The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-19 22:53:25

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

Keywords: เข้าสู่แดนนิพพาน,หลวงตามหาบัว

๓๙๖

ญา และ ขิปฺปาภิฺญา ไดเ ลย คอื รไู ดเรว็ กต็ าม รไู ดช า กต็ าม จะไมมีวันรูไดทั้งสองอยาง
นอกจากหลงไปเลยจมไปเลย อันนี้เปนผลของปฏิปทาแบบนอนจม

จงดูจิตของตัวเองวาฝาฝนธรรมมากนอยเพียงไร นน่ั แหละวธิ กี ารปฏบิ ตั ติ นจะ
ตองปฏิบัติใหพอ ๆ กนั กบั ความฝน ของจติ ตามธรรมดาจติ ยอ มฝน ธรรม และไหลไปตาม
โลกคอื กเิ ลสโดยลาํ ดบั ไมม ีคาํ วา ยบั ย้งั ชง่ั ตวงประการใดเลย เพราะทางของกเิ ลสมนั ราบ
รน่ื มาก เนอ่ื งจากทางนเ้ี ปน ทางทเ่ี คยเปน มาประจาํ ภพประจาํ ชาตจิ นนบั ไมถ ว น แตการท่ี
จะฝน จติ ใจจากภพจากชาตนิ ้ี มันตองไดฉุดไดลาก

เพราะฉะนน้ั จติ ใจจึงไมชอบธรรม เพราะกเิ ลสไมพ าใหช อบ นอกจากพาให
เกลยี ดอยเู ปน ประจาํ ถา ธรรมอยูจดุ ใด ใจไมช อบในจดุ นน้ั ธรรมบอกสอนวา อยา งไรใจมัก
ฝน อยูเ สมอหรอื ฝนเสมอ เพราะใจนน้ั เปน ใจทก่ี เิ ลสเปน เจา ของ ไมใ ชธ รรมเปน เจา ของ
กเิ ลสเคยเปน เจา ของมากอ นแลว และมีกําลังรอบตัวคือรอบจิตอยูตลอดเวลา นาน ๆ เรา
ถึงจะฝนสักนิดหนึ่ง ๆ จึงไมพอกับกําลังของกิเลส ทมี่ ันฝก ซอมบนหัวใจเราอยูตลอดเวลา

ดวยเหตุนจี้ งึ ตอ งคาํ นึงถงึ พระพทุ ธเจาและสาวกทที่ า นดาํ เนนิ มา ทุกขขนาดไหน
สาํ หรบั พระพทุ ธเจา จะทรงเปน สยมั ภู คอื รเู องเหน็ เองนน้ั ยอ มเปน ความยากความลาํ บาก
อยูโดยดี เพราะไมม ผี หู นง่ึ ผใู ดชแ้ี นะแนวทางให สว นสาวกไดร บั การชแ้ี จงแนะนาํ จากพระ
พุทธเจามาดว ยดแี ลว จงึ เรยี กวา สาวก แปลวา ผสู ดบั ผฟู ง ผไู ดร บั การแนะนาํ จากพระ
พุทธเจา แมเ ชน นน้ั เวลามาปฏบิ ตั ิ ทา นยงั ตอ งลาํ บากลาํ บน กเ็ พราะความฝน ของกเิ ลส
ความตอสูของกิเลส ความขัดขวางของกิเลส ไมใหเปนไปตามรองรอยของธรรมนั่นเอง จติ
จงึ ไดเ ปน เชน นน้ั เปน แตเ พยี งวา ผไู ดท ราบการแนะแนวทางมาแลว แมจ ะยากลาํ บาก การ
ฝนก็ฝนไปในทางที่ถูกที่ดีตามหลักธรรมที่ไดรับจากพระพุทธเจามาแลว

จึงกลาพูดวา กจิ การงานการใด ๆ ก็ตาม ใครจะวา ยากวา ลาํ บากทกุ ขท รมานเพยี ง
ไร เมื่อมาเทียบกับงานถอดถอนหรือรื้อถอนกิเลส ทําลายกิเลสออกจากจิตใจแลว งานนจ้ี งึ
เปน งานหนกั เหนอื งานใด ๆ ทั้งนั้น ผูไมทราบ ผไู มเ คยดาํ เนนิ ผไู มเคยทํางานประเภทนี้
อยางเอาจริงเอาจังเพื่อผลประโยชนอันยิ่งใหญ จะไมม ที างทราบไดเ ลยวา งานนเ้ี ปน งานท่ี
หนกั มาก ความหนกั กห็ นกั ความใชค วามพนิ จิ พจิ ารณาละเอยี ดลออ ก็ตองพิจารณา
ละเอียดลออมากเกินกวากิเลสจะตามทัน เกินกวากําลังของกิเลสตอสูไดกิเลสจึงจะยอม
หมอบราบลง ตามปกตสิ ง่ิ เหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทม่ี อี าํ นาจ เปน สง่ิ ทก่ี ลอ มจติ ใจใหเ คลบิ เคลม้ิ หลง
ใหลมาเปน ประจาํ อยแู ลว ทําไมจะไมแกไมถอดถอนยาก ตองเปนของยาก

เรากพ็ งึ ทราบนสิ ยั ของเรา เมอื่ การตอ สยู าก ไดผ ลมากนอ ยเพียงไรเปนเครอื่ ง
ตอบแทน เราพงึ จบั เอาผลนน้ั แลเปน เครอ่ื งพสิ จู นใ นการดาํ เนนิ เหตใุ หห นกั มอื เขา ไป หาก

เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๖

๓๙๗

ไมเ ชน นน้ั จะไมเ ขา อกเขา ใจในธรรมทง้ั หลายเลย และจิตนี้ก็จะไมพนเปนที่อยูที่ฝงจมและ
ที่ขับถายของกิเลสตลอดไป ไมมีเวลาที่ธรรมจะแทรกเขาไปได หากไมใ ชค วามพยายาม
และพนิ จิ พจิ ารณาอยา งเอาจรงิ เอาจงั และละเอียดลออใหเต็มภูมิของสติปญญาที่มีอยู

นี่ดูการประกอบความพากเพียรของหมูเพื่อน รสู กึ ทาํ ใหห นกั ใจอยมู าก เปนแต
เพียงไมพูดเทานั้น ดอู ากปั กริ ิยาความเคลื่อนไหวไปมา มนั บง บอกอยเู สมอวา เปน ความบก
พรองตลอดอิริยาบถ แตกิเลสไมเคยมีคาํ วา บกพรอ ง มันพอกพูนตัวของมันอยูตลอดเวลา
กบั การประกอบความเพยี รแบบบก ๆ พรอง ๆ จะเขากันไดอยางไร จะเอากําลังที่ไหนมา
ตอ สูก บั กิเลสใหยอมจาํ นนตอ ธรรมทง้ั หลายได ถาไมใชความพยายามใหหนักมือขึ้นไปโดย
ลาํ ดบั

อยานําความทุกขความลาํ บากท่ีเคยประกอบความพากเพยี รมาแลว ในอดตี ไมวา
จะเปนอดีตปอดีตเดือนวันก็ตาม อดตี เวลาํ่ เวลาเชน วนั นก้ี ต็ าม ความทกุ ขค วามลาํ บาก
เหลานั้นมักจะเปนขอ แกตัวของกเิ ลสเสมอ การประกอบความพากเพียรเพื่อแกกิเลส กเิ ลส
จะหลอกวา เปน ความลาํ บากลาํ บน ครง้ั นน้ั ลาํ บากมาแลว ปน น้ั ลาํ บากมาแลว เดือนนั้นได
รบั ความลาํ บากมาแลว มาเดอื นนป้ี น ว้ี นั นก้ี เ็ ปน ความลาํ บาก แลวจะพยายามถูไถไปได
อยางไร ทําใหจิตใจทอถอยออนแอลงในขณะที่จิตคิดเชนนี้ นั้นแลคือเพลงของกิเลสกลอม
ใจใหหลงไปตามมัน พึงทราบไวท ุก ๆ ทา น อยา เขา ใจวา เปน ความคดิ ทถ่ี กู ตอ ง เปน ความ
คิดทบี่ รสิ ทุ ธแ์ิ ละถกู ธรรม แตเ ปน ความคดิ ทก่ี เิ ลสแทรกขน้ึ มาโดยทเ่ี จา ตวั ไมร ู นแ่ี หละ
อุบายของกเิ ลสฉุดลากหวั ใจใหออนตอความพากเพียร และทอถอยปลอยวางในความดีทั้ง
หลาย และลมจมไปกับมันจนได

กิเลสนั้นไมเคยมีความออนขอยอหยอนตอความเคลื่อนไหว ที่จะสั่งสมตัวใหมี
กําลังมากขึ้น โดยอา งกาลสถานทเ่ี วลาํ่ เวลาตลอดความลาํ บากลาํ บน แตความพากเพียร
ของเรามักจะอางกาลอางเวลา อา งความทุกขความลําบาก อา งความโงค วามฉลาด อา ง
อาํ นาจวาสนา อา งสถานทก่ี าลเวลา อางไปกี่ประเภทลวนแลวแตเปนขอแกตัวของกิเลสทั้ง
มวล เมื่อเปนเชนนั้นจะมีชองทางออกที่ตรงไหน เมือ่ ผปู ฏบิ ัติมาอา งเชนนี้ ก็คือถูกกิเลสถือ
ยดึ เอาความคดิ ความปรงุ นเ้ี ปน เคร่อื งมือไปใชเสียหมดน่นั แล ความคดิ ในแงธ รรมทเ่ี คย
คดิ ไวแ ลว นน้ั เลยลม จมฉบิ หายไปไหนกไ็ มร ู นี่ละการประกอบความพากเพียรที่เปนไปไม
ไดภ ายในจติ ใจเปน อยา งน้ี ขอใหทุกทานทราบไวแตบัดนี้ซึ่งยังไมสายเกินไป

ครั้งพุทธกาลทานประกอบความพากเพียร ทา นทาํ เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย ทาํ เปน จรงิ
เปน จงั เปน เนอ้ื เปน หนงั จรงิ ๆ เพอ่ื ชาํ ระสะสางกเิ ลสใหว อดวายไปจากจติ ใจจรงิ ๆ ทานไม
ทําเพียงลุม ๆ ดอน ๆ พอเปน กริ ยิ าใหก เิ ลสหวั เราะราํ คาญเปลา ๆ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๗

๓๙๘

อยา งทเ่ี ปน ไปอยกู บั พวกเราเวลาน้ี กริ ยิ าใด ๆ ที่แสดงออกมา มีตั้งแตกิเลสออก
หนา ออกตาเสยี ทง้ั นน้ั โดยทเ่ี รากไ็ มร เู ลยวา กิรยิ าเหลา น้ีเปนเร่ืองของกิเลสชกั จูงหรอื ผลกั
ดันใหเปน ไป ถา อยากทราบกเ็ วลานไ้ี ดส อนอยแู ลว บรรดาอบุ ายวธิ ที จ่ี ะทราบ ความเพยี รท่ี
สําคัญก็คือสติ อยางไรสตินี้ปลอยวางไมได จากนน้ั กป็ ญ ญาขน้ึ เปน วรรคเปน ตอนสอด
แทรกกนั ไปในโอกาสหรอื เหตกุ ารณท เ่ี หมาะสม ซึ่งจะควรใชปญญาตองใชไปอยูโดย
สมาํ่ เสมอ อยา คอยใหส มาธเิ ปน อยา งนอี้ ยา งน้นั แลวจงึ จะใชป ญ ญา สมาธถิ งึ ภมู นิ แ้ี ลว จงึ จะ
ใชปญญา มแี ตว าดภาพแบบลม ๆ แลง ๆ ไป หาเหตุผลไมไดตามหลักธรรม แตเ ปน เรอ่ื ง
ของกเิ ลสพาใหว าดภาพหลอกไปเรอื่ ย ๆ เราก็ไมรูสึกวาไดถูกหลอกถูกตมตุนจากมันอยู
ตลอดมา

การฝกทรมานจิตใจ พงึ ทราบวา ใจนเ้ี ปน ยงั ไง ใจนี้คือผูตองหาถูกควบคุมจาก
กเิ ลสอยตู ลอดเวลา บดั นเ้ี ราจะตอ สแู ยง ชงิ ใจมาเปน สมบตั ขิ องธรรม ใหธรรมไดค รองใจ
จึงมีการตอสูซึ่งกันและกัน หลักแหงการตอสูก็คือความเพียรความอดทน คอื สมาธคิ วาม
หนักแนนมนั่ คง คือสติ คือปญญา ธรรมเหลา นม้ี ที ง้ั เครอ่ื งหนนุ มีทั้งเครื่องตอสูฟาดฟน
อยา งครบถว น จาํ ไวใ หด ี กเิ ลสจะหลดุ ลอยไปดว ยวธิ กี ารเหลา น้ี

ใครพจิ ารณาธรรมบทใด ขน้ั เรม่ิ แรกกเ็ คยพดู เคยสอนมาแลว ทาํ อะไรใหจรงิ ให
จงั จะบรกิ รรมกใ็ หจ รงิ จงั เราบรกิ รรมธรรมบทใด ใหม แี ตธ รรมบทนน้ั กับความรูสึกที่
สัมผัสสัมพันธกันอยูเทานั้น สิ่งทั้งหลายที่นอกไปจากงานของเราที่ทํานั้น ปลอ ยวางเสยี โดย
สน้ิ เชงิ เหมอื นวาโลกน้ีไมม ี มเี ฉพาะคาํ บรกิ รรมกบั ความรทู ส่ี มั ผสั สมั พนั ธก นั อยใู น
ปจ จบุ นั นเ้ี ทา นน้ั นั่นคือความเพียรอันถูกตองซึ่งจะนําผลอันพึงใจมาสูตัว

อยา ไปเสยี ดายเวลาํ่ เวลา อยา ไปเสยี ดายความคดิ ปรงุ สง่ิ นน้ั สง่ิ น้ี ที่จะมาแยงเอา
ความคดิ ปรงุ อนั เปน อรรถเปน ธรรมน้ี ใหก ลายเปน เรื่องความคดิ ปรงุ ของกิเลสไปเสีย ใหมี
ความรกั ความสงวน ความหงึ หวงในความคดิ ปรงุ อนั เปน อรรถเปน ธรรมนไ้ี วป ระจาํ ตน
อยา ใหก เิ ลสมาแยง ชงิ ความคดิ ความปรงุ หรอื คาํ บรกิ รรมน้ี ไปทาํ หนา ทข่ี องกเิ ลสแทนธรรม
ไปเสยี จะหาความสงบเยน็ ไมไ ด ผกู าํ หนดธรรมบทใดใหพ งึ ทาํ แบบนด้ี ว ยกนั

แมจะกําหนดอานาปานสตติ ามความถนัดของตัวแตละรายๆ กพ็ งึ กาํ หนดดเู ฉพาะ
ลมเทา นน้ั ลมเขาก็รูลมออกก็รู ไมตองเกรง็ เน้อื เกรง็ ตวั บงั คบั บัญชาสว นใดของรางกายจน
เกินไป ใหท าํ ความรไู วโ ดยเฉพาะ ๆ กบั ลมเทา นน้ั และไมหวังผลใดที่จะแสดงขึ้นมาในรูป
นน้ั รปู น้ี ไมตองไปหมาย การบาํ เพญ็ เหตอุ ยเู วลานน้ั นน่ั แล คอื การสรา งผลใหป รากฏขน้ึ มา
โดยลาํ ดบั ตามกําลงั แหง ความเพยี รหรือแหงสติที่กาํ กบั จิตใจดว ยดอี ยูน้นั ใหร อู ยกู บั ลม
ลมเขา กร็ ู ลมออกก็รู ไมตองตามลมเขาไป ไมตองตามลมออกมา ในขน้ั เรม่ิ แรกนเ้ี ราจะทาํ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๘

๓๙๙

ใหกวางขวางไมได จะเปน การสรา งภาระใหม ากแกต น สุดทายก็เลยไปไมรอด ไมไดเรื่อง
ราวดว ยกนั ทง้ั นน้ั จึงตองกําหนดจุดเฉพาะจุดที่ตองการ ลมหายใจเขา กร็ ู ลมหายใจออกก็รู
ใหร อู ยเู พยี งเทา นอ้ี ยา คาดอยา หมาย ความคาดความหมายไมยังผลอะไรใหเกดิ ขึน้ นอก
จากวงปจ จบุ นั ทร่ี กู นั อยรู ะหวา งลมกบั สตทิ ร่ี บั รกู นั อยเู ทา นน้ั นั่นคือความถูกตอง ใหจ รงิ จงั
ลงตรงนน้ั นเ่ี ปน ขน้ั หนง่ึ แหง การทาํ จติ ใหส งบ

อยา เสยี ดายอารมณใ ดในขณะทท่ี าํ งานอยเู วลานน้ั ความคดิ ความปรงุ เคยคดิ เคย
ปรุงมามากตอมากแลวพรรณนาไมได แมภ ายในชว่ั โมงหนง่ึ อยาพูดถึงเดือนถึงปที่ผานมา
เลย แลวไดผลไดป ระโยชนอะไรจากความคดิ ปรงุ ลม ๆ แลง ๆ ดงั ทเ่ี คยเปน มานน้ั มัน
เปนเรือ่ งของกิเลสทํางานตางหาก ไมใชเรื่องของธรรมทํางานจึงไมไดผลที่ตองการ บดั นจ้ี ะ
ใหจ ติ ทาํ งานในดา นธรรมะ เชน คาํ บรกิ รรม ถามันยังคิดออกไปได เอา คาํ บรกิ รรมตอ งให
ถย่ี บิ เขา ไป อยา ใหม ชี องวา งเลย ใหท าํ ความเขม งวดกวดขนั กนั อยา งนน้ั จรงิ ๆ อยาสักแต
ทํา แตบ รกิ รรมแบบเซอ ๆ ซา ๆ อา ปากหลบั ในใจฝน ลม ๆ แลง ๆ ดังที่มักเปนกันสวน
มาก แลว กม็ าทวงเอาคะแนนจากธรรมวา ภาวนาไมไ ดเ รอ่ื ง นน่ั ทา นเรยี กภาวนาบดั ซบ จบ
ลงแคห มอน

การกาํ หนดลมก็เชน เดียวกนั เม่อื ความรอู ยูกับลมโดยสมํา่ เสมอ ไมปลอยไมวาง
ซ่งึ กนั และกันแลว ลมกจ็ ะปรากฏเปนความละเอียดเขา ไป เพราะใจพาใหล ะเอยี ด นี่ก็ได
อธิบายถึงที่สุดของลมมาไมรูกี่ครั้ง จนถงึ กบั วา ลมไดห ายไปจากความรสู กึ เหลอื แตค วามรู
ลว น ๆ เปน อยา งนน้ั จรงิ ๆ ในภาคปฏิบัติ เมอ่ื ยงั เหลอื แตค วามรลู ว น ๆ เราก็ไมตองวิตก
วจิ ารณก บั ลมวา หายไปไหน กลัวจะเปนจะตาย เราไมไ ดภ าวนาเอาลม หายไปไหนก็หายไป
ซลิ ม เราภาวนาเอาความรคู อื จติ นต้ี า งหาก เชน เดยี วกบั เราตามรอยโค เมื่อตามรอยโคไป
ถึงตัวโคแลว รอยของโคก็หมดปญหาไปเอง

การกาํ หนดลม เมื่อถึงตัวจริงคือผูรูแลว ลมก็หมดปญหาไป ความรูมีอยูใหอยูกับ
ความรนู น้ั ไมตาย แมลมจะหายไปในความรสู กึ แตจ ิตยังครองรางอยูแ ลว ไมตาย ไมตองไป
กังวล ใหอยกู บั ความรูนั้น จะละเอียดขนาดไหนกใ็ หอ ยูตามความจริงของความรนู ้นั อยา
ไปปรุงไปแตงไปหมาย วา หยาบไปละเอยี ดไป ใหร อู ยจู าํ เพาะนน้ั จงึ ชอ่ื วา ภาวนาในวง
ปจ จบุ นั นก่ี ารพจิ ารณาเพอ่ื ความสงบ ทา นทาํ กนั อยา งน้ี

ถงึ เวลาหรอื ระยะทจ่ี ะพจิ ารณาใหเ ปน วปิ ส สนา วปิ ส สนากแ็ ปลวา ความเหน็ แจง
ความเหน็ ธรรมดาเรามนั เหน็ ดว ยความมดื บอด เหน็ ดวยสญั ญาอารมณ เหน็ ดว ยความ
จอมปลอม เหน็ รปู เหน็ กายมองดดู ว ยตาเนอ้ื เมื่อใจมันปลอมเมื่อใจมันมืดแลว มันก็ไม
เหน็ ความจรงิ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๙

๔๐๐

ดรู า งกายนก้ี ห็ นงั ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ดูมันก็ไมเห็นมีอะไร หนังใคร ๆ ก็มีทั้ง
หญิงทั้งชาย ทง้ั เฒา แกช ราคราํ่ ครา มนั มดี ว ยกนั ตลอดถึงสัตวก็มี มนั วเิ ศษวิโสอะไรกบั
หนงั ความทว่ี า มนั สวยมนั งามนา รกั ใครช อบใจ มันเปนเรื่องของกิเลสตัวจอมปลอมหลอก
ตา งหาก มนั ไมใ ชค วามจรงิ ความจริงแทมันหาความสวยความงามไมได ถาจะเอาความ
จริงน้ไี ปลบลา งความจอมปลอมน้ันก็พิจารณาลงไปซิ หลักความจริงคืออสุภะอสุภังปฏิกูล
โสโครกมีเตม็ หมดท้ังรางกายนี้ แลว ความทว่ี า สวยงามมนั เอามาจากไหน หาแลว มนั ไมเ จอ
มันมีแตของปฏิกูลโสโครกทั้งภายนอกภายใน ตองชะตองลางตองอาบตองสรงอยูตลอด
เวลา ไมเชนนั้นอยูไมได นค่ี วามจรงิ เปน อยา งน้ี จงดใู หเ หน็ พจิ ารณาใหแ จง ซิ

ทําไมจึงเช่อื เอานกั หนาเชือ่ กเิ ลส วา มนั สวยมนั งามมนั จรี งั ถาวร วา ใหค วามสขุ กาย
นใี้ หค วามสุขท่ีตรงไหน ไมเ หน็ ปรากฏวา กายมคี วามสขุ เลย นอกจากเวลาไมเปนโรคอะไร
เลยมันก็อยูเฉย ๆ ธรรมดา แตเ รอ่ื งความทกุ ขน น้ั เดน มาก ความสขุ มนี ดิ ๆ เชน หิวขาว
พอรบั ประทานอม่ิ แลว กม็ คี วามสบายขน้ึ มาพกั หนง่ึ จากนั้นก็เสมอตัว นพ่ี จิ ารณารา งกายก็
ใหเ หน็ เปน อยา งนน้ั

บงั คบั จติ ใหท อ งเทย่ี วอยใู นกรรมฐานน้ี นล่ี ะทา นวา เทย่ี วกรรมฐาน เที่ยว
กรรมฐานภายนอกตามปา ตามเขาลาํ เนาไพรกเ็ ทย่ี วไป แตจติ ไมล ะกรรมฐานภายในคอื
ทองเที่ยวอยูในสกลกายอันนี้เปนหลักใหญของสัจธรรม และส่ิงนแ้ี ลเปนเครื่องปกปด กาํ บัง
บรุ ษุ ตาฟางใจโงเ ขลา ไมสามารถมองเหน็ ความจรงิ ได

พระพทุ ธเจา ทา นจงึ สอนธรรมใหล งสคู วามจรงิ น้ี มอบ เกสา โลมา นขา ทนฺตา
ตโจ เปน ตน ใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายดสู ง่ิ เหลา น้ี ทาํ ไมจงึ หลงเอานกั หนา ตาก็มีอยูไมใชคนตา
บอด หกู ็มีอยู จมูกก็มีอยู ควรจะเหน็ ควรจะรคู วรจะไดย นิ ควรจะสัมผัสสัมพันธทั้งกลิ่นทั้ง
อะไรของมัน แตทําไมจึงไมรูไมเห็น ทาํ ไมจึงไปเช่ือแบบดน ๆ เดา ๆ เกาหมัดไปเชนนนั้
ซง่ึ หาความจรงิ ไมไ ดเ ลย พิจารณาลงไป ยึดหาอะไร

ถาพูดถึงเรื่องธาตุในรางกาย ดินยึดมันอะไร ดินกร็ ูวาดนิ อยแู ลว นาํ้ กร็ วู า นาํ้ แลว
ยดึ ใหม นั เปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เราเปน เขาไดอ ยา งไร ดนิ เปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เราเปน
เขาเปนหญิงเปนชายไดอยา งไร ลมกร็ อู ยแู ลว วา ลม จะใหเ ปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เขาเปน
เราเปน ของสวยของงามไดอ ยา งไร ไฟก็คือไฟรูอยูชัด ๆ จะวา เปน สตั วเ ปน บคุ คลเปน เรา
เปนเขาเปนของสวยของงามไดอยางไร มีแตสิ่งรูอยเู ห็นอยชู ดั ๆ น้ี แลวไปหลงกลของมัน
ไดอยางไร หลงกลของกิเลสวานี้คือสัตว ดนิ นค้ี อื สตั ว นา้ํ นี้คือสัตวค ือบคุ คล ลม ไฟคือ
สตั วค อื บคุ คล คอื เขาคอื เรา คือหญิงคือชาย คือของสวยของงามนารักใครชอบใจ รักใคร

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๐

๔๐๑

ชอบใจอะไรกับดิน นาํ้ ลม ไฟ แยกแยะดใู หเ หน็ ชดั เจนซิ มัวตื่นลมตื่นแลงไปกับกิเลสอยู
ทําไม ธรรมมีอยู ของจริงมีอยู

ถาพูดถึงเรื่องปฏิกูล รา งกายไหนจะเปน ปฏกิ ลู มากยง่ิ กวา รา งมนษุ ยเ รา ดูลงไปซิ
ทุกสิ่งทุกอยางมันเดนกวาเขาทั้งนั้นถาเปนเรื่องปฏิกูล แลวทําไมจึงรักจึงชอบจึงกําหนัดยิน
ดเี อานกั หนา นี่แลคือเรื่องของกิเลสกลอมใจหลอกใจ แมอ ยางนี้เรายงั เชือ่ อยูเหรอ เอา
ธรรมเขาไปเปน คแู ขงมองทะลเุ ขา ไปหาความจรงิ ซิ ตอจากนั้นก็มองใหทะลุปรุโปรงลงไป
จนกระทั่งอายตัวเองข้นึ มาในขณะนน้ั วา ทม่ี ายดึ มาถอื มาสาํ คญั มน่ั หมายวา สง่ิ นว้ี า เปน นน้ั
เปน น้ี เวลาพจิ ารณาเขา สคู วามจรงิ แลว หาความเปน นน้ั เปน นด้ี งั ทเ่ี คยสาํ คญั มานน้ั ไมม เี ลย
มันก็ละอายตัวเองนะซิ

พอปญญาหยั่งทราบตรงไหน มนั รแู จง เหน็ จรงิ ขน้ึ มาและปลอ ยวางไปโดยลาํ ดบั
ถาปญญายังไมเขาถึงความจริงเมื่อไร มันยังไมปลอย เพราะยังไมรูจริงเห็นจริงก็ยังไม
ปลอย เมอ่ื ถงึ ความจรงิ มัดไวเทาไรก็เถอะ ยังไงก็กระเด็นผึงไปเลยไมมีเหลือ ขาดกระจาย
ไปเลย อะไรมามัดไมไดมัดจิต ขอใหปญญาไดฟนขาดกระจายไปเถอะ จิตจะดีดตัวขึ้นมา
ทนั ที

การพจิ ารณาใหถ อื เปน การเปน งาน ทบทวนขา งบนขา งลา งภายในภายนอกตลอด
ทั่วถึง ถอื เปน การเปน งานจรงิ ๆ อยา ไปกาํ หนดเทย่ี วแหง การพจิ ารณา อยา ไปนบั วา
พจิ ารณาเทา นน้ั ครง้ั เทา นค้ี รง้ั ไมส าํ คญั ยง่ิ กวา การพจิ ารณาใหร จู รงิ เหน็ จรงิ นค่ี อื ความจรงิ
แท เอาใหเ หน็ เอาใหร ู พจิ ารณาจนชาํ นาญ หลายครง้ั หลายหนเขา กเ็ ดน ไปเอง ๆ ความ
จอมปลอมทั้งหลายทีเ่ คยเสกสรรปน ยอเอาไวก ็จางไป ๆ สุดทายก็หมดไป ไมก ลา เขา มา
แทรกความจรงิ นไ้ี ดเ ลย นน่ั ทา นวา รจู รงิ รูอยางนั้น

นี่ละพระพุทธเจาทานตัดภพตัดชาติทานตัดเขาที่ตรงนี้ ทานสอนทา นกส็ อนอยา ง
นอ้ี นั ไหนทห่ี ยาบจะควรพจิ ารณาไดง า ย เหมาะแกกําลังสติปญญาของเราทานก็สอนตอนนี้
กอน เชน รางกายเปนของหยาบ แมเ ชน นน้ั มนั กย็ งั หลง จึงตองสอนสวนรางกายนี้กอน
อยา งทา นมอบกรรมฐานหา เปน ตน ให เมอื่ พจิ ารณานม้ี นั กก็ ระจายไปเองอาการ ๓๒ ไม
ตองบอก ลุกลามไปหมด ซึมซาบไปหมด เขา ใจหมด ปลอยวางไดทั้งนั้น เมื่อปญญาได
แทรกลงไปจนตลอดทั่วถึงแลว

เวทนาซง่ึ มอี ยใู นกายนม้ี นั กเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ กายกเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ
เวทนากเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ แตเ มอ่ื เราไมท ราบวา ทง้ั สองอยา งนต้ี า งอนั ตา งเปน ความจรงิ
ของตัวเอง เราก็ไปควาทั้งสองอยางนี้มามัดเขาดวยกัน แลว ยดึ มาเปน เราเปน ของเรา
เวทนาคือความทุกขเปนตน กเ็ ปน ความจรงิ ของมนั และเวทนาเองก็ไมทราบวา ตนเปนทุกข

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๑

๔๐๒

ดว ย และไมทราบวาตนไดใหความทุกขแกผูใดดวย ไมท ราบความหมายในตวั เองดว ย กาย
ก็มีลักษณะเหมือนกัน การพิจารณาเวทนากับกายตองแยกแยะกนั อยางนั้น

หนงั เนื้อ เอ็น กระดูกก็เปนชิ้นเปนอันเปนของจริงตามสภาพของตัว เวทนา มี
ทุกขเวทนา เปน ตน ที่ปรากฏขึ้นจากรางกายก็เปนความจริงของมันอันหนึ่ง ถา จะเทยี บแลว
กเ็ หมือนฟนกบั ไฟที่เผาไหมก ันน่ันแล ถาอยากรูเห็นประจักษตาประจักษใจก็ลองเผากอไผ
ดซู ิ เสยี งระเบดิ ตมู ตาม ๆ เหมือนกับไมไผนั้นมีจิตมีวิญญาณ เสียงระเบดิ ตูมตาม ๆ นน้ั
เหมอื นเสยี งรอ งเสยี งครางขอความชว ยเหลอื นน่ั แล ที่นี่จงพิสูจนดูวาฟนมันรูไฟไหม ความ
จรงิ แลว ฟนก็ไมรูไฟ ไฟก็ไมรูฟน เมื่อทั้งสองอยางมาประกอบกันเขาก็ไหมของมันไป
อยา งนน้ั เอง เสียงระเบิดตูมตาม ๆ ดแู ลว เหมอื นกบั มวี ญิ ญาณ แตมันไมมี ฟน กไ็ มท ราบ
ความหมายของตนและไมทราบเรื่องของไฟ ไฟก็ไมทราบความหมายของตน ความรอนก็
ไมท ราบความหมายของตน และไมทราบเรื่องของฟน ผูทราบก็คือเราผูดูไฟมันกําลังไหม
ฟน อยนู น้ั นผ่ี ทู ราบกค็ อื จติ ระหวา งรา งกายกบั ทกุ ขเวทนามนั เผาไหมก นั เชน เดยี วกบั ฟน
และไฟเผาไหมก นั นน่ั แล มันไมทราบความหมายของกันและกันทั้งสองอยาง จติ ตา งหาก
เปน ผไู ปทราบ และจติ ตา งหากเปน ผไู ปหลงยดึ สง่ิ เหลา นน้ั เขา ไปอกี

เพราะฉะนน้ั ความรอ นระหวา งรา งกายกบั ทกุ ขเวทนาเผากนั ซึ่งเปน ความจรงิ อัน
หนง่ึ อยแู ลว แทนทจี่ ะรตู ามความจรงิ น้ันยังไมพอ ยงั เอาความทกุ ขร อ นภายในใจเพราะ
ความลุมหลงทุมลงไปอีก แบกหามเอาทง้ั รา งกาย ทั้งความทุกขนั้นมาวาเปนตนเปนของ
ตนเขาอีก จงึ เปน การกระทบกระเทอื นจติ ใจอยา งหนกั มาก ยิ่งกวาทุกขเวทนาทางรางกาย
เสยี อกี นแ่ี ลความลมุ หลง มนั ทาํ ใหเ ปน พษิ เปน ภยั ถงึ ขนาดนน้ั แล

ทานจึงสอนใหพ จิ ารณา แยกแยะใหเ หน็ ตามความจรงิ ของสง่ิ เหลา น้ี ยง่ิ เวลา
ทกุ ขเวทนากลา สาหสั มากเทา ไร นนั่ แลเปนเวลาทส่ี ตปิ ญ ญาจะทํางานอยา งเต็มทเ่ี พอื่ เอาตัว
รอด คนเรายอมจนตรอกเม่ือไร เมอ่ื ถงึ คราวจนตรอกแลว ความฉลาดเพราะความดน้ิ รน
ของสติปญญา หากชวยตัวเองเล็ดลอดไปได การรแู จง ความจรงิ ทง้ั หลายกร็ ไู ดใ นเวลาจน
ตรอกนน้ั แล

จงึ ขอใหท ราบไวท กุ ๆ องคดวยวา คนเรานน้ั ไมไ ดโงอยูตลอดเวลา เมื่อถึงคราว
จนตรอกจนมมุ แลว อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ความพ่ึงตนเองนน้ั จะปรากฏขึ้นมาเอง เพราะ
ตอนนน้ั เวลานน้ั เราจะไปรอ งครางใหใ ครมาชว ยเราได เราเปน ผแู บกทกุ ขเ ตม็ ตวั เรา อบุ าย
วิธีสติปญญามีมากนอย ที่จะพยายามตะเกียกตะกายใหเล็ดลอดออกไป มันเปนหนาที่ของ
เราโดยเฉพาะในเวลานน้ั นัน่ แหละเมื่อถึงขน้ั นน้ั แลว อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ ก็เดนขึ้นมา
เอง รูไดชัดดวยวา ออ คาํ วา อตตฺ า หิ อตฺตโน นาโถ นน้ั เปน อยา งนเ้ี องเหรอ เปน อยางน้ี

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๒

๔๐๓

เองแหละ จงทราบจากความเพยี รความสามารถของตน จะอาจหาญชาญชยั ยิง่ กวาหวังพงึ่
ใครในเวลาเชน นน้ั

พระพทุ ธเจา ทา นกส็ อนไวแ ลว วา ตมุ เฺ หหิ กจิ จฺ ํ อาตปฺป อกฺขาตโร ตถาคตา การ
ประกอบความพากเพียร เพื่อถอนตนจากกเิ ลสทง้ั หลายน้ัน เปน หนา ทข่ี องทานทัง้ หลายพึง
ทําเอง พระพทุ ธเจา ทง้ั หลายเปน แตผ ชู บ้ี อกแนวทางใหเ ทา นน้ั นน่ั ทา นบอกแลว หูไมมี
เหรอ หหู นวกเหรอ เอาหูไปไวที่ไหนกันจึงไมไดยิน จงึ ไมค ดิ ธรรมนี้กระเทือนโลกคือหมู
สตั วม านานแสนนาน เมื่อไรจะตื่น เมอ่ื ไรจะความายดึ มาชว ยตวั เอง จะพากนั นอนจมแบบ
ไมมีหูมีตาอยูอยางน้ีละเหรอ

คาํ วา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ เปนธรรมเล็กนอยเมื่อไร เคยรื้อขนสัตวมามากตอ
มากแลว ยังไมพากันคิดอานอยเู หรอ จะพากันประมาทไปถึงไหนอีก มรี สอรอ ยเลศิ เลอนกั
หรอื ความประมาทนะ ถึงไดพากันรักสงวนเอานักหนา เคยไดย นิ จากธรรมบทใดบา งวา
ความประมาทพาคนใหถ งึ บรมสขุ นะ เรามนั เรยี นนอ ยไมเ คยเหน็ ไมเ คยไดย นิ เคยทราบ
แตว า ความไมประมาทพาคนใหพนทุกขถึงบรมสุข

เราหว งอะไรเวลาน้ี เราหวงอะไร สง่ิ เหลา นเ้ี ปน สง่ิ พลดั พรากผนั แปรประจาํ ตวั ของ
มนั อยแู ลว ตลอดเวลา ถาพูดถึงเรื่องความพลัดพรากผันแปร มันก็เปนทุกขณะอยูแลว เรา
ยังหึงหวงอะไรอีก จะเอาอะไรมาเปน สารคณุ สาํ หรบั เรา เพราะการคิดการหงึ การหวงการ
หว งการใยเหลา นน้ั มันไมมีอะไรเปน ผลดี มแี ตล ม ๆ แลง ๆ ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสมนั
กลอ มใหห ลบั อยเู ทา นน้ั ไมมอี ะไรเปนสารคุณพอใหภ าคภมู ิใจไดเลย มอี ยา งเดยี วสาํ หรบั
นกั บวชและนกั ปฏบิ ตั เิ รา คอื ตอ งหนกั แนน ในธรรม เพ่ือเปนเครอื่ งฉดุ ลากออกจากความ
ลมุ หลงเพลิดเพลนิ ของกิเลส เอาใหจ รงิ ใหจ งั อยา ทาํ เหลาะ ๆ แหละ ๆ เห็นกองทุกขเปน
ตุกตาเครื่องเลนไปได ทุกขมันเปนตุกตาเมื่อไร ใครเคยชินตอไฟ จเ้ี ขา ทไ่ี หนเมอ่ื ไรโดด
เมอ่ื นน้ั ทุกขก็เหมือนกัน เจอเขาเมื่อไรก็เอาเถอะ ไมวาจะเจอทางรางกายและจิตใจ มัน
เปนสิ่งที่เคยชินตอกันไมไดทั้งนั้น เรายงั จะนอนใจอยเู หรอ

พระพุทธเจาก็สอนไวแลวทุกสิ่งทุกอยาง สอนดว ยความรจู รงิ เหน็ จรงิ วาทุกขนี้
เปน ทกุ ขจริง ๆ สขุ นเ้ี ปน สขุ จรงิ ๆ ความตดิ อยใู นกเิ ลสเปน ความทกุ ขม ากมายขนาดไหน
พระองคก เ็ คยผา นมาแลว เคยรมู าแลว เคยถกู มาแลว การผา นพน กบั สง่ิ เหลา นเ้ี ปน คณุ
ขนาดไหน พระองคก ป็ ระกาศธรรมใหเ ราทง้ั หลายไดท ราบอยแู ลว เฉพาะพระพุทธเจาองค
ปจจุบันก็ ๒,๕๐๐ กวาป ยังไมถึงใจของพวกเราอยูเหรอ การจมอยใู นกองทกุ ขเ พราะ
อํานาจของกิเลสมันกดมนั ถว งใหล มใหจ มนั้น เรายงั ไมค ดิ เหน็ โทษของมนั บา งหรอื แลว จะ
เห็นคุณคาของธรรมไดที่ตรงไหน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๓

๔๐๔

ธรรมทง้ั หมดน้ีเปน เครอ่ื งปลุกใจสตั วโลกใหต ื่นจากหลับ คอื กเิ ลสพาใหห ลบั พา
ใหงมงาย แตกิเลสเองไมไดงมงาย ตัวเราผูถูกกิเลสกดขี่บังคับ กเิ ลสกลอ มนน้ั แลมนั งม
งาย ธรรมทา นปลกุ ใหต่ืนอยตู ลอดเวลา สติ ๆ ไมเปนเครื่องตื่นจะเปนอะไร ปญญา
พิจารณาสอดสองหาชองแกชองปลดตนเอง เพื่อความเล็ดลอดไปไดเปนลําดับ จงนาํ มาใช
อยา นอนใจกบั ปา ชา อนั เปน ความเกดิ ตายซาํ้ ๆ ซาก ๆ ไมม ีเงอื่ นตนเงอื่ นปลายนนี้ ักเลย
การหลดุ พน ไปเสยี เทา นน้ั เปน เรอ่ื งวเิ ศษ

จิตที่อยูใตอํานาจของกิเลส กับจติ ท่ีพน อาํ นาจของกเิ ลส เหนอื กเิ ลสแลว มคี วามรู
สึกตางกันอยางไรนั่น เพราะฉะนน้ั ความรสู ึกของพระพุทธเจา ผพู น กเิ ลสแลว และความรู
สึกของพระสาวกอรหนั ตท้ังหลายผพู น กเิ ลสแลว จึงไมมีอะไรจะเทียบจะเปรียบ จิตที่จมอยู
ในกิเลสน้เี ปน อยางไร คิดดูอยางนักโทษ แมแตนอนหลับอยูก็ยังตองมีผูควบคุม อยาวา
เวลาตน่ื เลย ประกอบหนา ทก่ี ารงานรบั ประทานอาหารเคลอ่ื นยา ยไปมาทไ่ี หน ตองมีผูควบ
คุมอยูตลอดเวลา มันเปน ความสขุ แลว เหรอ การอยูใตอํานาจแหงการกดขี่บังคับของการ
ควบคมุ นน้ั มันเปนทพ่ี ึงใจละหรือ นเี่ ด็ก ๆ ก็รูไดทราบได ก็นี่กิเลสมันควบคุมกดขี่บังคับ
อยตู ลอดเวลา หาความเปน อสิ ระทไ่ี หนได ทั้ง ๆ ทร่ี ู ๆ อยนู น้ั แหละ เหมือนนักโทษเขาก็
ไมใชคนตาย เขากร็ ู ๆ อยนู น้ั แหละ แตความรูน นั้ กร็ อู ยเู ฉย ๆ ไมมีอํานาจที่จะพนจาก
ความเปนนักโทษไปได

ความรูของของคนที่มีกิเลสก็เหมือนกัน จะรูขนาดไหนก็อยูใตอํานาจของกิเลส
มนั เปน ความสขุ ความอสิ ระทไ่ี หน เปน ความสะดวกสบายไดท ไ่ี หน การหลดุ พน ไปเสยี เทา
นน้ั และการปราบปรามสง่ิ ทม่ี อี าํ นาจมากภายในจติ ใจลงดว ยธรรมเทา นน้ั จึงจะเปนความรู
ที่เดน เปน ความรทู อ่ี สิ ระ เปนความรทู ีอ่ งอาจกลาหาญ เลยสมมุติทั้งปวง นน่ั ทา นจงึ เรยี ก
วา ปรมํ สขุ ํ ตรงกันขามกับ ปรมํ ทกุ ขฺ ํ การอยูใตอาํ นาจของกิเลสเปน ปรมํ ทกุ ขฺ ํ ของใจ

การปราบกเิ ลสใหเ รยี บราบไปหมดโดยประการทง้ั ปวงนน้ั คอื ปรมํ สขุ ํ ปรมํ ทุกฺ
ขํ นใ้ี คร ๆ กเ็ คยแบกเคยหามมาแลว เคยโดนมาแลว สว น ปรมํ สขุ ํ น้ีไมเ คยสมั ผสั แม
กระแสบา งเลย ทําไมจึงไมอยาก ปรมํ สุขํ บา ง ปรมํ ทุกฺขํ มีรสมีชาติอยางไร มคี วามสขุ
ความสบายอยา งไร ก็ฟงแตวา ปรมํ ทกุ ขฺ ํ เราสงสยั ทต่ี รงไหน เราจมอยูกับความทุกขมาไม
มเี วลาํ่ เวลาจนกระทง่ั ปา นน้ี ยังไมเข็ดหลาบ แลว เราจะเอาความเขด็ หลาบมาจากอะไร ใน
สามแดนโลกธาตมุ กี เิ ลสอยา งเดยี วสรา งทกุ ขใ หส ตั วโ ลกทค่ี วรจะเขด็ หลาบ ธรรมมไิ ดส รา ง
ทกุ ขใ หส ตั วโ ลก ถาไมเชื่อพระพุทธเจาและดําเนินตามหลักที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไว จะ
เชอ่ื ใครและดาํ เนนิ ตามอะไรจงึ จะเปน ทแ่ี นใ จ พระพทุ ธเจา หลดุ พน แลว นาํ ธรรมนน้ั มาสอน
โลก จงนอ มธรรมนั้นมาดําเนนิ เพ่ือหลดุ พน ใจจะไดเ ปน อสิ ระ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๔

๔๐๕

ความเปนอิสระของจิต ไมมีอะไรมาเกี่ยวของเลย หาอะไรเทียบไมได ทา นพดู
เพียงวา ปรมํ สขุ ํ แมยังทรงธาตุทรงขันธอยู ใจนั้นก็อยูเหนือสมมุติทั้งมวลตลอดเวลา
อกาลิโก ไมมีทุกขตัวไหนจะเขาไปแทรกได เพราะคําวาทุกขก็คือสมมุตินั่นเอง นอกจาก
ขันธซึ่งเปนตัวสมมุติ ก็ยังมีสุขมีทุกขไปตามสภาพของมัน ดงั พระพทุ ธเจา ประชวร นั่นก็คือ
ทุกขในธาตุขันธ ทรงกระหายนาํ้ รบั สง่ั ใหพ ระอานนทไ ปตกั นาํ้ มาใหเ สวย นั่นก็คือเรื่องของ
ธาตุของขันธบกพรอง ตอ งการความเยยี วยา ไมใชเรื่องของวิสุทธิจิตทาน

อานนท ไปตักน้ํามาใหตถาคตดื่มหนอย เวลานธ้ี าตขุ นั ธต ถาคตเพยี บเตม็ ทแ่ี ลว
ตถาคตออนเพลียมากตองการพักผอน ลาดสงั ฆาฏติ รงน้ี ตถาคตจะพักผอนพอบรรเทา
ขันธ คําวาตถาคตนี้ก็หมายถึงธาตุถึงขันธ ราวกบั วา อานนท ไปตกั นาํ้ มาเตมิ รถนห้ี นอ ย รถ
นจ้ี ะหมดนาํ้ แลว ไปเอานาํ้ มาเตมิ แลว พักเครอ่ื งมนั หนอ ย สวนผูขับรถไมไดเปนอะไร รถ
ตา งหากเปน

คาํ วา ตถาคตที่แทจริงก็คือพระจิตที่บริสุทธิ์ นน่ั เหมอื นกบั คนขบั รถ ประคองราง
นี้ไปพอถึงที่ ๆ จะปลงมัน คอื เมอื งกสุ นิ ารา ยังไมถึงนั่น มนั จะบรรลยั ไปเสยี กอ นแลว จะ
แตกจะพงั เสยี กอนแลว สรรี ะนี้ จึงตองเยียวยากันไป พอถึงกาลถึงสถานที่ที่ปลงวาง ทว่ี า เรา
กระหายก็หมายถึงวา ความบกพรองของธาตุขันธตองการน้ํา ทุกขก็คือขันธเวทนา มันอยู
ในขนั ธต า งหาก ไมอยูในวิสุทธิจิต ไมอยูในความบริสุทธิ์ของใจ จะเอาอะไรไปทุกขตรงนั้น

คาํ วา ตถาคตหิว ตถาคตกระหาย หมายถึงรางของตถาคตตางหาก ไมไดหมายถึง
พระจิตของตถาคตอันเปนองคศาสดา หรอื เปน ธรรมดวงเลศิ อยา งแทจ รงิ นน้ั เลย นเ่ี รอ่ื ง
ธาตุเรื่องขันธเปนอยางนี้ มันเปนไดดวยกัน ไมวาพระอรหันตไ มวาคนมีกิเลสมนั เหมือน ๆ
กัน มีความทุกข ความสขุ เจ็บไขไดปวย เจบ็ หวั ตวั รอ นเปน ธรรมดา อนั นย้ี อมรบั เพราะ
ธาตุขันธเปนสมมุติ เรอ่ื งความทุกขค วามลาํ บากซงึ่ เปน สมมตุ ดิ วยกนั กเ็ ขา กันไดสนิท แต
จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว นน้ั ไมไดม าเกีย่ วขอ งกบั สิ่งเหลานี้เลย ก็หมายถึงความเปนอิสระของจิต
อยตู ลอดเวลานน่ั แล

นั่งอยูที่ไหนก็ใหมีสติ อริ ยิ าบถตา ง ๆ อยา ไดเ ผลอ อยางนอยใหมีสัมปชัญญะคือ
ความรสู กึ อยใู นตวั จะรูเปนวงกวางหมดทั้งกาย ก็คือสติที่เปนสัมปชัญญะ ถาจดจอ
พจิ ารณาอะไร รอู ยจู าํ เพาะ ๆ เรยี กวา สติ สัมปชัญญะ คอื ความรใู นวงกวา งประจาํ ตน เรยี ก
วาสัมปชัญญะ นแ้ี ลเปน เครอ่ื งบาํ รงุ ใหม กี าํ ลงั สตเิ มอ่ื ไดร บั การบาํ รงุ อยเู สมอจะมกี าํ ลงั
ปญญาเมื่อไดใ ชก ารพินจิ พจิ ารณาอยูโดยสมํา่ เสมอ ก็จะมีกําลังและคลองตัวไปเชนเดียว
กัน สุดทายก็กลายเปนสติปญญาอัตโนมัติไปไดโดยไมตองสงสัย

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๕

๔๐๖

ดังครั้งพุทธกาลทานวา มหาสติ มหาปญญา คือหมุนตัวไปเองโดยไมตองบังคับ
บัญชา ไมตองถูตองไถเหมือนขั้นเริ่มแรกที่กําลังตะเกียกตะกาย เนือ่ งจากเวลานัน้ จติ ยงั ไม
เหน็ ผลแหง ธรรมปรากฏขน้ึ บา งเลย เชน สมาธิก็ยังไมปรากฏ ผลของการตัดกิเลสประเภท
ตา ง ๆ ดวยอํานาจของปญญาภายในใจก็ยังไมปรากฏ จึงไมมีแกจิตแกใจที่จะประกอบ
ความพากเพียรไปโดยลําพังที่ไมตองบังคับ

ผบู าํ เพญ็ จาํ ตอ งบงั คบั อยโู ดยดใี นขน้ั เรม่ิ แรก แตพอเห็นผลขึ้นไปโดยลําดับแลวก็
มีแกใจ มีกําลังใจ ความเชื่อก็ปรากฏเดนชัดประจักษตน ความพากเพยี รและธรรมอน่ื ๆ
จะไปไหน ก็หมุนกันมาเอง สตปิ ญ ญาเม่ือนําออกไปใชห ลายคร้งั หลายหน กเ็ หน็ เหตเุ หน็
ผล เหน็ ตน เหน็ ปลายของกเิ ลสอาสวะ ตลอดผลของธรรมก็รูเห็นไปพรอม ๆ กัน นน่ั แหละ
ทาํ ใหม แี กใ จ เกดิ ความรกั ใครช อบใจในความพากเพยี ร ฉนั ทะคือความพอใจโดยหลัก
ธรรมชาติก็มาเอง เพราะผลเปน เครอื่ งดึงดดู จิตก็คอยหมุนตัวไปเอง

คาํ วา ปญ ญาพจิ ารณารา งกายน้ี เปนปญ ญาทผ่ี าดโผน เมอ่ื ถงึ ขน้ั ผาดโผนแลว ผาด
โผนมากทเี ดยี ว พจิ ารณาทางรา งกาย ถงึ จะรวดเรว็ กร็ วดเรว็ ดว ยความผาดโผน เพราะกาย
เปน สว นหยาบ ปญ ญาทพ่ี จิ ารณาสว นรา งกายน้ี แมจ ะเปน ปญ ญาทร่ี วดเรว็ ทนั ใจกผ็ าดโผน
ผิดกัน พอผา นนไ้ี ปแลว กเ็ ขา สคู วามละเอยี ด คาํ วา ผา นนไ้ี ปแลว หมายถงึ การพจิ ารณารา ง
กายนร้ี รู อบขอบชดิ หมดแลว หย่งั ทราบดวยปญ ญาไมส งสยั ปลอ ยวางอปุ าทานความยดึ มน่ั
ถือมน่ั ในกายเสยี ไดโดยธรรมชาติท่ีรรู อบแลว

จากนน้ั กห็ มนุ เขา สนู ามธรรมโดยเฉพาะ ไมเ กย่ี วกบั รปู ธรรมเลย ไมวาภายนอกไม
วา ภายใน ทั้งรางกายของตัวและของคนอื่นก็ไมสนใจพิจารณา สตปิ ญ ญาหมุนเขาสู
นามธรรม ไดแ กพ วกเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ตามแตถนัดในขันธใด เวลาใด การ
พจิ ารณาเวทนากห็ มนุ เขา ไปสใู จ การพิจารณาขันธใดยอมเชื่อมโยงถึงใจเสมอ สัญญา
สงั ขาร ความคิดความปรงุ ของใจ ความหมายของใจ ซง่ึ แสดงยบิ แยบ็ ๆ หรือกระเพื่อม ๆ
อยภู ายในใจ เหลา นเี้ ปนสนามรบของสตปิ ญ ญา

สนามรบทางรางกายก็ทราบกันแลว ไดชัยชนะมาเปนตอน ๆ แลว เลกิ แลว สนาม
น้ี กา วเขา สสู นามอนั ละเอยี ด สติปญญาอันละเอียดพอ ๆ กัน พจิ ารณาเขา ไป ขนั ธไหนมนั
ก็เหมือนกัน เรอ่ื ง อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ตามกันไปทุกระยะ ๆ เวน แตค าํ วา อสภุ ะเทา นน้ั
เพราะขนั ธส น่ี เ้ี ปน นามธรรม ไมเ ก่ียวกับเรอื่ งสุภะ อสุภะ มแี ตค วามรูก ับความกระเพอ่ื ม
ของใจ กระเพื่อมไปทางไหน กระเพื่อมไปทางรูป ทางเสยี ง มาขน้ั นร้ี ปู เสยี งเลยไมถ อื เปน
สําคัญยิ่งกวาความกระเพื่อมของใจ ถือวาความกระเพื่อมนี้แลคือตัวกอเหตุ มันจะรูทันที
ๆ พอรูทันทีก็ดับกันทันที ไมมีเงื่อนสืบตอกับอะไร รูอะไรก็ดับ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๖

๔๐๗

สญั ญาความหมายตา ง ๆ จะซานออกไปไหนก็รู แตกอนไมรู จนกระทั่งไปเปน
ภาพเปน เรอ่ื งเปน ราวขน้ึ แลว ก็หลงภาพอันนั้นเหมือนตุกตาหลอกตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ออกไป
จากใจนแ่ี ล สติปญญาไมทันไมรู แตพอทันแลวรูหมด นเ่ี ราจะเอาสาระอะไรกบั ภาพ
หลอกลวงนั้น ๆ จะพจิ ารณาหาความจรงิ ตา งหาก ความคดิ คิดดี คดิ ชัว่ มันดบั ดว ยกนั ท้ัง
นน้ั ไมว าจะคิดประเภทใด ความจาํ จําอะไรมันก็ดับ สัญญา สงั ขาร เกดิ ดบั ๆ ประจําตน

วญิ ญาณความรบั ทราบ มีแตเรื่องเกิดเรื่องดับ มันเรือ่ งสาระอะไรท่จี ะมาถือวา เปน
เราเปน ของเรา มนั ใครค รวญมนั พนิ จิ พจิ ารณา มันรูของมัน ก็มีแตเรื่องของจิตที่แสดง
อาการยิบแย็บ ๆ มันออกมาจากจิต ตามเขา ไป นีแ่ หละทีว่ า เชื้ออยูที่ไหนไฟจะไหมเขาไป
ทน่ี น่ั เชื้อคือกิเลสมันอยูที่ไหน สตปิ ญ ญาจะหมนุ ตวั เขาไปท่นี ่นั เอาใหเ ขา ใจ ๆ แลว ปลอ ย
วาง หรอื วา เขา ใจตรงไหนประหารกนั ทน่ี น่ั กถ็ กู

สดุ ทา ยคําวา กิเลสทัง้ มวลนัน้ มันอยูท ี่ไหนกร็ ไู ดช ัด มันไมไดอยูในรูป ในเสยี ง ใน
กลิ่น ในรส มนั อยกู บั จติ ทไ่ี ปเกย่ี วโยงกบั สง่ิ เหลา นน้ั เพราะความไมร ตู า งหาก เมอ่ื พจิ ารณา
คลค่ี ลายสง่ิ เหลา นน้ั จนเขา ใจ จติ หายสงสยั แลว ปลอยเขามา ๆ จนถึงรางกายของเจาของ
พอพจิ ารณานก้ี ห็ ายสงสยั แลว ปลอ ยเขา ไป แนะ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ พจิ ารณา
เขาไปปลอยเขาไป ๆ เรอ่ื ย ๆ คอื รเู ทา แลว ปลอ ยวาง ไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในอาการทง้ั หลาย
เหลา น้ี

ขันธหาคืออะไร รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ นี่คือขันธหา รเู ทา ปลอ ยวาง
อะไรเปนตัวการสําคญั ของขนั ธหา อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา อยูที่ไหน ก็อยูที่จิต นน่ั ที่นี่
กเิ ลสรวมตวั เขา ไปจดุ เดยี วแลว นแ่ี ลการพจิ ารณาทางดา นปญ ญา หมุนเขาไปจนกระทั่งถึง
จติ

แตจิตประเภททีม่ อี วิชชานี้เปน จติ ทส่ี งาผาเผยองอาจกลา หาญ ทง้ั ความผอ งใส ทั้ง
ความองอาจกลา หาญ ทง้ั ความคกึ คะนองดว ยความอาจหาญวา ตวั เกง นน้ั แล มิไดคะนอง
แบบทว่ั ๆ ไป เปนวสิ ยั ของจติ ประเภทน้ี เพราะฉะนั้น ทา นจงึ วา มานะ ๙ มานะ ๙ อยู
ตรงน้ี ทา นอธบิ ายไวใ นสงั โยชนเ บอ้ื งบนวา รปู ราคะ อรูปราคะ มานะ อทุ ธจั จะ อวิชชา
มานะนน่ั คอื ความถือ ก็ถืออวิชชากับจิตที่กลมกลืนเปนอันเดียวกันนั้นแล วา เปน ตน วา
เปน เราเปน ของเรา แลว ยกอนั นข้ี น้ึ มาเทยี บเคยี ง วาองคน้นั เปนยังไง ผูน้ันเปน ยังไง จติ
เสมอเราหรอื ยง่ิ กวา เรา หรอื หยอ นกวา เรา นน่ั ทา นจงึ เรยี กวา มานะ ๙ ๓ คูณ ๓ เปน ๙
เชน จติ เราตาํ่ กวา เขา สาํ คญั วา ตาํ่ กวา เขา เสมอเขาหรอื ยง่ิ กวา เขา จติ เราเสมอเขาสาํ คญั วา
ตาํ่ กวา เขา หรอื เสมอเขาหรอื ยง่ิ กวา เขา จติ เรายง่ิ กวา เขา สาํ คญั วา ตาํ่ กวา เขา เสมอเขาหรอื
ยิ่งกวาเขา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๗

๔๐๘

กเิ ลสสว นละเอยี ดเอาอนั นแ้ี หละออกเทยี บเคยี ง เพราะกาํ ลงั เปน เขย้ี วน่ี เขี้ยว
กําลังแหลมคม เขย้ี วอวชิ ชา ทา นวา มานะ ความถืออันนี้เอง พออันนี้สลายลงไปแลวเอา
อะไรมาถือ เอาอะไรมาเปนผอ งใส เอาอะไรมาเปน เศรา หมอง เอาอะไรมาเปน ความองอาจ
กลา หาญ เอาอะไรมาเปน ความกลวั มันไมมี พอธรรมชาตอิ นั นส้ี ลายตวั ลงไปดว ยอาํ นาจ
ของการพิจารณา สงิ่ เหลา น้ีแลเปน ธรรมชาติที่สรา งปญ หาตามภูมขิ องตน คือภูมิละเอียดก็
สรา งปญ หาอนั ละเอยี ดจนไดแ หละ กเิ ลสหยาบกส็ รา งปญ หาอนั หยาบขน้ึ มา กเิ ลสละเอยี ด
กส็ รางปญหาละเอียดขึ้นมา กิเลสหมดไปแลว ไมมอี ะไรสรา งปญ หา หมดปญ หาโดย
ประการทง้ั ปวง หมดเหตุหมดปจจัยของสมมุติที่จะสืบตอกันแลว เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธ์ิ
ลว น ๆ จึงไมมีปญหาใด ๆ อีกตอไป

ความบรสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ เปนเหตุเปนปจจัยกับอะไร สรา งปญหาอะไร ทา นวา หมด
ปญ หา หมดตรงนน้ั ภพชาตทิ ี่เคยเปนอยกู บั จติ มากนอ ยมันรูมาโดยลาํ ดับลําดา จนกระทั่ง
เขา จดุ รวม เหลือแตเชื้อของมันที่จะไปเพาะที่นั่นที่นี่ คอื เกิด ก็เผากันลงที่นั่นดวยตป
ธรรม จนแหลกแตกกระจายหมดแลว ภพชาติจะสืบตอไปไหนอีกมีไหม จะไปถามใครเลา
แมพระพุทธเจาประทับอยูตรงหนาก็ไมทูลถาม เพราะเปน ความจรงิ เหมอื นกนั ไมมีอะไร
แปลกตางกันพอจะถามกัน ทา นจงึ วา สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก เหน็ เอง รูเอง ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิฺู
หิ ทา นผรู ทู ง้ั หลายรจู าํ เพาะตน นน่ั คอื ทา นผรู จู ากการปฏบิ ตั ริ จู าํ เพาะ ไมเ ปน สาธารณะแก
ผหู นง่ึ ผใู ด นี่ทที่ านวา วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ํ เสรจ็ แลว งานฟา ดนิ ถลม ไดเ สรจ็ สน้ิ ลงไปแลว ดนิ
ฟาถลม ก็คือภพคือชาติ กอตัวขึ้นมาดวยธาตุสี่ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ หรอื ภพชาตปิ ระการใด ๆ
มันก็เปนเรื่องของสมมุติ จึงวาดินฟาถลม คว่าํ ลงไปหมด ทีนี้อะไรจะมามีอยูในจิตนั้น

นน่ั แลทน่ี ่ี เอา ดู ๆ กเิ ลส เมอื่ ไดฆา ตายสนิทจากจติ ดวงน้ีแลว เอา มันอยูกับจิตใด
กบั รา งใดกายใด กิริยาของใคร แสดงทาไหนออกมาปดไดยังไง มันรูหมด นลี่ ะท่วี า กเิ ลส
ครอบหวั เราอยตู ลอดเวลาแตเ ราไมร ู ถาเปนพระพุทธเจา พระอรหันตทานดูแลวดูยากที่
ไหน แยบ็ เดยี วทา นกข็ ยะไปแลว ทา นรู ๆ จนขยะจะวาไง แตพวกเรามันตาบอดตอตาบอด
อยูดวยกัน ไมร ูทั้งเร่ืองของเรา ไมรูทั้งเรื่องของเขา ไมรูทั้งเรื่องคนอื่น ๆ ตางคนตางไมรู
แตก เ็ ขา ใจวา ตวั รู สาํ คญั วา ตวั รู สาํ คญั วา ตวั ดแี ลว กท็ ะเลาะกนั กัดกันเหมือนหมา เพราะตา
ในไมเ หน็ ตาปญญาเหมือนพระพุทธเจา พระสาวกทานมันไมมี นี่แลเรื่องของกิเลสมันตอง
สําคัญตัว ยกยอตวั เสมอ เลวเทา ไรยง่ิ สาํ คญั ตวั วา ดี กเิ ลสเปน เชน นน้ั ไมเ คยลงกบั ความ
จริงคือธรรมมาแตก าลไหน ๆ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๘

๔๐๙

เพราะฉะนน้ั เรามาปฏบิ ตั เิ พอ่ื ปราบสง่ิ เหลา น้ี จงอยา ใหม ภี ายในจติ ใจไปนาน
ปราบใหแ หลกแตกกระจายไปหมดแลว อยสู บาย ใจเวง้ิ วา ง แตเปนอางเก็บวิสุทธิธรรมไมมี
วแ่ี ววสมมตุ ผิ า นเลย ถาเทียบกับสมมุติก็เปนใจอวกาศ เทยี บไปอยางนัน้ เอง

เอาละการแสดงธรรมกเ็ หน็ วา พอสมควร

พดู ทา ยเทศน

พวกเรามันพวกสวดกิน ธรรมะเลยเปน เครอ่ื งมอื หากนิ ไปเสยี หมด หากนิ ขา วตม
ขนม วา กสุ ลา ธมมฺ า อกุสลา ธมมฺ า อพยฺ ากตา ธมมฺ า คนตายทไ่ี หนละไปแลว ความ
ฉลาดเอาไปสวดหากนิ ขา วตม ขนมเสยี ความฉลาด กุสลา ธมมฺ า ธรรมยงั คนใหฉ ลาด มัน
ฉลาดหากนิ ขา วตม ขนมไปเสยี พวกเรา มนั ไมฉ ลาดนํามาแกก เิ ลส มาฟน กเิ ลส อกุสลา ธมฺ
มา ธรรมพาคนใหโ ง สิ่งที่พาคนใหโง จงกสุ ลาเจาของใหพ อตัวซิ เมื่อพอตัวแลวอยูที่ไหนก็
อยู รชู ดั แลว สงสยั ไปไหน รพู อตวั แลว ฟงแตวาพอตัวซิ ไมไ ดส าํ คญั มน่ั หมายกบั เวลาํ่ เวลา
ดินฟาอากาศ กบั การเปน การตาย ไปสูงไปต่ํา เกิดที่ไหน อยูที่ไหน สขุ ทุกขป ระการใด คดิ
ไปใหเ สยี เวลาทาํ ไม เมอ่ื เหน็ ความจรงิ เตม็ ใจแลว ก็อยูตามความจริงนั้น แสนสบายยง่ิ กวา
ไปเทย่ี วควา โนน ควา น้ี ควา ลม ๆ แลง ๆ

พระพทุ ธเจาทา นสอนจริงขนาดนัน้ แตมนั ไมชอบจริงมนษุ ยเรา เฉพาะอยางยิ่ง
พระกรรมฐานเราสอนอยา งน้ี ๆ ไปงมอยางโนน ควา โนน ควา น้ี อวชิ ชาสาํ คญั มากตวั เชอ้ื
พาใหเ กิด ละเอียดมากทีเดียว ถา ไมเ คยดาํ เนนิ มนั ไมร ู ธรรมเครอ่ื งดาํ เนนิ กต็ อ งเปน ธรรม
ปฏบิ ตั ิ รเู ขา ไป ๆ ตามเขาไป ๆ จนถงึ ตวั มนั เลย

นี่ก็ไดอธิบายใหหมูเพื่อนฟงไมรูวากี่ครั้งกี่หน ทําไมมันไมถึงใจ การอธิบายนี้ไม
ไดส งสยั นะ อธิบายตามความจรงิ แท ๆ ทั้งฝายเหตุฝายผล ไมไดอธิบายดว ยความสงสัย
อธิบายใหหมูเพื่อนฟง มันนา จะจับเอาเงื่อนใดเงอื่ นหน่งึ เขา ไปจริงจงั กับตวั เอง อยไู ปนาน
ไปมนั ชนิ ชานะ ความชนิ ชาเปนอะไรถา ไมใชก ิเลส ถา ธรรมจะราบรน่ื จะคลองตัวไปเรื่อย
ในการแกการปลดความไมดีในตัว ใจจะเดน ขน้ึ ๆ ความระมดั ระวงั สาํ รวมตวั กจ็ ะเดน ขน้ึ
ๆ นน่ั คอื ธรรม ถา เปน เรอ่ื งความชนิ ชาแลว มนั จะไปไหน ถาไมไปหนาดานมันจะไปที่ไหน
ถา ชนิ ชาแลว หนา กด็ า น ภาษาภาคอสี านเขาเรยี กเหลก็ กน เตาหรอื ทองกน เบา นายชา งเหลก็
จะทุบจะตียังไงมันก็ไมไดเรื่อง จะเอาไปทําอะไรก็ไมเปนประโยชน ถา ลงมนั ไดเ ปน เหลก็
กน เตา ทองกน เบา แลว ฉะนน้ั จงพากนั ระวงั ใหม าก พระกรรมฐานทั้งองคอยาลืมตัว จะ
เปน เหลก็ กน เตา ทองกนเบาไปเปลา ๆ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๐๙

๔๑๐

ในครง้ั พทุ ธกาลทา นเอาจรงิ เอาจงั นะ ทานถือการภาวนาเปนการเปนงานเปนเนื้อ
เปน หนงั เปน จติ เปน ใจจรงิ ๆ ทานไมใหอะไรมายุงนะ จงทราบรากฐานหรอื แกน ของการ
ปฏบิ ตั ธิ รรม แกน ของศาสนา แกนของผูพาดําเนิน ทา นดาํ เนนิ อยา งนน้ั หนา พวกเรากเ็ หน็
ในตาํ รบั ตาํ รา แตเมอื่ ความจริงไมถ งึ ใจแลว มันไมกระจายมันไมซึ้ง ในธรรมทง้ั หลายท่ี
ทา นดาํ เนนิ มาและพาดาํ เนนิ มา มันก็ไมซึ้ง

ถาเปน เรอ่ื งของกิเลสแลว มันซ้งึ ไมว า มนั จะแยบ็ มาหมดั ไหนละ เปน เปด คางยน่ื
คางใหม นั เลย ปกตินิสัยก็เปดใหมันอยูแลวตั้งแตมันยังไมตอยโนนแนะ แลวอะไรจะไปคิด
ปดปองมันวะ ถา เปน กเิ ลสแลว เหมอื นกบั วา กวกั มอื เรยี กมนั มาเขา มา ๆ เอาตรงคางตรง
ขากรรไกรนน่ี ะ ใหม นั หงายหมาลงไปเลย หงายไมม ีทากเ็ หมือนหงายหมาละซิ หงายมีทา
มันหงายตอสู หงายหลบหลกี หงายหลบหมดั พวกเรามันหงายแบบไมม ที า เหมือนถูก
น็อกนะ พวกเรามันพวกถูกน็อก พวกหงายไมเปนทา

พดู อยูข ณะนเ้ี รายังโมโหวะ โมโหแทนหมูแทนเพื่อนนะซิ เพราะเราเคยฟด กบั มนั
มาพอแลว โถ บางครั้งขณะฟดกันเหมือนจะไปทั้งชีวิตนี่เลย เอา ไป ไมอ าลยั เสยี ดาย นน่ั
จติ เวลามนั แขง็ แกรง แขง็ แกรง ขนาดนน้ั นะ เอาไปเถอะ ยังไงก็ไมถอย จติ พงุ เลยนะเวลา
เชน นน้ั เราถึงไดเห็นเรื่องของมัชฌิมาปฏิปทา เห็นไดชัดอยางนี้เอง ไมไดคุย เอาความจรงิ
มาพูดกันซิ

พระพุทธเจาวา มชั ฌิมาปฏปิ ทา พวกเราเอามาแปลกนั แปลไมไดปฏิบัติวา
มัชฌิมาปฏิปทา เดนิ ทางสายกลาง ไมยิ่งนักไมหยอนนัก ไมยิ่งนักมันเปนยังไง ไมหยอน
นกั มันเปน ยงั ไง สายกลางนั้นคือยังไง ก็เห็นแตเ สื่อกบั หมอน สายกลางนน่ั เหน็ ไหม นน่ั มนั
คือมัชฌิมาของกิเลสตางหาก ไมใชมัชฌิมาของธรรมปฏิบัติ กิเลสมันมีมัชฌิมาของมัน
อยา งมน่ั เหมาะ โลกถึงไดติดมัน เดนิ ทางสายกลางนห้ี นา เอาลงเสื่อกับหมอนตรงกลางนี้
หนา นน่ั ถา จะทําความพากเพยี รใหแข็งขอบา ง โอย ไมไดนะ จะเครง เกนิ ไปนะ ทําพอดีให
สบายซิ ทําไป หลบั ไป สัปหงกไปซิ ถาชักงวงบางก็รีบหงายทองลงกลางเสื่อกลางหมอนนั้น
ซิ มัชฌิมาอยูที่นั่น นน่ั เหน็ ไหม นั่นกิเลสมันกลอม ลม ระนาวเลย

ถาเปนมัชฌิมาของธรรมแลว เอา กเิ ลสโผนมา ๆ ซิ วา งน้ั เลย มัชฌิมาตองโผนไป
ถึงไหนถึงกัน เหมือนกับขาศึกยกกองทัพใหญมา เครื่องมือของเขาเปนยังไง เราตอ ง
เตรียมเครอื่ งมือของเราใหพ รอ ม ฟดกันเลย ถากําลังและอาวุธตลอดอุบายวิธีการรบไม
เหนอื มนั ชนะมันไดยังไง ขา ศกึ นะ สติปญญาซึ่งเปนอาวุธทันสมัยที่เรียกวามัชฌิมา ไม
เหมาะสมกับกเิ ลสจะปราบกิเลสไดยงั ไง เวลากเิ ลสโผนมากต็ อ งโผนไปซิ นน่ั ละเรยี กวา
มัชฌิมา คอื เหมาะสมกบั การปราบกเิ ลสประเภทนน้ั ๆ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๐

๔๑๑

การบอกใหเ ดนิ ทางสายกลาง แตไ มท ราบวา สายกลางเปน ยงั ไง นน่ั จะตรงเปา
หมายแหงมัชฌิมาปฏิปทาไดอยางไร สุดทายความอยากไปนพิ พานก็เลยกลายเปน ตณั หา
ไปเสยี นั่นฟงดูซิ อยากไปนพิ พานกเ็ ปนตณั หา กเ็ หน็ แตค นตายเทา นน้ั ทไ่ี มอ ยากอะไรเลย
แลว มนั ไปนพิ พานไดไ หมคนตายนะ เห็นแตมันขึ้นกองฟอนกองไฟนั่นแหละ มันจะไป
นิพพานไดยังไงก็คนตาย อยากดวยอํานาจของกิเลสและพันกันอยูวันยังค่ําเปนอยางไรไม
เหน็ คดิ พอจะอยากไปนิพพาน เพียงจะหันหนาออกจากกิเลสมองดูทางไปนิพพาน อุย นี่
เปน ตณั หานะ วา อกี แหละ มันอะไรกัน จะไมเ ปน บา กนั หมดแลว หรอื ปราชญช าวพทุ ธเรา
นะ ถงึ ไดฆ า ตัวดว ยความอยากไปนพิ พานวา เปน ตัณหาขนาดนัน้

ความอยากเปนมรรคก็มี ความอยากเปน กิเลสกม็ ี ทําไมความอยากเปนมรรคมีไม
ไดว ะ ถามีไมไดมันจะแกกันไดอยางไร เอาตรงนน้ั ซิ ถาไมพลิกอยางนี้ไมทันกลของกิเลส
นะ กเิ ลสมนั แหลมคมขนาดไหน ธรรม มีสติปญญาเปนตน ไมแหลมคมไมได มันตอง
พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงหลายสันพันคมซิถึงจะทันกัน เผด็ มาเผด็ ไป รอนมารอ นไป เอาให
ทันกัน แกไมมวยเขาใหได แกไมไดตายจริง ๆ นะ นเ่ี ราเสยี ทา เขาดว ยวธิ นี ้ี เราจะแกเขา
ดวยวิธีใดตองแกซิ ไมแกก็ถูกน็อกจริง ๆ

นเ่ี คยเหน็ คณุ คา ของการเดด็ เดย่ี วในเวลาจาํ เปน จนตรอกจนมมุ เหน็ คณุ คา จรงิ ๆ
ประจักษใจ จําไมลืมตลอดไป จึงไดนํามาพูดใหหมูเพื่อนฟง พดู ดว ยความกลา หาญดว ย
มันไมไดจนตรอกหนาสติปญญา วา อยา งนเ้ี ลย ทกุ ขห นาแนน เขา เทา ไร เหมือนจะมดั เราให
ตายในปจ จบุ นั น้ี สติปญญาก็หมุนติ้วเขาไปตรงนั้น ออกไปไหนไมได เหมือนกับ
ตะลุมบอนกัน เผลอไดยังไงเวลาน้นั ราวกบั นกั มวยเขา วงในกนั เผลอไดยังไง นี่ก็สติ
ปญญาหมุนติ้ว ๆ ถอยไมได ทกุ ขหนักเทา ไรมันยิ่งหมุนเขาไปเรอ่ื ย ๆ ตอไปมันก็เขาใจ ๆ
ๆ เดี๋ยวขาศึกก็พังทลาย

ผมนะมันนิสัยหยาบ เพราะฉะนน้ั เวลามาพดู กบั หมเู พอ่ื นจงึ วา หยาบ คอื เราเคย
ปฏิบัติมายังไง ไดผลมายังไง ก็ไมพนที่จะนํานิสัยนั้นมาพูดมาใช ไมว า ครบู าอาจารยอ งคใ ด
ก็เถอะ เราวา อยา งนน้ี ะ เพราะเคยสมาคมกบั ทา นมาแลว อยางหลวงปูขาวลองไปฟงภาย
ในทา นซิ โอโห เสียงกงั วานไปถงึ สามแดนโลกธาตุแนะ ทา นเดด็ ไมใ ชเ ลน นะหลวงปขู าวน่ี
เวลาทา นพดู เปรย้ี ง ๆ หลวงปแู หวนโนน กเ็ หมอื นกนั ผมไดเ คยไปคยุ ธรรมะกบั ทานแลว
เพราะทา นกร็ าํ่ ลอื มานาน เราเขา ถงึ ทา น ไปคุยธรรมะกับทาน โอย ธรรมะทา นบรรจไุ วใ น
ใจเตม็ เปย ม ถาเปนตุมเปนถังก็เต็มถังขนาดใหญ ไมเคยไดเปดออกใชเลย อะไรสมควร
หรอื ไมส มควรแกน าํ้ นท้ี า นกร็ ู นาํ้ นเ่ี ปน นาํ้ ทส่ี ะอาด นาํ้ ทม่ี คี ณุ คา มาก จะไปเปดทิ้งเฉย ๆ ก็
ไมเกิดประโยชน เหมอื นเขาตาํ นาํ้ พรกิ ละลายแมน าํ้ นน่ั เอง ทานก็ไมพูดนะซิ ทานอยูไป

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๑

๔๑๒

อยา งนน้ั แหละ จะมพี ระมเี ณรเตม็ วดั เตม็ วากต็ าม กเ็ หมอื นกบั หวั ไมห วั ตอนน่ั แหละ ทาน
ไปสนใจอะไร ก็มันไมเกิดประโยชน เพราะพวกนม้ี นั ไมส นใจ แลวทานจะไปพูดอะไร

พอเราไปแหยท า นปบ ทานเปดผางออกมาเทียว ผมยังไมลืมนะ ก็เรามันคนข้ดี อื้
น่ี ใสป บ เขา ไปเลย ไมเ อาหลายหมดั นะ สองหมดั เทา นน้ั แหละ ใสป บ เขา ไป ทานก็ปดผึง
เลย พูดเปรี้ยง ๆ เราไมล มื ๑๐ นาที เขมขนไปถึง ๑๐ นาที แลว หยดุ เราเขา ใจแลว หมด
ท่ีสงสัยแลว ในจดุ นีว้ าง้นั เถอะ ใสแ ยบ็ เขา ไปอกี ทา นผางออกมาเลย คราวน้ี ๔๕ นาที ไหล
ออกมาเลย ทา นไมท ราบไดเ สยี งมาจากไหน ขึงขังตึงตังคึกคัก โอยพูดไมถูก เสยี งลน่ั เทยี ว
ถา มคี นเดนิ ไปบรเิ วณนน้ั เขาจะวา อะไรนพ่ี ระทะเลาะกนั หรอื ไง พอจบลง อาว ทา นมหา
เห็นวาไมถูกตรงไหน เอา คา นขน้ึ มา ๆ กระผมไมคาน กระผมหาธรรมอยา งนแ้ี หละ กเ็ รา
ลงทา นแลว น่ี

ตอ จากนน้ั ทานกถ็ าม องคน้ันละ ไดคุยกนั แลว หรอื ยัง กบั องคน น้ั ละ ไดคุยกันแลว
หรอื ยงั ทา นถามไปเรอ่ื ย กห็ มายความวา ธรรมะขี้ดื้อ ปญ หาข้ีด้อื นีไ้ ปเทยี่ วตีท่ไี หนบา ง
ความหมายกค็ งวา งน้ั โอย ทา นยม้ิ แยม แจม ใส ดูสีหนาสีตาดูทุกสิ่งทุกอยางเหมือนขึ้น
พรอม ๆ กนั เลย พลังของธรรมทานออกเต็มที่ ถาเปนโลกก็เปนพลังของกิเลส ถา เปน พลงั
จิตผูบริสุทธิ์ก็เปนพลังของธรรมออกมา เพราะธรรมไมม เี ครอ่ื งมอื สาํ หรบั ตนมาใช ก็เอา
เครื่องมือของกิเลสมาใช

อวัยวะทุกสวนเปนเครื่องมือของกิเลส เปน วบิ ากของกเิ ลส เมื่อธรรมไมมีเครื่อง
มือเปนของตัวแลว กต็ อ งนาํ สง่ิ เหลา นม้ี าใช เพราะฉะนน้ั กริ ยิ าทา ทางของธรรมท่ีนาํ เครอ่ื ง
มือของกิเลสมาใชจึงเปนเหมือนกับกิเลส เวลาแสดงอาการเขมขนออกมาเขาก็วาทานดุ
ทา นโกรธ นล่ี ะทค่ี นทง้ั หลายวา ทานอาจารยองคนั้นดุ ทา นอาจารยอ งคน ด้ี ุ ก็อยางนั้นแล
เพราะเขาไมเ คยเหน็ เห็นแตพลังของกิเลส ถากิริยาแสดงออกมาอยางนั้นก็คือกิเลสดี ๆ ที
น้เี ขาไมเคยเห็นเรื่องของธรรมเปนยังไง จะไปตําหนิเขาก็ไมได เพราะเขาไมเ คยรเู คยเหน็
วา ธรรมมพี ลงั มอี าํ นาจ สามารถแสดงออกมาอยา งเปด เผยไดเ หมอื นกเิ ลส เปนแตตอง
อาศัยรางกาย วาจา กริ ยิ า ซึ่งเปนสมบัติของกิเลสออกแสดงเทานั้น จงึ คลา ยคลงึ กนั เวลา
แสดงออก

อยา งทา นอาจารยม น่ั ทา นแสดงผงึ ๆ ทานแสดงทั้งไมทั้งมือดวย เวลาเอากนั
อยางถึงพริกถึงขิง ทีนี้มือก็ปดถูกกระโถนกลิ้งตกไปพักหนึ่ง เรายงั ไมล มื นะ ทา นกเ็ ลยหยดุ
เมื่อมือโดนกระโถนกลิ้งผานพระไปลงโนน ตกเปะ ลงพกั หน่งึ เทศนเ ลยเงยี บพระกร็ บี จบั
กระโถนมาวาง ทา นนง่ิ เงยี บไปนดิ หนง่ึ โอะ เทศนเอาจนกระโถนตกเทียวนะ จากน้นั ก็ยอ น
ปบ เปนอยา งไรละ กิเลสของพระตกไปบางไหมละ หรือตกแตกระโถน แนะ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๒

๔๑๓

เทศนว นั ไหนๆ ก็มีแตพนลมใหหมูเพื่อนฟง หาเนอ้ื หาหนงั ไมเ จอ จะทํายังไงนี่
พระเรากม็ มี ากเขา ๆ แลว นะ มันจะเหลว ๆ ไหล ๆ ไปนะ เราเขด็ เรอ่ื งเหลา น้ี กเิ ลสพาให
ลืมตัวไดงาย ๆ หนา นม่ี าแกก เิ ลสจะกลายเปน กเิ ลสมดั คอนะ สว นมากวา มาแกก เิ ลส
ความจรงิ แลว จะมแี ตช อ่ื เทา นน้ั บทกิเลสมัดคอไมไดพูด ทั้ง ๆ ที่มันมัดอยูตลอดเวลา

หูของพระทั้งหลายกับหูของเรานี่มันยังไงกัน ชอบกลอยูนะ หเู รากไ็ มเ หน็ หดู อี ะไร
ตาเรากฝ็ า ๆ ฟาง ๆ แตทําไมเห็นอะไรกอนเพื่อนวะ เวลาเราอยกู ฏุ นิ ห้ี มเู พอ่ื นคยุ กนั อะไร
ไดยินหมด เวลาจาํ เปน เราเคาะไมปอก ๆ หายเงยี บเหมอื นตายกนั ทง้ั วดั บางทีเคาะถึง ๓
พัก เคาะแลวก็หยุดไป เห็นไมไ ดเ ร่ืองกเ็ ลยเคาะอกี แลวก็เงียบไปอีก พอเคาะอีกก็เงียบไป
อีก เอ เปนยังไง ก็ดอม ๆ มาดู ก็มีพระอยูนี่ พระก็ยืน เดนิ เกง ๆ กาง ๆ อยูแถว
บรเิ วณศาลานแ้ี หละ ดมู นั จะทง้ั หลบั หหู ลบั ตา ทั้งปดหูปดตาเขาอีกดวยก็ไมรู มันถึงไมได
ยนิ นี่แสดงวาจิตไมไดอยูกับตัว ถาสติอยูกบั ตัวมันกเ็ หมือนคนอยูในบานในเรือน อะไรมา
ผา นกร็ ู แตนี้ไมรู นอกจากโกโก กาแฟ เทา นน้ั มนั จะรู โกโก กาแฟ เคยผา นมนั กร็ ไู ดเ รว็
นาํ้ สม นาํ้ หวาน โกโก กาแฟ มนั รเู รว็ แตเ สยี งนน้ั มนั ไมร เู พราะไมม หี วงั เสยี งมนั ไมม หี วงั
รายได จะไปสนใจกับมันทําไม สิ่งมีหวังมีอยูถมไปนี่วะ

พระพุทธเจาอุบัติขึ้นมาแตละพระองคกระเทือนโลก ในสามภพมอี งคเ ดยี วเทา นน้ั
ผรู เู รอ่ื ง ผลู ะ ผปู ราบขา ศกึ แหง ภพได เพราะฉะนัน้ การที่พระพุทธเจา อุบตั ขิ นึ้ ในโลกจงึ เปน
มหาอุตมมงคลอยางยิ่งแกโลก ใหไ ดเ ห็นผิดถูก ดีชั่ว บาปบญุ นรกสวรรค สักทีหนง่ึ พอ
ศาสนานส้ี น้ิ ไปเพราะกเิ ลสครอบงาํ หวั ใจของสตั ว ไมใ หม คี วามเชอ่ื ความสนใจตอ ศาสนา
ศาสนากห็ มดไป ทนี ก้ี ม็ แี ตอ นั เดยี วนแ้ี หละครอบสตั วโ ลกไว พุทธันดรหนึ่งพระพุทธเจามา
อุบัติพระองคหนึ่ง โผลข น้ึ มาทหี นง่ึ พอรูอะไร ๆ บา ง จะทํายังไง

พวกเรากเ็ หมอื นกนั นะ พุทธันดรหนึ่ง ๆ สติถงึ โผลข น้ึ มาทหี นึง่ ปญญาแย็บบางก็
ไมไดเทาแสงหิ่งหอย มืดมิดปดตาไปอีก จนเลยพุทธันดรก็ไมร ูแหละ วนั หนง่ึ ๆ จะระลกึ
แคไ หน ไดแคไหนก็ไมรู สองพุทธันดร สามพุทธันดร ระลึกสติไดทีหนึ่งก็ไมรู สวนปญญา
นาจะสี่หาพุทธันดรกวาจะแย็บออกมาไดเทาแสงหิ่งหอย นอกน้นั จมน้าํ อยูในสุญญกัปเสยี
ทั้งนั้น

เราก็สอนจนหมดภูมิหมดสติปญ ญาจะมาสอนแลว จะเอาแบบศาสนาเซน็ เขาเรอะ
เรากไ็ มใ ชเ ซน็ นว่ี ะ เซน็ เขาทาํ ยงั ไง ใครนั่งสัปหงกงกงัน อาจารยก เ็ อาคอ นตเี อานะ ซิ นี่ถา
เปน อยา งนน้ั แลว พระเณรเหลา นค้ี งไมม หี นงั ตดิ ตวั เลยแหละ ถูกคอนตีแตกกระจายไป
หมดเลย พวกนี้พวกหนังไมติดตัว ดีไมดีไมวัดปาบานตาดจะไมมีเหลือนะ ขนมาทาํ เปน
คอนตีพระ ถา จะเอาแบบศาสนาเซน็ นะ น่ีเรากลัวไมในวัดจะหมดเกลยี้ งทัง้ วดั จึงไมนํา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๓

๔๑๔

ศาสนาเซน็ มาใช ทุก ๆ องคข อใหเ หน็ ใจและสงสารไมใ นวดั แลว พากนั ตน่ื ตวั ระวงั ใจ
รกั ษาสติ บาํ รงุ ปญ ญาเอาเองเถอะ

<<สารบัญ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๔

๔๑๕

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕

มหาภทั รกปั

ความมดื ถา ไมม ีความสวาง เปน ที่ผอนคลายของผูมอี วยั วะเพื่อรบั ทราบดนิ ฟา
อากาศความมดื ความสวา ง คนเรากเ็ ปน ทกุ ข สัตวก็เปนทุกข จึงตองมีทั้งมืดทั้งสวางไว
สําหรบั ประสาทของสตั วและการทองเทยี่ วของสตั ว ซึ่งนิยมความมืดความสวางตางกัน ใจ
ถามีแตความมืดปดบังหุมหอไวแตถายเดียว หาความสวางไมไดก็ยอมเปนทุกข คือไมมีที่
ออกไมมีที่ระบาย ถา มแี ตท กุ ขถา ยเดียวไมม ีความสุขแทรกบางเลย โลกนี้ก็อยูกันไมได สง่ิ
เหลา นเ้ี ปน ของคเู คยี งกนั เสมอ จากนั้นก็แยกออกไปเปนโลก เปน ธรรม

โลกถา มแี ตโ ลกลว น ๆ ไมม ธี รรมเขา เคลอื บแฝง โลกก็หาประมาณไมได หา
ขอบเขตเหตผุ ล หาเครอ่ื งยดึ เหนย่ี วไมไ ด เมอ่ื หาเครอ่ื งยดึ เหนย่ี ว หาหลกั หาเกณฑ หา
เหตุหาผลไมไดก็เทากับหาความสุขไมได หาที่ปลงใจไมได เพราะตามปกตขิ องใจยอ มหาท่ี
ปลงท่วี างท่ยี ุตเิ พ่อื ความสขุ ความสบายอยเู สมอ เพอ่ื ปลอ ยภาระไปเปน ครง้ั คราวหรอื เปน
วรรคเปน ตอน หากไมมีที่ปลอยวางเลยก็เทากับแบกทุกขอยูตลอดเวลา เพราะฉะนน้ั ธรรม
จงึ เปน ของจาํ เปน สาํ หรบั โลก เพื่อเปนที่ยึดของใจซึ่งเปนของคูเคียงกันมาแตกาลไหน ๆ

คาํ วา พระพทุ ธเจา มาตรสั รใู นโลกนน้ั ไมใชมีเพียงองคเดียวสององค นบั เปน
จาํ นวนลา น ๆ เพราะโลกนม้ี มี าเปน เวลานาน โลกกับธรรมจึงเปนของคูเคียงกันเรื่อยมา
ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนากบั โลกจงึ มคี เู คยี งกนั จะขาดไปบา งกเ็ ปน บางกาลบางสมยั เชน ทาน
กลา วไวใ นธรรมวา พุทธันดรหรือสุญญกัป กห็ มายถงึ ความวา งเปลา จากศาสนา พุทธันดร
หมายถึงระหวางแหงพระพุทธเจาแตละองคที่จะมาตรัสรู นน่ั กว็ า งจากศาสนา ทานยังพูด
ไปถึงภัทรกัป แตละภัทรกัปที่จะมาปรากฏขึ้นมานั้นก็วางจากศาสนา ทา นเรยี กวา สญุ ญกปั

การวา งศาสนาแตล ะครง้ั แตล ะสมยั นน้ั เปน การวา งจากความสขุ ความพงึ หวงั ใน
ขณะเดียวกันก็เต็มไปดวยความทุกขของสัตวโลก เพราะหมดบญุ หมดบาปในใจ คาํ วา บญุ
วา บาปไมม เี ลยในความรสู กึ เพราะไมม ใี ครกลา วถงึ ไมมีใครรู ไมม ใี ครมาแนะนาํ สง่ั สอน
สตั วโ ลกจงึ ชลุ มนุ วนุ วายกนั อยใู นหองมดื แหงโมหะ คอื ความมดื บอดทางจติ ใจ จะวา โล
กันตนรกในสมัยนั้นของมนุษยก็ไดไมผิด

ศาสนาจึงไมใ ชเร่ืองเลก็ นอ ย เปนสิ่งที่พยุงจิตใจ ชโลมจิตใจของสัตวโลก เปนที่
รวมหวั ใจของโลก เพอ่ื ความแคลวคลาดปลอดภยั จากความมืดบอดแลมหันตทกุ ขเ ปน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๕

๔๑๖

อยางมาก เชนเดียวกับคนไขที่มียามีหมอรักษา ถามีแตคนไขเต็มบานเต็มเมืองหาหมอไม
ได เราวาดภาพขน้ึ มาดกู ไ็ ด จะเปน ทส่ี ลดสงั เวช นา อดิ หนาระอาใจ นา เบอ่ื นา หนา ยเปน
ไหน ๆ โลกนจ้ี ะไมม ใี ครปรารถนามาอยกู นั เลย หรือเมื่ออยูแลวก็ไมมีใครที่จะติดใจใคร
อยากอยูตอไป มีแตความขยะแขยง มแี ตความทุกขความทรมานระทมใจอยูเปนประจําเทา
นน้ั นี่โรคไมมียา โรคไมมีความรูสึกวายามีหรือหมอมี จงึ เปน โรคทร่ี า ยแรงมาก สัตวโลกที่
ไมม ศี าสนาเปน เครอ่ื งยดึ เปน เครอ่ื งผอ นคลายกเ็ ชน เดยี วกนั เปนโลกท่ีหมดความหมายไร
คาหาที่เกาะที่ยึดทางจิตใจไมได

สัตวโ ลกทีไ่ มม ธี รรม ไมม ีคาํ วาบญุ วา บาปพอทีจ่ ะใหข ยะแขยง เพื่อการละการถอน
และเพือ่ มีความกระหยิม่ มงุ หวังตอบุญคือความดีทงั้ หลาย ก็เปนโลกที่เปนโมฆะ แตใ น
ขณะเดียวกันสิ่งที่รมุ รอนอยูภายในใจของสตั วโลกน้ัน ไมมีกาลไมมีสมัย ความมกี าลมสี มยั
ก็คือศาสนธรรมที่พระพุทธเจาแตละพระองคมาอุบัติ ตรสั รแู ลว สง่ั สอนโลกเทา นน้ั สว น
กเิ ลสทท่ี าํ ความรมุ รอ นใหแ กส ตั วโ ลกนน้ั ไมเ คยมคี าํ วา กาลวา สมยั ยิ่งเปนสมัยที่ไมมี
ศาสนาดว ยแลว ยงิ่ เปน สมยั ทกี่ เิ ลสประเภทตาง ๆ แสดงอิทธิพลเรืองอํานาจเต็มหัวใจของ
สตั วโ ลก ฤทธิ์เดชที่ไมพึงปรารถนาคือทุกขและมหันตทุกขในวงสัตว จะแสดงเต็มที่เตม็
ฐานเตม็ กาํ ลงั เพราะไมม สี ง่ิ คดั คา นตา นทาน ถา เปน โรคกไ็ มม ยี ารกั ษาบา งเลย จึงตอง
แสดงเต็มที่เต็มฐานแกคนไข สว นจติ ใจที่ไมมีธรรมไมม ศี าสนา มแี ตก เิ ลสอยา งเดยี วเปน
เจา อาํ นาจบบี บงั คบั ในหวั ใจนน้ั จึงหาความสุขแมนิดหนึ่งไมไดเลย มแี ตค วามรมุ รอ นแผด
เผาเต็มหัวใจสัตว เรียกวา โลกันตะ ก็ไมผิด ในสมยั ทเ่ี ปน สญุ ญกปั วา งจากศาสนา สตั วโ ลก
ก็จมอยูในกองทุกข หาทางออก หาทางหลกี เรน หาทางผอนคลายไมไ ด เพราะไมม ศี าสน
ธรรมเยยี วยาผอ นคลาย นก่ี ลา วทว่ั ๆ ไปตามหลักคติธรรม คตโิ ลก หากเปนของคูเคียงกัน
มาเชน นน้ั

ที่นี่ยอนเขามาถึงตัวของเราซึ่งเกิดในแดนแหงพระพุทธศาสนา อันอุดมสมบูรณ
ไปดว ยเครอ่ื งชแ้ี นะแนวทาง ใหร ทู ง้ั ความเสอ่ื มความเจรญิ ใหร ทู ง้ั บาปทง้ั บญุ ทั้งคุณทั้ง
โทษ นรกสวรรค จนถึงวิมุตติหลุดพนไดแกพระนิพพาน มสี มบรู ณอ ยแู ลว ในหลกั ธรรม
ของพระพุทธเจา และเปนธรรมที่ถูกตองแมนยําทุกสัดทุกสวนทุกสิ่งทุกอยางที่ประทานไว
แลว น้ี คาํ วา บาปมี บุญมี นรกมี สวรรคม ี พรหมโลกมี นพิ พานมี เปน สง่ิ ทค่ี งเสน คงวา
เปน ธรรมชาตทิ ต่ี ายตวั คอื มมี าแลว แตก าลไหน ๆ เปน แตผ สู ามารถคน พบสง่ิ ทง้ั หลาย
เหลา นม้ี ขี น้ึ มาเปน บางครง้ั บางคราวในเวลาทพ่ี ระพทุ ธเจา ตรสั รเู ทา นน้ั

เมอ่ื เราทง้ั หลายไดท ราบหลกั ศาสนธรรม ที่ประกาศสอนไวแลวโดยถูกตองแมน
ยาํ เชน น้ี จงึ เรยี กวา เราทง้ั หลายมวี าสนา เหมาะกบั กาลสมยั แหง ความเปน มนษุ ยโ ดย

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๖

๔๑๗

สมบรู ณ ที่มีธรรมเปนเครื่องประดับ หรอื มศี าสนธรรมเปน เครอ่ื งยดึ เปน เครอ่ื งเทดิ ทนู มี
ธรรมทาํ ความอบอนุ มน่ั คงใหแ กจ ติ ใจ หรอื วา บอ แหง การสรา งความหวงั ใหส มบรู ณ คือ
ศาสนธรรมกไ็ มผ ดิ

เราสรา งความหวงั เราตองสรา งตามหลกั ของธรรม หรอื สรา งใหเ ปน ไปตามธรรม
อันเปนความถูกตองแมนยําอยูแลว ความหวงั นน้ั จงึ จะบรรลผุ ลดงั ใจหมาย เพราะความ
หวังของโลกทั่ว ๆ ไปไมเ คยมใี ครจะหวงั ความทกุ ขค วามลาํ บาก ความจนความทรมาน
ความโงเ ขลาเบาปญ ญา ความขร้ี ว้ิ ขเ้ี หรใ นรปู พรรณสณั ฐานแมร ายเดยี วเลย ตลอดสิ่งที่มา
เกี่ยวขอ ง บรษิ ทั บรวิ ารสมบตั เิ งนิ ทอง ลวนตองการแตของดีเปนที่พึงหวังดวยกันทั้งนั้น

เมื่อเราตางตองการของดีมีคุณคาทั้งหลาย แนวทางที่จะใหบรรลุสิ่งที่พึงหวงั ดงั ใจ
หมายนน้ั กค็ อื ศาสนธรรมทา นชบ้ี อกไวโ ดยสมบรู ณแ ลว เชน อยากเปนคนดีก็ตอง
ประพฤติปฏิบัติกําจัดสิ่งที่ชั่ว ซึ่งแสดงออกอยูทุกระยะ หรือทกุ เวลาภายในกาย วาจา ใจ
ของเราน้ี ทา นสอนวธิ รี ะงบั วิธีดับ วิธีกําจัด วธิ หี กั หา มไวห มด เมอ่ื เราพยายามทาํ ตามทาน
ไมฝาฝนทางเดินที่ถูกตองแมนยําเพื่อความหวังอันสมบูรณ เรากจ็ าํ ตอ งดาํ เนนิ ตามนน้ั
ทุกขยากลําบากเพียงไรก็จําตองดําเนินตามสายทางที่ถูกตองนั้น ยอมจะถึงจุดที่มุงหมายไม
พนวิสัยไปได

คุณงามความดีทุกประเภททุกขั้นทุกภูมิ ยอมไมพนจาการทําความดี ตามหลกั
ศาสนธรรมไปได แตจ ะทาํ แบบสมุ เดาหาเหตหุ าผลหาหลกั หาเกณฑไ มไ ด ทําเอาตามความ
อยากความตองการของตนนั้น สวนมากมกั เปน สิ่งสังหารทาํ ลายความหวังของตน ใหก ลาย
เปน ความเลวรา ยและความทกุ ขไ ปเสยี มากตอ มาก

ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนธรรมจงึ เปน สง่ิ จาํ เปน สาํ หรบั บงั คบั จติ ใจใหก า วเดนิ หรอื
ประพฤติปฏิบัติไปตาม อยา ใหผ ดิ พลาดคลาดเคลอ่ื นจากหลกั ธรรม ผลจะพึงสมหวังโดย
ลาํ ดบั นี้คือสายทางของมนุษยจะพึงกาวเดิน ใหสมความมุงหมายดังใจหวังไมมีทางอื่น

น่เี ราท้งั หลายก็ไดนอมธรรมเขามาปกปกรกั ษายึดเหนย่ี วอยางเปนจติ เปน ใจ ฝาก
เปน ฝากตายอยแู ลว ภายในใจเวลาน้ี เรามวี าสนาบารมจี งึ ไดเ กดิ มาประจวบเหมาะกบั กาล
สมัยที่มีพระพุทธศาสนา แมพระพุทธเจาจะปรินิพพานไปแลว เราไมไ ดเ หน็ องคท า นกต็ าม
ธรรมคอื ความจรงิ และความรม เยน็ คงเสน คงวาน้ี เปน องคแ ทนศาสดาโดยสมบรู ณอ ยแู ลว
ดังทีท่ านตรสั กับพระอานนทวา ดกู อ น อานนท ธรรมและวินัยที่ตถาคตแสดงไวแลวนี้
แล จะเปน ศาสดาแทนเราตถาคตเมอ่ื เราผา นไปแลว นน่ั องคศ าสดากค็ ือพระธรรมวนิ ยั
โดยตรง ไมมีคําวาออมคอม จงึ ไมม ีคําวาอดีตอนาคต เปน สวากขาตธรรมทต่ี รสั ไวช อบ
แทนพระองค ยงั มีอยโู ดยสมบรู ณ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๗

๔๑๘

ยิ่งไดประพฤติปฏิบัติตนทางจิตตภาวนาใหเห็นประจักษใจ ตง้ั แตส มถธรรม
วปิ ส สนาธรรมขน้ึ ไปเปน ลาํ ดบั ก็ยิ่งจะไดเห็นตถาคตองคแทจริงภายในใจ และเปนสักขี
พยานไปโดยลาํ ดบั จนเปน สกั ขพี ยานเตม็ สว น ดว ยการรธู รรมเหน็ ธรรมเตม็ ภมู ภิ ายในใจ
นแ่ี หละทว่ี า ผใู ดเหน็ ธรรม ผนู น้ั เหน็ เราตถาคต ตง้ั แตข น้ั เรม่ิ แรกแหง การเหน็ ธรรม นับ
แตส มาธธิ รรม ปญ ญาธรรม ถงึ วมิ ตุ ตธิ รรม เรยี กวา เรม่ิ เหน็ ตถาคตไปเรอ่ื ย ๆ เมื่อถึงขั้น
วสิ ทุ ธธิ รรมแลว เรยี กวา เหน็ ศาสดาเตม็ องคร อ ยเปอรเ ซน็ ต เพราะธรรมชาตนิ เ้ี ปน อยา ง
เดียวกันกับตถาคตไมมีที่สงสัย

เมอ่ื ไดกาวเขาสธู รรมะท่บี รสิ ทุ ธิน์ ีแ้ ลว ยอ มหายสงสยั ในพระพทุ ธเจา ทง้ั หลายวา มี
หรอื ไมม ีโดยส้ินเชิง เพราะธรรมชาตทิ ร่ี ทู เ่ี หน็ นเ้ี ปน เครอ่ื งยนื ยนั กบั พระพทุ ธเจา ทง้ั หลาย
อยางประจักษใจแลว เมอ่ื เรากไ็ มส งสยั ในความรคู วามเปน ของเรา แลว เราจะสงสยั พระ
พุทธเจาทั้งหลายที่ไหนกัน เพราะความจรงิ เปน อนั เดยี วกนั นค่ี อื การเหน็ ศาสดาหรอื เหน็
ตถาคตดว ยความเหน็ ธรรม คอื ความเหน็ ธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ ใจที่บริสทุ ธิ์กบั ธรรมทีบ่ รสิ ทุ ธ์ิ
กลมกลืนเปนอันเดียวกัน

ศาสดาทุกองค พระสาวกทุกองค ไมวาจะเปนพระสาวกของพระพุทธเจาพระองค
ใด เปน ธรรมชาติเหมือนกันนีท้ งั้ สิ้น ธรรมนเ้ี ปน เครอ่ื งยนื ยนั วา พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทเ่ี รา
ทั้งหลายกลาวอางระลึกถึงพระพุทธเจาทั้งหลายก็ดี ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทเ่ี ราระลกึ ถงึ พระ
ธรรมก็ดี สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ที่เราระลึกถึงพระสงฆทั้งหลายก็ดี รวมอยใู นธรรมชาตทิ จ่ี ติ
บรสิ ทุ ธ์ิ ธรรมบริสุทธก์ิ ็ปรากฏอยกู บั ใจของผบู ริสุทธิ์น้ันอยา งประจกั ษแลว จึงหาที่สงสัยไม
ได ใครรใู ครเหน็ ธรรมทก่ี ลา วนย้ี อ มชอ่ื วา เห็นตถาคตเชนเดียวกันหมด โดยไมนิยมวาเพศ
หญงิ เพศชาย เพศนกั บวชและฆราวาส ตลอดชาตชิ น้ั วรรณะใด ๆ ทั้งสิ้น

นแ่ี ลคาํ วา พระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ มีอยู แตไมไดมีอยูแบบโลกทั้งหลายมี
อยู สมมุติทั้งหลายมีอยูกัน ทั้งความมีอยูเหมือนโลกทั่ว ๆ ไป ทั้งความสูญไปดังที่โลกทั้ง
หลายเขา ใจกนั หรอื ในคาํ วา สญู ทั้งสองเงื่อนนี้ไมไดเกี่ยวของกับคําวาพุทธ ธรรม สงฆที่มี
อยนู น้ั เลย แตม อี ยแู บบธรรมชาตขิ องธรรมท่ีบรสิ ุทธล์ิ ว น ๆ หรอื จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ ซึ่งไม
เหมอื นกบั โลกใดในไตรภพ จึงไมไดมีอยูแบบโลกและสูญไปแบบโลกไตรภพ นี่แลทช่ี าว
พุทธทั้งหลายกลาวอางถึงทาน จึงไมไดเปนโมฆะ การกลาวอางนั้นเรียกวาถูกตองตามจุด
ตามหมายตามความจรงิ แหง พทุ ธ ธรรม สงฆ

ที่แยกออกมาเปนพุทธ เปน ธรรม เปนสงฆนี้ แยกออกเปนสมมุติอันหนึ่ง เปน
กริ ยิ าอนั หนง่ึ แตล ะอยา ง ๆ ตามสมมุติ เพอ่ื เปน กรุยหมายปา ยทางบอกของผกู าํ ลังดาํ เนิน
เพอ่ื วิสทุ ธธิ รรมนน้ั เมือ่ จิตเขา ถึงธรรมะบริสทุ ธ์ิ จิตที่บริสุทธิ์เต็มที่แลว จะทราบไดท นั ทใี น

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๘

๔๑๙

ธรรมชาตนิ น้ั ไมส งสยั เมื่อจิตไดกาวเขาถึงความบริสุทธิ์เต็มภูมิแลว กเ็ ทา กบั ไดก า วเขา สู
ธรรมที่บริสุทธ์เิ ตม็ ภูมิ เพราะธรรมบรสิ ทุ ธก์ิ บั ใจทบ่ี รสิ ทุ ธเ์ิ ปน อนั เดยี วกนั คําวา พุทธ
ธรรม สงฆ ที่แยกเปนอาการน้ัน จงึ รวมอยใู นคาํ วา ธมฺโม ปทีโป อนั เดยี วกนั นน้ั

ธรรมชาตนิ ไ้ี มม คี าํ วา กาล สมัย สถานท่ี ไมม อี ะไรเขา มาทาํ ลาย เขา มาเกย่ี วขอ ง
เขา มาลบลา งได เพราะพน วสิ ยั ของสมมตุ ทิ งั้ ปวงดงั กลาวเหลา นไี้ ปแลว เปน ธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ
อยูโดยหลักธรรมชาติ ธรรมชาตินั้นไมใชสมมุติทั้งมวลที่มีอยูในสามแดนโลกธาตุนี้ เปน
ธรรมชาติอันหนึ่งตางหากจากสมมุติทั้งมวล และมจี ิตเทา น้ันทจี่ ะเปนผูสมั ผัสสัมพนั ธรับ
ทราบธรรมชาตนิ น้ั ตา หู จมูก ลน้ิ กาย ไมใ ชว สิ ยั แหง การรบั ทราบธรรมนน้ั มใี จเทา นน้ั
สามารถรบั ทราบ และเปน ภาชนะอนั เหมาะสมอยา งยง่ิ กบั ธรรมะบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั เพราะฉะนน้ั
ทา นจงึ สอนใหป รบั ปรงุ จติ ใจใหด ี การปรบั ปรงุ จติ ใจไดใ นขน้ั ใดภมู ใิ ด จะไดสัมผัสสัมพันธ
กบั ธรรมขน้ั นน้ั ภมู นิ น้ั ทม่ี อี ยเู ชน เดยี วกบั ธรรมะบรสิ ทุ ธ์ิ

คาํ วา สมถธรรมหรอื สมาธธิ รรม ถา ยงั ไมร ดู ว ยภาคปฏบิ ตั ิ กจ็ ะมแี ตก ารคาดการ
หมายกนั เทา นน้ั การคาดการหมายก็ไมผดิ อะไรกับโลกเขา แมจ ะเรยี นธรรมความจาํ ก็
เหมอื นโลกน่ันเอง ไมไดมีผลเปนสมถะและวิปสสนาอะไรถาไมไดปฏิบัติ เมื่อไมไดสัมผัส
สมั พนั ธก บั คาํ วา สมาธขิ น้ึ ทใ่ี จแลว จะไมท ราบวา สมาธนิ น้ั เปน อยา งไร เชน ความสงบนส้ี งบ
อยางไร เปนแตเพียงคาด คาดดวยทั้งที่จิตไมเคยสงบ แลวจะไปถูกความสงบไดอยางไร
จิตคาดสมาธิดวยทั้งจิตที่ไมเปนสมาธิ จิตคาดปญญาดวยทั้งที่จิตไมไดเปนปญญา จติ คาด
วิมุตติความหลุดพนดวยทั้งที่จิตไมไดหลุดพน แตเต็มไปดวยกิเลส จะไปถูกความจริงแหง
ธรรมนน้ั ๆ ไดอยางไร

เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ สอนใหป ฏบิ ตั ิ มที างเดยี วนเ้ี ทา นน้ั ทจ่ี ะทราบความจรงิ แหง
ธรรมเหลา นน้ั เปน ขน้ั ๆ ตอน ๆ ขึ้นไปจนถึงขั้นพอตัว เพราะการบาํ เพญ็ ธรรมมคี วามพอ
ตวั ถึงจุดอิ่มตัวไดทั้งขั้นสมถะและวิปสสนา ไมเหมือนโลก ไมเ หมอื นกิเลสท่หี าความพอ
ตัวและอิ่มพอไมไดตลอดไป ผูวิ่งตามโลกคือกิเลสจึงหิวเรื่อยไป ทุกขเรื่อยไป ไมมีจุดมี
หมายแหง ความสน้ิ สดุ ยตุ ิ

กิเลสนี้ไมมีคําวาอิ่มตัว นอกจากมคี วามหวิ กระหายอยตู ลอดเวลา เพราะฉะนน้ั จติ
จงึ มคี วามกระวนกระวาย อยากรอู ยากเหน็ อยากไดน ้ันอยากสมั ผสั นี้ เปน อยูอยางน้นั หา
ความอิ่มพอ พอสงบตัวบางไมไดเลย กเิ ลสทาํ จติ ใจของสตั วโ ลกใหร ะสาํ่ ระสายกระวน
กระวายไปดว ยความอยาก ความหวิ โหย ความทะเยอทะยานไมมีประมาณ สาํ คญั ทค่ี วาม
หวิ ความตอ งการอยากรอู ยากเหน็ อยากเปนอยางนั้นอยางนี้ มนั เตม็ อยใู นหวั ใจตลอดเวลา
คาํ วา เตม็ นน้ี น้ั เตม็ ไปดว ยความหวิ โหย เต็มไปดวยความทุกขทรมานกายใจ ไมไดเต็มไป

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๑๙

๔๒๐

ดว ยความสมบรู ณพ นู ผลทพ่ี งึ ปรารถนาแตอ ยา งใด ไมเ หมอื นธรรม ฉะนน้ั กเิ ลสกบั ธรรม
จึงเดินสวนทางกนั และเปนขา ศกึ ตอกนั เร่ือยมา คนมีธรรมครองใจกับคนที่เปน คลังกเิ ลส
ไมส นใจในธรรมกเ็ ดนิ สวนกนั เชน นน้ั และมักเปนขาศึกกันเสมอ ผูกอเหตุมักเปนฝายคลัง
กเิ ลสตวั ยแุ หยก อ กวนนน่ั แล

ธรรมนน้ั มคี าํ วา เตม็ วา พอ สมาธิก็เต็ม คอื ความสงบเต็มหัวใจรูไ ดช ัด ความสงบ
ในสมาธิยอมอิ่มตัวในสมาธิ ไมเหมือนกิเลสวาจะมีความอิ่มพอในตัวเองไมเคยมี ขัดแยง
กนั อยางน้ี ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมจงึ เดนิ สวนทางกนั กิเลสครองใจเต็มที่ใจก็หิวเต็มที่ ผูมี
ธรรมครองใจโดยสมบรู ณ ใจอิ่มพอเต็มตัว ความหวิ กบั ความอม่ิ วดั ผลของมนั แลว เปน
อยางไร ความหวิ กค็ อื ความทกุ ขค วามลาํ บากทรมาน หิวมากเทาไรยิ่งทุกขมาก เชน เราหวิ
ขา ว อยา วา แตห วิ ภายในจติ ใจดว ยอาํ นาจของกเิ ลสเลย เพยี งหวิ ขา วเทา นน้ั กเ็ ปน ทกุ ข หวิ
หลบั หวิ นอนเปนทุกขท ง้ั น้นั ย่ิงหวิ เพราะอํานาจของกเิ ลสดวยแลว ก็เปน มหันตทุกข ผูไมหิว
คือผูอิ่มธรรมจะเปนทุกขอะไรกัน ตองเปนสุขเต็มหัวใจในทามกลางของผูมีทุกขเต็มหัวใจ
เพราะอาํ นาจกเิ ลสพาใหห วิ โหยและเกดิ ทกุ ขอ ยนู น่ั แล นด่ี เู อาผลระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมดงั
ทก่ี ลา วมานแ่ี ล

ธรรมมีความอิ่มพอไดเปนขั้น ๆ นับแตขั้นสมาธิไป สมาธิที่พอตัวก็อิ่มตัวในสมาธิ
ไมใ ชจ ะหวิ โหยในสมาธเิ รอ่ื ยไป มีความอิ่มตัว มคี วามผาสุกเยน็ ใจ อิ่มตออารมณตาง ๆ ที่
เปน เรอ่ื งของกเิ ลส อยดู ว ยความสงบเยน็ ใจ เชน เดยี วกบั เรารบั ประทานอม่ิ แลว นอนสบาย
เชน นน้ั ปญญาก็มีความอิ่มตัวเมื่อถึงขั้นอิ่ม ขน้ึ ชอ่ื วา ธรรมไมม คี าํ วา เตลดิ เปด เปง มี
ประมาณมีความพอตัวตามขั้นตามภูมิของธรรม จนกระทั่งเต็มภูมิของจิตเต็มภูมิของธรรม
แลวใจก็อิ่มตัวเต็มที่ ที่เรียกวาเมืองพอ

คาํ วา นพิ พาน ๆ ถา พดู ตามหลกั ธรรมชาตเิ กย่ี วกบั เรอ่ื งความหวิ โหยแลว ก็คือ
ความพอตัวอิ่มตัวเต็มที่นั่นแล นอกจากอิ่มตัวเต็มที่แลวยังคงเสนคงวาตลอดอนันตกาล
อีกดวย ไมมีสมมุติใด ๆ เขา ไปเกี่ยวของวุน วายหรอื สัมผัสสมั พันธใ นธรรมชาตินัน้ ตลอด
ไป ทท่ี า นวา นพิ พานเทย่ี ง ก็หมายถึงจิตที่อิ่มตัวเต็มที่แลว หรอื พน แลว จากความหวิ โหย
โดยประการทง้ั ปวง ทา นจงึ เรยี กวา เทย่ี ง ถายังจะมีแปรผันกันอยู น่ันกเ็ ปนสมมตุ ิธรรมดานี่
แล แมจะมอี ายยุ ืนนานถงึ กีล่ า นปก็ตาม ถาหากมกี ารเปลี่ยนแปลงอยแู ลวก็ยังตกอยูในไตร
ลักษณคือ อนจิ จฺ ํ หาความแนน อนไมไ ดอ ยนู น่ั เอง

ดว ยเหตนุ ้ี คาํ วา จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธก์ิ บั คาํ วา นพิ พานนน้ั จึงไมไดอยูในกฎของไตรลักษณ
ที่จะเอื้อมเขาถึง อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้เปนรังแหงสมมุติทั้งมวล ไมว า จะเปน สว นหยาบ
สว นกลางสว นละเอยี ดขนาดไหน ก็เปนเรื่องของสมมุติทั้งมวล สว นจติ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๐

๔๒๑

หรอื นิพพานนั้นไมไ ดอยูใ นกฎอันน้ี นอกเหนือจากกฎนี้ไปแลว เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณา
เพื่อนิพพานจึงตองกาวเดินไปตามทางสาย อนจิ จฺ ํ ทกุ ขํ อนตฺตา อนั เปน ทางเดนิ เพอ่ื ความ
หลดุ พน เมื่อหลุดพนไปแลว ธรรมทัง้ สามประเภทนก้ี ป็ ลอ ยวางไวตามความจรงิ หมดสง่ิ
เกี่ยวของกันตอไป

ธรรมทก่ี ลา วมานม้ี ผี ใู ดสามารถนาํ มาสง่ั สอนโลกได ก็มีพระพุทธเจาเพียงพระองค
เดยี วเทา นน้ั เปน ผฉู ลาดสามารถเหนอื มนษุ ยม นาเทวดาและสตั วโ ลกทง้ั หลาย เกนิ กวา ทจ่ี ะ
นาํ มาเทียบเคยี งได และไมทรงศึกษาอบรมกับผูหนึ่งผูใดดวย ทรงเปน สยมั ภู รดู ว ยความ
สามารถของพระองคเ พียงผูเ ดยี วเทานนั้ แลว นาํ ธรรมนน้ั มาสง่ั สอนสตั วโ ลกใหร บู ญุ รบู าปรู
นรกรสู วรรค รูจนถึงความหลุดพนคือพระนิพพาน ไมบกพรองในอุบายวิธีการสั่งสอน

ส่ิงที่กลาวมาท้งั น้ีเปน ความมคี วามจรงิ มาดง้ั เดมิ อยูแลว แตไ มม ใี ครรใู ครเหน็ จงึ
หาทางหลีกเลี่ยงทางเพื่อบําเพ็ญไมได เมื่อหาทางไมไดก็ตองติดอยูทางฝายต่ําเสมอ ฝาย
ต่ําก็คือเรื่องของกิเลส ผลก็คือความทุกขทรมาน สตั วโ ลกโดนเอา ๆ ในสง่ิ ทไ่ี มร ไู มเ หน็ นน้ั
แหละโดนไดง า ย ถา สง่ิ ทเ่ี หน็ ใครจะไปกลา โดน เพราะคาํ วา โดน โดนมากโดนนอ ยโดนหนกั
โดนเบาขนาดไหน ก็ตองเจ็บมากนอยไปตามสวนแหงการโดน การเตะการชนการเหยยี บ
ยาํ่ นน่ั แล ส่ิงเหลา นเ้ี ปน สงิ่ ที่มอี ยูก บั สตั วโ ลกทว่ั ๆ ไป สัตวโลกไมนอกเหนือไปจากสิ่งที่มี
อยทู ง้ั หลายนไ้ี ดเ ลยแมร ายเดยี ว จําตองโดนดวยกันโดยไมสงสัย เหน็ ไมเ หน็ รไู มร ู ไมเปน
สงิ่ ลบลางความมีอยนู น้ั ได

นอกจากผูท่ีหลดุ พนไปแลว จากแดนแหง สมมตุ นิ เี้ ทานัน้ คอื พระพทุ ธเจา และ
สาวกทง้ั หลาย ทา นไมมาเจอไมม าโดนบรรดาสมมุตทิ ัง้ มวล ไมว า จะเปน สว นหยาบสว น
กลางสว นละเอยี ด ความสุขของโลกก็ไมวาจะสุขอยางหยาบอยางกลางอยางละเอียดขนาด
ไหน ทานปลอยไปหมดแลว ความทกุ ขเ พราะอาํ นาจของกิเลส อาํ นาจของวฏั วนท่ีเปนมา
ตั้งแตทุกขเล็กนอยจนกระทั่งมหันตทุกข เพราะฤทธอ์ิ าํ นาจของกเิ ลสผลติ ขน้ึ มาบบี บงั คบั
สตั วโ ลก ทานก็พนไปหมดแลว ไมม ที า นผสู น้ิ กิเลสพระองคใดรายใดเขามาเกี่ยวขอ งและ
ตองโดนเหมือนสัตวโลกทั่ว ๆ ไป ทา นพน ไปหมดเพราะความรคู วามเหน็ ความสลดั ปด ทง้ิ
มีแตสัตวโลกเทานั้นที่คลุกเคลากันอยูกับกิเลสแลกองทุกขทั้งมวล เชน เดยี วกบั โยนสตั วล ง
ในหมอ นํา้ รอ นซ่งึ กําลงั เดอื ดพลา น ๆ อยนู น่ั แล ผูตาดีหูดีทานไมมา ทานสลัดออกไดแลว
พนไปไดแลว

เพราะฉะนน้ั คาํ วา บาปกด็ ี บุญก็ดี นรกก็ดี สวรรคก ด็ ี พรหมโลกก็ดี จงึ อยใู นวสิ ยั
ของสัตวโลกนี้จะพบไดเห็นไดเจอไดดวยกัน ผูปฏิเสธวาไมมีก็ตาม ผยู อมรบั วา มกี ต็ าม จะ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๑

๔๒๒

ไมนอกเหนือไปจากผลของกรรมที่ตนทําทั้งรูและไมรู ทั้งดีทั้งชั่วนั้นไปไดเลย เพราะกฎน้ี
เปนกฎตายตัว และขนึ้ อยกู ับการกระทําของสตั วโ ลก

ใครก็ตามไมว าสตั วไมว า บุคคล จะนอกเหนือไปจากการกระทํานี้ไมได มกี าร
กระดิกพลิกแพลงตองเปนอาการของการกระทําทั้งนั้น คดิ ขน้ึ ภายในใจกเ็ ปน มโนกรรม
คิดดีคิดชั่วก็เปนความคิดที่ผิดที่ถูก จะยังผลความสุขความทกุ ขใหเ กิดข้ึนไดเชนเดยี วกัน
เพราะสัตวโ ลกเกิดอยใู นแดนแหงกรรมที่จําตอ งกระทาํ เมื่อทําลงไปแลวผลจะตองเปนไป
ตามนน้ั ไมม ีใครจะลบลางได จะไปโดนอะไรยอมขึ้นอยูกับกรรมดีและชั่วเปนผูชี้ทาง ถา
เปน ความชว่ั ทต่ี นทาํ ขน้ึ มาแลว จะปฏิเสธจะลบลางผลนั้นไดอยางไร

การกระทาํ กท็ าํ ดว ยความมดื บอด ไมไ ดร วู าดหี รอื ชั่ว หรอื รกู ท็ าํ ทง้ั รู ๆ ยง่ิ เปน
ความหนา ดา นของผูทํา สนั ดานหยาบของผทู าํ เขา ไปอกี แลว จะเอาอาํ นาจแหง ความหนา
ดา นสนั ดานหยาบนไ้ี ปลบลา งกองทกุ ข ลบลา งนรกอเวจซี ง่ึ เปน ทแ่ี ผดเผาของสตั วห นา ดา น
ของสตั วห ยาบโลนนี้ไดอ ยา งไร หากเปน สง่ิ ทล่ี บลา งได ไมมีใครจะมาตกอยูในกองทุกขกัน
เลย อยาพูดถงึ ข้ันนรกซึ่งเปนสิ่งทส่ี ดุ วสิ ยั ของจําพวกตาบอดหหู นวกเหมอื นอยา งเราจะ
โดนกนั เลย แมแตกองทุกขอยูในโลกนี้ มนษุ ยเราก็มหี ูมีตาดวยกนั ไมเ หน็ ใครผา นพน
ความทุกขซึ่งควรจะไดรับอยูในโลกนี้ไปได

ไมว า คนโงคนฉลาดคนมงั่ มีดเี ดนหรอื คนทกุ ขจนขนาดไหน เรื่องความทุกขซึ่ง
เปนไปอยูกับธาตุกับขันธ เปนไปอยูกับความคิดการกระทําผิดถูกดีชั่วของตนนี้ ตนจําตอง
ยอมรับตลอดวันตลอดคืนตลอดอิริยาบถไปอยูเชนนี้ ไมมรี ายใดท่ีจะหลบหลีกปลีกตวั จาก
ทุกขนั้นไปได นเ่ี ราเหน็ กนั ไดอ ยา งชดั ๆ เพียงอยูในมนุษยนี้ทั้ง ๆ ทเ่ี รากย็ งั ตาดหี ดู ี ยังไม
เห็นผานพนความทุกขทั้งหลายซึ่งเปนของมีอยูในโลกนี้ไปได เหตใุ ดจะไปลบลา งบาปและ
นรกอนั เปน ทหี่ มกไหมข องสัตวจําพวกหยาบโลนทัง้ หลายได

สวากขาตธรรม ทานตรัสไวชอบแลวทุกสิ่งทุกอยาง ผูเชื่อตามพระพุทธเจาจะเปน
ผรู ะมดั ระวงั ความช่ัวท้งั หลายไมก ระทําและพยายามบําเพญ็ ในทางที่ดี แมจะทุกขยาก
ลาํ บาก ยอมจะมแี กใ จฝา ฝนความยากลําบาก ดว ยการกระทาํ ตามนสิ ยั ของผเู ชอ่ื ธรรม

เราชาวพทุ ธ เฉพาะอยางยิง่ เปนพระดว ยเปน นกั ปฏิบัตดิ ว ย กย็ ง่ิ จะไดน าํ ธรรม
เหลา นเ้ี ขา มาพนิ จิ พจิ ารณาใหถ งึ ความจรงิ แหง ธรรมทง้ั หลาย ความจรงิ นน้ั จะสะทอ นยอ น
กลับมาเปน สมบตั ิอนั พึงใจของเราผปู ฏบิ ตั แิ ตความดงี าม ผลจะไมเปนอื่นนอกจากความดี
เปน ความสขุ ความเจรญิ เปน ทพี่ งึ ใจในผลท่ีไดรับโดยถา ยเดยี ว เพราะความดขี องตน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๒

๔๒๓

ตอนตน ไดพ ูดถึงเร่อื งศาสนาทเี่ ปนคราวเปน สมยั เชน กลาวถึงพุทธันดรและ
สุญญกัป ทนี่ ีย่ อนเขา มาถึงตวั ของเราเองผูทรงศาสนา เฉพาะอยา งย่งิ คาํ วา พทุ ธศาสนา
ศาสนาคอื คาํ สอนของทา นผรู ู เรากไ็ ดป ฏบิ ตั ิ เราไดน บั ถอื เปน หวั จติ หวั ใจเปน เนอ้ื เปน หนงั
ฝากเปนฝากตายอยแู ลว ทนี่ ่ยี อ นเขามาเพื่อใหผลประจักษกับใจเรา และเปน คตเิ ครอ่ื ง
เตอื นใจเราใหม สี ตสิ ตงั ใหมีความรอบคอบ ใหมีกําลังใจยิ่ง ๆ ขึ้นไปนั้น เราควรจะคดิ ถงึ
ตวั เราในอริ ยิ าบถตา ง ๆ ยืน เดนิ นั่ง นอน วา เวลานจ้ี ติ ใจของเราเปน สญุ ญกปั หรอื เปน ยงั
ไง ถาจิตใจไมมีสติประคองความเพียร ไมมีปญญาเปนเครื่องพินิจพิจารณาแกไข ถอด
ถอนสิ่งที่พัวพันขัดของเสียดแทงใจแลว นั่นก็คือสุญญกัป เปนกปั ทถ่ี ูกกิเลสยาํ่ ยีตแี หลก
ภายในใจเราไมเ ลอื กอริ ยิ าบถ ทั้ง ๆ ทเ่ี รานบั ถอื ศาสนาและเปน พระปฏบิ ตั นิ น่ั แล เพราะ
คาํ วา สญุ ญกปั มันเปนกัปของกิเลสโดยตรง สุญญกัปนี้ไมกลัวผูนับถือพุทธศาสนาและพระ
ธุดงคกรรมฐาน จงอยาเอาอํานาจของคําวาเราเปนพระธุดงคกรรมฐานไปอวดกับสุญญกัป
เปน อนั ขาด ถา ไมอ ยากใหจ วี รปลวิ วอ นเจา ตวั ตกแครน ง่ั สมาธภิ าวนา จะวา ไมบ อก

อยา เขา ใจวา กเิ ลสจะกลวั ผถู อื ศาสนาทง้ั ๆ ทห่ี าสตสิ ตังหรอื ปญ ญา ศรัทธา ความ
เพยี รไมไ ด อยา หาญคดิ วา กเิ ลสจะกลวั คาํ วา พระกรรมฐาน เพราะกิเลสไมไดมาเกี่ยวของ
กบั คาํ วา พระกรรมฐานหรอื ไมก รรมฐาน แตกิเลสจะแทรกเขา ไปในจุดทพี่ ระกรรมฐาน
กาํ ลงั เลนิ เลอ เผลอสติ เซอ ๆ ซา ๆ นน้ั แหละ เพราะขณะน้ันเปน จังหวะที่ปลอ ยโอกาสให
กิเลสตอยไดดีที่สุด ตอ งพสิ จู นเ รา สงั เกตเราตลอดเวลาอริ ยิ าบถ จึงชอ่ื วา นกั ปฏิบตั ิ

โอปนยิโก นอมเขามาเพื่อเปนคติ เพอ่ื เสรมิ สติ ปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร ของ
เราใหม คี วามเขม งวดกวดขนั เขา ไป กเิ ลสจะไดถ อยตวั หา งจากเรา กเิ ลสกลวั ตรงนต้ี า งหาก
นักปฏิบตั ิจงรจู ุดท่ีกเิ ลสกลวั มนั ไมไ ดก ลวั คาํ วา พระ ไมไดกลัวคําวาเดินจงกรมหย็อก ๆ
หาสติไมได ไมไ ดก ลวั การนง่ั สมาธภิ าวนาทง้ั อา ปาก ทง้ั หลบั เคลบิ เคลม้ิ หลงใหลไปในขณะ
ทภ่ี าวนานน้ั กิเลสไมกลัว จงรีบแกไขจุดที่กิเลสไมกลัว แตกิเลสกลัวที่มีสติ มคี วามเพยี ร
ดว ยสติ มคี วามอตุ สา หพ ยายาม มีความบึกบึน ไมทอแทออนแอ มีปญญาสอดสองรอบตัว
และเหตกุ ารณ นส้ี ง่ิ เลวรา ยทง้ั หลายกลวั เรยี กวา เรามศี าสนา พระมศี าสนา กิเลสก็กลัว

ขณะใดไมมีศาสนา คอื สตธิ รรม ปญ ญาธรรม วริ ยิ ธรรม ขนั ตธิ รรม กเิ ลสหวั เราะ
แลว วนั หนง่ึ ๆ ในอริ ยิ าบถหนง่ึ ๆ คนื หนง่ึ ๆ ขาดศาสนาไปชว่ั ระยะสน้ั ยาวขนาดไหน ที่
เปนระหวางพทุ ธนั ดร คือระยะนั้นระลึกสติปญญาไดเหมือนกับเปนพุทธะขึ้นมาขณะหนึ่ง
ระยะนั้นมีปญญาขอคิดตาง ๆ ไดอ บุ ายแปลก ๆ ตา ง ๆ ขน้ึ มาเปน เครอ่ื งบรรเทาเบาทกุ ข
เปน เครอ่ื งพยงุ จติ ใจใหม คี วามสงา ผา เผยขน้ึ มา สงบรม เยน็ ขน้ึ มา ระยะนี้ขาดสติ จิตใจ
เศรา หมองขนุ มวั จิตใจเกิดความเดือดรอนเผาตัวอยูภายในใจ ระยะนไ้ี มม ศี าสนา มีแต

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๓

๔๒๔

ความคดิ ทเ่ี ปน สตั วน รกเผาตวั อยภู ายในจติ ใจ นแ่ี หละกเิ ลสเผา เผาพระเราเผาตรงน้ี เผา
ตอนไมมีศาสนา เผาตอนสติปญญาเปนสุญญกัป

เราอยาไปคิดคาดไกล ๆ โนน โดยวาภทั รกัปนั้นภัทรกปั น้ี พุทธันดรนั้นพุทธันดร
น้ี สุญญกัปโนน สุญญกัปนี้ นน่ั ทา นกลา วมาตามลาํ ดบั ลาํ ดาทเ่ี คยเปน เคยมมี าอยแู ลว และ
เราผปู ฏบิ ตั เิ พอ่ื จะยงั ผลใหเ กดิ ขน้ึ แกเ ราเวลาน้ี จง โอปนยิโก นอ มธรรมเหลา นน้ั เขา มา
เปน เครอ่ื งพราํ่ สอนตน ในระยะนใี้ จเรากาํ ลงั อยูในภทั รกัปหรอื อยูในสญุ ญกัป ภัทรกัป
แปลวา กปั ทเ่ี จรญิ เวลาทเ่ี จรญิ ขณะทเ่ี จรญิ อริ ยิ าบถทเ่ี จรญิ ความเพยี รในทา ตาง ๆ เจรญิ
เจรญิ ดว ยสตเิ จรญิ ดว ยปญ ญา จิตมคี วามยม้ิ แยมแจม ใส จติ มคี วามเบกิ บาน จติ มคี วาม
สงา ผา เผยดว ยอรรถดว ยธรรม มีสตมิ ปี ญญาเปนเครื่องประดับใหส งางาม เปนเครอื่ งสอง
ทางใหส งา ผา เผย จติ เจรญิ ดว ยสมาธิ สมาบตั ิ มรรคผลนพิ พาน นเ่ี ปน ภทั รกปั ใหย น เขา มา
ตรงน้ี เมอ่ื พยายามอยเู สมอ ๆ เรอ่ื งภัทรกปั นี้ก็จะมกี ําลังมากขึน้ โดยลําดับภายในใจของ
เราผูกําลังถือพุทธหรือถือเทวทัตนี้แล ในระหวางภัทรกัปและสุญญกัปทั้งสองนี้

เทวทัตก็คือกิเลสตัวคอยจองมอง คอยปราบปรามธรรมและเราอยเู สมอ คอยกีด
ขวางกดถว ง คอยเสียดคอยแทง คอยเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเรา นี่คือตัวยักษตัวผี นเ่ี รยี กวา
สุญญกัป ธรรมมสี ตธิ รรม ปญ ญาธรรม สญู ไป แตก เิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา ง ๆ ซึ่ง
เปน ฟน เปน ไฟนน้ั เจรญิ ความเจริญของกิเลสแลกองทุกขทั้งหลาย ทา นไมเ รยี กวา ภทั รกปั
มนั เจรญิ ดว ยฟน ดว ยไฟจะเรยี กวา ความเจรญิ เพอ่ื ความผาสกุ เยน็ ใจไดอ ยา งไร มแี ตค วาม
พนิ าศฉบิ หายลม จมโดยถา ยเดยี ว จะเรยี กวา ความเจรญิ ไดล งคอละหรอื นี่แลสุญญกัปของ
ชาวพทุ ธ ของพระธุดงคกรรมฐานที่ประมาทขณะไมมีสติปญญารักษาตน จะไปหาสญุ ญกัป
ที่ไหนกัน ถา ไมอ ยากเปนแบบนิทานกระตา ยต่ืนตมู เพราะภทั รกปั สุญญกัปที่ทานแสดงไว
เวลานย้ี งั หา งไกลจากตวั เรามาก เวลาตายแลว ไมท ราบจะไปเจอกปั ใด จงึ ควร โอปนยิโก
เพอ่ื ประโยชนใ นปจ จบุ นั น้ี

ผูเจริญก็คือผูมีสติ มีปญญา ศรัทธา ความเพยี ร บาํ รงุ จติ ใจ ใจไดร บั การบาํ รงุ
รักษาอยูเสมอ ยอ มมคี วามเจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ โดยลาํ ดบั ทเ่ี รยี กวา ภทั รกปั เจรญิ ภายในจติ
ของผูถือศาสนาพุทธ จนกระทง่ั สวา งจา รอบตวั เอา ทีนี้พระอาทิตยรอยดวงก็ไมสนใจจะไป
คิดกับมันละ วา มนั มคี วามสวา งขนาดไหน ความสวา งทเ่ี ตม็ อยภู ายในจติ ใจ ซึ่งหลุดพน
แลว จากความมืดบอดคอื กเิ ลสท้ังหลายนี้เต็มภูมแิ ลว ไมส นใจกบั พระอาทิตย แมจ ะมรี อ ย
ดวงพันดวงก็ไมมีอะไรสวาง ไมมีอะไรเปนเครื่องอบอุน ไมมีอะไรเปนมหาสมบัติ ไมมี
อะไรเลศิ ประเสรฐิ ยง่ิ กวา ความสวา งของใจทบ่ี รสิ ทุ ธ์ิ และดว ยธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธเ์ิ ตม็ หวั ใจนเ้ี ลย
นล่ี ะมหาภทั รกปั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๔

๔๒๕

ศาสนธรรมของพระพทุ ธเจา สอนจติ ใจของสตั วโลกใหเ ขา สภู ัทรกปั โดยลาํ ดับ จน
กระทั่งถึงมหาภัทรกัป ดับกเิ ลสโดยสิน้ เชิงไมมีซากเหลืออยูแมแตนอ ย นี้แลคือมหา
ภทั รกปั เต็มภูมิของศาสนธรรมที่สอนเขาจุดนี้ ผูปฏิบัติตามก็เขาถึงธรรมนี้อยางเต็มภูมิ
สมพระทยั ทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงอตุ สา หพ ยายามแนะนาํ พราํ่ สอนสตั วโ ลก ดว ยความลาํ บากลาํ
บน ตง้ั แตเ วลาบาํ เพญ็ กย็ ากลาํ บากแสนสาหสั เอาพระชนมเ ขา แลกธรรมทง้ั หลายเพอ่ื สตั ว
โลก เวลาไดต รสั รธู รรมแลว กท็ รงอตุ สา หพ ยายามสง่ั สอน ภาระของพระพทุ ธเจา หนกั
ตลอดตั้งแตทรงบําเพ็ญเรื่อยมา จนกระทงั่ ไดต รัสรแู ลว เปลย่ี นภาระไปตามแงต ามแขนง
ของเหตกุ ารณ แตร วมแลว เรยี กวา เปน ภาระทง้ั มวล ไมม ใี ครจะรบั ภาระหนกั ยง่ิ กวา พระ
พทุ ธเจาเพอ่ื สตั วโ ลกทั้งหลายเลย

นเ่ี ราไดเ กดิ ในแดนแหง ความเหมาะสมแลว ขอใหภูมิใจในการประพฤติปฏิบัติตัว
เอง และโอกาสนเ้ี วลาน้ี เปน โอกาสและเปน เวลาวา ง วางทั้งการทั้งงานเกี่ยวกับโลกทั้ง
หลาย ไมมีอะไรมาเกี่ยวของยุงกวน มีแตงานทางธรรมอยางเดียว ทเ่ี ราจะตอ งพยายามตกั
ตวงใหเ ต็มเม็ดเต็มหนว ย เตม็ สตกิ ําลงั ความสามารถ เมอ่ื พน โอกาสน้ไี ปแลวยอมเปน
ความลาํ บากทจ่ี ะไดบ าํ เพญ็ ความดที ง้ั หลาย พยายามใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ยแลว เราจะเปน ท่ี
ภมู ใิ จในวาระตอ ไป

ใจเปน พน้ื ฐานแหง การเกดิ แกเ จบ็ ตายแหง ภพแหง ชาตทิ ง้ั หลาย ไมมีอะไรเกินดวง
ใจน้ี ดงั นน้ั ทา นอาจารยมั่นทานจงึ พดู วา ใจนี้คือนักทองเที่ยว นน่ั จะเท่ียวไปไหนกต็ าม ขอ
ใหม ีความดเี ปนทพี่ ยงุ ใจเถิด ยอ มมีความสุขความสบาย พอมีที่ปลงที่วางไมรอนเปนฟน
เปนไฟไปเสียทุกภพทุกชาติ แตตนจนอวสานแหงชีวิตของภพชาตินั้น ๆ โดยถายเดียว มี
ความสขุ เปน เครอ่ื งพยงุ เปน เครอ่ื งบาํ รงุ รกั ษา เพราะอาํ นาจแหง บญุ แหง กศุ ลทเ่ี ราสรา งไว
น้ี เรากไ็ มเ สยี ที สมกบั วา มนษุ ยฉ ลาด ตองฉลาดหาความสขุ ใสตน ฉลาดแกค วามชว่ั ทเ่ี ปน
พษิ เปนภยั แกต นเต็มกําลงั ความสามารถ ไมคุนไมชินกับสิ่งไมดีทั้งหลาย พยายามสลดั ปด
ออกจากตัวเสมอ ไมป ระมาทนอนใจ

วันน้ไี ดก ลาวถงึ เรื่องพทุ ธศาสนาทั้งภายนอกภายใน ใหทานผูฟงทั้งหลายไดพินิจ
พจิ ารณา โอปนยิโก ยอ นหนา ยอ นหลงั เทยี บเคยี งเพอ่ื เปน ประโยชนแ กต น สมกับเปนผู
ศึกษาและปฏิบัติเพอื่ สารคุณท้ังหลายแกต น ใหพากันนาํ ไปพินิจพิจารณา ประพฤติปฏิบัติ
ตนเองในเวลาทโ่ี อกาสอาํ นาย สุขภาพก็อํานวยเวลานี้ ธาตุขันธก็ปกติดีงามทุกรูปทุกนาม
ความเพยี รกใ็ หก า วเดนิ ดว ยความมสี ติ มคี วามสนใจมศี รัทธาเชื่อม่นั ในธรรมของจรงิ

ไมมีใครที่จะพูดจะตรัสไดอยางจริงจังถูกตองแมนยําเหมือนพระพุทธเจา ทท่ี รง
พระนามวา ศาสดาองคเ อกนเ้ี ลย เอกนามกึ หน่ึงไมมีสอง ก็มีแลวคือพระพุทธเจาที่มาตรัส

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๕

๔๒๖

รแู ตล ะครง้ั ๆ มีเพียงพระองคเดียวเทานั้น ไมมีสอง พระญาณทห่ี ยง่ั ทราบในสง่ิ ทง้ั หลาย
แมนยําไมมีสอง พระวาจาที่ตรัสออกมาแตละประโยค ไมม คี วามยกั ยา ยผนั แปรเคลอ่ื น
คลาด เตม็ ไปดว ยความจรงิ ลว น ๆ ตรสั วา อยา งไรเปน อยา งนน้ั วา อะไรมอี ะไรเปน อะไรดี
อะไรชั่ว สิ่งนั้นก็เปนดีเปนชั่วตามที่ตรัสไวทุกอยาง จงึ เรยี กวา สวากขาตธรรม ตรัสไวชอบ
แลว โดย เอกนามกึ หนึ่งไมมีสอง

ผูปฏิบัติตามหลักธรรมนั้นจะไปไหน ถาไมไปตามสิ่งที่ดีงาม สูสถานที่ที่พึงหวังไม
เปนอืน่ การเชอ่ื ธรรมกบั การเชอ่ื ฝา ยมารคอื กเิ ลส มีผลผิดกันอยูมาก ฝายมารก็คือสิ่งที่
กระซบิ กระซาบซง่ึ ฝง ใจมาเปน เวลานาน ทา นเรยี กวา กเิ ลสมาร คอยฉุดลากลงทางต่ํา ฝาย
ธรรมแนะนาํ ใหต อ สแู ยง ชงิ เอาตวั เราซง่ึ เปน สมบตั อิ นั มคี า น้ี ใหพน จากปากมารคือกิเลสทงั้
หลาย ดวยการทําดี ดว ยการฝา ฝน สง่ิ ทต่ี าํ่ ชา เลวทรามทง้ั หลาย ดวยการตะเกียกตะกาย
หนกั กเ็ อาเบากท็ นเพือ่ ความดสี ริ ิมงคลทั้งหลาย ความเจรญิ ยอ มเปน ของเราผบู าํ เพญ็ ไมมี
ใครมาแยง ชิงไดเ หมอื นสมบตั ิภายนอก

ฉะนั้น การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร จึงขอยุติเพียงเทานี้

<<สารบัญ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๖

๔๒๗

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕

ศาสนาเจรญิ ศาสนาเสอ่ื ม

คาํ วา ศาสนาเจรญิ เชน เจรญิ ในครง้ั พทุ ธกาลหรอื ศาสนาเจรญิ ณ ที่ใดก็ตาม ตาม
ความจรงิ แหง การเจรญิ ของศาสนาแลว เจริญที่จิตใจของคน จิตใจของพระ ของพุทธบริษัท
มคี วามเชอ่ื ความเคารพ ความเลอ่ื มใส ความสนใจ ความอตุ สา หพ ยายามปฏบิ ตั ติ อ อรรถ
ตอธรรมตามเพศและวัยของตน มหี ิริโอตตัปปะ ฝงใจ ซึ่งเนื่องมาจากความเชื่อบุญเชื่อ
กรรมตามหลกั ศาสนธรรม นเ่ี ปน ความเจรญิ ของศาสนาตามความมงุ หมายของธรรมและ
ศาสดาโดยแท ความเจริญสวนปลีกยอยออกไปก็คือ การศกึ ษาเลา เรยี นเพอ่ื รขู อ วตั รปฏบิ ตั ิ
วธิ ดี าํ เนนิ ไมใ ชเ รยี นเพอ่ื จดจาํ เอาชน้ั เอาภมู แิ บบโลกเขาทาํ กนั แตเ รยี นดวยความเปน
ธรรม เจตนาความมงุ หมายอยทู ก่ี ารเรยี นเพอ่ื การปฏบิ ตั ิ เพื่อกําจัดสิ่งไมดีทั้งหลายออก
จากใจ

ในครั้งพุทธกาล สวนมากพุทธบริษัทฟงจากพระโอษฐของพระพุทธเจาเปนสวน
มาก จากนั้นศาสนาก็คอยขยายออกไป เพราะพระสาวกทงั้ หลายไดรูตามเหน็ ตามพระพทุ ธ
เจา มจี าํ นวนมากขน้ึ ศาสนาเจรญิ ภายในใจของทา นอยา งสมบรู ณ แลว กเ็ ทย่ี วแนะนาํ สง่ั
สอนพุทธบริษัททั้งหลายแทนพระพุทธเจาไปในตัว พระองคก็ทรงทําหนาที่ประกาศสอน
ธรรม พระสาวกกท็ าํ หนา ทป่ี ระกาศศาสนธรรม เพื่อความเขาใจแกผูสนใจโดยถูกตองเชน
เดยี วกบั พระศาสดา

เบอ้ื งตน ศาสนาเจรญิ รงุ เรอื งเตม็ ทใ่ี นพระพทุ ธเจา นบั แตต รสั รแู ลว เปน ลาํ ดบั
จากนนั้ กระแสแหงธรรมกก็ ระจายออกไปสบู รรดาสัตว ทใี่ หชื่อวา พุทธบริษัทในลําดับตอ
มา มีภิกษุบริษัทเปนตน เมอ่ื กระแสแหง ธรรมกระจายสจู ติ ใจ กเ็ กดิ ความเช่อื ความเล่ือมใส
เหน็ จรงิ ตามความจรงิ ทศ่ี าสนธรรมประกาศสอน มคี วามสนใจใครต อ การปฏบิ ตั ิ ผลก็
ปรากฏขน้ึ โดยลาํ ดบั นบั แตข น้ั เรม่ิ แรกในการประกาศสอนธรรม มีพระเบญจวัคคยี ท้ังหา
เปน ปฐมสาวก อันดับตอไปก็ปรากฏผลขึ้นเรื่อย ๆ วา ผนู น้ั สาํ เรจ็ พระโสดาฯ องคน น้ั ผนู น้ั
สาํ เรจ็ พระสกทิ าคาฯ องคน น้ั ผนู น้ั สาํ เรจ็ พระอนาคาฯ องคน น้ั หรอื ผนู น้ั สาํ เรจ็ พระอรหตั
อรหนั ต ทง้ั นเ้ี พราะฆราวาสกม็ ที างสาํ เรจ็ ไดเ ชน เดยี วกบั พระ ดงั ตาํ ราทา นบอกไว เชน
สนั ตตมิ หาอาํ มาตย พระนางเขมาฯ เปนตน นค่ี อื ศาสนาเจรญิ เตม็ ดวงใจของพระสาวกใน
ครั้งพุทธกาล จากน้นั กม็ พี ระสาวกิ าคอื นักบวชฝายหญงิ ปรากฏข้ึนตาม ๆ กัน นค่ี อื ศาสนา
เจริญเต็มดวงใจของฝายภิกษุและฝายภิกษุณี กลายเปน สาวกสาวกิ าขน้ึ มา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๗

๔๒๘

ทา นเหลา นเ้ี มอ่ื ธรรมไดเ จรญิ เตม็ ภมู ภิ ายในใจ หมดภาระในการขวนขวายสาํ หรบั
ตนแลว ความเมตตายอมมมี าพรอมความบรสิ ทุ ธิ์อยา งเต็มใจ เต็มภูมิเต็มนิสัยของตนแต
ละราย ๆ แตละทาน ๆ แลว แนะนาํ สง่ั สอนประชาชนทง้ั หลายใหไ ดร บั ความเขา อกเขา ใจ
แผกระจายกวางขวางออกไปไมมีประมาณ ความเจรญิ ทางดา นจติ ใจจากการสดบั ธรรมของ
พระพุทธเจาก็ขยายออกไปอยางมากมาย

นแ่ี หละทท่ี า นวา ศาสนาเจรญิ เจรญิ ดว ยการประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เนื่องมาจากการได
ยินไดฟง เจรญิ ดว ยมรรคคอื การปฏบิ ตั ิ เจรญิ ดว ยผลคอื ส่งิ ที่พงึ ไดร ับจากการปฏบิ ตั เิ ปน
ลาํ ดบั ลาํ ดา ตั้งแตขั้นกัลยาณปุถุชนจนถึงขั้นสูงสุดคืออรหัตธรรม เรยี กวา ศาสนาเจรญิ
เพราะเจรญิ จรงิ ๆ เหมอื นกบั เงนิ ในธนาคารมตี ามบญั ชี ไมค ลาดเคลอ่ื นจากความเปน จรงิ
ไมสักแตวา มอี ยเู พียงบญั ชแี ตเ งินหามิไดใ นธนาคาร แตมีทั้งบัญชีเงิน มที ง้ั เงนิ ตามจาํ นวน
ในบญั ชี บัญชีเงินกับตัวเงินถูกตองไมเคลื่อนคลาด บญั ชวี า อยา งไรมเี ทา ไร เงนิ กม็ เี ทา นน้ั
ในธนาคาร

ครั้งพุทธกาล ศาสนธรรมพระองคแ นะนาํ สง่ั สอนวา อยา งไร ตั้งแตขั้นพื้น ๆ แหง
ธรรมจนถงึ ขน้ั สงู สดุ แหง ธรรม การประกาศสอนธรรมซง่ึ เปน เหมือนกับบญั ชเี งนิ ผู
ประพฤตปิ ฏิบัตกิ ็สามารถดําเนนิ ตามพระโอวาททท่ี รงสง่ั สอนนนั้ เตม็ สตกิ าํ ลงั ความ
สามารถของตน จนไดบ รรลมุ รรคผลเปน ขน้ั ๆ ขึ้นไปจนถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน ที่
เรยี กวา เงนิ หรอื ธรรมเตม็ ใจ บัญชีกับเงินตรงกัน สวากขาตธรรมก็ชี้บอกเรื่องมรรคผล
นพิ พาน ผปู ฏิบัติตามก็ไดส ําเรจ็ มรรคผลนพิ พานตามธรรมท่ีชบ้ี อก เหตกุ บั ผลตรงกนั
เหมือนบัญชีเงนิ กับตัวเงนิ ตรงกันฉะน้นั

เมื่อตกมาสมัยของพวกเรานี้ มักจะกลายเปนวามีแตบัญชีแตตัวเงินไมมี มหิ นาํ ซาํ้
ยงั สรา งความรกรงุ รงั ไวใ นธนาคารรอ ยแปดชนดิ อกี ดวย จนสะสางไมห วาดไมไ หว ไมเพียง
แตไ มม เี งนิ ในธนาคารเทา นน้ั ยังสรางปญหาไวอีกมากมาย

นก่ี ารเรยี นรจู ดจาํ ตาง ๆ ในขออรรถขอธรรม มกั จะเรยี นไดแ ตบ ญั ชขี องธรรม
บาปกเ็ รยี นและรู บุญก็รู นรก สวรรคก ร็ ู กเิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา ง ๆ ก็รู มรรคผล
นพิ พานกร็ ู แตไ มอ าจแกห รอื ไมส นใจแกก เิ ลสตณั หาอาสวะ ไมอ าจละหรอื ไมส นใจละบาป
บาํ เพญ็ บญุ ดว ยความเตม็ อกเตม็ ใจ ดว ยความเชอื่ บญุ เช่อื กรรมตามหลกั ธรรมทตี่ นจดจาํ
มานน้ั สุดทายก็มีแตบัญชีดี-ชว่ั กเิ ลสตณั หาอาสวะอรรถธรรมมรรคผลนพิ พานอยใู น
ความทรงจาํ สว นกเิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา ง ๆ กส็ นกุ สรา งปญ หาขน้ึ ภายในจติ ใจ ให
เกดิ ความยงุ ยากวนุ วาย เชน เดยี วกบั คนทไ่ี มไ ดศ กึ ษาเลา เรยี นศาสนาอรรถธรรมอะไรมา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๘

๔๒๙

เลย ยง่ิ กวา นน้ั ยงั สรา งทฐิ มิ านะ เขา ใจวา ตนรตู นฉลาดตามอรรถตามธรรม ก็ยิ่งเปนปญหา
ที่มากมูนหมุนติ้วยิ่งกวาคนที่ไมไดศึกษาอรรถธรรมเปนไหน ๆ เสยี อกี

ดว ยเหตนุ ค้ี าํ วา ศาสนาเจรญิ ใหพ งึ นกึ นอ มเขา สใู จทเ่ี วลานก้ี าํ ลงั อาภพั พูดถึง
อรรถถึงธรรมในขอใดขั้นใดภูมิใดยังไมปรากฏผล จําไดแตชื่อโสดาฯ สกทิ าคาฯ อนาคาฯ
อรหตั อรหนั ต ไดยินแตชื่อ แตใ จซง่ึ เทยี บกบั ธนาคารยงั วา งจากธรรมทง้ั หลายทจ่ี าํ ไดน น้ั ๆ
นอกจากน้ันยงั กลับกลายเปนเรอื นของกเิ ลสไปเสยี กเิ ลสเปน พน้ื อยภู ายในใจนน้ั ใจจงึ
กลายเปน เรอื นทส่ี ง่ั สมกเิ ลส รังของกิเลส รังของภพรังของชาติ รังของความทุกขความ
ทรมานประการตา ง ทก่ี เิ ลสสนกุ สรา งขน้ึ มาไมม บี กบางลงบา งเลย เพราะไมม สี ง่ิ ทช่ี าํ ระ
สะสางหรอื ปราบปราม กเิ ลสจงึ สนกุ สรา งความรกรงุ รงั ขน้ึ มาอยา งไมส ะทกสะทา นหวน่ั
เกรงสง่ิ ใด ๆ เพราะชาวพทุ ธเราเปด ทางใหม นั

ดังนั้น เพอ่ื ใหส ง่ิ รกรงุ รงั ภายในจติ ใจนเ้ี บาบางลงไปโดยลาํ ดบั จนหมดสน้ิ ไป เพื่อ
ทรงอรรถทรงธรรมขน้ั ตา ง ๆ ตามที่ทานแสดงไวนั้น จึงตองอุตสาหพยายามประพฤติ
ปฏบิ ตั ดิ ว ยอบุ ายตา ง ๆ เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ เพอ่ื ใจนไ้ี ดก ลายเปน เรอื นอรรถเรอื น
ธรรม เรอื นมรรคผลนพิ พานขน้ึ มาตามความมงุ หมายของธรรมและศาสดาผปู ระกาศสอน
ธรรม

ไดย นิ แตช อ่ื ทา นสาํ เรจ็ พระโสดาฯ กใ็ หไ ดย นิ ตวั เรา ใหท ราบตวั เราไดส าํ เรจ็ ทาน
สาํ เรจ็ สกทิ าฯ กใ็ หเ ราไดส าํ เรจ็ ดว ยการปฏบิ ตั ขิ องเรา ทา นสาํ เรจ็ อนาคาฯ กใ็ หเ ราไดส าํ เรจ็
หรอื ไดม สี ว นกบั ทา น ทา นสาํ เรจ็ อรหตั อรหนั ตก ใ็ หเ ราไดส าํ เรจ็ ใหไ ดม สี ว นกบั ทา น ใหเ รา
ไดเ ปน ผหู นง่ึ ในวงมรรคผลนพิ พานดว ยการปฏบิ ตั ขิ องเรา อยา ใหเ สยี ชอ่ื อยา ใหเ สยี คนทง้ั
คน เพราะคน ๆ นี้ไดมาจากสมมุติในทางที่ดี คือไดมาจากบญุ วาสนาท่ีเคยกอสรางมา จงึ
ไดเกิดในชองแหงความเปนมนุษย ซ่ึงเปน ภพกําเนิดทีเ่ กดิ ไดยากย่ิงกวา กําเนิดใด ๆ ที่ต่ํา
ทรามยง่ิ กวา น้ี เราไดผ า นภพตาํ่ ทรามเหลา นน้ั ขน้ึ มาเปน ภพเปน ภมู แิ หง มนษุ ย ซึ่งเปนภูมิที่
เหมาะสมกบั ศาสนธรรม และเปน ภาชนะทเ่ี หมาะสมอยา งยง่ิ แลว อยา ใหเ สยี ทา เสยี ที ขอ
ใหศ าสนาไดเ จรญิ ขน้ึ ภายในใจของเราดว ยการบาํ เพญ็ เตม็ สติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร
ของตน

คาํ วา สมาธจิ ะไมม ที ใ่ี ดเปน ทเ่ี จรญิ จะเจรญิ ขน้ึ ทใ่ี จ สมาธทิ ุกขั้นจะเจรญิ ข้นึ ที่ใจ
ของผูปฏิบัติจิตตภาวนา ปญญาทุกขั้นจะเจริญขึ้นที่ใจของผูชอบคิดอานไตรตรองพินิจ
พจิ ารณา จนถึงปญญาอันละเอียดแหลมคม ดงั ทท่ี า นกลา วไวใ นตาํ ราวา มหาสติมหา
ปญญา ก็จะเกิดและเจริญรุงเรืองขึ้นที่ใจของผูพยายามพินิจพิจารณาอยูไมหยุดไมถอย จน
มคี วามชาํ นชิ าํ นาญคลอ งแคลว กลายเปนสตปิ ญญาท่แี กลวกลา และสามารถฟาดฟน กิเลส

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๒๙

๔๓๐

ประเภททีไ่ มเคยคาดเคยคิดเคยฝน วาจะไดเ จอกัน ไดส ูรบกนั และรูเร่ืองของกนั และกนั
และปราบปรามกนั ลงได ก็ไดปราบปรามกันลงได เพราะสตปิ ญ ญาทเ่ี ราไมเ คยคาดคดิ วา
จะมีขึ้นเปนขึ้น แตไดเปนขึ้นแลว กเิ ลสทไ่ี มเ คยคาดคดิ วา จะรจู ะเหน็ กนั จะละเอยี ดแหลม
คมขนาดไหน ซึ่งแตกอนไดยินแตชื่อ ก็ไดปรากฏขน้ึ แลวกับสตปิ ญญาประเภทน้ี และได
ฟาดฟนหั่นแหลกกันลงประจักษใจ ทั้งนี้ใหไดประจักษกับใจเราเหมือนครั้งพุทธกาล อยา
ไดยนิ แตล มแตแ ลงทีห่ าตวั จรงิ ไมไ ด

จงทาํ ใหศ าสนาเจรญิ ทใ่ี จเราใหไ ด เมอ่ื ศาสนาเจรญิ ตรงนแ้ี ลว จะถูกตองเหมาะสม
ตามความมงุ หมายของธรรม และศาสดาผูม เี มตตามหาคณุ แกส ตั วโลกดว ย จะสมความมงุ
มาดปรารถนาของเราทง้ั หลาย ผตู อ งการความสขุ ความเจรญิ อยา งแทจ รงิ ตามหลกั ธรรม
ดว ย

แมไ มถึงขัน้ ท่กี ลาวมาเหลานีก้ ต็ าม ทา นกเ็ รยี กศาสนาเจรญิ คือเจริญไปตามขั้น
ตามภมู ิ และเจรญิ ตามความเคารพเลอ่ื มใสของผเู ชอ่ื บญุ เชอ่ื กรรม ตามหลกั ธรรมของพระ
พุทธเจา เชน เชื่อวาบาปมี พยายามระวงั บาปไมใ หเ กดิ ขน้ึ ในตน แมที่เกิดขึ้นแลวก็
พยายามละ ไมสั่งสมบาปตอไปอีก กุศลธรรมคือความดีงามที่ยังไมเกิด ก็พยายามทาํ ให
เกิด ดว ยความเชอ่ื บญุ เชอ่ื กรรม ทเ่ี กดิ แลว กพ็ ยายามบาํ รงุ รกั ษาใหเ จรญิ คงเสน คงวา และ
เจรญิ ยง่ิ ๆ ขน้ึ ไป

ผเู ช่อื อรรถเชือ่ ธรรมยอมเชื่อบญุ เชื่อบาป ยอ มเชอ่ื นรกสวรรค เพราะเปน เรอ่ื ง
เปน ไปจากกรรม คือเชื่อกรรมไดแกกระทําของตน พระพทุ ธเจา ตรสั ศาสนาไวถ อื หลกั
ธรรมเปน สาํ คญั ของสตั วโ ลก เพราะตางก็ทําอยูดวยกัน ไมว า มนษุ ยไ มว า สตั วเ ดรจั ฉานใด
ๆ มกี ารทาํ กรรมอยดู ว ยกันท้งั นน้ั เปน แตเ พยี งสตั วเ หลา นน้ั ไมท ราบวา ตนทาํ กรรม ผลนน้ั
จะทราบหรอื ไมท ราบกต็ าม ตองเปนผลดีผลชั่วตามการกระทําอยูโดยดี ไมมีอะไรมาลบ
ลา งได

นเ่ี ราเปน ผเู ชอ่ื กรรม พทุ ธบริษทั เปน ผูเ ชอ่ื บุญเชือ่ กรรม ยอ มจะเชอ่ื ในบาปในบญุ
เชอ่ื ในนรกสวรรคจ นกระทง่ั นพิ พาน แลว พยายามละเวน สง่ิ ทเ่ี หน็ วา เปน ภยั ตามหลกั ธรรม
น้นั ดว ยความเช่อื ของตน และพยายามบาํ เพญ็ สง่ิ ทเ่ี ปน คณุ เปน ประโยชนใ หเ จรญิ มากมนู
ขน้ึ ภายในใจ นก่ี เ็ รยี กวา ศาสนาเจรญิ คือเจริญในใจของผนู บั ถือเคารพเลอื่ มใสและปฏิบัติ
นน่ั แล

คนทม่ี ใี จไดรบั การอบรมจากอรรถจากธรรม ดว ยความเชื่อความเล่อื มใสอยางแท
จรงิ ตามธรรมแลว ยอมระบายออกในสิ่งที่งามหูงามตา ไมแสลงใจทั้งแกตนและผูอื่น
แสดงอากัปกิริยาใดยอมเปนไปเพื่อสิริมงคล เปนไปเพื่อความยึดถือจากคนอื่น เปนคติตัว

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๐

๔๓๑

อยางแกค นอืน่ เรอ่ื ยไป ตั้งแตวงแคบจนกระทั่งถึงวงกวางไมมีสิ้นสุด เรยี กวา ศาสนเจรญิ
เจริญที่ใจแลวยอมแสดงออกมาทางกายทางวาจา คือความประพฤติ การพดู จาปราศรยั มี
เหตมุ ีผล มีกฎมีเกณฑ มีหลักความถูกตองดีงามเปนที่ยึดเปนเครื่องดําเนิน นเ่ี รยี กวา
ศาสนาเจรญิ

เมอ่ื ตา งคนตา งเปน ผไู ดร บั การอบรม และอบรมดว ยความเชอ่ื ความเลอ่ื มใสใน
ศาสนาแลว ยอมระบายออกทางกายวาจาดวยความมีเหตุมีผล และเปน ความหนกั แนน มน่ั
คงในกจิ การทง้ั หลาย ตลอดกิริยาแหงการพูดการทําทุกสิ่งทุกอยาง ไมเ หลาะแหละเหลว
ไหลไรส าระ เพราะเชื่อกรรม

อาการแสดงออกตาง ๆ ของคนของสตั วนนั้ เปน เรื่องของกรรมคอื การกระทํา ซึ่ง
พรอมที่จะใหผลทั้งดีและชั่วอยูเสมอ ผูเชื่ออรรถเชื่อธรรมจึงตองระมัดระวัง และมคี วามจง
ใจในการระบายออก และการกระทําทุกแงทุกมุมใหเปนไปตามคลองอรรถคลองธรรม ที่
จะเปน สริ มิ งคลและเปน ความสงบสขุ แกต นและสว นรวม ตลอดประเทศชาตบิ า นเมอื ง นี่
เรยี กวา ศาสนาเจรญิ ศาสนาเจรญิ คนไดร บั ประโยชนแ ละความสขุ รม เยน็

ทนี ศ้ี าสนาเสอ่ื มเปน อยา งไร เรากท็ ราบอยแู ลว เมื่อสักครูนี้ก็ไดอธิบายถึงเรื่องมี
แตบ ญั ชใี นธนาคาร เงินไมมี ศาสนธรรมกม็ แี ตค วามจดจาํ ได มีแตการศึกษาไดยินไดฟง
จากผนู น้ั ผนู ้ี จากตาํ รบั ตาํ รา แตจิตใจไมซึมซาบถึงอรรถถึงธรรม ไมเชื่อไมเคารพไม
เลอื่ มใส สกั แตว า เรยี นวา จดจาํ วา ฟง เฉย ๆ การนับถือก็สักแตวานับถือตามประเพณี หรอื
นบั ถอื เพอ่ื กนั ความครหานนิ ทา วา คนไมม ศี าสนาประจาํ ชาตปิ ระจาํ ตนเพยี งเทา นน้ั ไมสน
ใจทําตนใหดีตามศาสนา

ความนบั ถอื ศาสนากบั การปฏบิ ตั ศิ าสนานน้ั ตา งกนั สวนมากชาวพุทธเรามักมีแต
การนบั ถอื ไมคอยสนใจปฏิบัติตาม เวลาถามกนั ก็เปน ความชนิ ปากชนิ ใจตามสวนมากทพ่ี า
เรยี กกนั มาวา คุณถือศาสนาอะไร ถือศาสนาพุทธ ทั้ง ๆ ที่ความจริงของพุทธนั้นทานสอน
วา อยา งไรบา งกไ็ มร ู เพราะไมไ ดส นใจอยากรอู ยากเขา ใจศาสนาเทา ทค่ี วร เนอ่ื งจากจิตใจ
ถูกทุมเทไปทางอื่นเสียมากตอมาก นเ่ี รยี กวา นบั ถอื เฉย ๆ เหน็ พระพทุ ธเจา กเ็ คารพกราบ
ไหวเ สยี ที กริ ยิ าเชน นแ้ี มแ ตน กั โทษในเรอื นจาํ เขากท็ าํ แตการกระทําของเขาเปนอีกอยาง
หนง่ึ นผ่ี นู บั ถอื ศาสนาเฉย ๆ เปน เชน นแ้ี ล

การเคารพ พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ นน่ั ทาํ ตามนสิ ยั ทพ่ี อ แมป ยู า ตายาย
พานับถือมา แตการกระทาํ เปน อกี อยางหนึง่ คอื กลับเปนขา ศกึ ตอ การนบั ถอื ศาสนา เนอ่ื ง
จากไมไดปฏิบัติตามศาสนา การกระทาํ นน้ั จงึ ไมเ รยี กวา เปน การปฏบิ ตั ติ ามศาสนา เพราะ
การกระทาํ นน้ั เปน ขา ศกึ ตอ ศาสนา แลวก็เปน ขาศกึ ตอ ตนเองผูน บั ถือศาสนา เชน ศาสนา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๑

๔๓๒

สอนไมใ หดืม่ สุราของมึนเมาเปน ตน แตก ผ็ นู บั ถอื ศาสนานน่ั แล เปน นกั เลงหรอื คอสรุ าเสยี
เอง ดังนี้เปนตัวอยาง ไมสังเกตก็รูเพราะมีดาษดื่นในชาวพุทธเรา

ดว ยเหตนุ ก้ี ารนบั ถอื ศาสนากบั การปฏบิ ตั ติ ามศาสนานน้ั จงึ ตา งกนั การปฏิบัติ
ตามจะเปน เพศใดวยั ใดกต็ าม ควรจะปฏิบัติตนตามศีลตามธรรมในแงใดขอใดก็ปฏิบัติ
ตามเพศของตน เชน ฆราวาสควรมศี ลี หา หากไมไดหมดก็ควรใหไดในขอใดขอหนึ่งเปน
ความสตั ยค วามจรงิ ประจาํ ตน สว นมากคนเราถา ลงไดเ ชอ่ื ตามหลกั ศาสนาอยา งจรงิ ใจแลว
ทําไดทั้งนั้น เชน ศลี หา ขอไหนทีส่ ดุ วิสยั ความเชือ่ และความสามารถของเราไป ปาณาฯ
อทนิ นาฯ กาเมฯ มสุ าฯ สรุ าฯ ศลี เหลา นเ้ี ปน คณุ สมบตั เิ ครอ่ื งรกั ษาเราใหเ ปน คนดมี หี ลกั
เกณฑต า งหาก ไมใชเปนขาศึกตอเราที่จะทําไมได การทาํ ไมไ ดก เ็ พราะอาํ นาจฝา ยตาํ่ มนั
หนกั แนน หรอื รนุ แรงมากกวา ฝา ยศลี ธรรมทจ่ี ะแทรกเขา สใู จไดเ ทา นน้ั ชาวพุทธเราจึงไม
อาจรักษาไดปฏิบัติได แมแตศีลหาก็ไมได ยังฝาฝนตอหนาตอตาไมนึกกระดากอายบาง
เลย ทั้ง ๆ ที่ตนก็เปนชาวพุทธ ประกาศอยางออกเนื้อออกตัว คนทง้ั หลายรเู หน็ อยวู า เรา
เปนชาวพทุ ธ แตครนั้ แลว การกระทําก็เปน ขา ศึกตอ ตัวเองและเปน ขาศกึ ตอชาวพุทธดว ย
กัน และเปน ขา ศกึ ตอ พระพทุ ธศาสนาโดยเจา ตวั ไมไ ดส นใจคดิ ประการใดบา งเลย เมือ่ เปน
เชน น้ี แมจ ะเรยี กวา ชาวพทุ ธทําลายพุทธก็ไมนาจะผดิ เพราะความจรงิ เปน เชน นน้ั ไมอาจ
สงสยั

ถา มกี ารนบั ถอื และปฏบิ ตั ดิ ว ยแลว ศาสนาเปน เครอ่ื งสง่ั สอนคนใหม คี วามสงบรม
เยน็ โดยแท ตามหลกั ความจรงิ ของศาสนากเ็ ปน เชน นน้ั ไมเ คยใหโ ทษใหภ ยั แกผ หู นง่ึ ผใู ด
และไมเ คยทาํ ผหู นง่ึ ผใู ดใหร า วรานหรอื สงั คมใดใหร า วราน นบั แตส ว นยอ ยถงึ สว นใหญ จะ
สมคั รสมานไดด ว ยอรรถดวยธรรมทั้งน้ัน เพราะศาสนธรรมไมใ ชเ ครอ่ื งสงั หาร ที่จะทําสิ่ง
ตา ง ๆ ใหแตกแยก หรอื บคุ คลผหู วงั ดตี อ ศาสนาใหก ลายเปน ผชู ว่ั ชา ลามกเสยี หายไปตา ง
ๆ เพราะการนบั ถอื และการปฏบิ ตั ติ ามศาสนธรรมนเ้ี ลย เม่อื เปนเชนนี้ ผูนับถือและปฏิบัติ
ตนตามศาสนาทาํ ไมจะไมม คี วามสงบรม เยน็ ตองมีตามขั้นตอนแหงการปฏิบัติได

นแี่ ลทโ่ี ลกเกดิ ความรมุ รอนไปทกุ หยอมหญาเวลาน้ี กเ็ พราะจติ ใจมนษุ ยเ ราเหนิ
หา งจากศลี ธรรม คอื ธรรมทย่ี งั บคุ คลใหร ม เยน็ นน่ั แล นอกจากจติ ใจไมน ําพากับศาสนา
แลว ยงั ใกลช ดิ สนทิ กบั สง่ิ เปน ภยั ไรส ารคณุ เขา อกี อยางหาประมาณความพอดีไมได จะ
โลกไหนก็โลกเถอะ ตองเปน โลกที่รุมรอ นเปนไฟไปดวยกันนน่ั แลไมมกี ารยกเวน

ศลี ธรรม คือ การใหความเสมอภาคแกกันและกันตลอดสัตวเดรัจฉาน ไมใ หเ บยี ด
เบยี นทาํ ลายซง่ึ กนั และกนั อันเปนการทําลายจิตใจและสมมุตขิ องกันและกันใหกําเริบ เชน
ทา นสอนปาณาฯ ไมใหฆาไมใหทําลายซึ่งกันและกัน นอกจากนน้ั ยงั มเี มตตาสนบั สนนุ อกี

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๒

๔๓๓

ดว ย เรยี กวา เบญจศลี เบญจธรรม เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ขอ หา มคอื ปาณาฯ ใหเ ดน ขน้ึ และ
เพอ่ื ใหศ ลี ขอ นส้ี มบรู ณข น้ึ เพราะความเมตตาเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ แตผูไมมศี ีลธรรมภาย
ในใจกลบั กลายเปน ผโู หดรา ยทารณุ ไปเสยี โลกจงึ ทําความพินาศฉบิ หายแกก ันไดอ ยาง
หนา ตาเฉย เพราะหมดคณุ สมบตั ใิ นธรรมขอ นภ้ี ายในใจ ขออื่น ๆ ก็เชน เดยี วกนั

อทนิ นาทาน กเ็ พราะความโลภ ความอยากได อันเปนเรื่องของกิเลสตัวไมมีเมือง
พอ พาใหทําลายสมบัติของคนอื่นจิตใจของคนอื่นไมมีประมาณ ทั้งนี้เพราะความโลภมันมี
กาํ ลงั รนุ แรงมาก จึงตองฉกตองลักตองปลนตองสะดมเขา ไมเพียงแตวาไมมีอยูมีกินอด
อยากขาดแคลน หาที่กินที่ใชสอยอะไรไมได เปน ความจนตรอกจนมมุ จรงิ ๆ เชน นน้ั แต
มนั เปน นสิ ยั สนั ดานของคนทม่ี จี ติ ใจตาํ่ ทราม ดวยสิง่ สกปรกโสมมทั้งหลายเขา ครอบงํา
และมีอํานาจเหนือจิตใจอยางบอกไมถูกตางหาก จงึ ทาํ กนั ไดโ ดยไมค าํ นงึ ถงึ ความเสยี หาย
ทั้งสมบัติและจิตใจของผูอื่น ขอใหไดอยางเดียวเปนพอ นน่ั

ไมวาขออื่น ๆ เชน กาเมสุ มจิ ฉาจาร ก็เหมือนกัน ถาลงไมมีธรรมในใจแลวมนุษย
เราเลวยง่ิ กวา สตั ว มันทําไดทั้งนั้น ถา พดู เรอ่ื งความหนา ดา น ใครจะหนาดา นย่งิ กวา มนษุ ย
ที่ไรศ ีลธรรมเปน ไมมี มนั ดา นยง่ิ กวา สตั วเ สยี อกี เพราะความโลภ ความโกรธ ความหลง
ราคะตัณหา พาใหค นหนา ดา นไมม ยี างอายตดิ ตวั

มศี ลี ธรรมเทา นน้ั เปน เครอ่ื งประดบั และประคับประคองมนุษยไวใหตางจากสัตว
ใหม คี วามละอาย รูจักสูงต่ํา รูจักของเขาของเรา รจู กั ทา นรจู กั เรา ถาใจไมไดมาคิดในแง
อรรถแงธ รรมแลว มนั กต็ อ งคดิ ไปในแงค วามสนกุ สนานรน่ื เรงิ บนั เทงิ ชนดิ ไมม เี บรกหา ม
ลอ เลยนน่ั แล มิหนํายงั อวดดบิ อวดดไี ปในทางราคะตณั หา สง เสรมิ ในสง่ิ ทต่ี าํ่ ทรามวา เปน
ของดีมีคาและอํานาจมากขึ้น โดยไมค าํ นงึ ถงึ ความเสยี หาย ความกระทบกระเทือน และ
ทําลายจิตใจของผูใดทั้งนั้น โลกจะไมรอนไดอยางไร เมือ่ ศลี ธรรมไมมภี ายในใจของชาว
พทุ ธเราแลว โลกตองรอน เพราะกเิ ลสตณั หามอี าํ นาจบนหวั ใจของผสู ง เสรมิ มนั โลกไม
เคยรม เยน็ เพราะตณั หาตาเปน ไฟแตไ หนแตไ รมา โลกรม เยน็ เพราะธรรมตา งหาก

การโกหกก็เหมือนกัน โกหกไดคลองปากไมกระดากอาย ไมคิดวาการพูดโกหก
นน้ั จะเกดิ ความเสยี หายแกผ ใู ด โกหกไดอยางหนาตาเฉย และโกหกคนอน่ื ใหเ กดิ ความเสยี
หายขนาดลม จมก็มมี าก เชน พวกนักตมตุน นักกลมายาหาอุบายโกหกตมตุนดวยวิธีการ
ตา ง ๆ ทีจ่ ะทําคนอ่นื ใหฉิบหายวายปวงท้ังทรพั ยสมบัติและจิตใจ จนกลายเปนคนวิกล
วิการใบบาไปได เพราะกลมายาแหง ความตม ตนุ หลอกลวงนีม้ ีมากทเี ดยี ว โทษแหงความ
ไมมศี ลี ธรรมทําความเดือดรอ นเสียหายใหแ กโ ลกไมม ปี ระมาณดังที่รู ๆ เหน็ ๆ กันอยูทุก
แหง หนนน่ั แล การโกหกพกลมเปนของดีนาชมเชยที่ไหนกัน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๓

๔๓๔

ถาพูดถึงสุรา สรุ าใคร ๆ กท็ ราบ แมแ ตเ ดก็ กย็ งั ทราบวา เปน ของมนึ เมาและทาํ ให
คนเสยี มันเปนของดีมเี กยี รติและศักดศ์ิ รีท่ีไหนกนั พอจะสง เสริมมันใหท ําลายมนุษย เหตุ
ใดมนษุ ยเ ราจงึ ตอ งสง เสรมิ เอานกั หนาจนเปน เนอ้ื เปน หนงั อยางออกหนาออกตา ไมวา
สถานที่ใดสังคมใด ถาไมมีสุราไปออกหนาออกตาแลว สังคมน้ันเหมอื นกับไมใ ชส งั คม
มนษุ ย ไมใชสังคมที่มีเกียรติ เลยเหน็ ไปวาสงั คมท่มี ีสรุ านั้นเปนสังคมทม่ี เี กยี รติ เปน สงั คม
ที่มีหนามีตานาชมเชยและยอมรับกันทั่วดินแดน นค่ี อื การลบลา งศาสนธรรมอนั เปน ความ
ดีงามของมนุษยมากนอยเพียงไหน

หากสงั คมไดย อมตวั ลงยอมรบั สรุ ายาเมาหรอื นาํ้ บา นแ้ี ลว สังคมนั้นก็คือสังคม
แหง นาํ้ บา สงั คมนาํ้ ลาย สังคมไมรูจักอาย สงั คมหนา ดา น สงั คมกลา หาญดว ยนาํ้ บา นน่ั แล
ถา สงั คมทไ่ี มม สี รุ ายาเมาเขา ไปแทรกเขา ไปเปน เจา หนา เจา ตา มันไมเปนสังคมที่มีเกียรติ
ทาํ อะไรไมส าํ เรจ็ เหรอ พจิ ารณาซิ อาํ นาจฝา ยตาํ่ มนั เปน เชน น้ี มันครอบหวั ใจมนษุ ย เสก
สรรปนยอส่งิ ท่ีไมด วี าดีข้ึนมา ลบลางสิ่งที่ดีออกจากตัวมนุษย สังคมมนุษย แลวจะหาคนดี
ไดที่ไหน ถา มนษุ ยเ ราไมย อมรบั ความจรงิ กนั มนุษยผดู มี ีศีลธรรมก็นบั วันจะสญู ไปจาก
สังคมโดยไมตองสงสัย

ทก่ี ลา วมาใครจะไมร ใู นศลี หา ขอ นช้ี าวพทุ ธเรา กช็ าวพทุ ธเราเองเปน ผูทาํ เปน ผฝู า
ฝน เปน ผเู ปน มาร เปน ผสู งั หารศาสนธรรมและตน ตลอดสวนรวมทั่ว ๆ ไปใหฉ บิ หายวาย
ปวงไปดว ยความรรู อู ยนู แ้ี ล นล่ี ะทว่ี า การนบั ถอื ศาสนาเฉย ๆ กบั การปฏบิ ัตมิ นั ตางกัน
เพราะธรรมไมเ ขา ถงึ ใจ สกั แตว า นบั ถอื ไมไดถือเปนจริงเปนจัง ไมหวังพึ่งเปนพึ่งตาย ไม
หวงั ความสขุ ความเจรญิ อนั ใดจากศาสนา ยง่ิ กวา ความอยากความทะเยอทะยานเอาตาม
ความชอบใจของตน ซึง่ เปนอาํ นาจของฝายต่าํ คือกิเลสลวน ๆ ฉุดลากไปเทานั้น โลกจงึ หา
ความเจรญิ ไมไ ด

ถา ลงไมม ธี รรมเขา แทรกจติ ใจ เปน เครอ่ื งกน้ั กางหวงหา มสง่ิ ตาํ่ ชา เลวทรามทง้ั
หลายไว คนทั้งคนจะเหลือแตรางกระดูก หนังหอกระดูกเทานั้น แมจ ะเสกสรรปน ยอกนั วา
มคี วามสขุ ความเจรญิ มียศถาบรรดาศักดิ์อะไรก็ตาม ก็สักแตวาลมปากเปากันไปเปากันมา
เทา นน้ั ต่ืนเงากนั อยูนั้นโดยหาความจริงไมไ ด หากมศี าสนธรรมเขา แทรกภายในจติ ใจใน
การประพฤติปฏิบัติ การระบายออก จะเหน็ เปน ความชมุ เยน็ ขน้ึ มาทนั ที ไมจําเปนตองมี
เงนิ มที องขา วของเปน จาํ นวนลา น ๆ ก็ตาม

คนทม่ี ศี ลี มธี รรมนน้ั แล เปน คนทเ่ี สาะแสวงหาความสขุ ความเจรญิ ไดโ ดยถกู ตอ ง
และสมหวงั ผนู น้ั แลเปน ผมู คี วามสขุ มากยง่ิ กวา ผทู ไ่ี มม ศี าสนาเลย ทั้ง ๆ ท่มี ีสมบัติเงิน
ทองขาวของมากมาย ส่งิ เหลานัน้ ไมใชส ่ิงปลดเปลือ้ ง สิ่งแกทุกขทางหัวใจของโลกใหสงบ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๔

๔๓๕

รม เยน็ นอกจากศีลธรรมเทา น้นั เพราะสง่ิ เหลา นน้ั เปน เพยี งเครอ่ื งชว ยสง เสรมิ ความ
สะดวก และความตอ งการสาํ หรบั คนฉลาดโดยธรรมนาํ มาใชต ามความจาํ เปน ของตน แลว
เกิดความสุขขึ้นตามฐานะของสมบัตินั้น ๆ จะพึงมีใหเทานั้น แตไ มส ามารถซมึ ซาบเขา ถงึ
จิตใจใหเกิดความชุมเยน็ ไปได ถา ไมม ธี รรมเขา เคลอื บแฝง

ถา ย่งิ ไมม ีอรรถมีธรรมเขา แฝงอยภู ายในจิตใจดว ยแลว สมบัติเงินทองขาวของจะ
มีมากมายเพียงไร กก็ ลายมาเปน ยาพษิ สงั หารตนใหฉ บิ หายปน ปไ ด ทั้ง ๆ ทภ่ี มู ใิ จวา ตนมง่ั
มศี รสี ขุ อยนู น่ั แล แตก เิ ลสความลมื ตนควา เอาสมบตั มิ าเปน ดาบฟาดฟน ตนใหล ม เหลวทาง
ความสงบรม เยน็ ภายในใจ หาไดคิดสะดุดใจไม ถาไมมีธรรมคอยสะกิดบาง

เมอ่ื เปน เชน นน้ั อะไรเจรญิ จะพูดถึงวัตถุเจริญ วัตถุมาจากอะไร วัตถุเหลานี้ก็ออก
มาจากธาตสุ ่ี ดิน น้ํา ลม ไฟ เปน แรธ าตตุ า ง ๆ เชน ปลูกบานปลูกเรือนขึ้นกี่ชั้นกี่หองกี่หับ
ถนนหนทางจะใหก วา งใหแ คบ ลาดยางลน่ื ไปหมดก็ตาม สิ่งเหลานีค้ อื อะไรมาจากอะไร ก็
มาจากเหล็กจากปูนจากอฐิ จากทราย จากธาตุสี่ดิน นาํ้ ลม ไฟ หากวา สง่ิ เหลา นจ้ี ะทาํ คนให
เจรญิ ไดจ รงิ ไดร บั ความสขุ สมกบั คาํ ทว่ี า โลกเจรญิ จรงิ แลว เราทุกคนเหยียบย่ําไปที่ไหนก็มี
แตธ าตุตางๆ ดนิ นาํ้ ลมไฟในบา นเรากม็ ี ในที่อยูเราก็มี พวกเหล็กพวกปูนพวกอิฐพวก
ทราย ซง่ึ เปนแรธ าตตุ า งๆ เตม็ ไปหมด ทาํ ไมพวกเราจงึ ไมเ จรญิ ดว ยความสงบสขุ กนั บา ง
มวั บน กนั วา ทกุ ข ๆ อยูทําไม

ถา จติ ใจหาความเจรญิ ดว ยธรรมเครอ่ื งดาํ เนนิ ไมม แี ลว อะไรจะเจรญิ กเ็ จรญิ เถอะ
แตหวั ใจนน้ั จะเปน ไฟท้ังกองเผาลนอยูตลอดเวลา หาความสุขความเจริญไมได และหาท่ี
ปลงที่วางไมไดจนกระทั่งวันตาย แลว อะไรเจรญิ ทน่ี ่ี เมอ่ื เปน เชน นศ้ี าสนาไมจ าํ เปน จะเอา
อะไรมาจาํ เปน เพราะโลกตองการความสุขความเจริญโดยทางที่ถูกตองดีงามอยูแลว จะ
หนีจากหลักธรรมไปไมได

อนั เร่อื งของกเิ ลสน้ันมนั ไมทาํ ใครใหม คี วามสขุ ความสบายไดหรอก มแี ตเ ปน
เครื่องลอนิด ๆ เหมอื นเหยอ่ื เสยี บอยปู ลายเบด็ เปน เครอ่ื งลอ ปลาตวั โงเ ทา นน้ั เม่อื ติดเบด็
เขา แลว เปน ยงั ไง ปลาตวั นน้ั ตดิ เบด็ เขา แลว เปน ยงั ไง มันมคี วามสุขความเจริญอะไร แต
กอนที่มันหิวอาหารอยูมันก็ยังไมทุกขมาก พอมาตดิ เบด็ เขา แลว เปนยังไง ความหวิ นน้ั ยงั
ไมม อี ํานาจไมม ีความทุกขม ากยง่ิ กวาเวลาติดเบด็

จติ ใจของคนผูไมมศี าสนากเ็ ชน เดยี วกัน เมื่อฝายต่ําซึ่งตางคนก็ตางมีเต็มหัวใจ
นาํ สง่ิ เหลา นม้ี าหลอกมาประโลมกนั โฆษณาชวนเชื่อกันทั้ง ๆ ที่หาความจริงไมได ยิ่งเปนผู
ทโ่ี งอ ยแู ลว เพราะกเิ ลสพาใหค นโง ทําไมจะไมเชื่องายในทางฝายต่ําเลา นล่ี ะทท่ี าํ ใหต ดิ เบด็
ของกิเลส ไดรับความทุกขทรมานไมมีสิ้นสุดยุติลงได เพราะเหตดุ งั กลา วมานแ่ี ล เครอ่ื ง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๕

๔๓๖

หลอกมันเขามาทุกแงทุกมุม เขา มาทางไหนกเ็ ยม้ิ รบั ๆ รบั กนั ไปหมด รบั กนั มากนอ ย
เพียงไร ก็เผากันมากนอยเพียงนั้น

ถือวาโลกเจริญ ๆ ทั้งที่แตละคนกําลังจะตายอยูแลว ดว ยความรมุ รอ นแผดเผา
ภายในจติ ใจ จนหาที่ปลงที่วางไมได ยงั โฆษณาอยวู า โลกเจรญิ ๆ พจิ ารณาซคิ นกาํ ลงั จะ
ตาย โลกมนั เจรญิ แบบไหนกนั ถา ไมใ ชก เิ ลสกาํ ลงั เจรญิ ดว ยความโลภมาก โกรธมาก ราคะ
ตณั หามากเหยยี บยาํ่ หวั ใจคน จะใหวาอยางไรจึงจะตรงตามความเปนจริงที่กําลังเปนไปอยู
เมอ่ื เปน เชน น้ี เราจะวา โลกเจรญิ หรอื โลกเสอ่ื ม โลกหมายถึงอะไร ถาไมหมายถึงจิตใจของ
แตล ะราย ๆ ที่ครองโลกอยูนี้

การทาํ โลกใหเ จรญิ นน้ั กเ็ พอ่ื จะใหจ ติ ใจเจรญิ เพื่อจิตใจจะไดอยูสะดวกสบาย เชน
สว นรา งกายกป็ ลกู บา นปลกู เรอื นหลงั ใหญ ๆ โต ๆ รโหฐาน มีที่กั้นแดดกั้นฝน มอี าหาร
การบรโิ ภคเปน เครอ่ื งบรรเทาเยยี วยากเ็ ปน ความสขุ ทางใจมอี ะไรเปน เคร่อื งเยียวยา มี
อะไรเปนเครื่องรักษา พอทจ่ี ะบรรเทาเบาบางทกุ ขท ง้ั หลายลงบา ง ใหม คี วามสขุ ความสบาย
หรอื จะเอาสง่ิ เหลา นน้ั มาเปน เครอ่ื งบรรเทา ก็นั่นมันวัตถุเครื่องอาศัยของกายตางหาก ไม
ใชวิสัยของใจที่จะอาศัยได นอกจากกุศลธรรมอันเปนของคูควรกับใจเทานั้น ใจจงึ จะอาศยั
ได ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนธรรมจงึ เปน ธรรมชาตทิ จ่ี าํ เปน มากตอ จติ ใจของสตั วโ ลก เพอ่ื ความ
เหมาะสมกบั คาํ วา โลกเจรญิ

โลกเจริญตองหมายถึงจิตใจของผูครองโลกเปนจิตใจที่เจริญ มีขอบมีเขตมีเหตุมี
ผล การสรา งอะไรขน้ึ มากส็ รา งดว ยความฉลาดดว ยธรรม มใิ ชฉ ลาดดว ยอาํ นาจกเิ ลส เพื่อ
ใหต นไดร บั ความสขุ จรงิ ๆ และผอู ื่นทีเ่ กย่ี วของกใ็ หไ ดรบั ความสขุ เชนเดียวกบั ตน สมกับผู
มีอรรถมีธรรมอยางแทจริง ไมโกหกตัวเอง โลกเจรญิ จงึ หมายถงึ ตรงนเ้ี ปน หลกั สาํ คญั
ศาสนาจงึ มคี วามจาํ เปน ตอ โลกเรอ่ื ยมา นน่ั แลศาสนาเจรญิ เจรญิ ทใ่ี จเปน พน้ื ฐานสาํ คญั ที่
จะแผกระจายออกไปสูสิ่งตาง ๆ เกีย่ วกับเร่ืองการกอสรา งวัตถุตาง ๆ ทว่ั บา นทว่ั เมอื ง ถา
จติ ใจเจรญิ แลว เพราะการพฒั นาจติ ดว ยธรรม สง่ิ เหลา นน้ั กย็ อมรบั วา เจรญิ เพราะใหค วาม
สขุ จรงิ เนือ่ งจากใจเปน ผไู ดรับการอบรมมาดวยดี ทําอะไรลงไปก็มีเหตุมีผลเพื่อความสุข
ความเจรญิ โดยแทจ รงิ สมบัตติ า ง ๆ ก็สนองความตองการใหเปนสุขได ไมเปนพิษภัยแก
ตัวเองผูเปนเจาของ

ทน่ี ย่ี อ นเขา มาสภู ายในของวงปฏบิ ตั เิ รา วา ศาสนาเจรญิ เจริญยังไง เจรญิ เพราะ
การเดนิ จงกรมเฉย ๆ หาสตสิ ตงั ไมไ ดอ ยา งนน้ั เหรอ ศาสนาไมไ ดเ จรญิ เพราะการเดนิ
จงกรมหาสติสตังไมได การนง่ั สมาธภิ าวนาหาสตสิ ตงั ไมไ ด การเคลอ่ื นไหวไปมาหาสตสิ ตงั
ไมได แตศ าสนาเจรญิ เพราะความมสี ติ ความพินิจพิจารณาทุกสิ่งทุกอยางที่เขามาสัมผัส

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๖

๔๓๗

สัมพันธกับอวัยวะหรือกับอายตนะของตน แมไมมีอะไรมาสัมผัสสัมพันธ เรื่องของจิตก็
ตองเปนจิต เรื่องสติตองเปนสติที่จําตองใช เรื่องปญญาก็เปนเรื่องปญญาซึ่งเปนธรรมจํา
เปนที่ตองใชรักษาตัว หรือแกไขถอดถอนสิ่งที่เปนภัยซึ่งมีอยูกับตัวอยูตลอดเวลา เพื่อ
ศาสนาจะไดเ จรญิ ทจ่ี ติ ใจ

เวลานจ้ี ติ ใจถกู ฝา ยตาํ่ เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายทง้ั วนั ทง้ั คนื ยนื เดนิ นง่ั นอน มาแตภพชาติ
ใดไมตองนับ เอาหลกั ปจจุบนั ของผมู าปฏบิ ตั ิธรรมดว ยเพศของพระเวลาน้ี ไปชั่งตวงกับ
เพศฆราวาสของตนมีแปลกตางกันอยางไรบา ง ตง้ั แตเ ปน ฆราวาสกบั มาเปน พระ ผลที่ได
ในความเปน พระซง่ึ แตก อ นทา นถอื วา เปน การประเสรฐิ เมื่อไดบวชในศาสนาแลวประพฤติ
ตนตามหลกั ศลี ธรรมของพระพทุ ธเจา แลว ทรงมรรคทรงผลขน้ึ มา ทานถอื เปน ความ
ประเสรฐิ ทนี ี้เราทรงอะไร หรือทรงแตความขเ้ี กียจขี้ครานความทอ แทอ อนแอ ทรงตั้งแต
กเิ ลส

กิเลสมนั เต็มอยแู ลว ความขี้เกียจขี้ครานก็เพิ่มขึ้นอีก ความเหน็ แกค วามเหนด็
เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา ความทอถอยออนแอ มันมีแตเรื่องของกิเลส ก็ยิ่งหนักเขาไป ๆ เพิ่มขึ้นไป
ๆ การที่จะถอดถอนกิเลสมีสงิ่ เหลานี้เปน ตน ออกจากภายในจิตใจ ใหเ กดิ ความหา วหาญ
ในการประพฤติปฏิบัติ กําจัดสิ่งชั่วชาลามกทั้งหลายใหหมดไปจากใจ ทําไมมันจะเปนการ
กลบั เพม่ิ ขน้ึ มาเชน น้ี ตองคิดตองอานนักปฏิบัติ ไมคิดไมอานไมได ยังไงจะตองตายจมอยู
น้ี ตายจมเกิดจม เอาใหดีดผึงซิ ถาไมอยากเกิดจมตายจมอีกตอไป

จิตใจถูกกดถวงเชนเดียวกับวัตถุตาง ๆ ที่มีอยูในโลกนี้ที่ถูกโลกดึงดูด ทนี ีจ้ ิตใจ
ของเราก็ถูกโลกคือกิเลสมันดึงดูดใหจม ดีดขึ้นไมได พระพุทธเจา พระสงฆส าวกทง้ั หลาย
ทานดีดพระองคขึ้น และดีดองคของทานขึ้น จนถึงขั้นอวกาศนอกสมมุติ วัตถุตาง ๆ ถา
พน จากความดงึ ดดู ของโลกแลว มีน้ําหนักขนาดไหนมันก็เทากันเพราะไมมีอะไรดึงดูด จติ
ใจของทานผูใดก็ตามถาไดหลุดพนจากความดึงดูดของโลก คอื กิเลสประเภทตา ง ๆ โดย
สน้ิ เชงิ แลว กเ็ ปน เชน นน้ั ไมน ยิ มวา ผใู หญผ นู อ ย ไมน ยิ มวา เปน หญงิ เปน ชาย ไมน ยิ มวา พระ
พทุ ธเจา และสาวก ถาไดดีดตัวขึ้นถึงขั้นอวกาศไดแกโลกุตรธรรม แดนแหง พระนพิ พาน
หรอื แดนแหง ธรรมทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว นตฺถิ เสยโฺ ยว ปาปโย ความยิ่งหยอนไมมีอะไรตางกัน
เลย

เราผปู ฏบิ ตั กิ เ็ ปน โอกาสอนั ดอี นั เหมาะสมเวลาน้ี อุตสา หพ ยายามประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
หนักก็ไมถอย เบาก็ไมถอย พนิ จิ พจิ ารณาเสมอ ระวงั การสวมรอยของกเิ ลส การแทรกซึม
ของกิเลสจะแทรกอยูทุกระยะที่เราเผลอเมื่อไร ตอ งสบั ยาํ เราเมอ่ื นน้ั สวนหมดั เราเมอ่ื นน้ั
จึงตองระมัดระวัง สติเปนของสาํ คัญ จงพยายามเอาจรงิ เอาจงั ใหเ หน็ ศาสนาเจรญิ ในใจเรา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๗

๔๓๘

ในครง้ั พทุ ธกาลศาสนาเจรญิ มีพระอริยบุคคลทุกประเภท หรือมสี มณะ ๔
ประเภท สมณะทีห่ น่ึง โสดาปตติมรรค สมณะที่สอง สกทิ าคามรรค สมณะทส่ี าม
อนาคามมิ รรค สมณะที่สี่ อรหตั มรรค อรหัตผล การประพฤติปฏิบัติเพื่อทรงสมณะตั้งแต
ขั้นต่ําจนถึงขั้นสูงสุด ศาสนาจงึ ไมผ ดิ อะไรกบั คาํ วา ตลาดแหง มรรคผลนพิ พาน สาํ หรบั ผู
ปฏิบัติตองไดตองถึง เพราะความจรงิ อยกู บั ใจของเราทกุ คน ถาแยกออกมาก็อยูกับกายกับ
ใจ สรปุ แลว กอ็ ยกู บั ใจ เพราะใจเปนผูจะรับผลทุกสิ่งทุกอยางในการกระทําของตน เนอ่ื ง
จากสง่ิ เหลา นเ้ี ปน เครอ่ื งมอื หรอื เปน ทางผา นเขา ไป ๆ ผา นเขา ทางกาย ผา นเขา ทางวาจา
หรอื ผา นเขา ทางอายตนะภายใน ทุกขก ็เปน สจั ธรรม สมทุ ยั กเ็ ปน สจั ธรรม นผ่ี า นเขา ทางใจ
เกิดขึ้นมาที่ใจ ผลิตทุกขขึ้นมาที่ใจ และแกไขกันที่ใจนี้

เมื่อจิตนี้ไดถายเทสิ่งสกปรกทั้งหลายออกเสีย แลว บรรจอุ รรถธรรมอนั สะอาดงาม
ของใจ สงบเยน็ ใจ สวา งไสวภายในใจ และเลศิ เลอภายในใจขน้ึ มาแทนทเ่ี ปน ลาํ ดบั จน
กลายเปน วา ใจกบั ธรรมเปน อนั เดยี วกนั แลว จะพดู วา ธรรมกไ็ ด พูดวาใจก็ได เปน ธรรม
ชาตทิ ป่ี ระเสรฐิ รอู ยา งชดั เจนภายในใจ ไมจําเปนตองใหผูหนึ่งผูใดมาบอกมาแนะวา เวลา
นท้ี า นรแู ลว ทา นเหน็ แลว ธรรมประเภทนน้ั เพราะธรรมประเภทนน้ั เปน สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก ผู
ปฏิบัติจะพึงรูเองเห็นเองดวยกัน ไมว า ครง้ั พระพทุ ธเจา หรอื สมยั ปจ จบุ นั น้ี ธรรมเปน ธรรม
ทค่ี งเสน คงวา ไมมีการเปลี่ยนแปลงยักยายไปเปนอื่น มจี รงิ อยูทงั้ ฝายเหตฝุ ายผล ขอให
ดาํ เนนิ ทางเหตใุ หเ ปน หลกั เปน เกณฑเ ปน เนอ้ื เปน หนงั เถดิ ผลที่จะพึงไดรับนั้นจะไมมีผูใด
มารบั แทนใจผกู าํ ลงั บาํ เพญ็ เหตเุ ตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ และเตม็ ภูมแิ หง เหตอุ ยูแลว
เวลาน้ี จะพงึ ไดร บั ผลโดยสมบรู ณข น้ึ ทต่ี วั เราเอง พรอมกับคาํ ที่วา สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก จะเกดิ ขึน้ ใน
ขณะเดียวกนั ไมมีบกพรองที่จะตองไปถามใครอีก

วนั นไ้ี ดอ ธบิ ายถงึ เรอ่ื งศาสนาเสอ่ื มศาสนาเจรญิ อธิบายไปไหนก็ตามเถอะ เราเปน
ผูฟงเพื่อเราทุกรูปทุกนาม ขอให โอปนยิโก นอ มเขา มาสตู วั เรา ศาสนาใดจะเจรญิ กบั ผใู ด
ก็ตาม จะเสื่อมกับผูใดก็ตามไมสําคัญ เพราะเสอ่ื มหรอื เจรญิ ทใ่ี จของเรา ศาสนาเสอ่ื มทเ่ี รา
เรากเ็ ปน ผยู อมรบั ทกุ ข ศาสนาเจรญิ ขน้ึ ทใ่ี จเรา เรากเ็ ปน ผเู สวยผลแหง ความสขุ ความเจรญิ
ของศาสนามากนอยภายในใจของตน

เราเปน ผรู บั ผดิ ชอบตวั เราเอง ใจเราเอง ไมมีผูหนึ่งผูใดมารับผิดชอบ ไมมีกาล
สถานทใ่ี ด ๆ มารับผิดชอบ เฉพาะอยางยิ่งความขี้เกียจขี้ครานความทอแทออนแอนั้น ไม
ใชผ มู าชว ยรบั ผดิ ชอบเรานะ ประเภทเหลา นม้ี แี ตเ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายใหเ ราลม จมไปโดย
ถา ยเดยี ว จงึ ควรเหน็ ภยั อยา งยง่ิ กบั สง่ิ เหลา นป้ี ระจาํ ใจ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๘

๔๓๙

จงมีสติอยางเขมงวดกวดขัน ระมดั ระวงั เสมอ สตนิ น้ั แลจะเปน เครอ่ื งพยงุ สตนิ น้ั
แลจะเปน เครอ่ื งรกั ษาเราใหป ลอดภยั ปญญาแลเปนธรรมชาตทิ จ่ี ะฟาดฟน หนั่ แหลกส่งิ ที่
เปน ภยั ทง้ั หลายซง่ึ มอี ยรู อบใจ และคอยแทรกแซง คอยเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเราอยเู สมอ ให
แตกกระจายไปดว ยปญ ญาของเรานั้นแล จงเอาใหจ รงิ อวกาศเหนือโลกเปนยังไง อวกาศ
ของโลกเรากท็ ราบแลว อวกาศของธรรมเปนอยางไร พูดงาย ๆ อวกาศของจิตเปนอยางไร
ใหร ทู น่ี ่ี

การปฏบิ ตั ิและวิธีการทงั้ หมดทไี่ ดอ ธบิ ายมานี้ ที่ผานไปแลวก็ดี ปจจุบันนี้ก็ดี ก็
แสดงถงึ เร่ืองวธิ ีการดําเนนิ จิตใจ ใหพนสูอวกาศจากสมมุติโดยประการทั้งปวงอยาง
ประจักษใจ ทั้ง ๆ ที่มีชีวิตอยูนี้แล เอาใหเ หน็ ใหจ รงิ ใหจ งั อยา ลดละความเพยี ร

การอดนอนผอนอาหาร ทา นผูใดเหน็ เหมาะสมกบั จริตจิตใจของตนอยางไร หรอื
วิธีการตางๆ แหง การประกอบความพากเพยี ร ใหพึงสังเกต ไมอ ยางนัน้ ไมไดผลเทา ทคี่ วร
ไมไดผลคุมคา เหน็ วา วธิ กี ารใดเปน ทย่ี งั ผลประโยชนใ หเ กดิ คลอ งตวั กวา การกระทาํ ทง้ั
หลายวธิ กี ารทง้ั หลาย ก็ใหพึงสังเกตและพึงทําตามวิธีการนั้น การทําอะไรไมสังเกตจะไมได
ผลเทา ทค่ี วร

สวนมากผูปฏิบัติมักจะดีทางอดอาหารผอนอาหาร แตถารายไมถูกก็ไมควรฝน
เพราะการอดอาหารไมใ ชเ ปน การทาํ ลายกเิ ลส แตเ ปน อบุ ายวธิ ชี ว ยการทาํ ลายกเิ ลสโดย
ทางความเพยี ร ดว ยจติ ตภาวนา ศรัทธา ความเพยี รตา งหาก นี่เปนอุปกรณ เมื่อเห็นวาไม
เหมาะวธิ กี ารน้ี หรืออุปกรณอันนี้ไมเกิดประโยชน ก็ไมเอา หาวธิ ใี หม ถาถูกแลว เอา
เหมาะ นาํ มาใชเ พอ่ื เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ความเพยี รใหไ ดผ ลรวดเรว็ ดงั ใจหมาย นล่ี ะการ
ประกอบความเพียร จึงตองไดพิจารณาสังเกต อุบายแหงความเพียรทุกแงทุกมุมสังเกต
เสมอ ไมอ ยา งนั้นไมเขาใจ ดาํ เนนิ ไปสมุ สส่ี มุ หา ไมไดเรอ่ื ง ตองสังเกตตัวเองเสมอ

อดอาหารไมควรอดไปนานนัก จะทําใหเสียทางดานธาตุขันธ เราเปน ผรู บั ผดิ ชอบ
ทั้งฝายธาตุขันธและจิตใจ เราจงึ ควรพจิ ารณาตวั เรา ปฏบิ ตั ติ อ ตวั เองใหเ หมาะสม เพราะ
กิเลสอยางแทจริงนั้นไมไดอยูกับกาย มันอยูกับใจ แตอ าศยั กายเปน เครอ่ื งสนบั สนนุ เชน
กายมีกําลังมาก การภาวนาไมคลองตวั อืดอาดเนอื ยนาย ดีไมดีจิตหาความสงบไมได ผูที่มี
ความสงบแลว กาํ ลงั ดาํ เนนิ ทางดา นปญ ญา ปญญาก็ไมคลองตัว พออดอาหารผอ นอาหาร
ลงไป จิตก็สงบไดงาย ปญญาก็คลองตัว เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ กนั อยา งน้ี แตไ มใ ชเ ปน ธรรม
ชาตทิ ฆ่ี า กเิ ลสเพราะการอดอาหาร นน้ั เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ตา งหาก ผูที่จะฆากิเลสก็คือสติ
กับปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร นเ่ี ปน วธิ กี ารโดยตรง ใหพึงสังเกตตวั เอง

<<สารบัญ การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร เอาละยตุ ิ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๓๙

๔๔๐

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๓ กนั ยายน พุทธศักราช ๒๕๒๕

ธรรมแทป รากฏทใ่ี จ

คาํ วา ธรรมมอี ยู บาปมีอยู บุญมีอยู นรกมีอยู สวรรคม อี ยู พรหมโลกมีอยู
นพิ พานมอี ยู และสตั วโ ลกทอ่ี ยใู นแหลง แหง สถานท่ี หรอื สง่ิ ทก่ี ลา วมาเหลา นท้ี ง้ั มวล ไมใช
คนธรรมดารู ไมใ ชค นธรรมดาทม่ี กี เิ ลสทง้ั หลายเหน็ กนั หู ตา จมกู ลน้ิ กาย ใจ ของคน
ธรรมดาหรอื สตั วท ว่ั โลก ไมม ใี ครจะอาจเอื้อมรูเหน็ ไดยิน และสมั ผสั สมั พนั ธก บั สง่ิ ทก่ี ลา ว
มาเหลา นไ้ี ดเ ลย มีพระพุทธเจา และสาวกอรหนั ตท า นซง่ึ เปน ผวู เิ ศษ จติ สวางกระจางแจง
เพราะความเหนอื สง่ิ เหลา นแ้ี ลว จงึ สามารถเหน็ สง่ิ ทก่ี ลา วมาเหลา นไ้ี ด ถาพูดถึงนิพพาน
จติ ของทา นเปน นพิ พานโดยสมบรู ณแ ลว จงึ ไดน าํ มากลา วมาแนะนาํ สง่ั สอน

ธรรมทงั้ มวลที่พระพทุ ธเจาทรงรูทรงเห็น และสิ่งทั้งปวง สถานที่ทั้งมวลดังกลาว
มาน้ี ซึ่งเปนสิ่งที่พระพุทธเจาทรงรูทรงเห็น สัตวทั้งหลายไมสามารถจะรูจะเห็นจะเชื่อถือได
ในขน้ั เรม่ิ แรก ตองไดเริ่มชี้แจงไปตามภูมิตามฐานแหงอุปนิสัยของสัตวโลกไปกอน จนกวา
จะมีเครื่องมือพอสามารถทราบไดเปนขั้นเปนตอน แตละสิ่งละอยางได

เพราะฉะนนั้ สิง่ ทกี่ ลาวมาท้งั มวลน้ี จึงเปนสิ่งที่สุดวิสัยของโลกจะรูจะเห็นจะเชื่อถือ
ได เพราะไมมีรายใดไปพบไปเจอไปรูไปเห็นมา พอจะนาํ สง่ิ ทต่ี นรตู นเหน็ นน้ั มาพดู มาเลา
ใหเพื่อนฝูงฟงกัน จะเปน รายใดกต็ ามในแหลง แหง โลกธาตนุ ้ี ไมมีแมแตรายเดียว มพี ระ
พทุ ธเจา เทา นน้ั เปน พระองคแ รกทท่ี รงรทู รงเหน็ ท้ังบาปทัง้ บุญท้งั นรกท้งั สวรรคเปรตผีตาง
ๆ ในภพนอ ยภพใหญ ซึ่งเปนไปตามวิบากของตน ๆ ตลอดถึงขั้นสูงขึ้นไป เทวบตุ ร
เทวดา สวรรคช น้ั พรหมโลก มพี ระพทุ ธเจา เทา นน้ั เปน ผทู รงรทู รงเหน็ และเปน ผแู นะนาํ สง่ั
สอนใหเขาใจตามกําลังความสามารถของตนจะพึงเขาใจได

ดว ยเหตนุ ้ี ธรรมะจึงเขาสูจิตใจของสัตวโลกไดยาก เพราะไมเ คยรเู คยเหน็ จะให
เชื่อกันงายดายอยางไรได สงิ่ ท่ีรทู เี่ ห็นส่งิ ท่ีสมั ผสั สัมพันธห รอื คลกุ เคลากนั อยูตลอดเวลา
ในภพชาตติ า ง ๆ มาตั้งกัปตั้งกัลปก็คือความมืดบอด และสิ่งที่รูที่เห็นที่สัมผัสสัมพันธได
อยูในวิสัยของตนจะพึงรูพึงสัมผัสเทานั้น สัตวโลกจึงจะเชื่อไดสนิทใจ เชน ตากส็ ามารถจะ
มองเหน็ ไดใ นรปู หรอื สแี สงตา ง ๆ วิสัยของตาก็มีเพียงเทานั้น หูก็เพียงฟงเสียง อยางมาก
ก็มีเครื่องมือชวย ตาอยางมากก็มีเครื่องมือชวยไปเพียงเล็ก ๆ นอย ๆ เครอ่ื งมอื เหลา นน้ั
ก็อยูในวิสัยของสมมุตินี้ จมูก ลน้ิ กายมีแตสัมผัสสัมพันธกับสิ่งที่อยูในวิสัยของตน ไมนอก

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๐

๔๔๑

เหนือไปจากนี้ได ใจแมจ ะเปน ความรู เรยี กวา เปน พน้ื ฐานแหง ตวั รอู ยแู ลว กต็ าม แตใ จดวง
นี้ก็ถูกปดบังหุมหออยูกับสิ่งมืดมิดปดตาทั้งหลาย จงึ รแู บบทท่ี า นวา อวชิ ชฺ าปจฺจยา หรอื วา
อวชิ ชา รกู ร็ แู บบฝา ๆ ฟาง ๆ ไมรูเตม็ หเู ต็มตาเตม็ ดวงใจจริง ๆ รแู บบฝา แบบฟาง ไมรู
เตม็ เมด็ เตม็ หนว ยเตม็ อตั ราแหง ความรจู รงิ ๆ ธรรมจึงเขาสจู ิตใจของโลกไดย ากเพราะ
เหตเุ หลา นแ้ี ล

ผูที่มาประกาศสั่งสอนโลกก็มีพระพุทธเจาเพียงพระองคเดียวในขั้นเริ่มแรก คน
ทั้งโลกสัตวทั้งโลก เคยเชอ่ื สง่ิ ทส่ี มั ผสั สมั พนั ธก นั มาแลว และนมนาน ตางคนตางสัมผัส
สัมพันธในสิ่งที่อยูในวิสัยของตนดวยกัน เมือ่ พูดสง่ิ เหลานีส้ ูกนั ฟง โลกทั้งหลายก็เชื่อกันได
งา ย เพราะอยใู นวสิ ยั ของตนทีร่ ูที่เห็นที่ควรจะเชอ่ื ไดห รอื เชื่อได ยอมเชื่อไดอยางงายดาย
แตส ิง่ ท่ีมีอยนู อกเหนือจากน้ซี งึ่ เปน สิ่งทีต่ นไมเ คยรูเคยเหน็ แมจะมีผูมาชี้แจงบอกสอน
อยางชัดเจนหรือแจมแจงอยางไร จิตใจก็ยังเปดรับไมไดสนิท เพราะสิ่งที่ปดบังจิตใจไมให
เปด รบั ความจรงิ คอื ธรรมทง้ั หลายนน้ั มันปดสนิทอยูภายในใจ ไมม กี าลสถานทเ่ี วลาํ่ เวลา
เลย จงึ เปน สง่ิ ทย่ี ากมากสาํ หรบั สตั วโ ลก ที่จะเปดสิ่งปดบังหุมหอกีดขวางรัดรึงอยูภายในใจ
นี้ออกไดทีละเปลาะสองเปลาะ ทลี ะกา วสองกา ว จงึ เปน ความลาํ บากมาก เพราะสง่ิ เหลา น้ี
เปน ประหนง่ึ วา อวยั วะเดยี วกนั กบั ทงั้ รางกายและจิตใจของสตั วแตล ะรายๆ ทั้ง ๆ ทส่ี ง่ิ
เหลานี้เปนของปลอมไมใชของจริง เพียงแฝงของจริงอยูเหมือนกาฝากเทานั้น

ใจแทน น้ั จรงิ แตสิ่งที่เคลือบแฝงอยูกับใจนั้นปลอม ตานน้ั เหน็ ไดจ รงิ แตสิ่งที่
เคลือบแฝงใหพาหลงทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย เมื่อสมั ผัสสมั พันธน้นั มนั
ปลอม และอยูอีกฉากหนึ่ง คืออยูฉากหลัง จึงมองเห็นอะไรไปในทางบดิ เบอื นความจริง
โดยใหเ ปน ไปดว ยความรกั ความชงั ความเกลยี ด ความโกรธ ไมไ ดเ ปน ไปตามหลกั ธรรม
ชาตแิ หง ความจรงิ ในสิ่งที่ตนไดเห็นไดยินไดฟงอยางเต็มเม็ดเต็มหนวย และเตม็ ตาม
ความจรงิ เลย

คาํ วา ธรรม ๆ แมจะอยูตลอดอนันตกาลและมีอยูในที่ทั่วไปก็ตาม สัตวโลกก็ไม
สามารถปรบั เครอ่ื งรบั ธรรมทง้ั หลาย คอื ใจใหเ ขา สธู รรมขน้ั ตา ง ๆ ได ธรรมจงึ เปน ของ
ลาํ บากสาํ หรบั โลกทจ่ี ะสมั ผสั สมั พนั ธไ ด ตอเมื่อไดยินไดฟงจากพระพุทธเจา ซง่ึ ทรงรทู รง
เหน็ เตม็ พระทัยไมส งสยั ทรงแสดงหลายครง้ั หลายหน สง่ิ ทร่ี บั ทราบคอื ใจ และปรับปรุงตัว
ไปในขณะที่ไดยินไดฟงโดยสม่ําเสมอ สิ่งที่ปดบังทั้งหลายก็ยอมเบาบางลงและจางออกไป
ๆ ถา เปน เมฆหนา ๆ มืด ๆ ทึบ ๆ ก็คอยจางออกไป กระจายออกไป มองเหน็ ทศิ เหน็ ทาง
ไดพอประมาณ นแี่ ลการไดยินไดฟ ง แมจะเปนกระแสแหงธรรมที่แสดงออกจากพระพุทธ
เจา กต็ าม จากพระสาวกทั้งหลายก็ตาม ซ่ึงเปน อาการแหง ธรรมทง้ั นั้นก็จรงิ แตเมื่อไดฟง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๑

๔๔๒

อาการแหง ธรรม กระแสแหง ธรรม ซึ่งเตม็ ไปดวยเหตุดวยผล ท่จี ะยงั สตั วท ัง้ หลายใหเขาสู
ความจริงได ใจของสตั วโลกยอมจะเขาสคู วามจรงิ ไดเปนลาํ ดับ เพราะการไดยินไดฟงอยู
โดยสมาํ่ เสมอ

หากเราจะพจิ ารณาธรรมดา โดยเอาสงิ่ เลวทรามที่ฝง ใจ และเปนเจาอาํ นาจน้อี อก
มาคิดมาปรุงกัน กด็ งั ทเ่ี คยคดิ เคยปรงุ มาแลว กง็ า ย จะคดิ วา ธรรมมอี ยทู ว่ั ไปตามคมั ภรี ใ บ
ลาน ตามวดั ตามวา ครบู าอาจารยแ นะนาํ สง่ั สอนมเี ตม็ ไปหมด อยางนี้ก็งาย แตว า ธรรมท่ี
จะใหเ ปน ประโยชนใ หส มั ผสั สมั พนั ธก บั ใจ ใหต น่ื เตน ใหสะดุดใจ ใหเ กดิ ความเชอ่ื ความ
เลื่อมใส ใหเ กิดความกระหย่ิมอ่ิมเอบิ ใหเกิดความพอใจ ใหเ กดิ ความสขุ เปน ขน้ั เปน ตอน
ไป เปนสิ่งที่สัมผัสสัมพันธไดยาก ถาไมไดประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจา
จรงิ ๆ แลว ธรรมแทด งั ทก่ี ลา วมาเหลา น้ี จะไมส มั ผสั สมั พันธจติ ใจเลยต้งั แตวันเกิดจน
กระทัง่ วนั ตาย จะเกิดเปลา ๆ เหมอื นตนไมใ บหญา เกดิ ขึน้ มา และตายทงิ้ เปลา ๆ เหมอื น
ตน ไมใ บหญา ตายนน้ั แล คณุ สมบัตทิ จี่ ะนํามาทาํ ประโยชนอะไรไมป รากฏ

รางกายและตวั ของเราทัง้ รา งทัง้ ตวั น้ี ก็จะเปน เชนนัน้ เกดิ แลว ตายเลา ตายแลว
เกดิ เลา ก็ไมผิดอะไรกับวัตถุตาง ๆ ที่เกิดที่ตายกันเกลื่อนโลกอันนี้ ถา ไมเ สาะแสวงหาสาร
ธรรมเขา สจู ติ ซง่ึ เปน สาระสาํ คญั คือการปรับปรุงจติ ของตนใหเขาสรู ะดบั อนั ควรสมั ผสั
สัมพันธธรรมแทได ดว ยการปฏบิ ตั เิ สยี แตบ ดั น้ี เราจะไมม ที างรเู หน็ ไมม คี วามเปน สาระ
แกตน ไมเปนที่อบอุนภายในใจของตนไดเลยตลอดไป

พวกเราไดม าบวชในพระพทุ ธศาสนา ไมเพียงแตไดนับถือศาสนา ยงั ไดบ วชและ
ไดป ฏบิ ตั ติ ามหลกั ศาสนธรรมดว ย ไดเปนนักบวชและนักปฏบิ ัติดว ย ซึง่ เปนเพศที่ควรกาว
เขาสูแดนสัมผัสสัมพันธธรรมไดตามขั้นตามภูมิของธรรม ตามกําลังความสามารถของตน
จึงควรกระตือรือรนในการประพฤติปฏิบัติตน ตามเพศและโอกาสอาํ นวย อยา ประมาท
นอนใจ

คาํ วา ธรรม เรม่ิ ตน แตส มาธธิ รรม นแ่ี ลธรรมทจ่ี ะสมั ผสั สมั พนั ธใ หเ หน็ ชดั เจนภาย
ในใจ การใหท าน การรกั ษาศลี กเ็ ปน ผลปรากฏในใจ แตย ังไมเ ดนชดั ในความรคู วามสะดุด
ใจเหมอื นสมาธธิ รรม ปญ ญาธรรม ตามขั้นของธรรมนั้น ๆ จนถึงขั้นวิมุตติธรรม ธรรมนี้
เปนธรรมแทซึ่งจะสัมผสั รบั รูทใ่ี จแหง เดียว ชื่อของสมาธิก็ไมใชธรรมแท ชื่อของปญญาก็
ไมใชธรรมแท ชื่อของวิมุตติหลุดพนหรือพระนิพพานก็ไมใชธรรมแท ธรรมแทคือสิ่งที่
สัมผัสกับใจของผูปฏิบัติ วา ใจสงบเปน สมาธเิ ปน ตน ชอ่ื วา ใจไดเ รม่ิ สมั ผสั สมั พนั ธธ รรม
แลว สมาธขิ ้ันใด มคี วามสงบเยน็ ใจขนาดไหนกท็ ราบไดช ดั ภายในใจ นค่ี อื ธรรมแท แมจ ะ
เปน ขน้ั แหง ธรรมทย่ี งั ตาํ่ ยงั หยาบอยู แตก เ็ ปนธรรมแทในขัน้ นแี้ ละขน้ั ตอไปเปน ลาํ ดบั เชน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๒

๔๔๓

เดยี วกบั ธนบตั รใบละสบิ บาท ยส่ี บิ บาท ใบละรอ ยบาท หา รอ ยบาท เปน ธนบตั รจรงิ ไปตาม
ๆ กัน มคี ณุ ภาพตามลาํ ดบั ลาํ ดาของธนบตั รชนดิ นน้ั ๆ

ธรรมแทก เ็ ปน เชน นน้ั เหมอื นกนั คาํ วา สมาธธิ รรม เรม่ิ แรกตง้ั แตจ ติ ไดร บั ความ
สงบ เพราะการภาวนา การอบรมจติ ใจ การรกั ษาจติ ใจ บาํ รงุ จติ ใจดว ยสติ คลี่คลายสิ่งที่
ปด บงั หมุ หอ ภายในจติ ใจดว ยปญ ญาโดยสมาํ่ เสมอ สมาธธิ รรมก็เริ่มปรากฏขนึ้ คาํ วา สมาธิ
เรม่ิ ปรากฏกค็ อื ความสงบเยน็ ใจ ความมั่นคงของใจ ความมีหลักฐานของใจ เรม่ิ ปรากฏขน้ึ
เปน ลาํ ดบั นน่ั แล

การพจิ ารณาทางดา นปญ ญา คอื การคลค่ี ลายสง่ิ ทร่ี ดั รงึ ภายในจติ ใจดว ยอาํ นาจ
แหงอุปาทาน เพราะเปน สาเหตทุ ม่ี าจากความลมุ หลง พงึ คลค่ี ลายลงไปตามหลกั ความจรงิ
ใหเ หน็ ชดั ดว ยปญ ญาโดยลาํ ดบั อุปาทานซึ่งเปนสิ่งที่หนักมากยิ่งกวาภูเขาทั้งลูกทับใจอยู
ตลอดเวลานน้ั จะคอยคลายตัวออกไปตามปญญาที่หยั่งเขาถึง เพราะความรคู วามเขา ใจ
ดว ยปญ ญาทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการพจิ ารณานน้ั แล จะเปน สง่ิ ทค่ี ลค่ี ลาย และแกสิ่งที่มัดตรึงจิตใจ
ไวออกไปได เมอ่ื ปญ ญาปรากฏข้นึ ยงั ผลใหจ ติ ไดร บั ความเบาบางมากนอ ย กท็ ราบไดช ดั
วาธรรมแทที่เกิดขึ้นจากดานปญญา ไดป รากฏขน้ึ แลว อยางนี้

ปญญามีหลายขั้น การพจิ ารณาในขน้ั เรม่ิ แรกจะไมส ะดวก ฝด ๆ เคอื ง ๆ ขดั ๆ
ของ ๆ เพราะเปน งานทไ่ี มเ คยทาํ และไมเ คยเหน็ ผล การเรม่ิ แรกพจิ ารณายอ มแฝงไปดว ย
ความขเ้ี กยี จ แตพ จิ ารณาหลายครง้ั หลายหน ปญญาก็ยอ มมคี วามราบรืน่ มคี วามคลอ ง
แคลว แกลว กลา ฉลาดแหลมคมขน้ึ ไปเรอ่ื ย ๆ ผลที่จิตไดรับจากปญญาเปนผูถอดผูถอน ผู
เบิกทางอันรุกรังดวยกิเลสอุปาทานทั้งหลายออกไดนั้น ยอมกระจางแจงขึ้น แสดงผลให
เหน็ อยา งชดั เจนภายในใจ สมาธธิ รรมกป็ รากฏขน้ึ แลว ทใ่ี จ ปญ ญาธรรมกเ็ รม่ิ ปรากฏขน้ึ
แลว ทใ่ี จไมป รากฏทไ่ี หน ๆ ในอวัยวะทั้งมวลนี้ไมใชภาชนะของธรรม มจี ติ ดวงเดยี วเทา นน้ั
เปน ภาชนะของธรรม และเปนภาชนะท่ีเหมาะสมอยา งยงิ่ ไมมีอะไรเสมอเหมือน

เพราะฉะนน้ั ทานจงึ สอนใหอ บรมจิตใจโดยทางท่ีถกู มจี ติ ตภาวนาเปน ตน จนสติ
ปญญาซึ่งไดรับการอบรมมาไมหยุดไมถอย และฝก หดั คน ควา จนมคี วามคลอ งแคลว ภาย
ในตวั แลว สิ่งที่ปดบังหุมหอภายในจิตใจมากนอยนั้นเกี่ยวโยงมากับอะไร สตปิ ญ ญาจะ
สามารถคน ตลบทบทวนในสาเหตทุ เ่ี กย่ี วโยงนน้ั เขา ไป และตัดขาดไปไดเปนวรรคเปนตอน
ผลของปญญาก็คือจิตเปนผูรับ ผลนน้ั จะเกดิ ความสวา งไสวขน้ึ ภายในใจ

สรปุ ความลงในขอสดุ ทา ยแหงยอดธรรมเคร่ืองกาํ จัด ก็คือสติปญญานั้นแล เปน
เครอ่ื งกาํ จดั ฟาดฟน หน่ั แหลกสง่ิ รกรงุ รงั ทง้ั หลายภายในใจอนั เปน สว นละเอยี ด ใหแตก
กระจายหายสูญไปหมดไมมีเงื่อนตอ ไมเกี่ยวโยงกับสิ่งใดอีก คือไมเกี่ยวโยงกับรูป กบั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๓

๔๔๔

เสยี ง กบั กลน่ิ กบั รส กบั เครอ่ื งสมั ผสั ตา ง ๆ อนั เปน สว นภายนอก และไมเกี่ยวโยงไมผูก
พันกับรูปคือกายของตน ไมผูกพันกับนามธรรมคือ เวทนา สขุ ทุกข เฉย ๆ สญั ญา ความ
จาํ ไดห มายรู สงั ขาร ความคดิ ความปรงุ วญิ ญาณ ความรบั ทราบ ในเมอ่ื สง่ิ ตา ง ๆ เขามา
สัมผัสสัมพันธทางอายตนะ ไมมีความเกี่ยวโยง ไมม กี ารประสาน ตัดขาดจากกันไมมีเงื่อน
สืบตอกอแขนง ทั้งอายตนะภายนอก คือ รปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ตัดขาดทั้ง
อายตนะภายใน คือ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย แมจิตก็รูเทาตัวเอง คือตัดขาดภายในจิตอีกดวย
ไมมีเงื่อนตอใดเลย นน่ั แลทา นเรยี กวา ธรรมเลศิ

ธรรมแทเกิดขึ้นที่ใจ สถิตอยูที่ใจ อยูที่ไหนก็ไมมีคําวา กาล สถานท่ี ที่จะไมอยูกับ
ธรรมเลศิ ประเภทน้ี เพราะใจกบั ธรรมเปน อนั เดียวกนั แลว นแ่ี ลทา นเรยี กวา ธรรมประเสรฐิ
ปรากฏขน้ึ ทใ่ี จ และไมว าธรรมขน้ั ใดจะปรากฏข้นึ ทีใ่ จทั้งน้นั ที่อยูภายนอกใจมีแตชื่อของ
ธรรม ชื่อของกิเลส ดงั ในตาํ ราในคมั ภรี ท า นจารกึ ไว เชน สมาธธิ รรม ปญ ญาธรรม วิมุตติ
ธรรม และกเิ ลสประเภทตา ง ๆ เปนตน เหลา นเ้ี ปน ชอ่ื ของกเิ ลสบาปธรรมทง้ั หลาย ไมใช
ธรรมแทด งั ท่ีอยใู นจติ ธรรมที่กลา วมาทั้งมวลนี้ก็มีพระพทุ ธเจาพระองคเ ดียวเปนผทู รงคน
พบ รูเห็นทุกแงทุกมุม แลว นาํ มาสอนโลกใหร ตู ามเหน็ ตาม

ใจเปนความรสู กึ ประจําตน และเคยเกี่ยวของพัวพนั กับสมมุตนิ ยิ มทง้ั หลาย เนอ่ื ง
จากใจยงั เปน สมมตุ ิ เนือ่ งจากใจยงั เปน กเิ ลสเตม็ ตวั สัมผัสสัมพันธกับสิ่งใดจึงเปนเรื่อง
ของกิเลสไปทั้งมวล คือเปนเรื่องผูกมัดรัดรึงตัวเองทั้งสิ้น ไมวาจะสัมผัสสัมพันธทางตา
ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย อารมณภ ายในใจ เกี่ยวกับเรื่องอดีตอนาคต แมก บั
ปจ จบุ นั กต็ ดิ ติดไปหมด พัวพันไปหมด จงึ ไมส ามารถรธู รรมทง้ั หลาย ของจรงิ ทั้งหลายได
เพราะสง่ิ เหลา นม้ี อี าํ นาจปกคลมุ หมุ หอ รอบดวงจติ ทั้งขณะไดเห็นไดยินไดสัมผัสสัมพันธ
ตา ง ๆ จนกระทง่ั อารมณท ค่ี ดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจ ก็เต็มไปดวยสิ่งผูกพันรัดรึงทั้งนั้น จิตใจจึง
หาอิสระไมได

เมื่อจิตเต็มไปดวยสิ่งกดขี่บังคับอยูแลว จะมองเห็นความจริงไดอยางไร ใจสมั ผสั
สัมพนั ธอ ยกู ับส่ิงเหลา นต้ี ลอดเวลา คาํ วา ธรรมจะปรากฏขน้ึ ภายในใจไดอ ยา งไร ธรรมไม
ใชป ระเภทเหลา น้ี ประเภทเหลานี้เปนเรื่องของสมมุตินิยมของกิเลสทั้งมวล ประเภทเหลา
น้ีเปน เครื่องปดจติ ปด ใจตางหาก ไมใชประเภทที่เปดเผยหรือถอดถอนจิตใจออกจากกิเลส
แลกองทุกข จงฉุดลากสิ่งเหลานี้ออกใหได จะมองเห็นใจเห็นธรรมไดอ ยา งชัดเจน

ธรรมเปน ธรรม เมอ่ื นาํ มาปฏบิ ตั จิ งึ ปรากฏขน้ึ ภายในจติ ใจ ดังพระพุทธเจาทรง
แสดงเรื่องบาปมีอยู ใครไมท ราบและไมเช่อื กต็ าม บาปนี้ก็เปนของมีอยูดั้งเดิม บญุ เปน
ของมีอยูดั้งเดิม บาปก็คือความทุกขของสัตว บุญก็คอื ความสุขของสัตวของคนน้ันแล นรก

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๔

๔๔๕

เปน สถานทีอ่ ยแู หงผมู วี บิ ากกรรมอันช่ัว สวรรคเ ปน สถานทอ่ี ยแู หง ผมู วี บิ ากกรรมอนั ดี
พรหมโลกกเ็ หมอื นกันเปน ชัน้ ๆ ขึ้นไป เปนที่อยูของผูมีวิบากกรรมอันดี นพิ พานเปน ทอ่ี ยู
ของทานผูบริสุทธิ์ สง่ิ เหลา นใ้ี ครจะรใู ครจะเหน็ ไดเ ลา เพราะไมม เี ครอ่ื งมอื ใจไมส วา ง
กระจา งแจง ใจไมพนสิ่งปกปดกําบังทั้งหลาย มองก็มองไปดวยความมืดบอดที่กิเลสปดบัง
ตาใจไว บุญจะมี บาปจะมีอยูตั้งกัปตั้งกัลปก็หาไดรูไดเห็นไม หาไดพบไม ทั้ง ๆ ทีบ่ ญุ บาป
ก็สัมผัสสัมพันธอยูกับใจนั้นแล ใจกไ็ มท ราบไดว า สง่ิ เหลา นม้ี ี ทา นจงึ เรยี กวา โลกันตสัตว
สัตวที่อยูดวยความมืดบอดไมมีหลักประกันตัว ไมมีธรรมเครื่องประกันใจ อยูหรือไปแบบ
ยถากรรม ราวกับปลาที่ถูกขังอยูในหมอฉะนั้น

พระพทุ ธเจา เปน ผสู ามารถทราบหลกั ความจรงิ การตรสั รธู รรม ตรสั รตู ามหลกั
ความจรงิ ไมใชตรัสรูดวยความจอมปลอม สิ่งใดที่มีอยูเปนอยู จึงทรงยอมรับตามความมี
อยูเปนอยูของสิง่ เหลา นั้น และสั่งสอนโลกตามสิ่งที่มีที่จริงนั้น ๆ ดว ยเหตนุ ค้ี าํ วา บาปมีอยู
บุญมีอยู นรกมีอยู สวรรคม อี ยู พรหมโลกมีอยู จึงทรงแสดงตามสิ่งที่มีอยูทั้งหลาย ไมมี
ศาสดาองคใ ดจะไปลบลา งสง่ิ มอี ยทู ง้ั หลายเหลา น้ี ใหสูญหายไปจากความมีอยูของตนได
นอกจากจะแนะนาํ สง่ั สอนสตั วโ ลกในสง่ิ ทค่ี วรละทเ่ี หน็ วา เปน ภยั ในสง่ิ ทค่ี วรบาํ เพญ็ ทเ่ี หน็
วา เปน คณุ เพื่อสิ่งและสถานที่ที่พึงหวังจะไดเปนสมบัติของตนเทานั้น มแี ตก ารแนะนาํ สง่ั
สอนอยา งนเ้ี ปน แบบเดยี วกนั ในบรรดาพระพทุ ธเจา ทง้ั หลายทม่ี าตรสั รใู นแดนโลกธาตนุ ้ี
แตละพระองค ๆ พระโอวาทจึงไมขัดแยงกันแตกาลไหน ๆ มา

ยกตวั อยา งในพระโอวาทยอ ๆ วา สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไมท าํ บาปหยาบชา ทง้ั
ปวงหนง่ึ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา การยังกุศลคือความฉลาดใหถึงพรอมที่ใจหนึ่ง สจิตฺตปริ
โยทปนํ การชําระจติ ใจของตนใหผ อ งแผว จนถึงความบริสุทธ์หิ นึ่ง เอตํ พทุ ธฺ าน สาสนํ นน่ั
คือคําสงั่ สอนของพระพุทธเจา ทง้ั หลายทรงสอนไวเ ปน แบบเดียวกนั อยางนี้ เพราะการตรสั
รธู รรมนน้ั ตรสั รสู ง่ิ ทม่ี อี ยเู หน็ อยู ไมไดอุตริไปตรัสรูในสิ่งที่ไมมีไมเปน การส่ังสอนจงึ สง่ั
สอนตามสิ่งที่มีที่เปน ทน่ี ย่ี น เขา มา เพราะธรรมใกลก ม็ ไี กลกม็ ี เหมือนสมมุติในโลกมีทั้ง
ใกลทั้งไกล มีทั้งในทั้งนอก

ทน่ี ย่ี น เขา มาถงึ เรอ่ื งทว่ี า บาปมอี ยู สาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั มิ อี ยทู ไ่ี หนบาปนะ สิ่งที่เปนพื้น
ฐานเปนที่บรรจุของบาปคืออะไร อะไรเปน สถานทห่ี รอื เปน ทบ่ี รรจขุ องบาปผสู รา งบาปคอื
อะไร กใ็ จนน่ั แลเปน สถานทเ่ี ปน โรงงานสรา งบาปผลติ บาปขน้ึ มา เพราะกเิ ลสอยทู ใ่ี จและ
เปน ผบู งั คบั ใหส รา งบาปขน้ึ มา ทา นบอกวา กเิ ลสเปน สาเหตใุ หท าํ กรรม เมื่อทํากรรมแลว
ยอมไดรับผลของกรรม ทา นจงึ ใหช อ่ื วา กเิ ลสวฏั ฏ กัมมวัฏฏ วปิ ากวฏั ฏ เรยี กวา วฏั วนสาม
สัตวโลกตอ งวกเวยี นกนั ไปมาอยเู ชนน้ีไมมีส้ินสดุ ไมมีตนไมมีปลาย เหมือนมดแดงไตขอบ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๔๕


Click to View FlipBook Version