The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-19 22:53:25

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

Keywords: เข้าสู่แดนนิพพาน,หลวงตามหาบัว

๑๙๖

เทา นน้ั ไมถึงกับตองเปนกังวลในหยูกยาจนเกินไป เพราะความกลวั ตายมมี ากกวา
ความหวังพนทุกข

ไมถ ือปจจยั ทง้ั สี่นเ้ี ปนของวเิ ศษวโิ สจนลืมธรรม เราเปน นกั ปฏบิ ตั เิ หตใุ ดจงึ มา
ถอื สง่ิ เหลา น้ี วา เปน ของจาํ เปน และวเิ ศษวโิ สไปเสยี หมด ยิ่งกวาแดนแหงความพนทุกข
ที่พระพุทธเจาทรงสอนไว มันขัดกันมากนอยเพียงไร พากนั พจิ ารณาใหถ งึ ใจ ปจจัยสี่นี้
เราเปน มนษุ ยม าจากบา นจากเรอื น แตส ตั วเ ขากย็ งั มรี วงมรี งั พระมาจากมนษุ ยมาจาก
คน ก็ยอมมีที่อยูที่อาศัยเปนธรรมดาเชนสัตวและมนุษยทั่วไป จึงเรียกวาปจจัยพอได
อาศยั เทา นน้ั ไมใชเปน เนอ้ื เปนหนงั เปนชนิ้ เปนอัน เปนของวิเศษวิโสไปเสีย พอจะตั้ง
หนา ตง้ั ตาฮกึ เหมิ กนั จนลมื เนอ้ื ลมื ตวั ลมื อรรถลมื ธรรม ลืมการแกกิเลส ลืมงานของตน
ในการแกก เิ ลส เพือ่ ความหลดุ พน เพอ่ื ความประเสรฐิ ไปเสยี หมด นม่ี นั กา วกา ยหลกั
ธรรมของพระพทุ ธเจา ขนาดไหน จงพากันพิจารณาใหดอี ยา นอนใจ

นเ่ี ปน หว งหมเู พอ่ื นมาก จงึ ยาํ้ แลว ยาํ้ เลา อยอู ยา งนน้ั เพราะเลง็ เหน็ จดุ นเ้ี ปน จดุ
สาํ คญั ทพ่ี ากนั ยงุ ไมเ ขา เรอ่ื งเขา ราวทว่ั ดนิ แดน ราวกบั มรรคผลนพิ พานอยตู รงนน้ั แต
จดุ สาํ คญั ทจ่ี ะใหว เิ ศษวโิ สภายในจติ ใจ มคี วามรม เยน็ มีความสงบ มีความผองใส มี
ความสงา งามภายในตน จนถึงความสวางกระจางแจงแทงทะลุกิเลสไมมีเหลือ เพราะ
อาํ นาจแหง ความเพยี ร คือการเดินจงกรม นง่ั สมาธภิ าวนา เหลา นเ้ี ปน ความบกพรอ ง
เหลา นเ้ี ปน ความไมส นใจ แลว เราจะหาแดนพน ทกุ ขม าจากทไ่ี หน เมอ่ื จดุ แหง ความ
วเิ ศษทค่ี วรดาํ เนนิ มขี วางหนา อยู แตไ มม ีใครสนใจใฝฝ น

งานนเ้ี ปน งานเพอ่ื ความวเิ ศษจรงิ ๆ งานปราบปรามสง่ิ ทเ่ี ลวรา ยทง้ั หลายใหห มด
สน้ิ ไปดวยความเพียร และถึงแดนแหงความพนทุกขจริงๆ ดงั พระพทุ ธเจา พระสงฆ
สาวกทา นเปน ไปแลว จงถือเปนขอ หนักแนน ประจาํ ใจ อยาไปสนใจอะไรกับสิ่งภายนอก
มากนัก น่ีเพียงไดอาศัยเรียกวา ปจจยั ๆ เทา นน้ั ใหเ ขา ใจ ไมใชเปนของวิเศษ สว นของ
วเิ ศษดงั ทก่ี ลา วมานี้ ใหพ ากนั ต้ังหนา ตง้ั ตาขวนขวายดว ยความพากเพียรจริงๆ

เอา หนกั ก็หนกั กเิ ลสมนั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเรามาหนกั ขนาดไหน กี่ภพกี่ชาติ ถึง
ขนาดลม หายตายจากกนั ไปอยตู ลอดเวลาในภพชาติน้นั ๆ เกดิ มากท็ กุ ขล าํ บากลาํ บน
แสนสาหสั กอ นท่ีจะเกดิ มาแตละภพละชาติ การทรงตวั อยใู นภพชาตนิ ้ันๆ กไ็ ดร บั ความ
ทกุ ขค วามลาํ บาก เพราะอาํ นาจของกเิ ลสเปน สาเหตเุ ปน ตวั บงการทง้ั นน้ั การตายก็ได
รบั ความทกุ ขค วามทรมาน จนถึงวาระสิ้นสุดกันในความสืบตอของธาตุของขันธจึงตาย
ไป แตเชื้อภายในใจยังมีอยู พอตายที่นี่ก็ไปเกิดที่นั่น ตายที่นั่นก็ไปเกิดที่นี่ สูงๆ ต่ําๆ
ลมุ ๆ ดอนๆ เพราะอํานาจแหงกุศลและอกุศลที่เคลือบแฝงกันไป เปนมาอยางนี้ตลอด
กาล

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๖

๑๙๗

เราสงสยั อะไรเรอ่ื งภพเรอ่ื งชาตเิ รอ่ื งการเกดิ แกเ จบ็ ตาย มันจะวิเศษวิโสอะไรไป
ยิ่งกวาความเกิดก็เปนทุกข แกก็เปนทุกข ชราก็เปนทุกข ตายก็เปน ทุกขเทาน้ัน มีอะไร
ประจําความเกิดเราจงึ ไมต่ืนเตน หรอื ไมต กใจ ไมห วาดเสยี ว ไมห วาดกลวั พษิ ภยั เหลา น้ี
ที่บีบบังคับขยี้ขยําเรามาทุกภพทุกชาติ ซง่ึ นา จะเกดิ ความหวาดเสยี ว เกดิ ความเขด็
หลาบ แลว ประกอบความพากเพยี รใหเ นน หนกั ลงไปทกุ วนั ทกุ เวลา ดว ยความเหน็ ภยั
ในสง่ิ เหลา นน้ั และดว ยความเหน็ คณุ ในความหลดุ พน จากสง่ิ เหลา นน้ั ดว ยความ
พากเพียร เทานท้ี ําไมเราจะทาํ ไมได หนกั ขนาดไหนมนั ไมเ ลยตายน่ี

เราเกดิ แกเ จบ็ ตายในโลกมานห้ี นกั ขนาดไหน การเกดิ แกเ จบ็ ตายไมใ ชเ ปน เรอ่ื ง
เล็กนอย เปนเรื่องทุกขทั้งนั้น ไมป รากฏวา เปน ความสขุ เลย เวลาประกอบความ
พากเพยี รเทา น้ี ทาํ ไมจะเหน็ วา เปน ความทกุ ขเ ปน ความลาํ บาก เราจะหาแดนพนทุกขได
ที่ตรงไหน จดุ ใดเปน จุดทเี่ ราจะเกิดความอบอุนมัน่ ใจ ถาไมเกิดขึ้นจากความเพียร
ความพยายาม หนกั กเ็ อาเบากส็ ู เปนก็สูตายก็สูไมถอยหลัง ตายเอาดาบหนา นเ้ี ทา นน้ั
ทาํ แบบนีแ้ ลคือลกู ศิษยตถาคต ใหถ อื กจิ นเ้ี ปน สาํ คญั นี่แหละแดนแหงความพนทุกขอยู
ท่ีตรงน้ี

พจิ ารณาลงไป สติปญญามีไดดวยกันทั้งนั้น ถา เปน ผสู นใจใครต อ การพจิ ารณา
ตามอบุ ายวธิ ที ค่ี รบู าอาจารยส ง่ั สอนมาแลว อยาถอยหลัง ตองเปนนักตอสูเสมอ กเิ ลส
ชอบที่สุดกับคนออนแอคนขี้เกียจขี้คราน ชอบกบั สตั วป ระเภทนเ้ี พราะไดอ ยบู นหวั สตั ว
ประเภทน้ี แตไมชอบผูที่ฝาฝนกิเลส เพราะความฝา ฝน นน้ั เปน เรอ่ื งของธรรม เปน
ขาศึกตอกิเลส กิเลสจึงไมชอบ

สิ่งใดที่กิเลสไมชอบ เรามกั จะไมช อบดว ย นน่ั ถาสิ่งใดกิเลสชอบเราก็ชอบตาม
มัน นจ่ี ะเรยี กวา เราทวนกระแสกเิ ลสไดอ ยา งไร กเ็ รยี กกวา เราหมอบราบใหก เิ ลสทกุ
อิรยิ าบถทุกอาการทเ่ี คล่อื นไหวละซิ แลวจะหาทางพนทุกขไดที่ไหน เมื่อไมมีการตอสู
ไมม กี ารตา นทาน ไมมกี ารฝา ฝน กันบางพอเปน เครือ่ งหมายแหงธรรม พอเปนเครื่อง
หมายแหง ความเพยี ร พอเปนเครื่องหมายของนกั รบ เราจะหวงั แดนแหง ความพน ทกุ ข
ไดที่ไหน ตอ งพจิ ารณาตอ งบวกลบคณู หารใหต วั เอง

อยวู ันหนง่ึ ๆ เสยี เวลาํ่ เวลาไปเปลา ๆ ทําไม สติปญญาซึ่งเปนของมีอยูควรจะคิด
คนขึ้นมาไดทําไมไมคิดไมคน ปลอ ยใหก เิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายนอนจมอยใู นปลกั สมควร
แลว เหรอกบั เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิวา มากาํ จดั กเิ ลส กลายเปน กเิ ลสกาํ จดั เราอยตู ลอดเวลา
มนั เขากันไดหรือกับหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา จงนาํ มาคดิ มาคน มาเทยี บเคยี งใหเ ขา
ใจ ตัดสินใจลงโดยถูกตองตามหลักธรรม กเิ ลสจะคอ ยหมอบราบลงโดยลาํ ดบั ๆ ไมมี

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๗

๑๙๘

อะไรที่จะเหนือกิเลสไปไดนอกจากธรรม จงพากันตั้งอกตั้งใจผลิตสติธรรม ปญญา
ธรรม วริ ยิ ธรรม ขันติธรรมขึ้นใหเต็มภูมิ ปราบกเิ ลสใหเ รยี บราบลงไป

การพิจารณาทางดานปญญาไมมีขอบเขต เปนแตเพียงอธิบายใหฟงเปนกลางๆ
แลว แตอ บุ ายของแตล ะรายๆ จะนําไปพจิ ารณาแยกแยะเอาเอง พลิกหนาพลิกหลัง
ยอ นหนา ยอ นหลงั พจิ ารณาหลายตลบทบทวน หากเกิดอุบายอันใดอันหนึ่งขึ้นมา เวลา
จะทําความสงบก็ใหจริงจังกับความสงบ เวลาจะพจิ ารณาทางดา นปญ ญากใ็ หจ รงิ จงั กบั
ดานปญญาจริงๆ อยา ทาํ เหลาะๆ แหละๆ เหลวๆ ไหลๆ ใชไมได ผิดกับทางของผูที่จะ
รื้อถอนตนออกจากทุกขในวัฏสงสารดวยความเพียร

ความเพยี รคอื ความมสี ตเิ ปน สาํ คญั คําวาสตินี้ปลอยวางไมได ไมว า จะเปน งาน
ประเภทใด ภายนอกภายใน สติเปน ส่ิงสําคญั มาก ยง่ิ เกย่ี วกบั จติ ตภาวนาดว ยแลว ไมวา
จะเปน สมถะไมว า จะเปน วปิ ส สนา สตเิ ปน ธรรมสาํ คญั มาก เราเหน็ คณุ คา ของสตเิ ตม็ หวั
ใจ จึงไดนํามาอธิบายใหหมูเพื่อนฟงอยางไมสะทกสะทาน เพราะไดเ คยปฏบิ ตั มิ าแลว
ขาดสตลิ ม ลกุ คลกุ คลานกเ็ คยเปน มาแลว ต้ังสติอยูตลอดเวลาจนกระทั่งไมมเี วลาเผลอ
และไมไดคิดวาตนไดตั้งสติ แตกลายเปน สตอิ ยูตลอดเวลานบั แตขณะทต่ี ่ืนนอนจนถึง
เวลาหลบั จนไมอาจจะจับไดวาตั้งแตขณะตื่นนอนขึ้นมาจนถึงบัดนี้ที่ยังไมหลับ เราได
เผลอตรงไหนบา งไมม เี ลย อยา งนก้ี ไ็ ดเ ปน มาแลว

ทําไมจึงเปนไดอยางนั้น เวลาลม ลุกคลุกคลานมันกเ็ ปนของมันอยา งนั้น เมื่อ
อาศัยการฝกฝนอบรมอยูโดยสม่ําเสมอ ดวยความเขมแขง็ ในความพากเพยี ร เพราะ
ความมุงมั่นเปนเครื่องฉุดเครื่องลากไป สติก็มคี วามแกก ลา สามารถข้นึ มา จนถงึ ขนาด
วาหาชองวางไมได วาสตไิ ดข าดไปตรงนั้นตรงนี้

นี่จึงไดเชื่อในหลักธรรมของพระพุทธเจาที่กลาวไวในครั้งพุทธกาล แลวติดมา
ตามตาํ รบั ตาํ ราจนกระทง่ั ปจ จบุ นั นว้ี า มหาสต-ิ มหาปญ ญา หมายความวา อยา งไร การ
อา นการเรยี นการจดจาํ มานไ้ี มใ ชค วามจรงิ การประสบพบเหน็ ดว ยความพากเพียรของ
ตนจริงๆ ทางภาคปฏบิ ตั นิ น้ั เรยี กวา ความจรงิ เพยี งความจาํ เทา นน้ั ตอ งคาดตอ งหมาย
ไปตางๆ นานา แตหาความจรงิ ทล่ี งใจไมได แตความจริงเขาถงึ ไหน หายสงสยั ไปโดย
ลาํ ดบั ๆ จนถึงขั้นมหาสติ-มหาปญ ญาจรงิ ๆ ก็หมดปญหาโดยประการทั้งปวงไปเลย

เปนอยางไร มหาสต-ิ มหาปญญา ก็เปนดังที่รูๆ อยนู แ้ี ล ไมเผลอไผลไปไหน ตง้ั
ไมตั้งก็รูรอบตัวอยูอยางนั้น จะใหส งสยั ไปเทย่ี วลบู เทย่ี วคลาํ ทไ่ี หนกนั อกี ตดิ แนบกนั
อยูตลอดเวลาเปนสติปญญาอัตโนมัติ หมนุ ตวั เปน เกลยี วไปดวยหลักธรรมชาติของตน
เพราะกเิ ลสประเภทตา งๆ เปนเชื้อที่จะใหสติปญญาลุกลามตามติดไปโดยลําดับ จน
กระทั่งถึงกิเลสสิ้นสุดมุดตัวลงไป สติปญญาก็ตามติดลงไป ถึงขั้น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๘

๑๙๙

รา แตกกระจายไปจากใจหมดแลว นน้ั แลคาํ วา มหาสต-ิ มหาปญญาก็หมดหนาที่ไป
โดยไมตองบังคับ

เพราะเหตใุ ดจงึ หมดหนาที่ เพราะคาํ วา มหาสต-ิ มหาปญ ญา นั้นก็เปนสมมุติ
เชน เดยี วกบั กเิ ลส กิเลสละเอียดสติปญญาก็ละเอียด เพราะเปนเครอ่ื งตอ สูกนั เปน
เคร่ืองฟาดฟน หั่นแหลก เปนคปู รับกนั พอกิเลสสมมุติอันเปนฝายผูกมัดสิ้นสุดลงไป
ฝายแกก็สิ้นสุดลงไปดวยกัน และทราบชดั ภายในตนเอง นน่ั ทานเรยี กวา ความจรงิ เตม็
ภมู ิ

มหาสติ-มหาปญญา เมื่อยุติลงแลวไปอยูที่ไหน ก็เมื่อมหาสติมหาปญญาเกิด
เลา เกดิ ทไ่ี หนกด็ บั ลงไปทน่ี น่ั นน่ั แล จะหลงอะไรกันอีกจึงตองถาม เหมือนเครื่องมือ
ทํางานชนิดตางๆ นน่ั แล เมอ่ื งานสาํ เรจ็ ลงไปแลว เครื่องมือก็หมดหนาที่เก็บรักษากัน
ไปเอง เจา ของเปน ผปู ลอ ยเองวางเองเพราะงานนน้ั สาํ เรจ็ เสรจ็ สน้ิ ลงแลว วมิ ตุ ตญิ าณ
ทสั สนะ ความรูแจงในวิมุตติก็รูแจงอยูกับตัวเองคือวิมุตติหลุดพน เวลาตอ งการจะคดิ
คน พนิ จิ พจิ ารณาอรรถธรรมแงต า งๆ แตละขั้นละตอนก็คิดไดตามธรรมดา แลว ก็ดบั
ไปๆ เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน สมมตุ ดิ ว ยกนั

ธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธท์ิ เ่ี รยี กวา รแู ทร จู รงิ นน้ั เปน อนั หนง่ึ ตา งหากจากอาการทง้ั
หลายเหลา น้ี เพราะฉะนน้ั ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค จงึ เปนเพียงสมมุติดวยกัน ทง้ั ฝา ย
ผูกฝายมัด ทั้งฝายแกฝายถอดถอน ธรรมชาติทบี่ ริสทุ ธ์อิ ยางแทจ ริงน้นั ไมใ ชส จั ธรรมท้ัง
ส่ี ทุกขใหกําหนดรู เปน กริ ยิ าอนั หนง่ึ สมุทัย แดนผลิตทุกขก็เปนอาการอันหนึ่ง นโิ รธ
ความดับสมุทยั และทุกขก็เปนกิรยิ าอันหน่ึง มรรคมสี ติปญญาเปน ตน เครอ่ื งดับสมทุ ยั
และทุกขก็เปนกิริยาอันหนึ่ง แตละอยางๆ เปนสมมุติ

ผูที่รูวาทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ทาํ งานเสรจ็ สน้ิ ลงไปแลว คอื อะไร นั่นไมใ ชส ัจ
ธรรมแตเ ปน วมิ ตุ ตธิ รรม ธรรมนอกสมมุติ ฉะนั้น จงพากนั ปฏบิ ตั ใิ หเ หน็ จรงิ อยา งนน้ั
แลว จะสงสยั ไปไหน พระพุทธเจาทานตรัสรูอยางไร สงสัยอะไร พระสาวกทา นบรรลุ
ธรรมหรอื ตรสั รธู รรมทา นตรสั รอู ยา งไร สงสัยอะไร ทา นฆา กเิ ลสตาย ทา นฆา แบบไหน
ทานฆาดวยอะไร สงสัยอะไร เพราะเรากท็ าํ อยา งนน้ั รอู ยา งนน้ั เหน็ อยา งนน้ั อยแู ลว เปน
ความจรงิ เสมอกนั แลว สงสยั ทา นหาอะไร นน่ั จงึ เรยี กวา ความจรงิ เตม็ สดั เตม็ สว น ความ
บริสุทธิ์ของพระพุทธเจากับของสาวก กบั ธรรมชาตทิ เ่ี รารๆู เหน็ ๆ อยเู ตม็ หวั ใจนผ้ี ดิ
กันอยางไร สงสัยอะไร นน่ั จงึ เรยี กวา รจู รงิ เหน็ จรงิ เมอื่ ทาํ จรงิ ๆ ยอ มรจู รงิ เหน็ จรงิ ไม
เปน อ่นื

ขอใหทุกๆ ทา น ตั้งอกตั้งใจฟาดฟนหั่นแหลกลงไปอยาเสียดายชีวิต อยางไรก็
ตองตาย กอนตายใหไดฟาดฟนหั่นแหลกกิเลสใหไดชัยชนะเสียกอน รางมันจะไปเมื่อ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๙

๒๐๐

ไร พญามจั จรุ าชอนั เปน เสนาใหญจ ะมาเอารา งกายนไ้ี ป ใหมันไดแตกากเมืองไป ตัว
จริงสมบัติอันลนคาถอนตัวออกมาแลว ไดแตกากเมืองไปเทานั้น ความพไิ รราํ พนั อาลยั
เสียดายไมมี เพราะรแู จง เหน็ จรงิ เตม็ ภมู จิ ติ ภมู ธิ รรมแลว ตง้ั แตย งั ไมต าย นน่ั นักปฏิบัติ
เราจงึ นา ชมเชยวา เปน คนฉลาด ศาสดาเปน ครสู อนในวชิ านกั รบ อยจู บพรหมจรรย
อยางสงางามเปน สังฆโสภณา

น่ีพดู เรอื่ งงานอนั จาํ เปน ของสมณะเรา คือ เดนิ จงกรมนง่ั สมาธภิ าวนาหาความ
สงบทางจิตใจ หาความสวา งกระจา งแจง ดว ยสตปิ ญ ญาภายในจติ ใจ ประจําเพศของผู
เหน็ ภยั ในวฏั สงสาร ไมล ดละปลอ ยวาง จนผลงานสาํ เรจ็ เตม็ หวั ใจแลว การทาํ ประโยชน
ใหโลกนั้นจะไมมีผูใดที่ทําไดมาก ยง่ิ กวา ผรู แู จง เหน็ จรงิ เปน ผทู าํ ผสู งเคราะห เพราะไม
ใชท างไหลมาแหง ความเสยี หาย นอกจากเปน ทไ่ี หลมาแหง ประโยชนม หาศาลโดย
ถา ยเดยี ว

อันการทําในลักษณะขายกอนซื้อ สุกกอนหาม สาํ หรบั วงปฏบิ ตั เิ ราอยา พากนั คดิ
ดาํ รทิ าํ จะไมเกดิ ประโยชนด ังท่หี มายเทา ทีค่ วร อยางนอยพาใหเนิ่นชาตอการปฏิบัติ
เพื่อมรรคผลของตน มากกวา นน้ั กพ็ าใหเ สยี ได ทําใหเสื่อมทางจิตใจที่มีอยูแลว และไม
อาจคบื หนา ในธรรมขน้ั สงู ขน้ึ ไป เพราะเปน ภาระในการอบรมสง่ั สอนผอู น่ื ยิ่งกวา
การอบรมสั่งสอนตวั เอง สุดทายก็กาวไมออก นอกจากนั้นก็ไมสนใจจะกาว เพราะใจทอ
ถอยใจหมดกําลังที่จะปฏิบัติ จติ เส่อื มธรรมเสอ่ื ม กเิ ลสเจรญิ ทกุ ขก า วหนา น่นั คือผล
ของความสุกกอนหาม ขายกอนซื้อ

การทน่ี ยิ มกนั วา การทาํ อยา งนอ้ี ยา งนน้ั เปน การชว ยโลก การกอ นน้ั สรา งนก้ี ารไป
ชว ยแนะนาํ สง่ั สอนคนนน้ั คนนเ้ี ปน การชว ยโลกนน้ั ไมป ฏิเสธวาไรผลโดยถา ยเดยี ว แต
การมเี หตผุ ลในการสอนตนและสอนคนอน่ื นน้ั เปน ความรอบคอบ การทาํ ไปโดยทเ่ี รา
ไมส นใจจะสรา งหวั ใจเราใหด หี รอื วเิ ศษวโิ สขน้ึ มา โดยที่เราไมสนใจที่จะสั่งสอนตัวของ
เราใหเปนพระดีจิตใจดีขึ้นมา แลวจะไปสอนคนอนื่ ใหด บิ ใหด ใี หว ิเศษวิโสไดอ ยางไร

ฉะนั้น จึงขอใหทําใจของตนใหดีเถอะ ทําจิตใจของตนใหมีหลักมีแหลงหรือถึง
ขั้นเต็มภูมิแลว การทาํ ประโยชนใ หโ ลกจะเปน ประโยชนม หาศาล โดยไมเ สย่ี งตอ ความ
เสยี หายใดๆ ท่ีจะตามมาสตู นและผอู ่ืน

ไมมีผูใดจะทําประโยชนใหแกโลกได ย่ิงกวา ผูม จี ิตกระจางแจง ดว ยอรรถดว ย
ธรรม เตม็ ไปดว ยมรรคดว ยผล เตม็ ไปดว ยมหาสมบตั นิ เ้ี ลย มหาสมบตั นิ แ้ี ลนาํ ไปแจก
สตั วโ ลกไดร บั ความรม เยน็ ตลอดมา ดังพระพุทธเจาประทานแกสัตวโลกจนกระทั่ง
ปจ จบุ นั น้ี ธรรมสอนโลกออกมาจากไหน ถาไมออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์หมดจดของ
พระพุทธเจา จงพจิ ารณาใหด ี เอาใหจ รงิ ใหจ งั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๐

๒๐๑

อยา หลงใหลไปตามเรือ่ งโลกสมมตุ ินิยม พระพุทธเจาไมพ าหลง ทรงสอนใหร ู
ทุกแงทุกมุม บรรดากลมายารอ ยสนั พนั คมของกเิ ลสตณั หาภายในหวั ใจเรา เอาใหร กู ล
มายาของกเิ ลสในจติ ใจ จงึ ชอ่ื วา เปน ผฉู ลาด ฉลาดใดก็ตามถาไมฉลาดในกลมายาของ
กเิ ลสท่ีมอี ยูภ ายในจติ นี้ ไมเ รยี กวา ฉลาด ถา ฉลาดตรงนแ้ี ลว อยไู หนกฉ็ ลาด ไมมีใครมี
อะไรมาเสกสรรก็พอตัว ใครชมเชยสรรเสรญิ ตฉิ นิ นนิ ทากพ็ อตวั ไมเอื้อมไมจับ ไมล บู
ไมคลํา ไมค วา โนน ควา น้ี เพราะพอตวั แลว ดวยความฉลาดแหลมคม พอตวั แลว ดว ย
ความสมบรู ณพ นู ผลในมรรคในผลมเี ตม็ อยภู ายในใจนแ้ี ลว ดวยการประพฤติปฏิบัติ
อยางเอาจริงเอาจังตามทางศาสดา

เราเปนลูกศิษยตถาคตไมใชจะมาแสดงความออนแอ มาสั่งสมความออนแอทอ
แท กลวั กเิ ลสตณั หาอาสวะหมอบยอมกเิ ลสอาสวะ ทั้งที่รูพิษของกิเลสตามหลักธรรม
อยูแลว…ไมถูก ตองเอาใหจริงใหจัง หนักเบาก็เปน เรื่องของเราจะตอ งเปนผตู อ สูและ
รบั เอง กเิ ลสตวั ไหนมนั พาใหห นกั และหนกั อยทู ไ่ี หนเวลาน้ี ถาไมใชกิเลสทุกๆ ตวั เปน
ภยั ครอบอยใู นหวั ใจน้ี จงแกกันลงตรงนี้ มันจะหนักขนาดไหน ทีแบกกิเลสทําไมไม
หนกั จะสลัดกิเลสออกจากหัวใจดวยความเพียร ทาํ ไมวา หนกั ทําไมไปสําคัญผิด นี่คือ
เรอ่ื งกเิ ลสหลอกเรายาํ้ เขา ไปอกี รกู นั หรอื ยงั ใหร เู สยี วา กเิ ลสมนั หลอกอยา งนห้ี ลอกคน
นะ จงเอาใหจ รงิ ใหจ งั เราเปนนักปฏบิ ตั ไิ มถอยหลงั จะเหน็ แดนแหง ความพนทกุ ขข น้ึ
มาทใ่ี จเราเอง

การพิจารณาทางดานปญญา เอาใหจ รงิ ใหจ งั พิจารณาขา งนอกขา งในเทยี บเคยี ง
กันไดทุกสัดทุกสวน รปู กายเปน ของสาํ คญั มากสาํ หรบั จติ ขน้ั หยาบ ตองพิจารณาคลี่
คลายจนรแู จง เหน็ จรงิ ในรปู ดว ยปญ ญา สว นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เครื่องมือ
แกและถอดถอนคือสติปญญาจะมาเอง พอเหมาะพอสมกบั นามธรรมเหลา น้ี จนกระทั่ง
ถงึ กิเลสทร่ี วมตวั อยภู ายในจติ สติปญญาขั้นนั้นก็จะมีมาพรอมๆ กัน จนกระทั่งกิเลส
หลดุ ลอยไปหมดไมม เี หลอื ภายในใจเลย นน้ั แลเปน แดนแหง ความพน ทกุ ข นน้ั แลผลท่ี
ตองการ นน้ั แลผลอนั ประเสรฐิ ที่เรามุงหวังหรือมุงมั่นอยูตลอดเวลา จะเหน็ มหาสมบตั ิ
อนั ลน คา อยภู ายในใจ แลว ปลอ ยวางโลกามสิ โดยประการทง้ั ปวง ไมส งสยั ในสง่ิ ใด
บรรดาโลกสมมตุ ิ เมอ่ื ไดเ หน็ ธรรมชาตอิ นั ประเสรฐิ ภายในใจนแ้ี ลว ขอใหพากันตั้งอก
ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเต็มสติปญญาความสามารถทุกดานที่มีอยู

อยา สนใจอยา เขา ใจวา สง่ิ ใดดใี นโลกธาตนุ ้ี นอกจากดวงธรรม คือความพนทุกข
นเ้ี ทา นน้ั เปน ของวเิ ศษ ใหขะมักเขมนเขนฆาลงที่ตรงนี้ พระพทุ ธเจา ประเสรฐิ ทต่ี รงน้ี
ประเสรฐิ ดว ยความเพยี รแกส ง่ิ ทห่ี ยาบโลนทง้ั หลายภายในจติ ใจนอ้ี อกแลว กลายเปน ผู
ประเสรฐิ ขึน้ มา ประเสรฐิ ดวยงานดังทีก่ ลา วมา จงยดึ เปน หลักจติ หลักใจ ยดึ เปน หลกั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๑

๒๐๒

เปนหลักตายกับที่ตรงนี้ จะเหน็ แดนแหงความพน ทกุ ขขึน้ มาในวนั หน่ึงโดยไมต อ ง
สงสัย

การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร เอาละแคน ้ี

<<สารบัญ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๒

๒๐๓

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
วนั ท่ี ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓

กเิ ลสเปน ภยั

ผมนะเปนหวงใยหมูเ พอ่ื นเต็มหัวใจ ไมไดหวงธรรมดาเหมือนที่โลกหวงกัน จติ
ผมไมเปนอยางนั้น รบั แลว รบั ถงึ เปน ถงึ ตายทกุ อยา ง การอบรมสง่ั สอนในดา นใดทจ่ี ะ
เปน คณุ เปน ประโยชน เปนอุบายวิธีการแกสิ่งไมดีทั้งหลายในจิตใจของผูมาอาศัยอยู
ดว ย เราทุมเทลงเต็มกําลังความสามารถทุกแงทุกมุม เราไมไ ดทาํ เลน ๆ ทาํ จริงทาํ จังสง่ั
สอนจรงิ ๆ เพราะกิเลสมีหลายประเภทที่ควรแกและถอดถอน ประเภททร่ี นุ แรงทาํ ให
จติ หวน่ั ไหวอยตู ลอดเวลากม็ ี ประเภทที่หมักหมมอยูลึกๆ ก็มี ประเภททีแ่ สดงอยาง
ออกหนาออกตาเห็นไดอยางชัดเจน จนถึงทําใหจิตใหกายไหวไปตามก็มี

ผูปฏิบัติซึ่งเปนนักบวชมุงตออรรถตอธรรมดวยการแกกิเลสอยูแลว จงึ ไมค วร
เหน็ กเิ ลสประเภทตา งๆ วา เปนของไมส ําคัญ พอที่จะนอนใจ ไมคิดอานเรื่องสติปญญา
ทจ่ี ะนาํ มาแกส ง่ิ เหลา น้ี ซึ่งเปนภัยตอตนมาแตกาลไหนๆ อยแู ลว

ในพระโอวาทของพระพุทธเจา เทาที่นับไดพอประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระ
ธรรมขันธ พระองคไมเคยแสดงวากิเลสตวั ใดไมเปน ภัยตอ จิตใจของสตั วโ ลกเลย เปน
ภยั ทัง้ นน้ั เปน แตเ พยี งหนกั เบาตา งกนั สิ่งที่เปนภัยถึงจะหนักเบาตางกนั ก็ตาม ก็คือ
ความเปน ภยั ตอ เราอยนู น่ั แล เสย้ี นปก หนามปก ถูกหอกแหลนหลาวตางๆ มีความเจ็บ
ปวดทนทุกขทรมานไปตามลําดับลําดาของสิ่งนั้นๆ ที่มีพิษภัยตางกัน แลว ใครจะกลา นาํ
สิ่งนั้นมาทิ่มแทงตนเอง แมแ ตเ สย้ี นแตห นามเลก็ ๆ กท็ ราบแลว วา ทาํ ความเจบ็ ปวดได
ตามกําลังของมัน กเิ ลสประเภทตา งๆ ท่ฝี งจมอยภู ายในกม็ ีหลายประเภท กล็ ว นแตนํา
ความทกุ ขท รมานใจเราไดม ากนอ ยตามสว นของมนั เชน เดยี วกนั

ผปู ฏบิ ตั จิ งึ ควรสาํ เหนยี กศกึ ษา ใครค รวญจากโอวาทครบู าอาจารยส ง่ั สอนและ
สงั เกตพจิ ารณาความเคลอ่ื นไหวของจติ ที่เปนมาเพราะอํานาจของกิเลสผลักดันออก
ทุกระยะๆ ผูปฏิบัติเพื่อจะแกพิษภัยออกจากใจ ไมใ ชม านอนอยูเ ฉยๆ จงึ เปน ผคู วรคดิ
คาํ นงึ เพราะเพศนเ้ี ปน เครอ่ื งประกาศใหโ ลกและตวั เองทราบวา เปน เพศของนกั บวช
เพยี งมาเปน นกั บวชและรบั ทราบวา ตนเปน นกั บวชเทา นน้ั กิเลสก็ยังไมหลุดลอยไป
เพราะกเิ ลสมไิ ดบ วชดว ยใครทง้ั สน้ิ ตองไดทําหนาที่แกกิเลสประเภทตางๆ ตามหนาที่
และเพศของตนอีกดวย

เพราะฉะนั้นเพศของนกั บวช จงึ มแี ตก ารฆา กเิ ลสโดยถา ยเดยี ว ไมม คี าํ วา สง่ั สม
กเิ ลส จะเปน กเิ ลสประเภทใด ตองชําระสะสางออกใหหมด ดวยความพากเพียรเต็มสติ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๓

๒๐๔

กาํ ลงั ความสามารถ จึงถูกตองตามเพศ ตามหนา ทแ่ี ละเจตนาของการบวชเขา มาในพระ
พุทธศาสนา อนั เปน สถาบนั แกก เิ ลสโดยถา ยเดยี ว และถูกตองตามนโยบายแหงธรรมที่
สอนไวแ ลว ทั้งถูกตามพระประสงคของพระพุทธเจาที่ทรงสั่งสอนสัตวโลก เพื่อแกกิเลส
ตณั หาทกุ ประเภท

หากขัดตอพระโอวาทที่ทรงแสดงไวแลวแมแตนอย นั่นแหละพิษภัยตองเกิดขึ้น
ตรงนน้ั การขัดแยงธรรมและขัดแยงวินัยในแงใดก็ตามไมใชชองดี ตองเปนขาศึก ตอ
ธรรมตอ วนิ ยั และเปนขาศึกตอตัวเองซึ่งไมใชของดี พระพุทธเจาไมไดม ารบั โทษรับคณุ
อะไรจากพวกเรา เพราะพระองคพรอมทุกสิ่งทุกอยางแลว สว นพวกเราทม่ี กี เิ ลสมกั จะ
สั่งสมไดทั้งความชั่วและความดี จงึ ควรสาํ เหนยี กตนอยเู สมอ รสู กึ ตวั อยเู สมอวา จะชาํ ระ
สิ่งไมดีทั้งหลายดวยหลักธรรมอันเปนเครื่องชําระซักฟอก เพื่อความเปนคนดีพระดีมี
หลกั เกณฑภ ายในใจ

อยามองสิ่งอื่นใดหรือเรื่องใด ใหมากไปกวาหลักธรรมของพระพุทธเจา แมมอง
สิ่งภายนอกก็ใหมองเพื่อเทียบเคียงเหตุผลเพื่ออรรถเพื่อธรรม นอ มเขา มาเปน ธรรม
เพอื่ พราํ่ สอนตนอยเู สมอ นั่นเปนความถูกตอง เพราะธรรมมอี ยทู ง้ั ภายนอกภายใน
พจิ ารณาไดดวยกันทั้งนนั้ ถา พจิ ารณาเปน ธรรมยอมเปนเครือ่ งแกกเิ ลสไดด ว ยกัน แต
ถามองแบบตรงกันขาม ก็ขดั แยง ตอ ธรรม กดี ขวางธรรม แลว กย็ อ นเขา มากดี ขวางและ
เปนภัยตอตัวเอง

ผมพยายามที่สุด ทจ่ี ะใหท า นทม่ี าอบรมศกึ ษาทง้ั หลายไดร บั ความรคู วามฉลาด
ความเขา อกเขาใจในวิธีการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ความเคลื่อนไหวไปมาทุกแงทุกมุม ถาเห็น
วา ผดิ พลาดจากหลกั ธรรมวนิ ยั แลว ผมรบี แนะนาํ สง่ั สอนหรอื ดดุ า วา กลา วทนั ที เพราะ
ถอื วา สง่ิ นน้ั คอื ความเปน ภยั การดดุ า วา กลา วจะหนกั เบาขนาดไหน ไมป รากฏวา มภี ยั ใน
การสอน การใหอ บุ ายแกส ง่ิ ทผ่ี ดิ นน่ั เลย เปน คณุ เปน ประโยชนโ ดยถา ยเดยี ว นอกจากผู
ฟงซึ่งเคยเชื่อกิเลสจนฝงนิสัยอยูแลว อาจจะหลงกลอุบายของกิเลส พลิกแพลงความรู
สึกใหผิดจากความมุงหมายของธรรมและการแสดงไปอยางอื่นเสีย อันเปนขาศึกตอ
ธรรม และเปน ฝา ยกเิ ลสเขา โจมตธี รรมภายในตน วา ทา นดดุ า วา กลา วดว ยเจตนาไมด ี
เปนตน ก็ชวยไมได

กลมายาของกิเลสนั้น เคยฉุดลากจิตใจของสัตวโลกใหคิดในแงอันเปนฝายของ
มันอยูเสมอมา ไมเคยลดละเลยแมชวั่ ระยะพักแรง เพราะฉะนั้นขณะที่ฟงธรรมก็อยา
เขาใจวา กิเลสจะไมแฝงอยูภายในการฟง นั้น อุบายวิธีคิดออกแตละแงละมุมแตละขณะ
ของจิต กอ็ ยา เขา ใจวา จะเปน อรรถเปน ธรรมเสมอไป เพราะกิเลสน้นั แหลมคมมากทง้ั ๆ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๔

๒๐๕

ทเ่ี รามาปฏบิ ตั ธิ รรมะ กิเลสกเ็ คลอื บแฝงอยใู นน้นั ดว ยไมล ดละฝกาว คอยตบคอยตอย
คอยฉุดคอยลากออกนอกลูนอกทางในขณะที่เราเผลออยูเสมอ

ดวยเหตนุ ี้เองท่ีเปน อุปสรรคตอการบําเพญ็ ของผปู ฏิบัติ ที่ไมคอยปรากฏผล
แหง ธรรมเทา ทค่ี วร นับแตธรรมขั้นต่ําจนถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน กเ็ พราะกเิ ลส
เขา กดี เขา ขวาง เขาทําลายธรรมท่ตี นกําลังดําเนนิ อยูไมใหงอกเงยขึ้นได และคอยปดกั้น
ทางเดินเพือ่ สันติธรรมอยูเสมอ แตเ ราไมท ราบไดก เ็ ขา ใจวา ตนบาํ เพญ็ ธรรม นั่งสมาธิ
ภาวนา ความจริงมีแตเรื่องของกิเลสกลุมรุมทํางานของมันอยูภายในใจตลอดเวลา
เพราะสติปญญาตามไมทัน ในขน้ั เรม่ิ แรกฝก หดั อบรม

ความเผลอคืออะไร ถา ไมใ ชเ รอ่ื งของกเิ ลสจะเปน อะไรไป กเิ ลสพาใหเ ผลอ
ธรรมไมไดพาใหเ ผลอ กเิ ลสพาใหเ ราโงเ พราะกเิ ลสมนั ฉลาด มนั ทาํ สตั วใ หโ งเ ตม็ เปาจงึ
หาความฉลาดไมไ ด เม่อื ความฉลาดไมม ี จะวา เราไดธ รรมทต่ี รงไหน คิดในแงฉลาดก็
คิดไมได มีแตค วามโงป ดกนั้ ไวเ สยี เพราะอบุ ายความฉลาดแหลมคมของกเิ ลสมนั
เหนอื เราอยทู กุ ระยะๆ อยา งน้ี

หากจะทราบเองถา ผปู ฏบิ ตั ไิ ดย ดึ หลกั ธรรม ทพ่ี ระพทุ ธเจา หรอื ครบู าอาจารยส ง่ั
สอน เราไดยนิ ไดฟ ง อยโู ดยสม่ําเสมอเชน นแ้ี ลวนาํ ไปปฏบิ ัติ พจิ ารณาไตรต รองเทยี บ
เคยี งกบั ความเปน อยภู ายในใจ และความเคลอ่ื นไหวของใจ วา เปนไปตามท่ที า นเทศน
นั้นหรือไม หากจติ ใจไดป ระหวดั เขา มาสตู วั เรา และคิดอานไตรต รองเทยี บเคียงตาม
หลักธรรมที่ทานสอน หรอื ทา นตาํ หนกิ เิ ลสประเภทใด เราจะทราบโดยลาํ ดบั การจะ
ทราบไดก ็เพราะความมสี ติ

สตเิ ปน ธรรมประเภทหนง่ึ ทม่ี คี วามสาํ คญั อยมู าก ปญ ญาก็เปนธรรมประเภท
หนึ่งซึง่ เปนคเู คียงกนั กับสติ ธรรมทงั้ สองประเภทนต้ี องทาํ งานหนัก ไมว า อริ ยิ าบถใด
แหงการประกอบความพากเพยี ร ธรรมทั้งสองประเภทนี้มีความจําเปนอยูตลอด อันดับ
แรกก็คือสติตองมี แมก าํ ลงั เรมิ่ บําเพ็ญกต็ าม สติเปนของสําคัญที่จะรักษาจิตใจใหคง
เสนคงวาอยูกับตัวไดนานหรือตลอดไปได ไมถูกกิเลสฉุดลากเถลไถลไปเขาตรอกเขา
ซอย เขา บา นเขา เมอื ง ตกหลุมตกบอ ดังที่เคยเปนมา การทจ่ี ติ เปน เชน นน้ั คอื ความ
เผลอและแฝงไปดว ยความนอนใจ ความเผลอในขณะนน้ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ผลอ
ไมใชเรื่องของธรรม มีสตเิ ปนตน พาใหเ ผลอ

ใหท ราบเสยี วา กเิ ลสกบั ธรรม เปนคแู ขง กันอยภู ายในใจของเราทุกระยะ ถาไม
คดิ ไมแ ยกแยะจะไมท ราบได วา มกี เิ ลสประเภทใดบา งซง่ึ เปน ขา ศกึ ตอ ใจเราอยเู รอ่ื ยมา
เฉพาะอยางยิ่งขณะกําลังประกอบความพากเพียรอยูนั่นเอง ก็ไมไดรับผลเปนที่พอใจ
แมธ รรมขน้ั ตาํ่ คอื ความสงบเยน็ ใจ ก็เพราะสิ่งเหลานี้กีดขวางอยูทุกขณะจิต เนอ่ื งจาก

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๕

๒๐๖

มันมีกําลังมาก สติของเรายังไมพอที่จะตอตานกับมันได ปญญายังไมเกิดจึงไมรูกล
อบุ ายตา งๆ ของกเิ ลสแทรกธรรม สติปญญาแยกแยะคลี่คลายไมทั่วถึง สิ่งเหลานี้ก็ออก
เพน พา นบนหวั ใจ ผลของมันก็คือกอความเดือดรอนวุนวาย ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วาม
ลาํ บากอยตู ลอดเวลาไมเ ลอื กอริ ยิ าบถ เพราะกิเลสผลิตตัวขึ้นมาทุกขณะ ไมไดนิยมวา
เปน อิรยิ าบถใดทก่ี เิ ลสไมไ ดทาํ งาน นอกจากเวลาหลบั สนทิ เทา นน้ั

นี่ทางของกิเลส หนา ทข่ี องกิเลสทํางานโดยหลักธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการแก
กเิ ลส ถา ไมมีธรรมในหลกั ธรรมชาติ การดาํ เนนิ ในหลกั ธรรมชาติ สตปิ ญ ญาในหลกั
ธรรมชาติ ความเพยี รในหลกั ธรรมชาติ จะตามไมท นั กเิ ลสเหลา นแ้ี ละกเิ ลสอนั ละเอยี ด
ไดเลย เพราะกเิ ลสไมว า ประเภทใด เปนความคลองตัวในการทํางานของตน โดยหลกั
ธรรมชาตเิ ชน เดยี วกนั หมด สติปญญาเราจึงตองผลิตขึ้นมา เสกสรรปน แตงข้ึนมา
กําหนดบังคับบัญชาใหมีขึ้นมาเพื่อรักษาใจมันถึงจะมีขึ้น

ในขน้ั เรม่ิ แรก ปญญาก็ตองพยายามหาอุบายคิดในแงตางๆ แมจะขี้เกียจไม
อยากคิดก็ตองหาอุบายคิด เพื่อปญญาจะไดเคลื่อนไหวปรากฏตัวขึ้นมา และรูเรื่องของ
กเิ ลสเปน ระยะๆ ไป หากยังแกไมไดก็รูชองทาง เม่ือรูชอ งทางแลว วันหนงึ่ แนน อนท่ี
ปญญาจะทําลายกิเลสไดโดยไมสงสัย เพราะความผลติ สตบิ าํ รงุ ปญ ญาอยโู ดยลาํ ดบั แหง
ความพากเพียรไมขาดวรรคขาดตอน นี่แหละทางของทานผูพนทุกขทานทําอยางนี้

ผดู าํ เนนิ ความพากเพยี รขน้ั ตน แกก เิ ลสขน้ั หยาบๆ ปรากฏธรรมขน้ึ มาขน้ั
หยาบๆ และคอยละเอียดขึ้นไปไมหยุดยั้ง จนกระทั่งกิเลสหลุดลอยไปจากใจโดยสิ้นเชิง
เหลอื แตว มิ ตุ ตธิ รรมลว นๆ ประจาํ ใจ กอนจะถึงวิมุตติหลุดพน ทานตองผานความทุกข
ความลาํ บาก และผา นกลมายาของกเิ ลสทกุ ประเภท ถึงจะนํามาพูดไดถูกตองแมนยํา
ตามความจริงของมัน นเ่ี ราเรยี นวชิ าในตวั เอง กค็ ือใหรเู รอื่ งกลมายาของกิเลสทเี่ กดิ
และมีอยูกับตน ดวยอุบายของสติปญญาเปนขั้นๆ ถึงจะตามกันทัน หากไมรูตามกันไม
ทัน มแี ตก เิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยทู กุ แหง หน ไมเลือกกาลสถานที่ จะหาอรรถหาธรรม
คือความสงบเย็นใจมาจากไหน

ความขเ้ี กยี จขค้ี รา นออ นแอเหลา น้ี เปนเรื่องของกิเลสทั้งมวลจงพากันทราบไว
ความมักงาย ความโยกคลอนเอนเอยี ง มแี ตกิเลสตบตอยใหเอนใหเอยี ง ใหล ม ลกุ
คลกุ คลานทง้ั นน้ั ไมใ ชธ รรมเปน ผพู าใหเ ปน เชน นน้ั จงพากนั ทราบวา เวลานก้ี เิ ลสกาํ ลงั
ทํางานในตัวเราอยางออกหนาออกตา ซึ่งๆ หนานักปฏิบัติ คอื เราแตล ะรายๆ จงทราบ
ไวเ สยี แตบ ดั น้ี อยา เขา ใจวา กเิ ลสไมไ ดท าํ งานบนหวั ใจเรา ในขณะที่กําลังประกอบความ
เพียรจะฆามัน ในขณะเดยี วกนั นน้ั กเิ ลสกฆ็ า ธรรมและฆา ตวั เราไปดว ยในตวั โดยไมร สู กึ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๖

๒๐๗

อบุ ายของธรรมทจี่ ะใหทราบกลอบุ ายของกิเลส จึงตองใชความพยายามอยางยิ่ง
ในขน้ั เรม่ิ แรกสาํ คญั มาก เพราะงานยังไมเคยเห็นผลพอจะเพม่ิ กําลงั ใจใหเ ขม แขง็ ใน
ความเพยี ร อยา หวงอยา หว งอยา เสยี ดาย กเิ ลสไมไ ดใ หส ารคณุ อนั ใดแกเ รา ความขี้
เกยี จความออ นแอไมใ หส ารประโยชนอ นั ใด เราเคยขเ้ี กยี จเคยออ นแอมามากและนาน
เพยี งไรแลว จงเอามาบวกลบคูณหารกนั เพื่อทดสอบผลไดผ ลเสียของตวั กบั กิเลส นกั
ปฏบิ ตั ไิ มค ดิ ไมเ ทยี บเคยี งเหตผุ ลตน ปลายใหร ดู รี ชู ว่ั รหู นกั รเู บาในสง่ิ เหลา นแ้ี ลว จะ
ดาํ เนนิ ธรรมเพอ่ื ความสงบเยน็ ใจไปไมไ ด จึงควรคิดแตบัดนี้ อยา ใหเ สยี เวลาํ่ เวลา ตาย
เปลา ๆ ไมเกิดประโยชน ผา เหลืองอยทู ีไ่ หนก็มี ตลาดรานคายิ่งไมอด นน้ั เปน เครอ่ื ง
หมายของเพศนกั บวช ไมใ ชเปน ผฆู ากเิ ลส นอกจากความเพยี รของเราเอง จงเปนผู
หนกั แนน ในความพากเพยี ร เพื่อหกั กงกรรมของวฏั จกั รใหข าดสะบัน้ ลงจากใจจะหาย
หว ง

เราไดด าํ เนนิ มาเตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถแลว จึงกลาพูดไดอยางเต็มปากวา ไม
มีงานใดทีจ่ ะลําบากยากเย็นเขญ็ ใจถงึ เปนถึงตาย ยิ่งกวา งานตอ สูกบั กเิ ลสเพื่อชยั ชนะ
งานนเ้ี ปน งานหนกั อยมู ากสาํ หรบั เราผเู ปน คนหยาบ แตใครจะหยาบก็ตามละเอียดก็
ตามพงึ ทราบวา ความขเ้ี กยี จความมักงายออ นแอไมใ ชธรรม ไมใ ชท างแกกิเลสอยา หวง
เอาไว มันเปน เร่ืองของกิเลสลว นๆ เพื่อพอกพูนทุกขไมสงสัย

ใครจะหยาบละเอยี ดแคไ หน นิสัยวาสนามีมากมีนอยเพียงไร จงยกตนใหเหนือ
กเิ ลสประเภทตา งๆ ดว ยความเพยี ร จะจดั วา เปน ผมู วี าสนาบารมเี ตม็ หวั ใจดว ยกนั หาก
ไมมีความเพียรเปนเครื่องแก อยางไรกน็ อนกอดวาสนาที่เต็มไปดว ยกเิ ลสตัวหย่งิ ๆ อยู
นน่ั แล บางก็ฟาดมันลงไปใหแหลกละเอียด หนากฟ็ าดมนั ลงไปใหแ หลกเหมือนกัน
หมด จะสมนามวาเปนนักรบนักปฏิบัติเพื่อกําจัดสิ่งที่เปนขาศึกออกจากใจโดยแท

การแกกิเลสนี่เปนหลักใหญของนักบวชผูปฏิบัติ เอาใหหนักแนน มน่ั คงตอ ทกุ
สิ่งทุกอยาง จริงทุกอยางไมวาการถอดการถอน ไมว า การบาํ เพญ็ มันเปนเกลียวเดียว
กันไปดวยกัน พยายามถอดถอนก็คือการพยายามบําเพ็ญกําลังความดีเพื่อแกกิเลสนั่น
เอง อันเดียวกัน อยูในขณะจิตอันเดียวกัน นี่เพียงสมาธิคือความสงบก็จะเปนไปไมได
เราจะหวงั มรรคผลนพิ พานทไ่ี หนกนั พระเรามหี นา ทอ่ี นั เดยี วนแ้ี ทๆ ทาํ งานอนั นไ้ี มเ หน็
ผล งานหยาบๆ เพียงเพือ่ จิตสงบบา งเทา นยี้ งั ไมเหน็ ผล เราจะหวงั เอาอะไรทว่ี เิ ศษวโิ ส
ยิ่งกวานี้ได มนั เปน ไปไมไ ดน ะ ถาไมตั้งหนาตั้งตาเขมแข็งเสียแตบัดนี้ เอาใหเ หน็ คาํ วา
สมาธิเกิดขึ้นที่ใจ อนั เปน ความจรงิ ประจกั ษต น

สมาธทิ ท่ี า นกลา วไวใ นตาํ รบั ตาํ รานน้ั คือชื่อของสมาธิ สมาธทิ แ่ี ทจ รงิ นน้ั จะเกดิ
ขน้ึ ภายในจติ ดวงกาํ ลงั ฟงุ ซา นวนุ วายอยดู ว ยอาํ นาจของกเิ ลสทง้ั หลายเวลานน้ี แ่ี ล เพราะ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๗

๒๐๘

อาํ นาจแหง ความเพยี ร มีสตเิ ปน เคร่อื งยืนยนั รบั รองท่จี ะยงั ความสงบทุกขั้นใหเ กิดข้ึน
ได เพราะเปน ธรรมเครอ่ื งยนื ยนั รบั รองมาแตไ หนแตไ รอยแู ลว ไมม คี าํ วา ลา หลงั กเิ ลส
ลาสมัยตอกเิ ลส ถา นาํ มาใชใ หเ ตม็ เมด็ เตม็ หนวยสมกบั เปน นกั ปฏิบัตเิ พือ่ กาํ จัดกิเลส
อยางแทจริง นอกจากอยูเฉยๆ อยา งไมม สี าระภายในตวั เทา นน้ั สติปญญาก็ไมเกิดและ
ไมเ ปน ประโยชนอ ะไรสาํ หรบั รายเชน นน้ั

จงทราบเสมอวากลอุบายของกิเลสทุกประเภทแหลมคมดวยกันทั้งนั้น ไมมี
กิเลสตัวใดที่ทื่อๆ ทา ๆ เซอๆ ซา ๆ เซอะๆ ซะๆ งกๆ งันๆ อดื อาดเนอื ยนายเหมอื น
เรา เรานเ่ี มอ่ื ถกู กเิ ลสครอบแลว มนั เซอ มนั ซา มันเปนทุกสิ่งทุกอยางแบบ กุสลา ธมมฺ า
ออกระอาถอยหลังนั่นแล กิริยาที่แสดงออก มันเปนลวดลายของกิเลสทั้งมวล จะไมใ ห
กุสลา ธมมฺ า กลัวไดอยางไร กป็ ระเภทบอกบญุ ไมรับน่ี นักปฏบิ ัตเิ ราดีแตเ ทีย่ ว กุสลา
ธมมฺ า ใหค นตายนน่ั แล แตไมสนใจ กสุ ลาใหต วั เอง มนั จะฉลาดทันกเิ ลสไดอยา งไร มี
แตก เิ ลสตามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเอาๆ จนขเ้ี กยี จทาํ ลาย เพราะกเิ ลสแหลมคมมาก แตทํา
มนุษยทําสัตวใหโงมาก ทํามนุษยแ ละสัตวใหออ นแอมาก ใหเ กยี จครา นมาก นอนแลว
ไมส นใจต่ืน เหมอื นวา นอนคอยกเิ ลสไป กุสลา ธมมฺ า ให

คดิ ดซู วิ า เรารกั ธรรมนะ รกั ตรงไหนกนั แน ดๆู มีแตเรื่องของกิเลสลอมหนา
ลอมหลังจนแทบมองไมเห็นตัว กเิ ลสทาํ ใหเ ราเกยี จครา นออ นแอ สวนกิเลสไมไดออน
แอไมไดขี้เกียจขี้คราน ทาํ งานอยบู นหวั ใจสตั วโ ลกไดต ลอดเวลา ตวั กเิ ลสไมม อี ะไรจะ
เทยี บมนั แหละ ความเฉลยี วฉลาดความรอบตัวของมนั เพ่ือกุมอาํ นาจใหสัตวโ ลกอยูใ น
เงื้อมมือของมัน มนั เองอยบู นหวั ใจสตั ว หวั ใจเรา และทาํ สตั วทาํ เราใหโ งต อ เพลงของ
มัน ฉะนน้ั การเกดิ การตายจงึ มใิ ชส าเหตมุ าจากความฉลาด แตม าจากความโงตอเพลง
อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา พาใหม าเกิดมาตาย

เวลานเ้ี ปน อยา งไร จติ ของเราโงห รอื ฉลาด ถาจิตโง เราจะวา อะไรพาใหโ งถ า ไม
ใชก เิ ลสพาใหโ ง แลวเรายังตองการอยากโงอยูใตอํานาจของมันอยูอีกหรือ อํานาจของ
มนั ทพ่ี าใหเ ปน มานน้ั เรากท็ ราบไดพ อควรจากความจาํ ในตาํ รา ยงั แตค วามจรงิ ทเ่ี รายงั
เขาไมถ งึ เทาน้ัน ปา ชา นบั ไมไ ดใ นตวั ของเราคนเดยี วน้ี เร่ืองตายเกดิ ๆ ติดตอกันมาโดย
ลาํ ดบั ลาํ ดา ท่ผี านมาแลว จะนับไดห รือไมไ ดก ็ตาม ขอใหประมวลมาพิสูจนในตัวเอง
ดว ยการปฏบิ ตั เิ ถดิ ความเคยเปนมากี่กัปกี่กัลป จะมารวมอยใู นวงปจ จบุ นั ธรรม คอื จติ
ดวงนี้ทั้งนั้น ไมมีที่อื่นเปนที่พิสูจน ไมมีที่อื่นเปนที่ยืนยันเรื่องความเกิดตายของสัตว
โลกวา เปน มาเพราะเหตใุ ด จะทราบไดใ นวงปจ จบุ นั แหง จติ ตภาวนา วา เปน มาเพราะ
อาํ นาจแหง กเิ ลสตณั หาอาสวะ อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา เปนตน ที่ฝงอยูในปจจุบันจิตนี้
ไมสงสัย

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๘

๒๐๙

นค่ี อื ตวั เหตตุ วั การสาํ คญั พระพทุ ธเจา ทา นขดุ คน คลค่ี ลายสง่ิ เหลา นด้ี ว ยภาค
ปฏิบัติ โดยทางสติปญญาไมหยุดหยอนทอถอยลดละ จึงสามารถรูความจริงทัง้ กเิ ลส
ประเภทตา งๆ ทง้ั ความบรสิ ทุ ธท์ิ ข่ี าดจากกเิ ลสอาสวะ และขาดจากภพจากชาติแลว โดย
ประการทั้งปวง ดงั ทานกลา วไวใ น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นตถฺ ทิ านิ ปุนพฺภโว บัดนี้
ความเปนอีกเกิดอีกของเราไมมีแลว แตกอนทานไดมาประกาศเมื่อไร กเ็ พราะไมท ราบ
เงอ่ื นสายปลายเหตเุ หมอื นเราๆ ทานๆ น้ี แลวจะเอาความจริงมาพูดใหถูกตองไดอยาง
ไร

เพราะฉะนัน้ การพิสูจนเรื่องกเิ ลสประเภทตา งๆ ทพ่ี าใหส ตั วเ กดิ -ตายซึ่งรวมอยู
ในจติ ตองพิสูจนที่จิตดวยการปฏิบัติ จะรูช ัดเหน็ ชดั วาท่เี คยเกดิ เคยตายมาตั้งกัปตั้ง
กัลปนั้น ลว นเปน สาเหตไุ ปจากกเิ ลสอวชิ ชานท้ี ง้ั สน้ิ ดงั ทท่ี า นสอนไวใ นธรรมนน้ั เราฟง
เพียงงูๆ ปลาๆ จิตใจนั้นไมอยากเชื่อหรือไมเชื่อ เพราะกเิ ลสไมใ หเ ชอ่ื กิเลสมนั กมุ
อาํ นาจไวห มด สง่ิ ทเ่ี คยเปน มาอยา งไรทค่ี วรจะเหน็ โทษของสง่ิ เหลา นน้ั กจ็ ะเปน เหตใุ ห
หา งเหนิ จากกเิ ลส จากอํานาจของกิเลสไป กิเลสไมยินยอมตองครอบเอาไวหมด

ความจรงิ สตั วเ คยเกดิ -ตายมากี่ภพกี่ชาติ เกดิ มาเพราะอาํ นาจของกเิ ลสตณั หา
และรบั ความทกุ ขค วามทรมานหนกั เบามากนอ ยเพยี งไร กจ็ ติ นเ้ี ปน ตวั สาํ คญั และเคย
แบกเคยหามทกุ ขห าประมาณไมไ ดม านานแลว แตก เิ ลสไมย อมใหร ใู หเ หน็ สง่ิ เหลา น้ี
พอจะเห็นโทษแหงความเปนมาของตน และพยายามถอดถอนตนออกดวยอุบายตางๆ
สดุ ทา ยกม็ ายอมจํานนตอ กเิ ลสอยา งสนทิ ใจและเปด เผย อยา งหนา ดา นไมอ ายความจรงิ
ก็มี วา ตายแลว สญู เปนเรื่องของใครที่พูดนี้ ออกมาจากอะไรถึงมาพูดไดอยางนี้ ถาไม
ออกมาจากกิเลสตัวปดบังอยางมืดมิดปดทวารนั้นจะมาจากที่ไหนกัน

ความเคยเกิดเคยตายชนิดไมม ีอะไรหามใหห ยุดได เพราะกระแสวฏั ฏะภายใน
ใจมีกําลังมากเกินกวาอะไรจะหามได จงึ ตอ งมาเกดิ เพราะเช้อื และวบิ ากตางๆ ผลักไส
มา ถึงขนาดนั้นยังวาตัวสูญตายสูญเขาไปอีก นเ่ี กง ไหมกเิ ลสเหยยี บยาํ่ หวั ใจคน จนพลิก
ฝามือเปนหลังมือไปได ตวั เคยเกิดเคยตายมาหยกๆ ยังวาตัวสูญตายสูญทั้งๆ ทต่ี วั เกดิ
ตัวตายก็อยูกับตัว ตัวไมสูญก็อยูกับตัวนี้ กิเลสมันยังกลับตาลปตรธรรมของจริงไปได
ไมใ หร เู หตรุ ผู ลตน ปลายทเ่ี คยเปน มาของตนบา งเลย มนั ยงั พราํ่ สอนละเอยี ดแยบคาย
ตอไปอีกวา เกิดมาชาติเดียวจะทําอะไรก็ทําไดตามใจชอบ บุญไมมีบาปไมมี นรกไมม ี
สวรรคไ มม ี นีแ่ หละคือตวั เทวทตั ใหญ มันตั้งฐานทัพทําลายอยูในจิตของเรานี้ เราไป
กลัวอะไรนักเรื่องเทวทัตโนน เรอ่ื งของทา นตา งหากพระเทวทตั เรื่องของเราที่เปนเทว
ทัตตอตัวเอง ทาํ ลายตวั เองอยตู ลอดเวลา ทําไมไมคิด ทําไมไมดู ทาํ ไมไมแ กไ มท าํ ลาย
มัน ใหป ญ หาโลกแตกธรรมบรรลยั หมดไปจากใจ จะไมมีศัตรูคูอริอีกตอไป

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๙

๒๑๐

เอาซิ ฟาดฟนกันลงไปในภาคปฏิบัติ พระพุทธเจา ทรงรดู ว ยเหตุผลกลไกใด
ประทานไวห มดแลว ทางฝา ยเหตุ คอื วธิ ดี าํ เนินขุดคนดว ยภาคปฏบิ ตั ิ ขุดคนลงไป เรม่ิ
ตน ตง้ั แตส มาธภิ าวนา วา สมาธกิ ใ็ หเ หน็ ตวั จรงิ ของสมาธภิ ายในใจ ไมอยูที่ไหนไมอยูใน
ตาํ รา ไมอยูที่ดินฟาอากาศ ไมอยูที่ดินน้ําลมไฟ แตอ ยทู ใ่ี จสงบลงทใ่ี จดว ยอาํ นาจแหง
การอบรมหรอื การฝกฝนทรมาน คอื การภาวนานเ่ี ปน สาํ คญั

เมื่อสติตั้งตัวไดไมพลั้งเผลอ มีความจดจอตอเนื่องกันอยูเสมอ ไมย อมใหข ณะ
จิตใดที่จะเพนพานออกไป ดวยอํานาจของกิเลสผลักดันใหออก มเี ฉพาะอารมณที่เปน
ธรรมบทบริกรรมเคร่ืองยดึ ของจติ เทา นัน้ ใหจิตไดยึดอารมณนั้นเปนที่พักพิงเพื่อสั่งสม
กําลังความสงบ

ถา กาํ หนดอานาปานสติ ก็ใหรูลมเขาลมออกจริงๆ ดว ยสติ ไมจําตองตามลมเขา
ไปตามลมออกมา เพียงแตมีสติรูอยูกับลมที่สัมผัสเขา-ออก ขณะที่ลมเขาก็รูลมออกก็รู
มสี ตบิ งั คบั อยทู ป่ี ระตูแหง ลมออกลมเขานั้นเทานั้น จิตจะฝนไปไหนไดเมื่อถูกบังคับ
ดว ยความเอาจรงิ เอาจงั ไมใหจิตคิดเถลไถลไปกับอารมณตางๆ ใหอยูกับที่ตั้งลมอันจะ
ใหเ กดิ ความสงบ คอื คาํ บรกิ รรมหรอื ลมหายใจเทา นน้ั จิตจะตองหยั่งเขาสูความสงบ
เห็นองคของสมาธิไดอยางแทจริงภายในใจ ดวงที่เคยวุนวายมานักตอนักนี้โดยไมตอง
สงสัย

นค่ี อื วธิ กี ารพสิ จู นห าความจรงิ ภายในตวั เรา จงพากนั พสิ จู นจ ะทราบความจรงิ
ไปโดยลําดับ ธรรมพระพุทธเจาไมเคยโกหกผูใด นอกจากกิเลสจอมโกหก มันจึงโกหก
ไมหยุดไมถอย จงเหน็ โทษของมนั ดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความจรงิ เรากาํ ลงั ปฏบิ ตั เิ พอ่ื
สมาธิเพื่อปญญาเพื่อวิมุตติหลุดพน กิเลสมนั โกหกอยูในรองรอยอนั เดยี วกันนน่ั แล
ฉากเดียวกันนั่นแล วาสมาธจิ ะไมม ี สมาธิจะไมเกิดบาง ปญญาไมมี ปญญาไมเกิดบาง
มรรคผลนพิ พานหมดสมยั ไปนานแลว อยา พากนั ทาํ ใหล าํ บากเปลา บา ง หมดความ
สามารถอาํ นาจวาสนาไมม บี า งเปน ตน กเิ ลสมนั ลบลา งอยา งน้ี โกหกอยางนี้ จงพากนั
ระวงั อยา ใหเ สยี เปรยี บมนั อกี

เอาใหเ หน็ ลบลา งกเิ ลสเหลา นอี้ อกใหไดด ว ยความพากเพยี รอยางเขมแขง็
บังคับบัญชาดวยสติใหดี ทําไมจะไมรู พระพุทธเจา รมู าแทๆ สาวกทง้ั หลายรมู าแทๆ
เปน มาแทๆ ดว ยสมาธิเปนพน้ื ฐานเบ้อื งตน ทาํ ไมเราจะไมร ู จติ แทๆ เปน ผจู ะรบั รอง
ธรรมทง้ั หลาย ไมว า สมาธธิ รรม ปญ ญาธรรม วมิ ตุ ตธิ รรม นอกเหนือไปจากจิตจากสตินี้
ไปไมไดเลย

การบําเพ็ญของเราก็บําเพ็ญโดยถูกทางอยูแลว ทําไมจะรูไมได เมอื่ สมาธิปรากฏ
เปนความสงบขึน้ มาใหเ ห็นอยา งประจกั ษ ตองหายสงสัยทันที วาสมาธิอยทู ไ่ี หนแน อยู

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๐

๒๑๑

ในตาํ รบั ตาํ ราหรอื อยดู นิ ฟา อากาศแบบลมๆ แลงๆ ทีไ่ หน จะหมดปญหาไปทันที
เพราะความสงบประจกั ษอ ยกู บั ใจดวงสงบสขุ นแ้ี ลว เวลาน้ี

ความสงบมหี ลายขน้ั หลายภมู ิ เมื่อทําลงไปโดยสม่ําเสมอ ความสงบนจ้ี ะ
ละเอียดลงไปโดยลาํ ดบั ๆ จนกระทั่งแนบแนน ทานใหชื่อวา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ
อัปปนาสมาธิ นน่ั เปน ชอ่ื ขอใหเ ปน ขน้ึ ภายในใจเถดิ จะไมมีขั้นใดภูมิใดก็ตามเจาของ
จะรูเอง เชน เดยี วกบั การรบั ประทานอาหาร พอเรม่ิ รบั ประทานกจ็ ะรรู สเปรย้ี ว หวาน
เผ็ด เค็มตางๆ ภายในชิวหาประสาทของผูรับประทานโดยไมตองไปถามใคร ความอิม่
หนําสําราญก็คอยตดิ ตามกนั มา ปรากฏขน้ึ มาภายในตวั เอง จะไมมีขั้นมีภูมิก็ตาม หากรู
ภายในตวั เผ็ดก็รู เค็มก็รู เปรย้ี วหวานกร็ ู ความอม่ิ หนาํ สาํ ราญในธาตขุ นั ธเ พราะการรบั
ประทานมากนอ ยเพยี งไรกร็ ู รไู ปตลอดจนถึงความพอตัวแลวในอาหารทง้ั หลายกห็ ยดุ
เอง จําเปนอะไรจะตองไปตั้งชื่อตั้งนามวา อิ่มขนาดนี้เปนขั้นนั้น อิ่มขนาดนั้นเปนขั้น
นน้ั ๆ จําเปนอะไรจะตองไปตั้งชื่อตั้งนาม เพราะความจริงอยูกับความจริงของผูสัมผัส
รบั รตู า งหาก หลักธรรมชาติมีอยู อยูกับหลักธรรมชาติ รูตามหลักธรรมชาติก็พอกัน
แลว นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของสมาธิ ใหร ตู ามหลกั ธรรมชาตขิ องสมาธทิ ี่เกิดข้นึ ภายในใจ
ของตนดวยวิธีการที่ถูกตอง

เมื่อสมาธิความสงบตัวปรากฏขึ้นมา นน้ั แลเปน พน้ื ฐานหรอื เปน เสบยี งเครอ่ื ง
สนบั สนนุ ปญ ญา ใหทํางานไดอยางคลองตัวหายกังวล เวลาทจ่ี ติ ไมม คี วามสงบเลย จะ
พาพจิ ารณาทางดา นปญ ญามนั กลายเปน สญั ญาไปเสยี เพราะอาํ นาจของกเิ ลสฉดุ ลากไป
ใครจะไปรูรอบเรื่องของกิเลสกับเรื่องของธรรมยิ่งกวาพระพุทธเจา เพราะฉะนน้ั จงึ สอน
ใหอ บรมสมาธใิ หเกดิ ใหม ี จิตใจจะไดสงบ จติ ใจสงบแลวยอมอ่ิมตวั ในข้นั นี้ แลว พา
ทาํ งานดว ยการคดิ คน ในสง่ิ ตา งๆ ใจก็ตั้งหนาตั้งตาทําใหไมฝาฝนปนไปตามกิเลส
ถา ยเดยี ว ดังที่เคยเปนมาเมื่อคราวที่จิตยังไมสงบ และเหน็ เหตเุ ห็นผลไปตามปญ ญา
โดยลาํ ดบั ลาํ ดา นน่ั คอื การกา วออกทางดา นปญญาดว ยสมาธขิ ั้นนัน้ ๆ เปน พลงั หนนุ
เพื่อปญญาขั้นนั้นๆ

เมื่อจิตละเอียดเขาไป ปญ ญากา วไปเหน็ เหตเุ หน็ ผลของสภาวธรรมคอื อนจิ จฺ ํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ซง่ึ เตม็ อยภู ายในรา งกายและขนั ธห า ของเราเอง และกระจายไปทั่ว
โลกธาตุ เตม็ ไปดว ย อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไมมีเกาะไมมีดอนไมมีที่ยกเวน ขึ้นชื่อวา
แดนสมมุติแลวตองเปนแดน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาเต็มไปหมด เหน็ ประจกั ษห รอื ซง้ึ
ดว ยปญ ญาของเราแลว จะสงสัยอะไรอีก แมจิตจะยึดมั่นหนาแนนกวาภูเขาทั้งลูกมันก็
ถอนตัวออกมาได อนั อปุ าทานความยดึ มน่ั มนั เกดิ ขน้ึ จากความเสกสรรปน แตง ตาม
ความสาํ คญั ผดิ ของกเิ ลสตา งหาก

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๑

๒๑๒

เมื่อปญญาไดหยั่งลงไปถึงไหน กถ็ อื วา การทาํ ลายกิเลสไปถึงน่ัน และทาํ ลาย
อปุ าทานในขณะเดียวกัน จนถอนตัวออกมาได เอา เม่อื จะพูดถึงเรอ่ื งอสุภะอสภุ งั ความ
ปฏกิ ลู โสโครก ก็ดซู ริ า งกายน้มี ตี รงไหนทส่ี ดสวยงดงาม มแี ตค วามเสกสรรปน ยอตาม
กลมายาของกิเลสทั้งมวล ความจรงิ ไมป รากฏ แยกแยะถอยหนาถอยหลัง ตลบทบทวน
ดว ยความสนใจอยากรอู ยากเหน็ ความจรงิ ไมสนใจกับสิ่งใดนอกไปจากงานของตนที่
กาํ ลงั ทาํ อยเู วลานน้ั ในโลกมงี านอนั เดยี วน้ี ยน จติ เขา มาตรงนใ้ี หร ู พิจารณาจุดไหนใหมี
เจตนาจดจอ มสี ตคิ วบคมุ ไตรต รองเทยี บเคยี งกบั หลกั ความจรงิ ในจดุ นน้ั อยาใหสติ
เคลอ่ื นคลาด เชน อสุภะอสุภัง มนั เปน อสภุ ะจรงิ ไหม เทยี บลงไปใหซ ง้ึ เพราะความจรงิ
กเ็ ปน เชน นน้ั อยแู ลว เปน แตก เิ ลสตวั จอมปลอมมนั เปลย่ี นแปลงเสยี ใหมว า เปน ของสวย
ของงาม วาเปนของจีรังยั่งยืน วา เปน ตนเปนของตนไปเสียหมด เมอ่ื พจิ ารณาตามธรรม
ดว ยปญ ญาชอบแลว มนั ไมม คี าํ วา สวยงาม ไมม คี ําวาจรี ังยงั่ ยนื ไมม คี าํ วา เปน ตนเปน
ของตน มนั เหลวไหลทง้ั เพ หาความจรงิ ไมม ี

กลมายาของกิเลสมันไปแถวนี้ ความจริงของธรรมไปแถวนั้น เดนิ สวนทางกนั
จงนําสติปญญาไตรตรองใหถึงความจริงของธรรม ปญ ญาเทา นน้ั จะสามารถคลค่ี ลายสง่ิ
จอมปลอมทงั้ หลายเหลา น้ี ใหลงสูความจริงอันดั้งเดิมได เชน ธาตุสี่ ดิน น้ํา ลม ไฟ
เปนของดั้งเดิม คนลงไปๆ จากอสุภะอสุภังนี้แลว จะกลายลงไปเปน ธาตุ เมื่อกลายลง
ไปเปนธาตุอยางชัดเจน ไมวาภายนอกภายในเปนธาตุไปหมด เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺ
ตาไปหมด จะไปยึดไปถือสิ่งใดที่นี่ กา วเดนิ อยางนี้ เดินปญญา ตามอบุ ายทอ่ี ธบิ ายผา น
มาแลว นน้ั

ปญญาขั้นใดก็ตาม สติตองติดแนบไปดวยกัน สติกบั ปญ ญาเปนคูเคยี งกันอยา ง
สนทิ แยกกันไมออก เบื้องตนสติตองไปกอน พอพยายามผลิตปญ ญาข้นึ มาแลวสติเปน
พี่เลี้ยงปญญาตามกันไป พอถึงขั้นเต็มกําลังทั้งสติทั้งปญญายอมกลาหาญชาญชัยตอ
การทําหนาที่ของตน ปราบกเิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา งๆ ไมมีคําวากลวั วา ถอย นอก
จากรดุ หนา ทา เดยี ว สติปญ ญาเปนเหมือนเชอื กทีฟ่ น กนั เปน เกลยี วเดียว กลมกลืนกัน
ไปเลย ไมมีแยกกันเหมือนแตกอน

เอา ทนี ก้ี เิ ลสตวั ไหนจะมาเพน พา นอวดอาํ นาจวาสนาเหมอื นแตก อ น คาํ วา สมาธิ
ก็สลัดปดท้งิ หรอื ปราบปรามความฟุงซานรําคาญออกไป ความโงเ ขลาเบาปญ ญา ทเ่ี คย
สาํ คญั มน่ั หมายวา ธาตขุ นั ธน ้ี เปนแทงแหงทอง เปนทองทั้งแทง ก็แยกจากกันไปหมด
แลว ตามความจริงมันจะเปนทองทั้งแทงไปไดอยางไร เปนของสวยของงาม เปนของมี
คณุ คา มรี าคาไดอ ยา งไร ปญญากําหนดจดจอลงไป คล่คี ลายลงไปจนถงึ ความจริงเตม็
สวนของรูปกาย อนั ไหนมรี าคาเลา มแี ตก องอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เตม็ ขนั ธเ ตม็ หวั ใจ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๒

๒๑๓

เต็มโลกธาตุ อนั ไหนเปน สง่ิ ทน่ี า ยดึ นา ถอื นา เกาะ นา รกั ใครช อบใจ นา อาลยั เสยี ดาย มี
ที่ตรงไหน

ปญ ญาคลี่คลายดูหมดแลว มนั หมด ไมมีที่อาลัยเสียดาย ใจก็ถอนตัวเขามา รูป
รางกายของเราท่เี คยยึดม่นั ถือม่นั หนกั ยิง่ กวาภูเขา มันก็ถอนตัวออกมา จากนั้นก็
พจิ ารณาเวทนา เมื่อกายนี้พิจารณาไดอยางชัดเจนช่ําชองคลองแคลวทุกอยางแลว มันก็
ปลอยของมันเองไมตองบอก ขอใหปญญาไดหยั่งถึงความจริงเต็มที่เถิด ในขั้นใดก็ตาม
ขั้นรูปธรรมมันก็ปลอยของมันไดอยางเต็มที่ ปลอยไดเต็มสติกําลังของปญญาที่รูนั่นแล
นเ่ี ปน ขน้ั หยาบคอื รปู ขนั ธ ขอสรปุ เพยี งเทา น้ี

ขั้นละเอียด คือ เวทนา สขุ เวทนา ทุกขเวทนา อเุ บกขาเวทนา มีไดทั้งทางราง
กายและจิตใจ แตส าํ คญั ใจเปน ผหู ลงเปน ผไู ปยดึ พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความจรงิ ของมนั
เวทนาปรากฏขน้ึ มากเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ของมนั เทา นน้ั ตามหลกั ธรรมชาตแิ ลว ถา
ไมใ ชก เิ ลสเขา ไปเคลอื บแฝงไปบงั คบั บญั ชาใหว า เวทนาคอื สขุ เปน เรา ทกุ ขเ ปน เรา
อเุ บกขาเปน เราเปน ของเรา และสรางกองทุกขขึ้นมาภายในจิตใจอีกเทานั้นก็ไมมีทุกข
ทางใจ ปญญาจะตองหยั่งลงถึงความจริงเปนลําดับ

เมอ่ื สตปิ ญ ญาหยง่ั ทราบความจรงิ แลว เวทนากส็ กั แตว า เวทนา ดังที่ทานอธิบาย
ไวแ ลว ในสตปิ ฏ ฐานสไ่ี มผ ดิ ไปไหนเลย เปน ความจรงิ ลว นๆ แตเ ราไปฝน ความจรงิ ทง้ั
หลาย เพราะกเิ ลสพาใหฝ น พาใหเ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายความจรงิ เพราะกเิ ลสเคยเหนอื
อํานาจของใจ จึงตองฉุดลากจิตใจไปในทางผิด และเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายความจรงิ นน้ั ๆ
โดยไมร ตู วั วา เหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย นี่คือตัวจอมปลอมที่จิตเคยเชื่อมัน ดวยเหตุนี้ ผูปฏิบัติ
จําตอ งใชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาอยา งละเอียดแยบคาย จงึ จะพบความจรงิ ตามหลกั ธรรม
ทา น

การคลค่ี ลาย การพิจารณาทางดานปญญาก็เพื่อแกสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย ส่งิ ปน
เกลยี วกบั ธรรมคอื ความจรงิ ลว นๆ ออกโดยลําดับ จิตจะเปดเผยตัวเองขึ้นอยางชัดเจน
ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ภายในรา งกาย เมอ่ื พจิ ารณาจนถงึ ขนั้ อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า อยางซึ้ง
ภายในใจแลว จะยึดถือไวไมได จะสลดั อปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ภายในรา งกายน้ี
ออกโดยสิ้นเชิง รูประจักษกับจิต กาย เวทนา ก็สักแตวาเกิดขึ้นตั้งอยูตามธรรมชาติของ
มัน เปนความจริงแตละอยางๆ กายกไ็ มท ราบความหมายของทกุ ขเวทนาหรอื สขุ เวทนา
อุเบกขาเวทนา เวทนานน้ั จะเปน สขุ เวทนา ทุกขเวทนา อเุ บกขาเวทนา กไ็ มท ราบความ
หมายของตนและไมทราบความหมายของกายของใจ เปน แตธ รรมชาตทิ ป่ี รากฏขน้ึ ตาม
หลักความจริงของตน แลวก็ดับไปตามธรรมชาติของมัน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๓

๒๑๔

ถาจติ มสี ตปิ ญญารอบตวั อยูแลว จะพิจารณารูแจงเห็นจริงในความจริงทั้งหลาย
ทง้ั สว นกายทง้ั สว นเวทนาทง้ั สาม แยกตัวออกโดยลําดับๆ สว นสญั ญา สังขารไมตองพูด
มนั กเ็ ปน อาการเหมอื นกนั นน่ั แล เกิดขึ้นแลวดับไป มันเปนกองไตรลักษณทั้งหมด คือ
อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา และเบิกออกๆ จติ ถอยตวั เขามา การพจิ ารณากแ็ คบเขา ไปๆ
เพราะสง่ิ ไรทพ่ี จิ ารณารแู จง เหน็ จรงิ แลว มนั ปลอ ยเอง จะพิจารณาเพื่ออะไรอีก กร็ แู ลว
เหน็ แลว น่ี

มนั ตองชัดอยางน้ันจึงชื่อวา ผปู ฏิบัตเิ พือ่ รจู ริงเหน็ จริง ตองรภู ายในตวั เองจริงๆ
ไมอ ยางนั้นไมเ รยี กวา สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก เหน็ เอง เมื่อไดคุยเขี่ยขุดคนเต็มสติปญญา ผลจะ
ปรากฏข้ึนมาอยางเต็มภมู ิ เต็มภูมิของสติปญญาหนีไมพน นแ่ี หละการพสิ จู นเ รอ่ื งการ
เกิดการตายของจิต

จติ เปน สง่ิ ลกึ ลบั มากเพราะกเิ ลสพาใหล กึ ลบั กิเลสมันเอาจิตเขาไปหมกไปซอน
ไวใ นสถานทที่ เ่ี ราไมอ าจเออ้ื มรูไดเ ห็นได ถูกกิเลสตัวจอมปลอมปดบังไวหมด ตวั มนั
ออกหนาออกตา หลอกไวตลอดเวลาจึงไมเห็นโทษของตน ไมเห็นโทษของกิเลสที่พาให
เกดิ ใหต าย

เม่ือใชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาลงไปดังทีก่ ลา วมาแลว น้ี กเิ ลสประเภทตา งๆ ทเ่ี คยหมุ
หอจิตใจ หลอกลวงจิตใจ ปดบังจิตใจนั้นจะขยายตัวออกไป เปดตัวออกไปๆ จน
กระทั่งไมมีเหลือ เมอื่ กเิ ลสหมดสิ้นไปจากใจไมมเี หลือเพราะสตปิ ญญารเู ทา ทนั และ
ตัดขาดกระเด็นออกจากความสืบตอกันระหวางขันธกับจิต รปู เสียง กลิ่น รส ทง้ั หลาย
ไมตองพูด เพราะมันหางไกลมากไป เอาในระหวา งขนั ธก บั จติ รปู ขนั ธ เวทนาขันธ
สัญญาขันธ สังขารขันธ วญิ ญาณขนั ธ ทราบตามอาการของมนั ซง่ึ เปน ความจรงิ แตล ะ
อยางๆ และทราบภายในจติ คอื ตวั อวชิ ชา ตัดสะพานทางเดินของมันหมดแลว กเ็ หลอื
แตจิตกับอวิชชาที่พัวพันกันอยูอยางลึกลับ แตจะพนมหาสติ มหาปญญาอัตโนมัติไปไม
ได

นี่กําลังของสติ กําลังของปญญา เมื่อฝกใหเปนยอมเปนไดอยางนี้ รูไดอยางนี้
เหน็ ไดอ ยา งน้ี และสามารถทําลายจิตอวิชชาออกเหมือนระเบิดทําลายทีเดียว อวิชชา
แหลกแตกกระจายไปหมดไมมีเหลือ ทีนี้ทําไมจะไมรู ที่เคยเกิดมากี่กัปกี่กัลป ไมตอง
ไปนับก็ได ความจริงบอกอยูในจิตที่บริสุทธิ์ดวงนี้อยางประจักษ และเริ่มรูมาตั้งแตจิตที่
มีเชื้อสืบตอเกี่ยวเนื่องกันมากนอยโดยลําดับมา คอยรเู ขา มา เพราะตัดเขามาเรื่อยๆ
ดวยปญญา รเู ขา มาๆ สน้ั เขา มาๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมด ไมมีอะไรสืบตอกัน
ระหวา งจติ กบั กเิ ลสอาสวะตา งๆ ที่จะพาใหเกิดภพเกิดชาติ เพราะขาดออกไปจากจิต
หมดแลว ไมม สี ิ่งใดเหลือ เปน จิตท่ยี ืนยนั ปฏิญาณตนไดอยางอาจหาญไมส ะทกสะทา น

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๔

๒๑๕

ใดๆ ทั้งสิ้น ไมตองหาสักขีพยานมาจากไหนอีก สักขีพยานพอตัวอยูกับความบริสุทธิ์ที่
รๆู เหน็ ๆ อยจู าํ เพาะตนหมดแลว

โทษเราก็เคยเห็นมาประจักษใจ พนโทษกเ็ ห็นประจกั ษใ จแลวทน่ี ่ี ความเปน นกั
โทษก็เพราะถูกคุมขังของกิเลส ความพน โทษกเ็ พราะกเิ ลสบรรลยั ไปจากใจแลว เพราะ
อํานาจแหงสตปิ ญญา ศรทั ธา ความเพยี ร เรอ่ื งความเกดิ -ตายแตก อ นเปน มาจากไหน
จะไปสงสัยท่ไี หนวาไมเ ปน มาจากกิเลสประเภทตางๆ จนถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา
สง่ิ เหลา นก้ี ไ็ ดบ รรลยั ลงไปหมดแลว ที่นี่จิตจะไปเกิดที่ไหนอีกไหม จิตดวงนี้ก็รูชัดๆ วา
ไมเกิดที่ไหนอีกแลว เพราะเปน อฐานะแหง การเกดิ อกี ตอ ไป

นน่ั แลจงึ เรยี กวา ผปู ฏบิ ตั เิ พอ่ื เหน็ ความจรงิ แหง ธรรมทง้ั หลาย รทู ใ่ี จ อยาไปคาด
ไปคิดกาลโนน สถานทน่ี ใ่ี หเ สยี เวลา และถูกกิเลสมันหลอกไปโนนหลอกไปนี่อยูไมหยุด
ดูจุดที่กิเลสซองสุมกันอยูที่หัวใจนี่ ชาติป ทกุ ขฺ า ชราป ทุกฺขา เปนเรื่องของกิเลสทั้ง
นน้ั ออกไปจากดวงใจเปนเชื้ออันสําคัญใหเกิดภพนั่นภพนี่ คอื อวิชฺชาปจฺจยา นี้เอง
เมื่อถูกทําลายขาดสะบั้นลงไปหมดแลว นั้นแลคือความบรสิ ุทธ์พิ ทุ โธแท ไมมแี ลว ขึ้นชื่อ
วา สมมุติซ่งึ เปน คูเคียงกับกเิ ลสประเภทตา งๆ ภายในใจ ยนื ยนั ไดภ ายในตวั เองวา นตฺถิ
ทานิ ปุนพฺภโว ความเกิดไมมีอีกแลว จะมีไดอยางไร เพราะเชื้อใหเกิดมันดับไปหมด
แลว

ผทู ร่ี วู า สง่ิ ทง้ั หลายนน้ั ดบั ไปหมดแลว อนั นน้ั ดบั ไหมทน่ี ่ี และนั่นสูญไหมที่นี่
เรยี นใหถ งึ ซิ เรยี นใหถ งึ จติ ซิ ลึกลับที่สุดก็คือจิต เพราะกเิ ลสพาใหล กึ ตน้ื ทส่ี ดุ จน
ประจักษใจก็คือจิต เพราะธรรมพาใหต น้ื สติปญญาพาใหตื้น นแ่ี หละหลกั รบั รองมรรค
ผลนิพพาน รับรองความพนทุกข และรบั รองเรอ่ื งความเกดิ ความตาย เกิด-ตายมา
อยางไรตออยางไร ตายเกดิ หรอื ตายสญู รบั รองกันทตี่ รงนี้ ยนื ยนั กนั ทต่ี รงน้ี หายสงสยั
ท่ีตรงน้ี ใครจะสงสยั อยา งไรไมส นใจ ใครจะวา เปน อยา งนน้ั เปน อยา งนก้ี ร่ี อ ยกพ่ี นั เรอ่ื ง
ก็วาไป ตามความคดิ ความเหน็ ของนานาจติ ตงั ถาอยากฟงก็ฟงไป ไมอยากฟงก็อยูตาม
ความไมห วิ โหย ขอใหร คู วามจรงิ ประจกั ษใ จเสยี เทา นน้ั อนั เรอ่ื งความหวิ โหย ความโยก
คลอนตางๆ มันหมดไปเอง เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน สง่ิ เคลอื บแฝง เปน ความหลอกลวง
เม่ือถงึ ความจรงิ เตม็ สวนแลวจะหลงไปไหน สามโลกธาตุมาหลอกก็ไมหลง

เอาใหจ รงิ ใหจ งั นกั ปฏบิ ตั ิ อยทู ไ่ี หนใหถ อื ความเพยี รเปน สาํ คญั ใหถือวากิเลส
เปน ขา ศกึ ตอ เราอยเู สมอ ผูนั้นแหละจะพนจากแหลงแหงทุกขนี้ไปไดโดยไมสงสัย สติ
ปญญามีหุงตมแกงกินไมได นาํ มาฆา กเิ ลสแกก เิ ลสเทา นน้ั หนาที่ของสติปญญานะ เอา
ใหจ รงิ จงั อยา ลดละความพากเพยี ร คาํ วา กเิ ลสเปน ภยั ธรรมะเปน คณุ แกส ตั วโ ลก นน่ั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๕

๒๑๖

คือศาสดาองคเอกเปนผูสอนไว มิใชคนหูหนาตาฝาฝาดเปนผูสอนไวพอจะไมสะดุดใจ
คิดกัน

ผมมคี วามหว งใยหมเู พื่อนเห็นอยางยิง่ ไมสบายก็ตองลงมา เพราะการเทศนา
วา การเมอ่ื คนื ทผ่ี า นมานน้ั มนั มีหลายอยาง อุปสรรคยุงไปหมด หาความสงบสงัดไมได
เทศนไมสนิทใจจึงตองหยุด เสียงกระรอกกระแตก็โกกๆ กากๆ กัดอะไรอยูบนศาลานี้
เสยี งนน่ั เสยี งนค่ี กึ ๆ คักๆ กระทบกระเทอื นตลอดเวลา เทศนไ มส นทิ ใจ วนั นเ้ี หน็ วา
อากาศก็เปดเผยดี เรอื่ งราวอะไรๆ ก็ไมมี จึงประชุมและใหการอบรมสั่งสอนหมูเพื่อน
ซ้ําอีก เทศนด ว ยเจตนาเพอ่ื ความเปน คตแิ ละเปน สริ มิ งคลแกท า นผฟู ง ทง้ั หลายเปน
อยางย่ิง เพื่อใหมีความจริงจังตอความพากเพียรของตน ซึ่งเปนงานแทของพระ จงเอา
ใหจ รงิ จงั ขอใหง านนส้ี าํ เรจ็ เถดิ ไมม ใี ครมาเสกสรรปน ยอวา วเิ ศษวโิ สกร็ อู ยกู บั ตวั เอง
อิ่มพออยูกับตัวเอง สมกับการปฏิบัติเพื่อถึงเมืองพอ ไมหวังพึ่งอะไรดังที่เคยเปนมา
นอกจากความบรสิ ทุ ธอ์ิ นั เปน ความสมบรู ณพ อตวั แลว เทา นน้ั

เทา นพ้ี อ

<<สารบญั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๖

๒๑๗

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๓ ตลุ าคม พุทธศักราช ๒๕๒๓

อยา ฝน ความจรงิ

ผูที่จะสามารถสืบมรดกทั้งดานการประพฤติปฏิบัติไปโดยถูกตองดีงาม และผล
เปนที่พึงพอใจในธรรมปฏิบัติ ดงั ท่ที า นกลาวไวใ นครงั้ พทุ ธกาลวามรรคผลนพิ พาน ก็
คือผูที่ปฏิบตั ิตามหลักธรรมท่ีทานส่งั สอนไวน เี้ ทาน้นั เฉพาะอยางยิ่งคือนักบวชแลว ยงั
ยนเขามาถึงนักปฏิบัติอีกดวย เพราะคาํ วา นกั บวชมอี ยทู ว่ั ไปในดนิ แดนแหง ชาวพทุ ธเรา
ไมกําหนดกฎเกณฑวาเมืองนั้นเมืองนี้ เมืองนอกเมืองใน เต็มไปหมดดวยนักบวชใน
พุทธศาสนา

แตจ ะเอากฎเกณฑต ามความเปน นกั บวชนน้ั วา จะเปน ผไู ดร บั มรดกคอื ธรรม
ทายาทของพระพุทธเจาจริงๆ นน้ั ไมสนิทใจ เหมือนผูตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลัก
ศาสนธรรม ทั้งทางดานพระวินัยและดานธรรมะโดยถูกตองดีงาม ทา นเหลา นจ้ี ะเปน ผู
ทรงไวซ งึ่ ธรรมทายาท ทั้งฝายเหตุและฝายผลไดโดยลําดับ จนถึงขั้นสมบูรณโดยไม
สงสัย เพราะธรรมประกาศหรอื ทา ทายความจรงิ ไวอ ยแู ลว ตั้งแตครั้งพุทธกาลมาจน
กระทั่งปจจุบัน ไมป รากฏวา มธี รรมบทใดบาทใดไดรอยหรอลงไปจากหลักความจรงิ ท่ี
พระองคทรงตรัสไว มคี วามสมบรู ณพ นู ผลอยดู ว ยความสตั ยค วามจรงิ ความถูกตองดี
งามทุกแงทุกมุม ในการทจี่ ะบุกเบิกใหถงึ จดุ หมายปลายทางไดโ ดยสมบรู ณ

ฉะนน้ั เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ จงคํานึงถึงความรูสึกของตนที่มุงเจตนา และความมงุ
มัน่ ทีต่ ั้งไวแ ลว อยางใด และประสานกบั ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ อยาใหพรากจากกัน การ
ปฏิบัติศีลก็อยาไดประมาท สิ่งใดที่ขัดของตอศีลก็คือการขัดของตอธรรมที่จะเปน
ประโยชนแ กเ รา และเปน การขดั ของทําลายตวั ของเราไปดวย การขัดของตอธรรมหรือ
กีดขวางธรรม ก็เปนการกีดขวางตนเองดวยใหหาทางกาวไปไมได

ดว ยเหตนุ ท้ี า นจงึ กลา วไวว า สปุ ฏปิ นโฺ น เปน ผูปฏิบตั ติ รงตอหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั
โดยสมาํ่ เสมอ ตัง้ แตตนจนสุดยอดแหงธรรมวนิ ยั อุชุฯ ตรงไปตรงมา อนั เปน แนวทาง
ที่จะใหเกิดความสะอาดในศีลในธรรมของตน ญายฯ ความรแู จง แทงตลอดอยา ไดห าง
เหนิ จากจติ ใจ คอื มคี วามสนใจจดจอ ตอ ความรจู รงิ เหน็ จรงิ ในธรรม ทท่ี า นไดเ คยรเู คย
เหน็ และไดป ระทานไวแ ลว คําวา สามจี ฯิ ก็รวมลงไปวา การปฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ติ รง เปน
การปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๗

๒๑๘

คาํ วา ธรรมนน้ั เปน ของกลาง เชน เดยี วกบั สมบตั ใิ นโลก แลว แตผ มู คี วามขยนั
หมน่ั เพยี รและความเฉลยี วฉลาดทจ่ี ะแสวงหามาได มากนอ ยตามกาํ ลงั ความสามารถ
และฉลาดของตน ตามปกติวัตถุในโลกนี้ไมขาดแคลน มสี มบรู ณ เปน แตเ พยี งวา ความ
อตุ สา หพ ยายาม หรอื ความขยนั หมน่ั เพยี รและความฉลาด ทจ่ี ะสามารถนาํ วตั ถนุ น้ั ๆ
เขา มาเปนของตนไดเ ปนสาํ คญั กวาอนื่

คาํ วา ธรรมกไ็ มเ คยบกพรอ ง ตามหลกั ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสอนไวแลวคง
เสน คงวา ดงั ที่ทา นกลา วไวว า พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหตั ธรรมท้งั
สป่ี ระเภทน้ี กลมกลนื กันกบั หลกั มัชฌมิ าปฏิปทาอันเปน สายทางเดนิ เขาไปสธู รรมข้ัน
เหลา น้ี จนกระทั่งทะลุปรุโปรงไปได ไมนอกเหนือจากมัชฌิมาปฏิปทานี้ไปไดเลย

เราพงึ คาํ นงึ ตนเสมอวา เวลานี้เราปฏิบัติถูกตองตามหลักมัชฌิมาหรือไม
มัชฌิมาคือเหมาะสมอยูตลอด การรักษาศีลก็เปนความเหมาะสมของตน หาท่ตี าํ หนิติ
เตียนตนไมไดวา ไดทําศลี ใหด างพรอยไปดว ยเจตนา หรอื ความเผอเรอประการใดบา ง
เพราะความระมดั ระวงั รกั ษาอยเู สมอ ศลี กง็ ามสาํ หรบั ตวั ของเรา เปนผูทรงศีล เปน ผู
เหมาะสมกบั ความเปน ผมู ศี ลี จงึ เรยี กวา มชั ฌมิ า คอื ความเหมาะสม

ทางดานธรรมนับแตสมาธิ คาํ วา สมาธทิ ท่ี า นแสดงไวใ นตาํ รา เคยไดอธิบายให
ฟง แลว หลายครง้ั หลายหนนน้ั คือเข็มทศิ ทางเดินทที่ า นเขยี นไวต ามคมั ภรี ใ บลาน ไมใช
องคของสมาธิแท แตส มาธแิ ทน น้ั จะเกดิ ขน้ึ กบั ใจทส่ี บื เนอ่ื งมาจากการศกึ ษาเลา เรยี น
วธิ กี ารทท่ี า นแสดงไวแ ลว ในตาํ รบั ตาํ รานน้ั เขามาประยุกตกับความประพฤติของตน
เพอ่ื ใหเ กดิ ความสงบเยน็ ใจขน้ึ มาไดด ว ยจติ ตภาวนา

สมาธิมคี วามสาํ คัญไปทางหนึง่ ปญ ญามคี วามสาํ คญั ไปทางหนึง่ ตา งกม็ คี วาม
สําคัญตามหนาทหี่ รือคุณภาพของตน เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจา เสียเองจงึ ไดต รัสไววา
สมาธปิ รภิ าวติ า ปฺญา มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า สมาธิอนั เปนความอิ่มตัว ไมหิว
โหยโรยแรง ฟุงเฟอเหอเหิม กระสบั กระสา ย เปนจิตที่อิ่มตัวตามขั้นแหงความสงบของ
ตน นท่ี า นเรยี กสมาธิ สมาธนิ แ้ี ลทม่ี คี วามอม่ิ ตวั น้ี นําไปใชทางดานปญญา ยอมจะเปน
เครือ่ งหนนุ ปญ ญาใหทาํ หนา ทข่ี องตนไดอ ยา งราบรน่ื ดงี าม เพราะไมเถลไถล ไมก ระวน
กระวายหวิ โหยกบั สง่ิ นน้ั สง่ิ นเ้ี หมอื นคนไมม คี วามสงบอยภู ายในตวั จิตที่สงบยอมไมหิว
โหยกบั สง่ิ ตา งๆ พาทํางานใดก็ทํา พิจารณาทางดานปญญามีสติเปนเครื่องกํากับรักษา
หรอื เปน ผคู วบคมุ งาน จิตก็ทํางานตามนั้น

เมื่อมีสมาธิแลว ควรจะแยกออกทางดานปญญา พจิ ารณาแยบคายไปกวา ทาง
ดานสมาธิก็ตองทํา เพราะฉะนน้ั คําวาสมาธิกับปญญานี้จึงแยกกันไมออกโดยจะถือวา
พจิ ารณาทางดา นปญ ญาอยา งเดยี วเปน ความรวดเรว็ การทาํ สมาธิ มวั ทาํ สมาธใิ หเ กดิ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๘

๒๑๙

ใหม คี วามสงบแลว คอ ยพจิ ารณาทางดา นปญ ญานน้ั เปน ทางลา ชา หรอื ลา สมยั การพูด
เชน นน้ั หรอื ความเหน็ เชน นน้ั เปนความเห็นที่ขัดตอหลักธรรมของพระพุทธเจา ทท่ี รง
รบั รองมาแลว โดยสมบรู ณท ง้ั ทางเหตแุ ละทางผล

ดังนั้น ธรรมทั้งสองประการนี้จึงแยกกันไมออกแตไหนแตไรมา จะแตกตางกัน
อยูบางก็แตอาการของสมาธิ มีอาการตางกัน แตพูดถึงเรื่องความสงบนั้น สงบเหมอื น
กัน แตอ าการแหง ความสงบนน้ั มตี า งกนั บา ง ถึงอยางไรก็ตามความสงบของจิตนั้น
ยอมเปนความอิ่มตัวไดดวยกัน ควรแกก ารพจิ ารณาทางดา นวปิ ส สนา คือปญญาไดเชน
เดียวกัน จึงไมสามารถที่จะแยกสมาธิหรือสลัดตัดทิ้งสมาธิไปเสีย ใหด าํ เนนิ แตท างดา น
ปญญาอยางเดียว แลว ควา เอามรรคผลนพิ พานอยา งภาคภมู ใิ จมาแขง ศาสดาผแู สดงไว
ทั้งสมาธิและปญญา อยางนี้เปนไปไมได

นเ่ี ราเคยปฏบิ ตั มิ าแลว ไดทราบอยางชัดเจนในทางดานสมาธิ คือการทําสมาธิ
ตั้งแตขั้นลมลุกคลุกคลาน มาจนกระทั่งถึงขั้นสมาธิเต็มตัว คาํ วา ขน้ั สมาธเิ ตม็ ตวั นน้ั คือ
เราทาํ ใหส งบไดต ามความตอ งการของเราเวลาใดกไ็ ด แมจิตจะถอนออกมาจากสมาธิ
นน้ั แลว คิดอานไตรตรองกิจการงานอื่นๆ ได แตฐ านของสมาธนิ น้ั เปน ความแนน หนา
มั่นคงอยูเสมอ ทเ่ี รยี กวา สมาธิเต็มภูมิ คือทําใหสงบเมื่อไรก็ได แตก็เปนสมาธิอยูเพียง
เทา นน้ั ไมสามารถกลายตัวไปเปนปญญาได โดยที่เราไมนําออกพิจารณาแตอยางใดให
เปนปญญาขึ้นมา

เมอ่ื จติ มคี วามสงบเปน พน้ื ฐานแลว นําจิตที่มีดวงความสงบและอิ่มตัว ไมหิว
โหยกบั อารมณต า งๆ นน้ั เขา พจิ ารณาทางดา นปญ ญา เราจะพจิ ารณารา งกายสว นใดก็
ตาม คาํ วา รา งกายนท้ี ว่ั ไปหมดในรปู ขนั ธน ้ี แลว แตจ ะถกู กบั จรติ ในอาการใดภายในรา ง
กายน้ี แยกแยะดูตั้งแตตน ดงั ท่ที านมอบงานใหแกพวกเรามาต้งั แตดึกดําบรรพจ น
ปจ จบุ นั น้ี และยังจะเปนไปอีกอยางนี้ไมลดละ วางานของนักบวชน้ันคืออะไร
อุปชฌายะทานมอบใหวา เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ นค่ี อื อนโุ ลมพจิ ารณาโดยลาํ ดบั
ไป ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นใ่ี หพ จิ ารณาปฏโิ ลม ยอ นกลบั หนา กลบั หลงั ถอย
หนา ถอยหลัง

สง่ิ ทก่ี ลา วเหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทป่ี ระกาศตนอยแู ลว ดว ยความปฏกิ ลู โสโครกตามหลกั
ธรรมชาติที่เปนความถูกตอง เปน แตเ พยี งวา จติ ของเรานน้ั ไปรบั ความเสย้ี มสอนมา
จากสิ่งจอมปลอมคือกิเลส จงึ ตอ งมาเปลย่ี นแปลงความจรงิ จากธรรม หรอื ลบลา งธรรม
นีใ้ หเ ปน สภาพอืน่ ไปเสียจากความเปนของปฏกิ ูล ใหเปนของสวยของงาม เปน ของจรี งั
ถาวร เปน เราเปน เขา เปนของเราของทานไปเรื่อยๆ สง่ิ เหลา นน้ี อกจากความเปน อสภุ ะ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๙

๒๒๐

อสภุ งั เตม็ ไปทง้ั รา งกายภายนอกภายใน อยูโดยหลักธรรมชาติของมันตามธรรมที่กลาว
ไวแ ลว ยงั มคี วามแปรสภาพอยภู ายในตวั ทกุ ระยะๆ ไมมเี วนแมแตขณะหน่งึ

การพจิ ารณาเชน นท้ี า นเรยี กวา วปิ ส สนา เพอ่ื ความเหน็ แจง ตามความจรงิ ความ
จรงิ นน้ั เปน อยา งไรในรา งกายน้ี คาํ วา อสภุ ะจรงิ หรอื ไมจ รงิ เราปฏเิ สธไดไ หม ตง้ั แตภ าย
นอกก็มีขี้เหงื่อขี้ไคลเต็มไปหมดทั้งราง ไมวาขางบนขางลางตองชะตองลางกันอยูตลอด
เวลา รางกายนีไ้ ปสัมผสั สมั พนั ธก บั ส่ิงใด แมจะเปนของสะอาดสวยงามเพียงใดก็ตาม
จะตองกลายเปนของสกปรกโสมมสงกลิ่นฟุงไปหมด

เพราะรา งกายนเ้ี ปน ตวั ปฏกิ ลู สิ่งที่เขามาเกี่ยวของกับรางกายนี้จึงกลายเปนของ
สกปรก ตองชะตองลางตองฟอกเช็ดถู ไมเชนนั้นก็อยูไมได นเ่ี หน็ อยา งชดั ๆ อยูแลว
ตามหลกั ความจรงิ ผูปฏิบัติจะฝน หลกั ความจริงน้ีไปไหน ความฝน หลกั ความจรงิ เหลา
นี้มีแตเรื่องของกิเลสทั้งสิ้นซึ่งเปนขาศึกตอธรรม เคยฝน ธรรมอยา งนม้ี าเปน ลาํ ดบั ลาํ ดา
คอื เสกสรรปน ยอขน้ึ มาเฉยๆ ทั้งๆ ที่หาความจริงไมได วา สวยงาม วา นา รกั ใครช อบใจ
วา เปน สง่ิ จรี งั ถาวร วา เปน สง่ิ ใหเ กดิ สขุ นา รน่ื เรงิ บนั เทงิ วา เปน อตฺตา เปน เราเปน ของ
เราเปนของเขา

จิตที่ไมมีที่ยึด มีแตกเิ ลสเปน ผพู รํา่ สอนอยตู ลอดเวลา จะไมใหยึดไมใหถือไมให
เชื่อตามกิเลสจะเชื่อถืออะไร เพราะมขี องอยา งเดียวเทานั้นตดิ แนบอยูก ับใจนับแตก ปั
ใดกัลปใดมา จนกระทั่งไดพบไดยินโอวาทคําสั่งสอน ซึ่งเปนคูแขงกับธรรมชาติที่เสก
สรรปนยอดวยความจอมปลอมนั้น คแู ขง นน้ั เรยี กวา ธรรม จึงไดนําธรรมของจริงนี้ เขา
มาเทียบเคียงของปลอม

แยกแยะกันดูทุกสัดทุกสวน ความเสกสรรทฝ่ี ง อยใู นขนั ธน เ้ี ปน คาํ เสย้ี มสอนของ
กเิ ลส มนั เสย้ี มสอนวา เปน ของสวยงาม ทําใหจิตคิดวาเปนของสวยของงามของดีของ
แนน หนามน่ั คงไปดว ย ทีนีน้ ําธรรมเขามาลบลางของปลอมนนั้ วา สวยงามทต่ี รงไหน ดู
หาความสวยงามไมไ ด ทง้ั ภายนอกภายในของรา งน้ี หาความสวยงามไมไ ดแ มแ ตช น้ิ
เดียว มันเต็มไปดวยของปฏิกูลโสโครกหมดทั้งรางนี้ ทัง้ ในตวั ของเราและสตั วอน่ื บุคคล
อื่น ทั้งหญิงทั้งชายเหมือนๆ กันหมด เทียบกันไดทุกสัดทุกสวนไมมีอะไรแปลกตางกัน
นค่ี อื ความจรงิ เราฝก วิปส สนาคือปญญา ฝกเพื่อจะสลัดสิ่งที่เคยยึดถืออันจอมปลอม
เขาสูหลักความจริงคือของไมปลอม นเี่ ปน ข้นั หน่งึ ของจติ ของธรรม

ขั้นตอไปยังแยกแยะเปนเรื่องอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซง่ึ เปน ธรรมของจรงิ เชน
เดียวกันเขาไปอีก เปนทางเดินเพื่อความสลัดปดทิ้งสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย คือกิเลสตัว
พาเสกสรรปน ยอมาเปน เวลานาน ผลของมันทําใหเกิดความกดถวงลวงใจอยูเสมอ ให
มแี ตค วามทกุ ขค วามเดอื ดรอ นเพราะสง่ิ เหลา น้ี เมอ่ื พจิ ารณาตามหลกั ความจรงิ แลว จติ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๐

๒๒๑

ยอมจะคอยปลอยวางไปโดยลําดับ ตามความซมึ ซาบแหง ปญ ญาทเ่ี ขา สหู ลกั ความจรงิ
ของธรรมไปโดยลําดับลําดา

จนกลายเปน วา กายทง้ั กายน้ี ถาพูดถึงกองอสุภะก็คือปาชาผีดิบ ที่เต็มไปดวย
ซากศพตางๆ ซ่ึงรวมอยใู นรา งกายของแตล ะบคุ คลๆ นน่ั แล ไมใชซากหนึ่งซากเดียว มี
หลายซาก หลายศพ หลายประเภท หลายชนิดของสัตวท ่มี าตายกองกนั อยภู ายในรา ง
กายของเรานี้ พจิ ารณาอยเู ชน นซ้ี าํ้ ๆ ซากๆ เชน เดยี วกบั เราถากไม หลายครง้ั หลายหน
ก็ถึงแกน ถึงที่พอเหมาะพอดี พอเอา ย่งิ ชะลางลงไปหลายคร้ังหลายหนกถ็ งึ ทส่ี ะอาด
พนจากสิ่งจอมปลอมเห็นไดชัดเจน จิตยอมปลอยวางเองโดยไมตองสงสัย

นเ่ี ปน ขน้ั หนง่ึ ของการพจิ ารณาทเ่ี รยี กวา ปญ ญา เราแยกจากสมาธคิ อื จติ ทส่ี งบ
นน้ั ใหแ สดงกริ ยิ าออกมาทางความแยบคาย เรยี กวา วปิ ส สนาปญ ญา แปลวา ความ
เหน็ แจง เหน็ จรงิ ไมใชเ ห็นปลอมเห็นแบบมดื ๆ ดาํ ๆ กาํ ดาํ กาํ ขาวอยา งทอ่ี วชิ ชาพาเหน็
ปญ ญาธรรมพาเหน็ เห็นแจงเห็นชัดและรื้อถอนตนออกจากความยึดมั่นถือมั่นสําคัญ
ผิดตางๆ ไปไดโดยลําดับ นแ่ี หละการดาํ เนนิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พาน ดาํ เนนิ ไปตามสง่ิ
เหลา น้ี โดยถอื สง่ิ เหลา นเ้ี ปน หนิ ลบั ปญ ญาในการดาํ เนนิ วปิ ส สนา

ที่จิตไมสามารถกาวไปไดตามความมุงหมาย กเ็ พราะจติ ตดิ สง่ิ เหลา น้ี ทา นจงึ
สอนใหพ จิ ารณาบกุ เบกิ สง่ิ เหลา น้ี ซง่ึ เปน เสมอื นขวากหนามแทงจติ ใจอยทู กุ เวลาํ่ เวลา
รักก็ทําใหเกิดทุกข ชังก็ทําใหเกิดทุกข เกลียดโกรธทําใหเกิดทุกขทั้งนั้น เพราะกเิ ลส
เปนสาเหตุจะไมเกิดทุกขอยางไร ไมใ ชเ ปน สาเหตมุ าจากธรรม สาเหตทุ ม่ี าจากธรรมนน้ั
แมจะมีทุกขบางเพราะการตอสูกับขาศึก แตจติ ก็คาํ นงึ เพื่อชยั ชนะหรือเพื่อความรแู จง
เหน็ จรงิ ความทุกขนั้นก็ไมถือเปนอารมณกับผูปฏิบัติ

เพราะฉะนน้ั ผปู ฏบิ ัตธิ รรมแมท กุ ขแทบเปนแทบตาย ก็ไมถือเปนอารมณยิ่งกวา
เพือ่ ความรแู จง เหน็ จรงิ ในสงิ่ ทต่ี นตอ งการที่ตนมงุ หมายไว พระพุทธเจาของเรา ทานมี
ความมุงหวังอยางแรงกลา เพราะฉะนน้ั แมจ ะสลบถงึ สามครง้ั สามหน แตยังไมถูกทาง
เพอ่ื ความตรสั รกู ต็ าม พระองคก็ไมทรงทอถอย เพราะอาํ นาจแหง ความมงุ มน่ั ตอ ธรรม
ของจริง มีกําลังมากกวาที่จะทอถอยเพียงความสลบเทานั้น

การพจิ ารณารา งกายเปน สง่ิ สาํ คญั มาก เฉพาะอยางยิ่งเกี่ยวกบั ราคะตัณหาข้ึนอยู
กบั รา งกายน้ี จติ สงบกส็ งบจากความคดิ ในเรอ่ื งราคะตณั หา เกย่ี วกบั รปู เสยี ง กลิ่น รส
ในชาดกทานกลาวไวซึ่งเปนสิ่งที่สะดุดใจมากวา “ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตไมเ คย
เหน็ รปู ใด ท่เี ปนขาศกึ เปน เครอ่ื งเสยี ดแทงจติ ใจอยา งเจบ็ ปวดแสบรอ น ยิ่งกวารูปของ
เพศตรงขา ม เสียงใดก็ตามไมสามารถที่จะเสียดแทงเขาถึงขั้วหัวใจ ถึงกับจิตใจจะพัง
ทลายลงไดเหมือนเสียงของเพศตรงขาม กลิ่นใดก็ตามไมสามารถทะลวงเขาถึงขั้วหัวใจ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๑

๒๒๒

ยิ่งกวากลิ่นของเพศตรงขาม รสใดกต็ ามไมส ามารถทาํ ลายหวั ใจใหก ระทบกระเทอื น
หวน่ั ไหวและเปน บา แบบสดๆ รอ นๆ พรอมทั้งการรับความทุกขทรมานไดมากยิ่งกวา
รสของเพศตรงขาม การสัมผัสใดก็ไมสามารถทําใจใหละเมอเพอฝน จนตัวไมเปนตัว
ของตัวยิ่งกวาการสัมผัสเพศตรงขาม ใหเธอทั้งหลายจําไวอยางถึงใจ อยาประมาท”

“วธิ ีทจี่ ะแกร ปู เสยี ง กลน่ิ รส สัมผัส อนั เปนบอเกดิ แหงราคะตัณหาน้นั ตองใช
วิธีการอันถูกตองเหมาะสมกัน คือการพจิ ารณา อสภุ กรรมฐาน เปน ภาคพน้ื ใหเกิดมี
ความชาํ นชิ าํ นาญ นอ มกายวสิ ภาคเขา มาสกู ายของเรา หนงั ของวสิ ภาคเขา มาเทยี บกบั
หนังของเรา เสยี งของวสิ ภาคเขา มาเทยี บกบั เสยี งของเรา กลน่ิ ของวสิ ภาคเขา มาเทยี บ
กับกลิน่ ของเรา ความสมั ผสั ของวสิ ภาคเขา มาเทยี บความสมั ผสั ตวั เราเอง สง่ิ เหลา นม้ี นั
กเ็ ปน เนอ้ื เปน หนงั เปน อวยั วะอนั เดยี วกนั ไมเห็นมีผิดแปลกกันอะไรเลย ถาพูดถึงเรื่อง
ความเปนปฏิกูล คนท้งั หญิงทัง้ ชายเปน เทวดามาจากไหน รางกายจึงจะไมมีความปฏิกูล
โสโครก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทั้งหญิงทั้งชายก็คือคนทรงธาตุทรงขันธ ทรงอสภุ ะอสุภัง มหี นงั
มีเนื้อ มีกระดูก มีตับไตไสพุง มีของอสุภะอสุภังเต็มตัวเชนเดียวกันนั่นแล จะไปหลงหา
สาระอะไร ถา ไมใ ชเ ราเปน บรุ ษุ ตาฟาง เพราะฉะนน้ั เธอทง้ั หลายจงพจิ ารณาในสง่ิ เหลา น้ี
ใหม าก ยาแกพ ิษภยั อันสําคัญ คือ อสุภะ เปน ยาอนั ประเสรฐิ ”

นี่คือพุทธพจนที่ทรงแสดงไวแกภิกษุทั้งหลาย เพอ่ื ความเหน็ ภยั ในสง่ิ ทเ่ี ปน
วสิ ภาคกนั เพื่อจิตไดพิจารณาตามหลักอสุภธรรมไมขาดวรรคขาดตอน ใจจะไดส งบ ใจ
หายกงั วลหมน หมอง เพราะทกุ สว นแหง รา งกายนน้ั ๆ เปน ลกั ษณะเหมอื นๆ กัน

“กายทั้งกาย ทั้งหนัง ทง้ั เนอ้ื ทั้งเอ็น ทั้งกระดูก ทุกสัดทุกสวนแหงอวัยวะทั้งของ
หญิงและของชาย กับทุกสัดทุกสวนแหงอวัยวะของเรานั้น ไมมีอะไรผิดแปลกกันเลย
นอกจากถูกหลอกลวงจากกิเลสเทานั้น วา นน้ั วเิ ศษนว้ี โิ ส จนผหู ญงิ ผูชายธรรมดาๆ
กลายเปน เทวดาขน้ึ มา ตนเปน เสมอื นบอ ยหรอื สนุ ขั ตวั หนง่ึ ที่คอยกัดคอยแทะแบบ
ลมๆ แลง ๆ อยภู ายในใจ ไมม วี ันเวลาสรา งซาลงได นบั วา โงเ กนิ ไป ไมส มกบั ความเปน
ภิกษุ ใหเธอทง้ั หลายจงจาํ ไวใหถ งึ ใจ”

นั่นฟงดูซิ นแ่ี หละการพจิ ารณา จงทําตามทที่ า นสอนไวนั้น คาํ วา โงเ กนิ ไปจะ
ถกู ลบลงดวยวิปสสนาปญญาไมส งสยั ถา ลงไดพ จิ ารณาใหช ดั เจน เทยี บทุกสดั ทกุ สว น
ทง้ั ภายนอกภายในใหเ หน็ ชดั เจนแลว จะมีอะไรแตกตางกัน จะหลงอะไรกนั ดวยเหตุนี้
จึงตองใชการพิจารณาใหมาก โรคหนกั ตอ งวางยาใหห นกั เพอ่ื ทนั กบั โรคสนุ ขั บา ตาฝา
ฟางท่ีมองเหน็ ใบไมแ หง กลายเปนผัก

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๒

๒๒๓

นอกจากนั้นทานยังสอนใหไปเยี่ยมปาชา การไปเยย่ี ม ปาชาแตกอนเปนปาชาผี
ดบิ ตายเกาตายใหมเอาไปทิ้งเกลื่อนไปหมด การไปพจิ ารณาปา ชา นน้ั ทา นสอนใหไ ป
ทางเหนอื ลม และสอนใหไปทางตายเกาเสยี กอ น เพราะกาํ ลงั สตปิ ญ ญายงั ไมเ พยี งพอ
ใหไปดูผูที่ตายเกาเสียกอน อวยั วะเกลอ่ื นกลาดเรย่ี ราด กระดูกกระจัดกระจายเปนอะไร
ไปแลว แลว ขยบั เขา ไปเปน ลาํ ดบั จนถงึ ผตู ายใหม ทง้ั นเ้ี พราะอาจจะเกดิ ความกาํ หนดั
ยินดีขึ้นมาได

เมอ่ื ไดพ จิ ารณาเปน ลาํ ดบั ลาํ ดาเขา ไปแลว เชน นน้ั ยอมจะมีกําลังทางสติปญญา
พอพิจารณากันไปได ศพนั้นๆ แมตายใหมก็ไมผิดอะไรกับรางกายของเราที่ยังไมตายนี้
ถา กลน่ิ เหมน็ คลงุ มนั กเ็ ปน เชน เดยี วกนั นแ้ี ล เพราะเปน ปา ชา ผดี บิ ผตี ายเชน เดยี วกนั
เมื่อพิจารณาเทียบเคียงไดทุกสัดทุกสวนของซากศพในปาชา กบั รา งกายเราทย่ี งั ไมต าย
วา เปน ลกั ษณะเดยี วกนั จนหายสงสยั แลว จะไมไปเยี่ยมปาชาอีกก็ได

เยย่ี มปา ชา ภายในรา งกายของเรานก้ี เ็ ปน ทเ่ี ขา ใจ เพราะการไปเยย่ี มปา ชา นอก ก็
เพอ่ื จะหาหลกั ยดึ เทยี บเขา มาสหู ลกั ภายในคอื ตวั เราเอง เมอ่ื ไดห ลกั ภายในเปน เครอ่ื ง
ยดึ แลว ก็มหี ลักมเี กณฑในการพิจารณาตนและหายกังวลในการไปเย่ียมปา ชา นอก นี่
เปน ปญญาขัน้ หนึง่

ปญ ญาขน้ั นีต้ อ งใชค วามพยายามใหมากกอ นจะมคี วามชาํ นาญ เมื่อชํานาญแลว
ปญญาขั้นนี้ยอมผาดโผนมาก ตามทเ่ี คยพจิ ารณามาแลว เปน อยา งนน้ั พจิ ารณาจนหมนุ
ตว้ิ ๆ ทันกบั เหตุการณท ีม่ ีอยูรอบตัว เมื่อปญญามีความชํานาญจวนถึงขั้นที่จะสลัดปด
ทิ้งรางกายนี้ ย่งิ หมุนตวั เปน เกลียวตลอดอริ ยิ าบถไมม ีวางงาน

มองดูตัวทั้งตัวนี้กลายเปนเนื้อก็เปนไปหมดทั้งตัว มองดูหนังไมเห็น ทะลุเขาไป
ถึงเนื้อ ถึงเอ็น ถึงกระดูก จนกระทั่งกลายเปนรางกระดูกไปหมดในคนทั้งคน เราทง้ั คน
เปนกอนเนื้อไปหมดทั้งตัว มองดูหญิงดูชายเปนสภาพเดียวกันไปหมด เพราะความ
ชาํ นาญในการพจิ ารณาวปิ ส สนาขน้ั รปู กาย รา งกายหาความสวยความงามไมไ ด มองดู
เปน รางกระดกู หน่งึ มองดูเปนคนที่หนังถูกถลกออกเหลือแตเนื้อแดงฉานไปหมดทั้ง
ตวั หนงึ่ ใจจะมคี วามกําหนัดยนิ ดีท่ตี รงไหน คนเราทจ่ี ะกาํ หนดั ยนิ ดกี นั กเ็ พราะหนงั น้ี
เทา นน้ั เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ สอนกรรมฐานเพียง ตโจ แลว หยดุ เพราะหนงั มนั ครอบไป
หมดแลว ในรา งกายคนรา งกายสตั ว

นค่ี อื ความชาํ นาญของการพจิ ารณา ถดั จากนน้ั ไปเพยี งกาํ หนดแยบ็ เดยี วเทา นน้ั
ไมถงึ สามวินาทีจะทะลุไปหมดตัง้ สองรอบสามรอบในรางกายรา งเดียวนน้ั กลายเปน
กระดูกเปนทอนกระดูกไปหมด เพยี งเสน เอน็ ตดิ ตอ รดั รงึ กนั ไวเ ทา นน้ั เชน เดยี วกบั ซาก
ผที เ่ี อามาไวต ามวดั ตามวา อวยั วะสว นอน่ื ๆ ไมมี เหลือแตกระดูกที่มัดติดกันไวเทานั้น

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๓

๒๒๔

เมื่อเปนเชนนั้นจะรักอะไรกําหนัดอะไร มีแตกระดูกเทานั้น นน่ั แหละคอื ความ
จริงของธรรมเปนขั้นๆ และตัดความจอมปลอมออกเสียได ที่วาผมก็งาม หนงั กง็ าม
เนื้อก็งาม เอ็นก็งาม งามไปหมด กระดูกก็งาม แมท ส่ี ดุ อาหารเกา อาหารใหมท เ่ี ปน มตู ร
เปนคูถก็งามไปดวย เพราะถูกกิเลสมันตมมันตุน มนั เสกสรรปนยอใหกนิ ของสกปรก
มาเปน เวลานาน เพราะความโงเ ขลาของตน ใหก เิ ลสปรงุ อาหารเปน พษิ ทง้ั นน้ั ใหก นิ
และกินไมมีวันอิ่มพอ กนิ เทา ไรยง่ิ หวิ โหย กินเทาไรยิ่งติดยิ่งจมลงลึก คิดใหละเอียด
แลว ไมส ลดสงั เวชบา งหรอื

เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ จงพจิ ารณาใหเ หน็ ตามความจรงิ น้ี เมอ่ื พจิ ารณารเู ตม็ ทแ่ี ลว
ไมตองบอกเรื่องความสลัดปดทิ้งรูปขันธ วา ไมใ ชเ ราไมใ ชข องเรา ความปฏิกลู โสโครกน้ี
ก็หายไป เพราะผา นไปแลว หายสงสยั แลว เหลือแตเพียงรางกระดูก สงสัยอะไรกัน นน่ั
เปนกอง อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ เทา นน้ั นี่ปญญาขั้นนี้ตองผาดโผน
เตม็ ทเ่ี พราะแกก เิ ลสสว นหยาบ ตอ สกู บั กเิ ลสสว นหยาบ ปญญาตองเปนปญญาที่ผาด
โผน ไมงั้นไมทันกัน ไมเรียกวามชั ฌิมา คือเหมาะสมกัน

พอหมดขนั้ นีแ้ ลวสติปญ ญากก็ าวเขา นามธรรมทั้งสี่ พจิ ารณานามธรรมทง้ั ส่ี
เวทนา ความสขุ ความทุกข ความเฉยๆ ภายในรา งกายและจติ ใจ สว นเวทนาภายในจติ
ทั้งสามน้ันแยกไวกอ น พจิ ารณาเวทนาทเ่ี กย่ี วขอ งกบั กายเวลาเกดิ ความทกุ ขเวทนาขน้ึ
มา จะเกดิ ขน้ึ ดว ยการเจบ็ ไขไ ดป ว ยเจบ็ หวั ตวั รอ นกต็ าม ใหพิจารณาแยกแยะดู
ทุกขเวทนา เฉพาะอยา งยง่ิ ทกุ ขเวทนานน้ั แหละ เปนผูออกหนาออกตาในขณะที่เจ็บไข
ไดปวย สุขหาทางแทรกเกิดขึ้นไมได

จึงตองพิจารณาแยกดูทุกขใหเห็นทุกขเปนอยางไร ทกุ ขใ หโ ทษใหร า ยแกผ ใู ดเรา
จึงเหมาเขาวา เปน ทุกข เหมาเขาวา เปน ภยั ตอ เรา เหมาเขาวา เปน ขา ศกึ ตอ เรา พจิ ารณา
ใหเ ปน อรรถเปน ธรรมตามความเปน จรงิ อยา ลาํ เอียงเพื่อเขา ขา งตัว จะเปน การกอบ
โกยกเิ ลสเขา มาเผาตนยง่ิ กวา การไมพ จิ ารณาเสยี อกี เพราะผดิ ทาง

เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณาทกุ ขเวทนาจงึ พจิ ารณาใหเ ปน ธรรม วา ทกุ ขเวทนาน้ี
เหรอทว่ี า เปน ภยั แกเ รา ดูใหชัดเจนถึงสภาพของทุกขที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้นวา เปน ภยั
แกผูใด สติปญญาจดจอลงในจุดที่เกิดทุกขมากกวาเพื่อน คล่ีคลายดดู วยปญ ญา เมื่อ
ชดั เจนแลว ทุกขก็สักแตวาปรากฏตัวอยูตามหลักธรรมชาติของตนเทานั้น แมตัวทุกข
เองก็ไมทราบความหมายของตนวาเปนทุกข และไมมีความหมายวาไดใหความทุกขแก
ผหู นง่ึ ผใู ดเลย

พจิ ารณาดรู า งกายกส็ กั แตว า กาย ที่มีอยูแลวตั้งแตทุกขเหลานี้ยังไมเกิดขึ้น แม
ทกุ ขเ หลา นด้ี บั ลงไปแลว กายก็ยังเปนกายอยูตามสภาพของตน ตางอนั ตางจรงิ อยูโดย

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๔

๒๒๕

หลักธรรมชาตขิ องตนเชน นี้ ไปเหมาเอาวา เขามาเปน ทกุ ขม าเปน ภยั แกเ ราไดอ ยา งไร

ถา ไมใ ชใ จเปน ตวั ไปหมายเขาตา งหาก แลว ยอ นเขา มาดใู จ เทยี บเคยี งกายนน้ั เปน เรา

เหรอ กายนน้ั มาเปน ใจหรอื ใจไปเปน กาย หรอื ทกุ ขเวทนานน้ั มาเปน ใจ หรอื ใจนไ้ี ปเปน

ทุกขเวทนา

แยกแยะทุกสัดทุกสวน ยิ่งทุกขมีความรุนแรงมากเพียงไร สติปญญาขั้นนี้ยิ่ง

หมุนติ้ว เรว็ ยง่ิ กวา นาํ้ ไหลไฟสวา ง ไมอยางนั้นไมทันกัน แยกแยะทุกสัดทุกสวน เวทนา

ก็กลายเปน ความจรงิ ข้นึ มาอยา งประจกั ษใจหายสงสยั วา มจี ติ เทา นน้ั ไปสาํ คญั

ทุกขเวทนาวาเปนขาศึกตอตนเอง และวาเปนตนเปน ของตน ตลอดถึงเรื่องรางกายเขาก็

เปน สภาพแหง ความจรงิ ของเขาอยเู ชน นน้ั แตใจเสียเองเปนผูไปยึดไปถือ วา กายของ

เราเปน ทกุ ข ทุกขก็มาเปนกาย ทั้งทุกขทางกายทั้งทุกขทางใจก็กลายเปนเราและเปน

ทุกขขึ้นมาอีก เพราะความสาํ คญั ผดิ

เมื่อแยกแยะทั้งสามสภาพคือ ดูกาย ดเู วทนา ดูจิต เทียบเคียงกันไดทุกสัดทุก

สว นวา ไมใ ชอ นั เดยี วกนั ความสาํ คญั มน่ั หมายของจติ ทไ่ี ปหมายเขาวา เปน เราเปน ของ

เรา กถ็ อนตวั เขามาสจู ติ เมอ่ื ความสาํ คญั ถอนตวั เขา มาสจู ติ แลว จิตก็เปนปกติ เปน

ความจริงของจิต เวทนากเ็ ปน ความจรงิ ของเวทนา กายก็เปนความจรงิ ของกายแตล ะ

อยางๆ แลวก็ไมกระทบกัน หนง่ึ ทกุ ขเวทนาทก่ี ําเรบิ มากๆ นน้ั ดบั ไปอยา งรวดเรว็ สอง

ทุกขเวทนาแมไมดับ แตก ็เปน ความจริงของตนอยเู ปน สดั เปนสวน ไมเ ขา มากระทบกนั

กับจติ ใจนีไ้ ดเ ลย

ใจนั้นแมจ ะอยูในทามกลางแหง ความทุกขความลาํ บาก ในขณะที่เปนโรคภัยไข

เจบ็ หรอื ขณะนง่ั นานๆ ก็ไมมีความกระวนกระวาย มีแตความกระหยิ่มยิ้มยองอยูโดย

หลกั ธรรมชาตแิ หงความจริงของใจ นค้ี อื การพจิ ารณาเวทนา นอกจากน้ันยังทราบชัดวา

ทุกขเวทนาก็ดี สุขเวทนาก็ดี อุเบกขาเวทนาก็ดี เปน อาการอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั รวมแลว

ยอมไหลลงสูภาชนะคือ ไตรลักษณ ไดแก อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาทั้งมวล นี่ปญญาขั้น

หนง่ึ

สัญญา ความจาํ ไดห มายรู จนเกดิ เรอ่ื งเกดิ ราวขน้ึ มา สงั ขารปรงุ แยบ็ สัญญา

หมายไปใหเ ปน เรอ่ื งเปน ราวหลอกตนเหมอื นกบั ภาพในหนา กระจก ภาพของเราเองนี้

แหละไปปรากฏอยใู นหนา กระจก เรากไ็ ปตน่ื ภาพในหนา กระจกนน้ั เมอ่ื ทราบชดั เจน

แลว วา ภาพทป่ี รากฏในหนา กระจกนน้ั มนั เปน ภาพไปจากกายของเราฉนั ใด อาการทกุ

อยา งทป่ี รากฏขน้ึ จากสงั ขารจากสญั ญาทห่ี มายเรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งน้ี ก็เปนภาพออกจากใจฉัน

นน้ั ถาใจไมรูเทาทนั ก็ไปหลงภาพนน้ั เม่อื ใจรเู ทา ทันแลวกป็ ลอยวางตามสภาพของเขา

สิ่งเหลานี้ก็เกิดๆ ดบั ๆ ไมยึดมั่นถือมั่นในสัญญา สังขารอนั เปน สง่ิ เกดิ ดบั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๕

๒๒๖

แมว ญิ ญาณทร่ี บั ภาพจากภาพนอก เชน รปู เสยี ง กลิ่น รส เวลาเขา มากระทบตา
หู จมกู ลน้ิ กาย เปนตน กม็ แี ตเพียงแยบ็ เดยี วๆ ทร่ี บั ทราบ ในขณะที่สิ่งนั้นมาสัมผัส
เมอ่ื สง่ิ นน้ั ดบั ไปความรบั ทราบกด็ บั ไป เปน อาการหนง่ึ ๆ ของจิตเทานั้น จะถอื เปน เรา
เปนของเราไดอยางไร ถา ไมใ ชบ า กองรบั เหมานะ

พจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ เปนการฝกซอมดวยความสัมผัสสัมพันธระหวางจิตกับ
สัญญา สงั ขารท่ีคดิ ปรงุ อยูภายใน และระหวา งขา งนอกกับขา งในใหเ ปน ไปโดย
สมาํ่ เสมอ จิตยอ มมีความชาํ นชิ ํานาญ สามารถสลัดตัดทิ้งขันธหานี้ไดทั้งๆ ที่ยังไม
บรสิ ทุ ธ์ิ อุปาทานในรูปขันธก็ปลอยไดอยางชัดเจนเห็นประจักษ จิตพักจากการพิจารณา
รา งกายวา เปน อสภุ ะอสภุ งั ตา งๆ เพราะอิ่มตัวแลว รแู ลว ปลอ ยวางแลว พจิ ารณาเพอ่ื
อะไรอีก การพจิ ารณาเวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ กถ็ อื เอาความเกดิ ดบั เปน สาํ คญั
คอื เกิดขึ้นก็รูไดชัด ดับไปก็รูไดชัด ขาดจากกันก็รูไดชัด

ขันธท ้ังหา น่ีแหละเปนทางเดินของกิเลส อวิชชาสงสมุนออกมาทางนี้แหละ ออก
มาทางตา ทางหู เปนตน คอยจบั จองเอารปู เอาเสยี ง เอากลิ่น เอารส เครื่องสัมผัส
ตางๆ ทั้งดีทั้งชั่วกวานมาหมด กวา นเขา มาเปน ฟน เปน ไฟเผาลนสตั วผ โู งเ ขลาตาฝา ฟาง
พระที่โงๆ ตาฟางๆ ยอมตัวเปนฟนใหมันเผาลนอยูทั้งวันทั้งคืนไมยอมหาทางออก
นอกจากชมเชยไฟวาดีขยันไหมเทานั้น ถา มคี วามฉลาดกพ็ จิ ารณาเพอ่ื หาทางปลด
เปลื้องไปได ตามสติปญญาขั้นดังกลาวนี้

ตา หู จมูก ลน้ิ กายกส็ กั แตว า ตา หู จมกู ลน้ิ กาย รปู เสียง กลน่ิ รส เครอ่ื ง
สมั ผสั กส็ ักแตวาเทานัน้ เพราะไดพ จิ ารณาตดั ขาดมาโดยลาํ ดบั อายตนะภายใน เชน รูป
กายของเรามีทั้งตา ทั้งหู ทั้งจมูก ทั้งลิ้น ทั้งกาย กร็ เู ทาทนั และปลอยวางไดแ ลว เรยี กวา
ตัดขาดจากทางเดินของกิเลส มีอวิชชาเปนตัวการสงสมุนออกมาตามทางสายนี้ และตดั
สะพานน้ีขาดเขา ไปโดยลําดับ กิเลสออกมาทางเวทนาก็ตัดขาดดวยปญญา ออกมาทาง
สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ก็ตัดขาดไปโดยลําดับ เมื่ออวิชชาไมมีสมุน ถูกตัดสะพานขาด
ไปหมด คือฆาทั้งสมุนของมันดวย ความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ ฆา ไปดว ย อาการตางๆ
ทั้งหานี้ก็ตัดขาดไปดวย กเิ ลสกร็ วมตัวเขา ไปสูจ ิตดวงเดียวเพราะไมม ีทหี่ ลบซอน

นแ่ี หละวธิ กี ารดาํ เนนิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พานดงั ครง้ั พทุ ธกาลทา นดาํ เนนิ ทาน
ดาํ เนนิ อยา งน้ี ทา นพจิ ารณาอยา งน้ี กิเลสมนั มอี ยูท ไ่ี หน สติปญญาจะเปนเหมือนกับไฟ
กิเลสเปน เหมอื นกับเชื้อไฟ กิเลสอยูที่ตรงไหนปญญาจะหมุนติ้วเขาไปตรงที่เชื้อมีอยู
นน้ั เชอ้ื มอี ยทู างกายเรากพ็ จิ ารณาทางกาย จนกระทงั่ ไหมไ ปหมดดวยความรเู ทา ทัน
อยูทางเวทนาก็ไหมไปหมด คอื รเู ทา ทนั หมด สัญญา สังขาร วิญญาณก็ไหมไปหมด
ปลอยวางไปหมด กเิ ลสเขา ไปสใู จ กาํ หนดเขา ไปทใ่ี จ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๖

๒๒๗

ปญ ญาขน้ั พจิ ารณาอวชิ ชาน้ี เปนปญญาขั้นอัตโนมัติโดยแท เพราะเรม่ิ เปน
อัตโนมัติมาแตความชาํ นาญขน้ั รปู ขนั ธอ ยูแลว ตามครั้งพุทธกาลทานวา มหาสติมหา
ปญญา ซึ่งเริ่มเปนมหาสติ มหาปญ ญามาโดยลาํ ดบั จากการพจิ ารณาขนั ธห า อยแู ลว
เม่ือถงึ ข้ันกิเลสรวมตวั มาเปนจิตอวิชชาแลว จึงเปน มหาสติ มหาปญญา อยางเต็มเม็ด
เตม็ หนว ย หมุนตัวเปนเกลียวทั้งวันทั้งคืนอยางละเอียดลออ เหมอื นนาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ

ไมมีอะไรเปน ทีพ่ จิ ารณาเพราะรปู กผ็ านไปแลว ไมยอมพิจารณา รแู ลว ปลอ ย
แลว ละวางแลว เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ทเ่ี ปน สว นเกย่ี วกบั เรอ่ื งรา งกายนก้ี ด็ บั
ไปหมด ขาดไปหมดแลว มแี ตค วามยบิ แยบ็ ๆ กระเพื่อมอยูภายในจิต ความกระเพอ่ื ม
แตละขณะๆ ที่แสดงออกมาจากจิต กท็ ราบวา เปน การเคลอ่ื นไหวเปลย่ี นแปลงของโลก
สมมุติ ของโลก อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ภายในจติ รูไดอยางชัดเจน ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในความ
กระเพอื่ มวา ดวี าชั่ววา เกิดวา ดบั นไ้ี ดอยางไร

ฐานของอวิชชาจริงๆ คืออะไร นแ่ี หละตวั สาํ คญั เราก็ไมอยากจะพูดตรงนี้
เพราะเหตไุ ร เพราะเปนธรรมที่ละเอียดมาก กเิ ลสประเภทนล้ี ะเอยี ดมาก มกั จะสวม
รอยใหผูปฏิบัติหลงกลลืมตัว แตก็ทนไมไดที่ตองพูด เมื่อเขาถึงขั้นนั้นแลว นน่ั แหละ
ขน้ั ทส่ี าํ คญั วา ตวั วเิ ศษ วา ตวั ประเสรฐิ เลศิ โลกทง้ั ๆ ท่กี ําลังเปนอวชิ ชาเต็มตวั ไปยกตัว
อวชิ ชานน้ั แหละวา ประเสรฐิ วา เลศิ มหาสติ มหาปญญาที่เคยฝกมาอยางเกรียงไกร ก็
กลายเปน องครกั ษไ ปรกั ษาอวิชชาดวงท่วี า เลิศประเสรฐิ ดวงมคี วามสงา ผา เผย มคี วาม
สวา งกระจา งแจง องอาจกลา หาญแพรวพราว ไมมีอะไรเสมอเหมือนไปเสียโดยไมรูสึก
ตวั จึงมีทั้งรักทั้งชอบใจ ทั้งออยอิ่งทั้งสงวนอยูในนั้นหมด

นน่ั เหน็ ไหม กิเลสละเอียดขนาดไหน ตั้งแตขั้นกายก็ละเอียดพอตัวของมัน ซึ่ง
แทบลม แทบตายท่ผี ูป ฏบิ ัติจะผา นไปได กเิ ลสทแ่ี ทรกอยกู บั เวทนา สัญญา สงั ขาร
วญิ ญาณ ก็เต็มตัวแหงความละเอียดของมัน ยิ่งเขาไปถึงองคกษัตริยวัฏจักร ที่พาจิตให
หมนุ เวยี นเปลย่ี นแปลงในการเกดิ การตาย คือตัวอวิชชานี้แทๆ จะไมล ะเอยี ดครอบ
โลกธาตุไดอยางไร แมข ้ันมหาสติ มหาปญญา ยังลืมตัวหลงกลไปเปนองครักษรักษาจิต
ดวงนีจ้ นได

คําวารักษาจิตดวงนี้คืออะไร คือมีความรัก ความสงวน ความออยอิ่ง ความตดิ
ความพนั อยภู ายในนน้ั ไมยอมใหอะไรมาแตะตองได เพราะรกั มากสงวนมาก แตค ําวา
สมมุติ อวิชชาก็คือสมมุติ มหาสติมหาปญญาซึง่ เปน สง่ิ ทคี่ วรแกกัน และหมุนตัวอยู
ตลอดเวลา ทาํ ไมจะไมท ราบความเคลอ่ื นไหว ความเปลย่ี นแปลง ความผิดปกติของจิต
ประเภททว่ี า อัศจรรยแ ละเปนจอมกษัตรยิ น ัน้ ไดใ นขณะใดขณะหน่ึงเลา เพราะจดจอ
เพราะพจิ ารณา ทั้งๆ ทก่ี าํ ลงั รกั สงวนและกาํ ลงั รกั ษาอยนู น้ั แหละ หากมีการพินิจ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๗

๒๒๘

พจิ ารณา มีการสังเกตสอดรูกันอยูทุกระยะๆ ตามนิสัยของสติปญญาขั้นไมนอนใจ ไม
นานกท็ ราบกลมายาของอวิชชาจนได นแ่ี หละตรงน้ี ตรงทจ่ี ะทาํ ลาย

คาํ วา อวชิ ชาหรอื คาํ วา ใสสะอาดนน้ั นะ ใสจรงิ สะอาดจริง ผองใสจริง คําวาผอง
ใสกบั ความเศรา หมองซง่ึ เปน สว นละเอยี ดนน้ั ตองเปนของคูกัน ผองใสขนาดไหนจะ
ตอ งเหน็ ความเศรา หมองแทรกขึน้ มาในขณะใดขณะหนึง่ จนได องอาจหรืออับเฉาก็เปน
ของคูกัน แสดงขึ้นมาแมนิดหนึ่งสติปญญาขั้นนี้ก็จับได

ธรรมชาติสมมุตินี้ละเอียดขนาดไหน สิ่งที่เปนคูเคียงกันก็ตองละเอียดใหเห็นได
อยางชัดเจนวานี่คืออะไร มคี วามสวา งกระจา งแจง ขนาดนแ้ี ลว ทําไมจึงตองมีลักษณะไม
ไวว างใจ ใหตองระมัดระวังกัน ธรรมของจริงแททําไมจะตองระวังกัน ความระวงั นเ้ี ปน
ทแ่ี นใ จแลว หรอื ธรรมชาตินี้คืออะไร ทกุ สง่ิ ทุกอยางทเี่ คยพจิ ารณาผา นไปแลว ก็วา
เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาทั้งมวล แตนี้เปนอะไรที่ปรากฏเดนๆ อยูน้ี นน้ั แลเปน จดุ หรอื
เปา หมายแหง การพจิ ารณาละ ทนี ส้ี ตปิ ญ ญาเรม่ิ พจิ ารณาอยา งเอาจรงิ เอาจงั

ลงสติปญญาขั้นนี้ไดทุมตัวเขาไปแลว อยางไรก็ไมมีอะไรที่จะตานทานไวได ตอง
พังทลาย มหาสติมหาปญญาจอเขา ไปตรงนน้ั พจิ ารณาจดุ นน้ั เหมอื นกบั การพจิ ารณา
สภาวธรรมทง้ั หลาย เมื่อสติปญญาขั้นอัตโนมัติไดจอเขาไปจุดนั้น อวิชชาทนไมไดตอง
พังทลาย อวชิ ชาตาย ตายตรงนั้น นั้นแหละบอเกิดของสัตว เชื้ออันนี้เอง บอเกิดของ
สัตว สถานทต่ี าย-เกิด พาใหสตั วเกดิ สัตวต ายไมใชทไี่ หน ธรรมชาตนิ เ้ี องทาํ ใหส ตั วเ กดิ
สัตวต าย เราเปน ผแู บกหามอนั นอ้ี ยปู ระจกั ษใ จ สงสยั อะไรวา โลกน้ี ตายแลว สญู มนั สญู
ทไ่ี หน นอกจากคนตาบอดมองไมเห็นอะไรเทานั้นจึงจะกลาพูด แตก ็พน การโดนเอาๆ
ในสิ่งที่ตนไมเห็นไปไมได ที่ปฏิเสธไมไดก็คือคนตาบอดนั่นแล โดนอะไรเกงกวาใครๆ

น่พี ูดตามที่พิจารณาทางภาคปฏบิ ัติ เมื่อธรรมชาตนิ ้ีหายไปหมดไมม ีสงิ่ ใดเหลอื
แลว อันใดทีร่ วู า อวิชชาดบั ไปแลว ภพชาตทิ ีเ่ ปนเช้ือใหเกิดเปนตางๆ ดบั ไปแลว จากใจ
สว นใจนน้ั ดบั ไปดว ยไหมทน่ี ่ี ถาใจดับไปดวย อะไรทร่ี วู า บรสิ ทุ ธ์ิ รวู า วเิ ศษ รวู า อศั จรรย
เหมือนโลกธาตุกระเทือนไปดวย ผรู วู สิ ามญั นส้ี ญู ไปไหนทน่ี ่ี พระพุทธเจาทรงสั่งสอน
โลก ทา นนาํ พระจติ บรสิ ทุ ธ์ิ นาํ ธรรมบรสิ ทุ ธน์ิ ม้ี าสง่ั สอน ไมไดนําสิ่งที่สูญ สิ่งไมมีมา
สอนโลก

นแ่ี หละการเรยี นภพชาติ ความเกิด แก เจบ็ ตายของสัตวโลก อยา ไปเรยี นท่ี
ไหน ใหเ รยี นเรอ่ื งของเรานก้ี อ น เมอ่ื เรยี นเรอ่ื งของเราใหเ ตม็ ภมู ิ เตม็ อรรถเตม็ ธรรม
แลว จะรูอยางนี้ดวยกันทั้งนั้น ปฏิเสธไมไดเพราะนี้เปนของจริง ลบลา งไมส ญู ลบลา ง
ไมได นี่คือหลักใหญ เหตุใหญทท่ี าํ ใหเ กดิ พอเรยี นถึงธรรมชาติท่ที าํ ใหเ กิดพังทลายลง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๘

๒๒๙

ไปแลว ทําไมจะไมสามารถอุทานขึ้นมาไดวา หมดแลว เรอ่ื งราวทง้ั หลาย ที่เกิดตายๆ
จับจองปาชาอยูไมหยุดไมถอยเพราะตัวนี้เอง ตวั นไ้ี ดส น้ิ ซากไปแลว บดั น้ี หมดเรื่อง

เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ มีอะไรอีกที่นี่ นั่นไมใชตัวอนจิ จฺ ํ นั่นไมใชตัวทุกฺขํ
นั่นไมใชตัวอนตฺตา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาเปนเรื่องของสมมุติทั้งมวล นบั แตอวชิ ชา
กระจายออกไปทั่วโลกธาตุ เปนไตรลักษณ เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาทั้งสิ้น เพราะเปน
สมมุติดวยกัน ธรรมชาตทิ ่รี วู าสิ่งทัง้ หลายทั้งปวงเปนอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า นั่นไมใชไตร
ลกั ษณ ไมใชอนจิ จฺ ํ ไมใชทุกฺขํ ไมใชอ นตตฺ า ไมขัดแยงตนเองดวยและไมขัดแยงสิ่งอื่น
ใดดวย พอตัว หมดเรื่อง

พระพทุ ธเจา ทา นปฏบิ ตั ทิ า น พระสาวกทา นปฏบิ ตั ทิ า นจนเปน คลงั แหง มรรคผล
นพิ พาน ทา นดาํ เนนิ อยา งไร พวกเรานด้ี าํ เนนิ กนั อยา งไร จึงไดแตช่ือมรรคผลนิพพาน
มาอวดกันตลอดเวลา ทั้งๆ ทก่ี เิ ลสเตม็ หวั ใจ ถา เปน ภาชนะแลว ลน ทั้งแบก ทั้งสะพาย
ทง้ั หาบ ทง้ั หาม มนั ลนเหลือหัวใจออกมา เรายงั ไมท ราบอยหู รอื วา สง่ิ นน้ั มนั ลน หวั ใจ
เรา เรายงั จะหาพอกหาพนู เสาะแสวงหามาใสท ไ่ี หนกนั อกี จะเอากาํ ลงั อะไรมาแบก
กองทุกข เพราะอาํ นาจแหง กเิ ลสตณั หาทข่ี นมาทบั ถมโจมตเี ราจนมองหาตวั ไมเ หน็ เรา
ยังไมตื่นเนื้อตื่นตัวในเวลาปฏิบัติดวยทั้งเพศของพระ ซง่ึ เปนเพศของนักรบน้แี ลว เรา
จะไปตื่นตัวจะไปเห็นโทษตอนไหนที่ไหนกัน หรอื ตอนตายแลว นิมนตพระมา กสุ ลา
ธมมฺ า กสุ ลา ธมมฺ า กสุ ลา หาประโยชนอะไร เมือ่ ตัวเราผูปฏบิ ัติธรรมแทๆ ยังโง
เหมอื นหมาตายตวั หนง่ึ จะมา กสุ ลา ธมมฺ า ใหเกิดความฉลาดมาจากลมปากไดอ ยาง
ไร ถา ไมร บี ทาํ ใจเราใหฉ ลาดเสยี แตบ ดั น้ี ซง่ึ เปน การสวด กสุ ลา ธมมฺ า โดยถูกตอง
ชอบธรรมตามทางศาสดา

กุสลา แปลวา ความฉลาด ฉลาดอะไร ฉลาดแกพ ษิ แกภ ยั ภายในใจใหบ รสิ ทุ ธข์ิ น้ึ
มา นซ้ี ทิ เ่ี รยี กวา ความฉลาด ตายแลว จงึ จะมาสวด กุสลา ธมมฺ า กสุ ลา ธมมฺ า เกาหาท่ี
ไมคันอะไรกัน ไมอายไอขี้เร้อื นบา งหรอื ทมี่ นั เกาถูกทคี่ นั กวา พวกเรานะ เกาตรงที่มัน
คันซิ มนั จงึ จะหายคนั จอลงไปตรงนั้น กิเลสตัวคันที่สุดตัวคันสุดยอด คอื ตัวอวิชชา
ฟาดมันลงไปใหห ายคัน ตายแลวไมตองมา กสุ ลา ธมมฺ า ใหย งุ ไปเปลา ๆ

มา กุสลา ธมมฺ า ดว ยจติ ตภาวนาใหค วามฉลาดรอบใจเถอะ อยทู ไ่ี หนสบาย
หมด ตัดสินตัวไดเอง สง่ิ ใดกต็ ามถา ลงไดเ หน็ ดว ยตาแลว กลาหาญทีจ่ ะพดู ไดย นิ ดว ย
หูชัดๆ แลว ใครมาโกหกไมได พูดไดอยางเต็มปาก รูดวยใจอยา งชดั ๆ ในกิเลสท้ังมวล
และรูธรรมอยางเต็มใจแลวพูดไดอยางเต็มปาก อาจหาญอยา งเตม็ ใจ เตม็ ภมู ทิ ร่ี ทู เ่ี หน็

นแ่ี หละธรรมของพระพทุ ธเจา ไมใชธรรมอับเฉา ไมใชธรรมลี้ลับ ไมใ ชธ รรม
แอบๆ แฝงๆ ดอมๆ มองๆ กลัวๆ ขี้ๆ ขลาดๆ ไมมี เปนธรรมทีอ่ งอาจกลาหาญ ผู

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๙

๒๓๐

ปฏบิ ตั ิพิสจู นไ ดภายในใจของตัวเอง เรยี นกเ็ รยี นมา เราไมไ ดป ระมาทในการเรยี น
เรยี นแตช ือ่ อรรถช่อื ธรรมชอ่ื กเิ ลสตณั หา แตไมเคยไปแตะตองกิเลสอาสวะพอใหมัน
หนังถลอก พอใหม นั ตน่ื นอนบา งเลย นอกจากเปน บอ ยพัดวใี หมนั สนุกหลบั เพลินไป
เทา นน้ั

ตอ งเอามาปฏบิ ตั ซิ ิ ทา นจงึ เรยี กวา ปรยิ ตั ิ ไดแ กก ารศกึ ษาเลา เรยี นแนวทาง นบั
แตเ กสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เปนตนไป แลว นาํ ไปปฏบิ ตั แิ ยกแยะตามวธิ ที า นสอน
น้ี ทา นสอนจนถึงวิธกี ารตามฆา กิเลสไดดวยวธิ กี ารปฏิบตั ิ โคตรแซก เิ ลส ลกู หลานเหลน
ของกิเลสทุกๆ ตวั ลว นเปน เสอื รา ยทง้ั นน้ั เปนพิษเปนภัยทั้งนั้น ฟาดฟนใหมันแตกแม
แตกลูก แตกบาน แตกเมือง บา นแตกสาแหรกขาดออกจากใจใหเ หน็ เปน ไรนกั ปฏบิ ตั ิ

ถานักปฏิบัติทําไมได ใครจะทาํ ไดใ นโลก นักปฏบิ ัตไิ มสามารถทรงมรรคผล
นพิ พานดว ยขอ ปฏบิ ตั อิ นั ดงี ามนแ้ี ลว ใครจะสามารถในโลกน้ี เราแนใ จวา ไมม ใี คร
สามารถ เพราะโลกตา งมภี าระภารงั เตม็ ไปหมด โลกอยดู ว ยความยงุ เหยงิ วนุ วาย เพราะ
ธาตเุ พราะขนั ธ เกย่ี วกบั การบา นการเมอื ง ครอบครวั เหยา เรอื น

เรานม้ี ผี สู นบั สนนุ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง คนใจบญุ เตม็ แผน ดนิ อาหารการกนิ กเ็ หลอื
เฟอ ทวมปากจนมองไมเห็นปากพระ เพราะอาหารปจ จยั ของศรทั ธาญาตโิ ยมปด หมด
เครอ่ื งนุงหมใชส อยมาจากผใู จบุญ พรอมเสมอที่จะสงเสริมคนดีพระดีที่ทําตนและผูอื่น
ใหม คี วามรม เยน็ เปน สขุ จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั ไมมีอะไรบกพรอง มี
เต็มทุกสิ่งทุกอยาง มาทุกทิศทุกทาง ทั้งใกลทั้งไกล มแี ตผ สู นบั สนนุ สง เสรมิ ยนิ ดี แต
เราทาํ ไมจงึ นอนใจ หลบั ครอกๆ อยูทั้งเปนทั้งๆ ที่ยังไมนอน สติสตังไปไหนหมด เอา
มาพิจารณาเอามาขุดคนซิ

พระพุทธเจา ทา นขุดคน ฆากเิ ลสตณั หาดวยสติปญญา หรอื ดว ยความนอนใจ
หรอื ดว ยความขเ้ี กยี จขค้ี รา น นาํ มาพจิ ารณาใหเ หน็ ชดั เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ ลูกศิษยมีครู
ไมเดินตามครจู ะเดินตามใคร ทาํ ใหจ รงิ ใหจ งั จะไดเ หน็ ความอศั จรรยภ ายในใจ

พวกเราชาวพุทธหรือชาวพูดพลามก็ไมรู พูดกันอยูอยางนั้นเรื่องอรรถเรื่อง
ธรรม แตธ รรมไมท ราบวา อยทู ไ่ี หน พดู เร่ืองกเิ ลสกพ็ ดู เสยี จนน้ําลายฟุง แตกิเลสอยูที่
ไหนไมท ราบ เอาแตชื่อมาพูด เอาแตชื่อมาคุยกัน มันจะเกิดประโยชนอะไร เอาตัว
กเิ ลสมาฆา ซมิ นั เกิดประโยชน เอาธรรมมาปฏบิ ตั ิกําจัดกิเลสมันจงึ จะเกดิ ประโยชน เปน
ผลเหน็ อยัมภทันตา พระพทุ ธเจาและสาวกทา นทาํ อยางนัน้ จงเดนิ ตามแบบตามฉบบั
ของทาน อยาใหผิดรองรอยของทาน

งานที่ทําของพระเปนประจํา เปนความจําเปนอยางยิ่งที่จะปลีกแวะไปไหนไมได
เอางานอื่นมาแทนไมไดก็คือ งานถอดถอนกิเลสอาสวะ ดงั ทท่ี า นประทานให หรอื

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๐

๒๓๑

อปุ ช ฌายะมอบใหเ วลาบวช เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เปนตน นี่คืองานของพระ
เอาใหจ รงิ ใหจ งั คลค่ี ลายสบั ยาํ ลงไปใหม นั แหลกแตกกระจายลงไป เหน็ แจง ชดั เจนดว ย
สติปญญา ศรัทธา ความเพยี รของเรา

สถานทท่ี เ่ี หมาะสมทา นกป็ ระทานใหแ ลว ตง้ั แตว นั บวชก็ รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ นสิ ฺ
สาย ปพฺพชฺชา.ตตฺถ เต ยาวชีวํ อสุ สฺ าโห กรณีโย. บรรพชาอปุ สมบทแลว ใหไ ปเทย่ี ว
อยูตามรุกขมูลรมไม ชายปา ชายเขา ในถ้ํา เงื้อมผา อนั เปน สถานทส่ี ะดวกสบาย ไม
พลุกพลานดวยสิ่งรบกวนตางๆ นน่ั เปน ทเ่ี หมาะสมกบั งานเพอ่ื ฆา กเิ ลส เพื่อรื้อถอน
วัฏฏะออกจากใจ ซง่ึ เปน ภยั อยา งใหญห ลวงมานานแลว ภายในหวั ใจเรา เพราะฉะนน้ั
จึงวาไมมีงานใดที่จะหนักหนายิ่งกวางานถอดถอนกิเลสวัฏจักรออกจากหัวใจ จึงตอง
ทุมเทกําลังลงใหเต็มที่ แมช ีวติ กม็ อบบชู าพระรัตนตรัยไปดว ยการปฏิบตั จิ ิตตภาวนา
เพอ่ื ความรแู จง เหน็ จรงิ และหลดุ พน อยา งเดยี ว ขอใหน าํ ไปพนิ จิ พจิ ารณา

มาอยูน ก่ี ็นาน ไมทราบวาองคละกี่ปกี่เดือน ผลเปนอยางไร สอนก็สอนแทบลม
แทบตาย สอนไมมีอัดมีอั้น มเี ทาไรควักออกมาสอนเตม็ สติกําลังความสามารถ ไมเ คย
ปด บังลลี้ ับไวแตน อยเลย และพูดทุกอยางตรงไปตรงมาตามความจริง ทั้งเหตุที่ได
ปฏิบัติมาอยางไร กน็ าํ มาสอนหมเู พอ่ื นเตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ ไมไดโกหก ตลอด
จนถึงผลเปนอยางไร ถารูถาเห็นก็พูดอยางเต็มเม็ดเต็มหนวย จะเชื่อหรือไมเชื่อ ก็สุด
แตกเิ ลสสดุ แตธ รรมทอ่ี ยูใ นหวั ใจของผูฟ งทั้งหลายจะขัดแยงหรือตอสกู นั เอง ทางใด
ชนะทางใดแพ ถา ธรรมชนะ เรากป็ ฏบิ ตั ติ วั ใหเ ปน ธรรมขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั แลว ครอง
ความอศั จรรยภ ายในใจ ถา แพก เิ ลสแลว เรากจ็ ะถกู กเิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยอู ยา งน้ี ตง้ั
กัปตั้งกัลปนับไมถวน ไมม ตี น มปี ลายอยภู ายในหวั ใจนน่ั แหละ เปนทุกขทรมานยิ่งอยู
ตลอดไป

การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร รสู กึ เหนอ่ื ย เอาละพอ

<<สารบญั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๑

๒๓๒

เทศนอ บรมพระและฆราวาส ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๙ กุมภาพันธ พุทธศักราช ๒๕๒๔

โอวาทปาฏโิ มกข

วนั นเ้ี ปน วนั ทเ่ี ราทง้ั หลายระลกึ ถงึ ธรรมดวงประเสรฐิ พระพุทธเจาเปนผู
ประเสรฐิ พระธรรมเปน ธรรมทป่ี ระเสรฐิ พระสงฆสาวกของพระพุทธเจาที่พรอมกันมา
สนั นบิ าตในสาํ นกั ของพระพทุ ธเจา ซง่ึ คลา ยวนั นน้ี น้ั จาํ นวน ๑,๒๕๐ องค ลว นแตเ ปน
องคประเสริฐทั้งสิ้น หาที่ตองติไมได ใจของเราไดท มุ เทลงไปในธรรมชาตทิ ป่ี ระเสรฐิ วนั
น้ี นบั วา เปน สริ มิ งคลแกจ ติ ใจของเราอยา งยง่ิ เพราะชมุ ชน่ื ดว ยพระธรรมดวงเลศิ คือ
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ

การทาํ ประทกั ษณิ สามรอบนน้ั คือการทําความเคารพตอพระพุทธเจา พระธรรม
พระสงฆ มอี งคพ ระประธานเปนสักขีพยานวา คือองคแทนศาสดา ในครง้ั พุทธกาลทา น
ถือการเดินทําประทักษิณ คอื เดนิ เวยี นขวาสามรอบเปน การเคารพ ถือการยืนเปนการ
เคารพ เพราะฉะนน้ั เวลาพระยนื อยู แตพวกญาติโยมนั่งอยู จึงหามแสดงธรรม ถายืน
ตองยืนดวยกัน นั่งตองนั่งดวยกัน เพราะฉะนน้ั การทาํ ประทกั ษณิ สามรอบซง่ึ บางทา น
อาจจะไมเขาใจ นน่ั คอื แสดงกริ ยิ าความเคารพดว ยการทาํ ประทกั ษณิ นค่ี อื ความเคารพ
เปน อาการแหง ความเคารพอาการหนง่ึ ซง่ึ แสดงในวนั เชน น้ี เพือ่ ทานทั้งหลายไดทราบ
เอาไว

พระทเ่ี ราท้งั หลายระลกึ ถงึ ทา นน้ี เปน พระทป่ี ระเสรฐิ ประเสรฐิ กวา ทกุ สงิ่ ทกุ
อยา งในสามโลกธาตนุ ้ี ไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน ผทู ก่ี า วเขา ถงึ ธรรมอนั ประเสรฐิ จงึ เรยี ก
วา เปน ผปู ระเสรฐิ จติ ใจเขา ถงึ ธรรมอนั ประเสรฐิ ไดโ ดยสมบรู ณ ธรรมอนั ประเสรฐิ นน้ั
ยอมปรากฏที่ดวงใจ ใจกบั ธรรมเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เพราะฉะนน้ั เวลาทาน
ปรินพิ พานแลว จึงไมอาจจะพูดไดวาจิตของทานบริสุทธิ์หรือพูดไดวาจิต เพราะผา น
จากสมมุติไปแลว

สมมุติคือธาตุขันธ ไดแกสกลกาย เมื่อมีสกลกายอันเปนสมมุติที่อาศัยกันอยูกับ
จติ ทเ่ี ปนวมิ ุตติหลุดพนไปแลว นน้ั จงึ เรยี กวา จติ บรสิ ทุ ธ์ิ เรยี กทานวา เปน พระอรหันต
พอผานจากขันธนี้ไปแลว ไมมีสมมุติใดๆ เขา เจือปนกับจติ ดวงนั้น จติ ดวงนน้ั เปน ธรรม
ทั้งแทง เปนธรรมทั้งดวง จงึ ไมเ รยี กวา จติ อกี และคาํ วา ปรนิ พิ พานนน้ั กห็ มายถงึ เรอ่ื ง
สมมุติไดดับสนิทไปหมดแลวไมมีชิ้นเหลือ ไมเหมือนทานที่ยังครองขันธอยูทั้งที่จิต
บรสิ ทุ ธ์ิ แตก อ นดับเฉพาะกเิ ลสภายในใจ พอธาตขุ นั ธส ลายลงไปสสู ภาพเดมิ ของตน
แลว นน้ั เรยี กวา ปรนิ พิ พานคอื ดบั หมด กเิ ลสกเ็ ปน อนั วา ดบั ไปแลว ตง้ั แตข ณะตรสั รแู ละ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๒

๒๓๓

ขณะบรรลธุ รรม ถึงขั้นสุดยอดแหงธรรมแลว วาระสุดทายขนั ธกส็ ลายไป หมดความรบั
ผิดชอบกันเพียงเทานั้น

สภาพของขันธก็มีธาตุสี่ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ เปนสิ่งที่มองเห็นไดชัด สลายตวั ลงไปสู
สภาพเดิมของตน จิตที่บริสุทธิ์ผานออกไปแลวจึงไมเรียกวาจิตไดอีก ธรรมชาตทิ เ่ี รยี ก
ไมไ ดนีแ้ ลทีเ่ ราทัง้ หลายไดก ราบระลึกอยูท ุกวันวา พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ คอื ธรรมชาติน้ี
ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ น้พี ูดตามอาการจึงมีสามรตั นะ เมื่อเขา ถึง
ความบรสิ ทุ ธเ์ิ ตม็ ทแ่ี ลว กลมกลนื เปนอนั หน่ึงอนั เดียวกันแลว ทั้งพระพุทธเจา พระ
ธรรม พระสงฆ ที่เปนอาการ รวมเขา สธู รรมดวงเดยี ว

แตอยางไรก็ตามเมื่อโลกสมมุติยังมีอยู ธาตุขันธของเรายังมีอยู ตองระลึกถึงทั้ง
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ สง่ิ ทร่ี ะลกึ นน้ั แลเปน ธรรมชาตทิ ป่ี ระเสรฐิ มีอยูตลอด
กาลเวลาไมไ ดสญู สนิ้ ไปไหน แตมิไดมีอยูแบบสมมุติทั้งหลาย และมิไดสูญแบบสมมุติ
ทง้ั หลาย แตทรงอยูแบบนอกสมมุติ คอื แบบวมิ ตุ ตลิ ว นๆ สมมุติเอื้อมไมถึง

วนั ทท่ี า นประทานพระโอวาทปาฏโิ มกขน น้ั เรยี กวา วสิ ทุ ธอิ โุ บสถ คอื ประทาน
พระโอวาทแกพระอรหันต ๑,๒๕๐ องคซ ง่ึ เปน ผบู รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ จงึ เรยี กวา วสิ ทุ ธอิ โุ บสถ
แสดงแกท า นผบู รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ ในเนอ้ื ความแหง พระโอวาททแ่ี สดงนน้ั ทา นแสดงไวว า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไมท าํ ความชว่ั ทง้ั ปวงหนง่ึ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา การยังความ
ฉลาดใหถึงพรอมหนึ่ง สจิตฺตปริโยทปนํ การทําจิตของตนใหผองใสจนกระทั่งถึงความ
บรสิ ทุ ธห์ิ นง่ึ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้คือคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลายซึ่งสอนเปน
แบบเดยี วกนั อยา งน้ี

จากนั้นทานก็บรรยายขยายความออกไปวา อนูปวาโท อยา ไปกลา วรา ยคนอน่ื
อนูปฆาโต อยา ทาํ ความเบยี ดเบยี นและทาํ ลายผอู น่ื ปาฏโิ มกเฺ ข จ สวํ โร ใหส าํ รวมอยู
ในหลกั พระวนิ ยั อยา งเรยี บรอ ยสวยงามในเพศของพระ มตฺตฺุตา จ ภตตฺ สมฺ ึ ความ
รจู กั ประมาณในการขบการฉนั การใชสอยในทุกสิ่งทกุ อยา ง ไมใหลืมเนื้อลืมตัว
ปนฺตฺจ สยนาสนํ ใหมีที่นั่งที่นอนที่พักผอนเพื่อการบําเพ็ญสมณธรรม เปน ทส่ี งบสงดั
งบเงยี บ อธจิ ติ เฺ ต จ อาโยโค การทําจิตของตนใหยิ่งขึ้นไปโดยลําดับ จนกระทั่งสุดขีด
แหง ความยง่ิ ถึงขั้นแหงความประเสริฐของจิต เอตํ พุทฺธาน สาสนนตฺ ิ นก่ี เ็ ปน คาํ สง่ั
สอนของพระพุทธเจาแตละพระองคๆ เชน เดยี วกนั และสอนแบบเดยี วกนั

ปจจัยทั้งสี่เปนเครื่องอาศัย เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ สาํ หรบั นกั บวชผมู าบวชใน
ศาสนา ขนั ธห า นเ้ี ปน เหมอื นโลกทว่ั ๆ ไป เวลาออกมาบวชแลวก็ตองมีที่อยูที่พักที่อาศัย
มเี ครอ่ื งนงุ หม ใชส อยเปน ธรรมดาเชน เดยี วกบั โลก เปน แตปจจยั เครื่องอาศัยตา งกนั
เกีย่ วกบั เพศของนักบวชผปู ฏิบัตติ ามหลกั ธรรมวินัยเทา นนั้ สวนใหญเหมือนกัน เชน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๓

๒๓๔

จวี ร ก็หมายถึง ผา นงุ ผา หม สบง สงั ฆาฏิ ถา เปน ฆราวาสกเ็ รยี กวา เครอ่ื งนงุ หม เปน
พระก็เรียกวา เครื่องนงุ หม เหมอื นกัน แตแ ยกไปเปน จวี ร เปน สบง เปน สงั ฆาฏหิ รอื เปน
บรขิ ารเครอ่ื งอาศยั เปน อยใู ชส อย

สรปุ ความแลว ส่งิ เหลา นีเ้ ปนปจจยั เคร่อื งอาศยั ของสมณะ เพอื่ บาํ เพญ็ หรอื เพ่อื
อยดู ว ยความสะดวกสบาย และเพอ่ื บาํ เพญ็ ตนดว ยความราบรน่ื ในธรรมวนิ ยั ไมขัดของ
กบั สง่ิ เหลา นว้ี า ไมม ี

บณิ ฑบาต ไดแก การขบการฉัน มตฺตฺุตา จ ภตตฺ สฺมึ ใหร จู กั ประมาณใน
การบรโิ ภคขบฉนั นี่อยูในโอวาทปาฏิโมกข ทีท่ านแสดงเปน วิสทุ ธอิ ุโบสถแกพระ
อรหนั ต ๑,๒๕๐ องค วนั นไ้ี ดย กธรรมเหลา นม้ี าแสดงใหท า นทง้ั หลายซง่ึ เปน นกั บวชฟง
ตลอดถึงประชาชนซึ่งจะตองเปนผูมีขอบมีเขตมีความพอดิบพอดีเชนเดียวกัน ตางกัน
แตเ พยี งสงู ตาํ่ หยาบละเอยี ดเทา นน้ั นอกนน้ั เหมอื นๆ กัน

การนุงหมใชสอยก็ไมฟุมเฟอยจนกลายเปนความฟุงเฟอ โกเก เกินเหตุเกินผล
เกนิ เนอ้ื เกนิ ตวั เกนิ ความพอดที ค่ี วรจะเปน สขุ เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี มอ่ื ไมร ปู ระมาณยอ ม
ทาํ ลายตัวเองได ทําไมถึงวามาทําลายตัวเอง เพราะทุกสิ่งทุกอยางตองหามาดวยทรัพย
สมบตั เิ งินทอง ไมใชจะเกิดมีขึ้นมาเฉยๆ ลอยๆ ตามความตองการ ตองไดแลกเปลี่ยน
กันมา เชนเอาเงินไปซื้อเปนตน การนุงหมใชสอยใหพอเหมาะพอสมกับตนความสุขก็มี
ขึ้น

ถา เลยจากความพอดแี ลว ไมว า อะไรเปน ความยงุ เหยงิ วนุ วาย นําความทุกขม าให
ทั้งนั้น การขบการฉนั การรบั ประทาน โภชเน มตตฺ ฺ ตุ า กใ็ หร จู กั ประมาณในการ
บรโิ ภคการขบฉนั ถา การรบั ประทานเลยเหตเุ ลยผลเลยความพอดไี ปแลว กท็ าํ ความสน้ิ
เปลอื งและทาํ ความเสยี หายแกต วั เอง และกลายเปน นสิ ยั ได อะไรก็ตามถากลายเปน
นสิ ยั แลว ยอ มจะแกไ ขไดย าก ทานจึงสอนใหรูจักประมาณในทุกสิ่งที่เกี่ยวของกับตน จะ
มสี ว นไดส ว นเสยี ดว ย

เฉพาะอยา งยง่ิ พระเรา มตฺตฺุตา จ ภตตฺ สฺมึ นท้ี า นแสดงไวห ลายบทหลาย
บาทหลายสตู รหลายคมั ภรี ท เี ดยี ว พระพทุ ธเจา ทรงยาํ้ แลว ยาํ้ เลา กลวั พระจะลมื ตวั กลัว
วา ลน้ิ จะแซงธรรม ปากทองจะแซงอรรถแซงธรรมไปเสีย ไปที่ไหนก็มีแตลิ้นแตปากแต
ทองออกหนาออกตา แซงหนา ธรรมไปเสยี ธรรมเลยโผลขึ้นไมไดเกิดขึ้นไมได เพราะ
ความเหน็ แกล น้ิ แกป ากแกท อ งเหนอื ความเหน็ แกอ รรถแกธ รรม ทานจึงสอนไวอยาง
นน้ั ธรรมเหลา นไ้ี มใ ชเ ปน ธรรมเลก็ นอ ย เปน ธรรมสาํ คญั มาก

การปฏิบัติตองไดสังเกตสอดรูตนอยูเสมอ ผตู อ งการความเจรญิ รงุ เรอื งดว ย
ธรรม ไมตองการความเจริญดว ยปจจัยส่ีอนั เปน ดา นวตั ถุ พระพุทธเจาไมทรงสอนให

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๔

๒๓๕

เสาะแสวงหาสง่ิ เหลา นเ้ี ลยขอบเขตแหง ความดงี ามของสมณะ และไมใ หใ ชส อยและขบ
ฉันใหเลยขอบเขตแหงความพอดีของสมณะ เพราะจะเปน การทาํ ลายอรรถธรรมซง่ึ ควร
จะเกิดขึ้น หรอื เกดิ ข้นึ แลวใหเ สือ่ มสูญอันตรธานไป เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี หยยี บยาํ่ ทาํ ลาย
ทา นจงึ สอนแลว สอนเลา อยเู สมอหลายบทหลายบาทหลายสตู รหลายคมั ภรี  เพื่อผูศึกษา
อบรมจะไดสะดุดใจ เหน็ โทษในสง่ิ ทท่ี รงตาํ หนแิ ลว ระมดั ระวงั ตวั

เสนาสนะ คือที่อยูที่อาศัย ทา นวา ปนฺตฺจ สยนาสนํ ที่นอนที่นั่งอันสงบสงัด
นน่ั ฟงซิ ท่ไี หนเปนทีส่ งดั ตัง้ แตว ันบวชมาทีแรกพระพุทธเจา กไ็ ดประทานพระโอวาท
ไวแลวเกีย่ วกับท่อี ยูอาศัย จนมาถึงอุปชฌายะทุกวันนี้ บวชกลุ บตุ รสดุ ทา ยภายหลงั กจ็ ะ
ตองบอกนิสสัย ๔ นใ้ี ห เวนไมได อุปชฌายะองคใดเวน เปนตองปลดออกจากความ
เปนอุปชฌายะทันที เพราะทาํ ใหข าดสง่ิ สาํ คญั และจาํ เปน แกค วามเปน พระและหนา ท่ี
ของพระไป

รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ นสิ สฺ าย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ เต ยาวชีวํ อสุ สฺ าโห กรณโี ย.
บรรพชาอปุ สมบทแลว ใหท า นทง้ั หลายไปเทย่ี วเสาะแสวงหาอยตู ามรม ไม ชายปา ชาย
เขา ตามถ้ํา เงอ้ื มผา ปารกชัฏอันเปนสถานที่สงบสงัด สะดวกแกก ารบาํ เพญ็ สมณธรรม
เพราะปราศจากสง่ิ พลกุ พลา นรบกวนตา งๆ จงพยายามทําอยางนี้ตลอดชีวิตเถิด นี่คือ
โอวาทสําคัญที่อุปชฌายะทุกๆ องคบ วชกลุ บตุ รสดุ ทา ยภายหลงั เสรจ็ แลว ตองไดให
โอวาทขอนี้ และงานของพระที่จะเปนไปเพื่อความวิเศษศักดิ์สิทธิ์ภายในจิตใจของตน
คืออะไร ก็คือกรรมฐาน ๕ เปนพื้นฐานไปกอน

เวลานน้ั เปน ระยะทส่ี น้ั มาก ทา นจงึ สอนมอบงานใหเพยี งส้นั ๆ วา เกสา โลมา
นขา ทนฺตา ตโจ เพียงเทานี้กอน นี่หมายถึงอะไร หมายถึง ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ให
เอาน้ไี ปพิจารณาคลค่ี ลายดตู ามหลกั ความจรงิ ของมัน ในสถานทส่ี งดั งบเงยี บอนั เปน
ความสะดวกแกก ารพจิ ารณาคลค่ี ลายงานเหลา นใ้ี หร แู จง แทงทะลุ ตลอดถึงอาการ ๓๒
ภายในรางกายของตนทั้งขางนอกขางใน อชฺฌตฺตา วา พหทิ ธฺ า วา เทียบกันไดทุกสัด
ทุกสวน ดว ยความเปน อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ดวยความเปนของปฏิกูลโสโครกเตม็ ไป
หมดในรางกายของสัตวของบุคคล แตล ะสตั วแ ตล ะบคุ คลไมม ใี ครยง่ิ หยอ นกวา ใคร
เตม็ ไปดว ยสง่ิ เหลา นด้ี ว ยกนั นแ่ี หละคอื งานทท่ี า นใหท าํ ใหพ จิ ารณา ทา นสอนเพอ่ื ความ
รแู จง เหน็ จรงิ ปญญาแทงทะลุแลวปลอยวางอุปาทาน

ทส่ี อนใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายรา งกายมี ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เปน ตน ก็เพื่อชะ
ลางของปลอมที่แทรกอยูในกายนั้นออก เพื่อความจริงคือธรรมจะไดปรากฏ กิเลสคือ
ของปลอม ของเทียม เมื่อแทรกจิตจึงทําใหจิตปลอมไปดวยกิเลส ไมอ าจทรงความจรงิ
ไวได จึงถูกหลอกมาตลอด ถูกฉุดลากมาเปนประจํา พาเทย่ี วปก ปน เขตแดนเอาไวห มด

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๕

๒๓๖

วา สง่ิ นน้ั สวยสง่ิ นง้ี าม สิ่งนเ้ี ปนนจิ จฺ ํ ของเที่ยง สง่ิ นเ้ี ปน สขุ ํ คือความสุข ส่ิงน้ีเปนอตฺตา
เปน เราเปน ของเรา แมกําลังจะเปนจะตายอยู มนั กว็ า เปน เราเปน ของเรา นี่คือเรื่องของ
กิเลสตองขัดขวางธรรมอยูอยางนี้

ทท่ี า นใหพ จิ ารณาตามความจรงิ นน้ั คอื ความจรงิ เปน อยา งไรทา นกส็ อนใหร ใู ห
เหน็ อยา งนน้ั เชน อนจิ จฺ ํ เปนของไมเที่ยง รา งกายเราทกุ สว นหาความเทย่ี งแทถ าวรไม
ได มแี ตความแปรสภาพอยูต ลอดเวลาทกุ อาการ จนถงึ วาระสดุ ทา ยสลายลงไปสคู วาม
จริงของตน ทกุ ขฺ ํ ก็เคยไดยินแตทุกขขังเรา เราไมเ คยไดข งั ทกุ ขเ อาไวพ อใหส บายขยาย
อาํ นาจบงั คบั บญั ชากเิ ลสบา ง ทง้ั นเ้ี พราะเราไมท ราบความจรงิ พอทราบความจรงิ แลว
ทุกขจะมาขังเราไมได ดังพระพทุ ธเจา และสาวกทง้ั หลาย ไมมีทุกขตัวใดที่จะไปขังจิตขัง
ใจของทานใหเปนนักโทษเหมือนอยางแตกอนเลย ทานอยูเหนือทุกขทั้งมวล

ดงั ทีท่ า นอาจารยมัน่ เคยพูดใหฟงและไดเ ขียนไวในประวัติของทา นวา พระ
อรหันตบางองคท านยืนนพิ พาน บางองคทานนั่งนิพพาน บางองคท า นเดนิ นพิ พาน
บางองคท า นนอนนพิ พาน ทําไมทานจึงทําผิดแปลกจากมนุษยทั่วๆ ไปในโลกนเ้ี ลา ก็
เพราะความรคู วามเหน็ ความสตั ยค วามจรงิ ทม่ี อี ยใู นใจของทา น ไมไดเหมือนกับโลก
ทว่ั ๆ ไป ธรรมนั้นเปน สมบตั ขิ องทานโดยเฉพาะไมเก่ยี วกบั โลก ทานจึงไมทําเหมือน
โลก และโลกก็ทําเหมือนทานไมได การทจ่ี ะขดั แยง ทา นวา ทานทําไมไ ด ทา นเปน อยา ง
นั้นไมได จึงเปนโมฆะทั้งสิ้น หาความจรงิ ไมไ ด เพราะผนู น้ั ไมม คี วามจรงิ เหมอื นทา น
จะใหทานมาเปนอยางตัวเองไดอยางไร ทานเปน ทานเต็มตัว เรากเ็ ปน เราแบบนอ้ี ยา ง
เตม็ ยศ (ของปุถุชน ผชู อบชนดะ)

ทุกขเวทนาในขันธก็สักแตวาสมมุติอันหนึ่งๆ เทา นน้ั เชน รูป คือกองรูป นี่ก็
เปน สมมุตอิ ันหนึ่ง เวทนาสขุ ทุกข เฉยๆ นก่ี เ็ ปน อาการอนั หนง่ึ ๆ ของขันธแตละ
อยางๆ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน สมมตุ ทิ ง้ั มวล แตจติ ของทานหลุดพน แลว จากสงิ่ ท้ังหลายเหลานี้
จติ จงึ เหนอื สง่ิ เหลา น้ี ทกุ ขภ ายในรา งกายวาระสดุ ทา ยจะหนกั มากขนาดไหน ก็ไม
สามารถทําใจของทานใหกระทบกระเทือน ใหห วน่ั ใหไ หวเอนเอยี งไปไดเ ลย ดวยเหตุนี้
ทา นจงึ สามารถปรนิ พิ พานตามอธั ยาศยั ในทา ทต่ี นถนดั ในวาระสดุ ทา ย ไดต ามความ
สะดวกและอัธยาศัย โดยไมมีเวทนาตัวใดทีจ่ ะสามารถเขา ไปเหยียบยาํ่ ทาํ ลายจิตใจของ
ทา น ใหเอนเอียงไปไดเหมือนอยางสามัญชนทั่วๆ ไปเลย ดว ยเหตนุ ท้ี า นจงึ ปรนิ พิ พาน
ไดในทาตางๆ ตามอัธยาศัยของทาน เชน ยนื นพิ พานบา ง เดนิ นพิ พานบา ง นง่ั นพิ พาน
บา ง นอนนพิ พานบา ง ดว ยความเปน อสิ รเสรภี ายในใจ เพราะทา นไมม เี วทนาทางใจ

คาํ วา เวทนานห้ี มายถงึ เวทนาภายในจติ เวทนาในรา งกายนน้ั มี ทา นรบั ทราบ
เพราะทา นรู จะไมรับทราบอยางไร แมแ ตเ รามกี เิ ลสอยภู ายในจติ ใจเรายงั รู เจบ็ ตรง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๖

๒๓๗

ไหนในสว นรา งกาย เจ็บทอง ปวดศีรษะ เรายงั ทราบ ทาํ ไมทา นจะไมทราบ แตค วาม
ทราบของเรากบั ความทราบของทา นมันตา งกนั ความทราบของเราทราบไปตาม
ยถากรรมของคนมีกิเลส ไมไ ดห ยง่ั ทราบดว ยความรจู รงิ เหน็ จรงิ เหมอื นพระขณี าสพ
ทา น จึงตองยึดตองถือ จึงตองเกิดความทุกขทรมานภายในจิตใจไมมีประมาณ เวลารา ง
กายไมส มประกอบหรอื มคี วามทกุ ขค วามลาํ บากขน้ึ ในอวยั วะสว นใด ใจเลยกลายเปน
โรคกงั วล โรควนุ วาย โรคเสยี อกเสยี ใจขน้ึ มาดว ย

แตพระขีณาสพทานไมมี เพยี งแตร บั ทราบทกุ ขเวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในขนั ธเ ทา
นน้ั ขันธก็เปนขันธ จติ เปนจติ เวทนาจะไปแทรกจิตทานไดอยางไร เมื่อตางอันตางจริง
แลวไมกระทบกัน ขนั ธแ สดงตวั จนวาระสดุ ทา ย คอื ทุกขเวทนาแสดงตัวก็แสดงตัวอยู
ในวงขนั ธโ ดยเฉพาะ ไมสามารถไปแสดงตัวในวงจิตของทานได นแ่ี หละระหวา งพระ
อรหนั ตก บั เราตา งกนั มากราวฟา กบั ดนิ หนิ กบั เพชรนน่ั แล

พระอรหนั ตทา นไมมีเวทนาทางใจ เวทนามอี ยเู ฉพาะภายในขนั ธน เ้ี ทา นน้ั ไมมี
อยูภ ายในจิตของพระอรหันต เมอ่ื เปน เชน นน้ั ทา นจะไมป รนิ พิ พานในทา ตา งๆ ไดต าม
ความตองการของทาน หรือตามอัธยาศัยของทานไดอยางไร ทานตองเปนทานโดย
สมบูรณตลอดไป ไมมีสมมุติใดๆ อาจเอื้อมลบลางความจริงของทานไดตลอดอนันต
กาล ความจรงิ เปน อยา งน้ี เราจงึ ยอมในคาํ พูดของทา นอาจารยม่ันท่ีวา พระอรหันต
นพิ พานในทา ตา งๆ กนั อยา งหมอบราบตามประสาคนโง ใครๆ อยาเอาอยาง จะกลาย
เปน คนโง พระโงไ ปหลายคนหลายองค

คาํ วา เวทนานเ่ี ปน สมมตุ ิ จะเปน สขุ เวทนากต็ าม ทุกขเวทนาก็ตาม อุเบกขา
เวทนากต็ าม จะมไี ดภ ายในรา งกาย เกดิ ขน้ึ ภายในกาย สขุ เกดิ ขน้ึ ภายในกาย ทุกขเกิด
ขน้ึ ภายในกาย เฉยๆ เกดิ ขน้ึ ภายในกายนเ้ี ทา นน้ั ไมสามารถจะไปเกิดภายในจิตของ
พระอรหนั ตไ ดเ ลย เพราะจติ นน้ั เปน วสิ ทุ ธจิ ติ เปนวิมุตติจิตที่พนจากสมมุติแลว ทา นจงึ
ไมม เี วทนาใดทจ่ี ะใหเ สวย

ตามหลักความจริง เวทนาทั้งปวงเปนสมมุติ แตจิตของทานเปนวิมุตติจิต จะเขา
กันไดอยางไร ฉะนั้นจึงไมม ีเวทนาใดทจี่ ะเขา เหยียบยํา่ ทําลายจติ ใจของทา นได นอก
จากสุขในหลักธรรมชาติ ดงั ทีท่ า นวา นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ นพิ พานเปน สขุ อยา งยง่ิ สขุ ใน
นิพพานหรือสุขของทานผูบริสุทธิ์ จติ บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั ไมใชสุขเวทนา เปนสุขของวิมุตติจิต
เหนือสมมตุ นิ ไี้ ปแลว สุขนนั้ จึงไมม ีคําวา อนจิ จฺ ํ เวทนา อนจิ จฺ า อยางนี้ก็ไมมี สขุ กเ็ ปน
อนจิ จฺ า ทุกขก็เปน อนจิ จฺ า อเุ บกขาเฉยๆ ก็เปน อนจิ จฺ า หรอื เปน อนจิ จฺ ํ ถา เปน เวทนา
แลวตองมี อนจิ จฺ ํ เปนคูกันเสมอไป

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๗

๒๓๘

แตสุขของพระอรหันต สุขของวิสุทธิจิตนั้นไมใชเวทนา จึงไมมี อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ
อนตฺตา เขา ไปแทรกไดเ ลย นี่ผิดกับสุขของโลก เวทนาของโลก ทา นจงึ เรยี ก นพิ ฺพานํ
ปรมํ สขุ ํ นพิ พานเปน สขุ อยา งยง่ิ สขุ นน้ั เปน สุขในหลักธรรมชาติของความบริสุทธิ์ ไม
ใชสขุ เสกสรรปน ยอขนึ้ มา สขุ แลว ดบั ดับแลวเกดิ อยูอยางนัน้ นี่แหละจิตของพระ
อรหนั ตต างกนั อยางน่ี เราควรทราบเอาไว เมื่อเราถึงขั้นของทานที่ถึงแลว ถายังเขี้ยว
แหลมคมและกัดเกงอยู คอยไปชวนทานตอยก็ไดไมหาม กลวั เปน บาป

การทท่ี ราบจากการไดย นิ ไดฟ ง นไ้ี มไ ดเ ปน ความแนใ จนกั ยังตองมีความสงสัย
อยูเปนธรรมดา เพอ่ื จะทราบตามหลกั ความจรงิ ในสง่ิ ทเ่ี ปน จรงิ นน้ั ตอ งทราบดว ยภาค
ปฏบิ ตั ทิ เ่ี รยี กวา ปฏิเวธธรรม พระพุทธเจาไดธรรมมาสั่งสอนโลกก็ไดจากภาคปฏิบัติ
ไดเปนศาสดาเอกของโลกขึ้นมาก็ไดจากภาคปฏิบัติ คือการประพฤติปฏิบัติทางจิตต
ภาวนา เชน เดนิ จงกรม นง่ั สมาธภิ าวนา ผลจงึ เกิดขึ้นเตม็ ภูมิและเปน ศาสดาของโลก
พระสาวกทัง้ หลายทา นกป็ ระพฤตปิ ฏิบตั เิ ปนอรหนั ตข้ึนมาดวยภาคปฏบิ ัติ ไมไดเปนขึ้น
มาดว ยภาคจดจาํ เฉยๆ หรอื ภาคจดจาํ ลว นๆ

ความจาํ เปน ความจาํ ความจรงิ เปน ความจรงิ เรานาํ ความจาํ ทไ่ี ดศ กึ ษาเลา เรยี น
มา ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามทเ่ี ราเขา อกเขา ใจจากการเลา เรยี นมานน้ั กลายเปน ภาค
ปฏิบัติขึ้นมา เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามทเ่ี รยี นมาแลว ผลคือปฏเิ วธ ความรแู จง เหน็ จรงิ ยอ มรแู จง
เหน็ จรงิ ไปโดยลาํ ดบั ๆ จนกระทง่ั รแู จง แทงทะลเุ ปน ความจรงิ ขน้ึ มาเตม็ ภมู ภิ ายในใจ
เมื่อเปน เชน น้ันจะไมถ ามในสง่ิ ทก่ี ลาวมานี้ เชน พระอรหนั ตท า นไมม เี วทนาในจติ อยา ง
น้ี จะปรากฏในจติ ของเราเสยี เอง จิตของพระพุทธเจากับจิตของเรานั้นไมมีอะไรผิด
แปลกกัน เมอ่ื เขา ถงึ ความจรงิ เตม็ สดั เตม็ สว นเหมอื นกนั แลว ไมมีอะไรจะสงสัยกัน ไม
มีอะไรจะมาคัดคานกัน ไมมีอะไรมาลบลางกันได เพราะเปน เหมือนกนั จรงิ เทากัน
เนอ่ื งจากรแู บบเดยี วกนั

ดังที่กลาววาเวทนาในจิตของพระอรหันตไมมีอยางนี้ ดซู วิ า ใจเราเปน ยงั ไง เขา
ใจทันที ออ เปนอยางนี้เอง น่ีแหละที่วา ผใู ดเหน็ ธรรมผนู น้ั เหน็ เราตถาคต เหน็ ความ
จรงิ อันนีซ้ ึง่ เปน เหมือนกนั ของเราฉันใดของทานฉันนั้น ของทานฉนั ใดของเราฉนั นน้ั
นิพพานเที่ยงหรือไมเที่ยง ดจู ติ ของเรากร็ ู ถามนิพพานวาเที่ยงไมเที่ยงไปทําไม ตัวก็รู
นิพพานหรือไมนิพพานอยูที่จิตนี้ นน่ั เปน ชอ่ื ตา งหาก คาํ วา นพิ พานนน้ั เปน เงา หรอื เปน
ช่อื ของธรรมชาติท่เี ราทรงอยูเวลานี้ รอู ยเู วลาน้ี ไดแกจิตที่บริสุทธิ์นี้ นี่คือตัวประธานแท
ดตู วั ประธานแลว รตู วั ประธานแลว สงสยั เงาไปหาอะไร นแ่ี หละหลกั ความจรงิ ใคร
อยากเปนเจาของก็ปฏิบัติเอา อยาขี้เกียจ ความขเ้ี กยี จคอื ตวั สงั หารทาํ ลายมรรคผล
นพิ พาน ความขยนั หมน่ั เพยี รตา งหากเปน ทางเดนิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พาน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๘

๒๓๙

ธรรมะคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทุกบททุกบาท เปนมัชฌิมาปฏิปทาอยูเสมอ
ตั้งแตครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งปจจุบันนี้ไมมีการเปลี่ยนแปลงไปไหน เพราะเหตใุ ด
เพราะกิเลสทกุ ประเภทซ่ึงเกิดภายในจติ ใจหรอื มอี ยภู ายในจติ ใจของสตั วโลก ไมมีกิเลส
ตวั ใดเปลย่ี นหนา เปลย่ี นตาไปเปน อยา งอน่ื พอที่จะเปลี่ยนแปลงมัชฌิมาปฏิปทาใหเปน
อยางอื่น เพอ่ื ใหท นั กบั กเิ ลสประเภทนน้ั ๆ กเิ ลสเหลา นไ้ี มเ หนอื อาํ นาจแหง ธรรม จึงไม
ตองเปล่ยี นแปลงธรรมทที่ รงสอนแลวนี้ เพราะทรงไดผ ลมาแลว จากปฏปิ ทาเหลา น้ี จงึ
ตอ งนาํ ปฏปิ ทาเหลา นม้ี าปราบกเิ ลสตามทพ่ี ระพทุ ธเจา พาดาํ เนนิ มา

ถา เราดาํ เนนิ ตามหลกั ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสอนไวน ้ี ศาสนธรรมหรอื
มัชฌิมาปฏิปทานี้ คอื ตลาดแหง มรรคผลนพิ พานของเราอยา งเตม็ สดั เตม็ สว นนน่ั เอง
หาทส่ี งสยั ไมไดเ ลย นอกจากจิตใจหรือการประพฤติปฏิบัติจะเปนลุมๆ ดอนๆ สูงๆ
ตาํ่ ๆ ไมเปนไปตามหลักธรรมที่ทรงสอนไวเทานั้น จึงไมสมหวัง ถาตั้งใจปฏิบัติตามนี้
คาํ วา มชั ฌมิ า คอื ธรรมเหมาะสมเพอ่ื มรรคผลนพิ พานตลอดเวลาอยแู ลว การประพฤติ
ปฏิบตั ิกเ็ หมาะสมกับเหตุ ผลทําไมจะไมสมดุลกันเลา ตองสมดุล ผปู ฏบิ ตั เิ ชน นแ้ี ลจะ
เปน ผรู บั มรดกท่พี ระพุทธเจา ประทานให

พระพุทธเจาไมไดเกิดขึ้นจากไหน เกิดขึ้นจากมัชฌิมาปฏิปทานี้ สาวกทกุ ๆ องค
อยาวาแต ๑,๒๕๐ องคน เ้ี ลย เปน หมน่ื ๆ แสนๆ ลา นๆ องคทานก็สาํ เร็จจากมัชฌิมาน้ี
ทั้งนั้น ไมมีที่อื่นเปนที่สําเร็จมรรคผลนิพพานได นอกจากมัชฌิมาเปนทางเดิน เปน
เครื่องชําระซักฟอก เปนเครื่องหลอหลอมใหจิตแตละดวงกลายเปน จติ บรสิ ทุ ธิ์ขน้ึ มา
ขอใหเ ปนท่มี ัน่ ใจในการประพฤติปฏิบตั ธิ รรม และสถานทด่ี งั กลา วมานเ้ี ถดิ เพราะเปน
ที่ที่เหมาะสมตลอดมาไมเคยลาสมัย คอื ในปา ในเขา ในทส่ี งดั วเิ วก ดังที่ทานพาอยูพา
ดาํ เนนิ มา

การขบการฉนั ดังไดกลาวมาแตเบื้องตนวา เปนปจ จัยเคร่ืองอาศยั ของวิบาก
ขันธเทานั้น ไมใ ชเ ปนสิง่ สําคัญดังวิสุทธธิ รรมทเ่ี รามงุ มั่นอยูเวลานี้ สง่ิ ทเ่ี รามงุ มน่ั นน้ั คือ
วสิ ทุ ธธิ รรมซง่ึ เปน ธรรมสาํ คญั มาก สวนปจ จัยเครอ่ื งอาศัยตา งๆ เปน เพยี งเครอ่ื งบาํ รงุ
เยยี วยาธาตขุ นั ธพอใหอ ยูได เปนไปไดวันหนึ่งๆ เทา นน้ั อยาไดลืมเนื้อลืมตัวกับสิ่ง
อาศยั วา เปน เนอ้ื เปน หนงั เปน ตวั ของตวั ขน้ึ มาจะลมื อรรถลมื ธรรม สง่ิ เหลา นจ้ี ะกลาย
เปน ภยั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจลงไปโดยไมร สู กึ ตวั การเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจ ก็คือการ
เหยยี บยาํ่ ธรรมซง่ึ จะเกดิ ขน้ึ ภายในใจนน้ั แล ใหพากันระมัดระวังเสมอ คาํ วา สกฺกาโร
ปุริสํ หนตฺ ิ ลาภสกั การะฆา บรุ ษุ ผโู งใ หฉ บิ หายจากธรรม กค็ ือความลมื ตัวกบั สง่ิ เหลานี้
แล จะเปนอะไรมาจากทไ่ี หน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๙

๒๔๐

การประพฤติปฏิบัติใหเล็งดูจิตอยาดูที่อื่น กเิ ลสอยกู บั จติ แสดงออกที่จิต ไมวา
ดี วา ชว่ั ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา คิดมากคิดนอยคิดขึ้นที่จิต เกิด
ขนึ้ ที่จติ เผาลนที่จิตไมไดเ ผาทีไ่ หน มัชฌิมาปฏิปทามีสติปญญาเปนสําคัญ ใหสอดสอง
มองดูจิตตลอดระยะเวลา เพราะเรามหี นา ทอ่ี นั เดยี วเทา น้ี

พระบวชมาปลอ ยหมดแลว กจิ บา นการเรอื นอะไรๆ ที่โลกจัดทํากัน มีแตปฏิบัติ
ศลี ธรรมอยา งเดยี ว ไมเกาะเกี่ยวกับสิ่งภายนอก สว นอาหารปจ จยั สท่ี ก่ี ลา วมาไมต อ ง
เปนกังวล ผิดวิสัยพระศิษยตถาคต เปน หนาทขี่ องประชาชนศรทั ธาญาตโิ ยมเขาซง่ึ
พรอ มและบรบิ รู ณอ ยแู ลว อยากจะสนับสนุนผูตั้งใจประพฤติปฏิบัติกําจัดกิเลส เพื่อได
บญุ ไดก ศุ ลกบั ทา นเหลา นน้ั เอา ปฏิบัติลงไป ถา เปนลกู ศิษยตถาคตเขา สสู งครามแลว
ไมตองกลัวตาย ผปู ฏบิ ตั ไิ มไ ดตายเพราะการตอสูก ับกเิ ลส ดงั พระพทุ ธเจา เพยี งสลบ
แตก เิ ลสตายเรยี บ ดเู อาในตาํ รามใี หด ู ไมโกหก สว นมากคนเรามแี ตก เิ ลสยาํ่ ยตี แี หลก
ใหต ายทง้ั นน้ั แหละ

จงเหน็ โทษแหง การยํ่ายีตแี หลกของกิเลสจนถึงข้ันตายแลวเกดิ เกิดแลวตายอยู
น้ี ในภพนอยภพใหญไมหยุดไมถอยมาจนบัดนี้ ควรจะเหน็ โทษในสง่ิ เหลา นม้ี ากกวา
การกลัวทุกขก ลัวตายทจ่ี ะตอ สกู บั กิเลสเปนไหนๆ เราเปน นกั ธรรมะตอ งเลง็ เหตผุ ล ยง่ิ
กวาความกลวั ทกุ ขกลัวตายโดยไมม เี หตุผล จึงถูกหลักของธรรมที่จะทําใหพนทุกข และ
ผูเชนนั้นจะพนทุกขไดไมสงสัย ไมตองกลัว ขน้ึ บนเวทแี ลว กลวั ตายทาํ ไม ถากลัวตายอยู
บนเวทีตอยไมออก ตอยไมเต็มเม็ดเต็มหนวย กาํ ลงั ตกเพราะขาดกาํ ลงั ใจ เดี๋ยวถูกเขา
น็อกเอา ใหม ีแตค วามหวังชนะกับความชนะเทา นนั้ อยูในหวั ใจขณะตอ สู นกั ตอ สขู น้ึ บน
เวทแี ลว มแี ตค วามหวงั ชนะ ไมมีคําวากลัวคูตอสู นเ่ี รากา วขน้ึ บนเวทแี ลว เพศของเรา
เปน เพศนกั รบไมใ ชเ พศนกั หลบ นักหลอกตัวเอง และหลอกประชาชนทเ่ี ขาศรทั ธาใน
พุทธศาสนา ศรทั ธาในพระ ตองสูสุดกําลัง สูจ นสดุ ขดี สดุ แดน สจู นไดช ยั ชนะมาสสู งั คม
พทุ ธศาสนาอยา งสงา ผา เผยและภาคภมู ใิ นตวั เอง

ทุกสิ่งทุกอยางเครื่องสนับสนุนมีพรอมแลว อาหารปจ จยั จะกนิ ใหต ายกไ็ ดถ า เรา
ไมเ สียดายธรรม ถาเห็นขี้ดีกวาไสก็พุงทะลุพุงระเบิดไมรูตัว ลน้ิ แซงอยเู รอ่ื ย แซงอรรถ
แซงธรรมนะ ทองปากแซงอยูเรื่อยๆ หาเวลาวา งไมม ี หาเวลาบกพรองบางไมมี มีแต
เรื่องกินๆ แบบกเิ ลสตณั หาอาสวะบรรจเุ ขา เตม็ เตม็ เทา ไรยง่ิ บรรจเุ ขา ไปๆ สุดทายก็
ตายเพราะกิเลสไมมีเมืองพอ ทานจึงนําธรรมมาสกัดลัดกั้นไวเพื่อรักษาชีวิตพระไมให
ตายเพราะทองแตกวา โภชเน มตฺตฺุตา ใหร จู กั ประมาณ ในการบรโิ ภคขบฉนั

อยา ลมื เนอ้ื ลมื ตวั ในปจ จยั สซ่ี ง่ึ เปน เครอ่ื งอาศยั เทา นน้ั สิ่งที่มุงหวังอยางแรงกลา
คอื อรรถคอื ธรรม ความประเสรฐิ เลศิ เลออยทู ธ่ี รรมในใจ เอา สูลงไป จะตายดว ยการ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๐

๒๔๑

ตอสูกับกิเลสก็ใหเห็นเสียที ไมเคยมีในศาสนาของพระพุทธเจานี้ นักตอ สสู ูก บั กเิ ลสจน
ตาย ทเ่ี หน็ มามแี ตก เิ ลสนน่ั แหละตายเวลาตอ สเู ขา ไปๆ ดังพระพุทธเจาก็สลบสามหน
พระองคก็ไมตาย สุดทายกิเลสตายไมมีเหลอื นั่น สาวกทง้ั หลายไดร บั ความทกุ ขท รมาน
เพราะการตอ สูกบั กิเลสมามากเทา ไร ก็ไมไดยินวาทานตาย สดุ ทา ยกเิ ลสตายๆ จึงได
ปรากฏเปน ผวู เิ ศษวโิ สขน้ึ มาเพราะการตอ สู นแ่ี หละคณุ คา แหง การตอ สู ทาํ ใหค น
บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมาในใจไดอยางเดนชัด

เราเปนลูกศิษยของตถาคต ตองถือเอาเยี่ยงอยางของพระพุทธเจามาดําเนิน
อยาสักแตวากลาว พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ใจลอยเมฆไปไหนหรือลงนรกอเวจีที่ไหนก็ไมรู
ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ วา แตป ากคดิ แตใ จแยบ็ เดยี ว ถูกกิเลสฉุดลากไปตมตุนที่ไหนก็ไมรู
วนั หนง่ึ ๆ หาเวลาคดิ ตามคลองอรรถคลองธรรมเพยี งแยบ็ ๆ แทบไมมี และดําเนินไป
นิดๆ หนอ ยๆ กห็ าวา ทกุ ขว า ลาํ บากไปเสยี ซึ่งลวนแตเปนกลมายาของกิเลสมันหลอก
มนั ลวงไมใหเขา ชอ งอรรถชอ งธรรม เพราะกลวั จะผา นอาํ นาจมนั ไปเสยี มันจึงไมยอม
ใหไ ป มัดไวกับความขี้เกียจออนแอ มัดไวกบั ความหนุมนอ ยกําลังเพลิดเพลิน มัดไวกับ
ความเฒา แกช ราจาํ ศลี ภาวนาไมไ ด มัดไวก ับความยงุ ยากจปิ าถะจนประมาณไมไ ดแ ละ
อยูในเงื้อมมือของมันเรื่อยมา นแ่ี หละคาํ วา มารๆ คืออะไร กเิ ลสมารเปน เบอรห นง่ึ ใน
หวั ใจของคนและสตั ว เฉพาะอยางย่งิ ในหวั ใจของเราซ่ึงเปนนกั ปฏิบตั ิ ใหท ราบวา มาร
คืออะไร ก็คอื กิเลสทุกประเภท ไมม ีอะไรที่เปนมารเทา กเิ ลส ใหเ หน็ มารรมู ารทต่ี รงน้ี
และปราบมารทต่ี รงน้ี

การตอสูกับกิเลสก็อยาออมกําลังอยาออมแรง เพราะเราไมเ คยเหน็ กเิ ลสตวั ใด
ตั้งแตประพฤติปฏิบัติมาอยางเต็มสติกําลังความสามารถจนถึงปจจุบันนี้ วา เปน ตวั
สภุ าพเรยี บรอ ยออ นโยน (เวลาดดั สนั ดานเรามนั ทาํ เบาๆ ออมแรงไว กลัวเราทุกข
มาก) พอที่จะตอสูม นั ดวยความสภุ าพออ นโยนน่มิ นวล นอนราวกับตาย หลับครอกๆ
แทบจะได กุสลา มาติกาไมรูจักตื่นทําก็ได เดินเซอๆ ทําก็ได จิตเถอไปไหนมองไปไหน
ก็ได อยสู ะดวกสบาย กนิ ใหมากนอนใหม ากเหมอื นกับหมูตัวหน่งึ กิเลสก็ตายไปอยาง
เรยี บวธุ ดว ยวธิ กี ารเหลา น้ี เราไมเ คยเหน็ เคยเหน็ แตฟ ด กนั เตม็ เหนย่ี ว เอา มนั ไมต าย
ใหเ ราตาย เราไมต ายใหม นั ตายเทา นน้ั สูกันอยางไมถอย

นอกจากนัน้ ยังทรมานทางกายชว ยจิตตภาวนาอีกดวย เพราะกเิ ลสมนั มีทางกาย
เปน กาํ ลงั เครอ่ื งสง เสรมิ มนั ดว ย กินมากๆ เขาไปรางกายอวนพีขึ้นมา กิเลสมันก็ตัวดีตัว
เดน ขน้ึ มาแลว เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจลงไป การภาวนาโงหวั ไมข น้ึ เมื่อเปนเชนนั้นตอง
ตัดทอนกําลังทางรางกาย นอนมากมันทําใหมีกําลังมากและทําใหทับถมจิตใจมาก กนิ
มากมีกําลังมาก มันทับถมจิตใจมากการภาวนากาวไมออก ตดั อาหารลงไป ตัดเรื่อง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๑

๒๔๒

การหลบั การนอนลงไป ตัดกําลังทางกายในแงตางๆ ลงไปโดยลําดับ จิตใจจะไดภ าวนา
สะดวกขึ้น ความจรงิ กเ็ ปน อยา งนน้ั จรงิ ๆ

เวลารางกายมีกาํ ลงั นอยลงไป ลดลงไปๆ จิตใจมีกําลังกลาแข็งขึ้นทุกระยะ เวลา
ทเ่ี ราประกอบความเพยี รอยู เห็นไดช ดั เมอ่ื เปน เชน นน้ั ถงึ จะยากลาํ บากกต็ อ งทนเพราะ
ทางไปสายนี้ ยากก็ไปงายก็ไป ขรุ ขระกไ็ ป เพราะทางไปอยูนี้ ทางเดินอยูนี้ ทางเดินเพื่อ
ความพนทุกขอยูตรงนี้ อบุ ายวิธเี พือ่ ฆา กเิ ลสอยทู ตี่ รงนๆ้ี ก็ตองไดทนทุกขทรมานตน
ทําไป เพราะเคยเหน็ ผลอยา งน้ี นล่ี ะการประพฤตปิ ฏบิ ตั จิ งึ ตอ งใชอ บุ ายหลายแงห ลาย
ทาง ไมสกั แตวา เดนิ จงกรมแลวก็เดนิ ไปเฉยๆ ไมไดคํานึงถึงเหตุถึงผลวาไดผลมาก
นอยเพียงไร เดินสักแตเปนกิริยา ใชไมได ตอ งเอาใหจ รงิ ใหจ งั มีสติปญญากํากับงาน
และคอยทดสอบผลไดผลเสียของตนอยูเสมอ

สตแิ นบอยูก บั จิต น้ีแลคือผูรักษาจติ สตเิ ปน สาํ คญั ปญ ญาเปน ผใู ครค รวญเหตุ
ผลดีชั่วประการตางๆ ธรรมสองอยา งนเ้ี ปน สาํ คญั วริ ยิ ะ คือความเพียร นเ่ี ปน เครอ่ื ง
สนบั สนนุ เปน กาํ ลงั ใจเพอ่ื ความเพยี ร ความจดจอตอเนื่องกันเพื่อทําลายกิเลส แลวสติ
ปญ ญาเปน สาํ คญั มาก เราไมเ หน็ อนั ใดทจ่ี ะมคี ณุ คา ยง่ิ กวา สตปิ ญ ญาในการปราบปราม
กเิ ลส แมแ ตข น้ั ตน ๆ สตปิ ญญาก็มีความจาํ เปนอยเู ชนนั้น จนกระทง่ั ถงึ วาระสดุ ทา ย
เอา ลงไป คําวาวาระสุดทายคืออะไร ถึงขั้นกิเลสละเอียด ถึงขั้นธรรมละเอียด สติ
ปญญาตองละเอียดไปตามกิเลสไมอยางนั้นไมทันกัน

ใครจะวา กเิ ลสมนั โงเ มอ่ื ไร กิเลสจอมฉลาดจึงไดครองไตรภพ สตั วโ ลกเกิดตาย
อยนู ีเ้ พราะอาํ นาจของกิเลสทัง้ นั้น ไมใชเพราะอํานาจของอะไร ถา กเิ ลสไมแ หลมคม
เหนอื กวา สตั วโ ลก ใครจะไปเชอ่ื ใครจะไปยอมจาํ นนกบั กเิ ลส เพราะกท็ ราบแลว วา
กเิ ลสเปน ภยั เหตุใดจึงไมทราบในขณะที่มันกลอม กเ็ พราะอบุ ายของเรา สติปญญาของ
เราไมท นั มนั นน่ั เอง จึงจําตองยอมจํานนมันไปโดยไมรูสึกตัว นเ่ี วลาสตปิ ญ ญาเราผลติ
ขึ้นมาๆ ทนั กเิ ลสประเภทนแ้ี ลว ตอไปก็ทันกิเลสประเภทนั้น เห็นโทษของกิเลส
ประเภทน้ี เหน็ เลห เ หลย่ี มของกเิ ลสประเภทนน้ั แกเลหเ หล่ียมของกิเลสนี้ไปได แลวแก
เลห เ หลย่ี มของกเิ ลสประเภทนน้ั ไดโ ดยลาํ ดบั และฆา ไดโ ดยลาํ ดบั ดว ย เรื่อยไปๆ จน
กระทั่ง เอาพูดกันใหถึงเหตุถึงผลถึงอรรถถึงธรรม ฟาดกันไปถึงขั้น มหาสติ มหา
ปญ ญาแลว เอาละที่นี่

คําวา มหาสติ มหาปญญา หมายถึงสติปญญาอัตโนมัติ หมนุ ตวั กบั เหตกุ ารณ
ตางๆ อยตู ลอดเวลา ไมม คี าํ วา ยนื วา เดนิ วา นง่ั วา นอน จะเผลอตัวขณะใด เวน แต
ขณะหลบั เทา นน้ั นอกนั้นสติปญญาจะตองทํางานอยูตลอดเวลา จนถึงกับไดยับยั้งเอา
ไวไ มเ ชน นน้ั จะเลยเถดิ ดงั ทา นกลา วไวใ นธรรมสงั โยชนเ บอ้ื งบนวา อุทธัจจะ ความฟงุ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๒

๒๔๓

ความฟงุ ซา นราํ คาญ อุทธัจจะนี้หมายถึงความเพลินในงานของตน ไมใชอุทธัจจกุกกุจ
จะ แบบนวิ รณห า ซง่ึ มอี ยใู นสามญั ชนทว่ั ไป

อทุ ธจั จะนเ้ี ปน สงั โยชนเ บอ้ื งบน จะตดั ไดด ว ยอรหตั มรรคเทา นน้ั ทา นผทู ด่ี าํ เนนิ
อรหตั มรรคจะเปน ผเู พลดิ เพลนิ ในธรรมขอ น้ี จงึ เรยี กวา อทุ ธจั จะ ความเพลินเกินตัวก็
ไมถูกนะ ถาจะพูดเปนการเตือนก็บอกวา ความเพลิดเพลินเกินไปไมถูกนะ งานแมจ ะ
ไดเ พราะการกระทาํ กจ็ รงิ แตการกระทํางานทั้งหลายนั้นยอมมีการพักผอนเปนธรรมดา
พักผอนนอนหลับ พกั ผอ นรบั ประทานอาหาร แมแตรถวิ่งไปตามถนนยังตองเติมน้ํามัน
ยังตองพักเครื่อง

ผลจะไดเ พราะการทาํ งานกจ็ รงิ แตเมื่อทําไปจนหมดกําลังแลว ผลของงานจะได
มาจากไหน นี่สติปญญาเมื่อหมุนตัวไมหยุด ไมพกั ผอนหยอนตวั บา งเลยก็เหน่อื ย จติ
เหนื่อยเมื่อยลาจึงตองพักในวงสมาธิ ทา นบอกใหเ ขา พกั ในสมาธเิ สยี ใหจิตมีความสงบ
พอไดร ับความสงบเปน กาํ ลงั แลว จิตมีกําลังออกพิจารณา เชน เดยี วกบั คนทท่ี าํ งานจน
กาํ ลงั กายและจิตเหนื่อยเมอื่ ยลา แลว กม็ าพกั ผอ นนอนหลบั มารบั ประทานอาหารให
สะดวกสบาย ถงึ เวลาจะเสยี ไป อาหารการบรโิ ภคเหลา นน้ั จะเสยี ไปกต็ าม แตไดกําลัง
ขึ้นมาชดเชยกันเพื่อการงานตอไปอีก และเพอ่ื เพิ่มผลแหงงานข้นึ ไปโดยลาํ ดับ เพราะ
กําลังเกดิ จากการพักผอ นและการรบั ประทานน้นั

นก่ี ารพกั ผอ นในสมาธจิ ะเสยี เวลาํ่ เวลาบา งไมเ ปน ไรเพราะกาํ ลงั ชารจ พูดงายๆ
ชารจ แบตเตอรท่ี างดา นจติ ใจ ใหจ ิตมคี วามสงบมีกําลังทางสมาธิ ในขณะที่พักตองพัก
จรงิ ๆ ไมยุงกับสติปญญาใดๆ ทั้งสิ้น พอออกจากการพักแลวจิตจะมีกําลังวังชา สติ
ปญญาแหลมคม กเิ ลสตวั นน้ั แล สตปิ ญ ญาประเภทท่ีเคยแกก เิ ลสนแ้ี ล ใสเ ขา ไปขาด
สะบัน้ ๆ เพราะกําลังสติปญญามีมากเนื่องจากไดพักผอนอยางสะดวกสบายแลว นี่วิธี
การดาํ เนนิ วปิ ส สนาโดยสมาํ่ เสมอ

เมอ่ื ถงึ ขน้ั นแ้ี ลว ความขเ้ี กยี จขค้ี รา นหายหนา ไปหมด นอกจากไดร ง้ั เอาไวเ ทา นน้ั
ความเห็นโทษก็ถึงใจนอนใจไดยังไง ความเหน็ คณุ กถ็ งึ ใจ เห็นโทษแหงกิเลสทุก
ประเภท เหน็ อยา งถงึ ใจเหน็ อยา งซง้ึ เหน็ อยา งนา เขด็ นา หลาบ เหน็ อยา งนา กลวั คนเรา
เมื่อกลัวแลวอยูไดยังไง ที่ไหนจะเอาตัวรอดไดตองเผน ทไ่ี หนเหน็ วา จะพน ภยั ตอ งเผน
ไปที่นั่น นี่จิตเห็นวาจะพนภัยดวยวิธีไหนก็ตองโดดออก จะพนภัยดวยวิธีตอสูกับกิเลสก็
ตองตอสู เหมือนที่ตอสูดวยปญญา เพราะความเหน็ คณุ แหง ความพน ทกุ ข และเพราะ
ธรรมอศั จรรยต ามขน้ั ทป่ี รากฏอยใู นใจพาใหฮ กึ หาญ

แมจะไมถึงขั้นอัศจรรยเต็มภูมิก็ตาม ขึ้นชื่อวาธรรมแลวยอมเปนของแปลก ของ
อศั จรรยอ ยภู ายในจติ ใจของผรู ผู เู หน็ นน้ั แลว นน้ั แลเปน สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา อยภู ายในใจอยู

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๓

๒๔๔

แลว และเปนเคร่อื งสนบั สนุนใหมีกาํ ลังใจเพ่ิมข้ึนที่จะประพฤตปิ ฏิบัตธิ รรมเบอ้ื งสงู ขึ้น
ไปไมหยุดหยอน วา ใหพ น เทา นน้ั ไมพน กใ็ หตายเทา น้นั คําวาถอยมีไมไดแลว นี่สติ
ปญญาอัตโนมัติเปนอยางนั้น ในครง้ั พุทธกาลทา นวา มหาสติ มหาปญ ญา คอื หมุนตัว
เปน เกลยี วอยตู ลอดเวลา อัตโนมัติ ไมคําที่วาบังคับบัญชานอกจากตองไดรั้งเอาไว
เพราะจะเปนอุทธัจจะ คือฟุงเกินไป เพลนิ กบั การกบั งานการพจิ ารณาคน ควา จนเกนิ
ความพอดีไป แตไมไ ดผ ลเทาท่ีควร จึงตองใหพักผอนในสมาธิเสีย เมื่อมีกําลังแลวจึง
พจิ ารณาคน ควา ตอ ไป จนกระทั่งทะลุปรุโปรงไปหมด

อทุ ธจั จะ คอื ความฟุง ความเพลดิ เพลนิ ในงานของจติ มานะ ความถือความรูที่
เต็มไปดวยอวิชชานั่นเอง จะเปนอะไร เอาใหม นั ถงึ นน่ั ซิ ที่กลาวมาทั้งหมดนี้เปนของ
ปลอมเมื่อไร มีอยูกับนักปฏิบัติ ฝกใหได จิตเปนสิ่งที่ฝกได ฝกไมไดพระพุทธเจาดีไม
ได เปนศาสดาของโลกไมได พระธรรมกระเทือนโลกธาตุอยูเวลาน้ี ออกจากจิตทานที่
ไดฝกมาทั้งนั้น จิตเปนสมบัติของเราไมใชสมบัติของใคร เราเปน ผรู บั ผดิ ชอบภายในจติ
ของเรา เปน กเ็ ราตายกเ็ รา สขุ กเ็ ราทกุ ขก เ็ รารบั ทง้ั นน้ั เมอ่ื เปน เชน นน้ั เราจะปลอ ยให
กเิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยตู ลอดไปสมควรแลว เหรอ ตองเอาใหจริงใหจังนักปฏิบัติ

อยามองอะไรยิ่งกวาใจซึ่งเปนสถานที่เกิดเหตุ มหาเหตอุ ยูทน่ี ่นั โรงผลิตงานของ
กเิ ลสประเภทตา งๆ อยูท นี่ นั่ ในขณะเดยี วกันโรงผลติ อรรถผลิตธรรมก็อยทู น่ี ั่น เอา
แยกแยะกันเขาไป จติ นเ้ี ปน ตวั สาํ คญั มาก เอาใหถึงเหตุถึงผล จิตนี้เปนเหมือนนักโทษ
เวลาน้ี ธรรมเปน เครอ่ื งแกเ ครอ่ื งปลดเปลอ้ื ง กเิ ลสเปน เจา อาํ นาจบงั คบั บญั ชาจติ ใจ แก
ลงไปๆ เมื่อแกลงไปไดมากนอยจิตจะดีดขึ้นมาๆ โดยลาํ ดับลาํ ดา จนกระทั่งแกไดหมด
โดยส้นิ เชิงไมมสี งิ่ ใดเหลือแลว นั้นแลความหมุนตวั ของสตปิ ญ ญาทเี่ ปน ไปกบั เหตุการณ
ตางๆ ในวงความเพียรยอมยุติลงเอง เหมอื นกับนกั รบเมือ่ ไดช ัยชนะเต็มทแี่ ลว การรบ
พุงชิงชัยที่เปนไปทั้งวันทั้งคืนนั้นก็ยุติกันลง

สติปญญากับกิเลสเมื่อไดฟาดฟนหั่นแหลกกันลงไป จนไมมีกิเลสตัวใดมาตอกร
แลว เรอ่ื งความหมนุ ติว้ ๆ อยูดวยสติปญญานี้ก็หมดหนาที่ไป เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธ์ิ
ลว นๆ เอาอยูไหนอยูเถอะที่นี่ ไมมีกาลไมมีสถานที่ ไมยุงกับอดีตวาเคยเปนมาอยางไร
ไมยุงกับอนาคตวาจะไปเกิดเปนอะไรตอไปอีก ปจ จุบันก็รูเทา ไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในความ
รูความเปนของตน ตางอันตางจริงทุกสัดทุกสวน จิตก็จริงตามจิต จรงิ ตามหลกั ธรรม
ชาติ จริงในความประเสริฐของตน เมืองพออยูที่นี่ พอจิตหมดภัยแลวทุกสิ่งทุกอยางได
คลายไปตามๆ กัน นั้นแลคือผลแหงการประพฤติปฏิบัติอันเปนที่พึงใจ

พระพุทธเจาก็ดี สาวกท้งั หลายกด็ ไี ดน ําจติ ดวงน้ีขึ้นมาประกาศธรรมสอนโลก
นน้ั ไดม าดวยภาคประพฤตปิ ฏบิ ตั ิและไดม าดว ยความขยันหม่ันเพยี ร ดว ยความเปน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๔

๒๔๕

นักตอสู ไมใ ชไ ดม าดว ยความขเี้ กียจขีค้ ราน ความเหน็ แกป ากแกท อ ง ความเหน็ แก
หลับแกนอน ขี้เกียจออนแอ นั่นไมใชทางของผูจะดําเนินตนเพื่อความพนทุกข แตเ ปน
ทางอันเตียนโลงของกิเลสที่จะสั่งสมฟนไฟขึ้นมาภายในใจโดยถายเดียว

นี่ทานทั้งหลายมาจากที่ตางๆ ไดม าอบรมศกึ ษาอยใู นสาํ นักนี้ ผมมีความเมตตา
สงสาร ถึงจะอยูดวยกันมากบางก็ทนเอา ทานองคนั้นก็มีหัวใจองคนี้ก็มีหัวใจ เปนผมู งุ
มาเพ่อื อรรถเพอ่ื ธรรม ผมเองก็ไดคิดเทียบเคียงทุกสัดทุกสวนแลวกับหมูกับเพื่อน
เพราะเราเคยเปน ผนู อ ยมาแลว ไปเสาะแสวงหาครอู าจารยท่ไี หนท่ตี อ งจิตตองใจ เปนผู
ทน่ี า เคารพกราบไหวเ ปน ทล่ี งใจของเรานน้ั มนั หายากนกั ยากหนากวา จะพบเหน็ ทา น

เมื่อไปถึงครูบาอาจารยองคใดที่เปนที่สนิทติดใจกับทาน ดว ยความเชอ่ื ความ
เลอ่ื มใสจรงิ ๆ แลว เราพอใจที่จะอยู อยากใหท า นเมตตาสงสารรบั ไวส ง่ั สอน ใจจะขาด
ออกจากหทัยของเรา ถงึ ขนาดนน้ั ทเี ดยี วสาํ หรบั ผม นห้ี มเู พอ่ื นมาศกึ ษาอบรมกเ็ หน็ ใจ
อยางนั้นเหมือนกัน ถึงจะไมไดอยู แตไ ดร บั การอบรมชว่ั กาลชว่ั เวลากย็ งั ดี นแี่ หละขอ
ใหค ดิ เหน็ อรรถธรรมทก่ี ลา วมาเหลา น้ี นําไปประพฤติปฏิบัติ อยาทอถอยออนแอ สง่ิ
เหลา นเ้ี คยมอี ยใู นหวั ใจเราอยแู ลว ไมเห็นเปนของประเสริฐของอัศจรรยจากมัน นอก
จากธรรมอนั ประเสรฐิ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากความเพยี ร ความหนกั เอาเบาสเู ทา นน้ั

นว่ี นั นไ้ี ดอ ธบิ ายธรรมภาคปฏบิ ตั ใิ หท า นทง้ั หลายไดเ ขา อกเขา ใจ ทางพระเปน
สาํ คญั เพราะเปนจดุ ศูนยก ลางแหง จติ ใจของประชาชน และเปน ผรู กั ษาศาสนาในวง
ภายใน และมหี นา ทเ่ี ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เพศกป็ ระกาศอยา งเดน ชดั แลว วา เพศนเ้ี ปน
เพศสมณะ เปน เพศทบ่ี าํ เพญ็ อรรถธรรมโดยถา ยเดยี ว จึงไดแสดงใหทานทั้งหลายได
เขาอกเขาใจ เพื่อนําไปประพฤติปฏิบัติใหเกิดประโยชนแกตนตลอดผูเกี่ยวของมาก
นอย

บรรดาศรทั ธาญาตโิ ยมทง้ั หลาย จติ ใจก็เหมือนกนั กับพระ ตางกันก็สักแตเพศ
เทา นน้ั จติ ใจไมม คี าํ วา เปน ผหู ญงิ ผชู าย มคี วามรกั ใครช อบใจศรทั ธาในศาสนาเชน
เดียวกัน การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นในคณุ งามความดที ง้ั หลายเปน สริ มิ งคลแกเ รา เชน
เดยี วกบั พระทา นประกอบหนา ทก่ี ารงานทางดา นธรรมะของทา น เปน สริ มิ งคลแกใ จ
ของทาน เรามาประกอบบาํ เพญ็ คณุ งามความดที ง้ั หลายมที าน ศีล ภาวนา เปน สาํ คญั ก็
เปน สริ มิ งคลแกจ ติ ใจของเรา ใจเปน สาํ คญั มาก ขอใหพ ยายามบาํ รุงใจ ใจเปนหลักใหญ
ใจเปนนกั ทอ งเที่ยวดังท่ที า นอาจารยม ่นั ทานพดู หาขอแยงไมได

จะทองเที่ยวไปไหนก็ตาม ขอใหทองเที่ยวไปดวยบุญดวยกุศล ดว ยคณุ งาม
ความดเี ปน เครอ่ื งสนบั สนนุ เถดิ จะเปน ทเ่ี บาอกเบาใจ เปน ทส่ี ะดวกสบาย เปน สุคโต
ไปก็ดีอยูก็เปนสุข เกิดในภพใดชาติใดถามีคุณงามความดีเปนเครื่องหลอเลี้ยงจิตใจ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๕


Click to View FlipBook Version