๓๙๖
ญา และ ขิปฺปาภิฺญา ไดเ ลย คอื รไู ดเรว็ กต็ าม รไู ดช า กต็ าม จะไมมีวันรูไดทั้งสองอยาง
นอกจากหลงไปเลยจมไปเลย อันนี้เปนผลของปฏิปทาแบบนอนจม
จงดูจิตของตัวเองวาฝาฝนธรรมมากนอยเพียงไร นน่ั แหละวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นจะ
ตองปฏิบัติใหพอ ๆ กนั กบั ความฝน ของจติ ตามธรรมดาจติ ยอ มฝน ธรรม และไหลไปตาม
โลกคอื กเิ ลสโดยลาํ ดบั ไมม ีคาํ วา ยบั ย้งั ชง่ั ตวงประการใดเลย เพราะทางของกเิ ลสมนั ราบ
รน่ื มาก เนอ่ื งจากทางนเ้ี ปน ทางทเ่ี คยเปน มาประจาํ ภพประจาํ ชาตจิ นนบั ไมถ ว น แตการท่ี
จะฝน จติ ใจจากภพจากชาตนิ ้ี มันตองไดฉุดไดลาก
เพราะฉะนน้ั จติ ใจจึงไมชอบธรรม เพราะกเิ ลสไมพ าใหช อบ นอกจากพาให
เกลยี ดอยเู ปน ประจาํ ถา ธรรมอยูจดุ ใด ใจไมช อบในจดุ นน้ั ธรรมบอกสอนวา อยา งไรใจมัก
ฝน อยูเ สมอหรอื ฝนเสมอ เพราะใจนน้ั เปน ใจทก่ี เิ ลสเปน เจา ของ ไมใ ชธ รรมเปน เจา ของ
กเิ ลสเคยเปน เจา ของมากอ นแลว และมีกําลังรอบตัวคือรอบจิตอยูตลอดเวลา นาน ๆ เรา
ถึงจะฝนสักนิดหนึ่ง ๆ จึงไมพอกับกําลังของกิเลส ทมี่ ันฝก ซอมบนหัวใจเราอยูตลอดเวลา
ดวยเหตุนจี้ งึ ตอ งคาํ นึงถงึ พระพทุ ธเจาและสาวกทที่ า นดาํ เนนิ มา ทุกขขนาดไหน
สาํ หรบั พระพทุ ธเจา จะทรงเปน สยมั ภู คอื รเู องเหน็ เองนน้ั ยอ มเปน ความยากความลาํ บาก
อยูโดยดี เพราะไมม ผี หู นง่ึ ผใู ดชแ้ี นะแนวทางให สว นสาวกไดร บั การชแ้ี จงแนะนาํ จากพระ
พุทธเจามาดว ยดแี ลว จงึ เรยี กวา สาวก แปลวา ผสู ดบั ผฟู ง ผไู ดร บั การแนะนาํ จากพระ
พุทธเจา แมเ ชน นน้ั เวลามาปฏบิ ตั ิ ทา นยงั ตอ งลาํ บากลาํ บน กเ็ พราะความฝน ของกเิ ลส
ความตอสูของกิเลส ความขัดขวางของกิเลส ไมใหเปนไปตามรองรอยของธรรมนั่นเอง จติ
จงึ ไดเ ปน เชน นน้ั เปน แตเ พยี งวา ผไู ดท ราบการแนะแนวทางมาแลว แมจ ะยากลาํ บาก การ
ฝนก็ฝนไปในทางที่ถูกที่ดีตามหลักธรรมที่ไดรับจากพระพุทธเจามาแลว
จึงกลาพูดวา กจิ การงานการใด ๆ ก็ตาม ใครจะวา ยากวา ลาํ บากทกุ ขท รมานเพยี ง
ไร เมื่อมาเทียบกับงานถอดถอนหรือรื้อถอนกิเลส ทําลายกิเลสออกจากจิตใจแลว งานนจ้ี งึ
เปน งานหนกั เหนอื งานใด ๆ ทั้งนั้น ผูไมทราบ ผไู มเ คยดาํ เนนิ ผไู มเคยทํางานประเภทนี้
อยางเอาจริงเอาจังเพื่อผลประโยชนอันยิ่งใหญ จะไมม ที างทราบไดเ ลยวา งานนเ้ี ปน งานท่ี
หนกั มาก ความหนกั กห็ นกั ความใชค วามพนิ จิ พจิ ารณาละเอยี ดลออ ก็ตองพิจารณา
ละเอียดลออมากเกินกวากิเลสจะตามทัน เกินกวากําลังของกิเลสตอสูไดกิเลสจึงจะยอม
หมอบราบลง ตามปกตสิ ง่ิ เหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทม่ี อี าํ นาจ เปน สง่ิ ทก่ี ลอ มจติ ใจใหเ คลบิ เคลม้ิ หลง
ใหลมาเปน ประจาํ อยแู ลว ทําไมจะไมแกไมถอดถอนยาก ตองเปนของยาก
เรากพ็ งึ ทราบนสิ ยั ของเรา เมอื่ การตอ สยู าก ไดผ ลมากนอ ยเพียงไรเปนเครอื่ ง
ตอบแทน เราพงึ จบั เอาผลนน้ั แลเปน เครอ่ื งพสิ จู นใ นการดาํ เนนิ เหตใุ หห นกั มอื เขา ไป หาก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๖
๓๙๗
ไมเ ชน นน้ั จะไมเ ขา อกเขา ใจในธรรมทง้ั หลายเลย และจิตนี้ก็จะไมพนเปนที่อยูที่ฝงจมและ
ที่ขับถายของกิเลสตลอดไป ไมมีเวลาที่ธรรมจะแทรกเขาไปได หากไมใ ชค วามพยายาม
และพนิ จิ พจิ ารณาอยา งเอาจรงิ เอาจงั และละเอียดลออใหเต็มภูมิของสติปญญาที่มีอยู
นี่ดูการประกอบความพากเพียรของหมูเพื่อน รสู กึ ทาํ ใหห นกั ใจอยมู าก เปนแต
เพียงไมพูดเทานั้น ดอู ากปั กริ ิยาความเคลื่อนไหวไปมา มนั บง บอกอยเู สมอวา เปน ความบก
พรองตลอดอิริยาบถ แตกิเลสไมเคยมีคาํ วา บกพรอ ง มันพอกพูนตัวของมันอยูตลอดเวลา
กบั การประกอบความเพยี รแบบบก ๆ พรอง ๆ จะเขากันไดอยางไร จะเอากําลังที่ไหนมา
ตอ สูก บั กิเลสใหยอมจาํ นนตอ ธรรมทง้ั หลายได ถาไมใชความพยายามใหหนักมือขึ้นไปโดย
ลาํ ดบั
อยานําความทุกขความลาํ บากท่ีเคยประกอบความพากเพยี รมาแลว ในอดตี ไมวา
จะเปนอดีตปอดีตเดือนวันก็ตาม อดตี เวลาํ่ เวลาเชน วนั นก้ี ต็ าม ความทกุ ขค วามลาํ บาก
เหลานั้นมักจะเปนขอ แกตัวของกเิ ลสเสมอ การประกอบความพากเพียรเพื่อแกกิเลส กเิ ลส
จะหลอกวา เปน ความลาํ บากลาํ บน ครง้ั นน้ั ลาํ บากมาแลว ปน น้ั ลาํ บากมาแลว เดือนนั้นได
รบั ความลาํ บากมาแลว มาเดอื นนป้ี น ว้ี นั นก้ี เ็ ปน ความลาํ บาก แลวจะพยายามถูไถไปได
อยางไร ทําใหจิตใจทอถอยออนแอลงในขณะที่จิตคิดเชนนี้ นั้นแลคือเพลงของกิเลสกลอม
ใจใหหลงไปตามมัน พึงทราบไวท ุก ๆ ทา น อยา เขา ใจวา เปน ความคดิ ทถ่ี กู ตอ ง เปน ความ
คิดทบี่ รสิ ทุ ธแ์ิ ละถกู ธรรม แตเ ปน ความคดิ ทก่ี เิ ลสแทรกขน้ึ มาโดยทเ่ี จา ตวั ไมร ู นแ่ี หละ
อุบายของกเิ ลสฉุดลากหวั ใจใหออนตอความพากเพียร และทอถอยปลอยวางในความดีทั้ง
หลาย และลมจมไปกับมันจนได
กิเลสนั้นไมเคยมีความออนขอยอหยอนตอความเคลื่อนไหว ที่จะสั่งสมตัวใหมี
กําลังมากขึ้น โดยอา งกาลสถานทเ่ี วลาํ่ เวลาตลอดความลาํ บากลาํ บน แตความพากเพียร
ของเรามักจะอางกาลอางเวลา อา งความทุกขความลําบาก อา งความโงค วามฉลาด อา ง
อาํ นาจวาสนา อา งสถานทก่ี าลเวลา อางไปกี่ประเภทลวนแลวแตเปนขอแกตัวของกิเลสทั้ง
มวล เมื่อเปนเชนนั้นจะมีชองทางออกที่ตรงไหน เมือ่ ผปู ฏบิ ัติมาอา งเชนนี้ ก็คือถูกกิเลสถือ
ยดึ เอาความคดิ ความปรงุ นเ้ี ปน เคร่อื งมือไปใชเสียหมดน่นั แล ความคดิ ในแงธ รรมทเ่ี คย
คดิ ไวแ ลว นน้ั เลยลม จมฉบิ หายไปไหนกไ็ มร ู นี่ละการประกอบความพากเพียรที่เปนไปไม
ไดภ ายในจติ ใจเปน อยา งน้ี ขอใหทุกทานทราบไวแตบัดนี้ซึ่งยังไมสายเกินไป
ครั้งพุทธกาลทานประกอบความพากเพียร ทา นทาํ เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย ทาํ เปน จรงิ
เปน จงั เปน เนอ้ื เปน หนงั จรงิ ๆ เพอ่ื ชาํ ระสะสางกเิ ลสใหว อดวายไปจากจติ ใจจรงิ ๆ ทานไม
ทําเพียงลุม ๆ ดอน ๆ พอเปน กริ ยิ าใหก เิ ลสหวั เราะราํ คาญเปลา ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๗
๓๙๘
อยา งทเ่ี ปน ไปอยกู บั พวกเราเวลาน้ี กริ ยิ าใด ๆ ที่แสดงออกมา มีตั้งแตกิเลสออก
หนา ออกตาเสยี ทง้ั นน้ั โดยทเ่ี รากไ็ มร เู ลยวา กิรยิ าเหลา น้ีเปนเร่ืองของกิเลสชกั จูงหรอื ผลกั
ดันใหเปน ไป ถา อยากทราบกเ็ วลานไ้ี ดส อนอยแู ลว บรรดาอบุ ายวธิ ที จ่ี ะทราบ ความเพยี รท่ี
สําคัญก็คือสติ อยางไรสตินี้ปลอยวางไมได จากนน้ั กป็ ญ ญาขน้ึ เปน วรรคเปน ตอนสอด
แทรกกนั ไปในโอกาสหรอื เหตกุ ารณท เ่ี หมาะสม ซึ่งจะควรใชปญญาตองใชไปอยูโดย
สมาํ่ เสมอ อยา คอยใหส มาธเิ ปน อยา งนอี้ ยา งน้นั แลวจงึ จะใชป ญ ญา สมาธถิ งึ ภมู นิ แ้ี ลว จงึ จะ
ใชปญญา มแี ตว าดภาพแบบลม ๆ แลง ๆ ไป หาเหตุผลไมไดตามหลักธรรม แตเ ปน เรอ่ื ง
ของกเิ ลสพาใหว าดภาพหลอกไปเรอื่ ย ๆ เราก็ไมรูสึกวาไดถูกหลอกถูกตมตุนจากมันอยู
ตลอดมา
การฝกทรมานจิตใจ พงึ ทราบวา ใจนเ้ี ปน ยงั ไง ใจนี้คือผูตองหาถูกควบคุมจาก
กเิ ลสอยตู ลอดเวลา บดั นเ้ี ราจะตอ สแู ยง ชงิ ใจมาเปน สมบตั ขิ องธรรม ใหธรรมไดค รองใจ
จึงมีการตอสูซึ่งกันและกัน หลักแหงการตอสูก็คือความเพียรความอดทน คอื สมาธคิ วาม
หนักแนนมนั่ คง คือสติ คือปญญา ธรรมเหลา นม้ี ที ง้ั เครอ่ื งหนนุ มีทั้งเครื่องตอสูฟาดฟน
อยา งครบถว น จาํ ไวใ หด ี กเิ ลสจะหลดุ ลอยไปดว ยวธิ กี ารเหลา น้ี
ใครพจิ ารณาธรรมบทใด ขน้ั เรม่ิ แรกกเ็ คยพดู เคยสอนมาแลว ทาํ อะไรใหจรงิ ให
จงั จะบรกิ รรมกใ็ หจ รงิ จงั เราบรกิ รรมธรรมบทใด ใหม แี ตธ รรมบทนน้ั กับความรูสึกที่
สัมผัสสัมพันธกันอยูเทานั้น สิ่งทั้งหลายที่นอกไปจากงานของเราที่ทํานั้น ปลอ ยวางเสยี โดย
สน้ิ เชงิ เหมอื นวาโลกน้ีไมม ี มเี ฉพาะคาํ บรกิ รรมกบั ความรทู ส่ี มั ผสั สมั พนั ธก นั อยใู น
ปจ จบุ นั นเ้ี ทา นน้ั นั่นคือความเพียรอันถูกตองซึ่งจะนําผลอันพึงใจมาสูตัว
อยา ไปเสยี ดายเวลาํ่ เวลา อยา ไปเสยี ดายความคดิ ปรงุ สง่ิ นน้ั สง่ิ น้ี ที่จะมาแยงเอา
ความคดิ ปรงุ อนั เปน อรรถเปน ธรรมน้ี ใหก ลายเปน เรื่องความคดิ ปรงุ ของกิเลสไปเสีย ใหมี
ความรกั ความสงวน ความหงึ หวงในความคดิ ปรงุ อนั เปน อรรถเปน ธรรมนไ้ี วป ระจาํ ตน
อยา ใหก เิ ลสมาแยง ชงิ ความคดิ ความปรงุ หรอื คาํ บรกิ รรมน้ี ไปทาํ หนา ทข่ี องกเิ ลสแทนธรรม
ไปเสยี จะหาความสงบเยน็ ไมไ ด ผกู าํ หนดธรรมบทใดใหพ งึ ทาํ แบบนด้ี ว ยกนั
แมจะกําหนดอานาปานสตติ ามความถนัดของตัวแตละรายๆ กพ็ งึ กาํ หนดดเู ฉพาะ
ลมเทา นน้ั ลมเขาก็รูลมออกก็รู ไมตองเกรง็ เน้อื เกรง็ ตวั บงั คบั บัญชาสว นใดของรางกายจน
เกินไป ใหท าํ ความรไู วโ ดยเฉพาะ ๆ กบั ลมเทา นน้ั และไมหวังผลใดที่จะแสดงขึ้นมาในรูป
นน้ั รปู น้ี ไมตองไปหมาย การบาํ เพญ็ เหตอุ ยเู วลานน้ั นน่ั แล คอื การสรา งผลใหป รากฏขน้ึ มา
โดยลาํ ดบั ตามกําลงั แหง ความเพยี รหรือแหงสติที่กาํ กบั จิตใจดว ยดอี ยูน้นั ใหร อู ยกู บั ลม
ลมเขา กร็ ู ลมออกก็รู ไมตองตามลมเขาไป ไมตองตามลมออกมา ในขน้ั เรม่ิ แรกนเ้ี ราจะทาํ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๘
๓๙๙
ใหกวางขวางไมได จะเปน การสรา งภาระใหม ากแกต น สุดทายก็เลยไปไมรอด ไมไดเรื่อง
ราวดว ยกนั ทง้ั นน้ั จึงตองกําหนดจุดเฉพาะจุดที่ตองการ ลมหายใจเขา กร็ ู ลมหายใจออกก็รู
ใหร อู ยเู พยี งเทา นอ้ี ยา คาดอยา หมาย ความคาดความหมายไมยังผลอะไรใหเกดิ ขึน้ นอก
จากวงปจ จบุ นั ทร่ี กู นั อยรู ะหวา งลมกบั สตทิ ร่ี บั รกู นั อยเู ทา นน้ั นั่นคือความถูกตอง ใหจ รงิ จงั
ลงตรงนน้ั นเ่ี ปน ขน้ั หนง่ึ แหง การทาํ จติ ใหส งบ
อยา เสยี ดายอารมณใ ดในขณะทท่ี าํ งานอยเู วลานน้ั ความคดิ ความปรงุ เคยคดิ เคย
ปรุงมามากตอมากแลวพรรณนาไมได แมภ ายในชว่ั โมงหนง่ึ อยาพูดถึงเดือนถึงปที่ผานมา
เลย แลวไดผลไดป ระโยชนอะไรจากความคดิ ปรงุ ลม ๆ แลง ๆ ดงั ทเ่ี คยเปน มานน้ั มัน
เปนเรือ่ งของกิเลสทํางานตางหาก ไมใชเรื่องของธรรมทํางานจึงไมไดผลที่ตองการ บดั นจ้ี ะ
ใหจ ติ ทาํ งานในดา นธรรมะ เชน คาํ บรกิ รรม ถามันยังคิดออกไปได เอา คาํ บรกิ รรมตอ งให
ถย่ี บิ เขา ไป อยา ใหม ชี องวา งเลย ใหท าํ ความเขม งวดกวดขนั กนั อยา งนน้ั จรงิ ๆ อยาสักแต
ทํา แตบ รกิ รรมแบบเซอ ๆ ซา ๆ อา ปากหลบั ในใจฝน ลม ๆ แลง ๆ ดังที่มักเปนกันสวน
มาก แลว กม็ าทวงเอาคะแนนจากธรรมวา ภาวนาไมไ ดเ รอ่ื ง นน่ั ทา นเรยี กภาวนาบดั ซบ จบ
ลงแคห มอน
การกาํ หนดลมก็เชน เดียวกนั เม่อื ความรอู ยูกับลมโดยสมํา่ เสมอ ไมปลอยไมวาง
ซ่งึ กนั และกันแลว ลมกจ็ ะปรากฏเปนความละเอียดเขา ไป เพราะใจพาใหล ะเอยี ด นี่ก็ได
อธิบายถึงที่สุดของลมมาไมรูกี่ครั้ง จนถงึ กบั วา ลมไดห ายไปจากความรสู กึ เหลอื แตค วามรู
ลว น ๆ เปน อยา งนน้ั จรงิ ๆ ในภาคปฏิบัติ เมอ่ื ยงั เหลอื แตค วามรลู ว น ๆ เราก็ไมตองวิตก
วจิ ารณก บั ลมวา หายไปไหน กลัวจะเปนจะตาย เราไมไ ดภ าวนาเอาลม หายไปไหนก็หายไป
ซลิ ม เราภาวนาเอาความรคู อื จติ นต้ี า งหาก เชน เดยี วกบั เราตามรอยโค เมื่อตามรอยโคไป
ถึงตัวโคแลว รอยของโคก็หมดปญหาไปเอง
การกาํ หนดลม เมื่อถึงตัวจริงคือผูรูแลว ลมก็หมดปญหาไป ความรูมีอยูใหอยูกับ
ความรนู น้ั ไมตาย แมลมจะหายไปในความรสู กึ แตจ ิตยังครองรางอยูแ ลว ไมตาย ไมตองไป
กังวล ใหอยกู บั ความรูนั้น จะละเอียดขนาดไหนกใ็ หอ ยูตามความจริงของความรนู ้นั อยา
ไปปรุงไปแตงไปหมาย วา หยาบไปละเอยี ดไป ใหร อู ยจู าํ เพาะนน้ั จงึ ชอ่ื วา ภาวนาในวง
ปจ จบุ นั นก่ี ารพจิ ารณาเพอ่ื ความสงบ ทา นทาํ กนั อยา งน้ี
ถงึ เวลาหรอื ระยะทจ่ี ะพจิ ารณาใหเ ปน วปิ ส สนา วปิ ส สนากแ็ ปลวา ความเหน็ แจง
ความเหน็ ธรรมดาเรามนั เหน็ ดว ยความมดื บอด เหน็ ดวยสญั ญาอารมณ เหน็ ดว ยความ
จอมปลอม เหน็ รปู เหน็ กายมองดดู ว ยตาเนอ้ื เมื่อใจมันปลอมเมื่อใจมันมืดแลว มันก็ไม
เหน็ ความจรงิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๙
๔๐๐
ดรู า งกายนก้ี ห็ นงั ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ดูมันก็ไมเห็นมีอะไร หนังใคร ๆ ก็มีทั้ง
หญิงทั้งชาย ทง้ั เฒา แกช ราคราํ่ ครา มนั มดี ว ยกนั ตลอดถึงสัตวก็มี มนั วเิ ศษวิโสอะไรกบั
หนงั ความทว่ี า มนั สวยมนั งามนา รกั ใครช อบใจ มันเปนเรื่องของกิเลสตัวจอมปลอมหลอก
ตา งหาก มนั ไมใ ชค วามจรงิ ความจริงแทมันหาความสวยความงามไมได ถาจะเอาความ
จริงน้ไี ปลบลา งความจอมปลอมน้ันก็พิจารณาลงไปซิ หลักความจริงคืออสุภะอสุภังปฏิกูล
โสโครกมีเตม็ หมดท้ังรางกายนี้ แลว ความทว่ี า สวยงามมนั เอามาจากไหน หาแลว มนั ไมเ จอ
มันมีแตของปฏิกูลโสโครกทั้งภายนอกภายใน ตองชะตองลางตองอาบตองสรงอยูตลอด
เวลา ไมเชนนั้นอยูไมได นค่ี วามจรงิ เปน อยา งน้ี จงดใู หเ หน็ พจิ ารณาใหแ จง ซิ
ทําไมจึงเช่อื เอานกั หนาเชือ่ กเิ ลส วา มนั สวยมนั งามมนั จรี งั ถาวร วา ใหค วามสขุ กาย
นใี้ หค วามสุขท่ีตรงไหน ไมเ หน็ ปรากฏวา กายมคี วามสขุ เลย นอกจากเวลาไมเปนโรคอะไร
เลยมันก็อยูเฉย ๆ ธรรมดา แตเ รอ่ื งความทกุ ขน น้ั เดน มาก ความสขุ มนี ดิ ๆ เชน หิวขาว
พอรบั ประทานอม่ิ แลว กม็ คี วามสบายขน้ึ มาพกั หนง่ึ จากนั้นก็เสมอตัว นพ่ี จิ ารณารา งกายก็
ใหเ หน็ เปน อยา งนน้ั
บงั คบั จติ ใหท อ งเทย่ี วอยใู นกรรมฐานน้ี นล่ี ะทา นวา เทย่ี วกรรมฐาน เที่ยว
กรรมฐานภายนอกตามปา ตามเขาลาํ เนาไพรกเ็ ทย่ี วไป แตจติ ไมล ะกรรมฐานภายในคอื
ทองเที่ยวอยูในสกลกายอันนี้เปนหลักใหญของสัจธรรม และส่ิงนแ้ี ลเปนเครื่องปกปด กาํ บัง
บรุ ษุ ตาฟางใจโงเ ขลา ไมสามารถมองเหน็ ความจรงิ ได
พระพทุ ธเจา ทา นจงึ สอนธรรมใหล งสคู วามจรงิ น้ี มอบ เกสา โลมา นขา ทนฺตา
ตโจ เปน ตน ใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายดสู ง่ิ เหลา น้ี ทาํ ไมจงึ หลงเอานกั หนา ตาก็มีอยูไมใชคนตา
บอด หกู ็มีอยู จมูกก็มีอยู ควรจะเหน็ ควรจะรคู วรจะไดย นิ ควรจะสัมผัสสัมพันธทั้งกลิ่นทั้ง
อะไรของมัน แตทําไมจึงไมรูไมเห็น ทาํ ไมจึงไปเช่ือแบบดน ๆ เดา ๆ เกาหมัดไปเชนนนั้
ซง่ึ หาความจรงิ ไมไ ดเ ลย พิจารณาลงไป ยึดหาอะไร
ถาพูดถึงเรื่องธาตุในรางกาย ดินยึดมันอะไร ดินกร็ ูวาดนิ อยแู ลว นาํ้ กร็ วู า นาํ้ แลว
ยดึ ใหม นั เปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เราเปน เขาไดอ ยา งไร ดนิ เปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เราเปน
เขาเปนหญิงเปนชายไดอยา งไร ลมกร็ อู ยแู ลว วา ลม จะใหเ ปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เขาเปน
เราเปน ของสวยของงามไดอ ยา งไร ไฟก็คือไฟรูอยูชัด ๆ จะวา เปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เรา
เปนเขาเปนของสวยของงามไดอยางไร มีแตสิ่งรูอยเู ห็นอยชู ดั ๆ น้ี แลวไปหลงกลของมัน
ไดอยางไร หลงกลของกิเลสวานี้คือสัตว ดนิ นค้ี อื สตั ว นา้ํ นี้คือสัตวค ือบคุ คล ลม ไฟคือ
สตั วค อื บคุ คล คอื เขาคอื เรา คือหญิงคือชาย คือของสวยของงามนารักใครชอบใจ รักใคร
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๐
๔๐๑
ชอบใจอะไรกับดิน นาํ้ ลม ไฟ แยกแยะดใู หเ หน็ ชดั เจนซิ มัวตื่นลมตื่นแลงไปกับกิเลสอยู
ทําไม ธรรมมีอยู ของจริงมีอยู
ถาพูดถึงเรื่องปฏิกูล รา งกายไหนจะเปน ปฏกิ ลู มากยง่ิ กวา รา งมนษุ ยเ รา ดูลงไปซิ
ทุกสิ่งทุกอยางมันเดนกวาเขาทั้งนั้นถาเปนเรื่องปฏิกูล แลวทําไมจึงรักจึงชอบจึงกําหนัดยิน
ดเี อานกั หนา นี่แลคือเรื่องของกิเลสกลอมใจหลอกใจ แมอ ยางนี้เรายงั เชือ่ อยูเหรอ เอา
ธรรมเขาไปเปน คแู ขงมองทะลเุ ขา ไปหาความจรงิ ซิ ตอจากนั้นก็มองใหทะลุปรุโปรงลงไป
จนกระทั่งอายตัวเองข้นึ มาในขณะนน้ั วา ทม่ี ายดึ มาถอื มาสาํ คญั มน่ั หมายวา สง่ิ นว้ี า เปน นน้ั
เปน น้ี เวลาพจิ ารณาเขา สคู วามจรงิ แลว หาความเปน นน้ั เปน นด้ี งั ทเ่ี คยสาํ คญั มานน้ั ไมม เี ลย
มันก็ละอายตัวเองนะซิ
พอปญญาหยั่งทราบตรงไหน มนั รแู จง เหน็ จรงิ ขน้ึ มาและปลอ ยวางไปโดยลาํ ดบั
ถาปญญายังไมเขาถึงความจริงเมื่อไร มันยังไมปลอย เพราะยังไมรูจริงเห็นจริงก็ยังไม
ปลอย เมอ่ื ถงึ ความจรงิ มัดไวเทาไรก็เถอะ ยังไงก็กระเด็นผึงไปเลยไมมีเหลือ ขาดกระจาย
ไปเลย อะไรมามัดไมไดมัดจิต ขอใหปญญาไดฟนขาดกระจายไปเถอะ จิตจะดีดตัวขึ้นมา
ทนั ที
การพจิ ารณาใหถ อื เปน การเปน งาน ทบทวนขา งบนขา งลา งภายในภายนอกตลอด
ทั่วถึง ถอื เปน การเปน งานจรงิ ๆ อยา ไปกาํ หนดเทย่ี วแหง การพจิ ารณา อยา ไปนบั วา
พจิ ารณาเทา นน้ั ครง้ั เทา นค้ี รง้ั ไมส าํ คญั ยง่ิ กวา การพจิ ารณาใหร จู รงิ เหน็ จรงิ นค่ี อื ความจรงิ
แท เอาใหเ หน็ เอาใหร ู พจิ ารณาจนชาํ นาญ หลายครง้ั หลายหนเขา กเ็ ดน ไปเอง ๆ ความ
จอมปลอมทั้งหลายทีเ่ คยเสกสรรปน ยอเอาไวก ็จางไป ๆ สุดทายก็หมดไป ไมก ลา เขา มา
แทรกความจรงิ นไ้ี ดเ ลย นน่ั ทา นวา รจู รงิ รูอยางนั้น
นี่ละพระพุทธเจาทานตัดภพตัดชาติทานตัดเขาที่ตรงนี้ ทานสอนทา นกส็ อนอยา ง
นอ้ี นั ไหนทห่ี ยาบจะควรพจิ ารณาไดง า ย เหมาะแกกําลังสติปญญาของเราทานก็สอนตอนนี้
กอน เชน รางกายเปนของหยาบ แมเ ชน นน้ั มนั กย็ งั หลง จึงตองสอนสวนรางกายนี้กอน
อยา งทา นมอบกรรมฐานหา เปน ตน ให เมอื่ พจิ ารณานม้ี นั กก็ ระจายไปเองอาการ ๓๒ ไม
ตองบอก ลุกลามไปหมด ซึมซาบไปหมด เขา ใจหมด ปลอยวางไดทั้งนั้น เมื่อปญญาได
แทรกลงไปจนตลอดทั่วถึงแลว
เวทนาซง่ึ มอี ยใู นกายนม้ี นั กเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ กายกเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ
เวทนากเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ แตเ มอ่ื เราไมท ราบวา ทง้ั สองอยา งนต้ี า งอนั ตา งเปน ความจรงิ
ของตัวเอง เราก็ไปควาทั้งสองอยางนี้มามัดเขาดวยกัน แลว ยดึ มาเปน เราเปน ของเรา
เวทนาคือความทุกขเปนตน กเ็ ปน ความจรงิ ของมนั และเวทนาเองก็ไมทราบวา ตนเปนทุกข
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๑
๔๐๒
ดว ย และไมทราบวาตนไดใหความทุกขแกผูใดดวย ไมท ราบความหมายในตวั เองดว ย กาย
ก็มีลักษณะเหมือนกัน การพิจารณาเวทนากับกายตองแยกแยะกนั อยางนั้น
หนงั เนื้อ เอ็น กระดูกก็เปนชิ้นเปนอันเปนของจริงตามสภาพของตัว เวทนา มี
ทุกขเวทนา เปน ตน ที่ปรากฏขึ้นจากรางกายก็เปนความจริงของมันอันหนึ่ง ถา จะเทยี บแลว
กเ็ หมือนฟนกบั ไฟที่เผาไหมก ันน่ันแล ถาอยากรูเห็นประจักษตาประจักษใจก็ลองเผากอไผ
ดซู ิ เสยี งระเบดิ ตมู ตาม ๆ เหมือนกับไมไผนั้นมีจิตมีวิญญาณ เสียงระเบดิ ตูมตาม ๆ นน้ั
เหมอื นเสยี งรอ งเสยี งครางขอความชว ยเหลอื นน่ั แล ที่นี่จงพิสูจนดูวาฟนมันรูไฟไหม ความ
จรงิ แลว ฟนก็ไมรูไฟ ไฟก็ไมรูฟน เมื่อทั้งสองอยางมาประกอบกันเขาก็ไหมของมันไป
อยา งนน้ั เอง เสียงระเบิดตูมตาม ๆ ดแู ลว เหมอื นกบั มวี ญิ ญาณ แตมันไมมี ฟน กไ็ มท ราบ
ความหมายของตนและไมทราบเรื่องของไฟ ไฟก็ไมทราบความหมายของตน ความรอนก็
ไมท ราบความหมายของตน และไมทราบเรื่องของฟน ผูทราบก็คือเราผูดูไฟมันกําลังไหม
ฟน อยนู น้ั นผ่ี ทู ราบกค็ อื จติ ระหวา งรา งกายกบั ทกุ ขเวทนามนั เผาไหมก นั เชน เดยี วกบั ฟน
และไฟเผาไหมก นั นน่ั แล มันไมทราบความหมายของกันและกันทั้งสองอยาง จติ ตา งหาก
เปน ผไู ปทราบ และจติ ตา งหากเปน ผไู ปหลงยดึ สง่ิ เหลา นน้ั เขา ไปอกี
เพราะฉะนน้ั ความรอ นระหวา งรา งกายกบั ทกุ ขเวทนาเผากนั ซึ่งเปน ความจรงิ อัน
หนง่ึ อยแู ลว แทนทจี่ ะรตู ามความจรงิ น้ันยังไมพอ ยงั เอาความทกุ ขร อ นภายในใจเพราะ
ความลุมหลงทุมลงไปอีก แบกหามเอาทง้ั รา งกาย ทั้งความทุกขนั้นมาวาเปนตนเปนของ
ตนเขาอีก จงึ เปน การกระทบกระเทอื นจติ ใจอยา งหนกั มาก ยิ่งกวาทุกขเวทนาทางรางกาย
เสยี อกี นแ่ี ลความลมุ หลง มนั ทาํ ใหเ ปน พษิ เปน ภยั ถงึ ขนาดนน้ั แล
ทานจึงสอนใหพ จิ ารณา แยกแยะใหเ หน็ ตามความจรงิ ของสง่ิ เหลา น้ี ยง่ิ เวลา
ทกุ ขเวทนากลา สาหสั มากเทา ไร นนั่ แลเปนเวลาทส่ี ตปิ ญ ญาจะทํางานอยา งเต็มทเ่ี พอื่ เอาตัว
รอด คนเรายอมจนตรอกเม่ือไร เมอ่ื ถงึ คราวจนตรอกแลว ความฉลาดเพราะความดน้ิ รน
ของสติปญญา หากชวยตัวเองเล็ดลอดไปได การรแู จง ความจรงิ ทง้ั หลายกร็ ไู ดใ นเวลาจน
ตรอกนน้ั แล
จงึ ขอใหท ราบไวท กุ ๆ องคดวยวา คนเรานน้ั ไมไ ดโงอยูตลอดเวลา เมื่อถึงคราว
จนตรอกจนมมุ แลว อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ความพ่ึงตนเองนน้ั จะปรากฏขึ้นมาเอง เพราะ
ตอนนน้ั เวลานน้ั เราจะไปรอ งครางใหใ ครมาชว ยเราได เราเปน ผแู บกทกุ ขเ ตม็ ตวั เรา อบุ าย
วิธีสติปญญามีมากนอย ที่จะพยายามตะเกียกตะกายใหเล็ดลอดออกไป มันเปนหนาที่ของ
เราโดยเฉพาะในเวลานน้ั นัน่ แหละเมื่อถึงขน้ั นน้ั แลว อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ก็เดนขึ้นมา
เอง รูไดชัดดวยวา ออ คาํ วา อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ นน้ั เปน อยา งนเ้ี องเหรอ เปน อยางน้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๒
๔๐๓
เองแหละ จงทราบจากความเพยี รความสามารถของตน จะอาจหาญชาญชยั ยิง่ กวาหวังพงึ่
ใครในเวลาเชน นน้ั
พระพทุ ธเจา ทา นกส็ อนไวแ ลว วา ตมุ เฺ หหิ กจิ จฺ ํ อาตปฺป อกฺขาตโร ตถาคตา การ
ประกอบความพากเพียร เพื่อถอนตนจากกเิ ลสทง้ั หลายน้ัน เปน หนา ทข่ี องทานทัง้ หลายพึง
ทําเอง พระพทุ ธเจา ทง้ั หลายเปน แตผ ชู บ้ี อกแนวทางใหเ ทา นน้ั นน่ั ทา นบอกแลว หูไมมี
เหรอ หหู นวกเหรอ เอาหูไปไวที่ไหนกันจึงไมไดยิน จงึ ไมค ดิ ธรรมนี้กระเทือนโลกคือหมู
สตั วม านานแสนนาน เมื่อไรจะตื่น เมอ่ื ไรจะความายดึ มาชว ยตวั เอง จะพากนั นอนจมแบบ
ไมมีหูมีตาอยูอยางน้ีละเหรอ
คาํ วา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เปนธรรมเล็กนอยเมื่อไร เคยรื้อขนสัตวมามากตอ
มากแลว ยังไมพากันคิดอานอยเู หรอ จะพากันประมาทไปถึงไหนอีก มรี สอรอ ยเลศิ เลอนกั
หรอื ความประมาทนะ ถึงไดพากันรักสงวนเอานักหนา เคยไดย นิ จากธรรมบทใดบา งวา
ความประมาทพาคนใหถ งึ บรมสขุ นะ เรามนั เรยี นนอ ยไมเ คยเหน็ ไมเ คยไดย นิ เคยทราบ
แตว า ความไมประมาทพาคนใหพนทุกขถึงบรมสุข
เราหว งอะไรเวลาน้ี เราหวงอะไร สง่ิ เหลา นเ้ี ปน สง่ิ พลดั พรากผนั แปรประจาํ ตวั ของ
มนั อยแู ลว ตลอดเวลา ถาพูดถึงเรื่องความพลัดพรากผันแปร มันก็เปนทุกขณะอยูแลว เรา
ยังหึงหวงอะไรอีก จะเอาอะไรมาเปน สารคณุ สาํ หรบั เรา เพราะการคิดการหงึ การหวงการ
หว งการใยเหลา นน้ั มันไมมีอะไรเปน ผลดี มแี ตล ม ๆ แลง ๆ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสมนั
กลอ มใหห ลบั อยเู ทา นน้ั ไมมอี ะไรเปนสารคุณพอใหภ าคภมู ิใจไดเลย มอี ยา งเดยี วสาํ หรบั
นกั บวชและนกั ปฏบิ ตั เิ รา คอื ตอ งหนกั แนน ในธรรม เพ่ือเปนเครอื่ งฉดุ ลากออกจากความ
ลมุ หลงเพลิดเพลนิ ของกิเลส เอาใหจ รงิ ใหจ งั อยา ทาํ เหลาะ ๆ แหละ ๆ เห็นกองทุกขเปน
ตุกตาเครื่องเลนไปได ทุกขมันเปนตุกตาเมื่อไร ใครเคยชินตอไฟ จเ้ี ขา ทไ่ี หนเมอ่ื ไรโดด
เมอ่ื นน้ั ทุกขก็เหมือนกัน เจอเขาเมื่อไรก็เอาเถอะ ไมวาจะเจอทางรางกายและจิตใจ มัน
เปนสิ่งที่เคยชินตอกันไมไดทั้งนั้น เรายงั จะนอนใจอยเู หรอ
พระพุทธเจาก็สอนไวแลวทุกสิ่งทุกอยาง สอนดว ยความรจู รงิ เหน็ จรงิ วาทุกขนี้
เปน ทกุ ขจริง ๆ สขุ นเ้ี ปน สขุ จรงิ ๆ ความตดิ อยใู นกเิ ลสเปน ความทกุ ขม ากมายขนาดไหน
พระองคก เ็ คยผา นมาแลว เคยรมู าแลว เคยถกู มาแลว การผา นพน กบั สง่ิ เหลา นเ้ี ปน คณุ
ขนาดไหน พระองคก ป็ ระกาศธรรมใหเ ราทง้ั หลายไดท ราบอยแู ลว เฉพาะพระพุทธเจาองค
ปจจุบันก็ ๒,๕๐๐ กวาป ยังไมถึงใจของพวกเราอยูเหรอ การจมอยใู นกองทกุ ขเ พราะ
อํานาจของกิเลสมันกดมนั ถว งใหล มใหจ มนั้น เรายงั ไมค ดิ เหน็ โทษของมนั บา งหรอื แลว จะ
เห็นคุณคาของธรรมไดที่ตรงไหน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๓
๔๐๔
ธรรมทง้ั หมดน้ีเปน เครอ่ื งปลุกใจสตั วโลกใหต ื่นจากหลับ คอื กเิ ลสพาใหห ลบั พา
ใหงมงาย แตกิเลสเองไมไดงมงาย ตัวเราผูถูกกิเลสกดขี่บังคับ กเิ ลสกลอ มนน้ั แลมนั งม
งาย ธรรมทา นปลกุ ใหต่ืนอยตู ลอดเวลา สติ ๆ ไมเปนเครื่องตื่นจะเปนอะไร ปญญา
พิจารณาสอดสองหาชองแกชองปลดตนเอง เพื่อความเล็ดลอดไปไดเปนลําดับ จงนาํ มาใช
อยา นอนใจกบั ปา ชา อนั เปน ความเกดิ ตายซาํ้ ๆ ซาก ๆ ไมม ีเงอื่ นตนเงอื่ นปลายนนี้ ักเลย
การหลดุ พน ไปเสยี เทา นน้ั เปน เรอ่ื งวเิ ศษ
จิตที่อยูใตอํานาจของกิเลส กับจติ ท่ีพน อาํ นาจของกเิ ลส เหนอื กเิ ลสแลว มคี วามรู
สึกตางกันอยางไรนั่น เพราะฉะนน้ั ความรสู ึกของพระพุทธเจา ผพู น กเิ ลสแลว และความรู
สึกของพระสาวกอรหนั ตท้ังหลายผพู น กเิ ลสแลว จึงไมมีอะไรจะเทียบจะเปรียบ จิตที่จมอยู
ในกิเลสน้เี ปน อยางไร คิดดูอยางนักโทษ แมแตนอนหลับอยูก็ยังตองมีผูควบคุม อยาวา
เวลาตน่ื เลย ประกอบหนา ทก่ี ารงานรบั ประทานอาหารเคลอ่ื นยา ยไปมาทไ่ี หน ตองมีผูควบ
คุมอยูตลอดเวลา มันเปน ความสขุ แลว เหรอ การอยูใตอํานาจแหงการกดขี่บังคับของการ
ควบคมุ นน้ั มันเปนทพ่ี ึงใจละหรือ นเี่ ด็ก ๆ ก็รูไดทราบได ก็นี่กิเลสมันควบคุมกดขี่บังคับ
อยตู ลอดเวลา หาความเปน อสิ ระทไ่ี หนได ทั้ง ๆ ทร่ี ู ๆ อยนู น้ั แหละ เหมือนนักโทษเขาก็
ไมใชคนตาย เขากร็ ู ๆ อยนู น้ั แหละ แตความรูน นั้ กร็ อู ยเู ฉย ๆ ไมมีอํานาจที่จะพนจาก
ความเปนนักโทษไปได
ความรูของของคนที่มีกิเลสก็เหมือนกัน จะรูขนาดไหนก็อยูใตอํานาจของกิเลส
มนั เปน ความสขุ ความอสิ ระทไ่ี หน เปน ความสะดวกสบายไดท ไ่ี หน การหลดุ พน ไปเสยี เทา
นน้ั และการปราบปรามสง่ิ ทม่ี อี าํ นาจมากภายในจติ ใจลงดว ยธรรมเทา นน้ั จึงจะเปนความรู
ที่เดน เปน ความรทู อ่ี สิ ระ เปนความรทู ีอ่ งอาจกลาหาญ เลยสมมุติทั้งปวง นน่ั ทา นจงึ เรยี ก
วา ปรมํ สขุ ํ ตรงกันขามกับ ปรมํ ทกุ ขฺ ํ การอยูใตอาํ นาจของกิเลสเปน ปรมํ ทกุ ขฺ ํ ของใจ
การปราบกเิ ลสใหเ รยี บราบไปหมดโดยประการทง้ั ปวงนน้ั คอื ปรมํ สขุ ํ ปรมํ ทุกฺ
ขํ นใ้ี คร ๆ กเ็ คยแบกเคยหามมาแลว เคยโดนมาแลว สว น ปรมํ สขุ ํ น้ีไมเ คยสมั ผสั แม
กระแสบา งเลย ทําไมจึงไมอยาก ปรมํ สุขํ บา ง ปรมํ ทุกฺขํ มีรสมีชาติอยางไร มคี วามสขุ
ความสบายอยา งไร ก็ฟงแตวา ปรมํ ทกุ ขฺ ํ เราสงสยั ทต่ี รงไหน เราจมอยูกับความทุกขมาไม
มเี วลาํ่ เวลาจนกระทง่ั ปา นน้ี ยังไมเข็ดหลาบ แลว เราจะเอาความเขด็ หลาบมาจากอะไร ใน
สามแดนโลกธาตมุ กี เิ ลสอยา งเดยี วสรา งทกุ ขใ หส ตั วโ ลกทค่ี วรจะเขด็ หลาบ ธรรมมไิ ดส รา ง
ทกุ ขใ หส ตั วโ ลก ถาไมเชื่อพระพุทธเจาและดําเนินตามหลักที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไว จะ
เชอ่ื ใครและดาํ เนนิ ตามอะไรจงึ จะเปน ทแ่ี นใ จ พระพทุ ธเจา หลดุ พน แลว นาํ ธรรมนน้ั มาสอน
โลก จงนอ มธรรมนั้นมาดําเนนิ เพ่ือหลดุ พน ใจจะไดเ ปน อสิ ระ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๔
๔๐๕
ความเปนอิสระของจิต ไมมีอะไรมาเกี่ยวของเลย หาอะไรเทียบไมได ทา นพดู
เพียงวา ปรมํ สขุ ํ แมยังทรงธาตุทรงขันธอยู ใจนั้นก็อยูเหนือสมมุติทั้งมวลตลอดเวลา
อกาลิโก ไมมีทุกขตัวไหนจะเขาไปแทรกได เพราะคําวาทุกขก็คือสมมุตินั่นเอง นอกจาก
ขันธซึ่งเปนตัวสมมุติ ก็ยังมีสุขมีทุกขไปตามสภาพของมัน ดงั พระพทุ ธเจา ประชวร นั่นก็คือ
ทุกขในธาตุขันธ ทรงกระหายนาํ้ รบั สง่ั ใหพ ระอานนทไ ปตกั นาํ้ มาใหเ สวย นั่นก็คือเรื่องของ
ธาตุของขันธบกพรอง ตอ งการความเยยี วยา ไมใชเรื่องของวิสุทธิจิตทาน
อานนท ไปตักน้ํามาใหตถาคตดื่มหนอย เวลานธ้ี าตขุ นั ธต ถาคตเพยี บเตม็ ทแ่ี ลว
ตถาคตออนเพลียมากตองการพักผอน ลาดสงั ฆาฏติ รงน้ี ตถาคตจะพักผอนพอบรรเทา
ขันธ คําวาตถาคตนี้ก็หมายถึงธาตุถึงขันธ ราวกบั วา อานนท ไปตกั นาํ้ มาเตมิ รถนห้ี นอ ย รถ
นจ้ี ะหมดนาํ้ แลว ไปเอานาํ้ มาเตมิ แลว พักเครอ่ื งมนั หนอ ย สวนผูขับรถไมไดเปนอะไร รถ
ตา งหากเปน
คาํ วา ตถาคตที่แทจริงก็คือพระจิตที่บริสุทธิ์ นน่ั เหมอื นกบั คนขบั รถ ประคองราง
นี้ไปพอถึงที่ ๆ จะปลงมัน คอื เมอื งกสุ นิ ารา ยังไมถึงนั่น มนั จะบรรลยั ไปเสยี กอ นแลว จะ
แตกจะพงั เสยี กอนแลว สรรี ะนี้ จึงตองเยียวยากันไป พอถึงกาลถึงสถานที่ที่ปลงวาง ทว่ี า เรา
กระหายก็หมายถึงวา ความบกพรองของธาตุขันธตองการน้ํา ทุกขก็คือขันธเวทนา มันอยู
ในขนั ธต า งหาก ไมอยูในวิสุทธิจิต ไมอยูในความบริสุทธิ์ของใจ จะเอาอะไรไปทุกขตรงนั้น
คาํ วา ตถาคตหิว ตถาคตกระหาย หมายถึงรางของตถาคตตางหาก ไมไดหมายถึง
พระจิตของตถาคตอันเปนองคศาสดา หรอื เปน ธรรมดวงเลศิ อยา งแทจ รงิ นน้ั เลย นเ่ี รอ่ื ง
ธาตุเรื่องขันธเปนอยางนี้ มันเปนไดดวยกัน ไมวาพระอรหันตไ มวาคนมีกิเลสมนั เหมือน ๆ
กัน มีความทุกข ความสขุ เจ็บไขไดปวย เจบ็ หวั ตวั รอ นเปน ธรรมดา อนั นย้ี อมรบั เพราะ
ธาตุขันธเปนสมมุติ เรอ่ื งความทุกขค วามลาํ บากซงึ่ เปน สมมตุ ดิ วยกนั กเ็ ขา กันไดสนิท แต
จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว นน้ั ไมไดม าเกีย่ วขอ งกบั สิ่งเหลานี้เลย ก็หมายถึงความเปนอิสระของจิต
อยตู ลอดเวลานน่ั แล
นั่งอยูที่ไหนก็ใหมีสติ อริ ยิ าบถตา ง ๆ อยา ไดเ ผลอ อยางนอยใหมีสัมปชัญญะคือ
ความรสู กึ อยใู นตวั จะรูเปนวงกวางหมดทั้งกาย ก็คือสติที่เปนสัมปชัญญะ ถาจดจอ
พจิ ารณาอะไร รอู ยจู าํ เพาะ ๆ เรยี กวา สติ สัมปชัญญะ คอื ความรใู นวงกวา งประจาํ ตน เรยี ก
วาสัมปชัญญะ นแ้ี ลเปน เครอ่ื งบาํ รงุ ใหม กี าํ ลงั สตเิ มอ่ื ไดร บั การบาํ รงุ อยเู สมอจะมกี าํ ลงั
ปญญาเมื่อไดใ ชก ารพินจิ พจิ ารณาอยูโดยสมํา่ เสมอ ก็จะมีกําลังและคลองตัวไปเชนเดียว
กัน สุดทายก็กลายเปนสติปญญาอัตโนมัติไปไดโดยไมตองสงสัย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๕
๔๐๖
ดังครั้งพุทธกาลทานวา มหาสติ มหาปญญา คือหมุนตัวไปเองโดยไมตองบังคับ
บัญชา ไมตองถูตองไถเหมือนขั้นเริ่มแรกที่กําลังตะเกียกตะกาย เนือ่ งจากเวลานัน้ จติ ยงั ไม
เหน็ ผลแหง ธรรมปรากฏขน้ึ บา งเลย เชน สมาธิก็ยังไมปรากฏ ผลของการตัดกิเลสประเภท
ตา ง ๆ ดวยอํานาจของปญญาภายในใจก็ยังไมปรากฏ จึงไมมีแกจิตแกใจที่จะประกอบ
ความพากเพียรไปโดยลําพังที่ไมตองบังคับ
ผบู าํ เพญ็ จาํ ตอ งบงั คบั อยโู ดยดใี นขน้ั เรม่ิ แรก แตพอเห็นผลขึ้นไปโดยลําดับแลวก็
มีแกใจ มีกําลังใจ ความเชื่อก็ปรากฏเดนชัดประจักษตน ความพากเพยี รและธรรมอน่ื ๆ
จะไปไหน ก็หมุนกันมาเอง สตปิ ญ ญาเม่ือนําออกไปใชห ลายคร้งั หลายหน กเ็ หน็ เหตเุ หน็
ผล เหน็ ตน เหน็ ปลายของกเิ ลสอาสวะ ตลอดผลของธรรมก็รูเห็นไปพรอม ๆ กัน นน่ั แหละ
ทาํ ใหม แี กใ จ เกดิ ความรกั ใครช อบใจในความพากเพยี ร ฉนั ทะคือความพอใจโดยหลัก
ธรรมชาติก็มาเอง เพราะผลเปน เครอื่ งดึงดดู จิตก็คอยหมุนตัวไปเอง
คาํ วา ปญ ญาพจิ ารณารา งกายน้ี เปนปญ ญาทผ่ี าดโผน เมอ่ื ถงึ ขน้ั ผาดโผนแลว ผาด
โผนมากทเี ดยี ว พจิ ารณาทางรา งกาย ถงึ จะรวดเรว็ กร็ วดเรว็ ดว ยความผาดโผน เพราะกาย
เปน สว นหยาบ ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาสว นรา งกายน้ี แมจ ะเปน ปญ ญาทร่ี วดเรว็ ทนั ใจกผ็ าดโผน
ผิดกัน พอผา นนไ้ี ปแลว กเ็ ขา สคู วามละเอยี ด คาํ วา ผา นนไ้ี ปแลว หมายถงึ การพจิ ารณารา ง
กายนร้ี รู อบขอบชดิ หมดแลว หย่งั ทราบดวยปญ ญาไมส งสยั ปลอ ยวางอปุ าทานความยดึ มน่ั
ถือมน่ั ในกายเสยี ไดโดยธรรมชาติท่ีรรู อบแลว
จากนน้ั กห็ มนุ เขา สนู ามธรรมโดยเฉพาะ ไมเ กย่ี วกบั รปู ธรรมเลย ไมวาภายนอกไม
วา ภายใน ทั้งรางกายของตัวและของคนอื่นก็ไมสนใจพิจารณา สตปิ ญ ญาหมุนเขาสู
นามธรรม ไดแ กพ วกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามแตถนัดในขันธใด เวลาใด การ
พจิ ารณาเวทนากห็ มนุ เขา ไปสใู จ การพิจารณาขันธใดยอมเชื่อมโยงถึงใจเสมอ สัญญา
สงั ขาร ความคิดความปรงุ ของใจ ความหมายของใจ ซง่ึ แสดงยบิ แยบ็ ๆ หรือกระเพื่อม ๆ
อยภู ายในใจ เหลา นเี้ ปนสนามรบของสตปิ ญ ญา
สนามรบทางรางกายก็ทราบกันแลว ไดชัยชนะมาเปนตอน ๆ แลว เลกิ แลว สนาม
น้ี กา วเขา สสู นามอนั ละเอยี ด สติปญญาอันละเอียดพอ ๆ กัน พจิ ารณาเขา ไป ขนั ธไหนมนั
ก็เหมือนกัน เรอ่ื ง อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตามกันไปทุกระยะ ๆ เวน แตค าํ วา อสภุ ะเทา นน้ั
เพราะขนั ธส น่ี เ้ี ปน นามธรรม ไมเ ก่ียวกับเรอื่ งสุภะ อสุภะ มแี ตค วามรูก ับความกระเพอ่ื ม
ของใจ กระเพื่อมไปทางไหน กระเพื่อมไปทางรูป ทางเสยี ง มาขน้ั นร้ี ปู เสยี งเลยไมถ อื เปน
สําคัญยิ่งกวาความกระเพื่อมของใจ ถือวาความกระเพื่อมนี้แลคือตัวกอเหตุ มันจะรูทันที
ๆ พอรูทันทีก็ดับกันทันที ไมมีเงื่อนสืบตอกับอะไร รูอะไรก็ดับ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๖
๔๐๗
สญั ญาความหมายตา ง ๆ จะซานออกไปไหนก็รู แตกอนไมรู จนกระทั่งไปเปน
ภาพเปน เรอ่ื งเปน ราวขน้ึ แลว ก็หลงภาพอันนั้นเหมือนตุกตาหลอกตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ออกไป
จากใจนแ่ี ล สติปญญาไมทันไมรู แตพอทันแลวรูหมด นเ่ี ราจะเอาสาระอะไรกบั ภาพ
หลอกลวงนั้น ๆ จะพจิ ารณาหาความจรงิ ตา งหาก ความคดิ คิดดี คดิ ชัว่ มันดบั ดว ยกนั ท้ัง
นน้ั ไมว าจะคิดประเภทใด ความจาํ จําอะไรมันก็ดับ สัญญา สงั ขาร เกดิ ดบั ๆ ประจําตน
วญิ ญาณความรบั ทราบ มีแตเรื่องเกิดเรื่องดับ มันเรือ่ งสาระอะไรท่จี ะมาถือวา เปน
เราเปน ของเรา มนั ใครค รวญมนั พนิ จิ พจิ ารณา มันรูของมัน ก็มีแตเรื่องของจิตที่แสดง
อาการยิบแย็บ ๆ มันออกมาจากจิต ตามเขา ไป นีแ่ หละทีว่ า เชื้ออยูที่ไหนไฟจะไหมเขาไป
ทน่ี น่ั เชื้อคือกิเลสมันอยูที่ไหน สตปิ ญ ญาจะหมนุ ตวั เขาไปท่นี ่นั เอาใหเ ขา ใจ ๆ แลว ปลอ ย
วาง หรอื วา เขา ใจตรงไหนประหารกนั ทน่ี น่ั กถ็ กู
สดุ ทา ยคําวา กิเลสทัง้ มวลนัน้ มันอยูท ี่ไหนกร็ ไู ดช ัด มันไมไดอยูในรูป ในเสยี ง ใน
กลิ่น ในรส มนั อยกู บั จติ ทไ่ี ปเกย่ี วโยงกบั สง่ิ เหลา นน้ั เพราะความไมร ตู า งหาก เมอ่ื พจิ ารณา
คลค่ี ลายสง่ิ เหลา นน้ั จนเขา ใจ จติ หายสงสยั แลว ปลอยเขามา ๆ จนถึงรางกายของเจาของ
พอพจิ ารณานก้ี ห็ ายสงสยั แลว ปลอ ยเขา ไป แนะ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ พจิ ารณา
เขาไปปลอยเขาไป ๆ เรอ่ื ย ๆ คอื รเู ทา แลว ปลอ ยวาง ไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในอาการทง้ั หลาย
เหลา น้ี
ขันธหาคืออะไร รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่คือขันธหา รเู ทา ปลอ ยวาง
อะไรเปนตัวการสําคญั ของขนั ธหา อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา อยูที่ไหน ก็อยูที่จิต นน่ั ที่นี่
กเิ ลสรวมตวั เขา ไปจดุ เดยี วแลว นแ่ี ลการพจิ ารณาทางดา นปญ ญา หมุนเขาไปจนกระทั่งถึง
จติ
แตจิตประเภททีม่ อี วิชชานี้เปน จติ ทส่ี งาผาเผยองอาจกลา หาญ ทง้ั ความผอ งใส ทั้ง
ความองอาจกลา หาญ ทง้ั ความคกึ คะนองดว ยความอาจหาญวา ตวั เกง นน้ั แล มิไดคะนอง
แบบทว่ั ๆ ไป เปนวสิ ยั ของจติ ประเภทน้ี เพราะฉะนั้น ทา นจงึ วา มานะ ๙ มานะ ๙ อยู
ตรงน้ี ทา นอธบิ ายไวใ นสงั โยชนเ บอ้ื งบนวา รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธจั จะ อวิชชา
มานะนน่ั คอื ความถือ ก็ถืออวิชชากับจิตที่กลมกลืนเปนอันเดียวกันนั้นแล วา เปน ตน วา
เปน เราเปน ของเรา แลว ยกอนั นข้ี น้ึ มาเทยี บเคยี ง วาองคน้นั เปนยังไง ผูน้ันเปน ยังไง จติ
เสมอเราหรอื ยง่ิ กวา เรา หรอื หยอ นกวา เรา นน่ั ทา นจงึ เรยี กวา มานะ ๙ ๓ คูณ ๓ เปน ๙
เชน จติ เราตาํ่ กวา เขา สาํ คญั วา ตาํ่ กวา เขา เสมอเขาหรอื ยง่ิ กวา เขา จติ เราเสมอเขาสาํ คญั วา
ตาํ่ กวา เขา หรอื เสมอเขาหรอื ยง่ิ กวา เขา จติ เรายง่ิ กวา เขา สาํ คญั วา ตาํ่ กวา เขา เสมอเขาหรอื
ยิ่งกวาเขา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๗
๔๐๘
กเิ ลสสว นละเอยี ดเอาอนั นแ้ี หละออกเทยี บเคยี ง เพราะกาํ ลงั เปน เขย้ี วน่ี เขี้ยว
กําลังแหลมคม เขย้ี วอวชิ ชา ทา นวา มานะ ความถืออันนี้เอง พออันนี้สลายลงไปแลวเอา
อะไรมาถือ เอาอะไรมาเปนผอ งใส เอาอะไรมาเปน เศรา หมอง เอาอะไรมาเปน ความองอาจ
กลา หาญ เอาอะไรมาเปน ความกลวั มันไมมี พอธรรมชาตอิ นั นส้ี ลายตวั ลงไปดว ยอาํ นาจ
ของการพิจารณา สงิ่ เหลา น้ีแลเปน ธรรมชาติที่สรา งปญ หาตามภูมขิ องตน คือภูมิละเอียดก็
สรา งปญ หาอนั ละเอยี ดจนไดแ หละ กเิ ลสหยาบกส็ รา งปญ หาอนั หยาบขน้ึ มา กเิ ลสละเอยี ด
กส็ รางปญหาละเอียดขึ้นมา กิเลสหมดไปแลว ไมมอี ะไรสรา งปญ หา หมดปญ หาโดย
ประการทง้ั ปวง หมดเหตุหมดปจจัยของสมมุติที่จะสืบตอกันแลว เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธ์ิ
ลว น ๆ จึงไมมีปญหาใด ๆ อีกตอไป
ความบรสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ เปนเหตุเปนปจจัยกับอะไร สรา งปญหาอะไร ทา นวา หมด
ปญ หา หมดตรงนน้ั ภพชาตทิ ี่เคยเปนอยกู บั จติ มากนอ ยมันรูมาโดยลาํ ดับลําดา จนกระทั่ง
เขา จดุ รวม เหลือแตเชื้อของมันที่จะไปเพาะที่นั่นที่นี่ คอื เกิด ก็เผากันลงที่นั่นดวยตป
ธรรม จนแหลกแตกกระจายหมดแลว ภพชาติจะสืบตอไปไหนอีกมีไหม จะไปถามใครเลา
แมพระพุทธเจาประทับอยูตรงหนาก็ไมทูลถาม เพราะเปน ความจรงิ เหมอื นกนั ไมมีอะไร
แปลกตางกันพอจะถามกัน ทา นจงึ วา สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก เหน็ เอง รูเอง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺู
หิ ทา นผรู ทู ง้ั หลายรจู าํ เพาะตน นน่ั คอื ทา นผรู จู ากการปฏบิ ตั ริ จู าํ เพาะ ไมเ ปน สาธารณะแก
ผหู นง่ึ ผใู ด นี่ทที่ านวา วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ํ เสรจ็ แลว งานฟา ดนิ ถลม ไดเ สรจ็ สน้ิ ลงไปแลว ดนิ
ฟาถลม ก็คือภพคือชาติ กอตัวขึ้นมาดวยธาตุสี่ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ หรอื ภพชาตปิ ระการใด ๆ
มันก็เปนเรื่องของสมมุติ จึงวาดินฟาถลม คว่าํ ลงไปหมด ทีนี้อะไรจะมามีอยูในจิตนั้น
นน่ั แลทน่ี ่ี เอา ดู ๆ กเิ ลส เมอื่ ไดฆา ตายสนิทจากจติ ดวงน้ีแลว เอา มันอยูกับจิตใด
กบั รา งใดกายใด กิริยาของใคร แสดงทาไหนออกมาปดไดยังไง มันรูหมด นลี่ ะท่วี า กเิ ลส
ครอบหวั เราอยตู ลอดเวลาแตเ ราไมร ู ถาเปนพระพุทธเจา พระอรหันตทานดูแลวดูยากที่
ไหน แยบ็ เดยี วทา นกข็ ยะไปแลว ทา นรู ๆ จนขยะจะวาไง แตพวกเรามันตาบอดตอตาบอด
อยูดวยกัน ไมร ูทั้งเร่ืองของเรา ไมรูทั้งเรื่องของเขา ไมรูทั้งเรื่องคนอื่น ๆ ตางคนตางไมรู
แตก เ็ ขา ใจวา ตวั รู สาํ คญั วา ตวั รู สาํ คญั วา ตวั ดแี ลว กท็ ะเลาะกนั กัดกันเหมือนหมา เพราะตา
ในไมเ หน็ ตาปญญาเหมือนพระพุทธเจา พระสาวกทานมันไมมี นี่แลเรื่องของกิเลสมันตอง
สําคัญตัว ยกยอตวั เสมอ เลวเทา ไรยง่ิ สาํ คญั ตวั วา ดี กเิ ลสเปน เชน นน้ั ไมเ คยลงกบั ความ
จริงคือธรรมมาแตก าลไหน ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๘
๔๐๙
เพราะฉะนน้ั เรามาปฏบิ ตั เิ พอ่ื ปราบสง่ิ เหลา น้ี จงอยา ใหม ภี ายในจติ ใจไปนาน
ปราบใหแ หลกแตกกระจายไปหมดแลว อยสู บาย ใจเวง้ิ วา ง แตเปนอางเก็บวิสุทธิธรรมไมมี
วแ่ี ววสมมตุ ผิ า นเลย ถาเทียบกับสมมุติก็เปนใจอวกาศ เทยี บไปอยางนัน้ เอง
เอาละการแสดงธรรมกเ็ หน็ วา พอสมควร
พดู ทา ยเทศน
พวกเรามันพวกสวดกิน ธรรมะเลยเปน เครอ่ื งมอื หากนิ ไปเสยี หมด หากนิ ขา วตม
ขนม วา กสุ ลา ธมมฺ า อกุสลา ธมมฺ า อพยฺ ากตา ธมมฺ า คนตายทไ่ี หนละไปแลว ความ
ฉลาดเอาไปสวดหากนิ ขา วตม ขนมเสยี ความฉลาด กุสลา ธมมฺ า ธรรมยงั คนใหฉ ลาด มัน
ฉลาดหากนิ ขา วตม ขนมไปเสยี พวกเรา มนั ไมฉ ลาดนํามาแกก เิ ลส มาฟน กเิ ลส อกุสลา ธมฺ
มา ธรรมพาคนใหโ ง สิ่งที่พาคนใหโง จงกสุ ลาเจาของใหพ อตัวซิ เมื่อพอตัวแลวอยูที่ไหนก็
อยู รชู ดั แลว สงสยั ไปไหน รพู อตวั แลว ฟงแตวาพอตัวซิ ไมไ ดส าํ คญั มน่ั หมายกบั เวลาํ่ เวลา
ดินฟาอากาศ กบั การเปน การตาย ไปสูงไปต่ํา เกิดที่ไหน อยูที่ไหน สขุ ทุกขป ระการใด คดิ
ไปใหเ สยี เวลาทาํ ไม เมอ่ื เหน็ ความจรงิ เตม็ ใจแลว ก็อยูตามความจริงนั้น แสนสบายยง่ิ กวา
ไปเทย่ี วควา โนน ควา น้ี ควา ลม ๆ แลง ๆ
พระพทุ ธเจาทา นสอนจริงขนาดนัน้ แตมนั ไมชอบจริงมนษุ ยเรา เฉพาะอยางยิ่ง
พระกรรมฐานเราสอนอยา งน้ี ๆ ไปงมอยางโนน ควา โนน ควา น้ี อวชิ ชาสาํ คญั มากตวั เชอ้ื
พาใหเ กิด ละเอียดมากทีเดียว ถา ไมเ คยดาํ เนนิ มนั ไมร ู ธรรมเครอ่ื งดาํ เนนิ กต็ อ งเปน ธรรม
ปฏบิ ตั ิ รเู ขา ไป ๆ ตามเขาไป ๆ จนถงึ ตวั มนั เลย
นี่ก็ไดอธิบายใหหมูเพื่อนฟงไมรูวากี่ครั้งกี่หน ทําไมมันไมถึงใจ การอธิบายนี้ไม
ไดส งสยั นะ อธิบายตามความจรงิ แท ๆ ทั้งฝายเหตุฝายผล ไมไดอธิบายดว ยความสงสัย
อธิบายใหหมูเพื่อนฟง มันนา จะจับเอาเงื่อนใดเงอื่ นหน่งึ เขา ไปจริงจงั กับตวั เอง อยไู ปนาน
ไปมนั ชนิ ชานะ ความชนิ ชาเปนอะไรถา ไมใชก ิเลส ถา ธรรมจะราบรน่ื จะคลองตัวไปเรื่อย
ในการแกการปลดความไมดีในตัว ใจจะเดน ขน้ึ ๆ ความระมดั ระวงั สาํ รวมตวั กจ็ ะเดน ขน้ึ
ๆ นน่ั คอื ธรรม ถา เปน เรอ่ื งความชนิ ชาแลว มนั จะไปไหน ถาไมไปหนาดานมันจะไปที่ไหน
ถา ชนิ ชาแลว หนา กด็ า น ภาษาภาคอสี านเขาเรยี กเหลก็ กน เตาหรอื ทองกน เบา นายชา งเหลก็
จะทุบจะตียังไงมันก็ไมไดเรื่อง จะเอาไปทําอะไรก็ไมเปนประโยชน ถา ลงมนั ไดเ ปน เหลก็
กน เตา ทองกน เบา แลว ฉะนน้ั จงพากนั ระวงั ใหม าก พระกรรมฐานทั้งองคอยาลืมตัว จะ
เปน เหลก็ กน เตา ทองกนเบาไปเปลา ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๙
๔๑๐
ในครง้ั พทุ ธกาลทา นเอาจรงิ เอาจงั นะ ทานถือการภาวนาเปนการเปนงานเปนเนื้อ
เปน หนงั เปน จติ เปน ใจจรงิ ๆ ทานไมใหอะไรมายุงนะ จงทราบรากฐานหรอื แกน ของการ
ปฏบิ ตั ธิ รรม แกน ของศาสนา แกนของผูพาดําเนิน ทา นดาํ เนนิ อยา งนน้ั หนา พวกเรากเ็ หน็
ในตาํ รบั ตาํ รา แตเมอื่ ความจริงไมถ งึ ใจแลว มันไมกระจายมันไมซึ้ง ในธรรมทง้ั หลายท่ี
ทา นดาํ เนนิ มาและพาดาํ เนนิ มา มันก็ไมซึ้ง
ถาเปน เรอ่ื งของกิเลสแลว มันซ้งึ ไมว า มนั จะแยบ็ มาหมดั ไหนละ เปน เปด คางยน่ื
คางใหม นั เลย ปกตินิสัยก็เปดใหมันอยูแลวตั้งแตมันยังไมตอยโนนแนะ แลวอะไรจะไปคิด
ปดปองมันวะ ถา เปน กเิ ลสแลว เหมอื นกบั วา กวกั มอื เรยี กมนั มาเขา มา ๆ เอาตรงคางตรง
ขากรรไกรนน่ี ะ ใหม นั หงายหมาลงไปเลย หงายไมม ีทากเ็ หมือนหงายหมาละซิ หงายมีทา
มันหงายตอสู หงายหลบหลกี หงายหลบหมดั พวกเรามันหงายแบบไมม ที า เหมือนถูก
น็อกนะ พวกเรามันพวกถูกน็อก พวกหงายไมเปนทา
พดู อยูข ณะนเ้ี รายังโมโหวะ โมโหแทนหมูแทนเพื่อนนะซิ เพราะเราเคยฟด กบั มนั
มาพอแลว โถ บางครั้งขณะฟดกันเหมือนจะไปทั้งชีวิตนี่เลย เอา ไป ไมอ าลยั เสยี ดาย นน่ั
จติ เวลามนั แขง็ แกรง แขง็ แกรง ขนาดนน้ั นะ เอาไปเถอะ ยังไงก็ไมถอย จติ พงุ เลยนะเวลา
เชน นน้ั เราถึงไดเห็นเรื่องของมัชฌิมาปฏิปทา เห็นไดชัดอยางนี้เอง ไมไดคุย เอาความจรงิ
มาพูดกันซิ
พระพุทธเจาวา มชั ฌิมาปฏปิ ทา พวกเราเอามาแปลกนั แปลไมไดปฏิบัติวา
มัชฌิมาปฏิปทา เดนิ ทางสายกลาง ไมยิ่งนักไมหยอนนัก ไมยิ่งนักมันเปนยังไง ไมหยอน
นกั มันเปน ยงั ไง สายกลางนั้นคือยังไง ก็เห็นแตเ สื่อกบั หมอน สายกลางนน่ั เหน็ ไหม นน่ั มนั
คือมัชฌิมาของกิเลสตางหาก ไมใชมัชฌิมาของธรรมปฏิบัติ กิเลสมันมีมัชฌิมาของมัน
อยา งมน่ั เหมาะ โลกถึงไดติดมัน เดนิ ทางสายกลางนห้ี นา เอาลงเสื่อกับหมอนตรงกลางนี้
หนา นน่ั ถา จะทําความพากเพยี รใหแข็งขอบา ง โอย ไมไดนะ จะเครง เกนิ ไปนะ ทําพอดีให
สบายซิ ทําไป หลบั ไป สัปหงกไปซิ ถาชักงวงบางก็รีบหงายทองลงกลางเสื่อกลางหมอนนั้น
ซิ มัชฌิมาอยูที่นั่น นน่ั เหน็ ไหม นั่นกิเลสมันกลอม ลม ระนาวเลย
ถาเปนมัชฌิมาของธรรมแลว เอา กเิ ลสโผนมา ๆ ซิ วา งน้ั เลย มัชฌิมาตองโผนไป
ถึงไหนถึงกัน เหมือนกับขาศึกยกกองทัพใหญมา เครื่องมือของเขาเปนยังไง เราตอ ง
เตรียมเครอื่ งมือของเราใหพ รอ ม ฟดกันเลย ถากําลังและอาวุธตลอดอุบายวิธีการรบไม
เหนอื มนั ชนะมันไดยังไง ขา ศกึ นะ สติปญญาซึ่งเปนอาวุธทันสมัยที่เรียกวามัชฌิมา ไม
เหมาะสมกับกเิ ลสจะปราบกิเลสไดยงั ไง เวลากเิ ลสโผนมากต็ อ งโผนไปซิ นน่ั ละเรยี กวา
มัชฌิมา คอื เหมาะสมกบั การปราบกเิ ลสประเภทนน้ั ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๐
๔๑๑
การบอกใหเ ดนิ ทางสายกลาง แตไ มท ราบวา สายกลางเปน ยงั ไง นน่ั จะตรงเปา
หมายแหงมัชฌิมาปฏิปทาไดอยางไร สุดทายความอยากไปนพิ พานก็เลยกลายเปน ตณั หา
ไปเสยี นั่นฟงดูซิ อยากไปนพิ พานกเ็ ปนตณั หา กเ็ หน็ แตค นตายเทา นน้ั ทไ่ี มอ ยากอะไรเลย
แลว มนั ไปนพิ พานไดไ หมคนตายนะ เห็นแตมันขึ้นกองฟอนกองไฟนั่นแหละ มันจะไป
นิพพานไดยังไงก็คนตาย อยากดวยอํานาจของกิเลสและพันกันอยูวันยังค่ําเปนอยางไรไม
เหน็ คดิ พอจะอยากไปนิพพาน เพียงจะหันหนาออกจากกิเลสมองดูทางไปนิพพาน อุย นี่
เปน ตณั หานะ วา อกี แหละ มันอะไรกัน จะไมเ ปน บา กนั หมดแลว หรอื ปราชญช าวพทุ ธเรา
นะ ถงึ ไดฆ า ตัวดว ยความอยากไปนพิ พานวา เปน ตัณหาขนาดนัน้
ความอยากเปนมรรคก็มี ความอยากเปน กิเลสกม็ ี ทําไมความอยากเปนมรรคมีไม
ไดว ะ ถามีไมไดมันจะแกกันไดอยางไร เอาตรงนน้ั ซิ ถาไมพลิกอยางนี้ไมทันกลของกิเลส
นะ กเิ ลสมนั แหลมคมขนาดไหน ธรรม มีสติปญญาเปนตน ไมแหลมคมไมได มันตอง
พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมซิถึงจะทันกัน เผด็ มาเผด็ ไป รอนมารอ นไป เอาให
ทันกัน แกไมมวยเขาใหได แกไมไดตายจริง ๆ นะ นเ่ี ราเสยี ทา เขาดว ยวธิ นี ้ี เราจะแกเขา
ดวยวิธีใดตองแกซิ ไมแกก็ถูกน็อกจริง ๆ
นเ่ี คยเหน็ คณุ คา ของการเดด็ เดย่ี วในเวลาจาํ เปน จนตรอกจนมมุ เหน็ คณุ คา จรงิ ๆ
ประจักษใจ จําไมลืมตลอดไป จึงไดนํามาพูดใหหมูเพื่อนฟง พดู ดว ยความกลา หาญดว ย
มันไมไดจนตรอกหนาสติปญญา วา อยา งนเ้ี ลย ทกุ ขห นาแนน เขา เทา ไร เหมือนจะมดั เราให
ตายในปจ จบุ นั น้ี สติปญญาก็หมุนติ้วเขาไปตรงนั้น ออกไปไหนไมได เหมือนกับ
ตะลุมบอนกัน เผลอไดยังไงเวลาน้นั ราวกบั นกั มวยเขา วงในกนั เผลอไดยังไง นี่ก็สติ
ปญญาหมุนติ้ว ๆ ถอยไมได ทกุ ขหนักเทา ไรมันยิ่งหมุนเขาไปเรอ่ื ย ๆ ตอไปมันก็เขาใจ ๆ
ๆ เดี๋ยวขาศึกก็พังทลาย
ผมนะมันนิสัยหยาบ เพราะฉะนน้ั เวลามาพดู กบั หมเู พอ่ื นจงึ วา หยาบ คอื เราเคย
ปฏิบัติมายังไง ไดผลมายังไง ก็ไมพนที่จะนํานิสัยนั้นมาพูดมาใช ไมว า ครบู าอาจารยอ งคใ ด
ก็เถอะ เราวา อยา งนน้ี ะ เพราะเคยสมาคมกบั ทา นมาแลว อยางหลวงปูขาวลองไปฟงภาย
ในทา นซิ โอโห เสียงกงั วานไปถงึ สามแดนโลกธาตุแนะ ทา นเดด็ ไมใ ชเ ลน นะหลวงปขู าวน่ี
เวลาทา นพดู เปรย้ี ง ๆ หลวงปแู หวนโนน กเ็ หมอื นกนั ผมไดเ คยไปคยุ ธรรมะกบั ทานแลว
เพราะทา นกร็ าํ่ ลอื มานาน เราเขา ถงึ ทา น ไปคุยธรรมะกับทาน โอย ธรรมะทา นบรรจไุ วใ น
ใจเตม็ เปย ม ถาเปนตุมเปนถังก็เต็มถังขนาดใหญ ไมเคยไดเปดออกใชเลย อะไรสมควร
หรอื ไมส มควรแกน าํ้ นท้ี า นกร็ ู นาํ้ นเ่ี ปน นาํ้ ทส่ี ะอาด นาํ้ ทม่ี คี ณุ คา มาก จะไปเปดทิ้งเฉย ๆ ก็
ไมเกิดประโยชน เหมอื นเขาตาํ นาํ้ พรกิ ละลายแมน าํ้ นน่ั เอง ทานก็ไมพูดนะซิ ทานอยูไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๑
๔๑๒
อยา งนน้ั แหละ จะมพี ระมเี ณรเตม็ วดั เตม็ วากต็ าม กเ็ หมอื นกบั หวั ไมห วั ตอนน่ั แหละ ทาน
ไปสนใจอะไร ก็มันไมเกิดประโยชน เพราะพวกนม้ี นั ไมส นใจ แลวทานจะไปพูดอะไร
พอเราไปแหยท า นปบ ทานเปดผางออกมาเทียว ผมยังไมลืมนะ ก็เรามันคนข้ดี อื้
น่ี ใสป บ เขา ไปเลย ไมเ อาหลายหมดั นะ สองหมดั เทา นน้ั แหละ ใสป บ เขา ไป ทานก็ปดผึง
เลย พูดเปรี้ยง ๆ เราไมล มื ๑๐ นาที เขมขนไปถึง ๑๐ นาที แลว หยดุ เราเขา ใจแลว หมด
ท่ีสงสัยแลว ในจดุ นีว้ าง้นั เถอะ ใสแ ยบ็ เขา ไปอกี ทา นผางออกมาเลย คราวน้ี ๔๕ นาที ไหล
ออกมาเลย ทา นไมท ราบไดเ สยี งมาจากไหน ขึงขังตึงตังคึกคัก โอยพูดไมถูก เสยี งลน่ั เทยี ว
ถา มคี นเดนิ ไปบรเิ วณนน้ั เขาจะวา อะไรนพ่ี ระทะเลาะกนั หรอื ไง พอจบลง อาว ทา นมหา
เห็นวาไมถูกตรงไหน เอา คา นขน้ึ มา ๆ กระผมไมคาน กระผมหาธรรมอยา งนแ้ี หละ กเ็ รา
ลงทา นแลว น่ี
ตอ จากนน้ั ทานกถ็ าม องคน้ันละ ไดคุยกนั แลว หรอื ยัง กบั องคน น้ั ละ ไดคุยกันแลว
หรอื ยงั ทา นถามไปเรอ่ื ย กห็ มายความวา ธรรมะขี้ดื้อ ปญ หาข้ีด้อื นีไ้ ปเทยี่ วตีท่ไี หนบา ง
ความหมายกค็ งวา งน้ั โอย ทา นยม้ิ แยม แจม ใส ดูสีหนาสีตาดูทุกสิ่งทุกอยางเหมือนขึ้น
พรอม ๆ กนั เลย พลังของธรรมทานออกเต็มที่ ถาเปนโลกก็เปนพลังของกิเลส ถา เปน พลงั
จิตผูบริสุทธิ์ก็เปนพลังของธรรมออกมา เพราะธรรมไมม เี ครอ่ื งมอื สาํ หรบั ตนมาใช ก็เอา
เครื่องมือของกิเลสมาใช
อวัยวะทุกสวนเปนเครื่องมือของกิเลส เปน วบิ ากของกเิ ลส เมื่อธรรมไมมีเครื่อง
มือเปนของตัวแลว กต็ อ งนาํ สง่ิ เหลา นม้ี าใช เพราะฉะนน้ั กริ ยิ าทา ทางของธรรมท่ีนาํ เครอ่ื ง
มือของกิเลสมาใชจึงเปนเหมือนกับกิเลส เวลาแสดงอาการเขมขนออกมาเขาก็วาทานดุ
ทา นโกรธ นล่ี ะทค่ี นทง้ั หลายวา ทานอาจารยองคนั้นดุ ทา นอาจารยอ งคน ด้ี ุ ก็อยางนั้นแล
เพราะเขาไมเ คยเหน็ เห็นแตพลังของกิเลส ถากิริยาแสดงออกมาอยางนั้นก็คือกิเลสดี ๆ ที
น้เี ขาไมเคยเห็นเรื่องของธรรมเปนยังไง จะไปตําหนิเขาก็ไมได เพราะเขาไมเ คยรเู คยเหน็
วา ธรรมมพี ลงั มอี าํ นาจ สามารถแสดงออกมาอยา งเปด เผยไดเ หมอื นกเิ ลส เปนแตตอง
อาศัยรางกาย วาจา กริ ยิ า ซึ่งเปนสมบัติของกิเลสออกแสดงเทานั้น จงึ คลา ยคลงึ กนั เวลา
แสดงออก
อยา งทา นอาจารยม น่ั ทา นแสดงผงึ ๆ ทานแสดงทั้งไมทั้งมือดวย เวลาเอากนั
อยางถึงพริกถึงขิง ทีนี้มือก็ปดถูกกระโถนกลิ้งตกไปพักหนึ่ง เรายงั ไมล มื นะ ทา นกเ็ ลยหยดุ
เมื่อมือโดนกระโถนกลิ้งผานพระไปลงโนน ตกเปะ ลงพกั หน่งึ เทศนเ ลยเงยี บพระกร็ บี จบั
กระโถนมาวาง ทา นนง่ิ เงยี บไปนดิ หนง่ึ โอะ เทศนเอาจนกระโถนตกเทียวนะ จากน้นั ก็ยอ น
ปบ เปนอยา งไรละ กิเลสของพระตกไปบางไหมละ หรือตกแตกระโถน แนะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๒
๔๑๓
เทศนว นั ไหนๆ ก็มีแตพนลมใหหมูเพื่อนฟง หาเนอ้ื หาหนงั ไมเ จอ จะทํายังไงนี่
พระเรากม็ มี ากเขา ๆ แลว นะ มันจะเหลว ๆ ไหล ๆ ไปนะ เราเขด็ เรอ่ื งเหลา น้ี กเิ ลสพาให
ลืมตัวไดงาย ๆ หนา นม่ี าแกก เิ ลสจะกลายเปน กเิ ลสมดั คอนะ สว นมากวา มาแกก เิ ลส
ความจรงิ แลว จะมแี ตช อ่ื เทา นน้ั บทกิเลสมัดคอไมไดพูด ทั้ง ๆ ที่มันมัดอยูตลอดเวลา
หูของพระทั้งหลายกับหูของเรานี่มันยังไงกัน ชอบกลอยูนะ หเู รากไ็ มเ หน็ หดู อี ะไร
ตาเรากฝ็ า ๆ ฟาง ๆ แตทําไมเห็นอะไรกอนเพื่อนวะ เวลาเราอยกู ฏุ นิ ห้ี มเู พอ่ื นคยุ กนั อะไร
ไดยินหมด เวลาจาํ เปน เราเคาะไมปอก ๆ หายเงยี บเหมอื นตายกนั ทง้ั วดั บางทีเคาะถึง ๓
พัก เคาะแลวก็หยุดไป เห็นไมไ ดเ ร่ืองกเ็ ลยเคาะอกี แลวก็เงียบไปอีก พอเคาะอีกก็เงียบไป
อีก เอ เปนยังไง ก็ดอม ๆ มาดู ก็มีพระอยูนี่ พระก็ยืน เดนิ เกง ๆ กาง ๆ อยูแถว
บรเิ วณศาลานแ้ี หละ ดมู นั จะทง้ั หลบั หหู ลบั ตา ทั้งปดหูปดตาเขาอีกดวยก็ไมรู มันถึงไมได
ยนิ นี่แสดงวาจิตไมไดอยูกับตัว ถาสติอยูกบั ตัวมันกเ็ หมือนคนอยูในบานในเรือน อะไรมา
ผา นกร็ ู แตนี้ไมรู นอกจากโกโก กาแฟ เทา นน้ั มนั จะรู โกโก กาแฟ เคยผา นมนั กร็ ไู ดเ รว็
นาํ้ สม นาํ้ หวาน โกโก กาแฟ มนั รเู รว็ แตเ สยี งนน้ั มนั ไมร เู พราะไมม หี วงั เสยี งมนั ไมม หี วงั
รายได จะไปสนใจกับมันทําไม สิ่งมีหวังมีอยูถมไปนี่วะ
พระพุทธเจาอุบัติขึ้นมาแตละพระองคกระเทือนโลก ในสามภพมอี งคเ ดยี วเทา นน้ั
ผรู เู รอ่ื ง ผลู ะ ผปู ราบขา ศกึ แหง ภพได เพราะฉะนัน้ การที่พระพุทธเจา อุบตั ขิ นึ้ ในโลกจงึ เปน
มหาอุตมมงคลอยางยิ่งแกโลก ใหไ ดเ ห็นผิดถูก ดีชั่ว บาปบญุ นรกสวรรค สักทีหนง่ึ พอ
ศาสนานส้ี น้ิ ไปเพราะกเิ ลสครอบงาํ หวั ใจของสตั ว ไมใ หม คี วามเชอ่ื ความสนใจตอ ศาสนา
ศาสนากห็ มดไป ทนี ก้ี ม็ แี ตอ นั เดยี วนแ้ี หละครอบสตั วโ ลกไว พุทธันดรหนึ่งพระพุทธเจามา
อุบัติพระองคหนึ่ง โผลข น้ึ มาทหี นง่ึ พอรูอะไร ๆ บา ง จะทํายังไง
พวกเรากเ็ หมอื นกนั นะ พุทธันดรหนึ่ง ๆ สติถงึ โผลข น้ึ มาทหี นึง่ ปญญาแย็บบางก็
ไมไดเทาแสงหิ่งหอย มืดมิดปดตาไปอีก จนเลยพุทธันดรก็ไมร ูแหละ วนั หนง่ึ ๆ จะระลกึ
แคไ หน ไดแคไหนก็ไมรู สองพุทธันดร สามพุทธันดร ระลึกสติไดทีหนึ่งก็ไมรู สวนปญญา
นาจะสี่หาพุทธันดรกวาจะแย็บออกมาไดเทาแสงหิ่งหอย นอกน้นั จมน้าํ อยูในสุญญกัปเสยี
ทั้งนั้น
เราก็สอนจนหมดภูมิหมดสติปญ ญาจะมาสอนแลว จะเอาแบบศาสนาเซน็ เขาเรอะ
เรากไ็ มใ ชเ ซน็ นว่ี ะ เซน็ เขาทาํ ยงั ไง ใครนั่งสัปหงกงกงัน อาจารยก เ็ อาคอ นตเี อานะ ซิ นี่ถา
เปน อยา งนน้ั แลว พระเณรเหลา นค้ี งไมม หี นงั ตดิ ตวั เลยแหละ ถูกคอนตีแตกกระจายไป
หมดเลย พวกนี้พวกหนังไมติดตัว ดีไมดีไมวัดปาบานตาดจะไมมีเหลือนะ ขนมาทาํ เปน
คอนตีพระ ถา จะเอาแบบศาสนาเซน็ นะ น่ีเรากลัวไมในวัดจะหมดเกลยี้ งทัง้ วดั จึงไมนํา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๓
๔๑๔
ศาสนาเซน็ มาใช ทุก ๆ องคข อใหเ หน็ ใจและสงสารไมใ นวดั แลว พากนั ตน่ื ตวั ระวงั ใจ
รกั ษาสติ บาํ รงุ ปญ ญาเอาเองเถอะ
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๔
๔๑๕
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕
มหาภทั รกปั
ความมดื ถา ไมม ีความสวาง เปน ที่ผอนคลายของผูมอี วยั วะเพื่อรบั ทราบดนิ ฟา
อากาศความมดื ความสวา ง คนเรากเ็ ปน ทกุ ข สัตวก็เปนทุกข จึงตองมีทั้งมืดทั้งสวางไว
สําหรบั ประสาทของสตั วและการทองเทยี่ วของสตั ว ซึ่งนิยมความมืดความสวางตางกัน ใจ
ถามีแตความมืดปดบังหุมหอไวแตถายเดียว หาความสวางไมไดก็ยอมเปนทุกข คือไมมีที่
ออกไมมีที่ระบาย ถา มแี ตท กุ ขถา ยเดียวไมม ีความสุขแทรกบางเลย โลกนี้ก็อยูกันไมได สง่ิ
เหลา นเ้ี ปน ของคเู คยี งกนั เสมอ จากนั้นก็แยกออกไปเปนโลก เปน ธรรม
โลกถา มแี ตโ ลกลว น ๆ ไมม ธี รรมเขา เคลอื บแฝง โลกก็หาประมาณไมได หา
ขอบเขตเหตผุ ล หาเครอ่ื งยดึ เหนย่ี วไมไ ด เมอ่ื หาเครอ่ื งยดึ เหนย่ี ว หาหลกั หาเกณฑ หา
เหตุหาผลไมไดก็เทากับหาความสุขไมได หาที่ปลงใจไมได เพราะตามปกตขิ องใจยอ มหาท่ี
ปลงท่วี างท่ยี ุตเิ พ่อื ความสขุ ความสบายอยเู สมอ เพอ่ื ปลอ ยภาระไปเปน ครง้ั คราวหรอื เปน
วรรคเปน ตอน หากไมมีที่ปลอยวางเลยก็เทากับแบกทุกขอยูตลอดเวลา เพราะฉะนน้ั ธรรม
จงึ เปน ของจาํ เปน สาํ หรบั โลก เพื่อเปนที่ยึดของใจซึ่งเปนของคูเคียงกันมาแตกาลไหน ๆ
คาํ วา พระพทุ ธเจา มาตรสั รใู นโลกนน้ั ไมใชมีเพียงองคเดียวสององค นบั เปน
จาํ นวนลา น ๆ เพราะโลกนม้ี มี าเปน เวลานาน โลกกับธรรมจึงเปนของคูเคียงกันเรื่อยมา
ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนากบั โลกจงึ มคี เู คยี งกนั จะขาดไปบา งกเ็ ปน บางกาลบางสมยั เชน ทาน
กลา วไวใ นธรรมวา พุทธันดรหรือสุญญกัป กห็ มายถงึ ความวา งเปลา จากศาสนา พุทธันดร
หมายถึงระหวางแหงพระพุทธเจาแตละองคที่จะมาตรัสรู นน่ั กว็ า งจากศาสนา ทานยังพูด
ไปถึงภัทรกัป แตละภัทรกัปที่จะมาปรากฏขึ้นมานั้นก็วางจากศาสนา ทา นเรยี กวา สญุ ญกปั
การวา งศาสนาแตล ะครง้ั แตล ะสมยั นน้ั เปน การวา งจากความสขุ ความพงึ หวงั ใน
ขณะเดียวกันก็เต็มไปดวยความทุกขของสัตวโลก เพราะหมดบญุ หมดบาปในใจ คาํ วา บญุ
วา บาปไมม เี ลยในความรสู กึ เพราะไมม ใี ครกลา วถงึ ไมมีใครรู ไมม ใี ครมาแนะนาํ สง่ั สอน
สตั วโ ลกจงึ ชลุ มนุ วนุ วายกนั อยใู นหองมดื แหงโมหะ คอื ความมดื บอดทางจติ ใจ จะวา โล
กันตนรกในสมัยนั้นของมนุษยก็ไดไมผิด
ศาสนาจึงไมใ ชเร่ืองเลก็ นอ ย เปนสิ่งที่พยุงจิตใจ ชโลมจิตใจของสัตวโลก เปนที่
รวมหวั ใจของโลก เพอ่ื ความแคลวคลาดปลอดภยั จากความมืดบอดแลมหันตทกุ ขเ ปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๕
๔๑๖
อยางมาก เชนเดียวกับคนไขที่มียามีหมอรักษา ถามีแตคนไขเต็มบานเต็มเมืองหาหมอไม
ได เราวาดภาพขน้ึ มาดกู ไ็ ด จะเปน ทส่ี ลดสงั เวช นา อดิ หนาระอาใจ นา เบอ่ื นา หนา ยเปน
ไหน ๆ โลกนจ้ี ะไมม ใี ครปรารถนามาอยกู นั เลย หรือเมื่ออยูแลวก็ไมมีใครที่จะติดใจใคร
อยากอยูตอไป มีแตความขยะแขยง มแี ตความทุกขความทรมานระทมใจอยูเปนประจําเทา
นน้ั นี่โรคไมมียา โรคไมมีความรูสึกวายามีหรือหมอมี จงึ เปน โรคทร่ี า ยแรงมาก สัตวโลกที่
ไมม ศี าสนาเปน เครอ่ื งยดึ เปน เครอ่ื งผอ นคลายกเ็ ชน เดยี วกนั เปนโลกท่ีหมดความหมายไร
คาหาที่เกาะที่ยึดทางจิตใจไมได
สัตวโ ลกทีไ่ มม ธี รรม ไมม ีคาํ วาบญุ วา บาปพอทีจ่ ะใหข ยะแขยง เพื่อการละการถอน
และเพือ่ มีความกระหยิม่ มงุ หวังตอบุญคือความดีทงั้ หลาย ก็เปนโลกที่เปนโมฆะ แตใ น
ขณะเดียวกันสิ่งที่รมุ รอนอยูภายในใจของสตั วโลกน้ัน ไมมีกาลไมมีสมัย ความมกี าลมสี มยั
ก็คือศาสนธรรมที่พระพุทธเจาแตละพระองคมาอุบัติ ตรสั รแู ลว สง่ั สอนโลกเทา นน้ั สว น
กเิ ลสทท่ี าํ ความรมุ รอ นใหแ กส ตั วโ ลกนน้ั ไมเ คยมคี าํ วา กาลวา สมยั ยิ่งเปนสมัยที่ไมมี
ศาสนาดว ยแลว ยงิ่ เปน สมยั ทกี่ เิ ลสประเภทตาง ๆ แสดงอิทธิพลเรืองอํานาจเต็มหัวใจของ
สตั วโ ลก ฤทธิ์เดชที่ไมพึงปรารถนาคือทุกขและมหันตทุกขในวงสัตว จะแสดงเต็มที่เตม็
ฐานเตม็ กาํ ลงั เพราะไมม สี ง่ิ คดั คา นตา นทาน ถา เปน โรคกไ็ มม ยี ารกั ษาบา งเลย จึงตอง
แสดงเต็มที่เต็มฐานแกคนไข สว นจติ ใจที่ไมมีธรรมไมม ศี าสนา มแี ตก เิ ลสอยา งเดยี วเปน
เจา อาํ นาจบบี บงั คบั ในหวั ใจนน้ั จึงหาความสุขแมนิดหนึ่งไมไดเลย มแี ตค วามรมุ รอ นแผด
เผาเต็มหัวใจสัตว เรียกวา โลกันตะ ก็ไมผิด ในสมยั ทเ่ี ปน สญุ ญกปั วา งจากศาสนา สตั วโ ลก
ก็จมอยูในกองทุกข หาทางออก หาทางหลกี เรน หาทางผอนคลายไมไ ด เพราะไมม ศี าสน
ธรรมเยยี วยาผอ นคลาย นก่ี ลา วทว่ั ๆ ไปตามหลักคติธรรม คตโิ ลก หากเปนของคูเคียงกัน
มาเชน นน้ั
ที่นี่ยอนเขามาถึงตัวของเราซึ่งเกิดในแดนแหงพระพุทธศาสนา อันอุดมสมบูรณ
ไปดว ยเครอ่ื งชแ้ี นะแนวทาง ใหร ทู ง้ั ความเสอ่ื มความเจรญิ ใหร ทู ง้ั บาปทง้ั บญุ ทั้งคุณทั้ง
โทษ นรกสวรรค จนถึงวิมุตติหลุดพนไดแกพระนิพพาน มสี มบรู ณอ ยแู ลว ในหลกั ธรรม
ของพระพุทธเจา และเปนธรรมที่ถูกตองแมนยําทุกสัดทุกสวนทุกสิ่งทุกอยางที่ประทานไว
แลว น้ี คาํ วา บาปมี บุญมี นรกมี สวรรคม ี พรหมโลกมี นพิ พานมี เปน สง่ิ ทค่ี งเสน คงวา
เปน ธรรมชาตทิ ต่ี ายตวั คอื มมี าแลว แตก าลไหน ๆ เปน แตผ สู ามารถคน พบสง่ิ ทง้ั หลาย
เหลา นม้ี ขี น้ึ มาเปน บางครง้ั บางคราวในเวลาทพ่ี ระพทุ ธเจา ตรสั รเู ทา นน้ั
เมอ่ื เราทง้ั หลายไดท ราบหลกั ศาสนธรรม ที่ประกาศสอนไวแลวโดยถูกตองแมน
ยาํ เชน น้ี จงึ เรยี กวา เราทง้ั หลายมวี าสนา เหมาะกบั กาลสมยั แหง ความเปน มนษุ ยโ ดย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๖
๔๑๗
สมบรู ณ ที่มีธรรมเปนเครื่องประดับ หรอื มศี าสนธรรมเปน เครอ่ื งยดึ เปน เครอ่ื งเทดิ ทนู มี
ธรรมทาํ ความอบอนุ มน่ั คงใหแ กจ ติ ใจ หรอื วา บอ แหง การสรา งความหวงั ใหส มบรู ณ คือ
ศาสนธรรมกไ็ มผ ดิ
เราสรา งความหวงั เราตองสรา งตามหลกั ของธรรม หรอื สรา งใหเ ปน ไปตามธรรม
อันเปนความถูกตองแมนยําอยูแลว ความหวงั นน้ั จงึ จะบรรลผุ ลดงั ใจหมาย เพราะความ
หวังของโลกทั่ว ๆ ไปไมเ คยมใี ครจะหวงั ความทกุ ขค วามลาํ บาก ความจนความทรมาน
ความโงเ ขลาเบาปญ ญา ความขร้ี ว้ิ ขเ้ี หรใ นรปู พรรณสณั ฐานแมร ายเดยี วเลย ตลอดสิ่งที่มา
เกี่ยวขอ ง บรษิ ทั บรวิ ารสมบตั เิ งนิ ทอง ลวนตองการแตของดีเปนที่พึงหวังดวยกันทั้งนั้น
เมื่อเราตางตองการของดีมีคุณคาทั้งหลาย แนวทางที่จะใหบรรลุสิ่งที่พึงหวงั ดงั ใจ
หมายนน้ั กค็ อื ศาสนธรรมทา นชบ้ี อกไวโ ดยสมบรู ณแ ลว เชน อยากเปนคนดีก็ตอง
ประพฤติปฏิบัติกําจัดสิ่งที่ชั่ว ซึ่งแสดงออกอยูทุกระยะ หรือทกุ เวลาภายในกาย วาจา ใจ
ของเราน้ี ทา นสอนวธิ รี ะงบั วิธีดับ วิธีกําจัด วธิ หี กั หา มไวห มด เมอ่ื เราพยายามทาํ ตามทาน
ไมฝาฝนทางเดินที่ถูกตองแมนยําเพื่อความหวังอันสมบูรณ เรากจ็ าํ ตอ งดาํ เนนิ ตามนน้ั
ทุกขยากลําบากเพียงไรก็จําตองดําเนินตามสายทางที่ถูกตองนั้น ยอมจะถึงจุดที่มุงหมายไม
พนวิสัยไปได
คุณงามความดีทุกประเภททุกขั้นทุกภูมิ ยอมไมพนจาการทําความดี ตามหลกั
ศาสนธรรมไปได แตจ ะทาํ แบบสมุ เดาหาเหตหุ าผลหาหลกั หาเกณฑไ มไ ด ทําเอาตามความ
อยากความตองการของตนนั้น สวนมากมกั เปน สิ่งสังหารทาํ ลายความหวังของตน ใหก ลาย
เปน ความเลวรา ยและความทกุ ขไ ปเสยี มากตอ มาก
ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนธรรมจงึ เปน สง่ิ จาํ เปน สาํ หรบั บงั คบั จติ ใจใหก า วเดนิ หรอื
ประพฤติปฏิบัติไปตาม อยา ใหผ ดิ พลาดคลาดเคลอ่ื นจากหลกั ธรรม ผลจะพึงสมหวังโดย
ลาํ ดบั นี้คือสายทางของมนุษยจะพึงกาวเดิน ใหสมความมุงหมายดังใจหวังไมมีทางอื่น
น่เี ราท้งั หลายก็ไดนอมธรรมเขามาปกปกรกั ษายึดเหนย่ี วอยางเปนจติ เปน ใจ ฝาก
เปน ฝากตายอยแู ลว ภายในใจเวลาน้ี เรามวี าสนาบารมจี งึ ไดเ กดิ มาประจวบเหมาะกบั กาล
สมัยที่มีพระพุทธศาสนา แมพระพุทธเจาจะปรินิพพานไปแลว เราไมไ ดเ หน็ องคท า นกต็ าม
ธรรมคอื ความจรงิ และความรม เยน็ คงเสน คงวาน้ี เปน องคแ ทนศาสดาโดยสมบรู ณอ ยแู ลว
ดังทีท่ านตรสั กับพระอานนทวา ดกู อ น อานนท ธรรมและวินัยที่ตถาคตแสดงไวแลวนี้
แล จะเปน ศาสดาแทนเราตถาคตเมอ่ื เราผา นไปแลว นน่ั องคศ าสดากค็ ือพระธรรมวนิ ยั
โดยตรง ไมมีคําวาออมคอม จงึ ไมม ีคําวาอดีตอนาคต เปน สวากขาตธรรมทต่ี รสั ไวช อบ
แทนพระองค ยงั มีอยโู ดยสมบรู ณ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๗
๔๑๘
ยิ่งไดประพฤติปฏิบัติตนทางจิตตภาวนาใหเห็นประจักษใจ ตง้ั แตส มถธรรม
วปิ ส สนาธรรมขน้ึ ไปเปน ลาํ ดบั ก็ยิ่งจะไดเห็นตถาคตองคแทจริงภายในใจ และเปนสักขี
พยานไปโดยลาํ ดบั จนเปน สกั ขพี ยานเตม็ สว น ดว ยการรธู รรมเหน็ ธรรมเตม็ ภมู ภิ ายในใจ
นแ่ี หละทว่ี า ผใู ดเหน็ ธรรม ผนู น้ั เหน็ เราตถาคต ตง้ั แตข น้ั เรม่ิ แรกแหง การเหน็ ธรรม นับ
แตส มาธธิ รรม ปญ ญาธรรม ถงึ วมิ ตุ ตธิ รรม เรยี กวา เรม่ิ เหน็ ตถาคตไปเรอ่ื ย ๆ เมื่อถึงขั้น
วสิ ทุ ธธิ รรมแลว เรยี กวา เหน็ ศาสดาเตม็ องคร อ ยเปอรเ ซน็ ต เพราะธรรมชาตนิ เ้ี ปน อยา ง
เดียวกันกับตถาคตไมมีที่สงสัย
เมอ่ื ไดกาวเขาสธู รรมะท่บี รสิ ทุ ธิน์ ีแ้ ลว ยอ มหายสงสยั ในพระพทุ ธเจา ทง้ั หลายวา มี
หรอื ไมม ีโดยส้ินเชิง เพราะธรรมชาตทิ ร่ี ทู เ่ี หน็ นเ้ี ปน เครอ่ื งยนื ยนั กบั พระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย
อยางประจักษใจแลว เมอ่ื เรากไ็ มส งสยั ในความรคู วามเปน ของเรา แลว เราจะสงสยั พระ
พุทธเจาทั้งหลายที่ไหนกัน เพราะความจรงิ เปน อนั เดยี วกนั นค่ี อื การเหน็ ศาสดาหรอื เหน็
ตถาคตดว ยความเหน็ ธรรม คอื ความเหน็ ธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ ใจที่บริสทุ ธิ์กบั ธรรมทีบ่ รสิ ทุ ธ์ิ
กลมกลืนเปนอันเดียวกัน
ศาสดาทุกองค พระสาวกทุกองค ไมวาจะเปนพระสาวกของพระพุทธเจาพระองค
ใด เปน ธรรมชาติเหมือนกันนีท้ งั้ สิ้น ธรรมนเ้ี ปน เครอ่ื งยนื ยนั วา พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทเ่ี รา
ทั้งหลายกลาวอางระลึกถึงพระพุทธเจาทั้งหลายก็ดี ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทเ่ี ราระลกึ ถงึ พระ
ธรรมก็ดี สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ที่เราระลึกถึงพระสงฆทั้งหลายก็ดี รวมอยใู นธรรมชาตทิ จ่ี ติ
บรสิ ทุ ธ์ิ ธรรมบริสุทธก์ิ ็ปรากฏอยกู บั ใจของผบู ริสุทธิ์น้ันอยา งประจกั ษแลว จึงหาที่สงสัยไม
ได ใครรใู ครเหน็ ธรรมทก่ี ลา วนย้ี อ มชอ่ื วา เห็นตถาคตเชนเดียวกันหมด โดยไมนิยมวาเพศ
หญงิ เพศชาย เพศนกั บวชและฆราวาส ตลอดชาตชิ น้ั วรรณะใด ๆ ทั้งสิ้น
นแ่ี ลคาํ วา พระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ มีอยู แตไมไดมีอยูแบบโลกทั้งหลายมี
อยู สมมุติทั้งหลายมีอยูกัน ทั้งความมีอยูเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ทั้งความสูญไปดังที่โลกทั้ง
หลายเขา ใจกนั หรอื ในคาํ วา สญู ทั้งสองเงื่อนนี้ไมไดเกี่ยวของกับคําวาพุทธ ธรรม สงฆที่มี
อยนู น้ั เลย แตม อี ยแู บบธรรมชาตขิ องธรรมท่ีบรสิ ุทธล์ิ ว น ๆ หรอื จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ ซึ่งไม
เหมอื นกบั โลกใดในไตรภพ จึงไมไดมีอยูแบบโลกและสูญไปแบบโลกไตรภพ นี่แลทช่ี าว
พุทธทั้งหลายกลาวอางถึงทาน จึงไมไดเปนโมฆะ การกลาวอางนั้นเรียกวาถูกตองตามจุด
ตามหมายตามความจรงิ แหง พทุ ธ ธรรม สงฆ
ที่แยกออกมาเปนพุทธ เปน ธรรม เปนสงฆนี้ แยกออกเปนสมมุติอันหนึ่ง เปน
กริ ยิ าอนั หนง่ึ แตล ะอยา ง ๆ ตามสมมุติ เพอ่ื เปน กรุยหมายปา ยทางบอกของผกู าํ ลังดาํ เนิน
เพอ่ื วิสทุ ธธิ รรมนน้ั เมือ่ จิตเขา ถึงธรรมะบริสทุ ธ์ิ จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แลว จะทราบไดท นั ทใี น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๘
๔๑๙
ธรรมชาตนิ น้ั ไมส งสยั เมื่อจิตไดกาวเขาถึงความบริสุทธิ์เต็มภูมิแลว กเ็ ทา กบั ไดก า วเขา สู
ธรรมที่บริสุทธ์เิ ตม็ ภูมิ เพราะธรรมบรสิ ทุ ธก์ิ บั ใจทบ่ี รสิ ทุ ธเ์ิ ปน อนั เดยี วกนั คําวา พุทธ
ธรรม สงฆ ที่แยกเปนอาการน้ัน จงึ รวมอยใู นคาํ วา ธมฺโม ปทีโป อนั เดยี วกนั นน้ั
ธรรมชาตนิ ไ้ี มม คี าํ วา กาล สมัย สถานท่ี ไมม อี ะไรเขา มาทาํ ลาย เขา มาเกย่ี วขอ ง
เขา มาลบลา งได เพราะพน วสิ ยั ของสมมตุ ทิ งั้ ปวงดงั กลาวเหลา นไี้ ปแลว เปน ธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ
อยูโดยหลักธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นไมใชสมมุติทั้งมวลที่มีอยูในสามแดนโลกธาตุนี้ เปน
ธรรมชาติอันหนึ่งตางหากจากสมมุติทั้งมวล และมจี ิตเทา น้ันทจี่ ะเปนผูสมั ผัสสัมพนั ธรับ
ทราบธรรมชาตนิ น้ั ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ไมใ ชว สิ ยั แหง การรบั ทราบธรรมนน้ั มใี จเทา นน้ั
สามารถรบั ทราบ และเปน ภาชนะอนั เหมาะสมอยา งยง่ิ กบั ธรรมะบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั เพราะฉะนน้ั
ทา นจงึ สอนใหป รบั ปรงุ จติ ใจใหด ี การปรบั ปรงุ จติ ใจไดใ นขน้ั ใดภมู ใิ ด จะไดสัมผัสสัมพันธ
กบั ธรรมขน้ั นน้ั ภมู นิ น้ั ทม่ี อี ยเู ชน เดยี วกบั ธรรมะบรสิ ทุ ธ์ิ
คาํ วา สมถธรรมหรอื สมาธธิ รรม ถา ยงั ไมร ดู ว ยภาคปฏบิ ตั ิ กจ็ ะมแี ตก ารคาดการ
หมายกนั เทา นน้ั การคาดการหมายก็ไมผดิ อะไรกับโลกเขา แมจ ะเรยี นธรรมความจาํ ก็
เหมอื นโลกน่ันเอง ไมไดมีผลเปนสมถะและวิปสสนาอะไรถาไมไดปฏิบัติ เมื่อไมไดสัมผัส
สมั พนั ธก บั คาํ วา สมาธขิ น้ึ ทใ่ี จแลว จะไมท ราบวา สมาธนิ น้ั เปน อยา งไร เชน ความสงบนส้ี งบ
อยางไร เปนแตเพียงคาด คาดดวยทั้งที่จิตไมเคยสงบ แลวจะไปถูกความสงบไดอยางไร
จิตคาดสมาธิดวยทั้งจิตที่ไมเปนสมาธิ จิตคาดปญญาดวยทั้งที่จิตไมไดเปนปญญา จติ คาด
วิมุตติความหลุดพนดวยทั้งที่จิตไมไดหลุดพน แตเต็มไปดวยกิเลส จะไปถูกความจริงแหง
ธรรมนน้ั ๆ ไดอยางไร
เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ สอนใหป ฏบิ ตั ิ มที างเดยี วนเ้ี ทา นน้ั ทจ่ี ะทราบความจรงิ แหง
ธรรมเหลา นน้ั เปน ขน้ั ๆ ตอน ๆ ขึ้นไปจนถึงขั้นพอตัว เพราะการบาํ เพญ็ ธรรมมคี วามพอ
ตวั ถึงจุดอิ่มตัวไดทั้งขั้นสมถะและวิปสสนา ไมเหมือนโลก ไมเ หมอื นกิเลสท่หี าความพอ
ตัวและอิ่มพอไมไดตลอดไป ผูวิ่งตามโลกคือกิเลสจึงหิวเรื่อยไป ทุกขเรื่อยไป ไมมีจุดมี
หมายแหง ความสน้ิ สดุ ยตุ ิ
กิเลสนี้ไมมีคําวาอิ่มตัว นอกจากมคี วามหวิ กระหายอยตู ลอดเวลา เพราะฉะนน้ั จติ
จงึ มคี วามกระวนกระวาย อยากรอู ยากเหน็ อยากไดน ้ันอยากสมั ผสั นี้ เปน อยูอยางน้นั หา
ความอิ่มพอ พอสงบตัวบางไมไดเลย กเิ ลสทาํ จติ ใจของสตั วโ ลกใหร ะสาํ่ ระสายกระวน
กระวายไปดว ยความอยาก ความหวิ โหย ความทะเยอทะยานไมมีประมาณ สาํ คญั ทค่ี วาม
หวิ ความตอ งการอยากรอู ยากเหน็ อยากเปนอยางนั้นอยางนี้ มนั เตม็ อยใู นหวั ใจตลอดเวลา
คาํ วา เตม็ นน้ี น้ั เตม็ ไปดว ยความหวิ โหย เต็มไปดวยความทุกขทรมานกายใจ ไมไดเต็มไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๙
๔๒๐
ดว ยความสมบรู ณพ นู ผลทพ่ี งึ ปรารถนาแตอ ยา งใด ไมเ หมอื นธรรม ฉะนน้ั กเิ ลสกบั ธรรม
จึงเดินสวนทางกนั และเปนขา ศกึ ตอกนั เร่ือยมา คนมีธรรมครองใจกับคนที่เปน คลังกเิ ลส
ไมส นใจในธรรมกเ็ ดนิ สวนกนั เชน นน้ั และมักเปนขาศึกกันเสมอ ผูกอเหตุมักเปนฝายคลัง
กเิ ลสตวั ยแุ หยก อ กวนนน่ั แล
ธรรมนน้ั มคี าํ วา เตม็ วา พอ สมาธิก็เต็ม คอื ความสงบเต็มหัวใจรูไ ดช ัด ความสงบ
ในสมาธิยอมอิ่มตัวในสมาธิ ไมเหมือนกิเลสวาจะมีความอิ่มพอในตัวเองไมเคยมี ขัดแยง
กนั อยางน้ี ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมจงึ เดนิ สวนทางกนั กิเลสครองใจเต็มที่ใจก็หิวเต็มที่ ผูมี
ธรรมครองใจโดยสมบรู ณ ใจอิ่มพอเต็มตัว ความหวิ กบั ความอม่ิ วดั ผลของมนั แลว เปน
อยางไร ความหวิ กค็ อื ความทกุ ขค วามลาํ บากทรมาน หิวมากเทาไรยิ่งทุกขมาก เชน เราหวิ
ขา ว อยา วา แตห วิ ภายในจติ ใจดว ยอาํ นาจของกเิ ลสเลย เพยี งหวิ ขา วเทา นน้ั กเ็ ปน ทกุ ข หวิ
หลบั หวิ นอนเปนทุกขท ง้ั น้นั ย่ิงหวิ เพราะอํานาจของกเิ ลสดวยแลว ก็เปน มหันตทุกข ผูไมหิว
คือผูอิ่มธรรมจะเปนทุกขอะไรกัน ตองเปนสุขเต็มหัวใจในทามกลางของผูมีทุกขเต็มหัวใจ
เพราะอาํ นาจกเิ ลสพาใหห วิ โหยและเกดิ ทกุ ขอ ยนู น่ั แล นด่ี เู อาผลระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมดงั
ทก่ี ลา วมานแ่ี ล
ธรรมมีความอิ่มพอไดเปนขั้น ๆ นับแตขั้นสมาธิไป สมาธิที่พอตัวก็อิ่มตัวในสมาธิ
ไมใ ชจ ะหวิ โหยในสมาธเิ รอ่ื ยไป มีความอิ่มตัว มคี วามผาสุกเยน็ ใจ อิ่มตออารมณตาง ๆ ที่
เปน เรอ่ื งของกเิ ลส อยดู ว ยความสงบเยน็ ใจ เชน เดยี วกบั เรารบั ประทานอม่ิ แลว นอนสบาย
เชน นน้ั ปญญาก็มีความอิ่มตัวเมื่อถึงขั้นอิ่ม ขน้ึ ชอ่ื วา ธรรมไมม คี าํ วา เตลดิ เปด เปง มี
ประมาณมีความพอตัวตามขั้นตามภูมิของธรรม จนกระทั่งเต็มภูมิของจิตเต็มภูมิของธรรม
แลวใจก็อิ่มตัวเต็มที่ ที่เรียกวาเมืองพอ
คาํ วา นพิ พาน ๆ ถา พดู ตามหลกั ธรรมชาตเิ กย่ี วกบั เรอ่ื งความหวิ โหยแลว ก็คือ
ความพอตัวอิ่มตัวเต็มที่นั่นแล นอกจากอิ่มตัวเต็มที่แลวยังคงเสนคงวาตลอดอนันตกาล
อีกดวย ไมมีสมมุติใด ๆ เขา ไปเกี่ยวของวุน วายหรอื สัมผัสสมั พันธใ นธรรมชาตินัน้ ตลอด
ไป ทท่ี า นวา นพิ พานเทย่ี ง ก็หมายถึงจิตที่อิ่มตัวเต็มที่แลว หรอื พน แลว จากความหวิ โหย
โดยประการทง้ั ปวง ทา นจงึ เรยี กวา เทย่ี ง ถายังจะมีแปรผันกันอยู น่ันกเ็ ปนสมมตุ ิธรรมดานี่
แล แมจะมอี ายยุ ืนนานถงึ กีล่ า นปก็ตาม ถาหากมกี ารเปลี่ยนแปลงอยแู ลวก็ยังตกอยูในไตร
ลักษณคือ อนจิ จฺ ํ หาความแนน อนไมไ ดอ ยนู น่ั เอง
ดว ยเหตนุ ้ี คาํ วา จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธก์ิ บั คาํ วา นพิ พานนน้ั จึงไมไดอยูในกฎของไตรลักษณ
ที่จะเอื้อมเขาถึง อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้เปนรังแหงสมมุติทั้งมวล ไมว า จะเปน สว นหยาบ
สว นกลางสว นละเอยี ดขนาดไหน ก็เปนเรื่องของสมมุติทั้งมวล สว นจติ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๐
๔๒๑
หรอื นิพพานนั้นไมไ ดอยูใ นกฎอันน้ี นอกเหนือจากกฎนี้ไปแลว เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณา
เพื่อนิพพานจึงตองกาวเดินไปตามทางสาย อนจิ จฺ ํ ทกุ ขํ อนตฺตา อนั เปน ทางเดนิ เพอ่ื ความ
หลดุ พน เมื่อหลุดพนไปแลว ธรรมทัง้ สามประเภทนก้ี ป็ ลอ ยวางไวตามความจรงิ หมดสง่ิ
เกี่ยวของกันตอไป
ธรรมทก่ี ลา วมานม้ี ผี ใู ดสามารถนาํ มาสง่ั สอนโลกได ก็มีพระพุทธเจาเพียงพระองค
เดยี วเทา นน้ั เปน ผฉู ลาดสามารถเหนอื มนษุ ยม นาเทวดาและสตั วโ ลกทง้ั หลาย เกนิ กวา ทจ่ี ะ
นาํ มาเทียบเคยี งได และไมทรงศึกษาอบรมกับผูหนึ่งผูใดดวย ทรงเปน สยมั ภู รดู ว ยความ
สามารถของพระองคเ พียงผูเ ดยี วเทานนั้ แลว นาํ ธรรมนน้ั มาสง่ั สอนสตั วโ ลกใหร บู ญุ รบู าปรู
นรกรสู วรรค รูจนถึงความหลุดพนคือพระนิพพาน ไมบกพรองในอุบายวิธีการสั่งสอน
ส่ิงที่กลาวมาท้งั น้ีเปน ความมคี วามจรงิ มาดง้ั เดมิ อยูแลว แตไ มม ใี ครรใู ครเหน็ จงึ
หาทางหลีกเลี่ยงทางเพื่อบําเพ็ญไมได เมื่อหาทางไมไดก็ตองติดอยูทางฝายต่ําเสมอ ฝาย
ต่ําก็คือเรื่องของกิเลส ผลก็คือความทุกขทรมาน สตั วโ ลกโดนเอา ๆ ในสง่ิ ทไ่ี มร ไู มเ หน็ นน้ั
แหละโดนไดง า ย ถา สง่ิ ทเ่ี หน็ ใครจะไปกลา โดน เพราะคาํ วา โดน โดนมากโดนนอ ยโดนหนกั
โดนเบาขนาดไหน ก็ตองเจ็บมากนอยไปตามสวนแหงการโดน การเตะการชนการเหยยี บ
ยาํ่ นน่ั แล ส่ิงเหลา นเ้ี ปน สงิ่ ที่มอี ยูก บั สตั วโ ลกทว่ั ๆ ไป สัตวโลกไมนอกเหนือไปจากสิ่งที่มี
อยทู ง้ั หลายนไ้ี ดเ ลยแมร ายเดยี ว จําตองโดนดวยกันโดยไมสงสัย เหน็ ไมเ หน็ รไู มร ู ไมเปน
สงิ่ ลบลางความมีอยนู น้ั ได
นอกจากผูท่ีหลดุ พนไปแลว จากแดนแหง สมมตุ นิ เี้ ทานัน้ คอื พระพทุ ธเจา และ
สาวกทง้ั หลาย ทา นไมมาเจอไมม าโดนบรรดาสมมุตทิ ัง้ มวล ไมว า จะเปน สว นหยาบสว น
กลางสว นละเอยี ด ความสุขของโลกก็ไมวาจะสุขอยางหยาบอยางกลางอยางละเอียดขนาด
ไหน ทานปลอยไปหมดแลว ความทกุ ขเ พราะอาํ นาจของกิเลส อาํ นาจของวฏั วนท่ีเปนมา
ตั้งแตทุกขเล็กนอยจนกระทั่งมหันตทุกข เพราะฤทธอ์ิ าํ นาจของกเิ ลสผลติ ขน้ึ มาบบี บงั คบั
สตั วโ ลก ทานก็พนไปหมดแลว ไมม ที า นผสู น้ิ กิเลสพระองคใดรายใดเขามาเกี่ยวขอ งและ
ตองโดนเหมือนสัตวโลกทั่ว ๆ ไป ทา นพน ไปหมดเพราะความรคู วามเหน็ ความสลดั ปด ทง้ิ
มีแตสัตวโลกเทานั้นที่คลุกเคลากันอยูกับกิเลสแลกองทุกขทั้งมวล เชน เดยี วกบั โยนสตั วล ง
ในหมอ นํา้ รอ นซ่งึ กําลงั เดอื ดพลา น ๆ อยนู น่ั แล ผูตาดีหูดีทานไมมา ทานสลัดออกไดแลว
พนไปไดแลว
เพราะฉะนน้ั คาํ วา บาปกด็ ี บุญก็ดี นรกก็ดี สวรรคก ด็ ี พรหมโลกก็ดี จงึ อยใู นวสิ ยั
ของสัตวโลกนี้จะพบไดเห็นไดเจอไดดวยกัน ผูปฏิเสธวาไมมีก็ตาม ผยู อมรบั วา มกี ต็ าม จะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๑
๔๒๒
ไมนอกเหนือไปจากผลของกรรมที่ตนทําทั้งรูและไมรู ทั้งดีทั้งชั่วนั้นไปไดเลย เพราะกฎน้ี
เปนกฎตายตัว และขนึ้ อยกู ับการกระทําของสตั วโ ลก
ใครก็ตามไมว าสตั วไมว า บุคคล จะนอกเหนือไปจากการกระทํานี้ไมได มกี าร
กระดิกพลิกแพลงตองเปนอาการของการกระทําทั้งนั้น คดิ ขน้ึ ภายในใจกเ็ ปน มโนกรรม
คิดดีคิดชั่วก็เปนความคิดที่ผิดที่ถูก จะยังผลความสุขความทกุ ขใหเ กิดข้ึนไดเชนเดยี วกัน
เพราะสัตวโ ลกเกิดอยใู นแดนแหงกรรมที่จําตอ งกระทาํ เมื่อทําลงไปแลวผลจะตองเปนไป
ตามนน้ั ไมม ีใครจะลบลางได จะไปโดนอะไรยอมขึ้นอยูกับกรรมดีและชั่วเปนผูชี้ทาง ถา
เปน ความชว่ั ทต่ี นทาํ ขน้ึ มาแลว จะปฏิเสธจะลบลางผลนั้นไดอยางไร
การกระทาํ กท็ าํ ดว ยความมดื บอด ไมไ ดร วู าดหี รอื ชั่ว หรอื รกู ท็ าํ ทง้ั รู ๆ ยง่ิ เปน
ความหนา ดา นของผูทํา สนั ดานหยาบของผทู าํ เขา ไปอกี แลว จะเอาอาํ นาจแหง ความหนา
ดา นสนั ดานหยาบนไ้ี ปลบลา งกองทกุ ข ลบลา งนรกอเวจซี ง่ึ เปน ทแ่ี ผดเผาของสตั วห นา ดา น
ของสตั วห ยาบโลนนี้ไดอ ยา งไร หากเปน สง่ิ ทล่ี บลา งได ไมมีใครจะมาตกอยูในกองทุกขกัน
เลย อยาพูดถงึ ข้ันนรกซึ่งเปนสิ่งทส่ี ดุ วสิ ยั ของจําพวกตาบอดหหู นวกเหมอื นอยา งเราจะ
โดนกนั เลย แมแตกองทุกขอยูในโลกนี้ มนษุ ยเราก็มหี ูมีตาดวยกนั ไมเ หน็ ใครผา นพน
ความทุกขซึ่งควรจะไดรับอยูในโลกนี้ไปได
ไมว า คนโงคนฉลาดคนมงั่ มีดเี ดนหรอื คนทกุ ขจนขนาดไหน เรื่องความทุกขซึ่ง
เปนไปอยูกับธาตุกับขันธ เปนไปอยูกับความคิดการกระทําผิดถูกดีชั่วของตนนี้ ตนจําตอง
ยอมรับตลอดวันตลอดคืนตลอดอิริยาบถไปอยูเชนนี้ ไมมรี ายใดท่ีจะหลบหลีกปลีกตวั จาก
ทุกขนั้นไปได นเ่ี ราเหน็ กนั ไดอ ยา งชดั ๆ เพียงอยูในมนุษยนี้ทั้ง ๆ ทเ่ี รากย็ งั ตาดหี ดู ี ยังไม
เห็นผานพนความทุกขทั้งหลายซึ่งเปนของมีอยูในโลกนี้ไปได เหตใุ ดจะไปลบลา งบาปและ
นรกอนั เปน ทหี่ มกไหมข องสัตวจําพวกหยาบโลนทัง้ หลายได
สวากขาตธรรม ทานตรัสไวชอบแลวทุกสิ่งทุกอยาง ผูเชื่อตามพระพุทธเจาจะเปน
ผรู ะมดั ระวงั ความช่ัวท้งั หลายไมก ระทําและพยายามบําเพญ็ ในทางที่ดี แมจะทุกขยาก
ลาํ บาก ยอมจะมแี กใ จฝา ฝนความยากลําบาก ดว ยการกระทาํ ตามนสิ ยั ของผเู ชอ่ื ธรรม
เราชาวพทุ ธ เฉพาะอยางยิง่ เปนพระดว ยเปน นกั ปฏิบัตดิ ว ย กย็ ง่ิ จะไดน าํ ธรรม
เหลา นเ้ี ขา มาพนิ จิ พจิ ารณาใหถ งึ ความจรงิ แหง ธรรมทง้ั หลาย ความจรงิ นน้ั จะสะทอ นยอ น
กลับมาเปน สมบตั ิอนั พึงใจของเราผปู ฏบิ ตั แิ ตความดงี าม ผลจะไมเปนอื่นนอกจากความดี
เปน ความสขุ ความเจรญิ เปน ทพี่ งึ ใจในผลท่ีไดรับโดยถา ยเดยี ว เพราะความดขี องตน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๒
๔๒๓
ตอนตน ไดพ ูดถึงเร่อื งศาสนาทเี่ ปนคราวเปน สมยั เชน กลาวถึงพุทธันดรและ
สุญญกัป ทนี่ ีย่ อนเขา มาถึงตวั ของเราเองผูทรงศาสนา เฉพาะอยา งย่งิ คาํ วา พทุ ธศาสนา
ศาสนาคอื คาํ สอนของทา นผรู ู เรากไ็ ดป ฏบิ ตั ิ เราไดน บั ถอื เปน หวั จติ หวั ใจเปน เนอ้ื เปน หนงั
ฝากเปนฝากตายอยแู ลว ทนี่ ่ยี อ นเขามาเพื่อใหผลประจักษกับใจเรา และเปน คตเิ ครอ่ื ง
เตอื นใจเราใหม สี ตสิ ตงั ใหมีความรอบคอบ ใหมีกําลังใจยิ่ง ๆ ขึ้นไปนั้น เราควรจะคดิ ถงึ
ตวั เราในอริ ยิ าบถตา ง ๆ ยืน เดนิ นั่ง นอน วา เวลานจ้ี ติ ใจของเราเปน สญุ ญกปั หรอื เปน ยงั
ไง ถาจิตใจไมมีสติประคองความเพียร ไมมีปญญาเปนเครื่องพินิจพิจารณาแกไข ถอด
ถอนสิ่งที่พัวพันขัดของเสียดแทงใจแลว นั่นก็คือสุญญกัป เปนกปั ทถ่ี ูกกิเลสยาํ่ ยีตแี หลก
ภายในใจเราไมเ ลอื กอริ ยิ าบถ ทั้ง ๆ ทเ่ี รานบั ถอื ศาสนาและเปน พระปฏบิ ตั นิ น่ั แล เพราะ
คาํ วา สญุ ญกปั มันเปนกัปของกิเลสโดยตรง สุญญกัปนี้ไมกลัวผูนับถือพุทธศาสนาและพระ
ธุดงคกรรมฐาน จงอยาเอาอํานาจของคําวาเราเปนพระธุดงคกรรมฐานไปอวดกับสุญญกัป
เปน อนั ขาด ถา ไมอ ยากใหจ วี รปลวิ วอ นเจา ตวั ตกแครน ง่ั สมาธภิ าวนา จะวา ไมบ อก
อยา เขา ใจวา กเิ ลสจะกลวั ผถู อื ศาสนาทง้ั ๆ ทห่ี าสตสิ ตังหรอื ปญ ญา ศรัทธา ความ
เพยี รไมไ ด อยา หาญคดิ วา กเิ ลสจะกลวั คาํ วา พระกรรมฐาน เพราะกิเลสไมไดมาเกี่ยวของ
กบั คาํ วา พระกรรมฐานหรอื ไมก รรมฐาน แตกิเลสจะแทรกเขา ไปในจุดทพี่ ระกรรมฐาน
กาํ ลงั เลนิ เลอ เผลอสติ เซอ ๆ ซา ๆ นน้ั แหละ เพราะขณะน้ันเปน จังหวะที่ปลอ ยโอกาสให
กิเลสตอยไดดีที่สุด ตอ งพสิ จู นเ รา สงั เกตเราตลอดเวลาอริ ยิ าบถ จึงชอ่ื วา นกั ปฏิบตั ิ
โอปนยิโก นอมเขามาเพื่อเปนคติ เพอ่ื เสรมิ สติ ปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร ของ
เราใหม คี วามเขม งวดกวดขนั เขา ไป กเิ ลสจะไดถ อยตวั หา งจากเรา กเิ ลสกลวั ตรงนต้ี า งหาก
นักปฏิบตั ิจงรจู ุดท่ีกเิ ลสกลวั มนั ไมไ ดก ลวั คาํ วา พระ ไมไดกลัวคําวาเดินจงกรมหย็อก ๆ
หาสติไมได ไมไ ดก ลวั การนง่ั สมาธภิ าวนาทง้ั อา ปาก ทง้ั หลบั เคลบิ เคลม้ิ หลงใหลไปในขณะ
ทภ่ี าวนานน้ั กิเลสไมกลัว จงรีบแกไขจุดที่กิเลสไมกลัว แตกิเลสกลัวที่มีสติ มคี วามเพยี ร
ดว ยสติ มคี วามอตุ สา หพ ยายาม มีความบึกบึน ไมทอแทออนแอ มีปญญาสอดสองรอบตัว
และเหตกุ ารณ นส้ี ง่ิ เลวรา ยทง้ั หลายกลวั เรยี กวา เรามศี าสนา พระมศี าสนา กิเลสก็กลัว
ขณะใดไมมีศาสนา คอื สตธิ รรม ปญ ญาธรรม วริ ยิ ธรรม ขนั ตธิ รรม กเิ ลสหวั เราะ
แลว วนั หนง่ึ ๆ ในอริ ยิ าบถหนง่ึ ๆ คนื หนง่ึ ๆ ขาดศาสนาไปชว่ั ระยะสน้ั ยาวขนาดไหน ที่
เปนระหวางพทุ ธนั ดร คือระยะนั้นระลึกสติปญญาไดเหมือนกับเปนพุทธะขึ้นมาขณะหนึ่ง
ระยะนั้นมีปญญาขอคิดตาง ๆ ไดอ บุ ายแปลก ๆ ตา ง ๆ ขน้ึ มาเปน เครอ่ื งบรรเทาเบาทกุ ข
เปน เครอ่ื งพยงุ จติ ใจใหม คี วามสงา ผา เผยขน้ึ มา สงบรม เยน็ ขน้ึ มา ระยะนี้ขาดสติ จิตใจ
เศรา หมองขนุ มวั จิตใจเกิดความเดือดรอนเผาตัวอยูภายในใจ ระยะนไ้ี มม ศี าสนา มีแต
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๓
๔๒๔
ความคดิ ทเ่ี ปน สตั วน รกเผาตวั อยภู ายในจติ ใจ นแ่ี หละกเิ ลสเผา เผาพระเราเผาตรงน้ี เผา
ตอนไมมีศาสนา เผาตอนสติปญญาเปนสุญญกัป
เราอยาไปคิดคาดไกล ๆ โนน โดยวาภทั รกัปนั้นภัทรกปั น้ี พุทธันดรนั้นพุทธันดร
น้ี สุญญกัปโนน สุญญกัปนี้ นน่ั ทา นกลา วมาตามลาํ ดบั ลาํ ดาทเ่ี คยเปน เคยมมี าอยแู ลว และ
เราผปู ฏบิ ตั เิ พอ่ื จะยงั ผลใหเ กดิ ขน้ึ แกเ ราเวลาน้ี จง โอปนยิโก นอ มธรรมเหลา นน้ั เขา มา
เปน เครอ่ื งพราํ่ สอนตน ในระยะนใี้ จเรากาํ ลงั อยูในภทั รกัปหรอื อยูในสญุ ญกัป ภัทรกัป
แปลวา กปั ทเ่ี จรญิ เวลาทเ่ี จรญิ ขณะทเ่ี จรญิ อริ ยิ าบถทเ่ี จรญิ ความเพยี รในทา ตาง ๆ เจรญิ
เจรญิ ดว ยสตเิ จรญิ ดว ยปญ ญา จิตมคี วามยม้ิ แยมแจม ใส จติ มคี วามเบกิ บาน จติ มคี วาม
สงา ผา เผยดว ยอรรถดว ยธรรม มีสตมิ ปี ญญาเปนเครื่องประดับใหส งางาม เปนเครอื่ งสอง
ทางใหส งา ผา เผย จติ เจรญิ ดว ยสมาธิ สมาบตั ิ มรรคผลนพิ พาน นเ่ี ปน ภทั รกปั ใหย น เขา มา
ตรงน้ี เมอ่ื พยายามอยเู สมอ ๆ เรอ่ื งภัทรกปั นี้ก็จะมกี ําลังมากขึน้ โดยลําดับภายในใจของ
เราผูกําลังถือพุทธหรือถือเทวทัตนี้แล ในระหวางภัทรกัปและสุญญกัปทั้งสองนี้
เทวทัตก็คือกิเลสตัวคอยจองมอง คอยปราบปรามธรรมและเราอยเู สมอ คอยกีด
ขวางกดถว ง คอยเสียดคอยแทง คอยเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเรา นี่คือตัวยักษตัวผี นเ่ี รยี กวา
สุญญกัป ธรรมมสี ตธิ รรม ปญ ญาธรรม สญู ไป แตก เิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา ง ๆ ซึ่ง
เปน ฟน เปน ไฟนน้ั เจรญิ ความเจริญของกิเลสแลกองทุกขทั้งหลาย ทา นไมเ รยี กวา ภทั รกปั
มนั เจรญิ ดว ยฟน ดว ยไฟจะเรยี กวา ความเจรญิ เพอ่ื ความผาสกุ เยน็ ใจไดอ ยา งไร มแี ตค วาม
พนิ าศฉบิ หายลม จมโดยถา ยเดยี ว จะเรยี กวา ความเจรญิ ไดล งคอละหรอื นี่แลสุญญกัปของ
ชาวพทุ ธ ของพระธุดงคกรรมฐานที่ประมาทขณะไมมีสติปญญารักษาตน จะไปหาสญุ ญกัป
ที่ไหนกัน ถา ไมอ ยากเปนแบบนิทานกระตา ยต่ืนตมู เพราะภทั รกปั สุญญกัปที่ทานแสดงไว
เวลานย้ี งั หา งไกลจากตวั เรามาก เวลาตายแลว ไมท ราบจะไปเจอกปั ใด จงึ ควร โอปนยิโก
เพอ่ื ประโยชนใ นปจ จบุ นั น้ี
ผูเจริญก็คือผูมีสติ มีปญญา ศรัทธา ความเพยี ร บาํ รงุ จติ ใจ ใจไดร บั การบาํ รงุ
รักษาอยูเสมอ ยอ มมคี วามเจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ โดยลาํ ดบั ทเ่ี รยี กวา ภทั รกปั เจรญิ ภายในจติ
ของผูถือศาสนาพุทธ จนกระทง่ั สวา งจา รอบตวั เอา ทีนี้พระอาทิตยรอยดวงก็ไมสนใจจะไป
คิดกับมันละ วา มนั มคี วามสวา งขนาดไหน ความสวา งทเ่ี ตม็ อยภู ายในจติ ใจ ซึ่งหลุดพน
แลว จากความมืดบอดคอื กเิ ลสท้ังหลายนี้เต็มภูมแิ ลว ไมส นใจกบั พระอาทิตย แมจ ะมรี อ ย
ดวงพันดวงก็ไมมีอะไรสวาง ไมมีอะไรเปนเครื่องอบอุน ไมมีอะไรเปนมหาสมบัติ ไมมี
อะไรเลศิ ประเสรฐิ ยง่ิ กวา ความสวา งของใจทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ และดว ยธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธเ์ิ ตม็ หวั ใจนเ้ี ลย
นล่ี ะมหาภทั รกปั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๔
๔๒๕
ศาสนธรรมของพระพทุ ธเจา สอนจติ ใจของสตั วโลกใหเ ขา สภู ัทรกปั โดยลาํ ดับ จน
กระทั่งถึงมหาภัทรกัป ดับกเิ ลสโดยสิน้ เชิงไมมีซากเหลืออยูแมแตนอ ย นี้แลคือมหา
ภทั รกปั เต็มภูมิของศาสนธรรมที่สอนเขาจุดนี้ ผูปฏิบัติตามก็เขาถึงธรรมนี้อยางเต็มภูมิ
สมพระทยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงอตุ สา หพ ยายามแนะนาํ พราํ่ สอนสตั วโ ลก ดว ยความลาํ บากลาํ
บน ตง้ั แตเ วลาบาํ เพญ็ กย็ ากลาํ บากแสนสาหสั เอาพระชนมเ ขา แลกธรรมทง้ั หลายเพอ่ื สตั ว
โลก เวลาไดต รสั รธู รรมแลว กท็ รงอตุ สา หพ ยายามสง่ั สอน ภาระของพระพทุ ธเจา หนกั
ตลอดตั้งแตทรงบําเพ็ญเรื่อยมา จนกระทงั่ ไดต รัสรแู ลว เปลย่ี นภาระไปตามแงต ามแขนง
ของเหตกุ ารณ แตร วมแลว เรยี กวา เปน ภาระทง้ั มวล ไมม ใี ครจะรบั ภาระหนกั ยง่ิ กวา พระ
พทุ ธเจาเพอ่ื สตั วโ ลกทั้งหลายเลย
นเ่ี ราไดเ กดิ ในแดนแหง ความเหมาะสมแลว ขอใหภูมิใจในการประพฤติปฏิบัติตัว
เอง และโอกาสนเ้ี วลาน้ี เปน โอกาสและเปน เวลาวา ง วางทั้งการทั้งงานเกี่ยวกับโลกทั้ง
หลาย ไมมีอะไรมาเกี่ยวของยุงกวน มีแตงานทางธรรมอยางเดียว ทเ่ี ราจะตอ งพยายามตกั
ตวงใหเ ต็มเม็ดเต็มหนว ย เตม็ สตกิ ําลงั ความสามารถ เมอ่ื พน โอกาสน้ไี ปแลวยอมเปน
ความลาํ บากทจ่ี ะไดบ าํ เพญ็ ความดที ง้ั หลาย พยายามใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ยแลว เราจะเปน ท่ี
ภมู ใิ จในวาระตอ ไป
ใจเปน พน้ื ฐานแหง การเกดิ แกเ จบ็ ตายแหง ภพแหง ชาตทิ ง้ั หลาย ไมมีอะไรเกินดวง
ใจน้ี ดงั นน้ั ทา นอาจารยมั่นทานจงึ พดู วา ใจนี้คือนักทองเที่ยว นน่ั จะเท่ียวไปไหนกต็ าม ขอ
ใหม ีความดเี ปนทพี่ ยงุ ใจเถิด ยอ มมีความสุขความสบาย พอมีที่ปลงที่วางไมรอนเปนฟน
เปนไฟไปเสียทุกภพทุกชาติ แตตนจนอวสานแหงชีวิตของภพชาตินั้น ๆ โดยถายเดียว มี
ความสขุ เปน เครอ่ื งพยงุ เปน เครอ่ื งบาํ รงุ รกั ษา เพราะอาํ นาจแหง บญุ แหง กศุ ลทเ่ี ราสรา งไว
น้ี เรากไ็ มเ สยี ที สมกบั วา มนษุ ยฉ ลาด ตองฉลาดหาความสขุ ใสตน ฉลาดแกค วามชว่ั ทเ่ี ปน
พษิ เปนภยั แกต นเต็มกําลงั ความสามารถ ไมคุนไมชินกับสิ่งไมดีทั้งหลาย พยายามสลดั ปด
ออกจากตัวเสมอ ไมป ระมาทนอนใจ
วันน้ไี ดก ลาวถงึ เรื่องพทุ ธศาสนาทั้งภายนอกภายใน ใหทานผูฟงทั้งหลายไดพินิจ
พจิ ารณา โอปนยิโก ยอ นหนา ยอ นหลงั เทยี บเคยี งเพอ่ื เปน ประโยชนแ กต น สมกับเปนผู
ศึกษาและปฏิบัติเพอื่ สารคุณท้ังหลายแกต น ใหพากันนาํ ไปพินิจพิจารณา ประพฤติปฏิบัติ
ตนเองในเวลาทโ่ี อกาสอาํ นาย สุขภาพก็อํานวยเวลานี้ ธาตุขันธก็ปกติดีงามทุกรูปทุกนาม
ความเพยี รกใ็ หก า วเดนิ ดว ยความมสี ติ มคี วามสนใจมศี รัทธาเชื่อม่นั ในธรรมของจรงิ
ไมมีใครที่จะพูดจะตรัสไดอยางจริงจังถูกตองแมนยําเหมือนพระพุทธเจา ทท่ี รง
พระนามวา ศาสดาองคเ อกนเ้ี ลย เอกนามกึ หน่ึงไมมีสอง ก็มีแลวคือพระพุทธเจาที่มาตรัส
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๕
๔๒๖
รแู ตล ะครง้ั ๆ มีเพียงพระองคเดียวเทานั้น ไมมีสอง พระญาณทห่ี ยง่ั ทราบในสง่ิ ทง้ั หลาย
แมนยําไมมีสอง พระวาจาที่ตรัสออกมาแตละประโยค ไมม คี วามยกั ยา ยผนั แปรเคลอ่ื น
คลาด เตม็ ไปดว ยความจรงิ ลว น ๆ ตรสั วา อยา งไรเปน อยา งนน้ั วา อะไรมอี ะไรเปน อะไรดี
อะไรชั่ว สิ่งนั้นก็เปนดีเปนชั่วตามที่ตรัสไวทุกอยาง จงึ เรยี กวา สวากขาตธรรม ตรัสไวชอบ
แลว โดย เอกนามกึ หนึ่งไมมีสอง
ผูปฏิบัติตามหลักธรรมนั้นจะไปไหน ถาไมไปตามสิ่งที่ดีงาม สูสถานที่ที่พึงหวังไม
เปนอืน่ การเชอ่ื ธรรมกบั การเชอ่ื ฝา ยมารคอื กเิ ลส มีผลผิดกันอยูมาก ฝายมารก็คือสิ่งที่
กระซบิ กระซาบซง่ึ ฝง ใจมาเปน เวลานาน ทา นเรยี กวา กเิ ลสมาร คอยฉุดลากลงทางต่ํา ฝาย
ธรรมแนะนาํ ใหต อ สแู ยง ชงิ เอาตวั เราซง่ึ เปน สมบตั อิ นั มคี า น้ี ใหพน จากปากมารคือกิเลสทงั้
หลาย ดวยการทําดี ดว ยการฝา ฝน สง่ิ ทต่ี าํ่ ชา เลวทรามทง้ั หลาย ดวยการตะเกียกตะกาย
หนกั กเ็ อาเบากท็ นเพือ่ ความดสี ริ ิมงคลทั้งหลาย ความเจรญิ ยอ มเปน ของเราผบู าํ เพญ็ ไมมี
ใครมาแยง ชิงไดเ หมอื นสมบตั ิภายนอก
ฉะนั้น การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร จึงขอยุติเพียงเทานี้
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๖
๔๒๗
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕
ศาสนาเจรญิ ศาสนาเสอ่ื ม
คาํ วา ศาสนาเจรญิ เชน เจรญิ ในครง้ั พทุ ธกาลหรอื ศาสนาเจรญิ ณ ที่ใดก็ตาม ตาม
ความจรงิ แหง การเจรญิ ของศาสนาแลว เจริญที่จิตใจของคน จิตใจของพระ ของพุทธบริษัท
มคี วามเชอ่ื ความเคารพ ความเลอ่ื มใส ความสนใจ ความอตุ สา หพ ยายามปฏบิ ตั ติ อ อรรถ
ตอธรรมตามเพศและวัยของตน มหี ิริโอตตัปปะ ฝงใจ ซึ่งเนื่องมาจากความเชื่อบุญเชื่อ
กรรมตามหลกั ศาสนธรรม นเ่ี ปน ความเจรญิ ของศาสนาตามความมงุ หมายของธรรมและ
ศาสดาโดยแท ความเจริญสวนปลีกยอยออกไปก็คือ การศกึ ษาเลา เรยี นเพอ่ื รขู อ วตั รปฏบิ ตั ิ
วธิ ดี าํ เนนิ ไมใ ชเ รยี นเพอ่ื จดจาํ เอาชน้ั เอาภมู แิ บบโลกเขาทาํ กนั แตเ รยี นดวยความเปน
ธรรม เจตนาความมงุ หมายอยทู ก่ี ารเรยี นเพอ่ื การปฏบิ ตั ิ เพื่อกําจัดสิ่งไมดีทั้งหลายออก
จากใจ
ในครั้งพุทธกาล สวนมากพุทธบริษัทฟงจากพระโอษฐของพระพุทธเจาเปนสวน
มาก จากนั้นศาสนาก็คอยขยายออกไป เพราะพระสาวกทงั้ หลายไดรูตามเหน็ ตามพระพทุ ธ
เจา มจี าํ นวนมากขน้ึ ศาสนาเจรญิ ภายในใจของทา นอยา งสมบรู ณ แลว กเ็ ทย่ี วแนะนาํ สง่ั
สอนพุทธบริษัททั้งหลายแทนพระพุทธเจาไปในตัว พระองคก็ทรงทําหนาที่ประกาศสอน
ธรรม พระสาวกกท็ าํ หนา ทป่ี ระกาศศาสนธรรม เพื่อความเขาใจแกผูสนใจโดยถูกตองเชน
เดยี วกบั พระศาสดา
เบอ้ื งตน ศาสนาเจรญิ รงุ เรอื งเตม็ ทใ่ี นพระพทุ ธเจา นบั แตต รสั รแู ลว เปน ลาํ ดบั
จากนนั้ กระแสแหงธรรมกก็ ระจายออกไปสบู รรดาสัตว ทใี่ หชื่อวา พุทธบริษัทในลําดับตอ
มา มีภิกษุบริษัทเปนตน เมอ่ื กระแสแหง ธรรมกระจายสจู ติ ใจ กเ็ กดิ ความเช่อื ความเล่ือมใส
เหน็ จรงิ ตามความจรงิ ทศ่ี าสนธรรมประกาศสอน มคี วามสนใจใครต อ การปฏบิ ตั ิ ผลก็
ปรากฏขน้ึ โดยลาํ ดบั นบั แตข น้ั เรม่ิ แรกในการประกาศสอนธรรม มีพระเบญจวัคคยี ท้ังหา
เปน ปฐมสาวก อันดับตอไปก็ปรากฏผลขึ้นเรื่อย ๆ วา ผนู น้ั สาํ เรจ็ พระโสดาฯ องคน น้ั ผนู น้ั
สาํ เรจ็ พระสกทิ าคาฯ องคน น้ั ผนู น้ั สาํ เรจ็ พระอนาคาฯ องคน น้ั หรอื ผนู น้ั สาํ เรจ็ พระอรหตั
อรหนั ต ทง้ั นเ้ี พราะฆราวาสกม็ ที างสาํ เรจ็ ไดเ ชน เดยี วกบั พระ ดงั ตาํ ราทา นบอกไว เชน
สนั ตตมิ หาอาํ มาตย พระนางเขมาฯ เปนตน นค่ี อื ศาสนาเจรญิ เตม็ ดวงใจของพระสาวกใน
ครั้งพุทธกาล จากน้นั กม็ พี ระสาวกิ าคอื นักบวชฝายหญงิ ปรากฏข้ึนตาม ๆ กัน นค่ี อื ศาสนา
เจริญเต็มดวงใจของฝายภิกษุและฝายภิกษุณี กลายเปน สาวกสาวกิ าขน้ึ มา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๗
๔๒๘
ทา นเหลา นเ้ี มอ่ื ธรรมไดเ จรญิ เตม็ ภมู ภิ ายในใจ หมดภาระในการขวนขวายสาํ หรบั
ตนแลว ความเมตตายอมมมี าพรอมความบรสิ ทุ ธิ์อยา งเต็มใจ เต็มภูมิเต็มนิสัยของตนแต
ละราย ๆ แตละทาน ๆ แลว แนะนาํ สง่ั สอนประชาชนทง้ั หลายใหไ ดร บั ความเขา อกเขา ใจ
แผกระจายกวางขวางออกไปไมมีประมาณ ความเจรญิ ทางดา นจติ ใจจากการสดบั ธรรมของ
พระพุทธเจาก็ขยายออกไปอยางมากมาย
นแ่ี หละทท่ี า นวา ศาสนาเจรญิ เจรญิ ดว ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เนื่องมาจากการได
ยินไดฟง เจรญิ ดว ยมรรคคอื การปฏบิ ตั ิ เจรญิ ดว ยผลคอื ส่งิ ที่พงึ ไดร ับจากการปฏบิ ตั เิ ปน
ลาํ ดบั ลาํ ดา ตั้งแตขั้นกัลยาณปุถุชนจนถึงขั้นสูงสุดคืออรหัตธรรม เรยี กวา ศาสนาเจรญิ
เพราะเจรญิ จรงิ ๆ เหมอื นกบั เงนิ ในธนาคารมตี ามบญั ชี ไมค ลาดเคลอ่ื นจากความเปน จรงิ
ไมสักแตวา มอี ยเู พียงบญั ชแี ตเ งินหามิไดใ นธนาคาร แตมีทั้งบัญชีเงิน มที ง้ั เงนิ ตามจาํ นวน
ในบญั ชี บัญชีเงินกับตัวเงินถูกตองไมเคลื่อนคลาด บญั ชวี า อยา งไรมเี ทา ไร เงนิ กม็ เี ทา นน้ั
ในธนาคาร
ครั้งพุทธกาล ศาสนธรรมพระองคแ นะนาํ สง่ั สอนวา อยา งไร ตั้งแตขั้นพื้น ๆ แหง
ธรรมจนถงึ ขน้ั สงู สดุ แหง ธรรม การประกาศสอนธรรมซง่ึ เปน เหมือนกับบญั ชเี งนิ ผู
ประพฤตปิ ฏิบัตกิ ็สามารถดําเนนิ ตามพระโอวาททท่ี รงสง่ั สอนนนั้ เตม็ สตกิ าํ ลงั ความ
สามารถของตน จนไดบ รรลมุ รรคผลเปน ขน้ั ๆ ขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน ที่
เรยี กวา เงนิ หรอื ธรรมเตม็ ใจ บัญชีกับเงินตรงกัน สวากขาตธรรมก็ชี้บอกเรื่องมรรคผล
นพิ พาน ผปู ฏิบัติตามก็ไดส ําเรจ็ มรรคผลนพิ พานตามธรรมท่ีชบ้ี อก เหตกุ บั ผลตรงกนั
เหมือนบัญชีเงนิ กับตัวเงนิ ตรงกันฉะน้นั
เมื่อตกมาสมัยของพวกเรานี้ มักจะกลายเปนวามีแตบัญชีแตตัวเงินไมมี มหิ นาํ ซาํ้
ยงั สรา งความรกรงุ รงั ไวใ นธนาคารรอ ยแปดชนดิ อกี ดวย จนสะสางไมห วาดไมไ หว ไมเพียง
แตไ มม เี งนิ ในธนาคารเทา นน้ั ยังสรางปญหาไวอีกมากมาย
นก่ี ารเรยี นรจู ดจาํ ตาง ๆ ในขออรรถขอธรรม มกั จะเรยี นไดแ ตบ ญั ชขี องธรรม
บาปกเ็ รยี นและรู บุญก็รู นรก สวรรคก ร็ ู กเิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา ง ๆ ก็รู มรรคผล
นพิ พานกร็ ู แตไ มอ าจแกห รอื ไมส นใจแกก เิ ลสตณั หาอาสวะ ไมอ าจละหรอื ไมส นใจละบาป
บาํ เพญ็ บญุ ดว ยความเตม็ อกเตม็ ใจ ดว ยความเชอื่ บญุ เช่อื กรรมตามหลกั ธรรมทตี่ นจดจาํ
มานน้ั สุดทายก็มีแตบัญชีดี-ชว่ั กเิ ลสตณั หาอาสวะอรรถธรรมมรรคผลนพิ พานอยใู น
ความทรงจาํ สว นกเิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา ง ๆ กส็ นกุ สรา งปญ หาขน้ึ ภายในจติ ใจ ให
เกดิ ความยงุ ยากวนุ วาย เชน เดยี วกบั คนทไ่ี มไ ดศ กึ ษาเลา เรยี นศาสนาอรรถธรรมอะไรมา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๘
๔๒๙
เลย ยง่ิ กวา นน้ั ยงั สรา งทฐิ มิ านะ เขา ใจวา ตนรตู นฉลาดตามอรรถตามธรรม ก็ยิ่งเปนปญหา
ที่มากมูนหมุนติ้วยิ่งกวาคนที่ไมไดศึกษาอรรถธรรมเปนไหน ๆ เสยี อกี
ดว ยเหตนุ ค้ี าํ วา ศาสนาเจรญิ ใหพ งึ นกึ นอ มเขา สใู จทเ่ี วลานก้ี าํ ลงั อาภพั พูดถึง
อรรถถึงธรรมในขอใดขั้นใดภูมิใดยังไมปรากฏผล จําไดแตชื่อโสดาฯ สกทิ าคาฯ อนาคาฯ
อรหตั อรหนั ต ไดยินแตชื่อ แตใ จซง่ึ เทยี บกบั ธนาคารยงั วา งจากธรรมทง้ั หลายทจ่ี าํ ไดน น้ั ๆ
นอกจากน้ันยงั กลับกลายเปนเรอื นของกเิ ลสไปเสยี กเิ ลสเปน พน้ื อยภู ายในใจนน้ั ใจจงึ
กลายเปน เรอื นทส่ี ง่ั สมกเิ ลส รังของกิเลส รังของภพรังของชาติ รังของความทุกขความ
ทรมานประการตา ง ทก่ี เิ ลสสนกุ สรา งขน้ึ มาไมม บี กบางลงบา งเลย เพราะไมม สี ง่ิ ทช่ี าํ ระ
สะสางหรอื ปราบปราม กเิ ลสจงึ สนกุ สรา งความรกรงุ รงั ขน้ึ มาอยา งไมส ะทกสะทา นหวน่ั
เกรงสง่ิ ใด ๆ เพราะชาวพทุ ธเราเปด ทางใหม นั
ดังนั้น เพอ่ื ใหส ง่ิ รกรงุ รงั ภายในจติ ใจนเ้ี บาบางลงไปโดยลาํ ดบั จนหมดสน้ิ ไป เพื่อ
ทรงอรรถทรงธรรมขน้ั ตา ง ๆ ตามที่ทานแสดงไวนั้น จึงตองอุตสาหพยายามประพฤติ
ปฏบิ ตั ดิ ว ยอบุ ายตา ง ๆ เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ เพอ่ื ใจนไ้ี ดก ลายเปน เรอื นอรรถเรอื น
ธรรม เรอื นมรรคผลนพิ พานขน้ึ มาตามความมงุ หมายของธรรมและศาสดาผปู ระกาศสอน
ธรรม
ไดย นิ แตช อ่ื ทา นสาํ เรจ็ พระโสดาฯ กใ็ หไ ดย นิ ตวั เรา ใหท ราบตวั เราไดส าํ เรจ็ ทาน
สาํ เรจ็ สกทิ าฯ กใ็ หเ ราไดส าํ เรจ็ ดว ยการปฏบิ ตั ขิ องเรา ทา นสาํ เรจ็ อนาคาฯ กใ็ หเ ราไดส าํ เรจ็
หรอื ไดม สี ว นกบั ทา น ทา นสาํ เรจ็ อรหตั อรหนั ตก ใ็ หเ ราไดส าํ เรจ็ ใหไ ดม สี ว นกบั ทา น ใหเ รา
ไดเ ปน ผหู นง่ึ ในวงมรรคผลนพิ พานดว ยการปฏบิ ตั ขิ องเรา อยา ใหเ สยี ชอ่ื อยา ใหเ สยี คนทง้ั
คน เพราะคน ๆ นี้ไดมาจากสมมุติในทางที่ดี คือไดมาจากบญุ วาสนาท่ีเคยกอสรางมา จงึ
ไดเกิดในชองแหงความเปนมนุษย ซ่ึงเปน ภพกําเนิดทีเ่ กดิ ไดยากย่ิงกวา กําเนิดใด ๆ ที่ต่ํา
ทรามยง่ิ กวา น้ี เราไดผ า นภพตาํ่ ทรามเหลา นน้ั ขน้ึ มาเปน ภพเปน ภมู แิ หง มนษุ ย ซึ่งเปนภูมิที่
เหมาะสมกบั ศาสนธรรม และเปน ภาชนะทเ่ี หมาะสมอยา งยง่ิ แลว อยา ใหเ สยี ทา เสยี ที ขอ
ใหศ าสนาไดเ จรญิ ขน้ึ ภายในใจของเราดว ยการบาํ เพญ็ เตม็ สติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร
ของตน
คาํ วา สมาธจิ ะไมม ที ใ่ี ดเปน ทเ่ี จรญิ จะเจรญิ ขน้ึ ทใ่ี จ สมาธทิ ุกขั้นจะเจรญิ ข้นึ ที่ใจ
ของผูปฏิบัติจิตตภาวนา ปญญาทุกขั้นจะเจริญขึ้นที่ใจของผูชอบคิดอานไตรตรองพินิจ
พจิ ารณา จนถึงปญญาอันละเอียดแหลมคม ดงั ทท่ี า นกลา วไวใ นตาํ ราวา มหาสติมหา
ปญญา ก็จะเกิดและเจริญรุงเรืองขึ้นที่ใจของผูพยายามพินิจพิจารณาอยูไมหยุดไมถอย จน
มคี วามชาํ นชิ าํ นาญคลอ งแคลว กลายเปนสตปิ ญญาท่แี กลวกลา และสามารถฟาดฟน กิเลส
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๙
๔๓๐
ประเภททีไ่ มเคยคาดเคยคิดเคยฝน วาจะไดเ จอกัน ไดส ูรบกนั และรูเร่ืองของกนั และกนั
และปราบปรามกนั ลงได ก็ไดปราบปรามกันลงได เพราะสตปิ ญ ญาทเ่ี ราไมเ คยคาดคดิ วา
จะมีขึ้นเปนขึ้น แตไดเปนขึ้นแลว กเิ ลสทไ่ี มเ คยคาดคดิ วา จะรจู ะเหน็ กนั จะละเอยี ดแหลม
คมขนาดไหน ซึ่งแตกอนไดยินแตชื่อ ก็ไดปรากฏขน้ึ แลวกับสตปิ ญญาประเภทน้ี และได
ฟาดฟนหั่นแหลกกันลงประจักษใจ ทั้งนี้ใหไดประจักษกับใจเราเหมือนครั้งพุทธกาล อยา
ไดยนิ แตล มแตแ ลงทีห่ าตวั จรงิ ไมไ ด
จงทาํ ใหศ าสนาเจรญิ ทใ่ี จเราใหไ ด เมอ่ื ศาสนาเจรญิ ตรงนแ้ี ลว จะถูกตองเหมาะสม
ตามความมงุ หมายของธรรม และศาสดาผูม เี มตตามหาคณุ แกส ตั วโลกดว ย จะสมความมงุ
มาดปรารถนาของเราทง้ั หลาย ผตู อ งการความสขุ ความเจรญิ อยา งแทจ รงิ ตามหลกั ธรรม
ดว ย
แมไ มถึงขัน้ ท่กี ลาวมาเหลานีก้ ต็ าม ทา นกเ็ รยี กศาสนาเจรญิ คือเจริญไปตามขั้น
ตามภมู ิ และเจรญิ ตามความเคารพเลอ่ื มใสของผเู ชอ่ื บญุ เชอ่ื กรรม ตามหลกั ธรรมของพระ
พุทธเจา เชน เชื่อวาบาปมี พยายามระวงั บาปไมใ หเ กดิ ขน้ึ ในตน แมที่เกิดขึ้นแลวก็
พยายามละ ไมสั่งสมบาปตอไปอีก กุศลธรรมคือความดีงามที่ยังไมเกิด ก็พยายามทาํ ให
เกิด ดว ยความเชอ่ื บญุ เชอ่ื กรรม ทเ่ี กดิ แลว กพ็ ยายามบาํ รงุ รกั ษาใหเ จรญิ คงเสน คงวา และ
เจรญิ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป
ผเู ช่อื อรรถเชือ่ ธรรมยอมเชื่อบญุ เชื่อบาป ยอ มเชอ่ื นรกสวรรค เพราะเปน เรอ่ื ง
เปน ไปจากกรรม คือเชื่อกรรมไดแกกระทําของตน พระพทุ ธเจา ตรสั ศาสนาไวถ อื หลกั
ธรรมเปน สาํ คญั ของสตั วโ ลก เพราะตางก็ทําอยูดวยกัน ไมว า มนษุ ยไ มว า สตั วเ ดรจั ฉานใด
ๆ มกี ารทาํ กรรมอยดู ว ยกันท้งั นน้ั เปน แตเ พยี งสตั วเ หลา นน้ั ไมท ราบวา ตนทาํ กรรม ผลนน้ั
จะทราบหรอื ไมท ราบกต็ าม ตองเปนผลดีผลชั่วตามการกระทําอยูโดยดี ไมมีอะไรมาลบ
ลา งได
นเ่ี ราเปน ผเู ชอ่ื กรรม พทุ ธบริษทั เปน ผูเ ชอ่ื บุญเชือ่ กรรม ยอ มจะเชอ่ื ในบาปในบญุ
เชอ่ื ในนรกสวรรคจ นกระทง่ั นพิ พาน แลว พยายามละเวน สง่ิ ทเ่ี หน็ วา เปน ภยั ตามหลกั ธรรม
น้นั ดว ยความเช่อื ของตน และพยายามบาํ เพญ็ สง่ิ ทเ่ี ปน คณุ เปน ประโยชนใ หเ จรญิ มากมนู
ขน้ึ ภายในใจ นก่ี เ็ รยี กวา ศาสนาเจรญิ คือเจริญในใจของผนู บั ถือเคารพเลอื่ มใสและปฏิบัติ
นน่ั แล
คนทม่ี ใี จไดรบั การอบรมจากอรรถจากธรรม ดว ยความเชื่อความเล่อื มใสอยางแท
จรงิ ตามธรรมแลว ยอมระบายออกในสิ่งที่งามหูงามตา ไมแสลงใจทั้งแกตนและผูอื่น
แสดงอากัปกิริยาใดยอมเปนไปเพื่อสิริมงคล เปนไปเพื่อความยึดถือจากคนอื่น เปนคติตัว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๐
๔๓๑
อยางแกค นอืน่ เรอ่ื ยไป ตั้งแตวงแคบจนกระทั่งถึงวงกวางไมมีสิ้นสุด เรยี กวา ศาสนเจรญิ
เจริญที่ใจแลวยอมแสดงออกมาทางกายทางวาจา คือความประพฤติ การพดู จาปราศรยั มี
เหตมุ ีผล มีกฎมีเกณฑ มีหลักความถูกตองดีงามเปนที่ยึดเปนเครื่องดําเนิน นเ่ี รยี กวา
ศาสนาเจรญิ
เมอ่ื ตา งคนตา งเปน ผไู ดร บั การอบรม และอบรมดว ยความเชอ่ื ความเลอ่ื มใสใน
ศาสนาแลว ยอมระบายออกทางกายวาจาดวยความมีเหตุมีผล และเปน ความหนกั แนน มน่ั
คงในกจิ การทง้ั หลาย ตลอดกิริยาแหงการพูดการทําทุกสิ่งทุกอยาง ไมเ หลาะแหละเหลว
ไหลไรส าระ เพราะเชื่อกรรม
อาการแสดงออกตาง ๆ ของคนของสตั วนนั้ เปน เรื่องของกรรมคอื การกระทํา ซึ่ง
พรอมที่จะใหผลทั้งดีและชั่วอยูเสมอ ผูเชื่ออรรถเชื่อธรรมจึงตองระมัดระวัง และมคี วามจง
ใจในการระบายออก และการกระทําทุกแงทุกมุมใหเปนไปตามคลองอรรถคลองธรรม ที่
จะเปน สริ มิ งคลและเปน ความสงบสขุ แกต นและสว นรวม ตลอดประเทศชาตบิ า นเมอื ง นี่
เรยี กวา ศาสนาเจรญิ ศาสนาเจรญิ คนไดร บั ประโยชนแ ละความสขุ รม เยน็
ทนี ศ้ี าสนาเสอ่ื มเปน อยา งไร เรากท็ ราบอยแู ลว เมื่อสักครูนี้ก็ไดอธิบายถึงเรื่องมี
แตบ ญั ชใี นธนาคาร เงินไมมี ศาสนธรรมกม็ แี ตค วามจดจาํ ได มีแตการศึกษาไดยินไดฟง
จากผนู น้ั ผนู ้ี จากตาํ รบั ตาํ รา แตจิตใจไมซึมซาบถึงอรรถถึงธรรม ไมเชื่อไมเคารพไม
เลอื่ มใส สกั แตว า เรยี นวา จดจาํ วา ฟง เฉย ๆ การนับถือก็สักแตวานับถือตามประเพณี หรอื
นบั ถอื เพอ่ื กนั ความครหานนิ ทา วา คนไมม ศี าสนาประจาํ ชาตปิ ระจาํ ตนเพยี งเทา นน้ั ไมสน
ใจทําตนใหดีตามศาสนา
ความนบั ถอื ศาสนากบั การปฏบิ ตั ศิ าสนานน้ั ตา งกนั สวนมากชาวพุทธเรามักมีแต
การนบั ถอื ไมคอยสนใจปฏิบัติตาม เวลาถามกนั ก็เปน ความชนิ ปากชนิ ใจตามสวนมากทพ่ี า
เรยี กกนั มาวา คุณถือศาสนาอะไร ถือศาสนาพุทธ ทั้ง ๆ ที่ความจริงของพุทธนั้นทานสอน
วา อยา งไรบา งกไ็ มร ู เพราะไมไ ดส นใจอยากรอู ยากเขา ใจศาสนาเทา ทค่ี วร เนอ่ื งจากจิตใจ
ถูกทุมเทไปทางอื่นเสียมากตอมาก นเ่ี รยี กวา นบั ถอื เฉย ๆ เหน็ พระพทุ ธเจา กเ็ คารพกราบ
ไหวเ สยี ที กริ ยิ าเชน นแ้ี มแ ตน กั โทษในเรอื นจาํ เขากท็ าํ แตการกระทําของเขาเปนอีกอยาง
หนง่ึ นผ่ี นู บั ถอื ศาสนาเฉย ๆ เปน เชน นแ้ี ล
การเคารพ พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ นน่ั ทาํ ตามนสิ ยั ทพ่ี อ แมป ยู า ตายาย
พานับถือมา แตการกระทาํ เปน อกี อยางหนึง่ คอื กลับเปนขา ศกึ ตอ การนบั ถอื ศาสนา เนอ่ื ง
จากไมไดปฏิบัติตามศาสนา การกระทาํ นน้ั จงึ ไมเ รยี กวา เปน การปฏบิ ตั ติ ามศาสนา เพราะ
การกระทาํ นน้ั เปน ขา ศกึ ตอ ศาสนา แลวก็เปน ขาศกึ ตอ ตนเองผูน บั ถือศาสนา เชน ศาสนา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๑
๔๓๒
สอนไมใ หดืม่ สุราของมึนเมาเปน ตน แตก ผ็ นู บั ถอื ศาสนานน่ั แล เปน นกั เลงหรอื คอสรุ าเสยี
เอง ดังนี้เปนตัวอยาง ไมสังเกตก็รูเพราะมีดาษดื่นในชาวพุทธเรา
ดว ยเหตนุ ก้ี ารนบั ถอื ศาสนากบั การปฏบิ ตั ติ ามศาสนานน้ั จงึ ตา งกนั การปฏิบัติ
ตามจะเปน เพศใดวยั ใดกต็ าม ควรจะปฏิบัติตนตามศีลตามธรรมในแงใดขอใดก็ปฏิบัติ
ตามเพศของตน เชน ฆราวาสควรมศี ลี หา หากไมไดหมดก็ควรใหไดในขอใดขอหนึ่งเปน
ความสตั ยค วามจรงิ ประจาํ ตน สว นมากคนเราถา ลงไดเ ชอ่ื ตามหลกั ศาสนาอยา งจรงิ ใจแลว
ทําไดทั้งนั้น เชน ศลี หา ขอไหนทีส่ ดุ วิสยั ความเชือ่ และความสามารถของเราไป ปาณาฯ
อทนิ นาฯ กาเมฯ มสุ าฯ สรุ าฯ ศลี เหลา นเ้ี ปน คณุ สมบตั เิ ครอ่ื งรกั ษาเราใหเ ปน คนดมี หี ลกั
เกณฑต า งหาก ไมใชเปนขาศึกตอเราที่จะทําไมได การทาํ ไมไ ดก เ็ พราะอาํ นาจฝา ยตาํ่ มนั
หนกั แนน หรอื รนุ แรงมากกวา ฝา ยศลี ธรรมทจ่ี ะแทรกเขา สใู จไดเ ทา นน้ั ชาวพุทธเราจึงไม
อาจรักษาไดปฏิบัติได แมแตศีลหาก็ไมได ยังฝาฝนตอหนาตอตาไมนึกกระดากอายบาง
เลย ทั้ง ๆ ที่ตนก็เปนชาวพุทธ ประกาศอยางออกเนื้อออกตัว คนทง้ั หลายรเู หน็ อยวู า เรา
เปนชาวพทุ ธ แตครนั้ แลว การกระทําก็เปน ขา ศึกตอ ตัวเองและเปน ขาศกึ ตอชาวพุทธดว ย
กัน และเปน ขา ศกึ ตอ พระพทุ ธศาสนาโดยเจา ตวั ไมไ ดส นใจคดิ ประการใดบา งเลย เมือ่ เปน
เชน น้ี แมจ ะเรยี กวา ชาวพทุ ธทําลายพุทธก็ไมนาจะผดิ เพราะความจรงิ เปน เชน นน้ั ไมอาจ
สงสยั
ถา มกี ารนบั ถอื และปฏบิ ตั ดิ ว ยแลว ศาสนาเปน เครอ่ื งสง่ั สอนคนใหม คี วามสงบรม
เยน็ โดยแท ตามหลกั ความจรงิ ของศาสนากเ็ ปน เชน นน้ั ไมเ คยใหโ ทษใหภ ยั แกผ หู นง่ึ ผใู ด
และไมเ คยทาํ ผหู นง่ึ ผใู ดใหร า วรานหรอื สงั คมใดใหร า วราน นบั แตส ว นยอ ยถงึ สว นใหญ จะ
สมคั รสมานไดด ว ยอรรถดวยธรรมทั้งน้ัน เพราะศาสนธรรมไมใ ชเ ครอ่ื งสงั หาร ที่จะทําสิ่ง
ตา ง ๆ ใหแตกแยก หรอื บคุ คลผหู วงั ดตี อ ศาสนาใหก ลายเปน ผชู ว่ั ชา ลามกเสยี หายไปตา ง
ๆ เพราะการนบั ถอื และการปฏบิ ตั ติ ามศาสนธรรมนเ้ี ลย เม่อื เปนเชนนี้ ผูนับถือและปฏิบัติ
ตนตามศาสนาทาํ ไมจะไมม คี วามสงบรม เยน็ ตองมีตามขั้นตอนแหงการปฏิบัติได
นแี่ ลทโ่ี ลกเกดิ ความรมุ รอนไปทกุ หยอมหญาเวลาน้ี กเ็ พราะจติ ใจมนษุ ยเ ราเหนิ
หา งจากศลี ธรรม คอื ธรรมทย่ี งั บคุ คลใหร ม เยน็ นน่ั แล นอกจากจติ ใจไมน ําพากับศาสนา
แลว ยงั ใกลช ดิ สนทิ กบั สง่ิ เปน ภยั ไรส ารคณุ เขา อกี อยางหาประมาณความพอดีไมได จะ
โลกไหนก็โลกเถอะ ตองเปน โลกที่รุมรอ นเปนไฟไปดวยกันนน่ั แลไมมกี ารยกเวน
ศลี ธรรม คือ การใหความเสมอภาคแกกันและกันตลอดสัตวเดรัจฉาน ไมใ หเ บยี ด
เบยี นทาํ ลายซง่ึ กนั และกนั อันเปนการทําลายจิตใจและสมมุตขิ องกันและกันใหกําเริบ เชน
ทา นสอนปาณาฯ ไมใหฆาไมใหทําลายซึ่งกันและกัน นอกจากนน้ั ยงั มเี มตตาสนบั สนนุ อกี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๒
๔๓๓
ดว ย เรยี กวา เบญจศลี เบญจธรรม เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ขอ หา มคอื ปาณาฯ ใหเ ดน ขน้ึ และ
เพอ่ื ใหศ ลี ขอ นส้ี มบรู ณข น้ึ เพราะความเมตตาเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ แตผูไมมศี ีลธรรมภาย
ในใจกลบั กลายเปน ผโู หดรา ยทารณุ ไปเสยี โลกจงึ ทําความพินาศฉบิ หายแกก ันไดอ ยาง
หนา ตาเฉย เพราะหมดคณุ สมบตั ใิ นธรรมขอ นภ้ี ายในใจ ขออื่น ๆ ก็เชน เดยี วกนั
อทนิ นาทาน กเ็ พราะความโลภ ความอยากได อันเปนเรื่องของกิเลสตัวไมมีเมือง
พอ พาใหทําลายสมบัติของคนอื่นจิตใจของคนอื่นไมมีประมาณ ทั้งนี้เพราะความโลภมันมี
กาํ ลงั รนุ แรงมาก จึงตองฉกตองลักตองปลนตองสะดมเขา ไมเพียงแตวาไมมีอยูมีกินอด
อยากขาดแคลน หาที่กินที่ใชสอยอะไรไมได เปน ความจนตรอกจนมมุ จรงิ ๆ เชน นน้ั แต
มนั เปน นสิ ยั สนั ดานของคนทม่ี จี ติ ใจตาํ่ ทราม ดวยสิง่ สกปรกโสมมทั้งหลายเขา ครอบงํา
และมีอํานาจเหนือจิตใจอยางบอกไมถูกตางหาก จงึ ทาํ กนั ไดโ ดยไมค าํ นงึ ถงึ ความเสยี หาย
ทั้งสมบัติและจิตใจของผูอื่น ขอใหไดอยางเดียวเปนพอ นน่ั
ไมวาขออื่น ๆ เชน กาเมสุ มจิ ฉาจาร ก็เหมือนกัน ถาลงไมมีธรรมในใจแลวมนุษย
เราเลวยง่ิ กวา สตั ว มันทําไดทั้งนั้น ถา พดู เรอ่ื งความหนา ดา น ใครจะหนาดา นย่งิ กวา มนษุ ย
ที่ไรศ ีลธรรมเปน ไมมี มนั ดา นยง่ิ กวา สตั วเ สยี อกี เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง
ราคะตัณหา พาใหค นหนา ดา นไมม ยี างอายตดิ ตวั
มศี ลี ธรรมเทา นน้ั เปน เครอ่ื งประดบั และประคับประคองมนุษยไวใหตางจากสัตว
ใหม คี วามละอาย รูจักสูงต่ํา รูจักของเขาของเรา รจู กั ทา นรจู กั เรา ถาใจไมไดมาคิดในแง
อรรถแงธ รรมแลว มนั กต็ อ งคดิ ไปในแงค วามสนกุ สนานรน่ื เรงิ บนั เทงิ ชนดิ ไมม เี บรกหา ม
ลอ เลยนน่ั แล มิหนํายงั อวดดบิ อวดดไี ปในทางราคะตณั หา สง เสรมิ ในสง่ิ ทต่ี าํ่ ทรามวา เปน
ของดีมีคาและอํานาจมากขึ้น โดยไมค าํ นงึ ถงึ ความเสยี หาย ความกระทบกระเทือน และ
ทําลายจิตใจของผูใดทั้งนั้น โลกจะไมรอนไดอยางไร เมือ่ ศลี ธรรมไมมภี ายในใจของชาว
พทุ ธเราแลว โลกตองรอน เพราะกเิ ลสตณั หามอี าํ นาจบนหวั ใจของผสู ง เสรมิ มนั โลกไม
เคยรม เยน็ เพราะตณั หาตาเปน ไฟแตไ หนแตไ รมา โลกรม เยน็ เพราะธรรมตา งหาก
การโกหกก็เหมือนกัน โกหกไดคลองปากไมกระดากอาย ไมคิดวาการพูดโกหก
นน้ั จะเกดิ ความเสยี หายแกผ ใู ด โกหกไดอยางหนาตาเฉย และโกหกคนอน่ื ใหเ กดิ ความเสยี
หายขนาดลม จมก็มมี าก เชน พวกนักตมตุน นักกลมายาหาอุบายโกหกตมตุนดวยวิธีการ
ตา ง ๆ ทีจ่ ะทําคนอ่นื ใหฉิบหายวายปวงท้ังทรพั ยสมบัติและจิตใจ จนกลายเปนคนวิกล
วิการใบบาไปได เพราะกลมายาแหง ความตม ตนุ หลอกลวงนีม้ ีมากทเี ดยี ว โทษแหงความ
ไมมศี ลี ธรรมทําความเดือดรอ นเสียหายใหแ กโ ลกไมม ปี ระมาณดังที่รู ๆ เหน็ ๆ กันอยูทุก
แหง หนนน่ั แล การโกหกพกลมเปนของดีนาชมเชยที่ไหนกัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๓
๔๓๔
ถาพูดถึงสุรา สรุ าใคร ๆ กท็ ราบ แมแ ตเ ดก็ กย็ งั ทราบวา เปน ของมนึ เมาและทาํ ให
คนเสยี มันเปนของดีมเี กยี รติและศักดศ์ิ รีท่ีไหนกนั พอจะสง เสริมมันใหท ําลายมนุษย เหตุ
ใดมนษุ ยเ ราจงึ ตอ งสง เสรมิ เอานกั หนาจนเปน เนอ้ื เปน หนงั อยางออกหนาออกตา ไมวา
สถานที่ใดสังคมใด ถาไมมีสุราไปออกหนาออกตาแลว สังคมน้ันเหมอื นกับไมใ ชส งั คม
มนษุ ย ไมใชสังคมที่มีเกียรติ เลยเหน็ ไปวาสงั คมท่มี ีสรุ านั้นเปนสังคมทม่ี เี กยี รติ เปน สงั คม
ที่มีหนามีตานาชมเชยและยอมรับกันทั่วดินแดน นค่ี อื การลบลา งศาสนธรรมอนั เปน ความ
ดีงามของมนุษยมากนอยเพียงไหน
หากสงั คมไดย อมตวั ลงยอมรบั สรุ ายาเมาหรอื นาํ้ บา นแ้ี ลว สังคมนั้นก็คือสังคม
แหง นาํ้ บา สงั คมนาํ้ ลาย สังคมไมรูจักอาย สงั คมหนา ดา น สงั คมกลา หาญดว ยนาํ้ บา นน่ั แล
ถา สงั คมทไ่ี มม สี รุ ายาเมาเขา ไปแทรกเขา ไปเปน เจา หนา เจา ตา มันไมเปนสังคมที่มีเกียรติ
ทาํ อะไรไมส าํ เรจ็ เหรอ พจิ ารณาซิ อาํ นาจฝา ยตาํ่ มนั เปน เชน น้ี มันครอบหวั ใจมนษุ ย เสก
สรรปนยอส่งิ ท่ีไมด วี าดีข้ึนมา ลบลางสิ่งที่ดีออกจากตัวมนุษย สังคมมนุษย แลวจะหาคนดี
ไดที่ไหน ถา มนษุ ยเ ราไมย อมรบั ความจรงิ กนั มนุษยผดู มี ีศีลธรรมก็นบั วันจะสญู ไปจาก
สังคมโดยไมตองสงสัย
ทก่ี ลา วมาใครจะไมร ใู นศลี หา ขอ นช้ี าวพทุ ธเรา กช็ าวพทุ ธเราเองเปน ผูทาํ เปน ผฝู า
ฝน เปน ผเู ปน มาร เปน ผสู งั หารศาสนธรรมและตน ตลอดสวนรวมทั่ว ๆ ไปใหฉ บิ หายวาย
ปวงไปดว ยความรรู อู ยนู แ้ี ล นล่ี ะทว่ี า การนบั ถอื ศาสนาเฉย ๆ กบั การปฏบิ ัตมิ นั ตางกัน
เพราะธรรมไมเ ขา ถงึ ใจ สกั แตว า นบั ถอื ไมไดถือเปนจริงเปนจัง ไมหวังพึ่งเปนพึ่งตาย ไม
หวงั ความสขุ ความเจรญิ อนั ใดจากศาสนา ยง่ิ กวา ความอยากความทะเยอทะยานเอาตาม
ความชอบใจของตน ซึง่ เปนอาํ นาจของฝายต่าํ คือกิเลสลวน ๆ ฉุดลากไปเทานั้น โลกจงึ หา
ความเจรญิ ไมไ ด
ถา ลงไมม ธี รรมเขา แทรกจติ ใจ เปน เครอ่ื งกน้ั กางหวงหา มสง่ิ ตาํ่ ชา เลวทรามทง้ั
หลายไว คนทั้งคนจะเหลือแตรางกระดูก หนังหอกระดูกเทานั้น แมจ ะเสกสรรปน ยอกนั วา
มคี วามสขุ ความเจรญิ มียศถาบรรดาศักดิ์อะไรก็ตาม ก็สักแตวาลมปากเปากันไปเปากันมา
เทา นน้ั ต่ืนเงากนั อยูนั้นโดยหาความจริงไมไ ด หากมศี าสนธรรมเขา แทรกภายในจติ ใจใน
การประพฤติปฏิบัติ การระบายออก จะเหน็ เปน ความชมุ เยน็ ขน้ึ มาทนั ที ไมจําเปนตองมี
เงนิ มที องขา วของเปน จาํ นวนลา น ๆ ก็ตาม
คนทม่ี ศี ลี มธี รรมนน้ั แล เปน คนทเ่ี สาะแสวงหาความสขุ ความเจรญิ ไดโ ดยถกู ตอ ง
และสมหวงั ผนู น้ั แลเปน ผมู คี วามสขุ มากยง่ิ กวา ผทู ไ่ี มม ศี าสนาเลย ทั้ง ๆ ท่มี ีสมบัติเงิน
ทองขาวของมากมาย ส่งิ เหลานัน้ ไมใชส ่ิงปลดเปลือ้ ง สิ่งแกทุกขทางหัวใจของโลกใหสงบ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๔
๔๓๕
รม เยน็ นอกจากศีลธรรมเทา น้นั เพราะสง่ิ เหลา นน้ั เปน เพยี งเครอ่ื งชว ยสง เสรมิ ความ
สะดวก และความตอ งการสาํ หรบั คนฉลาดโดยธรรมนาํ มาใชต ามความจาํ เปน ของตน แลว
เกิดความสุขขึ้นตามฐานะของสมบัตินั้น ๆ จะพึงมีใหเทานั้น แตไ มส ามารถซมึ ซาบเขา ถงึ
จิตใจใหเกิดความชุมเยน็ ไปได ถา ไมม ธี รรมเขา เคลอื บแฝง
ถา ย่งิ ไมม ีอรรถมีธรรมเขา แฝงอยภู ายในจิตใจดว ยแลว สมบัติเงินทองขาวของจะ
มีมากมายเพียงไร กก็ ลายมาเปน ยาพษิ สงั หารตนใหฉ บิ หายปน ปไ ด ทั้ง ๆ ทภ่ี มู ใิ จวา ตนมง่ั
มศี รสี ขุ อยนู น่ั แล แตก เิ ลสความลมื ตนควา เอาสมบตั มิ าเปน ดาบฟาดฟน ตนใหล ม เหลวทาง
ความสงบรม เยน็ ภายในใจ หาไดคิดสะดุดใจไม ถาไมมีธรรมคอยสะกิดบาง
เมอ่ื เปน เชน นน้ั อะไรเจรญิ จะพูดถึงวัตถุเจริญ วัตถุมาจากอะไร วัตถุเหลานี้ก็ออก
มาจากธาตสุ ่ี ดิน น้ํา ลม ไฟ เปน แรธ าตตุ า ง ๆ เชน ปลูกบานปลูกเรือนขึ้นกี่ชั้นกี่หองกี่หับ
ถนนหนทางจะใหก วา งใหแ คบ ลาดยางลน่ื ไปหมดก็ตาม สิ่งเหลานีค้ อื อะไรมาจากอะไร ก็
มาจากเหล็กจากปูนจากอฐิ จากทราย จากธาตุสี่ดิน นาํ้ ลม ไฟ หากวา สง่ิ เหลา นจ้ี ะทาํ คนให
เจรญิ ไดจ รงิ ไดร บั ความสขุ สมกบั คาํ ทว่ี า โลกเจรญิ จรงิ แลว เราทุกคนเหยียบย่ําไปที่ไหนก็มี
แตธ าตุตางๆ ดนิ นาํ้ ลมไฟในบา นเรากม็ ี ในที่อยูเราก็มี พวกเหล็กพวกปูนพวกอิฐพวก
ทราย ซง่ึ เปนแรธ าตตุ า งๆ เตม็ ไปหมด ทาํ ไมพวกเราจงึ ไมเ จรญิ ดว ยความสงบสขุ กนั บา ง
มวั บน กนั วา ทกุ ข ๆ อยูทําไม
ถา จติ ใจหาความเจรญิ ดว ยธรรมเครอ่ื งดาํ เนนิ ไมม แี ลว อะไรจะเจรญิ กเ็ จรญิ เถอะ
แตหวั ใจนน้ั จะเปน ไฟท้ังกองเผาลนอยูตลอดเวลา หาความสุขความเจริญไมได และหาท่ี
ปลงที่วางไมไดจนกระทั่งวันตาย แลว อะไรเจรญิ ทน่ี ่ี เมอ่ื เปน เชน นศ้ี าสนาไมจ าํ เปน จะเอา
อะไรมาจาํ เปน เพราะโลกตองการความสุขความเจริญโดยทางที่ถูกตองดีงามอยูแลว จะ
หนีจากหลักธรรมไปไมได
อนั เร่อื งของกเิ ลสน้ันมนั ไมทาํ ใครใหม คี วามสขุ ความสบายไดหรอก มแี ตเ ปน
เครื่องลอนิด ๆ เหมอื นเหยอ่ื เสยี บอยปู ลายเบด็ เปน เครอ่ื งลอ ปลาตวั โงเ ทา นน้ั เม่อื ติดเบด็
เขา แลว เปน ยงั ไง ปลาตวั นน้ั ตดิ เบด็ เขา แลว เปน ยงั ไง มันมคี วามสุขความเจริญอะไร แต
กอนที่มันหิวอาหารอยูมันก็ยังไมทุกขมาก พอมาตดิ เบด็ เขา แลว เปนยังไง ความหวิ นน้ั ยงั
ไมม อี ํานาจไมม ีความทุกขม ากยง่ิ กวาเวลาติดเบด็
จติ ใจของคนผูไมมศี าสนากเ็ ชน เดยี วกัน เมื่อฝายต่ําซึ่งตางคนก็ตางมีเต็มหัวใจ
นาํ สง่ิ เหลา นม้ี าหลอกมาประโลมกนั โฆษณาชวนเชื่อกันทั้ง ๆ ที่หาความจริงไมได ยิ่งเปนผู
ทโ่ี งอ ยแู ลว เพราะกเิ ลสพาใหค นโง ทําไมจะไมเชื่องายในทางฝายต่ําเลา นล่ี ะทท่ี าํ ใหต ดิ เบด็
ของกิเลส ไดรับความทุกขทรมานไมมีสิ้นสุดยุติลงได เพราะเหตดุ งั กลา วมานแ่ี ล เครอ่ื ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๕
๔๓๖
หลอกมันเขามาทุกแงทุกมุม เขา มาทางไหนกเ็ ยม้ิ รบั ๆ รบั กนั ไปหมด รบั กนั มากนอ ย
เพียงไร ก็เผากันมากนอยเพียงนั้น
ถือวาโลกเจริญ ๆ ทั้งที่แตละคนกําลังจะตายอยูแลว ดว ยความรมุ รอ นแผดเผา
ภายในจติ ใจ จนหาที่ปลงที่วางไมได ยงั โฆษณาอยวู า โลกเจรญิ ๆ พจิ ารณาซคิ นกาํ ลงั จะ
ตาย โลกมนั เจรญิ แบบไหนกนั ถา ไมใ ชก เิ ลสกาํ ลงั เจรญิ ดว ยความโลภมาก โกรธมาก ราคะ
ตณั หามากเหยยี บยาํ่ หวั ใจคน จะใหวาอยางไรจึงจะตรงตามความเปนจริงที่กําลังเปนไปอยู
เมอ่ื เปน เชน น้ี เราจะวา โลกเจรญิ หรอื โลกเสอ่ื ม โลกหมายถึงอะไร ถาไมหมายถึงจิตใจของ
แตล ะราย ๆ ที่ครองโลกอยูนี้
การทาํ โลกใหเ จรญิ นน้ั กเ็ พอ่ื จะใหจ ติ ใจเจรญิ เพื่อจิตใจจะไดอยูสะดวกสบาย เชน
สว นรา งกายกป็ ลกู บา นปลกู เรอื นหลงั ใหญ ๆ โต ๆ รโหฐาน มีที่กั้นแดดกั้นฝน มอี าหาร
การบรโิ ภคเปน เครอ่ื งบรรเทาเยยี วยากเ็ ปน ความสขุ ทางใจมอี ะไรเปน เคร่อื งเยียวยา มี
อะไรเปนเครื่องรักษา พอทจ่ี ะบรรเทาเบาบางทกุ ขท ง้ั หลายลงบา ง ใหม คี วามสขุ ความสบาย
หรอื จะเอาสง่ิ เหลา นน้ั มาเปน เครอ่ื งบรรเทา ก็นั่นมันวัตถุเครื่องอาศัยของกายตางหาก ไม
ใชวิสัยของใจที่จะอาศัยได นอกจากกุศลธรรมอันเปนของคูควรกับใจเทานั้น ใจจงึ จะอาศยั
ได ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนธรรมจงึ เปน ธรรมชาตทิ จ่ี าํ เปน มากตอ จติ ใจของสตั วโ ลก เพอ่ื ความ
เหมาะสมกบั คาํ วา โลกเจรญิ
โลกเจริญตองหมายถึงจิตใจของผูครองโลกเปนจิตใจที่เจริญ มีขอบมีเขตมีเหตุมี
ผล การสรา งอะไรขน้ึ มากส็ รา งดว ยความฉลาดดว ยธรรม มใิ ชฉ ลาดดว ยอาํ นาจกเิ ลส เพื่อ
ใหต นไดร บั ความสขุ จรงิ ๆ และผอู ื่นทีเ่ กย่ี วของกใ็ หไ ดรบั ความสขุ เชนเดียวกบั ตน สมกับผู
มีอรรถมีธรรมอยางแทจริง ไมโกหกตัวเอง โลกเจรญิ จงึ หมายถงึ ตรงนเ้ี ปน หลกั สาํ คญั
ศาสนาจงึ มคี วามจาํ เปน ตอ โลกเรอ่ื ยมา นน่ั แลศาสนาเจรญิ เจรญิ ทใ่ี จเปน พน้ื ฐานสาํ คญั ที่
จะแผกระจายออกไปสูสิ่งตาง ๆ เกีย่ วกับเร่ืองการกอสรา งวัตถุตาง ๆ ทว่ั บา นทว่ั เมอื ง ถา
จติ ใจเจรญิ แลว เพราะการพฒั นาจติ ดว ยธรรม สง่ิ เหลา นน้ั กย็ อมรบั วา เจรญิ เพราะใหค วาม
สขุ จรงิ เนือ่ งจากใจเปน ผไู ดรับการอบรมมาดวยดี ทําอะไรลงไปก็มีเหตุมีผลเพื่อความสุข
ความเจรญิ โดยแทจ รงิ สมบัตติ า ง ๆ ก็สนองความตองการใหเปนสุขได ไมเปนพิษภัยแก
ตัวเองผูเปนเจาของ
ทน่ี ย่ี อ นเขา มาสภู ายในของวงปฏบิ ตั เิ รา วา ศาสนาเจรญิ เจริญยังไง เจรญิ เพราะ
การเดนิ จงกรมเฉย ๆ หาสตสิ ตงั ไมไ ดอ ยา งนน้ั เหรอ ศาสนาไมไ ดเ จรญิ เพราะการเดนิ
จงกรมหาสติสตังไมได การนง่ั สมาธภิ าวนาหาสตสิ ตงั ไมไ ด การเคลอ่ื นไหวไปมาหาสตสิ ตงั
ไมได แตศ าสนาเจรญิ เพราะความมสี ติ ความพินิจพิจารณาทุกสิ่งทุกอยางที่เขามาสัมผัส
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๖
๔๓๗
สัมพันธกับอวัยวะหรือกับอายตนะของตน แมไมมีอะไรมาสัมผัสสัมพันธ เรื่องของจิตก็
ตองเปนจิต เรื่องสติตองเปนสติที่จําตองใช เรื่องปญญาก็เปนเรื่องปญญาซึ่งเปนธรรมจํา
เปนที่ตองใชรักษาตัว หรือแกไขถอดถอนสิ่งที่เปนภัยซึ่งมีอยูกับตัวอยูตลอดเวลา เพื่อ
ศาสนาจะไดเ จรญิ ทจ่ี ติ ใจ
เวลานจ้ี ติ ใจถกู ฝา ยตาํ่ เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายทง้ั วนั ทง้ั คนื ยนื เดนิ นง่ั นอน มาแตภพชาติ
ใดไมตองนับ เอาหลกั ปจจุบนั ของผมู าปฏบิ ตั ิธรรมดว ยเพศของพระเวลาน้ี ไปชั่งตวงกับ
เพศฆราวาสของตนมีแปลกตางกันอยางไรบา ง ตง้ั แตเ ปน ฆราวาสกบั มาเปน พระ ผลที่ได
ในความเปน พระซง่ึ แตก อ นทา นถอื วา เปน การประเสรฐิ เมื่อไดบวชในศาสนาแลวประพฤติ
ตนตามหลกั ศลี ธรรมของพระพทุ ธเจา แลว ทรงมรรคทรงผลขน้ึ มา ทานถอื เปน ความ
ประเสรฐิ ทนี ี้เราทรงอะไร หรือทรงแตความขเ้ี กียจขี้ครานความทอ แทอ อนแอ ทรงตั้งแต
กเิ ลส
กิเลสมนั เต็มอยแู ลว ความขี้เกียจขี้ครานก็เพิ่มขึ้นอีก ความเหน็ แกค วามเหนด็
เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา ความทอถอยออนแอ มันมีแตเรื่องของกิเลส ก็ยิ่งหนักเขาไป ๆ เพิ่มขึ้นไป
ๆ การที่จะถอดถอนกิเลสมีสงิ่ เหลานี้เปน ตน ออกจากภายในจิตใจ ใหเ กดิ ความหา วหาญ
ในการประพฤติปฏิบัติ กําจัดสิ่งชั่วชาลามกทั้งหลายใหหมดไปจากใจ ทําไมมันจะเปนการ
กลบั เพม่ิ ขน้ึ มาเชน น้ี ตองคิดตองอานนักปฏิบัติ ไมคิดไมอานไมได ยังไงจะตองตายจมอยู
น้ี ตายจมเกิดจม เอาใหดีดผึงซิ ถาไมอยากเกิดจมตายจมอีกตอไป
จิตใจถูกกดถวงเชนเดียวกับวัตถุตาง ๆ ที่มีอยูในโลกนี้ที่ถูกโลกดึงดูด ทนี ีจ้ ิตใจ
ของเราก็ถูกโลกคือกิเลสมันดึงดูดใหจม ดีดขึ้นไมได พระพุทธเจา พระสงฆส าวกทง้ั หลาย
ทานดีดพระองคขึ้น และดีดองคของทานขึ้น จนถึงขั้นอวกาศนอกสมมุติ วัตถุตาง ๆ ถา
พน จากความดงึ ดดู ของโลกแลว มีน้ําหนักขนาดไหนมันก็เทากันเพราะไมมีอะไรดึงดูด จติ
ใจของทานผูใดก็ตามถาไดหลุดพนจากความดึงดูดของโลก คอื กิเลสประเภทตา ง ๆ โดย
สน้ิ เชงิ แลว กเ็ ปน เชน นน้ั ไมน ยิ มวา ผใู หญผ นู อ ย ไมน ยิ มวา เปน หญงิ เปน ชาย ไมน ยิ มวา พระ
พทุ ธเจา และสาวก ถาไดดีดตัวขึ้นถึงขั้นอวกาศไดแกโลกุตรธรรม แดนแหง พระนพิ พาน
หรอื แดนแหง ธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว นตฺถิ เสยโฺ ยว ปาปโย ความยิ่งหยอนไมมีอะไรตางกัน
เลย
เราผปู ฏบิ ตั กิ เ็ ปน โอกาสอนั ดอี นั เหมาะสมเวลาน้ี อุตสา หพ ยายามประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
หนักก็ไมถอย เบาก็ไมถอย พนิ จิ พจิ ารณาเสมอ ระวงั การสวมรอยของกเิ ลส การแทรกซึม
ของกิเลสจะแทรกอยูทุกระยะที่เราเผลอเมื่อไร ตอ งสบั ยาํ เราเมอ่ื นน้ั สวนหมดั เราเมอ่ื นน้ั
จึงตองระมัดระวัง สติเปนของสาํ คัญ จงพยายามเอาจรงิ เอาจงั ใหเ หน็ ศาสนาเจรญิ ในใจเรา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๗
๔๓๘
ในครง้ั พทุ ธกาลศาสนาเจรญิ มีพระอริยบุคคลทุกประเภท หรือมสี มณะ ๔
ประเภท สมณะทีห่ น่ึง โสดาปตติมรรค สมณะที่สอง สกทิ าคามรรค สมณะทส่ี าม
อนาคามมิ รรค สมณะที่สี่ อรหตั มรรค อรหัตผล การประพฤติปฏิบัติเพื่อทรงสมณะตั้งแต
ขั้นต่ําจนถึงขั้นสูงสุด ศาสนาจงึ ไมผ ดิ อะไรกบั คาํ วา ตลาดแหง มรรคผลนพิ พาน สาํ หรบั ผู
ปฏิบัติตองไดตองถึง เพราะความจรงิ อยกู บั ใจของเราทกุ คน ถาแยกออกมาก็อยูกับกายกับ
ใจ สรปุ แลว กอ็ ยกู บั ใจ เพราะใจเปนผูจะรับผลทุกสิ่งทุกอยางในการกระทําของตน เนอ่ื ง
จากสง่ิ เหลา นเ้ี ปน เครอ่ื งมอื หรอื เปน ทางผา นเขา ไป ๆ ผา นเขา ทางกาย ผา นเขา ทางวาจา
หรอื ผา นเขา ทางอายตนะภายใน ทุกขก ็เปน สจั ธรรม สมทุ ยั กเ็ ปน สจั ธรรม นผ่ี า นเขา ทางใจ
เกิดขึ้นมาที่ใจ ผลิตทุกขขึ้นมาที่ใจ และแกไขกันที่ใจนี้
เมื่อจิตนี้ไดถายเทสิ่งสกปรกทั้งหลายออกเสีย แลว บรรจอุ รรถธรรมอนั สะอาดงาม
ของใจ สงบเยน็ ใจ สวา งไสวภายในใจ และเลศิ เลอภายในใจขน้ึ มาแทนทเ่ี ปน ลาํ ดบั จน
กลายเปน วา ใจกบั ธรรมเปน อนั เดยี วกนั แลว จะพดู วา ธรรมกไ็ ด พูดวาใจก็ได เปน ธรรม
ชาตทิ ป่ี ระเสรฐิ รอู ยา งชดั เจนภายในใจ ไมจําเปนตองใหผูหนึ่งผูใดมาบอกมาแนะวา เวลา
นท้ี า นรแู ลว ทา นเหน็ แลว ธรรมประเภทนน้ั เพราะธรรมประเภทนน้ั เปน สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก ผู
ปฏิบัติจะพึงรูเองเห็นเองดวยกัน ไมว า ครง้ั พระพทุ ธเจา หรอื สมยั ปจ จบุ นั น้ี ธรรมเปน ธรรม
ทค่ี งเสน คงวา ไมมีการเปลี่ยนแปลงยักยายไปเปนอื่น มจี รงิ อยูทงั้ ฝายเหตฝุ ายผล ขอให
ดาํ เนนิ ทางเหตใุ หเ ปน หลกั เปน เกณฑเ ปน เนอ้ื เปน หนงั เถดิ ผลที่จะพึงไดรับนั้นจะไมมีผูใด
มารบั แทนใจผกู าํ ลงั บาํ เพญ็ เหตเุ ตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ และเตม็ ภูมแิ หง เหตอุ ยูแลว
เวลาน้ี จะพงึ ไดร บั ผลโดยสมบรู ณข น้ึ ทต่ี วั เราเอง พรอมกับคาํ ที่วา สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก จะเกดิ ขึน้ ใน
ขณะเดียวกนั ไมมีบกพรองที่จะตองไปถามใครอีก
วนั นไ้ี ดอ ธบิ ายถงึ เรอ่ื งศาสนาเสอ่ื มศาสนาเจรญิ อธิบายไปไหนก็ตามเถอะ เราเปน
ผูฟงเพื่อเราทุกรูปทุกนาม ขอให โอปนยิโก นอ มเขา มาสตู วั เรา ศาสนาใดจะเจรญิ กบั ผใู ด
ก็ตาม จะเสื่อมกับผูใดก็ตามไมสําคัญ เพราะเสอ่ื มหรอื เจรญิ ทใ่ี จของเรา ศาสนาเสอ่ื มทเ่ี รา
เรากเ็ ปน ผยู อมรบั ทกุ ข ศาสนาเจรญิ ขน้ึ ทใ่ี จเรา เรากเ็ ปน ผเู สวยผลแหง ความสขุ ความเจรญิ
ของศาสนามากนอยภายในใจของตน
เราเปน ผรู บั ผดิ ชอบตวั เราเอง ใจเราเอง ไมมีผูหนึ่งผูใดมารับผิดชอบ ไมมีกาล
สถานทใ่ี ด ๆ มารับผิดชอบ เฉพาะอยางยิ่งความขี้เกียจขี้ครานความทอแทออนแอนั้น ไม
ใชผ มู าชว ยรบั ผดิ ชอบเรานะ ประเภทเหลา นม้ี แี ตเ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายใหเ ราลม จมไปโดย
ถา ยเดยี ว จงึ ควรเหน็ ภยั อยา งยง่ิ กบั สง่ิ เหลา นป้ี ระจาํ ใจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๘
๔๓๙
จงมีสติอยางเขมงวดกวดขัน ระมดั ระวงั เสมอ สตนิ น้ั แลจะเปน เครอ่ื งพยงุ สตนิ น้ั
แลจะเปน เครอ่ื งรกั ษาเราใหป ลอดภยั ปญญาแลเปนธรรมชาตทิ จ่ี ะฟาดฟน หนั่ แหลกส่งิ ที่
เปน ภยั ทง้ั หลายซง่ึ มอี ยรู อบใจ และคอยแทรกแซง คอยเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเราอยเู สมอ ให
แตกกระจายไปดว ยปญ ญาของเรานั้นแล จงเอาใหจ รงิ อวกาศเหนือโลกเปนยังไง อวกาศ
ของโลกเรากท็ ราบแลว อวกาศของธรรมเปนอยางไร พูดงาย ๆ อวกาศของจิตเปนอยางไร
ใหร ทู น่ี ่ี
การปฏบิ ตั ิและวิธีการทงั้ หมดทไี่ ดอ ธบิ ายมานี้ ที่ผานไปแลวก็ดี ปจจุบันนี้ก็ดี ก็
แสดงถงึ เร่ืองวธิ ีการดําเนนิ จิตใจ ใหพนสูอวกาศจากสมมุติโดยประการทั้งปวงอยาง
ประจักษใจ ทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยูนี้แล เอาใหเ หน็ ใหจ รงิ ใหจ งั อยา ลดละความเพยี ร
การอดนอนผอนอาหาร ทา นผูใดเหน็ เหมาะสมกบั จริตจิตใจของตนอยางไร หรอื
วิธีการตางๆ แหง การประกอบความพากเพยี ร ใหพึงสังเกต ไมอ ยางนัน้ ไมไดผลเทา ทคี่ วร
ไมไดผลคุมคา เหน็ วา วธิ กี ารใดเปน ทย่ี งั ผลประโยชนใ หเ กดิ คลอ งตวั กวา การกระทาํ ทง้ั
หลายวธิ กี ารทง้ั หลาย ก็ใหพึงสังเกตและพึงทําตามวิธีการนั้น การทําอะไรไมสังเกตจะไมได
ผลเทา ทค่ี วร
สวนมากผูปฏิบัติมักจะดีทางอดอาหารผอนอาหาร แตถารายไมถูกก็ไมควรฝน
เพราะการอดอาหารไมใ ชเ ปน การทาํ ลายกเิ ลส แตเ ปน อบุ ายวธิ ชี ว ยการทาํ ลายกเิ ลสโดย
ทางความเพยี ร ดว ยจติ ตภาวนา ศรัทธา ความเพยี รตา งหาก นี่เปนอุปกรณ เมื่อเห็นวาไม
เหมาะวธิ กี ารน้ี หรืออุปกรณอันนี้ไมเกิดประโยชน ก็ไมเอา หาวธิ ใี หม ถาถูกแลว เอา
เหมาะ นาํ มาใชเ พอ่ื เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ความเพยี รใหไ ดผ ลรวดเรว็ ดงั ใจหมาย นล่ี ะการ
ประกอบความเพียร จึงตองไดพิจารณาสังเกต อุบายแหงความเพียรทุกแงทุกมุมสังเกต
เสมอ ไมอ ยา งนั้นไมเขาใจ ดาํ เนนิ ไปสมุ สส่ี มุ หา ไมไดเรอ่ื ง ตองสังเกตตัวเองเสมอ
อดอาหารไมควรอดไปนานนัก จะทําใหเสียทางดานธาตุขันธ เราเปน ผรู บั ผดิ ชอบ
ทั้งฝายธาตุขันธและจิตใจ เราจงึ ควรพจิ ารณาตวั เรา ปฏบิ ตั ติ อ ตวั เองใหเ หมาะสม เพราะ
กิเลสอยางแทจริงนั้นไมไดอยูกับกาย มันอยูกับใจ แตอ าศยั กายเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ เชน
กายมีกําลังมาก การภาวนาไมคลองตวั อืดอาดเนอื ยนาย ดีไมดีจิตหาความสงบไมได ผูที่มี
ความสงบแลว กาํ ลงั ดาํ เนนิ ทางดา นปญ ญา ปญญาก็ไมคลองตัว พออดอาหารผอ นอาหาร
ลงไป จิตก็สงบไดงาย ปญญาก็คลองตัว เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ กนั อยา งน้ี แตไ มใ ชเ ปน ธรรม
ชาตทิ ฆ่ี า กเิ ลสเพราะการอดอาหาร นน้ั เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ตา งหาก ผูที่จะฆากิเลสก็คือสติ
กับปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร นเ่ี ปน วธิ กี ารโดยตรง ใหพึงสังเกตตวั เอง
<<สารบัญ การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร เอาละยตุ ิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๙
๔๔๐
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กนั ยายน พุทธศักราช ๒๕๒๕
ธรรมแทป รากฏทใ่ี จ
คาํ วา ธรรมมอี ยู บาปมีอยู บุญมีอยู นรกมีอยู สวรรคม อี ยู พรหมโลกมีอยู
นพิ พานมอี ยู และสตั วโ ลกทอ่ี ยใู นแหลง แหง สถานท่ี หรอื สง่ิ ทก่ี ลา วมาเหลา นท้ี ง้ั มวล ไมใช
คนธรรมดารู ไมใ ชค นธรรมดาทม่ี กี เิ ลสทง้ั หลายเหน็ กนั หู ตา จมกู ลน้ิ กาย ใจ ของคน
ธรรมดาหรอื สตั วท ว่ั โลก ไมม ใี ครจะอาจเอื้อมรูเหน็ ไดยิน และสมั ผสั สมั พนั ธก บั สง่ิ ทก่ี ลา ว
มาเหลา นไ้ี ดเ ลย มีพระพุทธเจา และสาวกอรหนั ตท า นซง่ึ เปน ผวู เิ ศษ จติ สวางกระจางแจง
เพราะความเหนอื สง่ิ เหลา นแ้ี ลว จงึ สามารถเหน็ สง่ิ ทก่ี ลา วมาเหลา นไ้ี ด ถาพูดถึงนิพพาน
จติ ของทา นเปน นพิ พานโดยสมบรู ณแ ลว จงึ ไดน าํ มากลา วมาแนะนาํ สง่ั สอน
ธรรมทงั้ มวลที่พระพทุ ธเจาทรงรูทรงเห็น และสิ่งทั้งปวง สถานที่ทั้งมวลดังกลาว
มาน้ี ซึ่งเปนสิ่งที่พระพุทธเจาทรงรูทรงเห็น สัตวทั้งหลายไมสามารถจะรูจะเห็นจะเชื่อถือได
ในขน้ั เรม่ิ แรก ตองไดเริ่มชี้แจงไปตามภูมิตามฐานแหงอุปนิสัยของสัตวโลกไปกอน จนกวา
จะมีเครื่องมือพอสามารถทราบไดเปนขั้นเปนตอน แตละสิ่งละอยางได
เพราะฉะนนั้ สิง่ ทกี่ ลาวมาท้งั มวลน้ี จึงเปนสิ่งที่สุดวิสัยของโลกจะรูจะเห็นจะเชื่อถือ
ได เพราะไมมีรายใดไปพบไปเจอไปรูไปเห็นมา พอจะนาํ สง่ิ ทต่ี นรตู นเหน็ นน้ั มาพดู มาเลา
ใหเพื่อนฝูงฟงกัน จะเปน รายใดกต็ ามในแหลง แหง โลกธาตนุ ้ี ไมมีแมแตรายเดียว มพี ระ
พทุ ธเจา เทา นน้ั เปน พระองคแ รกทท่ี รงรทู รงเหน็ ท้ังบาปทัง้ บุญท้งั นรกท้งั สวรรคเปรตผีตาง
ๆ ในภพนอ ยภพใหญ ซึ่งเปนไปตามวิบากของตน ๆ ตลอดถึงขั้นสูงขึ้นไป เทวบตุ ร
เทวดา สวรรคช น้ั พรหมโลก มพี ระพทุ ธเจา เทา นน้ั เปน ผทู รงรทู รงเหน็ และเปน ผแู นะนาํ สง่ั
สอนใหเขาใจตามกําลังความสามารถของตนจะพึงเขาใจได
ดว ยเหตนุ ้ี ธรรมะจึงเขาสูจิตใจของสัตวโลกไดยาก เพราะไมเ คยรเู คยเหน็ จะให
เชื่อกันงายดายอยางไรได สงิ่ ท่ีรทู เี่ ห็นส่งิ ท่ีสมั ผสั สัมพันธห รอื คลกุ เคลากนั อยูตลอดเวลา
ในภพชาตติ า ง ๆ มาตั้งกัปตั้งกัลปก็คือความมืดบอด และสิ่งที่รูที่เห็นที่สัมผัสสัมพันธได
อยูในวิสัยของตนจะพึงรูพึงสัมผัสเทานั้น สัตวโลกจึงจะเชื่อไดสนิทใจ เชน ตากส็ ามารถจะ
มองเหน็ ไดใ นรปู หรอื สแี สงตา ง ๆ วิสัยของตาก็มีเพียงเทานั้น หูก็เพียงฟงเสียง อยางมาก
ก็มีเครื่องมือชวย ตาอยางมากก็มีเครื่องมือชวยไปเพียงเล็ก ๆ นอย ๆ เครอ่ื งมอื เหลา นน้ั
ก็อยูในวิสัยของสมมุตินี้ จมูก ลน้ิ กายมีแตสัมผัสสัมพันธกับสิ่งที่อยูในวิสัยของตน ไมนอก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๐
๔๔๑
เหนือไปจากนี้ได ใจแมจ ะเปน ความรู เรยี กวา เปน พน้ื ฐานแหง ตวั รอู ยแู ลว กต็ าม แตใ จดวง
นี้ก็ถูกปดบังหุมหออยูกับสิ่งมืดมิดปดตาทั้งหลาย จงึ รแู บบทท่ี า นวา อวชิ ชฺ าปจฺจยา หรอื วา
อวชิ ชา รกู ร็ แู บบฝา ๆ ฟาง ๆ ไมรูเตม็ หเู ต็มตาเตม็ ดวงใจจริง ๆ รแู บบฝา แบบฟาง ไมรู
เตม็ เมด็ เตม็ หนว ยเตม็ อตั ราแหง ความรจู รงิ ๆ ธรรมจึงเขาสจู ิตใจของโลกไดย ากเพราะ
เหตเุ หลา นแ้ี ล
ผูที่มาประกาศสั่งสอนโลกก็มีพระพุทธเจาเพียงพระองคเดียวในขั้นเริ่มแรก คน
ทั้งโลกสัตวทั้งโลก เคยเชอ่ื สง่ิ ทส่ี มั ผสั สมั พนั ธก นั มาแลว และนมนาน ตางคนตางสัมผัส
สัมพันธในสิ่งที่อยูในวิสัยของตนดวยกัน เมือ่ พูดสง่ิ เหลานีส้ ูกนั ฟง โลกทั้งหลายก็เชื่อกันได
งา ย เพราะอยใู นวสิ ยั ของตนทีร่ ูที่เห็นที่ควรจะเชอ่ื ไดห รอื เชื่อได ยอมเชื่อไดอยางงายดาย
แตส ิง่ ท่ีมีอยนู อกเหนือจากน้ซี งึ่ เปน สิ่งทีต่ นไมเ คยรูเคยเหน็ แมจะมีผูมาชี้แจงบอกสอน
อยางชัดเจนหรือแจมแจงอยางไร จิตใจก็ยังเปดรับไมไดสนิท เพราะสิ่งที่ปดบังจิตใจไมให
เปด รบั ความจรงิ คอื ธรรมทง้ั หลายนน้ั มันปดสนิทอยูภายในใจ ไมม กี าลสถานทเ่ี วลาํ่ เวลา
เลย จงึ เปน สง่ิ ทย่ี ากมากสาํ หรบั สตั วโ ลก ที่จะเปดสิ่งปดบังหุมหอกีดขวางรัดรึงอยูภายในใจ
นี้ออกไดทีละเปลาะสองเปลาะ ทลี ะกา วสองกา ว จงึ เปน ความลาํ บากมาก เพราะสง่ิ เหลา น้ี
เปน ประหนง่ึ วา อวยั วะเดยี วกนั กบั ทงั้ รางกายและจิตใจของสตั วแตล ะรายๆ ทั้ง ๆ ทส่ี ง่ิ
เหลานี้เปนของปลอมไมใชของจริง เพียงแฝงของจริงอยูเหมือนกาฝากเทานั้น
ใจแทน น้ั จรงิ แตสิ่งที่เคลือบแฝงอยูกับใจนั้นปลอม ตานน้ั เหน็ ไดจ รงิ แตสิ่งที่
เคลือบแฝงใหพาหลงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย เมื่อสมั ผัสสมั พันธน้นั มนั
ปลอม และอยูอีกฉากหนึ่ง คืออยูฉากหลัง จึงมองเห็นอะไรไปในทางบดิ เบอื นความจริง
โดยใหเ ปน ไปดว ยความรกั ความชงั ความเกลยี ด ความโกรธ ไมไ ดเ ปน ไปตามหลกั ธรรม
ชาตแิ หง ความจรงิ ในสิ่งที่ตนไดเห็นไดยินไดฟงอยางเต็มเม็ดเต็มหนวย และเตม็ ตาม
ความจรงิ เลย
คาํ วา ธรรม ๆ แมจะอยูตลอดอนันตกาลและมีอยูในที่ทั่วไปก็ตาม สัตวโลกก็ไม
สามารถปรบั เครอ่ื งรบั ธรรมทง้ั หลาย คอื ใจใหเ ขา สธู รรมขน้ั ตา ง ๆ ได ธรรมจงึ เปน ของ
ลาํ บากสาํ หรบั โลกทจ่ี ะสมั ผสั สมั พนั ธไ ด ตอเมื่อไดยินไดฟงจากพระพุทธเจา ซง่ึ ทรงรทู รง
เหน็ เตม็ พระทัยไมส งสยั ทรงแสดงหลายครง้ั หลายหน สง่ิ ทร่ี บั ทราบคอื ใจ และปรับปรุงตัว
ไปในขณะที่ไดยินไดฟงโดยสม่ําเสมอ สิ่งที่ปดบังทั้งหลายก็ยอมเบาบางลงและจางออกไป
ๆ ถา เปน เมฆหนา ๆ มืด ๆ ทึบ ๆ ก็คอยจางออกไป กระจายออกไป มองเหน็ ทศิ เหน็ ทาง
ไดพอประมาณ นแี่ ลการไดยินไดฟ ง แมจะเปนกระแสแหงธรรมที่แสดงออกจากพระพุทธ
เจา กต็ าม จากพระสาวกทั้งหลายก็ตาม ซ่ึงเปน อาการแหง ธรรมทง้ั นั้นก็จรงิ แตเมื่อไดฟง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๑
๔๔๒
อาการแหง ธรรม กระแสแหง ธรรม ซึ่งเตม็ ไปดวยเหตุดวยผล ท่จี ะยงั สตั วท ัง้ หลายใหเขาสู
ความจริงได ใจของสตั วโลกยอมจะเขาสคู วามจรงิ ไดเปนลาํ ดับ เพราะการไดยินไดฟงอยู
โดยสมาํ่ เสมอ
หากเราจะพจิ ารณาธรรมดา โดยเอาสงิ่ เลวทรามที่ฝง ใจ และเปนเจาอาํ นาจน้อี อก
มาคิดมาปรุงกัน กด็ งั ทเ่ี คยคดิ เคยปรงุ มาแลว กง็ า ย จะคดิ วา ธรรมมอี ยทู ว่ั ไปตามคมั ภรี ใ บ
ลาน ตามวดั ตามวา ครบู าอาจารยแ นะนาํ สง่ั สอนมเี ตม็ ไปหมด อยางนี้ก็งาย แตว า ธรรมท่ี
จะใหเ ปน ประโยชนใ หส มั ผสั สมั พนั ธก บั ใจ ใหต น่ื เตน ใหสะดุดใจ ใหเ กดิ ความเชอ่ื ความ
เลื่อมใส ใหเ กิดความกระหย่ิมอ่ิมเอบิ ใหเกิดความพอใจ ใหเ กดิ ความสขุ เปน ขน้ั เปน ตอน
ไป เปนสิ่งที่สัมผัสสัมพันธไดยาก ถาไมไดประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจา
จรงิ ๆ แลว ธรรมแทด งั ทก่ี ลา วมาเหลา น้ี จะไมส มั ผสั สมั พันธจติ ใจเลยต้งั แตวันเกิดจน
กระทัง่ วนั ตาย จะเกิดเปลา ๆ เหมอื นตนไมใ บหญา เกดิ ขึน้ มา และตายทงิ้ เปลา ๆ เหมอื น
ตน ไมใ บหญา ตายนน้ั แล คณุ สมบัตทิ จี่ ะนํามาทาํ ประโยชนอะไรไมป รากฏ
รางกายและตวั ของเราทัง้ รา งทัง้ ตวั น้ี ก็จะเปน เชนนัน้ เกดิ แลว ตายเลา ตายแลว
เกดิ เลา ก็ไมผิดอะไรกับวัตถุตาง ๆ ที่เกิดที่ตายกันเกลื่อนโลกอันนี้ ถา ไมเ สาะแสวงหาสาร
ธรรมเขา สจู ติ ซง่ึ เปน สาระสาํ คญั คือการปรับปรุงจติ ของตนใหเขาสรู ะดบั อนั ควรสมั ผสั
สัมพันธธรรมแทได ดว ยการปฏบิ ตั เิ สยี แตบ ดั น้ี เราจะไมม ที างรเู หน็ ไมม คี วามเปน สาระ
แกตน ไมเปนที่อบอุนภายในใจของตนไดเลยตลอดไป
พวกเราไดม าบวชในพระพทุ ธศาสนา ไมเพียงแตไดนับถือศาสนา ยงั ไดบ วชและ
ไดป ฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนธรรมดว ย ไดเปนนักบวชและนักปฏบิ ัติดว ย ซึง่ เปนเพศที่ควรกาว
เขาสูแดนสัมผัสสัมพันธธรรมไดตามขั้นตามภูมิของธรรม ตามกําลังความสามารถของตน
จึงควรกระตือรือรนในการประพฤติปฏิบัติตน ตามเพศและโอกาสอาํ นวย อยา ประมาท
นอนใจ
คาํ วา ธรรม เรม่ิ ตน แตส มาธธิ รรม นแ่ี ลธรรมทจ่ี ะสมั ผสั สมั พนั ธใ หเ หน็ ชดั เจนภาย
ในใจ การใหท าน การรกั ษาศลี กเ็ ปน ผลปรากฏในใจ แตย ังไมเ ดนชดั ในความรคู วามสะดุด
ใจเหมอื นสมาธธิ รรม ปญ ญาธรรม ตามขั้นของธรรมนั้น ๆ จนถึงขั้นวิมุตติธรรม ธรรมนี้
เปนธรรมแทซึ่งจะสัมผสั รบั รูทใ่ี จแหง เดียว ชื่อของสมาธิก็ไมใชธรรมแท ชื่อของปญญาก็
ไมใชธรรมแท ชื่อของวิมุตติหลุดพนหรือพระนิพพานก็ไมใชธรรมแท ธรรมแทคือสิ่งที่
สัมผัสกับใจของผูปฏิบัติ วา ใจสงบเปน สมาธเิ ปน ตน ชอ่ื วา ใจไดเ รม่ิ สมั ผสั สมั พนั ธธ รรม
แลว สมาธขิ ้ันใด มคี วามสงบเยน็ ใจขนาดไหนกท็ ราบไดช ดั ภายในใจ นค่ี อื ธรรมแท แมจ ะ
เปน ขน้ั แหง ธรรมทย่ี งั ตาํ่ ยงั หยาบอยู แตก เ็ ปนธรรมแทในขัน้ นแี้ ละขน้ั ตอไปเปน ลาํ ดบั เชน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๒
๔๔๓
เดยี วกบั ธนบตั รใบละสบิ บาท ยส่ี บิ บาท ใบละรอ ยบาท หา รอ ยบาท เปน ธนบตั รจรงิ ไปตาม
ๆ กัน มคี ณุ ภาพตามลาํ ดบั ลาํ ดาของธนบตั รชนดิ นน้ั ๆ
ธรรมแทก เ็ ปน เชน นน้ั เหมอื นกนั คาํ วา สมาธธิ รรม เรม่ิ แรกตง้ั แตจ ติ ไดร บั ความ
สงบ เพราะการภาวนา การอบรมจติ ใจ การรกั ษาจติ ใจ บาํ รงุ จติ ใจดว ยสติ คลี่คลายสิ่งที่
ปด บงั หมุ หอ ภายในจติ ใจดว ยปญ ญาโดยสมาํ่ เสมอ สมาธธิ รรมก็เริ่มปรากฏขนึ้ คาํ วา สมาธิ
เรม่ิ ปรากฏกค็ อื ความสงบเยน็ ใจ ความมั่นคงของใจ ความมีหลักฐานของใจ เรม่ิ ปรากฏขน้ึ
เปน ลาํ ดบั นน่ั แล
การพจิ ารณาทางดา นปญ ญา คอื การคลค่ี ลายสง่ิ ทร่ี ดั รงึ ภายในจติ ใจดว ยอาํ นาจ
แหงอุปาทาน เพราะเปน สาเหตทุ ม่ี าจากความลมุ หลง พงึ คลค่ี ลายลงไปตามหลกั ความจรงิ
ใหเ หน็ ชดั ดว ยปญ ญาโดยลาํ ดบั อุปาทานซึ่งเปนสิ่งที่หนักมากยิ่งกวาภูเขาทั้งลูกทับใจอยู
ตลอดเวลานน้ั จะคอยคลายตัวออกไปตามปญญาที่หยั่งเขาถึง เพราะความรคู วามเขา ใจ
ดว ยปญ ญาทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการพจิ ารณานน้ั แล จะเปน สง่ิ ทค่ี ลค่ี ลาย และแกสิ่งที่มัดตรึงจิตใจ
ไวออกไปได เมอ่ื ปญ ญาปรากฏข้นึ ยงั ผลใหจ ติ ไดร บั ความเบาบางมากนอ ย กท็ ราบไดช ดั
วาธรรมแทที่เกิดขึ้นจากดานปญญา ไดป รากฏขน้ึ แลว อยางนี้
ปญญามีหลายขั้น การพจิ ารณาในขน้ั เรม่ิ แรกจะไมส ะดวก ฝด ๆ เคอื ง ๆ ขดั ๆ
ของ ๆ เพราะเปน งานทไ่ี มเ คยทาํ และไมเ คยเหน็ ผล การเรม่ิ แรกพจิ ารณายอ มแฝงไปดว ย
ความขเ้ี กยี จ แตพ จิ ารณาหลายครง้ั หลายหน ปญญาก็ยอ มมคี วามราบรืน่ มคี วามคลอ ง
แคลว แกลว กลา ฉลาดแหลมคมขน้ึ ไปเรอ่ื ย ๆ ผลที่จิตไดรับจากปญญาเปนผูถอดผูถอน ผู
เบิกทางอันรุกรังดวยกิเลสอุปาทานทั้งหลายออกไดนั้น ยอมกระจางแจงขึ้น แสดงผลให
เหน็ อยา งชดั เจนภายในใจ สมาธธิ รรมกป็ รากฏขน้ึ แลว ทใ่ี จ ปญ ญาธรรมกเ็ รม่ิ ปรากฏขน้ึ
แลว ทใ่ี จไมป รากฏทไ่ี หน ๆ ในอวัยวะทั้งมวลนี้ไมใชภาชนะของธรรม มจี ติ ดวงเดยี วเทา นน้ั
เปน ภาชนะของธรรม และเปนภาชนะท่ีเหมาะสมอยา งยงิ่ ไมมีอะไรเสมอเหมือน
เพราะฉะนน้ั ทานจงึ สอนใหอ บรมจิตใจโดยทางท่ีถกู มจี ติ ตภาวนาเปน ตน จนสติ
ปญญาซึ่งไดรับการอบรมมาไมหยุดไมถอย และฝก หดั คน ควา จนมคี วามคลอ งแคลว ภาย
ในตวั แลว สิ่งที่ปดบังหุมหอภายในจิตใจมากนอยนั้นเกี่ยวโยงมากับอะไร สตปิ ญ ญาจะ
สามารถคน ตลบทบทวนในสาเหตทุ เ่ี กย่ี วโยงนน้ั เขา ไป และตัดขาดไปไดเปนวรรคเปนตอน
ผลของปญญาก็คือจิตเปนผูรับ ผลนน้ั จะเกดิ ความสวา งไสวขน้ึ ภายในใจ
สรปุ ความลงในขอสดุ ทา ยแหงยอดธรรมเคร่ืองกาํ จัด ก็คือสติปญญานั้นแล เปน
เครอ่ื งกาํ จดั ฟาดฟน หน่ั แหลกสง่ิ รกรงุ รงั ทง้ั หลายภายในใจอนั เปน สว นละเอยี ด ใหแตก
กระจายหายสูญไปหมดไมมีเงื่อนตอ ไมเกี่ยวโยงกับสิ่งใดอีก คือไมเกี่ยวโยงกับรูป กบั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๓
๔๔๔
เสยี ง กบั กลน่ิ กบั รส กบั เครอ่ื งสมั ผสั ตา ง ๆ อนั เปน สว นภายนอก และไมเกี่ยวโยงไมผูก
พันกับรูปคือกายของตน ไมผูกพันกับนามธรรมคือ เวทนา สขุ ทุกข เฉย ๆ สญั ญา ความ
จาํ ไดห มายรู สงั ขาร ความคดิ ความปรงุ วญิ ญาณ ความรบั ทราบ ในเมอ่ื สง่ิ ตา ง ๆ เขามา
สัมผัสสัมพันธทางอายตนะ ไมมีความเกี่ยวโยง ไมม กี ารประสาน ตัดขาดจากกันไมมีเงื่อน
สืบตอกอแขนง ทั้งอายตนะภายนอก คือ รปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ตัดขาดทั้ง
อายตนะภายใน คือ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย แมจิตก็รูเทาตัวเอง คือตัดขาดภายในจิตอีกดวย
ไมมีเงื่อนตอใดเลย นน่ั แลทา นเรยี กวา ธรรมเลศิ
ธรรมแทเกิดขึ้นที่ใจ สถิตอยูที่ใจ อยูที่ไหนก็ไมมีคําวา กาล สถานท่ี ที่จะไมอยูกับ
ธรรมเลศิ ประเภทน้ี เพราะใจกบั ธรรมเปน อนั เดียวกนั แลว นแ่ี ลทา นเรยี กวา ธรรมประเสรฐิ
ปรากฏขน้ึ ทใ่ี จ และไมว าธรรมขน้ั ใดจะปรากฏข้นึ ทีใ่ จทั้งน้นั ที่อยูภายนอกใจมีแตชื่อของ
ธรรม ชื่อของกิเลส ดงั ในตาํ ราในคมั ภรี ท า นจารกึ ไว เชน สมาธธิ รรม ปญ ญาธรรม วิมุตติ
ธรรม และกเิ ลสประเภทตา ง ๆ เปนตน เหลา นเ้ี ปน ชอ่ื ของกเิ ลสบาปธรรมทง้ั หลาย ไมใช
ธรรมแทด งั ท่ีอยใู นจติ ธรรมที่กลา วมาทั้งมวลนี้ก็มีพระพทุ ธเจาพระองคเ ดียวเปนผทู รงคน
พบ รูเห็นทุกแงทุกมุม แลว นาํ มาสอนโลกใหร ตู ามเหน็ ตาม
ใจเปนความรสู กึ ประจําตน และเคยเกี่ยวของพัวพนั กับสมมุตนิ ยิ มทง้ั หลาย เนอ่ื ง
จากใจยงั เปน สมมตุ ิ เนือ่ งจากใจยงั เปน กเิ ลสเตม็ ตวั สัมผัสสัมพันธกับสิ่งใดจึงเปนเรื่อง
ของกิเลสไปทั้งมวล คือเปนเรื่องผูกมัดรัดรึงตัวเองทั้งสิ้น ไมวาจะสัมผัสสัมพันธทางตา
ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย อารมณภ ายในใจ เกี่ยวกับเรื่องอดีตอนาคต แมก บั
ปจ จบุ นั กต็ ดิ ติดไปหมด พัวพันไปหมด จงึ ไมส ามารถรธู รรมทง้ั หลาย ของจรงิ ทั้งหลายได
เพราะสง่ิ เหลา นม้ี อี าํ นาจปกคลมุ หมุ หอ รอบดวงจติ ทั้งขณะไดเห็นไดยินไดสัมผัสสัมพันธ
ตา ง ๆ จนกระทง่ั อารมณท ค่ี ดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจ ก็เต็มไปดวยสิ่งผูกพันรัดรึงทั้งนั้น จิตใจจึง
หาอิสระไมได
เมื่อจิตเต็มไปดวยสิ่งกดขี่บังคับอยูแลว จะมองเห็นความจริงไดอยางไร ใจสมั ผสั
สัมพนั ธอ ยกู ับส่ิงเหลา นต้ี ลอดเวลา คาํ วา ธรรมจะปรากฏขน้ึ ภายในใจไดอ ยา งไร ธรรมไม
ใชป ระเภทเหลา น้ี ประเภทเหลานี้เปนเรื่องของสมมุตินิยมของกิเลสทั้งมวล ประเภทเหลา
น้ีเปน เครื่องปดจติ ปด ใจตางหาก ไมใชประเภทที่เปดเผยหรือถอดถอนจิตใจออกจากกิเลส
แลกองทุกข จงฉุดลากสิ่งเหลานี้ออกใหได จะมองเห็นใจเห็นธรรมไดอ ยา งชัดเจน
ธรรมเปน ธรรม เมอ่ื นาํ มาปฏบิ ตั จิ งึ ปรากฏขน้ึ ภายในจติ ใจ ดังพระพุทธเจาทรง
แสดงเรื่องบาปมีอยู ใครไมท ราบและไมเช่อื กต็ าม บาปนี้ก็เปนของมีอยูดั้งเดิม บญุ เปน
ของมีอยูดั้งเดิม บาปก็คือความทุกขของสัตว บุญก็คอื ความสุขของสัตวของคนน้ันแล นรก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๔
๔๔๕
เปน สถานทีอ่ ยแู หงผมู วี บิ ากกรรมอันช่ัว สวรรคเ ปน สถานทอ่ี ยแู หง ผมู วี บิ ากกรรมอนั ดี
พรหมโลกกเ็ หมอื นกันเปน ชัน้ ๆ ขึ้นไป เปนที่อยูของผูมีวิบากกรรมอันดี นพิ พานเปน ทอ่ี ยู
ของทานผูบริสุทธิ์ สง่ิ เหลา นใ้ี ครจะรใู ครจะเหน็ ไดเ ลา เพราะไมม เี ครอ่ื งมอื ใจไมส วา ง
กระจา งแจง ใจไมพนสิ่งปกปดกําบังทั้งหลาย มองก็มองไปดวยความมืดบอดที่กิเลสปดบัง
ตาใจไว บุญจะมี บาปจะมีอยูตั้งกัปตั้งกัลปก็หาไดรูไดเห็นไม หาไดพบไม ทั้ง ๆ ทีบ่ ญุ บาป
ก็สัมผัสสัมพันธอยูกับใจนั้นแล ใจกไ็ มท ราบไดว า สง่ิ เหลา นม้ี ี ทา นจงึ เรยี กวา โลกันตสัตว
สัตวที่อยูดวยความมืดบอดไมมีหลักประกันตัว ไมมีธรรมเครื่องประกันใจ อยูหรือไปแบบ
ยถากรรม ราวกับปลาที่ถูกขังอยูในหมอฉะนั้น
พระพทุ ธเจา เปน ผสู ามารถทราบหลกั ความจรงิ การตรสั รธู รรม ตรสั รตู ามหลกั
ความจรงิ ไมใชตรัสรูดวยความจอมปลอม สิ่งใดที่มีอยูเปนอยู จึงทรงยอมรับตามความมี
อยูเปนอยูของสิง่ เหลา นั้น และสั่งสอนโลกตามสิ่งที่มีที่จริงนั้น ๆ ดว ยเหตนุ ค้ี าํ วา บาปมีอยู
บุญมีอยู นรกมีอยู สวรรคม อี ยู พรหมโลกมีอยู จึงทรงแสดงตามสิ่งที่มีอยูทั้งหลาย ไมมี
ศาสดาองคใ ดจะไปลบลา งสง่ิ มอี ยทู ง้ั หลายเหลา น้ี ใหสูญหายไปจากความมีอยูของตนได
นอกจากจะแนะนาํ สง่ั สอนสตั วโ ลกในสง่ิ ทค่ี วรละทเ่ี หน็ วา เปน ภยั ในสง่ิ ทค่ี วรบาํ เพญ็ ทเ่ี หน็
วา เปน คณุ เพื่อสิ่งและสถานที่ที่พึงหวังจะไดเปนสมบัติของตนเทานั้น มแี ตก ารแนะนาํ สง่ั
สอนอยา งนเ้ี ปน แบบเดยี วกนั ในบรรดาพระพทุ ธเจา ทง้ั หลายทม่ี าตรสั รใู นแดนโลกธาตนุ ้ี
แตละพระองค ๆ พระโอวาทจึงไมขัดแยงกันแตกาลไหน ๆ มา
ยกตวั อยา งในพระโอวาทยอ ๆ วา สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไมท าํ บาปหยาบชา ทง้ั
ปวงหนง่ึ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา การยังกุศลคือความฉลาดใหถึงพรอมที่ใจหนึ่ง สจิตฺตปริ
โยทปนํ การชําระจติ ใจของตนใหผ อ งแผว จนถึงความบริสุทธ์หิ นึ่ง เอตํ พทุ ธฺ าน สาสนํ นน่ั
คือคําสงั่ สอนของพระพุทธเจา ทง้ั หลายทรงสอนไวเ ปน แบบเดียวกนั อยางนี้ เพราะการตรสั
รธู รรมนน้ั ตรสั รสู ง่ิ ทม่ี อี ยเู หน็ อยู ไมไดอุตริไปตรัสรูในสิ่งที่ไมมีไมเปน การส่ังสอนจงึ สง่ั
สอนตามสิ่งที่มีที่เปน ทน่ี ย่ี น เขา มา เพราะธรรมใกลก ม็ ไี กลกม็ ี เหมือนสมมุติในโลกมีทั้ง
ใกลทั้งไกล มีทั้งในทั้งนอก
ทน่ี ย่ี น เขา มาถงึ เรอ่ื งทว่ี า บาปมอี ยู สาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั มิ อี ยทู ไ่ี หนบาปนะ สิ่งที่เปนพื้น
ฐานเปนที่บรรจุของบาปคืออะไร อะไรเปน สถานทห่ี รอื เปน ทบ่ี รรจขุ องบาปผสู รา งบาปคอื
อะไร กใ็ จนน่ั แลเปน สถานทเ่ี ปน โรงงานสรา งบาปผลติ บาปขน้ึ มา เพราะกเิ ลสอยทู ใ่ี จและ
เปน ผบู งั คบั ใหส รา งบาปขน้ึ มา ทา นบอกวา กเิ ลสเปน สาเหตใุ หท าํ กรรม เมื่อทํากรรมแลว
ยอมไดรับผลของกรรม ทา นจงึ ใหช อ่ื วา กเิ ลสวฏั ฏ กัมมวัฏฏ วปิ ากวฏั ฏ เรยี กวา วฏั วนสาม
สัตวโลกตอ งวกเวยี นกนั ไปมาอยเู ชนน้ีไมมีส้ินสดุ ไมมีตนไมมีปลาย เหมือนมดแดงไตขอบ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๕