๙๖
หลักธรรมของพระแทอันดับหนึ่ง รกุ ขฺ มลู เสนาสนํ นสิ สฺ าย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ
เต ยาวชีวํ อสุ สฺ าโห กรณีโย บรรพชาอปุ สมบทในพระพทุ ธศาสนาแลว ใหเ ธอทง้ั หลาย
เที่ยวอยูตามรุกขมูล รม ไม ชายปาชายเขา ตามถ้ํา เงื้อมผา ทแ่ี จง ลอมฟาง อนั เปน
สถานทเ่ี หมาะสมแกก ารฆา กเิ ลสทาํ ลายกเิ ลสใหส น้ิ ซากไปจากใจเถดิ จงอตุ สา ห
พยายามทําอยางนี้จนตลอดชีวิตนะ นอกนน้ั เปน สง่ิ เหลอื เฟอ ดังที่วา อติเรกลาโภ
เปนตน เปน สง่ิ นอกจากความจาํ เปน อนั ดบั แรก
งานที่ทรงใหทําก็ เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ตโจ ทนฺตา นขา โลมา เกสา
นอกจากนั้นก็วาไปถึงอาการ ๓๒ ผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เนื้อ เอ็น กระดูก เยอ่ื ใน
กระดูก มา ม หวั ใจ ตบั ปอด พังผืด ไสใ หญ ไสนอย อาหารใหม อาหารเกา ซึ่งมีอยูกับ
ตวั เรา ทา นทง้ั หลายจงพยายามคลค่ี ลายสง่ิ เหลา นใ้ี หเ หน็ แจง ชดั เจนตามหลกั ความจรงิ
ที่มันมีอยูเปนอยูดวยปญญา ทา นทง้ั หลายเมอ่ื ไดท าํ งานนใ้ี หส าํ เรจ็ ลลุ ว งไปดว ยสติ
ปญ ญาอันเต็มภูมิของวรี บุรุษแลว ความหลดุ พน จากทกุ ขอ นั เปน สมบตั มิ หาศาลนน้ั จะ
เปนของทานทั้งหลายเอง นั่นฟงซิ มนั หา งไกลกันไหมกับพวกเราทีช่ อบสะดวกสบายกบั
ของเศษ ๆ เดน ๆ ที่ทานสอนใหละใหทิ้งดวยธรรมทุกบททุกบาททุกปฎกนะ
พวกเรานม่ี นั เปน คแู ขง ศาสนธรรมเสยี เอง อะไรทธ่ี รรมตาํ หนมิ นั กลบั หรหู ราไป
หมด ประชาชนญาติโยมสูไมได ของดิบของดีเขาเอามาทําบุญใหทาน เขากินอะไรใช
อะไรก็พอทําเนา ขอใหไดของดีมาทําบุญใหทานพระก็เปนที่พอใจตามนิสัยของนัก
แสวงบญุ แตพ ระเรากลบั เปน นกั หรหู รา กุฏิก็อยูดี ๆ เครื่องใชไมสอยก็มีแตของดิบ
ของดี นอกจากน้นั ยงั มวี ทิ ยุ ยังมีเทวทัตโทรทัศน และยังมีรถยนตกลไกแถมเขาไปอีก
ดตู ามหลกั ธรรมวนิ ยั ของพระเราแลว นา สลดสงั เวชเหลอื ประมาณ ทําไมพากันคิดฆา
พระพทุ ธเจา แบบสด ๆ รอน ๆ ไดลงคอ ดวยความโออาทาใหญของพระ อนั เปน ความ
ดือ้ ดานไมย อมรสู ึกตวั เลย มนั นา ละอายทส่ี ดุ
ทกุ ทา นขอใหค าํ นงึ เรอ่ื งเหลา นใ้ี หม าก ถาเราบวชเพื่ออุทิศตอพระพุทธเจา พระ
ธรรม พระสงฆ จรงิ ๆ มใิ ชบวชมาเพอ่ื เปน คกู รรมคูเ วรตอศาสนธรรมของพระพุทธเจา
ขอใหคํานึงถึงอรรถถึงธรรม ถึงการดําเนินของพระพุทธเจายิ่งกวาเรื่องใด ๆ สมัยใดก็
ตามไมมีเยี่ยมยิ่งกวาพุทธสมัย ธรรมสมยั สังฆสมัย ท่พี าดําเนนิ มา อนั นเ้ี ปนหลกั ใหญ
โตมาก ใหทานทั้งหลายจงประพฤติปฏิบัติตามหลักพุทธสมัยเถิด ผลอนั ชมุ เยน็ พงึ ใจจะ
เปน ทย่ี อมรบั กบั หลกั แหง สวากขาตธรรม นยิ ยานกิ ธรรม ไมมีทางสงสัย
นี่ก็ไดปฏิบัติมาพอสมควร เปนผนู อยผมก็เคยไดเปน ไปศกึ ษาอบรมกบั ครบู า
อาจารย เฉพาะอยา งย่ิงทานอาจารยม นั่ ฟงจริง ๆ ฟงทานพูด ทานจะพดู ทเี ลน ทจี ริง
เปนธรรมดาของลกู ศิษยกบั อาจารย เราจะไมม ฟี ง เลน จะมีแตฟงจริงอยางฝงใจตลอด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๖
๙๗
มา มคี วามเคารพรกั ความเลอ่ื มใส ความกลวั ทา นมากทส่ี ดุ ยึดเอาทุกแงทุกมุม ทจ่ี ะ
พึงประพฤติปฏิบัติได ไดม าสง่ั สอนลกู ศษิ ยล กู หานก้ี เ็ พราะอาํ นาจครบู าอาจารยท ท่ี า น
ใหก ารสง่ั สอนมา
เพราะฉะนน้ั การปฏบิ ตั ใิ นวดั ของเราน้ี แมจะผดิ แผกแตกตา งกับวดั ทั้งหลายบาง
ผมกแ็ นใ จตามหลกั เหตผุ ลและหลกั ธรรมวนิ ยั จึงไมสะทกสะทาน ผมไมไ ดค ิดวา เปน
การทาํ ผดิ เพราะมแี บบมฉี บบั ทไ่ี ดร บั มาจากศาสนธรรม และจากครบู าอาจารยท กุ สง่ิ
ทุกอยาง อนั เปน แบบฉบบั มาดง้ั เดมิ อยแู ลว จงึ ไดพาหมเู พ่อื นดําเนินเร่ือยมาอยางน้ี
ผิดถูกประการใดจะตองพูดกันตามหลักเหตุผล ความเกรงอกเกรงใจกนั นน้ั เปน เรอ่ื ง
ของโลกเปนเรื่องของบุคคล ไมใชเร่อื งของธรรมของวนิ ยั อนั เปนหลกั ดําเนนิ ตายตัวดวย
กัน การพดู กนั โดยอรรถโดยธรรมเพื่อใหเปนที่เขาใจและปฏิบัติถูกน้นั เปนธรรมแท
เพราะฉะนน้ั คาํ วา ลูบหนาปะจมูกจึงไมมีในธรรมทั้งหลายของผูมุงตอธรรมดวยกัน
การแสดงธรรมก็เห็นสมควรขอยุติเพียงแคน ี้
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๗
๙๘
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๓ เมษายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๒
ยาแกก เิ ลส
ผูใครในธรรมปฏิบตั เิ พ่อื ความรแู จง เห็นจรงิ ดังครัง้ พุทธกาล สมยั นม้ี นี อ ยรอ ย
หรอเต็มที ดังที่เห็นกันอยูนี้แล แตผ ใู ครใ นการปฏบิ ตั คิ วามสงบสขุ จะมมี ากกวา กนั
เพราะศาสนธรรมเปน ธรรมท่สี อนโลกเพือ่ ความสงบสุขโดยถูกตอง พระพุทธเจากอน
จะสั่งสอนโลก ก็ทรงทําพระองคใหมีความสงบสุขอยางเต็มภูมิมากอน แลวจึงได
ประกาศสอนธรรมท้ังเหตุทที่ รงดําเนินมา ทั้งผลที่ทรงไดรับคือความสงบสุขเต็มภูมินั้น
วา เปน สง่ิ ทพ่ี งึ ปรารถนาสาํ หรบั สตั วโ ลกมากมายเพยี งไร พระองคไดนําทั้งเหตุทั้งผล
ออกแสดงโดยพระองคเปนผูรับประกันในคุณธรรมทั้งหลาย
เมอ่ื เรม่ิ ประกาศสอนธรรม ผูไดรบั ความเชื่อความนบั ถอื ตามหลักความจริงท่ี
พระองคท รงดาํ เนนิ และทรงรเู หน็ มาแลว ก็ไดประพฤติปฏิบัติตามในทันทีทันใด เชน
พระเบญจวัคคยี ท ้งั หา นน่ั คอื การปฏบิ ตั ติ ามทางดา นจติ ใจ ในขณะทก่ี าํ ลงั สดบั ธรรม
ของพระพุทธเจาที่ทรงแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร และแสดงอนัตตลักขณสูตรใหฟง
จติ คลอ ยตามหลกั ความจรงิ ของธรรม และไดบ รรลธุ รรมเปน ขน้ั ๆ ไป จนถึงข้ันอรหตั
ภูมิซึ่งเปนขั้นที่สงบอยางเต็มภูมิ
จากน้ันตา งองคกต็ า งประกาศศาสนาแกโลก ดว ยความเมตตาสุดสว นไมมี
โลกามิสแมนอยเจือปน ทั้งนี้มีพระพุทธเจาผูทรงพระเมตตาองคเอกในโลกไมมีใคร
เสมอเหมือน เปน ผนู าํ พระศาสนา และมีพระสาวกเปนผูสนองกตัญูกตเวทิตาคุณ
ชว ยพทุ ธภาระในการประกาศพระศาสนาแกห มชู น ใหกวางขวางออกไปอยางรวดเร็ว
ศาสนาจึงไดกระจายไปสูจิตใจของประชาชนอยางกวางขวางไมมีประมาณ
กริ ยิ าอาการแหง การเสาะแสวงของประชาชน ซึ่งกําลงั ไขวค วา หาหลกั เกณฑ หา
ทย่ี ดึ เหนย่ี วอยเู เลว อยา งเตม็ ใจ เม่อื ไดทราบของจรงิ ทเ่ี ขา สมั ผสั ใจเชนน้ันตา งกน็ อมรบั
และยึดถือ พรอมทั้งการปฏิบัติตามเปนลําดับไมทอถอยปลอยวาง และไดส าํ เรจ็ มรรค
ผลเปนที่พอใจตามลําดับภมู คิ วามสามารถวาสนาของตน ในเวลาทพ่ี ระองคท รงพระ
ชนมอ ยสู ส่ี บิ หา พระพรรษา ทรงประกาศพระศาสนาแผกระจายออกไปอยางกวางขวาง
ประชาชนไดร บั ความสงบสขุ มากมาย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๘
๙๙
ศาสนธรรมทท่ี รงสง่ั สอนโลกลว นแตเ ปน สนั ตธิ รรม ผูนําธรรมออกประกาศ
สอนโลกก็เปน ผทู รงไวซงึ่ สนั ติธรรมโดยสมบรู ณใ นพระทัย คือ พระพุทธเจา ธรรมทส่ี ง่ั
สอนโลกก็เพื่อสันติ คอื ความสงบเยน็ เปน ทต่ี ง้ั
โรคในกายถา กาํ เรบิ ยอ มทาํ ใหค นไขร ะสาํ่ ระสายกระวนกระวาย ในอิริยาบถทั้งสี่
ไมมีเวลาตั้งตัวสงบได เต็มไปดวยความทุกขทรมาน ราวกบั โลกสงสารมารวมเปน ไฟทง้ั
กองเผาลนเราคนเดยี ว หาทผ่ี อ นคลายไมไ ดเ ลย
เมอ่ื โรคสงบลงเพราะถกู ยา คนไขก็ไดหลับนอน ไดพักผอนตัวสะดวกสบายเทา
ทค่ี วร เม่อื หมอหรือผมู าเย่ยี มคนไขถามวา เปน อยา งไร เมื่อคืนนี้ไดพักบางหรือเปลา
บอกวา เมอ่ื คนื นไ้ี ดพ กั สบายบา ง ไดพ กั เปน ครง้ั คราวบา ง บางรายไมไ ดพ กั เลย นน่ั
หมายวา โรคไมส งบ คนกไ็ มส งบ เมอ่ื โรคสงบคนไขก็สงบ สงบมากนอยคนไขก็มคี วาม
สงบสบาย ถงึ กบั หายจากโรคไปเพราะอาํ นาจแหง ยาถกู กบั โรค
โรคของจิตแหงสัตวโลกก็ยอมเปนเชนนั้นเหมือนกัน โรคอนั นป้ี ราชญท า นเรยี ก
วา “โรคเรอ้ื รงั ” เคยฝง ใจมาเปน เวลานาน ไมอ าจนบั ตน สายปลายเหตไุ ด วา เปน มาแต
เมื่อไร ถา เปน รากแกว กท็ ะลดุ นิ ทห่ี นาแสนหนาไปแลว เพราะฝง ลกึ แสนลกึ หยั่งลงพื้น
พภิ พ ฝง รากฝง ฐานภายในจติ ใจสตั วโ ลกใหเ วยี นวา ยตายเกดิ ในวฏั สงสาร ไมทราบวา
ภพนอยภพใหญ ภพไหนตอ ภพไหนแลว เพราะความเกดิ ตายซาํ้ ๆ ซาก ๆ เชน เดียว
กบั ตามรอยโคในคอก ไมอาจทราบไดเลยวารอยโคในคอกไปยังไงมายังไง เพราะ
เหยยี บยาํ่ วนไปเวยี นมาแหลกไปหมด นเ่ี พราะความเปน มาแหง ภพชาติ ซง่ึ เนอ่ื งมาจาก
กเิ ลสตวั กอ เหตตุ วั ผลกั ดนั ใหเ ปน ไปเปน มาอยอู ยา งนน้ั ไมม คี าํ วา จบสน้ิ ถา ไมช าํ ระหรอื
ฆาเชื้อวัฏวนออกจากใจเสีย ตอ งทาํ จติ ใจของสตั วโ ลกใหท กุ ขร อ นนอนครางหาเวลาวา ง
จากทุกขไมได เมื่อตั้งภพตั้งชาติขึ้นมาแลว เพราะอาํ นาจของกเิ ลสประเภทหนง่ึ ๆ สว น
ประเภทท่ฝี งอยภู ายในจติ ใจนนั้ ก็กอ กวนวุนวายอยเู สมอ จึงทําใหสัตวโลกทั้งหลายได
รบั ความวนุ วายเดอื ดรอ น หาความสงบเยน็ ใจไมไ ด เพราะกเิ ลสกอ กวน ไมมีสิ่งใดกอ
กวนทาํ ลายนอกจากกเิ ลสอยา งเดยี ว
กเิ ลสมหี ลายประเภท ถา เรยี กวา โรคกโ็ รคหลายชนดิ ภายในใจของคนแตล ะคน
ไมเหมือนคนไขที่ไปรักษาตามโรงพยาบาลตาง ๆ ซง่ึ บางคนกม็ โี รคเดยี ว บางคนก็มี
หลายโรค แตภ ายในจติ ใจของสตั วโ ลกมโี รคหลายชนดิ มากทเี ดยี ว
โรคใหญ ๆ ที่ตั้งรากตั้งฐานใหเห็นอยางชัดเจนก็คือ โรคแหง ความโลภ โรคแหง
ความโกรธ โรคแหง ความหลง โรคแหง ราคะตณั หา สามสี่ประเภทนี้เปนเเมทัพใหญ
และมใี จเปน สถานท่อี ยู มใี จเปน สถานทท่ี าํ งาน มีใจเปน พน้ื ฐานของโรคคือกิเลสชนดิ
นน้ั ๆ อยตู ลอดเวลา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๙
๑๐๐
เมือ่ จิตใจมแี ตโ รคชนิดที่จะทําความกาํ เริบแกใจอยเู สมอ โดยเจาของไมนําพา
ไมเ หลยี วแลเยยี วยารกั ษาบา ง หรอื ไมร วู ธิ รี กั ษาเลยนน้ั ใจดวงใดกต็ ามจะหาความสงบ
สุขไมไ ดเ พราะโรคชนดิ น้เี สยี ดแทงอยตู ลอดเวลา และผใู ดทจี่ ะมีความสามารถฉลาดรู
หาโอสถอนั สาํ คญั มาแกโ รคชนดิ นใ้ี หเ บาบางและหมดสน้ิ ไปจากใจได ในสามโลกธาตุนี้
จึงมีพระพุทธเจาพระองคเดียวเทานั้น ทท่ี รงสามารถฉลาดแหลมคม ทันกลมายาของ
โรคคอื กเิ ลสประเภทตา ง ๆ และปราบใหห ายซากจากพระทยั ได แตขณะที่พระองคทรง
บาํ เพญ็ เพอ่ื วชิ าปราบกเิ ลสตวั ขา ศกึ อยนู น้ั ไมม คี รมู อี าจารยแ นะนาํ สง่ั สอน พยายาม
ดาํ เนนิ ตะเกยี กตะกายไปตามพระกําลงั ความสามารถ จนไดต รสั รธู รรมทง้ั หลายแลว จงึ
ไดนําธรรมนี้ออกมาสั่งสอนโลกใหกวางขวางออกไปโดยลําดับลําดา
ผูที่ไดประพฤติปฏิบัติตามพระพุทธเจา ก็ไดระงบั ดบั โรคชนิดตาง ๆ ไปโดย
ลาํ ดบั ๆ จนกระทงั่ เปนใจท่ีบรสิ ุทธิ์ หลดุ พนจากโรคชนิดน้ีโดยประการท้งั ปวง เมื่อตัว
เหตุอันจะพาใหเกิดแกเจ็บตายและสั่งสมกองทุกขขึ้นมามาก ๆ สิ้นไปจากใจแลว ใจก็
หมดทกุ ขห มดความลําบากทรมานตา ง ๆ หมดการจบั จองปา ชา ตายสถานทน่ี น่ั เกิด
สถานทน่ี ่ี วกเวยี นไปมาจนหาตน หาปลายไมไ ดก ล็ บลา งไปหมด เพราะลบลา งตวั สาํ คญั
คือกิเลส อนั เปน ตวั พาใหเ กดิ แกเ จบ็ ตายภายในจติ ใจไดโ ดยสน้ิ เชงิ
ธรรมโอสถเหลา นพ้ี ระพทุ ธเจา เปน ผทู รงคน พบดว ยสยมั ภู ทรงรูเองเหน็ เองท้งั
ฝายเหตุฝายผล นอกนน้ั ไมม ใี ครสามารถจงึ เรยี กวา สาวก สาวะกะ แปลวา ผสู ดบั
ตรับฟงเสียกอน กอนที่จะไดประพฤติปฏิบัติตนใหถึงธรรมขั้นตาง ๆ จนถึงความ
บริสุทธิ์วิมุตติพระนิพพาน ตองอาศัยการไดยินไดฟงมาทั้งนั้น ไมจากพระโอษฐของ
พระพุทธเจาโดยตรง ก็จากครูจากอาจารยที่เปนพระสาวกองคใดองคหนึ่งเรื่อยมาเปน
ลาํ ดบั ลาํ ดา ดงั ทเ่ี ราทง้ั หลายไดย นิ ไดฟ ง จากครจู ากอาจารยม าโดยลาํ ดบั เชน น้ี
ธรรมนี้คือโอสถเครื่องแกกิเลส เครอ่ื งระงบั หรอื เครอ่ื งปราบปรามกเิ ลสทง้ั มวล
จงึ เปน สิ่งทีห่ าไดย าก และยากทบ่ี คุ คลจะสามารถคน ควา มาทาํ ประโยชนเ ตม็ ภมู ไิ ด ทั้งนี้
เพราะกเิ ลสอยา งเดยี วนน่ั แลขดั ขวางนะ จะมีอะไรที่ไหนมาขัดขวาง
เมอ่ื ใจไดร บั การเหลยี วแลดว ยอรรถธรรม ประพฤติปฏิบัติมีธรรมเปนหลัก
เกณฑ คือ มเี หตุมีผลเปน เคร่ืองประพฤตเิ ปน เครอื่ งดําเนนิ อยโู ดยสมํา่ เสมอ ชื่อวาผูมี
ศาสนา ความมศี าสนานน้ั คอื ความมสี ง่ิ อารกั ขาภายในจติ ใจ มเี ครอ่ื งประกนั ตวั อยภู าย
ในใจ จติ ใจยอ มมคี วามสงบ แมกิเลสยังมีอยูก็ยังมีขอบเขต ไมผ าดโผนโลดเตน เสยี จน
เลยเหตเุ ลยผล ถึงขนาดที่วาดูไมได
ดงั สมัยทกุ วนั นี้เห็นไหม ความเคลอ่ื นไหวของคนยคุ ปจ จบุ นั เปน อยา งไร ดูเอา
ไมตองเดาก็พูดถูก ทง้ั นเ้ี พราะความหา งเหนิ ยา คอื ธรรม กเิ ลสจงึ ไดก าํ เรบิ เสบิ สาน พา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๐
๑๐๑
คนใหเ สยี คนอยา งสด ๆ รอน ๆ ไมกระดากอาย ดังเขาออกทางหนังสือพิมพแทบไม
เวน แตล ะฉบบั แตล ะวนั เพราะภาพชนดิ นน้ั เรอ่ื งราวชนดิ นน้ั สตั วโ ลกทม่ี โี รคชนดิ เหลา
นี้เปนเชือ้ อยูแ ลว มันติดไดงา ยกาํ เริบไดเ ร็ว เหมือนกับไฟที่มีเชื้อไฟอยูภายในเตา แลว
โยนฟนเขาไปมันก็ติดและสงเปลวขึ้นทันทีไมชักชา
มนั มมี ากมายอยา งทเ่ี ราไมเ คยพบเคยเหน็ กม็ ขี น้ึ แลว เวลาน้ี กาํ ลงั เรยี นวชิ าสตั ว
กันมากมาย วชิ ามนษุ ยก เ็ คยเรยี นมา วชิ าธรรมกเ็ คยเรยี นมา แตเ วลานม้ี ักจะเปนวชิ า
สตั วเ สยี มาก ถือเปนแฟชั่นแฟเชิ่น ถือเปนศิลโปะศิลปะไป พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงพูด
เอาตามเพลงของกเิ ลสเจา ราคะตณั หา เจา ตาหนั ตามองไมเบื่อและอิ่มพอ มนั แตง ให
ขับรองตามเนื้อเพลงของมัน ถาเปน ศลิ ปะก็คือวชิ าและเนือ้ เพลงของกิเลสนน่ั แล เนอื้
เพลงนั้นมันจะผิดอะไรกับเนื้อเพลงของ…….ทเ่ี ขาหอน “เอย” เขารองในฤดูที่เขาคึก
คะนอง เดก็ ๆ ดู-ฟงก็ยังเขาใจ ทาํ ไมโลกและธรรมจะไมเ ขา ใจ
ตาดูก็รู หูฟงก็ชัด เพราะหนู เ้ี ปน หมู นษุ ย ตาเปน ตามนษุ ย มันแสลงหูแสลงตา
มนุษย มนุษยทําไมจะไมทราบ แสลงใจมนษุ ย มนษุ ยท าํ ไมจะไมท ราบ ถา ไมเ ปน เรอ่ื ง
หยาบโลนของผมู กี เิ ลสอนั หนาแนน หรอื อนั หยาบทรามนน้ั คยุ เขย่ี ขดุ คน ขน้ึ มาประจาน
ตวั เอง และทาํ ใหโ ลกเสยี หายไปตาม ๆ กนั เปน จาํ นวนมากนบั ประมาณไมไ ดเ ทา นน้ั ไม
เห็นมีอะไรที่จะเปนขอยกเวน วา เปน ศลิ ปะบา ง เปน แฟชน่ั แฟเชน่ิ อะไรบา ง นเ้ี ราเหน็
กันทุกวัน นเ้ี ปน สง่ิ ทท่ี าํ โลกใหเ สยี หายเสอ่ื มทรามไดม ากมาย เสยี ทางดา นจติ ใจเสยี ดว ย
ถาเปนตนไมก็โคนรากแกวของมันเลย ไมตองไปตัดกิ่งตัดกานของมัน เมื่อตนไมที่ถูก
โคน รากแกว แลว มันจะทนไดเ หรอ ตองลมครืนลงไปโดยไมตองสงสัย
คนเราสาํ คญั อยทู จ่ี ติ ใจ อะไรจะเอนเอียงไปบาง ขาดตกบกพรองไปบาง เจรญิ
บา งเสอ่ื มบา งภายนอก ไมสําคัญเทาจิตใจที่เสื่อมไป ถา จติ ใจมหี ลกั ธรรมเปน ทย่ี ึด
เหนย่ี วบา ง โลกจะไมแ สดงกริ ยิ าอาการทน่ี า ทเุ รศแบบนน้ั และใจก็มหี ลกั ยดึ คือ เบญจ
ศลี เบญจธรรม เปนตน สาํ หรบั โลกทม่ี กี เิ ลส การแสดงออกก็พองามตาไมแสลงแทงใจ
จนเลยขอบเขตเหตผุ ลของมนษุ ย ใจที่มีหลักธรรมยึดยอมทรงตัวได ไมเสือ่ มโทรมจน
นา เวทนา สิ่งใดขาดตกบกพรองไปบาง ไดบ า งเสยี บา ง สุขบางทุกขบางก็พออดพอทน
ถา ใจหาหลกั ไมไ ดแ ลว ลม เหลว เหมือนกับรากแกวที่ถูกถอนพรวดขึ้นมาแลว
ตนไมน ้ันกม็ ีแตตายทาเดียว จิตใจถาลงสง่ิ เหลา นไี้ ดขุดรากแกว ขึ้นมาแลว กม็ แี ตว นั จะ
แหลกลาญไปเทา นน้ั เอง เพราะเหตใุ ด เพราะความหา งเหนิ ศลี ธรรมจงึ เปน อยา งนน้ั มี
แตก เิ ลสตณั หาอาสวะลอ มรมุ สมุ ใจอยตู ลอดเวลา หลบั ต่นื ลืมตามแี ตเ รื่องอันเดยี ว
กลุมรุมอยูทั้งวันทั้งคืนยืนเดินนั่งนอน ทุกรูปทุกนามทุกเพศทุกวัย สบั สนปนเปคละ
เคลากันอยูด วยเรือ่ งอยางนี้ มีแตเอาเรื่องนี้มาโปะกันเขา ๆ แลวมนั จะทนไดอ ยางไร
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๑
๑๐๒
นัดหนึ่งไมตายนัดที่สองมันก็ตายได เพราะมนั เปน ยาพษิ อยแู ลว นเ่ี ราพดู ภายนอกเพอ่ื
เปนเครื่องเทียบเคียงภายในของผูปฏิบัติ นโ่ี ลก ๆ เปน อยา งนน้ั ใหเ ราดเู อา และดตู าม
สภาพความจริงเพ่ือปลงตก อยาดูอยาฟงเพื่อพกมาเผาหัวใจ จะกลายเปนไฟทั้งกองขึ้น
มาที่หัวอก ตกเปนทาสของมันตลอดไปไมมีวันฟนตัว
ภายในจิตจะคิดออกไปในแงใดจะเปนการทําลายสังหารตน แมจะไมแสดงออก
มาทางกริ ยิ าอาการกต็ าม แตพ งึ ทราบวา น้นั กาํ ลงั พยายามโคนรากแกว ของตนอยูแ ลว
โดยไมตองสงสัย ตองพยายามระมัดระวัง ความคดิ เปน สง่ิ สาํ คญั มาก และใจเปนสมบตั ิ
อนั ลาํ้ คา เสยี ดว ย ถาไมใ ชสตปิ ญ ญาระมัดระวงั พินจิ พจิ ารณาจริง ๆ แลว เราจะไมได
ครองจติ ทเ่ี ปน สมบตั อิ นั ลาํ้ คา นด้ี ว ยอรรถดว ยธรรมเลย แตจะเปนเรื่องความพินาศฉิบ
หาย รา ยกาจทส่ี ดุ เลวทรามทส่ี ดุ เพราะใจดวงถกู ทาํ ลายจากกเิ ลสทง้ั หลายเหลา น้ี ขอ
ใหพ ากนั พิจารณาใหดี ระมดั ระวงั ใหม ากตลอดเวลาอริ ยิ าบถ อยาไดชินชาชะลาใจกับ
กิเลสตัวใดวา ไมเ ปนภยั ตอจิตใจ แตมันคือขาศึกทั้งมวล นบั แตล กู เตา หลานเหลนขน้ึ ไป
ถึงปูยาตาทวดของกิเลส
ความสงบสขุ ของใจเปนส่ิงสําคัญทีจ่ ะตอ งเสาะแสวง ตองรักตองสงวน เชน เดียว
กับความไมสงบ เปน ภยั อนั หนง่ึ ทเ่ี ราจะตอ งระมดั ระวงั เพราะมนี าํ้ หนกั เทา กนั ความ
เหน็ ภยั กบั ความเหน็ คณุ ใหเ หน็ อยา งถงึ ใจเทา ๆ กัน จงละจงถอดถอนดวยความเหน็
โทษอยางถึงใจ ขณะเดยี วกนั จงพยายามเพอ่ื สมาธธิ รรม ปญ ญาธรรม วมิ ตุ ตธิ รรม ดว ย
ความเหน็ คณุ อยา งถงึ ใจเชน เดยี วกนั
พระพุทธเจาสอนไวทุกแงทุกมุมตามหลักธรรมหลักวินัย ลว นแลว แตเ ปน อบุ าย
วิธีปองกันตัวและรักษาตัว วธิ หี ลบหลกี ปลกี ตวั จากสง่ิ ชว่ั ชา ลามกทง้ั หลาย ดว ยพระ
ปญญาสามารถทั้งสิ้นไมมีที่ตองติ เพราะพระองคเคยไดรบราฆาฟนกับกิเลสมาแลว
อยางโชกโชน ไมมีใครที่จะเกินพระองคไปไดถาพูดถึงเรื่องความสมบุกสมบัน ความ
ทุกขความทรมานดวยการประกอบความเพยี ร เพอ่ื หาํ้ หน่ั กบั กเิ ลสทง้ั หลายใหพ งั พนิ าศ
ไปจากพระทัย
โลกราํ่ ลอื กนั ทว่ั ดนิ แดนวา พระพุทธเจาเปนพระองคหนึ่งที่ทรหดอดทนไมมีใคร
เสมอเหมือน จึงทรงทราบทุกอุบายวิธีที่เคยตอ สูกบั กิเลสประเภทตาง ๆ ดว ยกลเมด็
เดด็ พรายใด หรอื ดวยธรรมาวธุ ประเภทใดวา เปน ธรรมเหมาะสม จงึ ทรงนาํ ธรรมเหลา
นน้ั มาสง่ั สอนพวกเรา ทานทรงสอนไวแงใดมุมใด ขอใหยึดมาเปน หลกั เกณฑเ ปน
เครื่องปองกันตัวรักษาตัว และตอ สกู บั กเิ ลสเพอ่ื ชยั ชนะในอวสานสดุ ทา ย
ในอริ ยิ าบถตา ง ๆ อยา ใหเ ผลอสตเิ ปน ความชอบธรรม สมกับเปนนักปฏิบัติ
เพอ่ื ธรรมทง้ั หลาย และสมกับเปนนักปฏิบัติเพื่อกําจัดกิเลสออกจากใจจนไมมีเหลือ ใจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๒
๑๐๓
กลายเปน สนั ตธิ รรมอยา งเตม็ ภมู ขิ น้ึ มาดว ยความพากเพยี ร ตนเองจะเปนที่ชมเชยตน
เอง โดยไมตองหาผูอื่นใดมาชมเชย
การไดร บั ความชมเชยจากลมปากของคนนน้ั มันไมผิดอะไรกับลมโชยไมพัดไป
พัดมา ไมว า จะเปน ความนนิ ทา ความสรรเสรญิ มันก็เหมือนกับลมพัดผานหูไปครูเดียว
ยามเดยี วเทา นน้ั กห็ ายไป ไมเ หมอื นเราตาํ หนติ เิ ตยี นเราและชมเชยเราดว ยความสนใจ
ใครตอเหตุตอผล การตาํ หนกิ ต็ าํ หนดิ ว ยเหตผุ ล แลวชําระแกไขดัดแปลงตนเองดวย
เหตผุ ล การชมก็ชมดวยเหตุผลอรรถธรรมไมลําเอียงไปทางกิเลส อันเปนการเขา กับตวั
ผเู ชน นเ้ี ปน ผมู เี จตนาเปน ธรรมอยา งเตม็ ภมู ิ ที่จะกําจัดกิเลสเพื่ออรรถเพื่อธรรมทั้ง
หลาย และมวี นั ทจ่ี ะผา นพน จากทกุ ขภ ายในใจไปไดเ พราะกเิ ลสราบคาบลงไป ดวยการ
ปราบปรามของผมู คี วามเพยี รกลา สตไิ มล ดละในอริ ยิ าบถตา ง ๆ
ฉะนน้ั จงเปน ผหู นกั แนน สมกบั เราเปน นกั ปฏบิ ตั ิ พึงเปนผูหนักแนนทุกแงทุก
มุม อยาไดออนแอทอถอย ทาํ กจิ นอกการในใด ๆ กต็ ามใหพ งึ ทราบวา เรากาํ ลงั ทาํ คํา
วา เรานเ้ี ปน ตวั ตง้ั เปน ตวั ประธานแลว ทาํ เพอ่ื ใครกค็ อื ทาํ เพอ่ื เรา ทําไมด ีเราดีไหม ถาทํา
ไมดีเราก็ไมดี แสดงไปจากเรานี่ไมดีจึงทําไมดี ทําแบบขอไปที เราก็เปน คนเพียงขอไป
ที เปน เศษคนเศษพระเศษเณร ไมไ ดเ ปน คนเปน พระเปน เณรเตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เปน
แบบเพียงขอไปที เรยี กวา เปน เหมอื นกบั เศษพระเศษเณรเคลอ่ื นทเ่ี ทา นน้ั
ดว ยเหตนุ จ้ี งึ สาํ คญั ทว่ี า ทาํ อะไรกต็ ามใหถ อื คาํ วา เราเปน หลกั ใจไวเ สมอ ทํา
อะไรกเ็ ราเปนผูทาํ เพื่ออะไร กท็ าํ เพอ่ื เรา เมอ่ื ทาํ เพอ่ื เราแลว สง่ิ ใด ๆ กเ็ พอ่ื เรา เราตอง
เปนผูจดจอตอเนื่องดวยเหตุดวยผลดวยสติปญญา ตง้ั จติ ตง้ั ใจทาํ สง่ิ นน้ั ใหส าํ เรจ็ ลลุ ว ง
ไปไดด วยความมเี หตผุ ล ดว ยความมเี จตนา ดว ยความเรยี บรอ ยสมบรู ณจ ากสง่ิ นน้ั จรงิ
ๆ เมอ่ื ยอ นเขา มาสภู ายในใจ คอื การประกอบความพากเพยี รภายในใจ กส็ ง่ิ เหลา นน้ั
แหละซง่ึ เปน นสิ ยั ของเรา ทีเ่ คยฝกหดั ดัดแปลงดวยดมี าแลวกบั หนา ท่ีการงานภายนอก
ประมวลเขา มาสงู านภายในกเ็ อาจรงิ เอาจงั มีเหตุมีผลมีสติสตัง ปญ ญาใครค รวญจน
ทะลุปรุโปรงไปได ดว ยคาํ วา เราทาํ เพอ่ื เรา
หลกั นสิ ยั เปน สาํ คญั มาก ขอใหพ ยายามฝก หดั นสิ ยั ใหเ ปน คนจรงิ จงั อยาออน
แอเหลาะแหละ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งของกเิ ลส เปน เศษเปน เดนของกเิ ลส เราไมใ ชพ ระ
เศษพระเดนอยา นาํ เขา มาดม่ื มาคละเคลา ใจ ใหจ ิตใจด่มื หรอื คลุกเคลากับความออ นแอ
ทอแท เพราะนเ่ี ปน เศษเปน เดนของกเิ ลสประเภทตา ง ๆ เราไมใ ชเ ปน คน เปน พระเปน
เณรเศษเดน ตองกําจัดสิ่งเหลานี้ออกไปใหพน อยาสนิทติดจมกับมันถาไมอยากจมดิ่ง
ไมม วี นั โผลห วั นะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๓
๑๐๔
สมาธภิ าวนาทา นเขยี นไวต ามตาํ รบั ตาํ ราเกลอ่ื นไปหมด อธบิ ายไวเ สยี จนเปน คงุ
เปน แคว สมาธเิ ปน อยา งนน้ั สมาธเิ ปน อยา งน้ี เรามาปฏบิ ตั ใิ หเ หน็ องคข องสมาธจิ รงิ ๆ
จะอยูที่ไหนแน พระพทุ ธเจา ทรงชเ้ี ขา มาในหวั ใจนเ่ี เล สมาธคิ อื ความสงบเยน็ ใจ ความ
ตั้งมั่นของใจ ถาใจไมมีสมาธิทําอะไรอันเปนฝายเหตุก็ไมจริงไมจัง ผลทจ่ี ะเปน ความตง้ั
มั่นขึ้นมาใหมีความสงบเย็นใจก็เปนไปไมได เมอ่ื มคี วามสนใจใครต อ สมาธจิ รงิ ๆ หรอื
ทาํ ใหถงึ เหตุถงึ ผลตามหลักทีท่ านสอนไวจ ริง ๆ แลว คาํ วา สมาธซิ ง่ึ เราเคยไดย นิ แตช อ่ื
ไดอ า นแตใ นตาํ รบั ตาํ รา กจ็ ะมาเหน็ ภายในจติ ใจของเราเอง เพราะสมาธิแทอ ยูทใ่ี จผตู ้งั
มั่น
อยา เขา ใจวา มรรคผลนพิ พานอยทู ไ่ี หน นอกไปจากใจดวงที่กําลังไฟโลภโกรธ
หลงครอบงาํ อยนู เ้ี ผาอยเู วลาน้ี จงแกเสียใหได ดับไฟเหลานี้ลงไดดวยตปธรรม เอาไฟ
ดับไฟ ตปธรรมคอื ความแผดเผากเิ ลส กเิ ลสเปน สง่ิ ทท่ี าํ ใหจ ติ ใจรอ น ตปธรรมกค็ อื
ความแผดเผากเิ ลส รอ นตอ รอ นเผากนั เปนขาศึกกัน เมอ่ื กเิ ลสดบั แลว กก็ ลายเปน
ความเยน็ ขน้ึ มา คาํ วา ตปะ คอื ความแผดเผากเิ ลสดว ยอาํ นาจแหง ความเพยี รนน่ั แล
วริ ยิ ะ เพยี รเสมอ เพียรไมถ อยจนกระท่ังกิเลสมนั ราบไป
ขนั ติ อดทน ฟงดูซิ ขันติคือความอดความทนตอหนาที่การงานของตน ไมได
อดทนตออะไรละ ทนตอ สกู บั กเิ ลสทเ่ี ปน ขา ศกึ ตอ หวั ใจเราตา งหาก
จติ ตะ มคี วามรกั ใครใ ฝใ จในความเพยี รอยเู สมอ ไมหางเหินจากงานของตน
วมิ งั สา ความใครค รวญ เปนเรื่องของปญญา อยา ลดละ ใหน าํ มาใชเ สมอในกจิ
นอกการในไมละเวน
นี่คือผูที่จะทรงสมาธิ จะเปนเจาของของสมาธิภายในใจ จะเปน เจา ของของ
ปญ ญาภายในใจ จะเปนเจา ของของวิมตุ ติหลุดพนจากกเิ ลสทง้ั หลายภายในใจตวั เอง
จะเปน เจาของแหงมหาสมบัติ คอื นิพพานสมบัติภายในใจโดยไมตองไปถามผูอื่นผูใด
เลย ขอแตไดเปดสิ่งที่ปดบังหุมหอจิตใจนี้ออกใหหมด ความเตียนโลงของใจที่ไมมี
อะไรเขามาเกี่ยวของยุงกวนไดเลย จะแสดงตัวอยางเต็มที่ในขณะนั้น
เทาที่จิตแสดงตัวไมไดก็เพราะถูกสิ่งเหลานี้ครอบงําไวหมด จนมืดมิดปดตาหา
ทางออกไมได ฉายแสงออกมานิดหนึ่งก็ไมได แสงเบ้อื งตน ก็คือสมาธคิ วามสงบใจ แสง
ที่สองก็คือปญญา เริ่มแสดงออกมาเรื่อย ๆ ตามขั้นของปญญา ฉายแสงไปเรอ่ื ยจน
กระทั่งรอบจิต ชําระกิเลสออกหมดเพราะอํานาจของปญญาที่ทันสมัยแลว จติ กส็ วา ง
กระจางแจงออกมาโดยหลักธรรมชาติ เพราะโดยปกตจิ ิตเปนอยา งนัน้ อยูแลว เปนแต
เพียงสิ่งที่มืดมิดปดตานั้นมันไปครอบจิต กเ็ ลยกลายเปน จิตมดื จติ ดาํ ไปเสีย จิตโงเขลา
เบาปญ ญา เลยกลายเปน จติ ตาํ่ ทรามไปเสยี ทั้ง ๆ ที่จิตแทไมไดต่ําทรามอยางนั้น ไมได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๔
๑๐๕
ต่ําไมไดเลว ซึ่งที่เลวนั้นแหละเขาไปเกี่ยวของพัวพันกับจิตเลยกลายเปนจิตเลวไปได
เมื่อชําระออกดวยความพากเพียรแลว สง่ิ เหลา นก้ี ค็ อ ยจางหายไป ๆ ใจมคี วามสวา ง
กระจางแจง ขน้ึ มาโดยลําดบั จนรอบตวั ในทส่ี ดุ กลายเปนวิมุตติหลุดพนขึ้นมาที่ตรงนั้น
นน่ั แหละคอื ผทู รงคณุ สมบตั ทิ ท่ี า นเขยี นไวแ ตช อ่ื ในตาํ รบั ตาํ รา วา ศลี วาสมาธิ
วา ปญ ญา วา นพิ พาน วิมุตติหลุดพน เขยี นไวน น้ั มแี ตช อ่ื ในคมั ภรี ตาํ ราตา ง ๆ อันแท
จริงตัวจริงแลวก็คืออยูที่จิต สมาธิก็อยูที่จิต ปญญาก็อยูที่จิต วิมุตติหลุดพนก็หลุดพนที่
จิต พนไปที่จิต ไมพนไปจากจิตนี้ได
จติ จงึ เปน จดุ รวม รวมทั้งกิเลสทุกประเภทในเมื่อแกยังไมได รวมทง้ั มรรคผล
นพิ พานทกุ ประเภท เมื่อแกหรือถอดถอนไดแลวดวยอํานาจของความเพียร มรรคผล
นพิ พานจงึ มีอยทู ่ตี รงนเ้ี ทานน้ั ไมม อี ยกู บั กาลเวลาชา นานกาลใด ๆ ไมมีอยูกับสถานที่
โนน ทน่ี ่ี มีอยูกับใจนี้ จึงตองใหจอสติลงไปที่ใจ ความเพยี รลงสใู จตามทท่ี า นสอนไวจ ะ
ไมผิดหวัง เอาใหจ รงิ ใหจ งั กแ็ ลว กนั อยาพากันมาเปนผีหลอกเพศของตนและหลอก
ศาสนาใหบ อบชาํ้ มวั หมอง เพราะโลกชาวพทุ ธทห่ี วงั พง่ึ ศาสนธรรมของพระพทุ ธเจา
อยางถึงใจฝากเปนฝากตายยังมีอยูมาก
จงพยายามฝกหดั สติใหด อี ยา ใหเผลอ เคยพจิ ารณาอยา งไรกใ็ หม สี ตติ ดิ ตาม
อยางนอยก็ใหเปนสัมปชัญญะ มคี วามรสู กึ ตวั อยใู นขณะทาํ งาน คือรูสึกอยูในตัว ไมได
จาํ เพาะเจาะจงในจดุ ใดจดุ หนง่ึ แหง รา งกาย หรอื แหง อวยั วะสว นใดสว นหนง่ึ มคี วามรู
สึกตัวประจําอยู ทา นเรยี กวา สมั ปชญั ญะ เมื่อจอเขาไปตรงจุดใดจุดหนึ่งเรียกวาสติ
ทนี เี้ มื่อสตมิ ีความชํานชิ าํ นาญขนึ้ ไป ก็กลายเปนสัมปชัญญะอีกทีหนึ่ง แลว กลาย
เปน มหาสตกิ ลายเปน มหาปญ ญา ขน้ึ จากสตขิ น้ึ จากปญ ญาทเ่ี คยลม ลกุ คลกุ คลานนน่ั
แหละไมไปจากไหน เมอ่ื ฝก หลายครง้ั หลายหน ฝก จนเกรยี งไกรแลว กช็ าํ นชิ าํ นาญ
คลอ งแคลว แกลว กลา สามารถปราบปรามกเิ ลสไดท กุ ประเภท ไมว า กเิ ลสประเภทไหน
เหนือสติปญญานี้ไปไมได เพราะสตปิ ญ ญาเปน ตน น้ี พระพทุ ธเจา แลพระสาวกทง้ั หลาย
เคยใชป ราบกเิ ลสใหห มอบราบคาบ ไดผ ลเปนที่พอพระทัยและใจมาแลวจนสะเทือน
โลกธาตุ จงึ ไมป ระสงคใ หท า นนักปฏบิ ัตทิ ัง้ หลายมานอนข้ึนเขียง คอยใหก เิ ลสประเภท
ตา ง ๆ สับยําแบบไมเปนทา หาทางตอ สูไมไ ดดงั ทเ่ี ปนอยู โดยลักษณะแพมัน ในทางสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร ไมมีอะไรเขมแข็งพอ จึงขอไดพยายามฟต สติธรรม
ปญญาธรรม วิริยธรรม ขนั ตธิ รรม เปนตน ข้นึ ใหพ อกับความจําเปน ผลท่พี ึงหวังจะ
ไดครองในวนั หนึ่งแนนอนไมส งสัย
จึงขอยุติ
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๕
๑๐๖
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๒
คนจรงิ ยอ มถงึ ธรรมของจรงิ
นี้พูดถึงสาเหตุที่เราจะออกบวชซึ่งไมเคยคาดฝนมากอนคือ เยน็ วนั หนง่ึ ครอบ
ครวั เรามพี อ แมแ ละลกู ชายหญงิ หลายคนรว มรบั ประทานกนั อยอู ยา งเงยี บๆ ขณะนั้น
พอพูดขึ้นชนิดไมมีอะไรเปนตนเหตุเลยวา เรามลี กู หลายคนทง้ั หญงิ ทง้ั ชาย แตก็ไมพน
ความวติ กกงั วลในเวลาเราจะตาย เพราะจะไมมีลกู คนใดใจเปน ผชู าย คดิ บวชใหพ อเรา
ไดเ หน็ ผา เหลืองกอนตาย ไดค ลายความกงั วลใจในเวลานน้ั แลวตายไปอยา งเปน สุข
หายหว ง
“ลกู เหลา นน้ั กกู ไ็ มว า มนั แหละ หมายถึงลูกผูชาย สวนลูกผูหญิงกูก็ไมเกี่ยวของ
มัน ลกู ผชู ายกกู ม็ หี ลายคน แตนอกนั้นกูก็ไมสนใจอะไรพอจะอาศัยมันได แตไอบัว
(หมายถงึ เรา) นี่ซิ ที่กูอาศัยมันไดนะ” ปกตพิ อ ไมเ คยชมเรา อะไรๆ ก็ไมเคยชมมีแต
กดลงเรื่อยๆ นสิ ยั พอ กบั แมเ ราเปน อยา งนน้ั “ไอนี่ลงมันไดทําการทํางานอะไรแลว กูไว
ใจมันไดทุกอยาง กูทํายังสูมันไมได ลกู คนน้กี ไู วใจทส่ี ดุ วาอยางนั้น ถาลงมันไดทํา
อะไรแลวตอ งเรียบไปหมด ไมม ีที่นา ตาํ หนติ เิ ตยี น กูยังสูมันไมได ถาพูดถึงเรื่องหนาที่
การงานแลว มนั เกง จรงิ กูยกให ลูกกูทั้งหมดก็มีไอนี่แหละเปนคนสําคัญ เรื่องการงาน
ตางๆ น้ันกไู วใ จมันได
แตที่สําคัญตอนกูขอใหมันบวชใหทีไร มันไมเคยตอบไมเคยพูดเลยเหมือนไมมี
หู ไมมีปากนั่นเอง บทเวลากตู ายแลว จะไมม ีใครลากกขู นึ้ จากหมอนรกเลยแมคนเดยี ว
เลี้ยงลูกไวหลายคนเทาไรกูพอจะไดอาศัยมันก็ไมไดเรื่อง ถากอู าศัยไอบัวนไ้ี มไ ดแ ลว กู
กห็ มดหวงั เพราะลกู ชายหลายคนกหู วงั ใจอาศยั ไอน เ่ี ทา นน้ั ”
พอวาอยางนั้น โฮย นาํ้ ตาพอ รว งปบุ ปบ ๆ เรามองไปเหน็ แมเองพอมองไปเห็น
พอ นาํ้ ตารว ง แมก เ็ ลยนาํ้ ตารว งเขา อกี คน เราเห็นอาการสะเทือนใจทนดูอยไู มได ก็โดด
ออกจากที่รับประทาน ปบุ ปบ หนไี ปเลย นน่ั แหละเปน ตน เหตใุ หเ ราตดั สนิ ใจบวช มันมี
เหตุอยางน้นั
นาํ ไปคิดอยตู ง้ั สามวนั ไมห ยุด ไมย อมมารบั ประทานรว มพอ แมอ กี เลยในสาม
วนั นน้ั แตก็คิดไมหยุดไมถอย คิดเทียบเคียงถึงเพื่อนฝูงที่เขาบวชกัน ตลอดถงึ ครบู า
อาจารยท บ่ี วชเปน จาํ นวนมาก ทานยังบวชกันไดทั่วโลกเมืองไทย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๖
๑๐๗
การบวชนี่ก็ไมเหมือนการติดคุกติดตะราง แมเขาติดคุกติดตะราง เชน ตดิ
ตลอดชีวิต เขาก็ยังพนโทษออกมาได เราไมใชติดคุกติดตะรางนี่ หมเู พอ่ื นบวชเขายงั
บวชได เขาเปน คนเหมือนกนั และครบู าอาจารยท ง้ั หลายทท่ี า นบวชจนเปน สมภารเจา
วดั ทานยังอยูได เหตใุ ดเราเปน คนทง้ั คน พอ แมเ ลย้ี งมาเหมอื นคนทง้ั หลาย อยางอื่นๆ
เรายังอดไดทนได แตก ารบวชนม่ี นั เหมอื นตดิ คกุ ตดิ ตะรางเชยี วเหรอ เราถงึ จะบวชไม
ไดทนไมได เราทาํ ไมถงึ จะดอยเอาเสยี นกั หนา ตาํ่ ชา เอานกั หนา กวา เพอ่ื นฝงู ทง้ั หลาย
ถงึ ขนาดพอ แมตองนํ้าตารว งเพราะเรานี่ ไมสมควรอยา งยงิ่
คดิ วกไปเวยี นมาอยนู น้ั ไดส ามวนั เอาละทน่ี ่ี ตดั สินใจปุบ เอา ทําไม จะบวชไม
ได ตายก็ตายไปซิ เขาบวชกนั มาไมเ หน็ ตาย พอแมก็ไมไดบอกใหบวชจนถึงวันตาย
หรือบอกใหบวชถึงปสองป พอ แมก็ไมเ หน็ วานี่ แลวทําไมถึงจะบวชไมไดละ เราก็
คนๆ หนง่ึ แทๆ เอา ตองบวช
เมอ่ื พจิ ารณาเปน ทล่ี งใจแลว จึงไดมาบอกกับแมวา เรอ่ื งการบวชจะบวชให
แตว า ใครจะมาบงั คับไมใ หสกึ ไมไ ดนะ บวชแลว จะสกึ เมอ่ื ไรกส็ กึ ใครจะมาบงั คบั วา
ตองเทานั้นปเทานี้เดือน ไมไ ดน ะ มนั หาทางออกไวแลว นน่ั ดูซิ ทิฐิมานะของมันนะ แต
แมฉ ลาดกวา ลกู น่ี “โถ แมไ มว าหรอก ขอใหลูกไปบวชใหแมเห็นตอหนาตอตาแมที
เถอะ แลวสึกออกมาทั้งๆ ที่คนที่ไปบวชยังไมกลับบานก็ตาม สึกตอหนาตอตาคน
มากๆ นั้นแมก็ไมวา” แมใ สเ ขา ไปอยา งนเ้ี ลย กใ็ ครจะเปน พระหนา ดา นมาสกึ ตอ หนา
ตอตาคนมากๆ ทไ่ี ปบวชเราได ไมบวชเสียมันดีกวา เมื่อบวชแลวมาสึกตอหนาตอตา
คน มนั ยง่ิ ขายขห้ี นา กวา อะไรเสยี อกี นน่ั เมอ่ื ตดิ ปญ หาแมแ ลว กเ็ ลยไปบวช
แตว า เรามนั นสิ ยั จรงิ จงั แตเ ปน ฆราวาสมาแลว เวลาบวชกต็ ง้ั ใจบวชเอาบญุ เอา
กศุ ลจรงิ ๆ และพราํ่ สอนตวั เองวา บดั นเ้ี ราบวชแลว พอแมไมไดมาคอยติดสอยหอย
ตาม คอยตักคอยเตอื นเราอีกเหมอื นแตกอ นแลวนะ แมเ วลานอนหลบั กไ็ มม ใี ครมา
ปลกุ นะ แตบ ดั นน้ั มากท็ าํ ความเขา ใจกบั ตวั เองราวกบั วา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ นะ
อยา งนน้ั แหละ
แตก อ นเราจะไปไหนแตเ ชา ๆ สวนมากมีแตบอกแมใหปลุกวา พรุงนี้เชาจะออก
ไปธุระแตเชา แมก็ปลุกแตเชา แลวก็ไป แลว ก็ลมนอนตมู เหมือนตาย ทอดอาลัยหมด
เพราะคดิ แลว วา แมจ ะปลกุ ไมสนใจเรื่องการตื่นนอน พอถึงเวลาแมก็ปลุกเอง ทีนี้แม
คงจะเหน็ อยา งนน้ั จงึ เปน หว งในเวลาไปบวช เพราะผิดกันกับพี่ชาย สาํ หรบั พช่ี ายวา
พรงุ นเ้ี ชา ใหแ มป ลกุ แตแมยังไมไดปลุกเขากลับตื่นเสียกอน ไปกอนแลว
แมว า “ไอลูกกูคนนั้นมันกด็ ีแบบหนึง่ แตลกู กคู นนเี้ รือ่ งการงานอะไรแลว ยกให
ไมม ใี ครสใู นลกู ทง้ั หลาย แตเ วลานอนมนั เหมอื นตายนซ่ี ิ จึงคิดหนักอกหนักใจกับมัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๗
๑๐๘
เวลาไปเปน พระใครจะไปปลกุ มนั นา น่แี หละกูหนักใจตรงนี้ ไมม ีทไี รละวา มนั จะตืน่ ขน้ึ
มากอ นแลว ไปเลยโดยเราไมไ ดป ลกุ ถา ลงมนั ไดบ อกวา จะไปงานโนน งานน้ี ตองได
ปลุกทุกทีลูกคนนี้ นี่ซิเปนขอหนักใจ” แมเอาไปวิพากษวิจารณกับคนอื่น แตเ ราก็ไมพดู
เราไดย นิ คนอน่ื เลา ใหฟ ง เราไมค า น แมว า “เราอยากใหมันเปนผูหญิงเสียเองแมจะได
เบามอื นพ่ี อ แสนสบายเพราะมคี นชว ยใหเ บามอื สว นเราทกุ ขจ ะตาย”
พอกา วออกจากบา นเขาวัด ก็เตือนตัวเองทันที เอาละนะทน่ี ่ี ไมมีใครจะตาม
แนะนําตักเตือนเรา ตลอดถึงการหลับการตื่นไมมีใครปลุกละนะ เราตอ งเปน เราเตม็ ตวั
ตั้งแตบัดนี้ไป ไมหวังพึ่งพอแมดังแตกอนอีกแลว เรยี นหนงั สอื ตสี องบา ง ตสี ามบา ง
เปน ประจาํ ตหี า บา งเปน บางคนื ตหี ากส็ วาง เดือนมิถุนายน กรกฎาคม พอสวางก็ลงทํา
วตั รแตเ ชา กอ นแลว จงึ คอ ยออกบณิ ฑบาต มันตื่นทัน ดูซิ ผมกแ็ ปลกเหมือนกันนะ มัน
ตั้งทาของมันอยางจริงจังไมเคยพลาดเลย จะนอนตีสองตีสามตีสี่ เรอ่ื งทาํ วตั รนน้ั ใน
เวลาพรรษานต้ี ง้ั สจั อธษิ ฐานไวเ ลย วา จะไมใหข าดท้ังเชาทัง้ เย็นการทาํ วัตร และกราบ
เรยี นทา นพระครไู วด ว ย หากวา ทา นสง่ั ใหเ ราไปในทน่ี มิ นต วา ใหท า นรอจนเรากลบั มา
ถึงคอยทําวัตร เราขอทา นไวอ ยา งนน้ั นห่ี มายถงึ ทาํ วตั รสว นรวม สวนที่กุฏิเราทําอีกที
หนง่ึ นเ่ี ราอธษิ ฐานไวเ ปน สว นรวม ทาํ วตั รสว นรวมไมใ หข าดทง้ั เชา และเยน็ ในพรรษา
เวลาบวชแลว กต็ ง้ั หนา ตง้ั ตาปฏบิ ตั ิ ตง้ั หนา ตง้ั ตาเรยี นหนงั สอื นเ่ี ลา เปน คตใิ ห
หมูเพื่อนฟงเรอื่ งความจรงิ จัง เรยี นๆ จรงิ ๆ ไมถอย แตส าํ คญั ทเ่ี รยี นธรรมะไปตรง
ไหนมันสะดดุ ใจ เอะๆ ชอบกลๆ เขา ไปเรอ่ื ยๆ ธรรมกเ็ ขา กบั เราซง่ึ เปน คนจรงิ อยแู ลว
ไดงาย ธรรมะเปนของจริงอยูแลว กบั นสิ ยั จรงิ กเ็ ลยเขา กนั ไดส นทิ เอะ ชอบกลๆ
เวลาอา นพทุ ธประวตั แิ ละอา นสาวกประวตั เิ ขา ไปอกี โอโฮ ทนี ใ้ี จหมนุ ตว้ิ ๆ นน่ั
แลเรื่องที่จะอยูไปได เรื่องภายนอกก็คอยจืดไปจางไปๆ เร่อื งธรรมะกห็ มุนติ้วๆ ดูดดื่ม
เขาไปเรื่อยๆ จนกระทง่ั ไดต ง้ั สจั อธษิ ฐานเวลาเรยี นหนงั สอื วา จบเปรยี ญสามประโยค
แลว เราจะออกปฏบิ ตั โิ ดยถา ยเดยี วเทา นน้ั ไมมีขอแมไมมีเงื่อนไข เพราะอยากพน
ทุกขเหลือกําลัง พูดงายๆ อยากเปน พระอรหันตนน่ั เอง เหน็ พระพทุ ธเจา กเ็ ปน พระ
อรหนั ต สาวกท้งั หลายออกมาจากสกลุ ตางๆ สกลุ พระราชา มหาเศรษฐี กุฎมพี พอคา
ประชาชน ตลอดคนธรรมดา องคไหนออกมาจากสกุลใดก็ไปบําเพ็ญในปาในเขา หลงั
จากไดรับพระโอวาทจากพระพุทธเจาแลว เดย๋ี วองคน น้ั สาํ เรจ็ พระอรหนั ตอ ยทู น่ี น่ั องค
นน้ั สาํ เรจ็ อยปู า นน้ั อยใู นเขาลกู นน้ั อยใู นทาํ เลน้ี มีแตที่สงบสงัด
การประกอบความพากเพยี รของทานทาํ อยา งเอาจริงเอาจัง เปน เนอ้ื เปน หนงั
เอาเปน เอาตายเขา วา จรงิ ๆ ทา นไมท าํ เหลาะๆ แหละๆ เลน ๆ ลบู ๆ คลําๆ เหมอื น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๘
๑๐๙
อยา งเราทง้ั หลายทาํ กนั ผลของทานแสดงออกมาเปนความอัศจรรย เปนพระอรหันต
วิเศษๆ นล่ี ะมนั ถงึ ใจ
ทีนจ้ี ติ เลยมงุ ม่ันถงึ อรหัตบุคคล อยากเปน พระอรหันตองคห นง่ึ ในสมัยปจจบุ ัน
น้ี คิดย้ําลงอีกวา เอา ขอใหแ นใ จเถอะวาในธรรมนี้มรรคผลนิพพานยังมอี ยู แลว เราจะ
เอาใหได ไมไดเอาตาย มีเทานั้นไมมีอยางอื่น ขอใหมีผูหนึ่งผูใด ครบู าอาจารยอ งคใ ด
หรอื ผใู ดกต็ ามมาชแ้ี จงแสดงใหเ ราทราบ วา มรรคผลนพิ พานยงั มอี ยเู ปน ทถ่ี งึ ใจเรา
แลว นน้ั ละการปฏบิ ตั เิ พอ่ื มรรคผลนพิ พานจะทาํ ใหถ งึ ใจ เอา ใหต ายไมต ายใหร ู มีเทา
นน้ั
พอออกจากเรียนแลว จึงโดดผงึ เลย อยูตอไปไมได กเ็ รยี นประโยคสามจบแลว น่ี
เรยี นประโยคสก่ี ผ็ ดิ ละซจิ ะวา ไง เรียนไปสอบไปก็ยิ่งผิด มันผิด ฝนเรียนตอไปไมได ถา
ลงคําสัตยไ ดตั้งขนาดน้ันแลว ไมมอี ะไรใหญย งิ่ กวา คําสัตย ใหต ายเสยี ดกี วา ถา ลงคาํ
สัตยไดขาดไป นสิ ยั ของเราเปน อยา งนน้ั มาดง้ั เดมิ
จึงตองขโมยหนีจากสมเด็จพระมหาวีรวงศองคที่อยูวัดพระศรีมหาธาตุ มุงหนา
ตอพอแมครูอาจารยมั่น พอถงึ ทานเทา นั้น ทานชี้แจงแสดงเรื่องอะไร ไมว า ดทู า นทาง
ตา ฟงทานทางหู อะไรไมม ีคลาดมเี คลอ่ื นจากหลักธรรมหลกั วนิ ัย พดู อะไรตรงไปตรง
มา เปงๆ ใจออกอุทานวา โอโห นล่ี ะอาจารยข องเรา นน่ั ลงละ แสดงเรอ่ื งมรรคผล
นพิ พาน ไมร เู อามาจากไหน ถอดออกมาจากหัวใจเหมือนวา นี่นะๆ มรรคผลนพิ พาน
เหน็ ไหม เหมอื นกบั ทา ทายอยตู ลอดเวลาในการแสดงดว ย ทา ทายความจรงิ จงั ของทาน
ทา ทายดว ยความจรงิ ของธรรม
ความจริงจังของทา นกห็ มายถงึ ทานเปน ผูร ูผ เู หน็ เอง ไมใชผ อู นื่ ผูใดเปนผเู ห็น
แลว ทา นหยบิ ยมื มาพดู มาเทศนใ หเ ราฟง น่ี ทา นเปน ผรู เู องเหน็ เองในธรรมทง้ั หลาย
เวลามาแสดงใหเ ราฟง จงึ ถงึ ใจ พอเขา ถงึ ใจแลว ทนี เ้ี ราจะจรงิ ไหม มรรคผลนพิ พานจะ
สงสัยอีกไหมที่นี่ ไมมีทางสงสัย หมดแลว เรอ่ื งมรรคผลนพิ พาน ยังมีอยูหรือไมนั้น
เปน อนั วา หมดปญ หาแลว โดยประการทง้ั ปวง ไมม ีเหลอื อยูแมเ ปอรเซ็นตเดียวเลย เชื่อ
แนว า มรรคผลนพิ พานมอี ยรู อ ยเปอรเ ซน็ ต เอาละทนี เ้ี ราจะจรงิ ไหม จรงิ ซิ ไมจริงให
ตายเสยี อยาอยูหนักศาสนาและหนักแผนดินตอไป ตั้งแตบัดนั้นมาก็ฟดกันใหญเลย
ฉะนั้น จงึ สมบกุ สมบนั มากในการประกอบความพากเพยี รของผม ทั้งมีนิสัย
อยางนี้ดวย ไปไหนไมเอาหมูเอาเพื่อนไปดวย อยูคนเดียวดีดผึงๆ จนกระทง่ั ไดมาเปน
ครเู ปน อาจารยส อนหมเู พอ่ื น เพราะนสิ ยั ของเรามนั นสิ ยั คนเดยี วแทๆ ไมป รารถนา
เรื่องมักใหญใฝสูง มนั ไมเ คยปรากฏภายในจติ ใจวา อยากเปน ใหญเ ปน โต อยากเปน นน้ั
เปน น้ี มแี ตส บายๆ ไปตามประสาปาอยางนั้นเอง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๐๙
๑๑๐
การเดนิ จงกรมถาอยูในวงหมเู พื่อน เชน มาอยบู า นหนองผอื อยา งน้ี ผมจะเดนิ
จงกรมใหหมูเพื่อนเห็นไมได โนน ตองเวลาสงัดสี่ทุมหาทุมลวงไปแลว หมูเ พ่อื นเงียบ
หมดแลวถึงจะลงเดินจงกรม กลางวันก็เขา ไปอยูใ นปา โนน ถาวนั ไหนออกมาแตว นั
เชน หาโมงเย็นออกมาอยางนี้ ก็เขานง่ั สมาธเิ สยี ในกฎุ ี จนกระทั่งหมูเพื่อนเงียบไปหมด
แลวถึงจะลงทางจงกรม เปนนิสัยอยางน้นั มาดงั้ เดิม ไมใ หใ ครมาเหน็ การประกอบ
ความเพยี รของเราวา มากนอ ยขนาดไหน แตธ รรมดาใครกร็ ู ทางจงกรมจนเปน ขมุ เปน
เหวไปใครจะไมรู เดินจงกรมกี่ชั่วโมงมันถึงจะเปนขนาดนั้น อยูในปาก็ดีอยูภายในวัดก็
ดีมองดูก็รู แตห ากนสิ ยั เปน อยา งนน้ั ถา ภาษาอสี านเขาวา นสิ ยั คนหลกั ความ ลักๆ
ลอบๆ ทําอยูคนเดียว แตเ รามนั ไมส นทิ ใจทจ่ี ะทาํ ความเพยี รใหใ ครๆ เหน็ อยา ง
โจงแจง
แตอะไรจะบังคับบัญชายากยิ่งกวาจิตไมมี ถึงยังไงก็ตามไมหนีความมุงมั่น ไม
หนคี วามฝกความทรมานไปได ตอ งเอาจรงิ เอาจงั กับจิต กเิ ลสมนั เอาเรามนั เอาจรงิ เอา
จัง ทาํ ไมเราเวลาจะแกก เิ ลสไมจ รงิ ไมจ งั มนั จะทนั กนั เหรอ ตองคิดขอนี้เสมอผูปฏิบัติ
ธรรมะ นี่กไ็ ดทาํ มาแลวจงึ ไดม าสอนหมเู พื่อน ความเขม แข็งนัน้ แหละเปนส่งิ ทจี่ ะให
กิเลสคอยหลุดลอยไปโดยลําดับ แตความทอถอยออนแอนี้ไมมีทาง นอกจากเปนการ
เพม่ิ กเิ ลสเทา นน้ั จงจําไวอยางถึงใจ
อยาไปสงสัยวากิเลสจะหมดไปตามอัธยาศัย ประกอบความเพียรก็ตามอัธยาศัย
ตามอธั ยาศยั นน้ั เปน อธั ยาศยั กเิ ลส กิเลสลากไวด ึงไวไ มใ หเ ดิน ไมใ หน ง่ั ไมใหมีสติสตัง
เผอเรออยตู ลอดเวลา น่นั เร่อื งของกิเลสเปนอยางน้ัน เรื่องของธรรมตองเปนผูเขมแข็ง
อยูที่ไหนใหมีสติเสมอ นี้พูดอยูเสมอ เราเหน็ คณุ คา ของสตมิ ากทเี ดยี ว สตเิ ปน
ธรรมสาํ คญั มากในการทจ่ี ะใหง านไหนจกั รตวั ใดวง่ิ หมนุ ตว้ิ ก็ตองใหจักรตัวสตินี้หมุน
ไปกอน สตติ อ งเปน ผคู วบคมุ งาน งานมีกี่มากนอยที่จะทํา หนกั เบาขนาดไหน มคี น
งานกี่คน ตองมีคนคุมคนหนึ่งจนไดเปนอยางนอย นต่ี อ งมสี ตเิ ปน เครอ่ื งควบคมุ งาน
ของตน อยาทอถอยออนแอ
ไปไหนก็ตามอยาไปหวังอะไรๆ กบั โลกอันน้ี โลกนเ้ี ราทราบอยา งถงึ ใจวา โลก
อนจิ จฺ ํ รอบโลกธาตุ เตม็ ไปหมด ไมมสี ่งิ ใดท่ีจะเวน จากความเปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
ไปได เมื่อความเปนอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา มีอยใู นสถานทใี่ ด สถานทน่ี น้ั ไมเ ปน ฟน เปน
ไฟจะเปนอะไร ไวใจกันไดที่ไหน สง่ิ ทเ่ี ปน นาํ้ ใหค วามรม เยน็ แกเ รา คอื นาํ้ อรรถนาํ้
ธรรม ใหเ รง เขา ไปความพากเพยี ร ใหจ รงิ ใหจ งั ใหมีสติอยูกับงานตลอดไป อยา เสยี
ดายความพลง้ั เผลอวา จะใหเ ราวเิ ศษวโิ ส นอกจากพาใหจมงมทุกข
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๐
๑๑๑
เดินจงกรมก็ใหมีสติ อยา ไปสนใจกับเร่อื งอ่นื ใดวาจะมีคุณคา มรี าคา อยาไป
เพลนิ กบั ความคดิ ความปรงุ ในเรอ่ื งตา งๆ เชน เรอ่ื งโลกเรอ่ื งสงสารทเ่ี คยเปน มาแลว ใน
อดีตก็ดี ที่จะเปนไปในอนาคตก็ดี หรือมันเอาเรื่องอดีตมายุงอยูในวงปจจุบันนี้ก็ดี มี
แตเรื่องของกิเลสทั้งมวล ทั้งๆ ทเ่ี ราเดนิ จงกรมอยนู น้ั แหละ นง่ั สมาธภิ าวนานน้ั แหละ
แตก เิ ลสมนั ทาํ งานอยบู นหวั ใจเรา ตัวสมุทัยไดแกความคิดความปรุงแตง เรื่องอดีต
อนาคตวุนไปหมด ถาคดิ ไปเพอื่ ความวนุ เชน นน้ั ไมใชทาง เปน เรอ่ื งการสง เสรมิ กเิ ลส
หรือสั่งสมกิเลสขึ้นอีก
ตองอาศัยหลักปจจุบัน คอื สติ ตดั ความเสยี ดาย ความหว งใยอาลยั ทง้ั หมดใน
เร่ืองอดีตซึง่ เปนโลกลวนๆ เรอ่ื งอนาคตถา เปน โลกลว นๆ เมื่ออดีตเปนโลกลวนๆ
อนาคตมนั ก็ตองเปนโลกลว นๆ เหมือนกัน ขาดสติเปนไปไดทั้งอดีตอนาคต หมุนติ้ว
อยภู ายในหวั ใจนน่ั แหละ ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บาก ถา สตจิ อ ลงตรงไหนปจ จบุ นั
มีอยูตรงนั้น เราหกั หา มกนั ไดท ต่ี รงนน้ั เคยหกั หา มมาแลว น่ีไมใชม าสอนหมูเพื่อน
เฉยๆ เคยฟาดกันลงบางครั้งถึงน้ําตารวงก็มี จนกเิ ลสมนั ทว งตงิ เราวา เฮอ เอาถงึ
ขนาดนเ้ี ชยี วเหรอ ถาไมถึงขนาดนี้กิเลสมันจะหลุดลอยไปเหรอ วา อะไรเพยี งนาํ้ ตารว ง
เทา นว้ี ะ ตายก็ยังไมถอยนี่ อยา มาพดู เลยเพยี งนาํ้ ตารว ง เพียงกินเผ็ดน้ําตามันก็รวงไม
เห็นไดเรื่องอะไร ถูกควันไฟมันก็รวง หวั เราะมนั กร็ ว ง รอ งไหมนั กร็ วง มันไดเรื่องอะไร
ประสานาํ้ ตา น้าํ ไมเ ปนทา เปนทางกค็ อื น้ําตาน่นั เอง ผจู ะฆากเิ ลสไปสนใจเสียดายน้าํ ตา
อะไรกัน เรื่องจริงเรอื่ งจังท่จี ะเปนสาระแกนสารแกต วั คอื อะไร มนั เหนอื เรอ่ื งเหลา น้ี
เปนไหนๆ ฟาดกันลงไปใหหนักมือผูปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดนะ อยาฟงเสียงกิเลสยิ่งกวา
เสยี งธรรม
เราเหน็ โทษเรอ่ื งความเกลอ่ื นกลน วนุ วายกบั หมคู ณะ ในเวลาอยศู กึ ษาอบรมกบั
ครบู าอาจารย มาทาํ เหลาะๆ แหละๆ ใหเ หน็ ตอ หนา ตอตา เคยเหน็ มาแลว อยา ใหเ หน็
อีกนะ นไ่ี ดเ หน็ มาแลว ตอ หนา ตอ ตา ถึงขนาดที่เคยพูดกันอยางเต็มเม็ดเต็มหนวยกับ
หมคู ณะในเวลานน้ั มันก็เปนอยางที่พูดไมเห็นผิดไปนี่ เวลาอยกู บั ครบู าอาจารยม นั
ซอนเล็บนะ มันไมกางเล็บออกมา แตก เ็ หน็ เลบ็ ทซ่ี อ นอยจู นไดน น่ั แหละ
เวลาปราศจากครบู าอาจารยห รอื หา งเหนิ จากครบู าอาจารยไ ปแลว มนั จะกาง
เลบ็ ออกเลน เตม็ เพลงนน่ั แหละ “เพลงของกิเลส” นะ ใครมีของดิบของดีอยูในอุงเล็บที่
เขา ใจวา วเิ ศษวโิ สยงั ไง กจ็ ะนาํ ออกแสดงใหเ ต็มภูมินน่ั แหละ ทั้งๆ ทม่ี นั ไมว เิ ศษ คอยดู
ก็รูกัน แลว มนั กเ็ ปน แลว อยา งทกุ วนั น้ี นี่ถึงวาไมอยากพบไมอยากเห็นอีก กลัวอกแตก
ตาย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๑
๑๑๒
มีจํานวนมากจํานวนนอย ใครอยาถอื ใครเปนตัวอยา งนอกเหนือไปจากหลกั
ธรรม ธรรมเทา นน้ั ทจ่ี ะทาํ ใหไ ดร บั ความรม เยน็ เปน สขุ สันติสุขในหมูคณะดวยกัน อยา
เขา ใจวา เรยี นมากรมู าก อยา เขาใจวา มฐี านะดี อยา เขา ใจวา เปน คนชน้ั นน้ั ชน้ั นน้ี า เกรง
ขาม มสี งา ราศี ซง่ึ เปน เรอื่ งของโลกเสกสรรกนั ตามอาํ นาจของวัฏวน อยา นาํ เขา มาเกย่ี ว
ของในวงของพระซึ่งมีแตธรรม คอื ความถูกตองดีงามลวนๆ เอาตรงนน้ั เปน แบบฉบบั
ของผูจะหนีทุกขคือวัฏวน
อยดู ว ยกนั ใครพดู ใหฟ งโดยเหตุโดยผล ผูพูดก็ใหพูดโดยเหตุโดยผล ผูฟงฟง
หาความจรงิ อยา ฟง หาเอาเรอ่ื งความมาทะเลาะกนั อยาฟงเอาทิฐิมานะ เมอ่ื ทฐิ มิ านะ
มนั เกดิ ขน้ึ ภายในใจแลว มันอัดอั้นตันใจในหัวใจตัวเอง เดี๋ยวมันก็กระเด็นออกมา
ระบาดออกมา ทะลักออกมาใหไดรับความกระทบกระเทือนตอเพื่อนฝูงดวยกันจํานวน
มากนอยจนได
วงปฏบิ ตั นิ ต้ี อ งเปนเหมือนอวัยวะเดยี วกนั มันถึงอยกู ันไดดว ยความผาสกุ ถา
ไมเหมือนอวัยวะเดียวกันแลวอยูดวยกันไมได ธรรมนนั้ แหละทจ่ี ะทําจติ ใจของแตล ะ
ทา นแตล ะองคท่อี ยจู าํ นวนมากน้ี ใหรวมเปนอันหนึ่งอันเดียวกันได ดวยความสัตย
ความจรงิ ดว ยความมงุ อรรถมุงธรรม ไมใชอ ะไรจะพาใหรวม อยา งอืน่ อยาเอาเขามา
เก่ียวของ
แมแตผมเองผูปกครองหมูเพื่อนอยูที่นี่ ทห่ี มเู พอ่ื นเสกสรรปน ยอวา เปน ครเู ปน
อาจารย เขา มาอาศยั ใหแ นะนาํ ตกั เตอื นสง่ั สอน ผมกไ็ มเคยถอื อํานาจวาสนาใหน อก
เหนอื ไปจากหลกั ธรรมหลกั วนิ ยั นเ้ี ลย ผมประกาศตัวตอหมูเพื่อนอยูเสมอ ถาผมผิด
แลว ใหว า ไดเ ลยไมต อ งเกรงอกเกรงใจ เพราะธรรมเหนอื ผมน่ี ทา นผนู าํ ธรรมมา
ตักเตือนสั่งสอนผม ผมจะไปขัดของหาสมบัติอะไร ถาขัดของก็ไมเปนธรรม ก็ไมค วร
จะอยูกับหมูกับเพื่อนตอไปละซิ สอนหมูเพอื่ นเพ่ือประโยชนอ ะไรเจาของไมเ ปน ธรรม
ถือทิฐิมานะ เอาทฐิ มิ านะมาเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายธรรม แลว จะสอนหมเู พอ่ื นใหเ ปน สริ ิ
มงคลไดยังไง นเ่ี ราตระหนกั เสมอในใจของเรา เราจะใหส ง่ิ เหลา นเ้ี กดิ ขน้ึ มาไมไ ดท ง้ั ใน
ตวั เราและในวงคณะทอ่ี ยรู ว มกนั ฉะน้ันการสอนหมูเ พ่ือนทอ่ี ยูด ว ยกัน ตนเองก็พึง
ปฏิบัติอยางนั้น โดยถอื หลกั ธรรมเปน สาํ คญั และใหอภัยกันเสมอ เมตตากันเปน พน้ื
ฐาน
อยามองกันในแงร า ย ใหมองกันในแงเหตุผลและเมตตาตอกันเสมอ เพราะคน
เราความรแู ละอธั ยาศยั ใจคอไมเ หมอื นกนั ผูมีความรูมากก็มี ความรูนอยก็มี ผูโงผู
ฉลาดมสี บั ปนกันไป ผูหยาบผูละเอียดมี ใหต า งคนตา งระมดั ระวงั สิ่งใดที่มีอยูในตัว
เรา ยิ่งสิ่งใดที่เปนภัยตอหมูเพื่อนดวยแลว ใหระมัดระวงั และกาํ จดั ใหได อยาหวงไว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๒
๑๑๓
เผาตวั เองและวงคณะ และอยาแสดงออกมาเปนอันขาด ซงึ่ เปน การขายตัวอยางเลว
รา ยทส่ี ดุ ใหอ ภยั ไมไ ดเ ลย นี่แหละคือหลักของการปกครอง ของการอยูรวมกนั เปน
อยา งน้ี จึงตองไดระมัดระวังเสมอ ประมาทไมไดตลอดไป
และเคยพูดเสมอวาการปกครองเปนของสําคัญ ไมใชมีเทาไรมาเทาไรก็เออๆ
อยูไปๆ มันไมใชอยางนั้น ตา งคนตา งหามตา งคนตา งหาบกเิ ลสเตม็ หวั ใจมาดว ยกนั ทกุ
คน เพราะเปนปุถุชนคนมกี เิ ลส ทาํ ไมจะไมห าบกเิ ลสหามกเิ ลสมาเตม็ หวั ใจละ และ
กิเลสมนั เคยลงกบั อะไรทไ่ี หนเม่ือไหร กับธรรมมันยังตอสู แมจะแพธรรมมันยังไม
ยอมถอยงายๆ สูจนมันตายทลายลงไปหมดทุกตัว เรื่องของมันกับธรรมจึงยุติ แม
ขนาดมนั ตายตอ หนา ตอ ตาของธรรม มีสตปิ ญ ญาเปน ตน มันยังไมยอมออกปากพูดวา
ยอมแพเ ลย ฟงซิ
กิเลสมันไมกลัวอะไรนอกเหนือไปจากธรรม เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งอาศยั ธรรม คือ
สตเิ ปน สาํ คญั ปญญาเปนเครื่องไตรตรองทดสอบพิจารณา เบกิ ทางเดนิ ไปเพอ่ื ความ
สงบเยน็ ใจแกต นเอง
ทางการปฏบิ ตั กิ เ็ อาใหจ รงิ จงั อยา เหลาะๆ แหละๆ อยา เลน อยา สาํ คญั วา วนั
คืนเดือนปเปนของมีคามีราคา มนั มคี า มรี าคาทไ่ี หน มดื กบั แจง เอาราคาํ่ ราคามาจาก
ไหน สถานท่ีโลกอนั นก้ี ม็ แี ตแผน ดิน ไปที่ไหนอยูที่ไหนก็อยูแผนดิน ใครสงู ใครตา่ํ ที่
ไหนกอ็ ยูกับแผน ดนิ ดวยกนั น้ี ใครจะวเิ ศษวโิ สไปทไ่ี หนถา ไมท าํ จติ ใจใหว เิ ศษวโิ สดว ย
ธรรม ซึ่งเปนของประเสริฐอยูแลว และเปนของคูควรกบั ใจ นอกนั้นไมมีสิ่งใดคูควรกัน
ใจเปน ภาชนะอนั เหมาะสมอยา งยง่ิ กบั ธรรม มเี ทา น้ี ใหพากันสนใจต้ังหลกั ตั้งเกณฑลง
ใหด ี
จติ ใจอยา งนอ ยใหไ ดร บั ความสงบ ทําไมจะสงบไมได เราฝก ฝนอบรมใจดว ย
ธรรมเพอ่ื ความสงบ พระพุทธเจา สงบไดดว ยธรรม ระงบั ไดด ว ยธรรม ปราบกเิ ลสให
ฉบิ หายวายปวงไปไดด ว ยธรรม พระสงฆส าวกทเ่ี ราถอื เปน สรณะ ทา นก็ทุกขล ําบาก
เพราะการปราบกเิ ลส ดว ยอรรถดว ยธรรมเหมอื นกนั การเขาสูสงครามจะไมทุกขได
อยางไร ตองทุกขดวยกัน จนไดเปนพระอรหันตขึ้นมา ใจบรสิ ทุ ธพิ์ ุทโธเหมอื นพระ
พุทธเจา เปน แตเ พยี งไมเ รยี กศาสดา สว นความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั เสมอกนั เหมือนกนั หมด
แตอ าํ นาจวาสนาความลกึ ตน้ื หนาบางนน้ั ตางกันกับพระพุทธเจา แตอยางไรก็ตาม นตฺ
ถิ เสยฺโยว ปาปโย หาความยง่ิ ความหยอ นตา งกนั ไมม ใี นความบรสิ ทุ ธ์ิ นั่นแลครูของ
พวกเรา สรณะของพวกเราทา นดาํ เนนิ อยา งนน้ั ตองยอมรับ คือรบั มาเปนคติเตือนใจ
ตวั เอง อยาใหลดละทอถอย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๓
๑๑๔
จิตอยา ใหด ิ้นไปไหนได เราเปน ผฝู ก จติ จะยอมใหจ ติ ดน้ิ เหยยี บหวั เราไปตอ
หนา ตอ ตามเี หรอ ถาเปนอยางนั้นก็ไมใชนักปฏิบัติ กเิ ลสรนุ แรงขนาดไหน เรากร็ นุ แรง
ขนาดนน้ั เอา เปน กเ็ ปน ตายกต็ าย กิเลสมันดื้อขนาดไหนไมกินก็ไดขาวนี่วะ มแี ตท า จะ
ฝกทรมานมัน เอาจนอยหู มดั นน่ั แหละสมใจ
พระพุทธเจาทานยกอุปมาเรื่องนายสารถีฝกหัดมา มามีถึงสี่ประเภท ประเภท
ทห่ี นง่ึ เยย่ี ม เกอื บจะพดู ไดว าเปน ประเภทอาชาไนย ฝกไดงาย ใชไ ดป ระโยชนม ากมาย
รวดเรว็ ทนั ใจ ประเภทที่สอง ลดกันลงมา ประเภททส่ี าม ฝกยากพอประมาณ แตไมได
หนกั หนานกั พอฝกไดทําประโยชนได ประเภททสี่ ี่ ไมไ ดเ รอื่ งเลย ตองฆา นายสารถวี า
เพราะไมเ กดิ ประโยชน
เราตถาคตกเ็ หมือนกนั พอถึงตอนสุดทายก็บอกเราตถาคตก็ฆา เอะ พระพุทธ
เจาฆาไดยังไง พระพุทธเจา เปนศาสดาไมไดไปฆาสัตว ก็ชักสะพานยังไงละ ทา นวา
ปทปรมะ มืดแปดทิศแปดดานเหมือนไมมีหูมีตา ใจกม็ แี ตค วามมดื บอดอยภู ายในนน้ั
จะสอนใหเ ปน อรรถเปน ธรรม รอู รรถรธู รรม รูบาปบุญคุณโทษไดอยางไร กเ็ หมือนกบั
คนตายแลว ทง้ั ๆ ที่มีชีวิตอยูนั้นแล นน้ั จงึ ชกั สะพานไมส อนใหเ สยี เวลาและอรรถธรรม
ไปเปลา ๆ ออ ฆา อยา งนน้ั เทยี บกนั กบั สารถฝี ก หดั มา สป่ี ระเภท
เราไมใ ชป ระเภทปทปรมะนน่ี า เปนประเภทที่ฝกฝนอบรมได แตเ อาใหห นกั
หนอย ใหม นั ได ฝกเรา เราฝกคนอื่นวาคนอื่นยังมีเหตุมีอะไรๆ ภายในใจ ตวั เราเองผู
วา กย็ งั มคี วามเกรงอกเกรงใจกนั บา ง เราเองฝก ทรมานเราน้ี เอาใหไดเต็มเม็ดเต็ม
หนว ยอยา งใจหวงั นน้ั เลย ไมไ ดเ กรงอกเกรงใจตวั เอง เพราะเหน็ วา กเิ ลสคอื ตวั แสบท่ี
ขวางตัวเองตางหาก ไมใ ชเ ราขวางเรา กเิ ลสขวางเรา เราตอ งสู เอาใหจ รงิ ใหจ งั ใหพ งั
ทลาย จะไดชมตัวเองวาเกงจริง สมนามวา นกั บวชคอื นกั รบ
ถาลงไดต้งั ทาสกู นั ขนาดน้ันแลว ยังไงกิเลสก็ตองหมอบใหเห็น ใจสงบจนได
เหน็ ไหมเขาอยใู นโลก เคยพูดใหฟงเสมอ โลกนห้ี มุนไปตามสิ่งทีช่ อบใจทงั้ น้ันแหละ
รปู เสยี ง กลิ่น รส เครอ่ื งสมั ผสั เปนสิ่งที่โลกตองการและรักชอบที่สุดไมมีวันอิ่มพอ
และโลกกไ็ ดร บั ความฉบิ หายลม จม และบนเพอละเมอกันอยูทุกหยอมหญา เพราะสง่ิ
เหลา นเี้ องทาํ พษิ นะ แลว เราจะเอาคณุ คา อะไรจากสง่ิ เหลา น้ี
สวนผูเหน็ ธรรมแลว ไมมีใครท่ีจะบน นอกจากออกอุทานเทานัน้ อยางพระมหา
กปั ปนทา นวา สขุ ํ วต สขุ ํ วต สขุ หนอๆ นท่ี า นเคยเปน พระมหากษตั รยิ ม าแตก อ น
เสดจ็ ออกบวชจนไดเ ปน พระอรหนั ตข น้ึ มาแลว ทา นเปลง อทุ านวา สุขํ วต สุขํ วต สขุ
หนอๆ นน่ั แตกอนทานอยูในพระราชวังไมเคยเห็นออกอุทานวา สุขหนอๆ เวลาเสดจ็
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๔
๑๑๕
ออกจากสิ่งพัวพันทั้งหลายและสลัดภายในใจออกอีก จนกลายเปน ใจทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว อยู
ไหนกส็ ขุ หนอๆ สุขํ วต สุขํ วต
เรากเ็ อาใหไ ดซ ิ อยูที่ไหนก็ สขุ ํ วต ซิ ทานมหากัปปนมิไดผูกขาดนี่ นี่อยูกับผู
ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ตั้งใจประพฤติปฏิบัติดวยสติปญญาอยานอนใจ นแ่ี ลทางแหง สุขํ
วต อยูตรงนี้ กเิ ลสจะตายไปดว ยความเพยี ร หรือกเิ ลสจะคอ ยหมดไปดว ยความเพียร
ไมไดหมดไปดวยสิ่งใด ใหท าํ ความเขา ใจกบั ตนไวเ สมอ อยาออนแอในการปฏิบัติ
สมาธิที่เคยไดยินแตชื่อก็จะปรากฏขึ้นที่ใจ มคี วามสงบเยน็ ภายในใจ มคี วาม
แนน หนามน่ั คงขน้ึ ทใ่ี จ ปญ ญาเมอ่ื มคี วามสงบพอเปน ปากเปน ทางเปน บาทเปน ฐาน
แลว ใหพ จิ ารณาอยา ขเ้ี กยี จ อยาติดสุขในสมาธิ อยา เขา ใจวา สมาธจิ ะทรงคณุ คา ใหเ ปน
ของเลอเลิศประเสรฐิ เพยี งแตค วามสงบตะลอ มกเิ ลสเขา มาสจู ดุ รวม เพอ่ื งา ยแกก าร
ถอดถอนดวยปญญาเทานั้นเอง ถาไมฆามันก็เพนพานไปไดอีก เมื่อตะลอมเขามาสม
ควรแลวก็คลี่คลายออกไปฆาทีละตัวสองตัว เหมอื นกบั เราไลส ตั วเ ขา คอก แลว จะฆา มนั
ทีละตัวสองตัว ฆา เรอ่ื ยๆ ฆาจนหมดคอกก็ไดเมื่อไลเขาคอกแลว น่สี มาธเิ หมอื นกับไล
สัตวเขาคอก คอื ไลก เิ ลสเขา มาสคู วามสงบ แลวคลี่คลายออกไปดวยปญญา แยกนน้ั
แยกนี้ออกพิจารณา
ดใู หเ หน็ อนจิ จฺ เํ ต็มรา งกายเตม็ จิตใจทาํ ไมจะไมรู รูปทั้งรูปนี้มีอาการใดที่ไมเปน
อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า เหน็ เปน พน้ื อยชู ดั ๆ อยา งน้ี จะคา นความจรงิ ไปไหน อนจิ จฺ ํ แปร
สภาพอยูตลอดเวลา ทกุ ขํ ใครเปนทุกข กค็ อื ผแู บกผหู ามอยูนีแ้ หละ เวลานม้ี นั เปน
ทุกข อะไรจะเปนทุกข นอกจากผูแบกผูหามเปนทุกข คือ หวั ใจเราเอง เหน็ โทษแหง
ความหลงของตัวเองที่ไปแบกไปหามแลวเกิดทุกขขึ้นมา อนตตฺ า ปราศจากคาํ วา เปน
สตั วเ ปน บคุ คล เปน เราเปน เขา เปน ของเราของเขาไปหมดแลว ภายในรา งกายกด็ ี ภาย
ในจิตเจตสิกธรรมที่แสดงออกมาก็ดี ลว นแลว แตต วั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา หากหลงไป
ตามมัน เจตสิกธรรมที่แสดงมานี้ก็เปนตัวสมุทัย กอ ตวั เปน พษิ เปน ภยั ขน้ึ มาแกเ รานน่ั
แหละ
ถา ใชป ญ ญาพจิ ารณาใครค รวญเขา ไป ใหเ หน็ เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า ชัดแลว
ส่ิงเหลานีก้ ็ระงบั ดับไปๆ ดบั ไปเรอ่ื ยๆ ไมพ น จากความจรงิ ขอใหพ ิจารณาหย่ังสติ
ปญญาลงไปถึงพื้นฐานแหงความจริง คอื อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เถดิ นเ้ี ปน ความจรงิ ซง่ึ
เปน พน้ื ฐานอยภู ายในรา งกายจติ ใจของเรา ในขันธทงั้ หาน้ีมอี ันน้เี ปนพ้ืนฐานอยตู ลอด
กาล ที่จะตอ งพจิ ารณาใหเ ห็นตามความจรงิ ของมัน เรยี กวา ปญญา
หรอื จะพจิ ารณาเรอ่ื งอสภุ ะ ก็เอาใหม นั เหน็ ชดั ๆ ซิ ในตวั ของเราน้ี มันมีชิ้นไหน
เปนของดีที่หอมหวนชวนใหดม มีที่ตรงไหน แมแ ตผ วิ หนงั มนั กเ็ หมน็ จะวา ไง แลว เยม้ิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๕
๑๑๖
เขาไปขางในมีอะไรอีก หนงั มนั บางยิง่ กวากระดาษ กระดาษยังหนากวา ผิวหนังท่ีหลอก
ตาเสยี อกี พจิ ารณาเขา ไปซิ อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา แลวยงั ไมแ ลว ดคู วามอสภุ ะอสภุ งั ปา
ชาผีดิบ ไมท ราบวา เปด วาไก วา หมู วา ววั วา ควาย วาอะไร เตม็ อยใู นนห้ี มดนน่ั แหละ
ในปา ชา ผดี บิ น้ี มนั รวมอยตู รงปา ชา ผดี บิ น้ี เรายงั ไมตาย เอา พวกนนั้ ตายแลว เขามา
ฝงอยูในนี้ เมอ่ื เราตายแลว กเ็ ปน ปา ชา ผตี าย ดูใหชัดซิ สติปญญามียอมอับจนอยูทําไม
แยกสว นแบง สว นดใู หม นั ชดั จติ หมนุ ตว้ิ ๆ อยูกับงานที่ทํา อยาใหออกไป
เพนพาน บังคับใหได ตายก็ตาย ในขณะที่จะประกอบความเพียรก็เหมือนกับขึ้นเวที
เผลอไมไดเดี๋ยวถูกน็อก ชักหรือตายไปเลยไมเพียงแตสลบ อันนี้ก็ทําอยางนั้นนัก
ปฏิบัติ อนจิ จฺ ํ กใ็ หเหน็ อยา งถึงใจ ดูขางนอกก็เหมือนกัน ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ดอู นั นก้ี บั ขา ง
นอกก็เหมือนกัน ไมเห็นมีอะไรผิดกัน เพราะโลกนเ้ี ปน โลก อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา คาํ วา
อสุภะอสุภัง พจิ ารณาดเู ราแลว กเ็ หมอื นกนั อกี
โลกวิทูเปน คณุ สมบตั ขิ องสาวกดว ย โลกวิทู คอื รแู จง เหน็ จรงิ ภายในภายนอก
เพราะเปน สภาพเหมอื นกนั หมด อยา งนเ้ี รยี กวา โลกวทิ ู มไี ดท ว่ั ไปในสาวกทง้ั หลาย
คอื เปน คณุ สมบตั ขิ องสาวกดว ย สวนคุณสมบัติของพระพุทธเจาไมมีแตเพียงเทานี้ ยงั
หย่งั ทราบความจริงของสิ่งทง้ั หลายและสัตวทง้ั หลายทวั่ โลกธาตอุ กี ดวย โลกวิทู มี
หลายขน้ั หลายตอน
เราไมต อ งคดิ ไปโนน ไปนก้ี วา งขวางใหเ สยี เวลาํ่ เวลา หนา ทีข่ องเรามีแตจ ะให
เปน โลกวิทู รแู จง เหน็ จรงิ ในธาตขุ นั ธท ม่ี อี ยภู ายในตวั ที่ถูกกิเลสผูกมัดรัดรึงอยูดวย
อุปาทาน เพราะความลมุ หลงนเ้ี ทา นน้ั โดยไปสําคัญมั่นหมายเอาเอง ทางทานบอกไว
ไมยอมไป ชอบปลีกชอบแวะ ชอบปนสองขางทาง หกลมกมกราบขนาดไหนก็ยังไม
ยอมถอย ไมยอมไปตามทาง นน่ั แหละทเ่ี รยี กวา เปนขาศึกตอมัชฌิมาปฏิปทา ฉะนั้น
ตองฝนมัน ตอสูมันลงไปซิ ถอยเอาประโยชนอะไร
เมอ่ื รแู จง เหน็ จรงิ ในเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธแ ลว กิเลสมันจะไปไหน กเิ ลสเกดิ ขน้ึ จาก
ความสาํ คญั เมอ่ื แกค วามสาํ คญั ดว ยความจรงิ แลว มันก็ถอนตัวไปๆ ฟาดกนั ใหส ะบน้ั
หน่ั แหลกลงไป กิเลสถอนเขาไปไหน กเ็ ขา ไปหาจติ ดวงเดยี วเทา นน้ั แหละ เมอ่ื มนั หมด
ท่ยี ึดทเี่ กาะเขา ไปโดยลําดับแลว เพราะอํานาจของสติปญญาตีตะลอมเขาไปๆ วงแคบ
เขา ไปๆ สุดทายมันก็ไปกองอยูในจิต ปลอยนิวเคลียรห ยอ นลงในจิตอีกซิ สติปญญา
อัตโนมัติอยางไรละ ธรรมนวิ เคลยี ร
นวิ เคลยี ร หมายถึงอะไร ปรมาณู หมายถึงอะไร จะทาํ ลายขา ศกึ วาระสดุ ทา ยเอา
ชยั ชนะ ก็คือ มหาสติ มหาปญญา ละซิ หยั่งลงไปตรงนนั้ ใหก ิเลสขาดสะบั้นแตก
กระจายไปหมด ทีนี้ภพชาติอยูที่ไหน เมื่อกิเลสซึ่งเปนตัวภพ เปนตัวใหกอภพกอชาติ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๖
๑๑๗
ถูกทําลายลงไปหมดดวยอํานาจของอาวุธที่ทันสมัยไดแก มหาสติ มหาปญ ญา แลว
ขา ศกึ กห็ มดเทา นน้ั แหละ นี่ละงานของพระ
งานของผูตองการพนจากกองทุกขในวัฏสงสาร ไมตองมาเกิดแกเจ็บตายอีก
คอื งานการประกอบความพากเพยี ร นับแต เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ทพ่ี ระ
อุปชฌายะมอบใหแตเบื้องตนจนถึงวาระสุดทาย ตีแตกกระจายไปหมด งานนน้ั แตก
แขนงไปเรือ่ ยๆ ตามความฉลาดความสามารถของตัวเอง จะทาํ งานใหไ ดม ากและกวา ง
ขวางขนาดไหนไดทั้งนั้นเมื่อสติปญญามีแลว เอาจนกระทั่งไมมีอะไรเหลือเลย สน้ิ สดุ
วมิ ตุ ตพิ ระนิพพานภายในจติ ใจ นน่ั แหละเรยี กวา เสรจ็ งาน งานไดท าํ สาํ เรจ็ แลว ไมตอง
ทําเพื่อการถอดถอนกิเลสตัวใดอีก นี่แลงานของพระ ใหพ ากนั จาํ ใหถ ึงใจ วา งานนค้ี อื
งานแทข องพระเรา
อยา ไปคดิ วา บวชมาแลว ไดไ ปกอ นน้ั สรา งนไ้ี วเ ปน ทร่ี ะลกึ สรา งวดั สรา งวาแลว
ยังไมแลว สรา งพระพทุ ธรปู ปฏมิ ากร สรางโบสถ สรา งวหิ าร สรา งศาลาโรงธรรม สรา ง
เจดียมหาเจดียยุงไปหมด กอกวนบานเมืองยุงไปหมดดวยเงินดวยทอง วา เปน งานเนอ้ื
งานหนังของพระ วา เปน สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสังกัปโป น่ันมันเปนงานของประชาชนเปน
สว นใหญจ ะขวนขวายกนั นน่ั เปน มรรคขน้ั หยาบสาํ หรบั ประชาชนทอ่ี ยใู นฐานะจะทาํ ได
เพราะเกีย่ วกับสมบตั เิ งินทอง สว น สัมมาสงั กัปโป ขน้ั ละเอยี ดทจ่ี ะฆา กเิ ลสภายในจติ
ใจ เลยกลายเปน มจิ ฉาสงั กปั ปะ ในมรรคสวนละเอยี ดไปเสยี โดยไมร ูสกึ ตัว เพราะ
ความกงั วลวนุ วาย ขยายกิเลสใหออกวิ่งเพนพานเขาบานเขาเมือง กนไมติดพื้นกุฎีแต
ละวนั เวลาทผ่ี า นไป ยน เขา มาซิ ถา อยากทราบทห่ี ลบซอ นของกเิ ลสดว ยความฉลาดตาม
องคม รรคจรงิ ๆ
สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ เหน็ อะไรเหน็ ชอบ ใหเ หน็ ชอบตามงานทท่ี า นสอน
ไวซ วิ า เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ มันคืออะไร หยั่งลงไปทั้ง อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
หยั่งลงไปทั้งอสภุ ะอสภุ งั ใหเ ห็นชอบตามที่ทานสอนไวน ซ้ี ิ งานเพอ่ื ความเหน็ ชอบ
อยางแทจริงอยูตรงนี้กอนอื่น
สมั มาสงั กปั ปะ ความดําริเพื่อออกจากเครื่องผูกพัน อะไรเปนเครื่องผูกพัน ก็
ความหลงสง่ิ เหลา นแ้ี หละเปน เครอ่ื งผกู พนั พจิ ารณาใหเ ขา ใจดว ยปญ ญาแลว มนั ถอน
ตัวเองโดยไมตองบังคับขับไสแหละ
สมั มากมั มนั ตะ เดนิ จงกรมบา ง นง่ั สมาธภิ าวนาบา ง อยใู นทาใดอริ ยิ าบถใด มี
แตก ารทาํ งานดว ยความมสี ติ เพื่อการถอดถอนกิเลสโดยถายเดียว นน่ั แหละ
สัมมากัมมันตะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๗
๑๑๘
สมั มาอาชวี ะ เลี้ยงชีพชอบ ดว ยอารมณอนั เปน ธรรมของจติ อยาไปคิดอารมณ
ท่เี ปนพษิ เปน ภยั ขึน้ มาเผาลนตนเอง มีแตอารมณแหงอรรถแหงธรรมเปนเครื่องถอด
ถอนกิเลส เปน เครอ่ื งเลย้ี งจติ ใจใหม คี วามรน่ื เรงิ บนั เทงิ มคี วามสงบเยน็ ใจ มคี วามสงา
ผาเผย มคี วามฉลาดรอบตวั ไมน าํ อารมณอ ันเปน พษิ เขา สูใจ นั่นแลสัมมาอาชีวะแท
สมั มาวายามะ เพียรชอบ ทา นกบ็ อกวา เพยี รในทส่ี ส่ี ถาน เพยี รละบาป บาํ เพญ็
บญุ เพียรปองกันบาปที่ยังไมเกิดไมใหเกิดขึ้น เพยี รละกเิ ลสทม่ี นั เกดิ ขน้ึ แลว ใหม นั ดบั
ไป แลวอบรมธรรมที่ยังไมเกิดใหเกิดขึ้น ธรรมทเ่ี กดิ ขน้ึ แลว ใหเ จรญิ ยง่ิ ขน้ึ โดยลาํ ดบั ลาํ
ดา ไมใหเสื่อมเสียไป ปธาน ความเพยี รสอ่ี ยา ง ทานกพ็ ดู ไวแ ลว
สมั มาสติ ระลึกอยูที่ไหน ทา นบอก ถาจะไปทางสติปฏ ฐานสี่ก็ระลกึ อยูในกาย
กาเย กายานปุ สสฺ ี วหิ รต.ิ อธิ ภิกฺขุ อชฺฌตฺตํ วา กาเย กายานปุ สสฺ ี วิหรต,ิ พหิทฺธา
วา กาเย กายานปุ สสฺ ี วหิ รต.ิ อชฺฌตฺตพหิทฺธา วา กาเย กายานปุ สสฺ ี วิหรต,ิ
สมทุ ยธมมฺ านปุ สสฺ ี วา กายสมฺ ึ วิหรต,ิ วยธมมฺ านปุ สสฺ ี วา กายสมฺ ึ วิหรต,ิ
สมทุ ยวยธมมฺ านปุ สสฺ ี วา กายสมฺ ึ วิหรต.ิ พจิ ารณากายในกายไปเรอ่ื ย กายนอกก็มี
กายในก็มี พิจารณาใหเห็นกายนอกก็ดี เหน็ กายในกด็ ี พิจารณาเห็นกายในกายของตัว
เองก็ดี ไลล งไปโดยลาํ ดบั ๆ เมอ่ื เหน็ แลว กอ็ ยู อยดู ว ยความสงบสขุ ๆ นเ่ี รยี กวา
พจิ ารณากายในกาย
ในบทสดุ ทา ยทา นยน เขา มาวา อตถฺ ิ กาโยติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฐิตา โหต,ิ
ยาวเทว ญาณมตตฺ าย ปตสิ สฺ ตมิ ตตฺ าย. อนสิ สฺ โิ ต จ วิหรติ น จ กิฺจิ โลเก อุปาทิ
ยติ. เอวํ โข ภิกฺขุ กาเย กายานปุ สสฺ ี วิหรต.ิ ทานพูดถึงเรื่องสติหยั่งลงไหน หยง่ั ลง
กาย ถา จะพจิ ารณากายพจิ ารณาจรงิ ๆ ใหม สี ตริ อู ยกู บั กายเทา นน้ั สติควบคุมอยูกับ
กายนเ้ี ทา นน้ั จะแยกไปสวนใดอวัยวะใดแงใดของกาย ใหมสี ตสิ ืบเนือ่ งไปโดยลําดับ
แลวพิจารณาเวทนาก็เหมือนกัน ใหส ตติ ดิ แนบไปกบั งานเลย ใหมีความรอู ยู
จาํ เพาะกบั เวทนาเทา นน้ั ไมใหแยกใหแยะไปไหน
เรื่องธรรมเรื่องจิตก็เหมือนกันกับกาย เวทนา ไมผิดกันอะไรเลย ลงอันเดียวกัน
อตถฺ ิ กาโยต,ิ อตถฺ ิ เวทนาติ, อตถฺ ิ จติ ตฺ นตฺ ิ, อตถฺ ิ ธมมฺ าติ วา ปนสฺส สติ ปจฺจุปฏฐิ
ตา โหต.ิ เหมอื นกนั นน่ั แหละ ลงอันเดียวๆ กันหมด คอื สตใิ หร ะลกึ อยูในสถานทนี่ ้ี
สถานใดสถานหนง่ึ กต็ าม ใหจริงจังในสถานที่พึงเปนที่ระลึกของสติ นเ่ี รยี กวา ระลกึ
ชอบและถูกตองดวย หาความผดิ เพย้ี นไปไมไ ดเ ลย
หรอื จะพจิ ารณาถงึ เรอ่ื ง ทุกข สมทุ ัย นโิ รธ มรรค มันก็อยูในวงสติปฏฐานสี่อัน
เดียวกัน พูดอะไรก็เหมือนกัน เหมือนกับดูขางหนาขางหลังของคนๆ เดยี วนน่ั แหละ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๘
๑๑๙
ขางหลังก็ของคนๆ นน้ั เสยี ขางหนาก็ของคนๆ นน้ั เสยี ขางซายขางขวาก็ของคนๆ นน้ั
เสยี คนๆ เดยี วนน่ั แหละ วงสัจธรรมเหมอื นกนั พจิ ารณาใหจ รงิ จงั สําคัญอยูที่สติผู
ตามรบั รงู านนน้ั ๆ นี่แตกอนก็ไมเหมือนทุกวันนี้ มาพิจารณามันยอนไปทุกแหงทุกหน
นน่ั แหละตามประสปี ระสาของเรา นอ่ี า นดู สติปฏฐาน นแ่ี ลว กาํ หนดตาม แหมจิตมัน
คลอ ยตาม
ตามความรูสึกของผม ผมพูดตามความจริงทางการปฏิบัติมา อนัตตลักขณสูตร
จิตใจยังขัดกัน มนั เปน จรงิ ๆ ผมจงึ ทาํ ความเขา ใจเอาวา ผรู จนาน้อี าจตัดออกเสียตอน
ใดตอนหนึ่ง หรอื จะวา เทศนซ าํ้ ๆ ซากๆ ปกิณกะอะไรอยางที่ทานวาซ้ําๆ ซากๆ เลยข้ี
เกยี จ ทานยน เอายอ ๆ เสยี บา ง
จะพูดไปตามแถว เวทนา สญั ญา สังขาร วญิ ญาณ มนั กไ็ มเ หนอื จติ ตองไปเขา
จิตจนไดอยูโดยดี รปู สสฺ มปึ นพิ พฺ ินฺทติ, เวทนายป นพิ ฺพินทฺ ติ, สญฺ ายป นพิ ฺพนิ ทฺ ติ
, สงขฺ าเรสปุ นพิ พฺ ินทฺ ต,ิ วิ ญฺ าณสมฺ ปึ นพิ พฺ นิ ทฺ ต.ิ เบอ่ื หนา ยในรปู ในเวทนา
สัญญา สังขาร วญิ ญาณ นพิ พฺ ินฺทํ วิรชฺชติ. ยอ มคลายกาํ หนดั เมอ่ื คลายกาํ หนดั จติ
ยอมหลุดพน เมื่อจิตหลุดพนแลว ญาณความรแู จง วา จติ หลดุ พน แลว ยอ มมี
เวลาเรามาเทยี บมาพจิ ารณาตามน้ี มันไปไมได เมื่อไปถึงแคขันธหา คือรูเทา
ขันธหาพูดงายๆ รเู ทา ในขนั ธห า คอื รปู เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ หรอื เบอ่ื หนา ย
ก็หมายถึงความเห็นโทษของมันอยางชัดเจนนั้นเอง จะวา การพจิ ารณานน้ั เหน็ ชดั จาก
เหน็ โทษแลว กเ็ หน็ เปน ความจรงิ แตล ะอยา งๆ แลว มันยังไมแลว
การพจิ ารณาเหน็ ความจรงิ แตล ะอยา งๆ ไมยึดถือแลว มันวิ่งเขาไปถึงใจ ไปยึด
อยูในใจจนได เมื่อกิเลสวิ่งเขาไปอยูที่ใจ ความยึดมั่นถือมั่นมันยังมีอยูที่ใจนั่นอีก จงึ
ตองพิจารณาฟาดฟนลงในจิตอีกทีหนึ่ง จนกเิ ลสในจติ พงั ทลายลงไปแลว มนั ถงึ หมด
ปญ หา นล่ี ะการปฏิบัติของเรามนั ขดั ตรงน้ี เราเคยแยม ๆ ถามพวกปฏิบัติทั้งหลาย พูด
ไปแบบสมุ ๆ เดาๆ เราขเ้ี กยี จพดู และฟง เลยหยดุ เสยี
ที่หาที่คานไมไดก็คือ อาทิตตปริยายสูตร นเ่ี ราคา นไมไ ดเ ลย การปฏบิ ตั ิเวลา
เอาสตู รนม้ี าเทยี บเคยี งกนั แลว กราบสนทิ คือมันลงไดอยางสนิท อะไรๆ ทานกว็ า ไป
อยา งละเอยี ด จกฺขสุ มปึ นพิ พฺ นิ ทฺ ต,ิ รูเปสุป นพิ ฺพินฺทต,ิ จกขฺ วุ ิ ญฺ าเณป นิพฺพนิ ทฺ ต,ิ
จกขฺ สุ มผฺ สเฺ สป นพิ พฺ นิ ฺทต,ิ ยมฺปทํ จกขฺ สุ มผฺ สสฺ ปจจฺ ยา อุปฺปชฺชติ เวทยิตํ, สขุ ํ วา
ทกุ ขฺ ํ วา อทกุ ขฺ มสขุ ํ วา, ตสมฺ ปึ นิพฺพินทฺ ติ. คอื เบอ่ื หนา ยในตา แลว กเ็ บอ่ื หนา ยใน
รปู เบอ่ื หนา ยในวญิ ญาณทเ่ี กดิ จากน้ี เบอ่ื หนา ยในสมั ผสั ในเวทนา สุขก็ดี ทุกขก็ดี ไม
สขุ ไมทุกขก็ดี นเ่ี ราจะสรปุ ไปเลย คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ กับ รปู เสยี ง กลิ่น รส
เครอ่ื งสมั ผสั ธรรมารมณ เปนคๆู กันไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๑๙
๑๒๐
เมอ่ื เบอ่ื หนา ยในตากเ็ บอ่ื หนา ยในรปู เบอ่ื หนา ยในหกู เ็ บอ่ื หนา ยในเสยี ง ออก
ไปอยางนี้เลย ตลอดถงึ ความสัมผัสทเ่ี กดิ เวทนา เปน สขุ เปนทกุ ข เปน เฉยๆ เบอ่ื หนา ย
เปน ลาํ ดบั ๆ สุดทาย มนสสฺ มปึ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ นน่ั ตรงนแ้ี หละเบอ่ื หนา ยในจติ ธมเฺ มสปุ
นิพพฺ นิ ทฺ ติ เบอ่ื หนา ยในธรรมารมณท เ่ี กดิ ภายในจติ ออกจากนน้ั ก็เบ่อื หนายทั้งเวทนา
สุขทุกขไปเรื่อยๆ จนไมม อี ะไรเหลอื เลย
เบอ่ื หนา ยในจติ แลว ยงั เบอ่ื หนา ยสง่ิ ทเ่ี ขา มาเกย่ี วขอ งกบั จติ ทั้งจิตแสดงออกมา
เปนผล คือเปนสุข เปนทุกข เปน เฉยๆ ออกจากน้ันพอเสร็จแลวก็ นิพฺพินทฺ ํ วิรชฺชติ
แลวกเ็ รอื่ ยไปจนตลอดสาย วริ าคา วิมจุ ฺจต,ิ วมิ ตุ ตฺ สมฺ ึ วมิ ตุ ตฺ มติ ิ ญาณํ โหติ, ขีณา
ชาต,ิ วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ,ํ กตํ กรณยี ํ, ไปเรื่อย อนั นน้ั เหมอื นกนั แตสําคัญไปลงที่จิตนะ
ซิ
จิตเปนของสําคัญ เปนท่รี วมของกเิ ลสทกุ ประเภท จะพจิ ารณาประเภทใดกต็ าม
ลงไปอยูที่นั่นหมด หลักปฏบิ ัติเปน อยา งน้ี นเ่ี ราพดู จรงิ ๆ เราพดู อยา งอาจหาญ เพราะ
เราปฏบิ ตั มิ าอยา งนน้ั เวลาปฏบิ ตั มิ นั คา นกนั ทต่ี รงไหน มันแยกกันที่ตรงไหน เราพดู
ไดต ามความแยก สว นถกู หรอื ผดิ แลว แตใ ครจะนาํ ไปพจิ ารณา
แตส าํ หรบั อนัตตลักขณสูตร เราเปน ความไมส นทิ ใจอยา งนน้ั แหละตามความรู
สึกของเรา เรายกไวเ สยี ก็ไมเห็นจะไดเรื่องไดราวอะไร อันไหนที่มันลงกันอยูแลวก็
ยอมรบั กันไป เชน อาทิตตปริยายสูตร น้ลี งกนั รอ ยเปอรเซ็นตหาทค่ี านกนั ไมได ตั้งแต
ตน จนอวสาน มนสสฺ มปึ นพิ ฺพนิ ฺทติ, ธมเฺ มสปุ นพิ พฺ นิ ทฺ ติ เรื่อย…..มโนวิ ญฺ าเณป
นิพฺพินทฺ ติ, มโนสมผฺ สเฺ สป นพิ พฺ นิ ทฺ ติ, ยมฺปทํ มโนสมผฺ สสฺ ปจจฺ ยา อุปฺปชฺชติ เวทยิ
ต,ํ สุขํ วา ทกุ ขฺ ํ วา อทกุ ขฺ มสขุ ํ วา, ตสมฺ ปึ นพิ ฺพินทฺ ต.ิ นน่ั รวมยอดมากเ็ บอ่ื หนา ย
เหลา นห้ี มด
คาํ วา ตสมฺ ึ นห้ี มายถงึ โยคเอาตวั ทพ่ี ดู มาแลว นน้ั มาเปน สรรพนาม โยคเอาวา
เขา คาํ เดยี วนน้ั เชน นาย ก, นาย ข, นาย ค, นาย ง, พอสดุ ทา ยกเ็ ขาเหลา นน้ั หรอื เขา
เทา นน้ั นี่ก็เหมือนกัน รวมปุบปบ ตสมฺ ปึ นพิ ฺพินทฺ ติ ลงหมด นพิ พฺ ินทฺ ํ วิรชฺชต,ิ วิ
ราคา วมิ จุ จฺ ต,ิ ตลอดสายเลย
นเ่ี วลาปฏบิ ตั ขิ องเราเปน อยา งนน้ั จรงิ ๆ ก็เคยพูดใหหมูเพื่อนฟงแลวนี่ ตอมา
พิจารณาอะไรกพ็ จิ ารณาไมไดเรือ่ ง รปู พจิ ารณากไ็ มไดเร่ือง อสุภะอสภุ ังเคยพิจารณา
เสยี จนแหลกกระจดั กระจาย ชาํ นชิ าํ นาญคลอ งแคลว แกลว กลา พิจารณาไปๆ เลยหมด
อสุภะก็เลยหมดไมมีเหลือที่จะพิจารณา ทีแรกมันไมหมด พอยอนเขามาถึงภาพภายใน
นแ้ี ลว อสุภะภายนอกมันก็หมด ภายในมนั ก็หมด มนั เลยวา ง จะพจิ ารณาอะไรมนั กไ็ ม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๐
๑๒๑
ทัน มนั ดบั ไปเสยี กอ น ถึงทันมันก็ไมสนใจที่จะพิจารณา มนั เปน อยา งนน้ั อะไรๆ มันก็
วางไปหมดในรางกาย และหมดความสนใจที่จะพิจารณารา งกายอีกตอไป
สุดทา ยกิเลสก็ไปอยทู ่จี ติ ก็ไปหลงอยูที่จิต งงอยูที่จิต สงวนอยูที่จิต จะวาแบกก็
แบกหามอยูที่จิตไมรูตัว รกั สงวนจติ มีอะไรมาแตะตองไมได ความสงา ผา เผยกต็ วั นน้ั
แหละ ตวั รกั สงวนกอ็ ยนู น้ั แหละ อยางอน่ื มันพจิ ารณาหมดแลว ปลอยไปหมดไมสนใจ
กับอะไร แตตรงจิตนั้นมันไมปลอย มันยึดที่จิต
ปลอ ยนอกแลว กม็ ายดึ ใน ปลอยนอก รปู เสยี ง กลิ่น รส เครอ่ื งสมั ผสั เปนนอก
อนั หนง่ึ ปลอยนอก คอื รปู เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ นี่เปนนอกอันหนึ่ง แลว มา
ยดึ ภายในซง่ึ เปน ตวั การสาํ คญั คือยึดใจ นน่ั กเิ ลสเขา ไปรวมอยใู นนน้ั หลอกใหย ึดอีก
แลว ใครจะวา อวชิ ชาไมล ะเอยี ดเหรอพจิ ารณาดซู ิ ละเอียดขนาดไหนอวิชชา นน้ั ละตวั
การสาํ คญั จรงิ ๆ ทาํ ใหห ลงไมว า สตปิ ญ ญาขนาดไหน มันจะตองงงไปเสียกอน แตห ลง
ไมน านเทา นน้ั แหละ เมื่อฟาดฟนลงไปตรงจุดนั้นพังทลายลงไปแลว ทนี ไ้ี มเ หน็ วา อะไร
มีอะไรที่จะใหพิจารณา มีอะไรที่ตกคาง มีอะไรที่ใหสงสัย ไมม เี ลย
จะแยกไปถึงพระพุทธเจา พระพุทธเจานิพพานกี่ปกี่เดือนแลวคืออะไร นพิ พาน
อยูที่ไหน ตัวนิพพานนั้นคืออะไร มันก็หมดปญหาโดยประการทั้งปวง พระสงฆส าวกจะ
กี่หมื่นกี่ลานองคก็ไมมีปญหาอะไร พอเขา ถงึ ตรงนน้ั แลว เทา นน้ั เปน อนั วา ลบไปหมด
เรอ่ื งความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ ไมม ีอะไรเหลอื ขน้ึ ชอ่ื วา สมมตุ ใิ นโลกนเ้ี ขา ครอบจติ
นั้นไมได นอกจากความจรงิ ลวนๆ ทเ่ี ปน ความจรงิ อนั วเิ ศษเทา นน้ั
จะวาอยูก็อยู จะวาไปก็ไป ไมคานใคร น่แี ลผลของงานที่ปฏบิ ัติอยา งเอาจริงเอา
จัง ไปไหนไมไดตองมาลงตรงนี้ ฉะนน้ั จงเชอ่ื ธรรม อยาเชื่อกิเลส เราเคยเชอ่ื กเิ ลสมาก่ี
กัปกี่กัลปแลว ไมเ ฉพาะอตั ภาพนเ้ี รากเ็ คยเชอ่ื มนั มาแลว ความโลภมนั เคยพาใครดี
ความโกรธ ความหลงมนั เคยพาเราไดด บิ ไดด อี ะไรบา ง ราคะตัณหามันพาเราไดดิบได
ดอี ะไรบา ง การแกส ิ่งเหลา น้ีถงึ จะยากลาํ บากขนาดไหนก็ไมถงึ ตายหรอกนะ พระพุทธ
เจา ไมเ หน็ ตาย สาวกไมเ หน็ ตาย ทาํ ไมเราจะตายคนเดยี ว มปี า ชา แตเ ราคนเดยี วใน
เวลาประกอบความเพยี รนห้ี รอื มนั เปน เพราะเหตไุ ร ซกั เจา ของเขา ไปซถิ า เปน นกั
ปฏิบัติ นกั สตปิ ญ ญาทจ่ี ะคน ควา หาความจรงิ ตองขุดตองคนเขาไป ใหเปนอุบายวิธี
ของแตละทาน ๆ ที่พูดนี้เพียงแตหยิบยกไมชิ้นใหญหรือไมทั้งดุนไมทั้งทอนใหไป
เจยี ระไนเอง ใหไปเลื่อย ไปไสกบลบเหลย่ี มกนั เอง นย่ี กใหเ ทา นน้ั
เอาใหจ รงิ ใหจ งั มรรคผลนพิ พานคอยอยกู บั หวั ใจทกุ คนนน่ั แหละ ไมไดอยูที่
ไหน อยูที่ใจ เปนแตเพียงตัวสมุทัยนี่มันครอบไวหมด มนั ไมใ หเ หน็ ตวั มรรคผล
นพิ พานทอ่ี ยภู ายในนน้ั มันปดมานไวหมดเสีย หมุ หอ ไวห มดเสยี ไมใ หเ หน็ หลอกเรา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๑
๑๒๒
เรอ่ื ยมา อันไหนจะเปนไปตามมัน มนั หลอกเราไปลากจงู เราไป จงเขา ใจใหด นี ะ อยา
เสยี กลใหก เิ ลสอกี
เอาเทา นก้ี อ น
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๒
๑๒๓
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๗ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๕๒๒
ยดึ แบบฉบบั ของผเู หน็ ภยั
ผูทรงประเพณี อันเปนทางดําเนินเพื่อความพนทุกขของพระพุทธเจาไวไดคง
เสนคงวาไมออนขอยอหยอน ตองเปนผูเดินตามทางศาสดา ไมปลีกไมแวะออกนอกลู
นอกทาง เฉพาะอยา งยงิ่ งานจิตตภาวนาอนั เปน งานชนั้ เอกของศาสดาและสาวกทงั้
หลาย ตองถือเปนงานสําคัญมากยิ่งกวางานอื่นใด นั่งก็ใหเห็นโทษของกิเลสภายในตัว
อยเู สมอ ยนื เดนิ นอน ขบฉนั ตลอดอาการเคลอื่ นไหวทุกสงิ่ ทกุ อยางใหม ีความรูสกึ
คือสติ อนั เปน ลักษณะของผเู ห็นภยั อยูเสมอ นน่ั แหละเปน ความถกู ตอ ง เพราะฉะนน้ั
จึงไดพูดกับทานสิงหทองวา มันเปนยังไงกันนี่ จึงพากนั ซดซา ยซดขวาอยา งสนกุ
เพลดิ เพลนิ นไ่ี มใ ชพ ากนั ลมื ครอู าจารยแ ละธรรมไปหมดแลว หรอื มองดูถวยวางเปน
แถวกันอยางนี้ นบั แตพ ระเถระเถโรลงมาจนถงึ เณรหวั เทา กาํ ปน ไมมีเวนที่ไมซดกัน
นะ ไปเอาแบบไหนมาใช จงึ วางไวเ ปน ถว ยๆ แลว ซดกันเปน แถวๆ อยา งน้ี อรอยดี
ไหม รสน้ําแกงพอจะกลอ มลิ้นใหเคลิ้มหลบั ในขณะกําลังน่งั ฉนั นงั่ ซดเพลนิ ๆ ไดไ หม
ลน้ิ นบั วา เกง มากธรรมตามไมท นั เลย
เราเคยอยกู บั ทา นอาจารยม น่ั มาแลว ดว ยกนั ทําไมจึงตองใหเปนอยางนี้ เขา ใจ
วา ทา นอาจารยม น่ั โงไ มฉ ลาดเหมอื นเราอยา งนน้ั หรอื นั่นมันโงตอรสของตัณหา โงตอ
ลิ้นตอปากตอทองตางหากนี่ นน่ั คอื ความเพลนิ ในรส นน่ั คอื ความไมเ หน็ ภยั ตาม
ปฏิสงฺขา โยนิโส ปณฺฑปาตํ ปฏเิ สวามฯิ ทท่ี า นตไี วข นาบไวน ่ี นน่ั คอื ความตดิ รสตดิ
ชาติ ความเหน็ แกค วามเอรด็ อรอ ยอนั เปน ขา ศกึ ตอ ธรรมตา งหาก เรอื่ งธรรมแลว
ละเอียดสุขุมมากสุดจะกลาวไดถูกตองกับความจริง นเ่ี ราอยา เขา ใจวา เปน ธรรมดา
ของโลกนิยม นอกจากจะเปน ธรรมดาของผูดื้อดานสนั ดานเลวไมยอมฟงครอู าจารยผู
มธี รรมนยิ มเตม็ หวั ใจเทา นน้ั อยาพากันเอากิเลสมาแขงธรรมอวดครูอาจารย จะเปน
พระสันดานดื้อแตกปลอกแหวกแนวแบบสัตวไมมีเจาของและขึ้นเขียงไดอยางงายๆ
อยางทานอาจารยมั่นทานแสดงออกมา เราซึ้งใจมากและฝงลึกไมมีวันถอน ยง่ิ
ซึ้งเขาไปทุกวัน ทา นวา ผมไมทราบเปนยังไง พอเอาชอ นตกั ลงไปในบาตรมนั ขวางใน
จิตทันทีเลย นน่ั ฟง ซคิ าํ วา “ขวางในจติ ” จติ ทา นอาจารยม น่ั กบั จติ เรามนั เปน ยงั ไง
พจิ ารณาซถิ า อยากทราบความจรงิ จิตทานเปนจิตไมมีกิเลส สง่ิ ทเ่ี ปน กเิ ลสกริ ยิ าอนั
เปน กเิ ลสแทรกเขา ไปทา นรทู นั ที การทาํ อยา งนัน้ มันไมใชล กั ษณะของความเหน็ ภัย
ทา นวา มีอะไรก็ฟาดมนั ลงไปในบาตรใบเดยี วน้ัน มีมากมีนอยไมสนใจกับอาหารดีไม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๓
๑๒๔
ดี มีมากมีนอยเทาไรก็ฉันไปตามเรื่องของธาตุของขันธ พอยงั ชีวติ ใหเ ปนไปเทานนั้
ไมฉนั เพราะอํานาจปากล้นิ ฉุดลากไป นน่ั จงึ ชอ่ื วา ผเู หน็ ภยั
ระหวางคําพูดของทานผูไมมีกิเลสพูด กบั ความรสู กึ ของเราการกระทาํ ของเรา
ทมี่ ีกิเลส มันขัดแยงกันอยูตลอดเวลาดังที่รูๆ เหน็ ๆ อยนู แี่ ล จงพากันฟงอยางถึงใจ
ถา เราจะเอา พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ เปน หลกั ใจ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ พระสงฆที่เปน
สรณะในวงปจ จบุ นั น้ี กม็ ที า นอาจารยม น่ั เปน หลกั สาํ คญั เปน สรณํ คจฉฺ ามิ ไดอยาง
ตายใจไมมีสงสัย เราไปอยกู บั ทา นแลว หายสงสยั ไมม ีอะไรเลยภายในจติ จึงไดนอม
รบั ถงึ รอ ยเปอรเ ซน็ ต ตายกม็ อบถวายทา นเลย กิริยาอาการของทานที่แสดงออกทุก
อยาง เปนลักษณะของผูเห็นภัยคือตื่นตัวอยูเสมอ นน้ั แลคอื ผเู หน็ ภยั รภู ยั และพน ภยั
แท
การขบการฉันมีอะไรใชสอยไปตามเรื่องตามราวที่เกิดที่มี เมื่อความมุงมั่นอยู
กับธรรมแลวอะไรก็ไมกังวล การขบการฉนั อะไรฉนั ไดห มด อาหารประเภทใดไมข ดั
กบั หลกั ธรรมวนิ ยั กบั ธาตขุ นั ธ ไมแสลงกับโรคภยั แลวฉนั ไดห มด นน่ั คอื ผเู หน็ ภยั ดงั
พระพุทธเจาเสด็จออกทรงผนวช จากความเปนกษัตริยลงถึงขั้นเปนคนขอทาน
ธรรมดาทว่ั ๆ ไปเหมือนโลกเขาซึ่งเปนตัวอยางอันยอดเยี่ยม เพราะแตกอนไมมี
ศาสนาน่ี ทําไมพระองคทําไดคิดดูซิ เวลาจะฉันเหมือนกับวาลําไสจะทะลักออกมา
เพราะมนั ฝน ทานกม็ อี ุบายวธิ ีแกด ว ยความฉลาดแหลมคมของทาน ก็สิ่งของลงใน
บาตรวาเปนของปฏิกูล แลว อยใู นทอ งจะไมเ หน็ วา เปน ปฏกิ ลู หรอื มนั รา ยยง่ิ กวา นน้ั
นน่ั ทา นแกป บ ทนั ทแี ละเสวยไดใ นอาหารทว่ั ๆ ไปไมทรงเลือก
อาหารของคนขอทาน เขาจะไดของดิบของดีแตที่ไหนมาใหทานทาน เนอ่ื ง
จากศาสนาทส่ี อนวา ทาํ บญุ ใหท านมอี านสิ งสม ากอยา งนน้ั อยา งนย้ี งั ไมม ี นกั บวชทเ่ี ปน
หลกั เปนเกณฑอ ยางพุทธศาสนานีใ้ นระยะนน้ั ยังไมมี มีเพยี งเปนนักบวชอยางทเ่ี หน็
นน่ั แหละ เดยี รถรี น คิ รนถบ า ง ฤาษีดาบสบาง อยา งนน้ั หาขอทานกนิ ธรรมดาๆ เขาก็
ใหแ บบธรรมดาๆ นน่ั แหละ ไมไ ดใ หด ว ยศรทั ธาความเชอ่ื ความเลอ่ื มใสความเคารพ
นับถืออะไร ไมเหมือนคนใหทานแกพระเจาพระสงฆที่อยูในพุทธศาสนาดังที่เปนอยู
ทกุ วนั นเ้ี ลย แลวทานจะไดของดีและเหลือเฟอมาจากไหน
เราอยา ใหก เิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจได เปนนักปฏิบัติตองเปนนักคนควา
เปน นกั เหตผุ ล เปน ผมู คี วามรสู กึ เรว็ ตอ เหตกุ ารณต า งๆ ทเ่ี กย่ี วกบั ตน ผทู า นพน จาก
ทุกขและเปน สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ของพวกเราทา นดาํ เนนิ อยา งนน้ั ในครั้งพุทธกาล
พระสงฆสาวกท่ีออกมาบวชจากสกลุ ใดบา งเรากเ็ หน็ กนั ทุกคนในตาํ รา เปนพระมหา
กษัตริยก็เยอะ เชื้อพระวงศกษัตริยก็ไมนอย เศรษฐี มหาเศรษฐี กุฎมพี รองกันลงมา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๔
๑๒๕
จนกระทั่งพอคาประชาชนคนธรรมดา เมื่อออกมาบวชแลว เข็มทิศทางเดินของทาน
ตรงแนว ตอ มรรคผลนพิ พานเหมอื นกนั หมด ในเมอ่ื เขม็ ทศิ ทางเดนิ ตรงแนว อยา งนน้ั
ความพากเพียรทุกสิ่งทุกอยาง อากัปกิริยาที่แสดงออกจะไมตรงแนวไดยังไง เพราะ
เข็มทิศคือความมุงมั่นนั้นเปนเหมือนแมเหล็กเครื่องดึงดูดใหเปนไปตามนั้น เครอ่ื ง
สนบั สนนุ คอื ความเพยี ร ความพออกพอใจ ความอดความทน เครื่องบุกเบิกคือสติ
กับปญญาบุกเบิกไปเรื่อยฟาดฟนไปเรื่อย จนทะลุดงหนาปากิเลสทั้งมวลถึงแดนพน
ทุกข และกลายมาเปน สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ของพวกเรา นน้ั แลครง้ั พทุ ธกาลทา น
ดาํ เนนิ อยา งนน้ั พวกเราไมย ดึ เอาทา นเปน สรณะและดาํ เนนิ ตามแลว จะหวังอะไรเปน
สาระภายในใจของพระ อนั รสๆ ลน้ิ ๆ นน้ั แมใ นสตั วเ ดรจั ฉานกม็ เี กลอ่ื นไปไมเ ปน
ของแปลก อยา เอามาอวดธรรม
แบบฉบบั ของทา นเราตอ งคาํ นงึ เสมอ อยาสงจิตออกไปคิดไปดู สิ่งที่
จอมปลอมและอยา นาํ เขา มาเปน อารมณแ ละเปน แบบฉบบั เพราะสง่ิ เหลา นน้ั เคยมี
เตม็ โลก อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา มานาน ไมเคยพาใหใครพนทุกขถึงแดนวิเศษได นอก
จากผฉู ลาดนาํ มาเปน หนิ ลบั ปญ ญา ส่งิ เหลานนั้ จึงจะเกดิ ประโยชนตามคุณภาพของ
ตนและกําลังสติปญญาของผูนํามาใช พระพุทธเจาไมใชศาสดาจอมปลอม ธรรมไมใช
ธรรมจอมปลอม พระสงฆที่เรานับถือเปนสรณะก็ไมใชพระสงฆที่จอมปลอม ทา นเปน
หลกั ใจไดอ ยา งแนใ จแมน ยาํ ไมม เี คลอ่ื นคลาด ไมมีสิ่งใดที่นาสงสัย ทา นเหลา นเ้ี ปน
ทา นผวู เิ ศษตามหลกั ธรรมชาตดิ ว ย เปน ผวู เิ ศษตามคาํ เลา ลอื ทท่ี า นรจู ากหลกั ธรรม
ชาตนิ น้ั ดว ย เราจงึ ยดึ ทา นนน้ั เปน หลกั ใจไวเ สมอ อยา หนั เหเรร อ นจะตายเปลา ไมม ี
หลกั ยดึ
หลักธรรมวินยั นน้ั แลคือหลกั ศาสดา หลักของพระสงฆสาวกหรือดวงพระทัย
ของพระพุทธเจาและดวงใจของสาวกอรหันตทั้งหลาย อยทู ี่พระธรรมพระวนิ ยั ไมอยู
กับกาลสถานท่หี รอื สิง่ หน่งึ สง่ิ ใด ใหย ดึ นเ้ี ปน หลกั อานไปตรงไหนทา นบอกไวว า ควร
หรือไมควร ใหถือเหมือนพระพุทธเจาทรงชี้บอกอยูตอหนาตอตานั้น หรือพระสงฆ
สาวกทานชี้บอกอยูตอหนาตอตา วา อนั นค้ี วรอนั นน้ั ไมค วร อันนั้นทําอนั น้ันอยาทํา
เหมอื นประทานดว ยพระโอษฐอ ยตู อ หนา เราในขณะนน้ั ทา นประทานไวว า “ธรรม
วนิ ยั ทเ่ี ราตถาคตบญั ญตั ไิ วน แ้ี ล จะเปน ศาสดาของทา นทง้ั หลายแทนเราตถาคต
เมอ่ื เวลาเราผา นไปแลว ” พระวาจานไ้ี มม อี ะไรเคลอ่ื นคลาดแมน ดิ หนง่ึ เลย ซาบซง้ึ
มาก พระธรรมก็ดีพระวินัยก็ดีที่ประทานไว เหมือนองคศาสดาชี้บอกอยูตอหนาตอตา
นน่ั แล นค่ี อื ทางดาํ เนนิ เพอ่ื ความมน่ั ใจของพวกเรา จงึ อยา ถือใครเปน ศาสดาเปน เนติ
แบบฉบบั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๕
๑๒๖
ดังทที่ านอาจารยม ัน่ ทา นสอนไวในมุตโตทัย ตอนนน้ั ทา นไดร บั ความกระทบ
กระเทือนทางโลกธรรม เพราะทา นอาจารยม น่ั เปน ผเู รม่ิ บกุ เบกิ ไปที่ไหนจึงมักไดรับ
ความกระทบกระเทอื นเสมอ เพราะทแี รกเขาไมเ คยรเู คยเหน็ ก็ตองคัดตองคานทาน
ตองกีดตองขวาง แตท า นเปน จอมปราชญ ทานมีอุบายสติปญญาหลบหลีกจนได ทาน
ไมใหกระทบกระเทือนองคทานเองและผูหนึ่งผูใด บางทีจิตใจก็มีลักษณะแปลกๆ ขน้ึ
มาที่ถือวาเปนขาศึกแกตัวเอง ทานก็แกปุบปบไมรั้งรอใหอารมณนั้นฝงจมในจิตไป
นาน บางครั้งอุบายตางๆ กแ็ สดงขน้ึ ภายในจติ ทา นวา ใหถ อื เราตถาคตผบู รสิ ทุ ธห์ิ มด
จดจากกิเลสเปนศาสดา อยาไปถือปากสกปรกปากที่เต็มไปดวยกิเลสโสมมเปน
ศาสดา เรอ่ื งเขาสรรเสรญิ นนิ ทาเปน เรอ่ื งของโลกธรรมซง่ึ มมี าแตด ง้ั เดมิ
ตถาคตก็เกิดในทามกลางแหงโลกธรรม แตตถาคตไมตื่นโลกธรรมไมติดโลก
ธรรมอันเปน เหมอื นกอนเมฆทพี่ ดั ไปผา นมาเทา นนั้ เราเปน ลกู ศษิ ยต ถาคตตอ ง
ดาํ เนนิ แบบตถาคต อยาตื่นอยาลุมหลงกับสิ่งใดที่มาสัมผัสสัมพันธ สง่ิ เหลา นน้ั มนั คอื
โลกธรรมนน่ั แล นค่ี อื อบุ ายทส่ี อนทา นเวลาจาํ เปน ซึ่งเปนความถูกตอง เพราะโลกหา
ประมาณไมได ธรรมวนิ ยั นน้ั แลคอื ประมาณอนั เหมาะสมอยา งยง่ิ ใหย ดึ เปน หลกั อยา
ไปยึดส่ิงสกปรกโสมมทงั้ หลายเหลา นัน้
ทเ่ี ขยี นไวใ นมตุ โตทยั นน้ั สน้ั นดิ เดยี ว ทา นพดู ใหฟ ง หลายเรอ่ื งและยดื ยาวนา
จับใจมากทุกๆ ตอน เพราะอยกู บั ทา นมาเปน เวลาหลายป ทําไมจะไมไดฟงเรื่อง
สําคัญๆ ธรรมอนั สาํ คญั ๆ เลา นแ่ี หละหลกั ทา นดาํ เนนิ ทา นดาํ เนนิ อยา งน้ี ขอใหพา
กันยึดหลักเหลานี้ใหดี อยา ไปสนใจกบั ส่งิ ใดในโลกมาเปนเคร่อื งกีดขวางถวงธรรม
ภายในใจใหเ นน่ิ ชา ใหมุงตออรรถตอธรรมที่พระองคทรงแสดงไวแลวอยางเดียว ยดึ
เปน หลกั เปน เกณฑ อยคู นเดยี วเปน ความสขุ รน่ื เรงิ ตางองคที่อยูดวยกันมีจํานวนมาก
นอย มคี วามรคู วามเหน็ อยา งเดยี วกนั มคี วามรน่ื เรงิ ในธรรมเปน เครอ่ื งประดบั กนั ให
มคี วามสวยงาม และเปนเคร่อื งคาํ้ ชูหนุนกันใหม ีความอบอนุ ตอกัน สาํ คญั ทจี่ ิตใจเปน
อรรถเปน ธรรมแลว อยดู ว ยกนั เปน ผาสกุ ทง้ั นน้ั แหละคนเรา
อยูที่ไหนก็คนอยูที่ไหนก็พระ เราเขา ใจเรอ่ื งคนเรอ่ื งพระดว ยดแี ลว ยอ มอยู
ดวยกันได เฉพาะเราไมใ ชโ ลก เราเปน ลกู ศษิ ยต ถาคต เกิดที่ไหนก็คน เกิดในบานก็
คน เกิดในปาก็คน เกิดในเมืองก็คน เกิดในกรุงก็คน เกิดนอกกรุงก็คน เกดิ ในปา ใน
เขาก็คน เกิดประเทศเขตแดนใดกค็ น หลกั แหง คาํ วา คนนค้ี อื ความสมบรู ณเ ตม็ ทแ่ี หง
ความเปน มนษุ ยแ ลว ถือเอาตรงนี้ นแ่ี หละพระพทุ ธเจา พาดาํ เนนิ มาอยา งนน้ั ไมได
ถอื ชาติชนั้ วรรณะใดท้ังนั้น เพราะฉะนน้ั ลกู ศษิ ยต ถาคตจึงมีทกุ ชาติชัน้ วรรณะ เปนลกู
ตถาคตทั้งนั้น ผูใดมคี วามเชอ่ื ความเลือ่ มใสปฏบิ ตั ิตามพระองคท า นแลว ไมว า จะเกดิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๖
๑๒๗
ในทใ่ี ดชาตชิ น้ั วรรณะใด สามารถทจ่ี ะบรรลถุ งึ จดุ หมายปลายทางไดเ ชน เดยี วกนั หมด
และตถาคตก็ทรงโปรดเต็มที่เชนเดียวกัน ไมท รงแยกเปน สดั เปน สว นฝา ยนน้ั ฝา ยน้ี
แบบคนทะนงตวั แลว เหยยี บคนนน้ั ดถู กู คนน้ี เพ่ือยกตวั ขึ้นใหเหนือมนษุ ยตาดําๆ
ดว ยกัน ราวกบั ตนเปน เทวดามาจากแดนสวรรคช น้ั พรหมไหนกไ็ มร ู
นั่นมันแบบอึ่งอางพองตัว แบบโลกทเ่ี ตม็ ไปดว ยความหยง่ิ ยโส ทั้งอยากเดน
อยากดัง อยากจะมีเกียรติยศชื่อเสียง อยากมชี าตชิ น้ั วรรณะอนั สงู สง แตธ รรมชาตทิ ่ี
แทก็คือคนซึ่งตองทําดีจึงจะเปนคนดี ตองทําชั่วจึงจะเปนคนชั่วได มไิ ดเ ปน ไดเ พราะ
ความเสกสรรปน ยอเอาเฉยๆ สง่ิ เหลา นน้ั เปน เครอ่ื งเสกสรรกนั ขน้ึ มาตา งหาก ไมใช
เปน เรอ่ื งความจรงิ ความจริงตามสมมุติอันแทจริงก็คือคน ยอ มมคี วามเสมอภาคแหง
ความเปน มนุษยดวยกันหมด
คาํ วา คนดว ยกนั แลว ถงึ จะเปน ภาษาใด กต็ าม อยูบานใดเมืองใดก็มีภาษาของ
ตนเปนเครื่องใชตอกัน เขาใจกันไดก็เปนอันใชไดดวยกัน แมแตนกและสัตวตางๆ
เขายังมีภาษาของเขาเอง เขาก็ใชตอกันอยางสะดวกสบายและเขาใจซึ่งกันและกันได
เหตุใดมนุษยเราพูดรูเรื่องของกันและกันดีอยูแลวจะไมเขาใจกันได ฉะนน้ั มนษุ ยเ รา
จะเกิดมาจากสถานที่ใดๆ กต็ าม เมอ่ื เขา สหู ลกั ธรรมวนิ ยั แลว ยอ มสนทิ แนบเนยี นตอ
กันไปหมด เพราะธรรมวินัยเปนสิ่งที่กลมกลอมหลอหลอมจิตใจใหมีความสนิทแนบ
เนียนตอกัน
การปฏิบตั เิ คยพูดใหฟ งเสมอ นอกจากหลกั การแหงการปฏิบัตทิ ี่อธบิ ายมา
แลว เบ้อื งตน ที่พระพทุ ธเจาและพระสงฆสาวกทา นพาดาํ เนิน ทา นดาํ เนนิ อยา งนน้ั
ถอื จติ ตภาวนาเปน สาํ คญั ยง่ิ กวา งานใด สําหรับที่อยูอาศัยพอบังแดดบังฝนพักผอน
นอนหลบั เทานน้ั แมแ ตสัตวเ ขายังทํารวงทาํ รังเพ่อื อยอู าศัยตามสภาพของเขา มนุษย
เราทม่ี าบวชเปน พระกม็ าจากคน คนมีบานมีเรือนมีที่อยูอาศัยมีเครื่องใชไมสอย พระ
ก็จําตองมีตามสภาพของสมณะ อะไรขาดตกบกพรองก็จําเปนตองขวนขวายในกิจที่
สมควรแกส มณะทค่ี วรจดั ควรทาํ แตไมถ งึ กบั เปนกจิ การพรํา่ เพรื่อวนุ วาย จนถงึ กบั
เปน อารมณข นุ มวั มว่ั สมุ กบั งานนน้ั จรงิ ๆ ซง่ึ ในขณะเดยี วกนั กเ็ ปน การเหยยี บยาํ่
ทําลายจิตใจของตนลงไป เพราะความกงั วลกบั งานภายนอก จนกลายมาเปน ขา ศกึ ตอ
งานจิตตภาวนา ผูปฏิบัติตองระวังใหมากไวนั่นแลพอดี เพราะพระเราสว นมากชอบ
เลยเถดิ จนกลายเปนเตลิดเปดเปงแหวกแนวซึ่งมีมากตอมากในวงปฏิบัติ
นจี่ งึ ไดพยายามระวงั เสมอ ทค่ี ดิ ไวก แ็ นใ จวา ไมผ ดิ เชน มที า นผศู รทั ธาจะ
ถวายเงนิ เพอ่ื สรา งโบสถท ง้ั หลงั เรายังไมอาจรับได นน่ั เคยมีบางไหมในประเทศไทย
และองคไหนทมี่ ีผถู วายเงินสรางโบสถท ัง้ หลงั แลว ไมร ับ นอกจากขรวั ตาวาสนานอ ยน้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๗
๑๒๘
เทา นน้ั จึงไมอาจรับได ทไี่ มอ าจรับไดน ั้นก็มีเหตผุ ลเหมอื นกัน แตเ วลาพดู กบั วงภาย
นอก กพ็ ูดวา ไมม ีวาสนาจงึ ไมอาจรบั ได พูดเลี่ยงไปเสยี พอใหเร่อื งผานไป ความจรงิ
หลักธรรมทเี่ ราเลง็ อยยู ึดถอื อยู กราบไหวบ ชู าเปน ขวญั ใจและเทดิ ทนู สดุ จติ สดุ ใจอยู
ตลอดเวลานน้ั เปนสิ่งที่ใหญโตมากยิ่งกวาสิ่งใดในโลกธาตุ
สง่ิ เหลา นน้ั เราไมไ ดเ ทดิ ทนู เหมอื นธรรม เพราะเปนเพียงปจจัยเครื่องอาศัยไป
เปนวันๆ เทา นน้ั สว นธรรมเปน เรือ่ งใหญโ ตมากที่ตองรกั สงวน เรอ่ื งการสรา งโบสถ
สาํ หรบั วดั นย้ี งั ไมม คี วามจาํ เปน ส่ิงใดท่จี ําเปน ก็ทาํ ส่งิ นั้น เชน จติ ตภาวนาเปน งานจาํ
เปนอยางยิ่ง นี่ตองทํา การทําอุโบสถสังฆกรรมทําที่ไหนก็ได ตามรม ไมช ายเขาทไ่ี หน
ก็ไดไมขัดของอะไร ตามหลักพระวินัยจริงๆ แลว ไมมีอะไรขัดของ การสรา งโบสถ
สรา งวหิ ารควรใหเ ปน ทเ่ี ปน ฐานทเ่ี หมาะทค่ี วร ไมใชจะสรางดะไปหมด
การสรา งโบสถห ลงั หนง่ึ เปน ยงั ไง นบั ตง้ั แตเ รม่ิ แรกตกลงกบั ชา งในการสรา ง
โบสถเปนยังไง ถนนหนทางเขา ไปในวดั จนถงึ บรเิ วณทจ่ี ะสรา งโบสถ จะตอ งเปด โลง
ตง้ั แตบ ดั นน้ั จนกระทง่ั ถงึ วนั สรา งโบสถส าํ เรจ็ ตองบุกเบิกไปหมดยิ่งกวาโรงงาน คน
งานก็ตองมีทั้งหญิงทั้งชายจํานวนมากมายที่จะเขามานอนกองกันอยูนี้ ทั้งชางทั้งคน
งานไมท ราบมาจากแหง หนตาํ บลใด บางรายหรอื สว นมากกไ็ มเ คยรเู ลยวา ศาสนาเปน
ยังไง พระเณรในวดั ทา นปฏบิ ตั ยิ งั ไง แลว เขาจะมคี วามเปน ระเบยี บเรยี บรอ ย พอเปน
ความสงบงามตาแกพ ระเณรในวัดไดย งั ไง มันตองเหมือนกับเอายักษเอาเปรตเอาผี
เขา มาทาํ ลายวดั นน่ั เอง
ในขณะทเ่ี ปด โอกาสตกลงกนั เรยี บรอ ยแลว นน้ั นะ ไมวาผูคนหญิงชาย รถรา
ตางๆ ตองเขาตองออกกันตลอดเวลา ประตูวัดปดไมไดเลย และสถานทท่ี จ่ี ะสรา ง
โบสถข ้ึนมาใหเปน ของสงางามแกวดั แกพ ระสงฆใ นวดั แตพระกลับตายกันหมดจาก
จติ ตภาวนา จากมรรคจากผลนิพพานทีค่ วรจะไดจะถงึ จากสมณธรรมคือจติ ตภาวนา
แลว จะเอาอะไรมาเปน ความสงา งามอรา มตา ลองพจิ ารณาดซู ิ นเ่ี ราคดิ อยา งนน้ั และ
พูดอยางนี้นะ จะเปนความคิดผิดพูดผิดหรือถูกประการใดบาง
ธรรมเปน ส่ิงสาํ คัญมากมาตลอดอนันตกาล พระพุทธเจาก็ดีสาวกก็ดี ไมใชนัก
สรา งโบสถส รา งวหิ าร สรา งสง่ิ รโหฐานสาํ ราญตาอะไรเลย แตเ วลาทา นรอู รรถรธู รรม
ภายในใจของทา นแลว เปนยังไงบางการประกาศธรรมสอนโลกของทานนะ ยกตัว
อยางสมัยปจจุบัน ทา นอาจารยม น่ั ทา นสรา งอะไร นอกจากทา นสรา งจติ สรา งใจทา น
อยา งเตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถดว ยจติ ตภาวนา จนเปน ผฉู ลาด
แหลมคมเต็มภูมแิ ลวยอนมาสัง่ สอนโลกอยางเตม็ ภมู ิ เปน ยงั ไงเราดเู อา คนนบั ถอื
ทา นอาจารยมน่ั ทว่ั ประเทศไทยเราจนตลอดถึงเมอื งนอก นน่ั ผลแหง การปฏบิ ตั ธิ รรม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๘
๑๒๙
รธู รรมเหน็ ธรรม มใี จเปน หลกั เปน เกณฑด ว ยอรรถดว ยธรรมแลว สั่งสอนโลกไดลึก
ซึ้งกวางขวางขนาดไหน พจิ ารณาดซู ิ นล่ี ะธรรมภายในใจ สมบตั ภิ ายในใจแทเ ปน
อยา งน้ี ผิดกับสมบัติกาฝากเปนไหนๆ
ใจเปน สง่ิ สาํ คญั มอี าํ นาจมาก สามารถทาํ ประโยชนไ ดม ากมายเมอ่ื มคี ณุ
สมบตั อิ ยภู ายในใจแลว แลว โบสถห ลงั ไหนทม่ี อี าํ นาจวาสนามากไปเทย่ี วประกาศ
ศาสนาสอนโลกสงสารใหค นเขา ถงึ ธรรม ธรรมถึงใจซาบซ้ึงเปน คนดขี ้นึ มาได เราเคย
เหน็ โบสถห ลงั ไหนบา ง ทั้งนี้เราไมไดประมาท แตแยกมาเทยี บเคยี งตามหลักเหตผุ ล
เราไมไดป ระมาทและไมไดหา มวาไมใ หสรา งโบสถ สถานทค่ี วรสรา งเราไมว า แต
สถานทท่ี ไ่ี มค วรสรา งกไ็ มค วรมาทาํ ลาย สถานทน่ี เ่ี ปน สถานทส่ี รา งจติ ใจ ดว ยจติ ต
ภาวนาใหม หี ลกั ฐานมน่ั คง พระองคหนึ่งๆ ไดป ระโยชนท างดา นจติ ใจแลว จะทํา
ประโยชนใหโลกไดร บั กวา งขวางมากมายเพียงไร เราคดิ หมดแลว เรอ่ื งเหลา น้ี
เพราะฉะนน้ั บรรดาทา นทง้ั หลายทม่ี าสสู ถานทน่ี ่ี มาจากภาคตา งๆ กนั ผมจงึ
เหน็ ใจและอตุ สา หพ ยายามอบรมสง่ั สอนอยเู สมอ ไมละไมปลอยไมวาง แมจ ะสอน
ประชาชนไมไดในบางกาลเพราะเกี่ยวแกสขุ ภาพไมอ าํ นวย ผมกพ็ ยายามหาเวลาํ่ เวลา
อบรมพระ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชนของพระโดยตรง เวลาพระไดร บั ประโยชนจ ากการได
ยนิ ไดฟงแลว ปฏิบตั ติ นเต็มเมด็ เตม็ หนวย จนเปน หลกั เปน เกณฑภ ายในจติ ใจแลว
การประกาศศาสนานน้ั หากเปน ไปเองตามภมู นิ สิ ยั วาสนา เมอื่ มีสมบัตแิ ลวยอมแจก
จายไดอยางไมอัดไมอั้น ตามแตเ หตกุ ารณส ถานทจ่ี ะอาํ นวย แตแ บบขายกอ นซอ้ื
แบบสกุ กอ นหา มนน้ั มนั จมทง้ั นน้ั แหละ ตนยังไมรูเรื่องอะไร สอนตนก็ยังไมได แต
อวดฉลาดแหวกแนวไปสอนคนอน่ื นน้ั ตนและธรรมเลยกลายเปน โลก แลว กร็ า ยยง่ิ
กวาโลกไปอีก จะจัดวา เปนอุบายวิธที ่นี า ชมเชยไดย ังไง นั้นไมใชทางของพระพุทธเจา
ไมใชทางของสาวกทานที่พาดําเนินมา
ทา นรเู สยี กอ น องคไหนๆ ก็เหมือนๆ กัน กอนที่จะนําธรรมไปสอนโลก รเู หน็
เสียกอน ไมอยางนั้นเอาอะไรไปสอนเขา เอาแตคําพูดเฉยๆ ไปสอนเขามีหลักมี
เกณฑอะไร ก็ไมมีที่ซึมซาบ ไมมีที่ยึดที่เหนี่ยว ไมเปนเครื่องดึงดูดจิตใจของผูฟง ไม
เหมอื นผมู คี ณุ ธรรมเตม็ หวั ใจแลว ไปสอนคน นั่งอยูเฉยๆ ก็เปนคุณสมบัติอยูในตัว ผู
มธี รรมภายในใจอยไู หนกม็ ธี รรมอยนู น้ั แหละ การอบรมจติ ใจมคี ณุ คา อยา งน้ี ฉะนั้น
ขอใหพากันตั้งอกตั้งใจ เอาใหจ รงิ ใหจ งั ฝงใจลงใหถึงธรรม นับแตสมาธิธรรมขึ้นไป
โดยลาํ ดบั
มรรคผลนพิ พานอยาไปคาดไปหมายทใี่ ด มีอยูในวงกายกบั จิตนี้ อยูในวงขันธ
หา น้ี เอาใหด ี ส่งิ ใดมสี ว นเกยี่ วขอ งกบั ใจกพ็ จิ ารณาไป เชน รปู เสยี ง กลน่ิ รส เครอ่ื ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๒๙
๑๓๐
สัมผัส เพราะความสมั ผสั ความพวั พนั ความตดิ ทั้งรักทั้งชัง มันติดไดทั้งนั้นแหละจิต
ใจ มันติดทั้งรักติดทั้งชัง ติดทั้งโกรธทั้งเกลียด ติดไปหมดติดไมเลือก กินไมเลือก
เพราะฉะนั้นจึงตองแยกแยะคลี่คลายออกใหรูเรื่องของมันดวยสติปญญา จนจติ หาย
สงสยั แลว ถอนตวั เขา มาทเ่ี รยี กวา ปลอ ยวาง เพราะความเขา ใจแลว ดว ยการพจิ ารณา
ผลสุดทายก็ไมไปที่ไหน ลงมารวมที่ใจ เมอ่ื ใจไมก งั วลวนุ วายเพราะปญ ญาหวา นลอ ม
ใหท ราบเรอ่ื งราวหมดแลว ใจกห็ ายกงั วล ทนี จ้ี ะทาํ สมาธภิ าวนาเมอ่ื ไร ใจก็สงบ
สะดวกสบาย ใจมแี ตค วามสงบรม เยน็ เปน เรอื นอยู
เอา คลค่ี ลายทางดา นปญ ญา อยา อยเู ฉยๆ เมอ่ื ถงึ กาลเวลาทค่ี วรพจิ ารณาตอ ง
พจิ ารณา ปญญาเปนสิ่งสําคัญอยูมาก สตเิ ปน ภาคพน้ื เปน เครอ่ื งควบคมุ งานใหเ ปน
ไปดว ยความเจาะจง เปนไปดวยความรูสึกตัว เปน ไปดวยเจตนา ปญญาก็ทําหนาที่
เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เมอ่ื เหน็ ผลแหง การพจิ ารณามากนอ ยแลว ปญญาก็เขยิบไป
เรอ่ื ยๆ เพราะความมแี กใ จ เหมือนกับเราคาขายทม่ี กี าํ ไรขึ้นมา นกั การคา กม็ คี วาม
ขยนั หมนั่ เพยี ร ถาคาอะไรก็มีแตลักษณะซื้อสิบขายหาๆ ขาดทุนๆ คนเรากข็ เ้ี กยี จ
เมอ่ื ซอ้ื หา ขายสบิ ๆ ไดกําไรก็ขยันไปเอง
ใจก็เหมือนกัน เมื่อพยายามตั้งอกตั้งใจภาวนาแลว จะตองเปนลักษณะซื้อหา
ขายสบิ ไมส งสยั แตก ารนง่ั อยเู ฉยๆ เหมอื นหวั ตอ ไมมีความรูสึกอะไร ใจลอยไมมีสติ
กบั อรรถกบั ธรรม แตใจไปวนุ วายอยกู ับโลกภายนอกซ่งึ เปนเรือ่ งของกิเลสตัณหา
ลว นๆ นน้ั แหละเปน งานสง่ั สมกเิ ลสมาทบั ถมจติ ใจใหม คี วามอบั เฉายง่ิ ขน้ึ ไป แถมยัง
มวั เมาเสยี ดว ยซาํ้ คือมัวคิดมัวอานกับอารมณอันเปนพิษอยูอยางนั้น ไมรูอรรถรู
ธรรมวา เปน ยงั ไง เดินจงกรมก็มีแตกาวขาไป นง่ั สมาธกิ ส็ กั แตว า กริ ยิ า มีแตกิริยา
ความทําจรงิ ๆ คือจิต มนั เปน ไปตามโลกตามสงสาร รปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส
อดีต อนาคตวนุ ไปหมดภายในใจ จะเอาอะไรมาเปนกําไร ก็มีแตขาดทุนปนปละซิ
ทีนี้เจาของก็ขี้เกียจ เพราะเจาของหากทําทางข้ีเกียจใหต วั เองเจา ของก็เดินเอง
ผลแหงความขี้เกียจคือกองทุกขถมหัวใจทุกภพทุกชาติไมมีที่สิ้นสุด เพราะจิตที่ขี้
เกียจทางหนึ่งยอมขยันในอีกทางหนึ่ง เมอ่ื ขเ้ี กยี จทางความเพยี รเพอ่ื การชาํ ระกเิ ลส ก็
ตองขยันในการสงั่ สมกเิ ลสไมมีทางหยดุ หยอ นเกียจครา นเลย ผลคือกองทุกขทางใจ
จึงตองพอกพูนหนาแนน เพราะฉะนน้ั จงเหน็ ความขเ้ี กยี จเปน โทษแกเ ราเอง แลว
พยายามพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงสติปญญา เพื่อลบลางความขี้เกียจดวยอุบายตางๆ
นน้ั แหละจงึ จะมวี นั รเู หน็ ธรรมไปโดยลาํ ดบั
การสรา งตวั เราเองนแ่ี หละสาํ คญั มากยง่ิ กวา สรา งสง่ิ อน่ื ใด จะหนกั จะเบากช็ า ง
เถอะ มนั เทา ตวั ของเรานแ่ี หละ ไมสุดวิสัยกําลังของเราไปได พระพุทธเจาทรงสอนไว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๐
๑๓๑
ใหพ อเหมาะพอสมกบั เราอยูแ ลว ปริมาณแหงธรรมที่พอประมาณก็ ๘๔,๐๐๐ พระ
ธรรมขันธ สรุปลงแลว ก็คือ ศลี สมาธิ ปญญา หรอื โพธิปกขิยธรรม ๓๗ ประการ ก็
ไมเ หน็ มากมายจนเกนิ ความสามารถ และอยใู นวงกายกบั จิตของเราน้ที ง้ั นัน้ ทําไมเรา
จะทําไมไดรูไมไดเลา
เดนิ จงกรมกใ็ หสบื เนื่องไปโดยลําดบั ดว ยสติ นง่ั สมาธิกใ็ หสบื เน่อื งไปโดย
ลาํ ดบั ดว ยสติ การบงั คบั บญั ชาตนอยเู สมอนน้ั แลคอื ผมู คี วามเพยี ร ความเหน็ วา การ
บงั คบั บญั ชาจติ ใจเปน เสย้ี นเปน หนามแลว ไมอ ยากทาํ อยากอยูเฉยๆ เหมอื นคนสน้ิ
ทาและปลอยตามอําเภอใจนั้นเปนคุณงามความดี นั้นแหละคือกองทัพกองแทรกแซง
ของกเิ ลสมนั เขา กระซบิ กระซาบภายในใจ จนหลงเคลิ้มไปตามมันและลืมเนื้อลืมตัว
ไปแลว กลบั เหน็ วา ความเพยี รเปน ขา ศกึ แกต น เหน็ วา กเิ ลสนน้ั เปน มติ รเปน สหาย
นน้ั แหละคอื หนทางเกดิ -ตายไมมีหยุดมียั้ง เกดิ แลว ตาย ตายแลว เกดิ วกไปเวียนมา
เพราะถูกมนตขลังของกิเลสเขาเต็มเปา เขลาไมม วี นั สรา ง ธรรมซึ่งเปนยาแกแตกลับ
เหน็ วา เปน ยาพษิ สง่ิ ทผ่ี ดิ เหน็ วา เปน คณุ นี่คือมนตขลังของกิเลสทําแกสัตวโลกเรื่อย
มาอยางไดผลเกนิ คาด พากนั ทราบเสยี ถา ไมต อ งการใหมันกลอมอยเู ร่ือยไป และ
นอนจมอยูในกองทุกขร่ําไป
สถานท่ีอยูน ี้กร็ สู กึ วาพอเหมาะสม แมว า จะไมเ ปน มหาวทิ ยาลยั ดงั ครง้ั
พุทธกาลที่ทานอยูตามปาตามเขาอันเหมาะสมอยางยิ่ง แตก เ็ ปน ปา เปน ทเ่ี หมาะสม
พอประมาณ เราก็พยายามชว ยเหลอื ทุกดา นทุกทาง เพราะเหน็ ใจหมเู พอ่ื นผมู า
บาํ เพญ็ เราพอพดู ไดไ มวา ชาตชิ น้ั วรรณะใดท่ีเขามาเกยี่ วขอ งท่นี ี่ เหตุผลที่ควรพูดมี
อยเู ราพดู ได เราไมเ กรงผูใดในโลกอนั นใี้ หนอกเหนือธรรมไป เคารพธรรมมากยง่ิ
กวา เคารพผใู ดสง่ิ ใดในโลก เมื่อถึงกาลที่จะพูดโดยอรรถโดยธรรมแลวเราพูดได เพื่อ
ไมใ หใ ครไปรบกวน เวลานท้ี า นภาวนาอยา ไปกวนทา น เวลานท้ี า นกาํ ลงั ทาํ งานคอื เดนิ
จงกรมบา งนง่ั สมาธภิ าวนาบา ง เวลาแสดงเสยี งเอด็ ตะโรโฮเฮไป ทา นไดย นิ เสยี งทา น
กห็ ลบหลกี หนเี สยี นง่ั ภาวนาอยกู ห็ ลกี หนเี สยี กําลังเดินจงกรมก็หลีกหนีไปเสีย ทาํ ให
เสยี งานเสยี การของทา น ไมค วรไปรบกวนในเวลาเชน น้ี
เวลาไหนทเ่ี หมาะสมเรากบ็ อกเขาใหเ ปน ทเ่ี ขา ใจ ใครจะโกรธจะเคยี ดเราไมต ดิ
ใจ เพระถือวาการพูดลงไปดวยเหตุดวยผลนั้นเปนความถูกตองดีงามแลวทั้งฝายเขา
ฝายเรา ไมม อี ะไรเปน ความเสยี หาย หากจะเกดิ เปน ความเสยี หายภายในใจเขา ก็
เพราะเหตุของเขาคิดขึ้นในทางไมดีของเขาตางหาก แตใครจะไปถือโกรธถือเคียดเลา
แนใ จวา ไมม ี เพราะตางก็มามุงอรรถมุงธรรมอยูแลว การบอกเตอื นกบ็ อกเตอื นโดย
ธรรมยอมเขากันไดสนิทไมสงสัย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๑
๑๓๒
เวลานง่ั ถา รสู กึ รา งกายมนั หนกั ใหเ ดนิ มากๆ ไมไดทํางานก็ใหเดินมากๆ เปน
การทาํ งาน ตั้งสติใหดี ความเพยี รอยกู บั สตเิ ปน สาํ คญั การพจิ ารณากถ็ อื รา งกายของ
เราหรือรางกายของสัตวของคนหญิงชายไดทั้งสิ้น เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณา
เวลาพจิ ารณาใหเ หน็ ตามความจรงิ ของสง่ิ นน้ั ๆ จรงิ ๆ ดวยสติปญญา มรรคมีไดท ัง้
ภายนอกภายใน เพราะสมุทัยคือตัวกิเลสมันมีไดเกิดไดทั้งภายนอกภายใน เชน ตดิ
รปู ตดิ เสยี ง กลิ่น รส เปนตน กเ็ ปน สมทุ ยั แลว รปู เสยี ง กลิ่น รส ท้งั หลายมนั อยขู า ง
นอก จิตไปติดสิ่งนั้นไปติดสิ่งนี้ ไปติดคนนั้นไปติดคนนี้ แกเหตุติดของนั้นดวย
ปญ ญาจนเปน ทเ่ี ขา ใจกเ็ ปน มรรค เพราะฉะนน้ั การพจิ ารณาจะพจิ ารณารปู ใด หญงิ ใด
ชายใด สัตวตัวใดไดทั้งนั้น พิจารณาใหเปนธรรม เชน พจิ ารณาใหเ ปน อสภุ ะอสภุ งั
ปฏิกูลโสโครกปาชาผีดิบ หรอื พจิ ารณาเปน อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ซึ่งเปนความจริงดวย
กันไดทั้งนั้น ขางนอกก็ไดขางในก็ไดถาพิจารณาเปนมรรค
การพิจารณาตอ งขัดตอ งขนื กนั ฟด เหวี่ยงกันระหวา งกเิ ลสกบั ธรรม เพราะทง้ั
สองนีเ้ ปนขาศึกกันมาแตก าลไหนๆ อยใู นใจดวงเดยี วกันมันกเ็ ปนขา ศึกกันอยูอ ยาง
นน้ั สวนมากมแี ตก เิ ลสเปนฝายไดเ ปรยี บอยูเสมอโดยเราไมร ูสึกตวั ถา รสู กึ ตวั อยบู า ง
วา เออ..วนั นเ้ี ราแพก เิ ลสประเภทนน้ั ๆ ก็จะพอมีอุบายวิธีหรือมีแกใจฟตสติปญญา
ศรทั ธา ความเพียรขึ้นใหก ลา แข็งและตอ สกู นั จนไดชยั ชนะ ยอ มสมนามวา นกั รบ
การข้ึนเวทไี มร ูแพร ูชนะ มีแตถูกน็อกลงไปๆ สลบลงไปไมร เู นอ้ื รตู วั มันดูได
หรอื อยา งนน้ั เอาใหเ หน็ ความแพค วามชนะบา ง จึงชื่อวาผูมีสติปญญาทดสอบตัวเอง
วนั ไหนเดนิ จงกรมนง่ั สมาธภิ าวนาเทา นน้ั ๆ แตไมไดเรื่องอะไรเปนเครื่องสะดุดใจ
ความสงบกไ็ มป รากฏใหเ ปน เครอ่ื งสะดดุ ใจ อุบายสติปญญาควรที่คิดขึ้นมาก็ไมพอ
เปน ผลใหเปนเครอื่ งสะดุดใจ จะเรยี กวา ทาํ งานไดผ ลอยา งไรกนั เพราะมแี ตขาดทนุ
โดยถา ยเดยี ว
ตองฟตสติปญญาขึ้นมาใหม พลิกอุบายขึน้ มาใหมและพิจารณาตอไปใหมจ น
เหน็ ผลประจกั ษใ จ ไมมีคําวาถอยหลังนั่งเซอตาเหมอมองแบบถูกน็อกจากกิเลส
เพราะไมใชวิถีทางของนักรบเพื่อชัยชนะ ถงึ กาลเวลาเดด็ กต็ อ งเดด็ เวลาธรรมดาก็
ธรรมดาบา ง เมอ่ื กเิ ลสมนั โผนออกมาเรากโ็ ผนเขา ใสก นั และรบกนั เอา จะตายกต็ าย
อยาเสียดายชีวิตธาตุขันธยิ่งกวาธรรมคือแดนพนทุกข ซง่ึ รอรบั นกั รบผกู ลา หาญชาญ
ชยั อยแู ลว นเ่ี คยเปน มาแลว ไมไดพูดแบบลมๆ แลง ๆ นะ ถงึ เวลาควรจะเอากนั อยา ง
เตม็ ที่สดุ เหวย่ี งกท็ ําอยา งนน้ั จรงิ ๆ ถา ไดท าํ อยา งนน้ั แลว มนั แนใ จจใุ จทกุ ๆ ครั้งที่ทํา
และพูดไดอยางเต็มปากวาไดผลคุมคา ไมเ สยี ทขี องการพลชี พี แบบสตู าย พรอมทั้งรู
หนา กเิ ลสตัวผาดโผนไดอยางเต็มตาเต็มใจ (สติปญญา)
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๒
๑๓๓
ฉะนั้นอุบายตางๆ ทส่ี อนนจ้ี งนาํ ไปแยกแยะไปพจิ ารณาเอาเอง ผปู ฏบิ ตั มิ จี รติ
นิสัยไมเหมือนกัน แตพ งึ ทราบวา กเิ ลสมนั ชอบความออ นแอเสมอนะ ธรรมะชอบ
ความเขม แขง็ ความเขมแข็งเครื่องชนะความออนแอคืออุบายของกิเลส ความฉลาด
เปน เครอ่ื งชนะความโง กเิ ลสพาคนใหโ งพ าจติ ใจใหโ ง ตวั กิเลสน้ันไมไ ดโง สติปญญา
จึงตองนําไปใชเพื่อปราบปรามความโงอันเปนตัวกิเลสฝงใจนั้นใหหมดไปๆ ความ
สงางามของใจไมตองถามไมตองบอกละ จะคอยปรากฏขึ้นมาเอง
ธรรมสมบตั เิ ปน สง่ิ สาํ คญั มาก โลกขาดธรรมสมบัตินี้แลโลกถึงไดรอน สมบัติ
ภายนอกไมเปน ประโยชนอ ะไรพอทจ่ี ะใหโ ลกไดรบั ความรมเย็น ถาไมมีธรรมสมบัติ
อยภู ายในใจเปน คเู คยี งกนั จะรักษาตัวรักษาโลกใหมีความสงบรมเย็นไปไมไดมนุษย
เรา ดวยเหตนุ ศ้ี าสนาจงึ เปนความจําเปน อยา งยิ่งตอ มนษุ ยทกุ เพศทกุ วยั
อยา งทพ่ี วกทาํ ลายโลกทาํ ลายความเปนมนษุ ยลงใหเปน สตั วเสมอกนั หมด เขา
โจมตีนั้น ชาวพุทธบางรายก็แกเขาไมได ทเ่ี ขาหาวา ศาสนาเปน ยาเสพตดิ เหมือนกับ
ศาสนามคี วามบกพรอ ง ท้ังทไ่ี มม อี ะไรผใู ดจะสมบรู ณเทยี มเทา ศาสนาเลย ถาคนไม
เคยอา นไมเ คยปฏบิ ตั ศิ าสนาไมเ คยรศู าสนา กไ็ มท ราบความจรงิ ของศาสนาและหา
ทางแกเขาไมได วาพระกนิ แรงงานสวนเกนิ ของคนอยางนั้นอยางน้ี พระอยเู ฉยๆ ไม
ไดทําประโยชนอะไรแกโ ลกเขาวาอยา งนั้น หมอ แกงไปไถนาใหค นเหรอ แตเวลาได
ขาวไดอาหารมาก็มาหุงตมที่หมอแกง มนั งานคนละหนา ทๆ่ี เชน ไฟฟาเครอื่ งชารจ
แบตเตอรี่มันไปทํางานใหใคร กระแสไฟที่สองสวางทั่วดินแดนนั้นมันออกจากไหนถา
ไมออกจากที่ชารจหรือโรงไฟฟานะ การสง่ั สอนอบรมคนใหม หี ลกั เกณฑใ หร คู วามผดิ
ถูกชั่วดี และเพอ่ื เปน กาํ ลงั ใจในการประกอบกจิ การตา งๆ เปน สง่ิ จาํ เปนมาแตไหนแต
ไร โดยที่ผูสั่งสอนไมจําตองไปประกอบกิจการตาง ๆ ดังผูมาศึกษาอบรม การอบรม
สั่งสอนเพื่อผลของงานอันถูกตองดีงามไมผิดพลาดซึ่งเหมือนกับชารจแบตเตอรี่ ถา
ไมใ ชเ รื่องศาสนาจะเปนเรื่องอะไร
คนไขไมติดยาไมติดหมอ ไมเกี่ยวของกับยาไมเกี่ยวของกับหมอ จะหายจาก
โรคกลับเปนคนดีไดย งั ไง ยง่ิ กวา นน้ั มนั กเ็ ปน คนตายเทา นน้ั เอง พจิ ารณาดซู ิ คนไข
ตองพัวพันกับยาพัวพันกับหมอ เพราะเปนสิ่งจําเปนที่ตองเกี่ยวของกัน ถาคนไขถือ
วา การรับประทานยาจากหมอการติดตอ เก่ียวขอ งกบั หมอเปน ยาเสพติดแลว คนไข
คนนั้นมันก็ตองตาย คนมกี เิ ลสกเ็ ปน คนไขแ ตล ะคนแตล ะประเภทๆ เพราะมคี วาม
ผิดเต็มตัวมีโทษเต็มใจ ไมม ยี าธรรมโอสถคอื ศาสนาชว ยบาํ บดั รกั ษา ไมม คี รอู าจารย
แนะนาํ สง่ั สอนแลว มนั จะหาความดงี ามมาจากไหนคนเรา โรคคอื ความโลภมนั กร็ นุ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๓
๑๓๔
แรง โรคคอื ความโกรธกร็ นุ แรง โรคคอื ความหลงไมม ขี อบเขตเหตผุ ลกร็ นุ แรง จนทํา
โลกใหแตกไดถาไมมียาคือธรรมบําบัดรักษาเลย
เมอ่ื นาํ ศาสนาเขา มาแกไ ขดดั แปลง หรือชะลางสิ่งที่เปนขาศึกตอความสงบสุข
ของโลกใหเบาบางลงพอมนษุ ยอ ยูด ว ยกันไดด ว ยความสงบสุข มนั เปน ความเสยี หาย
ที่ตรงไหน คนดขี ้นึ ทกุ วนั อาการทุกสิ่งทุกอยางดีขึ้น โลกไดร บั ความรม เยน็ เพราะ
ศาสนธรรมกลอ มเกลาขดั ถู แลว ศาสนาเปน ยาเสพตดิ ทาํ ใหค นเสยี คนทต่ี รงไหน
เหมอื นอยา งคนไขห ายจากโรคดว ยยา หายจากโรคดวยหมอ มนั เปน ยาเสพตดิ ทาํ ให
คนเสียคนทตี่ รงไหน หาที่ตําหนิวาไมถูกไมดีที่ตรงไหน นอกจากคาํ กลา วหาเหลา นน้ั
เปน การอตุ รหิ าเรอื่ งกอ กวน และทาํ ลายความสงบสขุ ของโลกใหฉ บิ หายโดยถา ยเดยี ว
ไมม สี ารคณุ แมแ ตน ดิ เลย จะเปน คาํ พดู วเิ ศษวโิ สมาจากเทวดาตนใด จึงจะพอลงใจ
เชื่อถือได
ยาเสพตดิ เปน สง่ิ ทท่ี าํ ใหค นเสยี คนตา งหาก ศาสนาไมไ ดท าํ ใหค นเสยี คน นอก
จากทาํ คนใหด แี ละดเี ยย่ี มโดยถา ยเดยี วเทา นน้ั ผูไมถืออะไรเลยนั่นแหละคือคนตาย
หมดสารคณุ ผูไมไดติดอะไรไมไดเกี่ยวของกับอะไรเลยคือคนตายไรคุณคา เพราะ
คนตายไมรสู กึ สนใจกับอะไรท้งั สิน้ เราเปน คนดๆี ยังมีชีวิตอยู ตอ งมคี วามจาํ เปน ใน
สง่ิ ทเ่ี หน็ วา จาํ เปน อยรู าํ่ ไปทว่ั โลกดนิ แดน จนชีวิตหาไมแลวจึงไมถืออะไรไมสนใจกับ
อะไรเพราะสดุ วสิ ยั
รางกายมคี วามจาํ เปน กบั วตั ถุ เชน ขาว อาหาร เครื่องนุงหม ที่อยูอาศัยปจจัย
ประเภทตา งๆ สว นใจมคี วามจาํ เปน กบั ศาสนธรรมเปน อยา งยง่ิ ทเี ดยี ว เพราะธรรม
เปน เครอ่ื งเสวยของใจโดยตรง วัตถุไมใชวิสัยของใจ ธรรมเปนทั้งเครื่องสองทางเปน
ท้งั เครอื่ งเสวย เปนที่อบอุนของใจ ใจตองพึ่งพิงธรรมตลอดไปจนถึงจุดที่หมายซึ่งไม
ตอ งอาศยั อะไรมาสง เสรมิ เพม่ิ เตมิ เหมือนคนเดนิ ทาง เม่ือยงั ไมถงึ จดุ หมายปลาย
ทางเมื่อไร ทางยอมมีความจําเปนตลอดไป หรอื เชน เดยี วกบั คนไขเ มอ่ื ยงั ไมห ายจาก
โรค ยากับหมอตองมีความจําเปนที่คนไขจะตองเกี่ยวของอยูตลอดไป จะวา ตดิ หรอื
ไมติดความจริงก็เปนอยางนี้ นน้ั มนั เปน เรอ่ื งใจสกปรก ปากสกปรก ใจมืดใจบอดใจ
ไมไสระกํา ใจไมม ีความรไู มมคี วามหมาย จงึ ไมร จู ักคิดสนใจในสง่ิ ทเ่ี ปน สารคณุ จงึ
พูดเพื่อทําลายมนุษยผูมีจิตเปนกุศลใหขาดผลขาดประโยชน ย่ิงกวา นั้นกท็ ําใหค นโง
หลงและเสยี ไปดว ยอยา งนา เสยี ดาย
จติ คนเราเมอ่ื ยงั มกี เิ ลสตณั หาอาสวะครอบงาํ อยู เรากําลังดําเนินเพื่อการแกไข
ถอดถอนยังไมถึงจุดหมายปลายทางตราบใด ธรรมตองเปนของจําเปน อยูตราบนน้ั
เพ่อื เปนเคร่ืองช้ีแนวทางอยูเ รือ่ ยไป จนกระทั่งถึงที่สุดจุดหมายปลายทางแลว ปุญญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๔
๑๓๕
ปาป ปหนิ บคุ คล นั่น ใจยอมปลอยเอง เพราะเปน ผมู บี ญุ และบาปอนั ละเสยี แลว
เหมอื นเราเดนิ ขน้ึ มาบนศาลาน้ี เมื่อขึ้นถึงที่แลวบันไดก็หมดปญหาไปเอง ใครไปกอด
บันไดไวมีไหมเมื่อถึงที่แลว นศ่ี าสนากไ็ มไ ดส อนใหค นกอดแบบนน้ั น่ี คนทห่ี ายจาก
โรคแลวก็ไมใชจะมากอดยากอดหมอไว เมื่อหายจากโรคแลวก็ปลอยวางกันไปเองกับ
ยากับหมอ นเี่ ม่ือธรรมเขา ถงึ ใจอยางเตม็ ภมู แิ ลว ก็เปนเหมอื นคนไขกับยากบั หมอ
นน่ั เอง หากปลอ ยวางกนั เอง แลว ศาสนาเปน ยาเสพตดิ ทต่ี รงไหน
เวลานศ้ี าสนธรรมกบั ใจเรา จงเอาใหเ ตม็ ท่ี ใหต ดิ พันกันอยูอยางน้ันอยาลดละ
สตปิ ญ ญาเอาใหต ดิ พันกบั กเิ ลสตัวแสบ ตัวเปนยาเสพตดิ กันทว่ั โลกธาตุ กเิ ลสพาให
สัตวทําชั่วมัวหมองถึงกับมืดบอดไมมองเห็นบุญเห็นบาปอะไรเลย ไมอายเด็กๆ ที่เขา
มศี าสนาประจาํ ใจบา งกน็ บั วา เปน โรคประเภทไอ.ซ.ี ย.ู หมดหวังทั้งที่ลมหายใจยัง
ฟอดๆ อยู กิเลสมันเปนยาเสพตดิ ทําคนใหเ ปนสัตวไ ปมากตอ มากไมเหน็ พดู กนั
สว นธรรมะทน่ี าํ มาแกก เิ ลสจะกลบั เปน ยาเสพตดิ ทต่ี รงไหน ตวั กเิ ลสมนั เปน ยาเสพตดิ
ตา งหาก มันติดมาตั้งกัปตั้งกัลปแลวจนนับภพนับชาติไมได ผูหนึ่งมันกี่กัปกี่กัลป
เรอ่ื งเกดิ เรอ่ื งตาย เพราะอาํ นาจของกเิ ลสพาใหเ ปน ไป นั่นมันเปนยาเสพติดหรือไม
ตดิ ใครปลอ ยกเิ ลสไดส กั คน เบอ่ื หนา ยในกเิ ลสไดส กั คน หลุดพนจากกิเลสไดสักกี่
คน ไมเห็นมี กเิ ลสมนั ตดิ อยใู นหวั ใจนจ่ี นมองดใู จไมเ หน็ เลย ทําไมไมพูดตรงนี้ไม
ตาํ หนิตรงน้ีไมแ กต รงน้ี ถาเปนนักกีฬาจริงตองพูดตองยอมรับความจริงกัน โลกเขา
โลกเราจะไดม วี นั สงบเยน็ บา งสมกบั มมี นษุ ยค รองโลก ไมป ลอ ยใหค วามชว่ั ครอบหวั
ใจมนุษยโดยถายเดียวดังที่เปนอยูทั่วดินแดน
สติเปนของสําคัญ พูดเสมอสติ ปลอยไมไดเพราะเปนธรรมจําเปนอยางยิ่งกับ
ตวั เราผปู ระกอบความเพยี รเพอ่ื ความหลดุ พน ไมใ ชเ พยี รเพอ่ื อยใู นวฏั วน จงมีสติ
ประจาํ ตวั อบุ ายวธิ เี ปลย่ี นแปลงของการภาวนานน้ั มนั แลว แตจ ะปลุกใจตนเองดว ย
อบุ ายวธิ ใี ด ท่จี ิตจะมคี วามสนใจจดจอและสตจิ ะสืบเน่ืองกนั ตองพลิกแพลงเปลี่ยน
แปลงหลายทา หลายทาง แมค าํ บรกิ รรมกม็ ใิ ชจ ะเปน คาํ เดยี วแตต น จนตลอดไป ผู
ฉลาดตอ งหาอบุ ายเปลย่ี นแปลงไปตามทเ่ี หน็ ควรในจงั หวะนน้ั ๆ ทง้ั นแ้ี ลว แตอ บุ าย
ของสติปญญา นีก่ เ็ คยทาํ มาอยา งนัน้ เหมือนกันไมใชไ มเ คยทํา สงิ่ ท่นี ํามาสอนมีแตสิง่
ทเ่ี คยปฏบิ ตั ดิ าํ เนนิ และเหน็ ผลมาแลว ทง้ั สน้ิ จงึ กลา สอนตามความเปน จรงิ ไมคิดกลัว
วา จะผดิ ไป
การพจิ ารณาทางดา นปญ ญากไ็ มว า ภายนอกภายในในสตปิ ฏ ฐานส่ี กาเยกายา
นปุ สสฺ ี วหิ รต.ิ อชฺฌตฺตา วา กาเยกายานปุ สสฺ ี วหิ รต,ิ พหทิ ธฺ า วา กาเยกายานปุ สฺ
สี วิหรต.ิ อชฌฺ ตตฺ พหทิ ธฺ า วา กาเย กายานปุ สสฺ ี วิหรต.ิ พิจารณาทั้งกายนอกกาย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๕
๑๓๖
ใน พจิ ารณากายนอกบา งกายในบา ง พิจารณาทั้งกายนอกกายใน ยอ มเปน มรรคทง้ั
นั้นถูกตองทั้งนั้นแหละ เวทนากเ็ หมอื นกนั เวทนานอกเวทนาใน เวทนานอกทเ่ี ขาเปน
ทุกขกัน แตเวทนานอกของคนอื่น เวลาเปนทุกขเปนสุขถาเขา ไมแสดงอาการออกมา
เรากไ็ มร ู แตส าํ หรบั การปฏบิ ตั แิ ลว เราถอื กายเวทนาเปน เวทนานอก จิตเวทนาเปน
เวทนาใน สาํ หรบั การปฏบิ ตั เิ รามคี วามรสู กึ แนใ จอยา งน้ี
ก็ไมปฏิเสธเรื่องเวทนานอก เชน เขารองหมรองไหแสดงทุกขเวทนาขึ้นมา แต
อันนั้นมันหางไกลมากตอสติปฏฐาน ๔ ที่มีอยูกับตัวของเราอยางสมบูรณอยูแลว ถา
เวทนาในเวทนานอกไมม อี ยใู นกายในจติ น้ี จะมีอยูที่ไหน สติปฏฐาน ๔ ก็ไมสมบูรณ
ละซิ น่สี ติปฏ ฐาน ๔ มสี มบรู ณแ ตล ะคนๆ นอกจากไมฟ น ขน้ึ มาพจิ ารณาใหเ หน็ เดน
ชดั เทา นน้ั เชน ทุกข สมทุ ยั นโิ รธ มรรค ก็มีอยูในกายในจิตอันเดียวกันนี้มีสมบูรณ
อยูแลว สติปฏฐาน ๔ ก็มีอยูในกายในจิตสมบูรณอ ยแู ลว ถา ลงเปน ทแ่ี นใ จวา สมบรู ณ
อยแู ลว น้ี แมจะพิจารณาเรื่องนอกเขามาประกอบกันดังที่เคยไดอธิบายไวแลวก็ไมมี
อะไรขัดของ แตใ หเ หน็ อยา งนน้ั อยาไปเห็นขดั แยงตอ ธรรม ใครจะพจิ ารณาไปทาง
ไหนไดท ั้งนั้นขึน้ อยูกบั ความฉลาด พระพุทธเจาไมไดสอนคนใหโง
เอาใหจริงใหจังซิ ใหเ ห็นกิเลสหลดุ ลอยไปดวยสตปิ ญญาของเราจริงๆ เพราะ
เปนไปไดจริงๆ เชน พจิ ารณาอสภุ ะกเ็ อาจรงิ ๆ จนเกดิ ความสลดสงั เวชนาํ้ ตารว ง
อสุภะเปนอยางนี้เหรอๆ เหน็ กายเหน็ อยา งนเ้ี หรอ มนั ออกอทุ านภายในใจขึ้นมาเอง
เพราะมนั เปน จรงิ ๆ รเู หน็ จรงิ ๆ และสลดสงั เวชขน้ึ มาภายในใจ แลว รา งกายกเ็ ปอ ย
พังทลายลงไปๆ สติปญญาจอลงไปตรงไหนเหมือนกับเอาไฟเผาพรอมๆ กันไป
กระจายลงไปเปอ ยลงไปใหเ หน็ อยา งชัดเจน จากอสุภะก็แปรลงไปเปนธาตุ มีแตธาตุ
กบั จติ เทา นน้ั เมื่อรางกายสลายลงไปหมดแลว
แตอยาไปคิดคาดคิดหมายกับการอธิบายนี้นะไมถูก จะเปน สญั ญาอารมณ
พิจารณาจนมันลงถึงที่สุดของมันในขั้นนี้แลว จิตจะเขาใจไดอ ยางชดั เจนพรอมดว ย
ความอศั จรรยเ กนิ คาด วา .โธมีแตของปฏิกูลเต็มรางกายทุกสวน จากนน้ั กแ็ ปรเปน
ธาตุดิน นาํ้ ลม ไฟ มันหลงอะไรเมื่อเปนอยางนี้ ไปเสกสรรปนยอมันหาอะไร ความ
จรงิ มนั มไิ ดเ ปน ไปตามความเสกสรรนน่ั เลย มนั เปน ดงั ทพ่ี จิ ารณารเู หน็ อยเู ดย๋ี วนต้ี า ง
หาก ความเสกสรรน้ันมันคือของปลอมจากกเิ ลสลวนๆ เพราะกเิ ลสมอี าํ นาจมาก
แหลมคมมากทเี ดียว ของไมส วยไมง ามมนั กเ็ สกสรรวา สวยวา งาม เราก็เชื่อมัน ของ
อนจิ จฺ ํ เปนของไมเ ที่ยงแปรสภาพอยูตลอดเวลา มันก็เสกเปา วา เปนของจีรงั ถาวร
เปน สตั ว เปนบุคคล เปน เราเปน เขาไปไดอ ยา งไมอ ายความจรงิ คอื ธรรมบา งเลย ทุกฺขํ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๖
๑๓๗
อนตฺตา พระพุทธเจา สอนไวว าเปน ทกุ ข ไมใ ชเ ราไมใ ชข องเรา ไมใชเขาไมใชของเขา
ไมใชของใคร กเิ ลสกไ็ ปลบลา งใหเ ปน ตามมนั เสยี สน้ิ
เหมอื นเทวทตั ทล่ี บลา งศาสดาลบลา งศาสนานน่ั แล ทกุ วนั นม้ี นั กาํ ลงั ลบลา ง
อยา งนน้ั แหละ เชน หาวา ศาสนาเปน ยาเสพตดิ เปน ตน มนั ลบลา งแบบกเิ ลสลบลา ง
ธรรมนน่ั แล ปากวา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า แตจ ติ ไมไ ดร เู หน็ ไปตามอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺ
ตา แตมันไปตามแบบกิเลสกนั ทง้ั น้นั และลบลางธรรมของตัวเองใหงอกเงยขึ้นไมได
อสุภะอสุภังความจริงก็เห็นกันอยางชัดๆ ไมปดบังเลย มอี ยูทกุ ตวั สตั วบ คุ คล แตใจก็
ไมเ หน็ วา เปน อสภุ ะอสภุ งั มันเห็นเปนของสวยของงามไปเสีย จึงเปนเรื่องของกิเลส
ลบลา งธรรมทง้ั นน้ั ถาไดรูตามเรื่องของธรรมจริงๆ ทท่ี า นสอนไว ใครจะมาฝน แบก
หามอุปาทานใหมันกดถวงจิตใจ ใหทุกขรอนแทบลมแทบตายทั้งวันทั้งคืนอยูอยางนี้
ละ มันตองสลัดปดทิ้งดวยกันทั้งนั้นแหละคนเรา ถา เหน็ โทษเหน็ ภยั จากการพจิ ารณา
จรงิ ๆ ตามหลกั ธรรมไมส งสยั แลว เมื่อไมมีกิเลสตัวจอมปลอมรายแรงขัดแยงหลัก
ธรรมภายในใจแลว จะเหน็ ความจรงิ โดยลาํ ดบั ๆ ใจจะปลอ ยวางวา งเปลา ไปเรอ่ื ยๆ มี
ความสบาย หววิ ปญญาก็พุงตัวไดสะดวก เอา มันขัดที่ตรงไหน มันของที่ตรงไหน
ตามแกตามปลดมันจนได
รูป กายทั้งกายก็คือกองรูปอยูแลว แยกแยะออกดูทั้งเรื่องอสุภะอสุภังตลอด
เสน เอน็ ชน้ิ เลก็ ชน้ิ นอ ยทต่ี อ กนั เปน รา งกาย มันก็เห็นทุกชิ้นทุกอันนะซิ อวยั วะสว น
ตางๆ ทตี่ ิดตอกนั เปน กอนเปนกลมุ จนเปนรางเปน กายอยูเ วลานี้ กอ็ าศยั เสน เอน็ รดั
รงึ ไว หนงั หมุ หอ ไวเ ทา นน้ั มนั เหมอื นผา คลมุ ศพนน้ั แล ผาคลุมศพมันเปนของดิบ
ของดีอะไรบาง ฟงวาศพๆ อันนี้มันก็หนังหุมกระดูก หมุ เนอ้ื หมุ ของสกปรกโสโครก
ไว มนั จงึ เหมอื นผา หอ ศพไวน น้ั แหละ ผิดอะไรกับผาหุมหอศพ พจิ ารณาหย่งั ปญญา
ลงใหถ งึ ความจรงิ ใหเ หน็ ความจรงิ อยา งนซ้ี ิ ใจก็ถอนของมันเอง อุปาทานจะหนาแนน
ขนาดไหน มนั ก็เหมอื นกับความมืดนแี่ หละ จะมืดขนาดไหน มืดมานานกี่กัปกี่กัลปก็
ตาม พอเปดไฟจาขึ้นเทานั้นความมืดแตกกระจายไปหมด นี่เมื่อปญญาความสวางได
หยั่งลงตรงไหนแลว ความมืดคือกิเลสมันแตกกระจายไปหมด นตถฺ ิ ปญฺ าสมา
อาภา ทานวา แสงสวางเสมอดว ยปญญาน้ีไมม ี ไมมีอะไรสวางเสมอดวยปญญา พระ
อาทิตยก็สองมาแตที่แจงเทานั้น แตที่มืดพระอาทิตยไมตามสองได สว นปญ ญานส้ี อ ง
ไดตลอดทะลุปรุโปรงไปหมด จงึ เรยี กวา โลกวิทู รแู จง เหน็ จรงิ โลกทง้ั สาม
เราพจิ ารณารเู หน็ ในขนั ธใ นใจเราแจง ชดั ฉนั ใด สง่ิ ภายนอกเหลา นน้ั กฉ็ นั นน้ั
เหมือนกันไปหมด แทงทะลุไปหมดดวยปญญาที่ซึ้งภายในใจ การพิจารณากาย
พจิ ารณาอยา งทว่ี า น้ี กายในกายนอกเหมือนๆ กัน รใู นรนู อกทะลุถงึ กันหมด เราถนดั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๗
๑๓๘
ทางไหน ถนัดทางอสุภะก็ฟาดลงไปใหเห็นเปนกองอสุภะอสุภังปฏิกูลโสโครกเต็มเนื้อ
เตม็ ตวั ไปหมด มีแตกองอสุภะทั้งนั้น ถาเราไมนอนใจถกู กลอ มจากกิเลสใหหลบั อยู
ตลอดเวลาเทา นน้ั มนั ตอ งรู เวลาพจิ ารณาเขา ใจแลว กป็ ลอ ย มันไมฝนถือตอไปได
หรอก ที่ยึดถือก็เพราะความไมรู เพราะความสาํ คญั มน่ั หมายไปตามกเิ ลสใหม นั มดั
แนน โดยสาํ คญั วา เปน สตั วเ ปน บคุ คล เปน เราเปน ของเราเสยี ทกุ ชน้ิ ทกุ อนั อะไรก็
เหมาวา เปน เราเปน ของเรา อุปาทานเขาไปแทรกไปสิงอยูหมดทุกสรรพางครางกาย
ธรรมเลยหาทแ่ี ทรกไมไ ด ใจทั้งดวงกายทั้งราง สิ่งเกี่ยวของทั้งมวลมีแตกิเลสตัวเปน
เราเปน ของเราเขา มดั ไวห มด ไมม องเหน็ ของจริงแมน ดิ บา งเลย
เมื่อปญญาสอดแทรกเขาไปตามที่ทานสอนไวแลว สง่ิ เหลา นน้ั กค็ อ ยกระจาย
ออกไปๆ สดุ ทา ยกเ็ ขา ใจไดอ ยา งเตม็ เมด็ เตม็ หนว ย รรู อบขอบชดิ สละคืน ปฏนิ สิ สฺ คฺ
โค ตามของเดมิ เขาเสยี อนาลโย หมดความหว งใยอาลยั เสยี ดาย เพยี งขน้ั นี้กเ็ ปน
ความสขุ มากแลว ใจเบาแลว ใจเบาแสนเบา ถาพูดถึงการคาขายก็มีกําไรมาก ตั้งตน
เปน เศรษฐไี ดแ ลว ในขน้ั น้ี
ที่นขี่ ัน้ มหาเศรษฐี เอา สติ ปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร ฟาดลงไป ความสขุ
ความทุกขมันมีอยูในขันธ มันก็สักแตเวทนา ฟงซิทานพูด เวทนาคอื ความเสวย มัน
แสดงขน้ึ มาใหเ ราผยู งั หลงยงั ยดึ เสวย สุขเกิดขึ้นก็ดับไป แนะ เอาสาระอะไรกบั มนั
ทุกขเกิดขึ้นตั้งอยูดับไป อุเบกขาเฉยๆ เกิดขึ้นตั้งอยูดับไป ทั้งทางกายและจิตใจ เอา
เปน สตั วเ ปน บคุ คล เอาเปน เราเปน ของเราทไ่ี หนได ถาหยง่ั ลงดวยปญ ญาแลว มัน
ตอ งเห็นเปนความจริงแตล ะอยางๆ ไปโดยลําดับไมสงสัย
สญั ญา สญั ญานเ้ี ปน ของละเอยี ดมาก ในวงขันธหารูสึกสัญญาละเอียดมากที
เดียว ในวงผูปฏิบัติทั้งหลายตองไดพิจารณาอยางละเอียดลออกวาจะเขาใจและปลอย
วางได มันคอยซึมซาบออกไปวาดภาพหลอกเจาของไดอยางแยบยลมาก สังขารยังมี
กระเพื่อม ขณะที่จะปรุงมันรูสึกมีอะไรๆ ภายในจติ แลวกระเพื่อมตัวออกมาเปน
ความปรงุ แตส ญั ญานี้ไมกระเพอ่ื มเลย คอยๆ ซึมซาบออกไปดวยความละเอียด
เวลากาํ หนดลงไปจะปรากฏเปน ภาพหลอกเจา ของอยูแ ลว
จติ ใจก็อยกู ับขนั ธห า นแี้ หละ เอาขันธห านเ่ี ปนเครื่องหลอกตัวเอง หลอกเรอ่ื ง
นัน้ หลอกเรื่องน้ี หลอกเร่ืองสัตวเ ร่อื งบคุ คล เรื่องอะไรตออะไร สญั ญานห่ี มายวาด
ภาพไว สงั ขารก็คิดไปปรุงไปตามมัน โนน เวลาถงึ ขน้ั ทค่ี วรรไู ดม นั รเู องเพราะอาํ นาจ
ของปญญานั่นแล สัญญาจะวาดภาพไปไหน พอกําหนดรูทันดวยปญญามันก็ถอยตัว
เขา มา เขา มาอยทู จ่ี ติ น้ี ภาพกห็ ายไป ภาพอะไรขึ้นมาปรากฏ เวลาตามกาํ หนด
พจิ ารณาเขา จรงิ ๆ ภาพเหลา นน้ั จะยน เขา มาๆ สูจิต จงึ เปน ความจรงิ วา ภาพเหลา น้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๘
๑๓๙
ออกไปจากจิต เหน็ ไดอ ยา งชดั เจน จะภาพอะไรๆ ก็ตามมันออกไปจากใจ ใจเปนผู
ไปปรุงหลอกตัวเองตางหาก ภาพอันแทจริงนั้นไมมี มันมีอยูกับสัญญา สงั ขารทป่ี รงุ
หลอกตัวเองตางหาก ภาพทเ่ี ราวาดขน้ึ นน้ั มนั เปน ขน้ึ จากใจ แลว กห็ ลงและตน่ื เงาจาก
ภาพที่เกิดขึ้นกับตนไมมีวันเบื่อหนายอิ่มพอ ใจถือเอาอาการของขันธหาที่แสดงอยูนี้
มาเปน เครอ่ื งเพลดิ เพลนิ ลมุ หลงเศรา โศกเสยี ใจ เปนอยูอยางนี้ตลอดกัปตลอดกัลป
วญิ ญาณกร็ แู ยบ็ ๆ ขณะที่สัมผัสกับสิ่งภายนอก พอรบั รูแ ลวกด็ บั ไปขณะที่สิ่ง
ภายนอกดบั ไป และดับไปพรอมๆ เหมอื นแสงหง่ิ หอ ยหรอื แสงฟา แลบ คิดไป
พจิ ารณาไปทวนไปทวนมา ทวนกระแส พลิกหนายอนหลังดวยอุบายของปญญา
เพราะความไมไ วใ จในสง่ิ เหลา น้ี เพอ่ื ทราบความจรงิ ของสง่ิ เหลา นด้ี ว ยความสนใจ
พจิ ารณาไมห ยดุ กร็ จู นได เมอ่ื รแู ลว กเ็ ปน ขนั ธห า อยอู ยา งนน้ั แหละ เราไมร มู นั กเ็ ปน
ของมันอยูนั้น แตมันเปนเรื่องของสมุทัยถาไมรูไมเขาใจ เพราะมันออกมาจากใจ
สมทุ ยั โนน สมทุ ยั แทๆ กเิ ลสแทๆ อยูที่ใจ
การพจิ ารณาธรรมขน้ั นเ้ี ปน ความเพยี รอตั โนมตั ิ คือหมุนตัวไปเองไมตอง
บังคับเหมือนข้ันเรมิ่ แรกที่กําลังลมลุกคลกุ คลาน เพราะกเิ ลสมีกาํ ลงั มากมันฉดุ ลาก
เอาไวไ มใ หพ ากเพยี ร พอมาถึงขั้นกิเลสตาย ที่ยังเหลือก็หมอบและซอนตัว สติปญญา
มีกําลังมากจึงหมุนตัวไปเองโดยไมมีกิเลสตัวใดมาคัดคานตานทาน สติปญญา
พิจารณาเขา ไปตีตะลอ มเขา ไป เขมงวดกวดขันเขาไปโดยลําดับๆ จนเขา ใจเปน
ระยะๆ เปน วรรคเปน ตอน กิเลสก็แคบ งานกม็ วี งแคบเขา ไปตามๆ กนั และแคบเขา
ไปๆ สุดทายกิเลสท่เี หลือกร็ วมตัวเขาไปกองอยใู นหวั ใจดวงเดียว แยบ็ ออกมากร็ ูวา
มันออกจากใจนั้นเสีย ออกไปทางดานสัญญาก็ไปไมได ออกไปทางดานสังขารเปน
เรื่องเปนราวก็ไปไมได เพราะสติปญญาทันอยูทุกระยะ พอปรุงแย็บออกมาเหมือน
แสงหิ่งหอยมันก็ดับไปพรอม เมือ่ สติทนั แลว เร่อื งราวก็ไมสบื ตอ กนั ไปยืดยาว สตริ ทู นั
ก็ดับของมันรูทันกับรูเทาพรอมอยูดวย สติปญญาก็ฟาดฟนหั่นแหลกกันลงไปตรงนั้น
สดุ ทา ยกเ็ หลอื แตอวิชชา
อวชิ ชากบั จิตมันเปนอนั เดียวกนั ถา สงวนจติ ก็สงวนอวิชชาดว ยนัน่ แล เพราะ
กําลังกลมกลืนเปนอันเดียวกัน รกั จิตสงวนจติ ก็รกั อวชิ ชาสงวนอวิชชา ติดจิตก็ติด
อวิชชา หลงจิตก็หลงอวิชชาเพราะมันอยูดวยกัน ถึงขั้นนี้แลวสติปญญาทํางานไมตอง
บังคับ นอกจากรง้ั เอาไวใ หอ ยใู นความพอดแี ละใหเ ขา พกั สงบในสมาธติ ามเวลาทค่ี วร
ไมใ หบ ุกงานจนเกินไป จติ ขน้ั นม้ี แี ตจ ะไปทาเดียว มีแตจะเอาใหทะลุทาเดียว ทจ่ี ะ
ถอยยอนไปขางหลังไมมีเลย เปน อกุปฺปฯๆ มาโดยลาํ ดบั จนกระทั่งถึงจุดพอตัวแลว
กล็ งนวิ เคลยี รห รอื ปรมาณซู ิ ปญญาขนั้ นวิ เคลยี รขน้ั ปรมาณตู ูมลงไปตรงน้ัน อวิชชาก็
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๓๙
๑๔๐
แหลกแตกกระจายไปหมดราวกบั โลกธาตหุ วน่ั ไหว (ความจรงิ โลกธาตภุ ายในจติ ถนดั
กวาที่อื่นๆ)
ทนี ีห้ มดละ เชื้อที่เคยเกิดเคยตายมากี่ภพกี่ชาติกี่กัปกี่กัลป ก็เห็นไดอ ยา ง
ประจักษ วาบดั นี้ไมม อี ีกแลวเรอื่ งความเกิดความตายตอไป เพราะเชอื้ ทจี่ ะพาใหเ กิด
ใหต ายคือ อวชิ ชานไี้ ดถกู ทาํ ลายโดยส้ินเชงิ แลว นน่ั แลทท่ี า นวา วสุ ติ ํ พรฺ หมฺ จรยิ ,ํ วิ
มตุ ตฺ สมฺ ึ วมิ ตุ ตฺ มติ ิ ญาณํ โหต,ิ เสรจ็ งานทแ่ี สนลาํ บากแสนตะเกยี กตะกาย แทบจะ
ไปจะอยู สน้ิ เสรจ็ ในขณะอวชิ ชาตกบลั ลงั กจ ากใจ เมื่อจิตหลุดพนแลว ญาณความรู
แจงชัดวา จิตหลดุ พน แลวยอ มปรากฏขน้ึ ในขณะนน้ั นง่ี านของพระเราสน้ิ สดุ ลงทต่ี รง
น้ี ไมสิ้นสุดที่ตรงไหน สน้ิ สดุ ตรงนเ้ี อง อวชิ ชาแตกกระจายลงไปแลว ก็เรียกวา ขา ศกึ ท่ี
รบกันนั้นหมดฤทธิ์และตายเกลี้ยงไมมีเหลือแลว สติปญญาที่หมุนตัวเปนเกลียวก็
หมดภาระไปเอง หมดปญหาไปเองเพราะไมไดฆากิเลสตัวใดอีกแลว กเิ ลสตวั ไหนจะ
มาใหฆาอีก เพราะมนั ฉบิ หายหมดแลว จอมวัฏจักรสิ้นสุดลงไปแลวกห็ มดเทาน้นั
ผลแหง งานของเราทท่ี าํ มามากนอ ยหนกั เบาขนาดไหนเปน ธรรมเกนิ คา เมื่อ
มาถึงตรงนี้แลวหมดอดีตอนาคตไมสําคัญมั่นหมาย ปจ จบุ นั กร็ เู ทา ชดั เจนทกุ อยา ง
แลว หมดทั้งอดีตทั้งอนาคตทั้งปจจุบัน ปญหาไมมี แมยังมีชีวิตอยูทานก็ไมมีปญหา
ตายทา นกไ็ มม ปี ญ หาสาํ หรบั ทา นทร่ี อู ยา งนน้ั แลว จะตายดว ยเหตผุ ลกลไกอะไรกต็ าม
ไมมีปญหา เมอ่ื ถงึ ขน้ั หมดปญ หาแลว ไมม ปี ญ หาทง้ั นน้ั สาํ หรบั พระอรหนั ตท า นตาย
ดวยเหตนุ เ้ี องทานจะยืนนพิ พานก็ได เดนิ นพิ พานกไ็ ด นั่งนิพพานก็ได นอนนิพพานก็
ได ตามอัธยาศัยแหงความถนัดใจของทานแตละองคๆ ทท่ี า นจะทาํ ในวาระสดุ ทา ย
แหงขันธจะแตกสลาย
ดงั ทา นอาจารยม น่ั ทา นแสดงทเ่ี ราเขยี นไวใ นประวตั ทิ า นนน้ั เพราะเหตไุ ร
เพราะทุกขเวทนาอันเปนสมมตุ ิภายนอกนี้ ไมส ามารถเขา ไปเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายจติ ใจ
ของทา นใหก าํ เรบิ ใหห วน่ั ไหวได แลวทําไมทานจะทํานิพพานตามอัธยาศัยของทานไม
ได เพราะจติ ทา นอยเู หนอื สมมตุ แิ ลว น่ี เวทนาก็เปนสมมุติ ทุกขเวทนามันมีอยูเพียง
รา งกายนเ้ี ทา นน้ั ไมส ามารถเขาไปทับถมจติ ใจของทา นใหห ว่ันไหวไปไดเลย ทาน
ทําไมจะทําตามอัธยาศัยของทานไมไดละ นิพพานทา ไรก็เอาซิ ในวาระสดุ ทา ยกเิ ลส
ตัวใดจะมาขัดขวางทานไดอีก เมอ่ื มนั ตายดว ย กุสลา ทา นปราบเรยี บแลว พวกเรามนั
พวกตาบอดหหู นวก ใจหองนํ้าหองสว มที่แสนสกปรกโสมม ยงั ไปกลา ใหค ะแนนทา น
ตดั คะแนนทา นวา เปน ไปไมไ ด ที่ถูกควรเปน อยางนัน้ อยางน้ี ไมอายตาบอดของตัว
บางหรอื ท่กี ลาไปจงู คนตาดนี ะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๐
๑๔๑
ทไ่ี ดม าเปน ครเู ปน อาจารยส อนหมเู พอ่ื นน้ี ผมเคยเปน มาแลว ตอนที่จิตมันยัง
ไมไดเรื่องไดราว มนั ฝน เราอยา งหนกั ทง้ั ๆ ที่จิตเราตั้งอกตั้งใจขนาดนั้นยังเปนได
กิเลสมันถอยใครเมื่อไร พอจากทานอาจารยมั่นไปได ๒-๓ วนั จิตมันดีดมันดิ้นหา
เขยี งสบั ยาํ เพอ่ื เปน อาหารกเิ ลสอยา งเหน็ ไดช ดั ถึงทราบไดชัดวา ออ…นม่ี นั กาจบั ภู
เขาทอง….วา เจา ของ อยกู บั ครบู าอาจารยจ ติ สงบรม เยน็ พอออกจากทานมาแลวไม
ไดเรอ่ื งไดราว ทาํ ความเพยี รกเ็ ดนิ ไปเฉยๆ ไมมีอุบายอะไรที่จะแกกิเลสไดสักตัว
เดียว มแี ตค วามฟงุ ซา นภายในใจ นบั วนั รนุ แรงขน้ึ ทกุ วนั ๆ อยหู างทา นไมไ ด ถาเปน
อยา งน้ี เรารแู ลว นห่ี นจี ากครบู าอาจารยไ มไ ดเ มอ่ื เปน แบบน้ี เรารบี กลบั คนื ไปหาทาน
ทันที แตเ ดชะบญุ เวลากลบั คนื ไป ทา นไมเ คยตาํ หนติ เิ ตยี น ทา นไมเ คยขบั ไลไ สสง เลย
ความจรงิ เรากไ็ ปภาวนา คดิ วาประมาณเดอื นนนั้ เดือนนก้ี ็จะกลบั มา แตมันไมทันถึง
เดอื นนน้ั เดอื นนน้ี น่ี า ไฟนรกในใจมนั เผาขน้ึ มากอ นน่ี ก็ตองรีบกลับมา นี่ก็ไดเอา
เรอ่ื งทเ่ี คยผา นมาแลว นแ้ี หละมาสอนหมเู พอ่ื น เพราะจติ ใจเราเหมอื นๆ กัน
เรื่องของกิเลสแลวจะไมเดินนอกลูนอกทางของกิเลสไป จะตองไปตามทาง
ของกิเลสโดยตรง ใครอบุ ายทนั กไ็ ด ใครอุบายไมทันก็จมไปเพราะมัน อาจริโย เม
ภนเฺ ต โหหิ, อายสฺมโต นสิ สฺ าย วจฉฺ าม.ิ ทานถงึ ไดวา …พึ่งตัวเองยังไมไดตองอาศัย
ครูบาอาจารยเปนที่พึ่งไปกอน ๕ พรรษานน้ั ทา นพดู ไวพ อประมาณ ถา ๕ พรรษา
ลวงแลวยังเปนไปไมไดก็ตองอยูเพื่อศึกษาอบรมกับทานผูดีกวาตนตอไป คิดดูซิ พระ
๖๐ พรรษาที่ยังไมมีหลักเกณฑก็ยังตองมาขอนิสัยจากผู ๑๐ พรรษา แตม หี ลกั จติ
หลกั ธรรมวนิ ยั ทา นบอกไวแ ลว ในพระวนิ ยั เพราะมนั ไมส าํ คญั อยกู บั พรรษา แตส าํ คญั
ที่ความทรงตัวไดหรือไมได สาํ คญั ตรงนต้ี า งหาก
อยาเชื่อมันงายๆ กเิ ลส เราเคยเชอ่ื มนั มานานแลว ไดผ ลอะไรจากการเชอ่ื กเิ ลส
นเ้ี ราตง้ั ใจจะมาเชอ่ื ธรรม การเชื่อธรรมตองฝนกิเลสถึงจะจัดวาเชื่อธรรมและปฏิบัติ
ตามธรรมได ถา ยงั ไมฝ น กเิ ลสกแ็ สดงวา เราเชอ่ื กเิ ลส ยอมจํานนตอ กิเลสรํ่าไป ทั้งๆ ที่
วา เราปฏบิ ตั ธิ รรมนน้ั แล เมื่อจิตยังตั้งหลักไมไดตองเปนอยางนั้นดวยกันนักปฏิบัติ
เรา แมต ง้ั หลกั ไดแ ลว กย็ งั มคี วามจาํ เปน โดยลาํ ดบั เกย่ี วกบั ครบู าอาจารยท ต่ี นจะตอ ง
ศึกษาตอไป ไมใ ชว า ตง้ั หลกั ไดแ ลว จะไมม คี วามจาํ เปน กบั ครอู าจารย มนั จาํ เปน ตาม
ขั้นของจิตของธรรมนั่นแล
เมื่อพูดตามความจริงแลวมันหนีจากทานไมได ย่ิงจําเปน มากขึ้นตามข้นั ของ
จติ ของธรรมภายในใจ นผ่ี มกเ็ คยเปน มาแลว ในขั้นที่พอตั้งตัวได เชน จติ มีความสงบ
เปน สมาธเิ ปน หลกั เปน เกณฑใ นจติ ใจ ไมว นุ วายสา ยแสก บั สง่ิ ภายนอก แตเ ราหวงั จะ
กา วหนาละซจิ ะทํายงั ไงจึงจะกา วหนา เพราะอบุ ายวธิ ตี างๆ จะพิจารณามันไมคอยได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๑
๑๔๒
ความอะไร ลําพังตนทําเองไมมีผูบอกแนะ มนั ตอ งมาอาศยั ทา นอกี นน่ั แหละ บางที
พิจารณาทางดานปญญามันติดขัดอะไรตออะไร อุบายวิธีเจาของที่จะแกความติดขัด
ซึ่งเปนเรื่องของกิเลสนั้น มันไมทันมันไมพอมันก็แกไมได เมอ่ื เวลามาเลา ถวายทาน
ทา นใสป บุ เดยี วเทา นน่ั ปญหาขอของใจนั้นๆ แตกกระจายไปในทันทีทนั ใดเลย นี่ก็
กิเลสหลดุ ลอยไปเพราะทาน เมอ่ื เปน เชน นน้ั กเ็ หน็ คณุ คา ในการอยกู บั ทา นนะ ซิ จงึ
เปน ความจําเปนไปเรือ่ ยๆ
ดงั ทว่ี า กเิ ลสมนั มารวมตวั อยใู นจติ ดวงเดยี วนน้ั ถงึ ๘ เดือน นี่ถาสมมุติวาพอ
แมค รูจารยย งั มีชีวิตอยูมนั จะไมต ิดอยนู านขนาดนั้นเลย โนน มันจะพังทลายลงตั้งแต
ขณะที่เริ่มปรากฏอยูที่วัดดอยฯ โนน วนั เดอื นสามแรม พอถวายเพลงิ ทา นเรยี บรอ ย
แลวก็ขึ้นไปวัดดอยฯ ไปภาวนาอยนู น่ั ตอนนน้ั จติ ของเรามนั สวา งไสว กอ็ ยา งวา นน่ั
แหละ คนเปน บา อศั จรรยต วั เอง ไมม ใี ครอศั จรรยเ ทา เจา ของอศั จรรยบ า ในตวั เอง ไม
ใชอ ศั จรรยธ รรมแตเ ปน อศั จรรยบ า ความหลงความยึดจิตอวชิ ชา มันจึงอัศจรรยตัว
เอง เวลาเดินจงกรมอุทานออกมาในใจวา แหม…จติ เราทาํ ไมสวา งเอานกั หนานะ รา ง
กายเรามองดูมันเห็นพอเปนรางๆ เปน เงาๆ เพราะความรูทะลุไปหมด สวา งไปหมด
เลยกอ็ ศั จรรยล ะ ซิ เราถงึ วา อศั จรรยบ า วนั นน้ั เปน วนั จะฉนั จงั หนั
ระยะนั้นไมไดอดอาหารมากนะเพราะทองไมดีมาแลว อดเพียง ๓ วนั มาฉนั
มันก็ถายแลว นั่นก็อด ๓ วนั ตอนนั้นพรรษา ๑๖ เพราะเรอ่ื งอดอาหารเราเรม่ิ
สมบุกสมบันมาตั้งแตเ ร่ิมปฏบิ ตั อิ ยแู ลว นสิ ยั ของเราเองมนั ถกู กบั การทรมานดว ย
การอดอาหาร วนั นน้ั ไมไ ดบ ณิ ฑบาต ทา นอาจารยก งมาทา นอนญุ าตใหช าวบา นมาใส
บาตรวนั พระในวดั ทกุ ๆ วนั พระทว่ี ดั วันนัน้ พอดีเปนวนั ท่ีจะฉนั พอไดอรุณแลวก็
ออกจากกุฏิไปเดินจงกรมทางดานตะวันตก เดนิ อยจู นกระทง่ั ถงึ เวลาบณิ ฑบาต เดนิ
ไปเดินมาและรําพึงขนึ้ มาวา เอ….จติ นท่ี าํ ไมอศั จรรยน กั หนานะ มนั สวา งไสวเอามาก
น่ถี าพอ แมค รูจารยย งั อยู จิตอวิชชาดวงสวางไสวมันจะพังทลายลงไปตั้งแตระยะนั้น
แหละ มนั จะขาดสะบน้ั ไปเลย นก่ี เ็ พราะอบุ ายเราไมท นั มหิ นาํ ยงั ตดิ ยงั ยดึ มนั เขา เสยี
อีก
พอนึกวา จติ อัศจรรยน กั หนาอยา งนนั้ ขณะจิตหนึ่งผุดขึ้นมาอยางไมคาดไมฝน
วา “ถามีจุดมีตอมแหงผูรูอยูที่ไหน นน้ั แลคอื ตวั ภพ” เพยี งเทา นเ้ี ราเลยงงเปน ไกต า
แตกไปเลย แทนทีจ่ ะไดอ ุบายจากอุบายนัน้ เลยไมไ ด ยงั กลบั เพม่ิ ความสงสยั เขา ไปอกี
แหม…เมอ่ื เรามาพจิ ารณาทหี ลงั อุบายนี้ถูกตองจริงๆ แตป ญ ญาเรามนั โงต า งหากจงึ
ไมทันกับอุบายที่ผุดขึ้นมาบอกนั้น เมื่อรําพึงถึงเรื่องความอัศจรรยของจิตพอหยุดลง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๒
๑๔๓
เทา นน้ั อุบายก็ผุดข้ึนมาเปนคาํ ๆ เปน ประโยคๆ ทเี ดยี วนะ (นถ่ี า เปน ทา นผรู ผู ฉู ลาด
ทา นกว็ า “ธรรมเกดิ ” แตเรามันโงจึงไมอาจคิดขึ้นได) จากนน้ั มาไมล มื เลยวา “ถามจี ดุ
มีตอมแหงผูรูอยูตรงไหน นน้ั แลคอื ตวั ภพ” วา อยา งนเ้ี รางงเหมอื นไกต าแตก แทนที่
จะเขา ใจ ก็จุดสวางไสวนะซิ มันมีจุดอยูนั้นนะ นั่นแหละคือจุดคือตอมแหงผูรู ก็มัน
อยูท ่ีผรู นู ่นั เอง
ถามีจุดมีตอมแหงผูรูอยูตรงไหน นน้ั แลคอื ตวั ภพ นน่ั บอกชดั ๆ เลยนะ แต
เรามันงงเปนไกตาแตกไปได เอ…จุดที่ไหน ตอมที่ไหน เอาอกี แหละ ก็มองเห็นชัดๆ
อยแู ลว เพราะจดุ สวา งมนั เหน็ เปน ดวงอยใู นจติ สวา งจา อยภู ายในจติ น้ี พูดงายๆ ก็
เหมอื นตะเกยี งเจา พายุ มนั สวา งจากไสต ะเกยี ง นนั่ ตัวไสมันละคือท่จี ดุ ท่ีสวาง มันก็
เหน็ อยแู ลว นก้ี เ็ ปน อยา งนน้ั มนั สวา งจา อยกู บั จติ จดุ แหง ความสวา งมนั กเ็ หน็ ไดอ ยา ง
ชัดๆ แตมันไมจี้เขาตรงนี้ซิ กลบั ลบู คลาํ ไปทไ่ี หนตามประสาความโงน น่ั แล อบุ ายผดุ
ขน้ึ มาขนาดนน้ั แลว นา จะยดึ ได มันยังไมเห็นยึดได โงข นาดไหนพระเรานะ
กแ็ บกปญ หานไ้ี ปคนเดยี วทางอาํ เภอบา นผอื ทา บอ ในปาในเขา ทแี รกทา น
เจา คณุ ธรรมเจดยี ท า นไปดว ย เรากจ็ าํ เปน ใหท า นไปดว ย แตเ วลาอยดู ว ยกนั เรากค็ อย
หลกี เลีย่ งทา นอยูเร่ือย เพราะกลวั ขาดการสบื ตอ ทางความเพยี ร ไมค อยมาสนทนา
ธรรมกบั ทา นบอ ยนกั ทา นจงึ ไดใ สป ญ หาเราวา “เธอเอย เรากลบั ไปแลว เธอกจ็ ะสบาย
หรอก เธอยงุ เพราะเรา” ทา นวา อยา งนน้ั คอื เรามนั ไมส ะดวกจะอยูด ว ยใครๆ เวลา
นน้ั ทานก็มีเรื่องจะพูดจะคุยอะไรกับเราอยูเรื่อย สว นเรามนั ขาดความเพยี รไมอ ยาก
ใหเ สยี เวลา เวลาพูดคุยกับทานมันก็ชะงักไปบางในทางความเพียร พอออกจากทาน
ไปมันดีดผึงๆ
จึงตองกลับมาที่วัดดอยฯ อีก เดอื นเมษายนมาบวชหลวงตาเรญิ พอบวชแลว
ก็ขึ้นวัดดอยฯ อีก จุดตอมนี้มันถึงไดไปเขาใจกันที่ตรงนั้นแหละ ที่วัดเกาวัดที่เกิด
ปญ หานน่ั แล เปน แตเ พยี งคนละกฎุ เี ทา นน้ั พอเขา ใจอันนีแ้ ลว โฮย คาํ วา จดุ วา ตอ ม
มันไมมีปญหาอะไรเลย ถา สมมตุ วิ า มาเลา ถวายทา นอาจารยม น่ั ตรงนป้ี บ ถาพอแมค รู
จารยย งั อยนู ะทา นจะใสผ างมาทนั ที ทนี จ้ี ะเขาใจปุบ เดยี วจุดนนั้ กพ็ งั ทลายไปเลย นี่
มันไมเขาใจ ปญหาก็บอกชัดอยูแลว นซ่ี ิถึงไดวา ความจําเปน มีอยทู กุ ระยะนา ยง่ิ
ละเอียดลออเขาไปถาจะพูดตามแบบโลกผมมันทิฐิสูงนี่นะ ใครจะมาสอนสมุ สส่ี มุ หา
ไดเ หรอ สมมตุ วิ า เราเลา ใหท า นผนู น้ั ฟง ตามความจรงิ แหง จติ ของเราน้ี ถาผูไมเขาใจก็
จะมาสอนเราสมุ สส่ี มุ หา แลว ประกาศภมู ใิ หเ ราเหน็ หอื .ภมู ขิ นาดนม้ี าสอนเราได
อยางไร นน่ั มนั บอกในตวั ถา ผสู งู กวา นน้ั ทา นจป้ี บ เราเขา ใจทนั ที ยอมๆ ราบเลย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๓
๑๔๔
เรอ่ื งจติ นจ่ี งึ สาํ คญั ทค่ี รทู อ่ี าจารยผ ใู หก ารอบรมสง่ั สอน ผูที่ทานรูแลวไมตองพูดมาก
เลย ทา นใสป บ เดยี วไดค วาม ใครจะมาสุมครอบทั้งหนองทั้งบึงไมได จะโยนยาใสก นั
ทั้งตูทั้งหีบมันไมได เรอ่ื งความจาํ เปน กบั ครอู าจารยม นั จาํ เปน อยา งนไ้ี มว า ขน้ั ไหนๆ
แตมันตางกันที่เราจะออกไปอยูคนเดียวที่หนึ่งที่ใดตามระยะกาล เมื่อมีขอ
ของใจอะไรจึงคอยมาถามทาน นี่ก็ได มนั ไมยงุ วุนวายเก่ยี วกบั เร่ืองโลกเมื่อจิตมหี ลกั
แลว เปน แตเ พยี งวา ความกา วหนา ของเรามนั ชา .ผิดกัน ปญหาบางอยางแกกันอยู ๒
วนั ๓ วันแกกันยังไมตก น่ันซมิ นั จะตาย ไมตกมันก็ไมถอย จะตองแกใหตกจนได นี่
ซิ มนั จะตาย เพราะคาํ วา แพน น้ั มไี มไ ด ถาจะแพใหต ายเสยี ดกี วา นอกจากตองทะลุ
โดยถา ยเดยี ว ถาไมทะลุก็ตองเจาะกันอยูอยางนั้น หมนุ ตว้ิ ๆ อยูน้ัน ปญ หาเหลา นพ้ี อ
เลา ใหค รบู าอาจารยฟ ง ทา นจป้ี บ เดยี วเทา นน้ั ทะลไุ ปเลย ผมเคยไดอุบายจากทานมา
แลว
ก็มีทานอาจารยขาวองคหนึ่งสามารถแกไดตลอดทั่วถึงทางดานจิตใจ เดย๋ี วน้ี
ทา นกไ็ มเ อาเรอ่ื งกบั ใครแลว ประการหน่งึ กไ็ มมใี ครไปเลา ใหท านฟง ทา นขเ้ี กยี จยงุ
กบั เรอ่ื งขห้ี มรู าขห้ี มาแหง ทา นกอ็ ยสู บายๆ ลองมผี ูม ีภูมจิ ติ ภูมิธรรมมีความรคู วาม
เหน็ ตา งๆ ทางดา นปฏบิ ัติไปเลา ใหทานฟงดซู ิ ไมตองสงสัยวาเสียงทานจะไมขึ้นปง
ปงๆ เพราะทา นอยกู บั ธรรมเทา นน้ั ถึงไมติดธรรมทานก็อยูกับธรรม เปน เครอ่ื งรน่ื
เริงระหวา งขนั ธกบั จติ ท่ีครองตัวอยู
อยา งคราวทแ่ี ลว ผมเอาปญ หาไปแหยห ลวงปแู หวน พอเราสอดปบทานก็ตอบ
ผงึ มาเลย เพราะปญ หานี้ไปหาในพระไตรปฎกก็ไมม เี พราะเปน ปญหาปา ถาผูไมรู
ตอบไมได พอถามทานปบ ทา นตอบผงึ มาเลย โฮย….ทานคึกคักตึงตังนะ ประมาณ
๑๐ นาทีจบ พอจบก็ถามทานเขาอีก คราวนท้ี า นกไ็ ปใหญเ ลยนานประมาณ ๔๕ นาที
พอจบลงแลวทานพูดวา “เอา..ทา นมหาคา นนะ ถา ผดิ ตรงไหนคา นนะ” “กระผมไม
คา น กระผมหาฟงอยางนแ้ี หละ” ในขณะเดยี วกนั ปญ หานท้ี า นกท็ ราบถา ไมร ปู ญ หาปา
เอามาถามไมได เพราะฉะน้ันทา นจงึ ไมจ าํ เปน ตองมาถามเราอีก
นจ่ี งึ ทาํ ใหเ ราเชอ่ื ในหนงั สอื ทม่ี อี ยใู นธรรมบททก่ี ลา ววา กลั ยาณชนไมส ามารถ
ตอบปญหาของพระโสดาบันได พระโสดาฯ ไมสามารถตอบปญหาของพระสกิทาคามี
ได พระสกิทาคามีไมสามารถตอบปญหาของพระอนาคามีได พระอนาคามีไมสามารถ
ตอบปญหาของพระอรหันตได แมพระอรหันตก็ไมสามารถตอบปญหาของพระโมค
คลั ลาน, สารบี ตุ รได ถงึ พระสารบี ตุ ร, โมคคัลลานก็ไมสามารถตอบปญหาของพระ
พุทธเจาได คือความสามารถตางกัน พอถึงขั้นอรหัตก็พอแลว สว นทว่ี า พระสารบี ตุ ร,
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๔
๑๔๕
โมคคัลลานไมส ามารถตอบปญหาพระพทุ ธเจา ไดน ้นั หมายถึง ความกวา งแคบลกึ ตน้ื
แหง ความรนู น้ั ตา งกนั นอกจากความบริสุทธไิ์ ปแลว ยงั มคี วามลกึ ตนื้ ตา งกัน กวา ง
แคบตางกัน ภูมิของพระพุทธเจาเปนพุทธวิสัย ภมู ขิ องพระสารบี ตุ ร, โมคคลั ลานเ ปน
สาวกวสิ ยั จึงตางกัน สามญั วสิ ยั กับอริยวิสัยก็ผดิ กัน แตละขั้นละภมู ิมีเคลด็ ลบั ประจาํ
ขน้ั ภมู นิ น้ั ๆ
แตก อ นเรากไ็ มร ไู มเ ขา ใจวา มเี คลด็ ถามเคล็ดปบ กต็ ดิ ดงั พระเรยี นจบพระ
ไตรปฎกครั้งพุทธกาล แตลืมเนื้อลืมตัวดูถูกเหยียดหยามพระปฏิบัติ หาวา นง่ั หลบั หู
หลับตาไมทําประโยชนอ ะไรใหแกโ ลก เลยจะเอาปญ หามาถามพระปฏบิ ตั ทิ า น หา
อบุ ายไลพ ระปฏบิ ตั นิ น่ั เอง พระพทุ ธเจา ทรงทราบจงึ เสดจ็ มาทามกลางสงฆท กี่ าํ ลงั
สนั นบิ าตนน้ั วา พวกนก้ี าํ ลงั จะมาทาํ ลายลกู ศษิ ยเ ราตถาคต แลวมันจะไปตกนรกกนั
ทั้งหมด ทา นไมไ ดวากลวั พระปฏิบตั ิจะเสีย ทานวาพวกนี้จะตกนรกกันทั้งหมด พอ
เสดจ็ ถงึ พระองคทรงตั้งปญหาขึ้นปบถามพวกใบลานเปลา ตอบไมได รบั สง่ั ถามพระ
ปฏิบัติปุบ ตอบไดผึง ยกปญหาขึ้นปบถามพวกนั้น นง่ิ เหมอื นคนตายแลว ตอบไมได
วกกลับมาถามพระปฏิบัติ ตอบไดปุบๆ ตลอด
จากนนั้ พระพทุ ธเจา ก็แสดงธรรมขนาบเสยี อยา งเต็มที่วา “พวกเธอนน้ั นะ
เหมอื นกบั ลกู จา งเลย้ี งโคใหเ ขา ไดค า จา งเพยี งรายวนั ๆ เทา นน้ั ไมเหมือนลูกของเรา
หมายถึงพระปฏิบัติซึ่งเปนเจาของโค โคก็เปนสมบัติของตัว น้ํานมโคก็ไดดื่มเต็มเม็ด
เต็มหนวยตามความตองการ พูดถึงเรื่องธรรมก็เปนเจาของธรรม เปน ธรรมสมบตั ิ
เปน มหาสมบตั ิ พวกเธอนเ้ี พยี งแตเ รยี นและจดจาํ มาเฉยๆ ธรรมสมบตั อิ นั แทจ รงิ ยงั
ไมเคยไดด ่ืมบา งเลย สวนลูกเราตถาคตทั้งไดปฏิบัติทั้งไดดื่มธรรมรสโดยสมบูรณ จงึ
ไมค วรประมาท”
ปญ หาทพ่ี ระพทุ ธเจา ทรงรบั ส่งั ถามเปนปญ หาทางดานจิต ถามพวกปริยัติไม
ไดเรื่อง พอมาถามพวกปฏิบัติตอบไดผึงๆ เลย ปญ หาเราถามหลวงปแู หวนเปน
ปญ หาปา ตา งหาก ทานไมรูทานไมเคยอยูในปาทานจะตอบไดยังไง เพราะพดู อยา ง
ตรงไปตรงมาแบบคนโงๆ ก็ไปอานหัวใจกันนั่นเอง เราไปหลายหนแลวพลาดมาทุกที
เพราะคนมาก ไปคราวนี้จึงจะใหพลาดไมได ทานเองก็อยากทราบภูมิจิตภูมิธรรมของ
พระปฏบิ ตั ขิ องครบู าอาจารยท ง้ั หลายเหมอื นกนั จงึ มกี ารถามถงึ ครอู าจารยท ง้ั หลาย
บา ง
เราอยากใหห มเู พอ่ื นปฏบิ ตั ใิ หร ภู ายในจติ ใจแลว มาเลา ใหฟ ง นา ผลเปน ยงั ไง
เราอยากรผู ลแหงการอบรมส่ังสอนหมูเ พ่ือนและการปฏบิ ัตขิ องหมูเ พอ่ื น มีแตผา
เหลือง มแี ตร ปู พระเฉยๆ ไมมีอรรถมีธรรมในหัวใจไวเปนสมบัติของตนออกโชวกัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๕