๒๙๖
เราผเู ปน ลกู ศษิ ยต ถาคต ลกู ศษิ ยม คี รู ธรรมะออกมาจากพระพุทธเจาที่สอนไว
แลวทุกแงทุกมุม เปน สวากขาตธรรม หาที่สงสัยไมไดแลว นิยยานิกธรรม พรอมทจี่ ะ
รอรบั อยเู สมอ คือ ธรรมนเ้ี ม่ือปฏบิ ัตแิ ลว ยอ มเปนเครอื่ งนาํ ออกทั้งนั้น ไมใชเครื่องนํา
เขา นาํ ออกจากความทกุ ขค วามยงุ เหยงิ วนุ วาย นําออกจากวัฏจักรซึ่งเปน เหมอื นคุก
เหมอื นตะราง ท่เี ราติดกันมาก่กี ัปกีก่ ัลปนับไมถวนแลวจนกระทงั่ ปจ จบุ ันนี้ เพราะเหตุ
แหง เชอ้ื คอื กเิ ลสนน้ั แลเปน สาเหตเุ ปน ตวั การ ทพ่ี าใหเ ราตดิ คุกติดตะราง เพราะเราอยู
ใตอํานาจของกิเลส
การอยกู ารบาํ เพญ็ ธรรม ถึงจะไมไดอยูดังที่ไดวาไวขางตนนั้น ก็ขอใหไดอยู
อยางสถานที่นี่ก็ยังพอเปนไป เพราะไมจ นุ จา นจนเกนิ ไป ความเพยี รเปน สง่ิ สาํ คญั อยา
ลดละ อยามีความทอถอย อยาระอา ถา ระอาตอ ความเพยี รแลว กเ็ ทา กบั ระอาตอ ธรรม
ระอาตอ ความสขุ ระอาตอ ความหลดุ พน จากบว งมารทง้ั หลาย เพราะความระอานเ้ี ปน
เรื่องของกิเลสทั้งมวล ไมใชเรื่องของธรรม ความเปนนักตอสู ความกลา หาญ ความอด
ความทน ความพนิ จิ พจิ ารณานค้ี อื ธรรม จงนาํ มาใช จะเปน เครอ่ื งสงั หารกเิ ลสไมส งสยั
สมกบั เปน ความเพยี รแท
ถา ไมพ จิ ารณาจรงิ ๆ จะไมทันกลมายาของกิเลส ทั้งๆ ท่ีปฏบิ ัติอยูน้ันแล มัน
สวมรอยไปโดยลาํ ดับลาํ ดา ทุกอากัปกิริยาที่แสดงออก มันเปนผูบงการใหแสดงออกมา
โดยทเ่ี รากไ็ มร ู นแ่ี หละจงึ วา มนั แหลมคมมาก ในเมอ่ื สตปิ ญ ญาในดา นธรรมะของเรา
ทื่อ มันตองแหลมคมอยางนั้น ตอเมื่อสติปญญาของเราแหลมคมขึ้นไป เรากเ็ หน็ กล
อบุ ายตา งๆ ของมัน และสามารถแกและถอดถอนกันไปไดโดยลําดับ ไมนอกเหนือจาก
ธรรมที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนนี้ไปไดเลย
ไดก ลา วเบอ้ื งตน วา หลกั วชิ าในมหาวทิ ยาลยั นน้ั คอื อะไร คอื อาการ ๓๒ นเ้ี ปน
หลักใหญ อาการ ๓๒ คืออะไร ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เน้ือ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
มา ม หวั ใจ ตบั พังผืด ไต ปอด ไสใ หญ ไสนอย อาหารใหม อาหารเกา ฯ นเ่ี รยี กวา
อาการ ๓๒ ซง่ึ เปน หลกั ใหญส ว นใหญข องหลกั วชิ าทผ่ี ปู ฏบิ ตั จิ ะพงึ คลค่ี ลายใหเ หน็
ละเอยี ดท่ัวถึงในสิง่ เหลานี้ ที่กิเลสพาสมมุติใหเปนไปตามความตองการของมันมาเปน
เวลานาน วา เปน สตั วเ ปน บคุ คล เปน เราเปน เขา เปน หญิงเปนชาย เปน ของสดสวย
งดงาม เปนของจีรังยั่งยืน เปน ของทน่ี า เพลดิ เพลนิ รน่ื เรงิ เหลา นเ้ี ปน ความเสกสรรปน
ยอของกิเลสทั้งมวล
การพจิ ารณาคลค่ี ลายอาการ ๓๒ ทก่ี เิ ลสปก ปน เขตแดนเอาไวน อ้ี อกใหร ตู าม
หลักความจรงิ ของมนั นั้นไดแ กธรรม ผพู จิ ารณาเหน็ แจง เหน็ ชดั ตามหลกั ความจรงิ ถา
จะพูดถึงหลักของความเปนอสุภะอสุภัง รางกายของเรานี้ก็คือกองอสุภะ กองมูตร กอง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๖
๒๙๗
คถู ของเราโดยดี หรือซากผีดิบของแตละกองของแตละรายอยูโดยดี ถาจะพูดถึงความ
แปรกแ็ ปรสภาพรอบตัวทุกอาการ ไมมีอาการใดที่จะคงเสนคงวาอยูได ทกุ ขฺ ํ บบี บงั คบั
ไดทั้งนั้นทั่วทั้งสกลกาย บบี บงั คบั ตวั เราใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บากทง้ั มวล อนตฺตา
จะถอื เปน เราเปน ของเรา เปน สตั วเ ปน บคุ คลอนั แทจ รงิ หรือถือตามความเสกสรรของ
สมมุติแหงกิเลสปนยอเอาไวไดอยางไร เพราะกเิ ลสเปน ตวั จอมปลอม ของจริงตรงไหน
กเิ ลสจะเสกสรรปน ยอขึ้นมาใหมใ หก ลายเปน ของปลอมไปเสยี ท้งั สิน้ เราซง่ึ มกี เิ ลส
ครอบงําจึงตองเชื่อความจอมปลอมของมัน ไมเ ชอ่ื ธรรม เชอ่ื ธรรมไดย าก
ดวยเหตุนี้จึงตองอาศัยการขุดคน การพนิ จิ พจิ ารณาตามหลกั ธรรมใหเ ขา สคู วาม
จรงิ นับตั้งแตอสุภะอสุภังหมดทั้งเนื้อทั้งตัว เบอ้ื งบนเบอ้ื งลา ง ขางในขางนอก ไมม เี วน
วาไมมีอสุภะอสุภังปฏิกูลโสโครกไมแทรกอยูไมมีเลย มีเต็มไปหมดบรรดาของปฏิกูล
โสโครก ใหเ หน็ ชดั เจนอยา งนน้ั คาํ วา สตั วว า บคุ คล วา สวยวา งาม ก็จางไปๆ คําวา จาง
ไปๆ นั่นคือเรื่องจอมปลอมมันจางไป เพราะความจรงิ แทรกเขา ถงึ ถึงมากถึงนอยจาง
ไปมากไปนอยตามสวนของมัน เมื่อความจริงเขาถึงอยางเต็มที่แลวก็สลายไปหมด
ความจอมปลอมนั้นไมมี ทา นจงึ สอนใหพ จิ ารณา
นี่ไมใชเรื่องเล็กนอย งานนเ้ี ปน งานใหญโ ตมาก เพราะจติ ใจตดิ อยใู นสง่ิ เหลา น้ี
อยางฝงลึก ติดอันนี้แลวก็ไปติดอันนั้น ตดิ ภายในแลว กไ็ ปตดิ ภายนอก ถา รภู ายในตวั
เองแลว กร็ ภู ายนอก เพราะเปน เหมอื นกนั ในเรอ่ื งอสภุ ะอสภุ งั ปฏกิ ลู โสโครก อนจิ จฺ ํ
ความแปรสภาพ อนตฺตา ความไรส าระทว่ี า เปน เราเปน ของเราไมม ี เปน สภาพเหมือน
กันหมด เมื่อสติปญญาไดคุยเขี่ยขุดคนกลับไปกลับมา พลกิ แพลงเปลย่ี นแปลงตาม
อุบายของสติปญญาที่ควรจะคิดไดในแงใด จนรแู จง เหน็ ชดั ในสง่ิ เหลา นแ้ี ลว ความ
จอมปลอมทเ่ี คยเสกสรรปน ยอและเคยฝง ใจมาเปน เวลานานนน้ั จะถอดถอนตัวเอง
ออกโดยไมตองสงสัย เพราะอํานาจของสติปญญาหยั่งเขาถึงตรงไหน ยอ มทําลายความ
จอมปลอมตรงนั้นออกไปๆ จนกระทง่ั หมดไปโดยส้นิ เชงิ ในสว นนี้
คําวา เวทนา ความสุขความทุกข มีไดทั้งทางรางกายและจิตใจ การเจ็บไขได
ปวยเปนความทกุ ขท างรา งกาย ความกระวนกระวายไมอยากใหเ ปน และอยากใหห าย
ดน้ิ รนอยภู ายในจติ ใจนน้ั เปน ความทกุ ขท างใจ โดยอาศยั กายวกิ ลวกิ ารหรอื กายเปน
ทุกขขึ้นมา ใจก็มาหลงที่ตรงนี้ แลว กก็ อบโกยทกุ ขเขามาสูตนเพราะความสําคัญมั่น
หมาย และความตอ งการอยากใหห าย เมื่อไมหายหรือไมหายอยางทันใจหวังก็เปนทุกข
นน่ั เปน เวทนาทางใจ
ผปู ฏบิ ตั ใิ นเรอ่ื งกายวภิ าค จะตอ งซมึ ซาบเขาสูเวทนาซ่งึ เกยี่ วกับกายนโี้ ดยไม
ตองสงสัย แยกแยะกันออกโดยธรรมชาติของสติปญญาในขณะนั้นแล เพราะอยดู ว ยกนั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๗
๒๙๘
สว นจติ เวทนานน้ั เปน สว นละเอยี ดเขา ไปอกี นีเ่ ปน ขนั้ หนึ่งของการพจิ ารณา อธิบายให
ฟงเพียงเปนหัวขอๆ ใหทานผูปฏิบัตินําไปคลี่คลายขยายออกดวยสติปญญาของตนเอง
เปนอุบายของตนเอง นน้ั แหละช่ือวาเปนสมบตั ขิ องตน ครบู าอาจารยห ยบิ ยน่ื ใหน น้ั
เพียงเปนตนทุน ใหเ ราไดน ไ้ี วเ ปน หลกั ยดึ แลว คลค่ี ลายขยายออกไปใหเ หน็ ประโยชน
เกิดขน้ึ จากความแยบคายของเรา นน้ั เปน ความชอบธรรมแท และเปน สมบตั แิ ทข องเรา
ดว ย
สัญญา ความจาํ ฟงซิความจาํ ความสาํ คญั ตา งๆ ออกมาจากจิต เปนอาการของ
จิต ถาจติ มีกเิ ลสก็เปนเครอื่ งหลอกมาพรอ มเพราะกเิ ลสเปนตัวหลอก ผลักออกมาเปน
สัญญาก็หลอก เปน สงั ขารกห็ ลอก รบั ทราบทางวญิ ญาณกห็ ลอก เพราะกเิ ลสเปน ตวั
หลอกอยภู ายในจติ ใจ จะใหจริงไมไดตองหลอกเสมอไป ขึ้นชื่อวากิเลสเปนของปลอม
ตองปลอมเสมอ มีอยูภายในจิตก็ทําใหจิตปลอม จิตจริงเต็มสวนไมไดแสดงออกมาก็
ปลอม จึงตองใชปญญาพินิจพิจารณาแยกใหเห็นตามอาการของมัน
สัญญาหมายไปใกลไปไกล หมายไปแลว มนั ก็เปน เงาของจติ เพราะมอี วชิ ชาเปน
ตัวหนุน หมายไปไหนมนั ก็ดบั เกิดขึ้นก็ดับ เหมอื นเงาของเรานม้ี นั เกดิ จากตวั แตก็ตื่น
เงาตวั เอง นี่สัญญาก็เกิดจากใจแตก็ตื่นเงาของตัวเอง จนกลายเปน เรอ่ื งเปน ราวจรงิ ๆ
วนั หนง่ึ คนื หนง่ึ ในอริ ยิ าบถตา งๆ มแี ตเ รอ่ื งแตร าวเตม็ หวั ใจ กเ็ พราะเรอ่ื งสญั ญาเรอ่ื ง
สงั ขารนแ้ี ล มนั วาดภาพขน้ึ เหมอื นเขาดภู าพยนตรน น้ั แล เรอ่ื งเกา ผา นไปแลว เรื่องใหม
ผา นมา แลว กลบั เอาเรอ่ื งเกา มาครนุ มาคดิ มาพนิ จิ พจิ ารณา ดว ยความเพลดิ เพลนิ รน่ื
เรงิ ดว ยความเสยี อกเสยี ใจ ไมใชเพื่อความถอดความถอน ไมใ ชเ พอ่ื ความรแู จง เหน็
จรงิ ในสง่ิ เหลา น้ี แตเพื่อความหลงสนิทติดจมกับมันเรื่อยๆ ไป นเ่ี ปน อยา งน้ี เพราะ
เรอ่ื งมนั อยกู บั สญั ญากบั สงั ขารความปรงุ ความสาํ คญั
อดตี ทเ่ี คยผา นมาแลว ไดเ คยรเู คยเหน็ ไดเคยสัมผัสสัมพันธกับสิ่งใดกี่ปกี่เดือน
กี่วัน มนั นํามาปรุงไดอ ยางสดๆ รอ นๆ เจา ของไมร สู กึ ตวั วา สง่ิ เหลา นไ้ี ดผ า นไปแลว คดิ
ขึ้นมาทําไม มนั บดู มนั เสยี มนั เนา เฟะไปหมดแลว เอามาอนุ กนิ ทาํ ไม ไมมีสติพอที่จะคิด
ไดอ ยางน้ีเลย กลายเปนของสดๆ รอ นๆ ขึ้นมาในขณะนั้น แมเรื่องนั้นจะผานไปกี่ปกี่
เดอื นแลว กต็ าม เมอ่ื สญั ญา สงั ขารไดปรุงขึน้ มาแลว ตองกลายเปนของสดๆ รอ นๆ
โกหกไดตอหนาตอตานั้นแล นจ่ี งึ เรยี กวา สญั ญาเปน ตวั สาํ คญั สงั ขารเปน ตวั สาํ คญั ทท่ี าํ
ใหเ กดิ เรอ่ื งเกดิ ราวอยวู นั ยงั คาํ่ คนื ยงั รงุ ภายในจติ ใจของเราของทา นทกุ ๆ คน ถาเราไม
ใชป ญ ญาเขา ไปพนิ จิ พจิ ารณาแลว อยา งไรจะรมู นั ไมไ ดว า เรอ่ื งเหลา นม้ี นั เปน เรอ่ื งโกหก
มนั เปน เรอ่ื งลมๆ แลง ๆ ที่ออกมาจากจิตใจของตัวเอง แตก ลายเปน เรอ่ื งจรงิ ขน้ึ มาดว ย
ความเสกสรรปนยอของกิเลสและความเชื่อของตัวเอง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๘
๒๙๙
ถา ตามหลักความจริงแลว มนั มีอะไร ก็เรื่องที่สัมผัสสัมพันธมาแลวมันก็ผานไป
แลว มนั หายไปไหนกไ็ มร ู ก็คือเรื่องสัญญา สงั ขารนเ่ี อง มนั เปน เรอ่ื งขน้ึ มาจากผนู ต้ี า ง
หาก ไมไดเปนเร่ืองข้ึนมาจากสงิ่ น้ัน สง่ิ นน้ั ผา นไปแลว หายไปแลว เร่อื งอันแทจรงิ ท่จี ะ
ทาํ ใหล มุ หลง มันเปนขึ้นมาจากตัวเองปรุงขึ้นมา ปรงุ เรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งน้ี เรอ่ื งหญงิ นน้ั ชายน้ี
เรื่องราวอดตี อนาคต เรื่องอะไรตออะไร เรอ่ื งไดเ รอ่ื งเสยี เร่อื งดีใจเสียใจ เรอ่ื งรน่ื เรงิ
บนั เทงิ เรอ่ื งเศรา โศกเสยี ใจมนั ปรงุ ขน้ึ มาในขณะนน้ั เปน เรอ่ื งสดๆ รอ นๆ ขน้ึ มา ก็ตื่น
มันอยูอยางนั้น น่ีเรียกวา ความหลงตามมนั ไมมวี ันอ่ิมพอ ไมรูจักจืดจาง ไมไดคํานึงวานี้
เปน อดตี ผา นไปแลว เทา นน้ั ปเ ทา นเ้ี ดอื น ไมไดสนใจ มีแตติดจมไปกับเรื่องนี้ทั้งนั้น ซึ่ง
เปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล
สญั ญาเมอ่ื กเิ ลสยงั มอี ยภู ายในใจ สญั ญานก้ี เ็ ปน เครอ่ื งมอื ของกเิ ลสและกลาย
เปนกิเลสไปดวยกัน เพราะฉะนั้นปญญาจึงตองหยง่ั ลงไปใหทราบอาการเหลา น้ี มนั เกดิ
ขึ้นมันดับไป ดีเกิดขึ้นดับ ชั่วเกิดขึ้นดับ เรอ่ื งราวใดๆ เกิดขึ้นๆ ดับไปๆ ใจเปน ผปู รงุ
แตง ขน้ึ มาเปน เรอ่ื งเปน ราว ใจเปน ผรู บั ทราบ ใจเปน ผหู ลง สติปญญาเปน ผูต ามตอน
เปน ผพู นิ จิ พจิ ารณาวนิ จิ ฉยั ใครค รวญโดยละเอยี ดชดั เจนแลว มนั เปน เพยี งเงาเทา นน้ั
เม่ือรูไดอยางชดั เจนแลว กป็ ลอ ยวาง น่แี หละถา เปนปญ ญา
ตื่นอะไรตื่นเงาเจาของ เดินไปไหนเงาก็ติดตัวไปนั้น กร็ อู ยวู า เปน เงาแลว ตน่ื หา
อะไร เรอ่ื งปญ ญาเมอ่ื ทราบชดั แลว กเ็ หมอื นกบั เราไมต น่ื เงาเรานน่ั แล เราเดนิ ไปไหน
เงาตดิ ตวั เราไป เรากไ็ มต น่ื มนั เพราะทราบแลว วา เปน เงา นี่เมื่อสติปญญามีกําลังพอตัว
แลวก็ทราบอาการของจิต เชน สัญญา สังขารเปนตน วา เปนเงาเหมอื นกันไมต ืน่ และ
ปลอยไดอยางสะดวกสบายไมไปกังวล เชน เดยี วกบั เราไมไ ปกงั วลกบั เงาของเรานน่ั แล
วิญญาณ คอื ความรบั ทราบกเ็ หมอื นกนั ความกระเพื่อมของจิตในขณะที่สิ่งภาย
นอกเขามาสัมผัส เชน รปู สัมผัสตา กร็ แู ยบ็ เสียงสมั ผสั หูไดย นิ รแู ยบ็ ๆ ไปตามสัมผัส
พออาการที่มาสัมผัสนั้นดับไป ความรูอันนี้ก็ดับไปพรอมๆ กัน แตอารมณที่นํามา
ครุนคิดนั้นซิมันไมดับ มนั สมุ อยภู ายในใจเพราะกเิ ลสมนั ไมด บั มนั มอี ยภู ายในใจ จงึ
ตองไดแยกไดแยะลงไป นับตัง้ แตข้นั กายท่ไี ดอ ธิบายมาแลว เมอ่ื รชู ดั ตามความเปน จรงิ
แลว เทา นน้ั มนั กป็ ลอ ย เรื่องอุปาทานความถือกายไมตองบอก ขอใหปญญาไดหยั่ง
ทราบโดยตลอดท่วั ถึงแลว เถิด อุปาทานเปนผลของความหลงตางหาก เมอ่ื ความรู
ปรากฏชัดเจนดวยปญ ญาของตนแลว ความยึดมั่นถือมั่นก็ปลอยก็ถอนตัวเขามา จะไป
ยึดมันอะไร เหมอื นตน่ื เงานน่ั เมื่อรูแลวจะไปตื่นอะไรเงา
เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ กอ็ ธบิ ายเรยี งๆ ไปอยา งนน้ั แหละ ในขณะ
พจิ ารณาเราไมไ ดเ รยี งนะ ใครจะพจิ ารณารปู แลว จงึ จะพิจารณาเวทนา สัญญา สงั ขาร
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๙
๓๐๐
วญิ ญาณ นน้ั ผดิ ทง้ั เพ ไปเรียงลําดับลําดา มนั กลายเปน ปรยิ ตั ไิ ปเสยี การพิจารณาจึงไม
ไดคํานงึ คํานวณ ไมวาอะไรจะมากอนมาหลัง มนั เหมาะสมกบั กาลเวลาหรอื สถานการณ
ในเวลานน้ั ประการใดกต็ าม พจิ ารณาทนั ที แลวมันจะวิ่งถึงกันหมด เพราะอาการทง้ั หา
นี้อยูดวยกัน ไมไ ดเ รยี งรายไปไหน และเวลากเิ ลสเกดิ ขน้ึ ราคะกด็ ี โทสะกด็ ี โมหะก็ดี
ดงั ทก่ี ลา วมานม้ี นั เรยี งรายกนั ไหม อนั น้ีเกิดเสียกอ นอนั นนั้ จงึ เกิดทีหลงั อันนั้นจงึ เกดิ
ตามกันมา
มนั เปน กเิ ลสดว ยกนั ทง้ั ราคะ ทั้งโทสะ ทั้งโมหะ ความรกั ความชงั ความเกลยี ด
ความโกรธเปน กเิ ลสทง้ั นน้ั เกิดไดทุกขณะทุกเวล่ําเวลาโดยไมเลือกเกิดกอนหรือหลังซึ่ง
กนั และกนั เลย มนั เปนกิเลสดวยกนั ท้ังนนั้ และมนั ผูกมดั บบี ค้ันจิตใจเราไดดวยกัน การ
พจิ ารณาแกก เิ ลสประเภทตา งๆ จึงไมจําเปนจะตองไปเรียงขันธหาดังที่อธิบายใหฟงนี้
ไมใชเปนทางที่ถูก มันเหมาะสมเมื่อไรมันอยูดวยกัน เอาแยกแยะพจิ ารณา
ในขณะทพ่ี จิ ารณากายนน้ั เวทนาเกดิ ขน้ึ เอา แยกแยะดูทุกขเวทนาแยกดูกาย
มันเปนอันเดียวกันไหมและแยกดูใจ ทง้ั เวทนาสขุ ทุกข เฉยๆ ทง้ั ใจมนั เปน อนั เดยี วกัน
ไหม แยกตรงไหนจิตจอลงไป สติจอลงไป ปญญาคอยสอดแทรกดูตลอดจนกระทั่งหยั่ง
รูไดอยางชัดเจน วา กายกเ็ ปน กายเฉยๆ ตั้งแตทุกขยังไมเกิด ทุกขก็เพิ่งเกิดขึ้นมาใน
ขณะนี้ มันจะเปนอันเดียวกันไดยังไง ถา เปน อนั เดยี วกนั แลว ทุกขดับไป กายตองดับไป
ดวยซิ ถากายกับทุกขเปนอันเดียวกัน กายเกิดมาตั้งแตวันเกิด ทุกขประเภทนี้ทําไมจึง
เพง่ิ มาเกดิ เดยี๋ วน้ี และเกิดแลวก็จะดับไปไมชานี้ แตกายไมดับไปดวย ถาเปนอันเดียว
กนั ทาํ ไมจงึ เปน เชน นน้ั นม่ี นั ไมใ ชอ นั เดยี วกนั นน่ั แล
กายก็สักวา กายเปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ของกาย เวทนา สขุ ทุกข เฉยๆ ก็เปน
อาการอันหน่ึงๆ ของมัน เปน ความจรงิ ของมนั ไมใชอ ันเดยี วกนั จติ กเ็ ปน แตผ รู บั ทราบ
เทา นน้ั ทุกขเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจากจิต แตก็ไมใชจิต เวลาทุกขดับไปจิตก็ไมดับ ทุกขยังไม
เกิดจิตก็รูอยูนั่น เวลาทุกขเกิดจิตก็รูอยู ทุกขดับไปจิตไมไดดับไปดวย ถาเปนอันเดียว
กันมันตองดับไปดวยกัน มันเปนอาการอนั หนึ่งๆ เทา นน้ั นแ่ี หละทว่ี า เวทนา
เวลาพจิ ารณา แยกแยะจนกระทง่ั รตู ามความเปนจรงิ ทั้งกายทง้ั เวทนาท้งั จติ ตา ง
อันตางจริงแลวอยูไมกระทบกระเทือนกัน นจ่ี งึ เรยี กวา รสู จั ธรรมรอู ยา งน้ี คือจริงอยางนี้
จรงิ ประจกั ษใ จ ถึงกับอุทานขึ้นมา โถอยา งนเ้ี หรอ วา สจั ธรรมเปน ของจรงิ จริงอยางนี้
เหรอๆ คือมันเห็นประจักษหาที่คานไมได หาที่แยงไมไดเพราะตางอันตางจรงิ จรงิ ๆ
แตต วั หลงนน่ั ไปเหมาเอาหมดวา กายกเ็ ปน เรา เวทนากเ็ ปน เรา สขุ ทุกข เฉยๆ อะไรก็
เปน เรา เรากลายเปน เวทนาอะไรตอ อะไรยงุ ไปหมด นน่ั แหละมนั นาํ มาคละเคลา กนั
และนาํ มาเผาตวั เองดว ยความลมุ หลงตวั เอง เมอ่ื แยกแยะดอู าการเหลา นใ้ี หเ หน็ ตาม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๐
๓๐๑
ความจรงิ ดวยสติปญญาโดยชอบธรรมแลว ๑. ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นมากนอยดับไปใน
ขณะนั้น ๒. ทุกขเวทนาไมด ับแตต างอันตางจรงิ ไมกระเทอื นกันเราทราบไดเ ปนระยะๆ
การพิจารณาไตรตรองในขนั ธท้งั สี่ เมื่อถึงขั้นละเอียดที่จิตใจปลอยวางรางกาย
แลว จะมแี ตอ าการน้ีแหละที่เดน อยู สญั ญากบั สงั ขารนเ้ี ดน มากตามการพจิ ารณา ตาม
แตจริตนะอยามายึดทีเดียว ใหจ บั นน้ั พจิ ารณาแลว จะกระเทอื นกนั ไปหมด เมื่อ
พจิ ารณาหลายครง้ั หลายหน ทดสอบกันอยูไมหยุดไมถอยเพื่อความรูจริงเห็นจริง ทําไม
จะเห็นปลอมไปได ตองเห็นจริงไมเปนอยางอื่น และรไู ดช ดั วา อาการทง้ั หา นไ้ี มใ ชเ รา
ไมใชข องเรา ไมใชจิต นน่ั มนั รชู ดั
รปู กายกส็ กั แตว า รปู กายเปน เราไดอ ยา งไร มันรูถึงขนาดวาปลอยไดแลวนะไม
สงสัย เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ แตละอาการๆ ฟงแตวาอาการ มนั เปนส่งิ ทเี่ กดิ
ดับๆ มนั คงเสน คงวาทต่ี รงไหน จิตเปน สงิ่ ทีค่ งเสนคงวา แมจะมีกิเลสหุมหออยูจนมิด
ตวั กต็ าม มันก็คงเสนคงวาแหงความเปนจิต ไมมคี ําวาตาย รูอยูตลอด จิตนั้นรูอยู
ตลอด จะถกู กิเลสบบี คน้ั ขนาดไหนกร็ ู ปดไมอยู นน่ั คอื ตวั จติ แตอาการเปนสิ่งที่เกิดที่
ดบั อันนั้นไมไดดับ นเ่ี วลาพจิ ารณายอ นหนา ยอ นหลงั พลกิ ไปพลกิ มา หลาย
ตลบทบทวน นก่ี ารพดู นเ้ี รายน ยอ เขา มาเฉยๆ แตก ารพจิ ารณานน้ั ยากนะ ซาํ้ ๆ ซากๆ
ถือเอาอันนี้เปนงานเปนชีวิตจิตใจของตัวเอง ของผูบําเพ็ญจริงๆ จนกระทั่งมันพอตัว
เชน เดยี วกบั เรารบั ประทานอาหาร จะนานหรอื ไมน านไมส าํ คญั ขอใหพ อกบั ความ
ตองการของธาตุเทานั้น น้นั แหละทีนอี้ มิ่ อิ่มตัว
การพจิ ารณาเมอ่ื พอแกค วามตอ งการ รแู จง เหน็ ชดั ในทกุ สง่ิ ทกุ อยา งหายสงสยั
แลว มันปลอยวางของมันเอง และไมไดก าํ หนดกฎเกณฑว า ปลอ ยน้ันกอ นปลอยน้ีหลงั
เราจะทราบไดใ นภาคปฏบิ ตั ขิ น้ั ทันธาภิญญา อยา งพวกเรานน้ี ะ ทราบไดว า รา งกายน้ี
ปลอ ยเปน อันดบั หนง่ึ สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ไมทราบวา มันปลอยอนั ดบั สอง อันดับ
สาม แตท ราบไดช ดั วา เหลา นม้ี แี ตอ าการทง้ั นน้ั ไมใ ชจ ติ ถาจะวาปลอยพรอมกันก็ถูก จะ
วาปลอยอะไรกอนอะไรหลังนี้พูดไมได สําหรับผมเองก็พูดไมไดทั้งๆ ที่ไดพิจารณาดังที่
ไดพูดมานี้ แลวปลอยอยางนเี้ หมือนกัน ไมใ ชม าพดู เฉยๆ แตก ็ไมทราบวาปลอยอะไร
กอนอะไรหลัง แตท ราบไดช ดั วา เหลา นเ้ี ปน อาการของจติ ทง้ั นน้ั รูไดอยางชัดเจนแลว
ปลอย ไมหลงมันพูดงายๆ รูเ ทามนั แยบ็ ขน้ึ มากร็ วู า มนั แยบ็ ขน้ึ มา ดับไปก็รูวาดับ เกิด
ดบั เปน ของคกู นั กบั อาการเหลา น้ี นี่คืออาการของขันธแตละขันธ
นแ่ี หละการพจิ ารณาทางภาคปฏบิ ตั ติ ามความจรงิ เปน อยา งน้ี ทีนีเ้ ม่อื รูชัดเจน
แลว ทาํ ไมวงจะไมแ คบเขา มาละ แตก อ นกเิ ลสมันแผอาํ นาจไปท่วั ขอบเขตจักรวาล มีแต
สายของกเิ ลสยาวเหยียดไปหมดครอบฟาดนิ แดน จนไมท ราบวา ใกลว า ไกลขนาดไหน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๑
๓๐๒
แตค รน้ั เวลาตเี ขา มาๆ แลว มันก็ปลอยเขามาดังที่วา พอรูเขามาๆ รูเขามาถึงไหนก็ตอง
ปลอยเขามาถึงนั้น จนกระทั่งถึงวงขันธหา
รปู ขนั ธก็ปลอยดวยความรเู ทาทัน ดว ยการพจิ ารณารรู อบขอบชดิ เตม็ ทแ่ี ลว
สัญญา สังขาร วญิ ญาณกไ็ มท ราบวา พจิ ารณากต่ี ลบทบทวนอยอู ยา งนน้ั เอานน้ั เปน งาน
เกิดก็รูดับก็รู มันเอาเรื่องอะไรขึ้นมาปรุงมาแตงดีชั่ว อดีตอนาคตอยางไรบาง ตามรู
ตามเห็นอยูตลอด นเ่ี รยี กวา การพจิ ารณา จนกระทง่ั เปน ทแ่ี นใ จวา เหลา นท้ี ง้ั มวลมนั เปน
อาการท้ังน้ัน ออกจากจิตทั้งสิ้น เมื่อมันออกจากจิต มันมีอะไรอยูในจิตจึงออกมาเปน
เรอ่ื งราวอยา งน้ี จงึ ทาํ ใหห ลงอยเู สมอ เมอ่ื สง่ิ เหลา นเ้ี ปน เพยี งเงาแลว มนั กป็ ลอ ย คอยดู
คอยจบั ในขณะทจี่ ิตมนั ปรงุ จากนั้นกย็ อ นเขาไปดูตัวจิต มันมีอะไรอยูในนี้ มันถึงไดเกิด
ไดดับทําใหห ลงอยูเรอ่ื ย ๆ
นน่ั แหละปญ ญา เปนเหมือนไฟไดเชื้อ เชื้อมีอยูที่ไหนไฟจะลุกลามเขาไปๆ ทีนี้
เชื้อกิเลสมีอยูที่จิต ปญญาจะเปนเหมือนไฟลุกลามเขาไปๆ หาตวั จติ พจิ ารณาตวั จติ จน
กระทั่งไหมหมด อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา ทเ่ี คยเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกบั ใจมานานแสน
นานนน้ั ไดถูกตปธรรมมีปญญาเปนสําคัญเผาเกลี้ยงไมมีเหลือ เอา ทีน้จี ิตดบั ไปไหม
ถา อาการทง้ั หา นเ้ี ปน เราและกเิ ลสเปน เราจรงิ ๆ แลว กเิ ลสดบั ไปโดยสน้ิ เชงิ ไมม ีเหลือ
แมภ ายในจติ แทๆ ซึ่งเคยเปนคลังของกิเลสมาแตกอน เวลากเิ ลสดบั ไปหมด ขาดพัง
ทลายไปหมดแลว แลว จติ ดบั ไปดว ยไหม นน่ั ออ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน อยา งนๆ้ี ๆ มันก็รูได
ชัดซิ ทีนค้ี วามรูอนั นเ้ี ปนยังไง แตก อ นความรปู ระเภทนน้ั เปน อยา งนน้ั ความรขู น้ั นน้ั
เปน อยางน้ัน มาถงึ ความรขู ั้นอวชิ ชาเปนอยางนี้
ทีนี้พออวิชชาแตกกระจายออกไปหมดดวยอํานาจของปญญา ตปธรรมเผาลงไป
แลว ความรปู ระเภทนน้ั เปน อยา งไร นน่ั ความรปู ระเภทนเ้ี ปน ความรปู ระเภททอ่ี ศั จรรย
พูดไมถูกพูดไมได เพราะไมม ีอะไรเหมือนในโลกทั้งสามนี้ เนื่องจากในโลกทั้งสามนี้
เปนสมมุติทั้งมวล ธรรมชาตทิ ่รี ๆู ดว ยความบริสทุ ธิ์ของตนน้ันไมใชส มมตุ ิ จะมาพูดให
เปน สมมตุ ิ ใหเหมือนสมมุติไดยังไง แตป ฏเิ สธไมไ ดใ นความรใู นความบรสิ ทุ ธ์ิ ในความ
เดนอิสระของตนโดยลําพัง ไมเจือปนกับสมมุติใดๆ ทั้งสิน้ น้นั อันนี้ดับไหมที่นี่ หาย
สงสัย แมจะออกอุทานก็อุทานไดเต็มปากเต็มใจ ไมม กี เิ ลสตัวใดมาตานทานขัดแยง
แลว
นแ่ี หละทท่ี า นเรยี กวา เรยี นจบปรญิ ญาเอก เอโก ธมฺโม ธรรมแทงเดยี ว จิตคอื
ธรรม ธรรมคอื จติ เปน อนั เดยี วกนั อกาลิกจิต อกาลิกธรรม คอื ธรรมชาตนิ แ้ี ล นี่คือ
ปรญิ ญาเอกในครง้ั พทุ ธกาลทา นเรยี นจบปรญิ ญาเอก ไมเหมอื นพวกเราปรญิ ญาเอก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๒
๓๐๓
เอกมีนัยนตาขางเดียวไมเปนทา ถาลงนัยนตาขางหนึ่งบอดไปอีกแลว เสรจ็ มนั เลยเอก
เปนอะไร มืดมิดปดทวาร
เอา นักปฏิบัติยึดใหดี หลกั ฐาน สถานท่ี หลกั วชิ า การดาํ เนนิ ทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรง
พาดาํ เนนิ มาและทรงสอนดว ยวธิ กี ารใด ใหย ดึ หลกั นใ้ี หด ใี หเ หนยี วแนน มน่ั คง เรื่องติด
พันกับกิเลส กเิ ลสตดิ พนั กบั เรานน้ั มนั เคยเหนยี วแนน มน่ั คงมาเปน เวลานานแลว ควร
จะจดื จางหรอื ควรจะชนิ ชาตอ กนั บา งแลว ธรรมทก่ี ลา วเหลา นเ้ี รายงั ไมเ คย เราเพิ่งจะมา
เคยในเวลาทบ่ี วชประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เอาใหจ รงิ ใหจ งั ใหเ หน็ ความจรงิ วา เปน ยงั ไง แลว จะ
เสยี ดายกิเลสตัวใดอกี ไหม
เอาลงใหจ ิตไดบ ริสุทธ์เิ ตม็ ที่แลวซิ เราจะยอ นกลบั มาเสยี ดายกเิ ลสตวั ใดบา ง
ไหม เราจะเสยี ดายโลกธาตนุ โ้ี ลกไหนบา งไหม กามโลก รปู โลก อรปู โลก สามโลก
กามภพ รูปภพ อรปู ภพ สมบตั ิทง้ั หลายทีเ่ กดิ อยูในแดนโลกธาตนุ ี้ เราจะยอ นกลบั มา
เสียดายมันอีกไหมเมื่อจิตไดผานพนไปแลว เอาซเิ อาใหจ รงิ นกั ปฏบิ ตั ิ ถาธรรมไมวิเศษ
จะเหนือสิง่ เหลาน้ไี ปไดอ ยา งไร แลว ใจทห่ี ลดุ พน ไปแลว จะยอ นมาเสยี ดายความเดน
ตายเสยี ดายปา ชา อะไรกนั อกี ความทเ่ี ราเสยี ดายเหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั มวล จง
ทราบไวใ หถ งึ ใจ เอาใหจ รงิ ใหจ งั
นแ่ี หละการปฏบิ ตั ิ ถาจริงตองเปนอยางนี้ไมเปนอยางอื่น สวากขาตธรรมนส้ี ดๆ
รอ นๆ ประหนง่ึ วา พระพทุ ธเจา ประทานอยปู จ จบุ นั น้ี อา นบทใดบาทใดคาถาใดเหมอื น
พระพุทธเจา ประทานพระโอวาทในขณะน้นั ๆ ดวยพระองคเอง ไมมีคําวาอดีตอนาคต
เพราะเปน ความจรงิ ลว นๆ ความถูกตองลวนๆ ในธรรมทแ่ี สดงไวแ ลว นน้ั จะเปนอดีต
ไกลๆ ที่ไหนกัน ธรรมของจริงตองเปนปจจบุ นั ทนั สมัยอยเู สมอ ผูนํามาประพฤติ
ปฏิบัติใหถูกตองจะไมมีขอของใจสงสัยใดๆ ผูปฏิบัติทั้งหลายจงตั้งอกตั้งใจดังที่ได
กลา วมาเมอ่ื สกั ครนู ้ี จิตจะกลับมาเสียดายอะไร เอา ใหร เู หน็ กบั ตวั เราเอง ธรรมของ
พระพุทธเจาเคยหลอกลวงโลกเมื่อไร รอ ยทง้ั รอ ยมแี ตเ ราหลอกเรา หรอื กเิ ลสหลอกเรา
ตา งหาก
ฉะนั้น จงเอาใหจ รงิ ถา อยากรเู หน็ ธรรมของจรงิ ประจกั ษใ จ ของจริงของวิเศษมี
อยกู บั ใจน้ี ใหก ิเลสมันเอาไปครองอยทู าํ ไม ใหก เิ ลสมนั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเคย้ี วใหแ หลก
อยูตลอดเวลา และทนรบั ความทกุ ขค วามลาํ บากอยทู าํ ไม ธรรมมอี ยู เครอ่ื งสงั หารกเิ ลส
มีอยู เครื่องซักฟอกมีอยูนํามาใชซิ เราเปน มนษุ ยท ง้ั คนดว ย เปนพระทั้งองคดวย ทําไม
จะไมม คี วามสามารถ เมื่อไดร บั พระโอวาทจากพระพุทธเจาอยา งเต็มหัวใจแลว ตอ งเรา
เทานั้นจะปฏิบัติใหพนทุกขได คนอ่นื เปน เรอ่ื งของคนอ่นื อยานํามากวนใจ
เอาละเหน็ วา สมควร รสู กึ เหนอ่ื ยภายใน
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๓
๓๐๔
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กนั ยายน พุทธศักราช ๒๕๒๔
งานของสมณะ
การสรา งกนิ มที าํ เลทท่ี าํ งานเปน ประจาํ ทกุ สตั วท กุ บคุ คล จะอยูเฉยๆ ไมได
เพราะธาตขุ นั ธน ม้ี นั รบกวนวนุ วายอยตู ลอดเวลา ทง้ั ความหวิ ความกระหาย ทง้ั โรคภยั
ไขเ จบ็ มอี ยเู ปน ประจาํ ในขนั ธ จะเรียกวาขันธนี้หาความสงบพอตัวไมไดก็ไมผิด เพราะ
ขนั ธนี้เกิดข้ึนมาในทา มกลางแหง โลก อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา จึงตองมีความบกพรอง
ตอ งการและแปรปรวนภายในตวั อยเู สมอ โลกจงึ ตอ งทาํ งานกนั ไมว า สตั วว า บคุ คล ตอง
ทํางานเพื่อปากเพื่อทองเพื่อความเปนอยู เพื่อชีวิตรอดไปเปนวันๆ จนถึงอวสานของ
ชวี ติ นน้ั ๆ โลกจึงเปนปกติสุขโดยไมตองขวนขวายอะไรไมได เมื่อเปนเชนนั้นโลกจึงมี
งานประจาํ ตน นอกจากมงี านประจาํ ตนแลว ยงั ตองมีสถานทท่ี าํ เลแหงการทาํ งานนน้ั ๆ
มนุษยเราอยูสถานที่ใดก็มีที่ทํางานเปนของตน และมโี รงงานเปน ทผ่ี ลติ เครอ่ื ง
อุปกรณตางๆ เพื่อธาตุเพื่อขันธ เพื่อความเปนอยูของมนุษยทั่วๆ ไป และงานที่โลกทํา
นน้ั ผลที่ถูกผลิตออกมาเปนความสําเร็จแกความตองการและธาตุขันธ ใหโลกเห็นอยู
อยางชัดเจน เชน โรงงานผลิตส่ิงน้นั สิ่งนั้นปรากฏขึ้นมา โรงงานนน้ั ผลติ สง่ิ นน้ั สง่ิ นน้ั
ปรากฏขน้ึ มาจากโรงงานนน้ั ๆ นเ่ี ปน ขอ เปรยี บเทยี บ
ที่นี่ทางพระพุทธศาสนาก็มีงานประจําตน มคี วามจาํ เปน สาํ หรบั ผทู ต่ี อ งการ
เยยี วยารกั ษาจติ ใจของตนใหม คี วามสงบรม เยน็ ไมร อ นเปน ฟน เปน ไฟเพราะขาดธรรม
อนั เปน อาหารทางใจ เฉพาะอยางยง่ิ นักบวชยอ มมีโรงงานเปนเน้ือเปน หนงั เปน
กิจจะลักษณะ เปนหลักฐานมั่นคง เปน กฎเปน เกณฑยงิ่ กวางานอน่ื ใดเพศอ่ืนใด ดว ย
เหตุนี้พระพุทธเจาจึงทรงสั่งสอน สถานทีท่ ํางานและงานอนั เปนความจาํ เปน ท่ีจะไดผ ล
เปนที่พอใจ และความประสงคของผูตองการผลอันเปนที่พึงหวัง เชน ทรงสั่งสอน
สถานที่ที่อยูอาศัย ทรงส่งั สอนงานท่ีทาํ ไมใหผิดพลาด ทรงสง่ั สอนวา ใหแ สวงหาอยใู น
สถานทส่ี งดั เชน ในปา รม ไม ชายเขา ตามถ้ํา เงื้อมผา ปาชา ปา ชฏั อันเปนที่สงัดไม
เปน ทพ่ี ลกุ พลา นดว ยสง่ิ รบกวนตา งๆ เพื่องานที่ทํานั้นจะไดเปนไปเพื่อความราบรื่นดี
งามสมความมงุ หมายไมล า ชา เนน่ิ นาน
งานทท่ี าํ กค็ อื การภาวนา พจิ ารณาตั้งแตข้ันสมถะคอื ความสงบเย็นใจ ดวยวิธี
การตา งๆ เชน สมถธรรม ๔๐ หองที่ทรงแสดงไว เพื่อความสงบระงับของจิตซึ่งเปนตัว
ฟงุ ซา นวนุ วาย ดว ยอาํ นาจแหง โรคภายใน ไดแกกิเลสตัณหาอาสวะเครื่องหมักดองอยู
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๔
๓๐๕
ภายในจติ ใจ ใหส งบตวั ลงไปดว ยอบุ ายวธิ แี หง ธรรมนน้ั ๆ เชน อานาปานสตเิ ปน ตน นี่
คืองานขั้นหน่ึงเปน ขนั้ เปน ตอนซึง่ พดู ในภาคท่วั ๆ ไป ในขณะทจ่ี ะสบั งานหรอื เปลย่ี น
งานในเวลาเชน นน้ั กม็ ี เชน วปิ ส สนาการพจิ ารณาแยกแยะอาการของกายสว นตา งๆ
ดวยอุบายของสตปิ ญญาอนั เปน ความฉลาดแหลมคม ใหร ตู ามความเปน จรงิ ในธาตใุ น
ขันธทั้งภายนอกภายใน ตลอดสิ่งทั่วๆ ไปซึ่งอยูในวงแหงการพิจารณาของปญญา จะพึง
รูรอบขอบชิดตามกําลังของตน
เฉพาะอยา งยง่ิ วดั ปา บา นตาดกเ็ ปรยี บเหมอื นกบั โรงงานอนั หนง่ึ ทเ่ี ราทง้ั หลาย
เปนผูมุงตองานและผลของงานคืออรรถธรรม ไดม าสสู ถานทน่ี ้ี หวั หนางานกไ็ ดแ กผ ู
เปน หวั หนา วดั ผทู าํ งานเพอ่ื เปน เนอ้ื เปน หนงั เปน สารคณุ จรงิ ๆ ก็คือตัวของเราแตละ
องคๆ ที่มาประพฤติปฏิบัติเพื่อกําจัดสิ่งไมดีทั้งหลายที่ฝงจมอยูภายในใจ วนั หนง่ึ ๆ
เราทาํ งานจากอบุ ายการแนะนาํ สง่ั สอนของหวั หนา งานอยา งไรบา ง อนั นเ้ี ปน สง่ิ ทค่ี วรคดิ
อยา งยง่ิ สาํ หรบั นกั บวชเราทม่ี งุ หนา มาศกึ ษาอบรม
งานทางโลกเขาทุกโรงงาน เมื่อต้งั โรงงานและผลติ งานน้นั ๆ ขน้ึ มา ผลของงาน
ยอมปรากฏขึ้นมาเปนชิ้นเปนอันอยางประจักษ แตโ รงงานของเราทเ่ี ตม็ ไปดว ยคนงาน
คือสมณเพศสมณกิจ ทาํ งานอยภู ายในวดั น้ี มีผลงานอยา งไรบางทปี่ รากฏขนึ้ มา พอ
เปน ความอบอนุ ภายในใจ ผลงาน เชน สมถธรรม คอื ความสงบเยน็ ใจเปน อยา งไรบา ง
วปิ ส สนาธรรม คอื ความรแู จง เปน ลาํ ดบั ในสภาวธรรมทง้ั หลายดว ยปญ ญาของตน
ปรากฏขน้ึ อยา งไรบา ง นี่เปนสิ่งที่เราจะตองคิดใหถึงใจทุกๆ รูปทุกๆ องค
สถานที่ทาํ งานก็คือสถานท่เี ดนิ จงกรม นง่ั สมาธภิ าวนา งานกค็ อื สมถกจิ
วปิ ส สนากจิ โลกเขาทาํ งานเขามผี ลของงานปรากฏขน้ึ มา นกั บวชเราทาํ งานมผี ลปรากฏ
อยา งไรบา ง ขอใหพากันคิดอยางถึงใจ ถา งานนไ้ี มป รากฏแกจ ติ ใจบา งเลยกแ็ สดงวา เรา
นี้เจงไปทุกวัน ทาํ งานไมเ หน็ ผลมปี ระโยชนอ ะไร ขายหนา เปลา ๆ โลกเขาตง้ั โรงงานขึ้น
มาส้นิ เปลืองเงนิ ไปกีล่ า น แตทาํ งานลงไปไมเหน็ ผลของงานเลย ทาํ ไมโรงงานนน้ั ๆ จะ
ไมล มจม ตองลมจมโดยไมตองสงสัย งานของพระปฏบิ ัตเิ รากต็ องลม จมแบบเดยี วกนั
น้ี ซง่ึ เปน เรอ่ื งทน่ี า ใจหายนา เสยี ดายยง่ิ กวา สง่ิ ใดในโลก
ทน่ี ก่ี เ็ ปน สถานทอ่ี บรมทเ่ี รยี กวา โรงงาน เราทง้ั หลายแตล ะทา นๆ เปน ผมู ุง
ทาํ งานในหนา ทข่ี องพระ มีศาสดาองคเอกเปนผูวางโครงการไวโดยถูกตองแมนยําดัง
ธรรมทา นวา สวากขาตธรรม ตรัสไวชอบแลวทุกสิ่งทุกอยาง นยิ ยานกิ ธรรม พรอมอยู
เสมอทจี่ ะยงั ผลใหผ ูปฏิบัตดิ ปี ฏิบัตชิ อบตามสวากขาตธรรม ไดรับผลเปนที่พอใจ
งานทง้ั สองประเภทคอื เหตุ ไดแ กก ารดาํ เนนิ และผลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการดาํ เนนิ
ของเราในทางสมณกจิ สมณธรรมนเ้ี ปน อยา งไรบา ง หากยังไมปรากฏผลก็แสดงวา นเ่ี รา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๕
๓๐๖
เรม่ิ เหลวไหลไปโดยลาํ ดบั ทกุ รปู ทกุ นาม ดไี มด เี หลวไหลจนกระทง่ั หวั หนา งานวา การสง่ั
สอนธรรมะนน้ั เปน โมฆธรรม หาสาระไมได หากวาการสั่งสอนนั้นถูกตองตามแนวสมถ
วปิ ส สนาเปน ธรรมสาระ ผูปฏิบัติตามทําไมจึงไมเห็นผล มันตองสอแสดงมาถึงหัวหนา
จนได แตนี้ไดแนะนําสั่งสอนหมูเพื่อนอยางเต็มกําลังสติปญญาความสามารถที่มีอยู
และดวยความแนใจวาไมผิดจากวิธีการสั่งสอนทุกแงทุกมุมทั้งเหตุและผล เพราะได
ดาํ เนินมาแลวอยางโชกโชนไมสงสยั ทั้งการปฏิบัติก็ไดตะเกียกตะกายลมลุกคลุกคลาน
มาแลว ตั้งแตภาคปฏิบัติทุกขั้นทั้งถูกทั้งผิด อนั เปน ครเู ปน อาจารยส อนตนทง้ั สน้ิ
อันดับตอมาก็ไดมาแนะนําสั่งสอนหมูเพื่อนและประชาชน ตามวธิ ที ต่ี นดาํ เนนิ
มาแลว ผิดหรือถูกประการใดก็ถือเปนครูเปนอาจารยของตนมาทุกระยะแลว จึงนําการ
ปฏิบตั ทิ ัง้ เหตแุ ละผลนั้นมาส่ังสอนหมเู พอ่ื น เพราะฉะนั้นจึงไมสงสัยทั้งเหตุและผลที่
ตนไดดําเนินมา ดว ยเหตนุ ห้ี มเู พอ่ื นควรพจิ ารณาดว ยดแี ละมน่ั ใจในแนวทางทส่ี ง่ั สอน
วา จะไมท าํ ใหผ ดิ หวงั ถา ตงั้ ใจปฏบิ ัตติ ามจรงิ ๆ ไมเถลไถลไปทางอื่น
อยา สงสยั เรอ่ื งอะไรในโลก อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อนั เต็มไปดว ยปา ชาความเกิด
ตาย และเต็มไปดวยกองทุกขคลุกเคลากันอยูนี้ ไมมีอะไรพิเศษนอกเหนือไปจากนี้ มี
เฉพาะอมตธรรมที่จะเกดิ ข้ึนจากผลของงานที่เราผูปฏิบัติอยเู วลาน้เี ปน สําคัญ ตองเอา
ใหง านนส้ี าํ เรจ็ จนไดแ มข น้ั ใดขน้ั หนง่ึ ถา งานนไ้ี มส าํ เรจ็ เลยตอ งถอื วา เหลวไหลนกั
ปฏบิ ตั เิ รา
เราพรอ มทกุ สง่ิ ทกุ อยา งแลว เวลาน้ี เพศกพ็ รอ มคอื เปน วตั ถสุ มบตั ภิ ายในตวั เรา
หากจะวบิ ตั ใิ นตวั เราเวลานก้ี ค็ อื สตวิ บิ ตั ิ ปญ ญาวบิ ตั ิสาํ หรบั การแกก ิเลสประเภทตา งๆ
เทา นน้ั แตเปนสิ่งที่ฟนไดอบรมใหเกิดใหมีได ดัดแปลงได ทาํ ใหฉ ลาดไดไ มส ดุ วสิ ยั
พระพทุ ธเจา จงึ สอนใหอ บรมใหเ หน็ ผลงานทป่ี ฏบิ ตั ิ การปฏบิ ตั งิ านไมเ หน็ ผลงานเลย
เรยี กวา เหลวไหลทส่ี ดุ นกั บวชเหลวไหลนด้ี ไู มไ ดน ะ เราแตล ะรายๆ เหลวไหลดไู ดอ ยา ง
ไร ไมอ บั อายเจา ของเหรอ และไมอ ายศรทั ธาผสู นบั สนนุ ดว ยปจ จยั สม่ี าแตว นั เรม่ิ บวช
ละเหรอ โลกเขายังรูจักอายกัน เราเปน พระแทๆ ทําไมจะไมรูจักอายเขา
เราปฏิบัติเพื่อความพนทุกขแทๆ ทก่ี า วเขา มาสวู งพระศาสนาดว ยความเปน พระ
ศากยบุตรองคอ าชาไนยผูชนะเลิศในไตรภพแทๆ ถอยไดอยางไร หนา ทก่ี ารงานของเรา
นเ้ี ปน งานทเ่ี ลศิ ประเสรฐิ ตามทางศาสดาโดยแทแ ลว ทาํ ไมจงึ จะกลายเปน งานเหลวไหล
พระเหลวไหล ผลไมป รากฏ ขดั กันกบั ธรรมขดั กนั กับหลักศาสนา นอกจากขัดกับหลัก
ศาสนาแลว ยังจะเปนขาศึกตอศาสนาและเปนขาศึกตอเราดวยอยางหลีกเลี่ยงไมได
ฉะนั้น จงพากันคดิ ใหด ี ตีกิเลสใหแ ตกพา ย คลายกเิ ลสใหห ลดุ ถึงวิมุตติธรรมภายใน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๖
๓๐๗
ปจ จบุ นั ชาตนิ ้ี อยาลังเลเลื่อนลอยถอยทัพกลับแพ จะแยไปตลอดกัปกัลปหาสิ่งประกัน
ตัวไมได
อนั ใดทถ่ี อื วา เปน สริ มิ งคลแกเ ราเวลาน้ี ก็คือการดําเนินตามหลักธรรมของ
ศาสดา เอา หาํ้ หน่ั กเิ ลสตวั มหาภยั ลงไป อยาออมแรง เปนกเ็ ปนตายกต็ าย ในโลกน้ีมี
ปา ชา เตม็ ไปหมดอยา วา แตเ ราอยา งเดยี วเลย โลกทั้งโลกข้นึ ชอื่ วา สตั วสงั ขารแลว ตองมี
การเกิดการดับการลมการตายเหมือนกันไมมีทางสงสัย ไปสถานที่ใดมีแตปาชาของ
สัตวของบุคคล กอ นจะตายกด็ น้ิ รนกระวนกระวาย จนกระทั่งไปไมไดแลวคอยยอมตาย
นี่ไมใชกองทุกขบีบบังคับจะเปนอะไร สงสัยหาอะไรกันอีก
เราสงสยั อะไรในโลกแหง กระทะทค่ี รอบศรี ษะเรา หรอื ทอดเราเหมอื นกบั เนอ้ื
กบั ปลาอยเู วลาน้ี ดว ยความทกุ ขท รมานตา งๆ เราสงสยั อะไรอยอู กี กม็ ีทางเดยี วทจี่ ะ
กระโดดใหรอดพนไปไดจากกองฟนกองไฟคือ ราคคคฺ นิ า โทสคฺคินา โมหคฺคินา
เปนตน ดว ยการปฏบิ ตั เิ พอ่ื เอาตวั รอดเปน ยอดเรา ยอดธรรมนเ้ี ทานั้น ซึ่งเปนทางอัน
เอกเปนสถานที่เกษม เปน ธรรมเลศิ ภายในใจทพ่ี าใหข า มพน ไปได ดว ยความปลอดภัย
ไรทุกขโดยประการทั้งปวง
ฉะนั้นจงพากันทําใหถึงใจ ในการประพฤติปฏิบัติอยาทอถอยออนแอนะ ไมมี
ผลประโยชนอะไรเกิดขึ้นจากความทอถอยออนแอ ความทอ แทเ หลวไหลเลย ผลจะเกิด
ขน้ึ เพราะความขยนั หมน่ั เพยี ร ความอตุ สา หพ ยายามตา งหาก เฉพาะอยา งยง่ิ อทิ ธบิ าท
ทั้ง ๔ คอื ฉนั ทะ พอใจในอรรถในธรรมเพอ่ื ความพน ทกุ ขน อ้ี ยา งเดยี วเทา นน้ั ไมพอใจ
กบั สิ่งอน่ื ใด วิริยะ เพียรเพื่อความพนทุกขถายเดียว เพราะเราเคยจมอยใู นทกุ ขม านาน
ไมเปนที่สงสัยและประจักษใจทุกคน จติ ตะ มีความรักความใฝใจในงานของตนอยู
เสมอไมจืดจาง วมิ งั สา ทําอะไรๆ ใหคิดอานไตรตรอง อยาสักแตวาทํา ใหม คี วามจงใจ
คือสติติดแนบไปดวย ปญ ญาพจิ ารณาใครค รวญเสมอ นี่คืองานเพื่อความหลุดพน อิทธิ
บาท แปลยอ วา แดนแหง ความสาํ เรจ็ ไมมีงานใดที่จะถูกตองและเหมาะสมยิ่งกวาอิทธิ
บาททง้ั ๔ อนั เปน แดนสาํ เรจ็ นไ้ี ปไดเ ลย
จงปลงใจลงในธรรมเหลานี้ ถาอยากหนีทุกขไมจมอยูกับมันตลอดไปนะ และจง
ทราบโดยทว่ั กนั ดว ยวา กิเลสทุกประเภทไมเคยสอนใหสัตวโลกเบื่อทุกขและหนีทุกข
นอกจากกลอมใหหลงเพลินลืมตัวและจมอยูในทุกขถายเดียว ไมหยิบยื่นอะไรมาผลัด
เปลย่ี นพอไดห ายใจคลายทกุ ขบ า งเลย มธี รรมเทา นน้ั สอนสตั วโ ลกใหเ บอ่ื หนา ยคลาย
ทุกข จนบรรลุถึงบรมสุขไมมีอะไรเปนคูแขงได
เมอ่ื ทราบตามความจรงิ นแ้ี ลว จงดูใจตัวเองและถามใจตัวเองวา จะยึดเอากิเลส
เปน ศาสดา สรณํ คจฉฺ ามิ หรอื จะยดึ เอาศาสดาและธรรมเปน สรณํ คจฉฺ ามิ และถาม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๗
๓๐๘
ผลของการยดึ นน้ั ดว ยวา สตั วโ ลกทกุ ขเ พราะกเิ ลสหรอื ทกุ ขเ พราะธรรมอยา งจรงิ ใจ
อยาถามเลนๆ ทาํ เลน ๆ กเิ ลสจะหวั เราะเอาจะวา ไมบ อก เพราะเพลงของกเิ ลสไพเราะ
เพราะพริ้งและออยอิ่งสุดประมาณที่จะตามรูทัน ถาไมใชวิสัยของธรรมและผูมีธรรม จะ
ไมม วี ันคน พบตนสายปลายเพลงของมันไดเ ลย ถาอยากคนใหพบเพลงอันออยอิ่ง แต
แสนจอมปลอมของมัน ก็จงผลิตสติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี รเขา ใหพ อตวั จะตอง
เจอรางยักษรา งผขี องมันท่ฝี ง จมอยูภายในใจชนดิ ใจหายใจควาํ่ เพราะความเห็นโทษ
ของมันประจักษใ นวนั หน่งึ แนน อน
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๘
๓๐๙
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมือ่ วนั ที่ ๑๗ กนั ยายน พุทธศักราช ๒๕๒๔
อบุ ายพน ทกุ ข
หลักธรรมของพระพุทธเจามีหลายขั้นหลายตอน นบั แตข น้ั พน้ื ๆ จนถึงขั้นสูงสุด
แหง ธรรม ถา เปน รา นคา กเ็ ปน รา นสรรพสนิ คา ไมมีอัดมีอั้นในการจําหนายตอลูกคา หา
เลือกไดตามความชอบใจ ผมู ีทนุ ทรัพยมากนอ ยเลอื กซ้ือไดใ นหา งสรรพสินคา น้ัน เพราะ
มีพรอมสมบูรณทุกสิ่งทุกอยาง ตั้งแตเครื่องเลนของเด็กจนกระทั่งสินคาที่มีคาอันสูงสง
ศาสนธรรมกเ็ ปน เชน นน้ั เหมอื นกนั ไมว า จะเปน เดก็ เปน ผใู หญ ฆราวาส นกั บวชทจ่ี ะนํา
ธรรมะประเภทตา งๆ มาประพฤติปฏิบัติตอตัวเอง มอี ยา งพรอมมูลอยูแ ลวในศาสน
ธรรมของพระพุทธเจา
ธรรมะพรอมจะเปนสิริมงคล และเปน ประโยชนแ กผ สู นใจใครธ รรมนาํ ไปปฏบิ ตั ิ
อยูตลอดเวลา ธรรมะมหี ลากรสเกย่ี วกบั คนหลายเพศหลายวยั ไมบ กพรอ ง เพราะฉะนน้ั
ธรรมจึงเปนหลักปกครองโลกไดเปนอยางดีไมมีที่ตองติ นับแตเด็กขึ้นไปถึงผูใหญ นบั
แตร ายบคุ คลไปถงึ สว นรวมและทว่ั โลกดนิ แดน ถาตางคนตางมีความสนใจดังที่ตางคน
ตา งมคี วามมงุ หวงั ความสขุ ความเจรญิ อยแู ลว นน้ั ธรรมะจะเปน เครอ่ื งสนองความสม
หวังของคนใหสมความมุงหมายโดยไมมีทางสงสัย เพราะธรรมะเคยเปนท่ีฝากจติ ฝากใจ
พง่ึ เปน พง่ึ ตายของโลกมานานแสนนานแลว จงึ ไมส งสัยวา ผนู บั ถอื ธรรมปฏบิ ตั ธิ รรมจะ
เปน ผหู งอยเหงาเศรา ใจและฉบิ หายลม จม จนกระทง่ั ไมมีใครนับหนา ถอื ตาและสมาคม
ดว ย แตธ รรมะเปน จดุ รวมแหง ความดแี ละคนดที ง้ั หลาย ใหส นทิ ตดิ ใจกันอยา งจรี งั ถาวร
โลกทห่ี าความสงบรม เยน็ ไมไ ด เพราะอาํ นาจแหง ฝา ยตาํ่ ซง่ึ เปน ขา ศกึ กบั ธรรม
เขา ยาํ่ ยตี แี หลกภายในจติ ใจ โลกจงึ มคี วามโลภมากเปน ภยั มาก มีความโกรธมากเปนภัย
มาก มีความหลงมากเปนภัยมากตอตนและผูเกี่ยวของไมมีประมาณ ยง่ิ เปน ผมู อี าํ นาจ
ราชศักดิ์มากและนําขาศึกทั้งสามอยางนี้ออกใชดวยแลว ก็ยิ่งจะเพิ่มความเปนฟนเปนไฟ
ใหแ กส ว นรวมไดม าก อันสมบัติตางๆ ในแผน ดนิ นน้ั ยังมีอยูมากพอกับความจําเปน
ของมนุษย เชน เมอื งไทยเรานบั วา ยงั อดุ มสมบรู ณ ทค่ี นไทยเราเดอื ดรอ นนน้ั เพราะความ
โลภมาก ความเหน็ แกต วั มาก ความเอารดั เอาเปรยี บมากเพราะความกอบโกยมากของ
คนสว นยอ ยเปน ผทู าํ ลาย ความจาํ เปน จงึ หายหนา ไปเพราะความโลภมากเปน ตน เขา
ทาํ ลาย เนอ่ื งจากความโลภมากไมมคี าํ วาอะไรจําเปน อะไรไมจําเปน แตจะถอื วาจําเปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๐๙
๓๑๐
ทง้ั สน้ิ ถา ความโลภจะมสี ว นดว ย ดงั นน้ั ความโลภมากจงึ พาไปในทางทุจริต เอารดั เอา
เปรยี บผอู ืน่ ไมม ีประมาณ
เวลานี้มีแตสิ่งที่เปนขาศึกตอความสงบสุขของบานเมืองออกเพนพาน และแผ
อํานาจทําหนาทีท่ ุกแหง ทุกหน ไมห ยดุ หยอ นผอ นคลายลงบา งเลย ดนู บั วนั จะหา งเหนิ
จากศีลธรรมอนั เปน ความรม เย็นออกไปทุกวนั ถา ขืนเปนอยา งนี้ไปเรื่อยๆ ตวั บคุ คลและ
สว นรวมกน็ บั วนั จะเดอื ดรอ นจนไมอ าจคาํ นวณได ไมวาสถานที่ใดดูรุมรอนกันไปหมด
ทั่วโลกดินแดน นับแตคนมั่งมี คนฉลาด ลงมาถึงคนจน คนโง ตาสตี าสา ความรมุ รอ น
ภายในนน้ั รสู กึ จะพอๆ กัน ดีไมดีคนที่สังคมยกยองวามั่งมีวาฉลาด วา มอี าํ นาจราชศกั ด์ิ
ยังอาจจะมีทุกขทางใจมากกวานายสานายมาอยูตามกระทอมนา ใครก็ไมอาจทราบได
ถา คนนน้ั ไมส นใจทราบตวั เอง ทง้ั นเ้ี พราะความหลงตวั เองตน่ื ตวั เองและความโลภ
เปน ตน ไมเ คยทาํ ผใู ดใหร ม เยน็ เปน สขุ จะสามารถทาํ โลกใหเ ปน สขุ รม เยน็ ไดอ ยา งไร โลก
จาํ ตอ งยอมรบั กนั ในเรอ่ื งความทกุ ขค วามลาํ บาก ทั้งๆ ทม่ี คี วามรแู ละสมบตั บิ รวิ ารมาก
แตก็หาความสุขไมได เพราะความรคู วามฉลาดนน้ั ไดกลายไปเปนเครื่องมือของสิ่งที่
เปนขาศึกตอความสงบสุขของโลกไปเสีย
นีแ่ ลการสงเสรมิ ส่งิ ทเี่ ปน ขา ศกึ แกตวั และสังคมทั่วๆ ไป จงึ เปน เหมอื นกบั การสง
เสรมิ ไฟใหลุกลามใหญโตมากขนึ้ โดยลําดับ จนหาขอบเขตหาประมาณไมไ ด ถา ยงั ฝนให
เปนอยางนั้นโดยไมเห็นโทษของมัน วาเปนขาศึกตอความสงบสุขของโลกอยูแลว โลก
ยอ มจะบรรลยั เพราะสง่ิ เหลา นโ้ี ดยไมต อ งสงสยั
นี่เราพูดถึงภาคทั่วไปแหงธรรมที่เปนเครื่องปกครองโลกไดเปนอยางดี ถา นําไป
ปฏิบัติ แตถ า ไมส นใจในธรรมเครอ่ื งปกครองใหเ กดิ ความสงบรม เยน็ นแ้ี ลว ก็ไมพนที่จะ
เจอฟนเจอไฟ เจอความเดอื ดรอ นอยรู ่ําไป ทกุ ชาตชิ น้ั วรรณะแหง มนษุ ยเ ราฐานะใดไม
สาํ คญั อนั นส้ี าํ คญั กวา มอี ํานาจกวาทกุ อยาง เมื่อสิ่งนี้บงการลงไปแลวยอมเปนไปตาม
ความบงการของสิ่งน้ี โดยหาทางคัดคา นตา นทานไมได เพราะความรคู วามฉลาด สง่ิ น้ี
เหนอื กวา อยแู ลว
ทน่ี ย่ี น เขา มาจากสว นใหญค อื โลก เขา มาสสู งั คม เขา มาสคู รอบครวั เขา มาสตู วั
ของเรา เมือ่ โลกเปน เร่อื งใหญโ ต ธรรมไมสามารถจะเขา ถงึ และไมม ผี สู ามารถแนะนาํ สง่ั
สอนโลกใหเ หน็ คณุ คา แหง ธรรม ยง่ิ กวา คณุ คา แหง ฟน ไฟทเ่ี ปน อยภู ายในจติ ใจแลว ก็
ตอ งยอ นเขามาสวู งแคบโดยลาํ ดบั จนกระท่งั ถงึ ตวั เรา โลกไมสามารถที่จะปกครองตนปก
ครองกนั ไดด ว ยความเปน ธรรม แตเ ราตอ งพยายามใหผ ดิ แปลกจากโลกทเ่ี ขาไมส ามารถ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๐
๓๑๑
กลายเปน ผสู ามารถขน้ึ มาปกครองตนดว ยธรรม เพอ่ื ความหลบซอ นผอ นคลายความ
ทุกขรอนไดพอประมาณ ไมรุมรอ นไปท้ังเขาทั้งเราโดยถายเดยี ว
เฉพาะอยางยิ่งคือนักบวช เปน ผพู รอ มแลว ในการปฏบิ ตั ธิ รรม ทุกอาการที่
เคลอ่ื นไหวไปมาและทกุ อริ ยิ าบถ ทุกสถานที่ เปน สถานทอ่ี ริ ยิ าบถทเ่ี หมาะสมตลอดเวลา
อยูแ ลว วนั หนง่ึ คนื หนง่ึ เจตนาของเราเองกท็ ราบชดั ภายในตวั วา เรามคี วามมงุ หวงั ตอ สง่ิ
ใด เราจงึ ไดย อมตนเขา มาบวชในพระพทุ ธศาสนา คอื เรามุงตอ ธรรมแดนแหงความสงบ
สขุ ภายในจติ ใจดว ยการปฏบิ ตั ธิ รรม จึงไดสละตนออกมาบวช ไมใชสักแตวาบวชโดยไม
คดิ สารคณุ ใดๆ ในการบวช
การบวชเปน การประกาศเพศของตนใหโ ลกทราบทว่ั ๆ ไป วา เปน ผพู รอ มแลว ท่ี
จะเปนคนดี ที่จะประพฤติปฏิบัติธรรมอันเปนของดีใหดียิ่งขึ้นโดยลําดับ จนถึงขั้นดีเลิศ
เปน บคุ คลดเี ลศิ เปน พระดเี ลศิ โดยไมตองอาศัยผูห นึ่งผใู ดมาเสกสรรปน ยอวา ดี แต
เปน ความดีและเปนความดีเลิศอยดู วยการกระทําของตน นเ่ี ราทราบอยแู ลว เพราะ
ฉะนั้น จงนาํ ความทต่ี นทราบนอ้ี อกทาํ หนา ทใ่ี หเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย อยาไดลดละทอถอย
คุณงามความดีอันจะพึงไดจากศาสนธรรมของพระพุทธเจา ขอใหเ ปน สมบตั หิ รอื มหา
สมบตั ขิ องเรา ไมใหหลุดมือของพระปฏิบัติคือเราไปได จะเปนที่ภาคภูมิใจตัวเองตลอด
กาลสถานทไี่ มเคลอื บแคลงสงสัย
ธรรมทุกขั้นทุกภูมิไมมีขอสงสัยแลว วาจะนําผูปฏิบัติตามใหตกทุกขไดยาก
ลาํ บากเขญ็ ใจ หรือตกนรกหมกไหมไดรับความทุกขทรมานลมจม เพราะการประพฤติ
ปฏบิ ตั ธิ รรม ไมมีขอสงสัยแมนิดหนึ่งเพราะเปน สวากขาตธรรม ตรัสไวชอบทุกแงทุกมุม
แลว ในบรรดาธรรมทง้ั หลายทพ่ี ระองคน าํ มาสง่ั สอนโลก ทรงคนอยูถึงหกพระพรรษาจึง
ไดต รสั รู เมอ่ื ไดผ ลเปน ทแ่ี นพ ระทยั สดุ สว นแลว จงึ นาํ ธรรมน้ันออกมาสั่งสอนโลก ธรรม
นน้ั จงึ เรยี กวา สวากขาตธรรม ตรัสไวชอบแลวไมมีขอบกพรอง และเปน นิยยานกิ ธรรม
นําผูประพฤติปฏิบัติใหหลุดพนจากสิ่งที่กีดขวางปดบัง สิ่งที่เปนพิษเปนภัยออกไดโดย
ลาํ ดบั ตามกําลังความสามารถของตน น่ีธรรมเปนอยา งนี้ไมเปนอยา งอืน่ พระองคทรง
รบั รองยนื ยนั เตม็ พระทยั แลว โดยถือพระองคเปนองคประกันในคุณภาพแหงธรรมทั้ง
หลาย ท่นี าํ มาประกาศสอนโลกนว้ี า ไมเ ปนอนื่ นอกเหนอื จากเปน ธรรมลว นๆ และเปน
ของประเสริฐเลิศยิ่งกวาโลกใดๆ สิ่งใดๆ
เราจึงไมตองกลวั วาจะเกิดความลมจม เพราะการทมุ เทกาํ ลงั ความสามารถลงใน
การประพฤตปิ ฏบิ ตั ธิ รรม เพอื่ การตอ สกู ิเลสอันเปนตวั พิษตัวภัยหรือเปน ขาศกึ อยภู าย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๑
๓๑๒
ในจติ ใจมานาน ดว ยอรรถธรรมของพระพทุ ธเจา เปน เครอ่ื งกาํ ราบปราบปราม เพราะ
ธรรมเปน ทร่ี บั รองผลมาแลว จากพระพทุ ธเจา และสาวกทง้ั หลาย ถา เปน ยากเ็ รยี กวา ไดท าํ
การทดลองมาเต็มที่แลว เหน็ ผลเปน ทพ่ี อใจแลว จงึ นาํ มารกั ษาโรคแตล ะประเภทๆ โรค
เมอ่ื ตา นทานยาชนดิ น้ี หมอตองไดพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหายาขนานใหมมาแก จน
กระทง่ั โรคไมส ามารถตา นทานยาไดแ ลว คนไขก ห็ ายจากโรค โรคภายในจติ ยอ มมกี าร
ตา นทานยาคอื ธรรมเหมอื นกนั ถา เราทาํ ดว ยอบุ ายนเ้ี ปน ความชนิ ชา กแ็ สดงวา กเิ ลสนน้ั
มคี วามตา นทานธรรม ตองพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอุบายวิธีตางๆ จนสามารถระงบั ดบั
กเิ ลสประเภทนน้ั ๆ ลงไดด ว ยวธิ กี ารนน้ั ๆ เชน เดียวกับหมอพลกิ แพลงเปลย่ี นแปลงหา
ยาขนานใหม มาแกโ รคทต่ี า นทานยาจนหายไปไดฉ ะนน้ั
อุบายวิธีประพฤติปฏิบัติตน จึงขึ้นอยูกับความฉลาดแหลมคมของผูจะปราบ
กิเลสตัวฉลาดจอมไตรภพเชนเดยี วกนั ไมเชนนั้นแกกันไมลง แกกันไมตก ตองไดใช
อุบายพลิกแพลงอยูเสมอ อยาติดความสขุ ความสบายอนั เปน นสิ ยั นอนเน่อื งของกิเลสฝง
อยูอยางลึกลับ เราไมอ าจทราบไดว า ความนอนใจหรอื ความสบายอนั นเ้ี ปน ภยั ตอ ตวั เรา
เอง เราเหน็ วา ความทกุ ขเ พราะการประกอบความพากเพยี รเพอ่ื จะแกก เิ ลสเหลา นว้ี า เปน
ภยั เสยี อกี จึงไมอยากทาํ ดวยความสนทิ ตดิ ใจในความเพยี ร ถาอยางนั้นก็หาทางรอดไม
ได เพราะขดั จากความมุง หมายของธรรมวา วริ เิ ยน ทกุ ขฺ มจเฺ จติ คนจะหลุดพนจากทุกข
ไปไดเ พราะอาํ นาจแหง ความเพยี ร ธรรมทา นวา อยา งน้ี แตก เิ ลสวา ขเ้ี กยี จนน่ั แลดี มันไม
วาคนจะจมอยูในกองทุกขเพราะความขี้เกียจนี่
ในระหวา งการประกอบความเพยี รอยนู น้ั ความทุกขก็ตองเปนไปตามๆ กัน เปน
เกลยี วเดยี วกนั เหมอื นเชอื กนน่ั เอง จะไมไดรับทุกขไดอยางไร ผูมุงตออรรถตอธรรม
ยอมไมคํานึงถึงความทุกขที่เปนไปดวยการประกอบความพากเพียร ยง่ิ กวา การเหน็ ภยั
ของกเิ ลสซง่ึ เปน ขาศกึ อันใหญหลวงภายในจิตใจ นเ่ี ปน สง่ิ สาํ คญั มากทจ่ี ะควรคาํ นงึ
สาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั เิ รา เผลอตัวเมอ่ื ไรเปนถกู ความข้ีเกียจออนแอลากลงใหกเิ ลสสับยําไม
สงสยั
เขาเขา ราํ่ เรยี นในมหาวทิ ยาลยั หรอื โรงราํ่ โรงเรยี นตา งๆ ไดความรูวิชาออกมา
แจก แบงกระจัดกระจายไปทุกแหงทุกหน จนกลายเปน ผมู คี วามรทู ว่ั ๆ ไป เพราะความรู
ทเ่ี ขาเรยี นมาจากโรงเรยี นหรอื มหาวทิ ยาลยั นน้ั ๆ เราเปน ผมู าศกึ ษาหาอรรถธรรมจากครู
จากอาจารยใ นสาํ นกั ตา งๆ กเ็ ชน เดยี วกบั เขา ศกึ ษาเลา เรยี นหาความรวู ชิ าจากโรงเรยี น
ตางๆ ของเด็กและของคนทั้งหลายนั่นแล เขาไดประพฤติปฏิบัติ เขาไดค วามรวู ชิ าไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๒
๓๑๓
แจกจายตลอดทั่วถึง เราทําไมแมจ ะแจกเรายงั ไมได มนั ไมเ ลวไปมากแลว เหรอ ถามตัว
เองซถิ าอยากทราบ
วชิ านเ้ี ปน วชิ าทส่ี าํ คญั ซง่ึ เรามงุ สละฆราวาสเหยา เรอื นชวี ติ จติ ใจสมบตั เิ งนิ ทอง
ทุกสิ่งทุกอยาง บรรดาทโ่ี ลกเหน็ วา เปน ของมคี ณุ คา นา ชอบใจ ออกมาสูความเปน พระ
เพื่ออรรถเพอ่ื ธรรม ซง่ึ เปน สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา มากยง่ิ กวา นน้ั เปน ไหนๆ ทําไมจะไมมีกําลังใจที่
จะประพฤติปฏิบัติ ทาํ ไมจะฝา ฝน ความทกุ ขค วามยากความลาํ บากดว ยความพากเพยี รน้ี
ไปไมได พระพทุ ธเจาเปน คนเชนไร กเ็ ปน คนเหมอื นกนั กบั เรา สาวกเปน คนเชน เดยี วกบั
เรา ทานผูผานไปแลวไมมีภัยมีเวรไมมีทุกขทั้งหลายติดตัวติดองคทานไปเลย ทา นกเ็ คย
ผา นทกุ ขม าแลว ดว ยความพากเพยี รเชน เดยี วกนั เหตใุ ดเราจะผา นความทกุ ขเ หลา นไ้ี ป
กับความเพียรไมได ทําไมเราจะสนิทสนมกับความทุกขที่เคยทุกขเพื่อความเพียรไมได
ทาํ ไมเราจะเหน็ วา ความทกุ ขเ หลา นเ้ี ปน พษิ ภยั ตอ เรายง่ิ กวา กเิ ลสเปน ภยั ตอ เรา เราตอ ง
ยอ นหนา ยอ นหลงั พนิ จิ พจิ ารณาและถามตวั เองเสมอ อันเปนการฝกซอมปญญาใหกาว
เดินไปในตวั
ผูปฏิบัติเพื่อแกกิเลส ตองแทรกตองซอนอุบายวิธีการตางๆ อยูเสมอ เพื่อจะ
ปลดเปลอื้ งตนใหห ลุดพนจากกิเลสไปโดยลําดับ จงึ จดั วา เปน ผหู าความรคู วามฉลาดจาก
ครจู ากอาจารยจ ากอรรถจากธรรม ไมเชน นั้นจะไมม วี ันฉลาดผดิ กบั ทีเ่ ปนอยนู ้เี ลย การ
คิดใหเปนอรรถเปน ธรรมเพื่อเปลือ้ งตน คนเรายอมมที างคิดไดถา สนใจคิด ทา นวา ธรรม
มีอยูทั่วไปตลอดกาลสถานที่ อะไรเลาจะสัมผสั ธรรมเหลา น้นั ถา ไมใชจ ิตไมใชส ตปิ ญญา
กเิ ลสมนั ยังคดิ ใหเปนกิเลสข้นึ มาจากใจของเราได เราคิดธรรมขนึ้ มาในใจทําไมจะไมไ ด
เลา อุบายวิธีตางๆ ตองผลิตขึ้นมาเรื่อยๆ อยา รอใหเ สยี เวลาํ่ เวลา
ในขณะทจ่ี ะทาํ ความสงบแกจ ติ ใจดว ยสมถธรรม กใ็ หเ ปน ความจรงิ ความจงั ตอ
งานนน้ั จรงิ ๆ อยา ทาํ เหลาะแหละ ถอื เปน กจิ เปน การเปน งานอนั เดยี วเทา นน้ั ในโลกน้ี ไม
มีงานใดเขามาเจือปน ไมมีความคิดไมมีอารมณใดเขามาเจือปน มีแตอารมณที่เกี่ยวกับ
ธรรมซง่ึ ทาํ อยโู ดยเฉพาะในวงปจ จบุ นั นเ้ี ทา นน้ั เปน อารมณข องจติ โลกเปนเหมือนไมมี
นน่ั แหละชอ่ื วา เปน ผตู ง้ั หนา ตง้ั ตาเพอ่ื ความสงบใจดว ยสมถธรรมนน้ั จรงิ ๆ ผลจะเปนข้นึ
มาไดโดยไมตองสงสัย เพราะทา นทเ่ี ปน สรณะของพวกเรานน้ั ทา นไดผ า นไปแลว ดว ย
อบุ ายวธิ นี ้ี จึงไดสอนพวกเราไวโดยถูกตอง
ในขณะทจ่ี ะพจิ ารณาแยกแยะดสู ภาวธรรมทง้ั หลาย นับแตขันธทั้งหาคือกองรูป
ไดแกรางกายของเรา เวทนา สขุ ทุกข เฉยๆ ซึ่งมีอยูทั้งทางรางกายและจิตใจ สัญญา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๓
๓๑๔
สงั ขาร วญิ ญาณ แตละอยางๆ กแ็ ยกแยะพนิ ิจพจิ ารณาประสับประสานกนั ดว ยปญญา
เพอ่ื ความแจม แจง ชดั เจนภายในใจ ความจริงซึ่งเปนของมีอยูแลวในขันธนี้จะไมประกาศ
จะไมเปดเผยขึ้นมาใหสติปญญาของเรารับทราบกันอยางถึงใจไดอยางไร เพราะเปน สง่ิ ท่ี
รอรบั กนั อยแู ลว สิ่งเหลานี้เปนของจริงเปดเผยอยูดวยความจริงของตนไมไดมีอะไรลี้ลับ
นอกจากกิเลสเปนผูปดบงั จงึ กลายเปน ของลล้ี ับไปเทาน้ัน
ทเ่ี ราไมเ หน็ วา สง่ิ เหลา นเ้ี ปน ภยั วา สง่ิ เหลา นเ้ี ปน อนจิ จฺ ํ เปน ทกุ ขฺ ํ เปน อนตฺตา
เปน อสภุ ะอสภุ งั เปนของปฏิกูลโสโครก กเ็ พราะกเิ ลสตวั เดยี วเทา นน้ั เปน ผปู ด บงั ความ
จรงิ นไ้ี ว เอาความจอมปลอมเขามาฉาบทา และเสกสรรปน ยอหลอกลวงใจใหห ลงตาม
เทา นน้ั เราจึงไดหลงงุมงามตวมเตี้ยมไปกับมัน และเคยหลงกลหลอกลวงของมันมามาก
นอ ยเพียงไรแลว
อบุ ายวธิ ที ก่ี ลา วมาเหลา น้ี ก็เพื่อจะใหเห็นเรื่องความจอมปลอมของกิเลสที่ปดหู
ปดตาปดจมูกปดลิ้นปดกายของเราอยูทุกเวล่ําเวลา มแี ตม นั เปน ผเู ดนิ หนา อยา งกลา
หาญชาญชยั ไมสะทกสะทา นใครโดยถา ยเดยี ว ตาสมั ผสั รปู จะเปนรูปชนิดใดกต็ าม มี
แตก เิ ลสเปน ผทู าํ การทาํ งานเสยี เอง เสยี งกระทบหจู ะเปนเสยี งประเภทใดก็มีแตกเิ ลส
ออกทํางานเสียเอง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสเขามาสัมผสั สมั พันธท างตา หู จมูก ลน้ิ กาย
ใจ กม็ ีแตเรอ่ื งของกิเลสเปนผทู าํ งานกอนหนาเราทง้ั สิน้ ธรรมออกหนาออกตาไมได
แสดงตัวไมได ถกู กเิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายหรอื ปด บงั หมุ หอ ไวห มด เมอ่ื เปน เชน นน้ั ความ
จริงจะเห็นไดท ่ไี หน มันก็มีแตของปลอมทั้งนั้นรุมลอมจิตใจเรา เพราะกเิ ลสตวั
จอมปลอมเปนผูทําหนาที่ของตนโดยตลอด ผลรายไดก็ตองเปนเรื่องของกิเลส คอื ให
ความรุมรอนแกจิตใจอยูโดยดี
เพื่อเปดของจอมปลอมนี้ออกดวยสติปญญา จงึ ตอ งพนิ จิ พจิ ารณาใหเ หน็ ตาม
ความจรงิ ดว ยธรรม โดยความต้งั สตใิ หดใี นจุดทต่ี นพจิ ารณา เพราะสง่ิ เหลา นไ้ี มไ ดป ด บงั
ตัวเอง เปนของเปดเผยความมีอยูดวยความจริงของตน สตปิ ญ ญากเ็ ปน ความจรงิ
ประเภทหนง่ึ ทม่ี อี ยแู ลว ภายในใจของผชู อบการคน ควา การพนิ จิ พจิ ารณา สติปญญาจะ
เกดิ เฉพาะบคุ คลทช่ี อบใครค รวญพนิ จิ พจิ ารณา แตไมเ กดิ สาํ หรบั คนข้เี กยี จไมช อบคิด
อานไตรตรองอะไร
เวลาจะพจิ ารณาทางดา นปญ ญากใ็ หพ จิ ารณาอยา งทก่ี ลา วน้ี รางกายไมว า ขางนอก
ขางใน พจิ ารณาใหเ ปน มรรค เพื่อความราบรน่ื เพ่อื ความปลดเปลอ้ื งไดเ หมอื นกนั หมด
เพราะจิตติดไดทั้งขางนอกขางใน รักได ชังได เกลียดได โกรธไดทั้งภายนอกภายใน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๔
๓๑๕
เปนกิเลสไดทั้งขางนอกขางใน จงึ พจิ ารณาไดท ง้ั ภายนอกภายใน ดังนั้นพระพุทธเจาจึง
สอนสาวกใหไ ปเยย่ี มปา ชา เพราะยังไมสามารถมองเห็นปาชาซึ่งมีอยูกับตัวทุกคนได ขั้น
เรม่ิ แรกการประพฤติปฏิบตั ิ จึงทรงสอนใหไปเยี่ยมปาชา ไปดูศพหญิงชายทั้งตายเกา
ตายใหมใ นปา ชา ผดี บิ เพราะสมัยกอนไมมีการเผาการฝงกัน ใครตายก็นําไปทิ้งเกลื่อน
อยตู ามปา ชา ท่ีเปนแดนปา ใหพ ระทา นไปพจิ ารณากรรมฐานใหเ หน็ เปน เรอ่ื งสลดสงั เวช
เพอ่ื ลบลา งคาํ วา สวยวา งาม เพราะคนตายแลว สว นมากไมน า จะมคี วามกาํ หนดั ยนิ ดี ไม
นา เพลดิ เพลนิ รน่ื เรงิ พอจะใหเ กดิ ความรกั ชอบกาํ หนดั ยนิ ดี ทา นจึงสอนใหไปเยย่ี มปาชา
ทา นสอนกําชบั ในการปฏิบัติตอซากศพประเภทน้นั เชนศพหญิงที่ตายใหมอยา
ดวนเขาไปเกี่ยวของ ใหไ ปพจิ ารณาดผู ตู ายเกา ไปโดยลาํ ดบั ทเ่ี ปน อสภุ ะอสภุ งั ซงึ่ เวลาพบ
แลว เหน็ แลว ใหเ กดิ ความสลดสงั เวชเกดิ ความเบอ่ื หนา ย อันเปนการปลดเปลอ้ื งความผูก
พนั ในรปู และหายความรกั ใครก งั วล การพจิ ารณาซากศพก็เพอื่ นอ มเขามาเทยี บเคยี งกับ
ตัวและโลกทั่วไป วา มสี ภาพเปน เชน นด้ี ว ยกนั ไมม ีอะไรวเิ ศษวโิ สในแดนปา ชา นอกจาก
เปน สถานทท่ี เ่ี ตม็ ไปดว ยความสลดสงั เวชหาคณุ คา มไิ ด และปลงอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
โดยถา ยเดยี ว แมตัวเองที่กําลังพิจารณาซากศพอยูในขณะนี้ ก็จะมสี ภาพเปน อยา งเดียว
กันตลอดโลกสงสาร ไมมีใครจะลวงพนไปได มัวเพลินอะไรอยูกับกองหนังหอกระดูก
เพยี งเทา น้ี ถาไมโงจนเกินไป
เมื่อสติปญญามีกําลังพอที่จะกาวเขาพิจารณาอสุภะอสุภังในซากศพที่ตายใหม ก็
ใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายเชน เดยี วกบั ศพทต่ี ายเกา เพราะเปน สภาพเหมอื นกนั เปน แตเ พยี ง
ยังไมแตกไมสลายยังไมเนาไมพองขึ้นเต็มตัวของมันในขณะนั้นเทานั้น แตม ันก็ทํางาน
ของมันไปดวยความเนาพองหนองไหลและเปอยแตกกระจัดกระจายไป เชน เดยี วกบั
ซากศพทง้ั หลายทแ่ี ตกเรย่ี ราดกระจดั กระจายตามบรเิ วณปา ชา นน้ั อยแู ลว ทา นสอนให
พจิ ารณาเพอ่ื ใหเ หน็ สง่ิ เหลา นน้ั วา เปน ของไมจ รี งั ยง่ั ยนื แลว นอ มเขา มาสตู วั ของเราเองซง่ึ
จะตอ งเปนเชนนนั้ แมปกติภายในตัวก็เปนอยูแ ลว คือเปนของปฏิกูลโสโครกอยูแลว จติ
ยอ มไดคติเคร่อื งเตอื นใจจากการเยยี่ มปาชา น้ัน
ทา นจึงสอนใหไปเย่ยี มปาชา ในขน้ั เรม่ิ แรกทย่ี งั ไมไ ดห ลกั เกณฑใ นการพจิ ารณา
กายตวั เอง เมื่อไดหลักเกณฑแลว การไปเยี่ยมปาชาก็คอยหมดปญหาไป เพราะฉะนน้ั จงึ
มีในธุดงคขอหนึ่งวาดวยธุดงคขอเยี่ยมปาชา ปา ชา นอกแลว กเ็ ทยี บเขา มาสปู า ชา ในคอื ตวั
เราเอง พอไดห ลักไดเ กณฑจากปา ชาภายนอกแลวกย็ อ นเขา มาสภู ายใน พจิ ารณาปา ชา
ภายในนไ้ี ดห ลกั ไดเ กณฑแ ลว เปน อนั วา หายสงสยั ทง้ั ปา ชา นอกทง้ั ปา ชา ใน วิธีที่กลาวมา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๕
๓๑๖
น้เี ปน วธิ ีสอน เปนวธิ ปี ฏบิ ัติเพอ่ื เปด ของจริงข้นึ มาใหเหน็ ความจริงตามสภาพของสง่ิ
นน้ั ๆ ที่เปนอยู จนลงถึงธาตุ ธาตกุ ลายเปน ธาตสุ ่ี ดิน นาํ้ ลม ไฟ ไป คาํ วา อสุภะอสุภังก็
หมดไป อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ก็คอยๆ หมดไปตามขั้นของจิตของธรรมที่ไดรูไดเห็น คํา
วา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ก็ละเอียดไปตามปญญาตามขั้นภูมิของสติปญญาที่พิจารณาได
และกลายเปน ขน้ั ธรรมละเอยี ดเขา ไปโดยลาํ ดบั จนถึงวิมุตติหลุดพนแลว คาํ วา อนจิ จฺ ํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ก็หมดปญหาไปเชนเดียวกับทางเดินของเราที่ไปสูจุดตางๆ เมื่อไปถึงที่
แลว ทางก็หมดปญหาไปในขณะที่กาวเขาถึงสถานที่ที่ตนตองการ
จติ ใจเมอ่ื กา วเขา สแู ดนแหง ความหลดุ พน โดยประการทง้ั ปวงแลว คาํ วา อนจิ จฺ ํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ซ่ึงเปน ทางเดนิ เพ่อื ความหลุดพน ก็หมดปญหากันไปเองโดยไมตองสลัด
ตองปดตองทิ้ง หากเปนไปดวยความเหมาะสมของจิตดวงนั้นเอง เชน เดยี วกบั เราเดนิ
ทางเขามาสูจดุ ที่ตอ งการแลว ทางกับเราก็ไมตองไปปลดไปเปลื้องซึ่งกันและกัน หาก
หมดปญ หากนั ไปในตวั นน่ั แล
การพจิ ารณาไมเ พยี งครง้ั หนง่ึ ครง้ั เดยี ว อยา เอาเวลาํ่ เวลาเอาการกาํ หนดนบั เทา
นน้ั เทา นไ้ี ปเปน กฎเปน เกณฑ ยง่ิ กวา การพจิ ารณาเหน็ แจง เหน็ จรงิ ในสง่ิ นน้ั ๆ พจิ ารณา
หลายครง้ั หลายหนหากคอ ยเขา ใจไปเองและชดั ขน้ึ โดยลาํ ดบั จนพอตวั เมอื่ พอแลวการ
ปลอยวางก็ไมตองบอก อุปาทานความยึดมน่ั นั้นเปน ผลของความลุมหลงของจติ เมอ่ื
พจิ ารณารแู จง เหน็ จรงิ ตามความเปน จรงิ แลว ความยึดมั่นถือมั่นก็ถอนตัวเขามาเอง ไม
ตองไปแยกไปถอนมันแหละ มันถอนของมันเอง การถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นอัน
เปนเรื่องของกิเลสปกปนเขตแดน หรอื ตหี วั ตะปยู าํ้ เอาไวน น้ั ยอมถอนตัวเปนอิสระขึ้น
มาโดยลาํ ดบั พนจากความกดขี่บังคับของกิเลสมาเปนขั้นเปนตอน จนกระทั่งพนไปโดย
สน้ิ เชงิ
ความอยูใตอํานาจบังคับบัญชากดขี่ขมเหงของใครก็ตามมันดีเมื่อไร จะเปน ผใู ด
ก็ตามถูกกดขี่บังคับทรมาน ทั้งการอยูการกินการไปการมา การหลบั การนอน การใชก าร
สอย ตลอดอิริยาบถตางๆ อยใู ตอ าํ นาจแหง ความบงั คบั บญั ชา ความทรมานทง้ั นน้ั จะ
หาอสิ ระหาความสขุ ไดท ไ่ี หน เชน เขาติดคุกติดตะราง เปน คนทเ่ี สยี อสิ ระ หมดสงา ราศี
และถูกกดขี่บังคับตลอดกาลสถานที่ หาความสขุ สบายไดท ไ่ี หน คนธรรมดาทว่ั ๆ ไปจึง
ไมมีใครตองการอยากเปนคนคุกคนตะราง เพราะไมอ ยากอยูในความกดข่บี ังคับทรมาน
จากผหู นง่ึ ผใู ดนน่ั เอง เพียงเทานี้ก็พอทราบโทษแหงการอยูใตอํานาจของใครหรืออะไรก็
ตาม วาเปน สิ่งไมพ งึ ปรารถนากนั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๖
๓๑๗
จิตใจที่ถูกกิเลสอาสวะประเภทตางๆ กดข่บี งั คับอยูตลอดเวลาทาํ ไมเรากลับยินดี
ทั้งๆ ทเ่ี รายดึ ธรรม ประพฤติปฏิบัติธรรม วา เปน ของเลิศของประเสรฐิ กวา การกดขี่
บังคับของนายคุมนักโทษ คอื กเิ ลสเปน ไหนๆ อยแู ลว แตเ หตใุ ดเราจงึ กลบั ยนิ ดใี น
นโยบายของกเิ ลสมากยงิ่ กวา เร่ืองของธรรม ถาไมใชถูกกลอมจากกิเลสอยางแนบเนียน
ละเอียดลออออยอิ่งแลวจะเปนอะไรไป ตองเปนเพราะเพลงของกิเลสมันหอมหวนชวน
ใหช ม ชวนใหด ดู ใหด ม่ื ชวนใหค ิดชวนใหส ัมผสั สัมพนั ธไ มม วี ันอมิ่ พอนั่นแล สัตวโลกทั้ง
หลายจึงติดกัน เมื่อไมมีวันอิ่มพอกับกิเลส ก็เทากับไมอยากจากกิเลสไป เพราะความ
อาลยั เสยี ดายกเิ ลสประเภทออ ยอง่ิ เคลบิ เคลม้ิ หลบั ทง้ั ทล่ี มื ตานน่ั แล
เรามีเครือ่ งพิสูจนท ยี่ อดเยย่ี มไดแ กอรรถธรรมแลว ควรจะนาํ มาพสิ จู นใ หเ หน็
จรงิ เห็นจังกนั ดว ยการประพฤติปฏบิ ตั ิของเรา การปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนาคอื วธิ กี ารจะพสิ จู น
ใหเ หน็ ดาํ เหน็ แดง ใหเ หน็ เปน ความสตั ยค วามจรงิ ระหวา งธรรมกบั กเิ ลสวา ตา งกนั อยา ง
ไร ถาพูดถึงโทษกับคุณทั้งสองอยางนี้ตางกันอยางไร พดู ถึงเรอื่ งความวเิ ศษกับความเลว
รา ยระหวา งธรรมกบั กเิ ลสตา งกนั อยา งไร จะทราบในวงปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนา และจะทราบ
ภายในจติ ภายในขนั ธข องเราผปู ฏบิ ตั นิ แ่ี ล ผูไมปฏิบัติจะไมทราบได สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก มอบให
เปนสิทธิ์ของผูปฏิบัติจะพึงรูเองเห็นเอง ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมทก่ี าํ ลงั ตอ สกู นั เวลานเ้ี ปน
อยางไร เรามชี ยั ชนะตรงไหนบา ง หรอื มแี ตค วามแพอ ยา งราบตลอดเวลา หากเปน เชน
นั้นก็ไมพนถูกกดขี่บังคับจากกิเลสตลอดไป ความแพเ ปน ของดแี ลว หรอื ตองคิดเพื่อแก
จดุ บกพรอ งใหส มบรู ณ ไมคิดไมไดนักปฏิบัตินะ
อุบายวธิ สี งั่ สอนตนตองพลิกแพลงเปล่ียนแปลงหลายตลบทบทวน รอ ยสนั พัน
คม จงึ จะทนั กบั กลมายาของกเิ ลสซง่ึ แหลมคมและรวดเรว็ มาก ผูไมเคยตอสูกับมันไมมี
ทางทราบไดตลอดไป ขณะพจิ ารณาทางดา นปญ ญาเอาใหจ รงิ ใหจ งั อยา งน้ี ปญ ญานน่ั แล
ที่จะพาใหจิตสงบเขามาอยางไมมีเยื่อใยกับสิ่งใดและตัดขาดไปดวย เมอ่ื พจิ ารณาเหน็ ชดั
เจนแลว กต็ ดั ขาดจากสง่ิ นน้ั เปน ลาํ ดบั แมจะยังไมขาดสะบั้นลงโดยสิ้นเชิงในขณะเดียวก็
ตาม แตก็ไมพนความเพียร พน สตปิ ญ ญาทพ่ี ยายามพจิ ารณาแยกแยะใหเ หน็ เปน วรรค
เปนตอน ขาดเปนวรรคเปน ตอนไปได
ธรรมทท่ี า นกลา วไวไ มใ ชก ลา วแบบโมฆะ มีแตชื่อแตเสียงมีแตตัวหนังสือ แตมี
ความจรงิ เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เต็มอรรถเต็มธรรมตามที่สอนไวไมมีบกพรองเลย ความบก
พรอ งจึงอยทู ่เี ราผนู ับถือศาสนา แตไ มไดปฏบิ ัตติ ามหลักศาสนาอยางแทจ ริงเทา นน้ั จะ
พดู วา เราชาวพทุ ธเรานกั ปฏบิ ตั ธิ รรม คือตัวการบกพรองก็ไมผิด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๗
๓๑๘
ถา หากปฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนธรรมอยา งแทจ รงิ เตม็ เมด็ เตม็ หนว ยแลว ผลท่ที าน
เคยไดเ คยเหน็ และประกาศสอนพวกเราไวแ ลว นน้ั จะมารวมอยูที่ใจของเราผูปฏิบัตินี้ไม
สงสัย เพราะไมม ีภาชนะใดส่งิ ใดทีจ่ ะเหมาะสมย่งิ กวาจิตใจ ดวงทค่ี อยรบั ทราบรบั รเู หน็
ธรรมทง้ั หลายอยแู ลว และเปนภาชนะอันเหมาะสมอยางยิ่งกับธรรมทุกขั้นทุกภูมิอยูแลว
ดงั ธรรมทา นกลา วไวว า มโนปุพพฺ งฺคมา ธมมฺ า มโนเสฏฐ า มโนมยา ธรรมทง้ั หลายมใี จ
ถึงกอน รูกอน สาํ เรจ็ แลว ดว ยใจ อยูที่ใจ ดีชั่วเกิดขึ้นที่ใจ อยูที่ใจ ใจเปน ผรู บั ทราบ ใจ
เปนผูสัมผัสสัมพันธ ใจเปน ผรู บั เสวยทง้ั ฝา ยดฝี า ยชว่ั อยูที่ใจนี้ ทา นไมไ ดบ อกวา ธรรม
ทั้งหลายอยูที่อื่นใด นอกจากจติ ดวงเหมาะสมกบั ธรรมทง้ั หลายนเ้ี ทา นน้ั
เมอ่ื ปฏบิ ตั เิ หน็ ตามความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั เราจะปฏเิ สธไดอ ยา งไรวา ใจไมเ ปน ผู
รบั อรรถรบั ธรรมทง้ั หลาย แตก ลายเปน สง่ิ อน่ื ไปรบั อรรถรบั ธรรมแทนอยา งน้ี ตองเปน
ใจเทา นน้ั เปน ผรู บั ธรรมทง้ั หลาย ตา หู จมูก ลน้ิ กาย เปน ทางเดนิ เปน เครอ่ื งมอื สาํ หรบั
ประพฤติปฏิบัติธรรม และยงั ผลแหง ธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ จากเครอ่ื งมอื เหลา นเ้ี ขา มาสใู จดวง
เดยี ว
สตเิ ปน สาํ คญั อยาทอถอยอยาออนแอ อยาอิดหนาระอาใจตอการตั้งสติ ถาไม
อิดหนาระอาใจตอมรรคผลนิพพาน ตอ ความสขุ อนั ประเสรฐิ เลศิ กวา โลกทง้ั หลายแลว
อยาอิดหนาระอาใจตอการตั้งสติ การพจิ ารณาดว ยปญ ญาและตอ ความเพยี รทกุ ดา นทกุ
แงทุกมุม ใหสติปญญาตั้งตัวอยูเสมอ เพราะเราเปน นกั ตอ สู เราเขา สแู นวรบกบั กเิ ลส
แลว เวลาน้ี ความทอแทอ อนแอเปนเร่ืองของกเิ ลสท้ังมวลทาํ งานอยูบนหวั ใจเรา จึงไม
ควรใหม นั มาแยง ชงิ เอาจติ ดวงเลศิ ดวงประเสรฐิ นไ้ี ปขยข้ี ยาํ ใหแ หลกเหลว ดังที่เคยเปน
มาแตส มยั ทเ่ี รายงั ไมเ คยรเู รอ่ื งรรู าวอะไรกบั ศาสนธรรม และไมเ คยปฏบิ ตั ธิ รรม เวลาน้ี
เราไดอ อกปฏบิ ัตธิ รรมแลว และเขา สแู นวรบตอ กรบนเวทคี อื ความเพยี รกบั กเิ ลสแลว จง
เอาใหจริงใหจังตอการปฏิบัติของตน เพ่ือชัยชนะอันเลศิ ทโ่ี ลกไมเคยมีในหวั ใจ ชยั ชนะนี้
ขอใหไ ดใ หม ใี นหวั ใจเรา อยาใหพลาดไปไดจากเพศนี้ จากความเพยี รน้ี
ทุกขก็ยอมรับ พระพุทธเจาก็พาทุกขมาแลว สาวกก็พาทุกขมาแลว ประกาศทั้ง
ทุกขท ัง้ สุขใหพวกเราไดรไู ดเ หน็ ประจกั ษในตํารับตาํ รา ครอู าจารยอ งคไ หนทว่ี า เปน ทน่ี บั
ถอื เคารพเล่ือมใสของประชาชนท้งั หลาย องคไหนก็องคนั้น อยากพูดวารอยทั้งรอยไมมี
องคที่ลางมือคอยเปบเลย นอกจากเปน ผเู ดนตายมาแลว จากความทกุ ขเ พราะความเพยี ร
กลา จงึ ไดเ หน็ ธรรมอนั เลศิ อนั ประเสรฐิ มาสอนพวกเรา แลว จะใหท า นสอนเราแบบอน่ื
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๘
๓๑๙
ทานจะสอนไดยังไง ทา นเคยดาํ เนนิ มาอยา งไรไดเ หน็ ผลมาเพราะวธิ กี ารใด ตองนําวิธี
การนน้ั มาสง่ั สอน
ดังศาสนธรรมท่ีพระพทุ ธเจา ประกาศไวน้ี ลว นแลว แตท รงประกาศจากการทเ่ี คย
ทรงดาํ เนนิ มาแลว ทง้ั เหตทุ ง้ั ผลนน้ั แลใหเ ราทง้ั หลายทราบ ใครจะไปฉลาดแหลมคมย่ิง
กวา พระพุทธเจาในโลกธาตนุ ี้ หากควรจะเปน ไปไดด ว ยวธิ กี ารใดแลว พระพุทธเจาไมมี
ใครยง่ิ กวา ในเรอ่ื งพระเมตตาสงสารสตั วโ ลก จะตองหาวิธีการทีส่ ะดวกสบายทสี่ ุด ให
สัตวโลกไดประพฤติปฏิบัติแลวหลุดพนไปจากทุกขอยางรวดเร็ว ไมใ หส ัตวโ ลกไดร ับ
ทกุ ขยากเหมือนพระองคใ นคราวบาํ เพญ็ แตนี่มันเปนไปไมได จงึ เหน็ วา เหมาะสมเฉพาะ
มัชฌิมาปฏิปทานเ้ี ทา นน้ั ทเี่ ปนทางดาํ เนนิ ราบร่นื ปลอดภยั ของพทุ ธบริษทั ยากลาํ บากก็
อยใู นความเหมาะสมกบั ธรรมน้ี ธรรมนเ้ี ปน ธรรมทอ่ี อกหนา ออกตาในการปราบปราม
กเิ ลสทง้ั หลายใหส้ินซากไปมากตอมากแลว ไมมีธรรมใดนอกเหนือไปจาก
มชั ฌมิ าปฏปิ ทานี้เลย ทา นจงึ ไดป ระกาศธรรมนไ้ี วใ หพ วกเราทง้ั หลาย ปฏบิ ัติกันเรอ่ื ยมา
จนถึงปจจุบัน
มชั ฌมิ าคอื ความเหมาะสมกบั การปราบกเิ ลส สรปุ ลงแลว คอื ศีล สมาธิ ปญ ญา
ศีลเราก็ไดรักษาอยูแลวโดยปกติ ไมม ีความระแคะระคายในศีลวา ดา งพรอ ยไดท ะลขุ าด
ไปที่ไหน สมาธิที่ยังไมมีเพราะอะไร เพราะกเิ ลสมันขยขี้ ยําจิตใจใหขุน มวั มั่วสมุ กบั มนั อยู
ตลอดเวลา จงึ หาความสวา งกระจา งแจง หรอื หาความสงบรม เยน็ ไมไ ด เรากร็ อู ยแู ลว จะ
ทําวิธีใดจึงจะทําใหจิตใจมีความสงบผองใสได เรากต็ อ งพยายามเอาวธิ นี น้ั มาใช ซึ่งเคย
อธบิ ายไวม ากแลว ยากลําบากก็ตองสูตองทนตองทํา ปญ ญายังไมเฉลียวฉลาดก็พยายาม
ทํา พยายามคดิ พนิ จิ พจิ ารณา
สจั ธรรมหรอื รปู ขนั ธ เวทนาขนั ธ สัญญาขันธ สงั ขารขนั ธ วญิ ญาณขนั ธเ หลา นแ้ี ล
เปน หนิ ลับของปญญาใหคมกลา ข้ึน ถา พจิ ารณาสง่ิ เหลา นต้ี อ งเปน หนิ ลบั ปญ ญาไดเ ปน
อยางดี ทุกขก็เปนหินลับปญญา สมุทัยมันสอดแทรกขึ้นมาตรงไหน ปญญาก็สอดแทรก
เขาไปทาํ ลายลงไป ไดอ บุ ายไปเรอ่ื ยๆ มคี วามฉลาดแหลมคมไปเรื่อยๆ เรยี กวา สมุทัย
เปน หินลบั ปญญาก็ได เพราะกลมายาของสมุทัยที่แสดงออกมาแตละอยางๆ นน้ั เปน
เรื่องที่จะใหปญญาไดพลิกตัวเองใหฉลาดแหลมคมยิ่งกวามันเขาไปโดยลําดับๆ มันมา
ไมนี้ก็สูไมนี้ มาไมนั้นสไู มนั้น สเู รอ่ื ย มนั มาหลายเหลย่ี มหลายสนั หลายคมกส็ กู นั แบบ
นัน้ กท็ นั กันและทาํ ลายมันได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๑๙
๓๒๐
ปญญาไมไดคมกลาเพราะการอยูเฉยๆ ไมไดเกิดขึ้นเพราะการอยูเฉยๆ แตเกิด
ขน้ึ เพราะการพจิ ารณา และคมกลา ดว ยการพจิ ารณายอ นหนา ยอ นหลงั หลาย
ตลบทบทวน เกดิ ขนึ้ เพราะผูช อบคดิ และบํารุงสตปิ ญ ญา ดว ยการพนิ จิ พจิ ารณาอยโู ดย
สมาํ่ เสมอ ยอมมีสติปญญาแกกลาขึ้นโดยลําดับ สุดทายกิเลสก็ออนลงไปๆ จนกระทั่ง
ส้นิ ไปโดยส้ินเชิงไมมสี งิ่ ใดเหลือ นน่ั แหละทน่ี เ่ี รยี กวา อสิ รเสรเี ตม็ ทแ่ี ลว จิตที่ไมมีอะไร
กดถวงเลย อยูตามหลักธรรมชาติของตน ไมมีสมมุติแมนิดเขาไปขัดไปแยงไปกีดไป
ขวาง จะไมเปนจิตที่มีความสุขเกษมเต็มที่ยังไง
จิตที่อยูใตความกดขี่บังคับอยูตลอดเวลา ก็เชนเดียวกับนักโทษที่ถูกกดขี่บังคับ
อยูในทคี่ ุมขงั ตลอดเวลานัน่ แล แมแตนอนก็ยังตองถูกบังคับ จะหาความสขุ ทไ่ี หนจาก
ความเปน นกั โทษนน้ั จติ ท่กี าํ ลงั เปนนกั โทษเพราะอาํ นาจแหงกิเลสบังคับบญั ชาอยตู ลอด
เวลา จะหาความสขุ ความสบายทไ่ี หน ความสงบรม เยน็ บา งกไ็ มม ี เพราะกเิ ลสไมใหส งบ
มนั กวนตลอดเวลา ความเฉลียวฉลาดพอมีที่จะปลดเปลื้องกิเลส กเิ ลสกไ็ มใ หมเี สยี มัน
ปดกั้นไวหมด ไมใหคิดใหอานไตรตรองอะไรได พอเปน เหตเุ ปน ผลทจ่ี ะแกห รอื ปราบ
ปรามกิเลสได แลว จะหาความสขุ ความสบายความหลดุ พน ความเปน อสิ ระไดย งั ไง
เพราะฉะนน้ั นักปฏิบัติจึงตองคนควาจึงตองพินิจพิจารณาจึงตองฝน การตอสู
กันตองฝน ไมฝนไมเรยี กวาการตอ สู อยเู ฉยๆ จะเรียกวาตอสูไดยังไง การทาํ หนา ทต่ี อ สู
กันนั้นตองฝนทง้ั นัน้ แหละ ลาํ บากกฝ็ น ทุกขก็ฝน ขัดของขนาดไหนก็ฝน โงก็ฝนความโง
ใหเ ปน ความฉลาด แกค วามโงด วยความฝน เมอ่ื คดิ คน หาความฉลาด มันก็ฉลาดไดคน
เรา สุดทายก็ไมพนความพยายามไปได
จึงขอใหทุกๆ ทานนําไปประพฤติปฏิบัติ ใหเ หน็ ทท่ี า นวา แดนแหง ความเกษม
และแดนนน้ั อยทู ไ่ี หน เราอา นมาเสยี พอตามตาํ รบั ตาํ รา สมาธกิ อ็ า นเสยี จนนาํ้ ลายจะไมม ี
ในปากแลว วา ปญญากอ็ านเสียพอ วมิ ตุ ติหลดุ พนก็อา นกเ็ ห็นแตตวั หนังสอื ทีเ่ ขยี นเปน
ตวั ๆ ออกชื่อออกเสียงของบาปของบุญ ของนรกของสวรรค ของกเิ ลสตณั หาประเภท
ตางๆ ของมรรคผลนิพพาน แตกิเลสจรงิ ๆ ไมว าประเภทไหนไมมตี วั มตี นอยูในหนังสือ
นน้ั มีแตชื่อ สมาธิ ปญญา มรรคผลนิพพานกไ็ มมีตัวจรงิ ในหนงั สือน้ัน มีแตชื่อ ตวั จรงิ
ไมมี มีอยูที่ใจ อยากรูอยากเห็นธรรมดงั กลา วน้จี งปฏิบตั ิเอง จะรเู องเหน็ เอง ทใ่ี จเราผู
ปฏบิ ตั นิ น่ั แล ใจดวงอื่นๆ ถาไมไดปฏิบัติก็ไมอาจรูเห็น ใครปฏบิ ตั กิ ม็ ที างรเู หน็ ไดเ พราะ
ธรรมไมล าํ เอยี ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๐
๓๒๑
ทา นสอนใหย อ นเขา มาดทู ใ่ี จ เขยี นไวใ นตาํ รากส็ อนเขา มาทน่ี ่ี กิเลสอยทู น่ี ่ี บาป
ธรรมอยทู น่ี ่ี ศีลอยูที่นี่ สมาธิอยูที่นี่ ปญญาอยูที่นี่ กเิ ลสทกุ ประเภทรวมอยทู ห่ี วั ใจน้ี
มรรคผลทกุ ประเภทรวมอยทู ห่ี วั ใจ ปราบปรามกเิ ลสกป็ ราบปรามกนั ทห่ี วั ใจ กเิ ลส
หมอบราบไปหมดไมม อี ะไรเหลือแลว ความหลุดพน ก็คอื ใจดวงนี้แล นส่ี รปุ ลงแลว อยทู ่ี
นี่ทั้งหมดไมอยูที่อื่นที่ใด ขอใหพากันลงใจในการประพฤติปฏิบัติ อยาไปคาดไปหมาย
มรรคผลนพิ พานวา อยทู น่ี น่ั ทน่ี ่ี นน่ั เหลวไหลตะครบุ เงา หาความจรงิ ไมได จะเหลวไหล
ตลอดไป
การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควรขอยตุ เิ พยี งแคน ้ี
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๑
๓๒๒
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
โอชารสแหง ธรรม
ใจที่ถูกบังคับบีบคั้นหรือกดถวงอยูตลอดเวลา กับใจที่หลุดพนจากสิ่งบังคับ
บีบคั้นกดถวงนีไ้ ปโดยสน้ิ เชงิ แลว ตา งกนั มาก โดยไมมีสมมุติใดจะเทียบได เพราะจติ
ประเภทนั้นไมไดอยูในวงสมมุติ พอจะมาเทียบใหถูกตองตามหลักความจริงของ
ธรรมชาตนิ น้ั ได แมจะมขี อ เปรียบเทยี บก็เทียบกันไปอยางนนั้ เอง ไมต รงตามความ
จริงที่เปนอยูของธรรมชาตินั้น เมื่อโลกมีสมมุติ มขี อ เปรยี บเทยี บ ก็จําตองนํามา
เปรยี บเทยี บกนั
เราดูนักโทษในเรือนจําที่ถูกกดขี่บังคับ เสยี ความอสิ ระอยตู ลอดเวลา ตั้งแต
วนั กา วเขา สคู วามเปน นกั โทษหรอื ตอ งโทษ จนกระทั่งวันออกหรือวันพนโทษ เขาจะมี
ความสขุ อยา งไรบา ง แมจ ะมกี ารหวั เราะกนั บา งดว ยเรอ่ื งราวตา ง ๆ ทท่ี าํ ใหห วั เราะ ก็
คอื นกั โทษหวั เราะอยนู น่ั เอง ฟงแตวานักโทษ ไมใ ชค ณุ พาหวั เราะ โทษพาหวั เราะ มัน
กดขี่บังคับอยูในนั้น หาความสขุ ความสบายทไ่ี หนมี
เทยี บเขา มาสภู ายในระหวา งจติ กบั กเิ ลส สง่ิ กดขบ่ี งั คบั ภายในจติ ใจของเรา มัน
กดขี่บังคับอยูตลอดเวลาทุกขณะจิต แมจะไมปรุงไมแตงก็ถูกกดขี่บังคับอยูอยางนั้น
ตามหลักธรรมชาติของมันเอง เมื่อเปนเชนนั้นจะหาความสุขอันแทจริงที่ไหนมี ความ
สขุ กเ็ ปน ความสขุ เหมอื นกบั อาหารทเ่ี ขานาํ ไปเลย้ี งนกั โทษในเรอื นจาํ นน่ั แล จะเปน
อาหารประเภทใดเลา เพราะอาหารของนกั โทษเรายอ มทราบดี แมจ ะไมเ คยเปน นกั
โทษเรากท็ ราบไดว า เปน อาหารประเภทใด เปนที่พึงพอใจไหม อาหารทเ่ี ขานาํ ไปเลย้ี ง
นักโทษนั้น
อาหารคอื เครอ่ื งลอ ทก่ี เิ ลสนาํ มาเลย้ี งจติ ใจเรา ถาพูดตามภาษาโลกก็วา พอไม
ใหต ายเหมอื นนกั โทษในเรอื นจาํ เพือ่ จะเอาการเอางานจากจติ ดวงน้ี เชน เดยี วกบั เขา
ตองการการงานจากนักโทษ ผลของงานจากนกั โทษนน้ั แล อาหารของจติ ที่กเิ ลสนาํ มา
เยยี วยาหรอื พอมาประทงั ชวี ติ เรา จงึ เปน อาหารประเภทเดยี วกนั กบั อาหารของนกั
โทษ ไมไดผิดอะไรกัน ถา เทยี บแลว เปน เชน นน้ั
แตนักโทษถาจะพูดในอีกแงหนึ่งยังดีกวาเรา คอื เขายงั รวู า อาหารนก้ี นิ ไปดว ย
จาํ เปน จาํ ใจเทา นน้ั ไมไดกินดวยความชอบพอในอาหาร รสอาหารอะไรเลย เพราะไม
เปน สง่ิ ทน่ี า ชอบใจเลยในอาหารประเภทตา งๆ ทเ่ี ขานาํ มาใหก นิ สาํ หรบั เราผเู ปน นกั
ปฏิบัติ ยังติดรสของโลกามิสดวยความพอใจ จงึ เรยี กวา ตดิ ติดรปู กม็ รี สอยใู นรูปนัน้
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๒
๓๒๓
แล ตดิ เสยี ง ติดกลิ่น ติดรส เครื่องสมั ผสั ตางๆ ลว นแลว แตม รี สอยภู ายในสง่ิ นน้ั ๆ
ดวยกนั ทงั้ น้ัน ไมใ ชจ ะมแี ตร สทว่ี า ลน้ิ ลม้ิ รสอยา งเดยี วเทา นน้ั รสทเี่ กิดจากการสัมผสั
ทางหู ทางตา ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย ทางใจ มีดวยกัน และติดกันชนิดไมรูเนื้อรูตัว
วา ตดิ เรื่อยมาตั้งกัปตั้งกัลป
จิตใจมีความติด มคี วามผกู พนั รกั ชอบในสง่ิ เหลา น้ี โดยเจา ตวั ไมร สู กึ วา สง่ิ
เหลา นเ้ี ปน รสทท่ี าํ ความผกู มดั มันเปนเรื่องของกิเลส เปนรสของกิเลสทั้งมวล เราจงึ
ติดไมม วี นั ทีจ่ ะทราบโทษของรสเหลานไ้ี ดเลย ถา ไมใ ชส ตปิ ญ ญาพนิ จิ พจิ ารณาโดย
แยบคายไปตามลําดับ จะกี่กัปนับกัลปไมไดก็ตาม จะตอ งเปนผตู ดิ รส เพลดิ เพลนิ ใน
รสโดยไมรูเนื้อรูตัวตลอดไป นแ่ี หละความแยบคาย ความแหลมคมของกิเลส แยบ
คายแหลมคมขนาดไหน
ถาอยากทราบก็จงตั้งใจประพฤติปฏิบัติ และอยาลืมคําที่พูดนี้ หากจะ
ประจกั ษภ ายในใจในวนั หนง่ึ แนน อนจากการปฏบิ ตั จิ รงิ ของเรา จะไมพนไปได คําที่
ทา นวา “รสแหง ธรรม ชํานะซึ่งรสทั้งปวง” นั้นฟงใหดี รสแหง ธรรมเปน อยา งไรจงึ ตอ ง
ชํานะซึ่งรสทั้งปวง กร็ สเหลา นน้ั เปน รสอาหารของนกั โทษในเรอื นจาํ ที่ถูกคุมขังอยูใน
วฏั จกั รดว ยอาํ นาจของกเิ ลสทง้ั นน้ั ไมใ ชอ าหาร ไมใชรสที่พึงใจเปนลําดับ ไมใชรสที่
แทจรงิ ไมใ ชร สแหง ความจรงิ มนั รสแหง ความปลอมของกเิ ลสเสกสรรปน ยอหรอื
ปรุงแตงขึ้นมา ใหเราไดสัมผัสสัมพันธ หรอื ใหเ ราไดร บั ไดก นิ ตา งหาก ไมใ ชร สแหง
ธรรมแท
สว นรสแหง ธรรมจะเรม่ิ ปรากฏตง้ั แตจ ติ เปน สมาธิ พอจิตเริ่มสงบ ความสขุ
เรม่ิ เปน รสขน้ึ มาแลว ตามความสงบมากนอยในขั้นสมถะ คาํ วา ขน้ั สมถะน้ี อยาไปคิด
วา เปน ขน้ั เหมอื นบนั ได ทานพูดไวอ ยา งนนั้ เอง ความจริงยอมเชื่อมโยงไปตั้งแตความ
สุขของสมาธิขั้นพื้น ๆ ไปโดยลําดับ จนถึงขั้นของสมาธิอันละเอียด ความสขุ กม็ คี วาม
ละเอียดไปตาม ๆ กัน นก่ี จ็ ดั วา เปน รสแหง ธรรม คือ สมาธธิ รรม สันติธรรม ในขน้ั
แหงความสงบของจิต
พอจิตมอี าหารคอื ความสงบเปน เคร่ืองด่ืมเทา นัน้ จิตก็ปลอยวางความกังวล
เกย่ี วกบั รสตา ง ๆ ทางรปู ทางเสยี ง ทางกลิ่น ทางรส ทางกายสัมผัส มาโดยลาํ ดบั ลาํ
ดา เพราะรสนเ้ี รม่ิ เหนอื กวา แลว เพยี งเทา นก้ี เ็ รม่ิ เหนอื รสทง้ั หลายอยแู ลว ยิ่งจิตได
พจิ ารณาแยกแยะโดยทางปญ ญา กระจายออกตามหลักไตรลักษณ หรือหลักอสุภะอสุ
ภงั ปฏกิ ลู โสโครกแหง กรรมฐานกต็ าม เพราะในเบื้องตนมักจะเดินทางดานอสุภ
กรรมฐาน คลี่คลายดูสกลกายทุกสัดทุกสวนทั้งภายในภายนอกของตน และของ
บุคคลอืน่ สัตวอ ื่นตามแตความถนดั และเหมาะสมของการพิจารณา เพราะเปน สภาพ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๓
๓๒๔
เหมือนกนั ใหเหน็ อยางแจม แจงชัดเจนไปโดยลําดบั รสแหงธรรมก็จะเพิ่มขึ้นอีกเปน
รสแยบคาย นอกจากเปน รสแยบคายแลว ยังเปนรสที่เกิดขึ้นจากการปลอยวางไดดวย
ตามธรรมดาของจิต เมอ่ื พจิ ารณารแู จง เหน็ ชดั ในสง่ิ ใดแลว ยอ มปลอ ยวาง การ
ไมปลอยวาง การยึดถือไวนั้น เปนโซเ ปน ตรวนของกิเลสมนั มัดไว มนั เสกสรรปน ยอ
วา สง่ิ นน้ั ดสี ง่ิ นส้ี วยสง่ิ นน้ั งาม มันไมไดบอกวาสิ่งนั้นเปนของปฏิกูลเปนของโสโครก
เปน ของนา เกลยี ด เปน อนจิ จฺ ํ ของไมเที่ยง เปน ทกุ ขฺ ํ ความกดขี่บังคับหรือเปนทุกข
เปน อนตฺตา ไมใชเราไมใชเขา ไมใชของเขาของใคร กิเลสมันไมพูด มันไมบอก ไม
เสย้ี มสอนตามหลกั ความจรงิ น้ี แตม นั จะนาํ หลกั วชิ าของมนั เขา มาแทรกซอ นกบั ธรรม
หรอื แทรกแซงกบั ธรรมเขา ไปวา เปนสิ่งที่ตรงกันขาม คือวาเปนของสวยของงาม เปน
ของจีรงั ถาวร เปนของมีคุณคา ลบลางของจริงไปโดยลําดับ เพราะมนั มอี าํ นาจมาก
ดวยเหตุนี้จึงติดตามแกไข และถอดถอนกลมายาของมันดวยธรรม มสี ตธิ รรม ปญญา
ธรรมเปน ตน
โลกของเราเปนโลกที่ติดอยูในกลมายาของกิเลสนี้ทั้งมวล เมื่อปญญาได
พจิ ารณาเขา ไปตามหลกั ความจรงิ โดยทางอสภุ ะดงั ทก่ี ลา วแลว น้ี และโดยทางไตร
ลักษณ คือ อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า แยกแยะขุดคน ยอ นหนา ยอ นหลงั ตลบทบทวน
หลายครง้ั หลายหนดว ยสตดิ ว ยปญ ญา เพือ่ หาความจริงท่ีถูกกิเลสปดบงั ไว เปด เผย
ขน้ึ มาตามหลกั ความจรงิ เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน ความจรงิ ลว น ๆ ไมใชเปนของปลอม
เรื่องของปลอม ความเหน็ ทป่ี ลอมนน้ั เปน เร่อื งของกเิ ลสตางหาก ไมใชเรื่องของ
ธรรม
เราจะเหน็ ตามความจรงิ โดยไมตองสงสยั เมื่อเปดของปลอมที่ปกคลุมหุมหอ
ไวออกได เชน ความสวยงามเปน ตน ความจรงิ แลว สวยงามทไ่ี หน เอาอะไรมาสวย
งาม คนทั้งคนดูไดเมือ่ ไรถาพดู ตามหลกั ธรรมชาติแหง ความจรงิ แลว มันมีตั้งแตของ
สกปรกเต็มไปหมดทั้งราง ไมว า ภายนอกภายใน จึงตองชะลางอยูตลอดเวลา แม
เคร่ืองนงุ หมใชสอยสงิ่ ที่รางกายนอี้ าศยั ตองสกปรกรกรุงรังไปตามกันหมด เนอ่ื งจาก
สว นใหญค อื รา งกายนเ้ี ปน บอ เกดิ แหง ความปฏกิ ลู อยแู ลว ทง้ั ภายนอกภายใน เมื่อ
สัมผสั สมั พนั ธหรอื คลุกเคลา กับสิง่ ใด ส่งิ น้นั จงึ กลายเปนของสกปรกโสโครกไปตาม
เชน สบง จวี ร เสื้อผา สถานทบ่ี า นเรอื นทอ่ี ยอู าศยั ที่หลับที่นอนหมอนมุง มนุษยไป
อยูที่ไหนสกปรกที่นั่น แตไมมองเห็นความจริง เพราะความไมส นใจมองนน่ั แลเปน
หลักใหญ
นกั ปฏบิ ตั คิ น ใหเ หน็ ตามความจรงิ น้ี อยา หนจี ากหลกั ความจรงิ นค่ี อื ความจรงิ
แท สง่ิ เหลา นน้ั ปลอมมนั หลอกวา สวยวา งาม เอา ดซู ใิ นตวั ของเราน้ี เอาชิ้นไหนมา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๔
๓๒๕
เปนของสวยของงาม มาแขงกับธรรมคือของจริง ลองดูซิ จะมีชนิ้ ใดบางมากลาแขง วา
เหนอื ธรรมและจรงิ ยง่ิ กวา ธรรม นอกจากปลอมยิ่งกวาธรรมเทานั้น
ทธ่ี รรมไมป รากฏภายในจติ ใจเรา เพราะเวลานค้ี วามปลอมมนั มอี าํ นาจเหนอื
กวา มันหนาแนน กวาและปด บังไวอ ยางมดิ ชดิ แมเ ปน ของปฏกิ ลู ทว่ั สรรพางคร า งกาย
ทง้ั ภายนอกภายใน ก็ยังเขาใจวาเปนของสดสวยงดงามเปนของจรี งั ถาวรไปได
ระหวางความจริงกับความปลอมมนั มอี ยใู นตัวของเรา มอี ยใู นจติ ของเรานแ้ี ล เพราะ
กิเลสแทอ ยูก บั จติ กระจายอาํ นาจออกมาสอู วยั วะสว นตา ง ๆ นอกจากนน้ั ยงั ระบาด
สาดกระจายไปทว่ั โลกสงสาร นน่ั เปน เรา นี่เปนของเรา อะไร ๆ เปน เราเปน ของเราไป
หมด กลายเปนของสวยของงามเปนของแนนหนาถาวร นากระหยิ่มยิ้มยองไปหมด
ลวนแลวแตเพลงของกิเลสตัวจอมปลอม มนั หลอกลวงจติ ใจเราใหว ง่ิ เตน เผน
กระโดด หมุนติ้วยิ่งกวาฟุตบอลเปนไหน ๆ หาความสขุ ความเจรญิ ใจทไ่ี หนจากการ
วิ่งเตนเผนกระโดดกับสิ่งหลอกลวงทั้งหลายดังกลาวมา
จนกระทั่งถึงบัดนี้ยังไมตื่นตัวตื่นใจ แลว จะตน่ื เวลาไหน สถานทใ่ี ด ถา ธรรม
ของพระพุทธเจาปลุกสัตวโลก เชน เราซึ่งเปนนกั ปฏิบัตนิ ย้ี งั ตืน่ ไมไ ดแ ลว ใครจะตน่ื
ไดในโลกน้ี คาํ วา สวฺ ากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม พระธรรมอนั พระผมู พี ระภาคตรสั ไว
ชอบแลว ชอบอยา งเห็นประจกั ษ ไมมีปดบังลี้ลับ ลล้ี บั ทไ่ี หนดทู ต่ี ากเ็ หน็ ดังที่กลาว
มาแลว น้ี
เอา ดเู ขา ไปซิ ตั้งแตผ ิวหนงั เขา ไป ขเี้ หง่อื ขไ้ี คลเปน ของดแี ลว เหรอ เปน ของ
สวยของงามของสะอาดเหรอ ถาเปนของสะอาดจะเรียกขี้ยังไง นั่น และดูเขา ไปจน
กระทั่งถึงภายใน ภายในทั้งหมดนี้มันมีชิ้นไหนที่จะมาแขงธรรมวาเปนของสวยของ
งาม ทั้ง ๆ ทธ่ี รรมบอกวา ไมไ ดส วยไดง าม เปนของปฏิกูล แลว มชี น้ิ ไหนท่ีจะมาแขง
ธรรมของพระพุทธเจาได ถาธรรมไมเปนของจริง ธรรมของพระพทุ ธเจา ไมต รสั ไว
ชอบ เอาอะไรมาแขง มาลบลา งซิ สิ่งที่ธรรมตําหนิทั้งมวล เมื่อไดหยั่งลงดวยปญญา
แลว เปน จรงิ อยา งนน้ั หาที่คานไมได
สิ่งท้ังปวงน้นั มันจรงิ อยแู ลว ตง้ั แตเรายังไมไ ดพจิ ารณา เปน แตว า เราถกู กเิ ลส
ปด ตาใจของเราไว ทั้ง ๆ ท่มี องเห็นอยมู นั กไ็ มเ ห็นไปตามความเปนจรงิ ปฏกิ ลู เตม็
เนื้อเต็มตัวมันก็มาลบลางไปหมด กลายเปน วา เปนของสวยของงามไปเสยี แลว กเ็ ชอ่ื
มัน โดยไมมองดูธรรมที่โบกมือคอยชวยเหลืออยูเรื่อยมา ประหนึ่งตะโกนเรยี กวา
เกาะซเิ กาะธรรม รบี เกาะจะพน ภยั รบี ปลอ ยกเิ ลส มนั เปน ไฟเผาอยนู น่ั นะ
จงฟาดฟนใหมันแตกกระจายไปนี้เปนอยางไร สจู นหมดลมหายใจ นัน้ แล
ธรรมจะแสดงอยา งเปด เผยทุกสัดทุกสวนใหเ หน็ ไดอยา งชดั เจน นี่วิธีขุดคนสิ่งปดบัง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๕
๓๒๖
เพอ่ื เหน็ ความจรงิ คอื ธรรมแท ถา เหน็ ความจรงิ กเ็ รม่ิ เหน็ ธรรมแทไ ปโดยลาํ ดบั เพยี ง
แตขั้นความสงบก็ไมยุงกับอะไรแลว เพราะเปน โอชารสแหง ธรรม ใจไดดื่มธรรมคือ
ความสงบเยน็ ใจ ใจยอมไมวิ่งเตนเผนกระโดด ไมฟุงเฟอเหอเหิม ไมดิ้นรนกวัดแกวง
ไปสูอารมณตางๆ เพราะไดอาหารอันพึงใจเปนเครอื่ งด่ืมเคร่ืองเสวย
เมอ่ื ไดใ ชป ญ ญาพนิ จิ พจิ ารณาทเ่ี รยี กวา ปรงุ อาหาร ใหล ะเอยี ดเขา ไปย่งิ กวา
อาหารทางสมถะนี้ เปน อาหารทางดา นปญ ญา น่นั ยิ่งเปน รสเปน ชาติทลี่ ะเอียดลออเขา
ไปไมมีสิ้นสุด โดยพจิ ารณาแยกแยะดสู กลกายทใ่ี หน ามวา กรรมฐาน หลักใหญของ
การแกการถอดถอนกิเลสอยูตรงนี้ ทานจึงสอนลงตรงนี้ สอนไปอื่นไมได เพราะสตั ว
โลกติดอยูตรงนี้เปนพื้นฐานเสียกอน แลวจึงไปติดภายนอก เมอ่ื พจิ ารณาใหเ หน็ ตาม
ความจรงิ นเ้ี ปน ลาํ ดบั ลาํ ดาไมห ยดุ ไมถ อยการพจิ ารณา จนกระทั่งเขาใจแจมแจงแลว
ความอิม่ พอแหงการพิจารณาและความปลอยวางแหง ความยึดม่นั ถือม่ัน จะกระเด็น
ออกไปเองดวยอํานาจของปญญา เปน ผูเพิกผถู อนส่ิงปดบงั ทัง้ หลาย หรอื ตดั ฟนรือ้
ถอนสิ่งทั้งหลายที่จอมปลอมนั้นออก เหน็ ความจรงิ อยา งประจกั ษใ จ ปญญาขั้นนี้ก็
หยุดไปเอง
เรื่องอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นไมตองบอก เพราะนน้ั เปน ผลแหง ความหลง
ตา งหาก เมื่อความรูหยั่งไปถึงไหน ความหลงจะถอนตัวออกทันที อุปาทานจะทนได
อยางไร ตองถอนตัวออกมาโดยไมตองสงสัย นก่ี ารพจิ ารณาปรงุ อาหาร คอื ธรรมารส
ขึ้นดวยอํานาจของสติอํานาจของปญญา พจิ ารณาคลค่ี ลายเหน็ สง่ิ เหลา นน้ั ชดั เจนตาม
ความจรงิ เทา ไร จติ ยง่ิ มคี วามเบาหววิ ๆ เกดิ ความสลดสงั เวช โอโฮ นี่เคยติดมาตั้งแต
เมื่อไร ทาํ ไมจงึ กลา มาเสกสรรปน ยอเอาอยา งหนา ดา นๆ เชน น้ี นน่ั คอื คาํ อทุ านวา เจา
ของเอง เพราะความจรงิ ไมไ ดเ ปน อยา งนน้ั เลย ทาํ ไมจงึ เสกสรรปนยอเอาไดอ ยางนัน้
เปน เพราะเหตไุ ร มันก็รูเรื่องจอมปลอมที่พาใหเปนไดในทันทีทันใดนั้นเอง เพราะ
ปญ ญาเปนผหู ย่งั ลงและเลอื กเฟน จะไมทราบของจริงของปลอมไดอยางไร เอา ถาจะ
แยกออกใหแตกกระจัดกระจายก็เห็นไดอยางชัดเจนวา คือกองปาชาผีดิบ ตายลงไปก็
เปนกองปาชาผีตาย ดูไดที่ไหน เอา ดูไปทวั่ โลกธาตุนี่ ทไี่ หนไมมปี า ชา สัตวบุคคลอยู
ที่ไหนมีปา ชา ผดี บิ ผตี ายอยทู ่นี ั่น
พจิ ารณาใหล งถงึ ความจรงิ ซิ ปญญามีไวตมแกงกินไดเหรอ สาํ หรบั มาใชเ พอ่ื
รื้อเพื่อถอนความลมจมของตัว ใหหลุดลอยออกมาจากความเปนนักโทษที่ถูกกิเลส
ควบคมุ ตา งหาก ทําไมจะทําไมได ธรรมะของพระพุทธเจาเหมาะสมอยางยิ่งแลวกับ
มนษุ ยเ รา จงึ ประทานพระโอวาทไวก บั แดนแหง มนษุ ย เหน็ วา เปน จดุ ศนู ยก ลางอยา ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๖
๓๒๗
ยง่ิ เหมาะสมอยางยิ่ง ไมมใี ครฉลาดยงิ่ กวาพระพทุ ธเจาผเู ปน บรมศาสดา ประทาน
ธรรมะไวใ นจดุ ที่เหมาะสมอยา งยิง่ คอื มนุษยเ รา
เวลานเ้ี ราเปน อะไร เราเปน มนษุ ย เราแนใ จอยแู ลว วา เปน มนษุ ย นอกจากนั้น
ยงั เปน พระ ยังเปนผูปฏิบัติอีก ทาํ ไมจะไมส ามารถควา เอาของประเสรฐิ แหง ธรรมารส
ขึ้นมาชม ขึ้นมาเปนสมบัติของตนไดดวยขอปฏิบัติของตน ถา เราไมส ามารถใครจะ
สามารถในโลกน้ี มอบความสามารถนใ้ี หก บั ใคร เวลานท้ี กุ ขบ บี บงั คบั อยใู นหวั ใจใด
ไมใ ชบ บี อยใู นหวั ใจเรานเ้ี หรอ เราจะมอบความสามารถเปน ตน นไ้ี วก บั ใคร ภาระธรุ งั
ทั้งหมดเพื่อความปลดเปลื้องจะมอบใหใคร มอบใหทุกขเหรอ ทุกขก็มีอยูกับหัวใจนี้
แลว นอกจากจะถอนทุกขออกดวยความเพียรเทานั้น
เราเปน นกั ตอ สู ตองเปนนักทาทาย ไมมีคําวาถอย เอา ทุกขเถอะ ทุกขถึงไหน
ถึงกัน ทกุ ขดวยความเพียรไมล มจม ดยี ง่ิ กวา ทกุ ขท บ่ี บี คน้ั ตวั เราอยตู ลอดเวลา ซึ่งหา
ผลประโยชนอะไรไมไ ดเ ปนไหนๆ ขุดลงไปนักปฏิบัติ นข่ี น้ั หนง่ึ ของการพจิ ารณา
ทานสอนใหไปดูปาชา กเ็ พราะยงั ไมเ หน็ ปา ชา ภายใน ใหไ ปดปู า ชา ภายนอก
กอน เพอ่ื เปน บาทเปน ฐานเปน แนวทาง แลว ไดย อ นจติ เขา มาสปู า ชา ภายในของตน
มันมีมันเต็มไปหมด นอกจากรา งกายของเราเปน ปา ชา ผดี บิ แลว สตั วส าราสงิ ชนดิ
ตางๆ ยังเตม็ อยภู ายในทอ งเรานี้อกี ดวย มอี ะไรบา ง บรรจกุ นั มานานเทา ไร ปา ชา ตรง
นี้ทําไมไมดู ดใู หเ หน็ ชดั เจน ความเปน อสุภะอสุภงั ความเปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
กองอยูในนี้หมด ไมนอกเหนอื ไปจากนีเ้ ลย
แยกไปทางความแปรปรวนคอื เปน อนจิ จฺ ํ มันก็เห็นอยูชัดๆ แปรสภาพอยู
ตลอดเวลาตงั้ แตว นั เกดิ จนกระท่งั วันตาย แมแตเวทนามันก็ยังแปรของมัน มสี ขุ มี
ทุกข มีเฉยๆ ทั้งรางกายและจิตใจ หมนุ ตวั อยอู ยา งนน้ั มเี วลาหยดุ ยง้ั ทไ่ี หน ถามีสติ
ปญญาทําไมจะไมเห็นสิ่งเหลานี้ทํางานของตัวโดยหลักธรรมชาติของเขา ดว ยสติ
ปญ ญาของเรา ตองรูตองเห็น ปดไมอยู ปดสติปญญาไมอยู ตองทะลุโดยไมสงสัย
ทกุ ขฺ ํ อวยั วะสว นไหนพาใหม คี วามสขุ ความสบายบา ง นอกจากทุกขเต็มตัว
ตองบําบัดรักษาอยูเรื่อยมา จึงพอรอดมาไดถึงวันนี้ ยงั พากนั เพลดิ เพลนิ กบั กองไฟ
อยหู รอื
อนตฺตา ทา นประกาศไวช ดั เจนแลว อยายงุ อนตฺตา เหมือนกับวาจะตีขอมือ
พวกเรานน่ั แหละ อยาไปเอื้อมอยาไปจับ อนั นน้ั เปน พษิ เปน ภยั อยา ไปเขา ใจวา เปน
ตนเปนของตน เปน เราเปน ของเรา น่นั คอื พิษคอื ภยั เมอ่ื วาเปน เราเปนของเราเม่ือไร
ความยดึ มน่ั ถอื ม่นั กเ็ หมอื นการจับไฟนั่นแล จงถอนตัวออกมาดวยปญญา ใหเ หน็ วา
ส่ิงน้เี ปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา โดยแท จิตจะไมไปอาจไปเอื้อมไปจับ ไมไปแตะไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๗
๓๒๘
ตอ งจะปลอ ยวางภาระธรุ งั คอื อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น อนั เปน ภาระอนั หนกั นน้ั
ออกมาโดยลําดับ
เมื่อจิตถอนตัวออกจากอุปาทานความยึดมั่นถือมั่น จิตก็เบาขึ้นตามๆ กนั
สบายขน้ึ ตามๆ กัน โอชารสของธรรมจะแสดงขึ้นโดยลําดับ ละเอียดยิ่งกวาขั้นสมาธิ
เมอ่ื รสแหง ธรรมเหนอื รสของกเิ ลสประเภทนน้ั ๆ ก็ตองเหยยี บยํา่ กนั ไป ปลอยกันไป
เรอ่ื ยๆ
รปู ขนั ธเ ปน สาํ คญั ทําจิตใหกระทบกระเทือนมากทีเดียว รักก็เปนทุกข ชังก็
เปนทุกข เกลียดเปนทุกข โกรธเปนทุกข เกย่ี วกบั เรอ่ื งรปู ขนั ธน ส่ี าํ คญั มากกวา เพอ่ื น
ถา จติ ไมส งบกจ็ ะไมม สี ถานทบ่ี รรเทา ไมมสี ถานที่หลบซอ นตัวพอมีความสุขบา งเลย
พระเรา จงึ ตองพยายามทําจิตใหสงบ นาํ ธรรมเขา มาฟาดฟน หน่ั แหลกกนั ลงไป
อยา เสยี ดายเวลาํ่ เวลา อยา เสยี ดายวฏั สงสาร อยา เสยี ดายเรอื นจาํ อยา เสยี ดาย
ตะราง อยาเสียดายผคู มุ ขังผทู รมาน ผบู บี บงั คบั เราคอื ตวั กเิ ลสแตล ะประเภทๆ นี้คือ
ตวั ทรมานเราอยา งใหญห ลวงมาแตไ หนแตไ รนบั ไมไ ดก ต็ าม ใหถือเอาหลกั ปจ จุบนั นี้
เปน ตวั การสาํ คญั แลว จะกระจายไปหมด อดีตมีมานานเทาไรก็คือธรรมชาติแหงกอง
ทุกขดังที่เปนอยูนี้ หากปลดเปลื้องกันไมไดก็จะเปนอยางนี้ตลอดไป
อยาไปสนใจกับเรื่องอื่น ใหด เู รอ่ื งความเปน จรงิ ซง่ึ มอี ยใู นตวั ของเรา และ
ประกาศอยูตลอดเวลานีด้ ว ยสติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร อยาลดละถอยหลัง อยา
เหน็ ส่ิงใดมีคุณคา ยงิ่ กวาความเพยี รทีจ่ ะรื้อถอนตนออกจากสิ่งบบี บงั คับน้ี ใหก ลาย
เปนตนผูวิเศษขึ้นมา ตนนจ้ี ะเสกสรรกต็ าม ไมเ สกสรรกต็ าม ไมต ดิ ไมเ ปน ภาระ ไม
เปนอปุ าทาน เอาตรงนใ้ี หไ ด นน่ั แหละทา นวา โอชารสอนั สงู สดุ อยตู รงนน้ั ใหถอดให
ถอนสิ่งที่เกี่ยวของพัวพันกันออกไปโดยลําดับ ถากถางเขาไปตั้งแตกองรูป ซง่ึ เปน
กําแพงอันหนึ่ง หรอื เปน สง่ิ หมุ หอ หนาแนน อนั หนง่ึ
พอผานกองรูป ทําลายกองรูปนี้ไปไดไมมีเยื่อใย รูชัดแจงดวยปญญาแลว
เหมือนกับเรามีตนทุนกอนใหญประจักษใจ แนใจในการทจ่ี ะกา วใหหลุดพนไดในชาติ
ปจ จบุ นั น้ี และในวนั ใดวนั หนง่ึ ไมไดคาดวา ปโนน ปนี้ ถาลงจิตไดถึงขั้นนี้แลวเปนที่
แนใ จ ความเพยี รมาเอง ความทกุ ขค วามยากความลาํ บากเพราะการประกอบความ
เพยี รนน้ั มนั ลบลา งกนั ไปเองเพราะอาํ นาจรสแหง ธรรมทไ่ี ดป รากฏ คือเปนผล
ปรากฏประจักษใจ เหนอื กวา ความทกุ ขเ พราะความพากเพยี รเปน ไหนๆ ใจมคี วาม
พอใจโดยหลักธรรมชาติขึ้นมา ความเพยี รหมนุ ตวั เปน เกลยี วในบคุ คลทเ่ี คยเกยี จ
ครา น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๘
๓๒๙
ความเกยี จครา นเปน เรอ่ื งของกเิ ลสตา นทานธรรมตอ สธู รรม เราจะประกอบ
ความพากเพยี รความขเ้ี กยี จขค้ี รา น ความออนแอความทอแทเ หลวไหล ความทุกข
ความลําบากจึงประดังกนั เขามา บีบบงั คับใหก าวไปไมได สุดทายก็ลมตูม แสดงวา ถกู
ยิงแลว ไมตองซ้ําหลายนัด ตูมเดียวก็ลม ลมลงเสื่อลงหมอน หลบั ครอกๆ แครกๆ
ลวนแตถ ูกกเิ ลสมนั ยงิ เอาๆ ฟนเอาแหลกแตกกระจาย ความเพยี รไมเ ปน ทา ถา อยา ง
นแ้ี ลว ก็คือผทู ีจ่ ะจมอยใู นวฏั สงสาร จมอยใู นเรอื นจําคือวัฏจักรน้ีตลอดไป หาวนั หลดุ
พนไปไมได หาวนั เปน อสิ ระไมไ ด
เพราะฉะนน้ั จงฟาดฟนลงไปตามหลักธรรมที่ทานสอนไวนี้ไมเปนอื่น จะตอง
พนจากสิ่งที่บีบบังคับนี้โดยไมตองสงสัย สาํ คญั อยทู ค่ี วามเพยี ร ที่สติ ที่ปญญา ความ
อดความทน เอา ทนลงไป ทนเพื่อบึกบึนเปนอะไรไป อยางอื่นเรายังทนได ทุกขแทบ
ลม แทบตายในรา งกาย ไมม ใี ครมาอดมาทนใหเ รา เราจําตองอดตองทนมา เคยทนมา
แลว ไมใ ชเ หรอ สว นความอดความทนทกุ ขเพราะการประกอบความเพยี รน้ี ทาํ ไมจะ
ไมพออดพอทนได เพราะทนเพอ่ื จะประกอบความเพยี รรอ้ื ถอนตนใหพ น จากทกุ ข
ทําไมเราจะทนไมไดวะ เอาใหห นกั แนน ซหิ วั ใจของพระ หวั ใจนกั ปฏบิ ตั ิ ถา ลงเหน็ ภยั
ตามหลกั ธรรมแลว เหน็ คณุ กจ็ ะเหน็ ขน้ึ ในลาํ ดบั ตอ ไปดว ยความเพยี รของเรานน้ั แล
เบอ้ื งตน ใหฟ าดฟน ในเรอ่ื งกรรมฐานนใ้ี หม าก พอเปน ปากเปน ทาง ไดน เ้ี ปน
เหตเุ ปน ผลเปน ตน ทนุ แลว เรอ่ื งขนั ธส ่ี เวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ มันก็เปนอัน
ทาํ งานดว ยกนั อยแู ลว เวทนากายกม็ ี เวทนาจิตกม็ ี เวลาพจิ ารณารา งกายนท้ี าํ ไมจะไม
วิ่งประสานกัน เพราะธรรมเหลา นเ้ี กย่ี วเนอ่ื งกนั ไมใ ชพ จิ ารณารา งกายเสรจ็ แลว จงึ ไป
พจิ ารณา เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ อยาไปคาด อยางนั้นผิด ในหลักปฏบิ ัติหลัก
ความจรงิ แลว ไมเ ปน เชน นน้ั ทํางานจอลงจุดใดแลวมันจะกระเทือนกันไปหมด แต
เวลาเดน มนั ไปเดน ตอนทร่ี า งกายหมดความหมายไรค า ไปแลว จากธรรม แตก อ นเรา
เหน็ วา สง่ิ นม้ี คี วามหมายมคี ณุ คา มาก พอธรรมความจรงิ เขา ไปทาํ ลายความ
จอมปลอมของกิเลสตัณหาประเภทนี้แลว สง่ิ เหลา นน้ั กห็ มดความหมายไรค า ไป
ธรรมเปน ของมคี ณุ คา เหนอื นน้ั แลว อยา งเดน ชดั ทีน้พี วกเวทนา สญั ญา สังขาร
วญิ ญาณ นจ้ี ะเดน เพราะไดเปน ปากเปน ทางมาแตข น้ั รูปกายแลว
เวทนามีอะไร สว นมากจะเขา สจู ติ เวทนา เวทนาสว นรา งกายกเ็ คยไดอ ธบิ ายให
ฟงแลว แยกดูในขณะที่เจ็บไขไดปวย ในขณะที่นั่งนานๆ ก็รู ถา อยากรเู อาวนั นก้ี ร็ ู
เรื่องทุกขเวทนาดวยสติปญญา จะตองรเู ห็นกันชัดเจน ถาใชปญญา อยาอดทนเฉยๆ
การตอสูกับทุกขตองตอสูดวยปญญา ตอสูเฉยๆ อดทนเฉยๆ ไมจ ดั วา เปน มรรค
มรรค คอื สติปญญา ทุกขมีมากเพียงไรยิ่งหมุนติ้ว สติปญญาจะออกจากจุดนั้นไมได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๒๙
๓๓๐
เอาใหเ หน็ ความจรงิ ภายในนน้ั เรอ่ื งรา งกายแตล ะชน้ิ ละสว นนน้ั จะเปน ความจรงิ ตาม
หลักธรรมชาตขิ องตนอยา งชดั เจนภายในจิต เพราะตามหลกั ธรรมชาติ เขากเ็ ปน
ความจริงของเขาอยางนน้ั อยูแ ลว
เวทนาจะเกดิ ขน้ึ มากนอ ยเพยี งไรภายในรา งกาย มนั กเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ
ของตัวเอง มจี ติ เทา นน้ั เปน ผไู ปสาํ คญั มน่ั หมาย เมอ่ื จติ ไดพ จิ ารณารเู ทา ดว ยปญ ญา
แลว จิตก็ถอนตัวเขามาสูความจริงของตนในขั้นนี้ แลว กต็ า งอนั ตา งจรงิ เมื่อตางอัน
ตางจริงแลวเปนโทษตอกันที่ตรงไหน กระทบกระเทือนกันไดอยางไร ไมกระทบ
กระเทือนกัน กายก็เปนกาย ทุกขก็เปนทุกข ใจก็เปนใจ คือ จติ เปน จติ ตา งอนั ตา ง
จริงไมกระทบกัน แมทุกขเวทนาจะไมระงับดับไปก็ตามก็ไมกระทบกระเทือนกัน ไม
ทาํ ความกระทบกระเทอื นแกจ ติ ใหห วน่ั ไหวไดเ ลย นน่ั คอื เหน็ ความจรงิ หลายครง้ั
หลายหนก็สามารถถอดถอนอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสวนรางกายนี้ได เวทนา
ทางกายมันก็ผานไปดวยกัน เหลอื แตเ วทนาทางจติ
สัญญา สงั ขาร เปน สาํ คญั เวลาผา นจากกายนไ้ี ปแลว รปู ขนั ธน ไ้ี ปแลว มนั จะ
เดน เรอ่ื ง สญั ญา สงั ขารความคิดความปรงุ เพราะมนั หมดปญ หาทางรา งกายแลว จติ
ใจก็ไมยอมพิจารณา เหมอื นกบั เรารบั ประทานอม่ิ แลว อาหารประเภทน้ีอิม่ แลวก็
ปลอย อันใดที่ยังสัมผัสสัมพันธยังดูดดื่มก็รับประทานสิ่งนั้นๆ เรอ่ื ยไป จนกระทั่งอิ่ม
โดยประการทั้งปวงแลว ปลอยหมด ไมว า อาหารหวานคาวประเภทใด การพจิ ารณาก็
เหมือนกัน มันหากบอกอยูในตัวนั้นแล เมื่อใจอิ่มพอกับสิ่งใดยอมปลอยวางสิ่งนั้น
แลว หยดุ การพจิ ารณาในสง่ิ นน้ั พิจารณาสงิ่ อืน่ ตอ ไป เชน เดยี วกบั เรารบั ประทาน
อาหารประเภทน้ี เมอ่ื พอแลว กร็ บั อาหารประเภทอน่ื ไปเรอ่ื ยๆ จนกระทั่งอิ่มพอตัว
หมดแลว ปลอยหมดทุกประเภทของอาหาร การพิจารณานี้ก็เพื่อความอิ่มพอ แลว
ปลอ ยวางนน่ั แล
สงั ขารคอื ความคดิ ปรงุ อยภู ายในจติ ปรุงดีปรุงชั่ว เรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งน้ี ปรุงอยู
ตลอดเวลา เราทกุ คนหลงเรอ่ื งของตวั ไมมีคนอื่นมาเกี่ยวของก็ตาม จิตจะตองวาด
ภาพ ความคิดความปรุง ทั้งอดีตทั้งอนาคตยุงไปหมดภายในจิตใจ หลงเพลินอยูกับ
อารมณน น้ั โศกเศรา อยกู บั เรอ่ื งนน้ั เรื่องผา นไปแลว กี่ปก เ่ี ดือนก็นาํ มาอนุ นาํ มาปรงุ
มาแตง ใหก วนใจ บบี บงั คบั ใจอยนู น้ั แล เพราะความหลง ไมทันกับกลมายาของกิเลส
ประเภทนจ้ี ึงตองพจิ ารณา จิตปรุงขึ้นมาเรื่องอะไร ดีก็ดับ ชั่วก็ดับ เอาสาระอะไรจาก
สง่ิ เหลา น้ี มันเกิดขึ้นมาที่ตรงไหนก็คนลงไปตรงนั้น
สญั ญาความสาํ คญั มน่ั หมาย มันก็หมายออกมาจากจิต จิตนี้เมื่อเขาถึงขั้น
ละเอยี ดเปนอยางนน้ั หากเปน หลกั ธรรมชาตขิ องการพจิ ารณาเองเปน เชน นน้ั ใครไม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๐
๓๓๑
บอกก็เขาใจไปเอง สัมผัสสัมพันธที่ไหน สติปญญาจะหมุนติ้วๆ อยูตรงนั้น จนกระทั่ง
เขา ใจแลว ปลอ ย
เมื่อปญญาไดตัดสะพานทางรูปขันธ กเ็ ทากับตดั สะพานทางรูป เสยี ง กลิ่น รส
ภายนอกเขา มาเชน เดยี วกนั จะเหลอื อยภู ายในจติ กเ็ พยี ง เวทนา สัญญา สังขาร
วญิ ญาณ อนั นม้ี อี ยกู บั จติ ลว นๆ พจิ ารณาอยใู นจดุ นน้ั ดว ยปญ ญา ไมท าํ ความคนุ เคย
กบั อาการใดในสอ่ี าการ คือ เวทนา สุขเกิดขึ้นมาก็ดับ ทุกขเกิดขึ้นมาก็ดับภายในจิต
นน้ั ทา นจงึ เรยี กวา อนจิ จฺ า ๆ หรอื อนตฺตา ๆ มนั เปน สง่ิ เกดิ ดบั สัญญาก็ อนจิ จฺ ํ
ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า เหมือนกัน จะยึดอะไร มันกเ็ ปน เหมอื นกับรูปขันธน ้แี หละ คือเปนกอง
แหงไตรลักษณเหมือนกันทั้งสิ้น
เมอ่ื พจิ ารณาหลายครง้ั หลายหน อาการทั้งสี่นี้ก็หดตัวตะลอมเขาสูจิต นแ่ี ล
การไลกเิ ลส ตีตอนกิเลสตีเขาไปอยางนี้ มันไปหลบไปซอนอยูที่ไหน คลค่ี ลายขดุ คน
ตามไปดวยปญญา จนกระทง่ั รูชัดเหน็ ชดั แลว กเิ ลสหาทห่ี ลบซอ นไมไ ดว ง่ิ เขา มาสจู ติ
จากนัน้ สตปิ ญ ญากห็ มนุ ตว้ิ เขา สจู ติ มโน ทานก็ไมใหยึด ฟงซิ มโนก็เปน อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ
อนตฺตา นั่นฟงซิ มโนไมเปนไตรลักษณไดยังไงก็กิเลสอยูในนั้น เราจะถอื วา ใจเปน เรา
เปนของเราไดอยางไร เมื่อกิเลสทั้งกองทัพมันอยูภายในจิตใจ ถา เราไปถือวาจติ เปน
เราเปน ของเราแลว กเ็ ทา กบั ถอื กเิ ลสเปน เราเปน ของเราเขา อกี แลวจะพนไปไดยังไง
ลึกซึ้งมากธรรมะขอนี้ นใ่ี นขน้ั พจิ ารณา
จิตก็เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า ดวยกนั เพราะกเิ ลสมอี ยภู ายในนน้ั เอา ฟาด
ลงไปดวยการพิจารณา อะไรจะแหลกแตกกระจาย แมที่สุดจิตจะฉิบหายไปกับสิ่งทั้ง
หลาย ก็ใหเห็นประจักษดวยปญญาของเราเถอะ
ตอนกเิ ลสเปน ยอดวฏั จกั ร ทท่ี า นวา อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา นน่ั ละเชอ้ื แหง
ภพแหงชาติมันฝงจมอยูภายในจิตดวงนี้ เมื่อถูกตัดสะพานออกหมดไมมีที่หากิน
ออกทางตาก็ถูกตัดออกแลว ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย ถูกตัดหมดดวยปญญา
กิเลสหาทางออกไมได จะไปรกั รปู รกั เสยี ง รักกลิ่น รกั รส เครื่องสัมผัส ก็ถูกตัด
สะพานหมดแลว รเู ทา ความเปน จรงิ หมดแลว มนั กว็ ง่ิ เขา สภู ายใน จะไปติดรูปขันธ นี้
กพ็ จิ ารณารูแลว ดว ยปญ ญา ปลอยวางไปแลว เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ ก็
พจิ ารณาไลตะลอมเขา ไปโดยความเปนไตรลกั ษณ อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ไปหมดแลว
มนั อยจู ดุ ไหนกเิ ลส มันก็ตองไปหลบซอนอยูในอุโมงคใหญคือจิต ปญญาก็ฟาดฟน
ลงไป
ทน่ี จ่ี ติ เปน เราเหรอ จิตเปนของเราเหรอ ฟนลงไป เอา อะไรจะฉิบหายก็ใหฉิบ
หายไปไมอ าลยั เสยี ดาย เราตอ งการความจรงิ เทา นน้ั แมจ ติ จะฉบิ หายกระจายไปหมด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๑
๓๓๒
กับสิ่งทั้งหลายที่แตกกระจายไป กใ็ หร เู หน็ กบั การปฏบิ ตั นิ ้ี ฟาดฟนลงไป สุดทายสิ่งที่
จอมปลอมทั้งหลายก็แตกกระจาย ธรรมชาตขิ องจรงิ ลว นๆ ของจริงอันประเสริฐคือ
จิตทบ่ี ริสุทธ์ินนั้ ไมตาย ไมถูกทําลาย นน่ั เหน็ ไหม ทน่ี ่จี ะวา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า หรอื
ไมวาก็ตามเถอะ ขอใหจติ บริสุทธิเ์ สยี อยางเดียวเทานัน้ กพ็ น จากสมมุติไปหมดแลว
อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา นี้อยูในวงสมมุติ พอจิตไดหลุดพนจากนั้นไปแลว หมดคําที่จะ
พูดอะไรตอไปอีกแลว ทั้งๆ ทร่ี ๆู อยูนั้นแล สงสัยอะไรที่นี่
นี้แลคือการพนจากที่คุมขัง พน จากวฏั จกั ร คือที่คุมขังของสัตวทั้งหลายมีเรา
เปน สาํ คญั มใี จเราเปน สาํ คญั รื้อถอนออกที่ตรงนี้ ปลดเปลื้องออกที่ตรงนี้ เมื่อกิเลส
หลุดลอยออกไปจากใจโดยส้ินเชิงเสียเทา น้ัน จะไมมีอะไรเปนปญหาตอจิตใจอีกเลย
ทา นจงึ เรยี กวา อกาลิกจิต อกาลิกธรรม หากาลหาเวลาไมไ ด คือไมมีกาลไมมีเวลา
เปน ธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธ์ิ พุทโธ เต็มดวงอยูเชนนั้น
ทีนี้เราจะไมเห็นโทษของกิเลสชัดเจนไดอยางไร เมื่อสติปญญาเปนตนขึ้น
เหยียบหัวกิเลสใหแหลกแตกกระจายออกไปหมดแลว ทําไมจะไมเห็นโทษของมัน
อยางเต็มใจ ความสขุ ทก่ี เิ ลสนาํ มาปอ นเวลาเราจะตาย มนั เอามาเยยี วยาเราบา งพอ
ประทังชีวิตทําไมจะไมรู นค่ี วามสขุ เคลอื บนาํ้ ตาลทเ่ี กดิ ขน้ึ จากกเิ ลสปรงุ และนาํ มา
เยยี วยาเราพอประทงั ชวี ติ มนั เปน อยา งนน้ี แ่ี ลรสของกเิ ลส แตรสของธรรมกลบั ตรง
ขา มเปนอยางนี้ ทําไมจะไมรู
เมอ่ื สรปุ ความลงแลว จติ ทอ่ี ยูในอํานาจของวัฏจกั รคือกเิ ลสเปนเครื่องบีบ
บังคับ จึงไมผิดอะไรกับนักโทษที่ถูกคุมขังอยูในเรือนจํา เมื่อไดพนจากสิ่งคุมขังคือ
กเิ ลสนน้ั โดยสน้ิ เชงิ แลว จึงหาอะไรเทียบไมได แมเ ชน นน้ั ทา นกย็ งั ยกวา ประเสรฐิ ๆ
ซึ่งเปนสมมุติอันหนึ่งขึ้นมา ทไี่ มตรงกบั ความจรงิ อนั นั้นนักเลย ถึงไมตรงก็ใหเปนที่
แนใ จเถอะ ความตา งกนั เปน ดงั ทว่ี า นแ้ี ล ระหวา งจิตที่มีสง่ิ ควบคมุ กับจติ ทหี่ ลุดพน
แลว จากสง่ิ บงั คบั ทง้ั หลาย เปน อสิ รเสรเี ตม็ ทข่ี องตวั แลว ตา งกันดงั ทีก่ ลา วมาแลวน้ี
แล
ขอใหพากันตั้งอกตั้งใจ ตางมุงมาศึกษาหาสาระใสตน พจิ ารณาใหเ หน็ ชดั ตาม
หลกั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ดงั ทก่ี ลา วมาแลว น้ี เพราะทวั่ ไตรโลกธาตุเปน อยางน้ีทง้ั นัน้
ไมมีอะไรจะเปนของวิเศษพอใหอาลัยอาวรณกับมัน นอกจากการหลดุ พน เสยี เทา นน้ั
เปนของวิเศษ เปน ธรรมชาตทิ ว่ี เิ ศษแท ไมตองเสกสรรปนยอก็เปนธรรมชาติของตน
พอกับทุกสิ่งทุกอยาง นแ้ี ลทว่ี า รสแหง ธรรมชาํ นะซง่ึ รสทง้ั ปวง รสทเ่ี ราเคยผา นมาจะ
เปนรสชนิดใดก็ตาม รสแหงธรรมชนะทั้งหมด ปลอยทั้งหมด เพราะไมมีรสอะไร
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๒
๓๓๓
เสมอ แมรสนี้ก็ไมติด รสที่วา ประเสรฐิ น้กี ไ็ มตดิ ตัวเอง เปน หลกั ความจรงิ อนั หนง่ึ เทา
นน้ั
เอา เอาใหจริงนักปฏิบัติ อยาทอถอย เอา พลีชีพตอพระพุทธเจาเถอะ การ
พลชี พี ตอกเิ ลสนเี้ ราไมว า พลีกต็ าม เราเคยพลมี ามากและนานแสนนานแลว จนนบั ไม
ไดในภพชาติหนึ่งๆ ของแตละสัตวแตละบุคคล นับไมไดแลว เอาวงปจ จบุ นั ทเ่ี หน็ ๆ
เปน ๆ อยเู วลาน้ี ยอนหลังไปจนหาประมาณไมได เปน มาจากอวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา
ทฝ่ี ง อยภู ายในใจนแ้ี ลเปน ภพๆ ชาติๆ สิง่ อนื่ ๆ ทว่ั ไตรภพ ไมมสี ่งิ ใดช้นิ ใดพาใหเ ปน
ภพเปน ชาติ และพาใหแบกกองทุกขทั้งมวล มอี วิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารานเ้ี ทา นน้ั
เพราะฉะนน้ั จติ เวลาคนตายแลว วา สญู มันสูญไปไหน เอาภาคปฏบิ ตั เิ ขา ไป
จับซิ อยาพูดตามกลมายาของกิเลสปดหูปดตาซิ กเิ ลสมนั บอกวา ตายแลว สญู นน่ั มัน
ปดไวอยางมิดชิดแลว กเิ ลสตวั พาใหส ตั วเ กดิ ตายนน้ั สญู ไปไหน ทําไมไมยอนศรแทง
มันบางถาอยากรูกลหลอกของมัน มนั พาสตั วโ ลกใหจ มอยใู นวฏั สงสารน้ี มันสูญไป
ไหนกเิ ลสนะ และกเิ ลสบังคบั อะไรถา ไมบ ังคับจติ จิตเมื่อมันสูญไปแลวกิเลสบังคับได
ยังไง มันไมสูญนะซิมันถึงบังคับใหเกิดแกเจ็บตายไดเรื่อยมาเรื่อยไปไมหยุดไมถอย
ทาํ ไมเราจะไปหลงกลมายาของกเิ ลสวา ตายแลว สญู ๆ ไมสะดุดใจเห็นโทษกลหลอก
ของมันบาง กเิ ลสตวั แสบนเ้ี คยหลอกสตั วโ ลกใหห ลงและงมทกุ ขม านานแสนนานแลว
พจิ ารณาใหถ งึ ความจรงิ ซิ อะไรสูญไมสูญก็ใหรู นจ่ี งึ เรยี กวา นกั ธรรมะ นกั คน
ควา พจิ ารณาใหถ งึ ความจรงิ ดงั พระพทุ ธเจา ทป่ี ระกาศสอนธรรม ทานประกาศสอน
ดว ยความจรงิ ทา นทรงปฏบิ ตั แิ ลว ทง้ั เหตุก็สมบูรณเตม็ ท่ี จึงไดผลเปนที่พอพระทัย
แลว นาํ ธรรมนอ้ี อกสอนโลก ทา นสอนไวท ต่ี รงไหนวา สตั วท ง้ั หลายตายแลว สญู อยูที่
ตรงไหน มแี ตว า เกดิ แกเ จบ็ ตายๆ อยูอยางนั้น ทา นสอนไวเ ปนอยา งน้ที ้ังนั้น พระ
พุทธเจา ทงั้ หลายไมค านกัน เพราะรอู ยา งเดยี วกนั เหน็ จรงิ อยา งเดยี วกนั ตามหลกั
ความจรงิ นน้ั ๆ จะลบใหส ญู ไดอ ยา งไรเมอ่ื เปน ความจรงิ เตม็ สว นอยแู ลว
การเกดิ การตาย เกดิ ตายไมห ยดุ ไมถอยเพราะอะไรเปนสาเหตุ ทา นกส็ อนไว
แลว วา อวิชชฺ าปจจฺ ยา สงขฺ ารา สงขฺ ารปจจฺ ยา วิ ญฺ าณํ เปนตน นเ่ี ปน สาเหตุ มัน
ฝง อยภู ายในจติ จึงพาใหเกิดอยูไมหยุดไมถอย พอทําลายอวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา ลง
ไปแลว เปน อยา งไร อวชิ ฺชายเตฺวว อเสสวริ าคนโิ รธา สงขฺ ารนโิ รโธ นน่ั พออวิชชา
ดบั จากใจเสยี เทา นน้ั ไมว า อะไรๆ ดับไปหมด นิโรโธ โหติ นน่ั จะวา ไง หรอื วา เอว
เมตสสฺ เกวลลฺส ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สสฺ นิโรโธ โหติ นน่ั พออวิชชาดับไปเทา น้ัน ทุกสิ่งทุก
อยางดับไปหมด แลว ผทู ร่ี วู า อวชิ ชาดบั นนั่ คอื ผูบริสุทธิ์ ผูบริสุทธิน์ น้ั ดับสูญไปได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๓
๓๓๔
อยางไร ความจรงิ สดุ สว นเปน อยา งน้ี ดูเอา ฟงเอา ผูถือ พทุ ธฺ ํ ธมมฺ ํ สงฆฺ ํ สรณํ คจฺ
ฉามิ นะ ก็พวกเราชาวพุทธมิไดถือ กิเลสํ สรณํ คจฉฺ ามิ นว่ี ะ
เราเปน นกั ปฏบิ ตั ติ อ งคน ใหเ หน็ ความจรงิ ซิ ใครจะยกสามแดนโลกธาตมุ า
หลอกมาคานก็ไมหวั่น ถา ลงไดร เู หน็ ความจรงิ เตม็ หวั ใจแลว คา นไดย งั ไง เราคดิ ดู
พระพุทธเจาเพียงพระองคเดียวเทานั้น ทําไมจึงสามารถเปนครูเปนศาสดาของโลกได
ทง้ั สามโลก ถา ไมเ อาความจรงิ ทท่ี รงรทู รงเหน็ เตม็ พระทยั มาสอนเอาอะไรมาสอน
การสอนกส็ อนดว ยความอาจหาญไมม ใี ครเกนิ พระพทุ ธเจา ผเู ปน อาชาไนย ผนู าํ ความ
จรงิ ลว นๆ มาสอนโลก ไมไ ดเอาความปลอมความดนเดามาสอนนี่ การพูดออกมา
ดว ยความดนเดาเกาหมดั นน้ั เปนวิชาของอวชิ ชา เปนหลักวิชาของอวิชชาที่กลอมโลก
ใหลมจมไปตามมันตางหาก หลกั ธรรมแทๆ ไมไดสอนใหลมจม ถงึ เรยี กวา สง่ิ เหลา
นั้นเปนของปลอม ธรรมเปนของจริงที่พึ่งเปนพึ่งตายไดไมสงสัย
กิเลสมนั ปลอมทงั้ เพ รอยทั้งรอยปลอม ธรรมจรงิ รอยทง้ั รอยจริงหมด มัน
เดนิ สวนทางกนั ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรม จึงตองเปนขาศึกกัน การปฏิบตั ิความ
พากเพยี รไมรบกับกิเลสจะรบกบั อะไร นี่คือขาศึก ไมรบกับอันนี้จะรบกับอะไร เวลานี้
กิเลสเปนขาศึกตอธรรม เปน ขา ศกึ ตอ เรา เราไมร บกบั กเิ ลสทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอ เราและตอ
ธรรมจะรบกบั อะไร เม่อื รูเรอื่ งของกิเลสเสียท้ังมวลแลว จะสงสัยธรรมไปที่ไหนกันอีก
เฉพาะอยางยิ่งจิตสงสัยอะไร เรอ่ื งตายเกดิ ตายสญู สูญที่ไหนกใ็ หรูซินกั ปฏิบัติ ฟง
อะไรเสียงลมปากที่อมกิเลสตัวสกปรกพนออกมา ไมข เ้ี กยี จลา งหหู รอื จงฟงเสียง
ธรรมของศาสดาองคเอกนั่นซิ หจู ะไดส ะอาด ใจจะไดบ รสิ ทุ ธ์ิ
เอาใหจ รงิ ใหจ งั ทาํ ลมุ ๆ ดอนๆ เหลาะๆ แหละๆ เหน็ แกห ลบั แกน อน เหน็
แกป ากแกท อ งเหลา นเ้ี คยฝง ใจมานานแลว เปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล จงพลิกแพลง
เปลีย่ นแปลงใหเปน เรอ่ื งของธรรมขนึ้ มา จะสมชื่อสมนามวาเปนลูกศิษยตถาคต ได
พลีตนออกมาบวชในพระพุทธศาสนา และดาํ เนนิ ตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา จะ
ไดมหาสมบตั ิอนั ลน คา มาครองใจ เมอ่ื ธรรมครองใจกบั กเิ ลสครองใจน้นั ตางกนั อยา ง
ไร นี่ก็ดังที่พูดแลว ธรรมครองใจประเสรฐิ เลศิ เลอ สงา ผา เผย มีอิสระเต็มตัวเต็มใจ
ไมไขวควา ไมหวิ โหย ไมเ สาะแสวง ไมหวังพึ่งอะไรเพราะธรรมเต็มใจแลวอิ่มพอ
พูดตอตอนทายแหงการแสดงธรรม
ระหวา งพระพทุ ธเจา แตล ะพระองคท จ่ี ะมาตรสั รเู รยี ก พทุ ธนั ดร ระหวา ง
พทุ ธนั ดรทว่ี า งจากศาสนานน้ั ไมไดยนิ คําวา บาป บญุ นรก สวรรค นพิ พานเลย
เพราะไมม ใี ครบอกวา ธรรมเปน ยงั ไง กเิ ลสเปนยงั ไง แลวจะมีทางเดินไดยังไง กห็ วั สมุ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๔
๓๓๕
กนั อยใู นเรอื นจาํ นน้ั นะ ซิ จะวาไง ในเรือนจํานั้นยังทําโทษตอกันในเรือนจําไดอีก ไม
เพียงแตวาเปนนักโทษแลวมันทําโทษอะไรไมไดนะ เปนนักโทษแลวมันก็ยังทําโทษได
อีก อยา งนกั โทษในเรอื นจาํ ฆา กนั เกง อยใู นเรอื นจาํ นน้ั
นี่ก็เหมือนกัน เมื่อไมมีอรรถมีธรรมอะไรมาชี้แจงแสดงบอกเหตุบอกผลดีชั่ว
ตางๆ แลว กม็ แี ตค วามชว่ั เตม็ หวั ใจสตั ว แลวจะไปเอาความดีทไี่ หนมาทํา เพราะมี
แตความชวั่ ถาพระพุทธเจาไมไดมาตรัสรูแตละพระองค ๆ และสั่งสอน ก็จมอยูใน
โลกันตสัตวนั้นตลอด พอพระพทุ ธเจา มาตรัสรู จึงไดยกอันนี้ขึ้นมา ยกอันนั้นขึ้นมา
ใหร ใู หเ หน็ กนั ทง้ั บญุ ทง้ั บาป ทง้ั นรกทง้ั สวรรคแ ละนพิ พาน ทั้งๆ ทส่ี ง่ิ เหลา นน้ั มอี ยู
ตดิ กบั ตวั เรานน่ั แหละ แตเจอไมได เห็นไมได เพราะไมมีผูบอก เจอตั้งแตทุกขที่
กิเลสบีบบังคับใหแสดงผลออกมา ตัวสาเหตุคอื กเิ ลสทีผ่ ลิตทกุ ขใหเรา บบี บงั คบั เรา
ใหเปนทุกขนั้น เรากไ็ มเ หน็ ทางที่จะออกจากกิเลสเราก็ไมรูไมเห็น เพราะไมม ีธรรม
แสดงทางออกพอไดขวนขวาย
นเ่ี ราพรอ มแลว ถึงพระพุทธเจาจะปรินิพพานไปนานสักเทาไร กส็ วากขาต
ธรรมนั้นแลคือองคศาสดา ดังที่พระองคตรัสกับพระอานนทนั่น แหมซึ้งมากนะ
“พระธรรมและวนิ ยั ทเ่ี ราแสดงไวแ ลว นแ้ี ล อานนท จะเปน ครู เปนศาสดาของเธอทั้ง
หลายแทนเราในกาลทเ่ี ราลว งไปแลว ” หมายถงึ พระสรรี ะพระองคล ว งไปเปน ธรรมดา
ของ อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา สว นธรรมของจรงิ นน้ั เปนศาสดาไปโดยตลอด ผเู คารพ
ธรรมวนิ ยั จงึ ชอ่ื วา เคารพศาสดา และเดินตามนี้จะไมไปไหน จะไปตรงที่พระพุทธเจา
ทรงสอนแลว นน้ั แล เหมือนพระพุทธเจายังทรงพระชนมอยูไมผิดอะไรกันเลย
สวากขาตธรรม ตรสั ไวช อบแลว ๆ ขอใหเดินตามหลักธรรมที่ชอบนั้นเถอะ จะ
เปนผูปฏิบัตชิ อบ ปฏิบัติดี ตรงก็อยูที่นั่น สุปฏิปนฺโน ก็อยูที่นั่น อุชุฯ ก็อยูที่นั่น
ญายฯ อยูที่นั่น สามจี ฯิ อยทู น่ี ัน่ สุดทายก็ เอส ภควโต สาวกสงโฺ ฆ เมอ่ื บรรลธุ รรม
เปน ขน้ั ๆ จนถงึ ความหลุดพน แลว นั้นแลคือสาวกของพระพุทธเจาอยูที่นั่น
ผทู รงหลกั ความจรงิ นน้ั แหละจะเปน ผไู มห วน่ั ไหว จะเปนผูเปนหลักของตัว
และของโลกไปได คือทรงความจริงไวไมหวั่น ถา มคี วามจรงิ อยภู ายในใจแลว ไมห วน่ั
การประพฤติปฏิบัติทุกอยางสม่ําเสมอ ไมเปนลุมๆ ดอนๆ สําคัญอยูที่จิต เพราะ
ฉะนั้น จึงตองสอนเนนลงที่จิต ใหหมูเพื่อนไดหลักไดเกณฑในการประพฤติปฏิบัติ
ทางดานจิตใจ ขอวัตรปฏิบตั ิ สิกขาบทวินัยอะไรจะเปนไปตามหลักของจิต เมื่อจิตได
นอ มลงสธู รรมแลว การดาํ เนนิ ทาํ ไมจะไมเ ปน ไปโดยความเปน ธรรมเปน วนิ ยั ตอง
เปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๕
๓๓๖
ถา เพยี งแตค วามจาํ เฉยๆ มันไมไดเรื่องนา ผมไมไ ดป ระมาทธรรมของพระ
พุทธเจา เรยี นกเ็ รยี นเพอ่ื ความจาํ มแี ตค วามจาํ เฉยๆ ความจาํ อนั ไหนมาแกก เิ ลสไดม ี
เหรอ จําไดหมดพระไตรปฎก กิเลสก็เต็มตัวอยูนั้น ไมม ีกิเลสตวั ไหนทหี่ นังบางเอา
นักหนาพอผิวมันถลอกบาง หนงั มนั ถลกบา ง นอกจากจะเพม่ิ กเิ ลสขน้ึ มาใหห นงั หนา
เทา นน้ั ดว ยความสาํ คญั วา เราเรยี นมากรมู าก เคลื่อนที่ไปไหนไมได มนั หนกั ความรู
ความฉลาดของตนที่เรียนมามาก ความจริงมันหนักกิเลสความถือเนื้อถือตัว ความ
สาํ คญั มน่ั หมายวา ตวั รตู วั ฉลาดตา งหาก นน้ั แลกเิ ลสมนั แทรกอยา งนน้ั จงเขา ใจไว
ดวยดี อยา ลมื ตวั วา เรยี นมาก รมู าก ฉลาดมาก กเิ ลสนอ ยลง ถาไมไดลงมือปฏิบัติ
เพอ่ื ความจรงิ แหง ธรรมทง้ั หลาย จะไมม หี วงั เหน็ ธรรมของจรงิ ประจกั ษใ จตลอดไป
เอา ภาคปฏิบัติฟาดลงไป เราจะเหน็ เรอ่ื งเหลา นแ้ี ตกกระจายออกไปภายใน
จติ ใจของเรา ทเ่ี คยแบกเคยหามความรคู วามฉลาดอนั เปน กเิ ลสสาํ คญั นน้ั อยา ง
ประจักษไมสงสัย เพราะความจาํ กบั ความจรงิ นน้ั ตา งกนั ความจรงิ นล้ี งไดเ ขา ถงึ ไหน
กิเลสหลุดลอยไปถึงนั้น ความจํา จําไปถึงไหน กิเลสพองตัวขึ้นถึงนั้นแหละ นเ่ี ปน
ความจรงิ พดู ตามความจรงิ เรากเ็ คยเรยี นมา นถ่ี า หากวา เราไมเ รยี นมา ใครๆ เขาจะ
วา เรานป้ี ระมาทเอาเสยี จนสน้ิ ดี เราไมไ ดประมาท ในความรสู กึ ของเราไมเ คยมคี วาม
ประมาทธรรมพระพทุ ธเจา เลย
เรยี นเรากไ็ ดเ รยี น จาํ เรากไ็ ดจ าํ เรยี นนกั ธรรมตรี ไดค วามรนู กั ธรรมตรี ที่นี่
มันหมายออกไปแลวนะ โอ เรานม่ี คี วามรมู ากนะ ไดถึงนักธรรมตรี พอไดนักธรรมโท
ขยายออกไปอีกแลว แหม.เรามคี วามรมู ากถงึ นกั ธรรมชน้ั โทนะ เปน นักธรรมเอกขึน้
เปน มหาเปรยี ญ โอย ยิ่งจะกาวไมออก มนั หนกั ความรู มนั หนกั ความรตู ายอะไร มัน
หนักกิเลสทิฐิมานะ วา ตวั รตู วั ฉลาดตา งหาก น้ันละตวั โงทส่ี ุด มนั ไมไ ดเรียนเพอื่ ฉลาด
มนั เรยี นเพอ่ื โงถ า เปน อยา งนน้ั
ถา เรยี นเพอ่ื รหู ลกั ขอ ปฏบิ ตั แิ ลว จะไดด าํ เนนิ ตามนน้ั นน่ั ละเรยี นเพอ่ื ความ
ฉลาด การเรยี นนน้ั จะเปน ประโยชนย ง่ิ กวา การเรยี นแลว มาสาํ คญั ตวั และยึดเอา
สมบัติของพระพุทธเจาจากที่เรียนมาจําไดมานั้น มาเปนสมบัติของตนเปนไหนๆ
ความจาํ เปน สมบัติไดยงั ไง ความจรงิ ตางหากเปนสมบัติ เมอ่ื เรยี นแลว กป็ ฏบิ ตั ิ ทาน
จงึ วา ปริยัติ ปฏบิ ตั ิ ปฏิเวธ ฟงซิ ธรรมทั้งสามเปนธรรมเกี่ยวเนื่องกันแยกกันไมออก
ถา ผมู ุง ผลตามหลักความจรงิ ท่ีทรงสอนไวแ ลว ตอ งดาํ เนนิ ตามธรรมทง้ั สามประเภทน้ี
ปรยิ ตั เิ รยี นรแู ลว เอา ปฏบิ ตั ิ ทา นสอนวา ยงั ไง เชน เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ
เปนตน เปน เรอ่ื งเลก็ นอ ยหรอื ครอบโลกธาตอุ ยแู ลว น่ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๖
๓๓๗
ดังที่พูดตะกี้นี้อะไรรางกายมันเปนยังไง เกสา ดซู ิ โลมา ผม ขน เล็บ ฟน หนงั
แนะ คนเรามนั ดกู ันไดเพียงหนังหุมหอ อยเู ทา น้นั แหละ ผวิ บางๆ หลอกตาคนโงให
หลงกนั เสยี จนทว่ั ดนิ แดน ทา นจงึ สอนไวต รงนน้ั ตจปริยนฺโต มหี นงั หมุ หอ อยเู ทา นน้ั
นะจึงพอดูได กเิ ลสมนั ละเอยี ดแหลมคมมาก มนั ฉลาดมาก มันเอาหนังบางๆ มา
หลอกสตั ว หมุ ไวใ นรา งวา เปน สตั วเ ปน บคุ คล วา เปน หญงิ เปน ชาย วา เปน ของสวย
ของงาม ทําใหสตั วโ ลกฟงุ เฟอเหอเหิม ดนิ้ รนกวัดแกวงยง่ิ กวา สนุ ัขเดือนเกา เดือน
สบิ เสยี งเหา เสยี งหอนอกึ ทกึ เพราะอาํ นาจแหง ราคะตณั หามนั กาํ เรบิ มนั ดน้ิ รน นน้ั
อํานาจของหนังหอกระดูกมีอิทธิพลมากไหม พจิ ารณาดซู ิ มันดิ้นรนอะไร พจิ ารณาให
เหน็ ตามเปน จรงิ แลว มันจะไปดิ้นอะไร เพราะเหน็ ชดั ๆ อยแู ลว น่ี ตาก็เห็นอยูนี่ ชะ
ลางอยูทุกวัน ชะลางของสกปรกนั่นเอง สะอาดแลวไปชะลางกันทําไม ทานสอนมาถงึ
นซ้ี ง่ึ เปน สว นใหญแ ลว ทา นกห็ ยดุ เพราะเวลามนี อ ย ยังไมไดสอนใหมากกวานี้
ผพู ิจารณากพ็ จิ ารณากระจายออกไปถึงอาการ ๓๒ ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เนอ้ื
เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก มาม หวั ใจ ตบั พังผืด ไต ปอด ไสใ หญ ไสนอย อาหาร
ใหม อาหารเกา นน่ั หมดแลว ธาตดุ นิ ภายในรา งกาย ทน่ี เ่ี รากพ็ จิ ารณากระจายให
แหลกดว ยปญญาเปนไร มันจะหลงไปไหน กเิ ลสมนั หลบมนั ซอ นอยตู ามอาการเหลา
น้ี มนั เสกสรรปน ยออยตู ามน้ี ฟาดฟนลงไปใหถึงหลักความจริงดวยสติปญญา มนั จะ
ไปไหนกเิ ลส จะหาที่หลบซอนไดที่ไหนดังที่พูดแลว
ใครมาสอนอยางนี้ ไมใชพระพุทธเจาใครจะมาสอนอยางนี้ได เพราะไมมีใคร
เหน็ ใครรนู ่ี กิเลสปดหูปดตาโลกไวอยางมิดชิดทีเดียว เมอ่ื สตปิ ญ ญาอนั เปน ธรรม
เครอ่ื งประหารฟาดฟน เขา ไปตรงไหน มันแตกกระจายไปตรงนั้น เหน็ ความจรงิ ตรง
นน้ั ๆ ทีนี้มันก็ถอนตัวเขามาๆ ละซิ นค่ี อื ความจรงิ เขาถึงไหนแตกกระจายไปถึงนั้น
จติ เบาขน้ึ ๆ นนั่ คอื การถอดถอนกิเลสดวยความจาํ เพอ่ื การปฏิบตั เิ ปนอยา งนน้ั
เมื่อรูแลวก็ใหปฏิบัติดังที่รูมา เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เปนตน นเ่ี ราจาํ
ไดแ ลว ในภาคปรยิ ตั ิ ทท่ี า นสอนกรรมฐานทแี รก นน้ั คอื ปรยิ ตั ิ เราไดเ รยี นแลว จาก
อปุ ช ฌายอ าจารยข องเรา จากนน้ั กเ็ ปน ภาคปฏบิ ตั ิ นาํ ไปคลค่ี ลายกระจายดใู หเ หน็
ตามหลกั ความจรงิ นค้ี อื ภาคปฏบิ ตั ิ เมื่อเห็นตามความจริงมากนอย ยอมถอดถอน
ตนออกมาๆ กิเลสคอยหลุดลอยไปๆ ทา นจงึ วา ปฏิเวธๆ ความรูแจงแทงตลอด คือ
แทงทะลุไปเรื่อยๆ จนแทงทะลปุ รโุ ปรง ไมม อี ะไรเหลอื เลย พนจากโลกพนที่ไหน ถา
ไมพนที่ใจซึ่งเคยถูกบีบบังคับอยูนี้จะไปพนกันที่ไหน ใครจะมจี รวดดาวเทยี มมาให
ขับขี่ใหขึ้นไปเพื่อพนโลก พนโลกอะไรอยางนั้น มันไปตายอยูบนอวกาศก็ยังมี มนั พน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๗
๓๓๘
ที่ไหนถึงไดตาย แตกิเลสที่ไมตายยังฝงอยูในจิตมันก็พามาเกิดอีกนั่นแล ใหพนที่จิต
นซ้ี ิ เพราะกเิ ลสตวั บบี บงั คบั อยทู จ่ี ติ น้ี มิไดอยูที่อวกาศ
ความเกดิ ความตาย จติ เปน ตวั การสาํ คญั ท่ียาพิษคอื กเิ ลสแทรกเขาไปใหหมุน
ตว้ิ ๆ ทั้งวันทั้งคืน ยนื เดินน่ังนอน และในภพนน้ั ภพน้ี ภพนอยภพใหญ ภพไหนมันก็
กองอยูกับใจดวงนี้ นักปฏิบัติธรรมสงสัยที่ตรงไหน สงสัยอะไรกัน เอาใหจ รงิ ซิ ถา ลง
ไดร วู วิ ฏั จติ นแ้ี ลว ไมตองบอกความพนทุกขหรือพระนิพพาน จิตรูเองเห็นเองพนทุกข
ถึงพระนิพพานเอง โดยไมส นใจกบั ใครจะมาบอกหรอื ตามสง เสยี แหละ เหมือนกับ
นักโทษนั่นแล พอถูกปลอยออกจากเรือนจําเทานั้น เขาไมถ ามวา บานของขาอยูที่
ไหน ขา ตดิ ตะรางมาหลายปแลว ขาจําบานไมได ไปสงขาดวย ดังนี้ไมมี มีแตเผนถึง
บา นทเี ดยี ว อยากใหม สี กั ๕ ขา หรอื ๑๐ ขาโนน จะไดเผนพรอมๆ กนั ใหถ งึ เรว็ ทนั
ใจ เพราะความอยากกลบั บา นกลบั เรอื น เพอ่ื เหน็ หนา ลกู หนา เมยี ญาตมิ ติ รเพอ่ื นฝงู
และกลบั ไปสคู วามเปน อสิ ระ อะไรจะมีกําลังมากยิ่งกวาหัวใจที่พองตัวเวลาพนจาก
โทษแลว วะ
นี่ก็เหมือนกัน เมื่อจิตหลุดลอยออกจากกิเลสแลว ไมต องถามหาละนพิ พาน
ถามหาทําไม ขอใหรูนิพพานประจักษใจเถอะจะไมตองถามใครทั้งสิ้น ทไ่ี มร นู ิพพาน
นน่ั ซิ ถึงถามกันใหยุงในชาวพุทธเรา ดีไมดียังทะเลาะกันดวยมวยฝปากไมยอมลงเวที
ซึ่งมีอยูเยอะ
นิพพานคืออะไร ขอจงทําใจใหบริสุทธิ์เถอะ จะหมดปญ หาโดยประการท้ังปวง
ขึ้นชื่อวาสมมุติจะไมมีเขาไปเกี่ยวของขัดแยงไดเลย นล่ี ะธรรมะพระพทุ ธเจา เปน
ธรรมสดๆ รอ นๆ อยูอยางนี้ มรรคผลนพิ พานทาํ ไมจะไมส ดๆ รอ นๆ กับผูปฏิบัติ
เลา เราไปควา หาอะไรลมๆ แลงๆ ตะครุบเงา ตะครุบไปทําไม เอาตวั จรงิ นน่ั ซิ จบั ตวั
ไดแ ลว กจ็ บั เงาไดเ ทา นน้ั แหละ เพราะเงานี้ออกไปจากตัว จบั ตวั ไดแลว ทาํ ไมจะจับเงา
ไมไดไมถูก การตะครบุ เงา เงามนั วง่ิ เรากว็ ง่ิ ทันเมื่อไร ความสาํ คญั มน่ั หมายหลอก
เราไปเรอ่ื ยๆ น้แี ลคือเงา จงจาํ ไวใหถึงใจจะถงึ ธรรมคอื ตัวจรงิ
ไมมีอะไรที่จะมากั้นกางมรรคผลนิพพาน มสี จั ธรรม ๒ ประการเทา นน้ั คือ
ทุกขกับสมุทัย เปนเครื่องปดบังจิตใจไมใหกาวเขาสูมรรคผลนิพพานได แลว อะไรจะ
เปนเครื่องบุกเบิกสิ่งที่ปดบังหุมหอทั้งสองประเภทนี้ ก็มรรคสัจ นโิ รธสจั นน่ั แล มีเทา
นี้เครื่องบุกเบิกที่จะใหถึงมรรคผลนิพพานมี มรรคสจั ไดแกขอปฏิบัติ คอื ศลี สมาธิ
ปญญา หรือสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป จนกระท่ังสัมมาสมาธเิ ปน ท่สี ดุ นี่คือเครื่องมือ
บกุ เบกิ ทจ่ี ะใหเ ขา สมู รรคผลนพิ พาน ปราบใหเ ตยี นโลง กเิ ลสไมม เี หลอื เพราะ
มัชฌิมาปฏิปทานี้แล มนั เพราะกาลสถานทท่ี ไ่ี หน มนั เพราะบคุ คลผใู ดมอี าํ นาจมากดี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๘
๓๓๙
กนั บงั คบั คบั จติ ใจของเราไมใ หพ น จากกเิ ลส มันไมมีกาลสถานที่และสิ่งใดหรือบุคคล
ผูใดมากีดกันมรรคผลนิพพาน นอกจากเราเองทถี่ ูกกเิ ลสกลอ มเอาเทานัน้ มันถึงไป
ไมรอดและหลับครอกๆ อยดู ว ยความประมาทนอนใจเทา นน้ั มันเปนเรื่องของกิเลส
คือทุกขสมุทัยทั้งมวลที่ขับกลอม และกีดกนั สตั วโ ลกไมใ หถงึ มรรคผลนพิ พานนะ
มรรคผลนพิ พานจะไปลา สมยั ทไ่ี หน ถา ไมใ ชเ ราเปน คนลา สมยั เสยี เอง ถาอยากใหทัน
สมัยก็เอาซิ ปฏิบัติตามหลักธรรมพระพุทธเจาอยางแทจริงและถึงใจซิ คาํ วา ลา สมยั
อันเปนกลมายากดถวงของกิเลสจะสิ้นซากไปเอง
ธรรมะของพระพุทธเจาลาสมัยที่ตรงไหน มัชฌิมาๆ ฟงซิ พอเหมาะพอดีอยู
ตลอดเวลากบั การปราบกเิ ลสทกุ ประเภท อะไรจะเหมาะยิ่งกวามัชฌิมา ความพอ
เหมาะพอดกี บั การปราบกเิ ลสทกุ ประเภท กเิ ลสประเภทไหน เกงกลาใหผาดโผนออก
มาถาไมอยากพังทลายตายเกลื่อนนะ กิเลสประเภทนี้เกงใหออกมา มัชฌิมาปฏิปทา
เครื่องมือชนิดนี้ฟาดฟนขาดสะบั้นไปหมด เอา กิเลสประเภทไหนเกงใหออกมา ถา
สามารถใหออกมา มัชฌิมานี้เปนไมถอย ถา เราไดยดึ หลักมัชฌิมาใหด แี ลว กิเลสตอง
พังทลายๆ เปน ลาํ ดบั ลาํ ดา จนถงึ วาระสดุ ทา ย กิเลสละเอียดก็พังทลายดวยมัชฌิมา
ขั้นละเอียดแหลมคมไมมีเหลือซากอีกตอไป นี่อยูต รงน้ีมรรคผลนิพพาน อยา สงสยั
สงสัยไปทําไม ธรรมคอื ความจรงิ มอี ยู อยาถูกหลอกไปเรื่อยๆ เชอ่ื กเิ ลสเชอ่ื มานาน
และลม จมเพราะมนั มานานแลว ใหเ ช่อื ธรรมคือทางหลุดพน และความหลุดพน พระ
องคป ระทานไวห มดแลว รบี นาํ มาใชป ราบกเิ ลส อยาจดๆ จองๆ เลอ่ื น ๆ ลอย ๆ จะ
เสยี การณแ ละตายเปลา
มชั ฌมิ าปฏิปทานัน้ แล ธรรมเครอ่ื งบกุ เบกิ นโิ รธ ความดับทุกข นั่นเปนผล
ของมัชฌิมาปฏิปทาตางหาก มัชฌิมาทําหนาที่ไดมากนอยเพียงไร ความดับทุกขก็ดับ
ไปเรอ่ื ยๆ จนกระทั่งมัชฌิมาปฏิปทามีกําลังเต็มที่ ทาํ หนา ทโ่ี ดยสมบรู ณ นิโรธคอื
ความดับสนิทแหงกองทุกขทั้งหลายก็แสดงผลเต็มที่ ทุกขหมดไปโดยสิ้นเชิงไมมี
เหลอื แลว จะถามหามรรคผลนพิ พานทไ่ี หน ไมถาม เพราะรสู ดๆ รอ นๆ อยูกับตัว
ของเรา อยกู บั ใจของเราโดยสมบรู ณแ ลว
จงดูกลมายาของกิเลสใหดี ตัวปดตัวกั้น กัน้ ดว ยวิธใี ด อาการความคิดความ
ปรุงของจิตในแงตางๆ ลวนเปนอาการของกิเลสแสดงตัวนะถาสติไมทัน เมื่อสติทันก็
เหน็ ความเคลอ่ื นไหวของกเิ ลส โนนเขาถึงขั้นสติปญญาอัตโนมัติ หรอื มหาสติ มหา
ปญ ญาโนน ละถงึ จะรชู ดั เรอ่ื งความเคลอ่ื นไหวของกเิ ลสวา มนั รวดเรว็ ขนาดไหน แตก็สู
สติปญญาอัตโนมัติ หรือมหาสติมหาปญญาไปไมได พอกิเลสเคล่อื นพับ สติปญญา
ตื่นแลว ปญ ญาตามตอ นแลว เมื่อถึงขั้นนี้กิเลสตองหมอบ ความหมอบของกิเลสไมใช
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๓๙
๓๔๐
กเิ ลสกลวั ธรรมนะ น่นั เปนความฉลาดของกเิ ลสตางหากที่มนั หมอบหลบซอ นนะ สติ
ปญญาตองคุยเขี่ยขุดคนกันขึ้นมาทําลาย เอาจนกเิ ลสแหลกแตกกระจายไปหมด
ตลอดลูกเตาหลานเหลนของกิเลสก็ดับ และดบั เชอ้ื ไมม เี หลอื ภายในใจแลว นจิ ฉฺ าโต
ปรนิ พิ ฺพุโต ทา นวา ดบั ความหวิ กระหาย ไมมีอะไรดับสนิทยิ่งกวากิเลสดับจากใจ
แลวมีอะไรที่นี่ โลกสามโลกกเ็ หมือนไมมนี ่ันแล
มแี ตก เิ ลสเทา นน้ั รบรวนกวนใจ บบี คน้ั จติ ใจ เมื่อกิเลสหมดไปแลว ไมมีอะไร
มาบบี บงั คบั อกี ตนไมเปนตนไม ภเู ขาเปน ภเู ขา ดนิ ฟา อากาศเปน ดนิ ฟา อากาศ เขามี
มาตั้งแตไหนแตไร ไมเ หน็ มาบบี บงั คบั เรา ภูเขาทั้งลูกก็ไมไดมาบีบบังคับ กเิ ลสตา ง
หากบบี บงั คบั หวั ใจ ฟาดฟน กเิ ลสใหแ หลกตรงนแ้ี ลว อะไรไมม าบบี บงั คบั เเหละ
เอาใหร ใู หเ หน็ ซนิ กั ปฏบิ ตั ิ ใหเ หน็ กบั ตวั น่ี อยา ใหเ หน็ กบั ผใู ดวา ดยี ง่ิ กวา เหน็
กบั ตวั ของเรา ดว ยการปฏบิ ตั ขิ องเรา เอาใหจ รงิ จะรจู รงิ เหน็ จรงิ ตามหลกั แหง สวาก
ขาตธรรมไมสงสัย เพราะเปน ธรรมคาํ้ ประกนั โลกและมรรคผลนพิ พานมานานแสน
นานไมเ ปน อน่ื เรอ่ื ยมา
นก่ี ็ไดพ ยายามสอนหมสู อนเพอื่ นจนเต็มเหนยี่ ว ผมไมไดสงสาร ผมไมไ ดห ว ง
ใยผม ย่ิงกวา หวงหมหู ว งเพอ่ื นนะ จงเห็นใจ หมูเพื่อนนี่ผมเอาใจใสจริงๆ ในจิตของ
เราปฏิพัทธแ ละรักสงวนหมูเพ่อื นมาก ตาก็แหลมหกู ก็ างรับหมเู พือ่ นตลอดเวลา ไม
ใชอวดนะ พูดตามเจตนาความรูสึกของจิต พาใหตาแหลมตาสอดสอง หูก็แหลมไป
ตามกัน อะไรๆ วา แลว ดเุ ลา ๆ เพราะอนั นน้ั มนั ผดิ น่ี จะเปดโอกาสใหกิเลสมันเหยียบ
ยาํ่ ทําลายลูกศษิ ยเราอยูไ ดย ังไง เราเปน อาจารยก บ็ อกละซิ นั่นเหมือนกับวาชวยตบ
ออก ชวยตีออกปดปองใหดีซิ อยาเปดตรงนนั้ กิเลสจะตอยตรงนั้น อยาเปดตรงนี้
นั่นเหมือนนักมวยเขาฝกซอมมวยกัน ครูกับลูกศิษยฝกซอมมวยกัน ครูตองเตือน
เสมอวา อยาเปดตรงนั้นๆ พอครั้งที่สามครูก็เตะตูม พอเตะก็เตะ พอศอกก็ศอกเขา
ไป พอหมัดก็หมัดเขาไปพรอมกับคําเตือนวา อยา เปดตรงน้ัน ในเวลาฝกซอมกัน
ครมู วยตี ครูมวยตอย ครมู วยเตะ มันไมไดเจ็บเทาคูตอสูตบหรือตอย คูตอสู
ตอยดีไมดีตาย ครูนั้นตีบอกตีสอน เตะบอกเตะสอน แตถึงอยางนั้นก็ยังตองเตือน
ตองบอกฝกซอมกันไปๆ เตือนบอกกันไปวาอยาเปดตรงนั้น และเตะตอยที่เผลอ
พรอมบอกวา แนะ บอกแลว นะ ฝกซอมกันไปๆ อยาเปดตรงนั้น แลวฝกซอมกันไป
พอครั้งที่สามก็ตูมเขาไป อยาเปดตรงน้ัน
นม้ี นั กท็ าํ นองนน้ั แหละ ดุตรงนน้ั ดุตรงนี้ ดุองคนั้นดุองคนี้ ก็เหมือนกับอยา
เปด ตรงนั้นๆ นั่นเอง เพราะไหวพรบิ ปญ ญาของเรามนั ไมท นั กเิ ลส เหน็ แตก เิ ลสมนั
เหยยี บหวั เตะโนน เตะนี้ ทั้งศอกทั้งเขา เรากลิ้งไปกลิ้งมา ยงั เพลินหลับครอกๆ อยู
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๐
๓๔๑
ได ถูกกิเลสเตะเอาขนาดนั้น มนั กน็ า โมโหละซผิ เู ปน ครอู าจารยฝ ก อบรมนะ อยาเปด
ตรงนน้ั ๆ ก็ตองวาละซิ ทําไมองคนั้นเปนอยางนั้น ทาํ ไมองคนเี้ ปน อยางน้ี แนะ ก็
เหมอื นกบั วา อยา เปด ตรงนน้ั ๆ นั่นแล
เมอ่ื สติปญญาเหนือกิเลสอยแู ลว มนั จะอยใู นหวั ใจดวงใด จะแสดงออกมา
ดวยทาทางหรืออาการใด จะไมพนจากสติปญญาที่เหนือมันไปได ตองรูเ หน็ หมด
ทั้งๆ ที่ผูนั้นไมรู ถา ลงไดเ หนอื กเิ ลสแลว เปน อยา งนน้ั กเิ ลสมนั เคยอยใู นหวั ใจเรามา
นานเทา ไรแลว และเคยตอสูกับมนั ดว ยวิธกี ารตางๆ มาแลว เอา สมมตุ วิ า กเิ ลสพนิ าศ
ฉบิ หายไปจากหวั ใจนแ้ี ลว แมกิเลสอยูหัวใจอื่นทําไมจะไมรู เพราะมนั เปน เพลงเดยี ว
กัน วชิ าเดยี วกนั ทม่ี นั ไปเสย้ี มสอนสตั วโ ลก กลอ มสตั วโ ลก ทําไมจะไมรูกลมายาของ
มนั เลา พูดไป เตือนไป ดดุ า ไป ซง่ึ เปน เหมอื นคลงั กเิ ลสสาํ หรบั ผฟู ง ฟงเสียงเปรี้ยงๆ
ขณะพูดอรรถพูดธรรมใหหมูเพื่อนฟง ทั้งนี้ก็เพราะพูดดวยความตั้งใจ บอกสอนให
เห็นจุดบกพรองจริงๆ ผูฟงจะไดถึงใจไมผิดพลาดบอยๆ
เอาละพอวนั น้ี เหนอ่ื ยแลว
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๑
๓๔๒
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวนั ที่ ๒๖ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
พระกรรมฐานตดิ ครอู าจารย
การปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนา ตอ งอาศยั ครอู าจารยท ม่ี คี วามชาํ นชิ าํ นาญทางนม้ี า
แลว จึงจะสอนถูกตองแมนยาํ และเปน ไปเพ่อื ความราบรนื่ ดงี าม ไมใ หเกดิ ความสงสยั
ขัดของในปฏิปทาเครื่องดําเนินของตน ภาคปฏบิ ตั จิ งึ เปน สาํ คญั มาก ทางดานปริยัติ
เราเรยี นโดยลาํ พงั กไ็ ด อา นกเ็ ขา ใจ แตภ าคปฏบิ ตั นิ ้ี แมเ ราเรยี นมาแลว ทางดา น
ปรยิ ัติ จะนาํ มาเปน เครอ่ื งดาํ เนนิ ดว ยความสนทิ ใจหายสงสยั ไปโดยลาํ ดบั อยา งนน้ั ไม
ได เพราะการเรยี นมานน้ั เปน การจดจาํ ยอ มไมพ นจากความวาดภาพคิดคาดคะเนดน
เดาไปสุมสี่สุมหาซึ่งไมใชหลักความจริงไปได แตการปฏิบัตนิ เี้ พอื่ หลกั ความจริงโดย
ถา ยเดยี ว
พอเรม่ิ ปฏบิ ตั กิ จ็ ะเรม่ิ เหน็ ความจรงิ เขา ไป เพียงจอสติเขาสูจิตซึ่งเปนบอเกิด
แหง เรอ่ื งราวทง้ั หลาย กจ็ ะทราบเรอ่ื งราวทง้ั หลาย แมจะไมสามารถบังคับหรือถอด
ถอนเรอ่ื งราวอนั เปน สว นกเิ ลสนน้ั ไดก ต็ าม แตก ท็ ราบวา นีค่ อื ความจริงอนั หน่ึงที่
แสดงออกมาอยูไมหยุดหยอน ดว ยความคดิ ปรงุ เรอ่ื งราวตา ง ๆ ทั้งอดีตอนาคต
ปจจุบันยุงไปหมด เมื่อมีสติก็ทราบความจริงของสัจธรรมประเภทสมุทัยที่แสดงออก
ทางดานจิตใจได แมยังละไมได
แตเมื่อไมมีสติ ไมเ ปน ภาคภาวนา ยอ มไมท ราบไดว าจิตมอี ะไรบงั คับให
ทาํ งาน ในวนั หนง่ึ ๆ นน้ั มงี านอะไรบา ง ที่จิตตองหมุนตัวราวกับกงจักรอยูตลอดเวลา
โดยไมเปนตัวของตัวเลย มีแตถูกบังคับจากสิ่งที่มีอํานาจอยูเปนประจํา จนมองไม
เหน็ จติ ทั้ง ๆ ทร่ี ู ๆ อยูนี้คือจิต แตสงิ่ ทแี่ ฝงความรรู คู ือจิตนน้ั จิตไมสามารถมอง
เหน็ ไดเ ลย เพราะถูกสิ่งนั้นครอบงําหรือปดบังอยางมิดชิด เมื่อจอสติเขาไปก็ทราบ
การแสดงออกของสิ่งนั้น ๆ โดยลาํ ดบั และปฏบิ ตั ติ ามอบุ ายวธิ ที ค่ี รอู าจารยแ นะนาํ สง่ั
สอน เชน พยายามทาํ จติ ใหส งบดว ยจติ ตภาวนาในภาคสมถะเปน ตน นาํ ธรรมทท่ี า น
สอนนน้ั มาปฏบิ ตั บิ งั คบั จติ ใหอ ยใู นงานทท่ี าํ คอื บทธรรมทบ่ี รกิ รรมนน้ั โดยเฉพาะ จติ
จะเรม่ิ ปรากฏเปน ความสงบเยน็ ใจขน้ึ มา นี่กเ็ รยี กวา เปนความจรงิ อันหนงึ่ ท่ีจติ ไดทํา
หนาที่เอง และไดเ หน็ ผลท่ปี รากฏข้ึนจากงานประจกั ษใจโดยลาํ ดบั เมื่อปรากฏผลขึ้น
มาถายังไมเปน ท่ีแนใ จ กจ็ าํ ตองศึกษาไตถามครบู าอาจารยซึง่ เปนท่ีแนใ จ เพราะทา น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๒
๓๔๓
เคยผา นมาแลว อยา งชาํ่ ชอง การแนะนาํ สง่ั สอนดว ยอบุ ายตา ง ๆ ก็ถูกตองแมนยําไม
ผิดพลาด ไมเ สยี เวลาํ่ เวลา และไมทําผูมาศึกษาไตถามและอบรมนั้น ๆ ใหผ ดิ และ
เสยี ไป
ดงั นน้ั ภาคปฏบิ ตั จิ งึ เปน ภาคจาํ เปน อยา งยง่ิ สาํ หรบั ผมู าศกึ ษาและปฏบิ ตั ิ จาํ
ตอ งเสาะแสวงหาครหู าอาจารยท ม่ี คี วามสามารถ และชาํ นชิ าํ นาญในดา นปฏบิ ตั ทิ ง้ั
เหตแุ ละผล ไมเหมือนดานปริยัติ
การสง่ั สอนดว ยความไมม น่ั ใจ กค็ อื ผสู ง่ั สอนนน้ั ไมม น่ั ใจในความรคู วามเขา
ใจซึ่งสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติของตน กําลังยังไมเพียงพอที่จะรูจะเห็นผลอันเปนสิ่ง
ที่ยืนยันได จงึ ไมส ามารถแนะนําสัง่ สอนคนอนื่ ดว ยความแนใ จของตน เมอ่ื เปน เชน
นั้นผูฟงก็ไมอาจแนใจไดหรือไมแนใจได ผลที่จะพึงเกิดก็มีนอย หรอื อาจทําผมู า
ศึกษาอบรมใหผิดไปดวยได ดว ยเหตนุ ก้ี ารปฏบิ ตั จิ งึ ตอ งอาศยั การศกึ ษาการอบรม
จากครจู ากอาจารยท ต่ี นเหน็ วา แนใ จ ดว ยการแนะนาํ พราํ่ สอนหรอื ดว ยการศกึ ษาไต
ถามการเทศนาวา การอยโู ดยสมาํ่ เสมอ ซ่ึงเทยี บไดกบั การรดนํ้าพรวนดนิ ตน ไมท ี่ปลกู
ใหมน น่ั แล
การที่ผูแนะนําสั่งสอนไดรูไดเห็นมาประจักษใจทุกขั้นทุกภูมิของธรรมนั้น จงึ
ไมม ปี ญ หาในการแนะนาํ สง่ั สอนบรรดาผมู าศกึ ษา ผูสั่งสอนไมมีอัดมีอั้น ไมมีสงสัย
สอนไดเ ต็มเม็ดเต็มหนวย พูดไดพูดไดเต็มอรรถเต็มธรรมเต็มขั้นเต็มภูมิของธรรม
ขน้ั นน้ั ๆ ทะลุปรุโปรงไปหมด ผูฟงก็ฟงไดอยางเต็มใจ โลง ใจหายสงสยั แมตนจะยัง
ไมร ไู มเ ขา ใจกห็ ายสงสยั ในธรรมทท่ี า นสง่ั สอนนน้ั ๆ เปน ทแ่ี นใ จ เพราะเขา ใจไปโดย
ลาํ ดบั จากการไดย นิ ไดฟ ง ทา นอธบิ ายในธรรมขน้ั ตา ง ๆ
พระกรรมฐานจึงตองติดครูติดอาจารย เพราะการอบรมสง่ั สอนเปน ลกั ษณะ
ถอดออกจากใจดวงหนึ่งสูใจอีกดวงหนึ่งโดยเฉพาะ ไมไ ดน าํ บทนน้ั บาทนม้ี าพราํ่ มา
สอนกนั แบบสมุ สส่ี มุ หา สอนเฉพาะจดุ สาํ คญั ๆ ของผูมาศึกษาอบรม ทค่ี วรจะไดร บั
ในเวลานน้ั เทา นน้ั ครั้งพุทธกาลทานสอนกันอยางนั้น ๑.พระพทุ ธเจา ประทานพระ
โอวาทดวยพระองคเอง ๒.พระสาวกทเ่ี ปน ครูเปน อาจารยข องพทุ ธบรษิ ทั ทา นสอน
ดว ยความแนใ จของทา น ออกมาจากใจจริง การสอนกเ็ ปนที่มั่นใจ เปน ทแ่ี นใ จสาํ หรบั
พุทธบริษัทผูมาศึกษา เพราะฉะนน้ั ผลจึงไดเต็มเม็ดเต็มหนวย หรือไดผลมากตางกัน
กับสมยั ปจจบุ ันน้ีจนเทียบกันไมได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๓
๓๔๔
เทศนถึงโทษก็ใหเห็นอยางถึงใจตามหลักความจริงไมผิดเพี้ยน เพราะทา น
ไดรูโทษเห็นโทษมาอยางประจักษใจจริง ๆ เทศนเ รอ่ื งคณุ ทานก็เทศนไดอยางเต็ม
เมด็ เตม็ หนว ย ถึงบุญถึงคุณจริง ๆ อยางถึงใจทั้งผูเทศนและผูฟง เพราะทา นไดเ หน็
คุณมาอยางถึงใจ การเทศนใหเหน็ ทัง้ โทษท้งั คณุ อยางถงึ ใจนี้ จงึ เปนการเพิ่มกําลังใจ
ของผูมาศึกษาใหมีแกใจ และความกา วหนา ในทางความเพยี ร เมอื่ มีกําลังใจเพราะ
ความเชอ่ื ในโทษในคณุ นน้ั ๆ แลว ความอตุ สา หพ ยายาม ความพากความเพยี ร
ความอดความทนนน้ั มนั เก่ยี วโยงกนั ยอมเปนไปเอง หนุนกันไปเอง
คนเราเมื่อมีความเช่ือท้ังโทษท้งั คุณอยางเตม็ ใจแลว ความมุงมั่นที่จะสลัดทั้ง
โทษทเ่ี หน็ วา ไมดี และการกา วเขา ถงึ คณุ ยอมมีกําลังเต็มหัวใจดวยกัน เมื่อมีกําลังใจ
แลว ยอ มสามารถประกอบความพากเพยี รดว ยความเตม็ ใจ ไมว า หนกั วา เบา เพราะใจ
เปน สาํ คญั กําลังอยูที่ใจ จงึ ไมม อี ํานาจหรือกาํ ลงั ใดเสมอเหมอื นกาํ ลังใจน้เี ลย สิ่งใดก็
ตามเมื่อไดถึงใจแลว ยอมสามารถทําไดดวยกันทั้งฝายดีฝายชั่ว ใจจงึ เปน สง่ิ สาํ คญั
มากในตวั คน ทานจึงสอนใหอบรมใจในทางที่ถูกตองดีงาม ใจจะมกี ําลังทําประโยชน
อยา งมหาศาลไมมีประมาณ
การเทศนจะเทศนไปที่ใดก็ไมพนเรื่องจิตไปได เพราะจิตมีอยูกับทุกรูปทุก
นามอยา วา แตพ ระแตเ ณร และฆราวาสญาตโิ ยมเลย แมแ ตส ัตวเ ดรัจฉานก็ยังมีจิต จติ
แตล ะดวง ๆ ทเ่ี ปน ไปอยใู นสตั วใ นสงั ขารนน้ั ตน เหตทุ ใ่ี หเ ปน เชน นน้ั เปน มาจากอะไร
เปนมาจากสิ่งมืดมิดปดตาคือ อวชิ ชานน่ั แลเปน ตวั การ จะมีอะไรพาใหมืดใหบอดเลา
สง่ิ นไ้ี มม ใี ครหยง่ั ทราบสาเหตขุ องมนั ไดเ ลย แมจ ะพาใหส ตั วเ กดิ ตายในภพตา ง ๆ สงู
ๆ ต่ํา ๆ ลมุ ๆ ดอน ๆ และเปลย่ี นภพเปลย่ี นชาตใิ หเ ปน อยา งไรกไ็ มม ใี ครทราบได
เพราะจิตเปนสิ่งที่ละเอียดมากอยูแลวโดยปกติ สิ่งที่แทรกสิงอยูภายในจิตก็เปนสิ่งที่
ละเอียดมากพอ ๆ กัน จึงอยูดวยกันได บังคบั กันไดและยังมอี าํ นาจเหนือจติ อกี จงึ
สามารถบงั คบั จติ ใหเ ปน ตา ง ๆ ไดตามความตองการของมัน แมจิตกไ็ มสามารถ
ทราบโทษทราบคณุ แหง สง่ิ บงั คบั นน้ั ไดเ ลย จึงตองยอมจํานนและยอมทําตามสิ่งที่มี
อาํ นาจเหนอื จติ นน้ั เรอ่ื ยมาจนปจ จบุ นั น้ี สัตวโ ลกจึงยอมเกิดแกเ จ็บตาย ยอมรับทุกข
ทั้งมวลที่มันผลิตขึ้น และยอมเปนไปตามอํานาจของสิ่งลึกลับนั้น
ทา นกลา วไวช ดั ๆ สาํ หรบั ผรู แู ลว ดว ยกนั ยอ มเขา ใจทนั ที ผกู ลาวกก็ ลา ว
อยางชัดเจน ผูฟงก็เขาใจอยางชัดเจนไมมีขอสงสัย ไมมีขอโตแยง ไมมีที่คัดคาน คือ
อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา เปน ตน น่ที า นพูดอยา งเปดเผยดว ยความรูอนั เปดเผยของ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๔
๓๔๕
ทา น ผูที่รูอยางเดียวกับทานก็ฟงอยางแจมแจงหาที่สงสัยไมได สิ่งนี้แลคือสิ่งที่มี
อาํ นาจมากครอบจติ สตั วโลกไวอยางสนทิ ตดิ จม ไมอาจรูโทษของมันไดแมแตนิดเลย
จะแสดงออกมาดวยอาการใดก็ตาม ไมเ คยสะดดุ ใจวา สง่ิ นเ้ี ปน ภยั และมอี าํ นาจบงั คบั
จติ ใจเรา เราตองตอสูขัดขวางมันดังนี้ นอกจากยอมจํานนไปโดยถายเดียว
ไมว า จะบงั คบั ใหค ดิ ใหท าํ ถาพูดถึงจิตแลวก็เรียกวา เจา อาํ นาจเหนอื หวั นน้ั
บงั คบั ใหท าํ คือบังคับใหคิดตามความตองการของตน จิตจึงตองคิดแลวคิดเลา หมุน
ไปเวยี นมา ของเกาของใหม ไมม คี าํ วา นเ่ี ปน เดนไปแลว เพราะเปน ความคดิ เกา คํา
พูดเกา การกระทาํ เกา ไมมีคําวาเอือมระอา ไมม คี าํ วา คดิ ซาํ้ ๆ ซากๆ ไมมคี าํ วา อิด
หนาระอาใจตอ ความคดิ นน้ั ๆ แมจะวกไปวนมากี่ตลบทบทวนก็ไมมีเบื่อหนายอิ่มพอ
ไมมีความรูสึกตัว เพราะอาํ นาจอนั นน้ั ลกึ ลบั เกนิ กวา จติ จะเหน็ โทษในการแสดงออก
ของมัน นี่สตั วโลกทเ่ี ปน มา มสี ิ่งน้ีครอบอยทู หี่ วั ใจ ไมมีผูหนง่ึ ผใู ดในสามแดน
โลกธาตุนี้ จะรูโทษของมันไดโดยลําพังตัวเอง
มพี ระพทุ ธเจา เทา นน้ั เปน พระองคแ รก ทรงพนิ จิ พจิ ารณาคน หาเหตหุ าผลหา
ตน หาปลายของความเกดิ ความตาย ดังที่มีในพระประวัติทานวา เมื่อมีมืดแลวก็ตองมี
แจงเปนคูกัน มีเกิดก็มีตายเปนคูกัน เมื่อมีเกิดมีตายความไมเกิดไมตายก็คงมี เปน
เหตุใหพ ระองคสนพระทัยพนิ ิจพจิ ารณา สรปุ ความวาระสดุ ทา ยกพ็ น พระพทุ ธเจา ซง่ึ
เปน นกั คน ควา หาเหตหุ าผลไปไมไ ด จนไดต รสั รธู รรมอศั จรรยข น้ึ มา ใหโลกไดก ราบ
ไหวบ ชู าเปน ขวญั ตาขวญั ใจมาจนบดั น้ี ดังนัน้ จงึ เปน พระพุทธเจา องคอ ัศจรรยเ หนอื
โลกแหงไตรภพไมมีใครเสมอเหมือน
คาํ วา ตรสั รธู รรมกค็ อื การทาํ ลายกองแหง วฏั ฏะ ซึ่งครอบหัวใจนั้นออกโดย
สน้ิ เชงิ นน่ั แล เมอ่ื ทรงทราบชดั วา ไดท าํ ลาย อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา นี้ออกจากพระ
ทัยจนหมดสนิ้ ไปไมม เี หลือแลว จึงประกาศพระองควา ไดต รสั รแู ลว ไดถึงแดนแหง
ความพนทุกขแลว ดังธรรมในปฐมโพธิกาลทานแสดงไววา อเนกชาตสิ สํ ารํ สนธฺ าวสิ ฺ
สํ อนพิ พฺ สิ ํ เปน ตน ท่เี ราไดเคยทองเทยี่ วเกดิ ตายในภพนอยภพใหญ อยใู นหว งแหง
สงั สารจกั รนม้ี าจาํ นวนมาก จนไมส ามารถจะนบั อา นภพชาตไิ ดเ ลยกเ็ พราะอวชิ ชาน้ี
ทา นเทยี บไวว า ตณั หาเปน นายชา งเรอื น อะไรๆ ทา นกว็ า ไปตามตาํ รบั ตาํ รา อวิชชา
เปน รากฐานสาํ คญั พอถอดถอนรากฐานอันสําคัญแลว เรื่องทจี่ ะพาใหเกดิ ใหต ายใน
ภพนอยภพใหญ อันเปนกิ่งกานสาขาแผไปตามแขนงตางๆ ของกองทุกขนั้นก็หมด
สน้ิ ไปโดยสน้ิ เชงิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๕