-29 0.46-0.44
ท่ีมา: Thomas T. Macmillan, 1971
        เคร่ืองมือทใ่ี ช้ในการศึกษาเชิงคุณภาพ
        เคร่ืองมือท่ีใชใ้ นการวจิ ยั และเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ไดแ้ ก่
        1. การสังเกตอย่างมีส่วนร่วม เป็ นการสังเกตในขณะท่ีได้ดาเนินกิจกรรมการวิจยั จากการ
สมั ภาษณ์ โดยผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการสงั เกตขณะที่ร่วมทากิจการร่วมกบั ผมู้ ีส่วนเก่ียวขอ้ ง
                                          คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 369
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
        2. การสังเกตอยา่ งไม่มีส่วนร่วม เป็ นการสังเกตการณ์โดยท่ีผูว้ ิจยั ไม่ไดม้ ีส่วนร่วมในการดาเนิน
กิจกรรมการวิจยั แต่มีโอกาสไดร้ ่วมในกิจกรรมในฐานะผูส้ ังเกตการณ์ เพ่ือเป็ นการศึกษาบรรยากาศและ
กิจกรรมต่าง ๆ
        3. นกั วิจยั เป็ นเคร่ืองมือ หมายถึง ตวั นกั วจิ ยั เองเป็ นเคร่ืองมือสาคญั ในการเก็บขอ้ มูล นกั วิจยั เป็ น
เคร่ืองมือชนิดเดียวท่ีสามารถปรับเขา้ กบั สถานการณ์การวิจยั ซ่ึงไม่อาจคาดเดาล่วงหน้าไดท้ ุกเร่ือง อีกท้งั
สามารถใช้ความรู้แบบสามญั สานึกแกป้ ัญหาเฉพาะหน้าไดเ้ ท่าๆ กบั ใช้ความรู้ที่ไดม้ าจากทฤษฎี (Lincoln
and Cuba, 1985 อา้ งถึงใน ชาย โพธิสิตา, 2549, หน้า 28) โดยในท่ีน้ีผูว้ ิจยั ไดน้ าตวั เองเขา้ ไปในชุมชนเพื่อ
เก็บขอ้ มูลและร่วมทากิจกรรมตา่ ง ๆ ในชุมชนร่วมกบั ชาวบา้ น ผนู้ าชุมชน และผมู้ ีส่วนเก่ียวขอ้ ง
        4. แบบสัมภาษณ์แบบก่ึงโครงสร้าง เป็ นแบบสัมภาษณ์เพ่ือหาแนวทางการสร้างศกั ยภาพและ
พฒั นาพ้ืนท่ีท่องเที่ยวใหเ้ ป็นเมืองน่าอยู่ สู่เมืองน่าเท่ียว
        5. สมุดบนั ทึก เพ่ือจดรายละเอียดต่าง ๆ ตลอดการวิจยั โดยใช้สาหรับจดรายละเอียด เหตุการณ์
ต่างๆ ที่คณะผวู้ จิ ยั ไดด้ าเนินการวจิ ยั สาหรับนามาใชใ้ นการวเิ คราะห์ขอ้ มูล
        6. เคร่ืองบนั ทึกเสียงดิจิทลั เพื่อความสะดวกรวดเร็วในการเก็บขอ้ มูลได้ครบถ้วน ในขณะท่ี
สมั ภาษณ์หรือสนทนาซกั ถาม
        7. กลอ้ งถ่ายรูปดิจิทลั เพ่ือบนั ทึกภาพปรากฏการณ์ บุคคลที่เก่ียวขอ้ ง และกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกิดข้ึน
ตลอดการวจิ ยั
        การตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเชิงคุณภาพ
        เมื่อไดข้ อ้ มูลแลว้ จึงตรวจสอบขอ้ มูลแบบ triangulation เรียกวา่ การตรวจสอบขอ้ มูลแบบสามเส้า
หรือท่ี Denzin (1978, p. 390) เป็ นการใชก้ ระบวนวิธีที่หลากหลาย (the multiple-method approach) ในการ
ตรวจสอบและวเิ คราะห์ขอ้ มูลประกอบดว้ ย ดงั น้ี
         1. การตรวจสอบสามเส้าด้านข้อมูล (data triangulation) โดยการพิสูจน์ว่า ข้อมูลที่ได้มาน้ัน
ถูกตอ้ งหรือไม่ วธิ ีการตรวจสอบ คือ การตรวจสอบแหล่งของขอ้ มูล ไดแ้ ก่
           1.1 แหล่งเวลา โดยในการสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่ผูด้ ูแลพ้ืนที่บางกะเจ้า ชาวบ้านในชุมชน
เจา้ หน้าท่ีหน่วยงานภาครัฐท่ีดูแลเก่ียวกบั การท่องเที่ยว นกั ท่องเท่ียว และผูม้ ีส่วนไดส้ ่วนเสียจะดาเนินการ
คนละช่วงเวลา ซ่ึงเป็นการสมั ภาษณ์ดว้ ยตวั ผวู้ จิ ยั และผชู้ ่วยนกั วจิ ยั เป็นรายบุคคล
           1.2 แหล่งสถานที่ โดยดาเนินการหาขอ้ มูลจากเจา้ หน้าท่ีผูด้ ูแลพ้ืนที่บางกะเจา้ ชาวบา้ นใน
ชุมชน เจ้าหน้าที่หน่วยงานภาครัฐที่ดูแลเก่ียวกับการท่องเท่ียว นักท่องเที่ยว และผูม้ ีส่วนได้ส่วนเสีย
ตา่ งสถานท่ีกนั
           1.3 แหล่งบุคคล โดยสัมภาษณ์เชิงลึกกบั เจา้ หน้าท่ีผูด้ ูแลพ้ืนท่ีบางกะเจา้ ชาวบา้ นในชุมชน
เจา้ หนา้ ที่หน่วยงานภาครัฐท่ีดูแลเกี่ยวกบั การทอ่ งเที่ยว นกั ท่องเที่ยว และผมู้ ีส่วนไดส้ ่วนเสีย
 370 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 16
         2. การตรวจสอบสามเส้าดา้ นทฤษฎี (theory triangulation) โดยตรวจสอบวา่ ถา้ ผูว้ จิ ยั ใชแ้ นวคิด
ทฤษฎีท่ีต่างไปจากเดิมจะทาให้การตีความข้อมูลแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด ซ่ึงใช้แนวคิด ทฤษฎี
หลากหลายทฤษฏี
         3. การตรวจสอบสามเส้าดา้ นวิธีการรวบรวมขอ้ มูล (methodological triangulation) โดยการใช้
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ กันเพื่อรวบรวมข้อมูลเร่ืองเดียวกัน ได้แก่ การศึกษาข้อมูลจากเอกสารท่ี
เก่ียวข้อง การสังเกต และการตีความ (interpretation) จากพฤติกรรม และอวจั นภาษา ระหว่างการให้
สมั ภาษณ์
        การวเิ คราะห์ข้อมูล
        ผู้วิจัยใช้การวิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์วาทกรรม (Discourse Analysis) (ไชยรัตน์
เจริญสินโอฬาร, 2543) โดยการรวบรวมข้อมูลที่ได้จากการสัมภาษณ์ ท่ีบนั ทึกไวใ้ นรูปแบบต่างๆ เช่น
บทสนทนาในไฟลบ์ นั ทึกเสียงบทสัมภาษณ์ คลิปวดี ีโอบนั ทึกภาพการดาเนินการสัมภาษณ์ ภาพถ่ายการจดั
กิจกรรมตา่ งๆ ขอ้ ความในเอกสารประกอบการใหข้ อ้ มูลของผถู้ ูกสัมภาษณ์ รวมท้งั เอกสารที่เกี่ยวกบั แนวคิด
ที่จะนามาใช้เป็ นกรอบในการวิเคราะห์วาทกรรม เพื่อดูพฤติกรรมระหว่างการสัมภาษณ์ น้าเสียง ภาษา
ท่าทาง รวมท้ังบริบทแวดล้อมต่าง ๆ มาทาการถอดเทปและบันทึกในรูปแบบของเอกสาร นาผลการ
วเิ คราะห์วาทกรรมและการวเิ คราะห์เน้ือหาที่ได้ จดั ทาเป็ นแนวทาง สถานการณ์ บทบาท และแนวโนม้ ของ
รูปแบบการจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศ จากการใช้ชุมชนเป็ นฐานเพื่อการท่องเท่ียวพ้ืนที่
บางกะเจา้ อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ
        ข้นั ตอนท่ี 3 ประยุกต์วธิ ีการถอดบทเรียน
        ในส่วนน้ีเป็ นการถอดบทเรียน เป็ นการเรียนรู้ก่อนหรือระหว่างทากิจกรรม ด้วยการให้ผูม้ ี
ความรู้จากการปฏิบตั ิ ปลดปล่อยความรู้ที่อยูใ่ นตวั ออกมาแลกเปลี่ยนความรู้โดยผูเ้ ล่าจะเล่าความรู้สึกท่ี
ฝังลึกอยู่ในตวั ท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิ ซ่ึงผูว้ ิจยั สามารถตีความได้โดยอิสระและเม่ือเกิดการแลกเปลี่ยนผล
การตีความแลว้ จะทาใหไ้ ดค้ วามรู้ที่สามารถบนั ทึกไวเ้ ป็ นชุดความรู้ซ่ึงการถอดบทเรียนในลกั ษณะน้ีจะเป็ น
การสกดั ความรู้จากเร่ืองที่เล่าออกมาว่ามีคุณค่าและสามารถนามาใช้ประโยชน์ได้อย่างไร โดยสามารถ
จาแนกการถอดบทเรียนไว้ 8 ข้นั ตอน (สานักงานเขตพ้ืนที่การศึกษามธั ยมศึกษาเขต 21, 2556, หน้า 3-6)
ไดแ้ ก่ 1) เตรียมทีมถอดบทเรียน 2) ระบุบทเรียนที่จะถอด 3) คน้ หาและประสานเจา้ ของบทเรียน 4) รวบรวม
และศึกษาข้อมูลเบ้ืองต้นเกี่ยวกับบทเรียนที่จะถอด 5) ถอดประสบการณ์เจ้าของบทเรียน 6) วิเคราะห์
บทเรี ยน 7) ทวนสอบบทเรี ยน และ 8) ปรับแก้บันทึกบทเรี ยนและเขียนรายงาน สาหรับพ้ืนที่ใน
การวเิ คราะห์ขอ้ มูล คือ พ้นื ที่บางกะเจา้ อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 371
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
        ข้ันตอนท่ี 4 สังเคราะห์แนวทางสถานการณ์บทบาทและแนวโน้มของรูปแบบการพฒั นากลยุทธ์
การจัดการชุมชนเชิง SWOT (Inductive Approach)
        จากการศึกษาแนวทาง สถานการณ์ บทบาท และแนวโน้มของรูปแบบการจดั การชุมชนแบบ
ตอบแทนคุณระบบนิเวศ จากการใชช้ ุมชนเป็ นฐานเพ่ือการท่องเที่ยวพ้ืนท่ีบางกระเจา้ อาเภอพระประแดง
จงั หวดั สมุทรปราการ ประกอบดว้ ย 3 ข้นั ตอนคือการวิจยั เอกสาร การสัมภาษณ์เชิงลึก และการประยุกต์
วธิ ีการถอดบทเรียน ผูว้ ิจยั นาขอ้ มูลท่ีไดม้ าดาเนินการสังเคราะห์แนวทางสถานการณ์ บทบาท และแนวโนม้
ของรูปแบบการจดั การชุมชน เชิง SWOT เพื่อให้ไดแ้ นวทางการพฒั นากลยุทธ์การจดั การชุมชนตามกรอบ
ของ Town Matrix
        ข้ันตอนที่ 5 ศึกษาองค์ประกอบของการพัฒนากลยุทธ์การจัดการชุมชนแบบตอบแทนคุณ
ระบบนิเวศในพืน้ ทก่ี ารท่องเทยี่ วทมี่ คี วามหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า
        ประกอบดว้ ยข้นั ตอนการดาเนินงาน ดงั น้ี
           ข้ันตอนย่อยท่ี 1 การทบทวนแนวคิดทฤษฎีและงานวิจยั ที่เก่ียวข้องกับองค์ประกอบของ
กลยุทธ์การการจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศในพ้ืนที่การท่องเท่ียวท่ีมีความหลากหลายทาง
ชีวภาพชุมชนบางกะเจา้ ในข้นั ตอนน้ีไดท้ บทวนแนวคิด ทฤษฏีและงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง เพ่ือนามากาหนดเป็ น
กรอบประเด็นที่มีโอกาสเป็ นไปได้ จากน้นั ผูว้ จิ ยั นาไปสร้างเป็ นประเด็นแนวโนม้ เกี่ยวกบั องคป์ ระกอบของ
กลยทุ ธ์เบ้ืองตน้
           ข้นั ตอนย่อยท่ี 2 การดาเนินการสมั ภาษณ์ในรอบท่ี 1 และสอบถามในรอบท่ี 2
           การดาเนินการสัมภาษณ์ในรอบที่ 1 กับกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญจานวน 17 คน ด้วยวิธีการดาเนิน
งานวิจยั เชิงคุณภาพ สาหรับในข้นั ตอนการวจิ ยั จะใชป้ ระชากรตามผทู้ ี่มีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั องคป์ ระกอบของ
กลยทุ ธ์กลยทุ ธ์การการจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศในพ้นื ที่การทอ่ งเที่ยวท่ีมีความหลากหลาย
ทางชีวภาพชุมชนบางกะเจา้ (จุมพล พลูภทั รชีวนิ , 2548)
           การพฒั นาแนวสัมภาษณ์ผเู้ ช่ียวชาญ เพ่ือดาเนินการวิจยั ในการสัมภาษณ์ในรอบที่ 1 โดยแนว
สัมภาษณ์ไดส้ ังเคราะห์มาจากแนวคิด ทฤษฏี และงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง แนวทางสัมภาษณ์ดา้ นแนวโน้มหลกั
และแนวโน้มยอ่ ยตามการสัมภาษณ์จากน้นั ดาเนินการถอดเทปคาสัมภาษณ์และสังเคราะห์ขอ้ มูลที่ไดจ้ าก
สัมภาษณ์ผเู้ ช่ียวชาญจากแนวโนม้ หลกั และแนวโนม้ ยอ่ ย การสัมภาษณ์ในรอบท่ี 1 เพ่ือนามาใช้เป็ นขอ้ มูล
พ้ืนฐาน เก่ียวกบั ประเด็นท่ีสามารถนาไปพฒั นากลยุทธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศใน
พ้ืนที่การท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า พร้อมท้ังได้ดาเนินการพัฒนา
แบบสอบถามผเู้ ชี่ยวชาญดา้ นแนวโนม้ หลกั และแนวโนม้ ยอ่ ย ตามการสอบถามในรอบที่ 2
           สาหรับแบบสอบถามผูเ้ ชี่ยวชาญ ตามการสอบถามในรอบที่ 2 ซ่ึงเป็ นเคร่ืองมือวิจยั ที่ใช้สรุป
ความคิดเห็นผูเ้ ช่ียวชาญ โดยแบบสอบถามชุดน้ีสร้างข้ึนจากผลการสัมภาษณ์ในรอบที่ 1 จากผูเ้ ชี่ยวชาญ
 372 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 16
เพื่อเป็ นการยืนยนั การคดั เลือกองคป์ ระกอบของกลยุทธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศใน
พ้ืนที่การท่องเที่ยวที่มีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า โดยผูเ้ ช่ียวชาญได้ประเมินจาก
แบบสอบถามในรอบที่ 2 วา่ แนวโนม้ แต่ละดา้ นของเกณฑ์ มีความเป็นไปไดม้ ากนอ้ ยเพียงใด
           การสรุปความเห็นเกี่ยวกบั แนวโน้มหลกั และแนวโนม้ ยอ่ ย ที่ผ่านการคดั เลือกจากผูเ้ ชี่ยวชาญ
ตามการสอบถามในรอบท่ี 2 ซ่ึงการวิจยั ในรอบน้ีผูว้ จิ ยั ยงั คงกาหนดกลุ่มผูเ้ ชี่ยวชาญกลุ่มเดียวกบั รอบแรก
เพ่อื วเิ คราะห์ในลกั ษณะสรุปฉนั ทามติ (Consensus) เป็นการตอบแบบสอบถามเพ่อื คานวณหาคา่ สถิติดงั น้ี
           1. ค่ามธั ยฐาน (Median)
           2. ค่าพิสัยระหว่างควอไทล์ (Intrequrtile Range หรือ ค่า Q3 – Q1) เป็ นรายขอ้ เพ่ือพิจารณา
เลือกแนวโนม้ ที่เป็นไปไดใ้ นระดบั มากข้ึนไป
        การพิจารณาคดั เลือกแนวโนม้ หลกั และแนวโนม้ ย่อย ท่ีมีโอกาสพฒั นาเป็ นองค์ประกอบของกล
ยุทธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศในพ้ืนท่ีการท่องเที่ยวท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพ
ชุมชนบางกะเจา้ จากผูเ้ ชี่ยวชาญในข้นั ตอนน้ี คือ ประเด็นที่มีค่ามธั ยฐานต้งั แต่ 3.5 ข้ึนไป และประเด็นที่มี
ความสอดคลอ้ งกนั ของความเห็นของผเู้ ชี่ยวชาญท่ีมีคา่ พสิ ยั ควอไทลไ์ ม่เกิน 1.5 (จุมพล พลูภทั รชีวนิ , 2548)
ผลการวจิ ยั
        ผลการศึกษาแนวทาง สถานการณ์ บทบาท และแนวโน้มของรูปแบบการจัดการชุมชนแบบตอบ
แทนคุณระบบนิเวศ จากการใช้ชุมชนเป็ นฐานเพื่อการท่องเท่ยี วพื้นทบ่ี างกะเจ้า อาเภอพระประแดง จังหวัด
สมุทรปราการ
        ในข้นั ตอนน้ีแบ่งวิธีการดาเนินการวิจยั ออกเป็ น 3 ข้นั ตอน ดงั น้ันในการนาเสนอผลการศึกษา
ผวู้ จิ ยั จึงนาเสนอผลการศึกษาแบ่งเป็น 3 ตอนยอ่ ย ดงั น้ี
        1) ผลการวจิ ัยเอกสาร
        จากการศึกษาขอ้ มูลดว้ ยการวจิ ยั เอกสาร พบวา่ สภาพทว่ั ไปและขอ้ มูลพ้ืนฐานพ้ืนท่ีคุง้ บางกะเจา้
อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ ด้งั เดิมเป็ นสังคมเกษตรกรรม การทาสวนผลไม้ โดยเฉพาะ
มะม่วงน้าดอกไม้ ส้มเขียวหวานเทพรส มะพร้าว การปลูกไมด้ อกไมป้ ระดบั การประมง แต่ในปัจจุบนั
พบวา่ การประกอบอาชีพเกษตรกรรมมีแนวโนม้ ลดลง สาเหตุจากความเจริญทางดา้ นโครงสร้างพ้ืนฐานที่
เพิ่มข้ึน ทาให้พ้ืนท่ีที่เหมาะสมสาหรับประกอบอาชีพเกษตรกรรมลดลง ขณะเดียวกนั ก็พบพ้ืนที่การเกษตร
ด้ังเดิมที่ถูกทิ้งปล่อยให้รกร้างไวเ้ ป็ นจานวนมาก อีกท้ังค่านิยมการประกอบอาชีพในปัจจุบันท่ีไม่ให้
ความสาคญั ต่ออาชีพเกษตรกรรม และในปัจจุบนั จากสภาพการพฒั นาดา้ นอุตสาหกรรมที่มีการเจริญเติบโต
มากข้ึน ทาใหม้ ีการขยายโอกาสในการจา้ งงานใหก้ บั ประชาชน ส่งผลใหม้ ีการอพยพแรงงานจาก ส่วนต่าง ๆ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 373
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
เขา้ สู่ภาคอุตสาหกรรมในพ้ืนท่ีจงั หวดั สมุทรปราการ ทาให้ชุมชน และสังคมมีสภาพเปลี่ยนแปลงไป ส่งผล
ให้เกิดปัญหาทางสังคมในหลายดา้ น เช่น ปัญหาน้าเน่าเสีย ปัญหายาเสพติด เป็ นตน้ ประชาชนส่วนใหญ่จึง
ประกอบอาชีพ พนกั งานโรงงานอุตสาหกรรม คา้ ขาย เกษตรกรรมยกร่อง รับจา้ งทว่ั ไป พนกั งานบริษทั และ
รับราชการ สามารถสรุปขอ้ มูลพ้นื ฐานตาบลต่าง ๆ ในพ้นื ที่คุง้ บางกะเจา้
        สาหรับในด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม คุ้งบางกะเจา้ มีความอุดมสมบูรณ์ของ
ทรัพยากรธรรมชาติ ดว้ ยมีความโดดเด่นของพรรณไมแ้ ละสัตวม์ ากกวา่ 600 ชนิด มีวถิ ีชีวิตและวฒั นธรรม
ด้ังเดิม ภูมิปัญญาของชุมชนและท้องถิ่น และกิจกรรมท่ีดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนหย่อนใจ
(สานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ, 2558) ด้วยมีพ้ืนท่ีลาคลองตัดผ่านหลายสาย สาหรับทา
การเกษตรแบบยกร่องสวนในการปลูกพชื ท้งั ท้งั ไมผ้ ล เช่น หมาก มะพร้าว มะม่วงน้าดอกไม้ ชมพมู่ ะเหมียว
ส้มเขียวหวานเทพรส เป็ นต้น และไม้ประดบั ท่ีให้ใบและดอก เช่น หมากแดง หมากผูห้ มากเมีย ตน้ จงั๋
เป็ นตน้ นอกจากน้ียงั มีสวนศรีนครเข่ือนขนั ธ์เป็ นพ้ืนที่สีเขียวผนื ใหญ่ของบางกะเจา้ อีกท้งั เป็ นแหล่งผลิต
อากาศบริสุทธ์ิ คุง้ บางกะเจา้ จึงเป็ นพ้ืนท่ีท่ีมีคุณค่าทางเศรษฐกิจ สังคม และวฒั นธรรม มีศกั ยภาพสูงในการ
ส่งเสริมและพฒั นาการใชป้ ระโยชน์จากทรัพยากรความหลากหลายทางชีวภาพ ซ่ึงนาไปสู่การอนุรักษพ์ ้ืนที่
แห่งน้ีตามแนวพระราชดาริพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยหู่ ัวฯ รัชกาลที่ 9 และสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ
สยามบรมราชกมุ ารี
        ปัจจุบนั คุง้ บางกะเจา้ มีการอนุรักษแ์ ละใชป้ ระโยชน์จากฐานทรัพยากรในชุมชน และมีองคก์ รท้งั
ภาครัฐ และเอกชนต่าง ๆ ได้ให้ความสาคญั และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการพฒั นาท่ีเก่ียวขอ้ ง ท้งั ด้านการ
จดั การส่ิงแวดลอ้ ม การจดั การพ้ืนท่ีสีเขียว สวนป่ า พ้ืนท่ีเกษตร รวมท้งั พฒั นาแหล่งท่องเที่ยวสาคญั ทาง
ธรรมชาติ เพ่ือเป็ นแหล่งเรียนรู้เกษตร การสันทนาการ เพื่อเพ่ิมมูลค่าจากทรัพยากรที่มีอยู่ เช่น โครงการ
จดั ทาแผนพฒั นาการท่องเท่ียวพ้นื ที่คุง้ บางกะเจา้ สู่ความยง่ั ยนื ขององคก์ ารบริหารการพฒั นาพ้ืนที่พิเศษเพื่อ
การท่องเที่ยวอยา่ งยงั่ ยนื (องค์การมหาชน) โครงการตน้ แบบการเสริมสร้างศกั ยภาพองคก์ รปกครองส่วน
ทอ้ งถิ่น ในการป้องกนั และใชป้ ระโยชน์ความหลากหลายทางชีวภาพอยา่ งยงั่ ยนื ในภูมินิเวศของประเทศไทย
(Sustainable Management Models for Local Government Organization to Enhance Biodiversity Protection
and Utilization in Selected Eco-regions of Thailand) ของสานักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ
(องคก์ ารมหาชน) และสานกั งานโครงการพฒั นาแห่งสหประชาชาติ และ โครงการฟ้ื นฟูป่ าเพ่ือการเรียนรู้
เชิงนิเวศสวนศรีนครเขื่อนขนั ธ์ของบริษทั ปตท.สารวจและผลิตปิ โตรเลียม จากดั (มหาชน)
        และจากการศึกษาขอ้ มูลพบว่ามีนโยบาย แผน และยุทธศาสตร์ ที่สาคญั ด้านการบริหารจดั การ
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม ที่ช่วยส่งเสริมใหม้ ีการดาเนินงานดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม ไดแ้ ก่ 1) ยทุ ธศาสตร์
ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2560-2579) 2) แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบบั ท่ี 12 (พ.ศ. 2560 - 2564)
3) ไทยแลนด์ 4.0 โมเดลขบั เคล่ือนประเทศไทยสู่ความมนั่ คง มง่ั คงั่ และยง่ั ยืน 4) นโยบายและแผนการ
 374 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 16
ส่ งเส ริ มและรักษ าคุ ณ ภาพ สิ่ งแวดล้อมแห่ งชาติ พ.ศ. 2560 - 2579 5) ยุทธศาส ตร์ กระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่ งแวดล้อม ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) 6) แผนยุทธศาสตร์กระทรวง
ทรัพ ยากรธรรมชาติและส่ิ งแวดล้อม พ .ศ. 2559 - 2564 7) ข้อเส นอการป ฏิ รู ปประเทศด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ มของคณะกรรมาธิการขบั เคลื่อนการปฏิรูปประเทศดา้ นสาธารณสุขและ
ส่ิงแวดลอ้ ม สภาขบั เคล่ือนการปฏิรูปประเทศ 8) แผนแม่บทรองรับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ.
2558 - 2593 9) ยุทธศาสตร์การจดั การมลพิษ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) และแผนจดั การมลพิษ พ.ศ. 2560-
2564 10) แผนจดั การคุณภาพสิ่งแวดลอ้ ม พ.ศ. 2560 - 2564 11) แผนแม่บทการบริหารจดั การมูลฝอยของ
ประเทศ พ.ศ. 2559 - 2564 12) เป้าหมายการพัฒนาท่ียงั่ ยืน (Sustainable Development Goals (SDGs))
13) แผนพฒั นาการทอ่ งเท่ียว พ.ศ. 2560 - 2564 14) แผนวิสาหกิจการทอ่ งเท่ียวแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2560 -
2564 และ 15) แผนขบั เคลื่อนการผลิตและการบริโภคท่ียง่ั ยนื พ.ศ. 2560 - 2579
        2) ผลการสัมภาษณ์เชิงลกึ
        จากการศึกษาขอ้ มูลจากการสัมภาษณ์เชิงลึกสามารถสรุปขอ้ มูลไดด้ งั น้ี
        ด้านแนวทางการดาเนินงานเพ่ือจัดการส่ิงแวดล้อมในพืน้ ทบ่ี างกะเจ้า
        ผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลกั ไดใ้ ห้ความสาคญั และมีความคิดเห็นสอดคลอ้ งกนั วา่ การพฒั นาดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม
เศรษฐกิจ และสังคมวฒั นธรรมของพ้นื ที่คุง้ บางกระเจา้ แลว้ ยงั ควรกาหนดเป้าหมายวา่ ผลของการดาเนินงาน
จะตอ้ งทาให้ชุมชนในพ้ืนท่ีเติบโต แข็งแรงอยา่ งยงั่ ยืนเพ่ิมข้ึน โดยขบั เคลื่อนผ่านกระบวนการทางานท้งั 6
ดา้ น ไดแ้ ก่ พฒั นาพ้ืนท่ีสีเขียว จดั การน้าและการกดั เซาะริมตลิ่ง จดั การขยะ ส่งเสริมอาชีพ ท่องเที่ยว และ
พฒั นาเยาวชนและการศึกษาได้เช่ือมโยงกระบวนการมีส่วนร่วมของชุมชน ด้วยวิธีการเปิ ดเวทีรับฟัง
ความคิดเห็นเพ่ือหาความต้องการท่ีแท้จริง มาวางกรอบการทางานและสร้างเป้าหมายร่วมกันของ
คณะทางาน ซ่ึงถือเป็ นโมเดลการพัฒนาชุมชนรูปแบบใหม่ของประเทศไทย ที่สอดคล้องตามแนว
พระราชดาริในการอนุรักษ์พ้ืนที่บางกะเจา้ ให้เป็ นพ้ืนที่สีเขียว รวมท้งั พฒั นาและใช้ประโยชน์พ้ืนท่ีใน
ลกั ษณะเป็นชุมชนด้งั เดิมท่ีมีการอนุรักษว์ ถิ ีชีวติ และความเป็นอยเู่ รียบง่ายอยา่ งในอดีต
        ด้านสถานการณ์ของชุมชนบางกะเจ้าในปัจจุบัน
        ผใู้ หข้ อ้ มูลหลกั ไดใ้ หค้ วามสาคญั และมีความคิดเห็นสอดคลอ้ งกนั วา่ สาหรับคุง้ บางกะเจา้ ซ่ึงเป็ น
ที่ต้งั ของท้งั 6 ตาบล ไดแ้ ก่ ตาบลบางน้าผ้ึง ตาบลทรงคะนอง ตาบลบางกะเจา้ ตาบลบางกระสอบ ตาบล
บางยอ และตาบลบางกอบวั ในพ้ืนท่ีป่ ากระเพาะหมูแห่งน้ี ซ่ึงเพียงแค่ขา้ มแม่น้าเจา้ พระยามา ก็จะเจอกบั
แหล่งโอเอซิสขนาดใหญ่ คุ้งบางกะเจา้ มีสถานที่น่าท่องเท่ียวมากมาย อาทิ เส้นทางศึกษาธรรมชาติท่ี
สวนศรีนคร เข่ือนขนั ธ์ ตลาดบางน้าผ้งึ แห่งน้ี บา้ นธูปหอม สมุนไพร พพิ ิธภณั ฑป์ ลากดั ไทย บา้ นลูกประคบ
ธัญพืช จุดชมห่ิงห้อย โบราณสถานในวดั วาอารามต่าง ๆ รวมถึงสวนป่ า และสวนผลไมท้ ่ีมีให้เห็นอยู่
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 375
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
ทว่ั พ้ืนที่ของ ท้งั 6 ตาบล ซ่ึงในปัจจุบนั พ้ืนที่กระเพาะหมู แห่งน้ีก็ได้รับความนิยมจากนักท่องเท่ียวท้งั
ชาวไทยและชาวต่างชาติเขา้ มาเที่ยวชมกนั มากมายในขณะที่เร่ืองการบริหารจดั การที่ดินในพ้ืนที่โดยปัจจุบนั
จะมีนายทุนส่วนใหญ่เขา้ มาซ้ือท่ีดินเพื่อประกอบธุรกิจเพ่ิมมากข้ึนทาให้ชาวบา้ นเร่ิมมีการตระหนักถึง
ความสาคญั ของการอนุรักษ์ชุมชนบา้ นเกิดให้คงเอกลกั ษณ์ของความเป็ นทอ้ งถิ่น โดยการเพ่ิมข้ึนของสิ่ง
ปลูกสร้างมากเทา่ ใด ยอ่ มหมายถึงการลดและทาลายพ้นื ท่ีสีเขียวมากข้ึนเท่าน้นั
        ด้านบทบาทของชุมชนในการรักษาระบบนิเวศ
        ผูใ้ ห้ข้อมูลหลักได้ให้ความสาคญั และมีความคิดเห็นสอดคลอ้ งกนั ว่า มาตรการการท่องเที่ยว
เชิงนิเวศในพ้ืนที่คุ้งบางกะเจา้ มีดงั น้ี การรักษาความเป็ นธรรมชาติไว้ ปรับภูมิทศั น์ยึดหลักความเป็ น
ธรรมชาติเกี่ยวเน่ืองกบั วฒั นธรรมของทอ้ งถ่ิน ความเป็นระเบียบของแหล่งทอ่ งเที่ยว ใหค้ วามสาคญั กบั การ
สร้างองคค์ วามรู้ เขา้ ใจการทอ่ งเท่ียวเชิงนิเวศ สร้างเรื่องราวโดยเนน้ ประวตั ิ ความสาคญั พฒั นากิจกรรมให้มี
ความหลากหลาย โดยยดึ วฒั นธรรม ภูมิปัญญาทอ้ งถ่ิน คานึงถึงขีดความสามารถที่รองรับนกั ท่องเท่ียว มีการ
กาหนดเขตพ้ืนท่ีท่องเท่ียว เขตพ้ืนท่ีอนุรักษ์ ส่งเสริมกระบวนการมีส่วนร่วมทุกภาคส่วน ร่วมพฒั นา
ร่วมแกป้ ัญหาอยา่ งต่อเน่ืองและถูกวธิ ี เพื่อความยงั่ ยนื ของแหล่งท่องเท่ียว เป็ นการท่องเท่ียวท่ี ปลอดภยั และ
มน่ั ใจและการยกระดบั คุณภาพชีวิตของชุมชนดีข้ึน มีรายไดเ้ พิ่มจากการท่องเที่ยวเชิงนิเวศท่ีมีศกั ยภาพใน
ขณะที่ดา้ นการส่งเสริมตลาดการท่องเที่ยว เชิงนิเวศ มาตรการการท่องเท่ียวเชิงนิเวศใน พ้ืนที่คุง้ บางกะเจา้
คือ การดาเนินการตลาด มีการ ส่ือสารอยา่ งสม่าเสมอ ชุมชนและนกั ท่องเที่ยว มีจิตสานึกและตระหนกั ใน
การอนุรักษแ์ หล่งท่องเท่ียว รักษาเอกลกั ษณ์ทางธรรมชาติของพ้ืนที่ เกิดความ ภาคภูมิใจ และมีแผนพฒั นา
ในระดบั ต่าง ๆ ดา้ นการใชป้ ระโยชนค์ วามหลากหลายทางชีวภาพและภูมิปัญญาทอ้ งถ่ินพ้ืนท่ีคุง้ บางกะเจา้ มี
ความสมบูรณ์ในการเป็ นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศ สามารถสร้างรายไดใ้ หแ้ ก่ทอ้ งถ่ินทาใหเ้ กิดประโยชน์กบั
ชุมชนเพราะการท่องเท่ียวเชิงนิเวศสามารถสร้างแรงจูงใจ ให้ชุมชนได้มาอนุรักษ์และพฒั นาธรรมชาติ
แวดลอ้ มอยา่ งยง่ั ยนื
        ด้านแนวโน้มของรูปแบบการจัดการชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศ จากการใช้ชุมชนเป็ น
ฐานเพ่ือการท่องเทย่ี วพืน้ ทีบ่ างกะเจ้า อาเภอพระประแดง จังหวดั สมุทรปราการ (เช่น ควรจัดในรูปแบบของ
สหกรณ์ จัดต้ังคณะกรรมการหมู่บ้าน จัดต้งั เป็ นกองทุน เป็ นต้น)
        ผูใ้ ห้ขอ้ มูลหลกั ไดใ้ ห้ความสาคญั และมีความคิดเห็นสอดคลอ้ งกนั วา่ การดารงความเป็ นพ้ืนท่ี
สีเขียวอย่างมีคุณภาพของพ้ืนที่บางกระเจา้ ไวไ้ ดค้ ือ การดาเนินการตามแนวทางการพฒั นาการท่องเท่ียว
เชิงอนุรักษแ์ ละยงั่ ยนื ดว้ ยตน้ ทุนทางธรรมชาติและวถิ ีชีวติ ของชาวสวนน้นั มีศกั ยภาพเพียงพอท่ีจะไดร้ ับการ
พฒั นาและส่งเสริมทางด้านการท่องเที่ยวให้กลายเป็ นแหล่งรายไดใ้ หม่แก่คนในพ้ืนท่ีเป็ นแหล่งพกั ผ่อน
รองรับนกั ท่องเท่ียวจากท่ีต่าง ๆ เพอื่ แกไ้ ขผลกระทบอนั เกิดจากปัญหาที่ชุมชนตาบลบางกะเจา้ กาลงั ประสบ
อยูท่ ้งั ทางดา้ นกายภาพ เศรษฐกิจ และสังคม เพ่ือให้ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีข้ึน และเป็ นแนวทางที่จะ
 376 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 16
ก่อให้เกิดความสมดุลในการส่งเสริมและการพฒั นาการท่องเที่ยวในเขตพ้ืนท่ี โดยนาการท่องเท่ียวมาเป็ น
เคร่ืองมือในการพฒั นา เน้นการส่งเสริมให้ประชาชนในท้องถ่ินเกิดการรวมกลุ่มและมีส่วนร่วมในการ
พฒั นาการท่องเที่ยว การจดั การที่เป็ นระบบและมีความเขา้ ใจกนั ในกลุ่มของผเู้ ขา้ ร่วมเพ่ือใหช้ ุมชนมีรายได้
จากการท่องเท่ียวอยา่ งตอ่ เน่ืองรวมถึงการสร้างความมน่ั คงแขง็ แกร่งของชุมชนไดอ้ ยา่ งยงั่ ยนื เพ่ือใหบ้ างกะ
เจา้ คงเอกลกั ษณ์อนั งดงามท้งั ทางดา้ นทรัพยากรธรรมชาติและมรดกทางวฒั นธรรม รวมท้งั นาเสนอแนวทาง
ป้องกนั ไมใ่ หก้ ารท่องเท่ียวกลบั มาเป็นตวั ทาลายเอกลกั ษณ์และคุณค่าของบางกะเจา้ เพือ่ คงธรรมชาติสภาวะ
แวดลอ้ มท่ีอุดมสมบูรณ์ และยงั คงเป็นพ้นื ท่ีสีเขียวที่มีคุณภาพของเมืองตลอดไป
        3) การประยกุ ต์แนวทางการถอดบทเรียน
        ในข้นั ตอนน้ีเป็ นการประยกุ ตแ์ นวทางการถอดบทเรียนแนวทางในการแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม
ในพ้ืนท่ีหาดไร่เลยแ์ ละแหลมพระนาง จงั หวดั กระบ่ี ในดา้ นของการดาเนินงานเก่ียวกบั การตอบแทนคุณ
ระบบนิเวศ PES สาหรับนามาใช้เป็ นแนวทางในการศึกษาและพัฒนากลยุทธ์การจดั การชุมชนแบบ
ตอบแทนคุณระบบนิเวศในพ้ืนท่ีการท่องเที่ยวโดยชุมชนบางกะเจ้า อาเภอพระประแดง จังหวดั
สมุทรปราการ จากผลการศึกษาขอ้ มูลในพ้ืนท่ีหาดไร่เลยแ์ ละแหลมพระนาง จงั หวดั กระบี่ สามารถสรุปได้
ดงั น้ี
        จากผลการศึกษาขอ้ มูลปัญหาส่ิงแวดลอ้ มจากภายในพ้นื ที่พบวา่
        1) ปริมาณขยะประเภทต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนใน อ่าวไร่เลย์ - แหลมพระนาง (Rubbishes) ปัจจุบนั ในเขต
พ้ืนที่มีปริมาณขยะเปี ยก และขยะแห้งจากการทาอาหาร รวมถึงขยะอ่ืน ๆ โดยมาจากร้อยละ 70 ของขยะ
ที่เป็ นเศษอาหาร และร้อยละ 30 มาจากพลาสติก ซ่ึงหากไม่มีระบบการจดั การสิ่งแวดลอ้ มที่ถูกตอ้ งจะทาให้
ส่งผลต่อปัญหาสิ่งแวดลอ้ มภายในพ้ืนที่
        2) น้าเสีย ไขมนั และน้ามนั (Wastewater Fat, Oil, and Grease) พ้ืนท่ีหาดไร่เลยล์ ้อมรอบด้วยน้า
ทะเล ผูป้ ระกอบการและเจา้ ของกิจการจึงมีการนาน้ามาใช้เพ่ือการอุปโภคและบริโภคเป็ นจานวนมาก
รวมถึงปริมาณนกั ท่องเที่ยวท่ีเขา้ มาใชบ้ ริการในพ้ืนท่ี ทาให้ปริมาณการใช้น้ามีสูงมากข้ึน ซ่ึงก่อให้เกิดน้า
เสีย ไขมนั และน้ามนั ในพ้ืนท่ีมากข้ึนตามลาดบั
        3) จานวนห้องน้าสาธารณะสาหรับให้บริการนักท่องเที่ยว (Public toilet) จากคาบอกเล่าของ
ตวั แทนผปู้ ระกอบการ และสมาชิกชมรม ที่ร่วมแรงจิตอาสาทาความสะอาดรอบหาดไร่เลยท์ ุกวนั พุธ พบวา่
มีการขบั ถ่ายจากนักท่องเท่ียวท่ีไปใช้บริการบริเวณโดยรอบพ้ืนท่ี โดยเฉพาะพ้ืนที่บงั ตา ทาให้มีกลิ่น
ไมพ่ ึงประสงคใ์ นหลาย ๆ บริเวณ อาทิเช่น บริเวณหนา้ ปากถ้าสาหรับกิจกรรมปี นเขา เป็นตน้
        แนวคิด/ กระบวนการแก้ไขปัญหาส่ิงแวดล้อม
        กระบวนการการดาเนินงานแกไ้ ขปัญหาของคนในพ้ืนท่ี ไดม้ ีการกาหนดนโยบายส่ิงแวดลอ้ มใน
โรงแรม ที่พกั เพื่อใหพ้ นกั งานและผูเ้ ขา้ พกั ร่วมดาเนินการ คือ การทาให้โรงแรมเป็ นโรงแรมที่ส่งผลกระทบ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 377
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
ต่อสิ่งแวดลอ้ ให้น้อยที่สุด โดยการประยุกต์การใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีแนวทางการ
จดั การขยะท่ีเกิดข้ึนในโรงแรมอยา่ งมีประสิทธิภาพและการเลือกใชอ้ ุปกรณ์เคร่ืองมือ และเคร่ืองใชต้ ่าง ๆ ท่ี
เป็ นมิตรต่อส่ิงแวดลอ้ ม การมุ่งมนั่ ปกป้องส่ิงแวดลอ้ มโดยการนาหลกั การ 3R มาประยุกตใ์ ช้ ไดแ้ ก่ ลดการ
ใช้ทรัพยากรธรรมชาติ (Reduce) นากลับมาใช้ใหม่ (Reuse) หมุนเวียนการใช้ (Recycle) และดาเนิน
ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อกาหนดและระเบียบที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม
การส่งเสริมสนบั สนุนท้งั เร่ืองบุคลากรและงบประมาณในการจดั การส่ิงแวดลอ้ ม การดาเนินการฝึ กอบรม
ประชาสัมพนั ธ์ ตลอดจนสร้างจิตสานึกการอนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม รวมท้งั มุ่งมน่ั ใหเ้ กิดผลถึงสาธารณะโดยรวม
ด้วย และการสร้างจิตสานึ กให้กับบุคลากรทุกระดับ ตระหนักถึงการดาเนิ นงานด้านอนุ รักษ์
ทรัพยากรธรรมชาติ
        จากการศึกษาข้อมูลด้วยการถอดบทเรียนสามารถสรุปแนวทางการดาเนิ นเพื่อแก้ปัญหา
ส่ิงแวดลอ้ มในพ้นื ที่ไดด้ งั ภาพท่ี 2
        สรุปผลการสังเคราะห์แนวทางสถานการณ์บทบาทและแนวโน้มของรูปแบบการพัฒนากลยุทธ์
การจัดการชุมชนเชิง SWOT (Inductive Approach)
        จากการศึกษาแนวทาง สถานการณ์ บทบาท และแนวโน้มของรูปแบบการจดั การชุมชนแบบ
ตอบแทนคุณระบบนิเวศ จากการใช้ชุมชนเป็ นฐานเพ่ือการท่องเท่ียวพ้ืนท่ีบางกะเจา้ อาเภอพระประแดง
จงั หวดั สมุทรปราการ ด้วยการวิจยั เอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก และการถอดบทเรียน สามารถสรุปผลการ
สังเคราะห์แนวทางสถานการณ์บทบาทและแนวโน้มของรูปแบบการพฒั นากลยุทธ์การจดั การชุมชนเชิง
SWOT ไดด้ งั น้ี
        จุดแขง็ จากการศึกษาขอ้ มูลพบวา่ พ้ืนที่บางกะเจา้ อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ มีจุด
แข็งในด้านของการเป็ นพ้ืนที่สีเขียวขนาดใหญ่ใกลก้ รุงเทพมหานคร เป็ นพ้ืนท่ีที่มีความหลากหลายทาง
ระบบนิเวศ องคก์ ารปกครองส่วนทอ้ งถิ่นมีเป้าหมายร่วมในการจดั การพ้ืนที่ใหเ้ กิดสภาพแวดลอ้ มท่ีดี มีกลุ่ม
กิจกรรมบริการท่ีหลากหลายในชุมชน เพิ่มมูลค่าของทรัพยากรที่มีอยู่ ชุมชนมีวิถีชีวิตที่ผสมผสานกบั วิถี
สมัยใหม่ และคงไวซ้ ่ึงขนบธรรมเนียมประเพณีวฒั นธรรม ชุมชนมีการพัฒนาธุรกิจการท่องเท่ียวท่ี
เก่ียวเน่ืองกบั วถิ ีการดารงชีวิต มีทรัพยากรดา้ นการท่องเที่ยวทางทรัพยากรธรรมชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์
เป็ นแหล่งอาศยั ของนก สัตวต์ ่างๆ และหิ่งห้อย มีผลไมแ้ ละสินคา้ ที่เป็ นเอกลกั ษณ์เฉพาะถิ่น ไดแ้ ก่ มะม่วง
น้าดอกไม้ ส้มเขียวหวานเทพรส น้าตาลมะพร้าว มีความหลากหลายของแหล่งท่องเที่ยวท้ังทางด้าน
ทรัพยากรธรรมชาติ ประวตั ิศาสตร์ศิลปวฒั นธรรม วิถีชีวิตของชุมชน และดา้ นนนั ทนาการ มีระบบการ
คมนาคมขนส่งที่สะดวกท้งั ทางบก ทางน้า และรถไฟฟ้า สร้างกลุ่มเพ่ือการพ่ึงพาตนเอง ในลกั ษณะองคก์ ร
ชาวบ้าน เช่น กลุ่มสัจจะออมทรัพย์เพ่ือคุณธรรมครบวงจรชีวิต กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร กลุ่มเยาวชน
การรวมกลุ่มชมรมธุรกิจทอ่ งเที่ยว ผนู้ าชุมชนมีการจดั การตามหลกั ธรรมาภิบาล
 378 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 16
                                ความรับผดิ ชอบของผูป้ ระกอบการ นกั ท่องเท่ียว และผมู้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งทุกภาคส่วน
                                         ทศั นคติที่ดีต่อการช่วยกนั รักษาสิ่งแวดลอ้ มในพ้ืนท่ีหาดไร่เลย์
                                การบูรณาการ รวมถึงการร่วมมือแกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ มให้หมดไปจากพ้ืนท่ีหาดไร่
                                                                เลย์
                                ความเป็นผนู้ าที่กลา้ จะเปล่ียนแปลงและมุ่งมนั่ จะรักษาสิ่งแวดลอ้ มในพ้ืนท่ีหาดไร่เลย์
                                การคดั เลือก และจดั กิจกรรมเพอื่ สนบั สนุนการแกป้ ัญหาส่ิงแวดลอ้ มในพ้ืนที่ใหห้ มด
                                                                ไป
                                              ปัจจยั ใหเ้ กิดความยงั่ ยนื
กระบวนการดาเนินงาน                     การตอบแทนคุณ                            เป้าหมาย
                                       ระบบนิเวศ PES
   การเลี่ยงการใชผ้ ลิตภณั ฑท์ ่ี          ภาคีเครือข่าย                       สงั คมไร่เลยส์ งั คมไร้ขยะ”
  ก่อให้เกิดปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม                                                   (Zero Waste Society)
                                       กลุ่มชมรมธุรกิจการทอ่ งเที่ยวอ่าว
การลดการใชผ้ ลิตภณั ฑท์ ี่ก่อใหเ้ กิด  ไร่เลย-์ แหลมพระนาง จงั หวดั กระบี่
      ปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม
                                       กลุ่มโรงแรมและทีพ่ กั ทเ่ี ป็ นมิตรกบั
การนากลบั มาใช้ “ซ้า” เพอ่ื ช่วยลด              ส่ิงแวดลอ้ ม
   การเกิดปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม
                                         กลุ่มนกั ท่องเที่ยวหัวใจสีเขียว
การซ่อมบารุงเพ่อื ช่วยลดการเกิด
      ปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม                  กลุ่มตวั แทนอาสาจากทกุ กลุ่ม
 การเปล่ียนสภาพผลิตภณั ฑ์ และ
 กลบั มาใช้ “ซ้า” เพอ่ื ช่วยลดการ
     เกิดปัญหาส่ิงแวดลอ้ ม
การคดิ ใหม่เพอื่ การท่องเท่ียว
      ภาพที่ 2 การตอบแทนคุณระบบนิเวศ PES พ้นื ที่หาดไร่เลยแ์ ละแหลมพระนาง จงั หวดั กระบี่
ทม่ี า: การสนทนากลุ่ม การเสริมสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนในการจดั ทาแนวทางในการแกไ้ ขปัญหา
สิ่งแวดลอ้ มในพ้ืนที่หาดไร่เลยแ์ ละแหลมพระนาง จงั หวดั กระบ่ี วนั ท่ี 1 สิงหาคม 2561สานกั งานพฒั นา
เศรษฐกิจรากฐานชีวภาพ (องคก์ ารมหาชน)
                                       คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 379
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
        จุดอ่อนจากการศึกษาข้อมูลพบว่าพ้ืนที่บางกะเจ้า อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ
มีจุดอ่อนในดา้ นของการมีประชากรแฝงจากการอพยพแรงงานจากส่วนต่าง ๆ เขา้ มาพ้ืนที่ในชุมชน ทาให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงเป็ นแหล่งอาศยั ของชนกลุ่มแรงงานอย่างหนาแน่น ส่งผลให้เกิดปัญหาทางสังคมใน
หลายดา้ น เช่น ปัญหาขยะ น้าเน่าเสีย และยาเสพติด รายไดส้ ่วนใหญ่จะเป็ นเฉพาะกลุ่มธุรกิจ และจากการ
ใหบ้ ริการเช่าป่ันจกั รยาน พ้ืนท่ีเกษตรไดร้ ับผลกระทบจากปัญหาน้าเค็ม และน้าท่วม ทายาทรุ่นใหม่ไม่สาน
ตอ่ องคค์ วามรู้ กิจกรรมท่องเท่ียวส่วนใหญ่จะจดั ใหแ้ ก่นกั ท่องเท่ียวที่มาเป็ นกลุ่ม หรือตอ้ งนดั หมายล่วงหนา้
สินคา้ ท่ีจาหน่ายในตลาดน้าบางน้าผ้ึงยงั ขาดอตั ลกั ษณ์ความเป็ นสินคา้ ทอ้ งถิ่น ถนนในคุง้ บางกะเจา้ มีขนาด
เล็กสร้างมาเพ่ือรองรับคนในชุมชน เมื่อมีนักท่องเที่ยวเขา้ มาในวนั เสาร์ วนั อาทิตย์ และวนั หยุดทาให้
ไม่สามารถรองปริมาณรถยนต์ของนกั ท่องเท่ียวได้ สร้างเส้นทางจกั รยานซ้อนทบั กบั เส้นทางรถยนต์ และ
ทางเท้า ทาให้มีความเส่ียงต่อการเกิดอุบัติเหตุ ปัญหามลพิษทางอากาศ จากสภาพการจราจรหนาแน่น
สภาพการจราจรหนาแน่น ส่งผลต่อการจดั การเหตุฉุกเฉิน ความไม่ปลอดภยั จากรถบรรทุกที่ว่ิงเขา้ ออก
ตลอดเวลา พ้ืนท่ีจอดรถไม่เพียงพอรองรับนกั ท่องเท่ียว ไม่มีศูนยบ์ ริการขอ้ มูลและช่วยเหลือนักท่องเท่ียว
มีการบริหารจดั การกองทุนสวสั ดิการชุมชนเพื่อตอบแทนให้กบั ชุมชนในบางพ้ืนท่ี ไม่มีการกาหนดระเบียบ
ใหก้ บั นกั ท่องเท่ียว ไม่มีการกาหนดระเบียบและกฎเกณฑใ์ นการใชป้ ระโยชน์จากแหล่งทรัพยากรในชุมชน
ปัญหาน้าเสียจากภาคบริการการท่องเท่ียว และขยะมูลฝอยจากนักท่องเท่ียว ไม่มีระบบการจดั การน้าเสีย
ชุมชนท่ีเพียงพอ ไมม่ ีระบบการจดั การประตูระบายน้าที่มีประสิทธิภาพ และน้าเสียและขยะจากแม่น้าเขา้ มา
ในชุมชน
        โอกาสจากการศึกษาขอ้ มูลพบว่าพ้ืนที่บางกะเจา้ อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ
มีโอกาสในดา้ นของการท่ีรัฐบาลมีนโยบายดา้ นการท่องเท่ียว ดา้ นการบริหารจดั การทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดลอ้ ม ท่ีส่งเสริม และสนบั สนุน รัฐบาลสนบั สนุนภาคบริการท่องเที่ยวตวั ดว้ ยเป็นพ้ืนที่สีเขียวใกล้
กรุงเทพมหานครและเป็ นแหล่งผลิตอากาศบริสุทธ์ิ รัฐบาลสนับสนุนและมีแผนขบั เคลื่อนการผลิตและ
การบริโภคที่ยง่ั ยืนในภาคบริการท่องเที่ยว รัฐบาลมีนโยบายเก่ียวกบั กฎหมายการดูแลรักษาพ้ืนท่ีสีเขียว
มีหน่วยงานท้งั ภาครัฐ เอกชน สถาบนั การศึกษา เขา้ ร่วมสนับสนุนและดาเนินกิจกรรมในพ้ืนที่ เพ่ือเพ่ิม
มูลค่าของทรัพยากรที่มีอยู่ และอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม มีหน่วยงานโดยกรมป่ าไม้
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม เข้ามาดูแลรักษาพ้ืนท่ีสีเขียวคุ้งบางกะเจา้ นักท่องเท่ียว
ชาวไทย และตา่ งชาติในปัจจุบนั ตอ้ งการท่องเท่ียวในวถิ ีชีวติ ท่ีผกู พนั กบั ธรรมชาติ เรียนรู้เกี่ยวกบั วฒั นธรรม
ประเพณี มากข้ึน ภาคเอกชนสนับสนุนแคมเปญ “รักษ์โลก” และงบประมาณ หรือจดั กิจกรรมเพื่อ
การอนุรักษ์ส่ิ งแวดล้อมในรู ปแบบ “Corporate Social Responsibility (CSR)” การพัฒนาเทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสารในระดบั โครงสร้างพ้ืนฐานของประเทศ เพ่ือกระจายเทคโนโลยสี ารสนเทศและ
การส่ือสารใหท้ วั่ ถึงในทุกพ้ืนท่ี
 380 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 16
        อุปสรรคจากการศึกษาขอ้ มูลพบว่าพ้ืนที่บางกะเจา้ อาเภอพระประแดง จงั หวดั สมุทรปราการ
มีอุปสรรคในด้านของปัญหาราคาสินค้าเกษตรตกต่า สภาพเศรษฐกิจและสังคมเปล่ียนแปลงรวดเร็ว
ก่อใหเ้ กิดใหเ้ กิดปัญหาสังคมในภาพรวม เช่น ปัญหาอาชญากรรม ยาเสพติด ปัญหาการเสื่อมสภาพของพ้นื ที่
สีเขียวเนื่องจากน้าเค็มท่ีรุกล้าเขา้ มาในพ้ืนที่ ปัญหาน้าท่วม และการกัดเซาะตลิ่งเน่ืองจากคุง้ บางกะเจา้
ลอ้ มรอบดว้ ยแม่น้าเจา้ พระยา วถิ ีการดารงชีวิตท่ีเปล่ียนไปของชุมชน เนน้ การอยูอ่ าศยั ไปทางานนอกพ้ืนที่
ทาใหพ้ ้ืนท่ีเกษตรรกร้าง
        แนวทางการพฒั นากลยุทธ์การจัดการชุมชนตามกรอบของ Town Matrix
        จากการสังเคราะห์แนวทางสถานการณ์บทบาทและแนวโน้มของรูปแบบการพฒั นากลยุทธ์
การจดั การชุมชนเชิง SWOT ผูว้ ิจยั ไดส้ รุปเป็ นแนวทางการพฒั นากลยุทธ์การจดั การชุมชนตามกรอบของ
Town Matrix ไดด้ งั น้ี
        กลยุทธ์เชิงรุก
           1) กาหนดมาตรการทางสังคม กฎกติกาและกฎหมายในการการจดั การสิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม
และการทอ่ งเท่ียวในชุมชน
           2) สร้างความร่วมมือและการประสานแผนงานโครงการในการจดั การพ้ืนที่เชิงระบบนิเวศ
หรือส่ิงแวดลอ้ ม
           3) ส่งเสริมให้ชุมชนมีการเชื่อมโยงการท่องเท่ียว กบั ระบบนิเวศเกษตร สุขภาพ นนั ทนาการ
และวฒั นธรรมตลอดห่วงโซ่มูลคา่ อยา่ งมีประสิทธิภาพเพอื่ ใหเ้ กิดการกระจายรายได้
           4) ส่งเสริมให้มีการจดั ต้งั กลุ่ม ชมรม สมาคมในการการจดั การสิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม และ
การทอ่ งเท่ียวในชุมชน
        กลยุทธ์เชิงแก้ไข
           1) ส่งเสริมการจดั สวสั ดิการจากฐานองคก์ รการเงินชุมชนในรูปแบบของการออมทรัพยห์ รือ
การสะสมหุ้นของสมาชิกสหกรณ์เพื่อให้เกิดเป็ นกองทุนหมุนเวียนในชุมชนและนาผลกาไรที่เกิดจากการ
หมุนเวยี นเงินออมมาจดั สวสั ดิการแก่ชุมชน
           2) ส่งเสริมการเพ่ิมคุณค่าและมูลค่าของทรัพยากรชุมชนสู่การเป็ นสินค้าและบริการฐาน
อตั ลกั ษณ์ของชุมชน
           3) กาหนดผงั การจราจรทางน้าและทางบกในชุมชน ให้เหมาะสมกบั สภาพและศกั ยภาพของ
พ้ืนที่ ผนวกกับเทคโนโลยีพกพา (Mobile) และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information
System: GIS ) เพอ่ื แกป้ ัญหาการจราจร และมลพษิ ทางอากาศ และสร้างรายไดใ้ นชุมชน
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 381
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
           4) จดั เก็บอตั ราค่าบริการเขา้ คุง้ บางกะเจา้ จากนักท่องเท่ียวและกาหนดมาตรการเพ่ือสร้าง
ระเบียบวนิ ยั ใหน้ กั ทอ่ งเที่ยวช่วยกนั ดูแลรักษาส่ิงแวดลอ้ ม
           5) กาหนดขอ้ ตกลงในการบริหารจดั การในการป้องกนั และดูแลรักษาระบบนิเวศ
           6) พฒั นาแอพพลิเคชน่ั “รักษ์โลก” สะสมแตม้ และสามารถนาแต้ ไปแลกสินคา้ บริการ หรือ
ส่วนลด จากภาคเอกชน ผปู้ ระกอบการหรือกลุ่มในชุมชน
        กลยุทธ์เชิงป้องกนั
           1) เสริมสร้างบรรทัดฐานทางสังคม เพ่ือสร้างค่านิยม ความเชื่อ และส่งเสริมจริยธรรม
กฎ ระเบียบของชุมชน
           2) สร้างระบบการจดั การน้า เพ่ือแกไ้ ขปัญหาน้าเค็มหนุนรุกล้าในพ้ืนท่ี ปัญหาน้าท่วม และ
การกดั เซาะตล่ิง
           3) ส่งเสริมการสร้างภาคีความร่วมมือดา้ นการอนุรักษท์ รัพยากรในชุมชน
        กลยุทธ์เชิงรับ
           1) ควรมีการตอบโตแ้ บบทนั ท่วงที เพ่ือส่งเสริมการแกป้ ัญหาไดต้ รงจุดตามท่ีตอ้ งการเนื่องจาก
เป็นการบริหารจดั การเพ่ือคลี่คลายสถานการณ์วกิ ฤติใหอ้ ยูใ่ นภาวะปกติโดยเร็วที่สุด รวมถึงการบรรเทาและ
ฟ้ื นฟู
           2) ส่งเสริมให้มีกระบวนการเรียนรู้ดา้ นส่ิงแวดลอ้ มให้กบั เยาวชน โดยการแทรกเน้ือหาและ
กิจกรรมเสริมท่ีเนน้ การปลูกฝังจิตสานึกความรับผดิ ชอบต่อสงั คมดา้ นสิ่งแวดลอ้ ม
        ผลการวิเคราะห์องค์ประกอบของกลยุทธ์การจัดการชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศในพื้นที่
การท่องเทย่ี วทมี่ คี วามหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจ้า
        ในส่วนน้ีผูว้ ิจยั ใชว้ ิธีวิจยั แบบ EDFR (Ethnographic Delphi Future Research) เป็ นการวิเคราะห์
อ ง ค์ป ร ะ ก อ บ ข อ ง ก ล ยุท ธ์ ก า รจัด ก าร ชุ ม ช น แ บ บ ต อ บ แ ท น คุ ณ ร ะ บ บ นิ เว ศ ใ น พ้ื น ที่ ก าร ท่ อ ง เที่ ย วท่ี มี
ความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจา้ โดยการสัมภาษณ์ ผูเ้ ช่ียวชาญจานวน 17 คน โดยสามารถ
จาแนกองคป์ ระกอบของกลยทุ ธ์ออกเป็น 9 มิติหลกั ๆ ไดแ้ ก่
        1. มติ ิวถิ ชี ีวติ ชุมชน
           1.1 ส่งเสริมการเพิ่มคุณค่าและมูลค่าของทรัพยากรชุมชนสู่การเป็ นสินค้าและบริการบน
ฐานอตั ลกั ษณ์ของชุมชน
           1.2 เสริมสร้างคุณภาพทกั ษะและความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ ในชุมชนใหม้ ีศกั ยภาพใน
การจดั การการทอ่ งเที่ยวโดยชุมชนแบบพ่ึงพาตนเอง บนฐานความพอเพียงดว้ ยกลุ่มพ่งึ พาตนเอง
           1.3 ส่งเสริมให้ชุมชนมีการเช่ือมโยงการท่องเท่ียว กบั ระบบนิเวศเกษตร สุขภาพ นนั ทนาการ
และวฒั นธรรมตลอดห่วงโซ่มูลค่า อยา่ งมีประสิทธิภาพเพือ่ ใหเ้ กิดการกระจายรายได้
 382 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 16
           1.4 ส่งเสริมการจดั สวสั ดิการจากฐานองคก์ รการเงินชุมชนในรูปแบบของการออมทรัพยห์ รือ
การสะสมหุ้นของสมาชิกสหกรณ์เพื่อให้เกิดเป็ นกองทุนหมุนเวียนในชุมชนและนาผลกาไรท่ีเกิดจากการ
หมุนเวยี นเงินออมมาจดั สวสั ดิการแก่ชุมชน
           1.5 ส่งสริมการรวมกลุ่มสืบทอดภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น ดว้ ยการแบ่งสมาชิกรับผิดชอบออกเป็ น
กลุ่มยอ่ ยเพื่อการแบ่งปันรายได้ และใชท้ รัพยากรในทอ้ งถ่ินอยา่ งมีประสิทธิภาพ
        2. มติ ิความรับผดิ ชอบต่อสังคมของผ้ปู ระกอบการ
           2.1 ส่งเสริมการจดั สรรผลกาไรบางส่วนเพ่ือนาไปพฒั นาชุมชนในรูปแบบต่างๆ (Profit allocation)
           2.2 ส่งเสริมการสร้างภาคีความร่วมมือดา้ นการอนุรักษท์ รัพยากรในชุมชน
           2.3 การจดั สรรเงินค่าตอบแทนหรือเงินทุนให้กบั ชุมชนในการดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ
        3. มติ ิด้านการจัดการหน่วยวจิ ัยชุมชน
           3.1 จดั ต้งั ศูนยค์ วามร่วมมือและการประสานแผนงานโครงการในการจดั การพ้ืนที่ชุมชนเชิง
ระบบนิเวศหรือสิ่งแวดลอ้ ม
           3.2 จดั ต้งั ศูนยก์ ารเรียนรู้และการสาธิต เพื่อถ่ายทอดเทคโนโลยแี ละนวตั กรรมงานวจิ ยั สู่ชุมชน
        4. มิตดิ ้านความเป็ นอนุรักษ์นิยมของชุมชน
           4.1 ส่งเสริมการอนุรักษแ์ ละฟ้ื นฟูศิลปะ วฒั นธรรม และวถิ ีชีวติ ทอ้ งถ่ิน
           4.2 ส่งเสริมให้มีกระบวนการเรียนรู้ดา้ นส่ิงแวดลอ้ มให้กบั เยาวชน โดยการแทรกเน้ือหาและ
กิจกรรมเสริมท่ีเนน้ การปลูกฝังจิตสานึกความรับผดิ ชอบต่อสงั คมดา้ นส่ิงแวดลอ้ ม
        5. มติ ดิ ้านกฎหมาย หรือระเบยี บ แนวปฏิบตั ิในการบริหารจัดการ
           5.1 สร้างบรรทดั ฐานทางสังคม เพื่อสร้างค่านิยม ความเชื่อ และส่งเสริมจริยธรรม กฏ ระเบียบ
ของชุมชน
           5.2 การเส ริ มพ ลังและการกระตุ้น การส ร้างความส ามารถผ่าน ท างบ ทบ าทของ
ความเป็นผนู้ า
           5.3 กาหนดกรอบนโยบาย กฎหมาย และสถาบนั ผูร้ ับผิดชอบในการบริหารจดั การในการ
ป้องกนั และดูแลรักษาระบบนิเวศ
           5.4 การกาหนดสิทธิภายใตก้ ฎหมายและแนวทางปฏิบตั ิในการบริหารจดั การในการป้องกนั
และดูแลรักษาระบบนิเวศ
           5.5 จดั ต้งั คณะกรรมการจากประชาชน และชุมชนทอ้ งถิ่น ให้เขา้ มามีบทบาทในกระบวนการ
ตดั สินใจตอ่ โครงการพฒั นาท่ีส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม รวมท้งั คุณภาพชีวติ ของ
ประชาชน
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 383
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
        6. มติ ดิ ้านการท่องเทยี่ วเชิงอนุรักษ์
           6.1 ส่งเสริมพฤติกรรมท่ีดีต่อสิ่งแวดล้อม ท่ีจะช่วยให้มีการดารงอยู่ของทรัพยากรหรือ
เปล่ียนแปลงโครงสร้างของระบบนิเวศในทางบวก
           6.2 จดั เก็บอตั ราค่าบริการเขา้ คุง้ บางกะเจา้ จากนักท่องเที่ยวและกาหนดมาตรการเพ่ือสร้าง
ระเบียบวนิ ยั ใหน้ กั ทอ่ งเท่ียวช่วยกนั ดูแลรักษาส่ิงแวดลอ้ ม
        7. มิติด้านการผลติ และการบริโภคทเ่ี ป็ นมิตรกบั สิ่งแวดล้อมอย่างยงั่ ยืน
           7.1 ส่ งเสริ มวางแผนการดาเนิ นงานยกระดับความเป็ นมิตรกับส่ิ งแวดล้อมให้กับ
ภาคทอ้ งถิ่น และภาคธุรกิจ
           7.2 ตรวจประเมินและวิเคราะห์ธุรกิจท่ีรับผิดชอบต่อความหลากหลายทางชีวภาพใน
ผปู้ ระกอบการธุรกิจทอ่ งเท่ียว
           7.3 วางแผ น ก ารส่ งเส ริ ม ก ารเผยแพ ร่ แน วคิ ดก ารดาเนิ น ธุ รกิ จท่ี รับ ผิดช อบ ต่ อ
ความหลากหลายทางชีวภาพใหแ้ ก่ ผปู้ ระกอบธุรกิจท่องเที่ยว
           7.4 ทบทวน พฒั นา และดาเนินโครงการที่สร้างแรงจูงใจให้เกิดเทคโนโลยีและ นวตั กรรมสี
เขียวและแนวปฏิบตั ิเพื่อการทอ่ งเที่ยวท่ียง่ั ยืน เป็ นมิตรกบั ส่ิงแวดลอ้ มในกลุ่มผูป้ ระกอบการขนาดกลางและ
ขนาดเลก็
        8. มติ ิด้านการจัดการระบบนิเวศ
           8.1 กาหนดนโยบายและแผนเกี่ยวกับการสงวน การอนุรักษ์ ฟ้ื นฟูและใช้ประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติ และความหลากหลายทางชีวภาพที่สอดคลอ้ งกบั นโยบายของชาติ
           8.2 กาหนดนโยบาย มาตรการ และแผนเพ่ือการคุม้ ครองคุณภาพส่ิงแวดลอ้ มควบคู่กบั การ
พฒั นาในภาคเศรษฐกิจและสงั คม ใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการของชุมชน
        9. มติ กิ ารจัดการภาวะคุกคาม
           9.1 พฒั นาแอพพลิเคชน่ั “รักษ์โลก” สะสมแตม้ และสามารถนาแตม้ ไปแลกสินคา้ บริการ
หรือส่วนลด จากภาคเอกชน ผปู้ ระกอบการหรือกลุ่มในชุมชน
           9.2 กาหนดผงั การจราจรทางน้าและทางบกในชุมชน ให้เหมาะสมกบั สภาพและศกั ยภาพของ
พ้ืนท่ี ผนวกกับเทคโนโลยีพกพา (Mobile) และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information
System : GIS ) เพื่อแกป้ ัญหาการจราจร และมลพษิ ทางอากาศ และสร้างรายไดใ้ นชุมชน
           9.3 วางแผนฟ้ื นฟูและบาบดั มลพิษส่ิงแวดลอ้ มในเขตพ้ืนท่ีวกิ ฤติ
           9.4 กาหนดเขตพ้ืนท่ีควบคุม เพ่ือป้องกันและควบคุมมลพิษสิ่งแวดล้อมและรักษาไวซ้ ่ึง
คุณภาพสิ่งแวดลอ้ มที่ดี โดยการกาหนดรูปแบบของกิจกรรมการใช้ท่ีดินที่เหมาะสมกบั ศกั ยภาพของพ้ืนท่ี
           9.5 พัฒนาชุมชนน่าอยู่ โดยการจัดระเบียบการเติบโตของชุมชน โดยคานึ งถึงฐาน
 384 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 16
ทรัพยากรธรรมชาติ เศรษฐกิจสังคม โครงสร้างพ้ืนฐาน บริการสาธารณะ วิถีการดารงชีวติ และ วฒั นธรรม
ของชุมชน ตามหลกั การวางผงั ชุมชนและวางแผนการใชป้ ระโยชน์ที่ดิน
อภปิ รายผลและข้อเสนอแนะการวจิ ยั
        จากการศึกษาแนวทาง สถานการณ์ บทบาท และแนวโน้มของรูปแบบการจดั การชุมชนแบบ
ตอบแทนคุณระบบนิเวศ จากการใช้ชุมชนเป็ นฐานเพื่อการท่องเที่ยวพ้ืนท่ีบางกะเจา้ อาเภอพระประแดง
จงั หวดั สมุทรปราการ ด้วยการวิจยั เอกสาร สัมภาษณ์เชิงลึก การถอดบทเรียน และนามาสรุปผลการ
สังเคราะห์เพ่ือประเมินแนวทางสถานการณ์บทบาทและแนวโน้มของรูปแบบการพฒั นากลยุทธ์ตาม
กระบวนการเทคนิค SWOT ANALYSIS วิเคราะห์สภาพแวดลอ้ มในประเด็นจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส และ
อุปสรรค์ มาทาการ MATRIX ในแต่ละดา้ นน้ัน ผลการศึกษาพบวา่ แนวทางกลยุทธ์การจดั การชุมชนแบบ
ตอบแทนคุณระบบนิเวศในพ้ืนท่ีการท่องเท่ียวโดยชุมชนบางกะเจ้า อาเภอพระประแดง จังหวัด
สมุทรปราการในแต่ละดา้ น ไดแ้ ก่ กลยุทธ์เชิงรุก ประกอบดว้ ยการกาหนดมาตรการทางสงั คม กฎกติกาและ
กฎหมายในการการจดั การสิ่งแวดลอ้ ม วฒั นธรรม และการท่องเท่ียวในชุมชน การสร้างความร่วมมือและ
การประสานแผนงานโครงการในการจดั การพ้ืนท่ีเชิงระบบนิเวศ หรือส่ิงแวดลอ้ ม การส่งเสริมให้ชุมชนมี
การเช่ือมโยงการท่องเท่ียว กบั ระบบนิเวศเกษตร สุขภาพ นันทนาการและวฒั นธรรมตลอดห่วงโซ่มูลค่า
อยา่ งมีประสิทธิภาพเพื่อให้เกิดการกระจายรายได้ และส่งเสริมใหม้ ีการจดั ต้งั กลุ่ม ชมรม สมาคมในการการ
จดั การส่ิงแวดลอ้ ม วฒั นธรรม และการทอ่ งเที่ยวในชุมชน ไดส้ อดคลอ้ งกบั ผลการวิจยั ของอรัญยา ปฐมสกุล
และคณะ (2560) เก่ียวกบั การพฒั นาการท่องเท่ียวเชิงนิเวศของชุมชน: กรณีศึกษาตาบลท่าชนะ อาเภอ
ท่าชนะ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี เพ่ือศึกษาบริบทชุมชน ปัญหาและความตอ้ งการ พฒั นาการท่องเท่ียวเชิงนิเวศ
และสร้างยุทธศาสตร์การพฒั นาการท่องเที่ยวเชิงนิเวศการศึกษาเพื่อสร้างยุทธศาสตร์การพัฒนาการ
ท่องเที่ยวเชิงนิเวศของชุมชนซ่ึงไดย้ ุทธศาสตร์ 4 ยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย 1) ยุทธศาสตร์เชิงรุก ไดแ้ ก่
การพฒั นาการท่องเที่ยว ส่งเสริม ศาสนา ศิลปวฒั นธรรม การจดั ระเบียบชุมชน สังคม และการรักษา
ความสงบเรียบร้อย การสร้างความเชื่อมน่ั และส่งเสริมกิจกรรมการท่องเที่ยว พฒั นาผลิตภณั ฑ์ ภูมิปัญญา
ทอ้ งถ่ิน 2) ยทุ ธศาสตร์เชิงป้องกนั คือ เพ่ือการพฒั นาฟ้ื นฟูแหล่งท่องเท่ียวให้เกิดความยงั่ ยนื 3) ยุทธศาสตร์
เชิงแก้ไข คือ เสริมสร้างองค์ความรู้เพ่ือส่งเสริมกิจการการท่องเท่ียว และ 4) ยุทธศาสตร์เชิงวิกฤต คือ
การพฒั นาโครงการพ้นื ฐาน และสิ่งอานวยความสะดวก เพื่อการทอ่ งเที่ยว
        สาหรับกลยทุ ธ์เชิงแกไ้ ข ประกอบดว้ ยการส่งเสริมการจดั สวสั ดิการจากฐานองคก์ รการเงินชุมชน
ในรูปแบบของการออมทรัพยห์ รือการสะสมหุ้นของสมาชิกสหกรณ์เพื่อให้เกิดเป็ นกองทุนหมุนเวียนใน
ชุมชนและนาผลกาไรท่ีเกิดจากการหมุนเวยี นเงินออมมาจดั สวสั ดิการแก่ชุมชน ส่งเสริมการเพิ่มคุณค่าและ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 385
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
มูลค่าของทรัพยากรชุมชนสู่การเป็ นสินคา้ และบริการฐานอตั ลกั ษณ์ของชุมชน กาหนดผงั การจราจรทางน้า
และทางบกในชุมชน ให้เหมาะสมกบั สภาพและศกั ยภาพของพ้ืนที่ ผนวกกบั เทคโนโลยีพกพา (Mobile)
และระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS ) เพื่อแก้ปัญหาการจราจร และ
มลพิษทางอากาศ และสร้างรายได้ในชุมชน มีการกาหนดจดั เก็บอตั ราค่าบริการเข้าคุ้งบางกะเจา้ จาก
นักท่องเที่ยวและกาหนดมาตรการเพื่อสร้างระเบียบวินัยให้นักท่องเท่ียวช่วยกนั ดูแลรักษาส่ิงแวดล้อม
กาหนดขอ้ ตกลงในการบริหารจดั การในการป้องกนั และดูแลรักษาระบบนิเวศ และการพฒั นาแอพพลิเคชนั่
“รักษ์โลก” สะสมแต้ม และสามารถนาแต้ม ไปแลกสิ นค้า บริ การ หรื อส่ วนลด จากภาคเอกชน
ผปู้ ระกอบการหรือกลุ่มในชุมชน และกลยุทธ์เชิงป้องกนั ประกอบดว้ ย การเสริมสร้างบรรทดั ฐานทางสังคม
เพื่อสร้างค่านิยม ความเชื่อ และส่งเสริมจริยธรรม กฎ ระเบียบของชุมชน การสร้างระบบการจดั การน้า เพ่ือ
แกไ้ ขปัญหาน้าเค็มหนุนรุกล้าในพ้ืนที่ ปัญหาน้าท่วม และการกดั เซาะตลิ่ง และการส่งเสริมการสร้างภาคี
ความร่วมมือดา้ นการอนุรักษท์ รัพยากรในชุมชน ไดส้ อดคลอ้ งกบั ผลการศึกษาของ นิตยา งามย่ิงยง และ
ละเอียด ศิลานอ้ ย (2560) ท่ีไดศ้ ึกษาแนวทางการพฒั นาการท่องเที่ยวอยา่ งยง่ั ยืน ชุมชนบริเวณริมฝั่งคลอง
ดาเนินสะดวก ในจงั หวดั สมุทรสาครและจงั หวดั ราชบุรี พบวา่ ชุมชนมีความคิดเห็นในการมีส่วนร่วมของ
ชุมชน ต่อการพฒั นาแหล่งท่องเที่ยว คือ การมีส่วนร่วมในการตดั สินใจ การมีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิการ
การมีส่วนร่วมในการรับผลประโยชน์ และการมีส่วนร่วมในการประเมินผล รวมถึงกลยุทธ์เชิงรับ
ประกอบดว้ ย การตอบโตแ้ บบทนั ทว่ งที เพ่ือส่งเสริมการแกป้ ัญหาไดต้ รงจุดตามท่ีตอ้ งการเน่ืองจากเป็ นการ
บริหารจดั การเพื่อคล่ีคลายสถานการณ์วิกฤติให้อยใู่ นภาวะปกติโดยเร็วที่สุด รวมถึงการบรรเทาและฟ้ื นฟู
และการส่งเสริมให้มีกระบวนการเรียนรู้ดา้ นส่ิงแวดลอ้ มให้กบั เยาวชน โดยการแทรกเน้ือหาและกิจกรรม
เสริมที่เน้นการปลูกฝังจิตสานึกความรับผิดชอบต่อสังคมด้านส่ิงแวดลอ้ ม ไดส้ อดคล้องกบั งานวิจยั ของ
ชายชาญ ปฐมกาญจนาและนรินทร์ สังข์รักษา (2558) ที่ได้ศึกษาแนวทางการส่งเสริมการท่องเท่ียวเชิง
วฒั นธรรมแบบมีส่วนร่วมของชุมชนตลาดบางหลวง อาเภอบางเลน จงั หวดั นครปฐม ผลการวจิ ยั ควรมีการ
พฒั นาบุคลากรเก่ียวกบั การท่องเท่ียว ที่มีจิตอาสาในการพฒั นาการท่องเที่ยวในชุมชน ดา้ นการเงินหรือ
งบประมาณ ควรมีการส่งเสริม สนับสนุนจากองค์การบริหารส่วนตาบลหรือทอ้ งถิ่น และหน่วยงานที่
เกี่ยวขอ้ งควรสนับสนุนงบประมาณในจานวนที่มากพอ ควรมีการรวมกลุ่มกนั ในการให้ความช่วยเหลือ
ประสานงาน และให้ ขอ้ มูลซ่ึงกนั และกนั เพือ่ เป็นเครือขา่ ย
        จากการศึกษาองคป์ ระกอบของกลยทุ ธ์การจดั การชุมชนแบบตอบแทนคุณระบบนิเวศ ในพ้ืนท่ี
การท่องเที่ยวท่ีมีความหลากหลายทางชีวภาพชุมชนบางกะเจา้ ด้วยเทคนิคการวิจยั แบบ EDFR สามารถ
จาแนกองค์ประกอบของกลยุทธ์ออกเป็ น 9 มิติ ไดแ้ ก่ มิติวิถีชีวิตชุมชน มิติความรับผิดชอบต่อสังคมของ
ผูป้ ระกอบการ มิติด้านการจดั การหน่วยวิจยั ชุมชน มิติด้านความเป็ นอนุรักษ์นิยมของชุมชน มิติด้าน
กฎหมาย หรือระเบียบแนวปฏิบตั ิในการบริหารจดั การ มิติดา้ นการทอ่ งเที่ยวเชิงอนุรักษ์ มิติดา้ นการผลิตและ
การบริโภคท่ีเป็ นมิตรกบั ส่ิงแวดลอ้ มอยา่ งยง่ั ยนื มิติดา้ นการจดั การระบบนิเวศ และมิติดา้ นการจดั การภาวะ
 386 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 16
คุกคาม โดยกลยุทธ์ท้งั 9 มิติน้ีจะเขา้ มาช่วยในการจดั การให้ชุมชนบางกะเจา้ มีการดาเนินงานที่ส่งเสริมให้
ผใู้ ชห้ รือผูไ้ ดร้ ับประโยชน์จากบริการของระบบนิเวศในพ้ืนที่บางกะเจา้ มีการตอบแทนส่ิงแวดลอ้ มดว้ ยการ
รักษา อนุรักษ์ และฟ้ื นฟูระบบนิเวศน้นั ๆ ให้คงไวซ้ ่ึงบริการหรือประโยชน์ท่ีไดร้ ับจากระบบนิเวศอย่าง
ยงั่ ยืน ได้สอดคล้องกับงานวิจัยของเจนจีรา อกั ษรพิมพ์ (2560) ได้ศึกษากลยุทธ์การจัดการท่องเท่ียว
โดยชุมชนแบบยงั่ ยนื ในจงั หวดั นครราชสีมา โดยพบวา่ มีการจดั การท่องเที่ยวใน 5 ประเด็น ไดแก่ ดา้ นการ
บริหารจดั การ ด้านเศรษฐกิจ สังคม และคุณภาพชีวิต ดา้ นการอนุรักษ์และส่งเสริมมรดกทางวฒั นธรรม
ดา้ นการจดั การทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม และดา้ นการบริการและความปลอดภยั โดยมุ่งเนน้ การ
ส่งเสริมและพฒั นาดา้ นการทอ่ งเท่ียวอยา่ งค่อยเป็นค่อยไป โดยอยบู่ นพ้นื ฐานของการบริหารจดั การที่ยงั่ ยนื
        ข้อเสนอแนะจากการวจิ ัย
        1. ควรส่งเสริมให้มีการจดั ทากระบวนการกากบั ดูแลและแผนติดตามกลยุทธ์การจดั การชุมชน
จากผลการดาเนินงานดา้ นเศรษฐกิจ สิ่งแวดลอ้ ม และสงั คม โดยองคก์ ารปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน เพ่ือสร้างการ
มีส่วนร่วมของผมู้ ีส่วนไดเ้ สียในแต่ละภาคส่วนกบั องคก์ รที่รับผดิ ชอบ
        2. ควรส่งเสริมการบริหารจดั การสิ่งแวดลอ้ ม โดยใชแ้ นวทางการพฒั นาเศรษฐกิจสีเขียว และการ
พฒั นานวตั กรรม เพ่ือช่วยแกไ้ ขปัญหาการจดั การมลพิษทางส่ิงแวดลอ้ ม และทรัพยากรในชุมชน ควบคู่ไป
กบั ผลการดาเนินงานดา้ นเศรษฐกิจและความเป็นอยขู่ องชุมชนที่ดีข้ึน
        ข้อเสนอแนะการวจิ ัยคร้ังต่อไป
        1. คุง้ บางกะเจา้ มีลกั ษณะ เป็ นพ้ืนท่ีราบลุ่มริมแม่น้าเจา้ พระยา จึงไดร้ ับผลกระทบจากการพดั พา
ขยะ และน้าเสียจากกรุงเทพมหานครและจากพ้ืนที่ตน้ น้าเขา้ มาในพ้ืนที่ ดงั น้นั ควรมีการศึกษารูปแบบการ
จดั การปัญหาขยะ และน้าเสียของกรุงเทพมหานคร และจากพ้ืนที่ตน้ น้า ก่อนปล่อยทิ้งลงสู่แม่น้าเจา้ พระยา
เพอ่ื เป็นการอนุรักษพ์ ้ืนที่สีเขียวและปอดกลางเมืองของกรุงเทพฯ
        2. ควรมีการศึกษารูปแบบการจดั การท่องเท่ียวให้มีการเช่ือมโยงกบั ระบบนิเวศเกษตร สุขภาพ
นนั ทนาการและวฒั นธรรมตลอดห่วงโซ่มูลคา่ ตามแนวทางการพฒั นาเศรษฐกิจสีเขียว
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 387
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
รายการอ้างองิ
คณะกรรมการนโยบายการท่องเท่ียวแห่งชาติ กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา. (ม.ป.ป.). เเผนพัฒนาการ
        ท่องเท่ียวแห่งชาติ ฉบบั ที่ 2 (พ.ศ. 2560 – 2564). กรุงเทพฯ: กระทรวงการท่องเท่ียวและกีฬา.
จุติชยั ดว้ งลาพนั ธ์, เยาวนิตย์ ธาราฉาย, เกรียงศกั ด์ิ ศรีเงินยวง, ศิริชยั หงษว์ ทิ ยากร และปรัชมาศ ลญั ชานนท.์
        (2556). การพัฒนาพืน้ ท่ีสีเขยี วภายใต้แนวคิดชุมชนนิเวศ กรณีศึกษา: เทศบาลเมืองแม่โจ้ อาเภอ
        สันทราย จังหวัดเชียงใหม่. การประชุมวิชาการและนาเสนอผลงานวิชาการเครือข่ายงานวิจยั
        นิเวศวิทยาป่ าไมป้ ระเทศไทย คร้ังท่ี 2 ณ มหาวิทยาลยั แม่โจ้ จ.เชียงใหม่ ระหว่างวนั ท่ี 24-26
        มกราคม พ.ศ. 2556.
จุมพล พูลภัทรชีวิน. (2548). การปฏิบัติการวิจัยด้วย EDFR. วารสารบริ หารการศึกษา มหาวิทยาลัย
        ขอนแก่น, 1(2), 19-31.
เจนจีรา อกั ษรพิมพ์. (2560). กลยุทธ์การจดั การท่องเท่ียวโดยชุมชนแบบยงั่ ยืนในจงั หวดั นครราชสีมา.
        วารสารวิจัยและพัฒนา วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์, 12(3), 141-154.
ชายชาญ ปฐมกาญจนา และนรินทร์ สังข์รักษา. (2558). แนวทางการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงวฒั นธรรม
        แบบมีส่วนร่วมของชุมชนตลาดบางหลวง อาเภอบางเลน จงั หวดั นครปฐม. Academic Services
        Journal Prince of Songkla University, 26(1).
ไชยรัตน์ เจริญสินโอฬาร. (2543). วาทกรรมการพัฒนา: อานาจ ความรู้ ความจริง เอกลักษณ์ และความเป็ น
        อ่ืน. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพว์ ภิ าษา.
ธงชยั สันติวงษ.์ (2539). การบริหารงานบุคคล. กรุงเทพฯ: ไทยวฒั นาพานิช
นิโรธ เดชกาแหง. (2558). การพัฒนากลยทุ ธ์การจัดการคุณภาพขององค์การธุรกิจการจัดงานแสดงสินค้าใน
        ประเทศไทย. ปริญญาปรัชญาดุษฎีบณั ฑิตสาขาวิชาการจดั การ, บณั ฑิตวิทยาลยั , มหาวิทยาลยั
        ศิลปากร
นิตยา งามยง่ิ ยง และละเอียด ศิลานอ้ ย. (2560). แนวทางการพฒั นาการทอ่ งเที่ยวอยา่ งยง่ั ยนื ชุมชนบริเวณริม
        ฝ่ังคลองดาเนินสะดวก ในจงั หวดั สมุทรสาครและจงั หวดั ราชบุรี. วารสารวิทยาลัยดุสิตธานี,
        11(1).
บุญมาก ศิริเนาวกุล พีรณฐั โชวส์ ูงเนิน และสุชาย ธนวเสถียร. (2556) แผนยทุ ธศาสตร์การท่องเท่ียวจงั หวดั
        ราชบุรีและดชั นีช้ีวดั . Stamford Journal, 5(1), 51-56.
พจนา สวนศรี. (2546). คู่มือการจัดการท่องเท่ียวโดยชุมชน. กรุงเทพฯ: โครงการท่องเท่ียวเพ่ือชีวิตและ
        ธรรมชาติ.
มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด และ อคั รพงศ์ อ้นั ทอง. (2554). การวิเคราะห์ อุปสงค์การท่องเที่ยวไทยในระยะยาว.
        วารสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ , 29(2).
 388 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 16
มิ่งสรรพ์ ขาวสอาด, อคั รพงศ์ อ้นั ทอง, พรทิพย์ เธียรธีรวิทย์ กุลดา เพ็ชรวรุณ และนุกุล เครือฟู. (2556).
        เศรษฐศาสตร์ ว่าด้วยการท่องเท่ียว. โครงการเมธีวจิ ยั อาวุโส, สานกั งานกองทุนสนบั สนุนการวจิ ยั
        (สกว.). เชียงใหม่: สถาบนั ศึกษานโยบายสาธารณะ
ลลิดา ขุนทอง. (2550). แนวทางการวางแผนพัฒนาการท่องเท่ียวเชิงบริการทางการแพทย์ในจังหวดั ภูเก็ต.
        หลกั สูตรปริญญาวิทยาศาสตรมหาบณั ฑิต, สาขาวิชาการวางแผนและการจดั การการท่องเที่ยว
        เพ่อื อนุรักษส์ ่ิงแวดลอ้ ม, มหาวทิ ยาลยั ศรีนครินทรวโิ รฒ.
วรางคณา ผลประเสริฐ. (ม.ป.ป). แนวคิดเกย่ี วกับการจัดการเชิงกลยทุ ธ์. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 10 กุมภาพนั ธ์ 2560,
        เขา้ ถึงไดจ้ าก www.stou.ac.th/Schools/Shs/upload/หน่วยที่1ชุดวชิ า%2058708.pdf
ศกั ด์ิศรี รักไทย. (2560). การประเมินมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ของบริการระบบนิเวศพ้ืนท่ีชุ่มน้า. วารสาร
        วิทยาศาสตร์บูรพา, 22(3).
ศรีณัฐ ไทรชมภู และบุญเกียรติ ไทรชมภู. (ม.ป.ป.). การท่องเที่ยวเชิงนิเวศบนฐานความหลากหลายทาง
        ชีวภาพและภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น เพ่ือการพฒั นาเศรษฐกิจในพ้ืนท่ีคุง้ บางกะเจา้ อาเภอพระประแดง
        จงั หวดั สมุทรปราการ. วารสารวิชาการ มหาวิทยาลยั ราชภฏั พระนคร, 6(2).
สมชาย ภคภาสนว์ วิ ฒั น.์ (2540). กลยทุ ธ์การแข่งขนั ของธุรกิจ. กรุงเทพฯ: มติชน.
สมยศ นาวกี าร. (2539). ทฤษฎอี งค์กร. กรุงเทพฯ: สานกั พิมพส์ ามคั คีสาร (ดอกหญา้ ) จากดั .
เสนาะ ติเยาว.์ (2543). หลกั การบริหาร. กรุงเทพฯ: โรงพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
สานักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
        ส่ิงแวดล้อม. (2561). แผนจัดการคุณภาพส่ิงแวดล้อมพ.ศ. 2560 – 2564. กรุงเทพฯ: กระทรวง
        ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดลอ้ ม.
สานักงานพฒั นาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน). (2560). โครงการต้นแบบการเสริมสร้ าง
        ศักยภาพขององค์ กรปกครองส่ วนท้ องถ่ินในการป้องกันและใช้ ประโยชน์ จากความหลากหลาย
        ทางชีวภาพอย่างย่ังยืน ในภูมินิเวศของประเทศไทย (SLBT). กรุงเทพฯ: สานักงานพัฒนา
        เศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องคก์ ารมหาชน).
สานักวางแผนการเกษตร ทรัพยากรธรรมชาติ และส่ิงแวดล้อม: สานักงานคณะกรรมการพัฒนาการ
        เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2554). การจ่ายค่าตอบแทนการให้ บริ การของระบบนิเวศ
        (Payment for Ecosystem Service: PES). เอกส ารส รุ ป ก ารป ระชุ ม The 3rd South-East Asia
        Workshop on Payment for Ecosystem Service (PES) - Investment in Natural Capital for Green
        Growth 12-15 มิถุนายน 2554 ณ เมืองบนั ดา อาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซีย.
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 389
พรธิดา เทพประสิทธ์ิ/ ธีระวฒั น์ จนั ทกึ / พทิ กั ษ์ ศิริวงศ์
อรัญยา ปฐมสกุล วิศาล ศรีมหาวโร และสมคิด รัตนพนั ธุ์. (2560). การพฒั นาการท่องเท่ียวเชิงนิเวศของ
        ชุมชน: กรณีศึกษาตาบลทา่ ชนะ อาเภอท่าชนะ จงั หวดั สุราษฎร์ธานี. วารสารราชภฏั สุราษฎร์ธานี,
        4(1).
อุดม เชยกีวงศ์ วิมล โรจนพันธุ์ และประชิต สกุณะพัฒน์. (2548). การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ. กรุงเทพฯ:
        สานกั พมิ พแ์ สงดาว.
Alkhafaji, A. F. (2003). Strategic Management Formulation. Implementation and Control in a Dynamic
        Environment. New York: Haworth Press.
Bettinghaus, E. P., & Cody, M. J. (1994). Persuasive Communication. New York: Holt, Rinehart and
        Winston.
Cohen, J. M., & Uphoff, N. (1997). Rural Development Participation. Concepts and Measures for Project
        Design, Implementation and Evaluation. Ithaca, New York: Cornell University.
Hampton, D. R. (1986). Management (3rd ed.). New York: Mc Graw-Hill International Editions.
Denzin, N. K. (1978). The Research Act: A Theoretical Introduction to Sociological Methods. New York:
        McGraw-Hill.
Earle, E. M., Craig, G. A., & Gilbert, F. (1943). The Makers of Modern Strategy. Military Thought from
        Machiavelli to Hitler.
Evans, G. (2005). Measure for measure: evaluating the evidence of culture’s contribution to regeneration.
        Urban Studies, 42(5/6), 1-25.
Gezici, F., & Kerimoglu, E. (2010). Culture, tourism and regeneration process in Istanbul. International
        Journal of Culture Tourism and Hospitality Research, 4(3), 252-265.
Steiner, G. A. (1997). Strategic Planning. Free Press Paperbacks.
Jensen, S. S. (2007). The roles of culture and creativity within urban development strategies: Scandinavian
        cities. Centre for Strategic Urban Research, CSB, 8(2007).
Sebele, L. S. (2010). Community-based tourism ventures, benefits and challenges: Khama Rhino
        Sanctuary Trust, Central District, Botswana. Tourism Management, 31, 136–146.
Porter, M. E. (1980). Competitive strategy. New York: The Free Press.
Nation TV. (2559). “บางกะเจ้า"โมเดลพืน้ ที่คุ้มครอง สวล. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 10 กุมภาพนั ธ์ 2561, เขา้ ถึงได้
        จาก http://www.nationtv.tv/main/content/378507639/
Pearce, J. A., & Robinson, R. B. (2009). Strategic Management: Formulation, Implementation, and
        Control. New York: McGraw-Hill Higher Education.
 390 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 16
Kotler, P. (2003). Marketing management (11th ed.). New Jersey: Pearson Education.
Pitts, R. A., & Lei, D. (2000). Strategic Management: Building and Sustaining Competitive Advantage
        (2nd ed.). U.S.A.: South-Western Publishing.
Robbins, S. P., & Coulter, M. (1999). Management (6th ed.). Upper Saddle River, NJ: Prentice-Hall.
Scherhorn, J. R. (2002). Management (7th ed.). New York: John Wiley and Sons.
Skinner, B. F. (1983). A matter of consequences. New York: Knopf.
McMillan, T. T. (1971). The Delphi Technique. paper presented at annual meeting of California Junior
        College Association Commission on Research and Development (3 May 1971) Monterrey
        California .
Tosun, C. (2006). Expected nature of community participation in tourism development. Tourism
        Management, 27(3), 493–504.
Mortberg, U. M., & Balfors, B., & Knol, W. C. (2007). Landscape ecological assessment: A tool for
        integrating biodiversity issues in strategic environmental assessment and planning. Journal of
        Environmental Management, 82(4), 457-470.
Sasidharana, V., Sirakayab, E., & Kerstetter, D. (2 0 0 2 ). Developing countries and tourism ecolabels.
        Tourism Management, 23, 161–174.
Wheelen, T. J., & Hunger, D. (2004). Strategic Management and Business Policy (8th ed.). New Jersey:
        USA: Pearson Education Inc.
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 391
C H A P T E R 17
อทิ ธิพลตวั แปรคน่ั กลางพหุขนานของทุนทางสังคมและการจดั การความรู้ที่ถ่ายทอด
อทิ ธิพลของระบบปฏบิ ตั งิ านท่ดี สี ู่ประสิทธิภาพของพนักงานอตุ สาหกรรมไฟฟ้าและ
             อเิ ลก็ ทรอนิกส์ในอาเภอบางบัวทอง จงั หวดั นนทบุรี
The Multiple Mediation Effects of Social Capital and Knowledge Management
             on Transferring High Performance Work System
    to Efficacy of Employees of The Electrical and Electronics Industry in
              Bangbuathong District, Nonthaburi Province
                           สวงค์ ใหมหอ้ ง (Sawong Maihong)1
                          ธญั นนั ท์ บุญอยู่(Thanyanan Boonyoo)2
        1นกั ศึกษา หลกั สูตรบริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เอเชียอาคเนย์
    Master Student of Business Administration Program, Graduate School, Southeast Asia University
      2อาจารยป์ ระจาหลกั สูตรบริหารธุรกิจมหาบณั ฑิต บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั เอเชียอาคเนย์
   Lecturer, Master of Business Administration Program, Graduate School, Southeast Asia University
                             E-mail: [email protected]
                                                                   Received: 5 July 2019
                                                              Revised: 19 September 2019
                                                             Accepted: 28 November 2019
บทคดั ย่อ
        การวิจัยคร้ังน้ีมีวตั ถุประสงค์เพ่ือศึกษา (1) ระดับของระบบปฏิบัติงานท่ีดี ทุนทางสังคม
การจดั การความรู้ และประสิทธิภาพของพนกั งาน และ (2) ทุนทางสงั คมและการจดั การความรู้ที่อยูใ่ นฐานะ
ตวั แปรเชื่อมโยงความสัมพนั ธ์ระหว่างระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีกบั ประสิทธิภาพของพนักงานอุตสาหกรรม
ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรี กลุ่มตวั อย่างท่ีใช้ในการวิจยั คือ พนักงาน
อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรี จานวน 210 ตวั อยา่ ง เครื่องมือ
ท่ีใช้ในการวิจยั เป็ นแบบสอบถาม สถิติท่ีใชใ้ นการวิจยั คือ วิเคราะห์ดว้ ยค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบน
มาตรฐาน และการวิเคราะห์สมการโครงสร้างผลการวิจยั พบว่า (1) พนักงานอุตสาหกรรมไฟฟ้าและ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 393
สวงค์ ใหมห้อง/ ธัญนันท์ บุญอยู่
อิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรีมีระดบั ระบบปฏิบตั ิงานท่ีดี ทุนทางสังคม การจดั การ
ความรู้ และประสิทธิภาพมีค่าเฉล่ียโดยรวมอยู่ในระดบั มาก (2) ทุนทางสังคมและการจดั การความรู้เป็ น
ปัจจยั คนั่ กลางท่ีเช่ือมโยงระหวา่ งระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีกบั ประสิทธิภาพของพนักงาน ซ่ึงจากผลการวิจยั น้ี
แสดงให้เห็นว่า ทุนทางสังคมและการจดั การความรู้จะเป็ นปัจจยั ที่สาคญั ที่มาสนับสนุนให้เกิดระบบ
ปฏิบตั ิงานท่ีดีที่จะทาใหบ้ ุคคลในองคก์ รทางานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
คาสาคญั : ระบบปฏิบตั ิงานที่ดี, ทุนทางสังคม, การจดั การความรู้, ประสิทธิของพนกั งาน
Abstract
        This study aimed to investigate; (1) levels of high performance work system, social capital,
knowledge management, and efficacy of employees; (2) the social capital and knowledge management as
the mediated variable correlated with the high performance work system and the efficacy of employees of
the Electrical and Electronics Industry in Bangbuathong District, Nonthaburi Province. Samples in the
study were 210 employees of the Electrical and Electronics Industry in Bangbuathong District, Nonthaburi
Province. The research instruments in the study were a questionnaire and statistics used in the study were
percentage, means, standard deviation, and the analysis of the structural equation modeling (SEM). The
results of the study revealed that; (1) the employees of the Electrical and Electronics Industry in
Bangbuathong District, Nonthaburi Province had averaged levels of levels of high performance work
system, social capital, knowledge management, and efficacy at the high level; (2) the social capital and
knowledge management was a mediated variable which was correlated with the high performance work
system and the efficacy of employees. Additionally, this study showed that the social capitals and
knowledge management were main factors supporting good operational system for employees’ work
efficacy.
Keywords: High performance work system, Social capital, Knowledge management, Efficacy of
employees
บทนา
        สภาวะทางการคา้ โลกในปัจจุบนั มีการแข่งขนั กนั อยา่ งรุนแรง ในหลายๆ ประเทศที่กาลงั พฒั นา
ต่างมีความคาดหวงั ที่จะดึงดูดนักลงทุนให้เขา้ มาลงทุน และจากโลกแห่งการคา้ เสรีท่ีขยายกฎเกณฑ์ทาง
 394 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 17
การคา้ และการลงทุนให้มีอิสระมากข้ึน ทาให้เกิดการโยกยา้ ยแหล่งลงทุน เพื่อใหเ้ กิดความคุม้ ทุนทางธุรกิจ
ทาให้การดาเนินชีวิตและความตอ้ งการของผูบ้ ริโภคเปล่ียนแปลงไป แนวโน้มการเติบโตตามผลิตภณั ฑ์
หลกั ๆ ของอุตสาหกรรมเคร่ืองใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์จาเป็ นตอ้ งมีการปรับตวั ซ่ึงผูท้ ่ีจะมีบทบาทใน
การกาหนดทิศทางการพฒั นาของเทคโนโลยีท่ีเป็ นผูผ้ ลิตอุปกรณ์สารก่ึงท่ีเป็ นตวั นาที่สาคญั จะมาจาก
สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ป่ ุน และเกาหลีใต้ เป็ นต้น (สานักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม, 2556) จึงทาให้
อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทยตอ้ งพ่ึงพาการลงทุนจากบริษทั ต่างชาติเป็ นหลกั โดยการผลิตใน
ประเทศส่วนใหญ่เป็ นการรับจา้ งการผลิตในส่วนของอุปกรณ์และชิ้นส่วน อีกท้งั พ้ืนฐานและสินคา้ เหล่าน้ี
ไทยเองก็ตอ้ งเผชิญกบั คู่แข่งที่มีตน้ ทุนการผลิตท่ีถูกกวา่ และมีเทคโนโลยีการผลิตท่ีทนั สมยั ตลอดจนมีการ
ใช้กระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีข้นั สูง จึงทาให้ภาคอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทย
จาเป็ นตอ้ งมีการเปล่ียนแปลงและปรับตวั ตลอดเวลา เพื่อให้อุตสาหกรรมสามารถสร้างความไดเ้ ปรียบการ
แข่งขนั และสามารถสร้างผลการปฏิบตั ิงานที่ทาให้ธุรกิจเติบโตต่อไปไดอ้ ยา่ งยง่ั ยืน (สานักงานเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม, 2557)
        อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่มีฐานการผลิตมานานกวา่ 40 ปี และเป็ นอุตสาหกรรมท่ี
สาคญั ต่อการเป็ นห่วงโซ่อุปทานแห่งหน่ึงของโลก ซ่ึงจากสถานการณ์ท่ีมีการพฒั นาและเปล่ียนแปลงไป
อยา่ งรวดเร็ว ทาใหอ้ ุตสาหกรรมเคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์ไทยตอ้ งเผชิญกบั ปัจจยั เสี่ยงที่ไม่สามารถ
แขง่ ขนั ในตลาดโลกได้ เนื่องจากโครงสร้างความตอ้ งการใชง้ านชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีแนวโนม้ เปล่ียนไป
ใช้งานอิเล็กทรอนิกส์ท่ีสูงข้ึน อีกท้งั ความตอ้ งการใช้งานเคร่ืองใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ลดลงอย่าง
ตอ่ เนื่อง (ศูนยว์ จิ ยั เศรษฐกิจ ธุรกิจและเศรษฐกิจฐานราก, 2561) ทาใหอ้ ุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเลก็ ทรอนิกส์
ไทยตอ้ งมีการกาหนดตาแหน่งเชิงกลยุทธ์ใหม่ โดยมุ่งเน้นกระบวนการปฏิบตั ิงานให้เกิดประสิทธิภาพแก่
พนกั งาน (Shahzadi et al., 2014) ซ่ึงสามารถวดั ไดจ้ ากคุณภาพและปริมาณของผลผลิตตามลกั ษณะงาน และ
การส่งมอบการปฏิบตั ิงานที่ทนั เวลาท่ีแสดงใหเ้ ห็นประสิทธิภาพการทางานของบุคคลที่สามารถตรวจสอบ
ได้ โดยพนกั งานจะไดร้ ับอิทธิพลอยา่ งมากจากประสิทธิภาพของการทางานในองคก์ รและระบบการจดั การ
ผลตอบแทน เพ่ือสร้างความพึงพอใจให้กบั ลูกค้า (Taghipour & Dejban, 2013) ท่ีเสริมสร้างอานาจทาง
จิตวทิ ยาใหเ้ กิดระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีท่ีสามารถออกแบบระบบการจดั การทรัพยากรภายในองคก์ ารที่เชื่อมโยง
ผลลัพธ์ที่ก่อให้เกิดประสิทธิภาพของพนักงาน (Messersmith et al., 2011; Ramsay, Scholarios & Harley,
2000) โดยอาศยั ทุนทางสังคมที่จะเป็ นระบบการแลกเปล่ียนที่สนบั สนุนสาหรับการดารงอยูข่ องปัจจยั การ
แลกเปลี่ยนทางสังคมกระตุน้ ให้เกิดการเปล่ียนแปลงในระดบั สูง (Takeuchi, Lepak, Wang & Takeuchi,
2007) ที่สัมพนั ธ์กนั กบั การจดั การความรู้จากการมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ภายในองค์การ เพื่อให้สามารถ
สร้างผลการดาเนินงานของแต่ละบุคคลหรือกลุ่มให้เกิดประสิทธิภาพ อีกท้งั สามารถเปล่ียนแปลงทุนทาง
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 395
สวงค์ ใหมห้อง/ ธัญนนั ท์ บุญอยู่
สังคมของภายในองค์การให้เกิดการมีส่วนร่วมของพนักงานอย่างมีประสิทธิภาพได้เช่นกนั (Boxall &
Macky, 2009; Jiang & Liu, 2014)
        ดงั น้นั จากความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหาขา้ งตน้ ผูว้ ิจยั สนใจท่ีจะศึกษาอิทธิพลตวั แปร
คนั่ กลางพหุขนานของทุนทางสังคมและการจดั การความรู้ท่ีถ่ายทอดอิทธิพลของระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีสู่
ประสิทธิภาพของพนักงานอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรี
โดยจะศึกษาประเด็นที่ว่า เพราะเหตุใดหรือมีปัจจยั ใดบ้างหรือไม่ท่ีทาหน้าท่ีเป็ นปัจจัยเช่ือมโยงไปสู่
ประสิทธิภาพของพนกั งานอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรี เพ่ือ
สนบั สนุนใหเ้ กิดทฤษฎีทางการบริหารจดั การท่ีสามารถนามาใชใ้ ห้เกิดประโยชน์ต่อภาครัฐและหน่วยงานท่ี
เก่ียวข้องในการนาผลการวิจยั ไปประยุกต์ใช้ในการวางแผนและกาหนด กลยุทธ์ในการส่งเสริมและ
การพฒั นาผลการดาเนินงานขององคก์ าร และการวางแผนเชิงกลยทุ ธ์ในการแข่งขนั ของอุตสาหกรรมไฟฟ้า
และอิเลก็ ทรอนิกส์ในเขตอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรีตอ่ ไป
วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย
        1. เพ่ือศึกษาระดบั ของระบบปฏิบตั ิงานที่ดี ทุนทางสังคม การจดั การความรู้ และประสิทธิภาพ
ของพนกั งานอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรี
        2. เพื่อศึกษาทุนทางสังคมและการจดั การความรู้ท่ีอยู่ในฐานะตวั แปรเช่ือมโยงความสัมพนั ธ์
ระหวา่ งระบบปฏิบตั ิงานที่ดีกบั ประสิทธิภาพของพนกั งานอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอ
บางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรี
ขอบเขตของการวจิ ัย
        1. ขอบเขตดา้ นเน้ือหา เป็ นการศึกษาคร้ังน้ีผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษาอิทธิพลตวั แปรคน่ั กลางพหุขนานของ
ทุนทางสังคมและการจดั การความรู้ท่ีถ่ายทอดอิทธิพลของระบบปฏิบตั ิงานที่ดีสู่ประสิทธิภาพของพนกั งาน
อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ โดยการศึกษาคร้ังน้ีมุ่งเน้นตัวแปรท่ีประกอบด้วย (1) ระบบ
ปฏิบตั ิงานท่ีดี (High Performance Work Systems) (2) ทุนทางสังคม (Social Capital) (3) การจดั การความรู้
(Knowledge Management) (4) ประสิทธิภาพของพนกั งาน (Employee Performance)
        2. ขอบเขตด้านประชากร โดยการวิจัยคร้ังน้ีกาหนดขอบเขตด้านประชากร คือ พนักงาน
อุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบวั ทอง จงั หวดั นนทบุรีที่จดทะเบียนกบั กรมโรงงาน
อุตสาหกรรม ซ่ึงมีท้ังสิ้น 15 แห่ง จานวนพนักงาน 291 คน (กรมโรงงานอุตสาหกรรม, 2561) และ
กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ในการวิจยั เป็ นพนักงานอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ในอาเภอบางบัวทอง
จงั หวดั นนทบุรี จานวน 210 ตวั อยา่ ง โดยผูว้ จิ ยั จึงกาหนดขนาดของกลุ่มตวั อยา่ งใชส้ ูตรคานวณตามแนวคิด
 396 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 17
ของ Hair et al. (1998) ผูว้ ิจยั ไดเ้ ลือกแผนการสุ่มตวั อยา่ งตามสัดส่วน (Proportional Allocation) กบั จานวน
ประชากร
การทบทวนวรรณกรรม
        จากการทบทวนวรรณกรรมแนวคิด ทฤษฎี และงานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง ผวู้ จิ ยั ไดท้ าการสรุปไวด้ งั น้ี
        1. ระบบผลการปฏิบัติงานที่ดี (High Performance Work Systems) เป็ นกระบวนการสรรหา
คดั เลือก ค่าตอบแทนแบบ จูงใจและระบบการจดั การผลงาน รวมท้งั การฝึ กอบรมและการมีส่วนร่วมของ
พนกั งาน การส่ือสารระหวา่ งพนกั งานกบั หวั หนา้ พนกั งานกบั พนกั งานดว้ ยกนั เอง การมอบหมายงานที่ทา
อยา่ งเป็นระบบ เป็นตน้ ซ่ึงจะสามารถช่วยพฒั นาความรู้ ทกั ษะความสามารถของพนกั งาน เพื่อเสริมสร้างให้
เกิดแรงจูงใจ ตลอดจนรักษาพนักงานที่มีคุณภาพไวก้ ับองค์การ และสามารถเชื่อมโยงการออกแบบ
เพ่ือเพ่ิมพูนทักษะและความพยายามของพนักงาน การปฏิบัติทางทรัพยากรมนุษย์ที่ถูกออกแบบมา
เพอ่ื เพิม่ พนู สมรรถนะและแรงจูงใจน้นั ยอ่ มมีผลทาใหเ้ กิดการปฏิบตั ิงานของพนกั งานที่ดีไดม้ าซ่ึงการบริการ
ท่ีมีคุณภาพสูงแก่ลูกคา้ เช่นกนั (Evans & David, 2008) และจากการศึกษาของ Gittell, Seidner & Wimbush
(2009) ท่ีว่า กลไกเชิงสาเหตุโดยใช้ระบบปฏิบตั ิงานที่ดี เพ่ือปรับปรุงประสิทธิภาพองค์กรได้ โดยระบบ
ปฏิบตั ิงานท่ีดีจะมีผลต่อการจดั การความรู้ระหว่างพนกั งานที่ทาหนา้ ท่ีแตกต่างกนั ซ่ึงเป็ นวิธีท่ีคาดว่าจะมี
ความสาคญั ดว้ ยการพ่ึงพาอาศยั กนั สูงในการศึกษาเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิงาน (Messersmith et al., 2011) และ
แนวทางการปฏิบตั ิการงานท่ีดีอาจคาดการณ์วา่ เป็ นจุดแข็งของการจดั การความรู้ ระหว่างพนักงานแต่ละ
แผนก เพ่ือให้ไดผ้ ลลพั ธ์ที่มีคุณภาพและประสิทธิภาพสาหรับองค์กรของตน ซ่ึงผลลพั ธ์ของแนวทางท่ี
เกิดข้ึนใหม่ในเร่ืองของการการจดั ทรัพยากรภายในองค์การจะเชื่อมโยงทาให้เกิดระบบปฏิบัติงานที่ดี
ซ่ึงผลลัพธ์เม่ือองค์การมีระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีจะทาให้พนักงานทางานไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพท้งั ผลการ
ปฏิบตั ิงานและระบบการทางานท่ีปรากฏในองคก์ าร (Ramsay, Scholarios & Harley, 2000)
        2. ทุนทางสังคม (Social Capital) เป็ นส่วนเสริมบริบทของทุนมนุษย์ โดยมุมมองของทุนทาง
สังคมจะเกี่ยวขอ้ งกบั การสร้างความสมั พนั ธ์สาหรับการกระทาทางสังคม เป็ นกรอบที่ดีในการแสดงให้เห็น
ถึงโครงสร้างทางสังคมภายในขององค์กรที่สามารถแบ่งความสัมพนั ธ์ระหวา่ งระบบผลการปฏิบตั ิงานท่ีดี
และประสิทธิภาพขององค์กรได้ โดยระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีจะมีอิทธิพลทางบวกต่อโครงสร้างทางสังคม
โดยเครือข่ายที่เช่ือมโยงบรรทัดฐานท่ัวไปของความสัมพันธ์ซ่ึงกันและกัน จะมีผลต่อการแบ่งปัน
แบบจาลองการสร้างบทบาทและพฤติกรรมการของบุคคลภายในองค์การ แมว้ ่า โครงสร้างทางสังคมจะ
สามารถสร้างแบบจาลองทางประสิทธิภาพการทางานของบุคคลในองค์กรได้ตามรูปแบบท่ียง่ั ยืนต่อไป
(Jiang & Liu, 2015) และจากการศึกษาของ Takeuchi, Lepak, Wang & Takeuchi (2007) ที่วา่ ทุนทางสังคม
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 397
สวงค์ ใหมห้อง/ ธัญนนั ท์ บุญอยู่
มีผลต่อประสิทธิภาพของพนกั งาน โดยระบบของทุนทางสังคมจะเป็ นระบบการแลกเปลี่ยนทางสังคมใน
สถานประกอบการที่สามารถกระตุน้ ให้เกิดการแลกเปล่ียนทางสังคมในระดบั สูงและเป็ นปัจจยั ที่นาไปสู่
ความสัมพันธ์เชิงบวกกับประสิ ทธิภาพโดยรวมของพนักงาน ที่อยู่บนพ้ืนฐานของตัวอย่างของ
สถานประกอบการในองคก์ าร และผลการสนบั สนุนสาหรับการดารงอยขู่ องปัจจยั ท่ีเป็ นตวั แปรส่งผา่ นของ
ระบบการปฏิบตั ิงานท่ีมีผลตอ่ การจดั ต้งั โดยรวมตอ่ ประสิทธิภาพของพนกั งาน แมว้ า่ ระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีจะ
ถูกออกแบบให้เป็ นระบบการจดั การทรัพยากรบุคคล แต่ระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีก็จะนาไปสู่ประสิทธิภาพใน
การปฏิบตั ิงานและประสิทธิภาพการบริหารที่ยง่ั ยืนผ่านความยืดหยุ่นที่เกิดข้ึนจากการประสานงานและ
การใชท้ รัพยากรทางความรู้ (Evans & Davis, 2005)
        3. การจัดการความรู้ (Knowledge Management) เป็ นกระบวนการของการสร้าง การแบ่งปัน
และการใชแ้ หล่งขอ้ มูลที่มีอยูใ่ นองคก์ ร เพื่อประโยชน์ขององคก์ รท่ีสามารถสร้างวตั ถุประสงคต์ ามบทบาท
ของความรู้ ซ่ึงเป็ นส่วนหน่ึงของกิจกรรมองค์กรและการตดั สินใจท่ีสามารถสร้างความไดเ้ ปรียบในการ
แข่งขนั ให้เกิดข้ึนตามสภาพแวดลอ้ มทางธุรกิจที่ซับซ้อนย่ิงข้ึน โดยความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยีต่าง ๆ
ไม่วา่ จะเป็ นเทคโนโลยสี ารสนเทศยอ่ มถือวา่ การจดั การความรู้จะเป็ นวิธีที่เป็ นระบบในการใชค้ วามรู้ท่ีมีอยู่
ในองคก์ รไดห้ ลากหลายรูปแบบ (ธญั นนั ท์ บุญอย,ู่ 2561) นอกจากน้นั ความรู้ที่เกิดข้ึนจากตวั พนกั งานจะถือ
เป็ นกระบวนการและเคร่ืองมือต่าง ๆ ที่องค์กรสามารถนามาประยุกต์ใช้ให้เกิดการจดั การความรู้ในทาง
ปฏิบตั ิไดห้ ลากหลายเช่นกนั (Boxall & Macky, 2009) และจากการศึกษาของ Du, Ai & Ren (2007) ที่ว่า
การจดั การความรู้และประสิทธิภาพของพนกั งาน โดยคานึงถึงปัจจยั ทางบริบทของการจดั การความรู้และ
ปัจจยั แวดลอ้ มตามบริบททางประสิทธิภาพของพนักงาน ซ่ึงลกั ษณะจดั การความรู้และประสิทธิภาพของ
พนกั งานสามารถบูรณาการปัจจยั ตา่ ง ๆ ท่ีอาจเกิดข้ึนกบั รูปแบบท่ีหลากหลายมิติภายในองคก์ าร ซ่ึงอิทธิพล
ของการจดั การความรู้และสมรรถนะหลกั จะสอดคลอ้ งกนั ตามบริบทของปัจจยั ที่อาจเกิดข้ึน โดยไดร้ ับการ
สนบั สนุนจากปัจจยั ท่ีอาจเกิดข้ึน ขณะการมีส่วนร่วมในการจดั ความรู้ท่ีเกิดจากการปฏิบตั ิงานจะสามารถ
เพิม่ ประสิทธิภาพการทางานของพนกั งานได้ (Boxall & Macky, 2009) เช่นเดียวกบั Jiang & Liu (2014) ท่ีวา่
ระบบปฏิบตั ิงานท่ีดีจะมีความสัมพนั ธ์โดยตรงต่อประสิทธิภาพของพนกั งาน แต่อย่างไรก็ตามการที่จะ
ทางานใหม้ ีประสิทธิภาพไดน้ ้นั ท้งั ผูน้ าองคก์ ารและพนกั งานตอ้ งมุ่งเนน้ ให้พนกั งานเกิดการเรียนรู้ภายใน
องค์การ เพื่อให้สามารถสร้างผลการดาเนินงานของแต่ละบุคคลหรือของกลุ่มให้เกิดประสิทธิภาพ อีกท้งั
ระบบปฏิบตั ิงานที่ดีสามารถเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพขององค์การได้ โดยการเปลี่ยนทุนทางสังคมของ
องคก์ ารภายในองคก์ รใหเ้ กิดการมีส่วนร่วมของพนกั งานเพ่มิ สูงข้ึน
        4. ประสิทธิภาพของพนักงาน (Efficacy of Employees) เป็นความสามารถในการปฏิบตั ิงานของ
พนกั งานที่เกิดผลดีกบั องคก์ ร โดยการปฏิบตั ิงานอยา่ งมีข้นั ตอนตามระยะเวลาที่กาหนดและมีผรู้ ับผิดชอบ
การดาเนินงานตามที่ไดร้ ับหมอบหมายให้ได้ปริมาณงาน คุณภาพงาน และอตั ราผลผลิตท่ีมีประสิทธิภาพ
ซ่ึงประสิทธิภาพของพนกั งานทุกระดบั ภายในองคก์ รจะอยภู่ ายใต้ ขอบเขตวธิ ีการท่ีองคก์ รกาหนดไวเ้ พื่อให้
 398 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับที่ 2