เขา สูแ ดนนิพพาน
โดย ทานอาจารยพ ระมหาบัว ญาณสมั ปนั โน
วัดปา บา นตาด
ทา่ นอาจารยพ์ ระมหาบวั ญาณสมั ปนั โน
สารบัญ
๑. ตามรอยแหงธรรม
๒. ธุดงควัตรเครอื่ งหามลอ กเิ ลส
๓. บอยกลางเรอื นของกเิ ลส
๔. เปด เผยโลกธาตุ
๕. ยอมตายกับความเพยี ร
๖. อริยสจั ๔
๗. รอู สุภะ รอู ยางไร
๘. ยาแกก เิ ลส
๙. คนจริงยอมถงึ ธรรมของจริง
๑๐. ยดึ แบบฉบบั ของผเู หน็ ภยั
๑๑. อบุ ายแกความกลัว
๑๒. การบวชเปนของยาก
๑๓. นอนใจ นอนจม
๑๔. อยา ประมาทนอนใจ
๑๕. กเิ ลสเปนภยั
๑๖. อยาฝนความจริง
๑๗. โอวาทปาฏโิ มกข
๑๘. ความเห็นแกตวั
๑๙. ความดีท่ตี องฝน
๒๐. ภูมิใจทกุ ขเ พราะความเพียร
๒๑. มหาวิทยาลยั สงฆ
๒๒. งานของสมณะ
๒๓. อุบายพน ทุกข
๒๔. โอชารสแหง ธรรม
๒๕. พระกรรมฐานตดิ ครอู าจารย
๒๖. พัฒนาจติ ใหพ น พลังดึงดดู ของกิเลส
๒๗. สนามรบของนักบวช
๒๘. ของจรงิ ลบลางของปลอม
๒๙. มหาภัทรกปั
๓๐. ศาสนาเจริญ ศาสนาเส่ือม
๓๑. ธรรมแทปรากฏทใ่ี จ
เทศนอ บรมพระ ณ วัดปาบานตาด
เมื่อวันที่ ๕ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๐๙
ตามรอยแหง ธรรม
เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ นอกจากเปนพระแลวยังเปนนักปฏิบัติ ซง่ึ เปน เพศและ
หนาท่ีทเ่ี ดนในสังคมแหง พระพทุ ธศาสนา ถาจะเทียบอยางทหารก็คือทหารผูออก
แนวรบแลว ทาํ หนา ทต่ี อ การรบทกุ ๆ ดา นและทกุ ๆ ประเภท ไมวาขาศึกจะมาทาง
ดา นใดมาดว ยกลอบุ ายใด มาบนบก มาใตน าํ้ มาเหนอื นาํ้ มาบนอากาศ มาเวลา
ไหนเปน หนา ทข่ี องทหารผกู า วเขา สสู งครามแลว จะตอ งทาํ หนา ทร่ี บใหเ ตม็ กาํ ลงั
ความสามารถขาดดน้ิ ในสงคราม หากวาชีวติ เหลือมาก็ใหมีชยั ชนะ ถาไมเหลือก็
มอบไวก บั ความกลา หาญ คอื ตายดว ยความกลา หาญชาญชยั เปน วรี บรุ ษุ ของชาติ
ฝากชื่อเสียงไวตลอดกาลนาน ไมทอถอยตอปจจามิตรที่มาจากจตุรทิศ นี่เรื่องของ
ทหารผรู กั ชาตทิ ท่ี าํ หนา ทใ่ี นแนวรบเปน อยา งน้ี ถาเปน ผขู ข้ี ลาดหวาดกลัวตอ ขา ศกึ
แลว อยางไรก็ตองจมเปนแนนอน ความชนะไมม หี วงั เลย
นกั ปฏบิ ัติยอมเปนเชน เดยี วกับทหารท่อี อกแนวรบแลว เวลานต้ี า งทา นตา ง
สละมาจากบา นจากเรอื น สละหมดทุกสิ่งทุกอยาง สง่ิ ทเ่ี ราสละทง้ั หมดนน้ั ลว นแลว
แตเปนของมีคุณคามากทั้งนั้น พอ-แม พี่นองแตละคน ๆ ก็มีคุณคามาก ญาติ
มติ รสหาย แตร ะรายกม็ คี ณุ คา มาก สมบัติเงินทองที่มีมากมีนอยก็มีคุณคามาก ทั้งที่
มอี ยแู ลว กม็ คี ณุ คา มาก จําตองรักสงวนกัน ทั้งที่ยังไมมีก็จําตองเสาะแสวงหามา ซึ่ง
พรอมที่จะเปนสมบัติอันมีคาในความคุมครองของตน
สิ่งที่กลาวทั้งนี้ เราสละมาโดยสน้ิ เชงิ ไมม สี ง่ิ ใดเหลอื หากวา เรายงั เปน อยู
ในฆราวาส โลกเขามอี ยา งใดเราจะตองมอี ยา งนัน้ ลูกก็ตองมีเพราะจะตองมีเมีย น่ี
เมยี เรากส็ ละคนื ใหโ ลกเขาเสยี ทานเสยี โดยสน้ิ เชงิ ลกู กเ็ ปนอันวา ทานไปดว ย
สมบัติสิ่งของเงินทองทุกสิ่งทุกอยางที่เปนของเคยหวงแหน และโลกเคยหวงแหน
มาประจาํ โลกนน้ั เราสละเสยี สน้ิ ไมม สี ง่ิ ใดเหลอื ภายในตวั เลย หากจะเหลือกค็ อื
ความอาลยั อาวรณซ ง่ึ เปน ของแกย าก เพราะเปน กเิ ลสทเ่ี ปน สง่ิ แกย ากอยแู ลว จึงได
มาถวายตวั เปน ศากยบตุ รผเู ปน นกั เสยี สละ ผูเปนนักตอสู ตดั ความอาลยั เสยี ดายไม
มหี ลงเหลอื ในพระทัย เรยี กวา เปน บตุ รของพระพทุ ธเจา ผูบริสุทธิ์ ผกู ลา หาญชาญ
ชยั ไดท าํ หนา ทก่ี ารรบกบั กเิ ลสตณั หาทกุ ประเภทดว ยพระองคเ อง ไมมีใครที่ชวย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑
๒
เหลอื พระองคแ มแ ตร ายหนง่ึ นอกจากเขาใหท านไปตามธรรมดา ทเ่ี รยี กวา พอเปน
เสบยี งกรงั ทไ่ี ดอ าศยั ยงั ชวี ติ ใหเ ปน ไปในวนั หนง่ึ ๆ เพอ่ื รบสงครามภายในระหวา ง
กเิ ลสกบั ธรรมะ
พระพทุ ธเจา สามารถรบสง่ิ ทง้ั หลายเหลา นด้ี ว ยความกลา หาญชาญชยั เอา
เปน เอาตายจรงิ ๆ ผลปรากฏวา ขา ศกึ คอื กเิ ลสทง้ั มวลตายเรยี บ พระองคไดเปน
พระพุทธเจาขึ้นมา นน่ั แหละคอื ผลอนั ยง่ิ ยวด ไมมีสิ่งใดเทาเทียมเสมอได ถาเรียก
วา สมบตั กิ ค็ อื โลกตุ รสมบตั หิ รอื นพิ พานสมบตั ิ นเี้ กิดขน้ึ มาจากความกลาหาญของ
พระพทุ ธเจา ลวน ๆ ไมม ใี ครชว ยแบง หนกั แบง เบาแมแ ตน อ ยเลย เปน อตฺตา หิ
อตฺตโน นาโถ ของพระองคโดยแท
เราผูเปน ศษิ ยของพระตถาคต ปรากฏวา เปน ผสู าํ คญั คนหนง่ึ ไดม าบวชใน
พระพทุ ธศาสนาแลวยังไมแ ลว ยงั ไดออกแนวรบคอื การปฏิบตั ทิ ่เี ปนหลักสําคัญ
มาก การรบของเรานน้ั ไมไ ดห มายถงึ การรบปจ จามติ รภายนอกใด ๆ แตเ ปน การรบ
กับเรอื่ งของตัวเราเองที่เปน กิเลสอยูภายใน และเกย่ี วกบั สิง่ ภายนอกทผี่ า นไปมา
และคละเคลา กนั อยตู ลอดเวลา ไดแกทางรูป ทางเสยี ง ทางกลิ่น ทางรส เครอ่ื ง
สมั ผสั ทุกสิ่งทุกอยางจะผานเขามา สตปิ ญ ญาซง่ึ เปน ศาสตราอาวธุ อนั สาํ คญั ทพ่ี ระ
พทุ ธเจา ทรงมอบใหก บั เรานน้ั เราไดถ อื แนบสนทิ กบั ตวั หรอื ไม โปรดไดนํามา
พจิ ารณาและสาํ นกึ ตวั อยตู ลอดเวลาอยา ไดล ดละ นค้ี อื หนา ทข่ี องพระผกู า วเขา สู
สงครามภายในคอื กเิ ลสกบั ธรรมซง่ึ อยใู นใจเราเอง
หากเราเปน ผูมีความทอถอยดอยความเพยี รและสติปญญาแลว จะเอาตวั
ไปไมรอด อยูที่ไหนก็ยอมแพอยูตลอดเวลา คนที่แพไมวาแพอะไรยอมเปนคนหมด
สงา ราศี ถา คนชนะแลว อยทู ไ่ี หนกม็ คี วามองอาจกลา หาญสงา ผา เผย ไมอ บั เฉาเศรา
โศก นถ่ี า เราอยดู ว ยอริ ยิ าบถหรอื ความเคลอ่ื นไหวไปมาทกุ สง่ิ ทกุ อยา งดว ยความแพ
แลว ใชไมไดเลย ไมใชล กู ศษิ ยพระตถาคตผทู รงความอาจหาญใหโ ลกไดกราบไหว
บชู าและถอื เปน คตติ วั อยา งอนั เลศิ เรอ่ื ยมาเลย นา อบั อายแคไ หน เราเปน ลกู ศษิ ย
พระพุทธเจา แตกลับมาเปนคนทอแทออนแออยางนี้ไมสมควรอยางยิ่ง โปรดไดนํา
มาคิดใหสนิทติดใจของตน เรอ่ื งสติเรื่องปญญาเรอ่ื งความเพยี รน้เี ปนเครือ่ งมอื
สาํ หรบั รบ ความอาจหาญหรอื ความอดทนความอตุ สา หพ ยายามน้ี เปนกําลงั เครือ่ ง
สนบั สนนุ ในการรบของเราผเู ปน ทหารตอ สใู นแนวรบ อยา ไดล ดละปลอ ยวาง จงให
ติดแนบกับใจอยูเสมอ และอยาทาํ ความสนิทติดจมกับสงิ่ ใดในโลกสมมุตินิยม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒
๓
เรอ่ื งความเปน อยขู องเรา เปน อยกู ับศรทั ธาญาตโิ ยม ไปที่ไหนไมอดตาย
เราไมตองกลวั วาจะอดตาย หากวา เราเปน ผบู าํ เพญ็ ตนเพอ่ื ชาติ ศาสนา พระมหา
กษตั รยิ รฐั ธรรมนญู อยูแลว จะไมม ีใครทอดทิ้งเรา โปรดไดมอบชีวิตจิตใจทุกสิ่งทุก
อยา ง บรรดาปจ จยั สท่ี เ่ี ปน เครอ่ื งอาศยั ของพระไวก บั ฆราวาสญาตโิ ยม แตห นา ท่ี
ของพระจริง ๆ คอื การทาํ ความพากเพยี ร ระมัดระวังตัวกลัวขาศึกคือกิเลสจะเขา
ทาํ ลายจติ ใจนน้ั จงผลิตจงฟตใหดีขึ้นทุกวันดวยความเพียร โดยทางสติโดยทาง
ปญญา น่ชี ื่อวาเปน ผูทําหนาที่อันถกู ตอ งและจะเปนผูไดรบั ชัยชนะเปน ลาํ ดบั ๆ ไป
การรบขา ศกึ ภายในนเ้ี ปน สง่ิ สาํ คญั มากกวา ขา ศกึ ใดในสากล
เราไมตองไปมองดูที่อื่น ใหดูความเคลอื่ นไหวของจิตท่ีเคลือ่ นไหวไปแต
ละครง้ั ๆ น้ี หาเรอ่ื งอะไรบา งมากอ ความราํ คาญ หรือมากอความเดือดรอนใหแก
เรา โดยมากจิตจะตองผลิตเรื่องเหลานี้ขึ้นมา ไมไดผลิตธรรมะ เรอ่ื งธรรมะนน้ั เปน
เรื่องที่เราจะตองตั้งใจผลิตขึ้นมา ดว ยความระมดั ระวงั ตง้ั ใจจรงิ ๆ จงึ จะปรากฏ
เปนธรรมะขน้ึ มา เชน สติคอยระมัดระวังสิ่งที่มาเกี่ยวของ นี่แสดงวาตั้งขึ้นมา
ปญญาตรวจตรองดูสิ่งที่มาเกี่ยวของเปนสิ่งที่ดีหรือชั่ว จะควรปลอยวางหรือละถอน
โดยประการใดบา ง ตอ งนาํ มาพนิ จิ พจิ ารณา แลว แกไ ขไปตามอาํ นาจแหง ความ
เพียรและสติปญญาที่ไมลดละของตน นน้ั แลจะเปน ผเู หน็ ผลโดยลาํ ดบั ไปสาํ หรบั
เราผเู ปน นกั บวช และเปน ผกู า วเขา สสู งครามทกุ ระยะกาลอยแู ลว
คาํ วา มรรคผลนพิ พานเราไมต อ งไปคาด ขอใหด าํ เนนิ หลกั แหง เหตอุ นั
เปน ไปเพ่ือมรรคผลนิพพานนใ้ี หถกู ตองเทาน้ัน เรื่องผลจะหนีไปไหนไมพน เหตุ
กับผลตองเปนของคูเคียงกันอยูเสมอไมวากาลไหนกาลใดมา เราไมตองไปคาดไป
หมาย ใหร ะมัดระวังต้ังตัวใหดดี ว ยสติ ปญญา โดยถอื จติ เปน สนามรบกบั กเิ ลสทง้ั
ปวง อยามองอยาสนใจที่อื่นยิ่งกวาที่ดังกลาวนี้ ความแพค วามชนะกเิ ลสและมรรค
ผลนิพพานจะปรากฏกนั ท่ตี รงนี้ ชีวิตจิตใจเราไมตองกลัวตาย
การนง่ั ภาวนา จงนง่ั ใหเ ปน ภาวนาจรงิ ๆ อยา นง่ั เพยี งสกั แตว า นง่ั อยา เดนิ
จงกรมเพียงสกั แตวาเดนิ ไปไหนมาไหนใหม ีสตสิ ตงั ระมดั ระวงั ตัวเสมอ เราจะเหน็
เรือ่ งของเราทกุ ๆ ระยะที่แสดงออกจากใจ และสิง่ ท่ีเขามาเกีย่ วของสมั ผสั กับใจ ก็
จะรบั ทราบวา เปน เรอ่ื งอะไร ควรจะแกไ ขกันโดยวธิ ีใดบาง ถาผมู ีสตเิ ปน อยเู ชนนี้จะ
เปน ผรู เู รอ่ื งผเู ขา ใจ และมีชัยชนะไปตามอิริยาบถทั้งสี่ไมขาดวรรคขาดตอน และจะ
กําชัยชนะอยางเอกไวไดในเงื้อมมือโดยไมตองสงสัย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓
๔
แตถ า เราจะอยดู ว ยวธิ แี พ คอื อยดู ว ยความเผอเรอ อยดู ว ยความนอนใจ
อยดู วยความออ นแอ อยูดวยความทอถอยกําลัง อยูดวยความขี้เกียจมักงาย อยู
ดว ยความเห็นแกปากแกทอง เหลา นจ้ี ะเปน ทางทแ่ี พเ รอ่ื ยไป มีแตแพไปเปนลําดับ
และนบั วนั อบั เฉาเศรา ใจเขา ทกุ วนั สดุ ทา ยกจ็ ม ไมเ ปน ประโยชนอ ะไรเลย โปรดพา
กันสนใจคิดเรื่องแพเรื่องขาดทุนสูญดอกใหถึงใจ และจงมคี วามเขม แขง็ เพอ่ื ธรรม
มงคลแกตน เพราะนกั บวชคอื พระเราแตล ะองค เมอ่ื บาํ เพญ็ ตนจนถงึ ความเจรญิ รงุ
เรอื งภายในใจโดยลาํ ดบั หรอื เจรญิ เตม็ ภมู แิ ลว นอกจากจะเปนหลักมั่นคงตายใจ
ของตัวเอง และเปน ความรม เยน็ ไมเ อนเอยี งโยกคลอนแลว ยังจะเปนหลักยึดอันมั่น
คงของโลก และทาํ ประโยชนแ กโ ลก ใหไ ดร บั ความสงบสขุ รม เยน็ อยา งมหาศาลไมม ี
ประมาณอกี ดวย ดงั พระพทุ ธเจา แลสาวกทา นเปน ตวั อยา ง มาสมยั ปจ จบุ นั กเ็ หน็
ประจักษตาอยูแลว เชน ทา นพระอาจารยม น่ั พระอาจารยเ สาร ตลอดครอู าจารยท ง้ั
หลายทเ่ี ปน ลกู ศษิ ยท า น และทานผูปฏิบัติดีปฏิบัติชอบองคอื่น ๆ ซง่ึ ประชาชนชาว
พุทธ ยึดถือพึ่งเปนพึ่งตายถวายชีวิตตอทานเปนลําดับมา มีเปนจํานวนมากเทาไร ดู
เอากร็ เู อง
เพราะฉะนน้ั ศาสนธรรมกด็ ี ผูปฏิบัติธรรมก็ดี โลกจงึ กราบไหวบ ชู าเคารพ
นับถือเสมอมา ไมม วี นั เส่ือมคลาย จตุปจ จยั ไทยทานมีมากมีนอ ยใหม าเทา ไรเขาไม
มคี วามเสยี ดาย ใหม าดว ยความเสยี สละ ใหม าดว ยการบชู าธรรม ใหม าดว ยความ
เชอ่ื ความเลอ่ื มใส ใหม าดว ยความเคารพ ไมม ีความหวงใยเสียดายในวัตถุสิ่งของ
แมม รี าคามากเพยี งไรทเ่ี ขาใหท านมานน้ั
พระไปอยูที่ไหน ถา เปน นกั ปฏบิ ตั ธิ รรมะจรงิ ๆ แลว จะไมอดอยาก แมจ ะ
เกดิ ความอดอยากบา งเปน บางครง้ั บางคราว กใ็ หถือเสยี วา เร่อื งคติธรรมดา เรอ่ื ง
อนิจจังเปนของไมสม่ําเสมอตลอดมาตั้งแตกาลไหนกาลใด แมประชาชนเองก็มี
ความขาดแคลนเชน เรา หรอื ยง่ิ กวา เราในบางครง้ั บางราย อยา ไดค ดิ วา จะอดตาย
เฉพาะเราคนเดยี ว การจะมคี วามสมาํ่ เสมอในอาหารปจ จยั ทอ่ี ยอู าศยั ตา ง ๆ ตลอด
ไปนั้นยอมเปนไปไมได ตองมีขึ้น ๆ ลง ๆ เปน ธรรมดา ทส่ี าํ คญั ตามความมงุ หมาย
แทก็คือ เรอ่ื งความเพยี รของเรานน้ั อยา ใหข าดวรรคขาดตอน อยาใหดอยลงได ให
มีความขะมักเขมนเขมแข็งบึกบึนอยูเสมอไมวาอดหรืออิ่ม เพราะนั้นมันเรื่องของ
ปากทองธาตุขันธตางหากซึ่งเพียงอาศัยกันไปเทานั้น มิไดถือเปนจริงเปนจังเหมือน
ปฏปิ ทาทจ่ี ะพาเราใหห ลดุ พน อะไรนกั ผูไมบกพรองในปฏิปทาที่กลาวนี้ ช่ือวาผูไม
เสยี ที ผูไมแพ อยูที่ไหนก็มีชัยชนะเรื่อยไปจนถึงจุดที่หมายหายกังวล
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔
๕
การพจิ ารณาธรรมะอยา ควา โนน ควา น้ี เราจะตั้งหลักอันใดลงไป จะกาํ หนด
ลมหายใจเขา ออก กใ็ หท าํ ความเขา ใจกบั ลมของตนจรงิ ๆ ลมจะเขาออกยาวหรือ
สน้ั ขอใหท าํ การรับทราบอยเู สมอในขณะที่ลมออกหรือเขา นช่ี อ่ื วา เปน ผมู สี ติ ลม
ละเอียดเขาไปเทา ไร ๆ กใ็ หท ราบตามความละเอยี ดของลม อยาถอยความรูออกมา
และสงไปสูที่อื่น ๆ จะไมท ราบระยะความเขา ออกของลมและความสัน้ ยาวของลม
และจะไมท ราบคาํ วา ความขาดวรรคขาดตอนแหง ความเพยี รของตนในเวลานน้ั เรา
เผลอไปขณะใดชื่อวาความเพียรของเราไดขาดไปในขณะนั้น นแ่ี ลความเพยี รหมาย
ความอยา งนต้ี า งหาก มไิ ดห มายไปตามกริ ยิ าแหง การนง่ั การเดนิ ทไ่ี มม สี ตวิ า เปน
ความเพยี ร แตห มายถงึ ความเพยี รดว ยความมสี ตกิ าํ กบั งานภาวนาของตน
เดนิ จงกรม เดนิ ทง้ั วนั กต็ าม ถาไมมีสติก็ไมผิดแปลกอะไรกับที่เขาเดินกัน
ทวั่ โลก นง่ั กเ็ ชน เดยี วกนั ทุก ๆ อิริยาบถถาไมมีสติไมมีปญญากํากับ ไมมีความจง
ใจอยกู บั ความรสู กึ ตวั วา ทาํ งานอะไรอยเู วลาน้ี ไมจดั วาเปน ความเพียร โปรดทาํ
ความเขา ใจไวอ ยา งน้ี จะไมป ลอยใจใหสนุกเทย่ี วเพนพาน ทงั้ ท่กี าํ ลงั เพลนิ ลมื ตวั
สาํ คญั ตนวา นง่ั ทาํ ความเพยี ร เดินทําความเพียร ยนื ทาํ ความเพยี รในทา ตา ง ๆ
การกาํ หนดลมตามที่อธิบายมาน้ี อธบิ ายเพยี งยอ ๆ กาํ หนดจนกระทง่ั ลม
ละเอยี ดสดุ ปรากฏในความรสู ึกวา ลมไมมเี ลยกไ็ มตอ งกลวั ตาย ขณะที่ลมหายไป
นัน้ แลจิตย่งิ มีความละเอยี ดมาก บางครง้ั ลมไดห ายไปจรงิ ๆ ในความรูสกึ ของนัก
ภาวนา บางครง้ั ทเ่ี รากาํ หนดลมละเอยี ดเขา ไป ๆ ถึงกับปรากฏวา ลมไมม เี ลย
เหลอื แตค วามรลู ว น ๆ ถา เปน เชน นน้ั จติ กห็ ยดุ ปรงุ มคี วามสงบแนว แน ความสงบ
นน้ั แลเปน สง่ิ ทจ่ี ะทรงคณุ ภาพอนั แปลกประหลาด และอศั จรรยใ หเ ราเหน็ ในเวลาท่ี
จติ มีความสงบ และจิตตั้งตัวไดโดยลําพังตนเอง โดยไมตองอาศัยสิ่งอื่นใดมาเปน
อารมณ เชน ลมหายใจเปน ตน มีความสุขโดยความสงบของใจเอง
นีแ่ หละชื่อวา เปน ตัวของตวั ในขัน้ หน่งึ แตไมไดหมายถึงขั้นสุดยอด หมาย
ถึงขั้นตนอยางนี้เสียกอน อยางไรก็ขอใหทําไดอยางนี้ จะผกู ใจดว ยพทุ โธหรอื จะ
ตามลมหายใจดว ยพทุ โธกต็ าม เราจะตามดว ยพทุ โธ ๆ ทั้งระยะเขาและออก หรอื
จะตามดว ยพุท เขา โธ ออกก็ได ขอใหเปนความถนัดใจก็พอ ไมผิดทาง เปนอันถูก
ในหลกั ความเพยี รสาํ หรบั นสิ ยั ของแตล ะราย ๆ เราไมต อ งไปควา โนน ควา น้ี ไดย นิ
ทา นวา ทา นภาวนาอยา งนน้ั ไดผ ล ผนู น้ั ภาวนาอยา งนน้ั ไดผ ล เรากค็ วา โนน ปลอ ยน้ี
อยา งนน้ั เรยี กวา เปน คนหลกั ลอย เปน คนจบั จด โดยไมท ราบนสิ ยั ของตนวา จะควร
ปฏิบัติตอตนอยางไร อยางนี้ทําความเพียรไปเทาไรก็ไมคอยเห็นผล
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕
๖
หลกั สาํ คญั คอื ใหเ ปน คนจรงิ จะทาํ ความเพยี รดว ยธรรมบทใดหรอื
พจิ ารณาบรกิ รรมดว ยธรรมบทใด หรอื จะพจิ ารณาในแงใดอาการใด จงทาํ ใหจ รงิ
จนเหน็ ผลขน้ึ มา พรอมกับทราบชัดวา จริตของเราชอบกับสง่ิ นี้ หรอื ธรรมบทน้ี มี
ลมหายใจเปน ตน นแ้ี ลชอ่ื วา คดิ คน หาความเหมาะสมใหเ หน็ ชดั เจนในนสิ ยั ของตน
แลว ดาํ เนนิ ตอ ไปและทาํ ดว ยความจรงิ จงั ในเบื้องตนตองมีหลักยึดเชนนี้
ผกู าํ หนด พุทโธ โดยลําพังก็ เอา เดนิ ไปไหนอยา ใหเ ผลอคาํ วา พทุ โธ พุท
โธ ในเมอ่ื ไดน าํ มากาํ กบั ใจไมใ หข าดวรรคขาดตอนกบั ความรสู กึ ระหวา งจติ กบั พทุ
โธใหติดตอกันเปนสายไปอยูแลว คาํ วาพุทโธกบั ความรูน้นั จะคอยกลมกลืนเปนอนั
หนง่ึ อนั เดยี วกนั เขา เปน ลาํ ดบั ๆ จนกลายเปน วา คาํ วา พทุ โธกบั ความรนู น้ั เปน อนั
เดยี วกนั ทน่ี เ่ี ราจะบรกิ รรมหรอื ไมบ รกิ รรมกไ็ มเ ปน ปญ หาในขณะนน้ั เหลือแต
ความรลู ว นๆ ถึงเราจะนึกวาพุทโธ กค็ อื ความรูนัน้ แลเปนพุทโธ นี่ถาจะเทียบอุปมา
ก็ คาํ วา พทุ โธนี้เปรยี บเหมือนเราตามรอยเทาของโคเพ่ือจะจับตวั โคใหไ ด โคตวั นน้ั
ไปที่ไหนอยาปลอยรอย ใหต ามรอยโคตวั นน้ั ไปเปน ลาํ ดบั ๆ ไปที่ไหนตามไปเรื่อยๆ
จนถึงตัวโค เมื่อถึงตัวโคแลวเรื่องของรอยโคนั้นก็หมดปญหาเพราะไปถึงตัวโคแลว
ถา จะดรู อยโคก็ดูท่ีเทาโคก็ทราบ เพราะรอยทเ่ี หยยี บยาํ่ ไวใ นทต่ี า งๆ ก็ออกจากเทา
ของโคตัวทเ่ี ราจับไดน้ีแล
นี่คําวาพุทโธก็เปนรองรอยที่จะตามรูคําวาพุทธะ ซ่งึ เปน เหมือนกบั โคตวั
นน้ั หากเราไมป ลอ ย ตามพุทโธเขาไปทุกระยะๆ คําวาพุทโธกับจิตก็จะกลมกลืน
เปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั แลว กจ็ ะหมดปญ หาในคาํ วา พทุ โธในเวลาเชน นน้ั นี่จิตเมื่อ
ตง้ั ตวั ไดย อ มมคี วามสงบรม เยน็ เปน สขุ ในเวลานน้ั ไมส งสยั ไมถ ามใครใหเ สยี เวลา
และขายโง นผ่ี ลทเ่ี กดิ จากการบรกิ รรมพทุ โธ เพอ่ื เหน็ จดุ ผรู ทู เ่ี รยี กวา ดวงใจอนั แท
จรงิ
ผกู าํ หนดลมหายใจกเ็ ชน เดยี วกนั ลมหายใจกเ็ หมอื นกบั รอยโคอนั เดยี วกนั
เราจะพจิ ารณาอันใดกต็ ามเปน เรือ่ งของรอ งรอยที่จะเขาไปหาตัวจริงท้งั น้ัน จะ
พจิ ารณา ผม,ขน,เลบ็ ,ฟน,หนงั ,เน้ือ,เอ็น,กระดูกทุกๆ ชน้ิ เปน เรอ่ื งท่จี ิตมาคาด
มาหมายมาเหยยี บมายาํ่ มาอุปาทานยึดมั่นถือมั่นไวทั้งนั้น เมอ่ื เวลาเราแยกแยะ
ขยายออกใหเ หน็ ตามสว นแหง อาการนน้ั ๆ ใหเ หน็ ตามสว นแหง ธาตแุ หง ขนั ธน น้ั ๆ
แลว จติ เรากห็ ายสงสยั และยอนเขาไปๆ จนถึงธรรมชาติของตัวที่แทจริง คอื หยงั่
เขา สจู ติ และความสงบทเ่ี ปน อยกู บั จติ ดวงสงบ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖
๗
เราพจิ ารณาดอู าการใด เม่ือเห็นชดั แลวจะไปสงสัยอันใดเลา มันตองเขาไป
หาทจ่ี ติ จติ เปน ผมู ากอ ความราํ คาญ จติ เปนผมู ากอความรักความชงั จิตเปนผูมา
กอ ความหลงความหงึ หวงกบั สง่ิ เหลา นต้ี า งหาก ไมใ ชส ง่ิ เหลา นเ้ี ปน ความรกั ความ
ชงั ในตัวเอง ไมใ ชส ง่ิ เหลา นเ้ี ปน ความหงึ หวงในตวั เอง ไมใ ชส ง่ิ เหลา นเ้ี ปน ผมู คี วาม
หมายในตวั เอง แตเ ปน เรอ่ื งของจติ ไปใหค วามหมายวา สง่ิ นน้ั เปน นน้ั ๆ สง่ิ นน้ั นา รกั
สง่ิ นน้ี า ชงั แลว ก็ยึดม่นั ตามเรอื่ งแหง ความหมายที่ตนไปทาํ กรยุ ทาํ หมายเอาไว ซึ่ง
เปนการผูกมดั ตนใหต ดิ จมอยูใ นสง่ิ เหลา นนั้
แตก ารพิจารณาเพอ่ื จะแกจดุ ที่ตนผกู มัดตนน้นั แล ทานเรียกวาปญญา
เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ ชดั ในสง่ิ ใดแลว จิตยอมปลอยไปเปนระยะๆ หากวา รรู อบคอบ
หมดในสว นแหง รา งกายน้ี จิตก็ปลอยไดโดยเด็ดขาด เรยี กวา หมดอปุ าทานในกาย
แลว ก็เขา ไปถงึ ตัวจติ น้ันอกี วา กายเหลา นไ้ี มม คี วามหมายในตวั เอง แตเ ปน เรอ่ื ง
ของจติ เปน ผไู ปใหค วามหมายในกายนว้ี า เปน อยา งนน้ั ๆ บดั นไ้ี ดร แู ลว วา กายเปน
สว นหนง่ึ ตา งหาก หรอื วาธาตุ สว นธาตดุ นิ นเ้ี ปน สว นหนง่ึ ตา งหาก จติ กเ็ ปนอนั หนง่ึ
ตา งหากจากสง่ิ เหลา น้ี หมดความสงสัยกังวลกันไปเปนพักๆ การพจิ ารณาเปน อยา ง
น้ี ขอใหพ จิ ารณาจรงิ ๆ ก็แลวกัน อยา ทาํ เลน ๆ ทาํ อะไรใหท าํ จรงิ ๆ จังๆ
การพิจารณากายน้ี จะพจิ ารณากายนอกกายในไมส าํ คัญ เพราะสมทุ ยั มไี ด
ทั้งภายนอกมีไดทั้งภายใน เมอ่ื เปน เชน นน้ั มรรคคอื ทางดําเนินเพื่อแกเพื่อปลด
เปล้อื งส่ิงท่ตี นไปเทีย่ วสําคญั มน่ั หมายไว ก็ยอมมีไดทั้งภายนอกทั้งภายใน เชน เรา
รกั รปู ความรกั รปู นน้ั เปน สมทุ ยั หมายรปู นอกนน้ั เปน สาํ คญั หมายรปู นน้ั นา รกั รปู
นน้ั นา กาํ หนดั ยนิ ดี แลว นาํ รปู นน้ั มาพจิ ารณาคลค่ี ลายดู ใหเ หน็ ชดั ตามหลกั ความ
จริงของรูปนัน้ วา มที ี่สาํ คญั ตรงไหนบา งพอทีจ่ ะใหเ กดิ ความรักความกําหนดั ยนิ ดี
เมื่อแยกออกทุกอาการแลวก็เห็นเปนเพียงสักแตวาธาตุ หรอื เหน็ แตเ พยี งของ
ปฏกิ ลู นา เกลยี ดไปเสยี สน้ิ หาสง่ิ ทน่ี า รกั นา กาํ หนดั ไมม เี ลย จิตก็ถอนความกังวล
ความรกั ในสง่ิ เหลา นน้ั เขา มาสตู วั เอง เห็นโทษของตวั เองวาเปนเพราะตวั เองไปทาํ
ความสาํ คญั มน่ั หมายในสง่ิ นน้ั ตา งหาก จงึ เกดิ ความรกั ความกําหนดั ยนิ ดนี ั้นขึ้นมา
นเ่ี รากไ็ ดเ หน็ โทษของเราดว ย เรากไ็ ดเ หน็ โทษในสง่ิ ทเ่ี ราไปสาํ คญั มน่ั หมาย วา นา
รกั นา กาํ หนดั ยนิ ดนี น้ั ดว ย จึงสามารถถอดถอนมาไดเปนระยะๆ อยา งน้ี
เพราะฉะนน้ั เรื่องของปญญาจึงเปนสิ่งที่ละเอียดมาก ปญญาในขั้นของ
ธาตุขันธยังมี ปญญาในข้ันของธาตุคือรูปธรรมนเี้ ปน ประเภทหนึง่ ปญญาในขั้นของ
นามธรรมเปนอกี ข้นั หน่ึง หากวา จติ ของเราตง้ั ตวั ไดด ว ยความสงบเพราะอาํ นาจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗
๘
ของความเพยี รพยายาม โดยวธิ ภี าวนาดงั ทไ่ี ดก ลา วมาในเบอ้ื งตน นน้ั มีหลักฐานพอ
ทจ่ี ะพจิ ารณาไดแ ลว โปรดพิจารณาทางปญญา จะเปนเรื่องนอกก็ตาม จะเปน เรอ่ื ง
ในก็ตาม ใหแ ยกสว นแบง สว นดดู งั ทก่ี ลา วน้ี จติ ใจใหท าํ งานอยกู บั สง่ิ เหลา นน้ั ทง้ั วนั
ย่งิ เปน การดี เมอ่ื มคี วามเหนอ่ื ยภายในจติ ใจ กําหนดจิตใหเขาพกั ในความสงบเปน
สมาธิเยือกเย็นขึ้นมา พอถอนจากความสงบแลว ออกทาํ หนา ทก่ี ารงานของตน เคย
พิจารณาอะไรที่ยังไมชัด เอา..คล่คี ลายดูใหชดั ถืออันนั้นแลเปนงานของตน
พจิ ารณาจนรชู ดั ตามความเปน จรงิ แลว จิตนั้นจะปลอยงานประเภทนั้นโดยไมตอง
ไปบังคับ เพราะรรู อบคอบแลว จะถอื มน่ั ไวท าํ ไม นี่เปนเรื่องของจิตจะปลอยสิ่งที่
เคยเกยี่ วขอ งกบั ตวั นข่ี นั้ ของธาตุแตอธบิ ายอยางสรปุ ๆ
ขั้นของขันธนี้เปนอีกประเภทหนึ่ง ขันธในขันธสี่คือ เวทนา,สัญญา,สังขาร,
วญิ ญาณ อนั นเ้ี ปน สว นละเอยี ดมาก ละเอียดยิ่งกวารูปขันธ แตถึงจะละเอยี ดแค
ไหนก็ตามจะพนวิสัยของปญญาไปไมได ธาตทุ ้ังธาตหุ รอื วา รูปท้งั กองนีใ้ นสวนราง
กายของเรา ปญญายังสามารถสอดแทรกหรือแทงทะลุ ถอดถอนอุปาทานความยึด
มั่นถือมั่นในกายออกมาได เหตใุ ดจะไมส ามารถรเู ทา ทนั ใน เวทนา สัญญา สงั ขาร
วิญญาณได ตองไดไมสงสัย เมื่อสติปญญามีอยูและนํามาใชอยูแลว
คาํ วา เวทนา เวทนาทางกายประเภทหนง่ึ เวทนาทางใจประเภทหนง่ึ เวทนา
ทางใจนเ้ี ปน สว นละเอยี ดมาก โดยมากถา จติ ไดร บั ความสงบเยอื กเยน็ มาเปน ลาํ ดบั
แลว จะมแี ตส ขุ เวทนาปรากฏอยภู ายในใจ สขุ เวทนานก้ี ต็ อ งไดพ จิ ารณาถงึ กาลเวลา
ทค่ี วรจะพจิ ารณา จะปลอยทง้ิ ไวห รือนอนใจกบั สขุ เวทนานัน้ ไมไ ด เชน ผูต ิดสมาธิ
โดยมากติดสขุ เวทนา เมอ่ื เขา สมาธแิ ลว กแ็ นว แนเ ปน อารมณเ ดยี ว ไมอยากออกมา
คิดมาอานไตรตรองอะไรใหหนักอกหนักใจ ใหเ กดิ ความลาํ บากราํ คาญ อยูอยางนี้
สบายดี ทั้งวันทั้งคืนก็สบาย เมื่อถอยออกมากระทบกระเทือนรูป เสยี ง กลิ่น รส
เปนตน ก็รูสกึ ไมค อ ยสบาย ราํ คาญในจติ ในใจ แลว ยอ นเขา ไปอยใู นสมาธนิ น้ั เสยี
สบายดี นี่คือจิตติดสุขเวทนาในสมาธิ
เมอ่ื เปน เชน นน้ั เราก็ควรจะถอยออกมาพิจารณา เพราะการถอดถอนกเิ ลส
นี้ไมใชถอดถอนดวยสมาธินะ สมาธเิ ปน แตเ พยี งตน ทนุ ใหใ จไดร บั ความสงบเปน ชน้ั
หนง่ึ ตา งหาก แตการจะถอดถอนกิเลสทุกประเภทนั้นจะตองถอดถอนดวยปญญา
ไมว า สว นหยาบ ไมว า สว นกลาง สว นละเอยี ด จะตองถอดถอนดวยปญญาทั้งนั้น ถา
เพยี งแตสมาธหิ ากไมไ ดใ ชป ญ ญาพจิ ารณาเลย ก็จะอยูแตความสงบ หาปรากฏวา ได
ถอดถอนกิเลสตัวใดออกไดดวยอํานาจของสมาธิไม เหน็ แตค วามสงบ ถา เราปลอ ย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘
๙
ไวบ า งหรอื มคี วามประมาทบา ง ไมคอยเขาสมาธิบอย ไมค อยทาํ ความเพียรโดย
สมาํ่ เสมอเพือ่ รักษาระดบั สมาธิไว จิตท่ีเคยเปนสมาธิกเ็ สื่อม กลายเปน จติ ทม่ี คี วาม
ฟงุ ซา นราํ คาญไปอกี เลยเขา สมาธไิ มไ ด นเ่ี รยี กวา สมาธเิ สอ่ื ม
ฉะนั้น เพอ่ื เปน ความเหมาะสมในเวลาจติ ทเ่ี ปน สมาธิ กใ็ หพ กั เสยี ไดต าม
กาลเวลาทต่ี องการ เมื่อถอนออกมาแลวใหพิจารณาดวยปญญาตามธาตุขันธ จะ
เปนขันธใดก็ตาม เวทนาขนั ธก พ็ จิ ารณาใหเ หน็ วา มนั เปน สว นหนง่ึ ตา งหาก ไมใชตัว
จิตอันดั้งเดิม พูดงาย ๆ ก็คือเปนสวนที่แฝงขึ้นมา จะเปนสุขก็แฝงขึ้นมา จะเปน
ทุกขก็แฝงขึ้นมา เพราะฉะนั้นสุขทุกขจึงเปนของที่เกิดและดับได ไมเปนของจีรัง
ถาวรและไมเ ปน สง่ิ คงท่ี สญั ญา สังขาร วิญญาณ เหลา นม้ี ลี กั ษณะทป่ี รากฏ
กระเพื่อมขึ้นมาแลวก็ดับไปเชนเดียวกัน
ทั้งเกิดและดับนี้เปนตามธรรมชาติของขันธ หากจิตจะหลงก็หลงไดอยางไม
มปี ญ หาเพราะเคยหลงมาแลว ถาพจิ ารณากร็ ฐู านทีเ่ กิดท่ดี บั ของเขาไดอ ยางชดั เจน
ไมยึดมั่นถือมั่นในกองแหงรูป ในกองแหงเวทนา ทั้งสุขทั้งทุกขทั้งเฉย ๆ ทั้งสัญญา
ความจาํ หมาย ทั้งสังขารความปรุงวา ดีวา ชัว่ วา สขุ วาทุกข ทง้ั วญิ ญาณทร่ี บั ทราบ อัน
เปน เพยี งปรากฏขน้ึ แลว ดบั ไป ๆ นค่ี อื ปญ ญาขน้ั ละเอยี ดทส่ี ามารถใหเ หน็ ตน เหตุ
หรอื เหน็ รากฐานของอาการทง้ั สท่ี ง้ั หา นว้ี า มันปรากฏตัวขึ้นมาไดอยางไร
รปู ทป่ี รากฏตวั ขน้ึ มาเปน กายน้ี กเ็ น่อื งจากหลกั ใหญทเ่ี รายังไมส ามารถคน
พบ เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ นี้ก็ออกมาจากหลักใหญ ทเ่ี รายงั ไมส ามารถรู
ดวยปญญา แตเ มอื่ ใชปญญาพิจารณาเขาไปโดยไมห ยุดย้ังแลว รปู กเ็ หน็ ชดั วา เปน
อันหนงึ่ ตา งหากจากจิต เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ แตล ะอยา ง ๆ ไมว า เวทนา
ประเภทใด ไมวาสัญญาจะหมายเรื่องอะไร ไมวาสังขารจะปรุงเรื่องอะไร จะเหน็
ความเกิดของสิง่ เหลา นม้ี าจากจิตและดบั ลงทจ่ี ติ และเปนธรรมชาตอิ ันหนง่ึ ตางหาก
จากจติ และยังจะไดเห็นตัวจิตที่มีธรรมชาติอันหนึ่งหุมหอไวอยางมิดชิด ธรรมชาติ
นน้ั เปน ผทู าํ หนา ทบ่ี งการ โดยมากในอริ ยิ าบถทั้งสีจ่ ะเปนเรอ่ื งของธรรมชาติน้ที ง้ั น้ัน
เปน ตวั เชดิ เปน ตวั พาใหค ดิ ใหอ า นใหป รงุ แตง ตา ง ๆ นท่ี า นเรยี กวา อวิชชา
อนั นเ้ี ปน สง่ิ ทส่ี นทิ ตดิ ใจกบั ใจราวกบั เปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั จนผปู ฏบิ ตั ิ
เมือ่ ถึงข้ันละเอยี ดน้ีแลว ไมสามารถจะทาํ ลายอวิชชาน้ี ไมส ามารถจะพจิ ารณาธรรม
ชาตินี้ได เนอ่ื งจากเขา ใจวา ธรรมชาตนิ แ้ี ลเปน ตน ตนคอื ธรรมชาตอิ นั น้ี รปู เวทนา
สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ทัง้ หลายพรากไดหมดแลว แตธรรมชาตินี้พรากกันไมออก
เนอ่ื งจากเราเหน็ ธรรมชาตนิ ว้ี า เปน เรา ในขณะเดยี วกนั เรากค็ อื ธรรมชาตอิ นั น้ี เมื่อ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙
๑๐
เปนเชนนี้ธรรมชาตินี้จะตองแสดงตัวอยูตลอดเวลา และแสดงอยา งอาจหาญดว ย
คือจิตที่เปนขั้นละเอียดนี้ จะมีแตเ รอื่ งความดีแทบทัง้ นัน้ แสดงตัว ความทว่ี า ดอี นั น้ี
แลทเ่ี รยี กวา อวชิ ชาอนั แทจ รงิ
หลอกทางชั่ว หลอกทางสว นหยาบกต็ ามกนั ทนั มาเปน ลาํ ดบั เมอ่ื แสดง
ความละเอียดถาปญญาไมสามารถก็จะแสดงตัวตลอดเวลา เชน ความผองใสก็คือ
ธรรมชาตนิ แ้ี ลแสดงตวั ความองอาจกลาหาญก็คือธรรมชาตินี้ ความสุขความสบาย
กค็ ือธรรมชาติน้ี เพราะธรรมชาตนิ ย้ี งั เปน ตวั สมมตุ อิ ยู สิ่งที่แสดงออกมาทั้งหมดจึง
เปนเรื่องของสมมุติทั้งนั้น
ถา เราไดท ราบ หรือไดยินไดฟงจากครูอาจารยที่ชี้ชองบอกทางไวแลวอยาง
น้ี เรามที างทีจ่ ะพิจารณาจดุ ทว่ี านีไ้ ดโดยไมม ีความสะทกสะทานลังเลใจ โดยไมมี
ความหงึ หวงในธรรมชาตนิ เ้ี ลย แตถาไมเคยไดยินไดฟงมากอนนั้น นากลัวจะติดอยู
เปน เวลานานหรอื อาจตดิ กนั ไปเลย เพราะไมสนใจจะถอน เน่ืองจากมีความรักมี
ความสงวน มคี วามรกั ชอบ มีความพอใจอยางยิ่ง แลว กย็ กธรรมชาตอิ นั นข้ี น้ึ วา เปน
ตน กดขี่สิ่งทั้งหลายวาทุกสิ่งทุกอยางเรารูหมดแลว ไมมีสงิ่ ใดเหลอื ในโลกนี้ เราเปน
ผบู รสิ ทุ ธแ ลว ทง้ั ทก่ี าํ ลงั หลง และยึดถือจิตอวิชชาอยูอยางภูมิใจไมรูสึกตัวบางเลย น่ี
แลเพลงกลอมของอวิชชาแท ทําใหสติปญญาหลับใหลไปไดโดยไมคาดฝน
เมื่อปญญามีกําลังพอที่จะพิจารณานี้ไดแลว ก็ยอนเขาไปดูจุดนี้ คือจุดแหง
ความผองใส จดุ แหง ความองอาจ จุดแหงความสุขอันละเอียดของอวิชชาที่อาศัยอยู
น้ี จะตองทลายตัวลงไปดวยอํานาจของปญญาที่ละเอียด เมอ่ื ธรรมชาตนิ ไ้ี ดส ลายตวั
ลงไปดว ยอํานาจของปญญาแลวนัน้ คาํ วา เรากด็ ี ส่งิ ทเี่ ราเคยสงวนก็ดี สง่ิ ทเ่ี ราเคย
รักเคยชอบมาก็ดี สิ่งที่องอาจกลาหาญอันเปนจุดเดียวกันนั้นก็ดี จะหมดปญหาไป
ทนั ทีไมมสี ิง่ ใดเหลอื อยูภายในนั้น ถาหากจะเทียบอุปมาแลว จดุ อนั นเ้ี ปน เชน เดยี ว
กบั บคุ คลทเ่ี ขา ไปในหอ งวา ง เม่ือเขาไปสูหองวางแลว ผูนั้นจะลืมตัวของตัวไปเสีย
แตจะไปชมวาหองนี้วางโลงโถงเต็มที่ ไมมีสิ่งใดอยูในหองนี้เลย หองนวี้ า งอยา งเต็ม
ที่ โดยไมท ราบวา ตวั คนเดยี วนน้ั แลไปทาํ การกดี ขวางหอ งอยใู นขณะนน้ั หองจึงยัง
ไมว า งเพราะยงั เหลอื คน ๆ หนึ่งไปทําการกีดขวางหองนั้นอยู
พอรสู กึ ตวั วา ออ หอ งนว้ี า งจรงิ แตที่หองนี้ยังไมวางเต็มที่ก็เนื่องจากเรา
มาอยใู นหอ งนค้ี นหนง่ึ ถาเราถอนตัวออกไปเสียจากหองนี้แลว หองน้จี ะวา งอยาง
เต็มที่ ขอ นอ้ี ุปมาฉันใด ทุกสิ่งทุกอยางวางปลอยวางกันไดหมด แตย งั เหลอื คาํ วา เรา
ซึ่งเปนตัวอวิชชาอันแทจริงอยูกับใจ นน่ั แหละอวชิ ชาลว น ๆ คอื เราตวั นน้ั แหละกดี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐
๑๑
ขวางตวั เองอยใู นเวลานน้ั ไมท ราบวาอวชิ ชาน้นั คืออะไร เราจงึ เหน็ สง่ิ ทง้ั หลายวา ง
หรอื วา เราวางสง่ิ ทง้ั หลายไดห มดไมม สี ง่ิ ใดเหลอื แตธ รรมชาติอันนัน้ ทําการกดี ขวาง
ตวั ของเราอยู เราเลยไมว า ง
พอปญญาไดหยั่งเขาไปสูจุดนี้แลว ธรรมชาตนิ ีก้ ็สลายตัวลงไป นน้ั แลภาย
นอกก็วา ง ภายในใจตวั เองกว็ า ง เชน เดียวกบั บุคคลถอนตัวออกมาจากหอ ง แลว
หองนั้นก็วางอยางเต็มที่ จิตรูท ุกสง่ิ ทุกอยางรอบดา นหมดแลว ดวย มารรู อบตวั เอง
ปลอ ยวางภายในตวั เองนด้ี ว ย ชอ่ื วา จิตนี้วางอยางเต็มที่ ไมมีสมมุติอันใดแฝงอยู
ภายในนน้ั เลย นช่ี อ่ื วา จติ วา งจรงิ จติ ปลอ ยวางจรงิ
ถาหากจิตยังไมรูตัวเอง ยังไมถอดถอนตัวเองตราบใด ถึงจติ จะวาส่ิงใดวาง
หรอื ปลอยวางสิ่งใดไดแ ลวกต็ าม จิตก็ยังไมวางในตัวเอง จิตยังไมปลอยวางตัวเอง
อยนู น้ั แล เมอ่ื เปน เชน นน้ั คาํ วา อวชิ ชากค็ อื จิตผูนั้นยังจะมีทางสืบตอไปไดอีก เมื่อ
ไดท ําลายพืชอันสําคัญหรือตัวอวิชชาอันแทจ รงิ น้ไี ดดว ยปญญาแลว น้ันแลช่ือวา
เปน ผวู า งเปน ผวู างอยา งเตม็ ภมู ิ ไมมีสมมุติอันใดเจือปน ความสงวนก็ไมมี ความ
รักก็ไมมี ความองอาจกลา หาญกไ็ มม ี ความที่จะขยาดหวาดกลัวเพื่ออะไรอีกก็ไมมี
เพราะสง่ิ ทง้ั น้เี ปนสมมุตทิ ้ังน้นั เนือ่ งจากอวชิ ชาซึง่ เปนรากแกวใหญอนั พาใหเ กิด
อาการเหลา นข้ี น้ึ มาไดส ลายลงไปแลว เหลอื แตธ รรมชาตลิ ว น ๆ
นจ่ี ดุ สดุ ทา ยแหง การปฏบิ ตั ธิ รรมะ หากเราไดป ฏบิ ตั อิ ยา งเอาจรงิ เอาจงั
ตามทอ่ี ธบิ ายมาแลว นน้ั จดุ น้หี รอื ผลสุดทา ยทีอ่ ธบิ ายมานีจ้ ะไมเปนสมบตั ิของใคร
แตจะเปน สมบัติของทานผูปฏบิ ตั ติ ามท่กี ลา วมานท้ี ้ังน้ัน เพราะความรอู นั นม้ี อี ยู
ตลอดเวลาหลบั หรอื ตน่ื ไมน ยิ ม แมแ ตห ลบั สนทิ กย็ งั ทราบวา หลบั สนทิ ตนไดถึง
ความบริสทุ ธิ์จะไมท ราบตนไดอยา งไร ตอ งทราบ ฉะนน้ั ทกุ ทา นโปรดไดท าํ ความ
พยายามผลติ พระของเรา สรา งพระของเราใหส มบรู ณเ พอ่ื ความเปน วสิ ทุ ธบิ คุ คล
เรื่องภายนอกจะขาดตกบกพรองไปบาง เปลย่ี นแปลงไปบา ง สมบรู ณบ า ง
ไดบางไมไดบาง อม่ิ บา งหวิ บา ง อยาไปทําความสําคญั ใหม ากไป จะเสยี หลกั ใหญ
คือพระของเราบกพรอง คําวาพระนห้ี มายถงึ จติ ที่บรสิ ุทธ์ิ ประเสรฐิ เตม็ ทน่ี น่ั เอง
เราพยายามปรบั ปรงุ กาย วาจา ใจ ของเราดวยขอ ปฏบิ ัติอันเปนธรรมะคาํ สั่งสอน
ของพระพุทธเจาใหกลมกลอมกับจิตใจของตน ใหม คี วามเจรญิ ดว ยศลี ใหม คี วาม
เจรญิ ดว ยสมาธิ ใหม คี วามเจรญิ ดว ยการสอดสอ งมองรเู หตกุ ารณต า ง ๆ ทง้ั ภาย
นอกทงั้ ภายในทเี่ รยี กวา ปญญา อยูตลอดเวลา นช่ี อ่ื วา เปน ผสู รา งพระขน้ึ ภายในตน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑
๑๒
พระผูนั้นจะไมบกพรอง ทุกสิ่งทุกอยางจะบกพรองไมสําคัญ ขออยา ใหพ ระของเรา
บกพรองก็เปนที่พอใจและชอบธรรม
การสรา งพระนส้ี รา งยากมาก สรางวัตถุอะไร ๆ ไมย าก จะสรา งหา งสรา ง
หออะไร สรา งวดั สรา งวา สรา งโบสถส รา งวหิ าร ไมมีอะไรสําคัญ ไมมีอะไรหนักเทา
ไมม อี ะไรจะยากเทา การสรา งพระ คอื การสรา งตวั ของเราใหด แี ละดเี ดน เหน็
ประจักษใจ อนั นส้ี รา งยากมาก แตส รา งไดแ ลว มคี ณุ คา หาประมาณมไิ ด ทุกสิ่งทุก
อยา งสรางขนึ้ มา หมดเทาไรเขาก็ประมาณไดถูกตองหรือบอกไดถูกตอง วา สง่ิ นน้ั
สรา งหมดเทา นน้ั บาท เทา นน้ั แสน เทา นน้ั หมน่ื เทา นน้ั ลา น บอกกันได แตก ารสรา ง
จติ นห้ี มดไปเทา ไรไมค าํ นงึ นบั อา น เพราะเปน งานทเ่ี ลยการนบั การประมาณ เมื่อ
สรา งไดแ ลว จะมรี าคาคา งวดเทา ไร กไ็ มม กี ารจบั จา ยขายกนั ในตลาด จงึ วา เปน งานท่ี
ยาก ผลงานที่คาดไมได
ฉะนั้น ทุก ๆ ทานโปรดพากันสนใจสรางพระของตนใหเ ต็มท่ี อยา ไปสนใจ
ไยดีลืมตัวกับสิ่งภายนอก เจรญิ แคไ หนกเ็ สอ่ื มลงเทา กนั ไมม เี ศษมเี หลอื เลย ในโลก
นม้ี ันโลกวัตถุมนั โลกนิยม อะไร ๆ มีไมอดไมอยาก อยูที่ไหนก็สรางก็อยูกันไป
เพราะคนมชี วี ติ จติ ใจ จะไมม ีบานมีเรอื นมกี ุฏิศาลาอยูอาศยั ถา ไมสรา งจะอยทู ่ีไหน
แมแตกระรอกกระแตมันยังมีโพรงมีรัง พระเรากม็ ี แตใ หม เี ทา ทเ่ี หน็ วา จาํ เปน กบั
เหตผุ ลอรรถธรรมและธาตขุ นั ธ อยาไปทาํ ความกังวลขนทุกขใสต วั เพราะส่ิงเหลา
นั้นใหม ากไป จนลืมมองดูพระของตัว จงสรา งพระนใ้ี หไ ด เมอ่ื สรา งพระสมบรู ณ
แลว อยทู ไ่ี หนกส็ บาย อยูรมไมชายเขา อยใู นปา ในรก และอดบา งอม่ิ บา งกม็ คี วาม
สบายทง้ั นน้ั เพราะพระนส้ี มบรู ณแ บบแลว จงทําความสนใจอยางน้ี
ถาเปน ผูชอบยงุ กับสิ่งภายนอกแลว อยางไรพระตองดอยไปเปนลําดับ จน
หาพระภายในตวั ไมม เี ลย ทง้ั วนั ทง้ั คนื จะเปน แตส ญั ญาอารมณก บั เรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งนย้ี งุ
ไปหมด ไปที่ไหนวุนไปที่นั่น สรา งนน้ั สรา งน้ี เดย๋ี วเกย่ี วกบั ศรทั ธาญาตโิ ยม บอก
บญุ คนนน้ั บอกบญุ คนน้ี ติดตอคนนั้นติดตอคนนี้ กลายเปนเร่ืองนอกเรื่องแหก
คอกแหวกแนวไปหมด หาเรื่องในของพระทจี่ ะใหเ ปน พระองคเจรญิ ๆ คงเสน คง
วาไมมี นี้ผิดกับหลักของพระผูตั้งหนาตั้งตาสละกิเลส ผิดกับหลักของผูปฏิบัติเพื่อ
ความเปน พระอนั สมบรู ณ กพ็ ระโสดา สกิทาคา อนาคา พระอรหันต อยา งไรละ
ฉะนน้ั งานเชน นน้ั กบั งานของพระตามหลกั นสิ สยั ๔ จึงตางกันมาก งานนน้ั
มอบใหญ าตใิ หโ ยมใหศ รทั ธาพจิ ารณากนั ไป แตเ รอ่ื งงานผลติ มรรคผลนพิ พานนใ้ี ห
เปน เรอ่ื งชา ง คอื เราเปน ชา งเอง ไดร บั โอวาทจากครบู าอาจารยม าเปน เครอ่ื งมอื แลว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒
๑๓
เอา ทาํ หนา ทล่ี งไป งานนี้จะใหคนอื่นทําแทนไมได การสรางพระตองตางองคตาง
สรา ง ตา งคนตา งสรา งตวั เอง เปน แตไ ดร บั อบุ ายจากครจู ากอาจารยห รอื หมเู พอ่ื น
มาเทา นน้ั การที่จะทาํ ลงไปนัน้ เปน เรอื่ งของเราโดยเฉพาะ ใครทาํ แทนไมไ ด เปน
สว นของใครของเรา
เดินจงกรมก็ใหมีสติ นง่ั ทไ่ี หนใหม สี ติ ไปไหนมาไหนอยาลืมคําวาพระตอง
ดแี ละสมบรู ณด ว ยการบาํ รงุ รกั ษา พระจะบกพรองไปที่ไหนบาง ใหพยายามแกไข
ดดั แปลงจนเปน พระทส่ี มบรู ณ นัง่ สมาธิก็เย็น เดนิ ไปไหนมาไหนกเ็ ยน็ พจิ ารณา
เรื่องปญญาก็ปลอดโปรงโลงโถง เหน็ อรรถเหน็ ธรรม เหน็ ความดคี วามชว่ั ชดั เจนอยู
ที่ใจของพระเรา มีทางออกทางเขา มีทางปลดเปลื้องตนเอง มที างหลบหลีกภัยได
อยา งสบาย ดว ยอาํ นาจปญ ญาของพระ อยทู ไี่ หนก็สบาย เยน็ ไปหมด ขา ศึกท่เี คย
กอ ความวนุ วายใหเ ราวนั ยงั คาํ่ คนื ยงั รงุ โดยไมมีวันหยุดยั้ง ก็ยุติกันลงดวยอํานาจ
แหงพระของเรามีเครื่องมือกําจัดและปองกันตัว มคี วามกลา หาญชาญชยั รบกบั
ขาศึกไมถอยทัพกลับแพ รดุ หนา เรอ่ื ยไป ควาหลักชัยที่รออยูชั่วเอื้อมมือดวยขอ
ปฏบิ ตั ิ
เรื่องภายนอกกไ็ มม าเกีย่ วขอ งใหเ ปนกงั วลภายในใจ เรอ่ื งใจกไ็ มเ สาะ
แสวงหา ไมฟุงเฟอเหอเหิมกับสิ่งภายนอกเพื่อกอไฟเผาตัว ตางอันตางอยูตางอัน
ตา งจรงิ พระกจ็ รงิ สาํ หรบั พระของเรา ไปทไ่ี หนกส็ บายหายหว ง เมื่อใจถึงความเปน
พระอันสมบูรณแลวอยูที่ไหนก็พอตัว ไมตองการอะไรทั้งนั้น อดก็พอตัว อิ่มก็พอ
ตวั อยูที่ไหนก็พอตัว สบายอยูหมดทุกแหงทุกหน ไมเลือกสถานทกี่ าลบุคคล มี
ความพอตัวอยูดวยจิตที่บริสุทธิ์เต็มที่หมดสิ่งเคลือบแฝง เรยี กวา พระสมบรู ณแ บบ
แลว ดว ยขอ ปฏบิ ตั ิ คอื ศีล สมาธิ ปญญา เนอ่ื งจากความเพยี รเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ
นแ้ี ลทไ่ี ดอ ธบิ ายวา การรบขา ศกึ ภายในหมายถงึ กเิ ลส ซง่ึ ตวั ของเราเสยี เอง
เปน กเิ ลส และผรู บกค็ อื ตวั เราเองเปน ผรู บ เปนผูแกความผิดของตนที่มีอยูแงไหน
มุมใด รวมแลว เรยี กวา รบกบั กเิ ลส เมื่อรบใหถึงจุดหมายปลายของสิ่งที่เปนขาศึก
ขา ศกึ ไดส ลายยอมแพอ ยา งราบคาบแลว ก็เปนผูมีความองอาจกลาหาญ เหน็ รปู ก็
เห็นไดอยางเต็มตา ฟงไดอยางเต็มหู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ทุกสิ่งทุกอยางที่
มาสมั ผสั รบั ทราบไดอ ยา งเตม็ ใจ ไมติดไมพันไมเปนกังวล ไมมีทามีทางวาจะตอง
ระมัดระวังซึ่งกันและกัน หรือไมมีทามีทางวาใจจะฟุงเฟอเหอเหิมไปตามสิ่งทั้ง
หลายนน้ั เพราะ ยถาภูตํ ญาณทสสฺ นํ เปน สง่ิ ทเ่ี หน็ แจง ชดั ตามความเปน จรงิ แลว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓
๑๔
ภายในใจ เรยี กวา สคุ โต อยูก็ สคุ โต คืออยูก็ดี ไปก็ไปดี คิดก็คิดดี อะไรมาสัมผัส
กลายเปน ธรรมะไปตาม ๆ กัน ไมเปนโทษไมเปนกิเลสดังที่เคยเปนมา
ถาจิตดีจติ หมดโทษเพียงดวงเดียว ไมมีอะไรจะเปนขาศึกในโลกนี้ ทเ่ี ปน
ขาศึกที่เปนความทุกขความเดือดรอน กเ็ นอ่ื งจากใจดวงเดยี วนแ้ี ล เสาะหาเรอ่ื งกอ
เรอื่ งใสตวั เองอยูไ มหยดุ เกิดเรื่องกับตัวเอง หาที่ปลดที่เปลื้อง หาทนายมาแกช ว ย
ไมได หาผูตัดสินหาผูพิพากษาไมได นอกจากเราจะเปนผูพิพากษา นอกจากเราจะ
เปน ผพู นิ จิ พจิ ารณาคคู วามระหวา งดกี บั ชว่ั และปลดเปลื้องกันลงไปเอง ดว ยสนทฺ ฏิ
ฐิโก เหน็ เอง ไมตองใหผูอื่นผูใดมาเห็นได มาทาํ นายทายทกั ให เพราะคาํ วา สนทฺ ฏิ
ฐิโก นี้พระพุทธเจามอบไวกับพุทธบริษัททุกรูปทุกนาม ผใู ดมขี อ ปฏบิ ตั สิ มควรจะรู
ตาม สันทิฏฐิกธรรม ก็ยอมมีสิทธิรูได ไมเ ลอื กวา เปน หญงิ เปน ชาย เปน นกั บวช
หรอื ฆราวาส สามารถรไู ดด ว ยกนั
ฉะนน้ั ในอวสานแหง ธรรมทแ่ี สดงมาน้ี ขอใหทานนักปฏิบัติทั้งหลายจงนํา
ไปพินิจพิจารณา แลวพยายามผลิตพระของตนใหม ีความศกั ดสิ์ ทิ ธิว์ เิ ศษข้ึนมาภาย
ในตนเอง แมจะไมศักดิ์สิทธิ์วิเศษไปทางไหนก็ตาม ก็ขอใหศักดิ์สิทธิ์วิเศษภายใน
ตวั ระหวา งสง่ิ ทม่ี าเกย่ี วขอ งกบั ใจอยา ใหอ าภพั กนั เทา นน้ั นช่ี อ่ื วา เปน ความศกั ด์ิ
สทิ ธิ์วิเศษไดอยา งภาคภมู ิ
จงึ ขอยตุ ธิ รรมเทศนาเพยี งเทา น้ี
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔
๑๕
เทศนอบรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๙ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๒๐
ธุดงควัตรเครื่องหามลอกิเลส
ความสาํ คญั ของพระปฏบิ ตั กิ ค็ อื หลกั ใจ คาํ วา หลกั ใจกค็ อื สมาธเิ ปน ขน้ั ๆ ปญญา
เปนภูมิ ๆ ภายในใจจนถงึ อรหตั ภมู ิ เรยี กวา หลกั ใจของพระปฏบิ ตั ิ ถา หลกั ใจดแี ลว
หลกั การปฏบิ ตั ทิ กุ ดา นกด็ ไี ปตามกนั เพราะใจเปน ผบู งการ เราจึงเห็นใจเปนสําคัญ คน
ทม่ี หี ลกั ใจกบั คนไมม หี ลกั ใจปฏบิ ตั จิ งึ ผดิ กนั อยมู าก การลดหยอนผอ นผันตามเหตุ
การณใ นบางกาล สถานท่ี บคุ คล และการเครง ครดั ในเวลาปกตขิ องผมู หี ลกั ใจ มีเหตุมี
ผลตา งกนั กบั ผไู มม หี ลกั ใจ ซึ่งมีแตความมุงมั่นอยางเดียว ถึงจะเด็ดเดี่ยวอาจหาญกจ็ ริง
แตมันแฝงไปดวยความผิดพลาด และทฐิ มิ านะไมส มาํ่ เสมอเทา ทค่ี วรกบั ธดุ งควตั รอนั
เปนเครื่องชําระกิเลสทิฐิมานะที่หมักดองอยูภายใน เพราะธาตุขันธของเรามันเปนโลก
เหมอื นโลกทว่ั ไป จาํ ตอ งเกย่ี วขอ งกบั โลกทค่ี วรผอ นผนั สน้ั ยาวแกบ างคน บางสถานท่ี
บางเวลาอยโู ดยดี แตเ วลาจะควรลดหยอ นผอ นผนั กล็ ดหยอ นไมไ ด กลวั เสยี ความ
เครงครัดหรือเสียธุดงค แตเมื่อลดหยอนลงแลวก็เครงตึงขึ้นไมได เพราะมีทิฐิแทรกอยู
ทั้งสองดาน แลวกไ็ มพน การกระเทือนตนและผูอน่ื จนได ทั้งเวลาเครงครัดและเวลา
หยอ นยานไปตามเหตกุ ารณ
ผมู หี ลกั ใจเหน็ สมควรตามเหตผุ ลแลว เวลาจะลดหยอ นผอ นผนั กล็ ดหยอ นผอ น
ผนั ไปตามทเ่ี หน็ สมควรแกก าล สถานท่ี บคุ คล ซึ่งอาจมตี ามคราวตามสมยั พอหมด
หนา ทค่ี วามจาํ เปน นน้ั แลว ก็ดีดขึ้นและคงเสนคงวาตามเดิม โดยไมย ากแกก ารบงั คบั
บัญชา เพราะเหตุผลอรรถธรรมภายในใจบังคับภายในตัวอยูแลว จึงไมลําบากทั้งเวลา
จะลดหยอ นผอ นผนั และเวลาจะปฏิบัตติ ามธุดงควัตรอยางเครงครัดท่เี คยดาํ เนนิ มา
ทง้ั นเ้ี ราเคยปฏบิ ตั มิ าแลว ในสมยั อยกู บั ทา นอาจารยม น่ั ยกตวั อยา งเชน เรา
สมาทานธดุ งคขอ ใดขอ หนง่ึ หรือหลายขอเพ่อื ปฏิบัตเิ ปน วตั ร โดยไมเรียนใหทานทราบ
แตทานก็ทราบไดดีปดไมอยู เพราะความเคารพทานมากที่จําตองอนุโลมทั้งที่ขัดใจ(ขดั
กิเลสเรา)
ถา ธรรมดาแลว จะไมย อมลดหยอ นลงเลย….นั่น นค่ี อื ความรสู กึ มนั ขวางอยใู น
จติ เจา ของเอง เพราะเจตนาเรามุงเด็ดเดี่ยวอยางนั้นจริง ๆ ไมใหมีอะไรมาผานเอาให
ทะลุปรุโปรงไปดวยความตั้งใจอันนี้
พอไปอยกู บั ทา นปแ รกกเ็ หน็ ทา นพดู ถงึ เรอ่ื งธดุ งควตั ร เพราะทานเครงครัดใน
ธดุ งควตั รมากมาตามนสิ ยั มกี ารรับอาหารเทา ท่บี ณิ ฑบาตไดมาเปน ตน จากนน้ั มาเราก็
เขาสูแดนนิพพาน ๑๕
๑๖
สมาทานธุดงคเปนประจําในหนาพรรษา ไมเคยลดละเลย สมาทานธุดงคขอฉันของที่ได
มาในบาตรเทานั้น ใครจะเอาอาหารมาใสบาตรนอกจากอาหารในบาตรของตัวเเลว
เปนไมรับไมสนใจ ตงั้ แตบ ดั นนั้ มาเรือ่ ยไมเคยลดละ คนเดียวเราก็ทําของเราไมใหขาด
เมื่อถึงพรรษาเขามาแลว เราตอ งสมาทานธดุ งคข อ นเ้ี ปน หลกั เกณฑใ นจติ ใจไมใ หข าด
แมแตปเดียว
ปจําพรรษาบานนามน ทา นหดู ตี าดที า นฉลาด จอมปราชญในสมัยปจจุบันใคร
จะเกง ไปกวา ทา นอาจารยม น่ั เลา การสมาทานธดุ งคท า นกร็ วู า เราไมร บั อาหารทต่ี ามมาที
หลงั แตบทเวลาทานจะใสบาตรเรา ทานก็พูดเปนเชิงวา ขอใสบ าตรหนอ ยทา นมหา นี่
เปนสมณบริโภค ทา นวา อยา งนน้ั นี่เปนเครื่องบริโภคของสมณะขอนิมนตรับเถอะ ก็
หมายความวา ทา นเปน ผใู สเ องนน่ั แล
บางครง้ั กม็ คี ณะศรทั ธาทางจงั หวดั หนองคายบา ง และทส่ี กลนครบา ง ทอ่ี น่ื ๆ
บา งไปใสบ าตรทา นและพระในวดั บา นนามน อ.เมือง จ.สกลนคร นาน ๆ มีไปทีหนง่ึ
เพราะแตกอนรถราไมมี ตองเดินดวยเทา แตเขาไปดวยเกวียน จา งลอ จา งเกวยี นไป เขา
ไปพักเพียงคืนสองคืนและไมไดพักอยูในวัดกับพระทาน พากนั ไปพกั อยกู บั กระทอ มนา
ของโยมแพง ตอนเชา ทาํ อาหารบณิ ฑบาต เสร็จแลวก็มาถวายพระในวัดนั้น เขาไมไดไป
ดกั ใสบ าตรนอกวดั เรากไ็ มก ลา รบั กลวั ธดุ งคข าด เดนิ ผา นหนมี าเลย สาํ หรบั ทา นกร็ บั
ใหเพราะสงสารเขาเทาที่สังเกตดู
อาหารกเ็ หลอื จากใสบ าตรมากมาย นาํ ขน้ึ มาบนศาลาอยา งนน้ั แล เปนหมกเปน
หอและผลไมต า ง ๆ นะ เรากไ็ มร บั สงไปไหนก็หายเงยี บ ๆ ไมมีใครรับ จะมีรับบางก็
เพียงองคสององค ผิดสังเกตศรัทธาเขาไมนอย สว นเราไมก ลา รบั เพราะกลวั ธดุ งคข อ น้ี
ขาด หลายวันตอมาทานกข็ อใสบาตรเรา โดยบอกวา นเ้ี ปน สมณบรโิ ภค ขอใสบ าตร
หนอ ย แลว ทา นกใ็ สบ าตรเรา ทา นใสเ องนะ ถา ธรรมดาแลว โถ..ใครจะมาใสเราไดวะ
สําหรับเราเองกลัวธุดงคจะขาด หรอื อยา งนอ ยไมส มบรู ณ ความจรงิ ทา นคงเหน็ วา นม่ี นั
เปนทฐิ แิ ฝงอยูกบั ธดุ งคที่ตนสมาทานนัน้ ทา นจงึ ชว ยดดั เสยี บา งเพอ่ื ใหเ ปน ขอ คดิ หลาย
แงห ลายกระทง ไมเปนลักษณะเถรตรงไปถายเดียว ทา นจงึ หาอบุ ายตา ง ๆ สอนเราท้ัง
ทางออมและทางตรง
เฉพาะเราเถรตรง มีความคดิ ความมงุ หมายอยา งนน้ั จงึ ไมยอมใหใ ครมาใส
บาตร อนั เปน การทาํ ลายธดุ งคเราไดเ ลย นอกจากทา นอาจารยม น่ั ผทู เ่ี ราเคารพเลอ่ื มใส
เต็มหัวใจเทานั้น จงึ ยอมลงและยอมใหใ สบ าตรตามกาลอนั ควรของทา นเอง เราเองมี
ความหนกั แนน ในใจวา จะไมย อมใหธ ดุ งคน บ้ี กพรอ งแมน ดิ หนง่ึ ซึ่งเปนที่ระแคะ
ระคายภายในใจ ตองสมบูรณทั้งธุดงคที่เราไดทําลงไปและจิตใจที่มุงมั่นอยูแลว แต
เขาสูแดนนิพพาน ๑๖
๑๗
เพราะความเคารพเลื่อมใสทา นความรกั ทานท้งั ๆ ทไ่ี มส บายใจกย็ อมรบั นแ่ี ลทว่ี า หลกั
ใจกับหลักปฏิบัติ
กย็ อมรบั วา ถกู ในความจรงิ จงั ทป่ี ฏบิ ตั นิ ่ี แตม นั กไ็ มถ กู สาํ หรบั ธรรมทส่ี งู และ
ละเอยี ดกวา นน้ั เล็งดูเราเล็งดูทาน มองเราและมองทา นนน้ั ผดิ กนั อยมู าก อยา งทา น
อาจารยมน่ั ทา นมองอะไร ทา นมองตลอดทว่ั ถงึ และพอเหมาะพอสมทกุ อยา งภายในใจ
ไมเหมือนพวกเราที่มองหนาเดียวแงเดียวแบบโง ๆ ไมม องดว ยปญ ญาเหมอื นทา น เรา
จึงยอมรับตรงนั้น นพ้ี ดู การปฏบิ ตั ธิ รรมอยบู า นนามนกบั ทา นอาจารยม น่ั
ทนี พ้ี ดู ถงึ บา นหนองผอื นาใน เวลามาอยบู า นหนองผอื เราก็สมาทานธุดงควัตร
อยา งนน้ั อกี อยูท ่ไี หนก็ตามเรื่องธุดงควัตรน้ี เราจะตองเอาหัวชนอยางไมถอยเลย ยนื
กระตายขาเดียวไมยอมใหขาดไดเลย บณิ ฑบาตมาแลว กร็ บี จดั ปบุ ปบ จะเอาอะไรก็เอา
เสียนิด ๆ หนอ ย ๆ เพราะการฉันไมเคยฉันใหอิ่มในพรรษา ไมเ คยใหอิ่มเลย โดย
กาํ หนดใหต วั เองวา เอาเพยี งเทา นน้ั ๆ สกั ๖๐% หรือ ๗๐% เชนรอยเปอรเซ็นต เรา
หกั ไวเ สยี ๓๐% หรือ ๔๐% ซง่ึ คดิ วาพอดี เพราะอยกู บั หมเู พอ่ื นหลายองคด ว ยกนั ถา
จะอดกไ็ มส ะดวก เพราะการงานในวงหมคู ณะเกย่ี วขอ งกนั อยเู สมอ เราเองก็เหมือน
เปน ผใู หญค นหนง่ึ อยา งลบั ๆ ทั้งที่ไมแสดงตัว ทง้ั นเ้ี กย่ี วกบั การคอยสอดสอ งดแู ล
ความสงบเรยี บรอ ยของหมคู ณะภายในวดั พรรษาก็ไมมาก สบิ กวา พรรษาเทา นน้ั แหละ
แตร ูส ึกวา ทานอาจารยใหญทา นเมตตาไวใจในการชว ยดูแลพระเณรอยางลับ ๆ เชน กนั
เวลาเขาพรรษาก็ตางองคตางสมาทานธุดงคกันทั้งวัด ครน้ั สมาทานแลว ไมก ว่ี นั
มันก็ลมไป ๆ นก่ี ส็ อ แสดงใหเ หน็ ความจรงิ จงั หรอื ความลม เหลวของหมคู ณะ ก็ยง่ิ ทําให
เรามีความระมัดระวังและขะมักเขมนในหนาที่และธุดงคของเรามากขึ้น เมื่อไดเห็น
อาการของหมเู พอ่ื นเปน อยา งน้ี ทาํ ใหเ กดิ ความอดิ หนาระอาใจไปหลายแงห ลายทาง
เกย่ี วกบั หมคู ณะ จิตใจยิ่งฟตตัวเอง ปลกุ ใจตวั เองใหแ ขง็ ขนั และยอ นมาถามตวั เอง
บา ง วา ไงเราจะไมล ม ไมเ หลวไปละหรอื เมอ่ื เหตกุ ารณร อบขา งเปน ไปอยา งน้ี ก็ไดรับคํา
ตอบอยา งมน่ั ใจวา จะเอาอะไรมาใหลมใหเหลวไหลวะ กต็ ัวใครตัวเรานี่ ประกอบกบั
นสิ ยั เราเปน อยา งนม้ี าดง้ั เดมิ อยแู ลว ทําอะไรตองจริงทั้งนั้น ถา ลงไดท าํ แลว ตอ งจรงิ ทํา
เลนไมเปน เรานี่จะลมไมได นอกจากตายเสยี เทา นน้ั กส็ ดุ วสิ ยั ใครจะมาใสบ าตรเราไม
ไดเ ปน อนั ขาด ฟงซิวา “เปน อนั ขาด” ความรสู กึ เปน อยา งไรในเวลานน้ั
ฉะนน้ั ความเปลี่ยนแปลงของหมเู พื่อน จึงเปนราวกบั แสดงธรรมเทศนากัณฑ
หนง่ึ ใหเราฟง อยางถงึ ใจ จําไมลืมจนบัดนี้ พอบณิ ฑบาตกลบั มาแลว มอี ะไรกร็ บี จดั ๆ
ใสบาตรเสร็จ แลว กร็ บี ไปจดั อาหารเพอ่ื ใสบ าตรทา นอาจารย หอ นน้ั หรอื หอ นท้ี เ่ี หน็ วา
เคยถกู กบั ธาตขุ นั ธท า น เรารูและเขาใจก็รีบจัด ๆ อนั ไหนควรแยกออก อนั ไหนควรใส
เขาสูแดนนิพพาน ๑๗
๑๘
ก็จัด ๆ เสร็จแลวถึงจะมาที่นั่งของตน ตาคอยดู หคู อยสงั เกต ฟงทานจะวาอะไรบาง
ขณะกอ นลงมอื ฉนั
บาตรเราพอจัดเสร็จแลวก็เอาตั้งไวลับ ๆ ทางดา นหลงั ขางฝาติดกับตนเสาเอา
ฝาปดไวอยางดีดวย เอาผา อาบนาํ้ ปด อกี ชน้ั หนง่ึ ดว ย เพื่อไมใหใครไปยุงไปใสบาตรเรา
เวลานั้นใครจะมาใสบาตรเราไมได กาํ ชบั กาํ ชาไวอ ยา งเดด็ ขาด แตเวลาทานจะใสบาตร
เราทา นกม็ อี บุ ายของทา น เวลาเราจดั อะไรของทา นเสรจ็ เรยี บรอ ยแลว มานง่ั ประจาํ ท่ี ให
พรเสร็จ ตอนทาํ ความสงบพจิ ารณาปจ จเวกขณะนน้ั แล ทานจะเอาตอนเริ่มจะฉนั ทาน
เตรียมของใสบาตรไวแตเมื่อไรก็ไมรูแหละ แตท า นไมใ สซ าํ้ ๆ ซาก ๆ น่ี ทา นกร็ ู
เหมือนกันทานเห็นใจเรา บทเวลาทา นจะใสท า นพดู วา ทา นมหาขอใสบ าตรหนอ ย ๆ
ศรทั ธามาสาย ๆ ทา นวา อยา งนน้ั พอวา อยา งนน้ั มอื ทา นถงึ บาตรเราเลยนะ ตอนเราเอา
บาตรมาวางขา งหนา แลว กาํ ลงั พจิ ารณาอาหารนแ่ี หละ เราเองก็ไมทราบจะทําอยางไร
เพราะความเคารพ จาํ ตอ งปลอ ยตามความเมตตาของทา น เราใหใสเฉพาะทานเทานั้น
นาน ๆ ทานจะใสทีหนึ่ง ในพรรษาหนึ่ง ๆ จะมีเพียง ๓ ครั้งหรือ ๔ ครั้งเปนอยางมาก
ทา นไมใ สซ าํ้ ๆ ซาก ๆ เพราะทา นฉลาดมาก คาํ วา มชั ฌมิ าในทกุ ดา นจงึ ยกใหท า นโดย
หาที่ตองติไมได
นเ่ี รารกั ษาของเราอยา งนน้ั เรอ่ื ยมาจนกระทง่ั บดั น้ี สวนพระเณรไมไดเรื่องลม
เหลวไปหมด จึงทําใหคิด คดิ อยไู มห ยดุ เกย่ี วกบั หมคู ณะ เอ….จติ ใจมันเปนยังไงพระ
เรานี่ จึงหาหลักเกณฑไมได ลม เหลว ๆ ไปอยางนั้น จะเอาอะไรเปนหลักอนั มน่ั คงใน
อนาคต เม่อื ปจจบุ ันเปน ความลม เหลวอยูแลว ทาํ ใหค ดิ เรอ่ื งเหลา นภ้ี ายในใจอยไู มห ยดุ
จนถงึ หมคู ณะในปจ จบุ นั ทอ่ี ยกู บั เราเวลาน้ี
ฉะนน้ั หลกั ปฏบิ ตั ธิ ดุ งควตั รจงึ เปน สง่ิ สาํ คญั มาก การฉนั ในบาตร คนจาํ นวนมาก
ตลอดถึงพระเรายงั ไมเ หน็ คุณคาของการฉนั ในบาตร นอกจากไมเ หน็ คณุ คา ธดุ งคข อ น้ี
แลว ยังอาจเห็นไปวาไมเหมาะไมสวยงาม ทั้งในสวนเฉพาะและสังคมทั่วไป เนื่องจาก
อาหารตอ งรวมกนั ทง้ั คาวทง้ั หวานในบาตรใบเดยี ว และยงั อาจเหน็ เปน ของนา เกลยี ด
สกปรกมูมมามไปก็ได ซึ่งเปนความคิดเห็นของกิเลสลบลางธรรมของจริง ธุดงคทั้ง ๑๓
นผ้ี จู ะเหน็ คณุ คา มนี อ ย ทั้ง ๆ ที่ธุดงคทั้ง ๑๓ ขอเปนเครื่องชําระกิเลสของพระเราทั้ง
นน้ั นน่ั เอง นแ่ี ลขน้ึ ชอ่ื วา กเิ ลสกบั ธรรม ยอ มปน เกลยี วและลบลา งกนั เสมอแตไ หนแตไ ร
มา ผูจะพลีชีพพลีดวงใจเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ ก็ปฏิบัติตามธรรมที่
ทรงสอนไว สวนผูจะพลชี าตพิ ลีดวงใจเพื่อบชู ากิเลสวัฏฏ กป็ ฏบิ ตั ติ ามความเหน็ ของ
กเิ ลส นี่พวกเราจะบูชาใครเวลานี้ รบี คดิ และตดั สนิ ใจอยา เนน่ิ นาน เดย๋ี วกเิ ลสเอาขน้ึ
เขาสูแดนนิพพาน ๑๘
๑๙
เขยี งจะวา ไมบ อก ธรรมทา นบอกสอนไวแ ลว รบี กา วเดนิ อยามัวกลัวไมทันสมัยจะกาว
ไมอ อก
ปส กุ ลู จวี รํ การถอื ผา บงั สกุ ลุ เปน วตั ร กเ็ พอ่ื ตดั ความมรี าคาํ่ ราคาโออ า ชะลา ใจ
ความฟุงเฟอเหอเหิม ความสวยงามแบบสง เสรมิ กเิ ลสและเหยยี บยาํ่ ธรรม ไมให
พะรุงพะรังภายในใจของนักปฏิบัติผูกําจัดกิเลสเพื่อสงเสริมธรรม บาํ รงุ ใจใหส งา งาม
เครื่องบริโภคใชสอยที่ไดจากบังสุกุลมาใช ยอมฆากิเลสตัวโลภโลเล ตวั ฟุงเฟอเหอ เหิม
ตวั รกั สวยรกั งาม ตวั เผยอเยอ หยง่ิ ออกไดเ ปน อยา งดี ปราชญทานจึงชมเชยและปฏิบัติ
กนั เรอ่ื ยมาจนถงึ ปจ จบุ นั ใหพวกเราพอไดเห็นรองรอยของทานท่ฆี ากเิ ลสดว ยวิธนี ้ีไว
เปนขวัญตาขวัญใจ ไมต ายเปลา ในชวี ติ นกั บวช
การบิณฑบาตเปนวัตร กใ็ หท าํ หนา ทข่ี องตนตาม ปณ ฑฺ ยิ าโลปโภชนฯํ ซึ่งพระ
องคป ระทานใหต ง้ั แตว นั บวช อยาขีเ้ กยี จขค้ี ราน อยาลืมตัวเพราะมีอติเรกลาภมากนอย
ใคร ๆ จะมาถวายก็ตาม พึงเห็นวาเปนของพิเศษหรือเปนของเหลือเฟอ ไมเปนของจํา
เปนยิ่งกวาที่เราบิณฑบาตหามาไดดวยปลีแขงของเรา ซึ่งเปนหนาที่ของพระ เปนงาน
ของพระซง่ึ ทาํ งานของตนโดยถูกตอ ง ไดมาโดยเหมาะสมจริง ๆ สมกบั ปณฺฑิยาโลป
โภชนฯํ ในอนศุ าสนท ท่ี า นสอนไว แนะฟงซิ….นเ่ี หมาะสม ทา นจงึ สอนใหบ ณิ ฑบาต ซึ่ง
เปนงานที่บริสุทธิ์อันดับหนึ่งของพระ
พระพทุ ธเจา กท็ รงบณิ ฑบาตตลอด จะทรงพักบางก็เวลาไปอยูในสถานที่ไม
เหมาะสมที่จะควรบิณฑบาตได เชน ทรงไปอยใู นปา เลไลยกก บั ชา ง ชางอุปถัมภ
อปุ ฏ ฐากดแู ลทา น เพราะไมม บี า นผูบานคน มีงดเวนบางเฉพาะเทานั้น ปพุ พฺ เณหฺ ปณ ฑฺ
ปาตจฺ ในพทุ ธกจิ หา ตอนเชาเสด็จออกบณิ ฑบาตโปรดสตั วโ ลกนน่ั ฟง ซิ สายเณหฺ
ธมมฺ เทสนํ ตอนบายสี่โมงก็ประทานพระโอวาทแกพุทธบริษัทฝายฆราวาส นบั แตพ ระ
ราชามหากษตั รยิ เสนาบดี เศรษฐี กฏุ ม พี พอ คา ตลอดถึงประชาชนธรรมดาทั่วไป
ปโทเส ภกิ ขฺ โุ อวาทํ มืดไปแลวประทานพระโอวาทแกพระสงฆ นเ่ี ปน ขอ ทส่ี อง
ของพุทธกิจ เรียกวางานของพระพุทธเจา
อฑฺฒรตฺเต เทวปหฺ ากํ พอหกทมุ ลว งไปแลว แกปญ หาเทวดาและแสดงธรรม
โปรดพวกเทพชั้นตาง ๆ นบั แตภ มู ติ าํ่ ขน้ึ ไปจนถงึ ภมู สิ งู นเ่ี ปน ขอ สาม
ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ตั้งแตปจฉิมยามไปแลว ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกผูใดจะ
ของตาขายคือ พระญาณของพระองค ซึ่งควรจะเสด็จไปโปรดกอน วา ผนู น้ั มนี สิ ยั และ
จะมีอันตรายแกชีวิตอยางรวดเร็ว ซึ่งไมอาจจะรออยูไดนาน ควรจะไปโปรดคนนั้นกอน
กเ็ สดจ็ ไปกอ น นี่เปนขอที่สี่
เขาสูแดนนิพพาน ๑๙
๒๐
ปพุ พฺ เณหฺ ปณ ฑฺ ปาตจฺ พอรุงเชาก็เสด็จออกบิณฑบาตมาเสวยเปนประจํา นี่
เรียกวาพุทธกิจหาของพระองค ปกติไมทรงลดละ จะลดละบางก็เปนกรณีพิเศษในบาง
ขอ เชน ปุพฺพเณฺห ปณ ฑฺ ปาตจฺ เวลาประทบั อยใู นปา เลไลยกเ สดจ็ บณิ ฑบาตไมไ ดก ็
ทรงงด นอกนน้ั ทรงถอื เปน ความจาํ เปน ในการบณิ ฑบาต จงึ ตอ งสอนพระใหถ อื วา การ
บณิ ฑบาตมาฉนั นน้ั เปน งานทช่ี อบ เปนงานที่เหมาะสมอยางยิ่ง สําหรับพระไมมีงานใด
ในการแสวงหาเลย้ี งชพี เหมาะสมยง่ิ กวา งานบณิ ฑบาต ใคร ๆ จะมีศรัทธามาถวายมาก
นอ ยใหถ อื เปน อตเิ รกลาภ สิ่งเหลือเฟอไปเสีย ไมถ อื เปน ความจาํ เปน ยง่ิ กวา อาหารทไ่ี ด
มาในบาตร เพอ่ื กนั ความลมื ตวั มว่ั สมุ กบั สง่ิ เหลา นน้ั
ทานสอนพระไมใหลืมตัว ไมใ หข เ้ี กยี จ เพราะกเิ ลสตวั ขเ้ี กยี จมนั สาํ คญั ตัวลืมตัว
นก้ี เ็ ลวไมย อ ย เพราะคนเราชอบเยอหยิ่งเวลามีคนนับถือมาก ๆ ย่งิ มีคนชน้ั สงู นับถอื
มากมีบริษัทบริวารมากยิ่งเบง ผึ่งผาย ลวดลายไมม กี เ็ สมอื นจะแตม ลวดลายขน้ึ เปน
พญาราชสหี อ วดศกั ดานภุ าพโนน แน มันของเลนเมื่อไร กเิ ลสของพระนะ ทานจึงสอน
ใหป ราบกิเลสตวั นา เกลียดในสงั คมชาวพทุ ธชาวพระเราไมใ หล มื ตัว ใครจะมานบั ถอื
มากนอยก็เปนเรื่องของเขา เรอ่ื งของเราอยาลมื หนา ท่ีของเรา อยาลืมเรื่องของพระเปน
เรื่องของพระ ความลืมตัวไมใชเรื่องของพระ แมแ ตฆ ราวาสผมู ีสตเิ ขายังไมล ืมตวั การ
วางตัวของเขาสม่ําเสมอ เราเปนพระและพระปฏิบัติดวยแลวก็ยิ่งละเอียดเขาไปอีก
ความมสี ตริ ะลกึ รอู ยกู บั ตวั ปญ ญาสอดสอ งเหตกุ ารณท ม่ี าเกย่ี วขอ งกบั ตวั อยเู สมอ ไม
ใหเ ผลอและหลวมตวั ไปกบั สง่ิ นน้ั ๆ นั่นคืองานของพระ นน่ั คอื ลวดลายของพระผเู หน็
ภัยในสิ่งที่เปนภัย
พระผอู อกจากศากยสกลุ คือตระกูลของพระพุทธเจา ผทู รงเฉลยี วฉลาดแหลม
คมยง่ิ กวา ใคร ๆ ในไตรโลกธาตุ เหตุใดจึงตองมาโงตอโลกามิสซึ่งมีเต็มแผนดิน ไมใช
ของหายากเหมือนธรรมเลย การลืมเนื้อลืมตัวผยองพองตัวเพราะอติเรกลาภ หรือ
ความนับถือของประชาชน เปนเกียรติยศอันชอบธรรมและนาภูมิใจของพระศากยบุตร
ดแี ลว หรอื นอกจากจะเหน็ ธรรมอนั ประเสรฐิ วา เปน ของตาํ่ กวา สง่ิ เหลา นเ้ี ทา นน้ั พระเรา
จึงจะไมคิดไมสาํ นกึ ตวั กลวั ภัยตามรอ งรอยศาสดา
สกกฺ าโร ปรุ สิ ํ หนตฺ ิ ปลาตายเพราะเหยอ่ื ลอ พระเราไมตายเพราะสิ่งเหลานี้จะ
ตายเพราะอะไร จงพากนั พจิ ารณาใหด ี วา ธรรมเหลา นท้ี า นสอนปลาตวั โง หรอื ทา นสอน
พระเราผกู าํ ลงั ขยบั ตวั เขา หาเบด็ อยเู วลาน้ี จงทราบวา ภายนอกนน้ั เปน เหยอ่ื แตภ ายใน
เหยื่อเขาไปนั้นคือเบ็ดนะ ถา ไมอ ยากฉบิ หายลม จมจงระวงั อยา งบั เบด็
การฉนั ในบาตรนเ่ี ปน กจิ สาํ คญั อยมู าก แตเ ราไมเ หน็ ความสาํ คญั ของการฉนั ใน
บาตร ธรรมดาพระผบู วชมาในศาสนาแลว ไมมีภาชนะใดที่เหมาะสมยิ่งกวาบาตร
เขาสูแดนนิพพาน ๒๐
๒๑
สาํ หรบั ใสอ าหาร จะเปน ถว ยชามนามกรอะไรกแ็ ลว แตเ ถอะ เปนภาชนะทองคํามาก็ไม
เหมาะสมยิ่งกวาบาตร บาตรนเ้ี ทา นน้ั เปน ภาชนะอนั เหมาะสมสาํ หรบั ขบฉนั ของพระ ไม
มอี นั ใดทีจ่ ะควรยิ่งกวา นี้ เหมาะสมยง่ิ กวา น้ี ดยี ง่ิ กวา น้ี มีบาตรใบเดียวเทานั้น มีอะไรก็
รวมลงที่นั้น พระพทุ ธเจา กท็ รงดาํ เนนิ เปน ตวั อยา งอนั แนบแนน มากอ นแลว
หรอื วา อาหารทร่ี วมลงไปแลว จะทาํ ใหท อ งเสยี ดงั ทส่ี ว นมากวา กนั ซง่ึ เคยไดย นิ
มาแลว ถา เชน นน้ั เวลารวมลงในทอ งแลว มันไมทําใหทองเสียหรือ ทองมีพุงอะไรบาง
มีกี่พุงมีกี่ไส มกี ภ่ี าชนะสาํ หรบั ใสอ าหาร แยกประเภทตาง ๆ นห้ี วานนค้ี าว นี้แกงเผ็ด
นแ้ี กงรอ น…มีไหม ภาชนะอะไรตาง ๆ ที่จะไวอาหารตางประเภทเปนแผนก ๆ เพอ่ื กนั
ทองเสียนะมีไหม เรามาเหน็ กนั แตร วมในบาตรวา ทอ งจะเสยี สวนรวมในทอ งไมเหน็ วา
ทองมันจะเสีย ความคดิ กลวั ทอ งเสยี เปน ตน นน้ั คือความคิดเพื่อสงเสริมลิ้น สงเสริมพุง
ไมใชความคิดที่สงเสริมใจสงเสริมธรรมดวยขอปฏิบัติตาง ๆ
ถา สง่ิ ทเ่ี ปน พษิ มอี ยใู นอาหารนน้ั แลว จะรวมหรือไมรวม เมื่อฉนั ลงไปรับ
ประทานลงไปในทอง มันก็ทาํ ใหทองเสยี ได โดยไมเกี่ยวกับเรื่องอาหารรวมหรือไมรวม
เลย เพราะความเปนพิษนั้นอยูกับสิ่งที่เปนพิษตางหาก ไมใ ชอ ยกู บั ความรวม เวลาฉนั
ลงไปมันก็เปนพิษ ถา อาหารไมเ ปน พษิ แลว รวมกันก็ไมเปนพิษ จะเอาอะไรมาเปนพิษ
เพราะสิ่งเหลานั้นเปนคุณ ไมมีโทษไมมีพิษภัยเจือปนอยูในนั้นเลย รวมลงในบาตรก็
เปน อาหาร ฉันลงไปในทอ งกเ็ ปนประโยชนแกธาตุขันธ
ฉะนน้ั เราซง่ึ เปน นกั บวชและนกั ปฏบิ ตั ิ จงสังเกตขอแตกตางระหวางธรรมกบั
อธรรมทค่ี อยลบลา งกนั อยเู สมอ ดังฉันในบาตรทองเสีย ฉนั นอกบาตรทอ งดี กเิ ลสอว น
พี แตธรรมหมอบเผยอไมขึ้นเพราะถูกอธรรมเหยียบ ๆ ในทาํ นองน้ี หลายดา นหลาย
ทางไมมีประมาณเรื่อยมา
ความจรงิ ในขณะท่ีอาหารรวมในบาตรกเ็ ปน เทศนาไดอยางดี กอ นฉนั กพ็ จิ ารณา
ในขณะทฉ่ี นั กก็ าํ หนดพจิ ารณาปจ จเวกขณะ โดยความเปนตา ง ๆ แหง อาหาร ยอมได
อบุ ายแปลก ๆ ขน้ึ มาจากอาหารผสมนน้ั เพราะเราไมไดฉันเพื่อความรื่นเริงบันเทิง ไม
ไดฉ นั เพอ่ื ความสวยงาม เพื่อความฟุงเฟอเหอเหิม เพ่อื ความคกึ คะนองอะไร ฉนั พอยงั
อัตภาพใหเปนไป เพื่อไดประพฤติพรหมจรรย ชําระกิเลสอาสวะซึ่งเปนตัวพิษรกรุงรัง
ฝง จมลกึ อยภู ายในใจนใ้ี หเ ตยี นโลง ออกจากใจ ดวยการพิจารณาโดยแยบคาย ซง่ึ อาศยั
ธุดงควัตรเหลานี้เปนเครื่องมือตางหาก
การหา มอาหารตามมานน้ั กเ็ พอ่ื กนั ความโลภและความลมื ตวั อกี เหมอื นกนั
อาหารมมี าก อาหารเหลอื เฟอ ความโลภนะมันไมมีเมืองพอ อนั นน้ั กด็ อี นั นก้ี ด็ ี อาหาร
มากเทา ไรปากยง่ิ กวา ง ลน้ิ ยง่ิ ยาว ทองยิ่งโต แซงหนา ธรรมไมม ถี อย อนั นน้ั หวานอนั น้ี
เขาสูแดนนิพพาน ๒๑
๒๒
หอมอนั นม้ี นั และดีไปเรื่อย ๆ ไมมีเบรกคือสติ หา มลอ ไวบ า งเลย ความจรงิ คาํ วา ดนี น้ั
เปน เรอ่ื งของกเิ ลสเสกสรรปน ยอขน้ึ ลบลา ง อัปปจฉตาธรรม สันโดษธรรมของนัก
ปฏิบัติโดยเจาตัวไมรู จึงมกั มวั เพลนิ ไปกับเพลงกลอมของมันจากคาํ วา ดตี ามกิเลส
สว นธรรมจะดีหรอื ไมด เี ปน อกี แงหน่ึง หวานกร็ ู หอมกร็ ู มนั กร็ ู จิตจะติดรสก็ให
รูใหระวัง และหกั หา มกเิ ลสตวั อยากไดม าก ฉนั มาก สว นธรรมใหเ อาแตพ อดี หรือเอา
แตน อ ยเหมาะกบั ธรรม และฉนั แตพ อดกี บั ธาตหุ รอื ฉนั แตน อ ย ไมโลภในอาหารปจจัย
บรโิ ภคใชส อย พอครองตัวไปได ไมอ ดื อาดเนอื ยนายหมายแตท ห่ี ลบั ทน่ี อน ยงิ่ กวา
หมายความพากเพียรเพื่อละกิเลส
พระเราเมื่อฉันมาก ๆ เพราะอติเรกลาภมาก ๆ ทาํ ใหธ าตขุ นั ธม กี าํ ลงั มากขน้ึ
แตจ ิตใจลืมเน้อื ลืมตวั ขี้เกียจภาวนา ไมเปนทาเปนทางอะไรเลย มแี ตอ าหารพอกพนู
ธาตขุ นั ธส กลกาย ไมไดพอกพูนจิตใจดวยอรรถดวยธรรม ใจหากเคยมีธรรมมาบางก็
นบั วนั เหย่ี วแหง แฟบลงไป ถายังไมมีธรรมเชนสมาธิธรรมเปนตนก็ยิ่งไปใหญ ไมมีจุดมี
หมายเอาเลย ธดุ งคจ งึ ตอ งหา มความโลเลในอาหาร เพื่อใหใจมีทางเดินโดยอรรถโดย
ธรรม กเิ ลสจะไดไ มต อ งพอกพนู มากมาย กายจะไดเบา ใจจะไดสงบเบาในเวลา
ประกอบความเพยี ร และสงบไดงายกวาเวลาที่พุงกําลังบรรจุอาหารเสียเต็มป นม่ี นั นา
อับอายขายหนา พระกรรมฐานจะตายไปที่เอาทอ งมาอวดโลก แทนทจ่ี ะนาํ ธรรมมาอวด
เขา
การอยปู า กบั อยบู า นผดิ กนั อยา งไร นต่ี อ งตา งกนั ทา นจงึ สอนใหอ ยปู า และการ
อยปู า ธรรมดากบั อยปู า เปลย่ี ว ความรูส กึ ของผูอ ยนู ั้นจะเปนอยางไรบาง ถาผูมุงอรรถ
มงุ ธรรมอยแู ลว การอยใู นปา และปา เปลย่ี วมคี วามรสู กึ ผดิ กนั อยมู าก ตลอดถงึ ความ
พากเพียรเพื่อความสงบทางใจ ใจสงบไดงายเพราะความไมประมาท ความระมดั ระวัง
ตน ความมสี ตอิ ยใู นสถานทใ่ี ดกเ็ ปน ความเพยี ร กเิ ลสกลวั คนผมู สี ติ คนระมัดระวังตัว
อยเู สมอ แตก เิ ลสไมกลวั คนที่ประมาท พระพุทธเจาเปดชองเปดทางดวยธุดงควัตร
เพอ่ื ตอ สเู อาชยั ชนะกบั กเิ ลสให ซึ่งเปนทางที่จะระงับดับกิเลสเทานั้น ไมใชเปดทางให
กเิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจเราดว ยธดุ งคเ หลา น้ี
ธุดงคเหลานี้เปนเครื่องปราบปรามกิเลสสําหรับผูปฏิบัติดําเนินตามทั้งนั้น เชน
เที่ยวอยูรุกขมูลรมไม ตามปา ตามเขาอนั เปน ทเ่ี หมาะสม พระพทุ ธเจา และสาวกทง้ั
หลายอบุ ตั ขิ น้ึ ดว ยความบรสิ ทุ ธจ์ิ ากสง่ิ นท้ี ง้ั นน้ั เราผูปฏิบัติจึงควรคํานึง อยา ลมื เนอ้ื ลมื
ตวั อะไรจะมมี ากนอ ยอยา ลมื เนอ้ื ลมื ตวั กบั สง่ิ เหลา นน้ั ไมใชทางพระผูตามรอยพระ
บาทของพระพุทธเจาและสาวกทาน
เขาสูแดนนิพพาน ๒๒
๒๓
มคี นนบั ถอื มากนอ ยนน่ั เปน เรอ่ื งของเขา ผูปฏิบัติธรรมควรระวังเพราะเปน
กงั วลวนุ วาย ไมส ะดวกแกค วามเพยี ร ไมควรยุงกับอะไร นอกจากธรรมกบั ใจสมั ผสั
สมั พนั ธก นั อยตู ลอดเวลาเทา นน้ั เปน ความเหมาะสม ถา จติ กลายเปน โลกสงสาร มันจะ
เลยโลกไปจนหาเขตหาแดน หากาํ หนดกฎเกณฑไ มไ ด มคี นนบั ถอื มากเทา ไร ใจพระ
ใจคนมกี เิ ลสคอยรบั กนั อยแู ลว มันก็ยิ่งฟุงเฟอเหอเหิม ลืมเนื้อลืมตัว เผยอเยอหยิง่ ยิ่ง
กวา นาํ้ ลน ฝง นน่ั แล เพราะมันเปนเรื่องของกิเลสไมใชเรื่องของธรรม เรื่องของธรรม
ตองสม่ําเสมอ ตองมีสติไมลืมตัวอยูเสมอ ทา นผปู ฏบิ ตั ยิ กตนพน ทกุ ขม าแลว ทา น
ดาํ เนนิ ดงั ทก่ี ลา วมานแ่ี ล ผตู อ งการพน ทกุ ขอ ยา งทา นกต็ อ งปฏบิ ตั แิ บบทา น หรอื แบบ
ศิษยมีครู ไมใ ชจ ะปฏบิ ตั แิ บบถลู ถู กู งั อวดตนวาเกงไมยอมฟงเสียงใคร นน่ั คอื การ
ปฏิบัติเพื่อขึ้นเขียง เพื่อหอมกระเทียม ไมใชเพื่อมรรคผลนิพพาน
เรื่องเหลานี้เราเคยมีความรูสึกตั้งแตเปนพระหนุมนอย จึงยึดมาเปนคติไดอยาง
ดี เราเคยเห็นคนมานับถือครูบาอาจารย มนั รูส ึกอะไร ๆ ในจติ ใจพกิ ล เปนความรูสึก
อยากจะใหเ ขามคี วามเคารพนบั ถอื ตนอยา งนน้ั นม่ี นั มขี น้ึ ภายในใจ แตต อนน้ันมันมี
ความรอู ยา งนน้ั และรวู า จติ เราหยาบมคี วามปรารถนาลามกขน้ึ มา เปนแตไมสงเสริม
คอยสกดั เอาไวแ ละรโู ทษของตวั อยเู สมอ
เวลามาปฏบิ ตั เิ ขาจริง ๆ แลว กย็ ง่ิ รชู ดั วา นน่ั เปน ความผดิ ความคิดเชนนั้นไมใช
ความถกู ตอ งเลย นน่ั คอื ความคดิ อง่ึ อา งกบั ววั นาํ ตวั เขา ไปเทยี บกบั ทา นโดยมใิ ชฐ านะ
ฐานะของทา นเปน ขนาดครอู าจารย ฐานะของเราเทา กับอง่ึ อางทีน่ อนจมอยูใ ตด ิน จะนํา
ตวั เขา ไปเทยี บกบั ววั ไดอ ยา งไร ถา ไมอ ยากทอ งแตกตายเหมอื นอง่ึ อา งกบั ววั ในนทิ าน
อสี ป นิทานนจี้ ึงเปนคตไิ ดด มี ากสาํ หรับพระผปู ฏบิ ตั ิเพอ่ื ความพน ทกุ ขโ ดยชอบธรรม
ธุดงคขอเยีย่ มปาชา การเยี่ยมปาชาไปเยี่ยมทําไม ความจริงคนเราตองเห็นสิ่งที่
เปนสักขีพยานมันถึงจะรูเนื้อรูตัว ถึงจะไดสติ การเยย่ี มปา ชา กไ็ ปเหน็ ความตายของคน
ปา ชา แตก อ นไมเ หมอื นทกุ วนั น้ี มปี า ชา ผดี บิ ทง้ิ เกลอ่ื นกนั อยใู นทน่ี น้ั ๆ ทง้ั ตายเกา ตาย
ใหมท ง้ิ เกลอ่ื นกนั อยเู หมอื นทอ นไม เมื่อไปดูแลวก็เห็นประจักษชัดเจนเปนสักขีพยาน
ทา นสอนไวใ นการไปดปู า ชา เยย่ี มปา ชา ใหไ ปทางเหนอื ลม ไมใหไ ปทางใตลม
ถา ซากอสภุ ทต่ี ายใหมก อ็ ยา ดว นเขา ไป ใหไ ปดซู ากอสภุ ทต่ี ายเกา กอ น พิจารณา
กรรมฐานเรื่อย ๆ และคอ ยขยบั เขา ไป ๆ จนรูวาใจเรามีสติปญญาสามารถพอจะ
พจิ ารณาซากอสภุ ทต่ี ายใหมไ ด คอ ยขยบั เขา ไปพจิ ารณาอสภุ ทต่ี ายใหม เพราะที่ตาย
ใหมมันยังมีรูปรางลักษณะปกติ ถา รปู รา งทต่ี ายใหมส วยงาม ความสวยงามอาจทาํ ให
ราคะกําเริบได และอาจเปนกรรมฐานแหวกแนวไปได จึงตองระวัง
เขาสูแดนนิพพาน ๒๓
๒๔
ทา นสอนใหเ ปน ระยะ ๆ การเยีย่ มปา ชาก็ใหไ ปตามระยะหรอื ข้นั ตอน และ
พิจารณาตามระยะที่เหมาะกับภูมิของตน ไมใชผลุนผลันก็จะเขาไปเยี่ยม ทาํ อยา งนน้ั ไม
เหมาะ ทา นสอนไวห มด ซากอสภุ อนั ใดที่ยังไมขาดไมว น่ิ ไมมอี ะไรกัดกิน เนื้อยังไมเนา
ไมพองยังใหม ๆ เอย่ี ม ๆ อยอู ยา เพง่ิ เขา ไป เฉพาะอยา งยง่ิ ภาพทเ่ี ปน เพศตรงกนั ขา ม
ใหร ะวงั …ทา นวา จนกระทั่งจติ ใจมีความสามารถพอจะพจิ ารณาไดแ ลวก็พิจารณาได
หมด
เมอ่ื พจิ ารณาความตายขา งนอกเปน สกั ขพี ยานแลว มนั กย็ อ นเขา มาพจิ ารณา
ความตายภายในกายของตน จนไดห ลกั ไดเ กณฑข น้ึ ภายในจติ แลว ปา ชา ภายนอกก็
คอ ย ๆ หมดความจําเปนไป เพราะไดห ลกั ขน้ึ ภายในตวั เราแลว ไมต อ งไปอาศยั ภาย
นอก พจิ ารณารา งกายของเราใหเ ปน ปา ชา เหมอื นปา ชา ภายนอก ทง้ั ความเปน อยแู ละ
ความตายไป เทยี บกนั ไดท กุ สดั ทกุ สว นกบั ภายนอกแลว ใจก็คอยหมดปญหาไปเอง
เนสชั ชิ การไมน อนเปน คนื ๆ ไป กเ็ พอ่ื การฝก การทรมานตนประกอบความ
พากเพยี รใหม ากนน่ั เอง แตไมไดหมายถึงไมนอนตลอดไป เราจะอธิษฐานเชนไมนอน
คืนนก้ี เ็ ปนเนสชั ชิ ธดุ งคข อ นเ้ี ปน กาลเปน เวลา เปนคราว ๆ ไป หรอื จะไมน อนสองคนื
สามคนื กแ็ ลว แตต ง้ั สจั อธษิ ฐานในธดุ งคข อ น้ี
เสนาสนะทท่ี า นจดั ใหอ ยา งไรกอ็ ยตู ามทท่ี า นจดั ให นเ่ี ปน ธดุ งคข อ หนง่ึ มีแต
เรื่องปราบกิเลสความลืมตัวของพระทั้งนั้น
ผูที่มีธุดงควัตรดี ผทู ห่ี นกั แนน ในธดุ งควตั ร กค็ อื ผหู นกั แนน ในขอ ปฏบิ ตั ิ คอื ผู
ตั้งใจเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อปราบปรามกิเลสอยางแทจริง ไมใ ชผ บู วชเขา มาอยเู ฉย ๆ
ลืมเนื้อลืมตัว ในธดุ งค ๑๓ นี้เปนเครื่องมือสําหรับปราบปรามกิเลสของผูปฏิบัติตามทั้ง
นน้ั ไมมีอะไรเปนขอตองติไดเลย นอกจากจาํ พวกเทวทตั เทา นน้ั จะตาํ หนไิ ดล งคอ
คนไมม ีธดุ งควัตรนนั้ แลคอื คนวตั รราง คนลมื เนอ้ื ลมื ตวั สักแตวาเพศของพระ
เฉย ๆ เอาผา เหลอื งมาหอ ตวั แลว กว็ า ตวั เปน พระแลว เยอ หยง่ิ ยิ่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์
ใหเปนปลัด ใหเ ปน สมหุ ใหเปนพระครู ใหเปนเจาฟาเจาคุณ จนกระทั่งใหเปนสมเด็จ
ขึ้นไปดว ยแลว ….เอาเถอะ ถา ใจกาํ ลงั เหอ ๆ ในเรอ่ื งเหลา นน้ั อยแู ลว มันตองตื่นเงาตื่น
บา ขน้ึ มาเลย โดยไมตองมีปมีขลุยมีเครื่องดนตรีแตรวงมาสงเสริมแหละ ใจมนั หากสง
เสริมมันเอง ดว ยอาํ นาจดนิ เหนยี วตดิ หวั เขา ใจวา ตนมหี งอนไปทเี ดยี วแหละ ขน้ึ ชอ่ื วา
กเิ ลสนม้ี นั ยอมออ นขอ ตอ ใครเมอ่ื ไร
เรื่องของพระเลยลืมไปหมด กลายเปน โลกไปเลย เลยโลกไปอกี ท่ที า นตงั้ กเ็ พ่ือ
ใหการสงเสริมในการประพฤติปฏิบัติดี แตแ ทนทจ่ี ะเปน อยา งนน้ั จติ ใจเลยกลบั หยง่ิ
กลายเปน การทาํ ลายตวั เอง ฆา ตวั เองไปดว ยความสาํ คญั ตา ง ๆ ขน้ึ มา ทา นตงั้ ชื่อต้ัง
เขาสูแดนนิพพาน ๒๔
๒๕
นามใหว า เปน นน้ั เปน น้ี เรากส็ ําคัญวา เปน หงอนไปเสีย ความจริงมันดินเหนียวติดหัว
ตา งหาก ไมใชหงอนโดยหลักธรรมชาติ อยากใหเ ปน หลกั ธรรมชาตจิ รงิ ๆ ก็ปฏิบัติตัว
ใหด ซี ิ อะไรจะเลิศยิ่งกวาพระในหลักธรรมชาติละ คาํ วา พระกแ็ ปลวา ประเสรฐิ แลว นน่ั
จะหลงไปกบั ดนิ เหนยี วไปกบั ตกุ ตาอะไรอกี
พระไมใชประเสริฐแตชื่อ ตองประเสริฐดวยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรม
วนิ ยั มีธุดงควตั ร เปนตน มคี วามหนกั แนน ในธดุ งควตั ร จะคอยเปนผูประเสริฐขึ้นมา
โดยหลักการปฏิบัติของตน สดุ ทา ยกโ็ ดยหลกั ธรรมชาติ ประเสริฐโดยหลักธรรมชาติ
ของใจที่บริสุทธิ์หมดจดแลว ไมไดประเสริฐดวยชื่อดวยนามอะไร ตง้ั วนั ไหนกไ็ ด โนน
ตั้งขึ้นฟากฟาก็ไดเปนไรไป การตง้ั ชอ่ื กย็ กยอกนั ไปอยา งนน้ั แหละ นแ่ี หละโลกธรรม
เสกสรรปน ยอกนั ไป ผเู สกสรรปน ยอขน้ึ ทา นกม็ เี จตนาดี เราก็ใหสนองเจตนาของทาน
ดวยการตง้ั ใจประพฤตปิ ฏิบัติตามหลักธรรมหลกั วนิ ัย หนา ทข่ี องพระใหส มบรู ณแ บบ
มันก็สมกับทานตั้งชื่อตั้งนามเพื่อสงเสริมพระใหดี
อยา เอาการตง้ั ชอ่ื ตง้ั นาม เอาชอ่ื เหลา นน้ั มาทาํ ลายตวั เอง ดว ยความเยอ หยง่ิ
จองหองตาง ๆ กแ็ ลว กนั ฉะนั้นความสมบูรณที่สุดตามหลักธรรมชาติโดยไมตองเสก
สรร กค็ ือการปฏบิ ตั ติ ัวใหดี ศลี กร็ กั ษาใหด ี อยา ฝา ฝน ลว งเกนิ การภาวนากท็ าํ จติ ใหม ี
ความสงบรม เยน็ ดว ยจติ ตภาวนา จะกําหนดธรรมบทใดก็ใหมีความจริงจังตอธรรมบท
นน้ั ดว ยความมสี ติ เวลาพจิ ารณากพ็ จิ ารณาลงไปใหเ กดิ ความเฉลยี วฉลาด แยกธาตุ
แยกขนั ธอ ายตนะออกใหเ หน็ ตามความจรงิ ของมนั ดังที่เคยอธิบายใหฟ งหลายครง้ั
หลายหนแลว
ธาตคุ อื อะไร ธาตกุ ค็ อื ธาตสุ ่ี ดิน นาํ้ ลม ไฟ ซึ่งเปนธาตุเดิม เปนสิ่งดั้งเดิมมีอยู
ดั้งเดิม มาผสมกนั เขา มีจิตเปนตัวการเขามายึดเปนเจาของ ก็เลยเรียกวาเปนสัตวเปน
บคุ คลไป ทั้ง ๆ ทส่ี ว นนน้ั ๆ เปนธาตุอยูตามหลักธรรมชาติของเขา ใครจะเสกสรรปน
ยอวาเปน สตั วเปนบุคคลเปน อะไร ก็หาไดเปนไปตามไม คงเปนธาตนุ ้นั ๆ อยตู ามเดมิ
ของเขา เราก็ใหทราบดวยปญญาของเราโดยทางพิจารณา
อายตนะความสบื ตอ อายตนะภายในภายนอก ภายในคอื ตา หู จมูก ลน้ิ กาย
ใจ ภายนอกคือรูป เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส ทเ่ี ขา มาสมั ผสั สมั พนั ธก บั อายตนะภาย
ใน เกิดความรูสกึ ข้นึ มา แลว เกดิ ความสาํ คญั ไปตา ง ๆ นานา สว นมากไปในทางทผ่ี ดิ
ใหแ ยกแยะดใู หด ี นท่ี า นเรยี กวา วปิ ส สนา วปิ ส สนาแปลวา ความเหน็ แจง รูแจงเห็นจริง
ไมร แู บบปลอม ๆ หลอก ๆ หลอน ๆ
จงทาํ หนา ทข่ี องตวั ใหถ กู ตอ งและสมบรู ณ จิตใจหวังพึ่งเราอยูเสมอ เพราะจิตใจ
ไมสามารถอยูโดยอิสระลําพังตัวเองได ถกู กดขบ่ี งั คบั จากความโลภ ความโกรธ ความ
เขาสูแดนนิพพาน ๒๕
๒๖
หลง ราคะตัณหาประเภทตาง ๆ อยเู รอื่ ยมา ใจจึงเรียกรองหาความชวยเหลือจากเราอยู
ตลอดเวลา เราจะเอาอะไรเขาชวยเหลือจิตใจที่ถูกกดขี่บังคับอยูตลอดเวลานั้นใหพน
จากภัยได ถา ไมเ อาขอ วัตรปฏิบตั คิ ือ สมาธิ ปญญา ศรัทธา ความเพียร เขา เปนเคร่อื ง
บกุ เบกิ เพกิ ถอน ชวยจิตใหพนภัยจากเครื่องบีบบังคับ
เวลานเ้ี รามาเปลอ้ื งภยั ทม่ี อี ยภู ายในใจ เราตองพยายามทําทุกวิถที างทจ่ี ะปลด
เปลื้องใหได หลกั ใหญข องการปฏบิ ตั กิ ค็ อื จงมคี วามหนกั แนน แกน นกั รบ หวงั จบชวี ติ
ในสงครามลา งโลกออกจากใจ ถา ไมช นะก็ตอ งตายถวายชวี ติ เปนพุทธบูชา ธรรมบูชา
สงั ฆบูชา ไปเลย อยา ถอยหลงั ดว ยความพา ยแพจ ะเสยี หนา และถกู กเิ ลสเยย หยนั ไป
นาน ทนความตาํ่ ตอ ยนอ ยหนา อบั อายกเิ ลสวฏั ฏไ มไ หว ไปโลกไหนจะมีแตกิเลสตามชี้
หนา วา มาเกดิ แบกกองทกุ ขห าสมบัตอิ ะไรไอค นไมเ ปน ทา รบกันทีไรแพเราหลุดลุยทุก
ที ไมเ คยมคี าํ วา “ชนะ” บางเลย นั่นฟงซิ พวกเราชาวนักรบเพื่ออยูจบพรหมจรรย คําชี้
หนา ดา ทอของกเิ ลสนะ มนั เจบ็ แสบไหม เราเองเจบ็ แสบลงถงึ ขว้ั หวั ใจแมต ายกไ็ มม วี นั
ลมื พวกเรามคี วามรสู กึ อยา งไรบา ง พอมแี กใ จฮดึ สกู บั มนั ดว ยการถวายหวั บา งไหม
พระพุทธเจาของเราเปนชาติแหงนักรบเต็มพระองค ทกุ พระอาการทเ่ี คลอ่ื นไหว
ลว นเปน ความหา วหาญชาญชยั ในการตอ สกู บั กเิ ลสไมท อ ถอยจนกเิ ลสบรรลยั กลาย
เปน ศาสดาขน้ึ มาใหโ ลกไดก ราบไหวบ ชู ามาจนบดั น้ี รองรอยที่ทรงดําเนินมายังสด ๆ
รอ น ๆ ดว ยสวากขาตธรรมทกุ บททกุ บาท ไมเ คลอ่ื นคลาดเลอ่ื นลอย จงยึดทานเปน
หลกั ใจหลกั ปฏบิ ตั ติ ลอดไปทกุ ลมหายใจขาดดน้ิ อยา ปลอ ยวาง
แดนชัยชนะเม่ือมวลกเิ ลสหงายตงึ ลงไปแลว ไมตองถามหากรูเอง ดว ยสนั ทฏิ
ฐิกธรรมของผูปฏิบัติทุก ๆ รายไป พระองคมิไดผูกขาดแตผูเดียว ทรงมอบไวก บั นกั
ปฏบิ ตั ทิ กุ ทา นไดค รองทว่ั หนา กนั อยา งสงา งามในทา มกลางแหง โลก อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺ
ตา เมอ่ื ขนั ธห มดความสบื ตอ แลว กค็ รองอนปุ าทเิ สสนพิ พานโดยสมบรู ณห ายหว ง
ธรรมคือธรรมชาติที่เกษมสมบูรณ ฝายเหตุเปนธรรมเหมาะสมกับการแกการ
ถอดถอนกเิ ลสทกุ ประเภท ไมมีกิเลสตัวใดเหนือธรรมนี้ไปไดเลย พระองคตรัสไวชอบ
ทกุ สง่ิ ทกุ อยา งทกุ แงท กุ มมุ แลว ในการแกก เิ ลสทกุ ประเภท ไมมีอะไรเหนือธรรมนี้
เฉพาะอยางยิ่งมัชฌิมาธรรม มีศีล สมาธิ ปญญาเปนตน ที่ยน ยอเขา มาแลว นี่คอื ธรรม
ฝายเหตุ อบุ ายวธิ กี ารทจ่ี ะฝก ฝนอบรมอยา งไร พระองคทรงสอนไวอยางพรอมมูล สว น
ธรรมฝา ยผลกเ็ ปน ไปตามลาํ ดบั ชน้ั จิตมีความมั่นคงไมแสสายเอนเอียงไปตามอารมณ
จิตมีความสงบรมเย็น มีความสม่ําเสมอคือจิตเปนสมาธิ จติ มคี วามแกลว กลา สามารถ
มคี วามฉลาดรรู อบตวั ในสง่ิ ทม่ี าสมั ผสั เกย่ี วขอ งทง้ั ภายนอกภายใน นี่คอื จิตเปน ปญ ญา
และมีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น ละเอยี ดยง่ิ กวา นน้ั จนฉลาดรอบตวั แลว กถ็ งึ ความหลดุ
เขาสูแดนนิพพาน ๒๖
๒๗
พน เปนธรรมทั้งดวง คอื จิตเปนธรรม ธรรมเปนจิต เปน เอกภี าพ ไมมีคูแขงแยงชิงดัง
แตก อ น
สาํ หรบั ในความรสู กึ ของผมเอง จะผิดหรือถูกก็กรุณาพิจารณาเอาเอง แตเปน
ความแนใจวาศาสนธรรมทีเ่ ปนคาํ ส่ังสอนของพระพุทธเจานนั้ ทา นพดู ไวส ว นมากเปน
ฝายเหตุ แสดงใหฟ ง เรอ่ื งเหตคุ อื การดาํ เนนิ เพอ่ื แกห รอื ถอดถอนกเิ ลส หรอื เพอ่ื
บาํ เพญ็ ความดที ง้ั หลาย ผลคอื ความสขุ นี้เปนแตแนวทางเปนเครื่องชี้ทางเทานั้น
สวนธรรมอันแทจริงที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้น จะใหช อ่ื ไมใ หช อ่ื กต็ าม นน้ั
เปนธรรมในหลักธรรมชาติ ธรรมนน้ั เราไมส ามารถอาจเออ้ื มเขา ถงึ ไดอ ยา งงา ย ๆ
ธรรมนแ้ี ลทว่ี า มอี ยกู บั โลกตลอดกาล สวนธรรมที่เปนพระโอวาท มีการเส่ือมสูญ
อนั ตรธานไปในบางกาลบางสมัย ดังพระพุทธเจาทั้งหลายมาตรัสรูสืบทอดกันมาโดย
ลาํ ดบั นก่ี แ็ สดงความไมแ นน อนของศาสนธรรมใหเ หน็ ชดั อยแู ลว จึงไมเหมือนธรรมใน
หลักธรรมชาติที่มีอยูเปนอยูดั้งเดิม ไมมี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เขาไปยุงเกี่ยวใหธรรม
นั้นมีข้นึ และใหธ รรมน้นั สน้ิ ไป
อุบายที่พระพุทธเจามาประทานแกโลกแตละพระองค ๆ นน้ั ทา นเรยี กวา ศาสน
ธรรม อันนี้ไมใชธรรมแท เปน อบุ ายเปน แขนงตา ง ๆ เปนกิริยาอาการของธรรมแทที่
แสดงออกของวธิ กี ารทจ่ี ะละหรอื ทจ่ี ะบาํ เพญ็ คอื สอนใหล ะสอนใหบ าํ เพญ็ ดว ยวธิ กี าร
ตา ง ๆ และผลจะเปนอยา งน้ัน ๆ
สว นธรรมทเ่ี ปน ฝา ยผลจรงิ ๆ ในหลักธรรมชาติ เปนสิ่งจะรูขึ้นภายในใจของผู
ปฏิบัติโดยเฉพาะ ธรรมนั้นพูดไมคอยถูกตองตามเปนจริงนัก พอเลียบ ๆ เคยี ง ๆ ไป
เทา นัน้ ยิ่งเปนวิมุตติหลุดพนดวยแลวพูดไมถูกเลย เพราะพน จากสมมตุ คิ วามคาด
หมายไปหมดแลว พูดไมถูก แมจะรูอยูอยางเต็มใจก็พูดไมไดพูดไมถูก เหมือนพูดเรื่อง
ความเอร็ดอรอย ความอม่ิ จากการรบั ประทานนน่ั แล แมจะอยูในวงสมมุติพอจะพูดถูก
ตามความจริงได และตางคนตางลิ้มรส ตา งคนตา งอม่ิ มาดว ยกนั แตก พ็ ดู กนั ไมถ กู กบั
ความจรงิ นน้ั เลย
ธรรมที่พูดไมไดนั้นแหละคือธรรมแท ไมม คี าํ วา เสอ่ื มสญู อนั ตรธาน เปน แตโ ลก
ไมส ามารถอาจเออ้ื มรธู รรมนน้ั สัมผสั ธรรมนัน้ ไดเ ทา นั้นเอง สวนจะใหธรรมสูญไปนั้น
สูญไมได เมื่อประพฤติปฏิบัติตามอุบายวิธีที่พระพุทธเจาแตละพระองคประทานไว ก็
จะสามารถสัมผัสรับรูธรรมนั้นได ใจกับธรรมก็กลายเปนความรับทราบ กลายเปน
ภาชนะเปนเครื่องรับรองธรรมไดอยางถูกตองเหมาะสม และไมมีภาชนะใดที่จะเหมาะ
สมในการรบั ธรรมทกุ ขน้ั ไดย ง่ิ กวา ใจ เมื่อเขาถึงธรรมเต็มขีดเต็มแดนแลว ธรรมกับใจก็
เขาสูแดนนิพพาน ๒๗
๒๘
เปน อนั เดยี วกนั จิตเปนธรรม ธรรมเปนจิต เอกีภาโว มคี วามเปน อนั เดยี วเทา นน้ั ไม
แยกเปน สองกบั สง่ิ อน่ื ใด
ธรรมที่เปนเอกีภาพนี้ ขน้ึ อยกู บั การปฏบิ ตั ขิ องแตล ะราย ๆ จะสามารถอาจ
เอื้อมรูเห็นได ไมข น้ึ อยกู บั กาลสถานท่ี เวลาํ่ เวลาและสง่ิ ใดบคุ คลใดเลย สาํ คญั อยกู บั
การปฏบิ ตั ใิ หถ กู ตอ งเหมาะสมเทา นน้ั จะเปนเครื่องสนับสนุนใหจิตสัมผัสรับรูธรรม
เปนขั้น ๆ ไปจนถึงข้นั สูงสุด เราจึงควรตั้งใจและมีความมุงมั่นเปนหลักดําเนิน
อยา ลมื คาํ วา พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ ดงั ทเ่ี คยกลา วมาแลว ธมมฺ ํ สรณํ คจฺฉามิ ก็
ไดเ คยอธบิ ายแลว สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ อยา ลมื วธิ ดี าํ เนนิ ของทา น ทานเปน ผูไดรับความ
สมบกุ สมบนั แทบลม แทบตายมาแลว แทบทง้ั นน้ั กอนที่จะไดเปน สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
ของพวกเรา ไมใชเปนผูลางมือเปบ แตพ วกเราทาํ ดว ยความยงุ ยากปากหมองลาํ บากลาํ
บนแทบเปน แทบตายถา ยเดยี ว…..ไมใชอ ยา งน้นั ทา นลาํ บากลาํ บนเชน เดยี วกบั เรา
หรอื ยง่ิ กวา พวกเราเปน ไหน ๆ กอนที่จะไดเปน สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ เพราะพระสาวกทั้ง
หลายทเ่ี ปน สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ น้ี มีชาติชั้นวรรณะตางกัน บางองคก ม็ าจากสกลุ พระ
ราชามหากษตั ริย เจาขุนมูลนาย ซึ่งมีความเปนอยูละเอียดสุขุม มียศเปนกษัตริย ราช
อาํ มาตย และเปนเศรษฐีกุฎมพี ลงมาจนถงึ พอ นาตาสตี าสาคนธรรมดาเรา
เมอ่ื คนมชี าติชนั้ วรรณะตางกัน และเคยไดร บั ความสะดวกสบายทางบา นเมอื ง
เหยา เรอื นมาแลว เวลาออกมาปฏบิ ตั ิ ตอ งฝก หดั ดดั กายวาจาใจใหเ ปน แบบเดยี วกนั ท่ี
เรยี กวา “แบบศากยบตุ ร” ทําไมทานจะไมขัดของ ทําไมทานจะไมลําบาก การขบการฉนั
การรบั ประทานอยใู นบา นเปน อยา งหนง่ึ เวลาออกมาเปน พระแลว อาศยั ขอทานเขากนิ
แทนท่จี ะไดฉันส่งิ น้กี ไ็ ดฉ นั ส่ิงน้ัน แทนทจ่ี ะไดฉ นั รอ นกลบั ไดฉ นั เยน็ แทนที่จะไดฉัน
มากกลบั ไดฉ นั นอ ย ไมส มใจทต่ี อ งการ เหลา นจ้ี ะไมเ ปน ความลาํ บากไดอ ยา งไร.ตอ ง
ลาํ บาก ฉนั แลว สง่ิ สาํ คญั กค็ อื การฝก ฝนทรมานจติ ใจปราบกเิ ลส กิเลสเปนขาศึกเปนคู
ตอสูธรรมภายในใจอยางยิ่งเรื่อยมา ไมมีขาศึกใดที่จะมีกําลังวังชาและมีความเฉลียว
ฉลาดแยบยลยง่ิ กวา กเิ ลส ทเ่ี คยครองอาํ นาจบนหวั ใจสตั วโ ลกมานาน
เพราะฉะนั้น จึงตองผลิตสติปญญา ศรทั ธา ความเพียร ขน้ึ ใหพ อกบั การปราบ
ปรามกิเลส ไมเชนนั้นกจ็ ะบกพรองในการรบ ความบกพรองในการรบไมใชของดี ตอ ง
ทําใหบกพรองในผลที่จะพึงไดรับดวย การผลิตสติ ปญญา ศรทั ธา ความเพียร ขึ้นให
เหมาะสมกับการปราบกิเลสทุกประเภทโดยลําดับ ๆ จึงเปนทางแหงชัยชนะของผู
บําเพ็ญจะพึงไดรับอยางสมบูรณ เปน อสิ รเสรใี นวนั หนง่ึ แนน อน
บรรดาสาวกทง้ั หลายทา นกป็ ฏบิ ตั มิ าอยา งนแ้ี ทบทง้ั นน้ั จนกระทั่งถึงความหลุด
พน ทานหลุดพนจากทุกขไปไดเพราะความตะเกียกตะกาย แลว กก็ ลายมาเปน สรณํ
เขาสูแดนนิพพาน ๒๘
๒๙
คจฉฺ ามิ ของพวกเรา จึงอยาลืม สรณะ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ ไมใชผูลางมือเปบ แตเปน
ผูต ะเกียกตะกายมาแทบลม แทบตายเชน เดยี วกบั เรา ๆ ทาน ๆ นแ้ี ล ใหคิดและยึด
ทา นเปน ตวั อยา ง อยา เอาเรอ่ื งขห้ี มรู าขห้ี มาแหง กลางบา นกลางเมอื ง ซึ่งไมมีคุณคาไมมี
ราคาหาหลกั เกณฑไ มไ ดม าเปน หลกั ใจ จะกลายเปน คนเหลวไหลเหลวแหลกแหวกแนว
หาความดี หาความพนทุกข หาความสุขความเจรญิ หาหลกั หาเกณฑไ มเ จอตลอดวนั
ตาย เมอ่ื เปน เชน นน้ั ความเอบิ อม่ิ ในงานและผลของงานกไ็ มม ภี ายในใจ ฉะนน้ั จงพากนั
ตั้งหนาตั้งตาประพฤติปฏิบัติ
พระธรรมของพระพุทธเจานั้นใหมเอี่ยมอยูเสมอ อยา ลืมวา ใหมเอ่ียมเสมอ
มัชฌิมาปฏปิ ทาคอื ธรรมใหมเ อี่ยม ไมอ บั เฉา ไมเ กา แกค ราํ่ ครา ชราเหมอื นวตั ถตุ า ง ๆ
ท่เี ราใชมานาน มชั ฌมิ าคอื ทา มกลาง ธรรมเปนที่เหมาะสมแกการแกกิเลสทุกประเภท
อยตู ลอดมา สดุ ทา ยกเ็ ปน มชั ฌมิ าในหลกั ธรรมชาติ เพราะการแกก เิ ลสหลดุ พน ไปแลว
ภายในจติ กลายเปน จติ มชั ฌมิ าคอื เสมอตวั ภายในใจตลอดไป
อยา เอาใครมาเปน แบบเปน ฉบบั ยง่ิ กวา พระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ สว น
มากจิตมกั จะเอาสิ่งที่ต่ํามาเปน แบบฉบับ นั่นละจึงตองพูดวา อยา เอาใครมาเปน แบบ
ฉบบั นอกจากพระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ ครบู าอาจารยท ท่ี า นพาดาํ เนนิ มาดว ย
ความดคี วามชอบ ดว ยความเหมาะสม อนั เปน คตติ วั อยา งดอี ยแู ลว สาํ หรบั เราผมู งุ หนา
ไปศกึ ษากบั ทา น ทา นกเ็ อามาจากวธิ กี ารของพระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ เหมือน
กนั
หากเกดิ ความทอ ถอยออ นแอขน้ึ มา ใหรําพึงถึงปาชาความเกิดตายที่จะเผาเรา
อยตู ลอดไป วา นเ้ี ปน ของดแี ลว หรอื การตะเกียกตะกายเพื่อความเพียรนนั้ แมจะมี
ความทกุ ขย ากกเ็ ปน การตดั ทอนภพชาตใิ หน อ ยลง มากกวา นน้ั กต็ ดั ภพชาตอิ นั เปน กอง
ทกุ ขท ใ่ี หญห ลวงออกไดจ ากจติ ใจ ผานพนไปไดโดยอิสรเสรี ไมมีกิเลสประเภทตาง ๆ
แมละเอียดสุดเขาย่ํายีบังคับจิตใจนั้น ชอ่ื วา เปนผมู อี ิสระเหนอื โลกสงสารอนั เปน สมมตุ ิ
โดยประการทั้งปวง ดว ยอาํ นาจแหง ความพากเพยี ร ดว ยอาํ นาจแหง ความ
ตะเกยี กตะกาย เพราะฉะนั้น จงถอื ความพากเพยี ร ความตะเกียกตะกาย ความอตุ สา ห
พยายาม นเ้ี ปน หลกั ชยั หรอื หลกั ดาํ เนนิ เราจะถงึ ความพน ทกุ ขใ นวนั ใดวนั หนง่ึ แนน อน
ใครไมม อี าํ นาจมาบงั คบั หรอื ใหค ะแนนเรา เราเปนผูใหคะแนนเราเอง
เอาละอธบิ ายเพยี งเทา น้ี
<<สารบัญ
เขาสูแดนนิพพาน ๒๙
๓๐
เทศนอบรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๓๑ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
บอยกลางเรือนของกิเลส
เพื่อความเปนพระพุทธเจาสั่งสอนโลก ทรงทุมเทเสียสละไมมีใครเสมอเหมือน
ไดเรื่อยมาจนถึงวาระสุดทายแหงความเปนพระโพธิสัตว คือพระเวสสันดร กด็ ูเอาตาม
ตํารา กระเทือนทั่วโลก การเสยี สละสมบตั อิ นั มคี ณุ คา มหาศาลทง้ั มวล ก็เพราะพระ
เมตตานั่นเองที่ทําใหเปนไป ไมใชอะไร คือทรงใหทานดวยพระเมตตา เวลาเสด็จออก
ทรงผนวชกท็ รงเสยี สละทกุ สง่ิ ทกุ อยา งเพอ่ื โพธญิ าณ แมม คี วามลาํ บากลาํ บนแสนสาหสั
ก็ไมทรงทอถอย จนไดตรัสรูธรรมเปนศาสดาสมพระทัยหมาย แลว นาํ ธรรมออกสง่ั สอน
โลก โดยไมมีโลกามิสเจือปนในพระทัยเลย พระทัยเต็มไปดวยพระเมตตาลวน ๆ ตอ
สัตวโลกทั้งมวล
พอตรสั รแู ลวกท็ รงเล็งญาณดูสัตวโลกวา ใครจะไดบ รรลธุ รรมกอ น ก็ทรงทราบ
วา ดาบสทง้ั สองคอื อาฬารดาบสและอทุ กดาบสรามบตุ ร ควรจะบรรลุธรรมกอนใคร ๆ
แตก็ทรงทราบวา ดาบสทง้ั สองสน้ิ ชวี ติ เสยี แลว ตง้ั แตว านนน้ี า เสยี ดาย ก็ทรงเห็นปญจ
วัคคียทั้งหาวาจะไดบรรลุธรรมวิเศษในไมชา
นั่นฟงซิ พระองคทรงเล็งหัวใจคน ไมไดเล็งหาเงินหาทอง หาขาวหาของ หา
ความเคารพนบั ถอื หาลาภสกั การเหมอื นอยา งทก่ี าํ ลงั เปน ไปอยทู กุ วนั น้ี มนั ผดิ กนั ไหม
โลกสมยั โนน กบั โลกปจ จบุ นั ศาสนาแตก อ นกบั ศาสนาสมยั ทกุ วนั น้ี ผูปฏิบัติศาสนาแต
กอ นกบั พวกเราปฏบิ ตั ศิ าสนาทกุ วนั น้ี ศาสนธรรมเปนธรรมจริง ๆ ผูทรงธรรมทรงและ
เทิดทูนธรรมไวจริง ๆ ปฏิบัติธรรมจริง ๆ เจตนาเปนธรรม หัวใจเปนธรรม เกย่ี วขอ ง
กับผูใดเปนธรรมทั้งนั้น ไมมีโลกเขาเจือปน ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมแทแ ละธรรมแทเ ปน อยา งนน้ั
ทา นปฏบิ ตั กิ นั มาอยา งนน้ั ในตํารับตํารามี เวลาอา นสงั เกตดว ยดถี า อยากพบอยากเหน็
อยากไดของดีของจริง อยา สกั แตอ า น สกั แตป ฏบิ ตั เิ หมอื นนกขนุ ทอง “แกว เจา ขา” เฉย
ๆ
เพราะฉะนั้น พระสาวกไปที่ไหนจงึ ทาํ ความรม เย็นใหแกโลกไดมากมาย ไมไป
รบกวนสง่ิ ใดกบั ใคร ๆ กวนเรอ่ื งโลกามสิ ทานไมไดกวน มแี ตค วามสงเคราะหโ ลกดว ย
ความเมตตา ไมไดกวนโลก การกอ การสรา งอะไรกไ็ มห รหู รา ไมมีโลกเขาเจือปน พอ
อยพู ออาศยั พอเปน พอไป ทา นบอกไวใ นเวลาบวชกบ็ อก วา รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ แนะฟงซิ
ไมไ ดบ อกใหส รา งหอปราสาทราชมนเทยี รอยสู ะดวกสบาย แบบโลกเขาทาํ เขาอยกู นั
รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ ก็คือการเที่ยวอยูตามรุกขมูลรมไม ตามปาตามเขา ตามถาํ้ เงื้อมผา
เขาสูแดนนิพพาน ๓๐
๓๑
อนั เปน ทส่ี ะดวกในการประกอบความเพยี ร เพอ่ื ถอดถอนกเิ ลสตวั ยแุ หยก อ กวนทาํ ลาย
ออกจากใจ เพื่อความเห็นโทษเห็นภัยของวัฏสงสาร การปฏิบัติธรรมทุกดานจะไดเขม
แขง็ ความเปน อยใู ชส อยในปจ จยั สก่ี พ็ อยงั ชวี ติ อตั ภาพใหเ ปน ไปวนั หนง่ึ ๆ กพ็ อกบั
ความจาํ เปน เพื่อการปฏิบัติธรรมดวยความสะดวกราบรื่นตามความมุงหมายเปน
สาํ คญั
การสง สาวกออกประกาศพระศาสนากเ็ พอ่ื ธรรมลว น ๆ เพอ่ื หวั ใจคนโดยแท ไม
ไดเ พอ่ื โลกามสิ ใด ๆ เราลองเทยี บดซู คิ รงั้ พทุ ธกาลกับสมยั ปจ จุบัน เพราะมแี บบแผน
ตาํ รบั ตาํ ราอยแู ลว ใคร ๆ กเ็ หน็ ไมน า สงสยั ทา นอยกู นั ยงั ไง ทา นปฏบิ ตั กิ นั ยงั ไงหวั ใจ
เปนธรรมหรือเปนกิเลสก็พอทราบได แมแ ตบ ณิ ฑบาตกย็ งั มใี นตาํ ราบอกเตอื นไวเ พอ่ื
เปนคติตวั อยางอันดแี กพวกเรา มีพระในครั้งพุทธกาลทานเคยปฏิบัติตอทานมาแลว
ขณะไปบณิ ฑบาตจติ คดิ ปรงุ แยบ็ ออกไปถงึ เรอ่ื งอาหาร วนั นี้จะไดอ าหารดี ๆ อะไรมา
ฉนั บา งนา พอรสู กึ อยา งนน้ั ทา นหยดุ ทนั ที ไมไ ปบณิ ฑบาตเลยวนั นน้ั ก็มันไปเพื่อพุงนี่
ไมไดไปเพื่อธรรม ทานเลยหยุด ไมไปใหกิเลสใหพุงมันไดใจ นม่ี ใี นตาํ ราในคมั ภรี นน้ั
แลทา นดดั สนั ดานกเิ ลสตวั โลภในโลกามสิ เพราะความเปนเชนนั้นเปนเรื่องของกิเลส
การแกก เิ ลสทา นยอ มเหน็ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน ภยั ทานถึงไดเปนสรณะของพวกเรา สงฺฆํ สรณํ
คจฺฉามิ ของพวกเรา จะเปนใครที่ไหน ความโลภมนั เปน สรณะใหโ ลกรม เยน็ ไดเ มอ่ื ไร
พอจะ สรณํ คจฉฺ ามิ กบั มนั
เราทั้งหลายแมแตเปนสรณะของตัวเองก็ยังไมได จะไปเปน สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
แกประชาชนญาติโยมไดยังไง เปนสรณะเจาของก็ยังไมได ชวยตัวเองก็ยังไมไดมันผิด
กนั ศาสนาคอ ยเปลย่ี นแปลงมา ๆ ทั้ง ๆ ทค่ี มั ภรี ใ บลานกย็ งั มอี ยู แบบแผนตาํ รบั ตาํ รา
มอี ยอู ยา งสมบรู ณ แตก ารปฏบิ ตั ขิ องผถู อื กเิ ลสํ สรณํ คจฉฺ ามิ มนั กเ็ ปน ขา ศกึ ตอ ธรรม
และตอตัวเองอยูโดยดี การแสดงออกทางกายทางวาจาทางใจ กเ็ ปน ขา ศกึ แกต วั แก
ธรรมและแกมรรคผลนิพพาน เปน การเขา ฝา ยกเิ ลสอยเู สมอ จะเอามรรคผลนิพพานมา
จากไหน กิเลสไมเคยใหคนไดบรรลุมรรคผลนิพพาน นอกจากธรรมเครอ่ื งฆา กเิ ลส มี
ศลี สมาธิ ปญ ญา เปนตน เทา น้ัน ที่จะผลิตมรรคผลนิพพานแกผูปฏิบัติตาม ไมได
สําเร็จดวยการอนุโลมผอนผัน อนั เปน การคลอ ยตามกเิ ลสหรอื สง เสรมิ กเิ ลสทง้ั หลาย
แตอ ยา งใด ผูปฏิบัติธรรมจึงไมควรสนิทติดจมกับนิสัยเดิม อันเปน พื้นเพของกเิ ลสปู
ลาดเอาไว
ผปู ฏบิ ตั อิ ยา มองไปอน่ื ใหม อง พุทฺธํ ธมมฺ ํ สงฺฆํ สรณํ คจฉฺ ามิ เปน หลกั สาํ คญั
ความพง่ึ เปน พง่ึ ตายกบั ทา นภายในจติ ใจกพ็ ง่ึ อยแู ลว ความพง่ึ เปน พง่ึ ตายกบั ทา นดว ย
เขาสูแดนนิพพาน ๓๑
๓๒
ขอ ปฏิบตั ิท่ีทานชแ้ี จงแสดงไว ที่ทานพาปฏิบัติดําเนินมา จงยดึ ธรรมเหลา นน้ั เปน หลกั
ใจหลกั การปฏบิ ตั ิ อยา ปลอ ยมอื รามอื
โลกกอ็ ยา งทร่ี ทู เ่ี หน็ นแ้ี หละ เพราะเราแตละรายเปนโลกดวยกัน คอื โลกดว ยกนั
ใครจะเสกสรรปน ยอวา ดอี ยา งไรขนาดไหน กอ็ ยา งทร่ี ู ๆ เห็น ๆ นแ่ี หละ ไปตื่นอะไร
กนั คนนน้ั เปน น้ัน คนนเ้ี ปน น้ี กว็ า ไปอยา งนน้ั แล ใจคนปากคนเรามนั ชอบยอ ไดก นิ
แตล มกเ็ อา เขายกยองสรรเสริญวาเปนนั้นเปนนี้ ดอี ยา งนน้ั ดอี ยา งน้ี โฮย ผึ่งผาย สงา
ผาเผยราวกับจะเหาะจะบิน รางกายธรรมดาก็ปรากฏขยายตัวใหญโต หนา กส็ ห่ี นา หา
หนา ราวกบั ทา วมหาพรหมในเทวโลก พอตกอบั เปลย่ี นแปลงไปตามกฎ อนิจฺจํ ไมมีผู
นบั ถอื ไมมีใครเหลียวแล เอาแลว ทน่ี ่ี เกิดความโศกเศราเหงาหงอย เพราะคิดวาไมมี
ใครนบั ถอื ชหู นา ชตู าเหมอื นแตก อ นทเ่ี รอื งอาํ นาจวาสนา คดิ กอบโกยหาแตท กุ ขม าใส
ตวั บางกรณกี นิ ไมไ ดน อนไมห ลบั สลบั กนั ไปกบั โรคประสาท นน่ั พจิ ารณาซโิ ลกมนั เปน
อยา งนน้ั ฟขู น้ึ แลว กฟ็ บุ ลง ๆ อยอู ยา งนน้ั ทานจึงเรียกโลกธรรม หาความจริงจังแน
นอนกบั มนั ไมไ ด
โลกธรรมจะเปนอะไร ก็เปน เร่อื งของกิเลสนัน่ แล ผจู ะรโู ลกธรรมแกโ ลกธรรม
ไดก็ตองเปนผูเรียนธรรม ปฏิบัติธรรม ดังพระพุทธเจาแลสาวกเปนตัวอยาง ทานอยู
เหนอื โลกธรรมแลว แสนสบายหายวนุ พวกเรามันพวกเทิดทูนโลกธรรมไวบนศีรษะ จึง
พากนั แบกแตโ ลกธรรมหนกั อง้ึ ตลอดไป ไมมีเวลาสรางซาลงบางเลย
ฉะนน้ั จงยึด พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ เสมอ อยาไปมองอะไร อยา ไปตน่ื เตน กบั โลก
สงสารใหเ สยี การ เสยี เวลาและเสยี คนคอื เรา ใครจะอยูโ ลกใดทวปี ใดกต็ าม ความมั่งมี
ศรีสุขขนาดไหน เรยี นมามากนอ ย โงหรือฉลาดแหลมคมเพียงไร ถา ยงั อยใู ตอ าํ นาจ
ของกเิ ลสอยแู ลว สิ่งที่กลาวมาทั้งมวลถูกกิเลสเอาเปนเครื่องมือเครื่องใช เปน บอ ยกลาง
เรอื นอยา งคลอ งตวั นน้ั แล แลว จะหาความสขุ ทไ่ี หน ดใู นหนังสือพิมพนัน่ ซิ มนั นา ดไู หม
ละ เราดดู วยความคิดความพิจารณาไมล าํ เอียง ดหู าความจรงิ พิจารณาตามความจริง
และพูดตามเหตุการณที่เปนไป
ดเู ขาถา ยภาพในหนงั สอื พมิ พ ไมไ ดด แู บบโลก ๆ ดูเปนแบบธรรม ถึงจะดู
หนงั สอื พมิ พก ไ็ มเ ปน แบบโลก จติ หากเปน ของมนั เอง มีแงของมันจนได อา นไป
พิจารณาไป อานไปตรงไหนพิจารณาไปตาม เรื่องความเปนอยูของโลก ความวนุ วาย
ของโลก ความเปลี่ยนแปลงของโลก มันเปลี่ยนแปลงไปทางไหน มันวุน วายไปยังไง มัน
จะมีสาเหตุนํามาซึ่งความสุขหรือความทุกข ความมหี ลกั เกณฑห รอื ความเหลวไหลไร
สาระ ความแนน หนามน่ั คงหรอื ความลม ละลาย
เขาสูแดนนิพพาน ๓๒
๓๓
เวลาชมุ นมุ กถ็ า ยภาพมอื ถอื แกว แกว อะไรกไ็ มร แู หละ แกว เบยี ร แกว นาํ้ ชาหรอื
แกว เหลา อะไรกไ็ มร แู หละ ตา งคนตา งถอื แลว ยม้ิ แตทําทา นา รนื่ เรงิ เหมอื นมีความสุข
มาก ความจริงมันเปนเพียงกิริยาประดับหนารานเทานั้น เรอื่ งของโลกยอมมมี ายาแฝง
เสมอ ไมงั้นก็ไมเรียกวาโลก ภายในหวั ใจนน้ั ไมม คี วามสขุ เพยี งยม้ิ ออกมาแหง ๆ อยา ง
นน้ั แล แตม นั เปน ไฟไหมก องแกลบซง่ึ ตา งกร็ อ นสมุ อยใู นสว นลกึ ของหวั ใจ เพราะเหตุ
รอยแปดพรรณนาไมจบสิ้น การแสดงออกตอสังคมจึงมีทีทาราเริงประดับสังคมใหสวย
งาม เพราะการรองไหสังคมถือกัน
มนั ไมม ีใครไดความสขุ ชมุ เยน็ ภายในใจหรอกในโลกแหง ราคคฺคินา โทสคฺคิ
นา โมหคฺคินา หนาแนน น้ี อยา ไปสงสยั วา โลกจะมคี วามสขุ อนั ภูมิฐานดงั ที่ประมาณกนั
ใหค ะแนนกนั นิยมกัน ความจริงมนั เปนความฝนในมโนภาพมากกวาจะเปน ความจริง
อยา เขา ใจวา โลกคอื หมสู ตั ว มคี วามสุขเพราะโลภมาก เพราะราคะตัณหามาก เพราะเจา
อารมณม าก เพราะเลหเหลี่ยมมาก เพราะคดโกงมาก เพราะความเอารัดเอาเปรียบ
เพื่อนมนุษยมาก เพราะกอบโกยมาก เพราะอํานาจมาก เพราะคนนบั ถอื มาก เพราะมี
สมบัติเงินทองมาก แตความสุขเกิดมีเพราะการปฏิบัติตอตัวเองดวยธรรม รูจัก
ประมาณในสิ่งที่เกี่ยวกับตน ความมีธรรม ความรูธรรม เห็นธรรม แกส ง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ อยู
ภายในจติ ใจออก นแ้ี ลบอ แหง ความสขุ อยทู น่ี ่ี บอ แหง ความอบอนุ อยทู น่ี ่ี ความมหี ลกั
เกณฑอยทู ่นี ่ี บอ แหง ความไวว างใจอยทู น่ี ่ี บอ ปลดปลอ ยภาระทง้ั หลายกอ็ ยทู น่ี ่ี
จงทํางานของเราดวยธรรมใหสําเร็จ จะอยเู ปน สขุ ไปเปนสุข แมต ายกเ็ ปน สขุ
เพราะธรรมอยูที่ใจ สุขจึงอยูที่ใจ มไิ ดอ ยทู อ่ี น่ื และสง่ิ อน่ื สิ่งเหลานั้นเพียงอาศัยไปเปน
วนั ๆ เทานั้น อยา หลงอยา ภมู ใิ จ จะเสยี หลกั และเสยี ทา เวลาตายจะไมมีอะไรติดตัว
โลกคอื ความลกึ ลบั ในหวั ใจ รูไดยาก ปฏบิ ตั ติ อ มนั ยาก สว นมากมกั เสยี ทา เสยี ทใี หม นั
จึงเตือนไว ผใู ชค วามคดิ อาจไดส ารคณุ ตดิ ตวั ผูมัวเมาจะเสียทาตั้งแตยังไมตาย ฉะนน้ั
จงตรวจดคู วามบกพรอ งของตวั เสยี แตบ ดั น้ี ตายแลว มใิ ชฐ านะ อยา มวั ตน่ื ยศแหง ความ
เปนมนุษยอยูจะเสียการณ มารจะผจญ
นกั บวชและนกั ปฏบิ ตั จิ งรบี ทาํ งานของตนใหส าํ เรจ็ ในกาลอนั ควร งานคือ เกสา
โลมา นขา ทันตา ตโจ ตโจ ทันตา นขา โลมา เกสา นั่น นท่ี า นสอนเพยี งเอกเทศให
เอานี้เปนเคามูล แลว กระจายออกไปเปน เหมอื นแกก ระทู กระทกู แ็ ปลวา มดั คือมัดเขา
ไวเ ปน กลมุ ๆ เปนมัด ๆ แลว กค็ ลค่ี ลายออกไป กรรมฐานหา มอี ยทู ไ่ี หน มอี ยใู นกาย
กระจายออกไปจนกระทง่ั อาการ ๓๒ กระจายออกใหร แู จงเหน็ จรงิ ในอาการ ๓๒
กระจายออกไปและเทยี บเคยี งกนั ทว่ั โลกทว่ั สงสาร ไมว า ผหู ญงิ ผูชาย สัตวบคุ คลทว่ั
เขาสูแดนนิพพาน ๓๓
๓๔
โลก มันเหมือน ๆ กนั น้ี ไมมีอะไรผิดแปลกพอจะใหตื่นใหหลงใหยึด นแ่ี ลงานการรอ้ื
ภพรอ้ื ชาตริ อ้ื วฏั สงสารออกจากใจ รอ้ื กเิ ลสตณั หาออกจากใจ คอื งานนเ้ี อง
สถานทเ่ี ปน ทเ่ี หมาะสม พระองคก็ทรงแสดงไวหมดแลว รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ ตาม
ปา ตามเขา ตามถาํ้ เงื้อมผา ทใ่ี ดเหมาะสมกบั การประกอบงานนท้ี า นกบ็ อกไวห มด
สถานทว่ี เิ วกสงดั เชน ในปา คือสถานท่เี หมาะสมสาํ หรับงานประเภทนี้ งานประเภทนี้
เหมาะในสถานทเ่ี ชน นน้ั มิไดเหมาะในตลาด สนามหลวง ทช่ี มุ นมุ ชนคนหนาแนน
อาหารหวานคาวหนาแนน กระดกู หมกู ระดกู ววั หนาแนน ใครตองการแมลงวนั ไป ใคร
ตองการธรรมความพนทุกข อยา ไปถา ไมอ ยากจมนะ
การขบการฉนั กไ็ มพ ะรงุ พะรงั ไมพร่ํา ๆ เพรื่อ ๆ เพราะจะเปนการกังวลกับ
เรอ่ื งการอยกู ารกนิ การภาวนาจะมนี อ ยหรอื ลม เหลวไป ฉันเสยี มอื้ เดียวเทานน้ั นพ่ี น้ื
เพดั้งเดิมจริง ๆ ทา นฉนั มอ้ื เดยี ว นอกจากนน้ั กม็ ดี ม่ื ขา วยาคบู า งถา มี แตไมถือเปน
ความจาํ เปน ยาคกู แ็ ปลวา ขา วตม นน่ั เอง ดม่ื นาํ้ ขา วตม กอ นบณิ ฑบาตได ทา นเพยี งบอก
วา ไดเทานั้นเองในตาํ รามี แตพวกเรานะ ซิ ฟาดกนั ไมมีอดั มีอนั้ ฟาดตอนเชา ตอนเพล
ดีไมดีฟาดตอนค่ําดวยใครจะไปรู เมอ่ื กเิ ลสตณั หาเตม็ หวั ใจลน หวั ใจแลว อาจขยนั กนิ ได
ทกุ เวลา เพราะกิเลสมันเกงทางนี้ แตถา ทางธรรมกเิ ลสไมเลน ดวย กิเลสมันจะไวห นา
ใครละ ไมเ คยเหน็ กเิ ลสไวห นา ใคร ทา นจงึ สอนใหล ะใหป ลอ ยมนั ก็เพราะไมใชของดีมี
คา นน่ั เอง แตพวกเรามันรักมนั สงวนมากไมอ ยากแตะตอ งมนั ขนื แตะตอ งกเ็ ทา กบั
ศีรษะขาดไปดวย
ทา นสอนไวห มด ไมใหสั่งสม ใหเ หมอื นกบั นก มแี ตป ก กบั หาง คลอ งแคลว ๆ
ไมพะรุงพะรังหวงหนาหวงหลัง การอยกู ารกนิ โลกเขาอยูไดก นิ ไดยังไง เรากเ็ ปนคน ๆ
หนง่ึ เขาเปนคน ๆ หนง่ึ เขากินได เรากก็ ินได การสมมตุ นิ ยิ มวา อาหารนน้ั ดี อาหารน้ี
ไมดี วา ไปอยา งนน้ั แหละ เรื่องธรรมแลวกินไดหมดถาไมผิดจากพระวินัยและธาตุขันธ
โรคภัย ทา นสอนใหเ ลย้ี งตวั งา ย ๆ เพอื่ ไมใหกงั วล วาเราเปนคนชั้นไหน คนชน้ั สงู ชน้ั
ตาํ่ คนสกลุ นน้ั สกลุ น้ี คนเมืองนัน้ เมอื งนีซ้ ง่ึ ตามหลักธรรมไมใ หมี มีแตน กั บวชอาศยั ขอ
ทานเขากนิ เขาใหอะไรมาก็กินตามเกิดตามมีไมทะเยอทะยาน ถา ไมผ ดิ กบั โรคกบั ภยั
ไมข ดั กบั ธาตกุ บั ขนั ธก บั พระวนิ ยั กก็ นิ ไป พอยังชวี ิตใหเปน ไปในวันหน่ึง ๆ เพอ่ื ความ
เพียรเทานั้น ทําความเพียรไมลดละ ไมถ อยหลงั ไมใ หง านอน่ื ใดมายงุ มีแตงานความ
เพียรอยางเดียว
พยายามสังเกตดูจิต จิตคิดอะไร เรอ่ื งราวทง้ั หลายทเ่ี ปน อารมณอ ยใู นจติ จิต
เปนผูผลิตขึ้นมาปรุงขึ้นมาใหพากันเขาใจ นไ่ี มอ วด เขาใจจริง ๆ เพราะไดเคยฟดกนั
มาแลว แทบไปแทบอยู แทบจะไมไ ดม าเหน็ หนา เพอ่ื นฝงู เวลาเขา สแู นวรบบนเวที
เขาสูแดนนิพพาน ๓๔
๓๕
อารมณน น้ั ไมใ ชอ ะไรนะ เรอ่ื งอารมณข องตัวเองน่ันแหละ จติ หลงอยกู บั อารมณข องตวั
เอง คอื จติ มนั ออกไปวาดภาพเรอ่ื งนน้ั ภาพเรอ่ื งนอ้ี ยตู ลอดเวลา ใหคิดเรื่องนั้นคิดเรื่อง
นี้เพราะจติ อยกู บั เรอื่ ง ถา ไมม สี ตปิ ญ ญาคอยสกดั ลดั กน้ั แลว มันจะคิดติดตอเกี่ยวเนื่อง
กนั ไปเปน ลูกโซโดยลําดบั ๆ ทานเรียกวาธรรมารมณ ทําเราใหหลงเพลินและเศราโศรก
ไปกบั เรอ่ื งกบั ราวของตวั ทว่ี าดขน้ึ มานน่ั แล
พอเวลาจิตสงบ เร่ืองเหลา นี้กไ็ มมี หายเงยี บ กบั เวลาทเ่ี ราทาํ หนา ทภ่ี าวนาของ
เรา จะพจิ ารณาอาการใดธรรมบทใดแงใ ดกต็ าม เราพิจารณาดวยความสนใจ อารมณ
ภายนอกจะไมเ กย่ี วขอ ง เพราะจิตไมออกไปเกี่ยวของ จิตไมปรุงเปนเรื่องภายนอกเขา
มาทําลายจิตใจ จติ ทาํ หนา ทเ่ี พอ่ื ถอดเพอ่ื ถอน ไมไดทําหนาที่เพื่อสั่งสมกิเลสโดยการ
คิดไปตามอารมณตาง ๆ ที่เรียกวาธรรมารมณ จิตก็สงบ เรียนอยางนั้นแหละเรียนวิชา
เรื่องจิต
ทีแรกกิเลสมันรวดเร็วเราไมทันมันแหละ เอะอะมันคิดไปแลว ๆ เมื่อเรียนเขา
ไปปฏิบัติเขาไป จิตละเอียดเขาไป สตปิ ญ ญาก็มีความแหลมคมขนึ้ คลอ งแคลว แกลว
กลา ขน้ึ โดยลาํ ดบั ทนี ก้ี ท็ นั กนั แยบ็ ออกไปเร่อื งอะไรกร็ ู นี้จิตคดิ ปรุงออกไปแลว พอ
ปรุงพับสติรูทัน มันก็ดับ ก็ไมมีเรื่องตอ จะปรุงเรื่องหญิงเรื่องชาย เรื่องดีเรื่องชั่ว เรื่อง
อดตี อนาคตอะไร กผ็ นู เ้ี ปน ผปู รงุ วาดภาพเรอ่ื งราวขน้ึ หลอกเจา ของ เหมือนกับเขาดู
หนงั ในจอผา นแ่ี หละ ในจอในแจน่นั เงาเฉย ๆ กเ็ ปน บา กนั ไปได กเ็ งา ๆ หลงหาอะไร
ตวั จรงิ มนั อยทู วปี ไหน ไปอยโู ลกไหนกไ็ มท ราบ มแี ตเ งาปรากฏในจอผา กต็ น่ื กนั พวก
เรามันพวกบาตื่นเงาไมมีเบื่อ นก้ี เ็ หมอื นกนั อารมณน ่ี เงาของจิต พจิ ารณาใหท นั มัน
อยา งนน้ั ซิ ทันขนาดที่วามันปรุงขึ้นแย็บเรื่องอะไร มันก็ดับเพราะสติทันมันก็รู ปรุงพับ
กด็ บั พรอ ม ๆ เมื่อไมปรุงก็รูอยูดวยสติ
พอพดู ถงึ เรอ่ื งนก้ี ท็ าํ ใหค ดิ ถงึ เวลาอยใู นปา เขา ตอนจติ เสอ่ื มกบั ตอนจติ เปน
สมาธกิ ต็ อ งอาศยั หลกั จติ บงั คบั จติ ไมใ หอ อกจากตวั เอง ใหร อู ยกู บั จติ กบั ตวั โดยเฉพาะ
อยางเขมงวดกวดขัน ไมงั้นมันจะวาดภาพเสือ วาดภาพอนั ตรายขน้ึ มาใหเ รากลวั เพราะ
ไปอยใู นสถานทก่ี ลวั ดว ย ในสถานทม่ี เี สอื จรงิ ๆ ดว ย ตอ งบงั คบั จติ ไมใ หส ง ออกไปภาย
นอกเลย ใหร อู ยกู บั ใจน้ี เปน กบั ตายกม็ อบอยกู บั น้ี จนกระทง่ั มนั มคี วามอาจหาญชาญ
ชยั ในที่สุดเสือจะเดินมาตอหนาตอตา มนั จะเดนิ เขา ไปลบู คลาํ หลงั เสอื ไดอ ยา งสบาย
เลยนะ ตามความรสู กึ มนั แนใ นใจยงั งน้ั ไมคิดวาเสือจะทําอะไรไดเลย นอ่ี าจเปน ความ
สําคัญผิดของตัวก็ได แตจ ะสาํ คญั ผดิ หรอื สาํ คญั ถกู กต็ าม เมอ่ื จติ ไดก ลา ถงึ ขนาดนน้ั
แลว มันเดินเขาไปลูบคลําหลังเสือไดจริง ๆ ดว ยจติ ใจออ นโยนเมตตาสงสาร ไมสะทก
สะทา นในเรอ่ื งวา จะกลวั ความกลวั กไ็ มม ี
เขาสูแดนนิพพาน ๓๕
๓๖
จติ มนั มกี าํ ลงั มากเวลานน้ั เพราะไมใหมันออกนอก กาํ หนดเขา เรอ่ื ย ๆ มันก็มี
กาํ ลงั จนแนน ปง เลย ขน้ึ ชอ่ื วา อนั ตรายอะไรกม็ าเถอะ วา อยา งนน้ั เลยนะ มันอาจหาญ
ขนาดนน้ั เสอื กม็ า ชางก็มา ไมห นวี า อยา งนน้ั เลยนะ คอื มนั เปนความอาจหาญของมนั
จริง ซึ่งเราก็ไมเคยเปนมากอน มาเปน เอาตอนฝก ดดั สนั ดานในขณะกลวั นน่ั แล ไมค ดิ
วา เสือหรอื ชางเปน ตน จะมาทําลายเราไดเลย จะเดนิ เขา ไปหามนั ไดอ ยา งสบาย แมมัน
จะทําเรา ฆา เราใหต ายในขณะนน้ั กร็ สู กึ วา จะตายไปดว ยความอาจหาญนน่ั เอง ใหต าย
ดวยความกลัวนี่คงเปนไปไมได เพราะเวลานัน้ จิตมนั มกี ําลังมาก นเ่ี ปน วธิ หี นง่ึ แหง การ
ระงบั ดบั ความกลวั แหง การระงบั ความฟงุ ซา น ความกอ กวนตวั เองดว ยอารมณต า ง ๆ
ระงบั กนั อยา งน้ี
ทง้ั นต้ี ามแตอ บุ ายแยบคายของแตล ะรายจะผลติ ขน้ึ มาใช เปลื้องตัวจากความจน
ตรอกในเวลานน้ั ๆ เพราะธรรมหรอื สตปิ ญญาไมส ้นิ สดุ อยูก ับผูใด สามารถทาํ ใหเ กดิ
ใหมีในแงต าง ๆ ไดดวยกัน ถา ไมข เ้ี กยี จคอยขน้ึ เขยี งใหก เิ ลสสบั ยาํ เสยี อยา งเดยี ว สว น
มากพระเรามักมีแตพระขึ้นเขียง สวรรคนิพพานทางมีไมยอมเดินไมยอมขึ้น คงคิดวา
ไปแลว ขน้ึ แลว ไมถ กู สบั ถกู ยาํ ไมส นกุ กเ็ ปน ได
พอกา วเขา สปู ญ ญาเกย่ี วกบั การระงบั ความกลวั เปน อกี แบบหนง่ึ เพราะปญญา
กบั สมาธนิ น้ั ผดิ กนั ในคน ๆ เดยี วกนั นน่ั แหละ เราเองเคยปฏิบตั มิ าอยางน้นั ไมมีใคร
บอกมนั หากรวู ธิ ปี ฏบิ ตั ติ อ ตวั เอง เชน เมอ่ื จติ อยใู นขน้ั สมาธิ กเ็ อาสมาธเิ ขา บงั คบั จติ ให
สงบจากความกลวั ไมใ หส ง ไปหาอารมณท ก่ี ลวั วา เสอื วา ชา งวา งวู า อะไรวา อนั ตรายตา ง
ๆ ก็ไมมีเรอื่ งกวนตวั เอง เพราะจิตไมออกไปวาดภาพหลอก พอจติ กา วเขา วปิ ส สนา พอ
จติ ปรงุ แยบ็ เรอ่ื งเสอื มนั กร็ ทู นั แลว นน่ี ะ เพียงแย็บปรุงถึงภาพเสือ สติปญ ญาก็ทนั แลว
วานี่มันปรุงภาพเสือ เอา แมจะทันก็ใหมันปรุง ใหเ ปน เสอื เขา มาแลว แยกธาตเุ สอื ทว่ี า
แยกธาตุเสือเพราะอะไร เพราะเราดาํ เนนิ ปญ ญาในการคลค่ี ลายแยกแยะอยแู ลว น่ี จะ
เอามาใชร ะงบั แบบสมาธมิ นั ไมเ หน็ ดว ย จิตมันไมถนัด ถนดั ในการแยก เอา เสือหรือ
กลวั มนั อะไร กลัวตรงไหน
คอื ตง้ั เปน ภาพเสอื ใหม นั เหน็ อยอู ยา งนน้ั แล ไมใหมันดับ เพราะเรารูอยูแลววา
ภาพของเราออกไปหลอกเจา ของน่ี เอาตง้ั ไวภ าพน้ี เอา กลวั อะไร สติปญญามันทัน
ความเคลอ่ื นไหวของจติ มนั ทนั เองนะ เมอ่ื มนั แกกลา เขา ไปมันทนั เองอยางน้ี นี่คือ
ความจริงที่พูดใหหมูเพื่อนฟง นว้ี ธิ กี ารฝก จติ ตวั เอง เมื่อมนั รวดเร็วแลว มนั ทนั ภาพ
ปรุงขึ้นเรื่องอะไรปบ มนั รวู า นแ้ี ยบ็ ออกไปแสดงทนั ที พอรูพับดับพรอม อันนี้เรายังไม
ใหด บั เราจะแยกมัน เพราะเปนอุบายของปญญาและเปนเครื่องหนุนจิตใจใหละเอียด
เขาไปอีก
เขาสูแดนนิพพาน ๓๖
๓๗
พอแยกธาตกุ าํ หนดดเู สอื กลวั อะไรมนั เอา ไลเบี้ยกันไป กลวั ตามนั รึ ตาเราก็มี
ไมเ หน็ กลวั นน่ั มนั แกก นั กลวั เลบ็ มนั รึ เล็บเรากม็ ีไมเห็นกลัว กลวั ขนมนั รึ ขนเราก็มีไม
เหน็ กลวั ถา กลวั ขนมนั กก็ ลวั ขนเราซิ ขนเราขนมนั ธาตอุ นั เดยี วกนั กลัวเขี้ยวมันรึ เขี้ยว
เราก็มี กลวั อะไร ไลหากันจนไมมีทางไป กระทั่งถึงหาง บทเวลาไลถ งึ หางนกึ วา มนั จะ
จนมนั กไ็ มจ นนะ ความจริงก็เราไมมีหางนี่ กลวั หางมนั เหรอ แมแตตัวมันเองยังไมกลัว
แลวเราจะไปกลัวหางมันหาประโยชนอะไร แนะ มนั แกก นั ทนั นะ
ตอ จากนน้ั กก็ าํ หนดทาํ ลายใหแ ตกกระจายละทน่ี ่ี การกาํ หนด ปญญามันรวดเร็ว
น่ี กาํ หนดใหแ ตกกระจายไปหมด อนั นน้ั กแ็ ตกกระจายลงไปถงึ ความเปน ธาตตุ า ง ๆ
ความปรุงของจิตออกไปก็รู คอื กาํ หนดไวเ มอ่ื เวลามนั ปรงุ ออกไปเปน ภาพเสอื ใหม นั
เปน ภาพเสอื เสยี กอ น จนพจิ ารณาไลไ ปทลี ะอาการ ๆ อยา งนน้ั แลว ทนี ก้ี าํ หนดใหม นั
กระจายไปเลย การกําหนดกระจายนี่ จิตก็แย็บปรุงเพราะเปนภาพของจิตเองนี่ สติ
ปญ ญามันทันเอง มนั ทาํ ลายกนั เอง โดยสมมุติวาเสือ เพราะสถานทเ่ี หลานัน้ มันมีเสอื
มนั กลวั เสอื กาํ หนดภาพเสอื ใหม นั ดเู สยี กอ น กําหนดกระจายลงไปมันก็หมด พอปรุง
ขึ้นพับภาพอะไรมันก็ดับไปพรอม ๆ ทนี ก้ี จ็ ะกลวั อะไร เพราะไมมีอะไรหลอกนี่ เปน
ภาพของตวั เองไปหลอกตวั เองตา งหาก
ไมว า เสอื วา ชา งวา งวู า อะไร เวลาเจอจริง ๆ มนั กเ็ ปน ธรรมชาตอิ นั หนง่ึ เราก็เปน
ธรรมชาตอิ ันหนง่ึ แนะ มันคิดไปอยางนั้นเสีย นน่ั กธ็ าตุ นก่ี ธ็ าตุ มนั พจิ ารณาไปอยา ง
นน้ั เสยี จิตมันพลิกตามอุบายปญญาไปเสีย ไมพ ลกิ ไปทางใหก ลวั มนั กไ็ มก ลวั จน
กระทั่งจิตวางไปหมด เม่ือมนั วางไปหมด อะไรแยบ็ ขน้ึ มามนั กเ็ หมอื นแสงหง่ิ หอ ย มัน
เปนของมันเอง แยบ็ ขน้ึ มาดบั พรอ ม ๆ มแี ตค วามวา งไปหมดแลว จะกลวั อะไร มีแตจิต
มนั ครอบรา งกายน้ี ทาํ ใหว า งไปหมดและครอบโลกธาตเุ สยี ดว ย แลว จะกลวั อะไร อบุ าย
วธิ รี ะงบั จติ เปน อยา งนน้ั ระงบั ความกลวั มันไมกลัว ตอ งใชอ บุ ายวธิ ตี ามขน้ั ของจติ ของ
สมาธแิ ละปญ ญา
สตปิ ญ ญาใหน าํ ออกใช อยา นง่ั เฝา อยเู ฉย ๆ คอยใหเ กิดปญญา ไมเกิดนะ อยา
วา ไมบ อก บอกมาหลายครง้ั หลายหนแลว สมาธิแคไหนปญญาก็จะตองใชไปตามขั้นภูมิ
กาํ หนดพจิ ารณาหาอบุ าย คนหาอุบายคิดพินจิ พจิ ารณาจนเกดิ ปญญาขึ้นมาเอง พอเกิด
ขน้ึ มาแลว กท็ าํ ใหเ ขา ใจ ๆ ทนี ก้ี เ็ หน็ คณุ คา ของปญ ญา จากน้ันก็เดินปญญาเรอ่ื ย ๆ ไป
ตามแตกรณี
ปญญาเปนเครื่องแกกิเลส สมาธเิ เตเ พยี งไลก เิ ลสเขา มารวมตวั ใหใ จสงบ ไมยุง
เหยงิ วนุ วายหรอื ไมฟ งุ ซา น จิตรวมตัว ปญญาเปนผูคลี่คลายเพื่อเหตุเพื่อผลในการแก
กเิ ลส เหตุผลพรอมที่ตรงไหนกิเลสหลุดลอยไปเรื่อย ๆ ใจกเ็ กดิ ความสะดวกสบาย
เขาสูแดนนิพพาน ๓๗
๓๘
เห็นคณุ คา ของปญญา สติปญญาเริ่มหมุนตัวเรื่อย ๆ ความเพยี รกก็ ลา แขง็ ถา ลงความ
เพยี รออกกา วเดนิ แลว ความขเ้ี กียจขี้ครานหายหนา ไปหมด ไปอยูไหนอยไู ดท้ังน้นั ไมว า
จะอยใู นปา ในเขา ไมว า อยสู ถานทเ่ี ชน ไร นา กลวั ไมน ากลวั จิตไมไปสําคัญ ไมส นใจเลย
สนใจแตก เิ ลสตวั ยงุ กวนนเ่ี ทา นน้ั
กลวั กค็ อื กเิ ลสเปน ผพู าใหก ลวั เปน ผหู ลอกใหก ลวั นน่ั เอง มันไมไดวาเสือเปน
สตั วน า กลวั เสอื เปน อนั ตรายนะ กเิ ลสตา งหากเปน สง่ิ นา กลวั พาใหก ลวั และเปน
อนั ตราย จติ ยอนเขามานี่ วา กลวั เสอื ความกลวั เปน กเิ ลสตวั เขยา ตา งหาก เสอื นน้ั อยกู บั
มนั ตางหาก ถาเราไมปรุงขึ้นวาเสือ ไมปรุงขึ้นวาอันตรายก็ไมเห็นอะไรมาเขยาจิตใจได
ก็คือความปรุงความแตงความเสกสรรของจิตนี้เอง มันเขยาตัวเองใหไดรับความทุกข
ความลาํ บาก เพราะฉะนั้น จติ จงึ แนใ จและปก ใจวา อนั นเ้ี ปน ภยั มนั เอาตรงนีว้ าเปนภัย
ไมเ หน็ วา ภายนอกเปน ภยั เมื่อเขาถึงขั้นความจริงแลวมีแตกิเลส ๆ เปน ภยั อยภู ายในน้ี
มนั รอู ยนู เ้ี หน็ อยนู ้ี แสดงขึ้นมาที่นี่ มันจะไปตะครุบเงาอยูนอก ๆ โนนทําไม ปญญาพอ
ถงึ ขน้ั นแ้ี ลว มนั หมนุ ต้วิ ๆ อยนู ้ี รอู ยนู ้ี เหน็ อยนู ้ี อะไรกระดกิ พลกิ แพลงข้ึนในจิตก็รูวา
เปนเรื่องของกิเลสทั้งเพ ขนึ้ ชือ่ วา เปนเรื่องของกิเลสแลวมันทันกัน ๆ เรื่อย ๆ นก่ี าร
ปฏิบัติธรรมะ
ผใู ดชอบคดิ ชอบพนิ จิ พจิ ารณา ผูนั้นละจะเขาใจไดดี เราจะวาเรามีสมาธิ ไมมี
สมาธิ ถงึ เวลาทค่ี วรจะพจิ ารณาใหพ จิ ารณา ความสงบกเ็ พอ่ื จติ สบาย การพจิ ารณาก็
เพอ่ื ถอดถอนกเิ ลสภายในจติ เพอ่ื ความสบายหายหว งของจติ จติ ปลอ ยกงั วลไดเ ปน
ลาํ ดบั อยาไปคาดวาเราไมมีภูมิสมาธิหรือเราไดภูมิสมาธิเพียงแคนี้เปนปญญาไปไมได
พิจารณาปญญาไปไมได อยา หาคาดหมาย กเิ ลสมนั มีขน้ั ทไ่ี หน มนั เกดิ กเิ ลสขน้ั ไหน
บา ง มันไมเห็นมาบอกเรา กิเลสแสดงขึ้นมาที่ไหนก็เปนกิเลสและเสียดแทงหัวใจเราได
ทุกประเภทของกิเลส ทกุ อาการของกเิ ลสทม่ี นั แสดง เราตอ งคิดเทียบอยางน้นั ซิ กเิ ลส
ไมเ หน็ วา มชี น้ั ไหนภมู ใิ ด ทําไมมันเปนกิเลสทุกระยะที่มันแสดงตัวออกมา เวลามีธรรม
เงื่อนใดที่เราจะพิจารณา ทําไมจะไมเปนธรรม ถึงวาระที่จะพิจารณาเราตองพิจารณา
เพราะการพิจารณาก็เพื่อแกกิเลส ทําไมจะไมเปนธรรม ปญ ญาตอ งหมนุ กนั อยา งนน้ั ซิ
ปญญาตองดักหนาดักหลังรอยสันพันคมไมงั้นไมทันนะ
ไดย นิ แตท า นวา มหาสติมหาปญญา เปนยังไง มหาสติมหาปญญา ทา นกลา วไว
แลว นน้ั จติ มนั คาดมนั หมายนะ ทา นวา พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหัต
บรรลุโสดา บรรลุสกิทาคา บรรลอุ นาคา บรรลุอรหัตอรหันต มนั กค็ าดหมายไปตาม
ความบรรลุ เราจะบรรลอุ ยา งนน้ั เราจะบรรลอุ ยา งนม้ี นั คาดไป แตค วามคาดเหลา นน้ั กบั
ความจริงที่เราปฏิบัติไปรูเห็นไปมันเปนคนละโลก ไมใชอ นั เดียวกนั หา งกนั คนละโลก
เขาสูแดนนิพพาน ๓๘
๓๙
เหมือนเราวาดภาพเมืองอเมริกาเปนตน เราไมเคยเห็นอเมริกา เชน กรุงวอชิงตนั
เปนตน หรอื เรอ่ื งอะไรกต็ าม มันจะวาดภาพขึ้นมาทันที เรากเ็ ชอ่ื วา มนั เปน อยา งนน้ั ๆ
พอไปเห็นเขาเทานั้น ภาพทว่ี าดไวน น้ั กบั ความจรงิ มนั เปน คนละโลกเลย
แตเรากไ็ มยอมเห็นโทษ วา ภาพทเ่ี ราวาดไวแ ตก อ นนน้ั คอื เครอ่ื งหลอกเรา เคย
หลอกมาตง้ั แตไ หนแตไ ร พดู ถงึ เรอ่ื งอะไรมนั กว็ าดภาพนน้ั ขน้ึ มา พูดเรื่องอะไรเรื่องคน
เรื่องสัตว เรื่องอะไรก็ตาม มันตอ งมีภาพข้นึ มาประกอบทุกสงิ่ ทกุ อยา งทกุ ครัง้ แตเวลา
ไปถึงความจริงแลว ภาพทวี่ าดเอาไวนนั้ ไมต รงกับความจริงนั้นเลย ควรจะเห็นโทษแต
เราก็ไมยอมเห็น
เพราะฉะนั้น จงึ วา กเิ ลสกลอ มคนใหห ลบั สนทิ ไดง า ยนดิ เดยี ว วาดภาพมรรคผล
นพิ พานกเ็ หมอื นกนั สําเร็จพระโสดาเห็นจะเปนอยางนั้น สาํ เรจ็ พระสกทิ าคา สําเร็จ
พระอนาคาเห็นจะเปนอยางนั้น สาํ เรจ็ อรหนั ตเ หน็ จะเปน อยา งนน้ั มนั วาดภาพของมนั
ไวอ ยา งพรอ มมลู และเปน เครอ่ื งหลอกอนั หนง่ึ ๆ ฉะน้ันจงึ ไมตองไปคาดไปหมาย ให
เดินตามปฏิปทาเครื่องดําเนิน ปจจุบันธรรมเปนหลักที่จะยังมรรคผลนิพพานใหเกิด
ภายในใจไมส งสยั
สตเิ ปน ของสาํ คญั ควบคมุ งานใหด ี ไมม สี ตมิ นั เถลไถล ตองมีสติควบคุมจิตทุก
อริ ยิ าบถราวกบั ควบคมุ ผตู อ งหานน่ั แล พอดกี บั กเิ ลสทม่ี นั ฉดุ ลากตวั ประกนั ไป สติ
ปญญา ตามฉดุ ลากตวั ประกนั กลบั คนื มา คาํ วา ทาํ งานจะไมท กุ ขย งั ไง งานประเภทไหน
งานนอกงานในมนั ตอ งมคี วามทกุ ขล าํ บากเปน ธรรมดา เพราะทํางานนี้ก็เราทํางานจิตต
ภาวนา สติจะตองเปนเครื่องบังคับกันเสมอ พิจารณาใหรูใหเห็นซิ เรื่องสัญญาอารมณ
มนั ผดิ กบั ความจรงิ มาก รเู หน็ ดว ยความจาํ กบั ความจรงิ เปน คนละโลก ดังเราเห็น
อเมรกิ าดว ยการวาดภาพ กับเห็นประจักษตายอมประจักษใจ ผดิ กบั การนึกคดิ ดว ยมโน
ภาพอยมู าก
ดงั ทว่ี า เหน็ กายดว ยความจรงิ กเ็ หมอื นกนั นผ่ี มเคยเหน็ มาแลว ทแี รกกอ็ าศยั คดิ
คาดไปเสียกอน หมายไปเสยี กอ น พิจารณาไป คิดคาดไป พอไดจังหวะจิตกําหนดติด
ปบ ๆ เขาไปในสว นหน่ึงของรางกาย เมื่อติดปบไดที่แลวจิตไมยอมปลอย พอจิตไม
ปลอยกเ็ หน็ ชัดเขา ๆ และเห็นชัดไปหมดทั่วรางกาย และกระจายเปน วงกวา งออกไป
เหมือนกระดาษซึม มันซึมไปหมดทั่วรางกาย จนกระทั่งรางกายตาย เนาพองและแตก
สลายกเ็ ปน ไปในขณะนน้ั ใหเราเห็นใหเราดูรางกายพังลงไป แตกกระจายลงไป เปอ ย
เนาลงไปใหเห็นอยางชัดเจน และเปนไปอยางรวดเร็วนะ ปุบปบ ๆ ยง่ิ เกดิ ความสลด
สังเวช ออ เหน็ อยา งนเ้ี หรอเหน็ กายนะ เหน็ อยา งนเ้ี หรอ มันชัดมากนะ
เขาสูแดนนิพพาน ๓๙
๔๐
นเ่ี รยี กวา ปจจฺ กขฺ ทฏิ ฐ ิ รูจําเพาะเห็นจําเพาะตน คือเห็นดวยตนเองจริง ๆ เห็น
เปนความจริงประจักษใจเปนอยางนี้ ผดิ กบั เหน็ ดว ยความจาํ ความคาดหมายอยมู าก
เมื่อเห็นชัดเขา ๆ อนั นน้ั ขาดออกอนั นห้ี ลดุ ลงไป โดยทเ่ี ราไมไ ดบ ังคับใหกาํ หนดให
ทาํ งานขณะนน้ั มันเปนขึ้นมาเองเมื่อกําหนดไดที่แลว เปน แตเพยี งเอาความรหู ยงั่ ไวใน
จดุ เดยี ว จากนน้ั กระแสจติ รศั มีของปญญาหากกระจายไปเองทัว่ รางกายของเราท้ังคน
ในขณะพจิ ารณารา งกายอยนู น้ั ปรากฏวา อวยั วะสว นนน้ั ขาดลง อนั นข้ี าดลง ตก
ลงไป ขณะพิจารณาเพลิน ๆ อยนู น้ั มนั ไมม คี วามรสู กึ วา กายมนี ะ มันหายเงียบไปหมด
ทั้ง ๆ ทพ่ี จิ ารณากายอยนู น้ั แล พิจารณาไปเรื่อยจนกระทั่งลงถึงที่มันแลว สว นดนิ กเ็ หน็
ไดชัด มันคอยกระจายไปเปนดิน สว นนาํ้ กซ็ มึ ลงไปในดนิ บา ง เปน ไอขน้ึ ไปบนอากาศ
บา ง ลม ไฟก็ไปตามสภาพของมัน ตอจากนั้นจิตก็วางเปลาไปหมด
ทเ่ี หน็ กายทแี รกเหน็ อยา งชดั เจนเหน็ ทว่ี ดั บา นหนองผอื นาในนะ ขณะที่กระดูก
กาํ ลงั กระจายกนั อยู จิตตะลอมคือรวมกระดูกเขามา นอกนั้นมันกระจายไปหมด มัน
กลายไปเปน นาํ้ กลายไปเปนดินไปหมด นํ้ากไ็ ปตามนาํ้ เหือดแหงไป สว นทเ่ี ปอ ยงา ย
มันก็เปนดินไปอยางรวดเร็ว สวนที่ไมเปอยงายเชนกระดูก มันก็ยังเหลือเรี่ยราดกันอยู
ขณะที่จิตเปนเชนนี้มันทํางานของมันเองนะ เหมอื นกบั มนั กวาดกระดกู เขา มา ตะลอ ม
เขามารวมกันเปนกอง แทนที่จะเอาไฟเผามันกลับไมเผา มันหากเปนของมันเอง จิต
เกดิ วติ กวา เอ รา งกายทง้ั รา งนม้ี นั กลายเปน อยา งนเ้ี อง เปน ธาตอุ ยา งนเ้ี อง มันรําพึงมัน
สลดสังเวชนะ รา งกายตวั เองถกู พจิ ารณาจนเปอ ยปรกั หกั พงั ลงไป ยังเหลือแตเพียง
กระดกู แหง ๆ ดูมนั โอ กระดกู กลายเปน ดนิ มนั เปน ไดอ ยา งนเ้ี อง
ขณะกาํ ลงั กาํ หนดพจิ ารณาอยใู นกองกระดกู นน้ั ไมท ราบแผน ดนิ มาจากทไ่ี หน
ปบ มาปด กองกระดกู อนั น้ี เหมอื นวา มากลบกองกระดกู ทเ่ี รากาํ ลงั กาํ หนดพจิ ารณาอยู
นน้ั ตอนนน้ั แผน ดนิ มาจากทไ่ี หนมากลบกนั ปบ เดยี ว น่ีก็เปนธรรมเทศนาอนั หนงึ่ พอ
ดนิ มากลบกองกระดกู ปก เดยี ว กระดกู กองนน้ั กก็ ลายเปน ดนิ ไปดว ยในขณะนน้ั ออ มัน
เปน ดนิ อยา งนเ้ี อง จากนน้ั จติ กว็ า งหมด วางหมดไมมีอะไรเหลือเลย จิตเงียบ โอโฮ ที่
จติ เงยี บอยนู น้ั นานเปน ชว่ั โมง ๆ หมดความสาํ คญั มน่ั หมายใด ๆ ทั้งสิ้น ไมท ราบอยสู งู
อยตู าํ่ อยทู ไ่ี หน นง่ั อยหู รอื นอนอยู อยกู ฏุ หิ รอื อยรู ม ไม หรอื อยทู ไ่ี หนไมส าํ คญั ทง้ั นน้ั มี
แตค วามวา ง ความรอู ยา งละเอยี ดสขุ มุ เปนความอัศจรรยก ับความรูอยเู ทา นนั้
จนกระทั่งไดจังหวะแลว จติ กค็ อ ยขยายตวั ออกมา ๆ จนเปนจิตธรรมดาตามขั้น
ภูมิของจิต จติ ยงั วา งอยเู ลย กาํ หนดดกู ฏุ หิ ลงั ไหน ดตู น ไมใ บหญา แถวบรเิ วณนน้ั กไ็ ม
เห็น มันวางไปหมด เพราะอาํ นาจแหง ความวา งภายในสมาธนิ น้ั มนั ยงั ไมจ างไป เนอ่ื ง
จากตอนนั้นจิตเรายังไมถึงขั้นวางตามภูมิจิตวางนี่นะ คาํ วา จติ วา งนน้ั มนั มาวา งตอนเรา
เขาสูแดนนิพพาน ๔๐
๔๑
พจิ ารณาขั้นปญญาแลวตา งหาก คนื นน้ั เกดิ อศั จรรยใ จอยา งบอกไมถ กู ศัพทท างโลกก็
วา ครม้ึ อม่ิ เอบิ อยา งละเอยี ดสขุ มุ พูดไมออกบอกไมถกู ตามความจรงิ ท่เี ปน นน่ั แลเหน็
รางกายเห็นชัดจริง ๆ ไมมีสงสัย ไดเ หน็ กายประจกั ษจ ากการภาวนาคนื นน้ั แหละ
วนั นอกนน้ั มากไ็ มไ ดเ ปน อยา งนน้ั อกี เหน็ กเ็ หน็ เหมอื นกนั แตม นั เปลย่ี นสภาพ
การเห็นไปเรื่อย ๆ แตเ รากไ็ มไ ดอ าลยั เสยี ดายวา อยากใหม นั เปน อยา งนน้ั อยา งน้ี มัน
เปนยังไงก็ใหเห็นใหเปนไปตามเรื่อง พิจารณาในวงปจจุบันไปเรื่อย ๆ ความเหน็ กเ็ หน็
ไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งกายหมดความหมาย หมดความจําเปน เมื่อจิตรูเทาทันหมดแลว
และกลายเปน อากาศธาตุ วางเปลาไปหมด จิตก็วางจะวาไง มนั รเู ทา กายดว ยและกว็ า ง
ไปดวย การพิจารณาเราไมสงสัยเพราะเปนกับเจาของเองอยางชัดเจน
สญั ญากบั สงั ขารนส่ี าํ คญั พจิ ารณากนั ปอ บแปบ ๆ อยอู ยา งนน้ั พิจารณาไป ๆ
จนเขาใจ จิตวางหมดเลยที่นี่ น่ีวางตามฐานของจติ อยเู ฉย ๆ กว็ า ง ไมไ ดภ าวนากว็ า ง
จะอยใู นอริ ยิ าบถใดกว็ า ง วา งหมด ตนไมภูเขามองเห็นอยูดวยตา อยา งศาลานม้ี องเหน็
อยดู ว ยตา แตใจมันทะลุไปหมด เห็นเปนเพียงเงา ๆ มันวางไปหมดเม่อื ถงึ ขนั้ วางแลว
พอพดู ถงึ ขน้ั นแ้ี ลว กท็ าํ ใหค ดิ ถงึ อนตั ตลกั ขณสตู ร จิตผมไมทราบเปนยังไง มัน
ขัด ๆ กนั อยนู ะกบั อนตั ตลกั ขณสตู รตอนปลาย ถามเจา คณุ ….ทา นกว็ า มันก็สมบูรณ
เตม็ ทแ่ี ลว ตามทท่ี า นเรยี นมานน้ั เสยี แตเ ราถามทา นดว ยความจรงิ ทางภาคปฏบิ ตั ติ า ง
หาก ผมกเ็ ลยไมถ ามตอ ไปอกี เพราะสูตรที่สมบูรณเต็มที่เราเห็นอยูนี่ ดังอาทิตต
ปริยายสูตร ลงถึงขั้น มนสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ, ธมเฺ มสปุ นิพฺพินฺทติ, มโนวิ ญฺ าเณป นพิ ฺ
พินฺทต,ิ มโนสมผฺ สเฺ สป นิพฺพินฺทติ, ยมปฺ ท ํ มโนสมฺผสฺสปจฺจยา อปุ ปฺ ชชฺ ติ เวทยติ ํ, สุ
ขํ วา ทุกฺขํ วา อทกุ ขฺ มสขุ ํ วา, ตสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ.
นน่ั มนั ถงึ ใจเหลอื เกนิ นะ อาทิตตปริยายสูตรนะ เบอ่ื หนา ยในรปู แลว กใ็ นเสยี ง
พรอมกัน เบือ่ หนา ยทั้งความสัมผัสรับรูที่เกิดข้นึ ระหวางตากบั รปู กระทบกัน เกิดสุขขึ้น
มากต็ าม ทกุ ขข น้ึ มากต็ าม สุขํ วา ทกุ ขฺ ํ วา อทกุ ขฺ มสขุ ํ วา รู ๆ ตสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ คือ
เบอ่ื หนา ยในสง่ิ น้ี ทั้งตา ทั้งรูป ทั้งสิ่งที่เขามาเกี่ยวของ แลว เปน วญิ ญาณขนึ้ มา จนถึงกับ
เกิดเวทนา เบอ่ื หนา ยทง้ั หมด แลว กส็ รปุ ลง มนสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ เบอ่ื หนา ยในจติ ใน
อารมณที่เกิดจากจิตทุกประเภท นเ่ี บอ่ื หนา ยครอบไปหมด และถอนกันทั้งรากไมมี
เหลืออะไรไวเ ลย กระทัง่ อวิชชากบั จติ ก็ทะลเุ ขา ไปหมดไมมีเกาะมีดอน
นี่เรามาเทียบเคียงกบั การปฏิบัตขิ องเรานะ มนสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ เบอ่ื หนา ยในใจ
มน นน่ั ใจ เบอ่ื หนา ยในจติ ในใจ ธมเฺ มสปุ นิพฺพินฺทติ เบอ่ื หนา ยในธรรมารมณท ง้ั
หลาย มโนวิ ญฺ าเณป นิพฺพินฺทติ เบ่อื หนายในความรูที่เกิดขึ้นจากจิต วญิ ญาณทร่ี บั
ทราบกบั อารมณแ หง ธรรม เปนอารมณแหงธรรม มโนสมผฺ สเฺ สป นิพฺพินฺทติ เบ่อื
เขาสูแดนนิพพาน ๔๑
๔๒
หนา ยทั้งความสมั ผัส ยมปฺ ท ํ มโนสมผฺ สสฺ ปจจฺ ยา อปุ ปฺ ชชฺ ติ เวทยติ ํ มนั เกดิ ขน้ึ ใหเ สวย
สขุ ํ วา ทุกฺขํ วา อทกุ ขฺ มสขุ ํ วา สขุ กต็ าม ทกุ ขก ต็ าม ไมใชสุขทุกขก็ตาม ตสมฺ ปึ นพิ ฺ
พินฺทติ นน่ั เบอ่ื หนา ยทง้ั หมด นี่มันถึงใจจริง ๆ นะ พอ นิพฺพินฺทติ แลว ก็ นิพฺพินฺทํ
วิรชฺชติ ละที่นี่
เมอ่ื เบอ่ื หนา ยยอ มคลายกาํ หนดั วริ าคา วมิ จุ จฺ ต.ิ วมิ ตุ ตฺ สมฺ ึ วิมุตฺตมิติ ญาณํ
โหต,ิ ขณี า ชาต,ิ วุสิตํ พฺรหฺมจริยํ, กตํ กรณยี ํ, นาปรํ อติ ถฺ ตตฺ ายาติ ปชานาตตี .ิ อิ
ทมโวจ ภควา. อตตฺ มนา เต ภิกขฺ ู ภควโต ภาสิตํ อภนิ นทฺ !. อมิ สมฺ ิ จฺ ปน เวยยฺ าก
รณสมฺ ึ ภญฺ มาเน, ตสฺส ภกิ ขฺ สุ หสสฺ สสฺ อนปุ าทาย, อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูต.ิ
อตตฺ มนา เต ภกิ ขฺ ู ภควโต ภาสติ ํ อภนิ นทฺ ! ภิกษุทั้งหลายนั้นไดมีความรื่นเริง
ในธรรมทง้ั หลาย เมื่อพระองคไดตรัสธรรมะ เวยยฺ ากรณ ก็คือตรัสธรรมะที่ยอดเยี่ยม
เหลา นน้ั อยู จติ แหงภกิ ษหุ นงึ่ พนั ตสฺส ภกิ ขฺ สุ หสสฺ สสฺ นน้ั ไดพ น แลว จิตตฺ านิ วิมุจฺจึสูติ
จติ หลดุ พน แลว อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสูติ จติ หลดุ พน แลว จากอาสวะทง้ั ปวง นน่ั มนั
ถงึ ใจนะ
แตอ นตั ตลกั ขณสตู รไมเ ปน อยา งนน้ั เวลาปฏบิ ตั กิ ็ไมไ ดเ ปน อยา งนนั้ นี่ มนั แยง
กนั อยู เราเขา ใจวา เกจอิ าจารยท ท่ี า นแตง นท้ี า นจะตดั ออกนะ ถาไมตัด จติ จะตองอยูนัน้
แน ๆ เบอ่ื หนา ยในรปู เบอ่ื หนา ยในเวทนา เบอ่ื หนา ยในสญั ญา เบอ่ื หนา ยในสงั ขาร
เบอ่ื หนา ยในวญิ ญาณ รปู สมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ, เวทนายป นิพฺพินฺทติ, สญฺ ายป นิพฺพินฺท
ติ, สงขฺ าเรสปุ นิพฺพินฺทติ, วิ ญฺ าณสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ, นิพฺพินฺทํ วิรชฺชต.ิ วิราคา วิ
มุจฺจติ เมอ่ื เบอ่ื หนา ยในขนั ธท ง้ั หา จติ ยอ มคลายกาํ หนดั ไปเลย
เวลาปฏบิ ตั มิ นั ไมเ ปน อยา งนน้ั รูเ ทา เรอื่ งอาการทั้งหาน่ี เขาใจชดั ๆ ไมมีทางถือ
เอา จะใหพ จิ ารณาอะไรอกี กพ็ จิ ารณาหมดแลว น่ี รูป เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ ที่
มนั ปรากฏอยนู ้ี รูมันทั้งเกิดทั้งดับวาเปน อนตฺตา ลว น ๆ มันลง อนตฺตา นะสําหรับ
นิสัยของผม อนิจฺจํ ทกุ ขฺ ํ มนั ไมว าเสยี แลว มันลงเปน อนตฺตา ลว น ๆ รปู อนตฺตา,
เวทนา อนตตฺ า, สญฺ า อนตฺตา,สงขฺ ารา อนตตฺ า, วิ ญฺ าณํ อนตฺตา. เวลาจะรวม
ยอดของมันมนั มแี ต ธมมฺ า อนตฺตา ทั้งนั้น รวมแลวเปน ธมมฺ า อนตฺตา ทง้ั หา อยา งน้ี
เปน ธมมฺ า อนตฺตา
แตม นั กไ็ มแ ลว นะ ขนั ธห า นเ่ี ปน อนตตฺ า มันไมแลวในจิตมันจะ นิพฺพินฺทํ
วิรชฺชติ ไดยังไง เมอ่ื เบอ่ื หนา ยยอ มคลายกาํ หนดั เม่อื คลายกาํ หนดั จติ ยอมหลุดพน
เมื่อจิตหลุดพน ญาณความรูแจงชัดวาจิตหลุดพนแลวเกิดขึ้น เรามันไมม ี เพียงแตรูเทา
ขนั ธห า เทา นน้ั มนั ไมเ บอ่ื หนา ย มนั ไมค ลายกาํ หนดั ทง้ั มวลไดถ า มนั ไมเ ขา ถงึ จติ เสยี กอ น
นน่ั พอทง้ั หา อาการนม้ี นั ปลอ ยหมดแลว มันก็ยังเหลือจิตดวงเดียวที่นี่ จิตก็เขา
เขาสูแดนนิพพาน ๔๒
๔๓
พจิ ารณานน้ั อกี เพราะจิตดวงนน้ั ตดั อาการออกหมดแลว สมนุ ของอวชิ ชา ทางเดนิ ของ
อวิชชา หรอื เครอ่ื งมอื ของอวชิ ชา ไดแกรูป เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ นม้ี นั ถกู ตดั
ออกหมดแลว คือเรารูเทาทันแลว ยงั เหลอื แตค วามรอู นั เดยี ว
เราไมปรากฏวาไดคลายกําหนัด หรอื ไดห ลดุ พน ในขณะทจ่ี ติ อยนู อกขนั ธห า นน้ั
เลย มนั ตอ งพจิ ารณาฟาดฟน จติ เสยี จนแหลก จนอนั นแ้ี ตกกระจายไปหมดแลว จากนน้ั
แลวจะวา นิพฺพินฺทํ วริ ชชฺ ต,ิ วิราคา วิมุจฺจต.ิ มันหมดปญหา ทค่ี า นกนั นน้ั มนั คา นกนั
อยา งน้ี มนั คา นในภาคปฏบิ ตั ิ สว นอาทติ ตปรยิ ายสตู ร เรายอมรับทนั ทีเลย คือปฏิบัติ
จนกระทั่งเขาถึงจิต เขา เบอ่ื หนา ยในจติ อกี ไมเ พยี งเบอ่ื หนา ยในสง่ิ ภายนอกเทา นน้ั ยงั
ตอ งเขา ไปเบอ่ื หนา ยในจติ อารมณที่เกิดจากจิต อะไร ๆ เลยเบอ่ื หนา ยในนน้ั เสรจ็ เลย
เบอ่ื หนา ยในธรรมารมณ เบอ่ื หนา ยในสง่ิ ทม่ี าสมั ผสั กบั จติ คอื ธรรมารมณ เปนสุขเปน
ทุกข เบ่อื หนายพรอ มทง้ั หมดเลย ตสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ เลย นน่ั
ตสมฺ ปึ หมายถงึ รวบเอาหมด ถา เปน ภาษาบาลกี ห็ มายถงึ วา ยกสรรพนามขน้ึ
ตสมฺ ปึ คอื ไมต อ งพดู อกี หลายหน เชน ชอ่ื คนนน้ั ชอ่ื คนน้ี เอาเขาขึ้นเลย โส แปลวา
เขา เปนสรรพนามใชแทนตัวไดแลว โส แปลวา เขาวา มนั น่ี ตสมฺ ปึ นิพฺพินฺทติ คือเบื่อ
หนา ยในสง่ิ นน้ั ทง้ั หมด นิพฺพินฺทํ วิรชฺชติ ไปตลอด
นจ่ี ติ กเ็ ปน เชน นน้ั เมอ่ื พิจารณาอนั น้ีเขา ใจแลว ก็ตามเขา ไปถงึ จติ อีก จนทะลุใน
จติ แลว มนั ถงึ ผา น พอพิจารณาขันธห าเขา ใจหมดแลวมนั ยังผา นไมไดน ่ี ถาไมเขาไปถึง
จติ เสยี กอ นมนั ผา นไมไ ด ปญ หานจ่ี งึ ขวางอยใู นหวั ใจเกย่ี วกบั อนัตตลักขณสูตร สว น
อาทิตตปริยายสูตรนั้นไมมีปญหาใด ๆ เลย สาํ หรบั คนจติ หยาบอยา งจติ ผมนะ ยอมรบั
อยา งหมอบราบ สว นอนตั ตลกั ขณสตู รกย็ กใหน กั ปราชญท า นเสยี กแ็ ลว กนั แตผูปฏิบัติ
ควรถือเปนขอคิดไว เวลาปฏิบัติไปเจอเขาจะไดมีทางคิดทางออก จะไมจนตรอก
ถา ยเดยี ว
<<สารบัญ เอาละจบ
เขาสูแดนนิพพาน ๔๓
๔๔
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๖ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๑
เปด เผยโลกธาตุ
เราเปน หว งพระเณรทม่ี าอยอู าศยั กบั เรานย้ี ง่ิ กวา เราหว งเรา สาํ หรบั เราเอง ไม
เหน็ มีหว งอะไรหวงอะไรทงั้ น้ัน แตเ กย่ี วกบั พระเณรทม่ี าอาศยั อยกู บั เราแลว เราหว งเรา
หวงมาก คาํ วา หวงกค็ ือไมอ ยากใหค วามดที ี่มุง มารักษาและรักษาแลว น้ี เสอ่ื มลงไปหรอื
ผิดพลาดประการใดทั้งนั้น คาํ วา หว งกเ็ ปน อารมณเ กย่ี วกบั เรอ่ื งความผดิ พลาดของพระ
เณรซึ่งมักมีอยูเสมอ และกลวั จะไมเจริญทางจิตใจ เราไมเคยตายใจกับเพื่อนฝูงที่มาอยู
ดว ย เพราะเมอ่ื เรารบั เรารบั ดว ยเหตผุ ลทค่ี วรรบั เมื่อรับแลวก็ตองทําหนาที่ของตนให
สมบรู ณเ ตม็ กาํ ลงั ความสามารถ สว นจะสมบรู ณต ามหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั หรอื ไมน น้ั เรา
ไมกลาอาจเอื้อม เพราะเปนความละเอียดของหลักธรรมหลักวินัยอาจจะไมรูทั่วถึงก็ได
แตเ รอ่ื งความรคู วามสามารถของเรามเี ทา ไร เราทุมเทลงเพื่อหมูเพื่อคณะตลอดมา ตง้ั
แตว ันเก่ียวของกับหมเู พอ่ื นในขั้นเรมิ่ แรกจนกระทงั่ บดั นี้ เปน เวลายส่ี บิ กวา ป
ปกติเราแตกอนไมคอยสนใจจะสอนใครนอกจากสอนเจาของเอง และไมนึก
ดวยวาจะมีหมูเพื่อนตลอดถึงประชาชน จะมาเก่ียวของกับเราถงึ ขนาดท่เี ปนอยูเวลานี้
เมอ่ื ความจาํ เปน มาเกย่ี วขอ ง จติ ทค่ี ดิ หรอื เปน ความรสู กึ มาดง้ั เดมิ ของเราทเ่ี รยี กวา นสิ ยั
ก็ตองเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุการณที่มาเกี่ยวของมากนอย เมอ่ื เปน เชน นน้ั ภาระกต็ อ ง
หนกั ผูใดมาเกี่ยวของกับเรา เรารบั แลว ดว ยเหตดุ ว ยผล เราจะตอ งดาํ เนนิ ตามหลกั
ธรรมทเ่ี ปนเหตอุ งคประกอบดวยเหตุผลลว นๆ รวมลงเปน ธรรม อยางเต็มสติกําลัง
ความสามารถของเราทุกแงทุกมุม แมจ ะมภี าระมาก ความเปนหวงที่จะตองอบรมสั่ง
สอนเรากเ็ ปน หว งอยตู ลอดเวลา เมื่อมีโอกาสก็ตองมาอบรมเสมอ
ฉะนั้น ขอใหทุกทา นท่ีมาอยูในสถานทนี่ เ่ี พ่อื การศกึ ษาอบรม จงรกั ษาเจตนา
ดั้งเดิมของตนไวใหสมบูรณ อยา ใหบ กพรอ ง ถาเจตนาอันนี้บกพรอง ความประพฤติ
การปฏิบัติตัวจะออนแอลงไปกลายเปนความทอถอย ความรูสกึ จะคิดไปในแงเ ปน
อกุศลและจะไมเปนมงคลแกตนและหมูเพื่อน ตลอดครบู าอาจารยท อ่ี ยรู ว มกนั
การปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนาหรอื หลกั แหง ความเปน พระของตนนน้ั ไมเหมือนกับ
การปฏิบตั ิตอโลก ซึ่งไมคอยมีขอบเขตเหตุผลหลักเกณฑอะไรมากนักก็อยูกันได แต
สาํ หรับเรือ่ งของพระแลว ตอ งมเี หตุมผี ล มหี ลกั ธรรมหลกั วนิ ยั เปน เครอ่ื งประกนั ในการ
อยรู ว มกนั วา ไมมีสิ่งใดที่เปนการขัดแยงกันโดยทิฐิมานะ โดยหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั สอด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔
๔๕
คลองตองกันอยูเสมอดวยความประพฤติปฏิบัติ ตลอดความรคู วามเหน็ เฉพาะอยา ง
ยง่ิ เรอ่ื งการระแคะระคายระหองระแหง จนถงึ กบั ใหเ กดิ ความทะเลาะววิ าทขน้ึ มาเพราะ
ทิฐมิ านะ อนั เปน การสง่ั สมกเิ ลสหรอื ผลติ กเิ ลสขน้ึ มาอยา งนา อายนน้ั ขออยาใหเกิดขึ้น
ในวดั นเ้ี ปน อนั ขาด เพราะน้ันเปนเร่อื งของการคุยเขีย่ การขุดคนกิเลสประเภทตา งๆ ขน้ึ
มาเพอ่ื ทาํ ลายขายตัวเอง และทาํ หมูเ พอื่ นใหเ ดือดรอนเปอนเปรอะไปหมด ไมใ ชเปน
ส่ิงท่ีพระเราจะพึงคิดเลย อยาวาแตการแสดงออกมา
เพราะพระเรามหี นา ทช่ี าํ ระกเิ ลส ไมว า กเิ ลสประเภทใดทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในใจ ยงั
ตองพยายามระงับและกําจัดมันไป ไฉนจะปลอยใหมันระบายออกมา หรือพลุงออกมา
ทางกายทางวาจาอยา งน้ี ไมส มควรอยา งยง่ิ เพราะเปน การขายตวั มากมายสาํ หรบั พระ
อยาพูดถึงเรื่องวงปฏิบัติเลย เพยี งปรากฏขน้ึ ในใจเราโดยเฉพาะแตล ะราย กน็ า จะเหน็
โทษของมันพอตัวอยูแลว
คาํ วา พระแลว เปน ความเสมอภาค เปนลูกศิษยตถาคตดวยกันทั้งนั้น จึงไมขึ้น
อยูก บั คําวา พระบา น พระปา อันนี้แยกออกไปพอใหเขาใจตามความนิยมของโลก
เฉยๆ เรอ่ื งหลกั ธรรมหลักวนิ ยั ไมมีสวนใดมีน้าํ หนกั ตางกัน มนี าํ้ หนกั เทา กนั ในความ
เปน พระ ดวยเหตนุ ้ที ุกๆ ทานที่มาอบรมศึกษาจงตั้งจิตตั้งใจใหดี ใหม คี วามขยนั หมน่ั
เพียร พลิกจิตพลิกใจพลิกความรูสึกที่เคยเปนมาในฆราวาสอันดั้งเดิมนั้นออกโดย
ลาํ ดบั เพือ่ ใหเขา กลมกลนื กับหลกั ธรรมหลกั วนิ ัย หลักความประพฤติอันเปนเรื่องของ
พระโดยตรง ทั้งยังเกี่ยวของกับหมูเพื่อนพระสงฆดวยกันอีกดวย ซง่ึ เปน เรอ่ื งทเ่ี ราจะ
ตองพินิจพิจารณาสังเกตสอดรูใหรอบคอบ ในความคดิ ความเหน็ ความประพฤตขิ อง
เรา เพอื่ ใหม ีความกลมกลนื เปน อนั หน่งึ อนั เดียวประหนึ่งอวยั วะเดยี วกนั
พระเราอยดู ว ยกนั เปน เหมอื นอวยั วะเดยี วกนั เมอ่ื อวยั วะสว นใดสว นหนง่ึ ขดั
ของขึ้นมา กเ็ ปน เหตใุ หเ กดิ ความทกุ ขภ ายในรา งกายสว นอน่ื ๆ ไปดว ย ทั้งๆ ทส่ี ว น
เหลาน้ันไมไ ดวกิ ลวิการกท็ าํ ใหกระทบกระเทอื นถึงกันได นก่ี ารอยรู ว มกนั กเ็ ปน เชน นน้ั
รายใดกต็ ามทแ่ี สดงความไมเ หมาะสมข้นึ มาโดยทางกิริยามารยาท จะเปน ทางกายทาง
วาจากต็ าม เปน ส่ิงทไ่ี มสมควรอยางยิง่ เพราะเปนเหตุที่จะใหกระทบกระเทือนถึงหมู
คณะทอ่ี ยดู ว ยกนั ดว ยความรม เยน็ เปน สขุ ใหไ ดร บั ความเดอื ดรอ นวนุ วาย หรอื อยา ง
นอยเปนอารมณของใจตอกันไมดีเลย จงพากันระวังใหมากไมดอยกวาการรักษาใจตัว
คึกคะนองอยูเปนประจํา
การประพฤติปฏิบัติพระพุทธศาสนาตองมีความเขมแข็ง เปลย่ี นความรคู วาม
เห็นที่เคยเปนมาซึ่งฝงใจอยางลึกนั้นใหถอนตัวออกมาโดยลําดับ หมนุ จติ ใจเขา ไปสู
หลกั ธรรมหลกั วนิ ยั พึ่งเปนพึ่งตายกับพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ในขณะทบ่ี วช
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๕