๒๔๖
เปน เครอ่ื งบาํ รงุ จติ ใจ สนบั สนนุ จติ ใจ เปน เครอ่ื งเสวยของใจอยแู ลว อยสู บายทง้ั นน้ั
ความดีจึงไมลาสมัย ใหพ ากนั พยายามบาํ เพญ็
วาระนเ้ี ปน วาระทเ่ี หมาะสมมากสาํ หรบั เราทกุ ทา น หากชีวติ หาไมแ ลว กต็ องหยดุ
ชะงักในงานทั้งหลาย กาวไมออก เพราะคนตายแลว ไมม งี าน ทําไมเปน ขณะนี้ยังมีชีวิต
อยจู ะรบี เรง ขวนขวายสง่ิ ใดกร็ บี เรง เสยี สมบัติภายในก็ใหมีสมบัตภิ ายนอกก็ใหมี อยูก็
เปน สขุ ไปก็เปนสุข ไมขาดทุนสูญดอกทั้งอยูทั้งไป สาํ หรบั คนมธี รรมมบี ญุ กศุ ล อยูที่ใด
ไปที่ใด ไมอดไมจนในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ
การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควรจงึ ขอยตุ เิ พยี งแคน ้ี
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๖
๒๔๗
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๕ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
ความเหน็ แกต วั
ไมมีเพศใดยิ่งไปกวาเพศของนักบวชนี้ ในการพจิ ารณาไตรต รองเพอ่ื หาทาง
ออกจากทุกข เมื่อเพศนี้ไมคิดเพศไหนจะคิด เพศน้ไี มพ จิ ารณาเพศไหนจะมแี กใ จ
พจิ ารณา เพื่อปลดเปลื้องทุกขออกจากตนโดยชอบธรรมเลา นเ่ี คยคดิ มาแลว ถาไมคิด
ก็ไมกลานําสิ่งเหลานี้ออกมาพูดตอผูเกี่ยวของ เชน พระเณรและประชาชนผใู กลช ดิ
เปนตน เราเคยคดิ และแนใ จวา ไมผ ดิ เมอ่ื พจิ ารณาตามเหตตุ ามผลดว ยดแี ลว ถา เปน
ส่งิ ท่ีจะทําใหค นอนื่ คา นได เราตอ งคา นเราได เพราะไมไ ดพ ิจารณาเพอ่ื ความเหน็ แกตัว
หรอื เพอ่ื เขาขางตัว ความผิดถูกชั่วดีทั้งหลายจะนอกเหนือเหตุผลไปไหนได มันตอง
เปน ไปตามเหตผุ ลนน่ั แล วาถูกก็ตองถูก วาผิดก็ตองผิด เพราะเหตผุ ลเปน เครอ่ื งบงั คบั
อยูแลว
อนั ความเหน็ แกต วั นน้ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ปน ไปทง้ั สน้ิ อยาคิดวาเปนของ
วเิ ศษมาจากโลกทพิ ยท่ีไหนเลย ที่สวนมากทะนงตัววาเจาของถูกเจาของดี กิริยาอาการ
ทุกสิ่งทุกอยางที่แสดงออก เจาของตองคิดวาถูกวาดีทั้งสิ้น นน้ั เปน การทะนงเพราะ
อํานาจของกิเลสตัวสกปรกทั้งมวล หาศักดิ์ศรีดีงามอะไรไมไดเลย นี่แลถา เปน เรื่องของ
กิเลสพาเดิน เดนิ อยา งน้ี เพราะเคยเปนมาอยา งนีต้ ง้ั แตกปั ไหนกัลปใดแลว ไมมีอะไร
มาคดั คา นมนั ไดเ ลย นอกจากธรรมอยา งเดยี วทเ่ี ปนขา ศึกกับมนั ถา นาํ มาใช เพื่อเปลื้อง
ตนออกจากทุกข กเิ ลสจงึ กลวั ธรรมอยา งเดยี ว นอกนั้นมันไมกลัวอะไรทั้งสิ้น
กเิ ลสตวั ใดจะไมเ หน็ แกต วั มเี หรอ ความเห็นแกตัวก็คือเรื่องของกิเลส คือตัว
กิเลสที่พาใหใจของสัตวโลกสกปรกและทําสกปรกไมหยุดหยอนนั่นแล เมื่อมีอยูในจิต
ใจของสัตวของบุคคล ทําไมสัตวบุคคลจะไมเห็นแกตัว ความเหน็ แกต วั ทําไมจะไมป ด
ใจใหมืดมิด เพราะกิเลสมนั ปด และพาแสดงออกเปนความเห็นแกต ัว มองเห็นแตผล
ประโยชนของตัวทั้งสิ้น เหมอื นคนและสตั วใ นโลกนไ้ี มม หี วั ใจ ไมมีคุณคาสาระใดๆ คน
ดว ยกนั เหน็ เขาเปน เศษเดนมนษุ ย หรอื เหน็ เปน คนประเภทหนง่ึ จากเราไปได เหน็ เรา
เปน คนพเิ ศษไปท้งั ทจี่ ติ ใจและการแสดงออกเลวกวาสตั ว ถาเปนพระก็เปนพระพิเศษ
ไปกวาพระของศาสดาองคผูประเสริฐ ชอบยกตนขม ทา นเปนสนั ดาน
งานของพระประเภทนี้คือการยกตนอวดตัวโดยวิธีปฏิบัติแบบแผลงๆ ขลังๆ
เพราะกเิ ลสตวั รอ ยเลห ร อ ยเหลย่ี มรอ ยสนั พนั กลนเ้ี องถลงุ ใจใหเ ปน ความเหน็ แกต วั คน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๗
๒๔๘
เหน็ แกต วั พระเห็นแกตัว จนเขากับใครไมไ ดเปนตน การแสดงออกก็คือความเห็นแก
ตัวในที่ทุกสถานตลอดกาลทั่วไป จึงมองหาความผิดของเจาของไมเจอ เพราะไมมอง
ถูกสิ่งนี้มันผลักดันออกไปใหมองแตขางนอก ไมใหมองยอนเขามาหาตัว แลว จะใหร ผู ดิ
ถูกไดยังไง ทั้งๆ ที่มีอยูเต็มหัวใจก็ไมรู เพราะไมด ู ถาเปนเรื่องของธรรมแลว ตองดู
และพจิ ารณารอบไปหมด ไมไ ดยกตนขนึ้ วาเปนผูพ ิเศษยิ่งกวาผูห นึ่งผูใดและสิง่ หนงึ่ สง่ิ
ใด ตองมองดูและพิจารณาตามทางเหตุผลลวนๆ
เอา ฟาดลงไปซิ ใหถ ึงข้นั จิตบรสิ ทุ ธ์ิ ถาจิตลงไดบรสิ ุทธิ์แลวจะมีอะไรแบบปา ๆ
เถือ่ นๆ ดังกลาวมาอยูที่นั่นไหม เฉพาะอยางยิ่งจะมีความเห็นแกตัวอยูที่นั่นอีกไหม ยนื
ยันไดอยางอาจหาญและพูดไดอยางเต็มปากไมกระดากอายเลยวาไมมี นอกจากธรรม
เสมอภาคลว นๆ อนั เปน ธรรมอศั จรรยส งา งามครองใจดวงนน้ั เทา นน้ั จึงเห็นไดชัดวา
กเิ ลสเทา นน้ั ที่สอแสดงออกมาทุกอากัปกิริยาใหเปนการกระทบกระเทือนทั้งแกตนเอง
และแกผูเกี่ยวของมากนอย หนาที่การงานที่เกี่ยวของกวางแคบกระเทือนไปหมด
เพราะความเหน็ แกต วั มนั เปน เรอ่ื งเลก็ นอ ยเหรอเรอ่ื งกเิ ลสนะ จงพากนั พจิ ารณาใหร ู
เหน็ แงห นกั เบาดกี บั ชว่ั ระหวางกิเลสกบั ธรรมวา ตา งกันอยา งไร ประจักษใจหายสงสยั
ถาจิตยังไมเหนือ สติปญญายังไมเหนือ ธรรมยังไมเ หนอื มนั กย็ งั ไมรเู หน็ มัน ที่
สลบั ซับซอนและละเอยี ดสุขมุ มากยิ่งกวา สิง่ ใดในโลกน้ี ก็คือกิเลสนี่เอง มันถึงไดครอง
โลก ความรคู วามเหน็ ความคดิ ตา งๆ ที่กิเลสผลิตขึ้นมาถือวาถูกหมดดีหมด ใครจะเปน
เทวดามาจากไหนก็ไมดี สูเจาของไมได แมแ ตค รบู าอาจารยท น่ี า เคารพนบั ถอื และเชอ่ื
ฟง กิเลสมันยังมีแงตอสูของมันอยูอยางลึกลับภายในใจ บางทียังกลาหาญแสดงออก
มาภายนอกได ดูซิ มันเคยลงกับธรรมเมือ่ ไร พระพุทธเจามันยงั คดั คานตา นทานจะวา
ไง กิเลสมันเปนขาศึกกับทุกสิ่งทุกอยางไป ขึ้นชื่อวาธรรมคือความถูกตองดีงามแลว มัน
ถือเปนขาศึกทั้งนั้น นล่ี ะจงึ ลาํ บากสาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื สงั หารทาํ ลายมนั
ฉะนั้น จงยกศาสดาขน้ึ มาเปนหลักดําเนนิ ทกุ ดานอยางฝง ใจ พระองคท รงหา ม
และทรงอนุญาตสิ่งใด มีเหตุผลพรอมแลว ทรงบวกลบคณู หารโดยสมบรู ณด ว ยพระ
ปรชี าญาณแลว สวนไดมากไดนอย เสียมากเสยี นอย ทรงเทียบเคยี งทุกสัดทุกสวนแลว
ควรจะออกชองไหนที่มีสวนไดมากกวากัน ก็ทรงสอนใหออกชองนั้น สมมุติวาหลีกไม
ได กเ็ ลือกเอาท่มี ีผลไดมากกวา แลว ดําเนนิ ไปทางนั้น ใหไปเฉพาะทางได แตทางเสียไม
ยอมใหไป ไมท รงอนุญาตถา เปน ทางเสยี นล่ี ะศาสดาทรงดาํ เนนิ ตามเหตผุ ลอรรถธรรม
ลว นๆ มเี รามีเขาท่ไี หนพอจะสอนใหค นเหน็ แกตัว เห็นแกพวกพองของตัวและเหยียด
คนอน่ื เพราะมแี ตธ รรมลว นๆ ในพระทยั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๘
๒๔๙
เราไมเ คยเหน็ เราไมเ คยรจู ติ ประเภทนน้ั เปน ยงั ไง เราเคยประสบเคยพบเคย
เหน็ เคยคลกุ เคลา แตก บั สง่ิ สกปรกโสมม อนั เปน มตู รเปน คถู เตม็ หวั ใจเทา นน้ั คาํ วา
มูตรคูถถาไมใชกิเลสจะไดแกอะไร แลว เราจะไปเหน็ อะไรทแ่ี ปลกประหลาดและ
อศั จรรยย ง่ิ กวา น้ี กเ็ หน็ แตอ นั น้ี ไมมีอะไรดีกวานี้ จึงตองคลุกเคลากับอันนี้เรื่อยมาไมมี
วนั เบอ่ื หนา ยอม่ิ พอบา งเลยนน่ั แล เพราะความพออกพอใจกับมันทุกทา แสดงออกมา
ทาไหนพอใจทั้งนั้น เพราะการแสดงออกน้นั เปนทางเดินของกิเลสอยูแลว เราอยูใต
อํานาจของมันจะไมพอใจมันยังไงได เพราะเราไมฉ ลาดเหนอื กเิ ลสน่ี ถา มคี วามฉลาด
เหนอื กเิ ลสกท็ ราบกนั ทนั ทๆี
จึงไดก ลา วเสมอวา จงทําจิตของตนใหบริสุทธิ์ เพราะการปราบกเิ ลสซง่ึ เปน ตัว
รอ ยเลห ร อยเหลีย่ มรอยสันพันคมออกใหหมดจากจติ ใจซิ มันอยูในจิตใจของบุคคลแม
แตอ ยกู ับสตั วก ็รู ปดไมอยู วา กริ ยิ าทแ่ี สดงออกมานน้ั คอื กเิ ลสประเภทนน้ั ๆ ซึ่งเคย
ครอบหวั ใจเรา เหยยี บยาํ่ หวั ใจเรามาพอแลว แตถูกขับออกไปจนไมมีอะไรเหลือ แลว
ทําไมจะไมรูเมื่อมันยังอยูกับหัวใจของใคร เพราะมนั เหมอื นๆ กนั น่ี การแสดงออกมา
จะไมรูไดยังไง ตองรูไดอยางชัดๆ ซิเมอื่ เหนือมนั แลวตองรู ถา ไมเ หนอื ก็ไมรู จะอยูดวย
กันกี่กัปกี่กัลปก็ไมมีทางรูได ตองถูกหลอกถูกตมจากมันเรื่อยไปดังที่เปนมานี่เอง
พระพุทธเจาทรงอนุโลมผอ นผันสงเคราะหโ ลกสงสารไปตามข้ันภูมิอปุ นิสยั ก็
เพราะทรงเหน็ วา โลกคอื คนมหี วั ใจ สตั วม หี วั ใจ ที่จะทรงสงเคราะหไดขนาดใดก็
สงเคราะหไ ป เฉพาะอยางยิ่งภิกษุบริษัทของพระองค จึงตองทรงกลั่นกรองดวยหลัก
ธรรมหลักวินัยใหมีขอบมีเขตเปนเครื่องปกครองบังคับบัญชา คาํ วา บงั คบั บญั ชากค็ อื
บังคับบัญชาความชั่วที่จะออกทางทวารชองตางๆ นน้ั แหละ ทก่ี เิ ลสจะออกหากนิ หาราย
ไดข องมันมาเกบ็ สง่ั สมไวภ ายในใจ เมอ่ื กเิ ลสหารายไดเ พม่ิ เขา มาแลว กม็ าเหยยี บหวั ใจ
เรานน่ั แล เพราะฉะนั้น จงึ ตอ งใชห ลกั ธรรมหลกั วนิ ยั อนั เปน เครอ่ื งปราบปรามบงั คบั ไว
เพอ่ื ไมใ หก เิ ลสประเภทตา งๆ ออกเที่ยวหากิน หรอื ออกกวา นยาพษิ มาเผาใจเรา เมื่อ
สง่ิ เหลา นอ้ี ยกู บั เรามนั ตอ งบงั คบั เรา ไมบ งั คบั เราจะบังคับอะไร มันตอ งบงั คับเราอยู
ตลอดเวลานน่ั แล ผจู ะฆา กเิ ลสจงึ เปน ผหู นกั แนน ในธรรมในวนิ ยั ทป่ี ระทานใหโ ดย
สมบรู ณแ ลว จงฟงใหถึงใจ ปฏบิ ตั ใิ หถ งึ กเิ ลส แลวจะถงึ ธรรมไปเอง
ผูปฏิบัติจึงตองใชความละเอียดลออใหมาก อยา สกั แตว า อยู อยูเฉยๆ ไมคิดไม
อาน นส่ี อนหมเู พอ่ื นมาอยา งเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยเตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ ไมใชมา
สอนแบบปาวๆ สอนไปแบบเฉยๆ เมยๆ รบั หมเู พอ่ื นไวร ายใดกร็ บั ไวเ พอ่ื อบรมสง่ั
สอนจรงิ ๆ ดว ยความเหน็ ใจซง่ึ กนั และกนั ดว ยความเมตตาสงสาร ดว ยความเหน็ ใจ
ทา นใจเรา เพราะเจตนาทเ่ี สาะแสวงหาครหู าอาจารย หาอรรถหาธรรมเปน ประเภท
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๙
๒๕๐
เดียวกัน หรอื เปน ชนดิ เดยี วกนั เปน เจตนาอนั เดยี วกนั กบั เราทเ่ี คยเปน มาแลว ควา เอา
หวั ใจเรานน้ั แหละออกเทยี บกบั หวั ใจหมเู พอ่ื น จึงพยายามถูไถกันไป หนกั บา งเบาบา ง
แบกหามกนั ไปอยา งนน้ั ตามความจาํ เปน
การสง่ั สอนทุกแงทกุ มุมจะดดุ าวา กลา วหนักเบาขนาดไหน ก็คือการตีการฆา
กิเลสของพระทั้งนั้น ไมใชตีพระฆาพระนี่ ถา มาหาความดงี ามมาหาธรรมอยา งใจจรงิ
แลว กท็ ราบเองวา ครอู าจารยท า นตที า นฆา อะไร ก็ตีกิเลส ฆา กเิ ลสทม่ี ันทาํ ลายพระนะซิ
บกพรองตรงไหนกิเลสตอยเอาๆ ครอู าจารยท า นมองเหน็ อยไู ดย นิ อยนู ่ี กริ ยิ าทแ่ี สดง
ออกทางหูทางตา คาํ พดู จา กิริยาอาการที่เคลื่อนไหวออกมา ออกมาจากอะไร ออกมา
จากความผิด ความผิดนั้นมันเปนอะไร มนั ดลี ะหรอื ถาไมเปนกิเลสมันจะเปนอะไร
เพราะมนั ฝง ลกึ ภายในใจในกายจนเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั มานานแลว มนั จงึ เปน นสิ ยั
สันดานและแสดงออกมาจากอันนั้น จึงตีเขา ไปตรงนน้ั ใหถูกกเิ ลสตรงน้นั ผูตั้งใจหา
อรรถหาธรรมก็รูผิดถูกของตัวเอง และรูชองทางที่จะแกกันไปโดยลําดับนะซิ
ใครมานมิ นตพ ระวดั นไ้ี ปไหน เรากไ็ ดพดู เหตุพดู ผลใหเ ขาฟง เพราะเรารกั เรา
สงวนพระผมู งุ อรรถมงุ ธรรม ซ่ึงมาอาศัยและอยกู บั เราเพ่อื การศึกษาอบรมความดีทัง้
หลาย เราไมไ ดรกั สงวนอะไรบรรดาวตั ถยุ ง่ิ กวา พระในวดั เรา จตปุ จ จยั ไทยทานเปน
เครอ่ื งอาศยั เพยี งเลก็ นอ ยไปวนั หนง่ึ คนื หนง่ึ พอยังชีวิตใหเปนไปเพื่อการบําเพ็ญสมณ
ธรรมดว ยความสะดวกเทา นน้ั จงึ วา เคร่อื งอาศยั ๆ นสิ สยั ๔ ฟงซิ ทา นสอนไวแ ลว ตง้ั แต
วนั บวช สง่ิ อาศยั คอื ปจ จยั เครอ่ื งอดุ หนนุ เเกก ารบาํ เพญ็ สมณธรรม ความสงบเยน็ ใจ
เครื่องอุดหนุนเครื่องสบื ตอ กันไปแหง ชวี ิตธาตขุ ันธใ นวันหนึ่งๆ เทา นน้ั
ธรรมเปน เรอ่ื งใหญเ ปน หลกั เปน เกณฑ เปนแกนอันสาํ คญั ท่เี ราตอ งการ สว น
ปจ จยั สพ่ี อเปน ความสะดวกในการบาํ เพญ็ ธรรมเทา นน้ั ถา ไมฉ ลาดสง่ิ เหลา นน้ั กเ็ หยยี บ
ยาํ่ ทาํ ลายได เพราะตวั เราทพ่ี าใหไ ดใ หเ สยี พาใหเ ปน ไป พาใหขวนขวาย พาใหยินดี พา
ใหติดอันเปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล จึงตองระวัง ไมใชเรื่องของธรรม ถา ธรรมแลว ไม
ตดิ ติดอะไรธรรม ทานสอนใหแกใหละใหถอดใหถอนทั้งนั้น ติดอะไร แตก เิ ลสมนั เปน
เรื่องใหติดอยูแลวโดยปกติ อยูโดยปกติมันก็ติด แสดงออกมันก็ติด กิรยิ าอาการทกุ ส่งิ
ทุกอยางติดทั้งนั้นถาเปนเรื่องของกิเลส จึงตองใชความพินิจพิจารณาอยูทุกระยะที่
เคลื่อนไหวของใจ กาย วาจา เพื่อสลัดปดทิ้งออกจากใจ ไหนจะสนใจเกยี่ วของพัวพนั
และเสาะแสวงจตปุ จ จยั ใหเ พม่ิ การทาํ ลายตวั เขา ไปอกี นั่นไมใชทาง จงึ ไมค วรสนใจใฝ
หา
ความตามสบายๆ อันใดกต็ ามใหพึงทราบวา น่ีแหละหลกั ใหญข องกเิ ลสทีฝ่ งจม
อยใู นนสิ ยั สนั ดานลกึ มากทเี ดยี ว อยา เขา ใจวา อยตู น้ื ๆ ผิวเผนิ ดงั ทค่ี นประมาทคิดกัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๐
๒๕๑
ฉะนั้นจึงตองไดฝน ฝนทุกระยะ ผปู ฏบิ ตั ธิ รรมจะหาความอยสู บายแบบโลกๆ ไมได
เพราะตองตอสูกับกิเลส ฝนกับกิเลสอยูตลอด กเิ ลสหยาบฝน กนั อยา งหนกั ตอสูกัน
อยา งหนกั กิเลสละเอียดเขาไปก็ตอสูกันไปโดยลําดับๆ ประมาทนอนใจไมไ ด แลว จะ
หาความสบายมาจากไหนเมอ่ื ความจาํ เปน บงั คบั อยเู ชน น้ี
นกั มวยเมอ่ื อยบู นเวทจี ะหาความสบายมาจากไหน แมแ ตข ณะใหน าํ้ กห็ าความ
สบายไมได นเ่ี ราขน้ึ เวทแี ลว เปนผูตั้งใจประพฤติปฏิบัติอรรถธรรม การสละตนออกมา
บวชในพทุ ธศาสนา ก็คือเพศนักรบอยางเต็มตัวเต็มใจทุกอาการนั่นแล ยงั จะหาความ
สะดวกสบายไปตามกลมายาของกิเลส เรากไ็ มตองมาบวชกนั ไมตองมาฝนกันละซิ
ปลอยใหกิเลสเหยียบย่ําถูไถไปมาจนถลอกปอกเปก แขนขาขาดกระจุยกระจายไป
เหลอื เทา ไรคอ ยเอา สุดทายก็ไมมีอะไรเหลือ แหลกไปหมดท้งั รางจะวาไง กเิ ลสมนั เคย
เหน็ ใจไวห นา เมตตาใครทไ่ี หน พอจะตายใจกับมันได
การฝน คือ การฉุดการลากตัวออกใหพนภัยจากกิเลสตางหาก เพราะฉะนน้ั จงึ
ตองฝนกัน การประกอบความเพียรตองตั้งสติใหดี พินิจพิจารณาทางดานปญญา เพื่อ
ความเกรียงไกรรอบคอบ ทุกอาการมีแตทาตอสู มีแตทาปลดเปลื้อง กิริยาอาการแหง
การปลดเปลื้อง กริ ยิ าอาการแหง การตอ สทู ง้ั ปวง ก็ยอมรับกันวาตองทุกข แตผลที่ได
จากนี้ก็คือสันติธรรม อนั จะพาใหจ ติ ใจสงบสบายไปโดยลาํ ดบั เพยี งแตข ั้นเรม่ิ การตอสู
กบั ความฟุง ซา นรําคาญของจิต ทเ่ี ปน มาจากกเิ ลสเปน เจา เรอื นและบงการ ก็ยังตอง
ลาํ บากตามลาํ ดบั ของการตอสู กวา จะไดร บั ความสงบเยน็ ใจแตล ะครง้ั ละคราวในขน้ั เรม่ิ
แรกของการฝกจิตใจนั้น มนั ตอ งลาํ บากไมน อ ย
เพราะกิเลสมนั อยเู ปนสขุ ไมได มันตองดิ้นตองดีดของมัน และมนั อยใู นจติ จะ
ไมใหจิตดิ้นไปดวยยังไง จิตมีอะไรเกี่ยวโยงกันในตัวเราก็คือตา หู จมกู ลน้ิ กาย นั่นแล
เมื่อแสดงออกขางนอกก็ไปสัมผัสสัมพันธกับรูป เสยี ง กลน่ิ รส เครอ่ื งสมั ผสั และพวั พนั
กันไปเรอื่ ยๆ มันดิ้นมันดีดมันติดมันพันกันอยูอยางนั้น แลวผลที่ไดมามีอะไร ก็มีแต
ความทกุ ขค วามรอ นภายในใจโดยถา ยเดยี ว นอกนั้นยงั ระบาดไปถึงกาย ใหตองรับ
เคราะหก รรมจากจติ ไปดว ย
การตอสูเพื่อใหไดชัยชนะมคี วามสงบเยน็ ไปโดยลาํ ดับ ตอ งเขม ขน ทางความ
เพยี รโดยสม่ําเสมอไมล ดละ ธรรมถา เขาสูใ จมากนอ ย ยอ มแสดงผลคอื ความสงบเยน็
ใหเห็นประจักษใจ ความสงบ ความเยน็ ใจ สบายใจ นค้ี อื ธรรม การตอสกู บั ความฟุง
ซา นวนุ วายไดม ากนอ ย ผลกแ็ สดงความสงบเย็นซ่งึ เปนธรรมอันพงึ หวังขน้ึ มา ผลแหง
การตอ สเู ปน อยา งน้ี จากนั้นก็ขยับและขยายงานออกไปดวยปญญาเปนขั้นๆ ไลตีตอน
กเิ ลสใหเ ขา มาสจู ดุ รวม จติ สงบ กิเลสมันก็สงบตัว แตไมใชกิเลสตายนะ มันเพียงกมหัว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๑
๒๕๒
หมอบหลบหมัดคือสติ ปญญา ศรทั ธา ความเพยี รเทา นน้ั ทก่ี ลาวน้ีเพียงข้นั สมาธิสงบ
ตวั เขา มา กิเลสสงบเพราะถูกตีถูกตอนเขามาดวยการตอสูกัน จากนั้นก็คลี่คลายออก
โดยทางปญญา กิเลสตัวไหนมันเกงไปทางไหน ทีนี้ปญญาตามคลี่คลายไลตอนกันไป
เอา จติ มันตดิ อะไรท่ีเดนทส่ี ุดภายในจิตน้ี เชน ราคะตณั หา เปน ตน มันติดอะไร
อันนั้นคืออะไร แยกแยะออกไป ดูที่มันติดเสียกอน มันติดอะไร มันรักชอบอะไร สิ่งที่
มันรักชอบนั้นคืออะไร คลี่คลายออกดูใหเห็นชัดเจนดวยปญญาเครื่องกลั่นกรองตัดสิน
กัน และพจิ ารณายอ นเขา มาดกู ายอนั นน้ั ดูรูปอันนั้น ดูรูปอันนี้โดยทางอสุภะหรือไตร
ลักษณไดทั้งสิ้น เพราะตามหลกั ความจรงิ มนั เหมอื นกนั เมื่อรูชัดดวยปญญาจิตก็ถอย
ตวั เขา มา จนสติปญ ญาพอตัวแลวกบั กเิ ลสประเภทนนั้ ๆ กส็ ลดั กันไดโ ดยลําดับ อยางนี้
เปนตนที่เกี่ยวกับปญญา
ราคะตณั หาสว นหยาบนเ้ี กย่ี วกบั เรอ่ื งกาย กายนอกกายใน เมอ่ื พจิ ารณาแยก
แยะใหเห็นความจรงิ ของมัน ทงั้ ดานนอกดานในไดเทาเทียมกันเสมอกนั แลว มันจะยดึ
จะถือจะรักจะชอบขามเมฆขามหมอกไปไหน มันก็หายสงสัยไปเอง นี่แหละปญญา
พจิ ารณาไปตรงไหนกเิ ลสจงึ ขาดไปเรอ่ื ยๆ ปญญามีเต็มที่ ตัดฟนกันขาดสะบั้นลงไปไม
มเี หลอื และขาดไปเปนขั้นๆ เปนตอนๆ จนขาดไปโดยสิ้นเชิง ไมนอกเหนือสติปญญา
ไปได ฉะนน้ั จงบาํ รงุ สตปิ ญ ญาใหแ กก ลา สามารถไปโดยลาํ ดบั อยาทอถอยปลอยวาง
นี่ก็ไมไดประชุมมานานเพราะสุขภาพไมคอยดี เพียงจะรักษาเจาของอยูโดย
ลาํ พงั ในวนั หนง่ึ ๆ กล็ าํ บาก บางวนั อยเู ฉยๆ โรคหวั ใจมนั กก็ าํ เรบิ โดยเฉพาะอากาศ
รอ นๆ มักเปนเสมอ ตองไดระมัดระวัง แตกอนที่สุขภาพยังดีก็ประชุมอยูเสมอๆ นี่
แหละการเปลี่ยนแปลงของธาตุขันธ เครื่องใชมันไมแนนอนเสมอไป เมอ่ื มนั ชาํ รดุ ทรดุ
โทรมก็ตองไดอนุโลมไปตาม หมูเพื่อนมาพึ่งพาอาศัยก็ทราบทําไมจะไมทราบ เพราะ
เคยอยกู บั หมกู บั เพอ่ื นมาเปน เวลานานแลว น่ี ท่อี อกมาจากปา จากเขามาสูสงั คมพระ
เณรและประชาชนกเ็ กอื บ ๓๐ ปแ ลว ทาํ ไมจะไมท ราบ เคยอบรมหมเู พ่ือนมามากเพียง
ไรกร็ กู ันอยูแลว แตเ วลาธาตขุ นั ธช าํ รดุ ทรดุ โทรม ก็จําตองพักผอนไปตามความจําเปน
ทั้งที่หวงใยหมูเพื่อน แมแตง านภายนอกถาไมจาํ เปน จรงิ ๆ กไ็ มอาจรับได ทั้งทเ่ี หน็ ใจผู
มาเกี่ยวของมากนอย
เพราะฉะนั้นหมูเพื่อนที่มาอบรมศึกษาจงพากันตั้งใจดวยดี ศกึ ษาอบรมอยา ง
จริงจัง อยาพากันนอนใจ จะไรคุณคาที่นาพึงใจทั้งปจจุบันและอนาคต อยูแบบหดตัว
เหมอื นคนสน้ิ ทา มนั นา ทเุ รศนะ ทั้งนี้เพราะกลมายาของกิเลสทุกอาการแหลมคมมาก
ดงั ทก่ี ลา วมานน้ั แหละ คอยแตจะถูกหลอกและลมจมไปกับมันอยูเรื่อยๆ โดยไมรูสึกตัว
นะ ทําอะไรพอไมสะดวกสบายบา ง เชน ประกอบความเพยี รบงั คบั จติ ใจ ฝน กนั บา ง ก็
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๒
๒๕๓
เห็นวาเปนทุกขไมอยากฝน สูนอนจมอยูกับกิเลสเปนกัปเปนกัลปไปดีกวา แลว แตม นั
จะเอาขนึ้ เขียงไหน จะสับจะฟนลงไปก็ใหเปนหนาที่ของมัน นน้ั เหน็ วา สบายดี
แตน ่นั มนั เพลงกลอ มของกเิ ลสทเ่ี คยฟง จมหูจมจิตใจมานานแสนนานแลว ถา
สบายจริงดังที่ถูกหลอก ใครๆ กต็ อ งการความสบายและกเ็ คยทาํ ตามกเิ ลสมาแลว ดว ย
กันท้งั นัน้ โลกอันนี้ แตไ มเ หน็ ไดร บั ความสบายตามใจทน่ี กึ ฝน กนั อยูที่ใดไปที่ใดเห็นแต
คนและสัตวต อ งโทษโดนทุกขท รมานเพราะกเิ ลสดดั สันดานท่ัวหนา กัน แตไมรจู ักเขด็
หลาบและแสวงหาทางออกกนั บา ง
พระพุทธเจาเสด็จออกทรงผนวชก็เพื่อความสุขอันไพบูลย โดยทรงเหน็ วา สง่ิ
เหลา นใ้ี หค วามสขุ ไดเ พยี งแคน น้ั มีความทุกขมาก ใหค วามสุขเพยี งเลก็ นอยพอเปน
เครอ่ื งหลอกผวิ เผนิ เทา นน้ั จงึ ตองทรงเสาะแสวงหาส่งิ ท่ีจรงิ จงั ไมหลอกลวง ไมมีพิษภัย
เคลอื บแฝง สิ่งที่ทรงแสวงหาอยางเต็มพระสติปญญา ถงึ กบั เอาพระชวี าเขา แลกนน้ั คอื
โมกขธรรม ไดแกธรรมแดนหลุดพน จนสมพระทยั หวงั และนาํ ธรรมนน้ั มาสอนโลกท่ี
ชาวพทุ ธเราไดก ราบไหวบ ชู า และปฏบิ ตั ติ ามอยนู แ่ี ล ทง้ั นเ้ี พราะทา นยอมรบั ทุกขโ ดย
ชอบธรรมทางการบาํ เพญ็
ถาไมใชสติปญญาใหมากๆ จะไมท นั กเิ ลสนะ แมแตเพียงใหจ ิตสงบก็สงบได
ยากหรือสงบไมได ถา ปราศจากความตง้ั ใจความจดจอ ดว ยสตแิ ลว ตอ งเหลวไหลไมเ ปน
ทา เพราะกิเลสมันไมมีเวลาออนขอยอหยอน แขง็ ปง อยอู ยา งนน้ั ตลอดเวลาในตวั เราจะ
วา ไง ย่งิ เราออ นเทาไรมันยิ่งแข็ง ถา เราแขง็ มนั กเ็ รม่ิ ออ นลง นแ่ี หละหลกั ใหญอ นั เปน
ความจรงิ อยตู รงน้ี จงพากนั พจิ ารณาใหด ี
ขั้นเริ่มตน ขั้นถูไถ ลม ลกุ คลกุ คลานนแ่ี หละ สวนมากผูปฏิบัติมักไปไมคอยรอด
จอดอยูกลางมหาสมมุติมหานิยมไปเสีย โลกเขานยิ มวาอะไรดกี ว็ า ดไี ปตามเสยี ลืมตัว
ไปเสยี แตธรรมที่ปราชญทานวาดีไมยอมฟง ความพนทุกขนักปราชญผูบริสุทธิ์ทานวาดี
ไมยอมฟง วาเปนสุขไมยอมฟงไมยอมเชื่อ มนั หากเปน อยใู นหวั ใจนน่ั แหละ ไมใ ชเ รา
ตั้งใจไมเชื่อ ไมใ ชเ ราตง้ั ใจคดั คา น แตมนั มีธรรมชาตทิ ่ีเปน ตวั ขาศึกตอธรรมชนดิ หน่ึง
ทีก่ ลอมหวั ใจอยูนน้ั พาไมใ หเ ชื่อ และใหฝ น ธรรม คดั คา นธรรม ตอ สธู รรม ดวยวิธี
ตางๆ แลว จะเจอความเกษมในธรรมทปี่ ราชญท า นแสดงไวไ ดย งั ไง เพราะทา นทาํ อยา ง
นั้นทานถึงไดรูอยางนั้น จึงไดพูดไดสอนอยางนั้น ทา นไมไ ดท าํ แบบเรา รแู บบเรา ทาน
จงึ ไมเ ปน อยา งเรา
รแู บบเรากบั รแู บบทา นมนั ผดิ กนั สขุ แบบเรากบั สขุ ของทา นมนั ผดิ กนั สุขแบบ
เรามนั อยปู ลายเบด็ นน้ั นะ สขุ ของเราเปน ความสขุ อยปู ลายเบด็ วา ไง ปลาตัวโงพองับ
เหยื่อที่ปลายเบ็ดเขาไปก็ติดเบ็ดพรอมกันเลย งับไปตรงไหนก็ติดเบ็ดตรงนั้น ขึ้นชื่อวา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๓
๒๕๔
โลกามิสที่เปนสิ่งเคลือบแฝงของกิเลสแลว มนั กเ็ ปน อยา งเบ็ดที่ติดเหยอ่ื ลอปลาน่ันแล
เหยอ่ื นไ้ี มใ ชอ าหารอนั แทจ รงิ แตเ หยอ่ื นเ้ี ปน เหยอ่ื ลอ สาํ หรบั หลอกคนโงโ ลเลใน
โลกามสิ ผูปฏิบัติเพื่อความฉลาดและหลุดพนจึงตองระวังกัน ผูปฏิบัติอยางแทจริงใน
ธรรมทั้งหลายเทาน้ันจงึ จะระวังได และละไดไมตดิ เบด็ คอื โลกามิสซงึ่ เปรียบเหมือน
เหยอ่ื ลอปลา ที่พออาศัยไปในวันหนึ่งๆ เทา นั้น ไมถือเปนจริงเปนจังเหมือนธรรมที่
กาํ ลงั บาํ เพญ็
กาํ ลงั วังชาของเราเคยทมุ เทในงานอนื่ ๆ เราทุมมามากพอแลว ความคิดความ
ปรุงอะไรก็เคยคิดเคยปรุงมาตั้งแตวันเกิดจนกระทั่งบัดนี้ กน็ า จะเบอ่ื หนา ยและนาํ มา
พนิ จิ พจิ ารณาทบทวนแยกแยะเทยี บเคยี งกนั ในแงห นกั เบา ดชี ว่ั ไดเ สยี ซึ่งพอจะหา
ชอ งทางออกในแงใ ดไดบ า งแลว ในการปฏบิ ตั ธิ รรมเพอ่ื ตวั เอง จะมัวเสียดายอะไรกันอยู
อีกนักหนา เรอ่ื งความเกดิ ตายนม้ี นั อยบู นเขยี งของกเิ ลสมาเปน ประจาํ ซง่ึ ควรเขด็ หลาบ
ไดแ ลว เพราะเคยโดนกนั มาแบบนท้ี กุ รายไมน า สงสยั แตใ จเราจะใหน อกจากเขยี งนม้ี นั
ไมอยากไป จึงถูกกลอมอยูนั้นแล เพราะเพลงลูกทงุ ลกู กรงุ มันเพราะพรงิ้ เกินกวาสติ
ธรรม ปญ ญาธรรม วริ ยิ ธรรมเปน ตน จะเขา ไปสอดแทรกได
เจา ของนน่ั แหละเปนผูจ ะฉดุ ลากเจาของ ครบู าอาจารยเ ปน แตผ ใู หอ บุ ายแนะนาํ
สง่ั สอนเทา นน้ั ตองหาอุบายพลิกแพลงในแงตางๆ เอาเอง ถาจิตออนแอตองพลิกหา
อบุ ายใหมๆ มาใชใ หทนั กับกลมายาของกเิ ลสตวั ปลน้ิ ปลอนหลอกลวงเกง ๆ การปฏิบัติ
ตวั เองจะคดิ วา วนั นไ้ี ดผ ลอยา งน้ี วนั วานไดผ ลอยา งนน้ั แลว จะเอาอบุ ายเกา นน้ั มาใช
ทั้งๆ ที่มันจืดชืดไปแลวนั้นไมไดผลนะ จงพลกิ หาอบุ ายใหมม าใช นั้นมันเปนอดีตไป
แลว จะไมท ันกบั กลลวงของกิเลสตวั ปจ จบุ นั อุบายใดที่จะฟตตัวเองใหขึงขังตึงตังขึ้นมา
ควรแกก ารฆา กิเลสชนดิ นน้ั ๆ ตอ งพลกิ หาอบุ ายนน้ั มาใชน ะ ไมงั้นไมทันกลมายาของ
กเิ ลส ใจก็ไมสงบ อบุ ายปญ ญาแหละสาํ คญั นเ่ี คยทาํ มาอยา งนน้ั
อยางนอยตองใหมีความสงบถึงจะมีโลกอยูพูดงายๆ ถาใจสงบเย็นพออยูได
มนษุ ยเ ราพระเรา ถาใจไมส งบเลยนี่รอ นเปน ฟนเปนไฟ ราวกบั จะหาโลกอยไู มไ ดน น่ั แล
เห็นอะไรกเ็ ปน ไฟไปดว ยเพราะกเิ ลสพาเปน ไฟ ใจจงึ เปน ไฟ หาที่ปลงจิตปลงใจไมได
เลยขณะนน้ั แมท ส่ี ดุ ครบู าอาจารยท เ่ี คารพเลอ่ื มใสกห็ มดความเคารพเลอ่ื มใส ใจเฉื่อย
ชาไปหมด นน่ั เหน็ ไหมละ เวลากเิ ลสมนั ทรยศนะ ใจมนั รจู กั เจา ของเมอ่ื ไร พอมคี วาม
สงบข้นึ ภายในจติ ซ่งึ มีคณุ คามากนอยตามข้ันของธรรม ทีนี้พอเปนที่ยับยั้งตั้งตัวได พอ
เปนที่อาศัยหายใจเต็มปอดไดบางละที่นี่ มองดูขางนอกก็เปนลักษณะเย็นตา เยน็ ใจเชน
เดียวกัน เหน็ หมเู พอ่ื นเปน หมเู พอ่ื น เหน็ ครเู หน็ อาจารยก เ็ ปน ทเ่ี คารพเลอ่ื มใสขน้ึ ไป
โดยลาํ ดบั ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๔
๒๕๕
จติ ละเอยี ดเขา เทา ไร ความเคารพเชอ่ื ถอื ครบู าอาจารยย ง่ิ หนกั ขน้ึ ๆ ความหวงั
พึ่งพิงทานยิ่งมีกําลังมากขึ้นทุกที หายใจเขาหายใจออกเปนครูเปนอาจารย เปน อรรถ
เปน ธรรมไปตลอดกาลสถานท่ี ไมจ ดื จางเหมอื นแตก อ นทโ่ี รคบา กเิ ลสกาํ เรบิ รงั ควาน
แมที่สุดพระพุทธเจาปรินิพพานไปกี่พระองคและนานเทาไร จิตสามารถประมวลเขามา
สูจุดเดียวคือใจของตนไดหมด ใจยอมรบั ความจรงิ อยา งหมอบราบเลย นน่ั ใจถาไมมี
อะไรมาฝน มากน้ั ไวก ล็ งสูความจริงไดอยางราบคาบ จงึ ทราบไดว า ทเ่ี ปน ทัง้ นีม้ แี ตก เิ ลส
ทง้ั นน้ั ฝน ธรรม กีดกันธรรม ไมมีอะไรมาฝน
ฉะนน้ั จงพยายามทําใจใหส งบใหไ ด ตอ งบงั คบั ซถิ า อยากเปน คนดใี จวเิ ศษนะ
เม่อื มคี วามสงบไดแ ลวกจ็ งพจิ ารณาทางดา นปญ ญา สงบแคใดก็เปนบาทเปนฐานของ
ปญ ญาขน้ั นน้ั ๆ ได พอไดตนทุนคือสมาธิแลวก็เริ่มปญญา ใหเ ปน ตน ทนุ ทางดา น
ปญญาตอไปอีก ทีนี้ผลของจิตจะผิดกันไปโดยลําดับ ความดูดดื่มทางสมาธิเปนอยางนี้
ความดูดดมื่ ทางดานปญ ญาเปน อยา งน้ัน ผดิ แปลกกนั ไปเรื่อยๆ เพราะปญ ญานก้ี า ว
ออกไปเรื่อย กวางขวางออกไปเรื่อย ชาํ นชิ าํ นาญไปเรอ่ื ยๆ คลองตัวไปเรื่อยๆ จิตใจก็
ดีดขึ้นๆ รเู ห็นไดอยา งชดั เจนวา กิเลสตัวใดไดข าดไปดว ยปญญาประเภทใด เปน วรรค
เปนตอน กเิ ลสขาดไปเปน ลาํ ดบั ๆ รู
ทนี ้ีพอจิตปรากฏไดผ ลขนึ้ มาวาเปน สง่ิ ท่มี ีคณุ คา โดยลําดับแลว ทําไมจะไมขยับ
ขยัน ทาํ ไมจะไมมแี กใจคนเรา ตองมีแกใจโดยไมตองสงสัยเลย ความขยนั หมน่ั เพยี ร
เปน มาเอง ความคดิ วา ลาํ บากลาํ บนแตก อ นไมม ลี ะทน่ี ่ี มแี ตความหมนุ ตัวตวิ้ ๆ เรื่อยไป
พินิจพิจารณาเพื่อแกเพื่อถอดถอนกิเลสเรื่อยไป ไมมีคําวาทอถอยออนแอ สิ่งที่ไดแลว
มากนอยเพียงไรนั้นเปนเครื่องดูดดื่ม เปนที่ไวใจ เปนทอี่ บอุนใจ ไมเหมือนสิ่งที่อยูดวย
กันแตกอน ซึ่งเปนพิษเปนภัยมากนอยตามความมีอยูของมัน จากนั้นสติปญญาก็หมุน
ไปเลย เอาจนกระทง่ั ไดร ง้ั เอาไว
นนั่ แหละถึงข้ันธรรมมอี าํ นาจมากกวากเิ ลสตองไดรง้ั เอาไว ไมงั้นสติปญญาจะ
ทาํ งานเลยเถดิ เพราะความเพลดิ เพลนิ ในความเพียรเกนิ ไป ซึ่งไมใชมัชฌิมาความพอดี
เหมาะสม กิเลสทเี่ คยเพนพา นตองหมอบเหมอื นกบั หายหนาไปหมด ความจริงไมหมด
ใครจะฉลาดยง่ิ กวา กเิ ลสเลา มันตองหมอบหลบฉากละซิ เพราะถกู สตธิ รรม ปญญา
ธรรมฟาดกันลงไปไมยับยั้งนี่ นเ่ี ปน ธรรมฝา ยเหตุ สติปญญาแกกันลงไปๆ คยุ เขย่ี ขดุ
คน กิเลสขนึ้ มาอยูทไี่ หน สติปญญาก็เปนอัตโนมัติ ความเพยี รเปน อตั โนมตั ิ ความ
อุตสาหพยายามทุกดานกลายเปนอัตโนมัติไปตามกันหมด เหมอื นกบั เราไมม เี จตนานาํ
มาใชน ะคาํ วา อตุ สา หพ ยายาม เพราะเปน ไปเองเมอ่ื ถงึ ขน้ั เปน เองแลว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๕
๒๕๖
คาํ วา อตุ สา หท ว่ั ๆ ไปนี้ไดแกการฝน เชน อุตสาหทําไปเถอะ อุตสาหฝนไปเถอะ
แลว จะเหน็ ผล ดังนี้ มีแต ฉันทะ วริ ยิ ะนว้ี ง่ิ ตามกนั ความพอใจในความเพยี รนก้ี ็
ละเอียดเขาไป มีกําลังมากเขาไปโดยลําดับ แลวจะนอนใจอยูไดยังไงเมื่อเปนอยางนั้น
ถาไมพุงใหทะลุเสียอยางเดียวแลวไมมีที่อยู ไมมีที่ปลงใจ ถอยไมได ก็ฟนไฟอันเปนผล
ของกิเลสชนิดตางๆ ไดเ คยเผาเรามาแลว ตง้ั แตก ปั ไหนกลั ปใ ด สุมอยทู ห่ี วั ใจน่ี ทาํ ไมจะ
ไมเห็นโทษของมันอยางถึงใจเลา เวลานเ้ี ราจะออกจากฟน จากไฟ ดับฟนดับไฟ กเิ ลส
เปนตวั ไฟ ราคคคฺ นิ า โทสคฺคินา โมหคฺคินา เปนไฟทั้งนั้น น้ําดับไฟไดแกสติปญญา
ศรทั ธา ความเพยี ร นเ้ี ปน นาํ้ ดบั ไฟ ดับลงไปๆ ใครจะโดดเขา ไปกองไฟอกี นอกจากดับ
ลงใหมันมอดไมมีเหลือ โลงไปหมดเทานั้น แลว อะไรละ ทน่ี จ่ี ะมายแุ หยก อ กวนยบิ ๆ
แยบ็ ๆ เหมือนแตกอน ไมมี เพราะไฟหมดหรอื ดบั โดยสน้ิ เชงิ แลว
ทีนี้ก็เห็นไดชัดวา มกี เิ ลสนเ้ี ทา นน้ั กอ กวนภายในจติ ใจ บบี คน้ั จติ ใจ พออันนี้
หมดไปแลว ไมเห็นมีอะไร วัตถุสิ่งของทั่วโลกธาตุก็ไมเห็นวามาเปนภัยอะไรกับเรา มี
แตกิเลสท่ที ําใหค ดิ ใหปรุงใหยึดใหถ อื และผูกมัดอยูภายในใจ บบี คน้ั อยภู ายในใจนเ้ี ทา
นน้ั เปน ตวั พษิ เปน ตวั ภยั พออันนี้หมดไปแลว ไมมีอะไรเปนตัวพิษ ภยั ไมม ี หมด นก่ี าร
ประกอบความเพียร ตองทําใหไดผลพึงใจดังนี้ซินักปฏิบัติเรานะ ทาํ เหยาะๆ แหยะๆ
พอใหกิเลสรําคาญหั่นหอมกระเทียมอยูทําไม ฟาดลงไปจนกิเลสแตกวงกินเลี้ยงกัน
โนน ซิ จะสมใจ สะใจท่ีเคยถูกมนั ดดั สนั ดานมานาน
ธรรมนจ้ี ะเดน อยทู ใ่ี จนะ ไมเดนอยูที่อื่น กเิ ลสอยตู รงไหนธรรมนเ้ี หมอื นกบั จม
มิด แตอยใู ตก ิเลส นน่ั แหละกเิ ลสครอบอยนู น้ั เพราะฉะนั้นจึงตองเปดออก เปดออก
ดว ยความเพยี ร เปดออกดวยอุบายวิธีของตน ใจที่เคยเปน ฟุตบอลใหก ิเลสมนั เตะไป
โนน ไปนก้ี ส็ งบตวั เขา มาได พอสงบไดก็เย็น พอเย็นแลว เอา ปญญาพิจารณาลงไป ขา ง
นอกก็ตาม ขา งในกต็ าม ติดตรงไหน สัมผัสสัมพันธกับอะไร พอใจกบั สง่ิ ใด เอานน้ั มา
พจิ ารณาใหเ ปน ทแ่ี นใ จ แนใ จแลว ปลอ ยเอง ลงปญญาไดเขาถึงแลวไมมีอะไรจะทนอยู
ได ปลอยท้งั น้นั ไมยึด
คิดดูตั้งแตธรรมยังไมเกิด ใจยึดแนนแกะไมออก พอธรรมเกดิ เตม็ ทแ่ี ลว ปลอ ย
เอง ไมยึดอะไรทั้งสิ้น เชน ผทู า นบรสิ ทุ ธแ์ิ ลว ทา นเอาอะไรไปยดึ ทานไมยึดอะไรนี่ แม
ความบรสิ ทุ ธก์ิ เ็ ปน ความบรสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ จรงิ ลว นๆ ทา นไมย ดึ เรื่องยึดเปนเรื่องของ
กเิ ลสตา งหาก ธรรมไมย ดึ รตู ามเปน จรงิ แลว ตา งอนั ตา งจรงิ เทา นน้ั จะยกขน้ึ วา เราวเิ ศษ
วโิ สกว็ า กนั ไปอยา งนน้ั แหละ โลกมีสมมุติก็วากันไป วาไปทานก็ไมติด ไมตดิ คาํ วาวเิ ศษ
วิโส ไมต ิดคําวา บรสิ ทุ ธ์ิ ไมติดคําวาพนทุกข ทานไมติดทั้งนั้น ถาจะใหชื่อวาพอก็พอ
อิ่มตัวแลวที่นี่
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๖
๒๕๗
จิตอิ่มตัวเต็มที่แลว ดีกับชั่วเขา มาสัมผัสก็มนี ํ้าหนักเทากัน เพราะนเ้ี ปนสมมตุ ดิ ี
ชว่ั ปฺุญปาป ปหิน บญุ บาป ดีชั่ว สุขทุกข ละหมดแลว ไมม เี หลอื บรรดาสมมตุ จิ ะ
ละเอียดแคไหนก็ละหมด สบายเตม็ อตั ราแหง ใจทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ละเปน อสิ รเสรลี ะทน่ี ่ี ความ
เพยี รทเ่ี คยตะเกยี กตะกายมาแทบลม แทบตาย แบบสลบไสลเสอื กคลาน มาแสดงคุณ
คา ใหเ หน็ อยา งชดั เจนอยกู บั ผลแหง ธรรมทป่ี รากฏกบั ใจนน้ั แล คุมคา ลน คา ดว ย ถาไม
ทาํ อยา งนน้ั ไมตะเกียกตะกายอยางนั้น ไมย อมเสยี สละชวี ติ จติ ใจเพอ่ื ธรรมจรงิ ๆ ก็ไม
ปรากฏธรรมอยางน้ี เวลาพจิ ารณายอ นหลงั กภ็ มู ใิ จ
แตน พ่ี จิ ารณายอ นหนา ยอ นหลงั ไปไหนใกลห รอื ไกลในหรอื นอก ก็เห็นแตกิเลส
มัดคอพระนะซิ มนั นา โมโห นั่งอยูมันก็มัด นอนอยูมันก็มัด ขบฉันอยูมันก็มัด กริ ยิ าทา
ทางไหนเหน็ แตก เิ ลสมดั กิเลสตอยพระธุดงคกรรมฐานลมลุกคลุกคลาน นซ่ี มิ นั ทเุ รศ
นะ ยง่ิ ผเู ปน หวั หนา พาปราบกเิ ลสดว ยแลว บางทที าํ ใหห นกั ใจนะ ทาํ ใหเ กดิ ความระอา
ใจเหมือนกัน เอะ นี่มันยังไงกัน คือเวลาสอน สอนจริงๆ กิเลสอยูจุดไหนสอนเขาไป
ตรงนน้ั ตชี วยเขาไปตรงนั้น ผูฟงยังไมรู เอา ตอยอยางนั้นซิ ยังไมยอมตอย ใหก เิ ลส
ตอยเอาๆ นน่ั ซิ มนั นา โมโหนะ
มองที่ไหน ไมว า ทางหู ทางตา เหน็ แตเ รอ่ื งของกเิ ลสมนั เอารดั เอาเปรยี บหวั ใจ
พระอยูตลอด กิริยาอาการที่แสดงออกมานั้นเปนกิริยาอาการของกิเลสไดเปรียบเราอยู
เสมอ เราไมร รู อบมนั มีแตม ันมัดเราอยูท าเดยี ว อนั นซ้ี ทิ าํ ใหเ กดิ ความทอ ใจในบางครง้ั
เกย่ี วกบั การอบรมสง่ั สอนนะ เพราะเอาสมมุตมิ ารบั สมมุตินจี่ ะทํายงั ไง เพียงเทานี้ก็ไม
ไดความ เทา นก้ี ไ็ มเ ขา ใจ สิ่งละเอียดยิ่งไปกวานี้มีอยูมากมายจะเขาใจไดยังไง เรอ่ื ง
ความละเอียดของกิเลสแลวจะเอาอะไรไปรูมันได เพยี งหยาบๆ นย่ี งั ไมร ทู นั มนั อยแู ลว
จงพากนั ตง้ั ใจเอาจรงิ เอาจงั อยา หวังอะไรในโลกนี้ จงหวังธรรมเปนหลักยึดของ
ใจ ผใู ดเปน ผคู รองธรรมอนั เลศิ เลา พระพุทธเจา พระสาวกอรหันตทานทุกๆ พระองค
เปน ผคู รองธรรมนโ้ี ดยสมบรู ณด ว ยการปฏบิ ตั มิ าอยา งนน้ั ๆ เราจงยดึ ทา นเปน หลกั ใจ
ใหเ หนยี วแนน มน่ั คง ทั้งวธิ กี ารปฏิบัตขิ องทานเปน มาอยา งนน้ั ๆ ยึดทั้งผลที่ทานไดรับ
เพอ่ื เปน ความภาคภมู ใิ จเรา และเปนกําลังใจ เพม่ิ กาํ ลงั ใจเราในการบาํ เพญ็ เพยี รอยา ง
เขมแข็งแทงทะลุตอไป
อยา ยดึ อะไรมาเปน แบบเปน ฉบบั คนทม่ี กี เิ ลสเต็มหวั ใจเหมือนนาํ้ ทว มปอด จะ
ยดึ มาเปน แบบฉบับไดยงั ไง เขาก็จะเอากเิ ลสมาโปะเอาจนมองไมเ หน็ ตัวนะซิ เมื่อไปยึด
ก็เทากับเอากิเลสมาโปะเอาๆ และจมด่ิงไปเลยนัน่ แล ถา เอาทา นผบู รสิ ทุ ธม์ิ าเปน คตติ วั
อยาง มายึดมาฝากเปนฝากตาย ความยึดความพึ่งพิงทุกสิ่งทุกอยางกับทานซึ่งเปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๗
๒๕๘
ธรรมอยูแลว ยอมเปน ธรรมตามทานไปในตวั จนกลายเปน ธรรมทง้ั ดวงขน้ึ ทใ่ี จเราโดย
สมบรู ณไ มส งสยั
ถาพูดตามความคาดหมายของสมมุติที่ธรรมไมเคยสัมผัสใจ แมแ ตค วามสนใจ
ในธรรมก็ไมกระดิกนั้น เหมือนอยูไกลแสนไกลนะมรรคผลนิพพาน เหมอื นสดุ เอื้อม
หมดหวัง ราวกับอา นแตช ือ่ ของมรรคผลนิพพาน ตัวจริงไมมี หากคดิ วา มกี อ็ ยคู นละ
โลกคนละทวปี ไมคดิ วา จะมอี ยกู บั ตัวกบั ใจของผอู านผูนบั ถือศาสนาน่ันเลย จิตคาดไป
เหมอื นสดุ เออ้ื มจรงิ ๆ เหมอื นหมดวาสนาบารมอี ะไรทาํ นองนน้ั หมดความสามารถทจ่ี ะ
เอื้อมถึง ทง้ั ทม่ี รรคผลนพิ พานมอี ยทู ห่ี วั ใจเรานแ่ี ทๆ อุบายวิธกี อ็ ยูก บั เราอกี ตามความ
จริงของหลักธรรมแลวไกลที่ไหน กก็ เิ ลสเอาเราเปน ทาสเปนบอยใชอยตู ลอดกาล กดขี่
เราอยทู กุ อริ ยิ าบถ เราไมเ หน็ คดิ กนั บา งวา มนั ไกลมนั ใกลท ไ่ี หนบา ง สว นกเิ ลสตวั เอารดั
เอาเปรยี บเราอยตู ลอดเวลาอกาลโิ กนน่ั ไมเ หน็ คดิ คาํ นงึ ถงึ มนั บา ง ลองเอามาเปรยี บ
เทียบกันบางเพื่อหาทางออก จะไมพอมีชองทางคิดกันไดบางหรือ
เวลานก้ี เิ ลสมันอยูท ่ไี หนถงึ แบกเอาจนหลงั หกั หลังโกงจนเงยหวั ไมขึน้ ไมมีเวลา
ปลงวางลงบา ง มนั อยูที่ไหน มนั อยทู ห่ี วั ใจน้ี จงสลัดอันนี้ออกดวยการปฏิบัติ มันอยูกับ
ตัวแทๆ สลัดออกไมไดหรือดวยขอปฏิบัติของเรานะ พระนิพพานจะสุดเอื้อมไปไหน
พระนิพพานอยูที่ไหน เปดกิเลสตัวมืดตื้อทั้งกลางวันกลางคืนออกจากใจใหหมดดูซิ จะ
รเู องเหน็ เองพระนพิ พานนะ จะไมตองถามใครละ เหมือนสถานท่ีรกรงุ รังอยตู รงไหน
ถากถางมันออก อะไรปกคลุมอยูมันจึงรกรุงรัง ถากถางสิ่งที่ปกคลุมนั้นออก ถา เปน ตน
ไมใบหญาก็ถากถางออก เอาไฟเผาเขา ไป ความเตียนโลง จะไปหาทไี่ หน มันสุดเอื้อม
หรอื ความเตยี นโลง นะ มนั ก็อยูใตค วามรกรุงรงั น้นั เอง พอเปดสิ่งปกปดออกหมดแลว
ความเตียนโลงก็อยูที่นั้นเองโดยไมทราบวามีอยูตั้งแตเมื่อไร
จิตที่เตียนโลงก็เหมือนกัน เวลานี้ถูกปกคลุมหุมหอดวยความรกรุงรังของกิเลส
ทง้ั หลายประเภทตา งๆ ตองใชค วามพยายาม เหมือนกับการถากถางสิ่งที่รกรุงรังออก
จากทร่ี กรงุ รงั นน้ั แล อบุ ายวธิ กี ารแหง ความเพยี รทกุ ประเภท เปนอุบายถากถาง เพื่อ
จิตจะไดเตียนโลงขึ้นมา จนกระทั่งจิตเตียนเต็มที่แลวมันจะสุดเอื้อมที่ไหน มันก็อยูที่
ตรงนน้ั เอง จะมีอยูที่ไหนกันอีก
อยา ไปคดิ เรอ่ื งกาลโนน สถานทน่ี น่ั ใหเ สยี เวลาํ่ เวลาและเหนอ่ื ยใจเปลา ๆ นน่ั คอื
การถูกหลอกถูกตมจากกิเลสใหมันลากออกจากความจริง ของจริง ของประเสรฐิ ทม่ี อี ยู
ภายในใจของเราตา งหาก วา มรรคผลนพิ พานมอี ยทู โ่ี นน บา ง มอี ยทู น่ี บ่ี า ง มรรคผล
นิพพานหมดเขตหมดสมัยบาง มันหลอกไป มรรคผลนพิ พานหมดสาํ หรบั โมฆบรุ ษุ ท่ี
ไมมีความสนใจ ไมม คี วามสามารถ มนั หมดอยูท ุกสมัยนัน่ แหละ อยา วา สมยั โนน สมยั น้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๘
๒๕๙
เลย ปจจุบันมันก็หมดถาเจาของไมสนใจปฏิบัติเพื่อรื้อฟนเจาของ ใครจะมารอ้ื ฟน ให
มันทันสมัยได กเิ ลสมนั ทนั สมยั อยตู ลอดเวลาไมเ หน็ มนั ลา สมยั ไมเ หน็ ใครคดิ ทาํ ลาย
กเิ ลสใหม นั หมดสมยั เสยี บา ง ใจจะไดหมดขาศึก มีแตใหก เิ ลสหลอกเพอ่ื ทําลายธรรมที่
มีอยูกับตนตลอดกาล นจ่ี ะวา เราโงห รอื ฉลาดรบี พากนั คดิ เสยี บดั น้ี ธรรมเครอ่ื งสงั หาร
กเิ ลสใหม ว นเสอ่ื กลบั บา นมนั กม็ ี ทําไมจะลาสมัยไป ถา เราไมเ ปน คนลา สมยั เสยี เอง เอา
ลงตรงนี้ซิ
อุบายวิธีที่จะแกกิเลส การพลิกแพลงสติปญญาเพื่อตอสูกิเลสนั้น มันตองใชรอ ย
สันพันคมเหมือนกันนะ ไมงั้นไมทันกัน นเ่ี คยเปน มาแลว ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส
ศาสนา พอไดอา นอรรถธรรมตามตาํ ราก็เชือ่ ลงเปน ลําดับๆ สดุ ทา ยเวลาจะปฏบิ ตั อิ ยา ง
เอาจริงเอาจังมันยังตองสงสัยจนได ตองไดคิดถึงครูถึงอาจารยองคที่ทานมีความรูความ
สามารถทางดา นปฏบิ ตั แิ นะนาํ หรือบอกความจริงใหอยางถึงใจ จะกราบไหว ยอมตัว
ถวายตนเปน ลูกศิษยของทา นตลอดวันตายเลย และจะเอาใหเตม็ ท่ี
พอไปฟง ทา นอาจารยม่ันอธิบายแลว แหม มันถึงใจ จใุ จทเี่ ราคดิ ไวท ัง้ หมด จติ
ของทา นเปน เหมอื นเรดารน ่ี จบั เอาเรอ่ื งความคดิ ตา งๆ ของเราไวห มดเลย แลว นาํ เรอ่ื ง
ของเราออกมาแสดงใหเ ราฟงใหเ รารู วา นน่ี ะ ๆ สงสยั ไปไหนมรรคผลนพิ พานนะ มรรค
ผลนิพพานอยูที่ไหน อยทู ีน่ ่ๆี ย้ําลงๆ ก็หมดละซิความสงสัยทั้งหลาย จะฝนแบกหาม
ไปถึงไหนกันอีกเมื่อถึงเหตุผลที่ควรปลงวางไดแลว
นกี่ ารไดยินไดฟง จากผูร จู ริงเห็นจริงมีผลมากมกี าํ ลงั ใจมากนะ ผิดจากพูดแบบ
ดนๆ เดาๆ เกาหมดั เปน ไหนๆ เปนกาํ ลงั ทางจิตใจมาก และตัดความสงสัยไดอยางไม
มีปญหาใดๆ ตกคางเลย ดงั ทา นพระอาจารยม น่ั เปน ตวั อยา ง เราจึงกลาพูดอยางไม
สะทกสะทานวา ทา นพระอาจารยม น่ั เปน ปรมาจารยช น้ั เยย่ี มทางภาคปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนา
ในสมยั ปจจุบนั ดงั นน้ั การแสวงหาครอู าจารยท แ่ี มน ยาํ ทง้ั ภาคปฏบิ ตั แิ ละความรภู ายใน
ใจ จงึ เปน สง่ิ จาํ เปน มากสาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั เิ พอ่ื มรรคผลนพิ พานในปจ จบุ นั ื ไมเ นน่ิ ชา หนา
ดา น ทนใหกิเลสทุบตีอยูตลอดภพชาติ ไมสนใจหาทางออกจากมันบางเลย
พวกเรามนั เปน พวกหนา ดา น แมถูกกิเลสดัดสันดานเทาไรก็ไมยอมเห็นโทษของ
มัน ยงั ซกุ หวั อยใู ตอ าํ นาจความเลวรา ยของมนั เรอ่ื ยมา แลว ยงั จะเรอ่ื ยไปไมม กี าํ หนด
ปลดปลอยเลย เอา ถา จะไมส มคั รตวั เปน พระหนา ดา นสนั ดานบอ ยของกเิ ลส ก็จงตั้งทา
ฝาฟนกับมันใหเห็นฤทธิ์ของพระลูกศิษยตถาคตจนปรากฏเดน และอศั จรรยใ นดวงใจ
ทคี่ วา ไดชยั ชนะจากกิเลสมาครองซิ คาํ วา พุทโธ ธัมโม สังโฆ ทเ่ี คยเรยี กรอ งหาทา น
เรอ่ื ยมานน้ั จะรวมองคลงที่ใจบริสุทธิ์ดวงนี้ และหายสงสยั ในทนั ทที นั ใด คาํ วา ศาสนา
อยูที่ไหน ธรรมอยูที่ไหน มรรคผลนพิ พานอยทู ่ไี หน พระพทุ ธเจาทั้งหลาย ตลอดพระ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๕๙
๒๖๐
สาวกทั้งหลายของพระพุทธเจาแตละพระองคปรินิพพานแลวไปอยูกันที่ไหน เหลา นจ้ี ะ
หมดปญ หาโดยสน้ิ เชงิ ลงในใจดวงเปน คลงั แหง ธรรมลว นๆ แลว นน้ั คาํ ทก่ี ลา วเหลา น้ี
จรงิ หรอื เทจ็ นมิ นตท กุ ทา นนาํ ไปพสิ จู นด ว ยการปฏบิ ตั จิ ติ ตภาวนาอยา งเอาจรงิ เอาจงั
ธรรมทั้งมวลนี้จะโผลขึ้นกับใจดวงบริสุทธิ์นั้นโดยไมตองสงสัย เพราะเปน ความจรงิ
เสมอกัน
จึงขอยุติการแสดงเพียงเทานี้
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๐
๒๖๑
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
ความดที ต่ี อ งฝน
จงพยายามดัดแปลงนิสัยของตน ซง่ึ เคยหมกั หมมอยตู ง้ั แตค ราวเปน ฆราวาส
ดวยสิ่งไมดีไมงามทั้งหลาย ใหเปนของดีขึ้นมาทางกายทางวาจาทางใจ การดัดแปลงสิ่ง
ใดไมเหมือนการดัดแปลงมนุษย คอื ตวั ของเราแตล ะรายๆ ดวยความถูกตองดีงาม คือ
อรรถธรรมนเ้ี ลย เพราะคุณคาของมนุษยซึ่งดัดแปลงใหเต็มภูมิหรือพอดูไดสมภูมิ
มนุษยนั้น สูงมากกวาทุกสิ่งทุกอยางตลอดสัตวทั้งหลาย สิ่งไมมีวิญญาณเขาก็ดัดแปลง
เอามาใชเ ปนประโยชน เชน ปลูกบานปลูกเรือนทําภาชนะเครอื่ งใชไ มส อยตา งๆ ไมมี
ประมาณ เกิดขึ้นจากการดัดแปลงเอาตามความตองการที่เห็นวาดี นอกจากนั้นยังตอง
เกย่ี วกบั ชา งผมู คี วามฉลาดในงานนน้ั ๆ อีกดวย
หลักความถูกตองดีงามทั้งหลาย ทจ่ี ะนาํ มาเปน ประโยชนส าํ หรบั มนษุ ยเ รานน้ั มี
มาก แตสิ่งที่กลาวมาทั้งมวลตลอดถึงสัตวดิรัจฉานประเภทตางๆ คณุ คาไมม มี าก
เหมอื นมนษุ ย เมื่อดัดแปลงดีแลวคุณคาของมนุษยเยี่ยมกวาคุณคาของสิ่งตางๆ ทดี่ ัด
แปลงแลว และหลักวิชาธรรมที่จะนํามาดัดแปลงมนุษยใหมีคุณคาสมภูมิของมนุษย
และใหมีคุณคาเยี่ยมยิ่งกวามนุษยสามัญธรรมดา ที่วาดีงามดวยศีลดวยธรรมนี้ขึ้นไปอีก
นน้ั ไมม ใี นทใ่ี ดและไมม ผี ใู ดจะสามารถรแู ละนาํ มาแนะนาํ ไดเ ลย มพี ระพุทธเจาเพียง
พระองคเ ดยี วเทา นน้ั ในขน้ั เรม่ิ แรก ทต่ี ั้งรากตงั้ ฐานศาสนธรรมลงในแดนมนษุ ย ตอจาก
นั้นมาก็มีพระสาวกที่ไดสดับฟงจากพระพุทธเจา แลวนําไปประพฤติปฏิบัติจนเกิดผล
เปนที่พอใจขึ้นมาเต็มภูมิของสาวก แลว นาํ มาชแ้ี จงแนะนาํ สง่ั สอนประชาชนพระเณรให
ไดเ ขาอกเขาใจเปน ลําดบั จนศาสนธรรมแผก ระจายกวา งขวางออกไป
แตเริ่มแรกวิชาธรรมนี้ออกจากพระพุทธเจาเพียงพระองคเดียว นอกนั้นไมมี
ใครสามารถรไู ดใ นหลกั ธรรมทศ่ี าสดาทรงรเู หน็ มา ธรรมนน้ั เหมาะสมอยา งยง่ิ ในการนาํ
มาดดั แปลงมนษุ ยใ หเ ปน มนษุ ยส มบรู ณแ บบ แตไมมผี ใู ดสามารถคน พบ แมว ธิ กี ารขดุ
คน ธรรมนน้ั กไ็ มม ใี ครรแู ละสนใจทจ่ี ะคน มีเฉพาะพระสิทธัตถราชกุมารพระองคเดียว
สละตนออกบวชและทรงคนเตม็ พระสตกิ าํ ลังความสามารถ จนไดต รสั รกู ลายเปน
ปราชญกระเทือนโลกทั้งสามขึ้นมาแตพระองคเดียว ดงั นน้ั คาํ วา พระพทุ ธเจา อบุ ตั แิ ละ
พระธรรมอุบัติขน้ึ ในโลก เพื่อรื้อขนสัตวโลกแตละครั้งแตละพระองค จงึ เปน เรอ่ื ง
อัศจรรยหาไมไดงายๆ เลย สง่ิ ทง้ั หลายในสากลโลกหาไมย าก แตความอุบัติของพระ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๑
๒๖๒
พุทธเจาและความอุบัติของพระธรรมนี้หาไดยากมาก เพราะเปน มหาสมบตั นิ อกโลก
สมมุติ
พระพุทธเจาของเราที่ปรินิพพานไปก็ ๒,๕๐๐ กวา ปน ้ี นี่คือจอมศาสดาผูมีหลัก
วชิ าธรรมชน้ั เอกมาสง่ั สอนบรรดาสตั ว สตั วโ ลกผคู วรรบั ธรรมของพระพทุ ธเจา กม็ นี อ ย
มากถา เทยี บกบั สตั วม นษุ ยท ว่ั โลก พวกเราทไ่ี ดม าบวชในพระพทุ ธศาสนาน้ี นบั วา เปน ผู
หนง่ึ ในจาํ นวนสตั วโ ลกผคู วรแกธ รรมของพระองค จงึ ควรภาคภมู ิใจในวาสนาและเพศ
ของตน วาเปน ผพู รอมแลวท่จี ะติดตาขา ยคือธรรม นบั แตส มถธรรมวปิ ส สนาธรรมจน
ถึงวิมุตติธรรม ดวยการปฏิบัติของตนแตละรายที่ไมทอถอยปลอยวาง เพราะธรรมดงั
กลา วเหลา น้ี อยูในเงื้อมมือของพระผูมีศรัทธา ผูมีวิริยะ ผูมีสติ ผมู สี มาธิ ผมู ปี ญญา
ประจําตน และพรอ มในการรบอยตู ลอดกาลสถานทอ่ี ริ ยิ าบถ ไมลดละธรรมดังกลาวที่
เปน เครอ่ื งมอื รบ มรรคนิพพานจะพนเงื้อมมือแหงการปฏิบัติของพระผูถืออาวุธ คือพล
ธรรมดังกลาวนี้ไปไมได
ตามปกตธิ รรมดาการบวชไมใ ชเ ปน ของงา ย โลกจึงไมคอยบวชและไมบวชกัน
เพราะการบวชนน้ั ยาก กอนที่จะไดบวชก็ยาก ไมไ ดเ หมอื นบวชกลว ย กอนจะบวชก็ตอง
เปนที่ลงใจของผูบวชและทําการฝกซอมกอน บวชดว ยความสมคั รใจ ไมม สี ง่ิ ใดเกาะ
เกย่ี ว แมมีก็พยายามปลดเปลื้องจนหมดปญหาไปกอนบวช จากนน้ั มากเ็ กย่ี วกบั เรอ่ื ง
อปุ ช ฌายอ าจารยใ นสถานทท่ี ต่ี นจะไปบวช เกี่ยวกับพระสงฆที่มานั่งหัตถบาส ประชมุ
ปรึกษาจนเปนที่ลงรอยกันแลวถึงจะบวชได และเปนพระเต็มภูมิที่สังคมสงฆยอมรับ
เวลาบวชแลว กต็ ง้ั ใจประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั ไมฝาฝนลวงเกิน
สิกขาบทเล็กๆ นอยๆ ซึ่งเปนองคแทนศาสดา มีความเคารพทกุ ๆ สิกขาบทอนั เปน
องคแทนพระพุทธเจา ปฏิบัติใหถูกตองดีงามตอหลักธรรมหลักวินัยขอนั้นๆ ก็ชื่อวา
เปนผูปฏิบัติถูกตองดีงามและบูชาตอองคศาสดา ชอ่ื วา ผเู คารพพระศาสดา แม
ปรนิ พิ พานไปแลว กส็ กั แตว า พระสรรี ะรา งกายสลายไป อันเปนเหมือนกบั โลกท่ัวๆ ไป
เทา นน้ั สว นความเปน ศาสดาแทน น้ั ไดแ กว สิ ทุ ธจิ ติ วิสุทธิคุณ วสิ ทุ ธธิ รรม นี่คือองคพระ
ศาสดาแท ไมไดลวงลับดับไปดวยสิ่งใดๆ และไมมีสงิ่ ใดและผใู ดมาทําลายไดเลย
พระโอวาททีท่ รงส่ังสอนไวจงึ เปนองคแทนศาสดาอยา งเตม็ ภูมอิ รรถภมู ิธรรม ผู
เคารพพงึ ปฏบิ ตั ิตามหลักธรรมหลักวนิ ัยสิกขาบทนอ ยใหญ ชือ่ วา เปนผเู คารพพระพุทธ
เจา ผลอนั เกดิ ขน้ึ จากการเคารพดว ยการปฏบิ ตั ติ ามนน้ั ยอมปรากฏขึ้นกับผูปฏิบัติกับผู
เคารพ พระพทุ ธเจา ไมท รงแบง สนั ปน สว นเอาอรรถเอาธรรม เอาคุณงามความดีเอา
ความสขุ ความเจรญิ ใดๆ แมแ ตน อ ยจากผปู ฏบิ ตั ดิ ว ยความเคารพพระองคน น้ั เลย ดงั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๒
๒๖๓
นน้ั การเคารพในศาสดาและปฏบิ ตั ดิ ปี ฏบิ ตั ชิ อบตามหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั จงึ เปน ผลท่ี
ตนจะพงึ รบั แตผ เู ดยี ว
การบวช บวชเขา มาแลว จะทาํ เปน แบบฆราวาสหรอื ตามนสิ ยั ทเ่ี คยทํามาแลว นน้ั
ไมได ขัดตอหลักธรรมหลักวินัย ขดั ตอความถกู ตอ งดงี ามอันเปนทางดาํ เนินเพ่อื ความ
ราบรน่ื ชน่ื ใจ เพื่อความสุขความเจริญแกตน จงึ ชอ่ื วา เปน การลาํ บากประการหนง่ึ ตอง
ฝนอยูเสมอ ฝนอะไร ฝน สง่ิ ทเ่ี คยเปน ใหญเ ปน โตเปน เจา อาํ นาจวาสนาครอบงาํ หวั ใจ
เราอยไู ดแ กก เิ ลสนน่ั แล ในศพั ทข องธรรมะทา นวา กเิ ลส คือ เครอ่ื งเศรา หมอง มืดตื้อ
หรอื ยาพษิ ของใจ ยังผลใหเกิดทุกขแกผูเปนไปตามอํานาจของมัน เราตอ งการความสขุ
จึงตองฝาฝนหรือตอสูกับสิ่งที่มีอํานาจนั้น อยางนอยก็พอใหอยูเปนสุขได พอมีที่ปลง
วางใจไดบ า ง ดีกวาแบกไฟทั้งกองอยูบนหัวใจ
นกั บวชเก่ยี วกับเร่ืองพระวนิ ัย ตองปฏิบัติตามแบบฉบับของพระวินัยอยางคง
เสน คงวา ไมมีที่แจงที่ลับ มคี วามเคารพในสกิ ขาบทนน้ั ๆ อยเู สมอ อยาไดลวงเกินฝา
ฝน เปน อนั ขาดถา ไมอ ยากเปน พระหนา ดา นสนั ดานเลว นก่ี ย็ าก ตองฝนปฏิบัติตามพระ
ธรรมวนิ ยั เพราะเราอยากเปน คนดี ถา ศาสนาสอนคนและผปู ฏบิ ัติตามใหดไี มไดแ ลว ก็
ไมมีอะไรในโลกนี้จะทํามนุษยใหดี จะทําตัวของเราใหดีได เพราะศาสนาเปน เครอ่ื ง
หลอหลอมคนใหเปนคนดีไปตามขั้นภูมิของการปฏิบัติจนหาที่ตองติไมได จงึ เรยี กวา
สฺวากฺขาโต ภควตา ธมโฺ ม ธรรมอนั พระผมู พี ระภาคเจา ตรสั ไวช อบแลว นน่ั คาํ วา
ธรรมเปน คาํ รวมๆ ทั้งพระวินัย ท้งั พระธรรม รวมกนั เรยี กวา ศาสนธรรม ทง้ั พระ
สุตตันตปฎก ทั้งพระอภิธรรมปฎก และพระวนิ ยั ปฎ ก รวมกนั เรยี กวา ศาสนธรรม
น่ีเรามาฝน ส่ิงไมด ีที่เคยหมักหมมจมอยูภายในใจ ตองฝน ไมฝนไมได ถาไมฝน
จะหาความดีไมได ตองอดตองทน ขา วเราเคยรบั ประทานวนั หนง่ึ กม่ี อ้ื หาประมาณไมไ ด
ปกตนิ สิ ยั ฆราวาสเปน อยา งนน้ั เพราะไมด ดั ไมฝ น กนั บา ง ทานจบ๊ิ ๆ จบ๊ั ๆ นอกจากรบั
ประทานเปนมื้อๆ แลว ยงั มจี บ๊ิ ๆ จบั๊ ๆ อยูอยางนั้น ปากหาเวลาวา งไมไ ด ควา นน้ั ควา น้ี
มารบั ประทานจนเปน นสิ ยั ทองก็เล็กๆ นดิ เดยี ว แตค วามอยากความโลภภายในใจ
ความทะเยอทะยานภายในใจมมี าก จงึ ทาํ ใหห าความสงบสขุ ไมไ ด สง่ิ เหลา นเ้ี ปน นสิ ยั
ของเราทเ่ี คยเปน ฆราวาสมา ไมว า ใครๆ มกั เปน เหมอื นกนั เพราะไมมีขอบังคับ ไมมี
กฎเกณฑ ไมมีเหตุมีผล เนื่องจากไมสนใจสอนตนหักหามตนมาแตออนแตออก ปลอ ย
ใหเปนอยางนี้ทั่วดินแดน ปลอ ยใหเ ปน ไปตามความอยากความตอ งการ มากกวานั้นก็
เปนไปตามความทะเยอทะยาน ไมเพียงแตเปนไปดวยความจําเปนคือธาตุขันธตองการ
เทา นน้ั ยังแถมไปดวยความทะเยอทะยาน กลายเปนเรื่องของกิเลสไมมีความอิ่มพอ
โดยไมร สู ึกตวั ทัง้ เขาท้งั เรา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๓
๒๖๔
นก่ี ารมาบวช เราฉนั มอ้ื เดยี ว เคยฉันสองมื้อสามมื้อ จิบ๊ ๆ จั๊บๆ อาหารโวง
อาหารวา ง ไมม เี วลาวา งในปากเลย ปากตองทํางานไมไดหยุด หากเปนงานอื่นๆ ตอง
บน ใหญเ ชยี ว แตงานปากไมบ นแมเหน่ือยขากรรไกรก็ทนเอา ปากทองไมวาง ตอง
ทาํ งานเปน ประจาํ อยอู ยา งนน้ั เรอ่ื งของฆราวาสเรากเ็ คยเปน และเคยจบ๊ิ ๆ จบั๊ ๆ เสยี ยง่ิ
กวา เคย เวลาบวชแลว กง็ ดงานปากจบ๊ิ ๆ จ๊ับๆ นน้ั เสยี ฉันเพียงมื้อเดียว นี่ก็ยอมขัดของ
และฝน เปน ธรรมดา ฝนก็ฝนเพราะเราเคยทานเคยกินมากี่วันกี่มื้อกี่ปกี่เดือน กี่ครั้งกี่
คราวนบั ไมถ ว นมาแลว ผลประโยชนถ า จะไดเ พราะการกนิ เหลา นน้ั คนเรากค็ งวเิ ศษวิ
โสไปทว่ั หนา กนั ตลอดถงึ สัตวด ริ จั ฉานซ่ึงหาเวลา่ํ เวลาในการกนิ ไมได นก่ี เ็ ทา นน้ั เอง
กินเขาไปมากนอยก็ถายเทออกไปหมด ไมเ หน็ มอี ะไรเหลอื คา งวา เปน ความดอี ยเู ลย
แตการอดนี่คือความดี การอดใหก นิ เปน กฎเปน เกณฑเ ปน เวลาํ่ เวลานด้ี ี ไดทํา
มาแลว และไดท าํ เปน ประจาํ เพศอยแู ลว หวิ กท็ ราบวา หวิ ไมถึงกับจะทําใหลมใหตาย ถึง
เวลาก็ไดฉ นั แนะ เมอ่ื ฝน ไปนาน อดทนไปหลายวันกเ็ คยชนิ กันไป ความหวิ โหยเหลา น้ี
เมื่อไมไดตามความตองการมันก็คอยระงับดับตัวลงไป ความหวิ โหยก็ไมม ี ความอยาก
ความตองการภายในจิตใจก็ไมมีไมรบกวน พอฉนั เสรจ็ แลว กห็ ายหว งในทนั ทที นั ใด ไม
ไดคิดถึงเพลไมไดคิดถึงค่ํา อาหารคาํ่ อาหารเพลอาหารวา งทไ่ี หน หายเงียบไปเลยไมมี
กังวล นี่เพราะความฝกหัดดัดแปลงตนไดยอมหายกังวล เห็นไดอยางชัดๆ นกี่ ็เปน
กเิ ลสประเภทหนง่ึ เหมอื นกนั ที่รับประทานตามตองการ ตามความอยาก ความ
ทะเยอทะยาน แตมาฝกหัดดัดแปลงเสียใหม ใหรับประทานเทาที่จําเปนตอธาตุขันธ
และถูกตองเหมาะสมกบั หลกั ธรรมหลักวนิ ยั เทาน้นั กายก็เบา ใจก็ไมกังวล
หลกั วนิ ัยกต็ ง้ั แตเทีย่ งไปแลวหา มฉนั อามสิ อาหาร ถาหลักธรรมก็ มตฺตฺุตา
สทา สาธุ หรอื โภชเน มตฺตฺุตา รจู กั ประมาณในการฉนั แมแ ตฉ นั อยใู นกาลเวลา
ในกาลทค่ี วร กย็ งั ตอ งรจู กั เวลาํ่ เวลา รูจักความพอดีกับธาตุขันธ เหมาะสมกบั การ
ประกอบหรือประพฤติปฏิบัติธรรม ไมใ ชว า ตอนเชา เปน เวลาฉนั ไดแ ลว กจ็ ะฉนั ลงไป
จนกระทั่งพุงมันทะลุทะลักออกมาอยางนั้น เหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งกงั วลวนุ วายผดิ ความพอดี
แตใ นขณะเดยี วกนั กท็ ราบแลว วา เราตัง้ ใจมาฝกฝนอบรมตน การทาํ อยา งนจ้ี งึ เรยี กวา
การฝกฝนการอบรม
คุณคาที่เกิดขึ้นจากการฝกฝนอบรมนี้ยอมเปนคนดี เปนพระดีไดไมสงสัย แม
จะสึกออกไปเปนฆราวาส เพราะทนกเิ ลสตณั หาฉดุ ลากไมไ หว สง่ิ ท่ีอยูในวิสัยของเรา
ควรจะทําตนใหเปน คนดเี หมอื นพลเมอื งดที ัง้ หลาย เรากท็ าํ ได ดว ยความเคยประพฤติ
ปฏิบัติ เคยฝกฝนอบรมมาแลว นชี่ ่อื วาเปนพุทธบรษิ ัทหรอื เปน ลกู ศิษยทม่ี ีครู ไมเตลิด
เปด เปง แหวกแนวไปเสยี เพราะอาํ นาจของกเิ ลสฉดุ ลากไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๔
๒๖๕
การอบรมพงึ ทราบวา ใจมีความคึกคะนองประจําตัวอยูตลอดเวลา ไมม อี ริ ยิ าบถ
ใดที่จิตจะพักสงบตัวได นอกจากเวลาหลบั สนทิ เทา นน้ั ธาตุขันธก็ระงับตัวลงไป จิตใจก็
ไดพักสงบตัว กเิ ลสกไ็ มอ อกเพน พา นในเวลานน้ั นน่ั ละเปน เวลาทม่ี นษุ ยเ รามคี วามสขุ
ไมว า จะเปน ชาตชิ น้ั วรรณะฐานะมจี น ความรคู วามฉลาดมากนอ ยเพยี งไร มคี วามสขุ
เสมอกันในขณะทีห่ ลบั สนิท เพราะสง่ิ รบกวนคอื กเิ ลสไมแ สดงตวั ความโลภกไ็ มแ สดง
เวลานน้ั เหมือนไมมีความโลภ ความโกรธก็ไมแสดงตัว ความหลงก็ไมแสดงตัว เหมอื น
ความโลภ โกรธ หลง ราคะตณั หาไมม เี มอ่ื หลบั สนทิ แลว นอกจากไมสนิทนั้นอาจ
ละเมอเพอฝนไปตามอุปาทาน สญั ญาความสาํ คญั มน่ั หมายในเรอ่ื งตา งๆ สว นมากใน
เรื่องช่วั ทเี่ คยฝง จมอยูภ ายในใจ หลับไปแลวก็ละเมอเพอฝนไปตามสัญญาอารมณอดีต
ของตน ถา หลบั สนทิ แลว เปน เหมอื นกบั ความโลภกไ็ มม ี เหมือนไมเคยโลภมาแตก ปั
ไหนกัลปใดเลย ความโกรธก็ไมมี ความหลงอะไรๆ ก็ไมมี ไมแสดงตัว เพราะขณะหลบั
กิเลสจิตพักตัว
เมอื่ กเิ ลสทั้งสามส่ีประเภทนพี้ กั ตวั เรากม็ ีความสขุ ในขณะท่ีหลบั จะหลับไปต้งั
กัปตั้งกัลปก็พอใจหลับทั้งนั้น ไมว า สตั วไ มว า บคุ คล เพราะเปน ความสงบสขุ ไมม ีอะไรๆ
กวนใจ กวนธาตกุ วนขนั ธใ นเวลาหลบั สนทิ จะเรียกวาพวกเราไดชมนิพพานทั้งเปนทั้งๆ
ที่มีกิเลสอยู ก็พอจะพูดได เทยี บได วาผูนี้ไดชมนิพพานทั้งๆ ที่มีกิเลสอยู ไดช มในขณะ
ทห่ี ลบั สนทิ เพราะเวลานน้ั ไมม สี ง่ิ ใดกวนใจเลย ความรักความชังก็ไมมี ความโกรธ
ความเกลียดก็ไมมี สมบตั บิ รวิ ารขา วของเงนิ ทองสมมตุ ติ า งๆ กวา งแคบ ลกึ ตน้ื หยาบ
ละเอียดไมมีรบกวน ใจสงบอยา งสนทิ นเ่ี ราจะเรยี กวา นิพพานของคนมีกิเลสและได
เสวยนพิ พานทงั้ ๆ ทม่ี กี ิเลส ก็พอจะพูดไดในขณะที่หลับสนิท
การหลบั สนทิ นเ้ี ปน เพยี งกเิ ลสสงบตวั เทา นน้ั แตจ ะพูดวาเปนนพิ พานจรงิ ๆ นน้ั
ไมได เพราะนพิ พานจรงิ ๆ นั้นไมมีกิเลส แมนิดหนึ่งก็ไมมี แมเปนตะกอนก็ไมมี แต
การหลบั สนทิ นย้ี งั มกี เิ ลสนอนเนอ่ื งอยภู ายใน เปน แตเ พยี งสงบตวั กิเลสสงบ ไมทํางาน
เรากม็ คี วามสขุ ขณะน้ี ลองพจิ ารณาซทิ า นผปู ฏบิ ตั เิ พอ่ื ความหลดุ พน จากกเิ ลส อนั เปน
สง่ิ กอ ทกุ ขท ง้ั หลายใหเ ราไดร บั ความทกุ ขท รมาน เพยี งกเิ ลสสงบลงไปในขณะทห่ี ลบั เทา
นน้ั เรากม็ คี วามสขุ จะหลับไปตั้งกัปตั้งกัลปก็พอใจหลับ ไมมีใครหวงใยถึงกาลสถานที่
สมบตั เิ งนิ ทอง ผวั เมยี ลกู เตา หลานเหลนอะไรๆ ไมม ใี นเวลานน้ั แมแตธาตุขันธของ
เจาของเอง รา งกายเจา ของเองกห็ มดความหวงความหว งความรบั ทราบทง้ั สน้ิ ไมมี
อะไรตดิ ใจเลยเวลาทห่ี ลบั สนทิ นน้ั เพยี งกเิ ลสสงบตวั ลงไปคนเรายงั มคี วามสขุ นต่ี า ง
คนตางเปนจึงไมมีใครสงสัยและถามกัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๕
๒๖๖
ความสขุ ทง้ั โลกอนั นท้ี เ่ี ราเคยผา นมา ไมม คี วามสขุ ใดเสมอกบั เวลาหลบั สนทิ ถา
เทยี บแลว ไมม อี ะไรเสมอความสขุ ในการหลบั สนทิ แตล ะรายๆ ที่ผานมา ยิ่งฟาดฟน
กเิ ลสใหส น้ิ ซากไปจากใจเสยี เลยแลว จะเปน อยา งไร เราพอทราบไดอ ยา งชดั เจนวา
กเิ ลสเปน ตวั ภยั เชน พอตื่นขึ้นมากิเลสก็ออกทํางาน ทีนี้ยุงตลอด ไมว า ความโลภแสดง
ความโกรธแสดง ความเกลยี ดแสดง ความรกั ความชงั จะแสดงและกวนใจ มนั กวนทง้ั
นน้ั ไมว า เกลยี ดวา โกรธวา รกั วา ชงั เปนเรื่องทําจิตใจใหกระเพื่อมขุนมัวไปตามๆ กัน ใจ
หาความสงบเยน็ ไมไ ด เหมือนกับฟุตบอลที่ถูกเตะกลิ้งไปกลิ้งมาอยูนั้นแล
การทเ่ี รามาบวชเพอ่ื ฝก ฝนอบรมจติ ใจกห็ มายความวา จะชําระสะสางสิ่งที่กอ
กวนจิตใจนี้ใหคอยหมดไปทีละเล็กละนอย พอมคี วามสงบเยน็ ใจ อยางนอยใหมีสมาธิ
คอื ความสงบใจ จงบงั คบั จติ ใจของตนดว ยสติ ยากบา งลาํ บากบา งเปน ธรรมดาของการ
ประกอบการงาน คอื ความเพียรทางดานธรรมะเพือ่ ความสงบเย็นของใจ
ผกู าํ หนดอานาปานสติ ลมหายใจเขาออก ก็ใหพึงทําความรูไวกับลมของตน ลม
เขา กร็ อู ยูทล่ี มสมั ผสั มาก เชน ปลายจมกู ดั้งจมูก สมั ผสั เขา กร็ ู ออกก็รู รอู ยเู ทา นน้ั ไม
ตองคาดผลวาจะเกิดขึ้นมากนอย ความรคู วามฉลาดจะเกดิ ขน้ึ ในลกั ษณะใดแงใ ด จะ
พบจะเหน็ จะเจอสง่ิ ใดในขณะภาวนา ไมตองไปคิดไปคาดอันเปนการดนเดา เขยา ความ
เพยี รของเราซง่ึ มอี ยใู นปจ จบุ นั ใหล ม ละลายไป สตกิ ก็ ลายเปน ของเหลวไหลไปเสยี ใหร ู
อยูกับลมดวยสตินั้นเปนการถูกตอง
ผกู าํ หนดบรกิ รรมธรรมบทใด ก็ใหร ูอยกู บั ธรรมบทน้ัน สืบเน่อื งกันเปน ลําดับ
เมอ่ื ความรไู ดส บื เนอ่ื งกนั เปน ลาํ ดบั อยแู ลว จิตยอมไมมีโอกาสเล็ดลอดไปสูอารมณ
ตางๆ อนั เปน พษิ เปน ภยั ซง่ึ เคยเผาลนจติ ใจมานานใหเ ปน พษิ ภยั ขน้ึ ในขณะนน้ั จติ ยอ ม
สงบตัวได
ตองฝนบาง ไมฝนไมได กเิ ลสมนั สําคญั อยมู ากทีเดียว งานอะไรจะยากยิ่งกวา
งานแกกิเลส หนกั มากยงิ่ กวา งานแกก เิ ลสไมม ใี นโลกนี้ งานนเ้ี ปน งานทห่ี นกั มากทส่ี ดุ
เพราะกเิ ลสฉลาดมากทส่ี ดุ ทําทุกขใหสัตวโลกมากที่สุดไมมีอะไรเกินกิเลส เพราะฉะนน้ั
ผูตองการปราบสง่ิ ท่เี ปนขา ศึกภายในใจน้อี อก จําตองฝน จําตองทนทุกขหนักบางเบา
บา ง ใหถือเปนธรรมดา ไมถือมาเปนอุปสรรคเครื่องกีดขวางความพากเพียรไมให
ดาํ เนนิ เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เอาใหจริงใหจงั ตอหนา ที่ของตน ฝกฝนอบรมจิตใหไดรับ
ความสงบเยน็ ทาํ ไมศาสนธรรมซง่ึ เปน อบุ ายวธิ กี ารแกก ารปราบกเิ ลสทา นสอนไวแ ลว
เรากเ็ หน็ ในตํารบั ตาํ รา นอกจากน้นั ยังมคี รูมอี าจารยม าชแี้ จงแนะแนวทางใหโ ดยถูก
ตองแมนยําอีกดวย เราเพียงจะลางมือเปบเทานั้นทําไมจะเปนไปไมได จะประกอบ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๖
๒๖๗
ความพากเพยี รตามทท่ี า นแนะแนวใหไ มไ ด ก็จะตกหลุมพรางกิเลสลึกเขาไปอีกละซิ
เทาที่ตกอยูเวลานี้ก็ทุกขหนักพอแลวนี่
ทุกขยากลําบากอยาไปคํานึงคํานวณถึงมัน นั่นเปนอุบายของกิเลสกระซิบ
กระซาบใหท อ ถอยปลอ ยวางความเพียร อนั เปน การบงั คบั และปราบมนั เพราะความ
เพยี รเปน เครอ่ื งเผาผลาญกเิ ลสน่ี เมอ่ื ประกอบความพากเพยี รไดร ับความทกุ ขค วาม
ลาํ บากบา ง กเิ ลสกระซบิ แลว ทกุ ขย ากลาํ บากหนา ความเพยี รนะ แมแ ตย งั ไมประกอบ
มันก็ขี้เกียจไปกอนแลว ในขณะท่ปี ระกอบความพากเพียร มนั กค็ อยจะหาเหตหุ าเรอ่ื ง
ใหค วามเพยี รลม ละลาย หาวา มคี วามทกุ ขค วามลาํ บากบา ง ในการฝก ฝนทรมานใจ
การเจบ็ ปวดสกลกายเพราะการนง่ั นาน ยนื นาน เดนิ นานบา ง มนั หาเรอ่ื งหาราวอยู
ตลอดเวลาเพอ่ื ทาํ ลายความเพยี รของเรา จงพากนั ทาํ ความเขา ใจไว อยาใหมีชองโหว
กเิ ลสจะตอ ยเขา ชอ งนน้ั นะ จะวา ไมบ อก
เรื่องของกิเลสยอมเปนภัยตอธรรมเสมอ ในขณะเดยี วกนั ธรรมกเ็ ปน ภยั ตอ
กเิ ลส จึงตองตอสูกันในขันธในจติ เราน้ีแล เราจําตองยอมรับทุกขเพราะการประกอบ
ความเพยี ร แตเ รายอมรบั ความทกุ ขเ พราะอาํ นาจของกเิ ลสตณั หาประเภทตา งๆ สรา ง
ขึ้นมา เรายงั รบั มานมนาน ไมเ หน็ วา พอแลว ๆ กเิ ลสผลติ ไฟขน้ึ มาเผาเรานเ้ี ปน เวลา
นานแลว พอกนั เสียทีกบั กเิ ลสนี่ กับทุกขของกิเลสนี่ เราไมเ คยเหน็ ลงใจเพราะการ
พจิ ารณาแยบคายของเราเลย มีแตยอมรับๆ ไมค าํ นงึ ถงึ เวลาํ่ เวลาวา จะแบกหามกอง
ทกุ ขเพราะอํานาจของกเิ ลสเปน ผูสรา งขน้ึ นีไ้ ปอกี นานเทา ไร ทแ่ี บกมาแลว นานเทา ไร
ไมเ หน็ นาํ มาบวกลบคณู หารกนั บา งพอหาทางออกได
การมาประกอบความพากเพยี รเพอ่ื ความสงบเยน็ ใจ เวลากเิ ลสมนั กระซบิ
กระซาบขน้ึ มาวา ทกุ ขล าํ บากยากเยน็ เขญ็ ใจ อยใู นบา นในเรอื นเราสะดวกสบายดี อบุ าย
ฝา ยธรรมกส็ าํ ทบั เอาบา งวา แมอ ยใู นบา นในเรอื นมใี ครสะดวกสบายเพราะตา งกเ็ คยอยู
กนั มานานแลว มนั มแี ตไ ฟนรกเผากนั นน้ั แหละ แตล ะครอบครวั แตล ะบคุ คล นอกจาก
ไมพูดเฉยๆ สิ่งที่มันอัดอั้นตันใจอยูภายในใจนั้นเหมือนกับไฟไหมกองแกลบ มีอยู
แทบทกุ หวั ใจ เราจะนาํ มาระบายกนั ไดเ ฉพาะสง่ิ ทค่ี วรระบาย ที่มันไมอับอายขายหนา
ตวั เกนิ ไปเทา นน้ั แตส ่ิงทเี่ ปนความจรงิ มันฝงอยูภายในจิตใจ สุมอยูภายในจิตใจนั้นมี
มากดวยกันทุกคน หากพูดไมไดนี่ กเิ ลสจะไปควา ของเกา ทเ่ี ปน เดนเนา เฟะไปแลว มา
หลอกเราทาํ ไมวา สบายอยา งโนน อยา งน้ี อุบายหลอกใหมๆ เอี่ยมๆ กวา นไ้ี มม หี รอื พอ
เราจะไดถูกตมตุนจากกิเลสอีกตอไป เพราะอบุ ายใหมเ อย่ี มใหเ ราหลงเชอ่ื นอ่ี บุ าย
ปญญามีใหไดทาทายมันบางซินักธรรมะนะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๗
๒๖๘
จงคิดใหถึงความจริงอยางนั้นซิผูปฏิบัติธรรมะ เพราะธรรมะเปน สง่ิ ทแ่ี หลมคม
มาก ความจริงมีอยูที่ไหนจะหยั่งเขาไปถึง อยา งทก่ี ลา วเหลา นเ้ี ปน ความจรงิ ของสตั ว
โลกที่เผชิญมาดวยกันทั้งนั้น มีอยูดวยกันไมวาคนมั่งคนมี ไมว า คนโงค นฉลาด ในฐานะ
ใดๆ ชาตชิ น้ั วรรณะใด มีดว ยกนั ทั้งนั้นสิ่งทกี่ ลา วนี้ สิ่งที่วาสุมๆ อยภู ายในจติ ใจ ถา เปน
ไฟก็มีแตถานแดงโรอยูภายใน จากน้นั กแ็ สดงเปลวออกมาเพ่ือการระบายทุกข ซง่ึ เปน
การเพิ่มทุกขเขาไปอีก มีอยูทุกหัวใจ นม่ี นั เคยเปน มานานเทา ไรเราไมไ ดค าํ นงึ คาํ นวณ
บวกลบคณู หารกนั บา งเหรอ พอจะมีทางดับไฟกองนี้ใหมีความสงบเย็นลงไปโดยลําดับ
ดว ยความพากเพยี รของเรา
เมอ่ื เกดิ ความทกุ ขค วามลาํ บาก ก็พึงระลึกถึงองคศาสดาผูเปนแบบฉบับทุกดาน
ทง้ั ปฏปิ ทาเครอ่ื งดาํ เนนิ กเ็ ปน แบบฉบบั ทง้ั ความรคู วามฉลาดสามารถปราบกเิ ลสทเ่ี ปน
ตวั ขาศกึ อนั ใหญห ลวง พระองคก็เปนครูมาหมดแลว เปน แบบเปน ฉบบั เตม็ ภมู ขิ อง
ศาสดาแลว เราผเู ปน ลกู ศษิ ยข องพระพทุ ธเจา มาบวชในศาสนา กค็ วรจะเอาเยย่ี งอยา ง
ของทานมาดําเนินมาประพฤติปฏิบัติ แมทุกขก็เดินตามรองรอยของพระพุทธเจาที่พา
ทุกขมาแลว สาวกทา นพาทุกขมาแลว เดินตามรองรอยของทานไปเพื่อเปนอรรถเปน
ธรรม เพื่อบุญเพื่อกุศลผลประโยชนอันดีงามแกตน ทําไมเราจะเดินไมได เราจะทนไม
ได ยอมรับความทกุ ขเพราะความเพยี รนีไ้ มได ถา เราเปน บรุ ษุ เปน พระองคห นง่ึ ๆ ตาม
ภูมิของพระที่เปนศากยบุตรของพระพุทธเจาแลว เราตองอดได ตองทนได ตองฝนได
พระพุทธเจาฝนได สาวกทง้ั หลายทา นฝน ได ทานมีธาตุขันธและจิตใจเหมือนกัน มีทุกข
เหมอื นกนั กบั พวกเรา ทา นทาํ ไมทา นฝนได พวกเราทําไมฝนไมได ไมต าํ่ ชา เลวทราม
มากไปแลว เหรอ พจิ ารณาซิ ธาตุขันธก็มีเหมือนกัน ทําไมใจออนเปยกเหมือนมะเขือ
เผา ไมเ ขา ขา ยธรรมเลย
ตองสู ตองอด ตองทน พยายามฝกหัด ฝก หดั จนมคี วามชาํ นชิ าํ นาญ ฝกหัดจน
เปน นสิ ยั ทางดา นธรรมะ อยา ใหเ ปน ดา นกเิ ลส เวลานเ้ี ปน นสิ ยั ของกเิ ลสเตม็ ตวั และนาํ
นิสัยของกิเลสออกแสดง ไมวาจะยืนจะเดินจะนั่งจะนอนจะพูดจะคิด กิริยาอาการทุก
อยาง มีแตกิเลสออกหนาออกตาทั้งนั้น เราเองไมร เู พราะกเิ ลสเหนอื เราจะรมู นั ไดอ ยา ง
ไร ตอ เมอ่ื ไดเ รยี นอรรถเรยี นธรรม ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ รรถธรรมขน้ึ ไปเรอ่ื ยๆ สติปญญา
มีภูมขิ นาดไหน ควรจะทราบควรจะละ ควรจะฟาดฟน กบั กเิ ลสประเภทใดได ตองรู
ตองทราบ ตองตอสูกัน ตองฟาดฟนกันไมถอย รูเรื่องของกันไปไดเปนลําดับ สติ
ปญญามีความสามารถมากนอย จะทราบเรอ่ื งของกเิ ลสตง้ั แตข น้ั หยาบๆ จนถึงขั้น
ละเอียดแหลมคมที่สุดของมัน และปราบใหเ รยี บราบไปจากจติ ใจไดโ ดยไมต อ งสงสยั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๘
๒๖๙
เพราะอาํ นาจแหง ความเพยี รเปน เครอ่ื งหนนุ สตปิ ญ ญา อนั เปน ผรู บผฟู าดฟน กเิ ลสทง้ั
หลาย
กริ ยิ าอาการใดทเ่ี ปน ฝา ยธรรม มักจะถูกคาน มักจะถูกขัดขวางจากกิเลสอยู
เสมอ ใหท ราบอยา งนน้ั ทกุ ระยะ ถาเปนฝายที่ชอบใจนั้นมักเปนเรื่องของกิเลส ถา เปน
ฝายที่ขัดใจไมอยากทํา นน่ั เปน เรอ่ื งของธรรม แตกเิ ลสขดั ขวางไมใหชอบฝา ยธรรม
เนอ่ื งจากเวลานก้ี เิ ลสมกี าํ ลงั มาก จึงขัดขวางธรรมไดอยางงายดาย สวนมากมักลม
ละลายไปตามมนั แทบทุกครัง้ แมแตนั่งสมาธิภาวนาก็ไมไดหนาไดหลังอะไร ถูกกิเลส
ทาํ ลายจนได ลม ทัง้ หงายไปเลย หาสติสตังไมได เหลอื แตล มหายใจ นไ่ี มเ รยี กวา กเิ ลส
มันเกงไดยังไง มันขัดมันขวางอยูตลอดเวลา เพราะมนั มกี าํ ลงั มากในขณะทเ่ี รายงั ไมม ี
กําลังของธรรมมากเทามัน จึงรูไมทันมัน และถูกมนั ทําลายทกุ ครัง้ ใหล มเหลวไปหมด
จึงตองพยายามฝกฝนอบรมตัว ใหห นกั แนน แมน ยาํ เขา ไปโดยลาํ ดบั วนั นเ้ี คลอ่ื นคลาด
ยังไง วนั นแ้ี พอ ะไรกบั กเิ ลสบา ง และวนั นจ้ี ะเอาชนะกบั กเิ ลสอยา งไรบา ง
เราตองมีกฎมีเกณฑมีความเขมแข็ง มคี วามหา วหาญ มคี วามพนิ จิ พจิ ารณา
ทดสอบระหวางกิเลสกบั ธรรมซงึ่ มอี ยูในใจวา วนั นเ้ี ปน อยา งไร วันที่ผานมาเปนอยางไร
ระหวา งธรรมกบั กเิ ลสซง่ึ อยใู นใจดวงเดยี วน้ี ใครไดเ ปรยี บใครเสยี เปรยี บ ถา หาก
พจิ ารณาทดสอบกนั อยูอยา งน้แี ลว อยางไรก็ตองทันกันดวยอุบายสติปญญาอยางใด
อยางหนึ่งแนนอน กเิ ลสกค็ อ ยหลดุ ลอยไปเปน ลาํ ดบั เพราะเราบกพรอ งตรงไหน เรา
ฟต เราซอ มขน้ึ เรอ่ื ยๆ ฝกซอมไปเรื่อยๆ จนมคี วามเกรยี งไกรชาํ นชิ าํ นาญแลว กต็ อ สกู นั
ได ผลสดุ ทา ยกเิ ลสตวั ไหนโผลห นา ออกมาไมไ ดเ ปน แหลกเชยี ว
นั่นถึงขั้นธรรมมีกําลัง กิเลสขัดขวางไมได ยิ่งอยากจะพบตัวกิเลสเมื่อถึงขั้น
ปญญาที่อยากพบแลว อยากพบกิเลสคือตัวขาศึก คนหาเพื่อจะพบ เพื่อจะฟาดฟนกัน
ใหแ หลกแตกกระจายในขณะนน้ั สติปญญาขั้นนี้กิเลสจะมาขัดมาขวางไมได มแี ตค วาม
ดูดดื่มในธรรมทั้งหลาย ความดูดดม่ื ในธรรมกับความเพยี รยอ มกลมกลืนเปนอนั หน่ึง
อันเดียวกัน อริ ยิ าบถทง้ั สเ่ี วน แตห ลบั เปน เรอ่ื งความดดู ดม่ื ในธรรม เปน เรอ่ื งการขดุ คน
หากเิ ลส เพอื่ จะทาํ ลายใหแหลกแตกกระจายจากใจไปโดยถายเดยี ว นี่ขณะที่ธรรมมี
กาํ ลงั มากยอ มเหน็ ไดช ดั ภายในใจเราเอง
ขณะทก่ี เิ ลสมกี าํ ลงั มาก โอย มันออนเปยกไปหมดนะ ขน้ึ ชอ่ื วา ดา นธรรมะมวี ริ ยิ
ธรรม สตธิ รรม เปนตน ออนเปยกไปหมด เผยอตัวไมขึ้น โงหัวไมขึ้น มแี ตก เิ ลสเหยยี บ
เอาๆ แตเราก็ฟตไมถอย พยายามอบรมและปลกุ ใจเราใหด ี ใหมีกําลังเขมแข็งขึ้นไมลด
ละ กิเลสก็คอยออนกําลังไปเอง จนกระทง่ั กเิ ลสไมก ลา โผลห นา ขน้ึ มาใหเ หน็ สุดทายก็
ไมพน ปญ ญาข้นั ฉลาดแหลมคมสงั หารจนไดไมม ีเหลอื เกล้ยี งไปภายในใจ เอาทนี ค้ี วาม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๖๙
๒๗๐
สขุ เราจะหาทไ่ี หน ไมหาละที่นี่ อยูไหนก็ไมหา ความสุขพออยูกับใจดวงกิเลสหมดไป
แลว นน้ั
ความบกพรอ งหวิ โหยก็คือตัวกเิ ลสนัน่ เอง พอกเิ ลสหลุดลอยไปหมดเทานนั้
ความสมบรู ณข องจติ ความสมบูรณของธรรมไมตองไปหาที่ไหน ความสมบูรณของ
ความสุขก็มีขึ้นมาที่นั่นเอง เมอ่ื ธรรมเหลา นส้ี มบรู ณเ ตม็ ทภ่ี ายในใจแลว จะเสาะแสวง
หาอะไรอีก คาํ วา เรอ่ื งๆ ก็กิเลสเทานัน้ กอ ขนึ้ เมอ่ื กเิ ลสสน้ิ ซากไปแลว เรื่องก็หมดเทา
นน้ั เอง
นน่ั แหละทว่ี า ทา นไมห มายปา ชา ทา นไมห า หาอะไร พอแลวไมหา ไมมีอะไร
กวนใจอีก นน่ั แลทท่ี า นวา นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ น่นั แลหลกั เกณฑของ ปรมํ สขุ ํ แท หลกั
ของนิพพานแท คอื วสิ ทุ ธจิ ติ นน่ั แล เอาอะไรมาเปนตัวตั้งตัวตี เอาอะไรมาเปน หลกั
เปน เกณฑถ า ไมเ อาใจดวงบรสิ ทุ ธน์ิ ้ี เอานาํ้ เปน นาํ้ เอาลมเปน ลม เอาไฟเปน ไฟ เอาดนิ
เปนดิน เอาอากาศธาตเุ ปน อากาศธาตุ ไมใชนิพพาน เอาจติ ดวงกเิ ลสเคยยาํ่ ยตี แี หลก
อยเู วลาน้ี ฟาดฟน กเิ ลสใหแ หลกแตกกระจายลงไปแลว นแ่ี ลเปน นพิ พาน ไมถามหา
นพิ พาน ถามหาทําไม ปรมํ สุขํ เยย่ี มหรอื ไมเ ยย่ี ม อยทู น่ี ั่นเอง สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก รเู องเหน็
เอง
คําวา นพิ พานเทย่ี งนน้ั ก็จิตตายเมื่อไร แมแตก ิเลสครอบหัวอยูจติ ยงั ไมต าย
เทย่ี วกอ กาํ เนดิ เกดิ ทน่ี น่ั เขา รา งน่ี ออกรางนั่น สูงๆ ตาํ่ ๆ ลมุ ๆ ดอนๆ เพราะอาํ นาจ
ของวิบาก จิตยังไมยอมตายนี่ คําวา วบิ ากมาจาก อวิชฺชาปจฺจยา กเิ ลสเปน เหตใุ หท าํ
กรรม เมือ่ ทํากรรมแลวยอมเกิดผลของกรรม นท่ี า นเรยี กวา กเิ ลสวฏั ฏ สาม มันก็อยูที่
หวั ใจนแ่ี ล เมื่อกิเลสวัฏฏแตกกระจายไปหมดแลวก็ไมมีอะไรมากวน วัฏฏะ คือ หมุนก็
ไมมี
นผ่ี ลแหง การปฏบิ ตั ิ ตอ งผา นความยากความลาํ บาก ความบกึ บนึ ความอุตสาห
พยายามมาดวยกันทั้งนั้น ไมใชอยูๆ ก็จะไปควาเอานิพพานมาเต็มไมเต็มมือทีเดียว ถา
อยางนั้นธรรมของพระพุทธเจาก็ไมเปนของแปลกจากโลกเขา กิเลสก็ไมเปนของแกยาก
เพียงควา มอื เดยี วกพ็ งั เลย คาํ วา กเิ ลสแหลมคม กิเลสแกยากก็เปน โมฆะโกหกกนั เลน
เปลา ๆ ความจรงิ แลว เปน ยงั ไง กิเลสแกยากดังธรรมบอกไวไหม แกด ว ยหนงั สะตก๊ิ ยงิ
ปบ เดยี วรอ งเอง เหมอื นสนุ ขั แลว เผน แนบ เลยหรอื กเิ ลสนะ มรี ายใดปราบกเิ ลสดว ย
หนังสะติ๊กนะ ทพ่ี ระพทุ ธเจา สลบถงึ สามหนกเ็ พราะการตอ สกู บั กเิ ลสตวั เหนยี วแนน
แกน ฉลาดมใิ ชห รอื อะไรในโลกจะปราบกเิ ลสไดน อกจากธรรมอยางเดียว ทา นวา มรรค
ปฏิปทา เทา นน้ั ทก่ี เิ ลสยอมหมอบราบ ไมใชหนังสะติ๊ก ดงั นน้ั การประกอบความเพยี ร
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๐
๒๗๑
จงเอาจรงิ เอาจงั อยา ทาํ แบบหนงั สะตก๊ิ ยงิ สนุ ขั เดยี๋ วจะถกู กเิ ลสยงิ เอารองเอง จะวา ไม
บอกไมเตือน เหลา นค้ี อื คาํ บอกคาํ เตอื นทง้ั สน้ิ
อยาออนของอมืออยูเฉยๆ เราไมไดบวชเขามาออนของอมือหมอบราบตอกิเลส
เราเขา มาตอ สกู บั กเิ ลส ความโลภกเ็ ปน กเิ ลส ความโกรธเปน กิเลส ความหลงเปน กเิ ลส
ความขเ้ี กยี จขค้ี รา น ความออนแอเปน กิเลส ความไมเ อาไหนเปน กเิ ลส สง่ิ เหลา นเ้ี ปน
กิเลสทั้งมวลเต็มอยูที่หัวใจ เต็มอยูกับอาการที่แสดงออกทุกอาการ กเิ ลสเปน ผจู บั จอง
เปนเจาของของอาการนั้นๆ ทุกอาการ
เรยี นใหร อู าการของกเิ ลสทน่ี าํ กริ ยิ าของกายวาจาใจเราออกมาใช ออกมาแสดง
ไมว า จะแสดงภายในจติ ไมว าจะแสดงทางวาจา ไมว า จะแสดงทางกายทางความ
ประพฤติ มันมีแตเรื่องของกิเลสทั้งนั้น เมอ่ื เรียนรูกิเลสแลว มันตองรกู ลของกเิ ลส ถา
เรียนยังไมถึงก็ไมรูวาอะไรเปนอะไร เราเองกเ็ ขา กบั กเิ ลสไปหมด กเิ ลสกเ็ ปน เรา เปน
อันเดียวกันแยกกันไมออก เพราะถูกมันกลืน เมอ่ื แยกไดแ ลว กร็ วู า กเิ ลสกบั เรานน้ั ตา ง
กัน กิเลสกับธรรมจึงตางกัน เอาใหร ใู หเ หน็ ชดั เจนซิ สง่ิ เหลา นอ้ี ยกู บั ใจเราแทๆ บวชมา
ในศาสนาแลว ยงั แบกความแพถ อยหลงั กลบั ไปบา นใหเ ขาโหก นั ดไู ดเ หรอ
อะไรๆ กไ็ ดเ ทศนส อนมาเตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ ไมมีอะไรเหลือแลวในพุงนี่
เทศนส อนหมสู อนคณะก็สอนดว ยความเมตตาสงสาร ถึงจิตถึงใจทุกแงทุกมุม จนไมมี
อะไรเหลอื แลว ผูปฏิบัติตามถายังไมไดเรื่องไดราวอยูแลวก็หมดทาง จะทํายังไง เทศน
ดีก็เทศน เทศนดกุ ็เทศน ตามประเภทของกิเลสที่มีอยูภายในใจ และแสดงออกมาใหได
เทศนอ ยา งนน้ั ๆ
อยาคิดไปทางอื่น ความอยากใหตัวดีใหดูใจของตัว กริ ยิ ามารยาทอาการเคลอ่ื น
ไหวของตัว ฝกกันที่นี่ แกกันที่นี่ จะดีที่ตรงนี้ ไมไดดีอยูดินฟาอากาศ ตนไม ภเู ขาท่ี
ไหน จะดีอยูที่ตัวคน เพราะความชว่ั อยทู ใ่ี จ ชั่วอยูที่กายวาจาตน ชั่วอยูที่ความประพฤติ
ของตน แกต รงนใ้ี หเ หน็ ความดที น่ี ่ี พยายามแกทําไมจะไมดี ของดีมีอยูกับเรา
จิตฝกไมไดพระพุทธเจาไมสอน พระพุทธเจาไมฝกและไมสอนใหคนฝก และ
คนก็ไมดีดวย นี่พระพุทธเจาก็เอก สาวกทง้ั หลายกเ็ อก เอกจากการฝกฝนอบรมจิตใจ
เทา นน้ั กิเลสเปนของแกได ถาแกไมไดทานไมสอนใหแก ธรรมเปน ของเกดิ ไดม ไี ดภ าย
ในใจเรา ใจเทานนั้ เปน ภาชนะที่เหมาะสมอยา งยิง่ ตอ ธรรมทัง้ หลาย ไมมีสิ่งใดในโลกจะ
เหมาะสมในความเปน ภาชนะของธรรมได มใี จดวงเดยี วเปน ภาชนะอนั เหมาะสมอยา ง
ยง่ิ ในขณะเดยี วกนั ก็เปนภาชนะอันเหมาะสมของกเิ ลสมาแลว เพราะฉะนั้นกิเลสจึงอยู
ภายในใจได ธรรมเกิดข้ึนภายในใจไดเมื่อทําใหเกิด จะแกกิเลสใหหมดก็หมดไปได
เอาตรงน้ี อยา ไปคดิ นอกจากจดุ นใ้ี หเ สยี เวลาํ่ เวลา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๑
๒๗๒
การอยดู ว ยกนั หมมู ากกใ็ หพ งึ เลง็ ดใู จทา นใจเรา ใจมคี ณุ คา เทา กนั มคี วามรสู กึ
เหมือนกัน ใหร ะมดั ระวงั อยา ใหก ระทบกระเทอื นซงึ่ กนั และกัน ความกระทบกระเทอื น
น้ันเปนเรื่องของกเิ ลสไมใชเ ร่ืองของธรรม เรามาปฏบิ ตั ธิ รรมไมใ ชม าสง่ั สมสง เสรมิ
กเิ ลส อยา ใหม เี พราะอนั นเ้ี ปน ของหยาบโลนมากทเี ดยี ว ไมสมควรจะใหมีอยูในตัวของ
สมณะ ตวั ของพระของเณรในวดั เรา ใหเ หน็ วา เปน ของทห่ี ยาบโลนทส่ี ดุ ไมค วรเผลอตวั
ปลอยใหกิเลสตัวหยาบโลนออกแสดงในสังคมของพระธุดงคกรรมฐาน เปน เรอ่ื งขาย
หนา ทส่ี ดุ ไมม แี งท น่ี า เหน็ ใจและใหอ ภยั ไดเ ลย
มองกันใหมองในแงแหงความเมตตาและใหอภัยกันเสมอ อยาถือสีถือสาอยา
ถือทานถือเรา วา นน่ั สงู นต่ี าํ่ วา นน่ั โงน ฉ่ี ลาด นน่ั ฐานะสงู นี่ฐานะต่าํ จงถือโดยความเปน
ธรรม นั่นคือพระนี่คือพระดวยกัน ผไู ดร บั การตกั เตอื นสง่ั สอนจากหมเู พอ่ื นดว ยความ
เมตตาสงสาร ก็พึงรับดวยความเต็มอกเต็มใจ นําไปแกไขสิ่งที่ผิดของตน น่นั ชอ่ื วาถูก
ทั้งสองฝาย ผสู อนกส็ อนโดยธรรม ผรู บั กร็ บั โดยธรรม นําไปปฏิบัติก็เปนสิริมงคลแก
ตน การอยดู ว ยกนั เปน สาํ คญั มาก ใหระมดั ระวังเสมอ
ขอวัตรปฏิบัติอยาใหบกพรอง ใหถ อื วา เปน งานจาํ เปน ของเราแตล ะองคๆ
เพราะเหลา นเ้ี ปน กจิ วตั ร เพ่ือความสมบรู ณพนู ผลของเราดว ยกนั ไมใชทําเพื่อผูหนึ่งผู
ใด ผลประโยชนเ กิดข้นึ เพื่อผหู นึง่ ผใู ด ใหทําทุกคน ผลดเี กดิ ขน้ึ กบั ทกุ คนนน่ั แหละ
เปน สงฆฺ โสภณา รวมกลุมรวมคณะกันเปนพระเปนสงฆที่อยูดวยความสวยงามนาดู
นา เคารพเลอ่ื มใสภาคภมู ใิ จ มคี วามรม เยน็ ตอ กนั เหมอื นอวยั วะเดยี วกนั ไมมีคําวา
ทะเลาะเบาะแวง ระแคะระคายซง่ึ กนั และกนั เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลสตวั
ทาํ ลาย อยา ใหเ ขา มาแทรกในวงของพระผูปฏบิ ัติ จงปราบทันที อยามองดูแตภายนอก
คอื มองดูคนอื่นมากกวามองดูตัว ในขณะเดียวกันเมื่อมองดูคนอื่นใหมองดูตัวดวย
ยอ นหนา ยอ นหลงั เทยี บใหไ ดส ดั ไดส ว นเพอ่ื อรรถเพอ่ื ธรรม แลว เฉลย่ี เผอ่ื แผค วาม
เหมาะสม คือความเปนธรรมใหแกกันและกัน เพือ่ ความผาสุกเยน็ ใจแกกนั หลักของ
การปฏบิ ตั ิทอ่ี ยูร ว มกันเปนอยา งนั้น
ผมู ธี รรมในใจยอ มไมมีการทะเลาะเบาะแวง ซ่ึงกันและกัน ไมม รี ะแคะระคายซง่ึ
กันและกัน นอกจากมีความจงรักภักดี มีความเมตตาสงสารใหอ ภยั ซึง่ กนั และกัน อนั
เปนเรื่องของธรรมโดยถายเดียว สมกบั ผมู าประพฤติปฏิบัตธิ รรม ความเยน็ อกเยน็ ใจ
จะมีไดทั้งผูใหญผูนอยในระหวางที่อยูรวมกัน จงพากนั นําไปปฏบิ ตั ิ ทานเรยี กวา สงฆฺ
โสภณา เปน พระสงฆท ง่ี ามเปน สงา ราศแี กว งคณะ เปนสงา ราศแี กป ระชาชนญาตโิ ยมท่ี
ไดเห็นไดฟง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๒
๒๗๓
พูดกันมีเหตุมีผล อยาพูดพลามๆ แบบหาเหตหุ าผลไมไ ด นน่ั เปน นสิ ยั สนั ดาน
จะพูดอะไรออกมาใหคิดเรียบรอย จะทําอะไรใหคิด ความคิดไดแกการใชปญญา
ไตรตรอง นสิ มมฺ กรณํ เสยฺโย ใครค รวญพนิ จิ พิจารณากอนจะทํากอ นจะพดู การแสดง
ออกจะไมคอยผิด ทั้งจะเปนนิสัยรอบคอบติดตัว
นักธรรมะตองดูตัวมากกวาดูคนอื่น ดูคนอน่ื ก็ดูโดยเหตผุ ลเพอื่ เปน อรรถเปน
ธรรม ดูตัวเองเพื่อแกเพื่อไขเพื่อถอดเพื่อถอนสิ่งไมดี เพอ่ื สง เสรมิ ในสง่ิ ทเ่ี หน็ วา ถกู
ตองแลว ปราบปรามแกไขในสิ่งที่ไมดีใหดีขึ้น นักธรรมะตองยอนความคิดอานเสมอ
โอปนยิโก นอมเขามา ไดเห็นไดยินไดฟงขางนอก กเ็ ทยี บเขา มาภายในเพอ่ื ใหเ ปน เหตุ
เปนผล เปน อรรถเปน ธรรมเปน ประโยชนแ กต น ไมใหขาดทุนสูญดอก
ใหตั้งใจปฏิบัติ อยางไรก็อยาขี้เกียจ เรอ่ื งภาวนา ผูยังไมสงบก็เอาใหสงบใหได
นน่ั แลสมบตั ขิ องพระเราตอ งภาวนา ผลคอื ความสงบเยน็ ใจ อยา งนอ ยใหใ จสงบเยน็
มากกวา นน้ั มคี วามเฉลยี วฉลาด ฉลาดทางดา นธรรมะ ปญญาทางดานธรรมะกับปญญา
ทางโลกนั้นตางกัน จติ สงบ ผลิตปญญาขึ้นมา เกดิ ความเฉลยี วฉลาดภายในใจ จติ สงบ
ยอ มทาํ ใจใหโ ลง ในการพจิ ารณา ถาไมสงบหาความโลงไมได เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ วา
สมาธปิ รภิ าวติ า ปฺญา มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า ปญ ญาทส่ี มาธหิ นนุ แลว ยอมได
ผลเปนที่พอใจ นี่แปลตามความจรงิ ไปเลย เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ สอนใหท าํ จติ ใหส งบ
เพื่อเปนที่พักพิงของใจและเจริญปญญาไดสะดวกคลองตัว
เมื่อจิตสงบ จิตก็ไมหิวโหย พิจารณาอะไรก็คลองตัว ผดิ กบั จติ ทฟ่ี งุ ซา นราํ คาญ
เปนไหนๆ ปญญาทางดานธรรมะจึงมีความฉลาดแหลมคมมากกวาทางโลกเปนไหนๆ
เปน ปญญาท่สี ขุ มุ ลุม ลกึ ไปตามเหตผุ ลอรรถธรรม เพื่อถอดถอนสิ่งรกรุงรังภายในใจ
ตามกําลังปญญา นอกนั้นยังพิจารณาเหตุการณรอบตัวไดอยางถูกตอง ผิดกับปญญา
ธรรมดาอยมู าก ตามหลกั ธรรมทา นกลา วไว ปญญาเกิดไดสามทาง คอื สุตมยปญญา
ปญญาเกิดดวยการไดยินไดฟง จินตามยปญญา ปญญาเกิดจากการคิดอานธรรมดา
ทว่ั ๆ ไป ภาวนามยปญ ญา ปญ ญาเกดิ จากสมาธภิ าวนาลว นๆ
ภาวนามยปญ ญา คอื การพจิ ารณาอะไรเปน ปญ ญาความแยบคายขน้ึ มา ทาน
เรยี กวา ภาวนามยปญ ญา เกดิ ปญ ญาดว ยการภาวนา จินตามยปญญา พจิ ารณาคดิ อา น
ตามเรอ่ื งคนนน้ั คนนห้ี รอื ครอู าจารยน น่ั เปน ปญ ญาประเภทหนง่ึ ปญ ญาทางดา นภาวนา
นเ้ี ปนสําคัญมากกวา สุตมยปญญาและจินตามยปญ ญา ภาวนามยปญ ญานส้ี ามารถ
พิจารณาละเอียดไดถึงขั้นปญญาอัตโนมัติซึ่งเปนปญญาลวนๆ เห็นไดอยางประจักษชัด
เจนภายในจติ ใจ ไหลรนิ เหมอื นนาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๓
๒๗๔
ปฺญาปริภาวิตํ จติ ตฺ ํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วมิ จุ จฺ ติ จิตที่ปญญาเปนเครื่องซัก
ฟอกแกไขถอดถอนแลว ยอมหลุดพนจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ คําวาโดยชอบก็คือไม
ผดิ ปญ ญาทางดา นธรรมะเปน เครอ่ื งปราบกเิ ลสทง้ั นน้ั ตรงกันขามกับปญญาทางโลกซึ่ง
มักสั่งสมกิเลส ปญ ญาทางดา นธรรมะจากผปู ฏบิ ตั ภิ าวนาลว นๆ เปนเคร่อื งฆากิเลส
ทาํ ลายกเิ ลสโดยถา ยเดยี ว ไมม คี ําวาสัง่ สมกิเลส ทา นจงึ เรยี กวา โลกยิ ปญ ญา โลกตุ ร
ปญญา ตางกัน
เอาละเทา นีพ้ อ
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๔
๒๗๕
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
ภมู ใิ จทกุ ขเ พราะความเพยี ร
การเรม่ิ ปฏบิ ตั ฝิ ก หดั ภาวนาเบอ้ื งตน ยอ มเตม็ ไปดว ยความลาํ บากลม ลกุ
คลกุ คลาน จะเรียกวามันมืดมิดปดตาจนหาทางออกทางเขาหาทางเดินไมไดก็ถูก
เพราะเปน งานทเ่ี ราไมเ คยทาํ ไมว า ซอกใดมมุ ใดรอบกายรอบใจของเรา มีแตสิ่งเปน
พษิ เปนภยั ซ่ึงคอยทําลายใจและธรรมของเราทัง้ สิน้ และมอี าํ นาจมากดว ย ถาเปนวัวก็
วัวที่อยูปากคอกตลอดเวลา พอแยมประตูออกนิดมันก็ออกกอนเพื่อนๆ เลย หลวม
ตัวมันก็ออกทันทีไมรีรอชักชา พอแยมปบมันก็ออกไดปุบเพราะมันคลองตัว นเ่ี ปน
หลักธรรมชาติของสิ่งที่เปนขาศึกตอใจตอธรรมที่ฝงอยูภายในใจ ทา นเรยี กวา กเิ ลส
มาร คอื สง่ิ ทร่ี งั ควานอรรถธรรมทาํ ลายอรรถธรรม มันมีอยูภายในจิตใจของสัตวของ
เราดว ยกนั
เพราะฉะนน้ั เราจงึ ไมเ คยคดิ เคยคาดฝน กนั วา ธรรมจะมอี ยภู ายในใจ เพราะ
ใจทั้งดวงในขณะที่ยังไมไดเรื่องไดราวเกี่ยวกับธรรมมันเปนกิเลสเสียทั้งสิ้น จงึ ลาํ บาก
ในการประพฤติปฏิบัติในเบื้องตน เชน จะทาํ ใหจ ติ สงบรม เยน็ บา ง โดยปราศจาก
ความคิดความยุงเหยิงอันเกิดจากความคิดของตนเกี่ยวกับเรื่องตางๆ ซง่ึ กเ็ ปน เรอ่ื ง
ของใจเปนผูปรุงขึ้นมาแตงขึ้นมา ก็ทง้ั ยากลําบากทรมาน เพราะมสี ง่ิ บงั คบั ใหป รงุ ให
คิดเรื่องนั้นๆ ไมใชเปนขันธลวนๆ ดังขันธของพระอรหันตผูมีใจบริสุทธิ์ลวนๆ แลว ท่ี
คดิ ปรงุ เปน ธรรมดาของตน ไมเ กิดเรอ่ื งเกิดราวอะไรกบั เจา ของ แตจ ติ สามญั ชนเรา
มันเต็มไปดวยพิษดวยภัยในขณะที่คิดออกแตละเรื่องละราว เพราะตวั พษิ บงั คบั ให
คิดใหปรุง มันจึงลําบากแกการดัดแปลงแกไขและถอดถอน
การปฏิบัติเบื้องตนจึงตองถอยหนาถอยหลังตั้งตัวไมติด เพราะยังไมมีหลักยึด
ทางใจ การถอยหนาถอยหลังก็คืออํานาจของส่ิงเหลานแ้ี ลพาใหเปนไป คาํ วา ถอยนน้ั
คือดอยทางความพากเพียรลงไป มคี วามสงสยั เปน กาํ ลงั ความดอยกําลังทางความ
เพียรลงก็ดี ความสงสัยทําใหเกิดความดอยกําลังลงไปก็ดี มันเปนเรื่องของกิเลสมาร
รงั ควานอยภู ายในใจทง้ั นน้ั จะคิดแยกออกตรงไหนที่สิ่งนี้ไมแทรกไมแซงไมเจอสิ่งนี้
อยากจะพดู วารอยทัง้ รอยเปอรเซ็นตเจอแตสง่ิ เหลา นี้ มันปดมันลอมมันอุดมันตันอยู
ทุกแงทุกมุม ไมวาจะเปนความคิดปรุงในแงใดมุมใด ในเบ้ืองตน เปน อยางนี้ดวยกัน
เพราะเรายงั หาทางออกไมได หาทางสูมันไมได เนอ่ื งจากสตปิ ญ ญาอนั เปน ฝา ยธรรม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๕
๒๗๖
เพื่อตอสูยังไมมีหรือมีไมพอ ความเพยี รกไ็ มท ราบวา จะเพยี รอยา งไรถงึ จะถกู จิตซึ่ง
เปน เหมอื นกงั หันก็หมนุ ไมห ยุดเพราะผูบงั คบั ใหหมนุ มีอยู มนั ยากทต่ี รงนใ้ี นขน้ั เรม่ิ
แรกฝก อบรม
แตอยางไรก็ตามการกลาวทั้งนี้ ไมไดกลาวใหผูฟงและผปู ฏบิ ตั ิธรรมทัง้ หลาย
เกิดความทอถอยนอยเนื้อต่ําใจ เราพูดถึงเรื่องกลอุบายของสิ่งเปนมารที่เกิดหรือ
ปรากฏอยภู ายในใจ มันปดมันกั้นมันอุดมันตันไวหมด ทานจงึ เรยี กวา กเิ ลสมาร เพอ่ื
ทา นผฟู ง ทง้ั หลายไดท ราบไว พรอมทั้งอุบายตางๆ ในการตอ สปู ราบปราม ซึ่งได
อธิบายไปพรอมๆ กนั น้ี เพอ่ื รวู ธิ รี บั วธิ รี บวธิ ลี กุ วธิ หี ลบวธิ ปี ราบปรามมนั อยา งคลอ ง
แคลว แกลว กลา หนา นกั รบแบบมลี วดลาย
ความเพยี รพยายามนน่ั แลเปนทางทีจ่ ะบุกเบิกสงิ่ ท่ีเปน ขา ศึกทัง้ หลายออกไดท ี
ละเลก็ ละนอ ย เชน ใจไมเคยสงบ เมื่อพยายามหลายครั้งหลายหนตอสูกันไมหยุดไม
ถอยดวยจิตตภาวนา กต็ องปรากฏเปนความสงบข้นึ มาในขณะหรอื เวลาหนึ่งจนไดพอ
ใหเหน็ ชองทาง หรอื พอเปน เครอ่ื งสง เสรมิ ใจใหม กี าํ ลงั ขน้ึ เรอ่ื ยๆ
ในเบอ้ื งตน เราไมท ราบจรงิ ๆ วาอาการของจิตแตละอาการที่แสดงออกนั้น มี
อะไรเปนฉากหลังบังคับอยู ไมมีทางทราบได จงึ ถอื เอาความคดิ ความปรงุ ทง้ั หลาย
เหลา นน้ั วา เปน ของจรงิ เปนความเชื่อความดูดดื่มไปเสียทั้งมวล โดยไมไดคํานึงวา
เปน สิง่ ท่ีผดิ หรือถกู ประการใดบา ง เพราะใจกลมกลนื กนั ไปดว ยธรรมชาตนิ น้ั จนมอง
หาสง่ิ ทจ่ี ะแทรก สิ่งที่จะแขง สิ่งที่จะวัดตวงสิ่งที่จะตานทานกันไมเจอ ตอเมื่อไดฝกฝน
อบรมอยูไมหยุดไมถอย จติ ใจทไ่ี ดร บั การบาํ รงุ รกั ษากค็ อ ยเปด เผยตวั ออกใหเ หน็ เปน
ความสงบบา งเลก็ นอ ย และความสงบละเอยี ดเขา ไป เพราะเวลาจติ สงบนน้ั สง่ิ กวนใจ
ทั้งหลายไดแกความคิดปรุงตางๆ มนั สงบตวั ลง จติ กส็ งบเยน็ สบาย ยิ่งผูไมเคยพบ
เคยเหน็ ไมเ คยปรากฏมาเลยดว ยแลว กย็ ง่ิ เหน็ เปน ความอศั จรรยภ ายในใจอยา งยง่ิ ใน
ขณะที่จิตสงบนั้น ราวกบั จะเหาะจะบนิ เพราะความตน่ื เตน เพราะความปต มิ กี าํ ลงั มาก
ฉะนั้น การภาวนาขน้ั เรม่ิ แรก ทานจงึ สอนใหมธี รรมเปน เครือ่ งยึด เชน คาํ
บรกิ รรม พุทโธเปนตน บทใดก็ไดตามแตจริตชอบ ถาไมมีธรรมเปนเครื่องยึดจิตก็
ควาอะไรไมติด เพราะมีแตเรื่องของกิเลสทั้งมวลอยูภายในใจ จงึ ตองอาศัยธรรมบท
ใดก็ตามเปนที่ยึดของจิตในขั้นเริ่มตน เชน ทา นสอนใหบ รกิ รรมภาวนาธรรมทต่ี น
ชอบกบั จรติ นสิ ยั เปน เครอ่ื งกาํ กบั ใจ มสี ติคอยกาํ กบั อยูกับคําบริกรรมนน้ั ๆ ใหสบื ตอ
เนอ่ื งกนั เปน ลาํ ดบั ๆ ไมใ หเ ผลอ แตไมถึงกับตองเกร็งเนื้อเกร็งตัวจนเกินไปซึ่งเลย
ความปกติ ใหม คี วามรสู กึ อยกู บั คาํ บรกิ รรมภาวนาเทา นน้ั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๖
๒๗๗
ในขณะทท่ี าํ บรกิ รรมภาวนา ภาระทั้งหลายที่จิตมันคิดมันซานแผรัศมีออกไป
กวา งแคบดว ยความหลอกลวงตา งๆ นั้นใหปลดเปลื้องทั้งมวลอยายุงเกี่ยว ประหนง่ึ
วาโลกธาตุนี้ไมมีอะไรเลย ในจิตใหมเี ฉพาะคาํ บรกิ รรมกับความรูทีก่ ลมกลนื กันอยู
เทา นน้ั ไมตองคาดตองหมายถึงมรรคถึงผล จะเปน ผลของสมาธิข้ันใดภมู ิใด จะเปน
ความรแู ปลกประหลาดเหน็ เปรตเหน็ ผเี หน็ นรกอเวจี เหน็ เทวบตุ รเทวธดิ าใดๆ กต็ าม
ไมส นใจ คิดคาดทั้งมวล นอกจากคาํ บรกิ รรมทก่ี าํ ลงั ทาํ อยใู นเวลานน้ั เทา นน้ั น่วี ธิ ี
ภาวนาท่ีจะใหจติ สงบ ตองปลอยอารมณภายนอกใหหมด โลกธาตเุ หมอื นไมม ใี น
เวลานน้ั ไมเอนความรูสึกนี้ไปเกี่ยวของกับสิ่งใด นอกจากคําบริกรรมที่กําลังทําอยูเทา
นน้ั ใหร กู นั อยา งเตม็ เมด็ เตม็ หนว ยดว ยเจตนา นีแ่ หละอุบายทจี่ ะทําจติ ใหส งบตอ ง
สงบไดไมสงสัย
ผูกําหนดลมก็ตาม สตเิ ปน ของสาํ คญั มาก ใครจะภาวนาธรรมบทใดหรอื วธิ ี
การใดก็ตาม สตนิ เ้ี ปน พน้ื ฐานทจ่ี ะยดึ เหนย่ี วจติ ใจใหต ดิ แนบสนทิ กบั ธรรมทต่ี น
พจิ ารณานน้ั ไดเ ปน อยา งดี ถา ปราศจากสตเิ สยี เม่อื ไรงานกข็ าดวรรคขาดตอน ผลก็
ยอมเปนไปตามนั้น แลว ไมคอ ยไดผ ลเทาท่ีควรหรือไมไ ดผล เพราะความพลง้ั เผลอ
เขา ทาํ ลาย เราจะเอาแตผ ลอยา งเดยี วโดยไมค าํ นงึ ถงึ เหตุ คือการกระทําวา สบื ตอกนั
มากนอยเพียงไรหรือไมยอมไมถูก เพราะฉะนน้ั นักภาวนาที่ไมคอยไดผลหรือไมได
ผลในการภาวนานน้ั สวนมากมุงแตผลที่ตองการอยางเดียว ไมคาํ นงึ เหตุอนั เปน แดน
เกิดแหงผลทุกขั้นทุกภูมิ จงึ ไมส มหวงั
เรอ่ื งจะรจู ะเหน็ สง่ิ ใดนน้ั ไมต อ งไปคาด นั่นเปนเรื่องกอกวนจิตใจใหทํางานไม
สะดวกและไมเห็นผลเทาท่ตี นตองการ ใหม คี วามรอู ยกู บั งานทท่ี าํ เทา นน้ั ไมมีสิ่งใด
เขา มาเกย่ี วขอ งในเวลานน้ั เรอ่ื งความอยากรอู ยากเหน็ ไมม ปี ระมาณนน้ั มนั ผลกั ดนั ขน้ึ
มาตลอด ตองระวังดวยสติอยูเสมอ และจงทราบวา ความอยากนน้ั คอื ตวั กเิ ลส ตัวฉุด
ลากจิตออกนอกลูนอกทางโดยแท อยากคิดอยากปรุงเรื่องนั้นเรื่องนี้เกี่ยวโยงไป
ครอบโลกธาตุ ลว นแลวแตเ ร่ืองของกิเลสมันผลกั ดนั ความคดิ ออกมาวาดภาพหลอก
ตวั เราเองใหต น่ื เงา ตื่นมโนภาพที่มันหลอกออกมาไมมีวันจืดจางอิ่มพอเลย นเ่ี ปน
นสิ ัยหรอื งานของกิเลสท่ีหลอกลวงสตั วโลกเฉพาะอยา งย่งิ ผูภาวนา มนั เอาใหเ ขวจาก
หลกั ของภาวนาจนได จึงไมเกิดผลอะไรขึ้นมาดังที่หวัง
เพราะฉะนน้ั เราจงึ ควรทราบเลห เ หลย่ี มแงง อนของมนั ดังทก่ี ลา วมาโดยยน
ยอนี้ไวตั้งแตบัดนี้เปนตนไป การภาวนาจะเปน ไปเพอ่ื ความสงบรม เยน็ วธิ กี ารทก่ี ลา ว
มานท้ี า นเรยี กวา สมถะ เพื่อความสงบ สมถภาวนาตองเปนไปตามนี้ไมสงสัย ถา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๗
๒๗๘
ดาํ เนนิ ดังทไี่ ดอธิบายมานจ้ี ะเขา สคู วามสงบได จิตจะไมเหนือกําลังความพากเพียร
ของเราไปไดเ ลย จงเอาใหจ ติ ไดร บั ความสงบเยน็ ดว ยอบุ ายดงั กลา วมาจนได
อริ ยิ าบถตา งๆ ซง่ึ เหมาะสมกบั ตนในกาลใดเวลาใดกใ็ หท ราบภายในตวั เอง
และปฏิบัติตอตัวเองใหเหมาะ เชน นั่งภาวนาสัปหงกงกงนั กล็ งเดินจงกรมเปล่ียนทา
ทีเสียใหม อุบายท่จี ะแกสง่ิ ขัดของตอธรรมนน้ั แลเรียกวา ธรรม หรอื เรยี กวา มรรค
กเิ ลสเกิดข้ึนจากใจ มรรคคือธรรมที่เกิดขึ้นจากใจ ผลิตขึ้นมาได สงั ขารประเภทหนง่ึ
เปน สมุทัยคอื เครื่องผกู มัดจิตใจ สงั ขารประเภทหนง่ึ เปน มรรคเปน ฝา ยแกส มทุ ยั เปน
สังขารเหมือนกันแตแยกความหมายตางกัน ความรูสึกตางกันไป ความรสู ึกของความ
คดิ ปรงุ อันหน่ึงเปน กิเลส ความรูสึกอนั หน่ึงท่ีคดิ ปรุงขน้ึ มาเปนฝายแกกเิ ลส เกดิ ข้ึน
มาจากใจอันเดียวกันตามแตจะคิดจะปรุงฝายใดขึ้นมา
เบอ้ื งตน การจะตง้ั หลกั จติ ใจใหม คี วามสงบแนว แน ใหเ ปน พน้ื เปน ฐานหรอื
เปน ตนทุน เปน สง่ิ ทล่ี าํ บากอยเู ปน ธรรมดา แตอ ยา เอาความลาํ บากเขา มาเปน
อุปสรรคกีดขวางทางดําเนินของตน นน่ั ไมใ ชท าง น่ันเปน เร่ืองของกิเลสสมุทยั ฝายผกู
มัด ความอุตสาหพยายามจะเอาใหไดใหถึงตามที่ตนตองการ นั่นเปนความตองการ
หรอื เปน ความอยากทเ่ี ปน ฝา ยมรรคซง่ึ เปน ฝา ยแก ที่จะใหถึงจุดหมายปลายทางได
เพราะฉะนน้ั ความอยากจึงมีทั้งเปนฝายกิเลส มีทั้งเปนฝายมรรค ถาเปน ความอยาก
ที่จะสั่งสมกองทุกขขึ้นมาดวยอํานาจของกิเลส ความอยากประเภทนน้ั เปน กเิ ลสเปน
สมุทัย เชน อยากไดเห็น ไดฟง ดมกลิ่น ลม้ิ รส แบบโลกทว่ั ๆ ไป เปนเรื่องของกิเลส
สมุทัยฝายผูกมัด แตความอยากรูเทาทันอยากถอดอยากถอนสิ่งเหลานี้ออกจากใจ
ความอยากนี้เปนมรรคเปนฝายแกฝายปราบปรามถอดถอนกิเลสสมุทยั
การพจิ ารณาคลค่ี ลายใหเ หน็ เหตเุ หน็ ผลดว ยสตปิ ญ ญา เพื่อจิตจะถอดถอน
ตนออกมาจากความยดึ มน่ั ถอื มน่ั สง่ิ ทก่ี เิ ลสเสกสรรปน ยอนน้ั เรยี กวา มรรค ผลิตขึ้นได
ภายในใจของเรา เพราะธรรมมีอยูที่ใจเกิดขึ้นไดที่ใจสถิตอยูที่ใจ ไมมีที่อื่นใดเปนที่
เกิดขึ้นของธรรม เปนที่สถิตอยูของธรรม นบั แตธ รรมขน้ั หยาบจนถงึ ขน้ั สงู สดุ คอื
วิมุตติพระนิพพาน ไมนอกเหนือไปจากใจดวงที่รับสัมผัสสัมพันธ และเปน ภาชนะอนั
เหมาะสมแหง ธรรมขน้ั นน้ั ๆ ไดเลย มจี ติ ดวงเดยี วเทา นน้ั เปน ธรรมชาตทิ เ่ี หมาะ
สมอยา งยิ่งกบั ธรรมท้งั หลาย
ธรรมจงึ เกดิ ไดท ง้ั ฝา ยมรรคทง้ั ฝา ยผลถา เราทาํ ใหเ กดิ ถาไมทําใหเกิดจิตดวงนี้
ก็เปนภาชนะใสมูตรใสคูถไปดังที่เคยเปนมา คําวามูตรคูถไดแกอะไร ก็ไดแกขี้โลภ ขี้
โกรธ ขี้หลง ของต่ําชาเลวทรามอะไรจะไปเกินกิเลสไมมี สิ่งที่สะอาดหมดจดอัศจรรย
อยางยิ่งเกินโลกเกินสงสารก็ไมมีอะไรยิ่งกวาธรรม เพราะฉะนน้ั ทั้งสองประเภทนี้จึง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๘
๒๗๙
เปนขาศึกขัดแยงกันอยูเสมอ ไมเ คยลงรอยกนั เลยแตกาลไหนมาจะตลอดไปดวย
และสิง่ ทั้งสองน้มี ีอะไรเปน สถานทอ่ี ยเู ปนสนามรบกัน ก็คือใจ ถาไมมีธรรมมาขัดมา
แยง มาตา นทาน กเิ ลสซง่ึ กาํ อาํ นาจภายในใจมานาน ก็อยูอยางเรืองอํานาจสนุก
เพลดิ เพลนิ ดงั คนทไ่ี มเ คยสนใจอรรถธรรมเลยนน้ั จิตดวงนั้นก็คือคลังของกิเลสเต็ม
ดวงนน่ั แล
ผมู คี วามสนใจในอรรถในธรรม หวังบุญหวังกุศล มคี วามรกั ใครใฝอรรถใฝ
ธรรมใฝบุญใฝกุศลอยู ก็ยังพอมีการขัดการแยงกัน ยังมีการตอสูกันระหวางกิเลสกับ
ธรรม กิเลสก็ไมไดอยูอยางสะดวกสบายเต็มรอยเปอรเซ็นตเพราะถูกขัดถูกแยง ถูก
ทาํ ลายจากธรรมอยเู สมอ ดงั ทเ่ี ราเปน นกั ปฏบิ ตั นิ เ้ี รยี กวา ขน้ึ เวทแี ลว เพื่อตอกรกับ
กเิ ลส ไมวากิเลสประเภทใดจะตองแสดงออกเต็มลวดลายของมัน เรามีเครื่องตอสู
มากนอยเพียงไรก็จะตองแสดงออกอยางเต็มลวดลายของตน ไมเ ชน นน้ั กแ็ พม ันจน
ได แลวจะมใี ครประสงคอยากแพกเิ ลสเพราะการตอ สกู นั นอกจากหวงั เอาชนะ
ถา ยเดยี ว ฉะนน้ั จาํ ตอ งฝก เชงิ รบใหเ กรยี งไกรเพอ่ื หวงั ตายเอาดาบหนา
ในเบื้องตนยอมแพไปกอน แตไมใชยอมแพแบบถอยหลังกรูดๆ ไปอยางนั้น
แตยอมแพเพราะยังสูมันไมได ยอมตามเหตุการณที่กําลังยังไมพอกับมัน ดว ยความ
เคยี ดแคน แสนอาฆาตแบบนกั ธรรมะ (อาฆาตชนดิ นจ้ี ดั เปน มรรค) สวนกาํ ลังทกุ ดา น
จะตองผลิตขึ้นมาเรื่อยๆ ไมมีถอย ใหพอกบั กิเลสประเภทน้นั ๆ ไปโดยลําดับ จนถงึ
กิเลสประเภทละเอียดสุดยอด ธรรมเครอ่ื งลบลา งถากถางกเิ ลสกผ็ ลติ ขน้ึ มาเปน ธรรม
สุดยอดเหมือนกัน ดังที่กลาวไววา มหาสต-ิ มหาปญ ญา นน่ั แหละยอดเครอ่ื งมอื ธรรม
ฝายเหตุก็คือยอดธรรม ผา นจากนน้ั ไปแลว กเ็ ปน ผลเตม็ ตวั
ทีก่ ลา วมาทัง้ มวลนอี้ ยทู ่ใี จดวงเดยี วน้ี อยา เขา ใจวา ธรรมกด็ ี กิเลสก็ดี อยใู น
สถานที่อื่นใดนอกจากใจดวงนี้ นาํ้ เปน นาํ้ ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ ดินเปนดิน อากาศ
ธาตุเปนอากาศธาตุ ทุกสิ่งทุกอยางที่นอกจากใจไปแลวยอมเปนดานวัตถุหรือ
นามธรรมไปตามธรรมชาตขิ องตนๆ ไมใชกิเลสไมใชมรรคไมใชผลไมใชสถานที่อยู
ของกิเลสและมรรคผลนิพพาน มีใจนี้เทานั้นเปนที่เกิดที่อยูอันเหมาะสมของทั้งสอง
อยา งคอื ฝา ยกิเลสและฝา ยธรรม กิเลสทกุ ประเภทอยกู ับใจไดสนิท ธรรมทกุ ประเภท
เกิดกับใจและอยูกับใจไดอยางสนิท เพราะฉะนั้นจึงตองไดแกกันที่ตรงนี้ เอาใหด ี ตอ
สอู ยา งมเี ลห เ หลย่ี มแบบรอ ยเลห พ นั นยั ไมงั้นไมทันมันและปราบมันไมอยู ตรงขาม
มนั จะปราบเราใหอ ยหู มดั บนหมอน นอนแบบขี้เกียจไมยอมตื่น
สตปิ ญ ญาพจิ ารณาอยา งไรเปน ธรรม พิจารณาอยางไรเปนเคร่ืองถอดถอนก็
เคยไดอ ธบิ ายใหฟ ง แลว หลายครง้ั หลายหนจนนบั ไมถ ว น ขณะจะทาํ สมาธภิ าวนาให
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๗๙
๒๘๐
ตั้งหนาตั้งตาทาํ เพ่อื ความสงบที่เรียกวาสมถะ ถามนั หาความสงบไมไดด วยอารมณ
ของสมถะ จะพจิ ารณาทางดา นปญ ญาเพอ่ื สกดั ลดั ตอ นกนั อยา งรนุ แรงแหลกเหลว ก็
ทุมกันลงดวยกําลังปญญา ตง้ั ใจทาํ หนาท่ีปญญากันอยางเผด็ รอ นจรงิ ๆ ก็ตองทํา
ตามแตจังหวะของการตอสูที่จะใหใชแบบใดวิธีใดที่กิเลสจะหมอบลงไป จนเหน็ ความ
สงบเย็นหรอื ความสวางกระจางแจงดวยอาํ นาจของปญญา อนั เปนผลเกิดข้นึ จาก
อบุ ายวธิ เี ชน นน้ั …เรากท็ าํ อยา ไปเลอื กกาลเลอื กเวลาํ่ เวลา ใหส งั เกตดคู วามเหมาะสม
ที่จะตอสูกันดวยวิธีการใด นี้เปนอุบายของผูฉลาดเพื่อแกความโงของตนออกจากใจ
ไปไดโดยลําดับ
จิตที่หาความสงบไมไดไมมีโลกอยูนะ จะวาไมบอกไมเตือน เพราะเราอยดู ว ย
จติ หวงั พ่งึ เปนพ่ึงตายกับจิตกับธรรม ไมไดหวังเอาความสุขจากสิ่งใด รปู เสยี ง กลน่ิ
รส เครอ่ื งสมั ผสั วัตถุสิ่งของตางๆ นั้นเปนเพียงเครื่องอาศัย ทา นเรยี กวา ปจ จยั เปน
เครอ่ื งสนบั สนนุ ใหเ ปน ไปในวนั หนง่ึ คนื หนง่ึ เดอื นหนง่ึ ปห นง่ึ เปน ระยะๆ ไปเทา นน้ั
สว นจะเอาดเี อาความวเิ ศษวโิ สจากสง่ิ เหลา นน้ี น้ั จรงิ ๆ ไมมีทางเปนไปไดตามใจหวัง
เพราะเปน เพยี งเครอ่ื งอาศยั เทา นน้ั ไมใชเปนของจริงจังอะไรพอที่จะไววางใจได ฝาก
เปน ฝากตายไดก บั สง่ิ เหลา นน้ั แตสิ่งที่เราจะฝากเปนฝากตายไดตลอดไปนั้นไดแก
ธรรม จึงตองอาศัยกุศลธรรม ไดแก ความฉลาด ฝกฝนอบรม เรม่ิ ตง้ั แตว ริ ยิ ธรรมคอื
ความพากเพียร ขนั ตธิ รรม ตองอดตองทนนักปฏิบัติ
ไมมีใครเกินพระพุทธเจา ขึ้นชื่อวาความอดความทนความพากเพียร ศาสดา
ของเราทา นเดนิ อยา งไร เราพยายามเดนิ ตามรอ งรอยของทา น อยาใหกเิ ลสมายั่วมายุ
มาหลอกมาหลอนใหทอถอยนอยใจ ในการตามเสด็จพระพุทธเจา ดว ยความ
พากเพียรอันจะเกิดผลแกตน แลว ใหก เิ ลสเอาไปกนิ เลย้ี งกนั เสยี อยางนั้นใชไมได นกั
ปฏบิ ตั ทิ เ่ี สยี เลห เ หลย่ี มใหก เิ ลส นาอับอายขายหนาตลอดอนันตกาล ไมม วี นั กเิ ลสจะ
ใหอภัย และปลดปลอยจากที่คุมขังคือวัฏจักรนั่นเลย
ความฉลาดพระพุทธเจาทรงสอนแลวทุกแงทุกมุม ซึ่งเปนผลเกิดจากพระองค
ทรงปราบกเิ ลสจนอยหู มดั มาแลวั จงึ ไดน าํ มาสอนโลก ทาํ ไมธรรมเปลา นน้ั ในเมอ่ื เรา
นาํ มาปราบกเิ ลส จะกลายเปน เรอ่ื งของกเิ ลสปราบเราและปราบธรรมไปเสยี ละ มันก็
ขัดกับการดําเนินเพื่อตามเสด็จพระพุทธเจาโดยไมตองสงสัย เพราะฉะนน้ั อุบายวิธีที่
จะเปนไปเพื่อการถอดถอนกิเลส จงนํามาใชเ ตม็ ความสามารถ ใหจ ติ เราไดม คี วาม
ผาสกุ เยน็ ใจเพราะมธี รรมะอารกั ขา สติอารักขา ปญ ญาเปน เครอ่ื งรกั ษาเปน เครอ่ื ง
ทําลายสิ่งที่เปนขาศึกตอจิตใจ การเพยี รกเ็ พยี รเพอ่ื รกั ษาใจ เพียรเพื่อถอดถอนกิเลส
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๐
๒๘๑
อดทนก็อดทนเพื่อการตอสูกับกิเลสซึ่งเปนความถูกตองชอบธรรมดวยกัน ไมม คี วาม
เสยี หายอะไร
ทกุ ขเ ราก็เคยทกุ ขม าแลว ต้ังแตวันเกิดจนถงึ บดั น้ี ทาํ ไมเวลาทกุ ขเพราะการ
ประกอบความเพียร เราจะถือวาเปนการกระเทือนกายกระเทือนใจ และเกิดความทอ
ถอย นั่นไมถูก ทุกขอยางอื่นเรายังยอมรับได ทกุ ขเ พราะความเพยี รอนั เปน ประโยค
พยายามทย่ี อดเยยี่ ม และเปน ยอดแหง การตอ สู ทาํ ไมเราจะไมย อมรบั ทาํ ไมจะเหน็
วาเปนทุกขแปลกประหลาด และเปนพิษภัยยิ่งกวาทุกขทั้งหลายที่เคยไดรับสัมผัส
สัมพันธมา ความทกุ ขเ พราะความเพยี รนแ่ี ล ทจ่ี ะเปน เครอ่ื งหนนุ ใหเ กดิ ความสงบสขุ
เยน็ ใจ จนกระทั่งถึงความสุขสุดยอด ไมพ นจากความทุกขอันนี้เปน เคร่ืองสนับสนุน
ไปไดเลย
ความทุกขอยางอื่นจะหวังเอาความดิบความดีกับมันไมได แตความทุกข
เพราะการพยายามตอ สกู บั กเิ ลสประเภทตา งๆ น้ี เปนความทุกขที่จะยังผลอันเปนที่
พึงใจใหเกิดขึ้นแกจิตใจของเราโดยลําดับ จนเปนที่พึงใจอยางเต็มที่ได จงึ ควรภมู ใิ จ
กับทกุ ขป ระเภทน้ี แมทุกขก็ยอมรับวาทุกขไปตามเหตุการณ ผูปฏบิ ตั เิ พือ่ จะกา วให
พนจากทุกขตองผานทุกขในการตอสูไปดวยกัน ไมม ใี ครไดเ ปรยี บเสยี เปรยี บกนั
เพราะธรรมไมม กี ารเอารดั เอาเปรยี บ นอกจากกเิ ลสอยา งเดยี วทค่ี อยเอาเปรยี บเราอยู
เสมอ เผลอไมไ ดต อ งเสยี เปรยี บใหม นั
โลกสมมุตินี้ไมมีสิ่งใดที่จะนาสงสัยแลว การเกดิ กเ็ คยเกดิ มานาน อยกู ับโลก
อนั นม้ี านาน ทุกขก็เคยทุกขมานาน สง่ิ ทเ่ี ราเคยสมั ผสั สมั พนั ธน เ้ี ราเคยสมั ผสั สมั พนั ธ
มามากตอมากแลว มีอะไรเปนสารคุณพอใหเปนทรี่ ะลึกเปนทว่ี างจติ วางใจ มอบชวี ติ
จิตใจไดดว ยความตายใจ ไมเ หน็ มพี อจะใหไ ดร บั ความสขุ แบบตายใจไดเ ลย นอกจาก
ทุกขมีมาก สขุ มนี อ ยประจาํ ความสมั ผสั และภพชาตนิ น้ั ๆ เปน เจา เรอื น มธี รรมเทา นน้ั
จะนําสัตวออกนอกทุกข นอกสมมุติ ถึงวิมุตติหลุดพนอยางภาคภูมิใจและตายใจได
ไมสงสัยถาปฏิบัติตาม
พระพทุ ธเจา กเ็ คยผา นโลกมาเชน เดยี วกบั พวกเรา ผา นวฏั วน วนเวยี นเกดิ ตาย
แบกหามกองทุกขมากนอยมาดวยกันกับสัตวโลก พระองคไมเคยประกาศพระองควา
เปน ผวู เิ ศษ และไมป รากฏวา พระองคว เิ ศษเพราะทกุ ขห นกั เบาขนาดใด เพราะภพใด
ชาติใดในการทองเที่ยว แตพ อจติ หลดุ พน จากกเิ ลสอนั เปน สาเหตใุ หเ กดิ แกเ จบ็ ตาย
เสยี ไดเ ทา นน้ั พระองคก็ทรงเปลงอุทานขึ้นมาทันทีวา วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ,ํ กตํ กรณียํ
เสรจ็ แลว กจิ การงานทห่ี นกั หนว งทง้ั หลายซง่ึ เปน งานใหญโ ตมากในไตรภพ ไดแกการ
ตอสูกับกิเลสทุกประเภท งานชน้ั ยอดเยย่ี มงานใหญโ ตคอื งานปราบไตรภพภายในใจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๑
๒๘๒
ไดจบสิ้นลงแลว เพราะกเิ ลสตายเรยี บ ไมมีกิเลสตัวใดเหลืออยูแลว กตํ กรณยี ํ กิจที่
ควรไดท าํ เสรจ็ แลว ที่ควรจะทําใหยิ่งกวานี้ไปอีกไมมีแลว นตถฺ ทิ านิ ปุนพฺภโว บัดนี้
ความเกดิ ความตายซาํ้ ๆ ซากๆ วกเวียนเปลยี่ นแปลงอยไู มห ยดุ ไมถอย จนหาทส่ี น้ิ
สุดยุติไมไดนั้นไดสิ้นสุดลงแลวในขณะที่กิเลสสิ้นไปจากใจ อคโฺ คหมสมฺ ิ โลกสฺส เรา
เปน ผปู ระเสรฐิ เหนอื โลกแลว บดั น้ี นี่พระองคประเสริฐตอนที่กิเลสหลุดลอยออกไป
จากใจ หลงั จากปราบกเิ ลสใหเ รยี บราบไปหมดแลว จึงไดทรงอทุ านข้ึนมาวา วเิ ศษ แต
กอนไมเห็นพระองคประกาศวาพระองควิเศษ
เราทง้ั หลายกไ็ ดเ คยสมั ผสั สมั พนั ธ คลุกเคลากับเรอ่ื งดังกลาวมามากมายอยู
แลว ไมอาจสงสยั จนไมม ีใครจะนํามาแขง ใครได ในเรอ่ื งการเวยี นวา ยตายเกดิ ทเ่ี ตม็
ไปดวยกองทุกขนั้นๆ แลวยังจะสงสัยอะไรกันอยูอีกไมเลิกแลวสักที ถาไมใชถูกกิเลส
กลอ มเสยี จนหลบั สนทิ ดว ยบทเพลงอนั นมุ นวลชวนใหเ คลบิ เคลม้ิ และหลบั สนทิ วา
สง่ิ นน้ั ดี อันนี้วิเศษ สิ่งนั้นหยดยอยไปตางๆ นานาเรอ่ื ยมา มีแตก เิ ลสมันพาเหอ พา
เหอ เสยี จนลมื เนอ้ื ลมื ตวั ลมื ตาย ตายไปแลว ยงั ตง้ั ความหวงั วา จะไดร บั ความสขุ ความ
สบายในทน่ี น้ั ๆ อกี ทั้งๆ ทีห่ ัวใจรอนเหมอื นฟน เหมือนไฟหาส่งิ พึงใจไมมีในนัน้ เลย
แลว จะเอาอะไรมาเปน ความสขุ ในภพนภ้ี พหนา
ถา ใจดวงเปน ตวั เหตตุ วั การตวั แกนอนั สาํ คญั นห้ี าความสขุ ไมไ ด มีแตฟนแต
ไฟอยูแลว เราจะไปเอาความสขุ มาจากอะไร จะเอาความสขุ มาจากดนิ มนั กเ็ ปน ดนิ
มนั เปนความสุขทีไ่ หน จากนาํ้ กเ็ ปน นาํ้ จากลมเปนลม จากไฟเปนไฟ จากวตั ถหุ รอื แร
ธาตุตางๆ ตลอดดินฟาอากาศ มันก็เปนธรรมธาตุ ธรรมฐิติของมันอยูอยางนั้นๆ มา
ดั้งเดิม จะเอาความสขุ ความเจรญิ อะไรมาใหเ ราไดช น่ื ชมบา งพอหวานใจ
ฉะนั้น ความถูกตองเพื่อสมหวังจึงตองแกลงที่จิตอันเต็มไปดวยยาพิษ ทเ่ี ผา
ผลาญใจใหห มดไปโดยลาํ ดบั จนหมดไปโดยสน้ิ เชงิ ภายในใจแลว นน้ั แล จะไมตอง
ถามหาความสขุ สถานท่ใี ด กาลใด เวลาใดไมถ าม ภพใดชาตใิ ดภพหนาชาติหลงั
อะไรไมถามตอไปใหเพิ่มความรําคาญ หมดปญหาที่จะถามเพราะพอตัวแลวทุกอยาง
ภายในจติ ไมม คี วามหวิ โหยโวยวายแลว จะไปถามหาอะไร จะไปสงสยั อะไรวาอันนน้ั
นา จะดอี นั นน้ี า จะดี เพราะมเี ตม็ หวั ใจแลว ในบรรดาความดคี วามสขุ อนั พงึ ใจ พอกับ
ความตองการ ไมบกพรองที่จะตองการตอไปอีกแลว นั่นแหละคือความพอของจิต
ของธรรม พออยูที่จิตอิ่มตัวอิ่มธรรมนั่นแล
ขอแตก เิ ลสตวั หวิ โหยโวยวาย กระเดน็ ออกไปจากใจเสยี อยา งเดยี วเทา นน้ั
ความหวิ โหยยงุ กวนจะไมม เี ลย อยูไหนอยูได ตายไหนตายได เพราะความสลายของ
ธาตขุ ันธท ี่เคยสลายมาแลว ต้งั แตเ รายังมืดมนอนธการ มนั กเ็ คยสลายเคยตายมาแลว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๒
๒๘๓
เรากร็ แู จง เหน็ จรงิ ประจกั ษใ จแลว วา มนั เปน เพยี งธาตขุ นั ธ เชน ธาตุสี่ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ
ผสมกนั มีจิตตัวหลงเขาไปสอดแทรกเปนตัวการใหกอกําเนิดเกิดขึ้นมา แลว กแ็ บก
หามสง่ิ เหลา นว้ี า เปน ตนเปน ของตน เปน เราเปน ของเราของเขาอยา งไมล ะอาย เพราะ
กเิ ลสมนั พาใหห นา ดา นเทา นน้ั เราจงึ ไมร วู า จะทนอายหรอื ไมทนอายอยา งไรดี เพราะ
ความยอมจํานนตอ มันโดยไมมีทางหลกี เลย่ี งนัน่ แล พาใหท นอายเอา อะไรๆ ก็จําทน
เอา
เม่ือสตปิ ญญาทําไดเ พยี งพอและทําลายส่ิงเหลานีล้ งแลว เราจงึ ไดเ หน็ ความ
ลามกของมัน ความหยาบชาความรอ ยเลหพนั เหลย่ี มรอยสนั พนั คมของมนั ประจกั ษ
ใจไมตองถามใครแมศาสดายังทรงพระชนมอยู ทีนี้แมจะยกเอาสามโลกธาตุมา
เปรยี บเทยี บมาเปน คแู ขง กบั จติ ดวงทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ น้ี สง่ิ เหลา นน้ั กส็ กั แตว า แรธ าตุ
สมมุติอันหนึ่งๆ เทา นน้ั หาเปน วิมุตตดิ งั จิตและธรรมท่บี ริสุทธน์ิ ้นั ไม เพราะสง่ิ เหลา
นน้ั มนั เปน โลกทเ่ี ราเคยเกดิ เคยตาย เคยทกุ ขทรมานมามากตอมากนานแสนนานมา
แลว จะมีสงสัยอะไรอยูอีกเลา ฉะนั้นระหวางแหงรสของธรรมกับรสของโลกามิสใน
โลกสมมุติ จงึ มีคุณคา และน้ําหนกั ตางกันอยูมาก จนเทียบกันไมไดดังธรรมทานกลาว
ไวน น่ั แล จะมีผดิ พลาดที่ตรงไหนในธรรมทว่ี า รสแหง ธรรมชาํ นะซง่ึ รสทง้ั ปวงนะ
ฉะนั้นจงฟงใหถึงใจปฏิบัติใหถึงธรรม คาํ วา รสแหง ธรรมนน้ั ใจจะเปน ผสู มั ผสั รบั
ทราบเอง ไมมีสิ่งใดในโลกจะมาสัมผัสแทนได
นล่ี ะศาสนธรรมของพระพทุ ธเจา สอนลงถึงเหตุถึงผลถึงความสัตยความจริง
ไมมีปลอมแมแตนิดหนึ่ง คาํ วา ปลอมใหพ งึ ทราบวา เปน กเิ ลสทง้ั มวล เพราะกเิ ลสมี
แตปลอมลวนๆ หาความจริงไมได ปลอมตลอดมาและเปนคูแขงกับความจริงคือ
ธรรมเรอ่ื ยมา ไมม ีคําวาเปนมติ ร เพราะฉะนั้นเรื่องของกิเลสจึงปลอมมาเรื่อยๆ
ปลอมมาแตลูกแตหลานแตเหลนแตป ูยา ตายายของมนั ปลอมมาหมด อาการใด
แสดงออกมาตองขัดกับธรรมทั้งนั้น การแกกิเลสจึงตองแกของปลอม เมื่อแกของ
ปลอมออกไดมากนอยก็เริ่มเห็นของจริงขึ้นมาที่ใจมากนอยตามลําดับ จนกระทง่ั จริง
เตม็ สว น
เมื่อจิตถึงธรรมของจริงเต็มสวนเพราะกิเลสตัวปลุกเสกเกงๆ สน้ิ ไปแลว สง่ิ
ภายนอกกจ็ รงิ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ ฟาอากาศ ทุกส่ิงทกุ อยา งไมว า วตั ถไุ มว า นามธรรม
เปนของจริงตามธรรมชาติของตน เมื่อกิเลสไมมีมาหลอกวานน้ั เปนอยา งน้นั วา นเ้ี ปน
อยา งนเ้ี สยี อยา งเดยี ว ใจทร่ี รู อบขอบชดิ แลว ใจกจ็ รงิ เตม็ สว น เมื่อตางอันตางจริงแลว
ก็ไมกระทบกระเทือนกัน ถึงจะรอ นจะหนาวจะหิวจะกระหายกเ็ ปนธรรมดาของธาตุ
ของขันธ ใจจะรบั ทราบและรบั ผดิ ชอบกนั อยเู พยี งเทา นน้ั ทจ่ี ะใหค วามหวิ ความ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๓
๒๘๔
กระหายความทกุ ขค วามลาํ บากทางกาย แทรกเขา สภู ายในใหใ จเกดิ ทกุ ขเวทนาขน้ึ มา
นั้นไมมี เปน อนั วา เวทนาทง้ั สามขาดสะบน้ั ไปจากใจ นบั แตข ณะกเิ ลสแตกกระจาย
ออกจากใจ
เพราะฉะนน้ั พระอรหนั ตจ งึ ไมม เี วทนาภายในจติ นบั แตขณะบรรลุอรหตั ผล
จนกระทั่งวันนิพพาน ตลอดอนันตกาล เพราะสขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา อุเปกขาเวทนา
เหลา นเ้ี ปน สมมตุ ทิ ง้ั มวล จิตวิมุตติกับสิ่งสมมุติจึงเขากันไมได ตา งอนั ตา งจรงิ ไปตาม
ธรรมชาติของตน คาํ ทว่ี า นพิ พฺ านํ ปรมํ สุขํ นน้ั เปน สขุ ตามหลกั ธรรมชาตขิ องความ
บรสิ ทุ ธต์ิ า งหาก ไมใ ชส ขุ เวทนา เพราะฉะน้นั จึงไมม คี าํ วา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เขา
ไปแทรกจิตที่บริสุทธิ์แลวไดเลยตลอดไป ฉะนั้น พระอรหันตทานจึงจะมีอิสระทางใจ
อยางเต็มตัว ไมกลัวไมกลากับสิ่งตางๆ ที่เขามาเก่ยี วขอ งสมั ผัส เพยี งรบั ทราบแลว ก็
ผา นไปๆ ตามหลกั ธรรมชาตไิ มบ ังคบั เสกสรร
ทง้ั นเ้ี หตุ คอื ความอตุ สา หพ ยายามเปน สาํ คญั ทุกข พระพุทธเจาก็ทรงเปน
พยานมาแลว ทรงเดินไปทามกลางกองทุกขกอนพวกเราใหเห็นประจักษอยูแลว พระ
องคท รงสลบสามหน…ฟงดูซิ ไปอานคัมภีรก่คี รงั้ ๆ กว็ า ทรงสลบสามหนอยนู น่ั แล จะ
ไมเจอคําวาพระองคลางมือคอยเปบ การดําเนินและคําสั่งสอนของพระองคที่
ประทานไวแกพวกเรา เปน ธรรมสดๆ รอ นๆ เหมอื นวา เดย๋ี วนๆ้ี จะไมชัดแจงยังไง
พระสาวกทงั้ หลายก็ทุกขลาํ บากเชนเดียวกัน เพราะไมใชม ีเพียงสกลุ หนึ่งสกุลเดยี ว มี
หลายสกลุ มหี ลายชาตชิ น้ั วรรณะ ที่สละความสุขทางโลกออกมาเพื่ออรรถเพื่อธรรม
ทา นไมเ หน็ แกค วามยากลาํ บาก
แมจ ะเคยอยใู นสกุลท่ลี ะเอียดออนเชน สกุลกษัตริยมาแลว แตเวลาเสด็จออก
มาบวชในพระพทุ ธศาสนา ทา นปฏบิ ัติตนแบบลกู ศษิ ยม ีครู ตามรอยพระบาทของ
พระพุทธเจา ยอมเปนทุกขดวยกัน ทา นยอมรบั ไมไดคํานึง ไมไดคิดถึงไมวุนวายกับ
สมบัติเงินทองที่มีมากนอยในสกุล สกุลสูงสกุลต่ําสกุลใดเหมือนกัน ทา นยอมรบั ตาม
หลักธรรม ทานจึงเพียรจึงอดทนจึงตองมีความทุกขความลําบากพอๆ กัน การแสวง
หาธรรมวเิ ศษ ถาจะไปยุง เก่ียวกับสง่ิ ภายนอกตามสมมตุ นิ ิยมซึง่ มีคณุ คา ตา่ํ กวาธรรม
อยูแลว จะหาความวิเศษเหนอื ส่ิงเหลาน้ันไปไมได ตอ งเปน ผูปฏิบตั ดิ วยความไมเกาะ
เกี่ยวของแวะกับสิ่งใดนอกจากธรรม ตั้งหนาบึกบึนฝน กระแสของโลกทีม่ ีอยูภายในใจ
ของตนตลอดเวลาและอิริยาบถไมลดละทอถอย ใจจึงจะมีกําลังผานไปได
การประพฤติปฏิบัติ เมอ่ื ใจมกี าํ ลงั มศี รทั ธาความเชอ่ื มน่ั ในมรรคในผลแลว
ความเพยี รก็มีมาตามๆ กนั ความอดความทนก็พออดพอทนไดคนเรา มันขึ้นอยูกับ
ใจดวงเดยี วนเ้ี ปน สาํ คญั ถาใจทอถอยออนแอเสียอยางเดียว อยูที่ไหนก็อยูไมได ทํา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๔
๒๘๕
อะไรก็ไมสําเร็จเพราะทนไมได คอยแตจะตาย ออนเปยกไปหมด กระทั่งกระดูกที่
เปน อวัยวะแข็งๆ ภายในรา งกาย ถากําลังใจมี กําลังศรัทธามี มันพออดพอทน ทําไม
จะอดทนไมได โลกเขาทาํ การทํางานเชน เดยี วกบั เราเขากท็ กุ ขเ หมือนกนั เขายังทนได
เราทาํ ความพากเพยี รเพอื่ ถอดถอนกิเลส ซง่ึ เปน เสย้ี นเปน หนามเปน หอกเปน หลาว
ทิม่ แทงอยภู ายในใจใหห มดสนิ้ ไปซ่งึ เปนงานอนั หนง่ึ ทําไมจะไมยอมรับทุกขประเภท
ท่จี ะใหถ ึงธรรมอนั วิเศษ เราตอ งยอมรบั ถาเชอื่ ธรรม ไมเชื่อกิเลส
นักปฏิบัติตองมีความเขมแข็งและมีความจริงจังตอทุกสิ่งทุกอยาง ดวยความมี
สติจดจอตอเนื่องกัน มเี จตนาประจาํ งานของตนไมเ หลาะแหละ ความเหลาะแหละไม
ใชนิสัยของผูจะครองธรรมสมบัติได จะกลายเปน เรอ่ื งกเิ ลสตวั วบิ ตั ไิ ปหมด กเิ ลสมนั
จะพาใหเปนสมบัติไดยังไง คาํ วา สมบตั กิ แ็ ปลวา ถงึ พรอ มหรอื สมบรู ณใ นสง่ิ พงึ หวงั
กิเลสมันเปนที่พึงหวังเมื่อไร และจะเปนสมบัติอันพึงใจไดยังไง นอกจากมันเปน
ขา ศกึ และพาใหว บิ ตั ไิ ปโดยลาํ ดบั เทา นน้ั
อยา ลมื คาํ วา สติ ผมเห็นคุณคาของสติมาก ปญญา สตเิ ปน สาํ คญั เพียรอยู
เสมอ ผูมสี ติอยูก ับตวั ชือ่ วาผมู คี วามเพยี ร ยนื เดนิ นั่ง นอน ขบฉนั ทาํ หนา ทก่ี ารงาน
ตางๆ อยางนอยใหมีสัมปชัญญะรูสึกตัว ถาไมมสี ตจิ ดจอ อยกู บั คําภาวนาก็ใหม คี วาม
รสู กึ ตวั อยภู ายในตวั เสมอ…ไมผิด เวลาจะนาํ เขา สกู ารสงู านจรงิ ๆ ยอมงาย เหมอื น
กับสัตวที่รักษาเลี้ยงดูมันอยู จะไลตอนเขาคอกเมื่อไรก็ได ไมเหมือนที่ปลอยไปตาม
ยถากรรมกวา จะตระเวนหาพบตวั กถ็ กู เขานาํ ขน้ึ เขยี งแลว จิตที่ระมัดระวังรักษาอยู
โดยสมาํ่ เสมอ เวลาจะใหเ ขา สคู วามสงบในองคภ าวนากไ็ ดต ามความตอ งการ ไมดื้อ
ดึงเหมอื นท่ปี ลอยใหเปน ไปตามยถากรรม
การระมัดระวังสติก็ตองฝน ฝน กเิ ลสนน่ั แหละ เพราะกเิ ลสเปน ผทู าํ ลายสติ
เปน ผทู าํ ลายปญ ญา เปนผูทําลายธรรมะทกุ ขนั้ กิเลสจะตองกีดตองขวางตองทําลาย
เสมอ เพราะฉะนั้น การประกอบความเพียรทุกทาจงึ เปน การฝนกเิ ลสการตอสูกิเลส
ไปในตัว ถาไมฝนก็เทากับยอมตามกิเลส ยอมจํานนกิเลส ก็หาทางออกทางพนจาก
กิเลสไมได ตองมัดกิเลสเขาไปตามวิธีดังกลาวนี่ จงึ เรยี กวา นกั รบดว ยสตปิ ญ ญา สติ
ปญญาตอ งใหแ หลมคมยิ่งกวา กิเลสจงึ จะปราบกเิ ลสได ถากิเลสยังแหลมคมกวาก็ไม
มีทางเอาชนะและหลุดพนจากอํานาจของมันไปได จึงตองบํารุงสติปญญาอยูเสมอไม
ลดละ
นกั บวชเรานบั วา สะดวกมากในการประกอบสมณกจิ สมณธรรม เพื่อความสงบ
เยน็ ใจ เราทาํ ไดส ะดวกทกุ เวลาเพราะไมม งี านอน่ื ๆ มายุงกวนเหมือนทางโลก มี
ศรทั ธาญาตโิ ยมมากมายท่ีคอยสนับสนุนดว ยปจจยั ส่ี และคอยอนุโมทนากับทานผูตั้ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๕
๒๘๖
ใจประพฤติปฏิบัติ ไมตายไมอด นอกจากเราจะอดเพอ่ื ฆา กเิ ลส ที่จะอดตายเพราะไม
มผี มู าทําบุญใหท านน้นั เปนไปไมได เพราะคนบุญยงั มอี ยูมาก ในเมอื งไทยเราเปน
เมืองพุทธดวย คอยสนบั สนนุ และอนโุ มทนาอยเู สมอ อยากไดบุญไดกุศลดวย เราผู
จะเสาะแสวงหาบุญเพ่อื ตนและเพือ่ ผูอ น่ื ในอันดบั ตอไปนนั้ ตองตั้งหนาตั้งตา
ประพฤติปฏิบัติอยาลดละทอถอย เพื่อใหเห็นสมบัติอันพึงใจเกิดขึ้นที่ใจ
ใจเปน มหาสมบตั ิ ธรรมสมบตั อิ ยทู ใ่ี จ มหาสมบัติทั้งมวลอยูที่ใจ ลงใจกับ
ธรรมไดกลมกลนื เปน อันหน่งึ อันเดยี วกนั แลว นน้ั แหละคอื มหาสมบตั ิ เวลานี้มีแต
กเิ ลสมนั พนั หวั ใจ จึงตองไดแกไดถอนฟดเหวี่ยงกันอยูตลอดเวลา จะยากลาํ บากกท็ น
เอา จงึ จะสมนามศษิ ยมคี รคู ือศาสดาองคเ อกเปน ครสู อน
อะไรจะฝกฝนอบรมยาก ยิ่งกวาฝกฝนอบรมพระใหเปนพระอยางสมบูรณ
แบบใหเ ปน คนอยา งสมบรู ณแ บบไมม ี และไมมีการฝกอะไรยากยิ่งกวาฝกคนใหดีสม
ภูมิของคน คาํ วา คนกต็ อ งหมายเอาตวั ของเราเปน อนั ดบั แรก และการสอนก็ไมมีอะไร
สอนยากยง่ิ กวา สอนคน นก่ี ห็ มายถงึ เราเปน คนแรก เราสอนเรานน่ั แหละคอื สอนคน
เราฝก เรานน่ั แลคอื ฝก คน จึงตองยากทุกระยะๆ ไมมีอะไรที่จะยากยิ่งกวาการฝกคน
การทรมานคน การทาํ คนใหเ ปน คนดจี นถงึ ขน้ั วเิ ศษวโิ ส หมายเอาตวั ของเราเปน คนๆ
หนง่ึ คนอื่นนัน้ ไมมีปญ หายงุ ยากยิ่งกวาเราฝก เราใหเปน คนอยา งเตม็ ภูมิ เมื่อคนน้ี
สมบูรณแลวเรื่องประโยชนทางโลกนั้นแยกกันไมออก เพราะโลกกับธรรมอาศัยกันอยู
ชาวบานกับชาววัดก็แยกกันไมออก ตองอาศัยซึ่งกันและกัน มนั หากเปนไปเอง ดงั
พระพุทธเจา พระสาวก ตลอดครอู าจารยท ง้ั หลายเปน ตวั อยา งในการทาํ ประโยชนแ ก
โลก เพราะโลกกับธรรมเปนสิ่งเกี่ยงโยงกันแตไหนแตไรมาแยกกันไมออก
พระพุทธเจาเมื่อตรัสรูแลวเรื่องประโยชนของโลกก็ตามมาเอง ในขณะทท่ี รง
บาํ เพญ็ ไมส นพระทยั กบั ผหู นง่ึ ผใู ดเลย มีแตตั้งหนาประพฤติปฏิบัติกําจัดสิ่งที่มืดมน
อนธการอยภู ายในจติ ซึ่งไมมีอะไรที่จะมืดยิ่งกวากิเลสครอบหัวใจ สิ่งที่มีอยูมันก็ไม
เหน็ กไ็ มร ู เพราะกเิ ลสไมใ หเ หน็ กเิ ลสไมใ หร ู กเิ ลสไมใ หเ ชอ่ื กเิ ลสไมใ หทํา นแ่ี หละ
มนั จงึ ลาํ บาก กเิ ลสเปน ผคู ดั ผคู า นผขู ดั ผขู วางอยใู นหวั ใจนแ้ี หละ จึงรูไมไดเห็นไมได
ในสิ่งที่มี ซึ่งพระพุทธเจาทรงแสดงไวแลวทุกแงทุกมุม บาปกไ็ มท ราบวา เปน ยงั ไง บญุ
กไ็ มท ราบวา เปน ยงั ไง นรกไมท ราบวา เปน ยงั ไง สวรรคไ มท ราบวา เปน ยงั ไง พรหม
โลกไมทราบเปนยังไง นพิ พานไมท ราบเปน ยงั ไง ทั้งๆ ทใ่ี จนแ้ี หละจะเปน ผรู ู แตมนั รู
ไมไดในขณะที่ถูกกิเลสปดไวอยางมิดตัว
การประพฤติปฏิบัติดวยความพากเพียร เปนการเปดการเพิกถอนสิ่งที่หุมหอ
ใหมืดมิดปดตาภายในใจนี้ออกไปเปนลําดับ ใหไดเ ห็นส่งิ ท่มี อี ยทู ั้งหลายดงั กลา วแลว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๖
๒๘๗
ตามเปน จรงิ ความสงบกใ็ หเ หน็ สมาธิก็จะไดรูไดเห็นขึ้นที่ใจ เมอ่ื ความวนุ วายอนั เปน
ตัวกิเลสจางลงไปๆ ปญญาความสอดสองก็มีทางออกและกาวเดินได เพราะกิเลสไม
กีดขวางปดกั้นไวเต็มที่เหมือนแตกอนที่ยังไมไดปฏิบัติ ปญญาก็พอจะกาวเดินไดหรือ
กาวเดินได และกา วเดินไดอ ยา งเต็มภมู เิ มอื่ จิตมีความสงบพอเปน บาทเปน ฐานแลว
ฉะนั้น คาํ วา สมาธคิ อื ความสงบใจจงึ เปน ธรรมจาํ เปน ที่จะหนุนปญญาใหกาวเดินได
อยางสะดวกคลองตัว ทั้งขั้นเริ่มแรกและขั้นตอไปของปญญา ผูปฏิบัติจึงไมควรมอง
ขา มสมาธิ อันเปนธรรมสั่งสมกําลังเพื่อปญญาทุกขั้นไป จนถงึ ความบรสิ ทุ ธห์ิ ลดุ พน
โดยชอบธรรม ดงั ทา นกลา วไวใ นอนศุ าสนต อนปลายวา ปญ ญาทไ่ี ดร บั การหนนุ จาก
สมาธิแลวยอมหลุดพนจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบดังนี้
เมื่อปญญาไดเริ่มไหวตัวออกพิจารณาแลว ความรคู วามเหน็ ความเปน ตา งๆ
ทไ่ี มเ คยปรากฏขน้ึ ภายในใจ ยอ มปรากฏขน้ึ เรอ่ื ยๆ อบุ ายวิธีการตา งๆ ปรากฏขึ้น
เรอ่ื ยๆ ความจริงที่เคยมีอยูที่ไหนๆ มาดง้ั เดมิ แตเ ราไมร ไู มเ หน็ กก็ ลบั ใหร ใู หเ หน็ ขน้ึ
มาชดั ขน้ึ มาภายในใจ สุดทายใจก็เปดตัวเองขึ้นมาอยางเต็มที่เพราะไมมีอะไรปด
เนอ่ื งจากกเิ ลสสลายตัวลงไปหมดแลว เหลอื แตค วามรอู นั เปน ธรรมลว นๆ ทาํ ไมจะ
มองไมเ ห็นสง่ิ ทง้ั หลายตามเปนจริง
โลกวิทู รูแ จง โลกกร็ ูแจง ท่ใี จน้กี อนซิ เมอ่ื รแู จงท่ใี จแลวสิ่งตา งๆ ก็รูแจงไปเอง
ปดใจนี้ปดไมอยู มแี ตก เิ ลสเทา นน้ั แหละปด ใจ พอกเิ ลสสน้ิ ซากลงไปแลว อะไรจะปด
ใจไมอยูเลย จะรูอยางประจักษ เรารูประจกั ษเพียงคนเดยี วเทา น้นั สามารถพูดได
อยางเต็มปาก เพราะพดู ดว ยความรจู รงิ เหน็ จรงิ ในสง่ิ ทม่ี อี ยเู ปน อยกู บั ตนและเกย่ี ว
โยงกันทั่วไตรภพ ไมไดพูดดวยความดนเดาเกาหมัด คาํ วา โลกวทิ ู รแู จง โลกอนั เปน
คุณสมบัตขิ องสาวก ก็คือรูแจงในธาตุขันธและจิตใจของตนนี้กอนอื่น จากนั้นก็
กระจายออกไปสูโลกและธาตุขันธภายนอกไมมีประมาณ และประมวลมาเปน ความ
จริงอยางเดียวกัน
เราทราบแลว วา พระพทุ ธเจา เพยี งพระองคเ ดยี วเทา นน้ั สามารถเปน ศาสดา
สอนโลกทั้งสามได สตฺถา เทวมนสุ สฺ านํ ฟงซิ..ธรรมบทยอ ทา นแสดงไว ไมเพียงแต
เปนครขู องมนุษยเ ทา นน้ั ยังเปนครูของอินทรพรหมเทวดาทั้งหลายอีกดวย นน่ั แหละ
ความรูจริงสามารถพูดไดสอนไดไมมีอัดมีอั้น นําออกมาพูดไดทั้งนั้นเพราะออกมา
จากความรจู รงิ เหน็ จรงิ ไมงกๆงันๆ ไมลูบไมคลํา นเ่ี ราพยายามสอนเราเพยี งคน
เดียว ทั้งที่มีเครื่องมือหรือแนวทางคือโอวาทของพระพุทธเจา ตลอดอบุ ายตา งๆ ทรง
สอนไวหมดแลวก็ยังเปนไปไมได แลวจะหวังเอาผลเอาประโยชนจากอะไร
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๗
๒๘๘
ตายเกิดตายทุกขตายยากตายลาํ บากวกเวียนกันอยูไ มหยุดไมถอย มันไดผล
ประโยชนอะไร ไดความวิเศษวโิ สท่ีตรงไหน ภพใดภพนั้นกับภพนี้มันตางกันตรงไหน
ก็คอื ภพแหงความเกิดความตายความทกุ ขค วามทรมานเหมือนกัน ถาจะเอาความ
วเิ ศษวโิ สจากการเกดิ การตายนไ้ี ดจ รงิ โลกวิเศษวิโสกันไปหมดแลวในโลกธาตุนี้ไมมี
ใครยง่ิ หยอ นกวา กนั ความหลดุ พน จากสง่ิ เหลา นเ้ี พราะทาํ ลายเชอ้ื มนั หมดแลว เทา นน้ั
เปน ความประเสรฐิ เปน ผปู ระเสรฐิ หมดกังวลกันเพราะกิเลสขาดสะบั้นลงไปแลว นตฺ
ถทิ านิ ปุนพฺภโว บดั นค้ี วามเกดิ ความตายซาํ้ ๆ ซากๆ ดังที่เคยเปนมาของเราไมมี
แลว หมดแลว
นแ่ี หละการปฏบิ ตั ิ ถาลงไดจริงจังกับธรรมปฏิบัติแลว ผลจะตองปรากฏขึ้นไป
ตั้งแตขั้นของความสงบเย็นใจ ปญญาก็จะกาวออกเรื่อยๆ สิ่งที่ไมเคยรูก็จะรูขึ้นมา
ภายในจติ ใจ สิ่งที่ไมเคยละไดก็ละไดเปนลําดับ กเิ ลสประเภทตา งๆ ขาดหลุดลอยไป
และขาดทห่ี วั ใจอยา เขา ใจวา ขาดทไ่ี หนนะ เมอ่ื รแู จง ชดั เจนแลว กเิ ลสกข็ าดไปๆ เปน
ลาํ ดบั ลาํ ดา ไมใ ชข าดไปทเี ดยี วเรยี บวธุ ไปเลยนะ นอกจาก ขิปปาภิญญา ทบ่ี รรลุ
ธรรมไดอ ยา งรวดเรว็ เทา นน้ั จาํ พวก เนยยะ ซึ่งตองฝกทรมานตนดวยวิธีการตางๆ
กิเลสตอ งขาดไปโดยลําดับลาํ ดาตงั้ แตข น้ั หยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด คอยขาดไปๆ
บทสดุ ทา ยท่ีอวิชชาขาดจากใจนนั้ จงึ เปนขาดสะบ้นั จดุ นน้ั ขาดสะบน้ั เหมอื นกนั หมด
พอถึงจุดนั้นแลวก็เหมือนกับถอนรากแกวพรวดขึ้นมาพรวดเดียวเทานั้นก็หมด
นน่ั แหละการถอนรากแกว ของอวชิ ชาพรวดขน้ึ จากใจหนเดยี วเทา นน้ั ไมตอง
ไดถอนอีกแลวที่นี่ นเ้ี ปน อกุปปธรรมขั้นสุดยอด อกุปปธรรมขั้นโสดาฯ นน้ั เปน ขน้ั
หนง่ึ ขั้นสกิทาคาฯ เปน ขน้ั หนง่ึ ขน้ั พระอนาคาฯ เปน ขน้ั หนง่ึ ขน้ั อรหตั อรหนั ตเ ปน
ขน้ั หนง่ึ คาํ วา โสดาฯ เปน อกปุ ปธรรมหมายความวา ไมเสื่อมจากขั้นโสดาฯ นี้ลงไป
อีกแลว แตยังมีความเจริญความเสื่อมในขั้นที่ตนกําลังกาวกําลังปนขึ้นไปอยูยังไมได
ที่ยึดที่เกาะอยางเต็มที่ ปนขึ้นตกลงๆ อนั นน้ั ยงั มกี ารกาํ เรบิ สว นขน้ั ภมู ทิ ไ่ี ดแ ลว นน้ั
เปนอกุปปธรรมไมกําเริบ คือหมายความวา ไมเปน อื่น พอกาวขึ้นอีกพักหนึ่งเปนที่แน
ใจแลว นั่นเปนอกุปปะและกาวตอไป เชน พระสกทิ าคาฯ จะกา วสขู น้ั พระอนาคาฯ ก็
ตองกาวแลวตกลงๆ เรยี กวา เจรญิ แลว เสอ่ื มๆ เพราะยงั ไมช าํ นาญ จนกระทง่ั ชํานาญ
ถึงขั้นที่วาเกาะติดปบแลวก็เปนอกุปปะในขั้นนั้นๆ พอถึงขั้นอรหัตภูมิเต็มตัวแลว
หมดละที่นี่ ไมมีกาวไปไหนอีก จึงไมมีคําวาตกลง ไมม คี าํ วา เจรญิ แลว เสอ่ื มเพราะ
เจรญิ เตม็ ทถ่ี า วา เจรญิ เจรญิ เตม็ ทแ่ี ลว ถึงหลักธรรมชาติเปนอกุปปะขั้นสุดยอดแลว
ที่กลาวมาทั้งหมดนี้ไมใชอันใดสิ่งใดจะเปนผูสัมผัส จะเปน ผรู บั รจู ะเปน เจา
ของสมบัติดังกลาว นอกจากใจดวงเดยี วนี้ ธรรมทง้ั มวลมใี จดวงเดยี วนเ้ี ทา นน้ั จะเปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๘
๒๘๙
ผรู บั สมั ผสั สมั พนั ธ จะเปน ผรู บั และบรรจไุ วใ นตนเปน มหาสมบตั ิ ขอใหท ุกทา น
พยายามใหเห็นของวเิ ศษภายในใจของตน จะหายกังวลในสิ่งทั้งหลายโดยไมตอง
สงสัย ขอแตก ารปฏบิ ตั เิ อาจรงิ เอาจงั ตามแนวสวากขาตธรรมเถิด ผนู แ้ี ลจะเปน เจา
ของมหาสมบัติคือมรรคผลนิพพาน โดยไมม กี าลสถานที่หรอื สิง่ หน่งึ สง่ิ ใดผูห นง่ึ ผูใด
มามอี ํานาจกีดขวางไดเลย มีทกุ ขก ับสมทุ ยั เทานั้นทําการกดี ขวาง และมนี โิ รธกบั มรรค
เทา นน้ั เปน ธรรมบกุ เบกิ เพกิ ถอนใหเ ตยี นโลง ภายในใจของผปู ฏบิ ตั ิ
ฉะนั้น จงเปน ทแ่ี นใ จในสจั ธรรมทง้ั ฝา ยละและฝา ยบาํ เพญ็ และปฏบิ ตั ใิ หเ ตม็
ตามหนาที่ทั้งสองฝาย คาํ วา มรรคผลนพิ พานจะเปน หนองออ ขน้ึ ทใ่ี จดวงเปน ภาชนะ
อันเหมาะสมแหงธรรมทุกขั้นไมสงสัย จะปรากฏหนองออวา ออ ธรรม…อยูที่นี่เอง
หรอื อยทู ใ่ี จนเ้ี องเหรอ ในวนั เวลาหนง่ึ แนน อนไมส งสยั
จึงขอยุติ
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๘๙
๒๙๐
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
มหาวทิ ยาลยั สงฆ
สถานทบี่ ําเพ็ญในครง้ั พุทธกาล ถา จะเทยี บกบั มหาวทิ ยาลยั สงฆอ ยา งสมยั
ปจ จบุ นั น้ี มหาวิทยาลัยของทานคือที่ปา ทเ่ี ขา ที่ถ้ํา เงื้อมผา ซอกเขา ไหลเ ขา ปา ชา ปา
รกชฏั ซง่ึ ลว นแตเ ปน สถานทส่ี งดั วเิ วกวงั เวง อนั เปน การสมั ผสั ในหลกั ธรรมชาตแิ ละ
ปลุกสติปญญา ศรทั ธา ความเพยี รใหตื่นอยตู ลอดเวลาไมป ระมาทนอนใจ และ
ปราศจากสิ่งพลุกพลานกอกวนตางๆ เปน สถานทีท่ ี่ใหความสงัดวเิ วกทางกาย และเปน
เครือ่ งหนุนความวเิ วกทางใจไดเปน อยา งดี ทกุ กาลสถานทแ่ี ละอริ ยิ าบถในการบาํ เพญ็
สมณธรรม นกั ศึกษาในครัง้ พทุ ธกาลท่ีเขาสูม หาวทิ ยาลัยเชนน้ันยอ มเปนผูพรอ มทุก
อยาง ศรัทธาความเชื่อตอมรรคตอผลก็พรอม วิรยิ ะคอื ความพากเพียรกพ็ รอม สติก็
พรอม สมาธกิ เ็ ตรยี มพรอม ปญญาก็กลมกลืนกันไปที่เรียกวาอินทรีย ๕ หรอื พละ ๕
ซึ่งเปนหลักวิชาและเครื่องมือของนักศึกษาและนักปฏิบัติในครั้งพุทธกาล ทา นดาํ เนนิ
กนั อยางนน้ั
หลักวิชาที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนในเบื้องตน เพอ่ื นาํ ไปบาํ เพญ็ ในสถานทเ่ี ชน
นั้นก็คือ อาการ ๓๒ ซงึ่ เปน หลกั วชิ าอนั ใหญโ ตมากที่พระผูมารับการอบรมศกึ ษาจะรับ
ไปประพฤติปฏิบัติจากพระพุทธเจา ซง่ึ เปน ศาสดาจารยอ งคเ ลศิ การปฏิบัติทุกแงทุก
มุมตลอดความเคลื่อนไหวในอาการตางๆ ลว นแตเ ปน ทา ของนกั รบผเู อาจรงิ เอาจงั ทง้ั
นน้ั เพ่อื ใหจบพรหมจรรยค ือความสิ้นสดุ วิมุตตพิ ระนพิ พาน สงั หารกเิ ลสใหข าดลอยไป
จากจิตใจ กลายเปน ผสู าํ เรจ็ ปรญิ ญาเอกขน้ึ มา ปรญิ ญาเอกครง้ั นน้ั ไดแ กก ารสาํ เรจ็
อรหตั บคุ คล ปรญิ ญาตรี ปรญิ ญาโทกไ็ ดแ กส าํ เรจ็ พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา
สว นปรญิ ญาเอกไดแ กพ ระอรหัตบุคคล
ผสู าํ เรจ็ ปรญิ ญาเอกแลว ชอ่ื วา เปน ผเู รยี นจบพรหมจรรยโ ดยสมบรู ณแ ลว ใน
มหาวทิ ยาลยั สงฆน น้ั ๆ ไมม คี าํ วา ใบประกาศนยี บตั รใดๆ มสี นทฺ ฏิ ฐ โิ กตามขั้นภูมิของ
จิตของธรรมที่รูเห็นเปนใบประกาศของทานแตละองคๆ คอื ความรเู องเหน็ เองจากการ
ปฏิบัติของตนที่ไดศึกษามาดวยดีแลวจากพระพุทธเจา เพราะคาํ วา สนทฺ ฏิ ฐ โิ กพระองค
ทรงมอบไวกับผูปฏิบัติทุกๆ รายไป ไมทรงผูกขาด ทรงมอบใหผ นู น้ั เปน ผรู ผู เู หน็ และผู
ยนื ยันความจริงขนึ้ มากับตนเอง เพราะความจริงมีอยูกับทุกคน นอกจากจิตที่ยังปลอม
อยูดวยกิเลสของจอมปลอมทั้งหลายเทานั้น จงึ ไมส ามารถจะทราบความจรงิ ซึ่งมีอยูกับ
ตนไดท ง้ั สว นหยาบสว นกลางสว นละเอยี ด ไมม ใี ครมาใหใ บรบั รอง สนั ทฏิ ฐกิ ธรรมเปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๐
๒๙๑
เครื่องรับรองประจักษใจ หรอื ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ ทา นผรู ทู ง้ั หลายพงึ รจู าํ เพาะ
โดยการปฏิบัติของตน นเ่ี ปน ใบประกาศของทา นทค่ี น ควา และเสาะแสวงหาเองดว ย
ความชอบธรรม ไดแก สปุ ฏปิ นโฺ น อุชฯุ ญายฯ สามจี ปิ ฏปิ นโฺ น ผลที่ตกออกจากการ
ปฏบิ ตั นิ ี้กไ็ ดแกอ ริยบคุ คล คอื โสดา สกทิ าคา อนาคา อรหัตบุคคล
ในครั้งพุทธกาลทานเรียนอยา งนน้ั เรียนเพื่อประพฤติปฏิบัติ หาสถานทเ่ี หมาะ
สมเปนที่ฝกหัดอบรม เรยี นเพอ่ื ความรคู วามเขา ใจในสจั ธรรมคอื ความจรงิ ทง้ั หลาย ทั้ง
ฝายสมุทัย ทุกข ทั้งฝายนิโรธ มรรค แจง ประจกั ษก ับใจตัวเอง เพราะสจั ธรรมทง้ั สน่ี ม้ี ี
อยูดวยกันทุกคน ไมไดน อกเหนือไปจากกายกบั ใจนเ้ี ลย ทานจึงเปนสงฆฺ โสภณาเปน
ความงามแหง สงฆท บ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ ดวยความต้ังใจปฏบิ ัติอยางแทจ รงิ ธรรมท่ีทาน
บรรลเุ ปน ขน้ั ๆ เหลา นน้ั กเ็ ปน ธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการปฏบิ ตั ิ ใจเทา นน้ั เปน ผจู ะรบั สมั ผสั
สัมพันธธรรมทั้งหลายทุกขั้นทุกภูมิไปจนกระทั่งถึงขั้นสูงสุด ไมม อี วยั วะสว นใดในรา ง
กายของเรานี้ที่จะสัมผัสสัมพันธธรรมทุกๆ ขั้นไดอยางประจักษชัดเจนเหมือนใจ
ใจจึงเปนสิ่งสําคัญมากที่ตองไดรับการศึกษาอบรมดวยดี เพอ่ื ความสมั ผสั ธรรม
ทุกขั้น ดวยการปฏิบัติอันถูกตองดีงามของตน ครง้ั พทุ ธกาลทา นดาํ เนนิ อยา งนน้ั เมื่อ
เขาสมาคมกันมีแตเรื่องอรรถเรื่องธรรมเรื่องขอวัตรปฏิบัติ สถานทเ่ี ปน ทบ่ี าํ เพญ็ วา มา
จากปาไหน เขาลกู ไหน ถาํ้ ใด เงื้อมผาใด ไปอยสู ถานทเ่ี ชน นน้ั การบาํ เพญ็ เปน อยา งไร
จติ ใจไดร บั ความสงบไดร บั ความแยบคาย มคี วามรคู วามฉลาดอยา งไรบา ง ผูใดไดรู
ธรรมในแงใ ดขน้ั ใด ภมู ใิ ด นาํ อรรถธรรมแงต า ง ๆ ซง่ึ ตนรตู นเหน็ มาสมั โมทนยี กถาซง่ึ
กันและกัน ใหเ ปน เครือ่ งรนื่ เริงและยึดเปน คตติ วั อยางจากกันและกนั ไปเปน สริ ิมงคล
แกตน
ไมม คี าํ วา การบา นการเมอื ง การไดก ารเสยี การซื้อการขาย เรอ่ื งหญงิ เรอ่ื งชาย
เรื่องรักเรื่องชอบ เรื่องการน้นั กจิ น้อี ันเปนเรือ่ งของโลกสงสาร ทา นไมน าํ เขา มาเกย่ี ว
ของกับวงของการปฏิบัติธรรม ราวกบั วา อยคู นละโลก ทั้งๆ ที่ทา นกอ็ าศยั อยูในโลกเรา
ดวยกันกับมนุษยท งั้ หลายนัน่ แล แตจิตใจและการประพฤติปฏิบัติของทานหมุนไปใน
ธรรมลว นๆ กิริยาที่แสดงออกจึงแสดงออกดวยความเปนธรรมทั้งนั้น ไมมีสิ่ง
จอมปลอมทั้งหลายเขาเคลือบแฝงเลย สรณะของพวกเราทา นดาํ เนนิ อยา งน้ี
พระพทุ ธเจา เรากเ็ คยเหน็ พระประวตั ขิ องทา นมาดว ยดดี ว ยกนั จะวาเราไดศึกษา
มาแลวทุกรูปก็ได เพราะตางองคตางก็ไดศึกษามาดวยกันแลวทั้งนั้น เราสงั เกตตาม
พระประวตั กิ ารดาํ เนนิ ของพระองค แมจ ะไมม คี รมู อี าจารยแ นะนาํ พราํ่ สอน แตว ธิ กี าร
ดาํ เนนิ ของทา นกเ็ ปน สรณะของพวกเราไดอ ยา งสมบรู ณ ในความสละทุกสิ่งทุกอยางซึ่ง
เปนความสุขของโลก ที่พระองคก็เปนผูหนึ่ง เนอ่ื งจากเคยเปน กษตั รยิ ม าแลว จะตอง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๑
๒๙๒
ไดค รอบครองความสขุ เหลา น้ี เกย่ี วขอ งกบั สง่ิ เหลา น้ี บรษิ ทั บรวิ ารสมบตั เิ งนิ ทองขา ว
ของ ไพรฟ า ประชาชมี ากนอ ยอยใู นพระราชอาณาจกั รของพระองค สง่ิ เหลานโ้ี ลกถือวา
เปนสมบัตอิ ันมคี ณุ คา เปนส่ิงทโี่ ลกปรารถนากันทง้ั นนั้ แตพระองคทําไมจึงทรงเสียสละ
ไดเ หมอื นหนง่ึ วา ไมม คี วามอาลยั เสยี ดาย
ทง้ั นเ้ี พราะความมงุ มน่ั ในพระทยั นน้ั หนกั แนน ในธรรมทง้ั หลาย เฉพาะอยางยิ่ง
ความพนทุกขและความเปนศาสดาของโลกเต็มพระทัย สง่ิ เหลา นน้ั จงึ ไมม นี าํ้ หนกั มาก
ยิ่งกวาความมุงมั่นของพระองค ทจ่ี ะใหส าํ เรจ็ ตามพระประสงค อนั น้เี ปนตน เหตทุ ่ีจะให
ทรงเสียสละทุกสิ่งทุกอยางตอไปไมลดละ แมสิ่งเหลานั้นจะมีคุณคาตามโลกนิยมสมมุติ
ก็ตาม แตถ า เทยี บกบั ธรรมแลว สง่ิ เหลา นน้ั มคี ณุ คา นอ ยนดิ เดยี ว ไมเปนสิ่งที่มีคุณคา
มหาศาลดงั ธรรมทไ่ี ดต รสั รแู ละความเปน ศาสดาสอนโลก เพื่อประโยชนแกโลกอยาง
มากมายนน้ั เลย จึงไดตัดพระทัยออกไป
การออกไปของพระองคนั้น มคี วามลาํ บากยากเยน็ เขญ็ ใจอยา งไมม ใี ครเสมอ
และไมมีใครเหมือน ไมมีใครเทียบ ไมม ีใครเปนคแู ขง พระองคไดใ นการเสยี สละก็ดี ใน
การประกอบความพากเพียรก็ดี ในความทุกขย ากความลาํ บากเพราะความเปน อยูใช
สอยตางๆ ก็ดี มีแตความทุกขบีบคั้นทั้งนั้น หาความสะดวกสบายไมไ ดเ ลย เพราะ
ความเปน กษตั รยิ ทรงเสียสละพระองคลงมาสูค วามเปน คนอนาถา เทย่ี วเสาะแสวง
อาหารปจ จยั มาเสวยจากชาวบา นชาวเมอื งธรรมดาทว่ั ๆ ไป ซึ่งแตกอนพระองคไมทรง
เคยพบเคยเหน็ เลย แตก ็ไดท รงพบทรงเหน็ ในขณะท่ที รงเสียสละราชสมบัติออกทรง
ผนวชทเี ดยี ว
ความทุกขในการประกอบความพากเพียร พระองคก็ไมเคยไดรับทุกขถึงขนาด
นน้ั ความเปนอยูอยางทนทุกขทรมานทุกดานพระองคก็ไมเคยมากอน ประหนง่ึ วา
สวรรคของมนุษยพระองคไดอยูมาแลวตั้งแตวันประสูติ จนกระท่งั วันเสด็จออกทรง
ผนวช แลวไดทรงตกนรกท้ังเปน ในแดนมนษุ ยแหงความเปนคนขอทานเขากนิ กใ็ น
ขณะทพ่ี ระองคท รงเสยี สละจากปราสาทราชบรษิ ทั บรวิ าร ออกไปสูที่ซึ่งไมมีใคร
ปรารถนากนั โลกเขาเรยี กวา สถานทด่ี ดั สนั ดาน แตความจริงพระองคไปเพื่อดัดสันดาน
กเิ ลสตา งหาก
ความทกุ ขความทรมานทงั้ หลายรวมลงในสิทธัตถราชกุมาร ซึ่งยังไมไดเปนพระ
พุทธเจา ในขณะนั้นทง้ั สนิ้ แลว การประกอบความพากเพยี ร ก็ทรงตะเกียกตะกายเต็ม
พระสตกิ าํ ลงั ความสามารถ ถึงขนาดสลบไสลไปถึงสามครั้ง ทุกขมากนอยเพียงไร เหลา
นลี้ วนแลว แตเปน คติตัวอยา งของชาวพทุ ธเราไดเ ปน อยางดี สมความเปนศาสดาตั้งแต
ขั้นเริ่มแรกที่เสด็จออกทรงผนวชและบําเพ็ญตลอดมา จนกระทง่ั ไดต รสั รแู ละประทาน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๒
๒๙๓
พระโอวาทสง่ั สอนมวลสัตวเรื่อยมา เปน ศาสดามาโดยลาํ ดบั ลาํ ดา ควรยดึ เปน หลกั เปน
เกณฑ ควรยึดเปนคติตัวอยางไดอยางถึงใจไมมีขอสงสัยแมแงใดแงหนึ่งเลย
อันเรื่องที่พระองคทรงบําเพ็ญผิดพลาดไปบางนั้น เปนธรรมดาของผูไมมีครูมี
อาจารยแ นะนาํ สง่ั สอนในทางทถ่ี กู กย็ อ มมคี วามผิดพลาดคลาดเคลอ่ื นเปน ธรรมดา แต
พระวิริยะคือความพากเพียร และความอดทนทุกแงทุกมมุ ในการบาํ เพ็ญทั้งหลายน้นั
ยกใหเ ปน คตติ วั อยา งอนั เลศิ สาํ หรบั ชาวพทุ ธเราทง้ั หลาย จนกระทง่ั ไดต รสั รมู คี วาม
ลาํ บากมากนอ ยเพยี งไร เราจงึ ควรนอ มเอาเรอ่ื งราวของพระองคม าเปน คตติ วั อยา ง
เปนเครื่องยึดตอการประพฤติปฏิบัติของเรา เพอ่ื เปน กาํ ลงั ใจในการบาํ เพญ็ วา พระ
พทุ ธเจา มใิ ชเ พชฌฆาตจะนาํ พวกเราไปตาย เพราะความลาํ บากดว ยความเพยี รพยายาม
จงึ ไมค วรกลวั วา จะตายเพราะความเพยี รเพอ่ื ฆา กเิ ลสตวั ปลน หวั ใจอยตู ลอดมา
บรรดาสาวกก็ไมตองกลาวถึง บางองคก ล็ าํ บากลาํ บนเชน เดยี วกนั เพราะเคย
เปนกษัตริยมาดวยกัน มมี ากมายและเปน ลาํ ดบั ลาํ ดา เมื่อสรุปลงแลวไมวาจะออกมา
จากชาตชิ น้ั วรรณะใด ตองแบกหามกิเลสมาเต็มหัวใจดวยกัน กเิ ลสมอี ยใู นหวั ใจใด จะ
ไมย งั หวั ใจนน้ั ใหม คี วามสขุ ความสบายเปน อสิ รเสรไี ดเ ลย จะตอ งบบี บงั คบั ทรมานจติ
ใจ ใหเกิดความทุกขความเดือดรอนอยูเรื่อยมา การประกอบความพากเพียร เพื่อแก
เพื่อถอดถอนสิ่งที่เหนียวแนนแกนของวัฏวนนี้ออกจากใจ ตั้งแตขั้นเริ่มแรกถึงขั้นที่สุด
จดุ หมายปลายทางนน้ั แตละองคๆ นน้ั จะมคี วามยากความลําบากเพียงไร
ใหพ งึ ทราบวา กเิ ลสไมม กี เิ ลสตวั ใดทจ่ี ะขบเปราะๆ ฟนงายๆ ขาดงา ยๆ มีแตตัว
ทเ่ี หนยี วแนน มน่ั คง ตวั เฉลยี วฉลาด ตวั ละเอยี ดลออ กลอมมนุษยกลอมสัตวโลกให
เคลม้ิ หลบั ไมม วี นั ตน่ื ไดเ หมือนกนั หมด การปราบปรามถอดถอนมนั จะเอาความ
สะดวกสบายมาจากทไ่ี หน ตองทุกขตองลําบากดวยกันทั้งนั้นแหละ อยาพากนั สงสัย
หรอื ตง้ั ความหวงั กบั กเิ ลสวา จะพาใหเ ราสบายในการเขน ฆา มนั แมแตสัตวมันยังตอสู
เวลาเราจะฆา มนั กเิ ลสยง่ิ ตวั ฉลาดแหลมคมดว ยแลว มนั จะขน้ึ บนเขยี งคอยใหเ ราสบั ยาํ
อยา งงา ยดายเทยี วหรอื จงอยาพากันฝนลมๆ แลงๆ
เพราะฉะนน้ั การที่จะแกกิเลสซึ่งเปนธรรมชาติออยอิ่ง สาํ หรบั สตั วท โ่ี งเ ขลาทง้ั
หลายนน้ั จงึ เปน เรอ่ื งทย่ี ากเรอ่ื งทล่ี าํ บากมากมายมาแตก าลไหนๆ ไมใ ชเ ปน สง่ิ ดอ้ื ดา น
และแกยากฆายากเฉพาะกิเลสของเราคนเดียว เราประมวลเขา มาพจิ ารณาอยา งน้ี ใน
บรรดาสาวกทง้ั หลายทท่ี า นผา นพน นรกกเิ ลสตวั เคยเผาผลาญไปแลว อยา เขา ใจวา หวั ใจ
เราดวงนก้ี บั กเิ ลสทฝ่ี ง ใจเรานเ้ี ปน สง่ิ ทแ่ี กย ากเพยี งเราคนเดยี ว มันเปนสิ่งแกยากมา
ดวยกนั ทง้ั น้ัน ตองสุดฝมือเต็มสติกําลังความสามารถ ถึงขนาดสละชีวิตเลือดเนื้อจิตใจ
ตอการตอสูกับกิเลสนี้ มจี าํ นวนไมน อ ยในบรรดาพระสาวก นบั แตพระพุทธเจา ลงมา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๓
๒๙๔
ทรงสลบถึงสามครัง้ นน่ั คอื การเสยี สละ หากจะตายไปเลยพระองคก็ยอม จะไมเ รยี กวา
เสยี สละยงั ไง
ใหเราคิดอยางนี้ในการประพฤติปฏิบัติ จติ ใจจะไดม คี วามหา วหาญมกี าํ ลงั ใจใน
การตอสู วา พระพทุ ธเจา กด็ ี พระสาวกท้งั หลายทไ่ี ดเ ปนสรณะของพวกเรากด็ ี ไมใช
ทา นทล่ี า งมอื เปบ มาเลย แตท า นเปน ผเู คยเดนตายมาดว ยกนั แทบทง้ั นน้ั หรือจะพูดวา
๙๘% กไ็ มผ ดิ ในบรรดาทไ่ี ดร บั ความลาํ บากลาํ บนมาแลว สว น ๒% นน้ั กย็ กใหพ วก
สขุ า ปฏิปทา ขิปปฺ าภิ ญฺ า ปฏิบัติสะดวกทั้งรูไดเร็ว อนั นม้ี จี าํ นวนนอ ยมาก แต
จํานวนที่ถูไถกลิ้งไปกลิ้งมา ตะเกียกตะกายหกลม กมกราบน้ีมีจาํ นวนมาก เชน เราๆ
ทา นๆ นแ่ี ล เพราะกเิ ลสเปนจอมขาศกึ อยางสาํ คัญ การกลงิ้ ไปกลิง้ มาดว ยความเพยี ร
ทาตางๆ ก็คือวิธีการอันหนึ่งที่ตอสูกับกิเลส แทบสลบไสลกเ็ ปน วธิ กี ารอันหนงึ่ ที่ตอสู
กบั กิเลส
ทกุ ขย ากลาํ บากในการประกอบความเพยี รทา ใด ก็เปนความทุกขแตละอยางๆ
ที่เกิดจากการตอสูกับกิเลสทั้งมวลทําไมจะไมทุกข ตองทุกข เพราะกิเลสทุกประเภทมี
แตต วั เหนยี วแนน มน่ั คง ตัวฉลาดละเอียดลออสุขุมมากทั้งสิ้น ในสามโลกธาตุนี้ไมมี
อะไรเกินกเิ ลสทีม่ คี วามสขุ มุ มาก ถา เปน เหยอ่ื กเ็ ปน เหยอ่ื ทส่ี ตั วต ายใจอยา งสนทิ ไมค ิด
และไมท ราบวา เปน เหยอ่ื ลอ เลย เขาใจวาเปนอาหารอันโอชาซึ่งไมเคยไดร ับไดพ บได
เห็นตัง้ แตวันเกิดมา เมื่อเจอเขาทําไมจะไมงับเอาๆ ใหส มใจ และทําไมเบ็ดจะไมติด
เอาๆ เพราะเหยอ่ื ลอ กล็ อ เพอ่ื ใหต ดิ เบด็ กิเลสลอสัตวทั้งหลายก็เพื่อใหติดจมอยูในกอง
ทุกขนั่นแล
การที่จะแกกิเลสจึงตองใชอุบายวิธีตางๆ พรอมทั้งกําลังวังชาความอุตสาห
พยายาม นอกจากอุบายของสติปญญาแลว ยังตองอาศัยพลังคือกําลังแหงความ
พากเพียร กําลังแหงความอดทน กาํ ลงั แหง ความอตุ สา หพยายามบกึ บนึ กนั ไป เครอ่ื ง
มือก็ใชกันไปเรื่อยๆ สติปญญาซึ่งเปนเครื่องมืออันสําคัญ เราจะใชแ บบนสิ ยั เดมิ ซง่ึ เคย
มมี าแตฆ ราวาส จะนาํ มาใชแ กก เิ ลสตณั หาอาสวะในเพศของพระ ในกิริยาอาการตางๆ
ของพระ จะไมมีกิเลสตัวใดหลุดลอยไปเลย เพราะนสิ ยั นน้ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสโดยตรง
อยูแลว ไมใชเรื่องของธรรม
ความมักงาย ความสขุ เอาเผากนิ นี้เปนนิสัยของกิเลสทั้งมวล ความเบอ่ื ตอ ความ
พากเพยี ร ความเข็ดหลาบตอความทุกขในการประกอบความดี ลว นแลว แตเ ปน กล
อุบายของกิเลสทั้งมวล ความหนกั กเ็ อาเบากส็ ไู มล ดละทอ ถอยเพราะไดเ ชอ่ื ธรรมแลว วา
กเิ ลสนไ้ี ดเคยทาํ พษิ แกเ รามาเปน เวลานานแลว ทา นผรู คู อื ศาสดาไดส อนไวแ ลว โดยถกู
ตองแมนยํา วา กเิ ลสเปน ภยั ตอ สตั วโ ลก เม่อื เช่ืออยา งนแ้ี ลว ถึงเราจะยังไมรูฤทธิ์ของมัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๔
๒๙๕
ดว ยปรชี าความสามารถของเรากต็ าม แตเ รากร็ ดู ว ยใจของปถุ ชุ นเรานแ่ี ล อาศัยศรัทธา
ความเช่ือตอพระโอวาททีพ่ ระศาสดาสอนไว ทําใหเกิดกําลังใจที่จะตอสูกับกิเลสมากขึ้น
โดยลาํ ดบั ๆ จนไดเห็นโทษของมันอยางแทจริงภายในจิตใจของตัวที่เรียกวา สนฺทิฏฐิ
โก และเหน็ คณุ คา ของธรรมในขณะเดยี วกนั ดว ยสนทฺ ฏิ ฐ โิ กเหมือนกัน
เมื่อไดเห็นทั้งโทษทั้งคุณประจักษกับใจตัวเอง คอื ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมมโี ทษ
และมีคณุ ตา งกนั อยางไรบางแลว เรือ่ งความพากเพียรหากหนุนกนั มาเอง เพราะความ
เช่อื ที่เกดิ จากความเหน็ ประจักษใ จเปน ส่งิ ที่มกี าํ ลังมาก และจะหนนุ กันมาเปน ลูกโซ
ความอดความทนความอุตสาหพยายามทุกแงทุกมุมไมตองบังคับ หมนุ กนั มาเองเพราะ
ความเหน็ โทษและความเหน็ คณุ ประจกั ษก บั ใจนน้ั มกี าํ ลงั มาก ถึงขนาดที่สละชีวิตจิตใจ
เพื่อความพากเพียรเพื่อการตอสู เพื่อการถอดถอนกิเลสซึ่งเปนตัวภัยนั้นออกไดโดยไม
ตองสงสัย นี่คือหลักของการปฏิบัติของผูจะพนจากคุกบางขวาง บางจนมองไมเ หน็ แต
ขวางใจอยูตลอดเวลา คอื กเิ ลสบางขวางนน่ั แล
อยางไรอยาลืมหลักของศาสดาที่พาดําเนินมา ตลอดสถานที่อยูที่อาศัย ปจจัย
เครื่องใชไมสอยตางๆ พระองคแ ละสาวกมีความฟุง เฟอ เหอ เหมิ กับส่ิงใดบาง ไมมีสิ่ง
ใดที่จะแซงพระองคและสาวกทั้งหลายไปได บรรดาโลกามิสถอื เปน เพยี งเครือ่ งอาศัยชั่ว
กาลชว่ั ระยะเวลาเทา นน้ั ไมถือสิ่งเหลานี้เปนเรื่องใหญโตพอจะเปนอุปสรรคขัดของกีด
ขวางตอ ความพากความเพยี รไดเ ลย สง่ิ ดงั กลา วกเิ ลสมนั เสกสรรขน้ึ ตา งหากเพอ่ื ลมุ
หลงไปตามมัน โดยเหน็ วา สง่ิ นน้ั บกพรอ งสง่ิ นไ้ี มส ะดวกสบาย จตุปจ จยั ไทยทานที่โลก
ใหมาน้ันไมเ พียงพอแกความตองการ เปน เหตใุ หข าดความเพยี รเพราะปจ จยั เครอ่ื ง
อุดหนุนไมเพียงพอ อยางนี้พึงทราบวาคือกลมายาแหงเพลงของจอมกษัตริยวัฏจักรทั้ง
มวล จงทาํ ความเขา ใจไวด ว ยดอี ยา หลงกลมนั เพราะไมเ คยมใี นปฏปิ ทาพระพทุ ธเจา
และสาวกองคใ ด ท่สี อนใหมขี ้นึ มาโดยสม่าํ เสมอหนุนกันไปโดยสมาํ่ เสมอ ก็คือความ
พากเพียรเพื่ออรรถเพื่อธรรมดังทานพาดําเนินมา
ทา นเพยี รเพอ่ื อรรถเพอ่ื ธรรม ทานไมไดเพียรเพื่อของแวะกับโลกามิสใดๆ นี่
ศาสดาและสาวกทา นดาํ เนนิ ทา นดาํ เนนิ อยา งน้ี เพราะฉะนั้นจึงตองระมัดระวังกัน ไม
ประมาทนอนใจกบั สง่ิ ใดบรรดาโลกามสิ และไดพ ยายามสง่ั สอนและใหอ บุ ายหมเู พอ่ื น
อยเู สมอเกย่ี วกบั เรอ่ื งเหลา น้ี ซึ่งเปนเครื่องอาศัยไปเปนวันๆ เทา นน้ั แตอ าจกลายเปน
เรอ่ื งใหญโ ตขน้ึ มาไดส าํ หรบั ผโู งเ ขลา ปฏบิ ตั ติ อ สง่ิ เหลา นไ้ี มร อบคอบ ตองกลับกลายมา
เปน ขาศึกเครอื่ งกดี ขวางธรรม ที่จะควรไดควรถึงของตนไดโดยไมตองสงสัย จงึ ตองได
ระมัดระวงั วา ศาสดาทา นสอนใหด าํ เนนิ อยา งน้ี ไมใหดําเนินอยางอื่น อนั จะผิดพลาด
จากแนวทางของความพนทุกขทั้งมวล
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๙๕