เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
        ไตรรัตน์ โภคพลากรณ์ และวราภรณ์ รุ่งเรืองกลกิจ (2549, หน้า 9-22) กล่าวว่า งบประมาณทา
หน้าท่ีเป็ นทรัพยากรการบริหารเพื่อสนับสนุนให้รัฐบาลสามารถบริหารประเทศได้บรรลุเป้าหมาย
งบประมาณพจิ ารณาไดใ้ นบทบาทท่ีต่างกนั คือ ทรัพยากรการบริหารเพ่ือสนบั สนุนใหร้ ัฐบาลสามารถบริหาร
ประเทศไดบ้ รรลุเป้าหมาย งบประมาณพิจารณาไดใ้ นบทบาทท่ีต่างกนั 3 บทบาท เป็นเคร่ืองมือในการควบคุม
ภาวะเศรษฐกิจของประเทศในรูปนโยบายการคลงั บทบาทด้านการบริหารงบประมาณเป็ นเครื่องสาคญั ใน
การบริหารประเทศสามารถ นาไปซ้ือปัจจยั อื่น ๆ ทางการบริหาร บทบาททางการเมืองเป็ นเครื่องมือของฝ่ าย
นิติบญญั ตั ิในการควบคุมการบริหารงานของรัฐบาล เป็ นเครื่องมือในการประชาสัมพนั ธ์ของรัฐบาลดว้ ยการ
ใชป้ ระโยชน์จากการใชจ้ ่ายเงินภาษีอากร งบประมาณมีอยู่ 3 รูปแบบ คือ งบประมาณแบบสมดุล งบประมาณ
แบบเกินดุล และงบประมาณแบบขาดดุล การจดั ทางบประมาณของรัฐบาลจึงต้องคานึงถึงรูปแบบของ
งบประมาณ นอกจากน้ีกระบวนการงบประมาณ มี 4 ข้นั ตอน คือ
        ข้นั ตอนที่ 1 การจดั ทางบประมาณ มีการจดั ต้งั คณะทางาน ประธานควรเป็ นผูบ้ ริหารที่สามารถ
มอบหมายนโยบาย และมีความรู้ด้านงบประมาณ คณะทางาน คือ ผูท้ าหน้าที่วางแผนงานการตลาดเพื่อ
ประเมินรายรับ ผรู้ ับผดิ ชอบโครงการและฝ่ ายจดั ซ้ือจดั เพ่ือทาหนา้ ที่ประมาณการรายจ่าย ผูแ้ ทนส่วนกลางที่
รับผิดชอบ ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจดั การ ผูแ้ ทนจากฝ่ ายบญั ชีและการเงินท่ีจะช่วยตรวจสอบรายละเอียด
งบการเงิน และงบกระแสเงินสด การกาหนดระยะเวลาท่ีตอ้ งใชใ้ นการจดั เตรียมรายละเอียดงบประมาณของหน่วย
ตา่ งๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ ง
        ข้นั ตอนที่ 2 การตรวจสอบรายละเอียดของแบบร่างงบประมาณรายรับ - รายจ่าย ก่อนนาเสนอต่อ
ท่ีประชุมคณะกรรมการบริหาร หรือที่ประชุมของคณะกรรมการบริษัทใช้พิจารณาต่อไป การอนุมัติ
งบประมาณ ฝ่ ายบญั ชีและฝ่ ายการเงินจะมีการจดั ต้งั คณะทางานข้ึนมา ทาหนา้ ที่พิจารณากลนั่ กรองงบประมาณ
รายจ่ายประจาปี ก่อนนาเสนอคณะกรรมการบริ หาร อาจมีการอนุมัติแบบมีเงื่อนไขให้ปรับปรุ ง
ก่อนประกาศใชเ้ ป็นงบประมาณประจาปี ตอ่ ไป
        ข้นั ตอนท่ี 3 การบริหารงบประมาณ เป็ นข้นั ตอนที่สาคญั ท่ีสุดที่จะแปลงแผนงานใหเ้ กิดข้ึนเป็ น
รูปธรรม ธุรกิจยคุ ใหม่ ผูบ้ ริหารในทุกระดบั ช้นั จาเป็ นอยา่ งย่ิงท่ีตอ้ งมีขอ้ มูลต่าง ๆ ต้งั แต่ข้นั แผนงานจนถึงข้นั
งบประมาณ ตลอดจนควรเป็ นผูม้ ีส่วนต้งั แต่เริ่มตน้ ในการจดั ทาแผนงานและงบประมาณดงั กล่าวเพื่อที่เมื่อ
ตอ้ งลงมือปฏิบตั ิงานจะไดเ้ ขา้ ใจภาพรวมในการบริหารจดั การ ซ่ึงจะทาให้กิจการสามารถกา้ วหน้าได้
อยา่ งรวดเร็วและเป็ นระบบ อีกท้งั หากมีปัจจยั เสี่ยงเกิดข้ึนจะไดม้ ีส่วนร่วมในการแกไ้ ขปัญหาให้กบั องคก์ ร
ตลอดจนกากบั ดูแลงานในความรับผดิ ชอบของตนให้มีประสิทธิภาพ ท้งั ดา้ นการบริหารจดั การและการควบคุม
ตน้ ทุน รวมท้งั ค่าใชจ้ า่ ยตา่ ง ๆ ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดกบั องคก์ ร
        ข้นั ตอนที่ 4 การติดตามประเมินผล การจดั ทารายงานและติดตามประเมินผล การปฏิบตั ิงานของ
แต่ละหน่วยงาน ในช่วงเวลาที่กาหนดว่าสามารถบรรลุเป้าหมาย และวตั ถุประสงค์ของโครงการไดห้ รือไม่
มีปัญหาอุปสรรคอยา่ งไร และมีความจาเป็ นตอ้ งปรับปรุง หรือทบทวนแผนงานหรือไม่ นบั เป็ นข้นั ตอนสาคญั
 244 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 11
ที่ฝ่ ายบริหารตอ้ งทาหนา้ ท่ีติดตามประเมินผลดงั กล่าว ท้งั น้ีก็เพือ่ เป็ นเคร่ืองมือวดั ผลการดาเนินงานของแต่ละ
หน่วยงานไดอ้ ยา่ งดีดว้ ย
        สถาบนั วิจยั เพ่ือการพฒั นาประเทศไทย สานักส่งเสริมและพิทกั ษ์ผูส้ ูงอายุ (สทส.) สานักงาน
ส่งเสริมสวสั ดิภาพและพิทกั ษ์เด็ก เยาวชน ผูด้ อ้ ยโอกาส และผูส้ ูงอายุ (สท.) (2555) เสนอวิธีการคานวณ
ภาระทางงบประมาณของภาครัฐในการให้บริการสวสั ดิการสาหรับผสู้ ูงอายุในประเทศไทย รวมถึงวิธีการ
ประมาณการรายไดข้ องภาครัฐในอนาคต ดงั น้ี
        1. รายจ่ายสวสั ดิการผูส้ ูงอายุภายใตร้ ะบบปัจจุบนั การคานวณแบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ 1) สารวจ
รายจ่ายสวสั ดิการผู้สูงอายุในปัจจุบัน และ 2) การประมาณการแนวโน้มในอนาคต โดยข้อมูลหลัก
ประกอบดว้ ย ขอ้ มูลรายจ่ายงบประมาณภาครัฐสาหรับผสู้ ูงอายุ จากระบบการบริหารการเงินการคลงั ภาครัฐ
แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Government Fiscal Management Information System: GFMIS) ของกรมบญั ชีกลาง
กรมส่งเสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน กองทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ สานกั งานประกนั สังคม และสานกั งาน
ส่งเสริมสวสั ดิการและพทิ กั ษเ์ ด็ก เยาวชน ผดู้ อ้ ยโอกาส และผสู้ ูงอายุ
        2. แนวโน้มรายจ่ายในอนาคตของสวสั ดิการผูส้ ูงอายุภายใตร้ ะบบปัจจุบนั ในการประมาณการ
แนวโน้มงบประมาณรายจ่ายของสวสั ดิการผูส้ ูงอายุภายใตร้ ะบบปัจจุบนั จนถึงปี พ.ศ.2564 น้ันตอ้ งใช้
สมมติฐานหลายประการในการคานวณ ท้งั น้ีเนื่องจากตอ้ งมีการคาดการณ์ในอนาคตว่า สวสั ดิการแต่ละ
ประเภทมีการเปลี่ยนแปลงท้ังด้านจานวนผู้มีสิ ทธ์ิและงบประมาณต่อหัว นอกจากน้ียังต้องมีการ
ต้งั สมมติฐานหลายประการ ประกอบดว้ ย อตั ราการจา่ ยเบ้ียยงั ชีพแบบข้นั บนั ได คา่ ใชจ้ า่ ยในศูนยพ์ ฒั นาการ
จดั สวสั ดิการสังคมผูส้ ูงอายุภายใตก้ รมพฒั นาสังคมและสวสั ดิการ คานวณโดยค่าใช้จ่ายความจาเป็ นข้นั
พ้ืนฐานของผูส้ ูงอายุของปี พ.ศ 2554 ค่าใช้จ่ายสถานสงเคราะห์คนชราของกรมส่งเสริมการปกครอง
ทอ้ งถ่ิน คานวณโดยให้เติบโตตามแนวโนม้ ค่าเฉลี่ยในอดีตปี 2550 - 2553 เท่ากบั ร้อยละ 9 ต่อปี การคานวณ
มูลค่าผลประโยชน์ทดแทนกรณีชราภาพของกองทุนประกนั สังคมใชต้ ามแบบจาลองของสถาบนั วจิ ยั เพ่ือ
การพฒั นาประเทศไทย งบประมาณค่าใชจ้ ่ายกรณีเสียชีวติ ของสานกั งานประกนั สังคม คานวณจากรายจ่ายต่อ
หัวประกอบด้วย 2 ส่วน คือ ค่าทาศพ 40,000 บาท/ คนและปรับด้วยเงินเฟ้อร้อยละ 2.5 ต่อปี และค่าเงิน
สงเคราะห์ปรับดว้ ยเงินเฟ้อร้อยละ 2.5 ต่อปี ส่วนจานวนผูไ้ ดร้ ับผลประโยชน์กรณีเสียชีวิต เท่ากบั ร้อยละ 0.2
ของผูป้ ระกันตน การคานวณมูลค่าบาเหน็จบานาญข้าราชการภายใตร้ ะบบเดิมใช้ตามแบบจาลองของ
สถาบนั วิจยั เพ่ือการพฒั นาประเทศไทย การคานวณมูลค่าบาเหน็จบานาญขา้ ราชการภายใตร้ ะบบกองทุน
บาเหน็จบานาญขา้ ราชการใชต้ ามแบบจาลองของกองทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ การคานวณมูลค่าเงิน
สมทบกองทุนการออมแห่งชาติของภาครัฐใชต้ ามแบบจาลองของสถาบนั วิจยั เพื่อการพฒั นาประเทศไทย
เงินสงเคราะห์คา่ จดั การศพคานวณโดยผูส้ ูงอายุที่เสียชีวิตจะไดร้ ับค่าทาศพรายละ 20,000 บาทและจานวนผู้
ไดร้ ับเงินจดั การศพ คือ ผูท้ ี่อายุ 60 ปี ข้ึนไปที่เสียชีวิตได้รับทุกคน โดยคานวณจากอตั ราการตายภายใต้
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 245
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
แบบจาลองของสถาบนั วิจยั เพ่ือการพฒั นาประเทศไทย และกิจกรรมการส่งเสริมให้ผูส้ ูงอายุได้รับการ
คุม้ ครองและการส่งเสริมการใชศ้ กั ยภาพทางสังคมและกองทุนผสู้ ูงอายภุ ายใตส้ านกั งานส่งเสริมสวสั ดิภาพ
และพิทกั ษ์เด็ก เยาวชน ผูด้ ้อยโอกาสและผูส้ ูงอายุ เติบโตตามระบบเศรษฐกิจหรือผลิตภัณฑ์มวลรวม
ประชาชาติ (GDP) ที่ร้อยละ 7 ตอ่ ปี
        3. การประมาณรายไดข้ องรัฐบาล การวเิ คราะห์ความเป็ นไปไดใ้ นทางปฏิบตั ิหรือความเป็นไปได้
ทางการเงิน นาไปสู่ความยงั่ ยืนของสวสั ดิการผูส้ ูงอายุ จะตอ้ งพิจารณาถึงรายไดห้ รือแหล่งท่ีมาของเงินใน
การจดั สรรสวสั ดิการต่าง ๆ ซ่ึงเป็ นภาษีรวมของรัฐบาล ประมาณการความสามารถการหารายไดข้ องรัฐ
ข้ึนกบั รายไดป้ ระชาชาติเป็ นหลกั นนั่ คือ หากรายไดป้ ระชาชาติมีแนวโนม้ เพิ่มข้ึนรายไดข้ องภาครัฐก็จะมี
แนวโน้มเพิ่มข้ึนตามไปด้วย และข้ึนอยู่กับขนาดของฐานภาษีในลักษณะของจานวนผูท้ างานในภาค
เศรษฐกิจในระบบ เพราะหากผูท้ างานในระบบมีจานวนมาก การเก็บภาษีของภาครัฐก็จะทาได้ง่ายข้ึน
โดยจะใชต้ วั แปรสดั ส่วนของประชากรในเขตเมืองเป็นตวั แทนขนาดฐานภาษี
วธิ ดี าเนินการวจิ ยั
        การวิจัยคร้ังน้ี เป็ นการวิจัยแบบผสม (Mixed Methodology) ประกอบด้วย การวิจัยเชิงคุณภาพ
(Qualitative Research) และการวจิ ยั เชิงปริมาณ (Quantitative Research) โดยมีข้นั ตอนดงั น้ี
        ข้นั ตอนที่ 1 ทบทวนวรรณกรรม เป็ นการศึกษาค้นควา้ จากเอกสารทางวิชาการ เอกสารทาง
ราชการต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั แนวทางการจดั สรรงบประมาณผูส้ ูงอายใุ นอดีตและปัจจุบนั จากแหล่งขอ้ มูลท่ี
น่าเช่ือถือ อีกท้งั คน้ ควา้ เพ่ิมเติม จากบทความวชิ าการ จากวารสารต่าง ๆ รายงานวจิ ยั สื่อตีพิมพ์ และแนวคิด
ทฤษฎีที่เก่ียวข้อง ได้แก่ แนวคิดเก่ียวกบั ผูส้ ูงอายุ แนวคิดเก่ียวกบั คุณภาพชีวิตผูส้ ูงอายุ แนวคิดทฤษฎี
ความต้องการของมนุษย์ แนวคิดเกี่ยวกับนโยบายสาธารณะ แนวคิดเก่ียวกับสวสั ดิการสังคมผูส้ ูงอายุ
แนวคิดเกี่ยวกับงบประมาณ แนวคิดทฤษฎีเกี่ยวกบั รูปแบบ ตลอดจนวิเคราะห์สภาพความเป็ นจริงของ
เหตุการณ์ท้ังในอดีตและปัจจุบนั โดยเฉพาะการศึกษาข้อมูลของสานักงบประมาณ ที่รัฐบาลจดั สรร
งบประมาณใหผ้ สู้ ูงอายุ ทุกกระทรวงที่เก่ียวขอ้ งในปัจจุบนั
        ข้นั ตอนที่ 2 ทาการออกแบบแบบสัมภาษณ์เชิงลึกแบบมีโครงสร้าง จานวน 2 ตอน คือ ตอนที่ 1
ขอ้ มูลทว่ั ไปของผตู้ อบแบบสมั ภาษณ์ ประกอบดว้ ย ชื่อ - สกุลผใู้ หส้ ัมภาษณ์ อายุ หน่วยงานที่สังกดั ปัจจุบนั
ดารงตาแหน่ง ประสบการณ์ทางาน (ปี ) และตอนท่ี 2 ความคิดเห็นดา้ นงบประมาณผสู้ ูงอายุ ดงั น้ี การจดั สรร
งบประมาณหน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งที่ไดร้ ับการจดั สรรงบประมาณ จานวนเงินงบประมาณท่ีจดั สรร หลกั การ
คานวณหรือการประมาณการหรือการคาดการณ์งบประมาณ ที่มาของเงินงบประมาณ ปัญหาการจดั สรร
งบประมาณ ขอ้ เสนอแนะการจดั สรรงบประมาณ
 246 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 11
        ข้นั ตอนที่ 3 สมั ภาษณ์เชิงลึก (In-depth Interview) กบั ผใู้ หข้ อ้ มูล จานวน 23 คน
        ข้นั ตอนที่ 4 ทาการสงั เคราะห์เพอ่ื หาปัจจยั ตา่ ง ๆ ท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั งบประมาณ
        ข้นั ตอนที่ 5 สร้างสมการถดถอยเชิงพหุคูณ
        ข้นั ตอนท่ี 6 การยืนยนั ผลการวิจยั ด้วยใช้วิธีการสัมภาษณ์ ผูบ้ ริหารท่ีเกี่ยวขอ้ งกับการจดั สรร
งบประมาณผสู้ ูงอายุ จานวน 6 คน
        ข้ันตอนท่ี 7 สรุปแนวทางการจัดสรรงบประมาณผูส้ ูงอายุท่ีเหมาะสมของประเทศไทยเชิง
พยากรณ์ในอนาคต
ผลการวจิ ยั
        กระทรวงหรือหน่วยงานที่ไดร้ ับการจดั สรรงบประมาณสาหรับผูส้ ูงอายุ ประกอบดว้ ย กระทรวง
พฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนุษย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงศึกษาธิการ
กระทรวงแรงงาน กรมการแพทย์ กรมอนามยั กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กรมส่งเสริมการปกครอง
ท้องถิ่น สานักงานประกนั สังคม สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ สานักงานกองทุนสนับสนุน
การสร้างเสริมสุขภาพ สานกั งานพฒั นาสังคมและความมน่ั คงของมนุษย์ กองทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ
กองทุนการออมแห่งชาติ องคก์ ารปกครองส่วนทอ้ งถิ่น กรุงเทพมหานคร
        จานวนเงินงบประมาณที่รัฐจดั สรรให้กับหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อใช้กับผูส้ ูงอายุในแต่ละปี น้ัน
เพ่ิมข้ึนหรือลดลงมีผลมาจากจานวนผูส้ ูงอายุท่ีมากข้ึน อตั ราเงินเฟ้อ มีหลักการคานวณหรือประมาณ
การงบประมาณผูส้ ูงอายุ ประกอบด้วย เงินภาษี จานวนผูส้ ูงอายุ ประกนั สังคม กองทุนสารองเล้ียงชีพ
กองทุนการออมแห่งชาติ เงินกองทุนรวมเพื่อการเล้ียงชีพ (RMF) เงินประกนั ชีวิตแบบบานาญ อตั ราเงินเฟ้อ
รายไดค้ รัวเรือน ความเติบโตทางเศรษฐกิจ อตั ราการเกิด อตั ราการตาย คนที่อยู่ในวยั ทางาน ความยืนยาว
ของชีวิต ดงั น้นั ตวั แปรที่ใชใ้ นการประมาณการหรือคาดการณ์งบประมาณผสู้ ูงอายุ ไดแ้ ก่ เงินภาษี อนั ดบั
ต่อมา จานวนผูส้ ูงอายุ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้ครัวเรือน เงินประกันสังคม กองทุนสารอง
เล้ียงชีพ กองทุนการออมแห่งชาติ อตั ราการเกิดและอตั ราการตาย เงินกองทุนรวมเพ่ือการเล้ียงชีพ (RMF)
เงินประกนั ชีวิตแบบบานาญ คนท่ีอยูใ่ นวยั ทางานและความยืนยาวของชีวิต ตามลาดบั โดยท่ีมาของเงิน
งบประมาณผูส้ ูงอายุมาจากเงินงบประมาณแผ่นดิน กองทุนผูส้ ูงอายุ เงินภาษี ผลตอบแทนการลงทุนของ
เงินกองทุน เงินประกนั สังคม กองทุนสารองเล้ียงชีพ กองทุนการออมแห่งชาติ เงินกองทุนรวมเพอ่ื การเล้ียงชีพ
(RMF) เงินประกนั ชีวติ แบบบานาญ ส่วนปัญหาการจดั สรรงบประมาณผสู้ ูงอายุ ไดแ้ ก่ แผนงาน/ โครงการ
ขาดความสมบูรณ์ ความครบถ้วนของข้อมูล ขาดบุคลากรในการดาเนินงาน ผูส้ ูงอายุมีจานวนมากข้ึน
งบประมาณ การจาแนกกลุ่มอายุ กฎระเบียบและกฎหมาย การบูรณาการหน่วยงาน
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 247
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
        ผลการสัมภาษณ์เชิงลึกนามาวิเคราะห์เน้ือหาโดยใชท้ ฤษฎี PESTEL ANALYSIS มีปัจจยั สาคญั
คือ ดา้ นนโยบายของภาครัฐ (Policy: P) ดา้ นเศรษฐกิจ การเงินการคลงั (Economy: E) ดา้ นสังคม (Social: S)
ดา้ นความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี (Technology: T) ดา้ นสภาพแวดลอ้ ม (Environment: E) และดา้ นกฎหมาย
(Legal: L)
        1. ดา้ นนโยบาย (Policy: P) นโยบายของภาครัฐท่ีมีความสาคญั ต่อการจดั สรรงบประมาณผสู้ ูงอายุ
ประกอบด้วยปัจจยั ย่อย คือ 1) ความต่อเนื่องของนโยบาย คือ เม่ือมีการเปล่ียนรัฐบาลใหม่ ทาให้มีการ
ปรับเปลี่ยนนโยบายเกิดความไม่แน่นอน นโยบายถูกใช้เป็ นเครื่องมือในการหาเสียงของพรรคการเมือง
นโยบายรัฐบาลอาจถูกกาหนดโดยผบู้ ริหาร 2) การกาหนดทิศทางของนโยบาย นโยบายของรัฐบาลกาหนด
ข้ึนเพื่อตอบสนองความตอ้ งการของประชาชน นานโยบายไปสู่การปฏิบตั ิดาเนินการดว้ ยการออกคาสัง่ และ
กฎระเบียบ 3) ความสอดคลอ้ งกบั แผนยทุ ธศาสตร์ แผนยุทธศาสตร์ชาติสอดคลอ้ งและเช่ือมโยงกบั นโยบาย
ผสู้ ูงอายุ และแผนแม่บทอื่น ๆ อีกดว้ ย นโยบายผูส้ ูงอายเุ ป็ นแผนงานระยะยาวเพื่อรองรับจานวนประชากร
สูงวยั ที่มีจานวนเพ่ิมมากข้ึน ไม่สามารถดาเนินงานจบในรัฐบาลเดียวที่มีระยะเวลาในการบริหารงานเพียง
4 ปี 4) ความเป็ นเอกภาพการบริหารจดั การ มีหน่วยงานจานวนมากที่เก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินการผุส้ ูงอายุ
หากไม่มีความเป็ นเอกภาพ จะไม่สามารถขบั เคลื่อนหรือดาเนินการให้สาเร็จตามเป้าประสงค์ หน่วยงานท่ี
ดาเนินการเกี่ยวขอ้ งกบั ผูส้ ูงอายุหากใชร้ ะเบียบวิธีการกลน่ั กรองท่ีจะขบั เคลื่อนนโยบายผูส้ ูงอายุให้สาเร็จ
ตามเป้าประสงค์
        2. ด้านเศรษฐกิจ การเงินการคลัง (Economic: E) พบว่า 1) ข้อจากัดด้านงบประมาณ เช่น
งบประมาณรายจ่ายประจาปี เป็ นการต้งั งบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุล ค่าใชจ้ ่ายดา้ นงบประมาณผูส้ ูงอายุ
เพิ่มข้ึนทุกปี ระบบงบประมาณผูส้ ูงอายุเป็ นแบบแยกส่วนรัฐบาลต้องใส่เงินหลายช่องทาง และการ
ช่วยเหลือสนบั สนุนผสู้ ูงอายุเป็ นงบประมาณของภาครัฐเกือบ 100% 2) การจดั เก็บรายไดแ้ ละภาษี รัฐตอ้ ง
หาแหล่งงบประมาณจากการจดั เก็บภาษีเพ่ือการใชจ้ ่ายตามนโยบายสังคมสูงอายเุ พ่ิมเติม เพราะดูแลสังคม
สูงอายุรัฐใชร้ ายไดจ้ ากภาษีมาใชจ้ ่ายท้งั หมดเกือบทุกโครงการ รายไดข้ องรัฐมีจากดั แต่ภาระรายจ่ายเพิ่มข้ึน
ทุกปี แนวทางการเพิ่มรายได้ของรัฐเพ่ือใช้สนับสนุนนโยบายสังคมสูงอายุให้มั่นคงยง่ั ยืนยงั ไม่ชัดเจน
รัฐตอ้ งมีนโยบายส่งเสริมใหน้ กั ลงทุนต่างประเทศและภาคเอกชนของไทยผลิตและส่งออกสินคา้ นวตั กรรม
มากข้ึน 3) ความสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์ เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจขาข้ึน (ดี) และขาลง (ไม่ดี) เป็ นช่วง
แห่งความยากลาบาก เปราะบางและเป็ นความเสี่ยงท้งั สิ้น สถานการณ์ทางการเมืองท่ีไม่มีเสถียรภาพมี
ผลกระทบต่อความเชื่อมน่ั ทางดา้ นเศรษฐกิจการเงินการคลงั ท้งั ในประเทศและต่างประเทศ 4) วธิ ีการจดั สรร
งบประมาณ เช่น การจดั สรรงบประมาณของรัฐที่ผ่านมามีลกั ษณะเป็ น Top - Down Process การบริหาร
งบประมาณมีลกั ษณะเป็ นแบบรวมอานาจ ซ้าซ้อนในการจดั สรรและการเบิกจ่ายก่อให้เกิดความล่าช้า
ช่องทางงบประมาณตามนโยบายผูส้ ูงอายุมีหลายโครงการ (กองทุน) การเปิ ดโอกาสให้รัฐบาลได้ใช้
งบประมาณตามนโยบายท่ีสัญญาไวก้ บั ประชาชน
 248 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 11
        3. ดา้ นสังคม (Social: S) พบวา่ 1) โครงสร้างประชากร เมื่อประเทศไทยกา้ วเขา้ สู่สังคมสูงอายุ
ทาให้จานวนประชากรสูงอายุมีเพิ่มมากข้ึน คนวยั ทางานลดลง ส่งผลกระทบต่อการพฒั นาประเทศ วิกฤติ
ทุนมนุษย์ วิกฤติแรงงาน วิกฤติครอบครัวและสังคม 2) ความตอ้ งการคุณภาพชีวิตท่ีสูงข้ึน ทศั นคติต่อ
ผสู้ ูงอายุ มีประโยชน์น้อย ข้ีบ่น เป็ นภาระของลูกหลานและสังคม 3) การให้บริการทางสังคม คุณภาพการ
ให้บริการ ความครอบคลุม ตอบสนองความตอ้ งการของผสู้ ูงอายุ จดั บริการไม่ใช่ให้มารับบริการเป็ นการ
เพิ่มภาระในการเขา้ มารับบริการ มีทางเลือกเพื่อให้เขา้ ถึงบริการ เพ่ือเป็ นส่วนการส่งเสริมสังคมสูงอายุให้
เขม้ แขง็
        4. ดา้ นความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี (Technology: T) พบวา่ 1) ฐานขอ้ มูล ศูนยก์ ลางขอ้ มูล ไดแ้ ก่
ขอ้ มูลผูส้ ูงอายุ ของแต่ละหน่วยงานไม่ตรงกัน และไม่เป็ นปัจจุบนั บตั รประจาตัวประชาชนผูส้ ูงอายุ
หน่วยงานกลางท่ีเป็ นฐานข้อมูลหรือศูนย์กลางข้อมูล 2) การวิเคราะห์ข้อมูล มีหน่วยงานกลางและ
เทคโนโลยีที่ทนั สมยั 3) การตรวจสอบ ติดตาม ปรับปรุงประเมินผล เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ระบบการ
สื่อสารและระบบงานสารสนเทศต่าง ๆ
        5. ดา้ นสภาพแวดลอ้ ม (Environment: E) พบวา่ สภาพแวดลอ้ มตอ้ งมีความเหมาะสม ความมนั่ คง
ปลอดภยั พิบตั ิ ภยั ธรรมชาติ อาคาร สถานที่สาธารณะ ส่ิงอานวยความสะดวกทางกายภาพของผูส้ ูงอายุ และ
ปราศจากมลพิษ มลภาวะ สภาพอากาศ ฝ่ นุ ละออง เสียงและกลิ่น
        6. ดา้ นกฎหมาย (Legal: L) พบวา่ การออกกฎหมายตอ้ งคานึงถึงความสอดคลอ้ งกบั สถานการณ์
ไดแ้ ก่ 1) กฎหมายและมาตรการที่เกี่ยวขอ้ งกบั ผูส้ ูงอายุมีน้อย การดูแลผูส้ ูงอายุโดยผูอ้ นุบาลหรือผูพ้ ิทกั ษ์
ตามคาส่ังศาล ผูส้ ูงอายไุ ม่ไดร้ ับความสะดวกขณะเขา้ รับบริการในหน่วยงานของรัฐ ความสามารถในการ
เขา้ ถึงสิทธิและบริการของรัฐ ผสู้ ูงอายถุ ูกละเมิดสิทธิ 2) การกาหนดรายละเอียด กฎระเบียบ ไดแ้ ก่ องคก์ ร
ปกครองส่วนท้องถ่ิน (อปท.)ไม่สามารถดูแลผูส้ ูงอายุตามภารกิจที่ได้รับการถ่ายโอนได้โดยสมบูรณ์
ค่าตอบแทนอาสาสมคั รผูส้ ูงอายุ (อส.ผส.) 3) การควบคุม บงั คบั ใช้ในทางปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ความรุนแรงและ
การละเมิดสิทธิผสู้ ูงอายมุ กั เกิดข้ึนภายในครอบครัวมากท่ีสุด
        แนวทางการจดั สรรงบประมาณผสู้ ูงอายุ มีประเด็นสาคญั ไดแ้ ก่ กาหนดนโยบายในระยะส้ัน และ
ระยะยาวให้สอดคล้องตามแผนยุทธศาสตร์ กาหนดหน่วยงานหลกั เขา้ มารับผิดชอบโดยเฉพาะกาหนด
มาตรการในการจดั หารายได้ การจดั เก็บภาษีเฉพาะ กาหนดมาตรการในการจดั สรรงบประมาณให้ตรงจุด
ความเกี่ยวขอ้ งกบั งบประมาณผูส้ ูงอายุ กาหนดสวสั ดิการให้สอดคลอ้ งสังคมที่เป็ นสังคมผสู้ ูงอายุ และตรง
กบั ความตอ้ งการของประชาชน ขยายการเกษียณอายุการทางานให้ยาวข้ึน สร้างภาคีสังคมนอกเหนือจาก
ภาครัฐให้เขา้ มามีบทบาท จดั ทาศูนยข์ อ้ มูลกลาง และฐานขอ้ มูลท้งั ระบบ นาเทคโนโลยีท่ีทนั สมยั เขา้ มา
ประยุกต์ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล เสริ มการใช้แรงงานคนด้าน
ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ประเมินสถานการณ์และจดั ทาแผนรองรับจากกรณี ภยั พิบตั ิ ภยั ธรรมชาติ มลพิษ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 249
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
มลภาวะสิ่งแวดลอ้ ม สินเช่ือบ้านสาหรับผูส้ ูงอายุ และปรับปรุง แก้ไข และกาหนดกฎหมายข้ึนใหม่ให้
สอดคลอ้ งกบั สถานการณ์
        แนวทางการจดั สรรงบประมาณผสู้ ูงอายุ มีดงั น้ี
        1. ดา้ นนโยบายภาครัฐ ประกอบดว้ ย 1) กาหนดนโยบายในระยะส้ัน และระยะยาวให้สอดคลอ้ ง
ตามแผนยทุ ธศาสตร์ และ 2) กาหนดหน่วยงานหลกั เขา้ มารับผดิ ชอบโดยเฉพาะ
        2. ดา้ นเศรษฐกิจ การเงินการคลงั ประกอบดว้ ย กาหนดมาตรการในการจดั หารายได้ การจดั เก็บ
ภาษีเฉพาะ กาหนดมาตรการในการจดั สรรงบประมาณให้ตรงจุด ความเกี่ยวขอ้ งกบั งบประมาณผูส้ ูงอายุ
กาหนดสวสั ดิการให้สอดคลอ้ งสังคมที่เป็ นสังคมผูส้ ูงอายุ และตรงกบั ความตอ้ งการของประชาชน และ
ขยายการเกษียณอายกุ ารทางานใหย้ าวข้ึน
        3. ดา้ นสงั คม ประกอบดว้ ย สร้างภาคีสังคมนอกเหนือจากภาครัฐใหเ้ ขา้ มามีบทบาท
        4. ดา้ นความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี ประกอบดว้ ย จดั ทาศูนยข์ อ้ มูลกลาง และฐานขอ้ มูลท้งั ระบบ
นาเทคโนโลยีที่ทนั สมยั เขา้ มาประยกุ ตใ์ ช้ในการวิเคราะห์ขอ้ มูล ตรวจสอบ ติดตาม ประเมินผล และเสริม
การใชแ้ รงงานคนดา้ นปัญญาประดิษฐ์ (AI)
        5. ด้านสภาพแวดล้อม ประกอบด้วย การประเมินสถานการณ์และจดั ทาแผนรองรับจากกรณี
ภยั พิบตั ิ ภยั ธรรมชาติ มลพิษ มลภาวะสิ่งแวดลอ้ ม และมีสินเชื่อบา้ นสาหรับผสู้ ูงอายุ (Revere mortgage)
        6. ดา้ นกฎหมาย ประกอบดว้ ย การปรับปรุง แกไ้ ข และกาหนดกฎหมายข้ึนใหม่ให้สอดคลอ้ งกบั
สถานการณ์
        จากการศึกษาขอ้ มูลยอ้ นหลงั 9 ปี ต้งั แต่ปี พ.ศ. 2552 - 2560 โดยการคดั เลือกปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั
งบประมาณผูส้ ูงอายุ 5 ปัจจยั หลกั ที่มีความสาคญั ไดแ้ ก่ มูลค่า GDP (ผลิตภณั ฑ์มวลรวมในประเทศไทย)
(X1) อตั ราการตาย (จานวนราย/ ปี ) (X2) รายได้ครัวเรือน (X3) รายไดก้ ารจดั เก็บภาษีของรัฐเมื่อหักเหลือ
สุทธิ (X4) จานวนผูส้ ูงอายุ (X5) และงบประมาณเบ้ียยงั ชีพ (Y) แล้วนามาสร้างสมการถดถอยเชิงเส้น
พหุคูณโดยการเปรียบเทียบกบั งบประมาณผูส้ ูงอายุของประเทศไทยท่ีจ่ายจริง และค่าเฉล่ียงบประมาณ
ผสู้ ูงอายขุ องประเทศไทยตอ่ คนต่อเดือน ไดส้ มการถดถอยพหุคูณดงั น้ี
            ′ = −47,423.210 + 0.001  1 − 0.220  2 + 5.202  3 + 0.018  4 + 0.002  5
        จากสมการผูว้ ิจยั นามาหาเปอร์เซ็นต์ความคลาดเคลื่อนสมบูรณ์ มีค่าเฉลี่ยความคลาดเคล่ือน
สมบูรณ์เท่ากบั 4.75 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงมีความเหมาะสมในการคานวณหางบประมาณผสู้ ูงอายขุ องประเทศไทย
        สาหรับผลการยนื ยนั ความน่าเช่ือถือของสมการทานายสรุปวา่ ผใู้ หข้ อ้ มูลหลกั เห็นดว้ ยกบั ปัจจยั ท่ี
นามาใชเ้ ป็ นตวั แปรตน้ และเห็นดว้ ยวา่ สมการทานายท่ีไดจ้ ากผลการวิจยั สามารถนาไปใชไ้ ดจ้ ริง และให้มี
ความคิดเห็นว่า รายได้ครัวเรือนเป็ นตัวแปรสาคัญในการนามาพิจารณาหรือประกอบการตัดสินใจ
 250 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 11
งบประมาณสาหรับการจดั สวสั ดิการผสู้ ูงอายุ และควรมีการสารวจรายไดค้ รัวเรือน 2 ปี / คร้ัง ใชข้ อ้ มูลจาก
แหล่งอื่น อตั ราการตายของประชาชน (ผูส้ ูงอายุ) และแนวโน้มการเข้าสู่สังคมผูส้ ูงอายุ (aging society)
ความผนั ผวนของรายไดร้ ัฐ
อภปิ รายผลการวจิ ัย
        ปัจจยั สาคญั ที่มีผลต่อการจดั สรรงบประมาณสาหรับผสู้ ูงอายุ ไดแ้ ก่ นโยบายของภาครัฐ (Policy:
P) เศรษฐกิจ การเงินการคลงั (Economy: E) สังคม (Social: S) ความกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี (Technology:
T) สภาพแวดลอ้ ม (Environment: E) และกฎหมาย (Legal: L) ซ่ึงแต่ละปัจจยั มีความเช่ือมโยงกบั การจดั สรร
งบประมาณสาหรับผสู้ ูงอายุ และเป็นปัจจยั ขบั เคล่ือนจากภายนอกหรือสภาพแวดลอ้ มเชิงมหภาคเพอื่ นาไปสู่
แนวทางในการแกไ้ ขปัญหาหรือนามาประกอบการตดั สินใจ ซ่ึงผลการวจิ ยั คร้ังน้ีพบวา่ ปัจจยั ท่ีมีความสาคญั
มากท่ีสุด คือ นโยบายของภาครัฐ เป็ นเพราะว่า นโยบายเป็ นหลักและวิธีการปฏิบตั ิซ่ึงถือเป็ นแนวทาง
ดาเนินการที่ผูบ้ ริหารใช้ในการตดั สินใจเพ่ือให้การปฏิบตั ิงานเป็ นไปโดยถูกตอ้ งและบรรลุตามวตั ถุประสงค์ที่
กาหนดไว้ นโยบายของประเทศถูกกาหนดข้ึนโดยรัฐบาล เพ่ือเป็ นเครื่องมือท่ีใชเ้ ป็ นแนวทางในการกาหนด
ทิศทางการปฏิบตั ิ เป็ นหนา้ ที่สาคญั ของรัฐบาล คือ การดูแลรับผดิ ชอบประชาชนท่ีเดือดร้อนใหไ้ ดร้ ับบริการ
สงั คมข้นั พ้ืนฐานหรือบริการสวสั ดิการสงั คมจากรัฐ รัฐบาลจึงมีหนา้ ท่ีหลกั โดยมีนโยบายการดูแลทุกขแ์ ละ
สุขของประชาชน ให้สามารถดารงชีวิตอยูไ่ ดต้ ามอตั ภาพของตน โดยนโยบายของรัฐจะอยใู่ นรูปกฎหมาย
และพระราชบญั ญัติสวสั ดิการสังคมของประเทศ ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ ลาสเวล และแคปแลน
(Lasswell & Kaplan, 1970); ประชุม รอดประเสริฐ (2545) และ Mondy (อา้ งถึงใน ประชุม รอดประเสริฐ,
2545) ที่กล่าววา่ นโยบายท่ีดีตอ้ งมีความสอดคลอ้ งกบั วตั ถุประสงค์ขององค์การและสามารถช่วยให้การ
ดาเนินงานบรรลุถึงเป้าประสงค์ได้ กาหนดข้ึนจากฐานข้อมูลท่ีเป็ นจริง การกาหนดข้ึนก่อนที่จะมีการ
ดาเนินงานและกาหนดกลวธิ ีตลอดจนจดั สรรทรัพยากรท่ีเหมาะสมแก่การดาเนินงาน สนองผลประโยชน์ต่อ
บุคคลโดยส่วนรวมและตอ้ งมีการประสานงานร่วมกนั เป็ นถอ้ ยคาที่กะทดั รัด ใช้ภาษาเขา้ ใจง่ายและเป็ น
ลายลกั ษณ์อกั ษร มีขอบเขตและระยะเวลาการใช้ และควรมีความยืดหยุ่นแต่มน่ั คงอยู่บนหลกั การและ
สอดคลอ้ งกบั ระเบียบที่ถูกตอ้ ง ครอบคลุมถึงสถานการณ์ที่จะเกิดข้ึนในอนาคต สอดคลอ้ งกบั ปัจจยั ภายนอก
องค์การ สามารถเปล่ียนแปลงได้ตามความจาเป็ นและอย่างมีเหตุผล นโยบายต้องเป็ นเหตุเป็ นผลและ
สามารถนาไปปฏิบตั ิไดแ้ ละตอ้ งไดร้ ับการตรวจสอบ และทบทวนเป็นระยะ ๆ
        ดา้ นเศรษฐกิจการเงินการคลงั พบว่า ขอ้ จากดั ดา้ นงบประมาณ เช่น รายจ่ายประจาปี เป็ นการต้งั
งบประมาณรายจ่ายแบบขาดดุล ค่าใชจ้ ่ายดา้ นงบประมาณผสู้ ูงอายุมีเพ่ิมข้ึนทุกปี ในปี พ.ศ. 2560 ผสู้ ูงอายมุ ี
จานวนมากกวา่ 11 ลา้ นคนมาขอรับเบ้ียยงั ชีพประมาณ 8 ลา้ นคนเป็ นเงิน 6.5 หมื่นลา้ นบาท และในจานวน
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 251
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
ผสู้ ูงอายุมาลงทะเบียนเป็นผมู้ ีรายไดน้ อ้ ยหรือคนจนมากถึง 4 ลา้ นคน รัฐบาลตอ้ งจดั สรรงบประมาณให้เป็ น
สวสั ดิการด้านอื่น ๆ นอกเหนือจากเบ้ียยงั ชีพ ทาให้รัฐบาลต้องหาเงินหลายช่องทางและสนับสนุน
งบประมาณดา้ นผสู้ ูงอายเุ กือบ 100% รัฐบาลตอ้ งหาแหล่งงบประมาณท่ีส่วนใหญ่มาจากการจดั เก็บภาษีหรือ
เงินภาษี เพื่อการใช้จ่ายตามนโยบายสวสั ดิการสังคมผูส้ ูงอายุเพ่ิมเติม เน่ืองจากรายไดข้ องรัฐบาลมีจากดั
แต่รัฐบาลตอ้ งรับภาระรายจ่ายในการบริหารจดั การพฒั นาประเทศเพิ่มข้ึนทุกปี ดงั ผลการประมาณการทาง
สถิติของสมการรายไดร้ ัฐบาลของ TDRI (2555) เพื่อแสดงผลการประมาณการรายไดภ้ าครัฐในช่วงปี 2555 -
2564 โดยใชแ้ บบจาลองภายใตส้ มมติฐานการขยายตวั เศรษฐกิจกรณีฐานที่ร้อยละ 7 ต่อปี (ผลรวมของการ
ขยายตวั ทางเศรษฐกิจตามราคาคงที่และอตั ราเงินเฟ้อ) สอดคลอ้ งกบั แนวคิดของ ณรงค์ สัจพนั โรจน์ (2541,
หนา้ 12-15) กล่าววา่ ดา้ นเศรษฐกิจเป็นส่ิงจากดั ของการกาหนดงบประมาณ เพราะงบประมาณจะถูกกาหนด
และจากดั ตามสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในขณะน้นั เงินรายรับงบประมาณท่ีจะนามาใช้จ่ายเป็ น
งบประมาณรายจ่ายน้นั ยอ่ มข้ึน อยูก่ บั รายได้ ประชาชาติหรือภาวะเศรษฐกิจดีหรือเลว ภาวะประเทศชาติวา่
ร่ารวยหรือยากจนเป็ นสาคญั ถา้ รายได้ ประชาชาติสูงหรือประเทศท่ีร่ารวย การหางบประมาณรายรับมาใช้
จ่ายเป็ นงบประมาณรายจ่าย ย่อมจะหามาได้มากและย่อมจะมีโอกาสท่ีจะนาเงินงบประมาณไปพฒั นา
ประเทศ หรือดาเนินการอย่างอ่ืนได้ตามวตั ถุประสงค์ที่วางไว้ ความจาเป็ นทางด้านเศรษฐกิจจะเป็ น
ตวั กาหนดให้รัฐบาล ตอ้ งใช้จ่ายงบประมาณไปยงั ด้านน้นั ๆ การประมาณการแนวโน้มของงบประมาณ
รายจ่ายสวสั ดิการผสู้ ูงอายจุ ึงตอ้ งมีการต้งั สมมติฐานหลายประมาณในการคานวณ
        ด้านสังคม มีปัจจัยที่เก่ียวข้อง ได้แก่ โครงสร้างประชากร ความต้องการคุณภาพชีวิตที่ดี
การให้บริการทางสังคมที่มีคุณภาพ เป็ นเพราะเมื่อจานวนผสู้ ูงอายใุ นประเทศไทยมีเพ่ิมข้ึน แต่คนวยั ทางาน
กลบั มีลดลง ทาใหเ้ กิดวิกฤติทุนมนุษยแ์ ละวิกฤติแรงงาน บางครอบครัวผูส้ ูงอายุตอ้ งอยูบ่ า้ นตามลาพงั ไม่มี
บุตรหลานดูแล หากผสู้ ูงอายไุ มไ่ ดเ้ ป็นขา้ ราชการบานาญก็จะไดร้ ับเบ้ียยงั ชีพจากรัฐบาล ดงั น้นั เม่ือผสู้ ูงอายุมี
จานวนมากข้ึนก็มีผลใหร้ ัฐบาลตอ้ งจดั สรรงบประมาณมาดูแลผสู้ ูงอายเุ พม่ิ ข้ึนตามมา ดงั น้นั เม่ือประเทศกา้ ว
เขา้ สู่สังคมสูงอายุ ประชากรสูงอายุมีเพ่ิมมากข้ึน คนวยั ทางานลดลง ส่งผลกระทบต่อการพฒั นาประเทศ
วกิ ฤติทุนมนุษย์ วกิ ฤติแรงงาน วกิ ฤติครอบครัวและสังคม โดยทวั่ ไปประชาชนมกั จะมีความตอ้ งการคุณภาพ
ชีวิตที่สูงข้ึน การให้บริการทางสังคม ตอ้ งมีคุณภาพ ครอบคลุมและตอบสนองความตอ้ งการของผูส้ ูงอายุ
มีทางเลือกเพอื่ ใหเ้ ขา้ ถึงบริการ ดงั แนวคิดของ ณรงค์ สจั พนั โรจน์ (2541, หนา้ 12-15) กล่าววา่ ลกั ษณะของ
สังคมจะเป็ นตวั กาหนดและจากดั งบประมาณเช่นเดียวกนั อาทิ อตั ราการวา่ งงาน อตั ราการอ่านออกเขียนได้
อตั ราโจรผูร้ ้าย การสาธารณสุข การสาธารณูปโภค การสวสั ดิการ และภาวะส่ิงแวดลอ้ มต่าง ๆ ยอ่ มเป็ นตวั
กาหนดให้รัฐบาลได้ตระหนักว่า ควรจะใช้งบประมาณเพื่อการน้ีเป็ นจานวนเท่าไร เพื่อให้สอดคล้อง
ความตอ้ งการของสังคมในดา้ นตา่ ง ๆ นอกจากน้ียงั มีสิ่งต่าง ๆ อีกหลายประการที่สังคมยอมรับ และรัฐบาล
จาเป็นตอ้ งใชไ้ ปเพ่ือการน้นั อาทิ กระบวนการหรือพธิ ีการบางอยา่ งตามวฒั นธรรมตามประเพณี
 252 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 11
        ด้านความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี พบว่า ฐานข้อมูล ศูนยก์ ลางข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลผูส้ ูงอายุ
ของแต่ละหน่วยงานไมต่ รงกนั และไม่เป็นปัจจุบนั บตั รประจาตวั ประชาชนผสู้ ูงอายุ หน่วยงานกลางท่ีเป็ น
ฐานขอ้ มูลหรือศูนย์กลางขอ้ มูล การวิเคราะห์ข้อมูลมีหน่วยงานกลางและเทคโนโลยีที่ทนั สมยั มีการ
ตรวจสอบ ติดตาม ปรับปรุงประเมินผลเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ระบบการสื่อสารและระบบงานสารสนเทศ
ต่าง ๆ เป็ นเพราะวา่ ในอดีตการจดั ทาขอ้ มูลผูส้ ูงอายุของหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งมกั จะมีการตกหล่น มีขอ้ มูล
ไม่ตรงกบั ความเป็ นจริง ผสู้ ูงอายุบางคนไม่มีบตั รประจาตวั ประชาชน ทาใหก้ ารคานวณงบประมาณสาหรับ
การจัดสวสั ดิการให้กับผู้สูงอายุมีความคลาดเคล่ือน ขาดการตรวจสอบ หน่วยงานต่าง ๆ ได้นาเอา
เทคโนโลยสี มยั ใหม่มาจดั กระทาฐานขอ้ มูลประชาชน และจดั เก็บไวท้ ่ีส่วนกลาง
        ด้านสภาพแวดล้อม พบว่า สภาพแวดล้อมต้องมีความเหมาะสม ความมนั่ คงปลอดภยั พิบัติ
ภยั ธรรมชาติ อาคาร สถานท่ีสาธารณะ ส่ิงอานวยความสะดวกทางกายภาพของผูส้ ูงอายุ สภาพแวดลอ้ ม
ของท่ีพักอาศัยต้องปราศจากมลพิษ มลภาวะ สภาพอากาศ ฝ่ ุนละออง เสี ยงและกล่ิน ดังน้ัน ภาวะ
สิ่งแวดลอ้ มต่าง ๆ ยอ่ มเป็ นตวั กาหนดใหร้ ัฐบาลไดต้ ระหนกั วา่ ควรจะใช้งบประมาณเพื่อการน้ีเป็ นจานวน
เท่าไร เพื่อให้สอดคล้องความตอ้ งการ ดงั ท่ี ลอวต์ นั (Lawton, 1985) กล่าวว่า ส่ิงแวดลอ้ มที่มีอิทธิพลต่อ
คุณภาพชีวิตของผูส้ ู งอายุ ประกอบด้วย 5 ส่วน ได้แก่ ส่ิงแวดล้อมทางกายภาพ ลักษณะภูมิอากาศ
ภูมิประเทศ และท่ีอยู่อาศยั บุคคลที่มีความสาคญั ต่อผูส้ ูงอายุ เช่น สมาชิกในครอบครัว เพ่ือน บุคคลอื่น
ทั่วไปท่ีมีปฏิสัมพันธ์กับผูส้ ูงอายุ สถานภาพทางสังคม อายุ เช้ือชาติ และเศรษฐกิจ สภาพสังคม และ
วฒั นธรรมภายในชุมชนที่ผสู้ ูงอายอุ าศยั อยู่
        ด้านกฎหมาย พบว่า การออกกฎหมายต้องคานึงถึงความสอดคล้องกับสถานการณ์ ได้แก่
กฎหมายและมาตรการที่เก่ียวขอ้ งกบั ผูส้ ูงอายมุ ีนอ้ ย การดูแลผูส้ ูงอายุโดยผูอ้ นุบาลหรือผพู้ ิทกั ษต์ ามคาสั่ง
ศาล ผสู้ ูงอายไุ ม่ไดร้ ับความสะดวกขณะเขา้ รับบริการในหน่วยงานของรัฐ ความสามารถในการเขา้ ถึงสิทธิ
และบริการของรัฐ ผูส้ ูงอายุถูกละเมิดสิทธิ การกาหนดรายละเอียด กฎระเบียบ ได้แก่ องค์กรปกครอง
ส่วนทอ้ งถิ่น (อปท.)ไม่สามารถดูแลผูส้ ูงอายุตามภารกิจท่ีได้รับการถ่ายโอนไดโ้ ดยสมบูรณ์ ค่าตอบแทน
อาสาสมคั รผูส้ ูงอายุ (อส.ผส.) การควบคุม บงั คบั ใชใ้ นทางปฏิบตั ิ ไดแ้ ก่ ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิ
ผสู้ ูงอายุมกั เกิดข้ึนภายในครอบครัวมากท่ีสุด ในดา้ นกฎหมายรัฐบาลมีการออกกฎหมายท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การ
จดั สวสั ดิการผสู้ ูงอายุ ไดแ้ ก่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2550 บญั ญตั ิไวใ้ นมาตรา 53 วา่
บุคคลที่มีอายุเกิน 60 ปี บริบูรณ์ และรายไดไ้ ม่เพียงพอแก่การยงั ชีพ มีสิทธิไดร้ ับสวสั ดิการ และสิ่งอานวย
ความสะดวก ที่เป็นสาธารณะอยา่ งสมศกั ด์ิศรีและความช่วยเหลือที่เหมาะสมจากรัฐ พระราชบญั ญตั ิผสู้ ูงอายุ
พ.ศ. 2546 และฉบบั แก้ไข พ.ศ. 2553 ซ่ึงเป็ นพระราชบญั ญัติท่ีมีเน้ือหาในการคุม้ ครองการส่งเสริมและ
สนบั สนุนเก่ียวกบั ผูส้ ูงอายใุ นประเทศไทย รวมท้งั แผนผูส้ ูงอายุแห่งชาติ ฉบบั ที่ 2 (พ.ศ. 2545-2564) ฉบบั
ปรับปรุงคร้ังที่ 1 พ.ศ. 2552 มีการกาหนดสิทธิของผูส้ ูงอายุไวอ้ ยา่ งกวา้ ง ๆ ไม่มีการคุม้ ครองสิทธิประโยชน์
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 253
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
ได้ดีเท่าท่ีควร ไม่ครอบคลุมความตอ้ งการที่แทจ้ ริงของผูส้ ูงอายุ และยงั มีกฎหมายที่เกี่ยวขอ้ งกบั การจดั
สวสั ดิการของผสู้ ูงอายทุ ่ีกระจายอยใู่ นกฎหมายฉบบั ตา่ ง ๆ ท่ีไม่เอ้ือประโยชน์หรือใหค้ วามคุม้ ครองส่งเสริม
ให้ผูส้ ูงอายุมีคุณภาพชีวิตท่ีดี ซ่ึงตามยุทธศาสตร์ของแผนผูส้ ูงอายุแห่งชาติ ฉบบั ที่ 2 ได้แบ่งออกเป็ น 5
ยุทธศาสตร์ คือ ยุทธศาสตร์ท่ี 1 ด้านการเตรียมความพร้อมของประชากรเพ่ือวยั สูงอายุท่ีมีคุณภาพ
ประกอบดว้ ย มาตรการหลกั ประกนั ดา้ นรายไดเ้ พื่อวยั สูงอายุ มาตรการให้การศึกษาและการเรียนรู้ตลอด
ชีวติ มาตรการปลูกจิตสานึกใหค้ นในสังคมตระหนกั ถึงคุณคา่ และศกั ด์ิศรีของผสู้ ูงอายุ ยุทธศาสตร์ท่ี 2 ดา้ น
การส่งเสริมและพฒั นาผูส้ ูงอายุ ประกอบดว้ ย มาตรการส่งเสริมสุขภาพ มาตรการส่งเสริมการรวมกลุ่มและ
สร้างความเขม้ แขง็ มาตรการส่งเสริมการทางานและการหารายไดข้ องผสู้ ูงอายุ มาตรการส่งเสริม สนบั สนุน
สื่อประเภทให้มีรายการเพ่ือผูส้ ูงอายุ และมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผูส้ ูงอายุมีที่อยู่อาศยั และ
สภาพแวดลอ้ มท่ีเหมาะสม ยุทธศาสตร์ที่ 3 ด้านระบบคุม้ ครองทางสังคมสาหรับผูส้ ูงอายุ ประกอบดว้ ย
มาตรการคุม้ ครองดา้ นรายได้ มาตรการหลกั ประกนั ดา้ นสุขภาพ และมาตรการระบบบริการและเครือข่าย
เก้ือหนุน ยุทธศาสตร์ท่ี 4 ดา้ นการบริหารจดั การเพ่ือการพฒั นางานดา้ นผูส้ ูงอายุอยา่ งบูรณาการระดบั ชาติ
และการพฒั นาบุคลากรดา้ นผูส้ ูงอายุ ประกอบดว้ ย มาตรการบริหารัดการเพื่อการพฒั นางานดา้ นผูส้ ูงอายุ
อย่างบูรณาการระดับชาติ และมาตรการส่งเสริมและสนับสนุนการพฒั นาบุคลากรด้านผูส้ ูงอายุ และ
ยทุ ธศาสตร์ที่ 5 ดา้ นการประมวลพฒั นาและเผยแพร่องคค์ วามรู้ดา้ นผสู้ ูงอายุ และการติดตามประเมินผลการ
ดาเนินตามแผนผูส้ ูงอายุแห่งชาติ ประกอบด้วย มาตรการสนับสนุนและส่งเสริมการวิจยั และพฒั นาองค์
ความรู้ด้านผูส้ ูงอายุสาหรับการกาหนดนโยบาย และการพัฒนาการบริการหรือการดาเนินการที่เป็ น
ประโยชน์แก่ผูส้ ูงอายุ มาตรการดาเนินการให้มีการติดตามประเมินผลการดาเนินการตามแผนผูส้ ูงอายุ
แห่งชาติที่มีมาตรฐานอยา่ งตอ่ เนื่อง และมาตรการพฒั นาระบบขอ้ มูลทางดา้ นผสู้ ูงอายใุ หถ้ ูกตอ้ งและทนั สมยั
โดยมีระบบฐานขอ้ มูลที่สาคญั ดา้ นผสู้ ูงอายทุ ่ีง่ายตอ่ การเขา้ ถึงและสืบคน้
        ตวั แปรที่ใชใ้ นการประมาณการหรือคาดการณ์งบประมาณผูส้ ูงอายุ จากผใู้ ห้ขอ้ มูลหลกั จานวน
14 ตวั ไดแ้ ก่ เงินภาษี จานวนผูส้ ูงอายุ ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รายไดค้ รัวเรือน เงินประกนั สังคม
กองทุนสารองเล้ียงชีพ กองทุนการออมแห่งชาติ อตั ราการเกิดและอตั ราการตาย เงินกองทุนรวมเพ่ือการ
เล้ียงชีพ (RMF) เงินประกนั ชีวิตแบบบานาญ คนที่อยูใ่ นวยั ทางานและความยืนยาวของชีวิต โดยปัจจยั ท่ี
เกี่ยวกบั งบประมาณผูส้ ูงอายุ 5 ปัจจยั หลกั ไดแ้ ก่ รายได้การจดั เก็บภาษีของรัฐเมื่อหักเหลือสุทธิ จานวน
ผสู้ ูงอายุ มูลค่า GDP (ผลิตภณั ฑ์มวลรวมในประเทศไทย) รายไดค้ รัวเรือน และอตั ราการตาย (จานวนราย/
ปี ) เพ่ือมาสร้างสมการถดถอยเชิงเส้นพหุคูณ (Multiple Linear Regression) เป็ นเพราะค่าเฉล่ียของตวั แปร
ตาม (Y) และผลรวมของตวั แปรตามทุกตวั มีความสมั พนั ธ์กนั แบบเชิงเส้นตรง พบวา่ สมการที่ไดจ้ ากสมการ
ถดถอยพหุคูณมีความน่าเชื่อถือ มีค่าเฉลี่ยเปอร์เซ็นตค์ วามคลาดเคลื่อนสมบูรณ์เท่ากบั 4.75 เปอร์เซ็นต์ ซ่ึงมี
ความเหมาะสมในการคานวณหางบประมาณผูส้ ูงอายุของประเทศไทย โดยรายไดค้ รัวเรือน เป็ นตวั แปร
สาคญั ที่มีผลต่อการนาไปหาแนวทางปรับงบประมาณของผสู้ ูงอายุ
 254 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 11
        การจดั สวสั ดิการให้กบั ผูส้ ูงอายุตอ้ งใชท้ รัพยากรท้งั การเงินและไม่ใช่การเงิน โดยรัฐบาลจะเป็ น
ผูร้ ับผิดชอบทรัพยากรทางการเงิน หรือเป็ นภาระทางงบประมาณของภาครัฐในการให้บริการสวสั ดิการ
ประเภทต่าง ๆ สาหรับผูส้ ูงอายุ การคานวณงบประมาณของภาครัฐแบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ การสารวจรายจ่าย
สวสั ดิการผูส้ ูงอายุที่เป็ นอยูใ่ นปัจจุบนั และการประมาณการแนวโน้มในอนาคต ขอ้ มูลหลกั ที่ใช้ในการ
จดั ทางบประมาณ คือ ขอ้ มูลรายจ่ายงบประมาณภาครัฐสาหรับผูส้ ูงอายุจากระบบบริหารการเงินการคลงั
กรมบญั ชีกลาง กรมส่งเสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน กองทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ สานกั งานประกนั สงั คม
และสานกั งานส่งเสริมสวสั ดิภาพและพิทกั ษ์เด็ก เยาวชน ผูด้ อ้ ยโอกาสและผูส้ ูงอายุ ซ่ึงรายจ่ายสวสั ดิการ
ผสู้ ูงอายุ ประกอบดว้ ย รายจ่ายบานาญประเภทต่าง ๆ ค่าใชจ้ ่ายในศูนยพ์ ฒั นาการจดั สวสั ดิการสังคมผสู้ ูงอายุ
ผกรมพฒั นาสังคมและสวสั ดิการ) และสถานสงเคราะห์คนชรา (กรมส่งเสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน) เบ้ียยงั
ชีพผสู้ ูงอายุ เงินสงเคราะห์จดั การศพ กิจกรรมการส่งเสริมใหผ้ สู้ ูงอายุไดร้ ับการคุม้ ครองและการส่งเสริมการ
ใชศ้ กั ยภาพทางสังคม และกองทุนผสู้ ูงอายุ สถาบนั วจิ ยั เพื่อการพฒั นาประเทศไทย สานกั ส่งเสริมและพทิ กั ษ์
ผูส้ ูงอายุ (สทส.) สานกั งานส่งเสริมสวสั ดิภาพและพิทกั ษเ์ ด็ก เยาวชน ผูด้ ้อยโอกาส และผูส้ ูงอายุ (2555)
เสนอวา่ การประมาณการแนวโนม้ งบประมาณรายจ่ายของสวสั ดิการผสู้ ูงอายุในอนาคต ตอ้ งใชส้ มมติฐาน
หลายประการในการคานวณ ซ่ึงตอ้ งมีการคาดการณ์ในอนาคตวา่ สวสั ดิการแต่ละประเภทมีการเปล่ียนแปลง
ท้งั ด้านผูม้ ีสิทธ์ิและงบประมาณจึงใช้แบบจาลองเพื่อช่วยประมาณการหลายแบบ คือ 1) แบบจาลอง
ประชากรที่ประมาณการจานวนผูส้ ูงอายุท่ีอิงจากขอ้ มูลพยากรณ์ประชากรของสานกั งานคณะกรรมการ
พฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ 2) แบบจาลองจานวนผูป้ ระกนั ตน โดยเป็ นแบบจาลองประมาณการ
จานวนผปู้ ระกนั ตนซ่ึงอิงกบั ขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากแบบจาลองประชากรและปรับดว้ ยขอ้ มูลแนวโนม้ ของแรงงาน
ท้งั ในระบบ (ผปู้ ระกนั ตนมาตรา 33 และ 39) และนอกระบบ (ผูป้ ระกนั ตนมาตรา 40) 3) แบบจาลองอตั รา
การเสียชีวิตของผูส้ ูงอายุ โดยสถาบนั วิจยั เพื่อการพฒั นาประเทศไทย 4) แบบจาลองมูลค่าผลประโยชน์
ทดแทนกรณีชราภาพ โดยสถาบันวิจยั เพื่อการพฒั นาประเทศไทย 5) แบบจาลองเงินบาเหน็จบานาญ
ขา้ ราชการภายใตร้ ะบบเดิม โดยสถาบนั วิจยั เพื่อการพฒั นาประเทศไทย 6) แบบจาลองเงินบาเหน็จบานาญ
ขา้ ราชการภายใตร้ ะบบกองทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ โดยกองทุนบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ (กบข.)
7) แบบจาลองเงินกองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
8) แบบจาลองรายได้ประชาชาติและรายได้ภาครัฐ โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย
9) แบบจาลองคานวณค่าใชจ้ ่ายของสวสั ดิการผูส้ ูงอายุภาครัฐซ่ึงคานวณภายใตส้ มมติฐานของจานวนผูใ้ ช้
สิทธิ (แบบจาลองประชากรและแบบจาลองผูป้ ระกนั ตน) และค่าใช้จ่ายต่อหัว (per capita expense) ท้งั น้ี
งบประมาณสวสั ดิการผูส้ ูงอายภุ าครัฐ (value) จะเท่ากบั จานวนผูใ้ ชส้ ิทธิ (quantity) คูณกบั ค่าใช้จ่ายต่อหัว
(price) กล่าวคือ v=p*q
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 255
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
        การยืนยนั ความน่าเช่ือถือของผลการวจิ ยั คร้ังน้ี เพื่อนาไปใชเ้ ป็ นแนวทางการจดั สรรงบประมาณ
สาหรับผสู้ ูงอายุ ดว้ ยการสัมภาษณ์ผูท้ รงคุณวุฒิ สรุปไดว้ า่ เห็นดว้ ยกบั ปัจจยั ท่ีนามาใชเ้ ป็ นตวั แปรตน้ และ
เห็นดว้ ยวา่ สมการทานายท่ีไดจ้ ากผลการวจิ ยั สามารถนาไปใชไ้ ดจ้ ริง แต่มีขอ้ ช้ีแจงวา่ ค่าคงที่ของสมการที่
ไดม้ ีค่าติดลบ ซ่ึงอาจเป็ นเพราะวา่ ตวั เลขที่นามาใช้ในการคานวณมีท้งั หลกั ลา้ นลา้ น และหลกั หม่ืนซ่ึงมีค่า
แตกต่างกนั มาก เช่น มูลค่า GDP รายไดก้ ารจดั เก็บภาษีของรัฐบาล ซ่ึงมีจานวนเป็ นลา้ นลา้ น แต่ค่าเฉลี่ย
รายไดค้ รัวเรือนมีจานวนหลกั หม่ืน เม่ือนาคานวณค่าแลว้ จึงมีค่าติดลบเพราะการคานวณคร้ังน้ีเป็ นสมการ
ของกราฟเส้นตรง (Linear Regression) และให้มีความคิดเห็นวา่ รายไดค้ รัวเรือนเป็ นตวั แปรสาคญั ในการ
นามาพิจารณาหรือประกอบการตดั สินใจงบประมาณสาหรับการจดั สวสั ดิการผสู้ ูงอายุ และควรมีการสารวจ
รายได้ครัวเรือน 2 ปี / คร้ัง ใช้ขอ้ มูลจากแหล่งอ่ืน ท้งั น้ีเป็ นเพราะว่า รายได้ครัวเรือนมีความสัมพนั ธ์กับ
รายไดข้ องรัฐ ดงั น้นั ถา้ รายไดค้ รัวเรือนของประชาชนในประเทศสูงข้ึนก็จะทาให้รัฐบาลมีรายไดจ้ ากการ
จดั เก็บภาษีเพ่ิมข้ึนตามไปด้วย แต่ถ้ารายได้ของรัฐบาลลดลง หรือไม่ขยายตวั ก็จะมีผลต่อการจดั สรร
งบประมาณสาหรับนามาใชใ้ นการพฒั นาประเทศหรือส่งเสริมให้ประชาชนมีความกินดีอยูด่ ี ดงั ขอ้ บญั ญตั ิ
ในพระราชบญั ญตั ิวิธีการงบประมาณ พ.ศ. 2561 หมวด 4 มาตรา 23 ที่ระบุวา่ การจดั ทางบประมาณตอ้ ง
คานึงถึงประมาณการรายรับและฐานะทางการคลงั ของประเทศ ความจาเป็ นในการพฒั นาประเทศตาม
ยทุ ธศาสตร์ชาติ แผนพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ เสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในและภายนอกประเทศ
ความเป็ นธรรมทางสังคม นโยบายรัฐบาลและภารกิจของหน่วยรับงบประมาณ การจดั ทางบประมาณ
ประจาปี ตอ้ งมีการประมาณการรายได้ วงเงินงบประมาณรายจ่าย และวิธีการชดเชยการขาดดุลงบประมาณ
งบประมาณจะถูกกาหนดและจากดั ตามสภาพเศรษฐกิจของประเทศ เงินรายรับงบประมาณที่จะนามาใชจ้ ่าย
เป็ นงบประมาณรายจ่ายน้นั ยอ่ มข้ึนอยูก่ บั รายไดป้ ระชาชาติหรือภาวะเศรษฐกิจดีหรือเลว ภาวะประเทศชาติ
วา่ ร่ารวยหรือยากจนเป็ นสาคญั ถา้ รายไดป้ ระชาชาติสูงหรือประเทศชาติร่ารวย การหางบประมาณรายรับมา
ใช้จ่ายเป็ นงบประมาณรายจ่าย ยอ่ มจะหามาไดม้ ากและยอ่ มจะมีโอกาสที่จะนาเงินงบประมาณไปพฒั นา
ประเทศหรือดาเนินการอย่างอ่ืนได้ตามวตั ถุประสงค์ที่วางไว้ ความจาเป็ นทางด้านเศรษฐกิจจะเป็ นตัว
กาหนดใหร้ ัฐบาลตอ้ งใชจ้ ่ายงบประมาณไปยงั ดา้ นน้นั (ณรงค์ สจั พนั โรจน,์ 2541, หนา้ 12-15)
        สาหรับอตั ราการตายของประชาชนน้นั เป็ นแนวคิดท่ีเกิดจากแบบจาลองที่เกิดจากแบบจาลอง
อตั ราการเสียชีวิตของผสู้ ูงอายุ สถาบนั วิจยั เพ่ือการพฒั นาประเทศไทย ท่ีนามาใชใ้ นการคานวณงบประมาณ
สาหรับผสู้ ูงอายุ และแนวโนม้ การเขา้ สู่สังคมผสู้ ูงอายุ ความผนั ผวนของรายไดร้ ัฐ ท้งั น้ีเป็ นเพราะ การเขา้ สู่
สังคมผูส้ ูงอายุของประเทศไทยน้นั ทาใหร้ ัฐบาลตอ้ งจดั สรรงบประมาณเพิ่มข้ึนตามจานวนผสู้ ูงอายุ เพราะ
ตอ้ งมีการจ่ายเงินบาเหน็จ บานาญให้กบั ผทู้ ่ีเกษียณอายรุ าชการ สาหรับผสู้ ูงอายทุ ่ีรับราชการ ส่วนผูส้ ูงอายทุ ่ี
ไม่ได้รับราชการก็จะได้รับเบ้ียยงั ชีพเมื่ออายุครบ 60 ปี และจะไดร้ ับเบ้ียยงั ชีพตลอดชีวิต อนั เป็ นภาระท่ี
รัฐบาลจะต้องให้การช่วยเหลือดูแลผูส้ ูงอายุ สอดคล้องกับผลการวิจยั ของ สถาบันวิจยั เพื่อการพฒั นา
ประเทศไทย สานักส่งเสริมและพิทักษ์ผูส้ ูงอายุ สานักงานส่งเสริมสวสั ดิภาพและพิทกั ษ์เด็ก เยาวชน
 256 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 11
ผดู้ อ้ ยโอกาสและผูส้ ูงอายุ (2555) ที่นาหลกั การคานวณงบประมาณสวสั ดิการผสู้ ูงอายุโดยใชก้ ารวเิ คราะห์
ถดถอยพหุ และไดเ้ สนอวธิ ีการคานวณภาระทางงบประมาณของภาครัฐในการให้บริการสวสั ดิการสาหรับ
ผูส้ ูงอายุในประเทศไทย รวมถึงวิธีการประมาณการรายได้ของภาครัฐในอนาคต คือ รายจ่ายสวสั ดิการ
ผสู้ ูงอายภุ ายใตร้ ะบบปัจจุบนั การคานวณแบ่งเป็ น 2 ส่วน คือ 1) สารวจรายจา่ ยสวสั ดิการผสู้ ูงอายใุ นปัจจุบนั
และ 2) การประมาณการแนวโนม้ ในอนาคต ประกอบดว้ ย ขอ้ มูลรายจ่ายงบประมาณภาครัฐสาหรับผสู้ ูงอายุ
จากระบบการบริหารการเงินการคลงั ภาครัฐแบบอิเล็กทรอนิกส์ของหน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ ง แนวโนม้ รายจ่าย
ในอนาคตของสวสั ดิการผูส้ ูงอายภุ ายใตร้ ะบบปัจจุบนั ในการประมาณการแนวโนม้ งบประมาณรายจ่ายของ
สวสั ดิการผสู้ ูงอายุภายใตร้ ะบบปัจจุบนั ตอ้ งใชส้ มมติฐานหลายประการในการคานวณ ต้องมีการคาดการณ์
ในอนาคตว่า สวสั ดิการแต่ละประเภทเปล่ียนแปลงท้ังด้านจานวนผูม้ ีสิทธ์ิและงบประมาณต่อหัว
การประมาณรายได้ของรัฐบาล การวิเคราะห์ถึงความเป็ นไปได้ในทางปฏิบตั ิหรือความเป็ นไปได้ทาง
การเงิน อนั จะนาไปสู่ความยง่ั ยนื ของสวสั ดิการผสู้ ูงอายุน้นั จะตอ้ งพิจารณาถึงรายไดห้ รือแหล่งที่มาของเงิน
ในการจดั สรรสวสั ดิการต่าง ๆ ซ่ึงเป็ นภาษีรวมของรัฐบาล การประมาณการความสามารถในการหารายได้
ของรัฐข้ึนกบั รายไดป้ ระชาชาติเป็ นหลกั นนั่ คือ หากรายไดป้ ระชาชาติมีแนวโนม้ เพ่ิมข้ึนรายไดข้ องภาครัฐ
ก็จะมีแนวโน้มเพิ่มข้ึนตามไปดว้ ย นอกจากน้ันยงั ข้ึนอยู่กับขนาดของฐานภาษีในลกั ษณะของจานวนผู้
ทางานในภาคเศรษฐกิจในระบบ เพราะหากผทู้ างานในระบบมีจานวนมาก การเก็บภาษีของภาครัฐก็จะทา
ไดง้ ่ายข้ึน โดยจะใช้ตวั แปรสัดส่วนของประชากรในเขตเมืองเป็ นตวั แทนขนาดฐานภาษี ซ่ึง สถาบนั TDRI
ไดว้ ิเคราะห์ รูปแบบแนวทางการจดั สรรงบประมาณของรัฐแก่ผูส้ ูงอายุ มี 3 แนวทาง คือ 1) ตอบสนอง
ความตอ้ งการข้นั พ้ืนฐาน ประกอบดว้ ย เบ้ียยงั ชีพผูส้ ูงอายุ สวสั ดิการหลกั ประกนั สังคม บาเหน็จ บานาญปกติ
และ กบข.สงเคราะห์คนชรา เงินสงเคราะห์จดั การศพของกองทุนประกนั สังคมกรณีชราภาพ และกองทุนการออม
แห่งชาติชุด จานวน 1.7 - 4.6 แสนลา้ นบาท 2) เป็ นการปรับเพ่ิมจากชุดแรก โดยเพม่ิ เบ้ียยงั ชีพผสู้ ูงอายุที่ยากจน
และหรืออยู่ในภาวะพ่ึงพิงมีจานวน 1.7 - 5.0 แสนล้านบาท และ 3) เพ่ิมระบบสังคมสวสั ดิการท่ีมีภาคี
ส่วนร่วม คือ กองทุนยุวชนจิตอาสา และการส่งเสริมสังคมสวสั ดิการและส่งเสริมวสิ าหกิจเพ่ือสังคม (social
enterprise) ในด้านภาระงบประมาณของแต่ละชุดสวสั ดิการน้ัน พบว่า ค่าใช้จ่ายของสวสั ดิการผูส้ ูงอายุ
ในช่วงปี 2555 - 2564 มีจานวน 1.8 - 5.1 แสนลา้ นบาท ระยะเริ่มแรกรัฐควรจดั สรรสวสั ดิการในรูปแบบที่ 1
ก่อนเพราะเป็ นส่ิงท่ีช่วยให้ผูส้ ูงอายุสามารถดารงชีพได้ในระดบั พ้ืนฐาน และหากรัฐมีรายไดม้ าก เพียงพอจึง
ค่อยขยบั เพ่ิมสวสั ดิการในรูปแบบที่ 2 และ 3 ในภายหลงั ซ่ึง อานวย ทองโปร่ง (2548, หน้า 14-16) กล่าววา่
การจดั ทางบประมาณรัฐบาลตอ้ งคานึงถึงรูปแบบของงบประมาณดว้ ย เพราะงบประมาณจะมีลกั ษณะการใช้
และดาเนินงานท่ีแตกต่างกนั ออกไป การจดั ทางบประมาณของประเทศต่าง ๆ ไดม้ ีรูปแบบต่าง ๆ กนั และมี
วิวฒั นาการมาตลอดเวลาเริ่มจากรูปแบบง่าย ๆ เพียงแสดงรายรับ - รายจ่าย จนถึงรูปแบบท่ีซับซ้อนเพ่ือให้
ประเมินประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงบประมาณ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 257
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
ข้อเสนอแนะ
        1. ข้อเสนอแนะต่อภาครัฐ
          1.1 ด้านนโยบาย ควรกาหนดให้นโยบายผูส้ ูงอายุในขณะน้ีให้เป็ นวาระแห่งชาติที่มีแผนงาน
มีกฎหมาย มีระเบียบปฏิบตั ิที่ชดั เจนกบั ทุกภาคส่วนที่เก่ียวขอ้ งในการจดั สรรงบประมาณผสู้ ูงอายุ เพอ่ื ใหท้ ุก
รัฐบาลเม่ือเขา้ มาบริหารประเทศตอ้ งดูแลท้งั ระบบป้องกนั การแทรกแซงจากฝ่ ายการเมืองรัฐบาลตอ้ งกาหนด
แผนการดาเนินงานผูส้ ูงอายุโดยแบ่งเป็ นช่วงระยะเวลา 5 ปี 10 ปี 15 ปี หรือ 20 ปี เพื่อให้มีช่วงระยะเวลา
ดาเนินงาน สามารถตรวจสอบและปรับแผนงานไดท้ นั กบั สถานการณ์ท่ีอาจเปล่ียนแปลงได้ เพื่อตอบสนอง
ต่อความต้องการของผูส้ ูงอายุ รัฐบาลต้องกาหนดหน่วยงานหลักรับผิดชอบ มีวิธีการและงบประมาณ
ท่ีชดั เจน ตรวจสอบการดาเนินงานไดแ้ ละสะทอ้ นความตอ้ งการของผสู้ ูงอายหุ น่วยงานที่รับผดิ ชอบ
          1.2 ด้านเศรษฐกิจ การเงินการคลัง รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ งกบั ผูส้ ูงอายุที่ตอ้ งเขา้ มา
ดูแลอุดหนุน ดงั น้ัน รัฐต้องจดั เตรียมหางบประมาณรายรับให้เพียงพอ โดยพฒั นาระบบเศรษฐกิจของ
ประเทศซ่ึงมีปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งมากให้เติบโต ขยายฐานภาษีและการลงทุนในแหล่งต่าง ๆ ที่สามารถให้
ผลตอบแทนไดอ้ ยา่ งมน่ั คงยง่ั ยืนและตรวจสอบไดโ้ ดยไม่มีผลกระทบต่อความมน่ั ใจของผสู้ ูงอายุ รัฐตอ้ งมี
ส่วนร่วมสนบั สนุนให้ภาคประชาชนท่ียงั อยู่ในวยั ทางานผูส้ ูงอายุท่ียงั สามารถทางานได้ ภาคเอกชนและ
ทุกภาคส่วนเขา้ มามีส่วนร่วมในการออมและจ่ายเงินสมทบในโครงการสังคมสูงอายุเพื่อให้มีค่าใช้จ่าย
เพียงพอในช่วงวยั ชราภาพป้องกันความยากจนที่จะเป็ นภาระใหญ่ในอนาคต หน่วยงานที่รับผิดชอบ
กระทรวงการคลงั สานกั งบประมาณ กรมบญั ชีกลาง
          1.3 ด้านสังคม ส่งเสริมและพฒั นาการร่วมกลุ่มของผูส้ ูงอายุเพ่ือให้มีกิจกรรมร่วมกนั ท้งั ที่
ศูนยฯ์ สถานสงเคราะห์ ชุมชนในท้องถ่ิน เพื่อให้ผูส้ ูงอายุได้มีการสันทนาการ ผ่อนคลาย พบปะพูดคุย
เชิญผรู้ ู้ในดา้ นต่าง ๆ มาให้ความรู้ในเร่ืองที่สนใจ ฝึ กการเรียนรู้รับรู้ถึงความเปล่ียนแปลงต่าง ๆ ท่ีเกิดข้ึนใน
สังคมประเทศและสังคมโลก มีการตรวจสุขภาพ ชมรมจิตอาสา ชมรมสวดมนต์ทุกวนั สาคญั ทางศาสนา
ชมรมออกกาลังกาย ฝึ กอาชีพ ฝึ กเรียนรู้การใช้คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต โทรศัพท์สมัยใหม่และ
แอปพลิเคช่ันต่าง ๆ สิ่งเหล่าน้ีจะทาให้ผูส้ ูงอายุทันโลกทันสมยั และมีความภาคภูมิใจในตวั เอง ทาให้มี
สุขภาพกายสุขภาพใจที่ดีหน่วยงานที่รับผิดชอบ กระทรวงพฒั นาสังคมและความนั่ คงของมนุษย์ องค์กร
ปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน (อปท.)
          1.4 ด้านเทคโนโลยี พฒั นาระบบฐานขอ้ มูลให้ทนั สมยั ถูกตอ้ ง ครบทุกดา้ นและเป็ นปัจจุบนั
และเชื่อมโยงระหวา่ งหน่วยงานที่เกี่ยวขอ้ ง ต้งั หน่วยงานกลางนาเทคโนโลยีท่ีทนั สมยั เขา้ มาดาเนินงานเป็ น
ศูนยก์ ลางมีขอ้ มูลผูส้ ูงอายเุ ช่ือมโยงระหวา่ งหน่วยงานภาคี เพื่อบูรณาการพฒั นาสังคมสูงอายุ พฒั นาระบบ
สารสนเทศ ใชเ้ ทคโนโลยที ่ีทนั สมยั จดั เก็บขอ้ มูลผูส้ ูงอายุในมิติตา่ ง ๆ ที่แม่นยา เรียกใชง้ านง่ายรวดเร็วและ
 258 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 11
มีระบบป้องกนั ความเสียหายของขอ้ มูลเป็ นอยา่ งดี หน่วยงานท่ีรับผิดชอบ กระทรวงดิจิทลั เศรษฐกิจและ
สังคม (ICT)
           1.5 ด้านสภาพแวดล้อม สถานท่ีเหมาะสมสาหรับผสู้ ูงอายุอยูอ่ าศยั และพกั ผอ่ น ตอ้ งปราศจาก
มลภาวะสภาพอากาศ ฝ่ ุนละออง เสียงและกล่ิน ที่เกินเกณฑ์มาตรฐานเป็ นอนั ตรายต่อสุขภาพ อาคาร
สถานท่ี พ้ืนท่ีสาธารณะ มีส่ิงอานวยความสะดวกทางกายภาพของผูส้ ูงอายุ หน่วยงานภาครัฐออกกฎ
ระเบียบและบงั คบั ใชท้ ุกภาคส่วนที่เก่ียวขอ้ งเพื่อปรับปรุงพฒั นาสถานที่รองรับผูส้ ูงอายุให้มน่ั คงแข็งแรง
อุปกรณ์ใชง้ านไดส้ ะดวกเหมาะสมกบั ผสู้ ูงอายหุ น่วยงานท่ีรับผิดชอบ กระทรวงพฒั นาสังคมและความน่ั คง
ของมนุษย์ องคก์ รปกครองส่วนทอ้ งถิ่น (อปท.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอ้ ม
          1.6 ด้านกฎหมาย ตอ้ งปรับแกไ้ ข กฎหมาย ระเบียบ ขอ้ บงั คบั ให้องค์กรปกครองส่วนทอ้ งถ่ิน
(อปท.) สามารถส่งเสริมและพฒั นา ดูแลคุณภาพชีวิตผูส้ ูงอายุตามภาระกิจท่ีไดร้ ับการถ่ายโอนมาไดโ้ ดย
สมบูรณ์โดยกระทรวงมหาดไทยนาไปดาเนินการร่วมกบั ส่วนราชการท่ีเก่ียวขอ้ งเพื่อลดขอ้ จากดั การใช้
งบประมาณส่งเสริมและพฒั นาคุณภาพชีวติ ผูส้ ูงอายขุ อง อปท. หน่วยงานท่ีรับผดิ ชอบ สานกั งานตรวจเงิน
แผน่ ดิน สถาบนั วิจยั และพฒั นาคุณภาพชีวิตผสู้ ูงอายุ (มส.ผส.) กรมส่งเสริมการปกครองทอ้ งถ่ิน กระทรวง
พฒั นาสังคมและความมนั่ คงของมนุษย์ กระทรวงการคลงั หน่วยงานที่รับผิดชอบ คณะรัฐมนตรี รัฐสภา
สานกั งานกฤษฎีกา
        2. ข้อเสนอแนะสาหรับการนานโยบายไปสู่การปฏิบัติ
        จากผลวิจยั ขอ้ เสนอแนะเชิงนโยบายผูส้ ูงอายุในดา้ นต่าง ๆ หน่วยงานของรัฐท่ีเกี่ยวขอ้ งและผูท้ ่ี
รับผิดชอบตอ้ งนานโยบายมาจดั ทาแผนงานหรือแนวทางปฏิบตั ิให้สอดคล้องกบั นโยบายเพ่ือนาสู่การ
ดาเนินงานอยา่ งเป็นระบบและเป็ นรูปธรรม ซ่ึงในแต่ละประเด็นหากสามารถปฏิบตั ิและทาไดจ้ ริง ลว้ นเป็ น
โอกาสในการยกระดบั ศกั ยภาพและคุณภาพชีวิตความเป็ นอยูข่ องผูส้ ูงอายุ ซ่ึงเป็ นแนวทางให้รัฐจดั สรร
งบประมาณงบประมาณผูส้ ูงอายุที่เหมาะสมของประเทศไทยได้ตรงจุดประสงค์ โดยมี หน่วยงานที่
รับผิดชอบโดยตรงทาหนา้ ท่ีประมาณการงบประมาณสาหรับผสู้ ูงอายุ มีการจดั ทาฐานขอ้ มูลท่ีเช่ือถือไดต้ รง
หรือใกลเ้ คียงกบั ความเป็นจริง และมีความคลาดเคล่ือนนอ้ ยที่สุด
        การประมาณการงบประมาณสวสั ดิการสังคมให้กบั ผูส้ ูงอายุ ควรมอบหมายอยา่ งเป็ นข้นั ตอน
นาขอ้ มูลจากล่างไปสู่ขา้ งบน กล่าวคือ ให้หน่วยงานส่วนทอ้ งถ่ินทาการสารวจประชากรอย่างละเอียด
แลว้ นาเสนอหน่วยงานตน้ สังกดั ตามลาดบั จากน้นั ทาการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จริงจากบนลงล่างอีกคร้ัง นน่ั คือ
กระทรวงท่ีรับผิดชอบดา้ นการจดั สรรงบประมาณทาการตรวจสอบขอ้ เท็จจริงเรื่องจานวนประชากรอีกคร้ัง
เพ่ือป้องกนั การตกสารวจ นอกจากน้ี การประมาณการงบประมาณซ่ึงเป็ นการคาดการณ์การใช้จ่ายเงินใน
อนาคต หน่วยงานท่ีเก่ียวขอ้ งควรจะตอ้ งมีการสารวจขอ้ มูลรายไดป้ ระชากรหรือรายไดค้ รัวเรือนอยา่ งน้อย
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 259
เดชาวตั คงคาน้อย/ บรรพต วริ ุณราช/ ธีทตั ตรีศิริโชติ
2 ปี / คร้ัง และควรมีการคานวณงบประมาณล่วงหนา้ อยา่ งนอ้ ย 3 ปี ทาการสารวจสัมโนประชากรในแต่ละ
พ้ืนท่ี ควรมีการจาแนกตามช่วงวยั ให้ชดั เจน โดยอาจจะจาแนกเป็ นช่วงวยั เด็ก ต้งั แต่แรกเกิดถึง 18 ปี คนวยั
ทางานอายุ 18 ปี ข้ึนไปถึงอายุ 55 ปี และอายุ 55 ปี ข้ึนไป และผูท้ ่ีมีอายุ 60 ปี ข้ึนไปท้งั น้ีเพื่อให้ทราบจานวน
ประชากรผสู้ ูงอายทุ ่ีมีค่าความคลาดเคล่ือนนอ้ ยท่ีสุด
        3. ข้อเสนอแนะสาหรับการวจิ ัยคร้ังต่อไป
           3.1 การวิจยั คร้ังต่อไปหากมีความประสงค์ต่อยอดงานวิจยั คร้ังน้ีควรขยายผลศึกษา ปัจจยั ท่ี
เก่ียวข้องสูตรสมการและงบประมาณผูส้ ูงอายุด้านอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้งานวิจยั สมบูรณ์ครอบคลุม
งบประมาณผสู้ ูงอายทุ ้งั ระบบ
           3.2 ผูว้ ิจยั เริ่มดาเนินการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเอกสารเมื่อปลายปี 2559 เก็บข้อมูลสัมภาษณ์ปี
2560 และเพ่ิมเติมตน้ ปี 2561 ในรัฐบาลชุดปัจจุบนั (พล.อ.ประยุทธ์ จนั ทร์โอชา) ซ่ึงไดเ้ ขา้ มาบริหารงาน
(เม่ือกลางปี 2557)เนื่องจากเกิดวิกฤติความวุน่ วายข้ึนภายในประเทศ รัฐบาลไดใ้ ห้ความสาคญั กบั ผูส้ ูงอายุ
และผูม้ ีรายไดน้ ้อย จึงไดม้ ีนโยบายการจดั สรรงบประมาณจาเพาะ เร่งด่วนเพ่ิมเติมในปลายปี 2561ให้กบั
ผูส้ ูงอายแุ ละผูม้ ีรายได้นอ้ ยหลายโครงการ หากผูว้ ิจยั คร้ังต่อไปมีความประสงค์ต่อยอดงานวิจยั คร้ังน้ีควร
ศึกษาและเก็บขอ้ มูลโครงการจดั สรรงบประมาณผูส้ ูงอายุในปลายปี พ.ศ. 2561 เป็ นกรณีพิเศษเพื่อให้เกิด
ความสมบูรณ์ยง่ิ ข้ึนของงานวจิ ยั
           3.3 การวจิ ยั เกี่ยวกบั การจดั สรรงบประมาณของรัฐบาลควรจะใชร้ ะเบียบวิธีวจิ ยั ที่หลากหลาย
เพื่อให้ได้ตัวแปรท่ีชัดเจนท้ังท่ีเป็ นตัวแปรท่ีทาให้เกิดปัญหา และตัวแปรสนับสนุนให้การจัดสรร
งบประมาณใหส้ อดคลอ้ งกบั ความตอ้ งการ
 260 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 11
รายการอ้างองิ
กชกร เฉลิมกาญจนา. (2548). การงบประมาณ. กรุงเทพฯ: ทอ้ ป.
ดวงมณี เลาวกุล. (2548). ระบบงบประมาณและการบริหารการคลังท้องถิ่น. ขอนแก่น: วทิ ยาลยั การปกครอง
        ทอ้ งถิ่น มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.
ดิเรก ปัทมสิริวฒั น์ และพิชิต รัชตพิบุลภพ. (2559). การจดั สรรของบประมาณรายจา่ ยระดบั กรมของรัฐบาล
        ไทย. วารสารบณั ฑิตศึกษา มหาวิทยาลัยราชภฎั วไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถมั ภ์, 10(3),
        228-246.
ไตรรัตน์ โภคพลากรณ์ และวราภรณ์ รุ่งเรืองกลกิจ. (2549). เอกสารการสอนชุดวิชาการคลงั และงบประมาณ.
        นนทบุรี: มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
ณรงค์ สจั พนั โรจน์. (2541). การพัฒนางบประมาณ. กรุงเทพฯ: สานกั งานคณะกรรมการขา้ ราชการพลเรือน.
ประชุม รอดประเสริฐ. (2545). การบริหารโครงการ. กรุงเทพฯ: เนติกลุ การพมิ พ.์
มูลนิธิพฒั นาผสู้ ูงอาย.ุ (2556). สถานการณ์ผ้สู ูงอายไุ ทย พ.ศ. 2557. กรุงเทพฯ: อมรินทร์ พริ้นติง้ แอนด์
        พบั ลิชช่ิง.
สถาบนั วจิ ยั เพอื่ การพฒั นาประเทศไทย สานกั ส่งเสริมและพิทกั ษผ์ สู้ ูงอายุ (สทส.) สานกั งานส่งเสริม
        สวสั ดิภาพและพิทกั ษเ์ ด็ก เยาวชน ผูด้ อ้ ยโอกาส และผสู้ ูงอายุ (สท.). (2555). โครงการวิจัยการ
        ประมาณการงบประมาณสาหรับผ้สู ูงอายุ และแหล่งท่ีมาของเงิน. กรุงเทพฯ: สถาบนั วจิ ยั เพอ่ื การ
        พฒั นาประเทศไทย สานกั ส่งเสริมและพิทกั ษผ์ สู้ ูงอายุ (สทส.).
สานกั งบประมาณ. (2559). การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2559. กรุงเทพฯ: สานกั
        นายกรัฐมนตรี.
สานกั งบประมาณ. (2560). การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจาปี งบประมาณ พ.ศ. 2560. กรุงเทพฯ: สานกั
        นายกรัฐมนตรี.
สานกั งานคณะกรรมการพฒั นาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ. (2559). การคาดประมาณประชากรของ
        ประเทศไทย พ.ศ. 2553 - 2583. กรุงเทพฯ: โรงพิมพเ์ ดือนตุลา.
สานกั สวสั ดิการผสู้ ูงอาย.ุ (2559). นโยบายพัฒนาคุณภาพชีวิต. กรุงเทพฯ: สานกั สวสั ดิการสังคม.
อานวย ทองโปร่ง. (2548). กฎหมายการศึกษา. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
Lasswell, H. D., & Kaplan, A. (1970). Power and Society. New Haven: Yale University Press.
Lawton, M. P. (1985). Environment and Other Determinants of Well-being in Older People. The
        Gerontologist, 23(4), 349-357.
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 261
C H A P T E R 12
รูปแบบการบริหารจดั การพยาบาลวชิ าชีพในโรงพยาบาลเอกชนให้คงอยู่และเพยี งพอ
                           ต่อการปฏบิ ัตงิ าน
The Model of Professional Nursing Management for Retention and Sufficiency
                         in Private Hospitals
                            สมชาย ยง่ิ ยนื (Somchai Yingyuen)
 หลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าการจดั การสาธารณะ วทิ ยาลยั พาณิชยศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา
          Ph.D., Public Management, Graduate School of Commerce, Burapha University
                            E-mail: [email protected]
                                                                  Received: 25 June 2019
                                                                 Revised: 14 August 2019
                                                              Accepted: 9 September 2019
บทคดั ย่อ
        การวิจยั น้ีมีวตั ถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของ
พยาบาลวิชาชีพ 2) เพ่ือศึกษาปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการคงอยูข่ องพยาบาลวชิ าชีพ 3) เพ่ือศึกษาความเพียงพอ
ต่อการปฏิบตั ิงานท่ีมีอิทธิพลต่อการคงอยูข่ องพยาบาลวชิ าชีพ โดยใช้วิธีการวิจยั เชิงปริมาณ เก็บรวบรวม
ขอ้ มูลโดยใชแ้ บบสอบถามกบั พยาบาลวิชาชีพท่ีปฏิบตั ิงานอยูใ่ นโรงพยาบาลมากกวา่ 5 ปี จานวน 305 คน
สถิติท่ีใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ความถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการวิเคราะห์
เส้นทาง ผลการศึกษา พบว่า โมเดลการวิเคราะห์เส้นทางมีความสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ โดยมี
ค่าสถิติไคสแควร์ เท่ากับ 0.000 องศาอิสระ (df) เท่ากบั 21 p-value เท่ากับ 1.000 ค่าไคสแควร์สัมพทั ธ์
(Relative Chi-Square) เท่ากับ 0.000 และค่า RMSEA เท่ากับ 0.000 โดย 1) การสรรหาและคัดเลือก
การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและผลประโยชน์ และความสมดุลของชีวิตและการทางาน
มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ 2) การสรรหาและคดั เลือก ผลตอบแทน
และผลประโยชน์ ความสมดุลของชีวติ และการทางาน และความเพยี งพอต่อการปฏิบตั ิงาน มีอิทธิพลต่อการ
คงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ 3) ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 263
สมชาย ยงิ่ ยืน
ในขณะที่การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การฝึ กอบรมและพฒั นาไม่มีอิทธิพลต่อการคงอยูแ่ ละความเพียงพอ
ต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ
คาสาคัญ: การวางแผนทรัพยากรมนุษย,์ การสรรหาและคดั เลือก, การฝึกอบรมและพฒั นา, การประเมินผล
การปฏิบตั ิงาน, ผลตอบแทนและผลประโยชน์, ความสมดุลของชีวิตและการทางาน, ความเพียงพอต่อการ
ปฏิบตั ิงาน, การคงอย,ู่ พยาบาลวชิ าชีพ, โรงพยาบาลเอกชน
Abstract
        This research aimed at 1 ) Studying on factors influencing nurse sufficiency for operation of
registered nurses, 2) Studying on factors influencing retention of registered nurses in private hospitals, and
3 ) Studying on how much nurse sufficiency for operation influences retention of registered nurses. The
researcher conducted quantitative research by using questionnaires to collect data from 3 0 5 registered
nurses working in hospitals for at least 5 years. The data were analyzed by frequency, percentage, mean,
standard deviation and path analysis. The findings reveal that path analysis result corresponded with
empirical data with Chi-square = 0.000, degree of freedom (df) = 21, p-value = 1.000, relative Chi-square
= 0 .0 0 0 , RMSEA = 0 .0 0 0 . Furthermore it is found that 1 ) recruitment and selection, performance
evaluation, remuneration and benefits, balance of life have an influence toward registered nurse
sufficiency and 2 ) recruitment and selection, remuneration and benefits, balance of life and work and
nurse sufficiency have an influence toward retention of registered nurses, and 3) nurse sufficiency has an
influence toward retention of registered nurses. However, human resource planning, training and
development do not have an influence toward nurse sufficiency and retention of registered nurse.
Keywords: Human Resource Planning, Recruitment and Selection, Training and Development,
Performance Evaluation; Remuneration and Benefits, Balance of Life and Work, Nurse Sufficiency,
Retention, Registered Nurse, Private Hospital
 264 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบับที่ 2
C H A P T E R 12
ความเป็ นมาและความสาคญั ของปัญหา
        วิชาชีพพยาบาลเป็ นวิชาชีพที่ขาดแคลนเป็ นจานวนมากในปัจจุบนั ซ่ึงจากการศึกษาสาเหตุของ
ความขาดแคลน (วิจิตร ศรีสุ พรรณ และกฤษดา แสวงดี, 2555) พบว่า สาเหตุแรก คือ ประชาชนมี
ความตอ้ งการดา้ นสุขภาพเพม่ิ สูงข้ึนอยา่ งรวดเร็ว เนื่องจากมีแนวโนม้ ที่จะเจบ็ ป่ วยเร้ือรังและซบั ซอ้ นมากข้ึน
ประกอบกับการเพ่ิมข้ึนของจานวนประชากรโดยรวมและจานวนประชากรสู งอายุ ดังท่ีองค์การ
สหประชาชาติไดป้ ระเมินสถานการณ์ปี 2544-2643 ว่าจะเป็ นศตวรรษแห่งผสู้ ูงอายุ โดยจะมีประชากรอายุ
เกิน 60 ปี ข้ึนไปมากกวา่ ร้อยละ 10 ของประชากรทวั่ โลก และสานกั งานสถิติแห่งชาติ ระบุวา่ ประเทศไทย
กาลงั จะกา้ วเขา้ สู่สังคมผูส้ ูงอายุต้งั แต่ปี 2548 และคาดวา่ จะเขา้ สู่สังคมผูส้ ูงอายุโดยสมบูรณ์ในช่วงปี 2567-
2568 (เจาะลึกระบบสุขภาพ, 2558) สาเหตุท่ีสองคือ การไม่สามารถรักษากาลงั พยาบาลไวใ้ นระบบบริการ
สุขภาพ รวมถึงขอ้ จากดั ในการจา้ งงาน ดังที่ พินิจ กุลละวณิชย์ (2558) ได้กล่าวว่า ประเทศไทยประสบ
ปัญหาการสูญเสียพยาบาลอย่างรุนแรงในอตั ราร้อยละ 4.44 ต่อปี จากการมีอายุทางานในวิชาชีพส้ัน คือ
พยาบาลวชิ าชีพส่วนใหญ่มีอายงุ านเฉลี่ยเพียง 22.5 ปี และกฤษดา แสวงดี (2558) ไดก้ ล่าววา่ ประเทศไทยมี
พยาบาลในระบบประมาณ 1.3 แสนคน แต่มีความตอ้ งการพยาบาลอยู่ที่ประมาณ 1.6 แสนคน มีอตั ราการ
ขาดแคลนพยาบาลประมาณ 3 หมื่นคน ในขณะท่ีความสามารถในการผลิตพยาบาลเขา้ สู่ระบบอยูท่ ่ีประมาณ
1 หม่ืนคนต่อปี และเมื่อเขา้ สู่ระบบการทางานแลว้ จะค่อย ๆ ลาออกในช่วง 5 ปี แรก เพราะพยาบาลตอ้ ง
ทางานหนัก ขาดแรงจูงใจในการทางาน ไดร้ ับค่าตอบแทนและสวสั ดิการน้อย และมีความเหลื่อมล้าทาง
วิชาชีพเม่ือเทียบกบั แพทย์ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั การให้สัมภาษณ์ของพยาบาลในโพสทูเดยอ์ อนไลน์วนั ท่ี 12
พฤษภาคม 2560 ท่ีวา่ “ชีวิตของพยาบาลไม่ไดส้ วยงาม เพราะดว้ ยความท่ีพยาบาลขาดแคลน ทาให้ตอ้ งข้ึน
เวรยาวนานในแต่ละวนั บางคนเขา้ งาน 7.30 น. แต่ตอ้ งทางานถึง 24.00 น. ไดน้ อน 02.00 น. และ 7.30 น.
ก็ตอ้ งไปเขา้ งานใหม่ ซ่ึงจากชวั่ โมงการทางานเม่ือเทียบกบั อาชีพอ่ืนแลว้ เสมือนว่าพยาบาลทางานถึงเดือน
ละ 35 วนั เพ่ือแลกกับค่าเวรเพียง 600 บาท ” และสอดคล้องกับ Bonnie M. Jennings (2007) ที่กล่าวว่า
พยาบาลเป็ นหน่ึงในอาชีพท่ีเครียดมากที่สุดเน่ืองจากเป็ นอาชีพที่ตอ้ งดูแลผูป้ ่ วย และมีชวั่ โมงการทางานที่
ยาวนาน
        เน่ืองจากระบบการบริการสุขภาพเป็ นงานบริการท่ีตอ้ งใช้กาลังคนเป็ นหลัก ซ่ึงไม่สามารถ
ทดแทนดว้ ยเคร่ืองมือและเทคโนโลยีได้ (กฤษดา แสวงดี, ฑิณกร โนรี, เพชรสุนีย์ ท้งั เจริญกุล และนงลกั ษณ์
พะไกยะ, 2552) โดยมีบุคลากรพยาบาลทางานใกลช้ ิดกบั ผรู้ ับบริการมากท่ีสุด การขาดแคลนพยาบาลจึงเป็ น
ปัจจยั สาคญั ท่ีส่งผลตอ่ คุณภาพการพยาบาลและการบริหารความปลอดภยั ของผปู้ ่ วย เพราะจานวนพยาบาลท่ี
ไม่เพียงพอเป็ นสาเหตุให้พยาบาลหน่ึงคนตอ้ งดูแลผปู้ ่ วยในอตั ราส่วนที่สูงข้ึน (เพชรรุ่ง เพชรประดบั , วาริณี
เอ่ียมสวสั ดิกุล และมุกดา หนุ่ยศรี, ม.ป.ป.) ส่งผลกระทบต่อการให้บริการดา้ นการดูแลสุขภาพในหลายดา้ น
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 265
สมชาย ยง่ิ ยืน
ไม่ว่าจะเป็ น 1. ผลกระทบต่อผูป้ ่ วยเพราะโรงพยาบาลมีพยาบาลไม่เพียงพอในการให้บริการลูกคา้ และ
พยาบาลที่ทางานหนักงานจนเกินไปจะเหน่ือย มีความเครียด และมีแนวโน้มที่จะทางานผิดพลาด
2. ผลกระทบต่อโรงพยาบาล ไดแ้ ก่ การที่ลูกคา้ ไม่เขา้ มาใชบ้ ริการเน่ืองจากพยาบาลไมเ่ พียงพอจึงไม่สามารถ
ตอบสนองความตอ้ งการของลูกคา้ ได้ ซ่ึงการขาดแคลนบุคลากรอยา่ งต่อเน่ืองเป็ นระยะเวลานานอาจส่งผล
เสียต่อการสร้างรายไดแ้ ละความสาเร็จในระยะยาวของธุรกิจ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการดูแลผูป้ ่ วยที่ผิดพลาด
ซ่ึงเกิดจากการมีพยาบาลไม่เพยี งพอ 3. ผลกระทบตอ่ ตวั ของพยาบาลเอง ทาใหพ้ ยาบาลไม่มีเวลาเพียงพอใน
การปฏิบตั ิหนา้ ที่อยา่ งเหมาะสม และยงั ทาให้พยาบาลเกิดความเครียด เหนื่อยลา้ และความพึงพอใจในการ
ทางานลดลง (NurseGrid, 2014) จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเห็นได้ว่า การรักษาพยาบาลให้คงอยู่ใน
โรงพยาบาลและการบริหารจัดการพยาบาลในโรงพยาบาลให้เพียงพอเป็ นสิ่งสาคัญท้ังต่อตัวผูป้ ่ วย
ต่อโรงพยาบาล และต่อพยาบาล ผวู้ ิจยั จึงสนใจศึกษาเร่ืองอิทธิพลของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรร
หาและคดั เลือก การฝึ กอบรมและพฒั นา การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและผลประโยชน์ และ
ความสมดุลของชีวิตและการทางาน ที่ส่งผลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน และการคงอยขู่ องพยาบาล
วชิ าชีพอนั จะเป็นประโยชน์ตอ่ โรงพยาบาลในการบริหารจดั การพยาบาลวชิ าชีพในโรงพยาบาลต่อไป
วตั ถุประสงค์
        1. เพื่อศึกษาปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพ ได้แก่
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและคัดเลือก การฝึ กอบรมและพัฒนา การประเมินผลการ
ปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและผลประโยชน์ และความสมดุลของชีวติ และการทางาน
        2. เพ่ือศึกษาปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ ได้แก่ การวางแผนทรัพยากร
มนุษย์ การสรรหาและคดั เลือก การฝึ กอบรมและพฒั นา การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและ
ผลประโยชน์ ความสมดุลของชีวติ และการทางาน และความเพียงพอตอ่ การปฏิบตั ิงาน
        3. เพอ่ื ศึกษาความเพยี งพอตอ่ การปฏิบตั ิงานที่มีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
งานวจิ ยั ทเ่ี กยี่ วข้อง
        ความเพยี งพอต่อการปฏิบตั งิ านของพยาบาลวชิ าชีพ
        การมีบุคลากรท่ีเหมาะสมพอเพียงตามหลกั ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง การมีบุคลากรท่ี
ไม่มากเกินไปและไม่นอ้ ยเกินไป ท้งั ในเชิงปริมาณ อนั ไดแ้ ก่ จานวนบุคลากร และเชิงคุณภาพ ไดแ้ ก่ ทกั ษะ
ฝี มือ ทศั นคติ และค่านิยมท่ีสมเหตุสมผล (สมาคมการจดั การงานแห่งประเทศไทย, 2552 อา้ งถึงใน สุภาวดี
ขุนทองจันทร์, 2559) ในขณะที่ สถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (2561) ให้ความหมายของ
ความเพียงพอของกาลงั คน วา่ คือ ความสามารถขององคก์ รในการที่จะมน่ั ใจไดว้ า่ มีกาลงั คนเพียงพอในการ
 266 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 12
ทางานให้บรรลุผลสาเร็จ สามารถส่งมอบสินคา้ บริการให้ผูป้ ่ วยหรือลูกคา้ รวมท้งั ความสามารถในการ
ตอบสนองต่อความต้องการและความผนั แปรของความต้องการได้ และนวลรัตน์ วรจิตติ และกัญญดา
ประจุศิลป (2560) กล่าวว่า ความเพียงพอของอตั รากาลงั หมายถึง อตั รากาลงั ของพยาบาลท่ีเหมาะสมกบั
ปริมาณและภาระงาน ทาใหก้ ารพยาบาลมีคุณภาพ ผูใ้ ชบ้ ริการเกิดความพึงพอใจ พยาบาลเกิดความพึงพอใจ
และคงอยใู่ นงาน ท้งั น้ีโดยสรุปความหมายของความเพยี งพอของพยาบาลวชิ าชีพในการปฏิบตั ิงานในทศั นะ
ของผวู้ ิจยั หมายถึง อตั รากาลงั ของพยาบาลท่ีเหมาะสมกบั ปริมาณและภาระงาน ไม่มากเกินไปและไม่นอ้ ย
เกินไป ท้งั ในเชิงปริมาณ อนั ไดแ้ ก่ จานวนบุคลากร และเชิงคุณภาพ ไดแ้ ก่ ทกั ษะ ฝีมือ ทศั นคติ และค่านิยม
มีความเพยี งพอในการทางานใหบ้ รรลุผลสาเร็จ ทาใหก้ ารพยาบาลมีคุณภาพ เพ่อื ตอบสนองตอ่ ความตอ้ งการ
ของผูป้ ่ วย รวมถึงทาให้ผูป้ ่ วยและพยาบาลเกิดความพึงพอใจ โดยมีการบริหารจดั การให้ทุกส่วนงานมี
ความช่วยเหลือเก้ือกูลกนั อีกท้งั มีการส่ือสารกบั บุคลากรเพื่อให้ทราบถึงปัญหา อุปสรรคในการปฏิบตั ิงาน
รวมถึงมีการทบทวนกระบวนงานที่มีความซับซ้อน หรือการออกแบบกระบวนงานใหม่เพื่อให้พยาบาล
วชิ าชีพสามารถปฏิบตั ิงานของตนไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและเพยี งพอ
        จากการทบทวนงานวิจยั ท่ีเกี่ยวกับปัจจยั ที่มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของ
พยาบาลวิชาชีพ พบว่า การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและคดั เลือก การฝึ กอบรมและพฒั นา
การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและผลประโยชน์ และความสมดุลของชีวิตและการทางาน
มีความสัมพนั ธ์กบั ความเพยี งพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ ดงั ที่ อรุณรัตน์ คนั ธา (2557) กล่าววา่
การแกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนบุคลากรพยาบาล ไดแ้ ก่ การวางแผนจดั สรรอตั รากาลงั พยาบาลวิชาชีพให้
เพียงพอ ในขณ ะท่ี การฝึ กอบรมทาให้ได้รับการยอมรับทางวิชาชี พ มีกาลังใจในการทางาน
เกิดความกา้ วหนา้ ในอาชีพ ซ่ึงเป็นวธิ ีการหน่ึงที่จะจูงใจใหพ้ ยาบาลทางานอยใู่ นวชิ าชีพไดน้ าน และนาไปสู่
ความเพียงพอต่อการปฏิบัติงาน และสกล บุญสิน (2560) กล่าวว่า การสรรหาทรัพยากรมนุษย์ คือ
กระบวนการในการดึงดูดทรัพยากรท่ีมีคุณสมบตั ิเหมาะสมให้มาสมคั รงานกบั องคก์ รทนั เวลา ดว้ ยจานวนที่
เพียงพอ นอกจากน้ียงั มีผลการศึกษาของ นงนุช บุญยงั และศศิธร พุมดวง (2554) ที่พบวา่ กลยุทธ์ที่หวั หนา้
พยาบาลและผอู้ านวยการใชเ้ พ่ือใหเ้ กิดความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิของพยาบาลวชิ าชีพในโรงพยาบาล ไดแ้ ก่
การประเมินผลการปฏิบตั ิงานของพยาบาลดว้ ยความยืดหยุน่ เพื่อดึงคนไว้ และการอนุมตั ิค่าล่วงเวลาให้กบั
พยาบาลวิชาชีพ และผลการศึกษาของ ขนิญร์นัสท์ อินทุลกั ษณ์ และอารียว์ รรณ อ่วมตานี (2557) พบว่า
พยาบาลที่ไม่สามารถทาใหต้ นเองมีความสมดุลของชีวติ และการทางานได้ จะส่งผลทาให้ความสามารถใน
การปฏิบตั ิงานลดลง ไม่สามารถทางานไดอ้ ยา่ งเตม็ ศกั ยภาพ เกิดเป็นความเบ่ือหน่ายและทอ้ แทใ้ นการทางาน
และอาจส่งผลไปถึงการลาออกจากงาน ซ่ึงทาใหโ้ รงพยาบาลมีพยาบาลไม่เพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน จึงเป็ น
ที่มาของสมมติฐานท่ี 1 - 6 ดงั น้ี
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 267
สมชาย ยง่ิ ยืน
        H1: การวางแผนทรัพยากรมนุษย์มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
วชิ าชีพ
        H2: การสรรหาและคดั เลือกมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ
        H3: การฝึกอบรมและพฒั นามีอิทธิพลตอ่ ความเพยี งพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ
        H4: การประเมินผลการปฏิบตั ิงานมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
วชิ าชีพ
        H5: ผลตอบแทนและผลประโยชน์มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
วชิ าชีพ
        H6: ความสมดุลของชีวติ และการทางานมีอิทธิพลตอ่ ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
วชิ าชีพ
        การคงอย่ขู องพยาบาลวชิ าชีพ
        ศรัณย์ พิมพท์ อง (2555) กล่าวว่า การคงอยู่ (Intention to Stay) หมายถึง ความคิดและความต้งั ใจ
ของพนกั งานท่ีจะทางานหรือวางแผนที่จะยงั คงทางานกบั องคก์ รไปจนเกษียณอายุงาน โดยไม่ลาออกหรือ
เปล่ียนงานแมจ้ ะมีทางเลือกอ่ืนท่ีดีกวา่ สอดคลอ้ งกบั รัชนี ศุจิจนั ทรรัตน์ และคณะ (2555) ท่ีกล่าววา่ การคง
อยูข่ องพยาบาล หมายถึง ความจงใจหรือเจตนาของพยาบาลที่จะทางานในโรงพยาบาลน้นั ต่อไป และหาก
พยาบาลแสดงใหเ้ ห็นวา่ มีความต้งั ใจท่ีจะทางานในโรงพยาบาลท่ีทาอยใู่ นปัจจุบนั ก็เป็ นไปไดอ้ ยา่ งมากท่ีจะ
คงอยู่ในโรงพยาบาลต่อไป และ Tang, Jane Hsiao-Chen (2003) ท่ีวา่ การคงอยู่ หมายถึง ความสามารถใน
การรักษาบุคลากรไวใ้ นการจา้ งงาน โดยสรุปความหมายของการคงอยูข่ องพยาบาลในทศั นะของผูว้ ิจยั
หมายถึง ความคิดหรือความต้งั ใจของพยาบาลวิชาชีพท่ีจะปฏิบตั ิงานอยู่ในโรงพยาบาลต่อไปในระยะยาว
โดยไม่วางแผนที่จะออกจากงาน และไม่เปลี่ยนงานแมจ้ ะมีทางเลือกอ่ืนที่ดีกวา่ เน่ืองจากโรงพยาบาลเป็ น
บา้ นหลงั ท่ีสอง ทาให้รู้สึกมนั่ คงปลอดภยั ท้งั ทางร่างกายและจิตใจ รวมท้งั มีความภูมิใจว่าตนเองได้เป็ น
ส่วนหน่ึงของการบรรลุเป้าหมายขององคก์ ร
        จากการทบทวนงานวิจยั ท่ีเก่ียวกับปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ พบว่า
การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและคัดเลือก การฝึ กอบรมและพัฒนา การประเมินผลการ
ปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและผลประโยชน์ และความสมดุลของชีวติ และการทางาน มีความสัมพนั ธ์กบั การ
คงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ ดังท่ี Karin Newman, Uvanney Maylor and Bal Chansarkar (2002) กล่าวว่า
การจดั อตั รากาลงั และการจดั สรรทรัพยากรท่ีดีเป็ นกลยุทธ์ในการธารงรักษาพยาบาลวชิ าชีพ และบงกชพร
ต้งั ฉตั รชยั , บุญทิพย์ สิริธรังศรี, สุพิมพ์ ศรีพนั ธ์วรสกุล และ วิไลพร รังควตั (2554) กล่าววา่ การจดั สรรคน
ให้เหมาะกบั งานมีความสมั พนั ธ์ทางบวกกบั การคงอยูในงานของพยาบาลวชิ าชีพ เพราะการจดั สรรพยาบาล
วิชาชีพให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะงาน ความรู้ ทกั ษะความสามารถ พยาบาลวิชาชีพก็จะรู้สึกรักในงานท่ีทา
และทาให้เกิดการคงอยู่ในงาน ในขณะที่ผลการศึกษาของ Tonui Cherono Beatrice (2017) พบว่า
 268 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 12
การฝึ กอบรมและพัฒนามีอิทธิพลทางบวกต่อการธารงรักษาพนักงาน Rajan, D. (2013) พบว่า
การประเมินผลการปฏิบตั ิงานควรทาอย่างเป็ นธรรมและไม่มีอคติ เพ่ือเป็ นการควบคุมและป้องกนั การ
ลาออกของพยาบาลวชิ าชีพ นอกจากน้ียงั มีผลการศึกษาของ Johanim Johari, Tan Fee Yean, Zurina Adnan,
Khulida Kirana Yahya, and Mohamad Nassruddin Ahmad (2012) ท่ีพบว่า การบริหารค่าตอบแทนและ
สวสั ดิการมีผลกระทบทางบวกต่อความต้งั ใจในการคงอยู่ของพนักงาน และ Max Messmer (2006) และ
Mickey L. Parsons and Jana Stonestreer (2003) ท่ีกล่าววา่ ความสมดุลของชีวิตและการทางานเป็ นหน่ึงใน
ตวั ขบั เคล่ือนหลกั ในการธารงรักษาพนกั งาน จึงเป็นท่ีมาของสมมติฐานที่ 7-12 ดงั น้ี
        H7: การวางแผนทรัพยากรมนุษยม์ ีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
        H8: การสรรหาและคดั เลือกมีอิทธิพลตอ่ การคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
        H9: การฝึกอบรมและพฒั นามีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
        H10: การประเมินผลการปฏิบตั ิงานมีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
        H11: ผลตอบแทนและผลประโยชนม์ ีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
        H12: ความสมดุลของชีวติ และการทางานมีอิทธิพลตอ่ การคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
        ความเพยี งพอต่อการปฏิบัติงานและการคงอยู่ของพยาบาลวชิ าชีพ
        จากการทบทวนงานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง พบวา่ ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
มีความสัมพนั ธ์กับการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพในโรงพยาบาล ดงั ท่ี นวลรัตน์ วรจิตติ และกัญญดา
ประจุศิลป (2560) พบวา่ ความเพียงพอของอตั รากาลงั และทรัพยากรเป็ นตวั แปรท่ีสามารถทานายการคงอยู่
ในองคก์ รของพยาบาลวชิ าชีพ ในโรงพยาบาลเอกชนได้ เพราะภาระงานท่ีมากและกาลงั คนท่ีไม่เพียงพอทา
ให้พยาบาลเกิดความเหน็ดเหนื่อย ความเครียด และส่งผลต่อการคงอยขู่ องพยาบาล ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั Susan
Letvak and Raymond Buck (2008) ที่ว่า การลดความเครียดในงานและการจัดหาบุคลากรท่ีเพียงพอ
ก่อให้เกิดคุณภาพในการดูแลผูป้ ่ วยและเพ่ิมความพึงพอใจในงานซ่ึงช่วยให้พยาบาลยงั คงทางานอยู่กับ
โรงพยาบาล และสอดคล้องกบั Marie Dietrich Leurer, Glenn Donnelly, Elizabeth Domm (2007) ท่ีพบว่า
จานวนพนกั งานท่ีเพียงพอเป็ นหน่ึงในประเด็นสาคญั ที่จะช่วยรักษาพยาบาลที่มีประสบการณ์ไวใ้ นระบบ
การดูแลสุขภาพ จึงเป็นที่มาของสมมุติฐานที่ 13 ดงั น้ี
        H13: ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพมีอิทธิพลต่อการคงอยูข่ องพยาบาล
วชิ าชีพ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 269
สมชาย ยงิ่ ยืน
วธิ ดี าเนินการวจิ ยั
        1. ประชากรท่ีใช้ในการศึกษา คือ พยาบาลวิชาชีพจานวน 872 คน ที่ทางานในโรงพยาบาลใน
เครือของบริษทั กรุงเทพดุสิตเวชการ จากดั (มหาชน) (บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ, 2560) ซ่ึงเป็ นจานวนท่ี
ผวู้ ิจยั ประมาณการจากจานวนเตียงของโรงพยาบาล ตามกฏกระทวงที่กาหนดวิชาชีพและจานวนผปู้ ระกอบ
วิชาชีพในสถานพยาบาล พ.ศ. 2558 (กระทรวงสาธารณสุข, 2558) ท่ีระบุว่า จานวนผูป้ ระกอบวิชาชีพการ
พยาบาลและการผดุงครรภช์ ้นั หน่ึงของโรงพยาบาลทว่ั ไปขนาดไม่เกิน 10 เตียง คือ 3 คน ขนาด 11 - 30 เตียง
คือ 6 คน ขนาด 31 - 60 เตียง คือ 9 คน ขนาด 61 - 90 เตียง คือ 12 คน ขนาด 91 - 120 เตียง คือ 15 คน และ
เพม่ิ ข้ึน 2 คน ต่อจานวนเตียงท่ีเพ่มิ ข้ึน 1 - 30 เตียง
        2. กลุ่มตวั อยา่ ง คือ พยาบาลวิชาชีพที่ปฏิบตั ิงานอยู่ในโรงพยาบาลในเครือของบริษทั กรุงเทพ
ดุสิตเวชการ จากดั (มหาชน) มากกวา่ 5 ปี จานวน 275 คน ซ่ึงผวู้ จิ ยั ใชว้ ิธีการกาหนดขนาดตวั อยา่ งตามสูตร
ของ Yamane, Taro (1967) ท้ังน้ีเพื่อป้องกันการคลาดเคลื่อนในการเก็บข้อมูล ผูว้ ิจยั จึงเลือกท่ีจะเก็บ
แบบสอบถามจานวน 350 ชุด โดยใชว้ ิธีการเลือกกลุ่มตวั อยา่ งตามสัดส่วนของจานวนโรงพยาบาลในแต่ละ
ก ลุ่ ม โรงพ ยาบ าล (Proportionate Stratified Random Sampling) ได้แก่ ก ลุ่ ม โรงพ ยาบ าล ก รุ งเท พ
กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล กลุ่มโรงพยาบาลทอ้ งถิ่น และ
ไดร้ ับการตอบกลบั ท้งั สิ้น 305 ชุด คิดเป็นอตั ราการตอบกลบั ร้อยละ 87.14
        3. ระยะเวลาในการเก็บรวบรวมขอ้ มูล ระหวา่ งวนั ที่ 1 ธนั วาคม 2561 ถึง 31 มกราคม 2562 รวม 2
เดือน
        4. เคร่ืองมือท่ีใช้ในการวิจยั ผูว้ ิจยั ใช้แบบสอบถาม ซ่ึงประกอบไปดว้ ย 4 ตอน ไดแ้ ก่ ตอนท่ี 1
สอบถามเก่ียวกบั ขอ้ มูลทว่ั ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม เป็ นคาถามปลายปิ ด แบบสารวจรายการ (Checklist)
และแบบเติมคาหรือขอ้ ความส้ัน ๆ ตอนที่ 2 - 4 สอบถามเกี่ยวกบั การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ความเพียงพอ
ต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ และการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ เป็ นคาถามปลายปิ ด แบบมาตร
ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั
        5. การสร้างและตรวจสอบคุณภาพเคร่ืองมือในการวิจยั ผูว้ ิจยั ไดน้ าขอ้ มูลท่ีไดจ้ ากการทบทวน
แนวคิดทฤษฏีท่ีเก่ียวขอ้ งมาสร้างเป็ นแบบสอบถาม และเสนอให้ผูเ้ ช่ียวชาญจานวน 6 ท่าน ประเมินดชั นี
ความสอดคล้อง (Indexes of Item-Objective Congruence: IOC) โดยพิจารณาความสอดคล้องระหว่างข้อ
คาถามและวตั ถุประสงค์ที่ตอ้ งการวดั เพื่อตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา พบว่า ผลรวมค่า IOC ของ
แบบสอบถามท้งั ฉบบั เทา่ กบั 0.94 ผา่ นเกณฑ์ท่ีวา่ ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งตอ้ งเท่ากบั หรือมากกวา่ 0.5 ข้ึนไป
หลงั จากน้นั จึงนาแบบสอบถามไปทดลองใชก้ บั กลุ่มตวั อยา่ งท่ีมีคุณลกั ษณะเหมือนกบั ประชากรในการวิจยั
จานวน 30 คน เพ่ือนามาวิเคราะห์ความสอดคล้องภายในแบบสอบถาม โดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ิแอลฟา
 270 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 12
ครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) มีเกณฑว์ า่ คา่ ความเช่ือมนั่ ตอ้ งมากกวา่ 0.80 (ธานินทร์ ศิลป์ จารุ,
2550) ซ่ึงไดค้ า่ ความเช่ือมน่ั ของแบบสอบถามท้งั ฉบบั เท่ากบั 0.93
        6. การวเิ คราะห์ขอ้ มูล ผวู้ จิ ยั ใชค้ วามถ่ี ร้อยละ ค่าเฉล่ีย ค่าเบ่ียงเบนมาตรฐาน และใชก้ ารวเิ คราะห์
เส้นทาง (Path Analysis) ในการวเิ คราะห์ขอ้ มูลเพ่ือตอบสมมติฐานในการวิจยั โดยมีเกณฑ์ในการพิจารณา
ความสอดคลอ้ งกลมกลืนของโมเดลกบั ขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ ดงั น้ี คือ ไคสควร์สัมพนั ธ์ (Relative Chi-Square)
ตอ้ งนอ้ ยกว่า 2 ค่า P-value ตอ้ งมากกวา่ 0.05 ค่า GFI ตอ้ งมากกว่าหรือเท่ากบั 0.90 ค่า AGFI ตอ้ งมากกว่า
หรือเท่ากบั 0.90 และค่า RMSEA ตอ้ งน้อยกว่า 0.05 (Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., Anderson, R.
E., & Tatham, R. L., 2010; พูลพงศ์ สุขสวา่ ง, 2556; สุวมิ ล ติรกานนั ท,์ 2555)
ผลการวจิ ัย
        กลุ่มตวั อยา่ งส่วนใหญ่เป็ นเพศหญิง คิดเป็ นร้อยละ 97.70 มีอายรุ ะหวา่ ง 36 - 40 ปี คิดเป็ นร้อยละ
32.50 ส่วนใหญ่มีการศึกษาระดบั ปริญญาตรี คิดเป็ นร้อยละ 93.80 มีสถานภาพสมรส คิดเป็ นร้อยละ52.80
และไม่มีบุตร คิดเป็ นร้อยละ 52.80 มีระยะเวลาการปฏิบตั ิงานในโรงพยาบาล ระหว่าง 5 - 10 ปี คิดเป็ น
ร้อยละ 66.90 ส่วนใหญ่สังกดั แผนกพยาบาล OPD คิดเป็ นร้อยละ 27.20 มีรายไดโ้ ดยรวมต่อเดือนมากกวา่
35,001 บาทข้ึนไป คิดเป็ นร้อยละ 52.80 ท้ังน้ีสวสั ดิการส่วนใหญ่ที่หน่วยงานของกลุ่มตวั อย่างจดั ให้
พยาบาลวิชาชีพ ไดแ้ ก่ ตรวจสุขภาพประจาปี คิดเป็ นร้อยละ 96.39 และสวสั ดิการที่พยาบาลวชิ าชีพตอ้ งการ
อนั ดบั ที่ 1 ไดแ้ ก่ สวสั ดิการรักษาพยาบาลพนกั งาน สวสั ดิการรักษาพยาบาลครอบครัวพนกั งาน สวสั ดิการท่ี
พกั หรือค่าท่ีอยูอ่ าศยั อนั ดบั ท่ี 2 ไดแ้ ก่ การตรวจสุขภาพประจาปี กองทุนสารองเล้ียงชีพ และชุดเคร่ืองแบบ
พนกั งาน อนั ดบั ที่ 3 ไดแ้ ก่ ประกนั ชีวติ และอุบตั ิเหตุ ทุนการศึกษาพนกั งาน และสหกรณ์ออมทรัพย์
        การวิเคราะห์เส้นทางแสดงอิทธิพลของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและคดั เลือก
การฝึ กอบรมและพฒั นา การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและผลประโยชน์ ความสมดุลของชีวติ
และการทางาน ที่ส่งผลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน และการคงอยูข่ องพยาบาลวชิ าชีพ พบวา่ โมเดล
การวิเคราะห์เส้นทางมีความสอดคลอ้ งกบั ขอ้ มูลเชิงประจกั ษ์ โดยมีค่าสถิติไคสแควร์ (Chi-Square) เท่ากบั
0.000 องศาอิสระ (df) เท่ากบั 21 p-value เท่ากบั 1.000 ผา่ นเกณฑ์ คือ ตอ้ งมีค่ามากกว่า 0.05 ค่าไคสแควร์
สัมพทั ธ์
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 271
สมชาย ยง่ิ ยืน
     Chi-Square = 0.000, df = 21, Relative Chi-Square = 0.000, p-value = 1.000, RMSEA = 0.000
หมายเหตุ: * หมายถึง นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.05, **หมายถึง นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.01
  ภาพท่ี 1 โมเดลการวเิ คราะห์เส้นทางแสดงอิทธิพลของการวางแผนทรัพยากรมนุษย์ การสรรหาและ
คดั เลือก การฝึกอบรมและพฒั นา การประเมินผลการปฏิบตั ิงาน ผลตอบแทนและผลประโยชน์ ความสมดุล
  ของชีวติ และการทางาน ที่ส่งผลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน และการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ
 272 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 12
ตารางท่ี 1 แสดงการวเิ คราะห์เส้นทางอิทธิพลทางตรง อิทธิพลทางออ้ ม และอิทธิพลรวมของตวั แปรสาเหตุ
และตวั แปรผล
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 273
สมชาย ยงิ่ ยืน
        โดยมีผลการทดสอบสมมติฐาน ดงั น้ี
        1. การวางแผนทรัพยากรมนุษย์ ไม่มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
วชิ าชีพอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.05 ซ่ึงไมส่ อดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้
        2. การสรรหาและคดั เลือกมีอิทธิพลตอ่ ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพอยา่ งมี
นยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทาง 0.192 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
        3. การฝึ กอบรมและพฒั นาไม่มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
อยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่ระดบั 0.05 ซ่ึงไมส่ อดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
        4. การประเมินผลการปฏิบตั ิงานมีอิทธิพลต่อความเพยี งพอตอ่ การปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ
อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทาง 0.238 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน
ท่ีต้งั ไว้
        5. ผลตอบแทนและผลประโยชน์มีอิทธิพลตอ่ ความเพียงพอตอ่ การปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ
อย่างมีนัยสาคญั ทางสถิติท่ีระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทาง 0.256 ซ่ึงสอดคล้องกบั สมมติฐาน
ท่ีต้งั ไว้
        6. ความสมดุลของชีวิตและการทางานมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
วิชาชีพอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทาง 0.297 ซ่ึงสอดคล้องกับ
สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
        7. การวางแผนทรัพยากรมนุษยไ์ ม่มีอิทธิพลต่อการคงอยูข่ องพยาบาลวชิ าชีพอยา่ งมีนยั สาคญั ทาง
สถิติท่ีระดบั 0.05 ซ่ึงไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
        8. การสรรหาและคดั เลือกมีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวิชาชีพอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติที่
ระดบั 0.01 โดยมีคา่ สัมประสิทธ์ิเส้นทาง 0.186 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้
        9. การฝึ กอบรมและพฒั นาไม่มีอิทธิพลต่อการคงอยูข่ องพยาบาลวชิ าชีพอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติ
ท่ีระดบั 0.05 ซ่ึงไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
        10. การประเมินผลการปฏิบตั ิงานไม่มีอิทธิพลต่อการคงอยูข่ องพยาบาลวชิ าชีพอยา่ งมีนยั สาคญั
ทางสถิติที่ระดบั 0.05 ซ่ึงไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้
        11. ผลตอบแทนและผลประโยชน์มีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพอยา่ งมีนยั สาคญั ทาง
สถิติที่ระดบั 0.05 โดยมีคา่ สมั ประสิทธ์ิเส้นทาง 0.113 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
        12. ความสมดุลของชีวิตและการทางานมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพอย่างมี
นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั 0.01โดยมีค่าสมั ประสิทธ์ิเส้นทาง 0.262 ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
        13. ความเพียงพอต่อการปฏิบัติงานของพยาบาลวิชาชีพมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาล
วิชาชีพอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ 0.01 โดยมีค่าสัมประสิทธ์ิเส้นทาง 0.251 ซ่ึงสอดคล้องกับ
สมมติฐานท่ีต้งั ไว้
 274 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบับท่ี 2
C H A P T E R 12
        ท้งั น้ีพบว่า ตวั แปรท้งั หมดในโมเดลสามารถร่วมกันอธิบาย ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน
(AST) และการคงอยขู่ องพยาบาล ( ITS) ไดร้ ้อยละ 73.6 และ 70.1 ตามลาดบั
อภิปรายผลการวจิ ัย
        ตามวตั ถุประสงค์ข้อ 1
        การวางแผนทรัพยากรมนุษยไ์ ม่มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ
ซ่ึงไม่สอดคล้องกับสมมติฐานท่ีต้งั ไว้ และไม่สอดคล้องกับ เพชรรุ่ง เพชรประดบั และคณะ (ม.ป.ป.)
ท่ีกล่าววา่ องคก์ รพยาบาลควรสนบั สนุนให้ผบู้ ริหารการพยาบาลทุกระดบั มีความรู้ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การ
จดั การภาวะการขาดแคลนพยาบาล โดยเฉพาะในเรื่องของการวางแผนอตั รากาลงั เช่น การวางแผนสรรหา
พยาบาลใหเ้ พียงพอกบั ความตอ้ งการ การกาหนดกลยทุ ธ์การดาเนินงานเพอ่ื ใหอ้ ตั รากาลงั มีเพยี งพอ เป็นตน้
        ก า รส รรห าแ ล ะ ค ัด เลื อ ก มี อิ ท ธิ พ ล ต่ อ ค วาม เพี ย ง พ อ ต่ อ ก ารป ฏิ บ ัติ งาน ข อ งพ ย าบ าล วิช าชี พ
ซ่ึงสอดคล้องกบั สมมติฐานท่ีต้งั ไว้ และสอดคล้องกับ นงนุช บุญยงั และศศิธร พุมดวง (2554) ท่ีพบว่า
การไดม้ าซ่ึงอตั รากาลงั ที่เพียงพอของพยาบาลวชิ าชีพในโรงพยาบาล คือ การสรรหาพยาบาลวชิ าชีพมาเพ่ือ
ทดแทนอตั รากาลงั ที่ขาด การใช้กลยุทธ์ตกเขียวซ่ึงเป็ นการหาอตั รากาลงั ใหม่โดยการให้ทุนการศึกษากบั
นกั ศึกษาพยาบาลเพื่อให้ได้อตั รากาลงั ที่แน่นอนมาเติมเต็ม และการรับเป็ นสถานที่ฝึ กงานของนักศึกษา
วชิ าการพยาบาล
        การฝึ กอบรมและพฒั นาไม่มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
ซ่ึงไม่สอดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้ และสอดคลอ้ งกบั ศุภากร ด่านถาวรเจริญ (2552) ที่กล่าววา่ การท่ีจะ
ทาใหก้ ารฝึกอบรมประสบความสาเร็จไดน้ ้นั มีองคป์ ระกอบหลายส่วน ท้งั ในดา้ นผเู้ รียนเอง วิทยากรผสู้ อน
เน้ือหาในหลักสูตร รวมถึงวิธีการเรียนการสอน เพราะถึงแม้วิทยากรจะเป็ นผูม้ ีความรู้ความเชี่ยวชาญ
แต่หากวิธีการสอนไม่เหมาะสมกบั บุคลิกลกั ษณะและพ้ืนฐานของผูเ้ รียน ความรู้ท่ีถูกถ่ายทอดไปยงั ผูเ้ รียน
ก็จะไม่บรรลุดงั คาดหมาย ทาให้การฝึ กอบรมไม่ตอบโจทยเ์ รื่องของความเพียงพอต่อการปฎิบตั ิงานของ
พยาบาลวชิ าชีพ
        การประเมินผลการปฏิบตั ิงานมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ
ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้ และสอดคลอ้ งกบั อรุณรัตน์ คนั ธา (2557) ท่ีว่า หน่ึงในบทบาทของ
ผบู้ ริหารทางการพยาบาลในการแกป้ ัญหาการขาดแคลนกาลงั คนทางการพยาบาลเพื่อให้เกิดความเพียงพอ
ต่อการปฎิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ ไดแ้ ก่ การทาใหพ้ ยาบาลวชิ าชีพรู้สึกพึงพอใจท่ีไดร้ ับความยุติธรรม
ความเสมอภาค และไดร้ ับประโยชน์จากการทางานที่เท่าเทียมกนั ในการประเมินผลการปฏิบตั ิงานประจาปี
ผูบ้ ริหารการพยาบาลจาเป็ นตอ้ งพยายามสร้างความเท่ียงธรรม เพ่ือป้องกนั ไม่ให้เกิดความรู้สึกไม่ยตุ ิธรรม
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 275
สมชาย ยงิ่ ยืน
ของบุคลากร และสอดคลอ้ งกบั ทฤษฎีความเท่าเทียม (Equity Theory) ของ James Stacy Adams ท่ีวา่ การจูง
ใจไดร้ ับอิทธิพลจากความเป็นธรรม ความเสมอภาคที่ไดร้ ับจากการทางาน โดยบุคคลมกั จะเปรียบเทียบส่ิงท่ี
ลงแรงไปในงาน (Input) กบั ผลตอบแทนท่ีไดร้ ับ (Output) ท้งั น้ีหากบุคคลรู้สึกวา่ ตนเองไดร้ ับผลตอบแทน
นอ้ ยกวา่ คนอื่น บุคคลก็จะพยายามลดความไม่เสมอภาคน้นั เช่น ลดปัจจยั นาเขา้ หรือทางานนอ้ ยลง หยดุ งาน
พยายามเพิ่มผลลพั ธ์ ขอผลตอบแทนเพิ่ม ขอโยกยา้ ย ลาออก เป็ นตน้ หากบุคคลรู้สึกวา่ ตนเองไดร้ ับเท่ากบั
คนอ่ืน ก็จะรู้สึกเสมอภาคและถูกจูงใจให้ดารงหรือคงพฤติกรรมในการทางานไว้ บุคคลจะเพิ่มความทุ่มเท
ใหก้ บั การทางานมากข้ึนเพราะเกรงวา่ ผลตอบแทนท่ีไดอ้ าจจะลดลง
        ผลตอบแทนและผลประโยชน์มีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพ
ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้ และสอดคลอ้ งกบั ศิริพร จิรวฒั น์กุล และคณะ (2555) ท่ีวา่ โรงพยาบาล
ควรจดั สวสั ดิการด้านความเป็ นอยู่ท่ีเหมาะสมให้กับพยาบาล โดยเฉพาะพยาบาลที่ต้องข้ึนปฏิบตั ิงาน
นอกเหนือเวลาราชการ ท่ีพกั ห้องพกั เวรที่เพียงพอไม่แออดั และอาหารสาหรับผูท้ ่ีปฏิบตั ิงานนอกเวลา
ซ่ึงสิ่งเหล่าน้ีจะเอ้ือใหพ้ ยาบาลมีความพึงพอใจในการทางาน เป็นการแกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนพยาบาล
        ความสมดุลของชีวิตและการทางานมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานของพยาบาล
วิชาชีพ ซ่ึงสอดคล้องกบั สมมติฐานที่ต้งั ไว้ และสอดคล้องกบั ศิริพร จิรวฒั น์กุล และคณะ (2555) ที่ว่า
โรงพยาบาลควรมีทางเลือกในการเลือกเวลาข้ึนปฏิบตั ิงานของพยาบาลวชิ าชีพ เช่น การใหโ้ อกาสพยาบาล
วชิ าชีพมีทางเลือกข้ึนปฏิบตั ิงานในเวลาที่ตนเองตอ้ งการ แทนการเวยี นให้ทุกคนตอ้ งข้ึนปฏิบตั ิงานเป็ นรอบ
เวรที่เหมือนกนั เพ่ือแกไ้ ขปัญหาการขาดแคลนพยาบาล และทาใหเ้ กิดความเพยี งพอต่อการปฏิบตั ิงาน
        ตามวตั ถุประสงค์ข้อ 2
        การวางแผนทรัพยากรมนุษยไ์ ม่มีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวิชาชีพ ซ่ึงไม่สอดคลอ้ งกบั
สมมติฐานที่ต้ังไว้ และไม่สอดคล้องกับ Karin Newman, Uvanney Maylor and Bal Chansarkar (2002)
ท่ีกล่าววา่ การจดั อตั รากาลงั และการจดั สรรทรัพยากรที่ดีเป็นกลยทุ ธ์ในการธารงรักษาพยาบาลวชิ าชีพ
        การสรรหาและคดั เลือกมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สมมติฐาน
ที่ต้งั ไว้ และสอดคลอ้ งกบั MacBeath, J., Oduro, G., Jacka, J., & Hobby, R. (2006) กล่าววา่ การสรรหาและ
คดั เลือก คือ กระบวนการในการดึงดูดผสู้ มคั รท่ีเหมาะสมเขา้ มาสมคั รงานกบั องคก์ ร เพ่ือท่ีองคก์ รจะทาการ
คดั เลือกผูส้ มคั รที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุดสาหรับตาแหน่งงานที่ว่างอยู่ และสอดคล้องกับ บงกชพร
ต้งั ฉตั รชยั และคณะ (2554) ท่ีกล่าววา่ การจดั สรรคนใหเ้ หมาะกบั งานมีความสัมพนั ธ์ทางบวกกบั การคงอยู่
ในงานของพยาบาลวิชาชีพ เพราะการจดั สรรพยาบาลวิชาชีพให้เหมาะสมกบั ลกั ษณะงาน ความรู้ ทกั ษะ
ความสามารถ พยาบาลวชิ าชีพกจ็ ะรู้สึกรักในงานท่ีทา และทาใหเ้ กิดการคงอยใู่ นงาน
 276 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 12
        การฝึ กอบรมและพฒั นาไม่มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ ซ่ึงไม่สอดคล้องกับ
สมมติฐานที่ต้ังไว้ และสอดคล้องกับ Johari, J. O. H. A. N. I. M., Yean, T. F., Adnan, Z. U. R. I. N. A.,
Yahya, K. K., & Ahmad, M. N. (2012) ท่ีพบว่า การฝึ กอบรมและพฒั นาไม่มีผลกระทบต่อการคงอยู่ของ
พยาบาลวิชาชีพ โดยกล่าวว่า การฝึ กอบรมและพฒั นาเป็ นโอกาสท่ีพนักงานจะไดจ้ ากการทางานอยูแ่ ล้ว
ไม่ว่าจะทางานกบั องค์กรไหน ดังน้ันพนักงานจึงไม่เห็นถึงความสาคญั ของการฝึ กอบรมและพฒั นาที่
กาหนดโดยนายจา้ งปัจจุบนั ทาใหป้ ัจจยั ดา้ นการฝึ กอบรมและพฒั นาไม่มีผลต่อการคงอยูข่ องพนกั งาน และ
สอดคลอ้ งกบั ทฤษฎีทุนมนุษย์ (Human capital theory) ท่ีมุ่งเน้นการลงทุนไปท่ีขีดความสามารถ ทกั ษะใน
การทางานของบุคลากรในองค์กร และผลตอบแทนที่องค์กรจะได้รับ คือ ความจงรักภกั ดี ความคิดริเร่ิม
สร้างสรรค์ ความพยายาม ความมุ่งม่นั สู่ความสาเร็จ ซ่ึงเป็ นผลลัพธ์ที่เกิดข้ึนของบุคลากรในองค์กร
แต่เน่ืองจากทุนมนุษยม์ ีรูปแบบท่ีเป็ นนามธรรม ไดแ้ ก่ ความรู้ ความชานาญ ไม่มีตวั ตน และไม่อาจแยกจาก
เจา้ ของทุนได้ องคก์ รจึงจาเป็นตอ้ งป้องกนั ทุนมนุษย์ จากการโอนยา้ ยไปยงั บริษทั หรือองคก์ รอ่ืนดว้ ย
        การประเมินผลการปฏิบตั ิงานไม่มีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวชิ าชีพ ซ่ึงไม่สอดคลอ้ งกบั
สมมติฐานท่ีต้งั ไว้ และสอดคล้องกบั ผลการศึกษาของ Johari et al. (2012) ท่ีพบว่า การประเมินผลการ
ปฏิบตั ิงานไม่มีผลกระทบต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ โดยให้ความเห็นว่า เน่ืองจากกลุ่มตวั อย่างท่ี
ศึกษามีอายุต่ากว่า 30 ปี ซ่ึงเป็ นช่วงวยั ท่ีแสวงหาโอกาสและความท้าทายในการทางาน จึงทาให้การ
ประเมินผลการปฏิบตั ิงานไม่มีผลต่อความต้งั ใจท่ีจะคงอยใู่ นงาน และ Hussain, T., & Rehman, S. S. (2013)
ที่ว่า การประเมินผลการปฏิบัติงานไม่ใช่ปัจจยั ที่ทานายความต้งั ใจในการคงอยู่ของพนักงาน ซ่ึงไม่
สอดคล้องกับ Rubel, M. R. B., & Kee, D. M. H. (2015) และ Nawaz, M. S., & Pangil, F. (2016) ที่ว่า
การรับรู้ความเป็ นธรรมของการประเมินผลการปฏิบตั ิงานส่งผลกระทบทางลบต่อความต้งั ใจลาออกของ
พยาบาลวิชาชีพ ท้งั น้ีเม่ือพยาบาลวิชาชีพรู้สึกว่าพวกเขาไดร้ ับการประเมินอยา่ งเป็ นธรรม จะมีโอกาสนอ้ ย
มากที่พวกเขาจะลาออกจากงาน
        ผลตอบแทนและผลประโยชน์มีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ ซ่ึงสอดคล้องกับ
สมมติฐานที่ต้งั ไว้ และสอดคล้องกบั Johanim Johari et al. (2012) ท่ีพบว่า การบริหารค่าตอบแทนและ
สวสั ดิการมีผลกระทบทางบวกต่อความต้งั ใจในการคงอยู่ของพนักงาน และสอดคล้องกับทฤษฎีการ
แลกเปลี่ยนทางสังคม (Social Exchange Theory) ท่ีวา่ การที่คนเราจะมีปฏิสัมพนั ธ์ต่อกนั น้นั มกั จะนึกถึงการ
ลงทุนและผลตอบแทนจากปฏิสัมพนั ธ์ เช่น องค์กรมีการให้ผลตอบแทนท่ีเป็ นตวั เงินในขณะที่พนกั งาน
ทางานเพ่ือแลกเปล่ียน การที่องค์กรให้การสนับสนุนในด้านต่างๆ เพื่อให้พนักงานมีความอยู่ท่ีดีและ
พนักงานก็ตอบแทนดว้ ยการทางานนอกเหนือจากบทบาทหน้าท่ี เต็มใจช่วยในกิจกรรมต่างๆขององคก์ ร
ซ่ึงนาไปสู่สร้างพนั ธะผกู พนั และความไวว้ างใจใหเ้ กิดข้ึน
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 277
สมชาย ยงิ่ ยืน
        ความสมดุลของชีวติ และการทางานมีอิทธิพลต่อการคงอยขู่ องพยาบาลวิชาชีพ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั
สมมติฐานท่ีต้งั ไว้ และสอดคล้องกบั Max Messmer (2006) และ Mickey L. Parsons and Jana Stonestreer
(2003) ได้กล่าวว่า ความสมดุลของชีวิตและการทางานเป็ นหน่ึงในตวั ขบั เคล่ือนหลกั ในการธารงรักษา
พนักงาน และสอดคล้องกบั Chan, Z. C., Tam, W. S., Lung, M. K., Wong, W. Y., & Chau, C. W. (2013)
ท่ีกล่าววา่ พยาบาลวชิ าชีพท่ีเขา้ เวรตอนเยน็ และตอนกลางคืน แสดงถึงความต้งั ใจในการลาออกในระดบั สูง
การกาหนดเวลาการทางานจึงควรได้รับการปรับปรุง ท้ังน้ีกลยุทธ์การจดั ตารางเวลาด้วยตนเอง (Self -
Scheduling Strategy) ถือเป็ นวธิ ีหน่ึงท่ีถูกใชโ้ ดยทว่ั ไปในสหรัฐอเมริกา ไตห้ วนั และในโรงพยาบาลที่ดึงดูด
ใจบุคลากร (Magnet Hospitals) หลายแห่ง เพอ่ื ลดการลาออกของพยาบาลวชิ าชีพ ตามวตั ถุประสงคข์ อ้ 3
        ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงานมีอิทธิพลต่อการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ ซ่ึงสอดคล้องกบั
สมมติฐานท่ีต้ังไว้ และสอดคล้องกับ นวลรัตน์ วรจิตติ และกัญญดา ประจุศิลป (2560) ที่พบว่า
ความเพียงพอของอตั รากาลงั และทรัพยากรเป็ นตวั แปรท่ีสามารถทานายการคงอยู่ในองค์กรของพยาบาล
วิชาชีพในโรงพยาบาลเอกชนได้ เพราะภาระงานที่มากและกาลงั คนท่ีไม่เพียงพอทาให้พยาบาลเกิดความ
เหน็ดเหนื่อย ความเครียด และส่งผลต่อการคงอยู่ของพยาบาล ซ่ึงสอดรับกบั Susan Letvak and Raymond
Buck (2008) ท่ีว่า การลดความเครียดในงานและการจดั หาบุคลากรท่ีเพียงพอก่อใหเ้ กิดคุณภาพในการดูแล
ผปู้ ่ วยและเพิม่ ความพงึ พอใจในงานซ่ึงช่วยใหพ้ ยาบาลยงั คงทางานอยกู่ บั โรงพยาบาล
        ข้อเสนอแนะในการนาผลการวจิ ัยไปใช้
        1. จากผลการศึกษาพบว่า ความสมดุลระหว่างชีวิตและการทางานเป็ นปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลต่อ
ความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน และการคงอยขู่ องพยาบาลวิชาชีพ รวมถึงเป็ นปัจจยั ท่ีมีอิทธิพลรวมต่อการ
คงอยูข่ องพยาบาลวิชาชีพสูงสุดเม่ือเทียบกบั ปัจจยั อื่น จึงมีขอ้ เสนอแนะวา่ โรงพยาบาลควรให้ความสาคญั
พร้อมท้งั ส่งเสริม สนบั สนุนให้พยาบาลวชิ าชีพมีความสมดุลในชีวติ และการทางาน เช่น การใชต้ ารางการ
ทางานที่ยืดหยุ่น รวมถึงการจดั ให้มีส่ิงอานวยความสะดวกที่สนับสนุนต่อการปฏิบัติงานของพยาบาล
วชิ าชีพ การจดั สภาพแวดลอ้ มที่มีความปลอดภยั ในการปฏิบตั ิงาน และการให้ความตระหนกั ต่อการควบคุม
และป้องกนั การติดเช้ือจากผปู้ ่ วยมาสู่พยาบาลวชิ าชีพ ซ่ึงจะส่งผลใหพ้ ยาบาลวชิ าชีพรู้สึกพึงพอใจและผกู พนั
ตอ่ องคก์ รมากข้ึน และคงอยใู่ นองคก์ รต่อไป
        2. จากผลการศึกษาพบวา่ การสรรหาและคดั เลือกมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการปฏิบตั ิงาน
และการคงอยขู่ องพยาบาลวิชาชีพ จึงมีขอ้ เสนอแนะว่า โรงพยาบาลควรให้ความสาคญั กบั การสรรหาจาก
ภายใน โดยเฉพาะตาแหน่งงานบริหาร เพื่อเป็ นการสร้างโอกาสและความเติบโตในการทางานของพยาบาล
วชิ าชีพภายในโรงพยาบาล ทาให้พยาบาลวชิ าชีพมีแรงจูงใจในการทางานและเกิดการคงอยใู่ นโรงพยาบาล
ระยะยาว นอกจากน้ีโรงพยาบาลควรพฒั นาระบบการสรรหาและคดั เลือกพนกั งานที่มีศกั ยภาพที่จะสามารถ
สรรหาและคดั เลือกคนไดต้ รงตามความตอ้ งการในการปฏิบตั ิงาน และตรงตามคุณสมบตั ิท่ีไดก้ าหนดไว้
มีระบบการสรรหาโดยใชส้ ่ือ ช่องทางประชาสัมพนั ธ์ท่ีตรงกบั กลุ่มเป้าหมาย มีระบบในการสรรหาคดั เลือก
 278 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 12
พยาบาลวิชาชีพท่ีมีความโปร่งใสและเป็ นธรรมในการได้มาซ่ึงตาแหน่งงานท่ีกาหนดไว้ และมี
คณะกรรมการพิจารณากลนั่ กรองคุณสมบตั ิของผรู้ ับการคดั เลือกอยา่ งมีธรรมาภิบาล
        3. จากผลการศึกษาพบว่า ผลประโยชน์และผลตอบแทนมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการ
ปฏิบัติงาน และการคงอยู่ของพยาบาลวิชาชีพ จึงมีข้อเสนอแนะว่า โรงพยาบาลควรมีระบบการจ่าย
ค่าตอบแทนที่จูงใจโดยคานึงถึง 1. ความสามารถในการแข่งขนั กบั โรงพยาบาลอ่ืนๆ 2. ตลาดแรงงานท่ี
เป็ นอยูใ่ นปัจจุบนั 3. ความสอดคลอ้ งตามการเปลี่ยนแปลงของสภาวะทางเศรษฐกิจ 4. ความเสมอภาคและ
เท่าเทียมกนั ในแต่ละตาแหน่งงาน ในส่วนของสวสั ดิการมีขอ้ เสนอแนะวา่ โรงพยาบาลจดั ให้มีสวสั ดิการ
แบบยืดหยุน่ (Flexible benefit) เพ่ือให้พยาบาลวชิ าชีพสามารถเลือกสวสั ดิการไดต้ รงตามความตอ้ งการของ
ตนเอง ท้ังน้ีสวสั ดิการท่ีโรงพยาบาลควรจะต้องจดั ให้กบั พยาบาลวิชาชีพเพื่อส่งเสริมให้เกิดการคงอยู่
เรียงลาดบั ตามความตอ้ งการของพยาบาลวิชาชีพ อนั ดบั ที่ 1 ไดแ้ ก่ สวสั ดิการรักษาพยาบาลพนกั งานและ
ครอบครัวพนกั งาน สวสั ดิการท่ีพกั หรือค่าท่ีอยูอ่ าศยั อนั ดบั ที่ 2 ไดแ้ ก่ การตรวจสุขภาพประจาปี กองทุน
สารองเล้ียงชีพ และชุดเครื่องแบบพนักงาน อนั ดับที่ 3 ได้แก่ ประกันชีวิตและอุบัติเหตุ ทุนการศึกษา
พนกั งาน และสหกรณ์ออมทรัพย์
        4. จากผลการศึกษาพบว่า การประเมินผลการปฏิบัติงานมีอิทธิพลต่อความเพียงพอต่อการ
ปฏิบตั ิงาน ของพยาบาลวิชาชีพ จึงมีข้อเสนอแนะว่า โรงพยาบาลควรพฒั นาระบบการประเมินผลการ
ปฏิบตั ิงานของพยาบาลวิชาชีพให้มีความสอดคลอ้ งกบั แต่ละตาแหน่งงาน โดยมีตวั ช้ีวดั อยา่ งชดั เจน ท้งั น้ี
การประเมินผลการปฏิบตั ิงานตอ้ งเนน้ ท่ีความเป็ นธรรมและสามารถตรวจสอบได้ มีการส่ือสารใหพ้ ยาบาล
วิชาชีพไดร้ ับรู้ผลการปฏิบตั ิงาน ขอ้ บกพร่อง และจุดที่ควรพฒั นาในการทางานของตนเอง รวมถึงมีการ
เชื่อมโยงผลการประเมินไปสู่การพฒั นาพยาบาลวิชาชีพ และการจ่ายผลตอบแทนเพ่ือเป็ นขวญั และกาลงั ใจ
ในการทางานแก่พยาบาลวชิ าชีพตอ่ ไป
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 279
สมชาย ยงิ่ ยืน
รายการอ้างองิ
กฤษดา แสวงดี, ฑิณกร โนรี, เพชรสุนีย์ ท้งั เจริญกุล และนงลกั ษณ์ พะไกยะ. (2552). สุขภาพและชีวติ การ
        ทางาน ของพยาบาลวิชาชีพในประเทศไทย. วนั ท่ีค้นข้อมูล 23 กนั ยายน 2560, เขา้ ถึงได้จาก
        http://www.thainursecohort.org/nu/webhtml/proposal.pdf
กฤษดา แสวงดี. (2558). อีก 10 ปี วกิ ฤตหนกั ขาดแคลนพยาบาล. วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 25 มกราคม 2559, เขา้ ถึงได้
        จาก https://www.hfocus.org/content/2015/04/9830
กระทรวงสาธารณสุข. (2558). กฏกระทรวง กาหนดวชิ าชีพและจานวนผปู้ ระกอบวิชาชีพในสถานพยาบาล
        พ.ศ 2558. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 30 กนั ยายน 2560, เขา้ ถึงไดจ้ าก http://www.pt.or.th/law/ptn58.pdf
เจาะลึกระบบสุขภาพ. (2558). 2544 - 2643 โลกเข้าสู่ศตวรรษแห่ งผู้สูงอายุ. วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 25 มกราคม
        2559, เขา้ ถึงไดจ้ าก https://www.hfocus.org/content/2015/04/9734
ขนิญร์นสั ท์ อินทุลกั ษณ์ และอารียว์ รรณ อ่วมตานี. (2557). ประสบการณ์การสร้างสมดุลชีวิตกบั งานของ
        พยาบาลวชิ าชีพ โรงพยาบาลเอกชน. วารสารพยาบาลทหารบก, 15(3), 382- 389.
ธานินทร์ ศิลป์ จารุ. (2550). การวิจัยและวิเคราะห์ข้อมลู ทางสถิติด้วย SPSS (พมิ พค์ ร้ังที่ 7). กรุงเทพฯ:
        วี อินเตอร์พริ้นท.์
นงนุช บุญยงั และศศิธร พุมดวง. (2554). กลยุทธ์การบริหารอัตรากาลังในปัจจุบันของผูอ้ านวยการ
        โรงพยาบาลและหวั หนา้ พยาบาล โรงพยาบาลทวั่ ไปในภาคใต.้ สงขลานครินทร์ เวชสาร, 29(3),
        97-108.
นวลรัตน์ วรจิตติ และกญั ญดา ประจุศิลป. (2560). ปัจจยั ทานายการคงอยใู่ นองคก์ รของพยาบาลวชิ าชีพ
        โรงพยาบาลเอกชน กรุงเทพมหานคร. วารสารพยาบาลทหารบก, 18(ฉบบั พิเศษ), 112-120.
บงกชพร ต้งั ฉตั รชยั , บุญทิพย์ สิริธรังศรี, สุพิมพ์ ศรีพนั ธ์วรสกุล และวิไลพร รังควตั . (2554). ปัจจยั ทานาย
        การคงอยู่ ในงานของพยาบาลวิชาชีพ โรงพยาบาลศูนย์เขตภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ สังกัด
        กระทรวงสาธารณสุข. วารสารการพยาบาล, 26(4), 43-54.
บมจ.กรุงเทพดุสิตเวชการ. (2560). ข้อมลู การดาเนินงานธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน. วนั ที่คน้ ขอ้ มูล 3 ตุลาคม
        2560, เขา้ ถึงไดจ้ าก http://bdms-th.listedcompany.com/profile.html
พนิ ิจ กุลละวณิชย.์ (2558). ปัญหาการขาดแคลนพยาบาล. วนั ท่ีคน้ ขอ้ มูล 25 มกราคม 2559, เขา้ ถึงไดจ้ าก
        https://www.hfocus.org/content/2015/03/9455
พูลพงศ์ สุขสว่าง. (2556). โมเดลสมการโครงสร้ าง (Structural Equation Modeling). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์
        วฒั นาพานิช.
 280 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 12
เพชรรุ่ง เพชรประดบั , วาริณี เอ่ียมสวสั ดิกุล และมุกดา หนุ่ยศรี. (ม.ป.ป.). ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม
        การจัดการภาวะขาดแคลนพยาบาลของหัวหน้าหอผู้ป่ วยโรงพยาบาลของรัฐ เขตตรวจราชการ
        ส า ธ า ร ณ สุ ข ที่ 1 5 . ก า ร จั ด ป ร ะ ชุ ม เส น อ ผ ล ง า น วิ จั ย ร ะ ดั บ บั ณ ฑิ ต ศึ ก ษ า
        มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช คร้ังที่ 4.
รัชนี ศุจิจนั ทรรัตน์, วลั ลภา บุญรอด, วิไลวรรณ ทองเจริญ, พวงผกา กรีทอง, กนกภรณ์ อ่วมพราหมณ์,
        กมลรัตน์ เทอร์เนอร์, วชั ราพร เชยสุวรรณ, ณัฏฐวรรณ คาแสน, ผุสดี สระทอง, วชั ราภรณ์
        เปาโรหิตย,์ ชิตสุภางค์ ทิพยเ์ ที่ยงแท,้ อรุณรัตน์ คนั ธา และศรีสุดา คลา้ ยคล่องจิตร. (2555). ปัจจยั
        ทานายความตอ้ งการออกจากงานของอาจารยพ์ ยาบาล. Journal of Nursing Science, 30(2), 22-34.
วจิ ิตร ศรีสุพรรณ และกฤษดา แสวงดี. (2555). ขอ้ เสนอเชิงนโยบายในการแกป้ ัญหาการขาดแคลนพยาบาล
        วชิ าชีพในประเทศไทย. วารสารสภาการพยาบาล, 27(1), 5-12.
ศรัณย์ พิมพ์ทอง. (2555). ปัจจัยเชิงเหตุท่ีเก่ียวข้องกับการคงอยู่ในองค์การของพนักงานมหาวิทยาลัย
        สายวิชาการ (รายงานผลการวิจัยได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากเงินงบประมาณรายได้มหาวิทยาลัย
        ศ รี น ค ริ น ท ร วิ โ ร ฒ ). วั น ที่ ค้ น ข้ อ มู ล 2 5 ม ก ร า ค ม 2 5 5 9 , เข้ า ถึ ง ไ ด้ จ า ก
        http://bsris.swu.ac.th/upload/saran25582.pdf
ศิริพร จิรวฒั น์กุล, ประณีต ส่งวฒั นา, นนั ทพนั ธ์ ชินล้าประเสริฐ, วารุณี ฟองแกว้ , วรรณี เดียวอิศเรศ, ศิริอร
        สินธุ และสมพร รุ่งเรืองกลกิจ. (2555). ความสุขกบั ความคิดคงอยูใ่ นวิชาชีพของพยาบาลไทย.
        วารสารสภาการพยาบาล, 27(4), 26-42.
ศุภากร ด่านถาวรเจริญ. (2552). การฝึกอบรมใช่ทางออกหรือทางตนั . นิตยสาร Q Management, 141, 96-98.
ส ก ล บุ ญ สิ น . (2 5 6 0 ). ก าร จั ด ก าร ท รั พ ย าก ร ม นุ ษ ย์ . เชี ย ง ใ ห ม่ : ศู น ย์บ ริ ห าร ง าน วิ จัย
        มหาวทิ ยาลยั เชียงใหม.่
สถาบนั รับรองคุณภาพสถานพยาบาล. (2561). มาตรฐานโรงพยาบาลและบริการสุขภาพ ฉบับที่ 4. นนทบุรี:
        กรุงเทพฯ: สถาบนั รับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องคก์ รมหาชน).
สุภาวดี ขนุ ทองจนั ทร์. (2559). การบริหารทรัพยากรมนษุ ย์อย่างบรู ณาการ. กรุงเทพ: ซีเอด็ ยเู คชน่ั .
สุวมิ ล ติรกานนั ท.์ (2555). การวิเคราะห์ตัวแปรพหุในงานวิจัยทางสังคมศาสตร์ (พิมพค์ ร้ังที่ 2). กรุงเทพฯ:
        โรงพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
อรุณรัตน์ คนั ธา. (2557). ผลกระทบและทางออกของการขาดแคลนกาลงั คนทางการพยาบาลในประเทศ
        ไทย. Journal of Nursing Science, 32(1), 81-90.
Bonnie, M. J. (2 0 0 7 ) . Turbulence. In R. Hughes (Ed.), Advances in Patient Safety and Quality: An
        Evidence-Based Handbook for Nurses. Rockville, MD: Agency for Healthcare Research and
        Quality.
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 281
สมชาย ยงิ่ ยืน
Chan, Z. C., Tam, W. S., Lung, M. K., Wong, W. Y., & Chau, C. W. (2013). A systematic literature
        review of nurse shortage and the intention to leave. Journal of nursing management, 2 1 (4 ),
        605-613.
Hair, J. F., Black, W. C., Babin, B. J., Anderson, R. E., & Tatham, R. L. (2010). Multivariate data
        analysis (7th ed.). New Jersey: Pearson Prentice Hall.
Hussain, T., & Rehman, S. S. (2 0 1 3 ). Do human resource management practices inspire employees’
        retention?. Research Journal of Applied Sciences, Engineering and Technology, 6(19), 3625-
        3633.
Johanim, F. Y., Tan, A., Zurina, K. Y. Khulida, & Mohamad, N. A. (2012). Promoting Employee
        Intention to Stay: Do Human Resource Management Practices Matter?. International Journal of
        Economics and Management, 6(2), 396-416.
Johari, J. O. H. A. N. I. M., Yean, T. F., Adnan, Z. U. R. I. N. A., Yahya, K. K., & Ahmad, M. N.
        ( 2 0 1 2 ) . Promoting employee intention to stay: Do human resource management practices
        matter. International Journal of Economics and Management, 6(2), 396-416.
Newman, K., Maylor, U., & Chansarkar, B. (2002). The Nurse Satisfaction, Service Quality and Nurse
        Retention Chain. Journal of Management in Medicine, 16(4), 271-191.
MacBeath, J., Oduro, G., Jacka, J., & Hobby, R. (2006). Leading appointments: The selection and
        Appointment of headteachers and senior leaders: A review of the literature. Nottingham, UK:
        National College for School Leadership.
Leurer, M. D., Donnelly, G., Domm, E. (2 0 0 7 ). Nurse retention strategies: Advice from experienced
        registered nurses. Journal of Health Organization and Management, 21(3), 307-319.
Messmer, M. (2006). Four Keys to Improved Staff Retention. Strategic Finance, 88(4), 13-14.
Mickey L. P., & Stonestreet, J. (2 0 0 3 ). Factors that Contribute to Nurse Manager Retention. Nursing
        Economics, 21(3), 120-126.
Nawaz, M. S., & Pangil, F. (2016). The effect of fairness of performance appraisal and career growth on
        turnover intention. Pakistan Journal of Commerce and Social Sciences (PJCSS), 10(1), 27-44.
NurseGrid. (2014). How the Nursing Shortage Affects Patient Care and Healthcare Services. Articles for
        Nurses, Retrieved September 23, 2017, from http://nursegrid.com/blog/nursing-shortage-
        affects-patient-care-delivery-healthcare-services/
Rajan, D. (2013). Impact of nurses turnover on organization performance. Afro Asian Journal of
        Social Sciences, 4(4), 1-18.
 282 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ที่ 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 12
Rubel, M. R. B., & Kee, D. M. H. (2015). Perceived fairness of performance appraisal, promotion
        Opportunity and nurses turnover intention: The role of organizational commitment. Asian
        Social Science, 11(9), 183-197.
Letvak, S., & Buck, R. (2 0 0 8 ). Factors Influencing Work Productivity and Intent to Stay in Nursing.
        Nursing Economics, 26(3), 159-165.
Tang, Jane Hsiao-Chen. (2 0 0 3 ). Evidence-based protocol: nurse retention. Journal of Geronto logical
        Nursing, 3, 5-13.
Beatrice, T. C. (2017). Effect of Human Resource Management Practices on Employee
        Retention in Real Estate Firms in Nairobi Country. Master’s Thesis, University of Nairobi.
Yamane, T. (1967). Statistics, An Introductory Analysis (2nd Ed.). New York: Harper and Row.
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 283
C H A P T E R 13
 มาตรการป้องกนั และแก้ไขปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย
          Measures of Prevention and Solution of Fraud Problems
                 in Thailand’s Agricultural Cooperatives
                          กญั ญรัตน์ ซา้ ยพฒั น์ (Kanyarat Saiphath)1
                     จินตนา ตนั สุวรรณนนท์ (Chintana Tansuwannond)2
    1นกั ศึกษาหลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าอาชญาวทิ ยา การบริหารงานยตุ ิธรรมและสังคม
                           บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
          Student, the Doctoral Degree of Philosophy in Criminal, Justice Administration
                     and Society, Graduate School, Suan Dusit University
  2อาจารยป์ ระจาหลกั สูตรปรัชญาดุษฎีบณั ฑิต สาขาวชิ าอาชญาวทิ ยา การบริหารงานยตุ ิธรรมและสงั คม
                           บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั สวนดุสิต
      Assistant Professor, the Doctoral Degree of Philosophy in Criminal, Justice Administration
                     and Society, Graduate School, Suan Dusit University
                             E-mail: [email protected]
                                                                Received: 26 August 2019
                                                                 Revised: 5 October 2019
                                                               Accepted: 15 October 2019
บทคดั ย่อ
        การศึกษาน้ีมีวตั ถุประสงค์หลกั เพื่อนาเสนอมาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตของ
สหกรณ์การเกษตรในประเทศ โดยใชว้ ธิ ีการวจิ ยั แบบผสานวธิ ี (Mixed Methodology) เร่ิมตน้ ดว้ ยการวจิ ยั เชิง
คุณภาพ โดยใช้การสัมภาษณ์เชิงลึกกบั กลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลสาคญั เพ่ือคน้ หาสภาพปัญหา สาเหตุและแนวทาง
ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย การวเิ คราะห์ขอ้ มูลใชก้ ารวเิ คราะห์
เน้ือหา หลงั จากน้นั จึงนาผลการวเิ คราะห์เน้ือหาท่ีไดไ้ ปใชเ้ ป็นแนวทางในการสร้างแบบสอบถามสาหรับใช้
ในการวิจยั เชิงปริมาณ โดยเก็บรวบรวมข้อมูลจากกลุ่มตวั อย่างซ่ึงเป็ นผูต้ รวจการสหกรณ์ ผูส้ อบบญั ชี
สหกรณ์ภาครัฐ ประธานกลุ่มสมาชิกสหกรณ์ จานวน 416 คน ตามสูตร Yamane (Yamane, 1973) กาหนดค่า
ความคลาดเคล่ือนของกลุ่มตวั อยา่ ง ร้อยละ 5 และใชก้ ารสุ่มตวั อยา่ งแบบแบ่งช้นั ภูมิ โดยใชจ้ งั หวดั และกลุ่ม
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 285
กญั ญรัตน์ ซ้ายพฒั น์ / จนิ ตนา ตนั สุวรรณนนท์
ประชากรเป็ นเกณฑ์ในการแบ่ง สาหรับการวิเคราะห์ข้อมูลใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ
(Exploratory Factor Analysis: EFA)
        ผลการศึกษา พบวา่ มาตรการป้องกนั ปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทยท่ีได้
จากการวิจยั คร้ังน้ี มี 4 มาตรการหลกั ไดแ้ ก่ 1) มาตรการสร้างและพฒั นาระบบส่งเสริม สนับสนุน และ
กากบั ดูแลสหกรณ์ท่ีมีประสิทธิภาพ 2) มาตรการสร้างระบบกากบั ดูแลและตรวจสอบภายในสหกรณ์ท่ีมี
ประสิทธิภาพ 3) มาตรการกาหนดนโยบาย ขอ้ บงั คบั ระเบียบและจริยธรรมเพ่ือการปฏิบตั ิงานที่โปร่งใส
และ 4) มาตรการสร้างความร่วมมือในขบวนการสหกรณ์เพื่อการป้องกนั การทุจริต สาหรับมาตรการแกไ้ ข
ปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย มี 2 มาตรการหลกั ได้แก่ 1) มาตรการดาเนินการกบั
ผูก้ ระทาผิดตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเคร่งครัด และ 2) มาตรการเยียวยาผูเ้ สียหายและบรรเทา
ความรุนแรงของปัญหาการทุจริต ท้งั น้ี ผมู้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งสามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในการกาหนดนโยบาย
และวางระบบหรือพฒั นาระบบการกากบั ดูแลสหกรณ์การเกษตรท่ีมีประสิทธิภาพต่อไป
คาสาคญั : สหกรณ์การเกษตร, ปัญหาการทุจริต, มาตรการป้องกนั และแกไ้ ข
Abstract
        The main objective of this study was to propose the measures in preventing and solving fraud
problems of agricultural cooperatives in Thailand by using mixed methodology. The study started with the
qualitative research conducted by using in-depth interviews with key informants to find the causes of problem
conditions and ways of preventing and solving fraud problems of agricultural cooperatives in Thailand. Data
analysis was performed by using the content analysis. Subsequently, the results of the content analysis were
used as a guideline for creating questionnaires for the quantitative research. Data were collected from 416
samples of cooperative inspectors, public cooperative auditors and the president of cooperative member group,
by using the Yamane formula (Yamane, 1973). The errors were determined to be of 5 percent. The stratified
random sampling was performed by using the provinces and the samples group as the criteria in the
classification for the Exploratory Factor Analysis (EFA)
        It was found from the results of the study that there were 4 key preventive measures against
problems that were found in Thailand’s agricultural cooperatives, which included 1) the measure in building
and developing an effective promoting, supporting and supervising system for the cooperatives, 2) the measure
in creating efficient system for the supervision and internal audit of cooperatives, 3) the measure in specifying
the policies, laws, regulations, and ethics for transparent operations; and 4) the measure in boosting cooperation
 286 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 13
among the cooperative movements to prevent fraud from happening. Aside from these, there were 2 main
measures in solving the problem of fraud in the agricultural cooperatives in Thailand as follows: 1) the measure
in dealing with offenders under the strict legal procedures; and 2 ) the measure in remedying the victims and
relieving the severity of fraud problems. However, the concerned parties could also apply this for the policy
making and could establish a system or develop an effective supervising system for agricultural cooperatives
further.
Keywords: Agricultural cooperatives, Fraud problems, Measures of prevention and solution of fraud
problems
บทนา
        ประเทศไทยนาแนวคิดการสหกรณ์มาใช้เป็ นเครื่องมือในการแกไ้ ขปัญหาเศรษฐกิจ สังคมและ
ความยากจนในหมู่ประชาชนที่มีความเดือดร้อนทางเศรษฐกิจ โดยเริ่มนามาใช้ต้งั แต่ ปี พ.ศ. 2459 และ
ตลอดระยะเวลาท่ีผา่ นมาจนถึงปัจจุบนั รัฐบาลไดใ้ ห้ความสาคญั กบั สหกรณ์เป็ นอยา่ งมาก โดยไดก้ าหนด
เกี่ยวกบั การส่งเสริม สนับสนุน และคุม้ ครองระบบสหกรณ์ไวใ้ นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยในทุก
ฉบบั ที่ผา่ นมา นอกจากน้ียงั มีการจดั ใหม้ ีกฎหมายสหกรณ์ กองทุนพฒั นาสหกรณ์ และหน่วยงานรัฐในการ
ทาหนา้ ที่แนะนาส่งเสริม กากบั ดูแล และตรวจสอบความโปร่งใสในการบริหารจดั การสหกรณ์อีกดว้ ย
        จากการใหค้ วามสาคญั ของรัฐบาลไทยต่อระบบสหกรณ์ ส่งผลใหก้ ารจดั ต้งั สหกรณ์ในประเทศไทย
มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซ่ึงการจัดต้ังสหกรณ์แบ่งเป็ น 2 กลุ่ม ได้แก่ 1) สหกรณ์ภาคการเกษตร
ประกอบดว้ ย สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์ประมง และสหกรณ์นิคม และ 2) สหกรณ์นอกภาคการเกษตร
ประกอบด้วย สหกรณ์ร้านคา้ สหกรณ์บริการ สหกรณ์ออมทรัพย์ และสหกรณ์เครดิตยูเน่ียน โดยขอ้ มูล
ณ วนั ที่ 31 ธนั วาคม 2561 ประเทศไทยมีสหกรณ์ (ไม่รวมชุมนุมสหกรณ์) ที่มีสถานะยงั ไม่เริ่มดาเนินการ
และดาเนินการ (Active) จานวน 6,757 แห่ง มีจานวนสมาชิก ท้ังสิ้น 11,636,166 คน มีปริมาณธุรกิจ
ปี 2561 (กนั ยายน 2560 - สิงหาคม 2561) เท่ากบั 2,187,606.37 ล้านบาท (กรมส่งเสริมสหกรณ์, 2561)
โดยสหกรณ์แต่ละประเภทจะมีวตั ถุประสงคใ์ นการจดั ต้งั แตกต่างกนั กล่าวคือ สหกรณ์การเกษตร สหกรณ์
ประมง สหกรณ์นิคม สหกรณ์ร้านคา้ และสหกรณ์บริการจะมีการรวมตวั เพื่อแกป้ ัญหาและช่วยเหลือซ่ึงกนั
และกนั ในการประกอบอาชีพ แต่สหกรณ์ออมทรัพยแ์ ละสหกรณ์เครดิตยูเน่ียน มีวตั ถุประสงค์หลกั เพ่ือ
ส่งเสริมการออมและใหบ้ ริการทางการเงินแก่สมาชิก
        สืบเนื่องจากการขยายตวั เพ่ิมมากข้ึนอย่างต่อเนื่องของสหกรณ์ในประเทศไทยประกอบกับ
ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี สิ่งที่ขยายตวั ตามมาดว้ ย คือ ปัญหาการดาเนินงานของสหกรณ์ โดยเฉพาะ
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 287
กญั ญรัตน์ ซ้ายพฒั น์ / จนิ ตนา ตนั สุวรรณนนท์
ปัญหาอนั เกิดจากการทุจริต โดยในระยะเวลาท่ีผา่ นมา ปัญหาการทุจริตของสหกรณ์ในประเทศไทยยงั คงมี
อยูอ่ ยา่ งต่อเนื่อง ซ่ึงสหกรณ์การเกษตรเป็ นหน่ึงในประเภทสหกรณ์ท่ีกาลงั ประสบปัญหาการทุจริตและพบ
ขอ้ บกพร่องจากการดาเนินงาน ท้งั น้ี จากขอ้ มูลจานวนสหกรณ์และมูลค่าความเสียหายคงเหลือ ณ วนั ที่ 31
ธนั วาคม 2560 จาแนกตามประเภทขอ้ บกพร่องและประเภทสหกรณ์ของกรมส่งเสริมสหกรณ์ (กรมส่งเสริม
สหกรณ์, 2561) พบวา่ สหกรณ์การเกษตรเป็ นสหกรณ์ที่มีขอ้ บกพร่องในการดาเนินงานคงเหลือมากที่สุดใน
เชิงจานวนสหกรณ์ โดยพบสหกรณ์การเกษตรที่มีขอ้ บกพร่องท่ีเกิดจากการทุจริต จานวน 14แห่ง มูลค่า
ความเสียหายคงเหลือ เท่ากบั 457.74 ลา้ นบาท นอกจากน้ียงั มีสหกรณ์การเกษตรอีก 124 แห่ง (สหกรณ์
บางแห่งมีขอ้ บกพร่องมากกว่า 1 ประเภท) ที่มีขอ้ บกพร่องในการดาเนินงานประเภทขอ้ บกพร่องทางบญั ชี
ขอ้ บกพร่องทางการเงิน ดาเนินการนอกกรอบวตั ถุประสงค์ และมีพฤติกรรมที่อาจก่อให้เกิดความเสียหาย ซ่ึงมี
มูลค่ารวม 1,057.64 ลา้ นบาท และจากการประสานขอขอ้ มูลเพ่ิมเติมจากกลุ่มตรวจการสหกรณ์ กรมส่งเสริม
สหกรณ์ ปรากฏวา่ ขอ้ มูลขา้ งตน้ เป็ นขอ้ มูลสารสนเทศท่ีเผยแพร่เฉพาะขอ้ มูลของสหกรณ์การเกษตรท่ียงั อยู่
ระหว่างการแกไ้ ข แต่ในขอ้ เท็จจริงยงั มีสหกรณ์อีก 93 แห่ง มูลค่าความเสียหาย 679.37 ลา้ นบาท ท่ีปัญหา
การทุจริตไดถ้ ูกแกไ้ ข โดยการฟ้องคดีและ/หรือมีผรู้ ับผิดชอบแลว้ แต่อยูร่ ะหวา่ งการชดใชค้ ่าเสียหาย ซ่ึงกรม
ส่งเสริมสหกรณ์ยงั ตอ้ งติดตามอยเู่ ช่นกนั
        จากการที่สมาชิกของสหกรณ์การเกษตรส่วนใหญ่เป็ นผูม้ ีฐานะยากจน อีกท้ังกาไรจากการ
ดาเนินงานของสหกรณ์การเกษตรแต่ละแห่งก็มีจานวนน้อย การเกิดปัญหาการทุจริตข้ึนภายในสหกรณ์
ไม่วา่ จะมีมูลค่าความเสียหายมากนอ้ ยเพียงใด ยอ่ มส่งผลกระทบสูงต่อการดาเนินธุรกิจของสหกรณ์ จนบาง
แห่งอาจไม่สามารถจ่ายเงินปันผลและเงินเฉล่ียคืนให้แก่สมาชิกได้ ดงั น้นั จึงเป็ นการสมควร ท่ีรัฐบาลหรือ
หน่วยงานที่เก่ียวขอ้ งควรตอ้ งให้ความสาคญั ในการกาหนดมาตรการป้องกนั และแกไ้ ขขอ้ บกพร่องในการ
ดาเนินงานของสหกรณ์การเกษตรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งข้ึน โดยเฉพาะมาตรการ เพ่ือป้องกนั และแกไ้ ข
ขอ้ บกพร่องประเภทการทุจริต เพราะหากปัญหาเหล่าน้ีลุกลามมากยงิ่ ข้ึน จนกลายเป็ นปัญหาอาชญากรรมทาง
เศรษฐกิจระดบั ประเทศในอนาคต ยอ่ มมีผลกระทบตอ่ สังคมและเศรษฐกิจในระดบั ฐานรากของประเทศไทย
เป็นอุปสรรคตอ่ การพฒั นาประเทศ
        ด้วยเหตุผลความจาเป็ นท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ ผูว้ ิจยั จึงเล็งเห็นความจาเป็ นในการวิจยั เร่ือง มาตรการ
ป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย เพ่ือนาเสนอผลการวิจยั ที่ไดเ้ ป็ น
ขอ้ มูลหรือแนวทางให้ผมู้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งนาไปใชป้ ระโยชน์ในการกาหนดนโยบาย และวางระบบหรือพฒั นา
ระบบการกากบั ดูแลสหกรณ์การเกษตรท่ีมีประสิทธิภาพต่อไป
 288 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 13
วตั ถุประสงค์การวจิ ยั
        1. เพื่อศึกษาสภาพปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย
        2. เพอ่ื เสนอแนะมาตรการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศ
ไทย
ทบทวนวรรณกรรม (แนวคดิ ทฤษฎ)ี
        จากการทบทวนวรรณกรรมและเอกสารการวิจยั ต่าง ๆ พบว่า การทุจริต เป็ นอาชญากรรมทาง
เศรษฐกิจประเภทหน่ึง ท้งั น้ีมีผูใ้ ห้ความหมายเก่ียวกบั อาชญากรรมทางเศรษฐกิจไวห้ ลายท่าน แต่ท่ีเป็ น
ท่ียอมรับโดยทวั่ ไป คือ นิยามของ Sutherland (Sutherland, 1961) ที่กล่าวว่า อาชญากรรมทางเศรษฐกิจเป็ น
การกระทาผิดที่กระทาโดยบุคคลที่มีผูน้ บั หน้าถือตา มีสถานภาพทางเศรษฐกิจและสังคม ไดอ้ าศยั
ตาแหน่งหนา้ ที่การงานของเขาเหล่าน้นั เป็ นช่องทางในการกระทาความผดิ และความผิดดงั กล่าว ก่อใหเ้ กิด
ความเสียหายต่อวงธุรกิจ ตลอดจนเศรษฐกิจของประเทศ ลกั ษณะการกระทาความผิดจะสังเกตไดย้ ากและ
มกั จะไม่ใช่วิธีท่ีรุนแรง นอกจากน้ี ยงั อาศยั เทคนิคสาหรับการกระทาความผิดท่ีแตกต่างจากอาชญากรรม
ธรรมดา ทาให้ยากต่อการจบั กุม สาหรับนิยามของการทุจริตน้นั ไดม้ ีผูใ้ ห้ความหมายไว้ หลายท่านเช่นกนั
(อุษณา ภัทรมนตรี, 2558) เช่น สมาคมผูต้ รวจสอบภายในแห่งประเทศสหรัฐอเมริกา (The Institute of
Internal Auditor: IIA) ได้ให้ความหมายว่า การทุจริต หมายถึง การกระทาที่ผิดกฎหมาย เช่น การฉ้อฉล
หลอกลวง ปกปิ ด หรือละเมิด โดยผูท้ ามีเจตนาปราศจากการข่มขู่บงั คบั หรือมีเหตุบีบบงั คบั จากผอู้ ่ืน เพ่ือให้
ไดม้ าซ่ึงเงิน ทรัพยส์ ิน หรือบริการ หรือเพื่อไม่ตอ้ งจ่ายเงินหรือค่าตอบแทน หรือเพื่อให้เกิดผลประโยชน์
ส่วนตน ผู้อื่น หรือเพ่ือธุรกิจอื่นที่เกี่ยวข้อง นอกจากน้ียงั มีสมาคมผู้ตรวจสอบการทุจริตแห่งประเทศ
สหรัฐอเมริกา (Association of Certified Fraud Examiners: ACFE) ให้ความหมายวา่ การทุจริต หมายถึง การที่ผู้
ละเมิดหน้าที่ความรับผิดชอบในองค์การ เพ่ือประโยชน์ทางการเงินท้งั ทางตรงและทางออ้ ม และทาให้
องคก์ ารเสียสินทรัพย์ รายไดแ้ ละทุนสารอง
        สาหรับประเทศไทย “ทุจริต” ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1(1) หมายถึง เพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่
มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผูอ้ ่ืน และ “ทุจริตต่อหน้าที่” ตามพระราชบญั ญัติประกอบ
รัฐธรรมนูญวา่ ดว้ ยการป้องกนั และปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 4 หมายถึง การปฏิบตั ิหรือละเวน้ การ
ปฏิบตั ิอยา่ งใดในตาแหน่ง หรือละเวน้ การปฏิบตั ิอยา่ งใดในพฤติการณ์ท่ีอาจทาให้ ผูอ้ ื่นเชื่อวา่ มีตาแหน่งหรือ
หนา้ ท่ีท้งั ท่ีตนมิไดม้ ีตาแหน่งหรือหนา้ ที่น้ัน หรือใชอ้ านาจในตาแหน่งหน้าที่ ท้งั น้ี เพ่ือแสวงหาประโยชน์ที่มิ
ควรไดโ้ ดยชอบสาหรับตนเองหรือผูอ้ ื่น และ “โดยทุจริต” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 5 แสดงถึงมูลเหตุ
จูงใจให้บุคคลกระทาเพ่ือแสวงหาผลประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมายสาหรับตนเองหรือผูอ้ ื่น
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 289
กญั ญรัตน์ ซ้ายพฒั น์ / จนิ ตนา ตนั สุวรรณนนท์
การกระทา หมายถึง การกระทาที่มีความผิดตามกฎหมาย เช่น การลกั ยกั ยอก ฉ้อโกงและปลอมแปลงเอกสาร
การทาเอกสารเทจ็ และรวมถึงการละเวน้ การกระทาเพ่ือป้องกนั ผลน้นั ดว้ ย
        ในส่วนของการป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาการทุจริต ผวู้ ิจยั ไดท้ บทวนวรรณกรรม แบ่งเป็ น 2 ส่วน
โดยส่วนแรกเกี่ยวกบั แนวคิดและทฤษฏีป้องกนั อาชญากรรม และส่วนท่ีสองเก่ียวกบั แนวคิดและทฤษฎี
วา่ ดว้ ยเหยื่ออาชญากรรม เพ่อื แสดงใหเ้ ห็นวา่ ทาอยา่ งไรจึงจะป้องกนั การเกิดปัญหาการทุจริตได้ และเมื่อเกิด
ปัญหาแลว้ ควรมีมาตรการแก้ไขอยา่ งไร โดยทฤษฎีป้องกนั หรือการยบั ย้งั ข่มขู่ (Deterrence Theory) ถือเป็ น
หวั ใจสาคญั ของสานกั อาชญาวิทยาด้งั เดิมโดยเฉพาะการลดโอกาสในการกระทาความผิดของอาชญากร
แนวคิดพ้ืนฐานของทฤษฎีน้ีมองวา่ อาชญากรจะเป็ นคนท่ีมีความเกรงกลวั ต่อกฎหมาย ซ่ึงหากมีการบงั คบั
ใช้กฎหมายอย่างเขม้ งวดและการลงโทษท่ีรุนแรง รวดเร็วและแน่นอน มาบงั คบั ใช้ สามารถป้องกนั มิให้
บุคคลกระทาความผดิ หรือก่ออาชญากรรมได้ เพราะเห็นว่าโดยพ้ืนฐานตามธรรมชาติของมนุษย์เป็ นสัตว์
ประเสริฐก่อนที่จะตดั สินใจก่ออาชญากรรมจะตอ้ งมีกระบวนการตดั สินใจวา่ จะก่ออาชญากรรมหรือไม่ ดงั น้นั
เน้ือหาสาระของทฤษฎีป้องกนั จึงเก่ียวข้องกบั กระบวนการตดั สินใจของบุคคลว่าจะประกอบอาชญากรรม
หรือไม่ หากคานวณถึงโทษและโอกาสท่ีจะถูกจบั สูงก็จะไม่เลือกที่จะก่ออาชญากรรม อยา่ งไรก็ดี การป้องกนั
แบ่งออกเป็ น 2 รูปแบบ (พรชยั ขนั ตี, 2553) ไดแ้ ก่ “การป้องกนั ทว่ั ไป” (General Deterrence) และ “การป้องกนั
เฉพาะ” (Special Deterrence) การป้องกันท่ัวไป หมายถึง การใช้อิทธิพลของกฎหมายและกระบวนการ
ยตุ ิธรรมที่ทาให้เกรงกลวั และไม่กลา้ ที่จะประกอบอาชญากรรมเพราะ กลวั ถูกจบั และกลวั ถูกลงโทษที่
รุนแรง ส่วนการป้องกนั เฉพาะ หมายถึง การใช้อิทธิพลของกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมท่ีทาให้
บุคคลท่ีเคยถูกลงโทษมาแล้วไม่ประกอบอาชญากรรมอีก เพราะเกรงกลัวการถูกลงโทษซ้า ในขณะที่
สุดสงวน สุธีสร (2554) กล่าวถึงทฤษฎีเก่ียวกบั การป้องกนั อาชญากรรมวา่ ในการป้องกนั อาชญากรรมตอ้ งมี
หลกั การพิจารณาในการปฏิบตั ิ 3 ประการ คือ 1) หลกั การดา้ นความเสี่ยงต่อการถูกลงโทษ (Punitive-threat of
Punishment) 2) หลักการแก้ไขตัวบุคคลและสภาพแวดล้อมในชุมชน (Corrective) และ 3) หลักการมุ่งจัด
สภาพแวดล้อมให้มีความเหมาะสมเพ่ือลดปัญหาอาชญากรรม สาหรับแนวทางการป้องกนั อาชญากรรม
สามารถทาไดด้ ว้ ยวิธีการต่าง ๆ เช่น ดา้ นข่าวสาร ดา้ นการให้ความช่วยเหลือประชาชน และ ดา้ นการปฏิบตั ิ
หนา้ ที่ของเจา้ หนา้ ที่ตารวจ เป็นตน้
        ส่วนที่สองเก่ียวกับแนวคิดและทฤษฎีว่าด้วยเหยื่ออาชญากรรม จุฑารัตน์ เอ้ืออานวย (2551)
ให้ความหมาย เหยอื่ อาชญากรรม (Crime Victims) หมายถึง บุคคล หรือคณะบุคคลที่ไดร้ ับอนั ตรายหรือ ไดร้ ับ
เสียหายแก่ชีวติ ร่างกาย หรือจิตใจ ตลอดจนทรัพยส์ ินท่ีเกิดจากการประกอบอาชญากรรมน้นั เช่น การถูกฆ่า
ถูกข่มขืน ถูกลกั ทรัพย์ หรือถูกปลน้ ทรัพย์ เป็ นตน้ ส่วนสุดสงวน สุธีสร (2543) ไดใ้ ห้ความหมาย “เหยื่อ”
หมายถึง บุคคลที่ได้รับความเสียหาย ความสูญเสีย ความลาบากเดือดร้อนจากการกระทาต่าง ๆ ซ่ึงอาจจะเกิด
จากคนหรือธรรมชาติได้ เช่น เหย่ือจากอุบตั ิเหตุ จากภยั ธรรมชาติ โรคภยั ไขเ้ จ็บหรือจากภยั สงคราม การเมือง
 290 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ที่ 2
C H A P T E R 13
การปกครอง เป็ นตน้ ท้งั น้ี ในการช่วยเหลือเหยอ่ื อาชญากรรม สิริพนั ธ์ พลรบ (2555) ไดก้ ล่าวเก่ียวกบั ระบบ
ของการเยยี วยาความเสียหายแก่เหยอ่ื อาชญากรรม ไวด้ งั น้ี
        1) การชดใชโ้ ดยผกู้ ระทาผดิ (Restitution) เม่ือเกิดการกระทาความผิดอาญาและมีบุคคลไดร้ ับอนั ตราย
หรือความเสียหายจากการกระทาความผดิ น้นั ผูท้ ่ีควรจะตอ้ งเป็ นผชู้ ดเชยความเสียหายให้แก่ผูเ้ สียหายหรือเหยื่อ
อาชญากรรมโดยตรงยอ่ ม ไดแ้ ก่ ผูก้ ระทาความผิดอาญาที่ก่อใหเ้ กิดความเสียหายน้นั ดงั น้นั ผเู้ สียหายจึงสามารถ
ฟ้องคดีแพ่ง (Civil Litigation หรือ Civil Suits) เพื่อเรียกค่าสินไหมทดแทน (Damages) เอาจากผูก้ ระทาความผิด
อาญาท่ีก่อให้เกิดความเสียหายแก่ตนโดยตรง หรือชดเชยแก่ผูเ้ สียหายดว้ ยวิธีอื่น เช่น การขอขมาหรือการสร้าง
ความสัมพนั ธ์อนั ดี เพื่อใหท้ ้งั สองฝ่ ายอยรู่ ่วมกนั ต่อไปในสังคมไดอ้ ยา่ งสงบสุข
        2) การจ่ายค่าชดเชยความเสียหายโดยรัฐ (Compensation) แม้ว่าโดยหลกั แล้ว ผูก้ ระทาความผิด
สมควรเป็ นผูร้ ับผิดชอบโดยตรงต่อการกระทาความผิดของตน อย่างไรก็ดี ไดม้ ีแนวความคิดที่วา่ ในบางกรณี
รัฐเองก็มีความบกพร่องในการรักษาความสงบเรียบร้อยของบา้ นเมืองหรือในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
หรือไม่สามารถนาตวั ผูก้ ระทาความผิดมารับโทษได้เพื่อเป็ นการช่วยเหลือผูก้ ระทาความผิดในคดีอาญา
บางประเทศจึงมีกฎหมายเพ่ือจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย (Compensation) ให้แก่ผูเ้ สียหายดว้ ย ส่วนจะจ่ายเงิน
เป็นจานวนเทา่ ใดหรือจ่ายในกรณีใดบา้ ง ข้ึนอยกู่ บั นโยบายและสภาพเศรษฐกิจและสงั คมของแต่ละประเทศ
วธิ ีการวจิ ัย
        การวิจยั คร้ังน้ี ผูว้ ิจัยใช้การวิจัยแบบผสานวิธี (Mixed Methodology) เร่ิมต้นจากการวิจัยเชิง
คุณภาพ (Qualitative Research) โดยใช้วิธีการสัมภาษณ์เชิงลึก (Depth Interview) เพ่ือคน้ หาสภาพปัญหา สาเหตุ
และแนวทางป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทยกบั กลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูล
สาคญั (Key Informants) 4 กลุ่ม จานวน 29 คน ประกอบด้วย กลุ่มท่ี 1 ผูม้ ีส่วนเกี่ยวข้องกบั การกาหนด
นโยบาย/ ขอ้ บงั คบั / ระเบียบ/ คาแนะนา เพ่ือการแนะนา ส่งเสริม กากบั ดูแล และสอบบญั ชีสหกรณ์ กลุ่มท่ี 2
ผมู้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั การตรวจพบและการแกไ้ ขปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในระดบั พ้ืนท่ี กลุ่มที่
3 ผูแ้ ทนในขบวนการสหกรณ์ และกลุ่มที่ 4 ผูม้ ีองค์ความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับการป้องกันและ
ปราบปรามการทุจริตในหน่วยงานภาครัฐ/ สถาบนั การเงิน/ องค์กรธุรกิจ โดยการเลือกลุ่มตวั อย่างแบบ
เจาะจง (Purposive Sampling) เน่ืองจากต้องใช้กลุ่มตวั อย่างท่ีมีคุณลักษณะเฉพาะหรือมีเง่ือนไขตามที่
กาหนด เพ่ือให้เป็ นไปตามวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั คือ ตอ้ งเป็ นผูท้ ี่เคยมีประสบการณ์ตรงอยูใ่ นเหตุการณ์
หรือมีส่วนเก่ียวขอ้ งกบั การดาเนินการ และวเิ คราะห์ขอ้ มูลโดยการวเิ คราะห์เน้ือหา หลงั จากน้นั จึงนาผลการ
วเิ คราะห์เน้ือหาท่ีไดไ้ ปใชเ้ ป็ นแนวทางในการสร้างแบบสอบถามสาหรับใชใ้ นการวจิ ยั เชิงปริมาณ โดยเก็บ
รวบรวมขอ้ มูลจากกลุ่มตวั อยา่ งซ่ึงเป็ นผตู้ รวจการสหกรณ์ ผสู้ อบบญั ชีสหกรณ์ภาครัฐ ประธานกลุ่มสมาชิก
                                           คณะรัฐศาสตร์และนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 291
กญั ญรัตน์ ซ้ายพฒั น์ / จนิ ตนา ตนั สุวรรณนนท์
สหกรณ์การเกษตร ใน 15 จงั หวดั ท่ีมีท้งั สหกรณ์การเกษตรที่ไดร้ ับรางวลั สหกรณ์ดีเด่นแห่งชาติในช่วงปี
พ.ศ. 2517-2561 และสหกรณ์การเกษตรที่เกิดปัญหาการทุจริตแล้วยงั มีมูลค่าความเสียหายคงเหลือ ณ 31
ธนั วาคม 2560 ได้แก่ กาญจนบุรี กาแพงเพชร ฉะเชิงเทรา ชยั นาท เชียงราย เชียงใหม่ นครราชสีมา น่าน
พัทลุง เพชรบุรี ลาปาง ลาพูน สุพรรณบุรี อ่างทอง และอุตรดิตถ์ จานวน 416 คน ตามสูตร Yamane
(Yamane, 1973) กาหนดคา่ ความคลาดเคลื่อนของกลุ่มตวั อยา่ ง ร้อยละ 5 และใชก้ ารสุ่มตวั อยา่ งแบบแบ่งช้นั
ภูมิ (Stratified Random Sampling) โดยใช้จงั หวดั และกลุ่มประชากรเป็ นเกณฑ์ในการแบ่งและใช้การ
กาหนดโควตา (Quota Sampling) คานวณตามสัดส่วนของประชากรในแตล่ ะกลุ่ม
        การสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือในการวิจยั เชิงคุณภาพ เครื่องมือ คือ แบบสัมภาษณ์
แบบก่ึงมีโครงสร้าง (Semi-Structured Interview) มีคาถามครอบคลุมในเร่ืองสภาพปัญหา สาเหตุและ
แนวทางป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาการทุจริต ตามวตั ถุประสงคข์ องการวิจยั การตรวจสอบเครื่องมือวิจยั เชิง
คุณภาพ ผูว้ ิจยั ได้นาแบบสัมภาษณ์แบบก่ึงมีโครงสร้างให้ผูท้ รงคุณวุฒิ จานวน 5 ท่าน ตรวจสอบความ
เที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) ตลอดจนตรวจสอบความถูกตอ้ งและความเหมาะสมของภาษาที่
ใช้ สาหรับการตรวจสอบความน่าเชื่อถือของขอ้ มูล ผูว้ ิจยั ทาการตรวจสอบความถูกตอ้ งและความน่าเช่ือถือ
ของขอ้ มูลโดยการตรวจสอบขอ้ มูลสามเส้าดา้ นขอ้ มูล (Data Triangulation) คือ การตรวจสอบขอ้ มูลที่ไดม้ า
จากแหล่งต่าง ๆ วา่ มีความสอดคลอ้ งกนั หรือไม่
        สาหรับการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือในการวิจยั เชิงปริมาณ คือ แบบสอบถาม (Questionnaire)
ชื่อว่า “มาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย” ผูว้ ิจยั ให้
ผู้เชี่ยวชาญจานวน 5 ท่าน ตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเน้ือหา (Content Validity) โดยพิจารณาค่าความ
สอดคล้องระหว่างข้อคาถามกับวตั ถุประสงค์ (Index of Item- Objective Congruence: IOC) และคดั เลือก
คาถามท่ีมีค่า IOC ต้งั แต่ 0.6 ข้ึนไป โดยไดข้ อ้ คาถามเกี่ยวกบั มาตรการป้องกนั ฯ จานวน 32 ขอ้ คาถาม และ
ขอ้ คาถามเกี่ยวกบั มาตรการแกไ้ ขฯ จานวน 18 ขอ้ คาถาม รวมท้งั ปรับปรุงแกไ้ ขความเหมาะสมของภาษา
แลว้ นาไปทดลองใช้ (Try out) กบั ตวั แทนกลุ่มตวั อยา่ ง จานวน 30 คน หลงั จากน้นั นามาวเิ คราะห์รายขอ้ เพ่ือ
นามาหาค่าอานาจจาแนกโดยหาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนรายข้อกับ คะแนนรวม (Item-Total
Correlation) โดยใชส้ ูตรสัมประสิทธ์ิสหสัมพนั ธ์แบบเพยี ร์สัน คดั เลือกเอาไวเ้ ฉพาะขอ้ ที่มีคา่ r ≥ 0.20 และ
หาค่าความเช่ือมน่ั ของแบบสอบถามโดยใช้สูตรสัมประสิทธ์ิแอลฟ่ าของครอนบาค ได้ค่าความเชื่อมั่น
สาหรับขอ้ คาถามเกี่ยวกบั มาตรการป้องกนั ฯ เท่ากบั 0.96 และค่าความเช่ือมน่ั สาหรับขอ้ คาถามเก่ียวกับ
มาตรการแกไ้ ขฯ เทา่ กบั 0.96
        การวิเคราะห์ขอ้ มูลเชิงปริมาณ ผูว้ ิจยั ใช้การวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้การวิเคราะห์องค์ประกอบหรือ
การวิเคราะห์ปัจจัย (Factor Analysis) ชนิดการวิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสารวจ (Exploratory Factor
Analysis: EFA) สกัดองค์องค์ประกอบ (Factor Extraction) ด้วยวิธีการวิเคราะห์องค์ประกอบหลัก (Principal
Component Analysis: PCA) และหมุนแกนองคป์ ระกอบแบบมุมฉาก (Orthogonal Rotation) ดว้ ยวิธี แวริแมกซ์
 292 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 13
(Varimax Method) พิจารณาองค์ประกอบที่มีค่าน้าหนักองค์ประกอบ (Factor Loading) มากกวา่ 0.30 (Hair,
Black & Babin, 2010)
ผลการวจิ ยั
        ส่วนท่ี 1 สภาพปัญหาการทจุ ริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย
        การวิเคราะห์ขอ้ มูลที่ไดจ้ ากการสัมภาษณ์เชิงลึกกลุ่มผูใ้ ห้ขอ้ มูลสาคญั 3 กลุ่ม ประกอบด้วย
กลุ่มผมู้ ีส่วนเกี่ยวขอ้ งกบั การกาหนดนโยบาย/ขอ้ บงั คบั /ระเบียบ/คาแนะนา เพื่อการแนะนา ส่งเสริม กากบั
ดูแลและสอบบัญชีสหกรณ์ กลุ่มผูม้ ีส่วนเกี่ยวข้องกบั การตรวจพบและการแก้ไขปัญหาการทุจริตของ
สหกรณ์การเกษตรในระดบั พ้ืนที่ และกลุ่มผูแ้ ทนในขบวนการสหกรณ์ เก่ียวกบั สภาพปัญหาการทุจริต
ที่เกิดข้ึนในสหกรณ์การเกษตร พบว่า ลักษณะหรือรูปแบบการทุจริตท่ีเกิดข้ึนในสหกรณ์การเกษตร
โดยส่วนใหญ่เป็ นพฤติกรรมการกระทาผิดท่ีเขา้ ข่ายกฎหมายอาญาในฐานความผิดเก่ียวกบั ทรัพย์ ได้แก่
การยกั ยอกทรัพย์ การลกั ทรัพย์ การฉ้อโกง และฐานความผิดเกี่ยวกับเอกสารและการใช้เอกสารปลอม
โดยการทุจริตทุกรูปแบบ ผูก้ ระทาผิดหลักเป็ นผูท้ ่ีทางานอยู่ในสหกรณ์ท้งั สิ้น ไม่ว่าจะเป็ นฝ่ ายบริหาร
(ประธาน และ/ หรือ กรรมการ) หรือฝ่ ายจดั การ (ผูจ้ ดั การ และ/ หรือ พนกั งาน) โดยบางกรณีฝ่ ายบริหาร
หรือฝ่ ายจดั การไดก้ ระทาผดิ เพียงฝ่ ายเดียว บางกรณีร่วมกนั ท้งั 2 ฝ่ าย และบางกรณีอาจร่วมกบั สมาชิกและ/
หรือบุคคลอื่นนอกสหกรณ์บา้ ง แต่ก็มีกรณีนอ้ ยมาก สาหรับความเสียหายที่เกิดข้ึนจากพฤติกรรมที่เขา้ ข่าย
ทุจริตน้ัน ผูเ้ สียหาย คือ สหกรณ์การเกษตร (นิติบุคคล) และ/ หรือสมาชิก และ/ หรือผูม้ ีส่วนได้เสีย
ภายนอกสหกรณ์ท่ีไดร้ ับความเสียหายโดยตรงจากการกระทาผิดตามฐานความผิดเก่ียวกบั ทรัพยแ์ ละฐาน
ความผดิ เกี่ยวกบั เอกสารและการใชเ้ อกสารปลอม เช่น สูญเสียเงิน สูญเสียสินคา้ สูญเสียทรัพยส์ ินอ่ืน ๆ เป็ นตน้
แต่หากเป็ นความเสียหายที่รุนแรง จนกระทบถึงสภาพคล่องทางการเงิน หรือเป็ นเหตุให้นายทะเบียนสหกรณ์
ส่ังให้สหกรณ์หยุดดาเนินกิจการ ความเสียหายก็จะลุกลามไปยงั เหย่ือการทุจริตกลุ่มอื่น ๆ เช่น สมาชิก
สหกรณ์ เจา้ หน้ี (เช่น สถาบนั การเงิน คู่คา้ สหกรณ์อ่ืนที่นาเงินมาฝาก) และบุคคลภายนอกที่มาทาธุรกิจ เช่น
ขายสินคา้ ใหก้ บั สหกรณ์ (ขายน้านมดิบ ขายน้ายาง ขายปาล์ม เป็นตน้ ) ท้งั น้ี พฤติกรรมการทุจริตท่ีเกิดข้ึนใน
สหกรณ์การเกษตรจะมีลกั ษณะคลา้ ย ๆ กนั และการกระทาผิด 1 กรณี อาจเขา้ ข่ายความผิดได้หลายอย่าง
โดยพฤติกรรมการทุจริตมีโอกาสเกิดข้ึนไดใ้ นทุกธุรกิจของสหกรณ์การเกษตร ประกอบดว้ ย ธุรกิจให้เงินกู้
ธุรกิจรับฝากเงิน ธุรกิจการจดั หาสินคา้ มาจาหน่าย ธุรกิจรวบรวม นอกจากน้นั ยงั เกิดข้ึนในการบริหารจดั การ
ในสานักงานด้วย ไดแ้ ก่ การทุจริตเก่ียวกบั เงินฝากของสหกรณ์ การทุจริตเกี่ยวกบั เงินสด การนาเงินไปใช้
ประโยชน์ส่วนตวั แลว้ บนั ทึกบญั ชีเป็ นเงินสารอง และการนาทรัพยส์ ินของสหกรณ์ไปขายโดยมิชอบ ท้งั น้ี
ปัจจยั ที่เป็ นสาเหตุของการกระทาผดิ ในสหกรณ์การเกษตร 2 ปัจจยั หลกั ๆ คือ 1) ตวั บุคคล ซ่ึงเห็นประโยชน์
                                           คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 293
กญั ญรัตน์ ซ้ายพฒั น์ / จนิ ตนา ตนั สุวรรณนนท์
ส่วนตนมากกว่าส่วนรวม และ 2) ระบบบริหารและควบคุมท่ีไม่มีประสิทธิภาพหรือไม่เหมาะสมรัดกุม
จึงเปิ ดโอกาสให้ผู้กระทาสามารถกระทาทุจริตได้ง่าย โดยเฉพาะไม่มีระบบตรวจสอบที่ดี รวมท้ัง
ความไวว้ างใจเชื่อใจกนั ของคณะกรรมการดาเนินการต่อการปฏิบตั ิงานของเจา้ หนา้ ที่หรือผูจ้ ดั การ ทาให้
ขาดความระมดั ระวงั ในการควบคุมดูแลกิจการ
        ส่วนที่ 2 มาตรการป้องกนั และแก้ไขปัญหาการทจุ ริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย
           2.1 มาตรการป้องกนั การทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย
           จากการสารวจความเห็นของกลุ่มตวั อย่าง 416 คน เม่ือวิเคราะห์ขอ้ มูลโดยใช้การวิเคราะห์
องค์ประกอบหรือการวิเคราะห์ปัจจยั (Factor Analysis) สามารถจดั องค์ประกอบ (จดั กลุ่มตวั แปร) ได้ 4
องคป์ ระกอบ ตามปรากฏในตารางท่ี 1 ดงั น้ี
ตารางท่ี 1 สรุปองค์ประกอบมาตรการป้องกนั การทจุ ริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย
องค์ประกอบ  ชื่อองค์ประกอบ                                   จานวนตวั แปร    ค่าไอเกน  ร้อยละของความ
                                                                             13.343    แปรปรวนร่วม
ที่                                                           11 ตวั แปร      2.094
                                                             (มาตรการยอ่ ย)   1.668       24.385
1 มาตรการสร้างและพฒั นาระบบส่งเสริม สนบั สนุน                                 1.146
                                                               7 ตวั แปร                  16.128
            และกากบั ดูแลสหกรณ์ท่ีมีประสิทธิภาพ              (มาตรการยอ่ ย)
                                                                                          14.704
2 มาตรการสร้างระบบกากบั ดูแลและตรวจสอบ                         5 ตวั แปร
                                                             (มาตรการยอ่ ย)               12.378
            ภายในสหกรณ์ที่มีประสิทธิภาพ
                                                               4 ตวั แปร
3 มาตรการกาหนดนโยบาย ขอ้ บงั คบั ระเบียบและ                  (มาตรการยอ่ ย)
            จริยธรรมเพื่อการปฏิบตั ิงานที่โปร่งใส
4 มาตรการสร้างความร่วมมือในขบวนการสหกรณ์
            เพ่อื การป้องกนั การทจุ ริต
        โดยแต่ละองค์ประกอบสามารถนาเสนอเป็ นมาตรการป้องกนั การเกิดปัญหาการทุจริตของสหกรณ์
การเกษตรในประเทศไทย ในลกั ษณะมาตรการหลกั และมาตรการยอ่ ย ตามที่ปรากฏในตารางที่ 2 ดงั น้ี
294 วารสารการเมือง การบริหาร และกฎหมาย ปี ท่ี 12 ฉบบั ท่ี 2
C H A P T E R 13
ตารางท่ี 2 มาตรการป้องกนั การเกดิ ปัญหาการทุจริตของสหกรณ์การเกษตรในประเทศไทย
               ม มาตรการย่อย
มาตรการหลกั
               1 1.1 หน่วยงานรัฐท่ีมีอานาจกาหนดบทลงโทษที่รุนแรงตอ่ บุคลากรสหกรณ์ท่ีเป็น
1. มาตรการสร้าง ผกู้ ระทาผดิ และผทู้ ี่ไม่ปฏิบตั ิตามกฎหมาย ขอ้ บงั คบั ระเบียบและกฎหมายอื่น ๆ
และพฒั นาระบบ              1.2 พฒั นาบคุ ลากรภาครัฐใหม้ ีความเชี่ยวชาญในการกากบั ดูแล รวมท้งั การวเิ คราะห์
ส่งเสริม สนบั สนุน สาเหตแุ ละลกั ษณะการทุจริตตามหลกั วชิ าการและกรณีตวั อยา่ ง เพื่อใหม้ ีองคค์ วามรู้ในการแนะนา
และกากบั ดูแล การป้องกนั การทุจริตแก่สหกรณ์ไดอ้ ยา่ งครอบคลมุ
สหกรณ์ท่ีมี                1.3 สร้างระบบเทคโนโลยสี ารสนเทศ (ระบบ IT) เชื่อมโยงระหวา่ งสหกรณ์กบั
ประสิทธิภาพ หน่วยงานที่ทาหนา้ ท่ีกากบั ดูแล เพือ่ ใหส้ หกรณ์รายงานขอ้ มลู พร้อมมีสญั ญาณเตือนภยั
               เพอื่ เจา้ หนา้ ท่ีจะไดเ้ ขา้ ตรวจสอบไดท้ นั เวลา
                           1.4 สร้างเครือข่ายหน่วยงานรัฐและขบวนการสหกรณ์เพื่อร่วมกนั ต่อตา้ นการทุจริตใน
               สหกรณ์
                           1.5 ประเมินและจดั ระดบั ความเสี่ยงในการเกิดปัญหาการทุจริตของสหกรณ์แต่ละแห่ง
               แลว้ จดั ทาแนวทางป้องกนั ที่เหมาะสมสาหรับสหกรณ์แตล่ ะระดบั
                           1.6 ใหส้ หกรณ์จดั ทาข้นั ตอนการใหบ้ ริการสมาชิก ตลอดจนส่ิงที่สมาชิกควรทา (เช่น
               การเรียกรับใบเสร็จทุกคร้ังเม่ือจ่ายเงิน เป็ นตน้ ) และสิ่งที่ไมค่ วรทา (เช่น ไมค่ วรลงลายมือชื่อรับ
               เงินกลู้ ว่ งหนา้ ไมค่ วรฝากสมดุ คบู่ ญั ชีเงินกไู้ วท้ ี่สหกรณ์ เป็ นตน้ ) แลว้ ติดประกาศไวใ้ นที่ทาการ
               สหกรณ์ในที่ท่ีสมาชิกสามารถเห็นไดอ้ ยา่ งชดั เจน
                           1.7 ส่งเสริมใหส้ หกรณ์มีแผนกใหค้ าปรึกษา/แผนกสอบทานเอกสารไวค้ อยใหบ้ ริการ
               สมาชิกในระหวา่ งการติดต่อทาธุรกรรมต่าง ๆ กบั สหกรณ์ เช่น การกเู้ งิน การฝากเงิน การนา
               ผลผลิตมาจาหน่าย
                           1.8 ส่งเสริมใหค้ ณะกรรมการฯ ฝ่ ายจดั การ และสมาชิกสหกรณ์ รู้วธิ ีปฏิบตั ิที่ถูกตอ้ ง
               ในการบริหารจดั การสหกรณ์และในการทาธุรกรรมต่าง ๆ ในสหกรณ์
                           1.9 ส่งเสริมใหส้ หกรณ์สร้างระบบป้องกนั เช่น การติดกลอ้ งวงจรปิ ด การใชต้ เู้ ซฟ
               นิรภยั การกาหนด เวลาเปิ ด-ปิ ดสานกั งานท่ีชดั เจน เป็ นตน้
                           1.10 ส่ือมวลชน/ประชาชน แจง้ เบาะแสการดาเนินงาน/การใหบ้ ริการที่ไมโ่ ปร่งใส
               หรือการดาเนินงานท่ีส่อในทางทจุ ริตของฝ่ ายคณะกรรมการฯ และฝ่ ายจดั การแก่หน่วยงานที่
               รับผดิ ชอบ
                           1.11 สถาบนั การศึกษาควรสนบั สนุนใหม้ ีการศึกษาและเผยแพร่ผลงานวชิ าการ
               เกี่ยวกบั แนวทางป้องกนั ปัญหาการทุจริตในสหกรณ์อยา่ งแพร่หลาย
                                คณะรัฐศาสตร์และนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั บูรพา 295