๑๙๖
เทา นน้ั ไมถึงกับตองเปนกังวลในหยูกยาจนเกินไป เพราะความกลวั ตายมมี ากกวา
ความหวังพนทุกข
ไมถ ือปจจยั ทง้ั สี่นเ้ี ปนของวเิ ศษวโิ สจนลืมธรรม เราเปน นกั ปฏบิ ตั เิ หตใุ ดจงึ มา
ถอื สง่ิ เหลา น้ี วา เปน ของจาํ เปน และวเิ ศษวโิ สไปเสยี หมด ยิ่งกวาแดนแหงความพนทุกข
ที่พระพุทธเจาทรงสอนไว มันขัดกันมากนอยเพียงไร พากนั พจิ ารณาใหถ งึ ใจ ปจจัยสี่นี้
เราเปน มนษุ ยม าจากบา นจากเรอื น แตส ตั วเ ขากย็ งั มรี วงมรี งั พระมาจากมนษุ ยมาจาก
คน ก็ยอมมีที่อยูที่อาศัยเปนธรรมดาเชนสัตวและมนุษยทั่วไป จึงเรียกวาปจจัยพอได
อาศยั เทา นน้ั ไมใชเปน เนอ้ื เปนหนงั เปนชนิ้ เปนอัน เปนของวิเศษวิโสไปเสีย พอจะตั้ง
หนา ตง้ั ตาฮกึ เหมิ กนั จนลมื เนอ้ื ลมื ตวั ลมื อรรถลมื ธรรม ลืมการแกกิเลส ลืมงานของตน
ในการแกก เิ ลส เพือ่ ความหลดุ พน เพอ่ื ความประเสรฐิ ไปเสยี หมด นม่ี นั กา วกา ยหลกั
ธรรมของพระพทุ ธเจา ขนาดไหน จงพากันพิจารณาใหดอี ยา นอนใจ
นเ่ี ปน หว งหมเู พอ่ื นมาก จงึ ยาํ้ แลว ยาํ้ เลา อยอู ยา งนน้ั เพราะเลง็ เหน็ จดุ นเ้ี ปน จดุ
สาํ คญั ทพ่ี ากนั ยงุ ไมเ ขา เรอ่ื งเขา ราวทว่ั ดนิ แดน ราวกบั มรรคผลนพิ พานอยตู รงนน้ั แต
จดุ สาํ คญั ทจ่ี ะใหว เิ ศษวโิ สภายในจติ ใจ มคี วามรม เยน็ มีความสงบ มีความผองใส มี
ความสงา งามภายในตน จนถึงความสวางกระจางแจงแทงทะลุกิเลสไมมีเหลือ เพราะ
อาํ นาจแหง ความเพยี ร คือการเดินจงกรม นง่ั สมาธภิ าวนา เหลา นเ้ี ปน ความบกพรอ ง
เหลา นเ้ี ปน ความไมส นใจ แลว เราจะหาแดนพน ทกุ ขม าจากทไ่ี หน เมอ่ื จดุ แหง ความ
วเิ ศษทค่ี วรดาํ เนนิ มขี วางหนา อยู แตไ มม ีใครสนใจใฝฝ น
งานนเ้ี ปน งานเพอ่ื ความวเิ ศษจรงิ ๆ งานปราบปรามสง่ิ ทเ่ี ลวรา ยทง้ั หลายใหห มด
สน้ิ ไปดวยความเพียร และถึงแดนแหงความพนทุกขจริงๆ ดงั พระพทุ ธเจา พระสงฆ
สาวกทา นเปน ไปแลว จงถือเปนขอ หนักแนน ประจาํ ใจ อยาไปสนใจอะไรกับสิ่งภายนอก
มากนัก น่ีเพียงไดอาศัยเรียกวา ปจจยั ๆ เทา นน้ั ใหเ ขา ใจ ไมใชเปนของวิเศษ สว นของ
วเิ ศษดงั ทก่ี ลา วมานี้ ใหพ ากนั ต้ังหนา ตง้ั ตาขวนขวายดว ยความพากเพียรจริงๆ
เอา หนกั ก็หนกั กเิ ลสมนั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเรามาหนกั ขนาดไหน กี่ภพกี่ชาติ ถึง
ขนาดลม หายตายจากกนั ไปอยตู ลอดเวลาในภพชาติน้นั ๆ เกดิ มากท็ กุ ขล าํ บากลาํ บน
แสนสาหสั กอ นท่ีจะเกดิ มาแตละภพละชาติ การทรงตวั อยใู นภพชาตนิ ้ันๆ กไ็ ดร บั ความ
ทกุ ขค วามลาํ บาก เพราะอาํ นาจของกเิ ลสเปน สาเหตเุ ปน ตวั บงการทง้ั นน้ั การตายก็ได
รบั ความทกุ ขค วามทรมาน จนถึงวาระสิ้นสุดกันในความสืบตอของธาตุของขันธจึงตาย
ไป แตเชื้อภายในใจยังมีอยู พอตายที่นี่ก็ไปเกิดที่นั่น ตายที่นั่นก็ไปเกิดที่นี่ สูงๆ ต่ําๆ
ลมุ ๆ ดอนๆ เพราะอํานาจแหงกุศลและอกุศลที่เคลือบแฝงกันไป เปนมาอยางนี้ตลอด
กาล
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๖
๑๙๗
เราสงสยั อะไรเรอ่ื งภพเรอ่ื งชาตเิ รอ่ื งการเกดิ แกเ จบ็ ตาย มันจะวิเศษวิโสอะไรไป
ยิ่งกวาความเกิดก็เปนทุกข แกก็เปนทุกข ชราก็เปนทุกข ตายก็เปน ทุกขเทาน้ัน มีอะไร
ประจําความเกิดเราจงึ ไมต่ืนเตน หรอื ไมต กใจ ไมห วาดเสยี ว ไมห วาดกลวั พษิ ภยั เหลา น้ี
ที่บีบบังคับขยี้ขยําเรามาทุกภพทุกชาติ ซง่ึ นา จะเกดิ ความหวาดเสยี ว เกดิ ความเขด็
หลาบ แลว ประกอบความพากเพยี รใหเ นน หนกั ลงไปทกุ วนั ทกุ เวลา ดว ยความเหน็ ภยั
ในสง่ิ เหลา นน้ั และดว ยความเหน็ คณุ ในความหลดุ พน จากสง่ิ เหลา นน้ั ดว ยความ
พากเพียร เทานท้ี ําไมเราจะทาํ ไมได หนกั ขนาดไหนมนั ไมเ ลยตายน่ี
เราเกดิ แกเ จบ็ ตายในโลกมานห้ี นกั ขนาดไหน การเกดิ แกเ จบ็ ตายไมใ ชเ ปน เรอ่ื ง
เล็กนอย เปนเรื่องทุกขทั้งนั้น ไมป รากฏวา เปน ความสขุ เลย เวลาประกอบความ
พากเพยี รเทา น้ี ทาํ ไมจะเหน็ วา เปน ความทกุ ขเ ปน ความลาํ บาก เราจะหาแดนพนทุกขได
ที่ตรงไหน จดุ ใดเปน จุดทเี่ ราจะเกิดความอบอุนมัน่ ใจ ถาไมเกิดขึ้นจากความเพียร
ความพยายาม หนกั กเ็ อาเบากส็ ู เปนก็สูตายก็สูไมถอยหลัง ตายเอาดาบหนา นเ้ี ทา นน้ั
ทาํ แบบนีแ้ ลคือลกู ศิษยตถาคต ใหถ อื กจิ นเ้ี ปน สาํ คญั นี่แหละแดนแหงความพนทุกขอยู
ท่ีตรงน้ี
พจิ ารณาลงไป สติปญญามีไดดวยกันทั้งนั้น ถา เปน ผสู นใจใครต อ การพจิ ารณา
ตามอบุ ายวธิ ที ค่ี รบู าอาจารยส ง่ั สอนมาแลว อยาถอยหลัง ตองเปนนักตอสูเสมอ กเิ ลส
ชอบที่สุดกับคนออนแอคนขี้เกียจขี้คราน ชอบกบั สตั วป ระเภทนเ้ี พราะไดอ ยบู นหวั สตั ว
ประเภทน้ี แตไมชอบผูที่ฝาฝนกิเลส เพราะความฝา ฝน นน้ั เปน เรอ่ื งของธรรม เปน
ขาศึกตอกิเลส กิเลสจึงไมชอบ
สิ่งใดที่กิเลสไมชอบ เรามกั จะไมช อบดว ย นน่ั ถาสิ่งใดกิเลสชอบเราก็ชอบตาม
มัน นจ่ี ะเรยี กวา เราทวนกระแสกเิ ลสไดอ ยา งไร กเ็ รยี กกวา เราหมอบราบใหก เิ ลสทกุ
อิรยิ าบถทุกอาการทเ่ี คล่อื นไหวละซิ แลวจะหาทางพนทุกขไดที่ไหน เมื่อไมมีการตอสู
ไมม กี ารตา นทาน ไมมกี ารฝา ฝน กันบางพอเปน เครือ่ งหมายแหงธรรม พอเปนเครื่อง
หมายแหง ความเพยี ร พอเปนเครื่องหมายของนกั รบ เราจะหวงั แดนแหง ความพน ทกุ ข
ไดที่ไหน ตอ งพจิ ารณาตอ งบวกลบคณู หารใหต วั เอง
อยวู ันหนง่ึ ๆ เสยี เวลาํ่ เวลาไปเปลา ๆ ทําไม สติปญญาซึ่งเปนของมีอยูควรจะคิด
คนขึ้นมาไดทําไมไมคิดไมคน ปลอ ยใหก เิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายนอนจมอยใู นปลกั สมควร
แลว เหรอกบั เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิวา มากาํ จดั กเิ ลส กลายเปน กเิ ลสกาํ จดั เราอยตู ลอดเวลา
มนั เขากันไดหรือกับหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา จงนาํ มาคดิ มาคน มาเทยี บเคยี งใหเ ขา
ใจ ตัดสินใจลงโดยถูกตองตามหลักธรรม กเิ ลสจะคอ ยหมอบราบลงโดยลาํ ดบั ๆ ไมมี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๗
๑๙๘
อะไรที่จะเหนือกิเลสไปไดนอกจากธรรม จงพากันตั้งอกตั้งใจผลิตสติธรรม ปญญา
ธรรม วริ ยิ ธรรม ขันติธรรมขึ้นใหเต็มภูมิ ปราบกเิ ลสใหเ รยี บราบลงไป
การพิจารณาทางดานปญญาไมมีขอบเขต เปนแตเพียงอธิบายใหฟงเปนกลางๆ
แลว แตอ บุ ายของแตล ะรายๆ จะนําไปพจิ ารณาแยกแยะเอาเอง พลิกหนาพลิกหลัง
ยอ นหนา ยอ นหลงั พจิ ารณาหลายตลบทบทวน หากเกิดอุบายอันใดอันหนึ่งขึ้นมา เวลา
จะทําความสงบก็ใหจริงจังกับความสงบ เวลาจะพจิ ารณาทางดา นปญ ญากใ็ หจ รงิ จงั กบั
ดานปญญาจริงๆ อยา ทาํ เหลาะๆ แหละๆ เหลวๆ ไหลๆ ใชไมได ผิดกับทางของผูที่จะ
รื้อถอนตนออกจากทุกขในวัฏสงสารดวยความเพียร
ความเพยี รคอื ความมสี ตเิ ปน สาํ คญั คําวาสตินี้ปลอยวางไมได ไมว า จะเปน งาน
ประเภทใด ภายนอกภายใน สติเปน ส่ิงสําคญั มาก ยง่ิ เกย่ี วกบั จติ ตภาวนาดว ยแลว ไมวา
จะเปน สมถะไมว า จะเปน วปิ ส สนา สตเิ ปน ธรรมสาํ คญั มาก เราเหน็ คณุ คา ของสตเิ ตม็ หวั
ใจ จึงไดนํามาอธิบายใหหมูเพื่อนฟงอยางไมสะทกสะทาน เพราะไดเ คยปฏบิ ตั มิ าแลว
ขาดสตลิ ม ลกุ คลกุ คลานกเ็ คยเปน มาแลว ต้ังสติอยูตลอดเวลาจนกระทั่งไมมเี วลาเผลอ
และไมไดคิดวาตนไดตั้งสติ แตกลายเปน สตอิ ยูตลอดเวลานบั แตขณะทต่ี ่ืนนอนจนถึง
เวลาหลบั จนไมอาจจะจับไดวาตั้งแตขณะตื่นนอนขึ้นมาจนถึงบัดนี้ที่ยังไมหลับ เราได
เผลอตรงไหนบา งไมม เี ลย อยา งนก้ี ไ็ ดเ ปน มาแลว
ทําไมจึงเปนไดอยางนั้น เวลาลม ลุกคลุกคลานมันกเ็ ปนของมันอยา งนั้น เมื่อ
อาศัยการฝกฝนอบรมอยูโดยสม่ําเสมอ ดวยความเขมแขง็ ในความพากเพยี ร เพราะ
ความมุงมั่นเปนเครื่องฉุดเครื่องลากไป สติก็มคี วามแกก ลา สามารถข้นึ มา จนถงึ ขนาด
วาหาชองวางไมได วาสตไิ ดข าดไปตรงนั้นตรงนี้
นี่จึงไดเชื่อในหลักธรรมของพระพุทธเจาที่กลาวไวในครั้งพุทธกาล แลวติดมา
ตามตาํ รบั ตาํ ราจนกระทง่ั ปจ จบุ นั นว้ี า มหาสต-ิ มหาปญ ญา หมายความวา อยา งไร การ
อา นการเรยี นการจดจาํ มานไ้ี มใ ชค วามจรงิ การประสบพบเหน็ ดว ยความพากเพียรของ
ตนจริงๆ ทางภาคปฏบิ ตั นิ น้ั เรยี กวา ความจรงิ เพยี งความจาํ เทา นน้ั ตอ งคาดตอ งหมาย
ไปตางๆ นานา แตหาความจรงิ ทล่ี งใจไมได แตความจริงเขาถงึ ไหน หายสงสยั ไปโดย
ลาํ ดบั ๆ จนถึงขั้นมหาสติ-มหาปญ ญาจรงิ ๆ ก็หมดปญหาโดยประการทั้งปวงไปเลย
เปนอยางไร มหาสต-ิ มหาปญญา ก็เปนดังที่รูๆ อยนู แ้ี ล ไมเผลอไผลไปไหน ตง้ั
ไมตั้งก็รูรอบตัวอยูอยางนั้น จะใหส งสยั ไปเทย่ี วลบู เทย่ี วคลาํ ทไ่ี หนกนั อกี ตดิ แนบกนั
อยูตลอดเวลาเปนสติปญญาอัตโนมัติ หมนุ ตวั เปน เกลยี วไปดวยหลักธรรมชาติของตน
เพราะกเิ ลสประเภทตา งๆ เปนเชื้อที่จะใหสติปญญาลุกลามตามติดไปโดยลําดับ จน
กระทั่งถึงกิเลสสิ้นสุดมุดตัวลงไป สติปญญาก็ตามติดลงไป ถึงขั้น อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๘
๑๙๙
รา แตกกระจายไปจากใจหมดแลว นน้ั แลคาํ วา มหาสต-ิ มหาปญญาก็หมดหนาที่ไป
โดยไมตองบังคับ
เพราะเหตใุ ดจงึ หมดหนาที่ เพราะคาํ วา มหาสต-ิ มหาปญ ญา นั้นก็เปนสมมุติ
เชน เดยี วกบั กเิ ลส กิเลสละเอียดสติปญญาก็ละเอียด เพราะเปนเครอ่ื งตอ สูกนั เปน
เคร่ืองฟาดฟน หั่นแหลก เปนคปู รับกนั พอกิเลสสมมุติอันเปนฝายผูกมัดสิ้นสุดลงไป
ฝายแกก็สิ้นสุดลงไปดวยกัน และทราบชดั ภายในตนเอง นน่ั ทานเรยี กวา ความจรงิ เตม็
ภมู ิ
มหาสติ-มหาปญญา เมื่อยุติลงแลวไปอยูที่ไหน ก็เมื่อมหาสติมหาปญญาเกิด
เลา เกดิ ทไ่ี หนกด็ บั ลงไปทน่ี น่ั นน่ั แล จะหลงอะไรกันอีกจึงตองถาม เหมือนเครื่องมือ
ทํางานชนิดตางๆ นน่ั แล เมอ่ื งานสาํ เรจ็ ลงไปแลว เครื่องมือก็หมดหนาที่เก็บรักษากัน
ไปเอง เจา ของเปน ผปู ลอ ยเองวางเองเพราะงานนน้ั สาํ เรจ็ เสรจ็ สน้ิ ลงแลว วมิ ตุ ตญิ าณ
ทสั สนะ ความรูแจงในวิมุตติก็รูแจงอยูกับตัวเองคือวิมุตติหลุดพน เวลาตอ งการจะคดิ
คน พนิ จิ พจิ ารณาอรรถธรรมแงต า งๆ แตละขั้นละตอนก็คิดไดตามธรรมดา แลว ก็ดบั
ไปๆ เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน สมมตุ ดิ ว ยกนั
ธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธท์ิ เ่ี รยี กวา รแู ทร จู รงิ นน้ั เปน อนั หนง่ึ ตา งหากจากอาการทง้ั
หลายเหลา น้ี เพราะฉะนน้ั ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค จงึ เปนเพียงสมมุติดวยกัน ทง้ั ฝา ย
ผูกฝายมัด ทั้งฝายแกฝายถอดถอน ธรรมชาติทบี่ ริสทุ ธ์อิ ยางแทจ ริงน้นั ไมใ ชส จั ธรรมท้ัง
ส่ี ทุกขใหกําหนดรู เปน กริ ยิ าอนั หนง่ึ สมุทัย แดนผลิตทุกขก็เปนอาการอันหนึ่ง นโิ รธ
ความดับสมุทยั และทุกขก็เปนกิรยิ าอันหน่ึง มรรคมสี ติปญญาเปน ตน เครอ่ื งดับสมทุ ยั
และทุกขก็เปนกิริยาอันหนึ่ง แตละอยางๆ เปนสมมุติ
ผูที่รูวาทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ทาํ งานเสรจ็ สน้ิ ลงไปแลว คอื อะไร นั่นไมใ ชส ัจ
ธรรมแตเ ปน วมิ ตุ ตธิ รรม ธรรมนอกสมมุติ ฉะนั้น จงพากนั ปฏบิ ตั ใิ หเ หน็ จรงิ อยา งนน้ั
แลว จะสงสยั ไปไหน พระพุทธเจาทานตรัสรูอยางไร สงสัยอะไร พระสาวกทา นบรรลุ
ธรรมหรอื ตรสั รธู รรมทา นตรสั รอู ยา งไร สงสัยอะไร ทา นฆา กเิ ลสตาย ทา นฆา แบบไหน
ทานฆาดวยอะไร สงสัยอะไร เพราะเรากท็ าํ อยา งนน้ั รอู ยา งนน้ั เหน็ อยา งนน้ั อยแู ลว เปน
ความจรงิ เสมอกนั แลว สงสยั ทา นหาอะไร นน่ั จงึ เรยี กวา ความจรงิ เตม็ สดั เตม็ สว น ความ
บริสุทธิ์ของพระพุทธเจากับของสาวก กบั ธรรมชาตทิ เ่ี รารๆู เหน็ ๆ อยเู ตม็ หวั ใจนผ้ี ดิ
กันอยางไร สงสัยอะไร นน่ั จงึ เรยี กวา รจู รงิ เหน็ จรงิ เมอื่ ทาํ จรงิ ๆ ยอ มรจู รงิ เหน็ จรงิ ไม
เปน อ่นื
ขอใหทุกๆ ทา น ตั้งอกตั้งใจฟาดฟนหั่นแหลกลงไปอยาเสียดายชีวิต อยางไรก็
ตองตาย กอนตายใหไดฟาดฟนหั่นแหลกกิเลสใหไดชัยชนะเสียกอน รางมันจะไปเมื่อ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๙
๒๐๐
ไร พญามจั จรุ าชอนั เปน เสนาใหญจ ะมาเอารา งกายนไ้ี ป ใหมันไดแตกากเมืองไป ตัว
จริงสมบัติอันลนคาถอนตัวออกมาแลว ไดแตกากเมืองไปเทานั้น ความพไิ รราํ พนั อาลยั
เสียดายไมมี เพราะรแู จง เหน็ จรงิ เตม็ ภมู จิ ติ ภมู ธิ รรมแลว ตง้ั แตย งั ไมต าย นน่ั นักปฏิบัติ
เราจงึ นา ชมเชยวา เปน คนฉลาด ศาสดาเปน ครสู อนในวชิ านกั รบ อยจู บพรหมจรรย
อยางสงางามเปน สังฆโสภณา
น่ีพดู เรอื่ งงานอนั จาํ เปน ของสมณะเรา คือ เดนิ จงกรมนง่ั สมาธภิ าวนาหาความ
สงบทางจิตใจ หาความสวา งกระจา งแจง ดว ยสตปิ ญ ญาภายในจติ ใจ ประจําเพศของผู
เหน็ ภยั ในวฏั สงสาร ไมล ดละปลอ ยวาง จนผลงานสาํ เรจ็ เตม็ หวั ใจแลว การทาํ ประโยชน
ใหโลกนั้นจะไมมีผูใดที่ทําไดมาก ยง่ิ กวา ผรู แู จง เหน็ จรงิ เปน ผทู าํ ผสู งเคราะห เพราะไม
ใชท างไหลมาแหง ความเสยี หาย นอกจากเปน ทไ่ี หลมาแหง ประโยชนม หาศาลโดย
ถา ยเดยี ว
อันการทําในลักษณะขายกอนซื้อ สุกกอนหาม สาํ หรบั วงปฏบิ ตั เิ ราอยา พากนั คดิ
ดาํ รทิ าํ จะไมเกดิ ประโยชนด ังท่หี มายเทา ทีค่ วร อยางนอยพาใหเนิ่นชาตอการปฏิบัติ
เพื่อมรรคผลของตน มากกวา นน้ั กพ็ าใหเ สยี ได ทําใหเสื่อมทางจิตใจที่มีอยูแลว และไม
อาจคบื หนา ในธรรมขน้ั สงู ขน้ึ ไป เพราะเปน ภาระในการอบรมสง่ั สอนผอู น่ื ยิ่งกวา
การอบรมสั่งสอนตวั เอง สุดทายก็กาวไมออก นอกจากนั้นก็ไมสนใจจะกาว เพราะใจทอ
ถอยใจหมดกําลังที่จะปฏิบัติ จติ เส่อื มธรรมเสอ่ื ม กเิ ลสเจรญิ ทกุ ขก า วหนา น่นั คือผล
ของความสุกกอนหาม ขายกอนซื้อ
การทน่ี ยิ มกนั วา การทาํ อยา งนอ้ี ยา งนน้ั เปน การชว ยโลก การกอ นน้ั สรา งนก้ี ารไป
ชว ยแนะนาํ สง่ั สอนคนนน้ั คนนเ้ี ปน การชว ยโลกนน้ั ไมป ฏิเสธวาไรผลโดยถา ยเดยี ว แต
การมเี หตผุ ลในการสอนตนและสอนคนอน่ื นน้ั เปน ความรอบคอบ การทาํ ไปโดยทเ่ี รา
ไมส นใจจะสรา งหวั ใจเราใหด หี รอื วเิ ศษวโิ สขน้ึ มา โดยที่เราไมสนใจที่จะสั่งสอนตัวของ
เราใหเปนพระดีจิตใจดีขึ้นมา แลวจะไปสอนคนอนื่ ใหด บิ ใหด ใี หว ิเศษวิโสไดอ ยางไร
ฉะนั้น จึงขอใหทําใจของตนใหดีเถอะ ทําจิตใจของตนใหมีหลักมีแหลงหรือถึง
ขั้นเต็มภูมิแลว การทาํ ประโยชนใ หโ ลกจะเปน ประโยชนม หาศาล โดยไมเ สย่ี งตอ ความ
เสยี หายใดๆ ท่ีจะตามมาสตู นและผอู ่ืน
ไมมีผูใดจะทําประโยชนใหแกโลกได ย่ิงกวา ผูม จี ิตกระจางแจง ดว ยอรรถดว ย
ธรรม เตม็ ไปดว ยมรรคดว ยผล เตม็ ไปดว ยมหาสมบตั นิ เ้ี ลย มหาสมบตั นิ แ้ี ลนาํ ไปแจก
สตั วโ ลกไดร บั ความรม เยน็ ตลอดมา ดังพระพุทธเจาประทานแกสัตวโลกจนกระทั่ง
ปจ จบุ นั น้ี ธรรมสอนโลกออกมาจากไหน ถาไมออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์หมดจดของ
พระพุทธเจา จงพจิ ารณาใหด ี เอาใหจ รงิ ใหจ งั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๐
๒๐๑
อยา หลงใหลไปตามเรือ่ งโลกสมมตุ ินิยม พระพุทธเจาไมพ าหลง ทรงสอนใหร ู
ทุกแงทุกมุม บรรดากลมายารอ ยสนั พนั คมของกเิ ลสตณั หาภายในหวั ใจเรา เอาใหร กู ล
มายาของกเิ ลสในจติ ใจ จงึ ชอ่ื วา เปน ผฉู ลาด ฉลาดใดก็ตามถาไมฉลาดในกลมายาของ
กเิ ลสท่ีมอี ยูภ ายในจติ นี้ ไมเ รยี กวา ฉลาด ถา ฉลาดตรงนแ้ี ลว อยไู หนกฉ็ ลาด ไมมีใครมี
อะไรมาเสกสรรก็พอตัว ใครชมเชยสรรเสรญิ ตฉิ นิ นนิ ทากพ็ อตวั ไมเอื้อมไมจับ ไมล บู
ไมคลํา ไมค วา โนน ควา น้ี เพราะพอตวั แลว ดวยความฉลาดแหลมคม พอตวั แลว ดว ย
ความสมบรู ณพ นู ผลในมรรคในผลมเี ตม็ อยภู ายในใจนแ้ี ลว ดวยการประพฤติปฏิบัติ
อยางเอาจริงเอาจังตามทางศาสดา
เราเปนลูกศิษยตถาคตไมใชจะมาแสดงความออนแอ มาสั่งสมความออนแอทอ
แท กลวั กเิ ลสตณั หาอาสวะหมอบยอมกเิ ลสอาสวะ ทั้งที่รูพิษของกิเลสตามหลักธรรม
อยูแลว…ไมถูก ตองเอาใหจริงใหจัง หนักเบาก็เปน เรื่องของเราจะตอ งเปนผตู อ สูและ
รบั เอง กเิ ลสตวั ไหนมนั พาใหห นกั และหนกั อยทู ไ่ี หนเวลาน้ี ถาไมใชกิเลสทุกๆ ตวั เปน
ภยั ครอบอยใู นหวั ใจน้ี จงแกกันลงตรงนี้ มันจะหนักขนาดไหน ทีแบกกิเลสทําไมไม
หนกั จะสลัดกิเลสออกจากหัวใจดวยความเพียร ทาํ ไมวา หนกั ทําไมไปสําคัญผิด นี่คือ
เรอ่ื งกเิ ลสหลอกเรายาํ้ เขา ไปอกี รกู นั หรอื ยงั ใหร เู สยี วา กเิ ลสมนั หลอกอยา งนห้ี ลอกคน
นะ จงเอาใหจ รงิ ใหจ งั เราเปนนักปฏบิ ตั ไิ มถอยหลงั จะเหน็ แดนแหง ความพนทกุ ขข น้ึ
มาทใ่ี จเราเอง
การพิจารณาทางดานปญญา เอาใหจ รงิ ใหจ งั พิจารณาขา งนอกขา งในเทยี บเคยี ง
กันไดทุกสัดทุกสวน รปู กายเปน ของสาํ คญั มากสาํ หรบั จติ ขน้ั หยาบ ตองพิจารณาคลี่
คลายจนรแู จง เหน็ จรงิ ในรปู ดว ยปญ ญา สว นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เครื่องมือ
แกและถอดถอนคือสติปญญาจะมาเอง พอเหมาะพอสมกบั นามธรรมเหลา น้ี จนกระทั่ง
ถงึ กิเลสทร่ี วมตวั อยภู ายในจติ สติปญญาขั้นนั้นก็จะมีมาพรอมๆ กัน จนกระทั่งกิเลส
หลดุ ลอยไปหมดไมม เี หลอื ภายในใจเลย นน้ั แลเปน แดนแหง ความพน ทกุ ข นน้ั แลผลท่ี
ตองการ นน้ั แลผลอนั ประเสรฐิ ที่เรามุงหวังหรือมุงมั่นอยูตลอดเวลา จะเหน็ มหาสมบตั ิ
อนั ลน คา อยภู ายในใจ แลว ปลอ ยวางโลกามสิ โดยประการทง้ั ปวง ไมส งสยั ในสง่ิ ใด
บรรดาโลกสมมตุ ิ เมอ่ื ไดเ หน็ ธรรมชาตอิ นั ประเสรฐิ ภายในใจนแ้ี ลว ขอใหพากันตั้งอก
ตั้งใจประพฤติปฏิบัติเต็มสติปญญาความสามารถทุกดานที่มีอยู
อยา สนใจอยา เขา ใจวา สง่ิ ใดดใี นโลกธาตนุ ้ี นอกจากดวงธรรม คือความพนทุกข
นเ้ี ทา นน้ั เปน ของวเิ ศษ ใหขะมักเขมนเขนฆาลงที่ตรงนี้ พระพทุ ธเจา ประเสรฐิ ทต่ี รงน้ี
ประเสรฐิ ดว ยความเพยี รแกส ง่ิ ทห่ี ยาบโลนทง้ั หลายภายในจติ ใจนอ้ี อกแลว กลายเปน ผู
ประเสรฐิ ขึน้ มา ประเสรฐิ ดวยงานดังทีก่ ลา วมา จงยดึ เปน หลักจติ หลักใจ ยดึ เปน หลกั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๑
๒๐๒
เปนหลักตายกับที่ตรงนี้ จะเหน็ แดนแหงความพน ทกุ ขขึน้ มาในวนั หน่ึงโดยไมต อ ง
สงสัย
การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร เอาละแคน ้ี
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๒
๒๐๓
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
วนั ท่ี ๒๐ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
กเิ ลสเปน ภยั
ผมนะเปนหวงใยหมูเ พอ่ื นเต็มหัวใจ ไมไดหวงธรรมดาเหมือนที่โลกหวงกัน จติ
ผมไมเปนอยางนั้น รบั แลว รบั ถงึ เปน ถงึ ตายทกุ อยา ง การอบรมสง่ั สอนในดา นใดทจ่ี ะ
เปน คณุ เปน ประโยชน เปนอุบายวิธีการแกสิ่งไมดีทั้งหลายในจิตใจของผูมาอาศัยอยู
ดว ย เราทุมเทลงเต็มกําลังความสามารถทุกแงทุกมุม เราไมไ ดทาํ เลน ๆ ทาํ จริงทาํ จังสง่ั
สอนจรงิ ๆ เพราะกิเลสมีหลายประเภทที่ควรแกและถอดถอน ประเภททร่ี นุ แรงทาํ ให
จติ หวน่ั ไหวอยตู ลอดเวลากม็ ี ประเภทที่หมักหมมอยูลึกๆ ก็มี ประเภททีแ่ สดงอยาง
ออกหนาออกตาเห็นไดอยางชัดเจน จนถึงทําใหจิตใหกายไหวไปตามก็มี
ผูปฏิบัติซึ่งเปนนักบวชมุงตออรรถตอธรรมดวยการแกกิเลสอยูแลว จงึ ไมค วร
เหน็ กเิ ลสประเภทตา งๆ วา เปนของไมส ําคัญ พอที่จะนอนใจ ไมคิดอานเรื่องสติปญญา
ทจ่ี ะนาํ มาแกส ง่ิ เหลา น้ี ซึ่งเปนภัยตอตนมาแตกาลไหนๆ อยแู ลว
ในพระโอวาทของพระพุทธเจา เทาที่นับไดพอประมาณ ๘๔,๐๐๐ พระ
ธรรมขันธ พระองคไมเคยแสดงวากิเลสตวั ใดไมเปน ภัยตอ จิตใจของสตั วโ ลกเลย เปน
ภยั ทัง้ นน้ั เปน แตเ พยี งหนกั เบาตา งกนั สิ่งที่เปนภัยถึงจะหนักเบาตางกนั ก็ตาม ก็คือ
ความเปน ภยั ตอ เราอยนู น่ั แล เสย้ี นปก หนามปก ถูกหอกแหลนหลาวตางๆ มีความเจ็บ
ปวดทนทุกขทรมานไปตามลําดับลําดาของสิ่งนั้นๆ ที่มีพิษภัยตางกัน แลว ใครจะกลา นาํ
สิ่งนั้นมาทิ่มแทงตนเอง แมแ ตเ สย้ี นแตห นามเลก็ ๆ กท็ ราบแลว วา ทาํ ความเจบ็ ปวดได
ตามกําลังของมัน กเิ ลสประเภทตา งๆ ท่ฝี งจมอยภู ายในกม็ ีหลายประเภท กล็ ว นแตนํา
ความทกุ ขท รมานใจเราไดม ากนอ ยตามสว นของมนั เชน เดยี วกนั
ผปู ฏบิ ตั จิ งึ ควรสาํ เหนยี กศกึ ษา ใครค รวญจากโอวาทครบู าอาจารยส ง่ั สอนและ
สงั เกตพจิ ารณาความเคลอ่ื นไหวของจติ ที่เปนมาเพราะอํานาจของกิเลสผลักดันออก
ทุกระยะๆ ผูปฏิบัติเพื่อจะแกพิษภัยออกจากใจ ไมใ ชม านอนอยูเ ฉยๆ จงึ เปน ผคู วรคดิ
คาํ นงึ เพราะเพศนเ้ี ปน เครอ่ื งประกาศใหโ ลกและตวั เองทราบวา เปน เพศของนกั บวช
เพยี งมาเปน นกั บวชและรบั ทราบวา ตนเปน นกั บวชเทา นน้ั กิเลสก็ยังไมหลุดลอยไป
เพราะกเิ ลสมไิ ดบ วชดว ยใครทง้ั สน้ิ ตองไดทําหนาที่แกกิเลสประเภทตางๆ ตามหนาที่
และเพศของตนอีกดวย
เพราะฉะนั้นเพศของนกั บวช จงึ มแี ตก ารฆา กเิ ลสโดยถา ยเดยี ว ไมม คี าํ วา สง่ั สม
กเิ ลส จะเปน กเิ ลสประเภทใด ตองชําระสะสางออกใหหมด ดวยความพากเพียรเต็มสติ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๓
๒๐๔
กาํ ลงั ความสามารถ จึงถูกตองตามเพศ ตามหนา ทแ่ี ละเจตนาของการบวชเขา มาในพระ
พุทธศาสนา อนั เปน สถาบนั แกก เิ ลสโดยถา ยเดยี ว และถูกตองตามนโยบายแหงธรรมที่
สอนไวแ ลว ทั้งถูกตามพระประสงคของพระพุทธเจาที่ทรงสั่งสอนสัตวโลก เพื่อแกกิเลส
ตณั หาทกุ ประเภท
หากขัดตอพระโอวาทที่ทรงแสดงไวแลวแมแตนอย นั่นแหละพิษภัยตองเกิดขึ้น
ตรงนน้ั การขัดแยงธรรมและขัดแยงวินัยในแงใดก็ตามไมใชชองดี ตองเปนขาศึก ตอ
ธรรมตอ วนิ ยั และเปนขาศึกตอตัวเองซึ่งไมใชของดี พระพุทธเจาไมไดม ารบั โทษรับคณุ
อะไรจากพวกเรา เพราะพระองคพรอมทุกสิ่งทุกอยางแลว สว นพวกเราทม่ี กี เิ ลสมกั จะ
สั่งสมไดทั้งความชั่วและความดี จงึ ควรสาํ เหนยี กตนอยเู สมอ รสู กึ ตวั อยเู สมอวา จะชาํ ระ
สิ่งไมดีทั้งหลายดวยหลักธรรมอันเปนเครื่องชําระซักฟอก เพื่อความเปนคนดีพระดีมี
หลกั เกณฑภ ายในใจ
อยามองสิ่งอื่นใดหรือเรื่องใด ใหมากไปกวาหลักธรรมของพระพุทธเจา แมมอง
สิ่งภายนอกก็ใหมองเพื่อเทียบเคียงเหตุผลเพื่ออรรถเพื่อธรรม นอ มเขา มาเปน ธรรม
เพอื่ พราํ่ สอนตนอยเู สมอ นั่นเปนความถูกตอง เพราะธรรมมอี ยทู ง้ั ภายนอกภายใน
พจิ ารณาไดดวยกันทั้งนนั้ ถา พจิ ารณาเปน ธรรมยอมเปนเครือ่ งแกกเิ ลสไดด ว ยกัน แต
ถามองแบบตรงกันขาม ก็ขดั แยง ตอ ธรรม กดี ขวางธรรม แลว กย็ อ นเขา มากดี ขวางและ
เปนภัยตอตัวเอง
ผมพยายามที่สุด ทจ่ี ะใหท า นทม่ี าอบรมศกึ ษาทง้ั หลายไดร บั ความรคู วามฉลาด
ความเขา อกเขาใจในวิธีการประพฤตปิ ฏบิ ัติ ความเคลื่อนไหวไปมาทุกแงทุกมุม ถาเห็น
วา ผดิ พลาดจากหลกั ธรรมวนิ ยั แลว ผมรบี แนะนาํ สง่ั สอนหรอื ดดุ า วา กลา วทนั ที เพราะ
ถอื วา สง่ิ นน้ั คอื ความเปน ภยั การดดุ า วา กลา วจะหนกั เบาขนาดไหน ไมป รากฏวา มภี ยั ใน
การสอน การใหอ บุ ายแกส ง่ิ ทผ่ี ดิ นน่ั เลย เปน คณุ เปน ประโยชนโ ดยถา ยเดยี ว นอกจากผู
ฟงซึ่งเคยเชื่อกิเลสจนฝงนิสัยอยูแลว อาจจะหลงกลอุบายของกิเลส พลิกแพลงความรู
สึกใหผิดจากความมุงหมายของธรรมและการแสดงไปอยางอื่นเสีย อันเปนขาศึกตอ
ธรรม และเปน ฝา ยกเิ ลสเขา โจมตธี รรมภายในตน วา ทา นดดุ า วา กลา วดว ยเจตนาไมด ี
เปนตน ก็ชวยไมได
กลมายาของกิเลสนั้น เคยฉุดลากจิตใจของสัตวโลกใหคิดในแงอันเปนฝายของ
มันอยูเสมอมา ไมเคยลดละเลยแมชวั่ ระยะพักแรง เพราะฉะนั้นขณะที่ฟงธรรมก็อยา
เขาใจวา กิเลสจะไมแฝงอยูภายในการฟง นั้น อุบายวิธีคิดออกแตละแงละมุมแตละขณะ
ของจิต กอ็ ยา เขา ใจวา จะเปน อรรถเปน ธรรมเสมอไป เพราะกิเลสน้นั แหลมคมมากทง้ั ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๔
๒๐๕
ทเ่ี รามาปฏบิ ตั ธิ รรมะ กิเลสกเ็ คลอื บแฝงอยใู นน้นั ดว ยไมล ดละฝกาว คอยตบคอยตอย
คอยฉุดคอยลากออกนอกลูนอกทางในขณะที่เราเผลออยูเสมอ
ดวยเหตนุ ี้เองท่ีเปน อุปสรรคตอการบําเพญ็ ของผปู ฏิบัติ ที่ไมคอยปรากฏผล
แหง ธรรมเทา ทค่ี วร นับแตธรรมขั้นต่ําจนถึงขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน กเ็ พราะกเิ ลส
เขา กดี เขา ขวาง เขาทําลายธรรมท่ตี นกําลังดําเนนิ อยูไมใหงอกเงยขึ้นได และคอยปดกั้น
ทางเดินเพือ่ สันติธรรมอยูเสมอ แตเ ราไมท ราบไดก เ็ ขา ใจวา ตนบาํ เพญ็ ธรรม นั่งสมาธิ
ภาวนา ความจริงมีแตเรื่องของกิเลสกลุมรุมทํางานของมันอยูภายในใจตลอดเวลา
เพราะสติปญญาตามไมทัน ในขน้ั เรม่ิ แรกฝก หดั อบรม
ความเผลอคืออะไร ถา ไมใ ชเ รอ่ื งของกเิ ลสจะเปน อะไรไป กเิ ลสพาใหเ ผลอ
ธรรมไมไดพาใหเ ผลอ กเิ ลสพาใหเ ราโงเ พราะกเิ ลสมนั ฉลาด มนั ทาํ สตั วใ หโ งเ ตม็ เปาจงึ
หาความฉลาดไมไ ด เม่อื ความฉลาดไมม ี จะวา เราไดธ รรมทต่ี รงไหน คิดในแงฉลาดก็
คิดไมได มีแตค วามโงป ดกนั้ ไวเ สยี เพราะอบุ ายความฉลาดแหลมคมของกเิ ลสมนั
เหนอื เราอยทู กุ ระยะๆ อยา งน้ี
หากจะทราบเองถา ผปู ฏบิ ตั ไิ ดย ดึ หลกั ธรรม ทพ่ี ระพทุ ธเจา หรอื ครบู าอาจารยส ง่ั
สอน เราไดยนิ ไดฟ ง อยโู ดยสม่ําเสมอเชน นแ้ี ลวนาํ ไปปฏบิ ัติ พจิ ารณาไตรต รองเทยี บ
เคยี งกบั ความเปน อยภู ายในใจ และความเคลอ่ื นไหวของใจ วา เปนไปตามท่ที า นเทศน
นั้นหรือไม หากจติ ใจไดป ระหวดั เขา มาสตู วั เรา และคิดอานไตรต รองเทยี บเคียงตาม
หลักธรรมที่ทานสอน หรอื ทา นตาํ หนกิ เิ ลสประเภทใด เราจะทราบโดยลาํ ดบั การจะ
ทราบไดก ็เพราะความมสี ติ
สตเิ ปน ธรรมประเภทหนง่ึ ทม่ี คี วามสาํ คญั อยมู าก ปญ ญาก็เปนธรรมประเภท
หนึ่งซึง่ เปนคเู คียงกนั กับสติ ธรรมทงั้ สองประเภทนต้ี องทาํ งานหนัก ไมว า อริ ยิ าบถใด
แหงการประกอบความพากเพยี ร ธรรมทั้งสองประเภทนี้มีความจําเปนอยูตลอด อันดับ
แรกก็คือสติตองมี แมก าํ ลงั เรมิ่ บําเพ็ญกต็ าม สติเปนของสําคัญที่จะรักษาจิตใจใหคง
เสนคงวาอยูกับตัวไดนานหรือตลอดไปได ไมถูกกิเลสฉุดลากเถลไถลไปเขาตรอกเขา
ซอย เขา บา นเขา เมอื ง ตกหลุมตกบอ ดังที่เคยเปนมา การทจ่ี ติ เปน เชน นน้ั คอื ความ
เผลอและแฝงไปดว ยความนอนใจ ความเผลอในขณะนน้ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ผลอ
ไมใชเรื่องของธรรม มีสตเิ ปนตน พาใหเ ผลอ
ใหท ราบเสยี วา กเิ ลสกบั ธรรม เปนคแู ขง กันอยภู ายในใจของเราทุกระยะ ถาไม
คดิ ไมแ ยกแยะจะไมท ราบได วา มกี เิ ลสประเภทใดบา งซง่ึ เปน ขา ศกึ ตอ ใจเราอยเู รอ่ื ยมา
เฉพาะอยางยิ่งขณะกําลังประกอบความพากเพียรอยูนั่นเอง ก็ไมไดรับผลเปนที่พอใจ
แมธ รรมขน้ั ตาํ่ คอื ความสงบเยน็ ใจ ก็เพราะสิ่งเหลานี้กีดขวางอยูทุกขณะจิต เนอ่ื งจาก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๕
๒๐๖
มันมีกําลังมาก สติของเรายังไมพอที่จะตอตานกับมันได ปญญายังไมเกิดจึงไมรูกล
อบุ ายตา งๆ ของกเิ ลสแทรกธรรม สติปญญาแยกแยะคลี่คลายไมทั่วถึง สิ่งเหลานี้ก็ออก
เพน พา นบนหวั ใจ ผลของมันก็คือกอความเดือดรอนวุนวาย ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วาม
ลาํ บากอยตู ลอดเวลาไมเ ลอื กอริ ยิ าบถ เพราะกิเลสผลิตตัวขึ้นมาทุกขณะ ไมไดนิยมวา
เปน อิรยิ าบถใดทก่ี เิ ลสไมไ ดทาํ งาน นอกจากเวลาหลบั สนทิ เทา นน้ั
นี่ทางของกิเลส หนา ทข่ี องกิเลสทํางานโดยหลักธรรมชาติ เพราะฉะนั้นการแก
กเิ ลส ถา ไมมีธรรมในหลกั ธรรมชาติ การดาํ เนนิ ในหลกั ธรรมชาติ สตปิ ญ ญาในหลกั
ธรรมชาติ ความเพยี รในหลกั ธรรมชาติ จะตามไมท นั กเิ ลสเหลา นแ้ี ละกเิ ลสอนั ละเอยี ด
ไดเลย เพราะกเิ ลสไมว า ประเภทใด เปนความคลองตัวในการทํางานของตน โดยหลกั
ธรรมชาตเิ ชน เดยี วกนั หมด สติปญญาเราจึงตองผลิตขึ้นมา เสกสรรปน แตงข้ึนมา
กําหนดบังคับบัญชาใหมีขึ้นมาเพื่อรักษาใจมันถึงจะมีขึ้น
ในขน้ั เรม่ิ แรก ปญญาก็ตองพยายามหาอุบายคิดในแงตางๆ แมจะขี้เกียจไม
อยากคิดก็ตองหาอุบายคิด เพื่อปญญาจะไดเคลื่อนไหวปรากฏตัวขึ้นมา และรูเรื่องของ
กเิ ลสเปน ระยะๆ ไป หากยังแกไมไดก็รูชองทาง เม่ือรูชอ งทางแลว วันหนงึ่ แนน อนท่ี
ปญญาจะทําลายกิเลสไดโดยไมสงสัย เพราะความผลติ สตบิ าํ รงุ ปญ ญาอยโู ดยลาํ ดบั แหง
ความพากเพียรไมขาดวรรคขาดตอน นี่แหละทางของทานผูพนทุกขทานทําอยางนี้
ผดู าํ เนนิ ความพากเพยี รขน้ั ตน แกก เิ ลสขน้ั หยาบๆ ปรากฏธรรมขน้ึ มาขน้ั
หยาบๆ และคอยละเอียดขึ้นไปไมหยุดยั้ง จนกระทั่งกิเลสหลุดลอยไปจากใจโดยสิ้นเชิง
เหลอื แตว มิ ตุ ตธิ รรมลว นๆ ประจาํ ใจ กอนจะถึงวิมุตติหลุดพน ทานตองผานความทุกข
ความลาํ บาก และผา นกลมายาของกเิ ลสทกุ ประเภท ถึงจะนํามาพูดไดถูกตองแมนยํา
ตามความจริงของมัน นเ่ี ราเรยี นวชิ าในตวั เอง กค็ ือใหรเู รอื่ งกลมายาของกิเลสทเี่ กดิ
และมีอยูกับตน ดวยอุบายของสติปญญาเปนขั้นๆ ถึงจะตามกันทัน หากไมรูตามกันไม
ทัน มแี ตก เิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยทู กุ แหง หน ไมเลือกกาลสถานที่ จะหาอรรถหาธรรม
คือความสงบเย็นใจมาจากไหน
ความขเ้ี กยี จขค้ี รา นออ นแอเหลา น้ี เปนเรื่องของกิเลสทั้งมวลจงพากันทราบไว
ความมักงาย ความโยกคลอนเอนเอยี ง มแี ตกิเลสตบตอยใหเอนใหเอยี ง ใหล ม ลกุ
คลกุ คลานทง้ั นน้ั ไมใ ชธ รรมเปน ผพู าใหเ ปน เชน นน้ั จงพากนั ทราบวา เวลานก้ี เิ ลสกาํ ลงั
ทํางานในตัวเราอยางออกหนาออกตา ซึ่งๆ หนานักปฏิบัติ คอื เราแตล ะรายๆ จงทราบ
ไวเ สยี แตบ ดั น้ี อยา เขา ใจวา กเิ ลสไมไ ดท าํ งานบนหวั ใจเรา ในขณะที่กําลังประกอบความ
เพียรจะฆามัน ในขณะเดยี วกนั นน้ั กเิ ลสกฆ็ า ธรรมและฆา ตวั เราไปดว ยในตวั โดยไมร สู กึ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๖
๒๐๗
อบุ ายของธรรมทจี่ ะใหทราบกลอบุ ายของกิเลส จึงตองใชความพยายามอยางยิ่ง
ในขน้ั เรม่ิ แรกสาํ คญั มาก เพราะงานยังไมเคยเห็นผลพอจะเพม่ิ กําลงั ใจใหเ ขม แขง็ ใน
ความเพยี ร อยา หวงอยา หว งอยา เสยี ดาย กเิ ลสไมไ ดใ หส ารคณุ อนั ใดแกเ รา ความขี้
เกยี จความออ นแอไมใ หส ารประโยชนอ นั ใด เราเคยขเ้ี กยี จเคยออ นแอมามากและนาน
เพยี งไรแลว จงเอามาบวกลบคูณหารกนั เพื่อทดสอบผลไดผ ลเสียของตวั กบั กิเลส นกั
ปฏบิ ตั ไิ มค ดิ ไมเ ทยี บเคยี งเหตผุ ลตน ปลายใหร ดู รี ชู ว่ั รหู นกั รเู บาในสง่ิ เหลา นแ้ี ลว จะ
ดาํ เนนิ ธรรมเพอ่ื ความสงบเยน็ ใจไปไมไ ด จึงควรคิดแตบัดนี้ อยา ใหเ สยี เวลาํ่ เวลา ตาย
เปลา ๆ ไมเกิดประโยชน ผา เหลืองอยทู ีไ่ หนก็มี ตลาดรานคายิ่งไมอด นน้ั เปน เครอ่ื ง
หมายของเพศนกั บวช ไมใ ชเปน ผฆู ากเิ ลส นอกจากความเพยี รของเราเอง จงเปนผู
หนกั แนน ในความพากเพยี ร เพื่อหกั กงกรรมของวฏั จกั รใหข าดสะบัน้ ลงจากใจจะหาย
หว ง
เราไดด าํ เนนิ มาเตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถแลว จึงกลาพูดไดอยางเต็มปากวา ไม
มีงานใดทีจ่ ะลําบากยากเย็นเขญ็ ใจถงึ เปนถึงตาย ยิ่งกวา งานตอ สูกบั กเิ ลสเพื่อชยั ชนะ
งานนเ้ี ปน งานหนกั อยมู ากสาํ หรบั เราผเู ปน คนหยาบ แตใครจะหยาบก็ตามละเอียดก็
ตามพงึ ทราบวา ความขเ้ี กยี จความมักงายออ นแอไมใ ชธรรม ไมใ ชท างแกกิเลสอยา หวง
เอาไว มันเปน เร่ืองของกิเลสลว นๆ เพื่อพอกพูนทุกขไมสงสัย
ใครจะหยาบละเอยี ดแคไ หน นิสัยวาสนามีมากมีนอยเพียงไร จงยกตนใหเหนือ
กเิ ลสประเภทตา งๆ ดว ยความเพยี ร จะจดั วา เปน ผมู วี าสนาบารมเี ตม็ หวั ใจดว ยกนั หาก
ไมมีความเพียรเปนเครื่องแก อยางไรกน็ อนกอดวาสนาที่เต็มไปดว ยกเิ ลสตัวหย่งิ ๆ อยู
นน่ั แล บางก็ฟาดมันลงไปใหแหลกละเอียด หนากฟ็ าดมนั ลงไปใหแ หลกเหมือนกัน
หมด จะสมนามวาเปนนักรบนักปฏิบัติเพื่อกําจัดสิ่งที่เปนขาศึกออกจากใจโดยแท
การแกกิเลสนี่เปนหลักใหญของนักบวชผูปฏิบัติ เอาใหหนักแนน มน่ั คงตอ ทกุ
สิ่งทุกอยาง จริงทุกอยางไมวาการถอดการถอน ไมว า การบาํ เพญ็ มันเปนเกลียวเดียว
กันไปดวยกัน พยายามถอดถอนก็คือการพยายามบําเพ็ญกําลังความดีเพื่อแกกิเลสนั่น
เอง อันเดียวกัน อยูในขณะจิตอันเดียวกัน นี่เพียงสมาธิคือความสงบก็จะเปนไปไมได
เราจะหวงั มรรคผลนพิ พานทไ่ี หนกนั พระเรามหี นา ทอ่ี นั เดยี วนแ้ี ทๆ ทาํ งานอนั นไ้ี มเ หน็
ผล งานหยาบๆ เพียงเพือ่ จิตสงบบา งเทา นยี้ งั ไมเหน็ ผล เราจะหวงั เอาอะไรทว่ี เิ ศษวโิ ส
ยิ่งกวานี้ได มนั เปน ไปไมไ ดน ะ ถาไมตั้งหนาตั้งตาเขมแข็งเสียแตบัดนี้ เอาใหเ หน็ คาํ วา
สมาธิเกิดขึ้นที่ใจ อนั เปน ความจรงิ ประจกั ษต น
สมาธทิ ท่ี า นกลา วไวใ นตาํ รบั ตาํ รานน้ั คือชื่อของสมาธิ สมาธทิ แ่ี ทจ รงิ นน้ั จะเกดิ
ขน้ึ ภายในจติ ดวงกาํ ลงั ฟงุ ซา นวนุ วายอยดู ว ยอาํ นาจของกเิ ลสทง้ั หลายเวลานน้ี แ่ี ล เพราะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๗
๒๐๘
อาํ นาจแหง ความเพยี ร มีสตเิ ปน เคร่อื งยืนยนั รบั รองท่จี ะยงั ความสงบทุกขั้นใหเ กิดข้ึน
ได เพราะเปน ธรรมเครอ่ื งยนื ยนั รบั รองมาแตไ หนแตไ รอยแู ลว ไมม คี าํ วา ลา หลงั กเิ ลส
ลาสมัยตอกเิ ลส ถา นาํ มาใชใ หเ ตม็ เมด็ เตม็ หนวยสมกบั เปน นกั ปฏิบัตเิ พือ่ กาํ จัดกิเลส
อยางแทจริง นอกจากอยูเฉยๆ อยา งไมม สี าระภายในตวั เทา นน้ั สติปญญาก็ไมเกิดและ
ไมเ ปน ประโยชนอ ะไรสาํ หรบั รายเชน นน้ั
จงทราบเสมอวากลอุบายของกิเลสทุกประเภทแหลมคมดวยกันทั้งนั้น ไมมี
กิเลสตัวใดที่ทื่อๆ ทา ๆ เซอๆ ซา ๆ เซอะๆ ซะๆ งกๆ งันๆ อดื อาดเนอื ยนายเหมอื น
เรา เรานเ่ี มอ่ื ถกู กเิ ลสครอบแลว มนั เซอ มนั ซา มันเปนทุกสิ่งทุกอยางแบบ กุสลา ธมมฺ า
ออกระอาถอยหลังนั่นแล กิริยาที่แสดงออก มันเปนลวดลายของกิเลสทั้งมวล จะไมใ ห
กุสลา ธมมฺ า กลัวไดอยางไร กป็ ระเภทบอกบญุ ไมรับน่ี นักปฏบิ ัตเิ ราดีแตเ ทีย่ ว กุสลา
ธมมฺ า ใหค นตายนน่ั แล แตไมสนใจ กสุ ลาใหต วั เอง มนั จะฉลาดทันกเิ ลสไดอยา งไร มี
แตก เิ ลสตามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเอาๆ จนขเ้ี กยี จทาํ ลาย เพราะกเิ ลสแหลมคมมาก แตทํา
มนุษยทําสัตวใหโงมาก ทํามนุษยแ ละสัตวใหออ นแอมาก ใหเ กยี จครา นมาก นอนแลว
ไมส นใจต่ืน เหมอื นวา นอนคอยกเิ ลสไป กุสลา ธมมฺ า ให
คดิ ดซู วิ า เรารกั ธรรมนะ รกั ตรงไหนกนั แน ดๆู มีแตเรื่องของกิเลสลอมหนา
ลอมหลังจนแทบมองไมเห็นตัว กเิ ลสทาํ ใหเ ราเกยี จครา นออ นแอ สวนกิเลสไมไดออน
แอไมไดขี้เกียจขี้คราน ทาํ งานอยบู นหวั ใจสตั วโ ลกไดต ลอดเวลา ตวั กเิ ลสไมม อี ะไรจะ
เทยี บมนั แหละ ความเฉลยี วฉลาดความรอบตัวของมนั เพ่ือกุมอาํ นาจใหสัตวโ ลกอยูใ น
เงื้อมมือของมัน มนั เองอยบู นหวั ใจสตั ว หวั ใจเรา และทาํ สตั วทาํ เราใหโ งต อ เพลงของ
มัน ฉะนน้ั การเกดิ การตายจงึ มใิ ชส าเหตมุ าจากความฉลาด แตม าจากความโงตอเพลง
อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา พาใหม าเกิดมาตาย
เวลานเ้ี ปน อยา งไร จติ ของเราโงห รอื ฉลาด ถาจิตโง เราจะวา อะไรพาใหโ งถ า ไม
ใชก เิ ลสพาใหโ ง แลวเรายังตองการอยากโงอยูใตอํานาจของมันอยูอีกหรือ อํานาจของ
มนั ทพ่ี าใหเ ปน มานน้ั เรากท็ ราบไดพ อควรจากความจาํ ในตาํ รา ยงั แตค วามจรงิ ทเ่ี รายงั
เขาไมถ งึ เทาน้ัน ปา ชา นบั ไมไ ดใ นตวั ของเราคนเดยี วน้ี เร่ืองตายเกดิ ๆ ติดตอกันมาโดย
ลาํ ดบั ลาํ ดา ท่ผี านมาแลว จะนับไดห รือไมไ ดก ็ตาม ขอใหประมวลมาพิสูจนในตัวเอง
ดว ยการปฏบิ ตั เิ ถดิ ความเคยเปนมากี่กัปกี่กัลป จะมารวมอยใู นวงปจ จบุ นั ธรรม คอื จติ
ดวงนี้ทั้งนั้น ไมมีที่อื่นเปนที่พิสูจน ไมมีที่อื่นเปนที่ยืนยันเรื่องความเกิดตายของสัตว
โลกวา เปน มาเพราะเหตใุ ด จะทราบไดใ นวงปจ จบุ นั แหง จติ ตภาวนา วา เปน มาเพราะ
อาํ นาจแหง กเิ ลสตณั หาอาสวะ อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา เปนตน ที่ฝงอยูในปจจุบันจิตนี้
ไมสงสัย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๘
๒๐๙
นค่ี อื ตวั เหตตุ วั การสาํ คญั พระพทุ ธเจา ทา นขดุ คน คลค่ี ลายสง่ิ เหลา นด้ี ว ยภาค
ปฏิบัติ โดยทางสติปญญาไมหยุดหยอนทอถอยลดละ จึงสามารถรูความจริงทัง้ กเิ ลส
ประเภทตา งๆ ทง้ั ความบรสิ ทุ ธท์ิ ข่ี าดจากกเิ ลสอาสวะ และขาดจากภพจากชาติแลว โดย
ประการทั้งปวง ดงั ทานกลา วไวใ น ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร นตถฺ ทิ านิ ปุนพฺภโว บัดนี้
ความเปนอีกเกิดอีกของเราไมมีแลว แตกอนทานไดมาประกาศเมื่อไร กเ็ พราะไมท ราบ
เงอ่ื นสายปลายเหตเุ หมอื นเราๆ ทานๆ น้ี แลวจะเอาความจริงมาพูดใหถูกตองไดอยาง
ไร
เพราะฉะนัน้ การพิสูจนเรื่องกเิ ลสประเภทตา งๆ ทพ่ี าใหส ตั วเ กดิ -ตายซึ่งรวมอยู
ในจติ ตองพิสูจนที่จิตดวยการปฏิบัติ จะรูช ัดเหน็ ชดั วาท่เี คยเกดิ เคยตายมาตั้งกัปตั้ง
กัลปนั้น ลว นเปน สาเหตไุ ปจากกเิ ลสอวชิ ชานท้ี ง้ั สน้ิ ดงั ทท่ี า นสอนไวใ นธรรมนน้ั เราฟง
เพียงงูๆ ปลาๆ จิตใจนั้นไมอยากเชื่อหรือไมเชื่อ เพราะกเิ ลสไมใ หเ ชอ่ื กิเลสมนั กมุ
อาํ นาจไวห มด สง่ิ ทเ่ี คยเปน มาอยา งไรทค่ี วรจะเหน็ โทษของสง่ิ เหลา นน้ั กจ็ ะเปน เหตใุ ห
หา งเหนิ จากกเิ ลส จากอํานาจของกิเลสไป กิเลสไมยินยอมตองครอบเอาไวหมด
ความจรงิ สตั วเ คยเกดิ -ตายมากี่ภพกี่ชาติ เกดิ มาเพราะอาํ นาจของกเิ ลสตณั หา
และรบั ความทกุ ขค วามทรมานหนกั เบามากนอ ยเพยี งไร กจ็ ติ นเ้ี ปน ตวั สาํ คญั และเคย
แบกเคยหามทกุ ขห าประมาณไมไ ดม านานแลว แตก เิ ลสไมย อมใหร ใู หเ หน็ สง่ิ เหลา น้ี
พอจะเห็นโทษแหงความเปนมาของตน และพยายามถอดถอนตนออกดวยอุบายตางๆ
สดุ ทา ยกม็ ายอมจํานนตอ กเิ ลสอยา งสนทิ ใจและเปด เผย อยา งหนา ดา นไมอ ายความจรงิ
ก็มี วา ตายแลว สญู เปนเรื่องของใครที่พูดนี้ ออกมาจากอะไรถึงมาพูดไดอยางนี้ ถาไม
ออกมาจากกิเลสตัวปดบังอยางมืดมิดปดทวารนั้นจะมาจากที่ไหนกัน
ความเคยเกิดเคยตายชนิดไมม ีอะไรหามใหห ยุดได เพราะกระแสวฏั ฏะภายใน
ใจมีกําลังมากเกินกวาอะไรจะหามได จงึ ตอ งมาเกดิ เพราะเช้อื และวบิ ากตางๆ ผลักไส
มา ถึงขนาดนั้นยังวาตัวสูญตายสูญเขาไปอีก นเ่ี กง ไหมกเิ ลสเหยยี บยาํ่ หวั ใจคน จนพลิก
ฝามือเปนหลังมือไปได ตวั เคยเกิดเคยตายมาหยกๆ ยังวาตัวสูญตายสูญทั้งๆ ทต่ี วั เกดิ
ตัวตายก็อยูกับตัว ตัวไมสูญก็อยูกับตัวนี้ กิเลสมันยังกลับตาลปตรธรรมของจริงไปได
ไมใ หร เู หตรุ ผู ลตน ปลายทเ่ี คยเปน มาของตนบา งเลย มนั ยงั พราํ่ สอนละเอยี ดแยบคาย
ตอไปอีกวา เกิดมาชาติเดียวจะทําอะไรก็ทําไดตามใจชอบ บุญไมมีบาปไมมี นรกไมม ี
สวรรคไ มม ี นีแ่ หละคือตวั เทวทตั ใหญ มันตั้งฐานทัพทําลายอยูในจิตของเรานี้ เราไป
กลัวอะไรนักเรื่องเทวทัตโนน เรอ่ื งของทา นตา งหากพระเทวทตั เรื่องของเราที่เปนเทว
ทัตตอตัวเอง ทาํ ลายตวั เองอยตู ลอดเวลา ทําไมไมคิด ทําไมไมดู ทาํ ไมไมแ กไ มท าํ ลาย
มัน ใหป ญ หาโลกแตกธรรมบรรลยั หมดไปจากใจ จะไมมีศัตรูคูอริอีกตอไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๐๙
๒๑๐
เอาซิ ฟาดฟนกันลงไปในภาคปฏิบัติ พระพุทธเจา ทรงรดู ว ยเหตุผลกลไกใด
ประทานไวห มดแลว ทางฝา ยเหตุ คอื วธิ ดี าํ เนินขุดคนดว ยภาคปฏบิ ตั ิ ขุดคนลงไป เรม่ิ
ตน ตง้ั แตส มาธภิ าวนา วา สมาธกิ ใ็ หเ หน็ ตวั จรงิ ของสมาธภิ ายในใจ ไมอยูที่ไหนไมอยูใน
ตาํ รา ไมอยูที่ดินฟาอากาศ ไมอยูที่ดินน้ําลมไฟ แตอ ยทู ใ่ี จสงบลงทใ่ี จดว ยอาํ นาจแหง
การอบรมหรอื การฝกฝนทรมาน คอื การภาวนานเ่ี ปน สาํ คญั
เมื่อสติตั้งตัวไดไมพลั้งเผลอ มีความจดจอตอเนื่องกันอยูเสมอ ไมย อมใหข ณะ
จิตใดที่จะเพนพานออกไป ดวยอํานาจของกิเลสผลักดันใหออก มเี ฉพาะอารมณที่เปน
ธรรมบทบริกรรมเคร่ืองยดึ ของจติ เทา นัน้ ใหจิตไดยึดอารมณนั้นเปนที่พักพิงเพื่อสั่งสม
กําลังความสงบ
ถา กาํ หนดอานาปานสติ ก็ใหรูลมเขาลมออกจริงๆ ดว ยสติ ไมจําตองตามลมเขา
ไปตามลมออกมา เพียงแตมีสติรูอยูกับลมที่สัมผัสเขา-ออก ขณะที่ลมเขาก็รูลมออกก็รู
มสี ตบิ งั คบั อยทู ป่ี ระตูแหง ลมออกลมเขานั้นเทานั้น จิตจะฝนไปไหนไดเมื่อถูกบังคับ
ดว ยความเอาจรงิ เอาจงั ไมใหจิตคิดเถลไถลไปกับอารมณตางๆ ใหอยูกับที่ตั้งลมอันจะ
ใหเ กดิ ความสงบ คอื คาํ บรกิ รรมหรอื ลมหายใจเทา นน้ั จิตจะตองหยั่งเขาสูความสงบ
เห็นองคของสมาธิไดอยางแทจริงภายในใจ ดวงที่เคยวุนวายมานักตอนักนี้โดยไมตอง
สงสัย
นค่ี อื วธิ กี ารพสิ จู นห าความจรงิ ภายในตวั เรา จงพากนั พสิ จู นจ ะทราบความจรงิ
ไปโดยลําดับ ธรรมพระพุทธเจาไมเคยโกหกผูใด นอกจากกิเลสจอมโกหก มันจึงโกหก
ไมหยุดไมถอย จงเหน็ โทษของมนั ดว ยการพจิ ารณาเหน็ ความจรงิ เรากาํ ลงั ปฏบิ ตั เิ พอ่ื
สมาธิเพื่อปญญาเพื่อวิมุตติหลุดพน กิเลสมนั โกหกอยูในรองรอยอนั เดยี วกันนน่ั แล
ฉากเดียวกันนั่นแล วาสมาธจิ ะไมม ี สมาธิจะไมเกิดบาง ปญญาไมมี ปญญาไมเกิดบาง
มรรคผลนพิ พานหมดสมยั ไปนานแลว อยา พากนั ทาํ ใหล าํ บากเปลา บา ง หมดความ
สามารถอาํ นาจวาสนาไมม บี า งเปน ตน กเิ ลสมนั ลบลา งอยา งน้ี โกหกอยางนี้ จงพากนั
ระวงั อยา ใหเ สยี เปรยี บมนั อกี
เอาใหเ หน็ ลบลา งกเิ ลสเหลา นอี้ อกใหไดด ว ยความพากเพยี รอยางเขมแขง็
บังคับบัญชาดวยสติใหดี ทําไมจะไมรู พระพุทธเจา รมู าแทๆ สาวกทง้ั หลายรมู าแทๆ
เปน มาแทๆ ดว ยสมาธิเปนพน้ื ฐานเบ้อื งตน ทาํ ไมเราจะไมร ู จติ แทๆ เปน ผจู ะรบั รอง
ธรรมทง้ั หลาย ไมว า สมาธธิ รรม ปญ ญาธรรม วมิ ตุ ตธิ รรม นอกเหนือไปจากจิตจากสตินี้
ไปไมไดเลย
การบําเพ็ญของเราก็บําเพ็ญโดยถูกทางอยูแลว ทําไมจะรูไมได เมอื่ สมาธิปรากฏ
เปนความสงบขึน้ มาใหเ ห็นอยา งประจกั ษ ตองหายสงสัยทันที วาสมาธิอยทู ไ่ี หนแน อยู
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๐
๒๑๑
ในตาํ รบั ตาํ ราหรอื อยดู นิ ฟา อากาศแบบลมๆ แลงๆ ทีไ่ หน จะหมดปญหาไปทันที
เพราะความสงบประจกั ษอ ยกู บั ใจดวงสงบสขุ นแ้ี ลว เวลาน้ี
ความสงบมหี ลายขน้ั หลายภมู ิ เมื่อทําลงไปโดยสม่ําเสมอ ความสงบนจ้ี ะ
ละเอียดลงไปโดยลาํ ดบั ๆ จนกระทั่งแนบแนน ทานใหชื่อวา ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ
อัปปนาสมาธิ นน่ั เปน ชอ่ื ขอใหเ ปน ขน้ึ ภายในใจเถดิ จะไมมีขั้นใดภูมิใดก็ตามเจาของ
จะรูเอง เชน เดยี วกบั การรบั ประทานอาหาร พอเรม่ิ รบั ประทานกจ็ ะรรู สเปรย้ี ว หวาน
เผ็ด เค็มตางๆ ภายในชิวหาประสาทของผูรับประทานโดยไมตองไปถามใคร ความอิม่
หนําสําราญก็คอยตดิ ตามกนั มา ปรากฏขน้ึ มาภายในตวั เอง จะไมมีขั้นมีภูมิก็ตาม หากรู
ภายในตวั เผ็ดก็รู เค็มก็รู เปรย้ี วหวานกร็ ู ความอม่ิ หนาํ สาํ ราญในธาตขุ นั ธเ พราะการรบั
ประทานมากนอ ยเพยี งไรกร็ ู รไู ปตลอดจนถึงความพอตัวแลวในอาหารทง้ั หลายกห็ ยดุ
เอง จําเปนอะไรจะตองไปตั้งชื่อตั้งนามวา อิ่มขนาดนี้เปนขั้นนั้น อิ่มขนาดนั้นเปนขั้น
นน้ั ๆ จําเปนอะไรจะตองไปตั้งชื่อตั้งนาม เพราะความจริงอยูกับความจริงของผูสัมผัส
รบั รตู า งหาก หลักธรรมชาติมีอยู อยูกับหลักธรรมชาติ รูตามหลักธรรมชาติก็พอกัน
แลว นี่ก็เหมือนกัน เรื่องของสมาธิ ใหร ตู ามหลกั ธรรมชาตขิ องสมาธทิ ี่เกิดข้นึ ภายในใจ
ของตนดวยวิธีการที่ถูกตอง
เมื่อสมาธิความสงบตัวปรากฏขึ้นมา นน้ั แลเปน พน้ื ฐานหรอื เปน เสบยี งเครอ่ื ง
สนบั สนนุ ปญ ญา ใหทํางานไดอยางคลองตัวหายกังวล เวลาทจ่ี ติ ไมม คี วามสงบเลย จะ
พาพจิ ารณาทางดา นปญ ญามนั กลายเปน สญั ญาไปเสยี เพราะอาํ นาจของกเิ ลสฉดุ ลากไป
ใครจะไปรูรอบเรื่องของกิเลสกับเรื่องของธรรมยิ่งกวาพระพุทธเจา เพราะฉะนน้ั จงึ สอน
ใหอ บรมสมาธใิ หเกดิ ใหม ี จิตใจจะไดสงบ จติ ใจสงบแลวยอมอ่ิมตวั ในข้นั นี้ แลว พา
ทาํ งานดว ยการคดิ คน ในสง่ิ ตา งๆ ใจก็ตั้งหนาตั้งตาทําใหไมฝาฝนปนไปตามกิเลส
ถา ยเดยี ว ดังที่เคยเปนมาเมื่อคราวที่จิตยังไมสงบ และเหน็ เหตเุ ห็นผลไปตามปญ ญา
โดยลาํ ดบั ลาํ ดา นน่ั คอื การกา วออกทางดา นปญญาดว ยสมาธขิ ั้นนัน้ ๆ เปน พลงั หนนุ
เพื่อปญญาขั้นนั้นๆ
เมื่อจิตละเอียดเขาไป ปญ ญากา วไปเหน็ เหตเุ หน็ ผลของสภาวธรรมคอื อนจิ จฺ ํ
ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ซง่ึ เตม็ อยภู ายในรา งกายและขนั ธห า ของเราเอง และกระจายไปทั่ว
โลกธาตุ เตม็ ไปดว ย อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ไมมีเกาะไมมีดอนไมมีที่ยกเวน ขึ้นชื่อวา
แดนสมมุติแลวตองเปนแดน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาเต็มไปหมด เหน็ ประจกั ษห รอื ซง้ึ
ดว ยปญ ญาของเราแลว จะสงสัยอะไรอีก แมจิตจะยึดมั่นหนาแนนกวาภูเขาทั้งลูกมันก็
ถอนตัวออกมาได อนั อปุ าทานความยดึ มน่ั มนั เกดิ ขน้ึ จากความเสกสรรปน แตง ตาม
ความสาํ คญั ผดิ ของกเิ ลสตา งหาก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๑
๒๑๒
เมื่อปญญาไดหยั่งลงไปถึงไหน กถ็ อื วา การทาํ ลายกิเลสไปถึงน่ัน และทาํ ลาย
อปุ าทานในขณะเดียวกัน จนถอนตัวออกมาได เอา เม่อื จะพูดถึงเรอ่ื งอสุภะอสภุ งั ความ
ปฏกิ ลู โสโครก ก็ดซู ริ า งกายน้มี ตี รงไหนทส่ี ดสวยงดงาม มแี ตค วามเสกสรรปน ยอตาม
กลมายาของกิเลสทั้งมวล ความจรงิ ไมป รากฏ แยกแยะถอยหนาถอยหลัง ตลบทบทวน
ดว ยความสนใจอยากรอู ยากเหน็ ความจรงิ ไมสนใจกับสิ่งใดนอกไปจากงานของตนที่
กาํ ลงั ทาํ อยเู วลานน้ั ในโลกมงี านอนั เดยี วน้ี ยน จติ เขา มาตรงนใ้ี หร ู พิจารณาจุดไหนใหมี
เจตนาจดจอ มสี ตคิ วบคมุ ไตรต รองเทยี บเคยี งกบั หลกั ความจรงิ ในจดุ นน้ั อยาใหสติ
เคลอ่ื นคลาด เชน อสุภะอสุภัง มนั เปน อสภุ ะจรงิ ไหม เทยี บลงไปใหซ ง้ึ เพราะความจรงิ
กเ็ ปน เชน นน้ั อยแู ลว เปน แตก เิ ลสตวั จอมปลอมมนั เปลย่ี นแปลงเสยี ใหมว า เปน ของสวย
ของงาม วาเปนของจีรังยั่งยืน วา เปน ตนเปนของตนไปเสียหมด เมอ่ื พจิ ารณาตามธรรม
ดว ยปญ ญาชอบแลว มนั ไมม คี าํ วา สวยงาม ไมม คี ําวาจรี ังยงั่ ยนื ไมม คี าํ วา เปน ตนเปน
ของตน มนั เหลวไหลทง้ั เพ หาความจรงิ ไมม ี
กลมายาของกิเลสมันไปแถวนี้ ความจริงของธรรมไปแถวนั้น เดนิ สวนทางกนั
จงนําสติปญญาไตรตรองใหถึงความจริงของธรรม ปญ ญาเทา นน้ั จะสามารถคลค่ี ลายสง่ิ
จอมปลอมทงั้ หลายเหลา น้ี ใหลงสูความจริงอันดั้งเดิมได เชน ธาตุสี่ ดิน น้ํา ลม ไฟ
เปนของดั้งเดิม คนลงไปๆ จากอสุภะอสุภังนี้แลว จะกลายลงไปเปน ธาตุ เมื่อกลายลง
ไปเปนธาตุอยางชัดเจน ไมวาภายนอกภายในเปนธาตุไปหมด เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺ
ตาไปหมด จะไปยึดไปถือสิ่งใดที่นี่ กา วเดนิ อยางนี้ เดินปญญา ตามอบุ ายทอ่ี ธบิ ายผา น
มาแลว นน้ั
ปญญาขั้นใดก็ตาม สติตองติดแนบไปดวยกัน สติกบั ปญ ญาเปนคูเคยี งกันอยา ง
สนทิ แยกกันไมออก เบื้องตนสติตองไปกอน พอพยายามผลิตปญ ญาข้นึ มาแลวสติเปน
พี่เลี้ยงปญญาตามกันไป พอถึงขั้นเต็มกําลังทั้งสติทั้งปญญายอมกลาหาญชาญชัยตอ
การทําหนาที่ของตน ปราบกเิ ลสตณั หาอาสวะประเภทตา งๆ ไมมีคําวากลวั วา ถอย นอก
จากรดุ หนา ทา เดยี ว สติปญ ญาเปนเหมือนเชอื กทีฟ่ น กนั เปน เกลยี วเดียว กลมกลืนกัน
ไปเลย ไมมีแยกกันเหมือนแตกอน
เอา ทนี ก้ี เิ ลสตวั ไหนจะมาเพน พา นอวดอาํ นาจวาสนาเหมอื นแตก อ น คาํ วา สมาธิ
ก็สลัดปดท้งิ หรอื ปราบปรามความฟุงซานรําคาญออกไป ความโงเ ขลาเบาปญ ญา ทเ่ี คย
สาํ คญั มน่ั หมายวา ธาตขุ นั ธน ้ี เปนแทงแหงทอง เปนทองทั้งแทง ก็แยกจากกันไปหมด
แลว ตามความจริงมันจะเปนทองทั้งแทงไปไดอยางไร เปนของสวยของงาม เปนของมี
คณุ คา มรี าคาไดอ ยา งไร ปญญากําหนดจดจอลงไป คล่คี ลายลงไปจนถงึ ความจริงเตม็
สวนของรูปกาย อนั ไหนมรี าคาเลา มแี ตก องอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เตม็ ขนั ธเ ตม็ หวั ใจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๒
๒๑๓
เต็มโลกธาตุ อนั ไหนเปน สง่ิ ทน่ี า ยดึ นา ถอื นา เกาะ นา รกั ใครช อบใจ นา อาลยั เสยี ดาย มี
ที่ตรงไหน
ปญ ญาคลี่คลายดูหมดแลว มนั หมด ไมมีที่อาลัยเสียดาย ใจก็ถอนตัวเขามา รูป
รางกายของเราท่เี คยยึดม่นั ถือม่นั หนกั ยิง่ กวาภูเขา มันก็ถอนตัวออกมา จากนั้นก็
พจิ ารณาเวทนา เมื่อกายนี้พิจารณาไดอยางชัดเจนช่ําชองคลองแคลวทุกอยางแลว มันก็
ปลอยของมันเองไมตองบอก ขอใหปญญาไดหยั่งถึงความจริงเต็มที่เถิด ในขั้นใดก็ตาม
ขั้นรูปธรรมมันก็ปลอยของมันไดอยางเต็มที่ ปลอยไดเต็มสติกําลังของปญญาที่รูนั่นแล
นเ่ี ปน ขน้ั หยาบคอื รปู ขนั ธ ขอสรปุ เพยี งเทา น้ี
ขั้นละเอียด คือ เวทนา สขุ เวทนา ทุกขเวทนา อเุ บกขาเวทนา มีไดทั้งทางราง
กายและจิตใจ แตส าํ คญั ใจเปน ผหู ลงเปน ผไู ปยดึ พจิ ารณาใหเ หน็ ตามความจรงิ ของมนั
เวทนาปรากฏขน้ึ มากเ็ ปน ความจรงิ อนั หนง่ึ ของมนั เทา นน้ั ตามหลกั ธรรมชาตแิ ลว ถา
ไมใ ชก เิ ลสเขา ไปเคลอื บแฝงไปบงั คบั บญั ชาใหว า เวทนาคอื สขุ เปน เรา ทกุ ขเ ปน เรา
อเุ บกขาเปน เราเปน ของเรา และสรางกองทุกขขึ้นมาภายในจิตใจอีกเทานั้นก็ไมมีทุกข
ทางใจ ปญญาจะตองหยั่งลงถึงความจริงเปนลําดับ
เมอ่ื สตปิ ญ ญาหยง่ั ทราบความจรงิ แลว เวทนากส็ กั แตว า เวทนา ดังที่ทานอธิบาย
ไวแ ลว ในสตปิ ฏ ฐานสไ่ี มผ ดิ ไปไหนเลย เปน ความจรงิ ลว นๆ แตเ ราไปฝน ความจรงิ ทง้ั
หลาย เพราะกเิ ลสพาใหฝ น พาใหเ หยยี บยาํ่ ทาํ ลายความจรงิ เพราะกเิ ลสเคยเหนอื
อํานาจของใจ จึงตองฉุดลากจิตใจไปในทางผิด และเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายความจรงิ นน้ั ๆ
โดยไมร ตู วั วา เหยยี บยาํ่ ทาํ ลาย นี่คือตัวจอมปลอมที่จิตเคยเชื่อมัน ดวยเหตุนี้ ผูปฏิบัติ
จําตอ งใชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาอยา งละเอียดแยบคาย จงึ จะพบความจรงิ ตามหลกั ธรรม
ทา น
การคลค่ี ลาย การพิจารณาทางดานปญญาก็เพื่อแกสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย ส่งิ ปน
เกลยี วกบั ธรรมคอื ความจรงิ ลว นๆ ออกโดยลําดับ จิตจะเปดเผยตัวเองขึ้นอยางชัดเจน
ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ภายในรา งกาย เมอ่ื พจิ ารณาจนถงึ ขนั้ อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า อยางซึ้ง
ภายในใจแลว จะยึดถือไวไมได จะสลดั อปุ าทานความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ภายในรา งกายน้ี
ออกโดยสิ้นเชิง รูประจักษกับจิต กาย เวทนา ก็สักแตวาเกิดขึ้นตั้งอยูตามธรรมชาติของ
มัน เปนความจริงแตละอยางๆ กายกไ็ มท ราบความหมายของทกุ ขเวทนาหรอื สขุ เวทนา
อุเบกขาเวทนา เวทนานน้ั จะเปน สขุ เวทนา ทุกขเวทนา อเุ บกขาเวทนา กไ็ มท ราบความ
หมายของตนและไมทราบความหมายของกายของใจ เปน แตธ รรมชาตทิ ป่ี รากฏขน้ึ ตาม
หลักความจริงของตน แลวก็ดับไปตามธรรมชาติของมัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๓
๒๑๔
ถาจติ มสี ตปิ ญญารอบตวั อยูแลว จะพิจารณารูแจงเห็นจริงในความจริงทั้งหลาย
ทง้ั สว นกายทง้ั สว นเวทนาทง้ั สาม แยกตัวออกโดยลําดับๆ สว นสญั ญา สังขารไมตองพูด
มนั กเ็ ปน อาการเหมอื นกนั นน่ั แล เกิดขึ้นแลวดับไป มันเปนกองไตรลักษณทั้งหมด คือ
อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา และเบิกออกๆ จติ ถอยตวั เขามา การพจิ ารณากแ็ คบเขา ไปๆ
เพราะสง่ิ ไรทพ่ี จิ ารณารแู จง เหน็ จรงิ แลว มนั ปลอ ยเอง จะพิจารณาเพื่ออะไรอีก กร็ แู ลว
เหน็ แลว น่ี
มนั ตองชัดอยางน้ันจึงชื่อวา ผปู ฏิบัตเิ พือ่ รจู ริงเหน็ จริง ตองรภู ายในตวั เองจริงๆ
ไมอ ยางนั้นไมเ รยี กวา สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก เหน็ เอง เมื่อไดคุยเขี่ยขุดคนเต็มสติปญญา ผลจะ
ปรากฏข้ึนมาอยางเต็มภมู ิ เต็มภูมิของสติปญญาหนีไมพน นแ่ี หละการพสิ จู นเ รอ่ื งการ
เกิดการตายของจิต
จติ เปน สง่ิ ลกึ ลบั มากเพราะกเิ ลสพาใหล กึ ลบั กิเลสมันเอาจิตเขาไปหมกไปซอน
ไวใ นสถานทที่ เ่ี ราไมอ าจเออ้ื มรูไดเ ห็นได ถูกกิเลสตัวจอมปลอมปดบังไวหมด ตวั มนั
ออกหนาออกตา หลอกไวตลอดเวลาจึงไมเห็นโทษของตน ไมเห็นโทษของกิเลสที่พาให
เกดิ ใหต าย
เม่ือใชสตปิ ญ ญาพจิ ารณาลงไปดังทีก่ ลา วมาแลว น้ี กเิ ลสประเภทตา งๆ ทเ่ี คยหมุ
หอจิตใจ หลอกลวงจิตใจ ปดบังจิตใจนั้นจะขยายตัวออกไป เปดตัวออกไปๆ จน
กระทั่งไมมีเหลือ เมอื่ กเิ ลสหมดสิ้นไปจากใจไมมเี หลือเพราะสตปิ ญญารเู ทา ทนั และ
ตัดขาดกระเด็นออกจากความสืบตอกันระหวางขันธกับจิต รปู เสียง กลิ่น รส ทง้ั หลาย
ไมตองพูด เพราะมันหางไกลมากไป เอาในระหวา งขนั ธก บั จติ รปู ขนั ธ เวทนาขันธ
สัญญาขันธ สังขารขันธ วญิ ญาณขนั ธ ทราบตามอาการของมนั ซง่ึ เปน ความจรงิ แตล ะ
อยางๆ และทราบภายในจติ คอื ตวั อวชิ ชา ตัดสะพานทางเดินของมันหมดแลว กเ็ หลอื
แตจิตกับอวิชชาที่พัวพันกันอยูอยางลึกลับ แตจะพนมหาสติ มหาปญญาอัตโนมัติไปไม
ได
นี่กําลังของสติ กําลังของปญญา เมื่อฝกใหเปนยอมเปนไดอยางนี้ รูไดอยางนี้
เหน็ ไดอ ยา งน้ี และสามารถทําลายจิตอวิชชาออกเหมือนระเบิดทําลายทีเดียว อวิชชา
แหลกแตกกระจายไปหมดไมมีเหลือ ทีนี้ทําไมจะไมรู ที่เคยเกิดมากี่กัปกี่กัลป ไมตอง
ไปนับก็ได ความจริงบอกอยูในจิตที่บริสุทธิ์ดวงนี้อยางประจักษ และเริ่มรูมาตั้งแตจิตที่
มีเชื้อสืบตอเกี่ยวเนื่องกันมากนอยโดยลําดับมา คอยรเู ขา มา เพราะตัดเขามาเรื่อยๆ
ดวยปญญา รเู ขา มาๆ สน้ั เขา มาๆ จนกระทั่งขาดสะบั้นไปหมด ไมมีอะไรสืบตอกัน
ระหวา งจติ กบั กเิ ลสอาสวะตา งๆ ที่จะพาใหเกิดภพเกิดชาติ เพราะขาดออกไปจากจิต
หมดแลว ไมม สี ิ่งใดเหลือ เปน จิตท่ยี ืนยนั ปฏิญาณตนไดอยางอาจหาญไมส ะทกสะทา น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๔
๒๑๕
ใดๆ ทั้งสิ้น ไมตองหาสักขีพยานมาจากไหนอีก สักขีพยานพอตัวอยูกับความบริสุทธิ์ที่
รๆู เหน็ ๆ อยจู าํ เพาะตนหมดแลว
โทษเราก็เคยเห็นมาประจักษใจ พนโทษกเ็ ห็นประจกั ษใ จแลวทน่ี ่ี ความเปน นกั
โทษก็เพราะถูกคุมขังของกิเลส ความพน โทษกเ็ พราะกเิ ลสบรรลยั ไปจากใจแลว เพราะ
อํานาจแหงสตปิ ญญา ศรทั ธา ความเพยี ร เรอ่ื งความเกดิ -ตายแตก อ นเปน มาจากไหน
จะไปสงสัยท่ไี หนวาไมเ ปน มาจากกิเลสประเภทตางๆ จนถึง อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา
สง่ิ เหลา นก้ี ไ็ ดบ รรลยั ลงไปหมดแลว ที่นี่จิตจะไปเกิดที่ไหนอีกไหม จิตดวงนี้ก็รูชัดๆ วา
ไมเกิดที่ไหนอีกแลว เพราะเปน อฐานะแหง การเกดิ อกี ตอ ไป
นน่ั แลจงึ เรยี กวา ผปู ฏบิ ตั เิ พอ่ื เหน็ ความจรงิ แหง ธรรมทง้ั หลาย รทู ใ่ี จ อยาไปคาด
ไปคิดกาลโนน สถานทน่ี ใ่ี หเ สยี เวลา และถูกกิเลสมันหลอกไปโนนหลอกไปนี่อยูไมหยุด
ดูจุดที่กิเลสซองสุมกันอยูที่หัวใจนี่ ชาติป ทกุ ขฺ า ชราป ทุกฺขา เปนเรื่องของกิเลสทั้ง
นน้ั ออกไปจากดวงใจเปนเชื้ออันสําคัญใหเกิดภพนั่นภพนี่ คอื อวิชฺชาปจฺจยา นี้เอง
เมื่อถูกทําลายขาดสะบั้นลงไปหมดแลว นั้นแลคือความบรสิ ุทธ์พิ ทุ โธแท ไมมแี ลว ขึ้นชื่อ
วา สมมุติซ่งึ เปน คูเคียงกับกเิ ลสประเภทตา งๆ ภายในใจ ยนื ยนั ไดภ ายในตวั เองวา นตฺถิ
ทานิ ปุนพฺภโว ความเกิดไมมีอีกแลว จะมีไดอยางไร เพราะเชื้อใหเกิดมันดับไปหมด
แลว
ผทู ร่ี วู า สง่ิ ทง้ั หลายนน้ั ดบั ไปหมดแลว อนั นน้ั ดบั ไหมทน่ี ่ี และนั่นสูญไหมที่นี่
เรยี นใหถ งึ ซิ เรยี นใหถ งึ จติ ซิ ลึกลับที่สุดก็คือจิต เพราะกเิ ลสพาใหล กึ ตน้ื ทส่ี ดุ จน
ประจักษใจก็คือจิต เพราะธรรมพาใหต น้ื สติปญญาพาใหตื้น นแ่ี หละหลกั รบั รองมรรค
ผลนิพพาน รับรองความพนทุกข และรบั รองเรอ่ื งความเกดิ ความตาย เกิด-ตายมา
อยางไรตออยางไร ตายเกดิ หรอื ตายสญู รบั รองกันทตี่ รงนี้ ยนื ยนั กนั ทต่ี รงน้ี หายสงสยั
ท่ีตรงน้ี ใครจะสงสยั อยา งไรไมส นใจ ใครจะวา เปน อยา งนน้ั เปน อยา งนก้ี ร่ี อ ยกพ่ี นั เรอ่ื ง
ก็วาไป ตามความคดิ ความเหน็ ของนานาจติ ตงั ถาอยากฟงก็ฟงไป ไมอยากฟงก็อยูตาม
ความไมห วิ โหย ขอใหร คู วามจรงิ ประจกั ษใ จเสยี เทา นน้ั อนั เรอ่ื งความหวิ โหย ความโยก
คลอนตางๆ มันหมดไปเอง เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน สง่ิ เคลอื บแฝง เปน ความหลอกลวง
เม่ือถงึ ความจรงิ เตม็ สวนแลวจะหลงไปไหน สามโลกธาตุมาหลอกก็ไมหลง
เอาใหจ รงิ ใหจ งั นกั ปฏบิ ตั ิ อยทู ไ่ี หนใหถ อื ความเพยี รเปน สาํ คญั ใหถือวากิเลส
เปน ขา ศกึ ตอ เราอยเู สมอ ผูนั้นแหละจะพนจากแหลงแหงทุกขนี้ไปไดโดยไมสงสัย สติ
ปญญามีหุงตมแกงกินไมได นาํ มาฆา กเิ ลสแกก เิ ลสเทา นน้ั หนาที่ของสติปญญานะ เอา
ใหจ รงิ จงั อยา ลดละความพากเพยี ร คาํ วา กเิ ลสเปน ภยั ธรรมะเปน คณุ แกส ตั วโ ลก นน่ั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๕
๒๑๖
คือศาสดาองคเอกเปนผูสอนไว มิใชคนหูหนาตาฝาฝาดเปนผูสอนไวพอจะไมสะดุดใจ
คิดกัน
ผมมคี วามหว งใยหมเู พื่อนเห็นอยางยิง่ ไมสบายก็ตองลงมา เพราะการเทศนา
วา การเมอ่ื คนื ทผ่ี า นมานน้ั มนั มีหลายอยาง อุปสรรคยุงไปหมด หาความสงบสงัดไมได
เทศนไมสนิทใจจึงตองหยุด เสียงกระรอกกระแตก็โกกๆ กากๆ กัดอะไรอยูบนศาลานี้
เสยี งนน่ั เสยี งนค่ี กึ ๆ คักๆ กระทบกระเทอื นตลอดเวลา เทศนไ มส นทิ ใจ วนั นเ้ี หน็ วา
อากาศก็เปดเผยดี เรอื่ งราวอะไรๆ ก็ไมมี จึงประชุมและใหการอบรมสั่งสอนหมูเพื่อน
ซ้ําอีก เทศนด ว ยเจตนาเพอ่ื ความเปน คตแิ ละเปน สริ มิ งคลแกท า นผฟู ง ทง้ั หลายเปน
อยางย่ิง เพื่อใหมีความจริงจังตอความพากเพียรของตน ซึ่งเปนงานแทของพระ จงเอา
ใหจ รงิ จงั ขอใหง านนส้ี าํ เรจ็ เถดิ ไมม ใี ครมาเสกสรรปน ยอวา วเิ ศษวโิ สกร็ อู ยกู บั ตวั เอง
อิ่มพออยูกับตัวเอง สมกับการปฏิบัติเพื่อถึงเมืองพอ ไมหวังพึ่งอะไรดังที่เคยเปนมา
นอกจากความบรสิ ทุ ธอ์ิ นั เปน ความสมบรู ณพ อตวั แลว เทา นน้ั
เทา นพ้ี อ
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๖
๒๑๗
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๓ ตลุ าคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
อยา ฝน ความจรงิ
ผูที่จะสามารถสืบมรดกทั้งดานการประพฤติปฏิบัติไปโดยถูกตองดีงาม และผล
เปนที่พึงพอใจในธรรมปฏิบัติ ดงั ท่ที า นกลาวไวใ นครงั้ พทุ ธกาลวามรรคผลนพิ พาน ก็
คือผูที่ปฏิบตั ิตามหลักธรรมท่ีทานส่งั สอนไวน เี้ ทาน้นั เฉพาะอยางยิ่งคือนักบวชแลว ยงั
ยนเขามาถึงนักปฏิบัติอีกดวย เพราะคาํ วา นกั บวชมอี ยทู ว่ั ไปในดนิ แดนแหง ชาวพทุ ธเรา
ไมกําหนดกฎเกณฑวาเมืองนั้นเมืองนี้ เมืองนอกเมืองใน เต็มไปหมดดวยนักบวชใน
พุทธศาสนา
แตจ ะเอากฎเกณฑต ามความเปน นกั บวชนน้ั วา จะเปน ผไู ดร บั มรดกคอื ธรรม
ทายาทของพระพุทธเจาจริงๆ นน้ั ไมสนิทใจ เหมือนผูตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลัก
ศาสนธรรม ทั้งทางดานพระวินัยและดานธรรมะโดยถูกตองดีงาม ทา นเหลา นจ้ี ะเปน ผู
ทรงไวซ งึ่ ธรรมทายาท ทั้งฝายเหตุและฝายผลไดโดยลําดับ จนถึงขั้นสมบูรณโดยไม
สงสัย เพราะธรรมประกาศหรอื ทา ทายความจรงิ ไวอ ยแู ลว ตั้งแตครั้งพุทธกาลมาจน
กระทั่งปจจุบัน ไมป รากฏวา มธี รรมบทใดบาทใดไดรอยหรอลงไปจากหลักความจรงิ ท่ี
พระองคทรงตรัสไว มคี วามสมบรู ณพ นู ผลอยดู ว ยความสตั ยค วามจรงิ ความถูกตองดี
งามทุกแงทุกมุม ในการทจี่ ะบุกเบิกใหถงึ จดุ หมายปลายทางไดโ ดยสมบรู ณ
ฉะนน้ั เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ จงคํานึงถึงความรูสึกของตนที่มุงเจตนา และความมงุ
มัน่ ทีต่ ั้งไวแ ลว อยางใด และประสานกบั ความประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ อยาใหพรากจากกัน การ
ปฏิบัติศีลก็อยาไดประมาท สิ่งใดที่ขัดของตอศีลก็คือการขัดของตอธรรมที่จะเปน
ประโยชนแ กเ รา และเปน การขดั ของทําลายตวั ของเราไปดวย การขัดของตอธรรมหรือ
กีดขวางธรรม ก็เปนการกีดขวางตนเองดวยใหหาทางกาวไปไมได
ดว ยเหตนุ ท้ี า นจงึ กลา วไวว า สปุ ฏปิ นโฺ น เปน ผูปฏิบตั ติ รงตอหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั
โดยสมาํ่ เสมอ ตัง้ แตตนจนสุดยอดแหงธรรมวนิ ยั อุชุฯ ตรงไปตรงมา อนั เปน แนวทาง
ที่จะใหเกิดความสะอาดในศีลในธรรมของตน ญายฯ ความรแู จง แทงตลอดอยา ไดห าง
เหนิ จากจติ ใจ คอื มคี วามสนใจจดจอ ตอ ความรจู รงิ เหน็ จรงิ ในธรรม ทท่ี า นไดเ คยรเู คย
เหน็ และไดป ระทานไวแ ลว คําวา สามจี ฯิ ก็รวมลงไปวา การปฏบิ ตั ดิ ี ปฏบิ ตั ติ รง เปน
การปฏบิ ตั ธิ รรมสมควรแกธ รรม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๗
๒๑๘
คาํ วา ธรรมนน้ั เปน ของกลาง เชน เดยี วกบั สมบตั ใิ นโลก แลว แตผ มู คี วามขยนั
หมน่ั เพยี รและความเฉลยี วฉลาดทจ่ี ะแสวงหามาได มากนอ ยตามกาํ ลงั ความสามารถ
และฉลาดของตน ตามปกติวัตถุในโลกนี้ไมขาดแคลน มสี มบรู ณ เปน แตเ พยี งวา ความ
อตุ สา หพ ยายาม หรอื ความขยนั หมน่ั เพยี รและความฉลาด ทจ่ี ะสามารถนาํ วตั ถนุ น้ั ๆ
เขา มาเปนของตนไดเ ปนสาํ คญั กวาอนื่
คาํ วา ธรรมกไ็ มเ คยบกพรอ ง ตามหลกั ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสอนไวแลวคง
เสน คงวา ดงั ที่ทา นกลา วไวว า พระโสดา พระสกิทาคา พระอนาคา พระอรหตั ธรรมท้งั
สป่ี ระเภทน้ี กลมกลนื กันกบั หลกั มัชฌมิ าปฏิปทาอันเปน สายทางเดนิ เขาไปสธู รรมข้ัน
เหลา น้ี จนกระทั่งทะลุปรุโปรงไปได ไมนอกเหนือจากมัชฌิมาปฏิปทานี้ไปไดเลย
เราพงึ คาํ นงึ ตนเสมอวา เวลานี้เราปฏิบัติถูกตองตามหลักมัชฌิมาหรือไม
มัชฌิมาคือเหมาะสมอยูตลอด การรักษาศีลก็เปนความเหมาะสมของตน หาท่ตี าํ หนิติ
เตียนตนไมไดวา ไดทําศลี ใหด างพรอยไปดว ยเจตนา หรอื ความเผอเรอประการใดบา ง
เพราะความระมดั ระวงั รกั ษาอยเู สมอ ศลี กง็ ามสาํ หรบั ตวั ของเรา เปนผูทรงศีล เปน ผู
เหมาะสมกบั ความเปน ผมู ศี ลี จงึ เรยี กวา มชั ฌมิ า คอื ความเหมาะสม
ทางดานธรรมนับแตสมาธิ คาํ วา สมาธทิ ท่ี า นแสดงไวใ นตาํ รา เคยไดอธิบายให
ฟง แลว หลายครง้ั หลายหนนน้ั คือเข็มทศิ ทางเดินทที่ า นเขยี นไวต ามคมั ภรี ใ บลาน ไมใช
องคของสมาธิแท แตส มาธแิ ทน น้ั จะเกดิ ขน้ึ กบั ใจทส่ี บื เนอ่ื งมาจากการศกึ ษาเลา เรยี น
วธิ กี ารทท่ี า นแสดงไวแ ลว ในตาํ รบั ตาํ รานน้ั เขามาประยุกตกับความประพฤติของตน
เพอ่ื ใหเ กดิ ความสงบเยน็ ใจขน้ึ มาไดด ว ยจติ ตภาวนา
สมาธิมคี วามสาํ คัญไปทางหนึง่ ปญ ญามคี วามสาํ คญั ไปทางหนึง่ ตา งกม็ คี วาม
สําคัญตามหนาทหี่ รือคุณภาพของตน เพราะฉะนัน้ พระพุทธเจา เสียเองจงึ ไดต รัสไววา
สมาธปิ รภิ าวติ า ปฺญา มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า สมาธิอนั เปนความอิ่มตัว ไมหิว
โหยโรยแรง ฟุงเฟอเหอเหิม กระสบั กระสา ย เปนจิตที่อิ่มตัวตามขั้นแหงความสงบของ
ตน นท่ี า นเรยี กสมาธิ สมาธนิ แ้ี ลทม่ี คี วามอม่ิ ตวั น้ี นําไปใชทางดานปญญา ยอมจะเปน
เครือ่ งหนนุ ปญ ญาใหทาํ หนา ทข่ี องตนไดอ ยา งราบรน่ื ดงี าม เพราะไมเถลไถล ไมก ระวน
กระวายหวิ โหยกบั สง่ิ นน้ั สง่ิ นเ้ี หมอื นคนไมม คี วามสงบอยภู ายในตวั จิตที่สงบยอมไมหิว
โหยกบั สง่ิ ตา งๆ พาทํางานใดก็ทํา พิจารณาทางดานปญญามีสติเปนเครื่องกํากับรักษา
หรอื เปน ผคู วบคมุ งาน จิตก็ทํางานตามนั้น
เมื่อมีสมาธิแลว ควรจะแยกออกทางดานปญญา พจิ ารณาแยบคายไปกวา ทาง
ดานสมาธิก็ตองทํา เพราะฉะนน้ั คําวาสมาธิกับปญญานี้จึงแยกกันไมออกโดยจะถือวา
พจิ ารณาทางดา นปญ ญาอยา งเดยี วเปน ความรวดเรว็ การทาํ สมาธิ มวั ทาํ สมาธใิ หเ กดิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๘
๒๑๙
ใหม คี วามสงบแลว คอ ยพจิ ารณาทางดา นปญ ญานน้ั เปน ทางลา ชา หรอื ลา สมยั การพูด
เชน นน้ั หรอื ความเหน็ เชน นน้ั เปนความเห็นที่ขัดตอหลักธรรมของพระพุทธเจา ทท่ี รง
รบั รองมาแลว โดยสมบรู ณท ง้ั ทางเหตแุ ละทางผล
ดังนั้น ธรรมทั้งสองประการนี้จึงแยกกันไมออกแตไหนแตไรมา จะแตกตางกัน
อยูบางก็แตอาการของสมาธิ มีอาการตางกัน แตพูดถึงเรื่องความสงบนั้น สงบเหมอื น
กัน แตอ าการแหง ความสงบนน้ั มตี า งกนั บา ง ถึงอยางไรก็ตามความสงบของจิตนั้น
ยอมเปนความอิ่มตัวไดดวยกัน ควรแกก ารพจิ ารณาทางดา นวปิ ส สนา คือปญญาไดเชน
เดียวกัน จึงไมสามารถที่จะแยกสมาธิหรือสลัดตัดทิ้งสมาธิไปเสีย ใหด าํ เนนิ แตท างดา น
ปญญาอยางเดียว แลว ควา เอามรรคผลนพิ พานอยา งภาคภมู ใิ จมาแขง ศาสดาผแู สดงไว
ทั้งสมาธิและปญญา อยางนี้เปนไปไมได
นเ่ี ราเคยปฏบิ ตั มิ าแลว ไดทราบอยางชัดเจนในทางดานสมาธิ คือการทําสมาธิ
ตั้งแตขั้นลมลุกคลุกคลาน มาจนกระทั่งถึงขั้นสมาธิเต็มตัว คาํ วา ขน้ั สมาธเิ ตม็ ตวั นน้ั คือ
เราทาํ ใหส งบไดต ามความตอ งการของเราเวลาใดกไ็ ด แมจิตจะถอนออกมาจากสมาธิ
นน้ั แลว คิดอานไตรตรองกิจการงานอื่นๆ ได แตฐ านของสมาธนิ น้ั เปน ความแนน หนา
มั่นคงอยูเสมอ ทเ่ี รยี กวา สมาธิเต็มภูมิ คือทําใหสงบเมื่อไรก็ได แตก็เปนสมาธิอยูเพียง
เทา นน้ั ไมสามารถกลายตัวไปเปนปญญาได โดยที่เราไมนําออกพิจารณาแตอยางใดให
เปนปญญาขึ้นมา
เมอ่ื จติ มคี วามสงบเปน พน้ื ฐานแลว นําจิตที่มีดวงความสงบและอิ่มตัว ไมหิว
โหยกบั อารมณต า งๆ นน้ั เขา พจิ ารณาทางดา นปญ ญา เราจะพจิ ารณารา งกายสว นใดก็
ตาม คาํ วา รา งกายนท้ี ว่ั ไปหมดในรปู ขนั ธน ้ี แลว แตจ ะถกู กบั จรติ ในอาการใดภายในรา ง
กายน้ี แยกแยะดูตั้งแตตน ดงั ท่ที านมอบงานใหแกพวกเรามาต้งั แตดึกดําบรรพจ น
ปจ จบุ นั น้ี และยังจะเปนไปอีกอยางนี้ไมลดละ วางานของนักบวชน้ันคืออะไร
อุปชฌายะทานมอบใหวา เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ นค่ี อื อนโุ ลมพจิ ารณาโดยลาํ ดบั
ไป ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา นใ่ี หพ จิ ารณาปฏโิ ลม ยอ นกลบั หนา กลบั หลงั ถอย
หนา ถอยหลัง
สง่ิ ทก่ี ลา วเหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทป่ี ระกาศตนอยแู ลว ดว ยความปฏกิ ลู โสโครกตามหลกั
ธรรมชาติที่เปนความถูกตอง เปน แตเ พยี งวา จติ ของเรานน้ั ไปรบั ความเสย้ี มสอนมา
จากสิ่งจอมปลอมคือกิเลส จงึ ตอ งมาเปลย่ี นแปลงความจรงิ จากธรรม หรอื ลบลา งธรรม
นีใ้ หเ ปน สภาพอืน่ ไปเสียจากความเปนของปฏกิ ูล ใหเปนของสวยของงาม เปน ของจรี งั
ถาวร เปน เราเปน เขา เปนของเราของทานไปเรื่อยๆ สง่ิ เหลา นน้ี อกจากความเปน อสภุ ะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๑๙
๒๒๐
อสภุ งั เตม็ ไปทง้ั รา งกายภายนอกภายใน อยูโดยหลักธรรมชาติของมันตามธรรมที่กลาว
ไวแ ลว ยงั มคี วามแปรสภาพอยภู ายในตวั ทกุ ระยะๆ ไมมเี วนแมแตขณะหน่งึ
การพจิ ารณาเชน นท้ี า นเรยี กวา วปิ ส สนา เพอ่ื ความเหน็ แจง ตามความจรงิ ความ
จรงิ นน้ั เปน อยา งไรในรา งกายน้ี คาํ วา อสภุ ะจรงิ หรอื ไมจ รงิ เราปฏเิ สธไดไ หม ตง้ั แตภ าย
นอกก็มีขี้เหงื่อขี้ไคลเต็มไปหมดทั้งราง ไมวาขางบนขางลางตองชะตองลางกันอยูตลอด
เวลา รางกายนีไ้ ปสัมผสั สมั พนั ธก บั ส่ิงใด แมจะเปนของสะอาดสวยงามเพียงใดก็ตาม
จะตองกลายเปนของสกปรกโสมมสงกลิ่นฟุงไปหมด
เพราะรา งกายนเ้ี ปน ตวั ปฏกิ ลู สิ่งที่เขามาเกี่ยวของกับรางกายนี้จึงกลายเปนของ
สกปรก ตองชะตองลางตองฟอกเช็ดถู ไมเชนนั้นก็อยูไมได นเ่ี หน็ อยา งชดั ๆ อยูแลว
ตามหลกั ความจรงิ ผูปฏิบัติจะฝน หลกั ความจริงน้ีไปไหน ความฝน หลกั ความจรงิ เหลา
นี้มีแตเรื่องของกิเลสทั้งสิ้นซึ่งเปนขาศึกตอธรรม เคยฝน ธรรมอยา งนม้ี าเปน ลาํ ดบั ลาํ ดา
คอื เสกสรรปน ยอขน้ึ มาเฉยๆ ทั้งๆ ที่หาความจริงไมได วา สวยงาม วา นา รกั ใครช อบใจ
วา เปน สง่ิ จรี งั ถาวร วา เปน สง่ิ ใหเ กดิ สขุ นา รน่ื เรงิ บนั เทงิ วา เปน อตฺตา เปน เราเปน ของ
เราเปนของเขา
จิตที่ไมมีที่ยึด มีแตกเิ ลสเปน ผพู รํา่ สอนอยตู ลอดเวลา จะไมใหยึดไมใหถือไมให
เชื่อตามกิเลสจะเชื่อถืออะไร เพราะมขี องอยา งเดียวเทานั้นตดิ แนบอยูก ับใจนับแตก ปั
ใดกัลปใดมา จนกระทั่งไดพบไดยินโอวาทคําสั่งสอน ซึ่งเปนคูแขงกับธรรมชาติที่เสก
สรรปนยอดวยความจอมปลอมนั้น คแู ขง นน้ั เรยี กวา ธรรม จึงไดนําธรรมของจริงนี้ เขา
มาเทียบเคียงของปลอม
แยกแยะกันดูทุกสัดทุกสวน ความเสกสรรทฝ่ี ง อยใู นขนั ธน เ้ี ปน คาํ เสย้ี มสอนของ
กเิ ลส มนั เสย้ี มสอนวา เปน ของสวยงาม ทําใหจิตคิดวาเปนของสวยของงามของดีของ
แนน หนามน่ั คงไปดว ย ทีนีน้ ําธรรมเขามาลบลางของปลอมนนั้ วา สวยงามทต่ี รงไหน ดู
หาความสวยงามไมไ ด ทง้ั ภายนอกภายในของรา งน้ี หาความสวยงามไมไ ดแ มแ ตช น้ิ
เดียว มันเต็มไปดวยของปฏิกูลโสโครกหมดทั้งรางนี้ ทัง้ ในตวั ของเราและสตั วอน่ื บุคคล
อื่น ทั้งหญิงทั้งชายเหมือนๆ กันหมด เทียบกันไดทุกสัดทุกสวนไมมีอะไรแปลกตางกัน
นค่ี อื ความจรงิ เราฝก วิปส สนาคือปญญา ฝกเพื่อจะสลัดสิ่งที่เคยยึดถืออันจอมปลอม
เขาสูหลักความจริงคือของไมปลอม นเี่ ปน ข้นั หน่งึ ของจติ ของธรรม
ขั้นตอไปยังแยกแยะเปนเรื่องอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซง่ึ เปน ธรรมของจรงิ เชน
เดียวกันเขาไปอีก เปนทางเดินเพื่อความสลัดปดทิ้งสิ่งจอมปลอมทั้งหลาย คือกิเลสตัว
พาเสกสรรปน ยอมาเปน เวลานาน ผลของมันทําใหเกิดความกดถวงลวงใจอยูเสมอ ให
มแี ตค วามทกุ ขค วามเดอื ดรอ นเพราะสง่ิ เหลา น้ี เมอ่ื พจิ ารณาตามหลกั ความจรงิ แลว จติ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๐
๒๒๑
ยอมจะคอยปลอยวางไปโดยลําดับ ตามความซมึ ซาบแหง ปญ ญาทเ่ี ขา สหู ลกั ความจรงิ
ของธรรมไปโดยลําดับลําดา
จนกลายเปน วา กายทง้ั กายน้ี ถาพูดถึงกองอสุภะก็คือปาชาผีดิบ ที่เต็มไปดวย
ซากศพตางๆ ซ่ึงรวมอยใู นรา งกายของแตล ะบคุ คลๆ นน่ั แล ไมใชซากหนึ่งซากเดียว มี
หลายซาก หลายศพ หลายประเภท หลายชนิดของสัตวท ่มี าตายกองกนั อยภู ายในรา ง
กายของเรานี้ พจิ ารณาอยเู ชน นซ้ี าํ้ ๆ ซากๆ เชน เดยี วกบั เราถากไม หลายครง้ั หลายหน
ก็ถึงแกน ถึงที่พอเหมาะพอดี พอเอา ย่งิ ชะลางลงไปหลายคร้ังหลายหนกถ็ งึ ทส่ี ะอาด
พนจากสิ่งจอมปลอมเห็นไดชัดเจน จิตยอมปลอยวางเองโดยไมตองสงสัย
นเ่ี ปน ขน้ั หนง่ึ ของการพจิ ารณาทเ่ี รยี กวา ปญ ญา เราแยกจากสมาธคิ อื จติ ทส่ี งบ
นน้ั ใหแ สดงกริ ยิ าออกมาทางความแยบคาย เรยี กวา วปิ ส สนาปญ ญา แปลวา ความ
เหน็ แจง เหน็ จรงิ ไมใชเ ห็นปลอมเห็นแบบมดื ๆ ดาํ ๆ กาํ ดาํ กาํ ขาวอยา งทอ่ี วชิ ชาพาเหน็
ปญ ญาธรรมพาเหน็ เห็นแจงเห็นชัดและรื้อถอนตนออกจากความยึดมั่นถือมั่นสําคัญ
ผิดตางๆ ไปไดโดยลําดับ นแ่ี หละการดาํ เนนิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พาน ดาํ เนนิ ไปตามสง่ิ
เหลา น้ี โดยถอื สง่ิ เหลา นเ้ี ปน หนิ ลบั ปญ ญาในการดาํ เนนิ วปิ ส สนา
ที่จิตไมสามารถกาวไปไดตามความมุงหมาย กเ็ พราะจติ ตดิ สง่ิ เหลา น้ี ทา นจงึ
สอนใหพ จิ ารณาบกุ เบกิ สง่ิ เหลา น้ี ซง่ึ เปน เสมอื นขวากหนามแทงจติ ใจอยทู กุ เวลาํ่ เวลา
รักก็ทําใหเกิดทุกข ชังก็ทําใหเกิดทุกข เกลียดโกรธทําใหเกิดทุกขทั้งนั้น เพราะกเิ ลส
เปนสาเหตุจะไมเกิดทุกขอยางไร ไมใ ชเ ปน สาเหตมุ าจากธรรม สาเหตทุ ม่ี าจากธรรมนน้ั
แมจะมีทุกขบางเพราะการตอสูกับขาศึก แตจติ ก็คาํ นงึ เพื่อชยั ชนะหรือเพื่อความรแู จง
เหน็ จรงิ ความทุกขนั้นก็ไมถือเปนอารมณกับผูปฏิบัติ
เพราะฉะนน้ั ผปู ฏบิ ัตธิ รรมแมท กุ ขแทบเปนแทบตาย ก็ไมถือเปนอารมณยิ่งกวา
เพือ่ ความรแู จง เหน็ จรงิ ในสงิ่ ทต่ี นตอ งการที่ตนมงุ หมายไว พระพุทธเจาของเรา ทานมี
ความมุงหวังอยางแรงกลา เพราะฉะนน้ั แมจ ะสลบถงึ สามครง้ั สามหน แตยังไมถูกทาง
เพอ่ื ความตรสั รกู ต็ าม พระองคก็ไมทรงทอถอย เพราะอาํ นาจแหง ความมงุ มน่ั ตอ ธรรม
ของจริง มีกําลังมากกวาที่จะทอถอยเพียงความสลบเทานั้น
การพจิ ารณารา งกายเปน สง่ิ สาํ คญั มาก เฉพาะอยางยิ่งเกี่ยวกบั ราคะตัณหาข้ึนอยู
กบั รา งกายน้ี จติ สงบกส็ งบจากความคดิ ในเรอ่ื งราคะตณั หา เกย่ี วกบั รปู เสยี ง กลิ่น รส
ในชาดกทานกลาวไวซึ่งเปนสิ่งที่สะดุดใจมากวา “ดูกอนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตไมเ คย
เหน็ รปู ใด ท่เี ปนขาศกึ เปน เครอ่ื งเสยี ดแทงจติ ใจอยา งเจบ็ ปวดแสบรอ น ยิ่งกวารูปของ
เพศตรงขา ม เสียงใดก็ตามไมสามารถที่จะเสียดแทงเขาถึงขั้วหัวใจ ถึงกับจิตใจจะพัง
ทลายลงไดเหมือนเสียงของเพศตรงขาม กลิ่นใดก็ตามไมสามารถทะลวงเขาถึงขั้วหัวใจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๑
๒๒๒
ยิ่งกวากลิ่นของเพศตรงขาม รสใดกต็ ามไมส ามารถทาํ ลายหวั ใจใหก ระทบกระเทอื น
หวน่ั ไหวและเปน บา แบบสดๆ รอ นๆ พรอมทั้งการรับความทุกขทรมานไดมากยิ่งกวา
รสของเพศตรงขาม การสัมผัสใดก็ไมสามารถทําใจใหละเมอเพอฝน จนตัวไมเปนตัว
ของตัวยิ่งกวาการสัมผัสเพศตรงขาม ใหเธอทั้งหลายจําไวอยางถึงใจ อยาประมาท”
“วธิ ีทจี่ ะแกร ปู เสยี ง กลน่ิ รส สัมผัส อนั เปนบอเกดิ แหงราคะตัณหาน้นั ตองใช
วิธีการอันถูกตองเหมาะสมกัน คือการพจิ ารณา อสภุ กรรมฐาน เปน ภาคพน้ื ใหเกิดมี
ความชาํ นชิ าํ นาญ นอ มกายวสิ ภาคเขา มาสกู ายของเรา หนงั ของวสิ ภาคเขา มาเทยี บกบั
หนังของเรา เสยี งของวสิ ภาคเขา มาเทยี บกบั เสยี งของเรา กลน่ิ ของวสิ ภาคเขา มาเทยี บ
กับกลิน่ ของเรา ความสมั ผสั ของวสิ ภาคเขา มาเทยี บความสมั ผสั ตวั เราเอง สง่ิ เหลา นม้ี นั
กเ็ ปน เนอ้ื เปน หนงั เปน อวยั วะอนั เดยี วกนั ไมเห็นมีผิดแปลกกันอะไรเลย ถาพูดถึงเรื่อง
ความเปนปฏิกูล คนท้งั หญิงทัง้ ชายเปน เทวดามาจากไหน รางกายจึงจะไมมีความปฏิกูล
โสโครก ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ทั้งหญิงทั้งชายก็คือคนทรงธาตุทรงขันธ ทรงอสภุ ะอสุภัง มหี นงั
มีเนื้อ มีกระดูก มีตับไตไสพุง มีของอสุภะอสุภังเต็มตัวเชนเดียวกันนั่นแล จะไปหลงหา
สาระอะไร ถา ไมใ ชเ ราเปน บรุ ษุ ตาฟาง เพราะฉะนน้ั เธอทง้ั หลายจงพจิ ารณาในสง่ิ เหลา น้ี
ใหม าก ยาแกพ ิษภยั อันสําคัญ คือ อสุภะ เปน ยาอนั ประเสรฐิ ”
นี่คือพุทธพจนที่ทรงแสดงไวแกภิกษุทั้งหลาย เพอ่ื ความเหน็ ภยั ในสง่ิ ทเ่ี ปน
วสิ ภาคกนั เพื่อจิตไดพิจารณาตามหลักอสุภธรรมไมขาดวรรคขาดตอน ใจจะไดส งบ ใจ
หายกงั วลหมน หมอง เพราะทกุ สว นแหง รา งกายนน้ั ๆ เปน ลกั ษณะเหมอื นๆ กัน
“กายทั้งกาย ทั้งหนัง ทง้ั เนอ้ื ทั้งเอ็น ทั้งกระดูก ทุกสัดทุกสวนแหงอวัยวะทั้งของ
หญิงและของชาย กับทุกสัดทุกสวนแหงอวัยวะของเรานั้น ไมมีอะไรผิดแปลกกันเลย
นอกจากถูกหลอกลวงจากกิเลสเทานั้น วา นน้ั วเิ ศษนว้ี โิ ส จนผหู ญงิ ผูชายธรรมดาๆ
กลายเปน เทวดาขน้ึ มา ตนเปน เสมอื นบอ ยหรอื สนุ ขั ตวั หนง่ึ ที่คอยกัดคอยแทะแบบ
ลมๆ แลง ๆ อยภู ายในใจ ไมม วี ันเวลาสรา งซาลงได นบั วา โงเ กนิ ไป ไมส มกบั ความเปน
ภิกษุ ใหเธอทง้ั หลายจงจาํ ไวใหถ งึ ใจ”
นั่นฟงดูซิ นแ่ี หละการพจิ ารณา จงทําตามทที่ า นสอนไวนั้น คาํ วา โงเ กนิ ไปจะ
ถกู ลบลงดวยวิปสสนาปญญาไมส งสยั ถา ลงไดพ จิ ารณาใหช ดั เจน เทยี บทุกสดั ทกุ สว น
ทง้ั ภายนอกภายในใหเ หน็ ชดั เจนแลว จะมีอะไรแตกตางกัน จะหลงอะไรกนั ดวยเหตุนี้
จึงตองใชการพิจารณาใหมาก โรคหนกั ตอ งวางยาใหห นกั เพอ่ื ทนั กบั โรคสนุ ขั บา ตาฝา
ฟางท่ีมองเหน็ ใบไมแ หง กลายเปนผัก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๒
๒๒๓
นอกจากนั้นทานยังสอนใหไปเยี่ยมปาชา การไปเยย่ี ม ปาชาแตกอนเปนปาชาผี
ดบิ ตายเกาตายใหมเอาไปทิ้งเกลื่อนไปหมด การไปพจิ ารณาปา ชา นน้ั ทา นสอนใหไ ป
ทางเหนอื ลม และสอนใหไปทางตายเกาเสยี กอ น เพราะกาํ ลงั สตปิ ญ ญายงั ไมเ พยี งพอ
ใหไปดูผูที่ตายเกาเสียกอน อวยั วะเกลอ่ื นกลาดเรย่ี ราด กระดูกกระจัดกระจายเปนอะไร
ไปแลว แลว ขยบั เขา ไปเปน ลาํ ดบั จนถงึ ผตู ายใหม ทง้ั นเ้ี พราะอาจจะเกดิ ความกาํ หนดั
ยินดีขึ้นมาได
เมอ่ื ไดพ จิ ารณาเปน ลาํ ดบั ลาํ ดาเขา ไปแลว เชน นน้ั ยอมจะมีกําลังทางสติปญญา
พอพิจารณากันไปได ศพนั้นๆ แมตายใหมก็ไมผิดอะไรกับรางกายของเราที่ยังไมตายนี้
ถา กลน่ิ เหมน็ คลงุ มนั กเ็ ปน เชน เดยี วกนั นแ้ี ล เพราะเปน ปา ชา ผดี บิ ผตี ายเชน เดยี วกนั
เมื่อพิจารณาเทียบเคียงไดทุกสัดทุกสวนของซากศพในปาชา กบั รา งกายเราทย่ี งั ไมต าย
วา เปน ลกั ษณะเดยี วกนั จนหายสงสยั แลว จะไมไปเยี่ยมปาชาอีกก็ได
เยย่ี มปา ชา ภายในรา งกายของเรานก้ี เ็ ปน ทเ่ี ขา ใจ เพราะการไปเยย่ี มปา ชา นอก ก็
เพอ่ื จะหาหลกั ยดึ เทยี บเขา มาสหู ลกั ภายในคอื ตวั เราเอง เมอ่ื ไดห ลกั ภายในเปน เครอ่ื ง
ยดึ แลว ก็มหี ลักมเี กณฑในการพิจารณาตนและหายกังวลในการไปเย่ียมปา ชา นอก นี่
เปน ปญญาขัน้ หนึง่
ปญ ญาขน้ั นีต้ อ งใชค วามพยายามใหมากกอ นจะมคี วามชาํ นาญ เมื่อชํานาญแลว
ปญญาขั้นนี้ยอมผาดโผนมาก ตามทเ่ี คยพจิ ารณามาแลว เปน อยา งนน้ั พจิ ารณาจนหมนุ
ตว้ิ ๆ ทันกบั เหตุการณท ีม่ ีอยูรอบตัว เมื่อปญญามีความชํานาญจวนถึงขั้นที่จะสลัดปด
ทิ้งรางกายนี้ ย่งิ หมุนตวั เปน เกลียวตลอดอริ ยิ าบถไมม ีวางงาน
มองดูตัวทั้งตัวนี้กลายเปนเนื้อก็เปนไปหมดทั้งตัว มองดูหนังไมเห็น ทะลุเขาไป
ถึงเนื้อ ถึงเอ็น ถึงกระดูก จนกระทั่งกลายเปนรางกระดูกไปหมดในคนทั้งคน เราทง้ั คน
เปนกอนเนื้อไปหมดทั้งตัว มองดูหญิงดูชายเปนสภาพเดียวกันไปหมด เพราะความ
ชาํ นาญในการพจิ ารณาวปิ ส สนาขน้ั รปู กาย รา งกายหาความสวยความงามไมไ ด มองดู
เปน รางกระดกู หน่งึ มองดูเปนคนที่หนังถูกถลกออกเหลือแตเนื้อแดงฉานไปหมดทั้ง
ตวั หนงึ่ ใจจะมคี วามกําหนัดยนิ ดีท่ตี รงไหน คนเราทจ่ี ะกาํ หนดั ยนิ ดกี นั กเ็ พราะหนงั น้ี
เทา นน้ั เพราะฉะนน้ั ทา นจงึ สอนกรรมฐานเพียง ตโจ แลว หยดุ เพราะหนงั มนั ครอบไป
หมดแลว ในรา งกายคนรา งกายสตั ว
นค่ี อื ความชาํ นาญของการพจิ ารณา ถดั จากนน้ั ไปเพยี งกาํ หนดแยบ็ เดยี วเทา นน้ั
ไมถงึ สามวินาทีจะทะลุไปหมดตัง้ สองรอบสามรอบในรางกายรา งเดียวนน้ั กลายเปน
กระดูกเปนทอนกระดูกไปหมด เพยี งเสน เอน็ ตดิ ตอ รดั รงึ กนั ไวเ ทา นน้ั เชน เดยี วกบั ซาก
ผที เ่ี อามาไวต ามวดั ตามวา อวยั วะสว นอน่ื ๆ ไมมี เหลือแตกระดูกที่มัดติดกันไวเทานั้น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๓
๒๒๔
เมื่อเปนเชนนั้นจะรักอะไรกําหนัดอะไร มีแตกระดูกเทานั้น นน่ั แหละคอื ความ
จริงของธรรมเปนขั้นๆ และตัดความจอมปลอมออกเสียได ที่วาผมก็งาม หนงั กง็ าม
เนื้อก็งาม เอ็นก็งาม งามไปหมด กระดูกก็งาม แมท ส่ี ดุ อาหารเกา อาหารใหมท เ่ี ปน มตู ร
เปนคูถก็งามไปดวย เพราะถูกกิเลสมันตมมันตุน มนั เสกสรรปนยอใหกนิ ของสกปรก
มาเปน เวลานาน เพราะความโงเ ขลาของตน ใหก เิ ลสปรงุ อาหารเปน พษิ ทง้ั นน้ั ใหก นิ
และกินไมมีวันอิ่มพอ กนิ เทา ไรยง่ิ หวิ โหย กินเทาไรยิ่งติดยิ่งจมลงลึก คิดใหละเอียด
แลว ไมส ลดสงั เวชบา งหรอื
เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ จงพจิ ารณาใหเ หน็ ตามความจรงิ น้ี เมอ่ื พจิ ารณารเู ตม็ ทแ่ี ลว
ไมตองบอกเรื่องความสลัดปดทิ้งรูปขันธ วา ไมใ ชเ ราไมใ ชข องเรา ความปฏิกลู โสโครกน้ี
ก็หายไป เพราะผา นไปแลว หายสงสยั แลว เหลือแตเพียงรางกระดูก สงสัยอะไรกัน นน่ั
เปนกอง อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เปน ความจรงิ อนั หนง่ึ เทา นน้ั นี่ปญญาขั้นนี้ตองผาดโผน
เตม็ ทเ่ี พราะแกก เิ ลสสว นหยาบ ตอ สกู บั กเิ ลสสว นหยาบ ปญญาตองเปนปญญาที่ผาด
โผน ไมงั้นไมทันกัน ไมเรียกวามชั ฌิมา คือเหมาะสมกัน
พอหมดขนั้ นีแ้ ลวสติปญ ญากก็ าวเขา นามธรรมทั้งสี่ พจิ ารณานามธรรมทง้ั ส่ี
เวทนา ความสขุ ความทุกข ความเฉยๆ ภายในรา งกายและจติ ใจ สว นเวทนาภายในจติ
ทั้งสามน้ันแยกไวกอ น พจิ ารณาเวทนาทเ่ี กย่ี วขอ งกบั กายเวลาเกดิ ความทกุ ขเวทนาขน้ึ
มา จะเกดิ ขน้ึ ดว ยการเจบ็ ไขไ ดป ว ยเจบ็ หวั ตวั รอ นกต็ าม ใหพิจารณาแยกแยะดู
ทุกขเวทนา เฉพาะอยา งยง่ิ ทกุ ขเวทนานน้ั แหละ เปนผูออกหนาออกตาในขณะที่เจ็บไข
ไดปวย สุขหาทางแทรกเกิดขึ้นไมได
จึงตองพิจารณาแยกดูทุกขใหเห็นทุกขเปนอยางไร ทกุ ขใ หโ ทษใหร า ยแกผ ใู ดเรา
จึงเหมาเขาวา เปน ทุกข เหมาเขาวา เปน ภยั ตอ เรา เหมาเขาวา เปน ขา ศกึ ตอ เรา พจิ ารณา
ใหเ ปน อรรถเปน ธรรมตามความเปน จรงิ อยา ลาํ เอียงเพื่อเขา ขา งตัว จะเปน การกอบ
โกยกเิ ลสเขา มาเผาตนยง่ิ กวา การไมพ จิ ารณาเสยี อกี เพราะผดิ ทาง
เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณาทกุ ขเวทนาจงึ พจิ ารณาใหเ ปน ธรรม วา ทกุ ขเวทนาน้ี
เหรอทว่ี า เปน ภยั แกเ รา ดูใหชัดเจนถึงสภาพของทุกขที่ปรากฏขึ้นในขณะนั้นวา เปน ภยั
แกผูใด สติปญญาจดจอลงในจุดที่เกิดทุกขมากกวาเพื่อน คล่ีคลายดดู วยปญ ญา เมื่อ
ชดั เจนแลว ทุกขก็สักแตวาปรากฏตัวอยูตามหลักธรรมชาติของตนเทานั้น แมตัวทุกข
เองก็ไมทราบความหมายของตนวาเปนทุกข และไมมีความหมายวาไดใหความทุกขแก
ผหู นง่ึ ผใู ดเลย
พจิ ารณาดรู า งกายกส็ กั แตว า กาย ที่มีอยูแลวตั้งแตทุกขเหลานี้ยังไมเกิดขึ้น แม
ทกุ ขเ หลา นด้ี บั ลงไปแลว กายก็ยังเปนกายอยูตามสภาพของตน ตางอนั ตางจรงิ อยูโดย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๔
๒๒๕
หลักธรรมชาตขิ องตนเชน นี้ ไปเหมาเอาวา เขามาเปน ทกุ ขม าเปน ภยั แกเ ราไดอ ยา งไร
ถา ไมใ ชใ จเปน ตวั ไปหมายเขาตา งหาก แลว ยอ นเขา มาดใู จ เทยี บเคยี งกายนน้ั เปน เรา
เหรอ กายนน้ั มาเปน ใจหรอื ใจไปเปน กาย หรอื ทกุ ขเวทนานน้ั มาเปน ใจ หรอื ใจนไ้ี ปเปน
ทุกขเวทนา
แยกแยะทุกสัดทุกสวน ยิ่งทุกขมีความรุนแรงมากเพียงไร สติปญญาขั้นนี้ยิ่ง
หมุนติ้ว เรว็ ยง่ิ กวา นาํ้ ไหลไฟสวา ง ไมอยางนั้นไมทันกัน แยกแยะทุกสัดทุกสวน เวทนา
ก็กลายเปน ความจรงิ ข้นึ มาอยา งประจกั ษใจหายสงสยั วา มจี ติ เทา นน้ั ไปสาํ คญั
ทุกขเวทนาวาเปนขาศึกตอตนเอง และวาเปนตนเปน ของตน ตลอดถึงเรื่องรางกายเขาก็
เปน สภาพแหง ความจรงิ ของเขาอยเู ชน นน้ั แตใจเสียเองเปนผูไปยึดไปถือ วา กายของ
เราเปน ทกุ ข ทุกขก็มาเปนกาย ทั้งทุกขทางกายทั้งทุกขทางใจก็กลายเปนเราและเปน
ทุกขขึ้นมาอีก เพราะความสาํ คญั ผดิ
เมื่อแยกแยะทั้งสามสภาพคือ ดูกาย ดเู วทนา ดูจิต เทียบเคียงกันไดทุกสัดทุก
สว นวา ไมใ ชอ นั เดยี วกนั ความสาํ คญั มน่ั หมายของจติ ทไ่ี ปหมายเขาวา เปน เราเปน ของ
เรา กถ็ อนตวั เขามาสจู ติ เมอ่ื ความสาํ คญั ถอนตวั เขา มาสจู ติ แลว จิตก็เปนปกติ เปน
ความจริงของจิต เวทนากเ็ ปน ความจรงิ ของเวทนา กายก็เปนความจรงิ ของกายแตล ะ
อยางๆ แลวก็ไมกระทบกัน หนง่ึ ทกุ ขเวทนาทก่ี ําเรบิ มากๆ นน้ั ดบั ไปอยา งรวดเรว็ สอง
ทุกขเวทนาแมไมดับ แตก ็เปน ความจริงของตนอยเู ปน สดั เปนสวน ไมเ ขา มากระทบกนั
กับจติ ใจนีไ้ ดเ ลย
ใจนั้นแมจ ะอยูในทามกลางแหง ความทุกขความลาํ บาก ในขณะที่เปนโรคภัยไข
เจบ็ หรอื ขณะนง่ั นานๆ ก็ไมมีความกระวนกระวาย มีแตความกระหยิ่มยิ้มยองอยูโดย
หลกั ธรรมชาตแิ หงความจริงของใจ นค้ี อื การพจิ ารณาเวทนา นอกจากน้ันยังทราบชัดวา
ทุกขเวทนาก็ดี สุขเวทนาก็ดี อุเบกขาเวทนาก็ดี เปน อาการอนั หนง่ึ ๆ เทา นน้ั รวมแลว
ยอมไหลลงสูภาชนะคือ ไตรลักษณ ไดแก อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาทั้งมวล นี่ปญญาขั้น
หนง่ึ
สัญญา ความจาํ ไดห มายรู จนเกดิ เรอ่ื งเกดิ ราวขน้ึ มา สงั ขารปรงุ แยบ็ สัญญา
หมายไปใหเ ปน เรอ่ื งเปน ราวหลอกตนเหมอื นกบั ภาพในหนา กระจก ภาพของเราเองนี้
แหละไปปรากฏอยใู นหนา กระจก เรากไ็ ปตน่ื ภาพในหนา กระจกนน้ั เมอ่ื ทราบชดั เจน
แลว วา ภาพทป่ี รากฏในหนา กระจกนน้ั มนั เปน ภาพไปจากกายของเราฉนั ใด อาการทกุ
อยา งทป่ี รากฏขน้ึ จากสงั ขารจากสญั ญาทห่ี มายเรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งน้ี ก็เปนภาพออกจากใจฉัน
นน้ั ถาใจไมรูเทาทนั ก็ไปหลงภาพนน้ั เม่อื ใจรเู ทา ทันแลวกป็ ลอยวางตามสภาพของเขา
สิ่งเหลานี้ก็เกิดๆ ดบั ๆ ไมยึดมั่นถือมั่นในสัญญา สังขารอนั เปน สง่ิ เกดิ ดบั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๕
๒๒๖
แมว ญิ ญาณทร่ี บั ภาพจากภาพนอก เชน รปู เสยี ง กลิ่น รส เวลาเขา มากระทบตา
หู จมกู ลน้ิ กาย เปนตน กม็ แี ตเพียงแยบ็ เดยี วๆ ทร่ี บั ทราบ ในขณะที่สิ่งนั้นมาสัมผัส
เมอ่ื สง่ิ นน้ั ดบั ไปความรบั ทราบกด็ บั ไป เปน อาการหนง่ึ ๆ ของจิตเทานั้น จะถอื เปน เรา
เปนของเราไดอยางไร ถา ไมใ ชบ า กองรบั เหมานะ
พจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ เปนการฝกซอมดวยความสัมผัสสัมพันธระหวางจิตกับ
สัญญา สงั ขารท่ีคดิ ปรงุ อยูภายใน และระหวา งขา งนอกกับขา งในใหเ ปน ไปโดย
สมาํ่ เสมอ จิตยอ มมีความชาํ นชิ ํานาญ สามารถสลัดตัดทิ้งขันธหานี้ไดทั้งๆ ที่ยังไม
บรสิ ทุ ธ์ิ อุปาทานในรูปขันธก็ปลอยไดอยางชัดเจนเห็นประจักษ จิตพักจากการพิจารณา
รา งกายวา เปน อสภุ ะอสภุ งั ตา งๆ เพราะอิ่มตัวแลว รแู ลว ปลอ ยวางแลว พจิ ารณาเพอ่ื
อะไรอีก การพจิ ารณาเวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ กถ็ อื เอาความเกดิ ดบั เปน สาํ คญั
คอื เกิดขึ้นก็รูไดชัด ดับไปก็รูไดชัด ขาดจากกันก็รูไดชัด
ขันธท ้ังหา น่ีแหละเปนทางเดินของกิเลส อวิชชาสงสมุนออกมาทางนี้แหละ ออก
มาทางตา ทางหู เปนตน คอยจบั จองเอารปู เอาเสยี ง เอากลิ่น เอารส เครื่องสัมผัส
ตางๆ ทั้งดีทั้งชั่วกวานมาหมด กวา นเขา มาเปน ฟน เปน ไฟเผาลนสตั วผ โู งเ ขลาตาฝา ฟาง
พระที่โงๆ ตาฟางๆ ยอมตัวเปนฟนใหมันเผาลนอยูทั้งวันทั้งคืนไมยอมหาทางออก
นอกจากชมเชยไฟวาดีขยันไหมเทานั้น ถา มคี วามฉลาดกพ็ จิ ารณาเพอ่ื หาทางปลด
เปลื้องไปได ตามสติปญญาขั้นดังกลาวนี้
ตา หู จมูก ลน้ิ กายกส็ กั แตว า ตา หู จมกู ลน้ิ กาย รปู เสียง กลน่ิ รส เครอ่ื ง
สมั ผสั กส็ ักแตวาเทานัน้ เพราะไดพ จิ ารณาตดั ขาดมาโดยลาํ ดบั อายตนะภายใน เชน รูป
กายของเรามีทั้งตา ทั้งหู ทั้งจมูก ทั้งลิ้น ทั้งกาย กร็ เู ทาทนั และปลอยวางไดแ ลว เรยี กวา
ตัดขาดจากทางเดินของกิเลส มีอวิชชาเปนตัวการสงสมุนออกมาตามทางสายนี้ และตดั
สะพานน้ีขาดเขา ไปโดยลําดับ กิเลสออกมาทางเวทนาก็ตัดขาดดวยปญญา ออกมาทาง
สัญญา สังขาร วญิ ญาณ ก็ตัดขาดไปโดยลําดับ เมื่ออวิชชาไมมีสมุน ถูกตัดสะพานขาด
ไปหมด คือฆาทั้งสมุนของมันดวย ความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ ฆา ไปดว ย อาการตางๆ
ทั้งหานี้ก็ตัดขาดไปดวย กเิ ลสกร็ วมตัวเขา ไปสูจ ิตดวงเดียวเพราะไมม ีทหี่ ลบซอน
นแ่ี หละวธิ กี ารดาํ เนนิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พานดงั ครง้ั พทุ ธกาลทา นดาํ เนนิ ทาน
ดาํ เนนิ อยา งน้ี ทา นพจิ ารณาอยา งน้ี กิเลสมนั มอี ยูท ไ่ี หน สติปญญาจะเปนเหมือนกับไฟ
กิเลสเปน เหมอื นกับเชื้อไฟ กิเลสอยูที่ตรงไหนปญญาจะหมุนติ้วเขาไปตรงที่เชื้อมีอยู
นน้ั เชอ้ื มอี ยทู างกายเรากพ็ จิ ารณาทางกาย จนกระทงั่ ไหมไ ปหมดดวยความรเู ทา ทัน
อยูทางเวทนาก็ไหมไปหมด คอื รเู ทา ทนั หมด สัญญา สังขาร วิญญาณก็ไหมไปหมด
ปลอยวางไปหมด กเิ ลสเขา ไปสใู จ กาํ หนดเขา ไปทใ่ี จ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๖
๒๒๗
ปญ ญาขน้ั พจิ ารณาอวชิ ชาน้ี เปนปญญาขั้นอัตโนมัติโดยแท เพราะเรม่ิ เปน
อัตโนมัติมาแตความชาํ นาญขน้ั รปู ขนั ธอ ยูแลว ตามครั้งพุทธกาลทานวา มหาสติมหา
ปญญา ซึ่งเริ่มเปนมหาสติ มหาปญ ญามาโดยลาํ ดบั จากการพจิ ารณาขนั ธห า อยแู ลว
เม่ือถงึ ข้ันกิเลสรวมตวั มาเปนจิตอวิชชาแลว จึงเปน มหาสติ มหาปญญา อยางเต็มเม็ด
เตม็ หนว ย หมุนตัวเปนเกลียวทั้งวันทั้งคืนอยางละเอียดลออ เหมอื นนาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ
ไมมีอะไรเปน ทีพ่ จิ ารณาเพราะรปู กผ็ านไปแลว ไมยอมพิจารณา รแู ลว ปลอ ย
แลว ละวางแลว เวทนา สัญญา สงั ขาร วิญญาณ ทเ่ี ปน สว นเกย่ี วกบั เรอ่ื งรา งกายนก้ี ด็ บั
ไปหมด ขาดไปหมดแลว มแี ตค วามยบิ แยบ็ ๆ กระเพื่อมอยูภายในจิต ความกระเพอ่ื ม
แตละขณะๆ ที่แสดงออกมาจากจิต กท็ ราบวา เปน การเคลอ่ื นไหวเปลย่ี นแปลงของโลก
สมมุติ ของโลก อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ภายในจติ รูไดอยางชัดเจน ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในความ
กระเพอื่ มวา ดวี าชั่ววา เกิดวา ดบั นไ้ี ดอยางไร
ฐานของอวิชชาจริงๆ คืออะไร นแ่ี หละตวั สาํ คญั เราก็ไมอยากจะพูดตรงนี้
เพราะเหตไุ ร เพราะเปนธรรมที่ละเอียดมาก กเิ ลสประเภทนล้ี ะเอยี ดมาก มกั จะสวม
รอยใหผูปฏิบัติหลงกลลืมตัว แตก็ทนไมไดที่ตองพูด เมื่อเขาถึงขั้นนั้นแลว นน่ั แหละ
ขน้ั ทส่ี าํ คญั วา ตวั วเิ ศษ วา ตวั ประเสรฐิ เลศิ โลกทง้ั ๆ ท่กี ําลังเปนอวชิ ชาเต็มตวั ไปยกตัว
อวชิ ชานน้ั แหละวา ประเสรฐิ วา เลศิ มหาสติ มหาปญญาที่เคยฝกมาอยางเกรียงไกร ก็
กลายเปน องครกั ษไ ปรกั ษาอวิชชาดวงท่วี า เลิศประเสรฐิ ดวงมคี วามสงา ผา เผย มคี วาม
สวา งกระจา งแจง องอาจกลา หาญแพรวพราว ไมมีอะไรเสมอเหมือนไปเสียโดยไมรูสึก
ตวั จึงมีทั้งรักทั้งชอบใจ ทั้งออยอิ่งทั้งสงวนอยูในนั้นหมด
นน่ั เหน็ ไหม กิเลสละเอียดขนาดไหน ตั้งแตขั้นกายก็ละเอียดพอตัวของมัน ซึ่ง
แทบลม แทบตายท่ผี ูป ฏบิ ัติจะผา นไปได กเิ ลสทแ่ี ทรกอยกู บั เวทนา สัญญา สงั ขาร
วญิ ญาณ ก็เต็มตัวแหงความละเอียดของมัน ยิ่งเขาไปถึงองคกษัตริยวัฏจักร ที่พาจิตให
หมนุ เวยี นเปลย่ี นแปลงในการเกดิ การตาย คือตัวอวิชชานี้แทๆ จะไมล ะเอยี ดครอบ
โลกธาตุไดอยางไร แมข ้ันมหาสติ มหาปญญา ยังลืมตัวหลงกลไปเปนองครักษรักษาจิต
ดวงนีจ้ นได
คําวารักษาจิตดวงนี้คืออะไร คือมีความรัก ความสงวน ความออยอิ่ง ความตดิ
ความพนั อยภู ายในนน้ั ไมยอมใหอะไรมาแตะตองได เพราะรกั มากสงวนมาก แตค ําวา
สมมุติ อวิชชาก็คือสมมุติ มหาสติมหาปญญาซึง่ เปน สง่ิ ทคี่ วรแกกัน และหมุนตัวอยู
ตลอดเวลา ทาํ ไมจะไมท ราบความเคลอ่ื นไหว ความเปลย่ี นแปลง ความผิดปกติของจิต
ประเภททว่ี า อัศจรรยแ ละเปนจอมกษัตรยิ น ัน้ ไดใ นขณะใดขณะหน่ึงเลา เพราะจดจอ
เพราะพจิ ารณา ทั้งๆ ทก่ี าํ ลงั รกั สงวนและกาํ ลงั รกั ษาอยนู น้ั แหละ หากมีการพินิจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๗
๒๒๘
พจิ ารณา มีการสังเกตสอดรูกันอยูทุกระยะๆ ตามนิสัยของสติปญญาขั้นไมนอนใจ ไม
นานกท็ ราบกลมายาของอวิชชาจนได นแ่ี หละตรงน้ี ตรงทจ่ี ะทาํ ลาย
คาํ วา อวชิ ชาหรอื คาํ วา ใสสะอาดนน้ั นะ ใสจรงิ สะอาดจริง ผองใสจริง คําวาผอง
ใสกบั ความเศรา หมองซง่ึ เปน สว นละเอยี ดนน้ั ตองเปนของคูกัน ผองใสขนาดไหนจะ
ตอ งเหน็ ความเศรา หมองแทรกขึน้ มาในขณะใดขณะหนึง่ จนได องอาจหรืออับเฉาก็เปน
ของคูกัน แสดงขึ้นมาแมนิดหนึ่งสติปญญาขั้นนี้ก็จับได
ธรรมชาติสมมุตินี้ละเอียดขนาดไหน สิ่งที่เปนคูเคียงกันก็ตองละเอียดใหเห็นได
อยางชัดเจนวานี่คืออะไร มคี วามสวา งกระจา งแจง ขนาดนแ้ี ลว ทําไมจึงตองมีลักษณะไม
ไวว างใจ ใหตองระมัดระวังกัน ธรรมของจริงแททําไมจะตองระวังกัน ความระวงั นเ้ี ปน
ทแ่ี นใ จแลว หรอื ธรรมชาตินี้คืออะไร ทกุ สง่ิ ทุกอยางทเี่ คยพจิ ารณาผา นไปแลว ก็วา
เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาทั้งมวล แตนี้เปนอะไรที่ปรากฏเดนๆ อยูน้ี นน้ั แลเปน จดุ หรอื
เปา หมายแหง การพจิ ารณาละ ทนี ส้ี ตปิ ญ ญาเรม่ิ พจิ ารณาอยา งเอาจรงิ เอาจงั
ลงสติปญญาขั้นนี้ไดทุมตัวเขาไปแลว อยางไรก็ไมมีอะไรที่จะตานทานไวได ตอง
พังทลาย มหาสติมหาปญญาจอเขา ไปตรงนน้ั พจิ ารณาจดุ นน้ั เหมอื นกบั การพจิ ารณา
สภาวธรรมทง้ั หลาย เมื่อสติปญญาขั้นอัตโนมัติไดจอเขาไปจุดนั้น อวิชชาทนไมไดตอง
พังทลาย อวชิ ชาตาย ตายตรงนั้น นั้นแหละบอเกิดของสัตว เชื้ออันนี้เอง บอเกิดของ
สัตว สถานทต่ี าย-เกิด พาใหสตั วเกดิ สัตวต ายไมใชทไี่ หน ธรรมชาตนิ เ้ี องทาํ ใหส ตั วเ กดิ
สัตวต าย เราเปน ผแู บกหามอนั นอ้ี ยปู ระจกั ษใ จ สงสยั อะไรวา โลกน้ี ตายแลว สญู มนั สญู
ทไ่ี หน นอกจากคนตาบอดมองไมเห็นอะไรเทานั้นจึงจะกลาพูด แตก ็พน การโดนเอาๆ
ในสิ่งที่ตนไมเห็นไปไมได ที่ปฏิเสธไมไดก็คือคนตาบอดนั่นแล โดนอะไรเกงกวาใครๆ
น่พี ูดตามที่พิจารณาทางภาคปฏบิ ัติ เมื่อธรรมชาตนิ ้ีหายไปหมดไมม ีสงิ่ ใดเหลอื
แลว อันใดทีร่ วู า อวิชชาดบั ไปแลว ภพชาตทิ ีเ่ ปนเช้ือใหเกิดเปนตางๆ ดบั ไปแลว จากใจ
สว นใจนน้ั ดบั ไปดว ยไหมทน่ี ่ี ถาใจดับไปดวย อะไรทร่ี วู า บรสิ ทุ ธ์ิ รวู า วเิ ศษ รวู า อศั จรรย
เหมือนโลกธาตุกระเทือนไปดวย ผรู วู สิ ามญั นส้ี ญู ไปไหนทน่ี ่ี พระพุทธเจาทรงสั่งสอน
โลก ทา นนาํ พระจติ บรสิ ทุ ธ์ิ นาํ ธรรมบรสิ ทุ ธน์ิ ม้ี าสง่ั สอน ไมไดนําสิ่งที่สูญ สิ่งไมมีมา
สอนโลก
นแ่ี หละการเรยี นภพชาติ ความเกิด แก เจบ็ ตายของสัตวโลก อยา ไปเรยี นท่ี
ไหน ใหเ รยี นเรอ่ื งของเรานก้ี อ น เมอ่ื เรยี นเรอ่ื งของเราใหเ ตม็ ภมู ิ เตม็ อรรถเตม็ ธรรม
แลว จะรูอยางนี้ดวยกันทั้งนั้น ปฏิเสธไมไดเพราะนี้เปนของจริง ลบลา งไมส ญู ลบลา ง
ไมได นี่คือหลักใหญ เหตุใหญทท่ี าํ ใหเ กดิ พอเรยี นถึงธรรมชาติท่ที าํ ใหเ กิดพังทลายลง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๘
๒๒๙
ไปแลว ทําไมจะไมสามารถอุทานขึ้นมาไดวา หมดแลว เรอ่ื งราวทง้ั หลาย ที่เกิดตายๆ
จับจองปาชาอยูไมหยุดไมถอยเพราะตัวนี้เอง ตวั นไ้ี ดส น้ิ ซากไปแลว บดั น้ี หมดเรื่อง
เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ มีอะไรอีกที่นี่ นั่นไมใชตัวอนจิ จฺ ํ นั่นไมใชตัวทุกฺขํ
นั่นไมใชตัวอนตฺตา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาเปนเรื่องของสมมุติทั้งมวล นบั แตอวชิ ชา
กระจายออกไปทั่วโลกธาตุ เปนไตรลักษณ เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตาทั้งสิ้น เพราะเปน
สมมุติดวยกัน ธรรมชาตทิ ่รี วู าสิ่งทัง้ หลายทั้งปวงเปนอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า นั่นไมใชไตร
ลกั ษณ ไมใชอนจิ จฺ ํ ไมใชทุกฺขํ ไมใชอ นตตฺ า ไมขัดแยงตนเองดวยและไมขัดแยงสิ่งอื่น
ใดดวย พอตัว หมดเรื่อง
พระพทุ ธเจา ทา นปฏบิ ตั ทิ า น พระสาวกทา นปฏบิ ตั ทิ า นจนเปน คลงั แหง มรรคผล
นพิ พาน ทา นดาํ เนนิ อยา งไร พวกเรานด้ี าํ เนนิ กนั อยา งไร จึงไดแตช่ือมรรคผลนิพพาน
มาอวดกันตลอดเวลา ทั้งๆ ทก่ี เิ ลสเตม็ หวั ใจ ถา เปน ภาชนะแลว ลน ทั้งแบก ทั้งสะพาย
ทง้ั หาบ ทง้ั หาม มนั ลนเหลือหัวใจออกมา เรายงั ไมท ราบอยหู รอื วา สง่ิ นน้ั มนั ลน หวั ใจ
เรา เรายงั จะหาพอกหาพนู เสาะแสวงหามาใสท ไ่ี หนกนั อกี จะเอากาํ ลงั อะไรมาแบก
กองทุกข เพราะอาํ นาจแหง กเิ ลสตณั หาทข่ี นมาทบั ถมโจมตเี ราจนมองหาตวั ไมเ หน็ เรา
ยังไมตื่นเนื้อตื่นตัวในเวลาปฏิบัติดวยทั้งเพศของพระ ซง่ึ เปนเพศของนักรบน้แี ลว เรา
จะไปตื่นตัวจะไปเห็นโทษตอนไหนที่ไหนกัน หรอื ตอนตายแลว นิมนตพระมา กสุ ลา
ธมมฺ า กสุ ลา ธมมฺ า กสุ ลา หาประโยชนอะไร เมือ่ ตัวเราผูปฏบิ ัติธรรมแทๆ ยังโง
เหมอื นหมาตายตวั หนง่ึ จะมา กสุ ลา ธมมฺ า ใหเกิดความฉลาดมาจากลมปากไดอ ยาง
ไร ถา ไมร บี ทาํ ใจเราใหฉ ลาดเสยี แตบ ดั น้ี ซง่ึ เปน การสวด กสุ ลา ธมมฺ า โดยถูกตอง
ชอบธรรมตามทางศาสดา
กุสลา แปลวา ความฉลาด ฉลาดอะไร ฉลาดแกพ ษิ แกภ ยั ภายในใจใหบ รสิ ทุ ธข์ิ น้ึ
มา นซ้ี ทิ เ่ี รยี กวา ความฉลาด ตายแลว จงึ จะมาสวด กุสลา ธมมฺ า กสุ ลา ธมมฺ า เกาหาท่ี
ไมคันอะไรกัน ไมอายไอขี้เร้อื นบา งหรอื ทมี่ นั เกาถูกทคี่ นั กวา พวกเรานะ เกาตรงที่มัน
คันซิ มนั จงึ จะหายคนั จอลงไปตรงนั้น กิเลสตัวคันที่สุดตัวคันสุดยอด คอื ตัวอวิชชา
ฟาดมันลงไปใหห ายคัน ตายแลวไมตองมา กสุ ลา ธมมฺ า ใหย งุ ไปเปลา ๆ
มา กุสลา ธมมฺ า ดว ยจติ ตภาวนาใหค วามฉลาดรอบใจเถอะ อยทู ไ่ี หนสบาย
หมด ตัดสินตัวไดเอง สง่ิ ใดกต็ ามถา ลงไดเ หน็ ดว ยตาแลว กลาหาญทีจ่ ะพดู ไดย นิ ดว ย
หูชัดๆ แลว ใครมาโกหกไมได พูดไดอยางเต็มปาก รูดวยใจอยา งชดั ๆ ในกิเลสท้ังมวล
และรูธรรมอยางเต็มใจแลวพูดไดอยางเต็มปาก อาจหาญอยา งเตม็ ใจ เตม็ ภมู ทิ ร่ี ทู เ่ี หน็
นแ่ี หละธรรมของพระพทุ ธเจา ไมใชธรรมอับเฉา ไมใชธรรมลี้ลับ ไมใ ชธ รรม
แอบๆ แฝงๆ ดอมๆ มองๆ กลัวๆ ขี้ๆ ขลาดๆ ไมมี เปนธรรมทีอ่ งอาจกลาหาญ ผู
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๒๙
๒๓๐
ปฏบิ ตั ิพิสจู นไ ดภายในใจของตัวเอง เรยี นกเ็ รยี นมา เราไมไ ดป ระมาทในการเรยี น
เรยี นแตช ือ่ อรรถช่อื ธรรมชอ่ื กเิ ลสตณั หา แตไมเคยไปแตะตองกิเลสอาสวะพอใหมัน
หนังถลอก พอใหม นั ตน่ื นอนบา งเลย นอกจากเปน บอ ยพัดวใี หมนั สนุกหลบั เพลินไป
เทา นน้ั
ตอ งเอามาปฏบิ ตั ซิ ิ ทา นจงึ เรยี กวา ปรยิ ตั ิ ไดแ กก ารศกึ ษาเลา เรยี นแนวทาง นบั
แตเ กสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เปนตนไป แลว นาํ ไปปฏบิ ตั แิ ยกแยะตามวธิ ที า นสอน
น้ี ทา นสอนจนถึงวิธกี ารตามฆา กิเลสไดดวยวธิ กี ารปฏิบตั ิ โคตรแซก เิ ลส ลกู หลานเหลน
ของกิเลสทุกๆ ตวั ลว นเปน เสอื รา ยทง้ั นน้ั เปนพิษเปนภัยทั้งนั้น ฟาดฟนใหมันแตกแม
แตกลูก แตกบาน แตกเมือง บา นแตกสาแหรกขาดออกจากใจใหเ หน็ เปน ไรนกั ปฏบิ ตั ิ
ถานักปฏิบัติทําไมได ใครจะทาํ ไดใ นโลก นักปฏบิ ัตไิ มสามารถทรงมรรคผล
นพิ พานดว ยขอ ปฏบิ ตั อิ นั ดงี ามนแ้ี ลว ใครจะสามารถในโลกน้ี เราแนใ จวา ไมม ใี คร
สามารถ เพราะโลกตา งมภี าระภารงั เตม็ ไปหมด โลกอยดู ว ยความยงุ เหยงิ วนุ วาย เพราะ
ธาตเุ พราะขนั ธ เกย่ี วกบั การบา นการเมอื ง ครอบครวั เหยา เรอื น
เรานม้ี ผี สู นบั สนนุ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง คนใจบญุ เตม็ แผน ดนิ อาหารการกนิ กเ็ หลอื
เฟอ ทวมปากจนมองไมเห็นปากพระ เพราะอาหารปจ จยั ของศรทั ธาญาตโิ ยมปด หมด
เครอ่ื งนุงหมใชส อยมาจากผใู จบุญ พรอมเสมอที่จะสงเสริมคนดีพระดีที่ทําตนและผูอื่น
ใหม คี วามรม เยน็ เปน สขุ จวี ร บณิ ฑบาต เสนาสนะ คลิ านเภสชั ไมมีอะไรบกพรอง มี
เต็มทุกสิ่งทุกอยาง มาทุกทิศทุกทาง ทั้งใกลทั้งไกล มแี ตผ สู นบั สนนุ สง เสรมิ ยนิ ดี แต
เราทาํ ไมจงึ นอนใจ หลบั ครอกๆ อยูทั้งเปนทั้งๆ ที่ยังไมนอน สติสตังไปไหนหมด เอา
มาพิจารณาเอามาขุดคนซิ
พระพุทธเจา ทา นขุดคน ฆากเิ ลสตณั หาดวยสติปญญา หรอื ดว ยความนอนใจ
หรอื ดว ยความขเ้ี กยี จขค้ี รา น นาํ มาพจิ ารณาใหเ หน็ ชดั เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ ลูกศิษยมีครู
ไมเดินตามครจู ะเดินตามใคร ทาํ ใหจ รงิ ใหจ งั จะไดเ หน็ ความอศั จรรยภ ายในใจ
พวกเราชาวพุทธหรือชาวพูดพลามก็ไมรู พูดกันอยูอยางนั้นเรื่องอรรถเรื่อง
ธรรม แตธ รรมไมท ราบวา อยทู ไ่ี หน พดู เร่ืองกเิ ลสกพ็ ดู เสยี จนน้ําลายฟุง แตกิเลสอยูที่
ไหนไมท ราบ เอาแตชื่อมาพูด เอาแตชื่อมาคุยกัน มันจะเกิดประโยชนอะไร เอาตัว
กเิ ลสมาฆา ซมิ นั เกิดประโยชน เอาธรรมมาปฏบิ ตั ิกําจัดกิเลสมันจงึ จะเกดิ ประโยชน เปน
ผลเหน็ อยัมภทันตา พระพทุ ธเจาและสาวกทา นทาํ อยางนัน้ จงเดนิ ตามแบบตามฉบบั
ของทาน อยาใหผิดรองรอยของทาน
งานที่ทําของพระเปนประจํา เปนความจําเปนอยางยิ่งที่จะปลีกแวะไปไหนไมได
เอางานอื่นมาแทนไมไดก็คือ งานถอดถอนกิเลสอาสวะ ดงั ทท่ี า นประทานให หรอื
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๐
๒๓๑
อปุ ช ฌายะมอบใหเ วลาบวช เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เปนตน นี่คืองานของพระ
เอาใหจ รงิ ใหจ งั คลค่ี ลายสบั ยาํ ลงไปใหม นั แหลกแตกกระจายลงไป เหน็ แจง ชดั เจนดว ย
สติปญญา ศรัทธา ความเพยี รของเรา
สถานทท่ี เ่ี หมาะสมทา นกป็ ระทานใหแ ลว ตง้ั แตว นั บวชก็ รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ นสิ ฺ
สาย ปพฺพชฺชา.ตตฺถ เต ยาวชีวํ อสุ สฺ าโห กรณีโย. บรรพชาอปุ สมบทแลว ใหไ ปเทย่ี ว
อยูตามรุกขมูลรมไม ชายปา ชายเขา ในถ้ํา เงื้อมผา อนั เปน สถานทส่ี ะดวกสบาย ไม
พลุกพลานดวยสิ่งรบกวนตางๆ นน่ั เปน ทเ่ี หมาะสมกบั งานเพอ่ื ฆา กเิ ลส เพื่อรื้อถอน
วัฏฏะออกจากใจ ซง่ึ เปน ภยั อยา งใหญห ลวงมานานแลว ภายในหวั ใจเรา เพราะฉะนน้ั
จึงวาไมมีงานใดที่จะหนักหนายิ่งกวางานถอดถอนกิเลสวัฏจักรออกจากหัวใจ จึงตอง
ทุมเทกําลังลงใหเต็มที่ แมช ีวติ กม็ อบบชู าพระรัตนตรัยไปดว ยการปฏิบตั จิ ิตตภาวนา
เพอ่ื ความรแู จง เหน็ จรงิ และหลดุ พน อยา งเดยี ว ขอใหน าํ ไปพนิ จิ พจิ ารณา
มาอยูน ก่ี ็นาน ไมทราบวาองคละกี่ปกี่เดือน ผลเปนอยางไร สอนก็สอนแทบลม
แทบตาย สอนไมมีอัดมีอั้น มเี ทาไรควักออกมาสอนเตม็ สติกําลังความสามารถ ไมเ คย
ปด บังลลี้ ับไวแตน อยเลย และพูดทุกอยางตรงไปตรงมาตามความจริง ทั้งเหตุที่ได
ปฏิบัติมาอยางไร กน็ าํ มาสอนหมเู พอ่ื นเตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ ไมไดโกหก ตลอด
จนถึงผลเปนอยางไร ถารูถาเห็นก็พูดอยางเต็มเม็ดเต็มหนวย จะเชื่อหรือไมเชื่อ ก็สุด
แตกเิ ลสสดุ แตธ รรมทอ่ี ยูใ นหวั ใจของผูฟ งทั้งหลายจะขัดแยงหรือตอสกู นั เอง ทางใด
ชนะทางใดแพ ถา ธรรมชนะ เรากป็ ฏบิ ตั ติ วั ใหเ ปน ธรรมขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั แลว ครอง
ความอศั จรรยภ ายในใจ ถา แพก เิ ลสแลว เรากจ็ ะถกู กเิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยอู ยา งน้ี ตง้ั
กัปตั้งกัลปนับไมถวน ไมม ตี น มปี ลายอยภู ายในหวั ใจนน่ั แหละ เปนทุกขทรมานยิ่งอยู
ตลอดไป
การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร รสู กึ เหนอ่ื ย เอาละพอ
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๑
๒๓๒
เทศนอ บรมพระและฆราวาส ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๑๙ กุมภาพันธ พุทธศักราช ๒๕๒๔
โอวาทปาฏโิ มกข
วนั นเ้ี ปน วนั ทเ่ี ราทง้ั หลายระลกึ ถงึ ธรรมดวงประเสรฐิ พระพุทธเจาเปนผู
ประเสรฐิ พระธรรมเปน ธรรมทป่ี ระเสรฐิ พระสงฆสาวกของพระพุทธเจาที่พรอมกันมา
สนั นบิ าตในสาํ นกั ของพระพทุ ธเจา ซง่ึ คลา ยวนั นน้ี น้ั จาํ นวน ๑,๒๕๐ องค ลว นแตเ ปน
องคประเสริฐทั้งสิ้น หาที่ตองติไมได ใจของเราไดท มุ เทลงไปในธรรมชาตทิ ป่ี ระเสรฐิ วนั
น้ี นบั วา เปน สริ มิ งคลแกจ ติ ใจของเราอยา งยง่ิ เพราะชมุ ชน่ื ดว ยพระธรรมดวงเลศิ คือ
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ
การทาํ ประทกั ษณิ สามรอบนน้ั คือการทําความเคารพตอพระพุทธเจา พระธรรม
พระสงฆ มอี งคพ ระประธานเปนสักขีพยานวา คือองคแทนศาสดา ในครง้ั พุทธกาลทา น
ถือการเดินทําประทักษิณ คอื เดนิ เวยี นขวาสามรอบเปน การเคารพ ถือการยืนเปนการ
เคารพ เพราะฉะนน้ั เวลาพระยนื อยู แตพวกญาติโยมนั่งอยู จึงหามแสดงธรรม ถายืน
ตองยืนดวยกัน นั่งตองนั่งดวยกัน เพราะฉะนน้ั การทาํ ประทกั ษณิ สามรอบซง่ึ บางทา น
อาจจะไมเขาใจ นน่ั คอื แสดงกริ ยิ าความเคารพดว ยการทาํ ประทกั ษณิ นค่ี อื ความเคารพ
เปน อาการแหง ความเคารพอาการหนง่ึ ซง่ึ แสดงในวนั เชน น้ี เพือ่ ทานทั้งหลายไดทราบ
เอาไว
พระทเ่ี ราท้งั หลายระลกึ ถงึ ทา นน้ี เปน พระทป่ี ระเสรฐิ ประเสรฐิ กวา ทกุ สงิ่ ทกุ
อยา งในสามโลกธาตนุ ้ี ไมมีสิ่งใดเสมอเหมือน ผทู ก่ี า วเขา ถงึ ธรรมอนั ประเสรฐิ จงึ เรยี ก
วา เปน ผปู ระเสรฐิ จติ ใจเขา ถงึ ธรรมอนั ประเสรฐิ ไดโ ดยสมบรู ณ ธรรมอนั ประเสรฐิ นน้ั
ยอมปรากฏที่ดวงใจ ใจกบั ธรรมเปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เพราะฉะนน้ั เวลาทาน
ปรินพิ พานแลว จึงไมอาจจะพูดไดวาจิตของทานบริสุทธิ์หรือพูดไดวาจิต เพราะผา น
จากสมมุติไปแลว
สมมุติคือธาตุขันธ ไดแกสกลกาย เมื่อมีสกลกายอันเปนสมมุติที่อาศัยกันอยูกับ
จติ ทเ่ี ปนวมิ ุตติหลุดพนไปแลว นน้ั จงึ เรยี กวา จติ บรสิ ทุ ธ์ิ เรยี กทานวา เปน พระอรหันต
พอผานจากขันธนี้ไปแลว ไมมีสมมุติใดๆ เขา เจือปนกับจติ ดวงนั้น จติ ดวงนน้ั เปน ธรรม
ทั้งแทง เปนธรรมทั้งดวง จงึ ไมเ รยี กวา จติ อกี และคาํ วา ปรนิ พิ พานนน้ั กห็ มายถงึ เรอ่ื ง
สมมุติไดดับสนิทไปหมดแลวไมมีชิ้นเหลือ ไมเหมือนทานที่ยังครองขันธอยูทั้งที่จิต
บรสิ ทุ ธ์ิ แตก อ นดับเฉพาะกเิ ลสภายในใจ พอธาตขุ นั ธส ลายลงไปสสู ภาพเดมิ ของตน
แลว นน้ั เรยี กวา ปรนิ พิ พานคอื ดบั หมด กเิ ลสกเ็ ปน อนั วา ดบั ไปแลว ตง้ั แตข ณะตรสั รแู ละ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๒
๒๓๓
ขณะบรรลธุ รรม ถึงขั้นสุดยอดแหงธรรมแลว วาระสุดทายขนั ธกส็ ลายไป หมดความรบั
ผิดชอบกันเพียงเทานั้น
สภาพของขันธก็มีธาตุสี่ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ เปนสิ่งที่มองเห็นไดชัด สลายตวั ลงไปสู
สภาพเดิมของตน จิตที่บริสุทธิ์ผานออกไปแลวจึงไมเรียกวาจิตไดอีก ธรรมชาตทิ เ่ี รยี ก
ไมไ ดนีแ้ ลทีเ่ ราทัง้ หลายไดก ราบระลึกอยูท ุกวันวา พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ คอื ธรรมชาติน้ี
ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ น้พี ูดตามอาการจึงมีสามรตั นะ เมื่อเขา ถึง
ความบรสิ ทุ ธเ์ิ ตม็ ทแ่ี ลว กลมกลนื เปนอนั หน่ึงอนั เดียวกันแลว ทั้งพระพุทธเจา พระ
ธรรม พระสงฆ ที่เปนอาการ รวมเขา สธู รรมดวงเดยี ว
แตอยางไรก็ตามเมื่อโลกสมมุติยังมีอยู ธาตุขันธของเรายังมีอยู ตองระลึกถึงทั้ง
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ สง่ิ ทร่ี ะลกึ นน้ั แลเปน ธรรมชาตทิ ป่ี ระเสรฐิ มีอยูตลอด
กาลเวลาไมไ ดสญู สนิ้ ไปไหน แตมิไดมีอยูแบบสมมุติทั้งหลาย และมิไดสูญแบบสมมุติ
ทง้ั หลาย แตทรงอยูแบบนอกสมมุติ คอื แบบวมิ ตุ ตลิ ว นๆ สมมุติเอื้อมไมถึง
วนั ทท่ี า นประทานพระโอวาทปาฏโิ มกขน น้ั เรยี กวา วสิ ทุ ธอิ โุ บสถ คอื ประทาน
พระโอวาทแกพระอรหันต ๑,๒๕๐ องคซ ง่ึ เปน ผบู รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ จงึ เรยี กวา วสิ ทุ ธอิ โุ บสถ
แสดงแกท า นผบู รสิ ทุ ธล์ิ ว นๆ ในเนอ้ื ความแหง พระโอวาททแ่ี สดงนน้ั ทา นแสดงไวว า
สพฺพปาปสฺส อกรณํ การไมท าํ ความชว่ั ทง้ั ปวงหนง่ึ กสุ ลสสฺ ปู สมปฺ ทา การยังความ
ฉลาดใหถึงพรอมหนึ่ง สจิตฺตปริโยทปนํ การทําจิตของตนใหผองใสจนกระทั่งถึงความ
บรสิ ทุ ธห์ิ นง่ึ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ นี้คือคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทั้งหลายซึ่งสอนเปน
แบบเดยี วกนั อยา งน้ี
จากนั้นทานก็บรรยายขยายความออกไปวา อนูปวาโท อยา ไปกลา วรา ยคนอน่ื
อนูปฆาโต อยา ทาํ ความเบยี ดเบยี นและทาํ ลายผอู น่ื ปาฏโิ มกเฺ ข จ สวํ โร ใหส าํ รวมอยู
ในหลกั พระวนิ ยั อยา งเรยี บรอ ยสวยงามในเพศของพระ มตฺตฺุตา จ ภตตฺ สมฺ ึ ความ
รจู กั ประมาณในการขบการฉนั การใชสอยในทุกสิ่งทกุ อยา ง ไมใหลืมเนื้อลืมตัว
ปนฺตฺจ สยนาสนํ ใหมีที่นั่งที่นอนที่พักผอนเพื่อการบําเพ็ญสมณธรรม เปน ทส่ี งบสงดั
งบเงยี บ อธจิ ติ เฺ ต จ อาโยโค การทําจิตของตนใหยิ่งขึ้นไปโดยลําดับ จนกระทั่งสุดขีด
แหง ความยง่ิ ถึงขั้นแหงความประเสริฐของจิต เอตํ พุทฺธาน สาสนนตฺ ิ นก่ี เ็ ปน คาํ สง่ั
สอนของพระพุทธเจาแตละพระองคๆ เชน เดยี วกนั และสอนแบบเดยี วกนั
ปจจัยทั้งสี่เปนเครื่องอาศัย เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ สาํ หรบั นกั บวชผมู าบวชใน
ศาสนา ขนั ธห า นเ้ี ปน เหมอื นโลกทว่ั ๆ ไป เวลาออกมาบวชแลวก็ตองมีที่อยูที่พักที่อาศัย
มเี ครอ่ื งนงุ หม ใชส อยเปน ธรรมดาเชน เดยี วกบั โลก เปน แตปจจยั เครื่องอาศัยตา งกนั
เกีย่ วกบั เพศของนักบวชผปู ฏิบัตติ ามหลกั ธรรมวินัยเทา นนั้ สวนใหญเหมือนกัน เชน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๓
๒๓๔
จวี ร ก็หมายถึง ผา นงุ ผา หม สบง สงั ฆาฏิ ถา เปน ฆราวาสกเ็ รยี กวา เครอ่ื งนงุ หม เปน
พระก็เรียกวา เครื่องนงุ หม เหมอื นกัน แตแ ยกไปเปน จวี ร เปน สบง เปน สงั ฆาฏหิ รอื เปน
บรขิ ารเครอ่ื งอาศยั เปน อยใู ชส อย
สรปุ ความแลว ส่งิ เหลา นีเ้ ปนปจจยั เคร่อื งอาศยั ของสมณะ เพอื่ บาํ เพญ็ หรอื เพ่อื
อยดู ว ยความสะดวกสบาย และเพอ่ื บาํ เพญ็ ตนดว ยความราบรน่ื ในธรรมวนิ ยั ไมขัดของ
กบั สง่ิ เหลา นว้ี า ไมม ี
บณิ ฑบาต ไดแก การขบการฉัน มตฺตฺุตา จ ภตตฺ สฺมึ ใหร จู กั ประมาณใน
การบรโิ ภคขบฉนั นี่อยูในโอวาทปาฏิโมกข ทีท่ านแสดงเปน วิสทุ ธอิ ุโบสถแกพระ
อรหนั ต ๑,๒๕๐ องค วนั นไ้ี ดย กธรรมเหลา นม้ี าแสดงใหท า นทง้ั หลายซง่ึ เปน นกั บวชฟง
ตลอดถึงประชาชนซึ่งจะตองเปนผูมีขอบมีเขตมีความพอดิบพอดีเชนเดียวกัน ตางกัน
แตเ พยี งสงู ตาํ่ หยาบละเอยี ดเทา นน้ั นอกนน้ั เหมอื นๆ กัน
การนุงหมใชสอยก็ไมฟุมเฟอยจนกลายเปนความฟุงเฟอ โกเก เกินเหตุเกินผล
เกนิ เนอ้ื เกนิ ตวั เกนิ ความพอดที ค่ี วรจะเปน สขุ เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี มอ่ื ไมร ปู ระมาณยอ ม
ทาํ ลายตัวเองได ทําไมถึงวามาทําลายตัวเอง เพราะทุกสิ่งทุกอยางตองหามาดวยทรัพย
สมบตั เิ งินทอง ไมใชจะเกิดมีขึ้นมาเฉยๆ ลอยๆ ตามความตองการ ตองไดแลกเปลี่ยน
กันมา เชนเอาเงินไปซื้อเปนตน การนุงหมใชสอยใหพอเหมาะพอสมกับตนความสุขก็มี
ขึ้น
ถา เลยจากความพอดแี ลว ไมว า อะไรเปน ความยงุ เหยงิ วนุ วาย นําความทุกขม าให
ทั้งนั้น การขบการฉนั การรบั ประทาน โภชเน มตตฺ ฺ ตุ า กใ็ หร จู กั ประมาณในการ
บรโิ ภคการขบฉนั ถา การรบั ประทานเลยเหตเุ ลยผลเลยความพอดไี ปแลว กท็ าํ ความสน้ิ
เปลอื งและทาํ ความเสยี หายแกต วั เอง และกลายเปน นสิ ยั ได อะไรก็ตามถากลายเปน
นสิ ยั แลว ยอ มจะแกไ ขไดย าก ทานจึงสอนใหรูจักประมาณในทุกสิ่งที่เกี่ยวของกับตน จะ
มสี ว นไดส ว นเสยี ดว ย
เฉพาะอยา งยง่ิ พระเรา มตฺตฺุตา จ ภตตฺ สฺมึ นท้ี า นแสดงไวห ลายบทหลาย
บาทหลายสตู รหลายคมั ภรี ท เี ดยี ว พระพทุ ธเจา ทรงยาํ้ แลว ยาํ้ เลา กลวั พระจะลมื ตวั กลัว
วา ลน้ิ จะแซงธรรม ปากทองจะแซงอรรถแซงธรรมไปเสีย ไปที่ไหนก็มีแตลิ้นแตปากแต
ทองออกหนาออกตา แซงหนา ธรรมไปเสยี ธรรมเลยโผลขึ้นไมไดเกิดขึ้นไมได เพราะ
ความเหน็ แกล น้ิ แกป ากแกท อ งเหนอื ความเหน็ แกอ รรถแกธ รรม ทานจึงสอนไวอยาง
นน้ั ธรรมเหลา นไ้ี มใ ชเ ปน ธรรมเลก็ นอ ย เปน ธรรมสาํ คญั มาก
การปฏิบัติตองไดสังเกตสอดรูตนอยูเสมอ ผตู อ งการความเจรญิ รงุ เรอื งดว ย
ธรรม ไมตองการความเจริญดว ยปจจัยส่ีอนั เปน ดา นวตั ถุ พระพุทธเจาไมทรงสอนให
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๔
๒๓๕
เสาะแสวงหาสง่ิ เหลา นเ้ี ลยขอบเขตแหง ความดงี ามของสมณะ และไมใ หใ ชส อยและขบ
ฉันใหเลยขอบเขตแหงความพอดีของสมณะ เพราะจะเปน การทาํ ลายอรรถธรรมซง่ึ ควร
จะเกิดขึ้น หรอื เกดิ ข้นึ แลวใหเ สือ่ มสูญอันตรธานไป เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี หยยี บยาํ่ ทาํ ลาย
ทา นจงึ สอนแลว สอนเลา อยเู สมอหลายบทหลายบาทหลายสตู รหลายคมั ภรี เพื่อผูศึกษา
อบรมจะไดสะดุดใจ เหน็ โทษในสง่ิ ทท่ี รงตาํ หนแิ ลว ระมดั ระวงั ตวั
เสนาสนะ คือที่อยูที่อาศัย ทา นวา ปนฺตฺจ สยนาสนํ ที่นอนที่นั่งอันสงบสงัด
นน่ั ฟงซิ ท่ไี หนเปนทีส่ งดั ตัง้ แตว ันบวชมาทีแรกพระพุทธเจา กไ็ ดประทานพระโอวาท
ไวแลวเกีย่ วกับท่อี ยูอาศัย จนมาถึงอุปชฌายะทุกวันนี้ บวชกลุ บตุ รสดุ ทา ยภายหลงั กจ็ ะ
ตองบอกนิสสัย ๔ นใ้ี ห เวนไมได อุปชฌายะองคใดเวน เปนตองปลดออกจากความ
เปนอุปชฌายะทันที เพราะทาํ ใหข าดสง่ิ สาํ คญั และจาํ เปน แกค วามเปน พระและหนา ท่ี
ของพระไป
รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ นสิ สฺ าย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ เต ยาวชีวํ อสุ สฺ าโห กรณโี ย.
บรรพชาอปุ สมบทแลว ใหท า นทง้ั หลายไปเทย่ี วเสาะแสวงหาอยตู ามรม ไม ชายปา ชาย
เขา ตามถ้ํา เงอ้ื มผา ปารกชัฏอันเปนสถานที่สงบสงัด สะดวกแกก ารบาํ เพญ็ สมณธรรม
เพราะปราศจากสง่ิ พลกุ พลา นรบกวนตา งๆ จงพยายามทําอยางนี้ตลอดชีวิตเถิด นี่คือ
โอวาทสําคัญที่อุปชฌายะทุกๆ องคบ วชกลุ บตุ รสดุ ทา ยภายหลงั เสรจ็ แลว ตองไดให
โอวาทขอนี้ และงานของพระที่จะเปนไปเพื่อความวิเศษศักดิ์สิทธิ์ภายในจิตใจของตน
คืออะไร ก็คือกรรมฐาน ๕ เปนพื้นฐานไปกอน
เวลานน้ั เปน ระยะทส่ี น้ั มาก ทา นจงึ สอนมอบงานใหเพยี งส้นั ๆ วา เกสา โลมา
นขา ทนฺตา ตโจ เพียงเทานี้กอน นี่หมายถึงอะไร หมายถึง ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั ให
เอาน้ไี ปพิจารณาคลค่ี ลายดตู ามหลกั ความจรงิ ของมัน ในสถานทส่ี งดั งบเงยี บอนั เปน
ความสะดวกแกก ารพจิ ารณาคลค่ี ลายงานเหลา นใ้ี หร แู จง แทงทะลุ ตลอดถึงอาการ ๓๒
ภายในรางกายของตนทั้งขางนอกขางใน อชฺฌตฺตา วา พหทิ ธฺ า วา เทียบกันไดทุกสัด
ทุกสวน ดว ยความเปน อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ดวยความเปนของปฏิกูลโสโครกเตม็ ไป
หมดในรางกายของสัตวของบุคคล แตล ะสตั วแ ตล ะบคุ คลไมม ใี ครยง่ิ หยอ นกวา ใคร
เตม็ ไปดว ยสง่ิ เหลา นด้ี ว ยกนั นแ่ี หละคอื งานทท่ี า นใหท าํ ใหพ จิ ารณา ทา นสอนเพอ่ื ความ
รแู จง เหน็ จรงิ ปญญาแทงทะลุแลวปลอยวางอุปาทาน
ทส่ี อนใหพ จิ ารณาคลค่ี ลายรา งกายมี ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เปน ตน ก็เพื่อชะ
ลางของปลอมที่แทรกอยูในกายนั้นออก เพื่อความจริงคือธรรมจะไดปรากฏ กิเลสคือ
ของปลอม ของเทียม เมื่อแทรกจิตจึงทําใหจิตปลอมไปดวยกิเลส ไมอ าจทรงความจรงิ
ไวได จึงถูกหลอกมาตลอด ถูกฉุดลากมาเปนประจํา พาเทย่ี วปก ปน เขตแดนเอาไวห มด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๕
๒๓๖
วา สง่ิ นน้ั สวยสง่ิ นง้ี าม สิ่งนเ้ี ปนนจิ จฺ ํ ของเที่ยง สง่ิ นเ้ี ปน สขุ ํ คือความสุข ส่ิงน้ีเปนอตฺตา
เปน เราเปน ของเรา แมกําลังจะเปนจะตายอยู มนั กว็ า เปน เราเปน ของเรา นี่คือเรื่องของ
กิเลสตองขัดขวางธรรมอยูอยางนี้
ทท่ี า นใหพ จิ ารณาตามความจรงิ นน้ั คอื ความจรงิ เปน อยา งไรทา นกส็ อนใหร ใู ห
เหน็ อยา งนน้ั เชน อนจิ จฺ ํ เปนของไมเที่ยง รา งกายเราทกุ สว นหาความเทย่ี งแทถ าวรไม
ได มแี ตความแปรสภาพอยูต ลอดเวลาทกุ อาการ จนถงึ วาระสดุ ทา ยสลายลงไปสคู วาม
จริงของตน ทกุ ขฺ ํ ก็เคยไดยินแตทุกขขังเรา เราไมเ คยไดข งั ทกุ ขเ อาไวพ อใหส บายขยาย
อาํ นาจบงั คบั บญั ชากเิ ลสบา ง ทง้ั นเ้ี พราะเราไมท ราบความจรงิ พอทราบความจรงิ แลว
ทุกขจะมาขังเราไมได ดังพระพทุ ธเจา และสาวกทง้ั หลาย ไมมีทุกขตัวใดที่จะไปขังจิตขัง
ใจของทานใหเปนนักโทษเหมือนอยางแตกอนเลย ทานอยูเหนือทุกขทั้งมวล
ดงั ทีท่ า นอาจารยมัน่ เคยพูดใหฟงและไดเ ขียนไวในประวัติของทา นวา พระ
อรหันตบางองคท านยืนนพิ พาน บางองคทานนั่งนิพพาน บางองคท า นเดนิ นพิ พาน
บางองคท า นนอนนพิ พาน ทําไมทานจึงทําผิดแปลกจากมนุษยทั่วๆ ไปในโลกนเ้ี ลา ก็
เพราะความรคู วามเหน็ ความสตั ยค วามจรงิ ทม่ี อี ยใู นใจของทา น ไมไดเหมือนกับโลก
ทว่ั ๆ ไป ธรรมนั้นเปน สมบตั ขิ องทานโดยเฉพาะไมเก่ยี วกบั โลก ทานจึงไมทําเหมือน
โลก และโลกก็ทําเหมือนทานไมได การทจ่ี ะขดั แยง ทา นวา ทานทําไมไ ด ทา นเปน อยา ง
นั้นไมได จึงเปนโมฆะทั้งสิ้น หาความจรงิ ไมไ ด เพราะผนู น้ั ไมม คี วามจรงิ เหมอื นทา น
จะใหทานมาเปนอยางตัวเองไดอยางไร ทานเปน ทานเต็มตัว เรากเ็ ปน เราแบบนอ้ี ยา ง
เตม็ ยศ (ของปุถุชน ผชู อบชนดะ)
ทุกขเวทนาในขันธก็สักแตวาสมมุติอันหนึ่งๆ เทา นน้ั เชน รูป คือกองรูป นี่ก็
เปน สมมุตอิ ันหนึ่ง เวทนาสขุ ทุกข เฉยๆ นก่ี เ็ ปน อาการอนั หนง่ึ ๆ ของขันธแตละ
อยางๆ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน สมมตุ ทิ ง้ั มวล แตจติ ของทานหลุดพน แลว จากสงิ่ ท้ังหลายเหลานี้
จติ จงึ เหนอื สง่ิ เหลา น้ี ทกุ ขภ ายในรา งกายวาระสดุ ทา ยจะหนกั มากขนาดไหน ก็ไม
สามารถทําใจของทานใหกระทบกระเทือน ใหห วน่ั ใหไ หวเอนเอยี งไปไดเ ลย ดวยเหตุนี้
ทา นจงึ สามารถปรนิ พิ พานตามอธั ยาศยั ในทา ทต่ี นถนดั ในวาระสดุ ทา ย ไดต ามความ
สะดวกและอัธยาศัย โดยไมมีเวทนาตัวใดทีจ่ ะสามารถเขา ไปเหยียบยาํ่ ทาํ ลายจิตใจของ
ทา น ใหเอนเอียงไปไดเหมือนอยางสามัญชนทั่วๆ ไปเลย ดว ยเหตนุ ท้ี า นจงึ ปรนิ พิ พาน
ไดในทาตางๆ ตามอัธยาศัยของทาน เชน ยนื นพิ พานบา ง เดนิ นพิ พานบา ง นง่ั นพิ พาน
บา ง นอนนพิ พานบา ง ดว ยความเปน อสิ รเสรภี ายในใจ เพราะทา นไมม เี วทนาทางใจ
คาํ วา เวทนานห้ี มายถงึ เวทนาภายในจติ เวทนาในรา งกายนน้ั มี ทา นรบั ทราบ
เพราะทา นรู จะไมรับทราบอยางไร แมแ ตเ รามกี เิ ลสอยภู ายในจติ ใจเรายงั รู เจบ็ ตรง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๖
๒๓๗
ไหนในสว นรา งกาย เจ็บทอง ปวดศีรษะ เรายงั ทราบ ทาํ ไมทา นจะไมทราบ แตค วาม
ทราบของเรากบั ความทราบของทา นมันตา งกนั ความทราบของเราทราบไปตาม
ยถากรรมของคนมีกิเลส ไมไ ดห ยง่ั ทราบดว ยความรจู รงิ เหน็ จรงิ เหมอื นพระขณี าสพ
ทา น จึงตองยึดตองถือ จึงตองเกิดความทุกขทรมานภายในจิตใจไมมีประมาณ เวลารา ง
กายไมส มประกอบหรอื มคี วามทกุ ขค วามลาํ บากขน้ึ ในอวยั วะสว นใด ใจเลยกลายเปน
โรคกงั วล โรควนุ วาย โรคเสยี อกเสยี ใจขน้ึ มาดว ย
แตพระขีณาสพทานไมมี เพยี งแตร บั ทราบทกุ ขเวทนาทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในขนั ธเ ทา
นน้ั ขันธก็เปนขันธ จติ เปนจติ เวทนาจะไปแทรกจิตทานไดอยางไร เมื่อตางอันตางจริง
แลวไมกระทบกัน ขนั ธแ สดงตวั จนวาระสดุ ทา ย คอื ทุกขเวทนาแสดงตัวก็แสดงตัวอยู
ในวงขนั ธโ ดยเฉพาะ ไมสามารถไปแสดงตัวในวงจิตของทานได นแ่ี หละระหวา งพระ
อรหนั ตก บั เราตา งกนั มากราวฟา กบั ดนิ หนิ กบั เพชรนน่ั แล
พระอรหนั ตทา นไมมีเวทนาทางใจ เวทนามอี ยเู ฉพาะภายในขนั ธน เ้ี ทา นน้ั ไมมี
อยูภ ายในจิตของพระอรหันต เมอ่ื เปน เชน นน้ั ทา นจะไมป รนิ พิ พานในทา ตา งๆ ไดต าม
ความตองการของทาน หรือตามอัธยาศัยของทานไดอยางไร ทานตองเปนทานโดย
สมบูรณตลอดไป ไมมีสมมุติใดๆ อาจเอื้อมลบลางความจริงของทานไดตลอดอนันต
กาล ความจรงิ เปน อยา งน้ี เราจงึ ยอมในคาํ พูดของทา นอาจารยม่ันท่ีวา พระอรหันต
นพิ พานในทา ตา งๆ กนั อยา งหมอบราบตามประสาคนโง ใครๆ อยาเอาอยาง จะกลาย
เปน คนโง พระโงไ ปหลายคนหลายองค
คาํ วา เวทนานเ่ี ปน สมมตุ ิ จะเปน สขุ เวทนากต็ าม ทุกขเวทนาก็ตาม อุเบกขา
เวทนากต็ าม จะมไี ดภ ายในรา งกาย เกดิ ขน้ึ ภายในกาย สขุ เกดิ ขน้ึ ภายในกาย ทุกขเกิด
ขน้ึ ภายในกาย เฉยๆ เกดิ ขน้ึ ภายในกายนเ้ี ทา นน้ั ไมสามารถจะไปเกิดภายในจิตของ
พระอรหนั ตไ ดเ ลย เพราะจติ นน้ั เปน วสิ ทุ ธจิ ติ เปนวิมุตติจิตที่พนจากสมมุติแลว ทา นจงึ
ไมม เี วทนาใดทจ่ี ะใหเ สวย
ตามหลักความจริง เวทนาทั้งปวงเปนสมมุติ แตจิตของทานเปนวิมุตติจิต จะเขา
กันไดอยางไร ฉะนั้นจึงไมม ีเวทนาใดทจี่ ะเขา เหยียบยํา่ ทําลายจติ ใจของทา นได นอก
จากสุขในหลักธรรมชาติ ดงั ทีท่ า นวา นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ นพิ พานเปน สขุ อยา งยง่ิ สขุ ใน
นิพพานหรือสุขของทานผูบริสุทธิ์ จติ บรสิ ทุ ธน์ิ น้ั ไมใชสุขเวทนา เปนสุขของวิมุตติจิต
เหนือสมมตุ นิ ไี้ ปแลว สุขนนั้ จึงไมม ีคําวา อนจิ จฺ ํ เวทนา อนจิ จฺ า อยางนี้ก็ไมมี สขุ กเ็ ปน
อนจิ จฺ า ทุกขก็เปน อนจิ จฺ า อเุ บกขาเฉยๆ ก็เปน อนจิ จฺ า หรอื เปน อนจิ จฺ ํ ถา เปน เวทนา
แลวตองมี อนจิ จฺ ํ เปนคูกันเสมอไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๗
๒๓๘
แตสุขของพระอรหันต สุขของวิสุทธิจิตนั้นไมใชเวทนา จึงไมมี อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ
อนตฺตา เขา ไปแทรกไดเ ลย นี่ผิดกับสุขของโลก เวทนาของโลก ทา นจงึ เรยี ก นพิ ฺพานํ
ปรมํ สขุ ํ นพิ พานเปน สขุ อยา งยง่ิ สขุ นน้ั เปน สุขในหลักธรรมชาติของความบริสุทธิ์ ไม
ใชสขุ เสกสรรปน ยอขนึ้ มา สขุ แลว ดบั ดับแลวเกดิ อยูอยางนัน้ นี่แหละจิตของพระ
อรหนั ตต างกนั อยางน่ี เราควรทราบเอาไว เมื่อเราถึงขั้นของทานที่ถึงแลว ถายังเขี้ยว
แหลมคมและกัดเกงอยู คอยไปชวนทานตอยก็ไดไมหาม กลวั เปน บาป
การทท่ี ราบจากการไดย นิ ไดฟ ง นไ้ี มไ ดเ ปน ความแนใ จนกั ยังตองมีความสงสัย
อยูเปนธรรมดา เพอ่ื จะทราบตามหลกั ความจรงิ ในสง่ิ ทเ่ี ปน จรงิ นน้ั ตอ งทราบดว ยภาค
ปฏบิ ตั ทิ เ่ี รยี กวา ปฏิเวธธรรม พระพุทธเจาไดธรรมมาสั่งสอนโลกก็ไดจากภาคปฏิบัติ
ไดเปนศาสดาเอกของโลกขึ้นมาก็ไดจากภาคปฏิบัติ คือการประพฤติปฏิบัติทางจิตต
ภาวนา เชน เดนิ จงกรม นง่ั สมาธภิ าวนา ผลจงึ เกิดขึ้นเตม็ ภูมิและเปน ศาสดาของโลก
พระสาวกทัง้ หลายทา นกป็ ระพฤตปิ ฏิบตั เิ ปนอรหนั ตข้ึนมาดวยภาคปฏบิ ัติ ไมไดเปนขึ้น
มาดว ยภาคจดจาํ เฉยๆ หรอื ภาคจดจาํ ลว นๆ
ความจาํ เปน ความจาํ ความจรงิ เปน ความจรงิ เรานาํ ความจาํ ทไ่ี ดศ กึ ษาเลา เรยี น
มา ไปประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามทเ่ี ราเขา อกเขา ใจจากการเลา เรยี นมานน้ั กลายเปน ภาค
ปฏิบัติขึ้นมา เมอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามทเ่ี รยี นมาแลว ผลคือปฏเิ วธ ความรแู จง เหน็ จรงิ ยอ มรแู จง
เหน็ จรงิ ไปโดยลาํ ดบั ๆ จนกระทง่ั รแู จง แทงทะลเุ ปน ความจรงิ ขน้ึ มาเตม็ ภมู ภิ ายในใจ
เมื่อเปน เชน น้ันจะไมถ ามในสง่ิ ทก่ี ลาวมานี้ เชน พระอรหนั ตท า นไมม เี วทนาในจติ อยา ง
น้ี จะปรากฏในจติ ของเราเสยี เอง จิตของพระพุทธเจากับจิตของเรานั้นไมมีอะไรผิด
แปลกกัน เมอ่ื เขา ถงึ ความจรงิ เตม็ สดั เตม็ สว นเหมอื นกนั แลว ไมมีอะไรจะสงสัยกัน ไม
มีอะไรจะมาคัดคานกัน ไมมีอะไรมาลบลางกันได เพราะเปน เหมือนกนั จรงิ เทากัน
เนอ่ื งจากรแู บบเดยี วกนั
ดังที่กลาววาเวทนาในจิตของพระอรหันตไมมีอยางนี้ ดซู วิ า ใจเราเปน ยงั ไง เขา
ใจทันที ออ เปนอยางนี้เอง น่ีแหละที่วา ผใู ดเหน็ ธรรมผนู น้ั เหน็ เราตถาคต เหน็ ความ
จรงิ อันนีซ้ ึง่ เปน เหมือนกนั ของเราฉันใดของทานฉันนั้น ของทานฉนั ใดของเราฉนั นน้ั
นิพพานเที่ยงหรือไมเที่ยง ดจู ติ ของเรากร็ ู ถามนิพพานวาเที่ยงไมเที่ยงไปทําไม ตัวก็รู
นิพพานหรือไมนิพพานอยูที่จิตนี้ นน่ั เปน ชอ่ื ตา งหาก คาํ วา นพิ พานนน้ั เปน เงา หรอื เปน
ช่อื ของธรรมชาติท่เี ราทรงอยูเวลานี้ รอู ยเู วลาน้ี ไดแกจิตที่บริสุทธิ์นี้ นี่คือตัวประธานแท
ดตู วั ประธานแลว รตู วั ประธานแลว สงสยั เงาไปหาอะไร นแ่ี หละหลกั ความจรงิ ใคร
อยากเปนเจาของก็ปฏิบัติเอา อยาขี้เกียจ ความขเ้ี กยี จคอื ตวั สงั หารทาํ ลายมรรคผล
นพิ พาน ความขยนั หมน่ั เพยี รตา งหากเปน ทางเดนิ เพอ่ื มรรคผลนพิ พาน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๘
๒๓๙
ธรรมะคําสั่งสอนของพระพุทธเจาทุกบททุกบาท เปนมัชฌิมาปฏิปทาอยูเสมอ
ตั้งแตครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งปจจุบันนี้ไมมีการเปลี่ยนแปลงไปไหน เพราะเหตใุ ด
เพราะกิเลสทกุ ประเภทซ่ึงเกิดภายในจติ ใจหรอื มอี ยภู ายในจติ ใจของสตั วโลก ไมมีกิเลส
ตวั ใดเปลย่ี นหนา เปลย่ี นตาไปเปน อยา งอน่ื พอที่จะเปลี่ยนแปลงมัชฌิมาปฏิปทาใหเปน
อยางอื่น เพอ่ื ใหท นั กบั กเิ ลสประเภทนน้ั ๆ กเิ ลสเหลา นไ้ี มเ หนอื อาํ นาจแหง ธรรม จึงไม
ตองเปล่ยี นแปลงธรรมทที่ รงสอนแลวนี้ เพราะทรงไดผ ลมาแลว จากปฏปิ ทาเหลา น้ี จงึ
ตอ งนาํ ปฏปิ ทาเหลา นม้ี าปราบกเิ ลสตามทพ่ี ระพทุ ธเจา พาดาํ เนนิ มา
ถา เราดาํ เนนิ ตามหลกั ธรรมทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงสอนไวน ้ี ศาสนธรรมหรอื
มัชฌิมาปฏิปทานี้ คอื ตลาดแหง มรรคผลนพิ พานของเราอยา งเตม็ สดั เตม็ สว นนน่ั เอง
หาทส่ี งสยั ไมไดเ ลย นอกจากจิตใจหรือการประพฤติปฏิบัติจะเปนลุมๆ ดอนๆ สูงๆ
ตาํ่ ๆ ไมเปนไปตามหลักธรรมที่ทรงสอนไวเทานั้น จึงไมสมหวัง ถาตั้งใจปฏิบัติตามนี้
คาํ วา มชั ฌมิ า คอื ธรรมเหมาะสมเพอ่ื มรรคผลนพิ พานตลอดเวลาอยแู ลว การประพฤติ
ปฏิบตั ิกเ็ หมาะสมกับเหตุ ผลทําไมจะไมสมดุลกันเลา ตองสมดุล ผปู ฏบิ ตั เิ ชน นแ้ี ลจะ
เปน ผรู บั มรดกท่พี ระพุทธเจา ประทานให
พระพุทธเจาไมไดเกิดขึ้นจากไหน เกิดขึ้นจากมัชฌิมาปฏิปทานี้ สาวกทกุ ๆ องค
อยาวาแต ๑,๒๕๐ องคน เ้ี ลย เปน หมน่ื ๆ แสนๆ ลา นๆ องคทานก็สาํ เร็จจากมัชฌิมาน้ี
ทั้งนั้น ไมมีที่อื่นเปนที่สําเร็จมรรคผลนิพพานได นอกจากมัชฌิมาเปนทางเดิน เปน
เครื่องชําระซักฟอก เปนเครื่องหลอหลอมใหจิตแตละดวงกลายเปน จติ บรสิ ทุ ธิ์ขน้ึ มา
ขอใหเ ปนท่มี ัน่ ใจในการประพฤติปฏิบตั ธิ รรม และสถานทด่ี งั กลา วมานเ้ี ถดิ เพราะเปน
ที่ที่เหมาะสมตลอดมาไมเคยลาสมัย คอื ในปา ในเขา ในทส่ี งดั วเิ วก ดังที่ทานพาอยูพา
ดาํ เนนิ มา
การขบการฉนั ดังไดกลาวมาแตเบื้องตนวา เปนปจ จัยเคร่ืองอาศยั ของวิบาก
ขันธเทานั้น ไมใ ชเ ปนสิง่ สําคัญดังวิสุทธธิ รรมทเ่ี รามงุ มั่นอยูเวลานี้ สง่ิ ทเ่ี รามงุ มน่ั นน้ั คือ
วสิ ทุ ธธิ รรมซง่ึ เปน ธรรมสาํ คญั มาก สวนปจ จัยเครอ่ื งอาศัยตา งๆ เปน เพยี งเครอ่ื งบาํ รงุ
เยยี วยาธาตขุ นั ธพอใหอ ยูได เปนไปไดวันหนึ่งๆ เทา นน้ั อยาไดลืมเนื้อลืมตัวกับสิ่ง
อาศยั วา เปน เนอ้ื เปน หนงั เปน ตวั ของตวั ขน้ึ มาจะลมื อรรถลมื ธรรม สง่ิ เหลา นจ้ี ะกลาย
เปน ภยั เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจลงไปโดยไมร สู กึ ตวั การเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจ ก็คือการ
เหยยี บยาํ่ ธรรมซง่ึ จะเกดิ ขน้ึ ภายในใจนน้ั แล ใหพากันระมัดระวังเสมอ คาํ วา สกฺกาโร
ปุริสํ หนตฺ ิ ลาภสกั การะฆา บรุ ษุ ผโู งใ หฉ บิ หายจากธรรม กค็ ือความลมื ตัวกบั สง่ิ เหลานี้
แล จะเปนอะไรมาจากทไ่ี หน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๓๙
๒๔๐
การประพฤติปฏิบัติใหเล็งดูจิตอยาดูที่อื่น กเิ ลสอยกู บั จติ แสดงออกที่จิต ไมวา
ดี วา ชว่ั ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา คิดมากคิดนอยคิดขึ้นที่จิต เกิด
ขนึ้ ที่จติ เผาลนที่จิตไมไดเ ผาทีไ่ หน มัชฌิมาปฏิปทามีสติปญญาเปนสําคัญ ใหสอดสอง
มองดูจิตตลอดระยะเวลา เพราะเรามหี นา ทอ่ี นั เดยี วเทา น้ี
พระบวชมาปลอ ยหมดแลว กจิ บา นการเรอื นอะไรๆ ที่โลกจัดทํากัน มีแตปฏิบัติ
ศลี ธรรมอยา งเดยี ว ไมเกาะเกี่ยวกับสิ่งภายนอก สว นอาหารปจ จยั สท่ี ก่ี ลา วมาไมต อ ง
เปนกังวล ผิดวิสัยพระศิษยตถาคต เปน หนาทขี่ องประชาชนศรทั ธาญาตโิ ยมเขาซง่ึ
พรอ มและบรบิ รู ณอ ยแู ลว อยากจะสนับสนุนผูตั้งใจประพฤติปฏิบัติกําจัดกิเลส เพื่อได
บญุ ไดก ศุ ลกบั ทา นเหลา นน้ั เอา ปฏิบัติลงไป ถา เปนลกู ศิษยตถาคตเขา สสู งครามแลว
ไมตองกลัวตาย ผปู ฏบิ ตั ไิ มไ ดตายเพราะการตอสูก ับกเิ ลส ดงั พระพทุ ธเจา เพยี งสลบ
แตก เิ ลสตายเรยี บ ดเู อาในตาํ รามใี หด ู ไมโกหก สว นมากคนเรามแี ตก เิ ลสยาํ่ ยตี แี หลก
ใหต ายทง้ั นน้ั แหละ
จงเหน็ โทษแหง การยํ่ายีตแี หลกของกิเลสจนถึงข้ันตายแลวเกดิ เกิดแลวตายอยู
น้ี ในภพนอยภพใหญไมหยุดไมถอยมาจนบัดนี้ ควรจะเหน็ โทษในสง่ิ เหลา นม้ี ากกวา
การกลัวทุกขก ลัวตายทจ่ี ะตอ สกู บั กิเลสเปนไหนๆ เราเปน นกั ธรรมะตอ งเลง็ เหตผุ ล ยง่ิ
กวาความกลวั ทกุ ขกลัวตายโดยไมม เี หตุผล จึงถูกหลักของธรรมที่จะทําใหพนทุกข และ
ผูเชนนั้นจะพนทุกขไดไมสงสัย ไมตองกลัว ขน้ึ บนเวทแี ลว กลวั ตายทาํ ไม ถากลัวตายอยู
บนเวทีตอยไมออก ตอยไมเต็มเม็ดเต็มหนวย กาํ ลงั ตกเพราะขาดกาํ ลงั ใจ เดี๋ยวถูกเขา
น็อกเอา ใหม ีแตค วามหวังชนะกับความชนะเทา นนั้ อยูในหวั ใจขณะตอ สู นกั ตอ สขู น้ึ บน
เวทแี ลว มแี ตค วามหวงั ชนะ ไมมีคําวากลัวคูตอสู นเ่ี รากา วขน้ึ บนเวทแี ลว เพศของเรา
เปน เพศนกั รบไมใ ชเ พศนกั หลบ นักหลอกตัวเอง และหลอกประชาชนทเ่ี ขาศรทั ธาใน
พุทธศาสนา ศรทั ธาในพระ ตองสูสุดกําลัง สูจ นสดุ ขดี สดุ แดน สจู นไดช ยั ชนะมาสสู งั คม
พทุ ธศาสนาอยา งสงา ผา เผยและภาคภมู ใิ นตวั เอง
ทุกสิ่งทุกอยางเครื่องสนับสนุนมีพรอมแลว อาหารปจ จยั จะกนิ ใหต ายกไ็ ดถ า เรา
ไมเ สียดายธรรม ถาเห็นขี้ดีกวาไสก็พุงทะลุพุงระเบิดไมรูตัว ลน้ิ แซงอยเู รอ่ื ย แซงอรรถ
แซงธรรมนะ ทองปากแซงอยูเรื่อยๆ หาเวลาวา งไมม ี หาเวลาบกพรองบางไมมี มีแต
เรื่องกินๆ แบบกเิ ลสตณั หาอาสวะบรรจเุ ขา เตม็ เตม็ เทา ไรยง่ิ บรรจเุ ขา ไปๆ สุดทายก็
ตายเพราะกิเลสไมมีเมืองพอ ทานจึงนําธรรมมาสกัดลัดกั้นไวเพื่อรักษาชีวิตพระไมให
ตายเพราะทองแตกวา โภชเน มตฺตฺุตา ใหร จู กั ประมาณ ในการบรโิ ภคขบฉนั
อยา ลมื เนอ้ื ลมื ตวั ในปจ จยั สซ่ี ง่ึ เปน เครอ่ื งอาศยั เทา นน้ั สิ่งที่มุงหวังอยางแรงกลา
คอื อรรถคอื ธรรม ความประเสรฐิ เลศิ เลออยทู ธ่ี รรมในใจ เอา สูลงไป จะตายดว ยการ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๐
๒๔๑
ตอสูกับกิเลสก็ใหเห็นเสียที ไมเคยมีในศาสนาของพระพุทธเจานี้ นักตอ สสู ูก บั กเิ ลสจน
ตาย ทเ่ี หน็ มามแี ตก เิ ลสนน่ั แหละตายเวลาตอ สเู ขา ไปๆ ดังพระพุทธเจาก็สลบสามหน
พระองคก็ไมตาย สุดทายกิเลสตายไมมีเหลอื นั่น สาวกทง้ั หลายไดร บั ความทกุ ขท รมาน
เพราะการตอ สูกบั กิเลสมามากเทา ไร ก็ไมไดยินวาทานตาย สดุ ทา ยกเิ ลสตายๆ จึงได
ปรากฏเปน ผวู เิ ศษวโิ สขน้ึ มาเพราะการตอ สู นแ่ี หละคณุ คา แหง การตอ สู ทาํ ใหค น
บริสุทธิ์พุทโธขึ้นมาในใจไดอยางเดนชัด
เราเปนลูกศิษยของตถาคต ตองถือเอาเยี่ยงอยางของพระพุทธเจามาดําเนิน
อยาสักแตวากลาว พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ใจลอยเมฆไปไหนหรือลงนรกอเวจีที่ไหนก็ไมรู
ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ วา แตป ากคดิ แตใ จแยบ็ เดยี ว ถูกกิเลสฉุดลากไปตมตุนที่ไหนก็ไมรู
วนั หนง่ึ ๆ หาเวลาคดิ ตามคลองอรรถคลองธรรมเพยี งแยบ็ ๆ แทบไมมี และดําเนินไป
นิดๆ หนอ ยๆ กห็ าวา ทกุ ขว า ลาํ บากไปเสยี ซึ่งลวนแตเปนกลมายาของกิเลสมันหลอก
มนั ลวงไมใหเขา ชอ งอรรถชอ งธรรม เพราะกลวั จะผา นอาํ นาจมนั ไปเสยี มันจึงไมยอม
ใหไ ป มัดไวกับความขี้เกียจออนแอ มัดไวกบั ความหนุมนอ ยกําลังเพลิดเพลิน มัดไวกับ
ความเฒา แกช ราจาํ ศลี ภาวนาไมไ ด มัดไวก ับความยงุ ยากจปิ าถะจนประมาณไมไ ดแ ละ
อยูในเงื้อมมือของมันเรื่อยมา นแ่ี หละคาํ วา มารๆ คืออะไร กเิ ลสมารเปน เบอรห นง่ึ ใน
หวั ใจของคนและสตั ว เฉพาะอยางย่งิ ในหวั ใจของเราซ่ึงเปนนกั ปฏิบตั ิ ใหท ราบวา มาร
คืออะไร ก็คอื กิเลสทุกประเภท ไมม ีอะไรที่เปนมารเทา กเิ ลส ใหเ หน็ มารรมู ารทต่ี รงน้ี
และปราบมารทต่ี รงน้ี
การตอสูกับกิเลสก็อยาออมกําลังอยาออมแรง เพราะเราไมเ คยเหน็ กเิ ลสตวั ใด
ตั้งแตประพฤติปฏิบัติมาอยางเต็มสติกําลังความสามารถจนถึงปจจุบันนี้ วา เปน ตวั
สภุ าพเรยี บรอ ยออ นโยน (เวลาดดั สนั ดานเรามนั ทาํ เบาๆ ออมแรงไว กลัวเราทุกข
มาก) พอที่จะตอสูม นั ดวยความสภุ าพออ นโยนน่มิ นวล นอนราวกับตาย หลับครอกๆ
แทบจะได กุสลา มาติกาไมรูจักตื่นทําก็ได เดินเซอๆ ทําก็ได จิตเถอไปไหนมองไปไหน
ก็ได อยสู ะดวกสบาย กนิ ใหมากนอนใหม ากเหมอื นกับหมูตัวหน่งึ กิเลสก็ตายไปอยาง
เรยี บวธุ ดว ยวธิ กี ารเหลา น้ี เราไมเ คยเหน็ เคยเหน็ แตฟ ด กนั เตม็ เหนย่ี ว เอา มนั ไมต าย
ใหเ ราตาย เราไมต ายใหม นั ตายเทา นน้ั สูกันอยางไมถอย
นอกจากนัน้ ยังทรมานทางกายชว ยจิตตภาวนาอีกดวย เพราะกเิ ลสมนั มีทางกาย
เปน กาํ ลงั เครอ่ื งสง เสรมิ มนั ดว ย กินมากๆ เขาไปรางกายอวนพีขึ้นมา กิเลสมันก็ตัวดีตัว
เดน ขน้ึ มาแลว เหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจลงไป การภาวนาโงหวั ไมข น้ึ เมื่อเปนเชนนั้นตอง
ตัดทอนกําลังทางรางกาย นอนมากมันทําใหมีกําลังมากและทําใหทับถมจิตใจมาก กนิ
มากมีกําลังมาก มันทับถมจิตใจมากการภาวนากาวไมออก ตดั อาหารลงไป ตัดเรื่อง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๑
๒๔๒
การหลบั การนอนลงไป ตัดกําลังทางกายในแงตางๆ ลงไปโดยลําดับ จิตใจจะไดภ าวนา
สะดวกขึ้น ความจรงิ กเ็ ปน อยา งนน้ั จรงิ ๆ
เวลารางกายมีกาํ ลงั นอยลงไป ลดลงไปๆ จิตใจมีกําลังกลาแข็งขึ้นทุกระยะ เวลา
ทเ่ี ราประกอบความเพยี รอยู เห็นไดช ดั เมอ่ื เปน เชน นน้ั ถงึ จะยากลาํ บากกต็ อ งทนเพราะ
ทางไปสายนี้ ยากก็ไปงายก็ไป ขรุ ขระกไ็ ป เพราะทางไปอยูนี้ ทางเดินอยูนี้ ทางเดินเพื่อ
ความพนทุกขอยูตรงนี้ อบุ ายวิธเี พือ่ ฆา กเิ ลสอยทู ตี่ รงนๆ้ี ก็ตองไดทนทุกขทรมานตน
ทําไป เพราะเคยเหน็ ผลอยา งน้ี นล่ี ะการประพฤตปิ ฏบิ ตั จิ งึ ตอ งใชอ บุ ายหลายแงห ลาย
ทาง ไมสกั แตวา เดนิ จงกรมแลวก็เดนิ ไปเฉยๆ ไมไดคํานึงถึงเหตุถึงผลวาไดผลมาก
นอยเพียงไร เดินสักแตเปนกิริยา ใชไมได ตอ งเอาใหจ รงิ ใหจ งั มีสติปญญากํากับงาน
และคอยทดสอบผลไดผลเสียของตนอยูเสมอ
สตแิ นบอยูก บั จิต น้ีแลคือผูรักษาจติ สตเิ ปน สาํ คญั ปญ ญาเปน ผใู ครค รวญเหตุ
ผลดีชั่วประการตางๆ ธรรมสองอยา งนเ้ี ปน สาํ คญั วริ ยิ ะ คือความเพียร นเ่ี ปน เครอ่ื ง
สนบั สนนุ เปน กาํ ลงั ใจเพอ่ื ความเพยี ร ความจดจอตอเนื่องกันเพื่อทําลายกิเลส แลวสติ
ปญ ญาเปน สาํ คญั มาก เราไมเ หน็ อนั ใดทจ่ี ะมคี ณุ คา ยง่ิ กวา สตปิ ญ ญาในการปราบปราม
กเิ ลส แมแ ตข น้ั ตน ๆ สตปิ ญญาก็มีความจาํ เปนอยเู ชนนั้น จนกระทง่ั ถงึ วาระสดุ ทา ย
เอา ลงไป คําวาวาระสุดทายคืออะไร ถึงขั้นกิเลสละเอียด ถึงขั้นธรรมละเอียด สติ
ปญญาตองละเอียดไปตามกิเลสไมอยางนั้นไมทันกัน
ใครจะวา กเิ ลสมนั โงเ มอ่ื ไร กิเลสจอมฉลาดจึงไดครองไตรภพ สตั วโ ลกเกิดตาย
อยนู ีเ้ พราะอาํ นาจของกิเลสทัง้ นั้น ไมใชเพราะอํานาจของอะไร ถา กเิ ลสไมแ หลมคม
เหนอื กวา สตั วโ ลก ใครจะไปเชอ่ื ใครจะไปยอมจาํ นนกบั กเิ ลส เพราะกท็ ราบแลว วา
กเิ ลสเปน ภยั เหตุใดจึงไมทราบในขณะที่มันกลอม กเ็ พราะอบุ ายของเรา สติปญญาของ
เราไมท นั มนั นน่ั เอง จึงจําตองยอมจํานนมันไปโดยไมรูสึกตัว นเ่ี วลาสตปิ ญ ญาเราผลติ
ขึ้นมาๆ ทนั กเิ ลสประเภทนแ้ี ลว ตอไปก็ทันกิเลสประเภทนั้น เห็นโทษของกิเลส
ประเภทน้ี เหน็ เลห เ หลย่ี มของกเิ ลสประเภทนน้ั แกเลหเ หล่ียมของกิเลสนี้ไปได แลวแก
เลห เ หลย่ี มของกเิ ลสประเภทนน้ั ไดโ ดยลาํ ดบั และฆา ไดโ ดยลาํ ดบั ดว ย เรื่อยไปๆ จน
กระทั่ง เอาพูดกันใหถึงเหตุถึงผลถึงอรรถถึงธรรม ฟาดกันไปถึงขั้น มหาสติ มหา
ปญ ญาแลว เอาละที่นี่
คําวา มหาสติ มหาปญญา หมายถึงสติปญญาอัตโนมัติ หมนุ ตวั กบั เหตกุ ารณ
ตางๆ อยตู ลอดเวลา ไมม คี าํ วา ยนื วา เดนิ วา นง่ั วา นอน จะเผลอตัวขณะใด เวน แต
ขณะหลบั เทา นน้ั นอกนั้นสติปญญาจะตองทํางานอยูตลอดเวลา จนถึงกับไดยับยั้งเอา
ไวไ มเ ชน นน้ั จะเลยเถดิ ดงั ทา นกลา วไวใ นธรรมสงั โยชนเ บอ้ื งบนวา อุทธัจจะ ความฟงุ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๒
๒๔๓
ความฟงุ ซา นราํ คาญ อุทธัจจะนี้หมายถึงความเพลินในงานของตน ไมใชอุทธัจจกุกกุจ
จะ แบบนวิ รณห า ซง่ึ มอี ยใู นสามญั ชนทว่ั ไป
อทุ ธจั จะนเ้ี ปน สงั โยชนเ บอ้ื งบน จะตดั ไดด ว ยอรหตั มรรคเทา นน้ั ทา นผทู ด่ี าํ เนนิ
อรหตั มรรคจะเปน ผเู พลดิ เพลนิ ในธรรมขอ น้ี จงึ เรยี กวา อทุ ธจั จะ ความเพลินเกินตัวก็
ไมถูกนะ ถาจะพูดเปนการเตือนก็บอกวา ความเพลิดเพลินเกินไปไมถูกนะ งานแมจ ะ
ไดเ พราะการกระทาํ กจ็ รงิ แตการกระทํางานทั้งหลายนั้นยอมมีการพักผอนเปนธรรมดา
พักผอนนอนหลับ พกั ผอ นรบั ประทานอาหาร แมแตรถวิ่งไปตามถนนยังตองเติมน้ํามัน
ยังตองพักเครื่อง
ผลจะไดเ พราะการทาํ งานกจ็ รงิ แตเมื่อทําไปจนหมดกําลังแลว ผลของงานจะได
มาจากไหน นี่สติปญญาเมื่อหมุนตัวไมหยุด ไมพกั ผอนหยอนตวั บา งเลยก็เหน่อื ย จติ
เหนื่อยเมื่อยลาจึงตองพักในวงสมาธิ ทา นบอกใหเ ขา พกั ในสมาธเิ สยี ใหจิตมีความสงบ
พอไดร ับความสงบเปน กาํ ลงั แลว จิตมีกําลังออกพิจารณา เชน เดยี วกบั คนทท่ี าํ งานจน
กาํ ลงั กายและจิตเหนื่อยเมอื่ ยลา แลว กม็ าพกั ผอ นนอนหลบั มารบั ประทานอาหารให
สะดวกสบาย ถงึ เวลาจะเสยี ไป อาหารการบรโิ ภคเหลา นน้ั จะเสยี ไปกต็ าม แตไดกําลัง
ขึ้นมาชดเชยกันเพื่อการงานตอไปอีก และเพอ่ื เพิ่มผลแหงงานข้นึ ไปโดยลาํ ดับ เพราะ
กําลังเกดิ จากการพักผอ นและการรบั ประทานน้นั
นก่ี ารพกั ผอ นในสมาธจิ ะเสยี เวลาํ่ เวลาบา งไมเ ปน ไรเพราะกาํ ลงั ชารจ พูดงายๆ
ชารจ แบตเตอรท่ี างดา นจติ ใจ ใหจ ิตมคี วามสงบมีกําลังทางสมาธิ ในขณะที่พักตองพัก
จรงิ ๆ ไมยุงกับสติปญญาใดๆ ทั้งสิ้น พอออกจากการพักแลวจิตจะมีกําลังวังชา สติ
ปญญาแหลมคม กเิ ลสตวั นน้ั แล สตปิ ญ ญาประเภทท่ีเคยแกก เิ ลสนแ้ี ล ใสเ ขา ไปขาด
สะบัน้ ๆ เพราะกําลังสติปญญามีมากเนื่องจากไดพักผอนอยางสะดวกสบายแลว นี่วิธี
การดาํ เนนิ วปิ ส สนาโดยสมาํ่ เสมอ
เมอ่ื ถงึ ขน้ั นแ้ี ลว ความขเ้ี กยี จขค้ี รา นหายหนา ไปหมด นอกจากไดร ง้ั เอาไวเ ทา นน้ั
ความเห็นโทษก็ถึงใจนอนใจไดยังไง ความเหน็ คณุ กถ็ งึ ใจ เห็นโทษแหงกิเลสทุก
ประเภท เหน็ อยา งถงึ ใจเหน็ อยา งซง้ึ เหน็ อยา งนา เขด็ นา หลาบ เหน็ อยา งนา กลวั คนเรา
เมื่อกลัวแลวอยูไดยังไง ที่ไหนจะเอาตัวรอดไดตองเผน ทไ่ี หนเหน็ วา จะพน ภยั ตอ งเผน
ไปที่นั่น นี่จิตเห็นวาจะพนภัยดวยวิธีไหนก็ตองโดดออก จะพนภัยดวยวิธีตอสูกับกิเลสก็
ตองตอสู เหมือนที่ตอสูดวยปญญา เพราะความเหน็ คณุ แหง ความพน ทกุ ข และเพราะ
ธรรมอศั จรรยต ามขน้ั ทป่ี รากฏอยใู นใจพาใหฮ กึ หาญ
แมจะไมถึงขั้นอัศจรรยเต็มภูมิก็ตาม ขึ้นชื่อวาธรรมแลวยอมเปนของแปลก ของ
อศั จรรยอ ยภู ายในจติ ใจของผรู ผู เู หน็ นน้ั แลว นน้ั แลเปน สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา อยภู ายในใจอยู
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๓
๒๔๔
แลว และเปนเคร่อื งสนบั สนุนใหมีกาํ ลังใจเพ่ิมข้ึนที่จะประพฤตปิ ฏิบัตธิ รรมเบอ้ื งสงู ขึ้น
ไปไมหยุดหยอน วา ใหพ น เทา นน้ั ไมพน กใ็ หตายเทา น้นั คําวาถอยมีไมไดแลว นี่สติ
ปญญาอัตโนมัติเปนอยางนั้น ในครง้ั พุทธกาลทา นวา มหาสติ มหาปญ ญา คอื หมุนตัว
เปน เกลยี วอยตู ลอดเวลา อัตโนมัติ ไมคําที่วาบังคับบัญชานอกจากตองไดรั้งเอาไว
เพราะจะเปนอุทธัจจะ คือฟุงเกินไป เพลนิ กบั การกบั งานการพจิ ารณาคน ควา จนเกนิ
ความพอดีไป แตไมไ ดผ ลเทาท่ีควร จึงตองใหพักผอนในสมาธิเสีย เมื่อมีกําลังแลวจึง
พจิ ารณาคน ควา ตอ ไป จนกระทั่งทะลุปรุโปรงไปหมด
อทุ ธจั จะ คอื ความฟุง ความเพลดิ เพลนิ ในงานของจติ มานะ ความถือความรูที่
เต็มไปดวยอวิชชานั่นเอง จะเปนอะไร เอาใหม นั ถงึ นน่ั ซิ ที่กลาวมาทั้งหมดนี้เปนของ
ปลอมเมื่อไร มีอยูกับนักปฏิบัติ ฝกใหได จิตเปนสิ่งที่ฝกได ฝกไมไดพระพุทธเจาดีไม
ได เปนศาสดาของโลกไมได พระธรรมกระเทือนโลกธาตุอยูเวลาน้ี ออกจากจิตทานที่
ไดฝกมาทั้งนั้น จิตเปนสมบัติของเราไมใชสมบัติของใคร เราเปน ผรู บั ผดิ ชอบภายในจติ
ของเรา เปน กเ็ ราตายกเ็ รา สขุ กเ็ ราทกุ ขก เ็ รารบั ทง้ั นน้ั เมอ่ื เปน เชน นน้ั เราจะปลอ ยให
กเิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายอยตู ลอดไปสมควรแลว เหรอ ตองเอาใหจริงใหจังนักปฏิบัติ
อยามองอะไรยิ่งกวาใจซึ่งเปนสถานที่เกิดเหตุ มหาเหตอุ ยูทน่ี ่นั โรงผลิตงานของ
กเิ ลสประเภทตา งๆ อยูท นี่ นั่ ในขณะเดยี วกันโรงผลติ อรรถผลิตธรรมก็อยทู น่ี ั่น เอา
แยกแยะกันเขาไป จติ นเ้ี ปน ตวั สาํ คญั มาก เอาใหถึงเหตุถึงผล จิตนี้เปนเหมือนนักโทษ
เวลาน้ี ธรรมเปน เครอ่ื งแกเ ครอ่ื งปลดเปลอ้ื ง กเิ ลสเปน เจา อาํ นาจบงั คบั บญั ชาจติ ใจ แก
ลงไปๆ เมื่อแกลงไปไดมากนอยจิตจะดีดขึ้นมาๆ โดยลาํ ดับลาํ ดา จนกระทั่งแกไดหมด
โดยส้นิ เชิงไมมสี งิ่ ใดเหลือแลว นั้นแลความหมุนตวั ของสตปิ ญ ญาทเี่ ปน ไปกบั เหตุการณ
ตางๆ ในวงความเพียรยอมยุติลงเอง เหมอื นกับนกั รบเมือ่ ไดช ัยชนะเต็มทแี่ ลว การรบ
พุงชิงชัยที่เปนไปทั้งวันทั้งคืนนั้นก็ยุติกันลง
สติปญญากับกิเลสเมื่อไดฟาดฟนหั่นแหลกกันลงไป จนไมมีกิเลสตัวใดมาตอกร
แลว เรอ่ื งความหมนุ ติว้ ๆ อยูดวยสติปญญานี้ก็หมดหนาที่ไป เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธ์ิ
ลว นๆ เอาอยูไหนอยูเถอะที่นี่ ไมมีกาลไมมีสถานที่ ไมยุงกับอดีตวาเคยเปนมาอยางไร
ไมยุงกับอนาคตวาจะไปเกิดเปนอะไรตอไปอีก ปจ จุบันก็รูเทา ไมย ดึ มน่ั ถอื มน่ั ในความ
รูความเปนของตน ตางอันตางจริงทุกสัดทุกสวน จิตก็จริงตามจิต จรงิ ตามหลกั ธรรม
ชาติ จริงในความประเสริฐของตน เมืองพออยูที่นี่ พอจิตหมดภัยแลวทุกสิ่งทุกอยางได
คลายไปตามๆ กัน นั้นแลคือผลแหงการประพฤติปฏิบัติอันเปนที่พึงใจ
พระพุทธเจาก็ดี สาวกท้งั หลายกด็ ไี ดน ําจติ ดวงน้ีขึ้นมาประกาศธรรมสอนโลก
นน้ั ไดม าดวยภาคประพฤตปิ ฏบิ ตั ิและไดม าดว ยความขยันหม่ันเพยี ร ดว ยความเปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๔
๒๔๕
นักตอสู ไมใ ชไ ดม าดว ยความขเี้ กียจขีค้ ราน ความเหน็ แกป ากแกท อ ง ความเหน็ แก
หลับแกนอน ขี้เกียจออนแอ นั่นไมใชทางของผูจะดําเนินตนเพื่อความพนทุกข แตเ ปน
ทางอันเตียนโลงของกิเลสที่จะสั่งสมฟนไฟขึ้นมาภายในใจโดยถายเดียว
นี่ทานทั้งหลายมาจากที่ตางๆ ไดม าอบรมศกึ ษาอยใู นสาํ นักนี้ ผมมีความเมตตา
สงสาร ถึงจะอยูดวยกันมากบางก็ทนเอา ทานองคนั้นก็มีหัวใจองคนี้ก็มีหัวใจ เปนผมู งุ
มาเพ่อื อรรถเพอ่ื ธรรม ผมเองก็ไดคิดเทียบเคียงทุกสัดทุกสวนแลวกับหมูกับเพื่อน
เพราะเราเคยเปน ผนู อ ยมาแลว ไปเสาะแสวงหาครอู าจารยท่ไี หนท่ตี อ งจิตตองใจ เปนผู
ทน่ี า เคารพกราบไหวเ ปน ทล่ี งใจของเรานน้ั มนั หายากนกั ยากหนากวา จะพบเหน็ ทา น
เมื่อไปถึงครูบาอาจารยองคใดที่เปนที่สนิทติดใจกับทาน ดว ยความเชอ่ื ความ
เลอ่ื มใสจรงิ ๆ แลว เราพอใจที่จะอยู อยากใหท า นเมตตาสงสารรบั ไวส ง่ั สอน ใจจะขาด
ออกจากหทัยของเรา ถงึ ขนาดนน้ั ทเี ดยี วสาํ หรบั ผม นห้ี มเู พอ่ื นมาศกึ ษาอบรมกเ็ หน็ ใจ
อยางนั้นเหมือนกัน ถึงจะไมไดอยู แตไ ดร บั การอบรมชว่ั กาลชว่ั เวลากย็ งั ดี นแี่ หละขอ
ใหค ดิ เหน็ อรรถธรรมทก่ี ลา วมาเหลา น้ี นําไปประพฤติปฏิบัติ อยาทอถอยออนแอ สง่ิ
เหลา นเ้ี คยมอี ยใู นหวั ใจเราอยแู ลว ไมเห็นเปนของประเสริฐของอัศจรรยจากมัน นอก
จากธรรมอนั ประเสรฐิ ทจ่ี ะเกดิ ขน้ึ จากความเพยี ร ความหนกั เอาเบาสเู ทา นน้ั
นว่ี นั นไ้ี ดอ ธบิ ายธรรมภาคปฏบิ ตั ใิ หท า นทง้ั หลายไดเ ขา อกเขา ใจ ทางพระเปน
สาํ คญั เพราะเปนจดุ ศูนยก ลางแหง จติ ใจของประชาชน และเปน ผรู กั ษาศาสนาในวง
ภายใน และมหี นา ทเ่ี ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เพศกป็ ระกาศอยา งเดน ชดั แลว วา เพศนเ้ี ปน
เพศสมณะ เปน เพศทบ่ี าํ เพญ็ อรรถธรรมโดยถา ยเดยี ว จึงไดแสดงใหทานทั้งหลายได
เขาอกเขาใจ เพื่อนําไปประพฤติปฏิบัติใหเกิดประโยชนแกตนตลอดผูเกี่ยวของมาก
นอย
บรรดาศรทั ธาญาตโิ ยมทง้ั หลาย จติ ใจก็เหมือนกนั กับพระ ตางกันก็สักแตเพศ
เทา นน้ั จติ ใจไมม คี าํ วา เปน ผหู ญงิ ผชู าย มคี วามรกั ใครช อบใจศรทั ธาในศาสนาเชน
เดียวกัน การประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ นในคณุ งามความดที ง้ั หลายเปน สริ มิ งคลแกเ รา เชน
เดยี วกบั พระทา นประกอบหนา ทก่ี ารงานทางดา นธรรมะของทา น เปน สริ มิ งคลแกใ จ
ของทาน เรามาประกอบบาํ เพญ็ คณุ งามความดที ง้ั หลายมที าน ศีล ภาวนา เปน สาํ คญั ก็
เปน สริ มิ งคลแกจ ติ ใจของเรา ใจเปน สาํ คญั มาก ขอใหพ ยายามบาํ รุงใจ ใจเปนหลักใหญ
ใจเปนนกั ทอ งเที่ยวดังท่ที า นอาจารยม ่นั ทานพดู หาขอแยงไมได
จะทองเที่ยวไปไหนก็ตาม ขอใหทองเที่ยวไปดวยบุญดวยกุศล ดว ยคณุ งาม
ความดเี ปน เครอ่ื งสนบั สนนุ เถดิ จะเปน ทเ่ี บาอกเบาใจ เปน ทส่ี ะดวกสบาย เปน สุคโต
ไปก็ดีอยูก็เปนสุข เกิดในภพใดชาติใดถามีคุณงามความดีเปนเครื่องหลอเลี้ยงจิตใจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๒๔๕