๓๔๖
นี่คือพระพุทธเจาองคสยมั ภู ทรงรเู องเหน็ เอง ไมมีครูไมมีอาจารยไมมีใคร
มาบอกมาสอน แตทรงคน ควา รูเ ห็นไดโ ดยลาํ พังพระองค จงึ เรยี กวา สยมั ภู ทรงรูเอง
จากนน้ั กไ็ ดน าํ อบุ ายวธิ กี ารทท่ี รงปราบปรามสง่ิ ทม่ี อี าํ นาจเหนอื หวั ใจนใ้ี หแ กผ อู น่ื เชน
สาวกมเี บญจวคั คยี เ ปน ตน จนทา นเหลา นไ้ี ดเ ขา อกเขา ใจวธิ กี ารดาํ เนนิ และไดบ รรลุ
ธรรมตามพระพุทธเจาขึ้นมา นอกจากนนั้ ไมม ใี ครถาไมไ ดร ับการอบรมส่งั สอนเสยี
กอนจะรูไมได เพราะธรรมชาตนิ ล้ี กึ ลบั มากละเอยี ดมาก เกนิ กวาความรูท่ีไมม ีสติ
ปญญาอันเปนทางปลดเปลื้องจะรูได
ลําพังสติปญญาของโลกทั่วๆ ไปก็เปนเครื่องมือของมันเสีย เรยี นรมู คี วาม
ฉลาดมากเพียงไร ยิ่งทําความชั่วไดอยางคลองตัว ปญญาของสามัญชนที่ไมมีธรรม
เคลอื บแฝง มักเปนเครื่องมือของกิเลส ความโลภ โกรธ หลง ราคะตณั หา ไดเปน
อยางดี เจา ของเองกภ็ ูมใิ จวาตนฉลาด แตไมสะดุดใจวาตนคือ บอยคนโปรดของ
กเิ ลสประเภทตา ง ๆ
การพสิ จู นค วามรนู ใ้ี หเ หน็ ประจกั ษไ ปโดยลาํ ดบั จึงตองอาศัยภาคปฏิบัติเปน
สาํ คญั ดงั ในตาํ ราทา นวา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏเิ วธ เกี่ยวโยงกันอยางแยกไมออก ถาไม
ปลอ ยใหก เิ ลสชว ยแยก โดยเห็นวา เพยี งอยางใดอยา งหนงึ่ ก็พอแลว ดีถมไปดังนี้
ปรยิ ตั คิ อื เราศกึ ษาเลา เรยี นจากตาํ รบั ตาํ ราแลว ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ เริ่มตั้งแตฝกหัด
ภาวนา ในขณะที่จิตมีความฟุงเฟอเหอเหิมไมรูเนื้อรูตัว รน่ื เรงิ บนั เทงิ และเศรา โศก
เสยี ใจไปตามอาํ นาจของกิเลส แตไ มท ราบวา กเิ ลสเปน ผทู าํ พษิ เปน ผบู งั คบั บญั ชาให
เปน เชน นน้ั ดงั นน้ั ทา นจงึ สอนใหภ าวนาอบรมจติ ใหม คี วามสงบเยน็ เพอ่ื เหน็ ผลเปน
ความสขุ
เมอื่ ไดอ บรมทางดา นจิตตภาวนาเขาไปตามหลกั ธรรมทที่ า นสอนไว ยอมจะ
ปรากฏเปน ความสงบขน้ึ มา เพยี งความสงบขน้ึ มาเทา นน้ั ก็เห็นเปนของแปลกแลว
สาํ หรบั จติ ใจของคนทไ่ี มเ คยภาวนา และไมเ คยสงบมาเลย เพราะใจเราเคยคลกุ เคลา
กับความสุขที่กเิ ลสมนั ปอนพอประทงั ชวี ิตใหเ ปนไปในวนั หนง่ึ ๆ จนจาํ เจแลว ไมเ หน็
ไดความวิเศษวิโสอะไร สุขเลยจากนั้นไปไมได มนั ไมใ หเ ลยไปกวา นน้ั พอประทังไว
เพียงใหม ีชีวติ ลมหายใจสืบตอภพตอ ชาตไิ ปในภพหนงึ่ ๆ เทา นน้ั แตเมื่อความสุขที่
เกดิ ขน้ึ จากความสงบปรากฏขน้ึ น้ี เปนส่ิงท่ีแปลกประหลาดกวา ความสุขทั้งหลายท่ี
เคยไดสมั ผสั สมั พันธมาอยมู าก ดว ยเหตนุ จ้ี งึ ทาํ ใหผ ไู ดร บั ผลแหง ความสงบนน้ั มี
ความสนใจใฝธ รรมเพอ่ื ความสงบยง่ิ ๆ ขึ้นไป ดวยความเขมงวดกวดขัน และ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๖
๓๔๗
พยายามทําจิตของตนใหมีความสงบละเอียดยิ่งขึ้น เมื่อจิตมคี วามสงบสมควรพอเปน
บาทเปน ฐานหรอื เปน ปากเปน ทางแลว ก็มีอุบายอีกแงหนึ่งที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอน
ไว วา ใหใ ชป ญ ญาพนิ จิ พจิ ารณา เพอ่ื ความรคู วามฉลาดในสภาวธรรมใหก วา งขวาง
ออกไป
คาํ วาปญ ญา ไดแกความแยบคายของจิต อาการอนั แยบคายของจิต ความ
คดิ ความปรงุ อนั แยบคาย เพื่อแกกิเลสของจิตนั่นแล หากเปน ความแยบคายประเภท
หนึ่งที่เกิดขึ้นจากจิต ทา นเรยี กวา ปญญา เปนอาการท่เี กดิ ขึน้ จากจิต สติก็เปนอาการ
อันหนึ่งที่เกิดขึ้นจากจิต แตไมใชจิต หากนําไปใชเปนประโยชนแกจิตได และไดเต็ม
เมด็ เตม็ หนว ย ไดเ ตม็ ขั้นเต็มภมู จิ ากการใชปญ ญาพนิ ิจพิจารณา
การพจิ ารณากไ็ มไ ดพ จิ ารณาทไ่ี หน พิจารณาตรงที่กองทัพกิเลสมันสุมอยูนั้น
แหละ รูปูปาทานกฺขนฺโธ เวทนปู าทานกขฺ นโฺ ธ สฺ ูปาทานกขฺ นโฺ ธ สงขฺ ารู
ปาทานกฺขนฺโธ วญิ ญาปู าทานกขฺ นโฺ ธ ความยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในขนั ธห า นล่ี ะเปน สาํ คญั
ทานจงึ สอนใหพ ิจารณาขันธห าขันธใดก็ไดตามแตถ นดั ในกองรูปคือรางกายของเรา
และของสัตวบุคคลทั่ว ๆ ไป ในเวทนา สขุ ทุกข เฉย ๆ ทั้งทางกายและทั้งทางใจ ใน
สัญญา ในสงั ขาร ในวญิ ญาณ โดยพจิ ารณาเปน อสภุ ะอสภุ งั ทกุ ขฺ ํ อนจิ จฺ ํ อนตฺตา
ทบไปทวนมาจนเขา ใจตามธรรมทท่ี า นสอนไว
เบอ้ื งตน ทา นใหค ยุ เขย่ี ขดุ คน ทางรปู คือ รปู กายนใ้ี หม าก เพราะกเิ ลสมนั
หนาแนน อยตู รงน้ี ถือเดนออกหนาออกตาอยูตรงนี้ ฉากในลกึ ๆ นั้นเรายังมองไม
เหน็ เพราะกเิ ลสประเภทนน้ั ฉลาดแหลมคมยง่ิ กวา ประเภททม่ี าจบั จอง มายึดมาถือ
มากาํ อาํ นาจในสกลกายนอ้ี ยมู าก เพยี งแตก เิ ลสประเภททม่ี ากมุ อาํ นาจอยภู ายในรา ง
กายของเราน้เี รายังไมสามารถมองเหน็ ได ทั้ง ๆ ทเ่ี หน็ ไดด ว ยตาเนอ้ื นแ้ี หละ แตต าใจ
ตาปญญาไมมีจึงไมสามารถมองเห็น เชน เกสา โลมา นขา ทนฺตา ตโจ เปน ตน มี
ใครบางที่เห็นผมอยางถึงที่ถึงฐานตามหลักความจริงของมันและของธรรม นอกจาก
เหน็ ไปตามกเิ ลสลว น ๆ รอ ยเปอรเ ซน็ ตเ ทา นน้ั ขน เลบ็ ก็เปนเหมือนกัน ฟน ก็
กระดกู ตามหลักความจรงิ แลว มันยังไมเห็น คอื ไมเ หน็ ตามอรรถตามธรรม
รวมรา งกายทั้งกอ นหรือทง้ั ทอนมอี ะไรบางอยภู ายในนี้ ลว นแตก เิ ลสกมุ
อาํ นาจไวหมดไมใหเ หน็ และเปดทางของมนั ไว วา นน่ั สวยนง่ี าม นน่ั นา รกั ใครน น่ี า ชอบ
ใจ นน่ั นา กาํ หนดั ยนิ ดี นน่ั เปน สง่ิ จรี งั ถาวร หรือไมไดคิดถึงความจีรังถาวรหรือไม
ถาวรบา งเลย มีแตติดมีแตรักใครชอบใจถายเดียว อันนี้จะแปรสภาพไปอยางไรไม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๗
๓๔๘
คาํ นงึ เพียงความชอบใจความพอใจนี้ก็พอตัวแลว กิเลสมันหลอกเพียงแคนี้ก็ไดการ
และอยมู อื มนั แลว นกั ปฏบิ ตั เิ รา ไมสามารถจะคิดใหถ ึงความจรี งั ถาวร หรอื ไมจ รี งั
ถาวรของมนั ไดเลย เพราะถูกกลอมเสียออนปวกเปยกเรียกหากุสลา มาติกา เสียกอน
แลว แตไ มย อมเรยี กกสุ ลาธรรม คือ สติปญญาที่ติดแนบอยูกับใจซึ่งพรอมที่จะชวย
นน่ั บา งเลย ถาคิดถึงเรื่องความไมจีรังถาวร มนั จะมอี นั หนง่ึ แทรกขน้ึ มาวา จรี งั ถาวร
มันปดประตูไวไมใหคิดในทางที่ถูกเสีย
ทกุ ขฺ ํ บบี อยูทุกคนทัง้ รา งกายและจติ ใจ อยางมากก็บนเอา เหมอื นกบั วา เปน
ทางระบายออกแหงทุกข ความจริงไมใชเ ปนทางระบายออก เปน ทางเสรมิ สรา งของ
กเิ ลส เปน ทางของกเิ ลสเดนิ ตา งหาก ทบ่ี น เรอ่ื งนน้ั บน เรอ่ื งน้ี มนั ไมใ ชเ ปน การระบาย
ทุกข มนั เปน ทางเดนิ เสรมิ ทกุ ขเ สรมิ สมทุ ยั ตา งหาก นต่ี ามความจรงิ ทา นจงึ สอนให
พจิ ารณาทน่ี ่ี
อนตฺตา ก็เหมือนกัน วาเปนกอนเราทั้งกอน กค็ ือกเิ ลสน่ันแหละหลอกนะ
มันกอ นของกิเลสนัน่ แหละ อาํ นาจของกเิ ลสนน่ั แหละ ที่เปนทางออกมันปดไวหมด
บงั คบั อยา งไมร สู กึ ตวั เลยวา นเ้ี ปน เราเปน ของเรา เปน อตฺตาตัวตนทั้งนั้น จึงตองใช
ปญ ญาอนั เปน หลกั ความจรงิ ทจ่ี ะลบลา งความจอมปลอมทง้ั หลายนด้ี ว ยวธิ กี ารตา ง ๆ
นับตั้งแตเ กสา โลมา ไปโดยลําดับ จนกระท่งั สกลกายทั้งรา ง แยกแยะดทู ง้ั ภายในภาย
นอก คลค่ี ลายดซู าํ้ ๆ ซาก ๆ ถอื นเ้ี ปน งานสาํ คญั ประจาํ ชวี ติ จติ ใจและอริ ยิ าบถไมล ะ
ไมถอย
จงใชป ญ ญาพจิ ารณาคลค่ี ลายดดู ว ยดี เปน งานประจาํ ตวั ของพระ ประจาํ ตวั
ของผูปฏิบัติ เปน งานประจาํ จติ ของผูจะรื้อถอนตนออกจากทุกขเพราะความยึดมั่น
ถอื มน่ั สาํ คญั ผดิ ในสง่ิ เหลา น้ี ดว ยอาํ นาจของกเิ ลสหลอกลวง กเิ ลสบงั คบั ใหเ ปน ไป
เพื่อจะไดถอนตนออกจากสิ่งเหลานี้ จึงตองทําทั้งกลางวันกลางคืนยืนเดินนั่งนอนทุก
อริ ยิ าบถ ทุกอาการของจิตเคลื่อนไหว มีสติปญญาพิจารณาสอดสองอยูเสมอ ชื่อวา
ทาํ งานตามหลกั ธรรมโดยชอบธรรม
เมอ่ื พจิ ารณาตามหลกั ความจรงิ แลว หาทค่ี า นทไ่ี หนได มันเปนเรื่องของกิเลส
ตา งหาก มาเสกสรรความรคู วามเหน็ ความเขา ใจของเรา ใหว า นน้ั เปน นน้ั นเ้ี ปน น้ี นน้ั
เปน ของสวย นี้เปนของงาม นน้ั เปน สตั ว นเ้ี ปน บคุ คล นน้ั เปน หญงิ นเ้ี ปน ชาย
ความจริงแลว ถาจะพดู ถงึ เร่ืองหนงั หรือพูดถึงเรื่องผม-ขน ดูซิผม-ขนเปน
เสน ๆ เพียงตกลงในภาชนะเทา นน้ั กข็ ยะแขยงไมอยากรบั ประทานแลว ยิ่งตกเขาไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๘
๓๔๙
ในอาหารดว ยแลว จะอาเจยี นไปเสยี ดว ยซาํ้ เล็บของผูใดก็ตามปลอยใหหลุดลงไปใน
ภาชนะอาหารดซู ดิ ไู ดไ หม ฟนอยางนี้เหมือนกัน รวงลงไปในภาชนะดูไดไหม รบั
ประทานไดไหม นอกจากขยะแขยงกัน ดไี มด ใี นวงสาํ รบั แตกฮอื เลย รวมวงกนั อยู
มากนอยตองแตกศึกกัน
เรอ่ื งความจรงิ เปน อยา งนน้ั แตท ําไมจึงตองเสกสรรปนยอเอานกั หนา จนตดิ
แนน วา นเ้ี ปน เรานเ้ี ปน ของเรา นเ้ี ปน ของสวย นี้เปนของงาม ท้ังนีเ้ พราะกเิ ลสมัน
แหลมคมนน่ั แล ใจจึงไมสามารถมองดูหนามันได มันไมยอมใหมองดูหนามัน ใหกม
หนา ลงไปเหมอื นเขาปลน บา นปลน เรอื น จบั เจา ของมดั ไวใ หน อนควาํ่ หนา ไมใหมอง
ดหู นา ของโจรผรู า ยนน้ั เลย เพราะเขามอี าํ นาจ มองดูเขาก็ฆา กเิ ลสมอี าํ นาจกเ็ ชน เดยี ว
กันไมใหมองยอนหลังไปหามันเลย ใหมองสงไปทางอื่นตามความตองการของมัน ถูก
มันผลักมันไส ใหเปนไปตามอํานาจของมันอยูตลอดมา
เพราะฉะนน้ั เม่อื มโี อกาสมีวาสนาไดมาประพฤติปฏิบตั ิธรรม ไดศึกษาเลา
เรยี นหรอื ไดย นิ ไดฟ ง ธรรมจากครจู ากอาจารย และเกดิ ความเชือ่ ความเลอื่ มใส ได
ประพฤติปฏิบัติตน ในทางทก่ี เิ ลสจะถอยทพั กลบั แพด ว ยจติ ตภาวนาเปน สาํ คญั เชน น้ี
จงตง้ั หนา ฆา กเิ ลสใหส น้ิ ซากไป
อธบิ ายเขา สปู ญ ญาซง่ึ อธบิ ายยงั ไมจ บเวลาน้ี สว นสมาธกิ ไ็ ดเ รม่ิ ไปบา งแลว
ใหพ จิ ารณาอยา งทว่ี า น้ี กเิ ลสจบั จองไวท ไ่ี หนบา ง จงแทงทะลุเขาไปดวยปญญา แทง
เขา ไปในหนงั แทงเขาไปถึงเนื้อ ถึงเอ็น ถึงกระดูกทุกทอนที่มีอยูในรางกายนี้เนื้อเราดู
ไหมเปนยังไง เน้อื สตั วเ ปน ยังไง ทิ้งกองอยูตามตลาดมันผิดอะไรกับเนื้อคนทําไมจึง
เหน็ วา นเ้ี ปน คน อนั นน้ั เปน เนอ้ื นก้ี เ็ นอ้ื นน้ั กเ็ นอ้ื เอ็น กระดูกเหมือนกัน แลว ดเู สน
เอ็น ดูกระดูกทุกทอน ทั้งของเราของสัตวที่ทิ้งเกลื่อนอยูตามถนนหนทางมีคุณคา
อะไรบา ง ทําไมกระดูกอันนีจ้ ึงเสกสรรปนยอวา มคี ุณคา จนทบั หวั ใจเจา ของแทบจะ
ตายไมมีวันฟนอยูแ ลว
เมอ่ื พจิ ารณาสง่ิ เหลา นเ้ี หน็ ชดั ตามเปน จรงิ โดยลาํ ดบั จิตจะมีความดูดดื่ม
จติ จะมคี วามยมิ้ แยม แจม ใสความพากเพียรความอดทนจะมาเอง หมุนตัวไปตาม
อาการตา ง ๆ ของรางกาย พจิ ารณาเทา ไรยง่ิ แจง ยง่ิ ชดั ซาบซง้ึ ในโอวาทคาํ สั่งสอนของ
พระพุทธเจา พูดถึงเรื่อง อนจิ จฺ ํ ก็ซึ้ง ออ เปน อยา งนน้ั จรงิ ๆ มีทุกอาการของรางกาย
และจิตใจที่แสดงออกแตละอาการ ๆ ลว นแตเ ปน เรอ่ื ง อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา บบี
บังคับอยูทุกสัดทุกสวนหาชองวางไมไดเลย แมแตนอนหลับอยูก็ยังตองบีบบังคับ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๔๙
๓๕๐
บางครั้งถึงตองสะดุงตื่นขึ้นมา เพราะความทุกขม นั บบี บังคับอยา งเต็มท่ี จะทนนอน
หลบั ครอก ๆ อยูไมได
ถาพูดถึงเรื่องอสุภะความปฏิกูลโสโครก ก็ไมมีอะไรเกินรางมนุษย ดใู หเ หน็
ชดั เจนอยา งน้นั ตามความจรงิ ทเ่ี ปน อยา งนน้ั จรงิ ๆ เมอ่ื เขา ใจนช้ี ดั เจน จิตจะฝงแนน
ดว ยอุปาทานขนาดไหนกต็ าม เพราะอาํ นาจของกเิ ลสเปน ผหู ลอกลวงใหยดึ ใหถือน้ัน
จะถอนตัวออกมาอยางที่ไมเคยพบเคยเห็น และประจักษกับใจไมสงสัย จิตถอน
อุปาทานจากรูปขันธ เพราะความเหน็ แจง ดว ยปญ ญาเปน อยา งน้ี
ทนี ม้ี แี ตห ลกั ธรรมชาตแิ หง ธรรมลว น ๆ เต็มดวงใจ เพราะเหน็ ตามเปน จรงิ
หาทค่ี านไมไ ด ทส่ี าํ คญั มน่ั หมายอยา งนน้ั ๆ มาแตกอนนั้น เปน เรอ่ื งของความ
จอมปลอมที่กเิ ลสมนั ปกเสยี บเอาไว ตามทาํ ลายหมด ตามรื้อถอนออกหมด ปลอย
วางลงสคู วามจรงิ ลว น ๆ อนาลโย หายหว ง หายความยดึ ถอื ในรา งอนั น้ี เพราะรตู าม
ความจริงเต็มสวนของมนั
ในขณะเดยี วกนั เวลาพจิ ารณากายน้ี เวทนาปรากฏขน้ึ มากก็ าํ หนดเชน เดยี ว
กัน เวทนากาย เวทนาจติ เมื่อเวทนาทางจิตเปนของละเอียด ยงั ไมส ามารถทราบได
ในวาระน้ี เรากพ็ จิ ารณาเวทนาทางกายดงั ทเ่ี คยอธบิ ายใหฟ ง แลว
ทก่ี ลา วมาแลว ทง้ั หมดนเ้ี ปน การคลค่ี ลายสง่ิ ทห่ี มุ หอ จติ ใจ อุปาทานในกายก็
คือกิเลสที่หุมหอจิตใจ เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ ทจ่ี ติ ไปหลงวา เปน เราเปน ของ
เรา ก็คือกิเลสเครื่องหุมหอจิตใจ เมอ่ื พจิ ารณารปู ขนั ธเ หน็ แจม แจง ชดั เจนแลว เครอ่ื ง
หมุ หอเหลานก้ี ็ขาดลงไป ยงั เหลือแตเ คร่ืองหมุ หอ อนั ละเอียด คือ เวทนา สัญญา
สงั ขาร วญิ ญาณ นเ่ี ราเปด สง่ิ ลล้ี บั ดว ยปญ ญาใหเ หน็ ตามเปน จรงิ ในสภาวธรรมอนั เปน
สว นขนั ธว า เปน อยา งไรกนั แตกอนไมรูวา อะไรเปน จิต รกู ร็ ทู ง้ั รา ง รูไปหมดทั่ว
สรรพางคร า งกาย แตจ ะยดึ จะจบั เอาจดุ ทว่ี า จติ น้ี จับไมได เพราะถกู สง่ิ เหลา นห้ี มุ หอ
ไวหมด แตะเขาตรงไหนเจอกิ่งกานสาขาของ อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา,สงขฺ ารปจจฺ ยา
วิ ญฺ าณํ เต็มไปหมด แตะตรงนั้นถูกกิ่งของอวิชชา แตะตรงนั้นถูกกานของอวิชชา
ถูกรากฝอยของอวิชชา ถูกเปลือกถูกกระพี้ของอวิชชา
เมื่อใชปญญาถากถางเขาไป กิ่งก็ฟนเขาไป กา นฟน เขา ไป รากฝอยฟนเขาไป
เปลือกฟนเขาไป กระพี้ฟนเขาไป ตั้งแตรูปกายจนถึง เวทนา สัญญา สงั ขาร วญิ ญาณ
เปน ชน้ั ๆ ของกิเลส ทีแ่ ทรกสงิ ยึดครองดว ยอาํ นาจของอวชิ ชาเปนหลกั ใหญพาใหแผ
กิ่งกานออกไป จนเขา ใจอยา งชดั เจน จติ เปด เผยตวั ขน้ึ มาโดยลาํ ดบั ลาํ ดา ความจริงก็
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๐
๓๕๑
เรม่ิ เหน็ จติ มาตง้ั แตข น้ั สมาธแิ ลว แตยงั ไมกระจางและขาดจากกันกับสิง่ เหลา น้ี เมอ่ื
ใชปญญาเปนเครื่องตัดฟนยอมขาดไปโดยลําดับลําดา จนเวทนา สัญญา สงั ขาร
วญิ ญาณ อันเปนสวนละเอียดก็ขาดไปดวยกัน หมดจากความเปน เราเปน ของเรา รูปก็
ดี เวทนาทงั้ สามก็ดี สัญญาก็ดี สังขารก็ดี วิญญาณก็ดี ขาดจากความเปน เราเปน ของ
เราอยา งเหน็ ไดช ัดดวยปญ ญา
น่ีแลวธิ เี ปดเครอื่ งหุมหอ ของจติ ใหเหน็ อยา งชดั เจน เปด ดวยภาคปฏบิ ัติจิตต
ภาวนาเปด เขา ไป ฟน เขา ไปกเิ ลสขาดสะบน้ั เขา ไปโดยลาํ ดบั ตัดสะพานของ อวิชฺ
ชาปจจฺ ยา ซึ่งออกเที่ยวหากิน จนไมมีทางออก ทางรูปก็ตัด ทางเวทนากต็ ดั สัญญา
สงั ขาร วิญญาณก็ตัด ทางตา หู จมูก ลน้ิ กาย ที่จะออกสูรูป เสยี ง กลิ่น รส เครอ่ื ง
สัมผสั น้นั ย่ิงหา งไกล ก็ถูกตัดเขามาจนขาดสะบั้นไปหมดแลว ยังเหลือเกาะเดียวดอน
เดยี ว อุโมงคเดียวคือจิต ซึ่งเปนที่ซุมซอนหมกตัวอยูของอวิชชาอันเปนกษัตริยวัฏ
จักร
สติปญญาเมื่อถึงขั้นนี้แลวยอมเกรียงไกร และฉลาดสามารถมากเกนิ กวา จะ
นาํ อะไรมาเทยี บมาเสมอเหมอื นได อยางไรก็ไมทนอยูได ถาลงสติปญญาประเภทที่
ฟน สะบน้ั หน่ั แหลกเขา ไปจนถงึ จดุ เดยี วแลว จุดนั้นจะไมถูกทําลายยอมเปนไปไมได
เพราะฉะนน้ั บรรดาพระอนาคามีทา นเมือ่ ถึงขัน้ นแี้ ลว จึงไมกลับมาเกิดอีก เพราะ
เปนอัตโนมัติของสติปญญาขั้นนั้นแลว ทา นกา วขน้ึ สสู ทุ ธาวาส ๕ ชั้น ตั้งแตชั้นตน อวิ
หา อตัปปา สทุ สั สา สทุ สั สี อกนิฏฐา แลว เลอ่ื นขน้ึ ไปโดยลาํ ดบั ไมกลับมาอีกเลย
จากอกนิฏฐาแลวก็นิพพาน นี่ก็เพราะอํานาจของจิตเปนอัตโนมัติ ทาํ งานในตวั เอง
โดยหลักธรรมชาติไมมีอะไรมาบังคับ หากหมุนไปโดยหลักธรรมชาติของตัวเอง
นี่จิตขั้นนี้ก็เหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ยังมีชีวิตอยู ไมตองไปกลาวถึงสุทธาวาส ๕
ชน้ั แหละ กลาวถึงจิตกับสติปญญาที่รักษาตน และประหตั ประหารสง่ิ ทเ่ี ปน ขา ศกึ สิ่งที่
เปนเชอื้ จะพาใหเกดิ แก เจบ็ ตายตอไปอีก สุดทายก็ขาดสะบั้นลงไปจากจิต นน่ั แล
อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา อยูที่จุดนั้น ตวั นแ้ี ลท่พี าสตั วท งั้ หลายไปเกิด ไมใชอะไรอื่น
เห็นไดชัดเมื่ออะไร ๆ ขาดไปหมดยังเหลือแตจิตที่กลมกลืนกับอวิชชา เพราะฉะนน้ั
จิตจึงตองมีภพ แตไมใชภพเหมือนภพทั้งหลาย เปน ภพในสทุ ธาวาส ๕ ชั้น จิตดวงนี้
บอกไดชัด ๆ อยูภ ายในจิตเอง จากนน้ั กก็ า วเขา สนู พิ พาน
ทีนี้เพื่อใหถึงนิพพานทั้งเปนสด ๆ รอน ๆ น้ี เอา สติปญญาฟาดลงไปในจุด
นน้ั ให อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา ซึ่งฝงอยูภายในจิตนั้นแตกกระจายลงไปไมมีเหลือ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๑
๓๕๒
แลว นน้ั แลจะวา แดนแหง นพิ พานกแ็ ลว แตจ ะพดู ไมมีหิวโหยกับอะไรอีกแลว ไม
ตองการอะไรอีกแลว พอตัวแลว เอา เนน ลงไปวา จติ เปดเผยหรือไมเ ปดเผยทน่ี ี่ เมอ่ื
สง่ิ ทค่ี รอบหวั ใจมาเปน เวลานานไดข าดกระเดน็ ลงไปหมดแลว ที่นี่จิตจะไปเกิดที่ไหน
อีก แตกอนเกิดตาย ๆ เพราะเหตไุ ร เกิดตาย ๆ มากี่ภพกี่ชาติ เรากไ็ มร ูเพราะอะไร
พาใหเ กดิ ใหต าย เพราะอนั นแ้ี ล เหน็ ไดช ดั
พออวิชชาถูกทําลายลงไปแลวดวยสติปญญาอันแหลมคมก็หมดปญญา อดีต
ทีเ่ คยเปน มามากนอยไมตอ งไปนบั ไปอานใหเสยี เวลา เปน มาเพราะสาเหตอุ ะไรก็
บอกชัด ๆ อยแู ลว ภายในจติ อนาคตทีจ่ ะเปน ไปขา งหนา ถา อนั น้ียงั ครอบหวั ใจอยู
แลว จะตองเปนไปทํานองเดียวกันกับอดีตที่เคยเปนมาแลวไมสงสัย แตบ ดั นเ้ี ชอ้ื แหง
ภพไดขาดกระเด็นลงไปแลว ปจ จบุ นั กร็ เู ทา แลว ระหวางสมมตุ กิ ับวมิ ตุ ติขาดสะบ้นั
ออกจากกันทั้ง ๆ ที่ยังไมตาย ไดร ไู ดเ หน็ ชดั เจนแลว ถา คดิ เปน เปอรเ ซน็ ต รอย
เปอรเซ็นตก็รรู อยเตม็ รอย พันก็รูพันเต็มพัน ผูน้ีไดเ ปด เผยตัวเตม็ ที่แลว นแ่ี หละคอื
จิตแท ในขณะเดยี วกนั ก็น้แี ลคอื ธรรมแทอ ยูท ีต่ รงนี้ นแ้ี ลคอื บรมสขุ นแ้ี ลคอื นพิ พาน
การใสช อ่ื กใ็ สเ พอ่ื เปน เครอ่ื งหมายใหท ราบทางสมมตุ เิ ทา นน้ั เอง ลาํ พงั ทา นผรู ผู เู หน็
แลว ทา นไมจ าํ เปน รเู หน็ ประจกั ษใ จแลว กพ็ อ นแ่ี ลกเิ ลสอวชิ ชาและจติ จะละเอยี ดลกึ
ลับขนาดไหนก็เถอะ ถา ลงไดน าํ ธรรม มสี ตธิ รรม ปญญาธรรมเปนตน เขาไปถากถาง
ฟาดฟนกนั จริง ๆ แลวจะตองถึงรากแกวของกิเลสอวิชชา และถอนพรวดขึ้นมาอยาง
ไมตองสงสัย ขอสําคัญขออยาไดเชื่ออะไรยิ่งกวาเชื่อธรรมของพระพุทธเจา ก็เปนที่
มน่ั ใจและแนใ จ
ขอใหทุก ๆ ทา นนาํ ไปปฏบิ ตั ดิ ว ยความเอาจรงิ เอาจงั ดว ยความเหน็ โทษ
แหงความเปนมาของตนที่ถูกกิเลสย่ํายีมาตลอดเถิด ไมตองไปเชื่อผูอื่นผูใดใครที่
ไหนก็ได เพราะธรรมทุกแขนงพระพุทธเจา สอนไวห มดแลว ทกุ ขฺ ํ นตถฺ ิ อชาตสสฺ
ทุกขยอมไมมีแกผูไมเกิด นค่ี อื การตดั ขาดจาก อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา ถึง ชาติป
ทกุ ขฺ า ชราป ทกุ ขฺ า,มรณมปฺ ทกุ ขฺ ํ ซึ่งเปนกองทุกขทั้งมวล เมื่อเกิดมาก็ตองเปน
อยา งน้ี นอกจากไมเกิดก็ไมมีทุกขมาเกี่ยวของ
พระพุทธเจาสอนไวอยางไมมีผิดเพี้ยนไมมีทางสงสัย อวิชฺชาปจฺจยา นแ้ี ล
พาสตั วท ง้ั หลายใหไ ดร บั ความทกุ ขค วามลาํ บาก เพราะไมรูโทษของมัน เนื่องจากมัน
ไมยอมใหรู เพราะมนั อยเู หนอื สตั ว เมื่อสติปญญาทันแลวก็รูหมด เคยเปน มายังไง ๆ
รหู มด กเิ ลสประเภทตา ง ๆ มนั จะไปเปน อยูก ับหวั ใจใด กริ ยิ าอาการของสัตวตวั ใด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๒
๓๕๓
บคุ คลผใู ดรหู มด เพราะมนั เคยอยใู นหวั ใจเราแลว น่ี เราเคยปราบมนั อยา งราบจน
แหลกละเอียดไปแลว ไมสามารถมาครอบงําหวั ใจเราไดอ กี เหมือนแตกอ น หรอื
เหมอื นหวั ใจใด ๆ แลว เพราะฉะนน้ั มนั มอี ยใู นหวั ใจใด แสดงอากัปกิริยาออกมา
อยางใดจึงทราบไดหมด เม่อื ไดทราบมันหมดแลว ปราบมนั หมดแลว จะวา เปน
โลกวิทู ตามหลักธรรมชาติก็ไมผิด ถึงจะไมเปนโลกวิทู รแู จง แทงทะลุเมด็ หินเม็ด
ทรายกระท่ังสตั วตัวนต้ี ายแลว ไปเกิดท่ไี หน ตัวน้ันตายแลวไปเกิดทไี่ หนกต็ าม แตก็รู
แจง โดยหลกั ธรรมชาตกิ เิ ลสขาดสะบน้ั จากใจอยา งนแ้ี ล โลกวิทู อยางนี้เปนคณุ สมบัติ
ของสาวก ทานไดโลกวิทูในลักษณะนี้ ตามนสิ ยั วาสนากวา งแคบตา งกนั ไมเหมือน
โลกวิทูของพระพุทธเจาซึ่งเปนพุทธวิสัย
นแ่ี หละการปฏบิ ตั ธิ รรม เพื่อรื้อถอนจิตซึ่งเปนตัวมหันตโทษมหันตทุกข ที่
ถูก อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา เปน นายเหนอื หวั ครอบงาํ บงั คบั บญั ชากดขข่ี ม เหงมาเปน
เวลานานแสนนาน ทา นปฏิบตั ิกันดังท่ีกลา วมานี่แล เราสงสัยอะไรไมมีที่จะสงสัย ขอ
ใหย กหลกั ธรรมปจ จบุ นั คือ ศีล สมาธิ ปญญา คูปราบปรามกิเลสข้ึนประพฤติปฏบิ ัติ
กําจัดมันใหไดเถอะ พระพุทธเจานิพพานกี่รอยกี่พันองค นพิ พานไปนานแสนนาน
เทาไร จะไมมีปญหาโดยประการทั้งปวง จะรวมกันอยูท่ีปจจุบันจติ ปจจุบนั ธรรมซง่ึ
เปน ธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ นแ้ี หง เดยี วเทา นน้ั ไมมีทางอื่นจะเปนเครื่องพิสูจนไม
มที างอ่นื เปนเครือ่ งยนื ยัน มอี นั นเ้ี ทา นน้ั เปน เครอ่ื งยนื ยนั ดงั ธรรมทา นวา “ผใู ดเหน็
ธรรม ผนู น้ั เหน็ ตถาคต” กห็ มายเอาธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธน์ิ แ้ี ลเปน เครอ่ื งยนื ยนั เพราะ
พระพทุ ธเจาและสาวกท้งั หลายบรสิ ทุ ธอิ์ ยา งนเี้ หมอื นกันหมด เมอ่ื ยอมรบั อนั นแ้ี ลว ก็
ยอมรับพระพทุ ธเจา ทง้ั หลายในขณะเดียวกัน หาที่คานกันไมได
แตการที่จะปฏบิ ตั ิใหเปนไปตามธรรมดงั ทีว่ าน้ี ตองอาศัยความพากเพียร
เพราะกเิ ลสแตล ะประเภทนน้ั มเี ลห เ หลย่ี มแหลมคมมากทเี ดยี ว อยา เขา ใจวา มนั โงเ รา
ฉลาด ความจรงิ เราโงม าก กิเลสฉลาดมากและไมม อี ะไรฉลาดเหนือกิเลส นอกจาก
ธรรมเทา นน้ั วธิ กี ารตอสกู ับกเิ ลสน้นั จึงตองอาศัยความฉลาดแหลมคม มีสติปญญา
เปน สาํ คญั อาศยั ความบกึ บนึ อาศัยความอดความทน ความเอาจรงิ เอาจงั ทาํ เลน ๆ
เหลาะ ๆ แหละ ๆ ไมได ถาเราอยากจะพนจากทุกข แตถ าอยากจะเปน นกั
โทษมหันตทุกขอยูนี้ มันก็เคยเปนมาแลวนี่จะอยากไปอะไรอีก เพราะเคยเปน มาแลว
เราสงสยั ทต่ี รงไหน มีทางเดียวคือการรื้อถอนตนออกจากเปลวไฟอันใหญหลวงนี้ ให
ถงึ ความสวสั ดเี ปน บรมสขุ ตลอดอนนั ตกาลเทา นน้ั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๓
๓๕๔
จึงขอใหทุกทานฟงใหถึงใจ ปฏิบัติใหถึงธรรมดวยความพากเพียรของตน
เอง การแนะนําสั่งสอนก็ไดแนะนําสั่งสอนเต็มขั้นเต็มภูมิของผมเอง ไมมีสิ่งใดลี้ลับ
แกทานผูมาศึกษา เคยปฏิบัติไดรูอยางไรเห็นอยางไรก็พูดใหฟงหมดเปลือกแลว
ยอมรบั วา ไมม คี วามรมู ากกวา น้ี ขอใหฟงใหถึงใจและปฏิบัติใหถึงธรรม จะพน จาก
ทุกขอยางถึงใจในขณะที่มีชีวิตอยูนี้แล
พดู ทา ยเทศน
พระอยูดวยกันมาก ๆ มนั ก็เหมอื นรถบรรทุกของหนกั น่ันนะ มันอืดอาดมัน
เนอื ยนายมนั ชกั ชา ลา หลงั อยนู น่ั แหละ อะไร ๆ ก็ตองชา เพราะความเปน อยทู กุ ดา น
มันเกี่ยวโยงกันทั้งวัด ถา จะไปหาอยสู ะดวกสบายในการภาวนาน้ี ก็ตองเปนตาม
อัธยาศัยและกําลังใจของแตละรายที่แนใจตัวเอง เพราะผมเคยเปน มาแลว เวลาอยู
กบั ครบู าอาจารย มันเปนเหมือนแมเหล็กเครื่องดึงดูดและพยุงจิตใจไดดี แมจะยังไม
ไดห ลกั ไดเ กณฑท างดา นธรรมภายในใจ แตก ไ็ ดอ าศยั ครบู าอาจารยเ ปน หลกั เปน
เกณฑ ใหทา นเปนเหมอื นแมเ หลก็ เครื่องดงึ ดูดใหมคี วามชมุ ใจ เพราะความหวงั นน้ั
เปน สาํ คญั
พอออกจากทานไปทั้งที่จิตยังหาหลักยึดอะไรไมได มันอะไรบอกไมถูกผมนี่
เคยเปน มาแลว นะ เรากต็ ง้ั หนา ตง้ั ตาทาํ ความเพยี รอยเู ชน กนั แตมันไมไดเรื่องอะไร
นี่หมายถึงใจยังไมไดหลักทางสมาธินะ ภาวนานม่ี นั ไมไ ดเ รอ่ื งอะไรเลย จนงงในตัว
เองวา เอะ ทําไมเปนอยา งนี้ จติ ใจเราถา ฝน อยอู ยา งนไ้ี มน านจะจมแน ๆ ตองกลับ
เขา ไปหาครบู าอาจารย อยกู ับทา นความรูส กึ ก็เปนอกี อยา งหน่ึง แนะ มนั อยไู ดส บาย
ทั้ง ๆ ที่ก็ไมไดหลักไดเกณฑอะไรขณะอยูกับครูบาอาจารย แตมันไมเ ดอื ดรอนวุนวาย
เหมอื นอยคู นเดยี ว อาศยั ยดึ ทา นเปน หลกั ในทางจติ ใจ ก็พออยูไดสบาย ๆ นผ่ี มเคย
เปน มาแลว ทํายังไงมันก็ไมไดเรื่อง ภาวนาอยา งไรก็ไมไ ดเร่อื ง ใจเวลามนั ดอ้ื มนั ดอ้ื
ตอ หนา ตอ ตานน่ั แหละ จนกวามันไดห ลกั ไดเ กณฑแลว ทีนี้ไปไหนก็พอไป อยางนอย
จติ เปน สมาธเิ ปน หลกั เปน เกณฑแ ลว มันก็พอไปของมันพอสูของมัน คือตนทุนมันมี
ถึงความแยบคายทางดา นปญญาไมเกิด กอ็ าศยั สมาธเิ ปน หลกั เปน เกณฑ อยูไดดวย
สมาธคิ ือความสงบใจ ไมฟุงเฟอเหอเหิมเหมือนแตกอนที่มันไมมีหลักมีเกณฑ
นเ่ี หตหุ นง่ึ ที่ไมอาจขับไลไสสงใหหมูเพื่อนไปอยูที่นั่นที่นี่คนเดียว โดยเหน็
วา สบายดกี วา อยกู นั หลาย ๆ องค แตก็ไมแนใจในจิตใจของหมูเพื่อนวา จะมคี วาม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๔
๓๕๕
ฉลาดแยบคายรักษาตวั ไดเพยี งไร แมแตอยูดวยกันนี้ก็ยังตองไดดุไดดากันอยูเสมอ
เพราะความบกพรอ งอนั เปน ชอ งโหวใ หก เิ ลสทาํ ลาย ตองไดชวยปดชวยกั้นอยูไมหยุด
เพราะความผดิ พลาด เพราะความไมค ิดไมอ า นมอี ยมู าก นเ่ี หตหุ นง่ึ การไปอยูคน
เดยี วจะฉลาดและจรงิ จงั แคไ หนเรากไ็ มแ นใ จนกั สุดทายก็ตองพะรุงพะรังกันอยูอยาง
นจ้ี ะวา ไง เพราะมันแกไมตก ถาไมชวยกันแกที่ตัวเอง ซง่ึ แสดงความบกพรอ งใหเ ห็น
อยูตลอดเวลา ดวยสติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร ทค่ี รอู าจารยห ยบิ ยน่ื ใหใ นเวลาอยู
ศกึ ษาอบรมกับทาน
ตอนจิตไดห ลกั ไดเ กณฑพ อเปน บาทฐานแหง วิปสสนาแลว การกา วทาง
ปญญามันเปนอีกอยางหนึ่งนะ ทีแรกก็บังคับจิตออกพิจารณาทางดานปญญา พอจิต
เหน็ คณุ คา ทางปญ ญาแลว เปน อกี อยา งหนง่ึ จากนั้นจิตจะหมุนของมันไปเอง โดยไม
ตอ งบงั คบั เหมอื นขน้ั เรม่ิ แรกพจิ ารณา เมื่อเกิดขอของใจขึ้นมา เจาของแกไมไดก็มา
หาครบู าอาจารยเ พอ่ื ชว ยแกใ ห ไมใ หเ สยี เวลาไปนาน วง่ิ มาหาทา น เลา ถวายทา นจบ
ทา นใสเ ปรย้ี งเดยี วเทา นน้ั ส่ิงทเ่ี คยขดั ขอ งนัน้ ขาดสะบัน้ ไปเลยนะ เพราะทา นรตู ลอด
ทั่วถึงแลว เราไมร ู ไมรูทางออกทางเขา ไมรูวิธีปลดเปลื้อง จะปลดเปลื้องไดยังไง
เพราะปญ หาแตอ ยา ง ๆ ที่เกิดขึ้นมากนอย นน้ั กค็ อื สมทุ ยั เขา มาขวางธรรมนน่ั เอง
ปญญาเราไมสามารถแกได มนั กต็ อ งพจิ ารณาวกเวยี นพลกิ ไปพลกิ มาทาํ ใหเ สยี เวลา
พอมาเลา ถวายทา นแลว ทา นใสเ ปรย้ี งเดยี วเทา นน้ั กข็ าดสะบน้ั ไปเลย นน่ั มันตางกัน
อยา งน้นั ระหวา งครอู าจารยผ รู ผู า นไปแลว กบั เราทย่ี งั ไมร ไู มผ า น ผูปฏิบัติจึงตอง
อาศัยครูอาจารยชวยบอกแนะตลอดไปจนถึงจุดที่หมาย เมื่อถึงที่แลวปญหาทั้งมวลก็
สิ้นซากไปพรอมกับกิเลส
ถา หากไมม คี รมู อี าจารยช ว ยแนะจรงิ ๆ เราก็พยายามตะเกียกตะกายไปเอง
ดวยสติปญญาของตน แตม ันชา นะ ซิ เราเหน็ ไดช ดั เวลาพอ แมค รอู าจารยม น่ั ทา นลว ง
ลบั ไปแลว นน่ั ตองเตือนตัวเองใหตื่นตัวในการหวังพึ่งตัวเอง เอา ไมมีใครละที่นี่ เรา
คนเดยี วเปน กเ็ ปน ตายกต็ าย มันก็หมุนชวยตัวเองไปไดเหมือนกัน เปน แตช า บา งเทา
นน้ั ขั้นนี้ก็เปนความชวยตัวเองได เชน เดยี วกบั เวลาทเ่ี ราจนตรอกจนมมุ ดงั ทเ่ี คยเลา
ใหฟง มันก็ชวยตัวเองเต็มที่ไมยอมถอยหลัง เปน แตม นั ชา เทา นน้ั แหละ แตสติปญญา
ดิ้นดีดอยูไมหยุดไมถอยนะซิ เพราะปญญาขั้นน้ีไมถอยแหละ ชา หรอื เรว็ มนั กส็ กู นั อยู
อยา งนน้ั ก็ทะลุของมันไปได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๕
๓๕๖
แตอยางไรก็ตาม เรอ่ื งครบู าอาจารยเ ปน สาํ คญั มาก ทําใหกะทัดรัดเขาไป
เรอ่ื ย ๆ รวดเรว็ ราบรน่ื ดกี วา ทาํ โดยลาํ พงั อยมู าก นแ่ี ลทางดา นจติ ตภาวนาจงึ สาํ คญั
มากสาํ หรบั ครอู าจารยผ คู อยใหอ บุ าย จะเอาธรรมสมุ สส่ี มุ หามาสอนกนั ไมไ ดนะ
เรียนจนพระไตรปฎกก็เถอะ นม่ี ไิ ดป ระมาทการเรยี น พดู ตามความจริง ถาลงจิตนี้ไม
ไดท รงอรรถทรงธรรมประจักษใ จจากการปฏบิ ตั ิแลว จะสอนไมถูกจุดที่จําเปน แมย ก
มาสอนทั้งพระไตรปฎกก็ไมถูกจุดที่ตองการ ถาไมรูทางจิตตภาวนามากอน ถา เปน ยา
กย็ กกนั ทง้ั หบี นน่ั แล ไมส ามารถหยบิ ยาขนานเฉพาะมารกั ษาคนไขไ ด หากเปน หมอ
เถื่อนซึ่งผิดกับหมอจริงอยูมาก คนไขรายใดมาก็จะยกยาทงั้ หีบทมุ ใส มันก็ตายเทา
นั้นละคนไข
ไมไดเหมือนหมอที่แทจริงนี่ หมอเขาไมจําเปนตองไปยกกันมาทั้งหีบทั้งตู
อะไร เพยี งถามอาการและตรวจดรู แู ลว วา เปน ยงั ไง แลว ควรฉดี กฉ็ ดี ควรใหย ารบั
ประทานกใ็ ห เทา ทเ่ี หน็ วา เหมาะสมกบั โรคประเภทนน้ั ๆ ครบู าอาจารยผ เู ชย่ี วชาญ
จติ ตภาวนาทค่ี อยใหอ บุ ายเรากส็ อนลงตรงจดุ สาํ คญั ทนั ที ๆ เลย การสง่ั สอนจงึ ตา ง
กันอยางนี้ ก็จิตสอนจิตนี่ พออาราธนาดว ยการเรยี นถามปญ หาตา ง ๆ ปบ ทา นรแู ลว
ทา นเคยผา นมาเทา ไรเปน มาเทา ไรแลว ทา นใสป บ เดยี วเทา นน้ั เปน กระจา งไปทนั ที
ทนั ใด นี่ซิที่ตางกันมากกับทั่ว ๆ ไป
อยากใหหมูเพื่อนไดกําลังทางดานจิตใจ ใหไดเห็นเรื่องโทษของกิเลส มันทํา
ใหแ สนทกุ ขแ สนทรมาน ไมมีอะไรเกินกิเลสในโลกทั้งสามนี้ หากแตม ันไมใ หเ ห็นโทษ
ของมัน มันปดเอาไวหมด อนั นซ้ี มิ นั ลาํ บากนะ แมอ ยกู บั ครบู าอาจารยท า นชว ยเปด
ชวยถอนให ก็ยังสูกิเลสรุมปดรุมลอมไมไดอยูนั่นแหละ การรื้อขนกิเลสออกจากใจจึง
เหมอื นกับขนจอกแหนขน้ึ จากน้ํา พอแหวกออกมันก็หุบเขามา แหวกออกก็ไหลเขา
มา หบุ เขา มาอยอู ยา งนน้ั เวลากําลังปญญายังไมพอกับมัน เมื่อถึงขั้นปญญาที่ควรตอ
สกู ับมันไดแ ลว ไมเพียงแหวกออกเทานั้น ยงั จบั โยนขน้ึ บนฝง เสยี เลย จบั โยนขน้ึ ๆ
มันจะมีจอกมีแหนอยูเทาไร ควา ปาขึ้นฝง ใหหมด เหลอื แตน าํ้ ใสสะอาดอาบดม่ื ใช
สอยสบาย นี่เมื่อขนกิเลสโยนทิง้ หมดแลว อยไู หนก็อยสู บายหายทกุ ขก งั วล ไมมี
ปญหาอะไรอีกแลว
ปญ หาทง้ั มวลเกดิ จากกเิ ลสอยา งเดยี วเทา นน้ั เมอ่ื กเิ ลสสน้ิ ซากไปจากใจแลว
อะไรจะมาเปนปญหาใหยุงยากไมมี โลกทั้งสามโลกธาตุนี้ก็เหมือนไมมี เพราะจิตไม
ไปยุง แมจิตเองก็พอตัวอยูแลวจะไปยุงกับอะไร แนะ ฟงซิ มันพอตัวอยูตลอดเวลาไม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๖
๓๕๗
วา กาลนน้ั สถานทน่ี ้ี อริ ยิ าบถนน้ั อริ ยิ าบถน้ี กระทบนน้ั เปน อยา งนน้ั กระทบนเ้ี ปน
อยา งน้ี ๆ ไมมี กระทบอะไรก็มีเพียงสัมผัสกันแย็บ ๆ แลว ดบั ไป ๆ เทา นน้ั จติ รู
เรื่องของมันอยูแลวโดยหลักธรรมชาติ
เมื่อไมมีผูเปนเจาของเขาไปยึด ไมม เี จา อาํ นาจเขา ไปยดึ เสยี อยา งเดยี ว ขันธ
กเ็ ปน ขันธลว น ๆ แสดงอยูอยางนั้นตามหลักธรรมชาติของมัน แมตัวมันเองก็ไมมี
ความหมายในตวั มนั ใจรชู ดั ๆ วา เปน อยา งนน้ั ดังรางกายของเราที่นั่งอยูนี่ มันก็
เหมือนกับวัตถุทั้งหลายดี ๆ นน่ั เอง ไมไดผิดกันเลย เปน แตเ พยี งวา ความรไู ปเปน
เจาของเปน ผรู บั ผิดชอบขันธใชมนั อยูเ ทา นัน้ ใหม นั รอู ยา งนน้ั ตามหี นา ทเ่ี หน็ รปู หู
นน้ั มหี นา ทฟ่ี ง เสยี งเปน ตน ทางออกนี้ไปเจอนั้น ทางออกนั้นไปเจอนั้น ทางออกทาง
ตาไปเจอรปู ทางออกหูไปเจอเสียงเปนตน มันเปนทางออกของจิตไปเจอสิ่งตาง ๆ
เครอ่ื งมอื อนั นส้ี าํ หรบั อนั นน้ั เครอ่ื งมอื อนั นน้ั สาํ หรบั นน้ั ๆ เทา นน้ั กเ็ หมือนเคร่อื ง
มอื ทาํ งานสรา งบา นสรา งเรอื นนน่ั แล สว่ิ สาํ หรบั นน้ั ขวานสาํ หรบั นน้ั สวา นสาํ หรบั นน้ั
เลอ่ื ยสาํ หรบั นน้ั นําไปใชตามท่เี หน็ ควรและความตอ งการของชาง พอทิ้งไวเครื่องมือ
ก็เปนเหล็กอยูอยางน้ันเอง ไมวิเศษอะไรไปกวานั้น
ขันธหาก็เหมือนกัน ถา ลงความรเู ปน ความรู ไมไ ปสบั สนวนุ วายกบั สง่ิ ใด ไม
มอี ะไรมาสบั สนวนุ วายกบั ความรนู ้ี เปน ความรลู ว น ๆ มนั กเ็ ปน เหมอื นเคร่อื งมอื
ทาํ งานนน่ั เอง จะผิดอะไรกัน รางกายนี้กับทอนไมทอนฟนมันผิดกันอะไร ไมไดผิด
กัน เปน แตเ พยี งวา ความรนู ค้ี รอบครองขนั ธอ ยู รบั ผิดชอบอยู จึงมีการเคลอ่ื นไหวไป
มาได มตี า งกันเทา น้ัน เครื่องมือที่ยังใชไดก็ใชไป มเี ทา นน้ั พอความรูอันนี้ไมเกี่ยว
กับเรือ่ งอะไรแลว ก็เหมือนไมมีโลก เพราะไมม อี ยภู ายในใจ คาํ วา เย ธมมฺ า เห
ตุปฺปภวา เตสํ เหต!ุ ตถาคโต นี้ซึ้งมากนะ ก็พระอรหันตพูดนี่ พระอสั สชเิ ปน พระ
อรหันตทั้งองค เย ธมมฺ า เหตุปฺปภวา เตสํ เหต!ุ ตถาคโต เตสจฺ โย นิโรโธ จ เอวํ
วาที มหาสมโณ ธรรมทง้ั หลายเกดิ จากเหตุ เมื่อจะดับก็ตองดับเหตุกอน พระมหา
สมณะพูดอยางนี้ อะไรเปน เหตุ ก็จิตเปนมหาเหตุ ตัวที่อยูฉากหลังของจิตคืออะไร ก็
พูดแลวตะกี้นี้ คือ สมุทัย ทานสอนใหดบั เหตกุ อ น มหาสมณะคือศาสดาของเราสอน
อยา งนี้ ซึ้งมากทีเดียว
การตอสูกิเลสการถอดถอนกิเลส ตอ งถอื เปนงานสาํ คญั จาํ เปนตอ เราสุดชีวิต
พูดอยางอื่นผมไมสนิทใจ ถา วา เอาชวี ติ เขา แลกนน้ั ถงึ ใจนะ เพราะเคยเอาชวี ติ เขา แลก
มาแลว น่ี แมทุกขก็ยอมทุกข แตทุกขนี้มันคุมคานี่ ไมเ หมอื นทกุ ขท ค่ี น หาหวั หาทา ย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๗
๓๕๘
ไมได หาตน หาปลายไมไ ด เหมือนทุกขที่กิเลสบีบบังคับใหเกิดทุกข นน่ั มนั หาตน หา
ปลายหาที่ยุติไมได ทุกขอยูตลอด ทุกขนี้มีตนมีปลายมีที่ยุติ เวลาขา ศกึ ยงั มีอยกู ็ฟาด
ฟนกันลงไป แมทุกขก็ไมถอยการสู พอขาศึกเกลี้ยงไปแลวจะมีทุกขมาจากไหน ทุกข
เพราะความเพยี รมนั มที ย่ี ตุ ิ ไมเหมือนทุกขที่ตายกองกันอยูในวัฏฏะ หาทางออกไม
ได ทุกขอันนี้พิลึก ไมม ีเง่อื นตนเงือ่ นปลายเลย ทกุ ขเ พราะความเพยี รนี้มีทย่ี ุติ จึงผิด
กันอยูมาก
เวลาถึงคราวถึงระยะของมันที่จะทุม จิตหากเปนของมันเอง ทุมลง ๆ ชีวิตก็
ไมไ ดอ าลยั เสยี ดาย มันทุมกันแบบถึงเปนถึงตายมาไมรูกี่ครั้ง เวลาเขาไปเจอขาศึกก็
ทุมทันทีไมยอมถอย ถา ไมตายก็ใหชนะเทา นั้น ถอยไมได นน่ั ซิ มันฟดกันตรงนั้นซิ
เขารบขา ศกึ เขากต็ อ งเอาชวี ติ เขา แลก นเ่ี รารบกเิ ลสซง่ึ เปน ขา ศกึ อนั ใหญห ลวงเราก็
ตองเอาชวี ติ เขา แลก ถึงวาระพอเจอกันเขากใ็ สก ันเลย จะตายกใ็ หร ู ไมตายก็ใหร ู สดุ
ทายอยากพูดเต็มปาก กเิ ลสมนั ตาย เราไมเ หน็ ตายวะ แนะ
พระพทุ ธเจา กก็ เิ ลสตาย พระองคเพียงสลบเทานน้ั สดุ ทา ยกเิ ลสตาย ที่ทาน
ยกองคเดน ๆ ในทางความเพยี รมาใหเ ปน ตวั อยา งแกพ วกเราไดเ หน็ ไดย นิ ก็เพื่อเปน
คตนิ น่ั เอง เชน พระโสณะ ทานกเ็ พียงฝา เทา แตก ทา นไมต ายแตก เิ ลสทง้ั มวลตาย
เรยี บ ทา นเตะกบั กเิ ลสฝา เทา แตกแตก เิ ลสตาย ทานเองไมตาย เราจะกลวั ตายทาํ ไม
พระจักขุบาลก็ฟดกันกับกิเลส จักษุแตก แตก เิ ลสตาย ทานเองไมตาย แตก ลายเปน ผู
วเิ ศษขน้ึ มาเปน สรณะของพวกเรา ไมไ ดย นิ วา ทา นเหลา นต้ี าย อยางมากก็เพียงฝาเทา
แตกเพราะความเพยี รกลา ก็เพียงจักษุแตกเพราะความเพียรกลา พระพุทธเจาก็เพียง
สลบ แตก เิ ลสมนั เลยสลบคอื ตายเรยี บ พระจักขุบาลก็เตะกิเลส จักษุแตกกิเลสตาย
พระโสณะเดนิ จงกรมจนฝา เทา แตก กเิ ลสตาย
การเดนิ จงกรมจนฝา เทา แตกน้ี ถา เราคดิ ทว่ั ๆ ไปคงคิดวา ความเพียรของ
ทา นเกง ดว ยความพยายาม เดนิ จงกรมจนฝา เทา แตก เกงจรงิ เรอื่ งความเพยี รของ
ทา น แตเปนความเพียรที่สัมปยุตไปดวยสติปญญาอัตโนมัติ ไมใ ชบ งั คบั กนั เดนิ เสยี
จนฝา เทา แตกนะตามความแนใจของผม เพราะเม่ือถึงขั้นน้ีแลวความเพียรยอมไมม ี
กลางวนั กลางคนื ไมมีอะไรเขามาเกี่ยวของ มีแตกิเลสกับจิตมันหมุนมันฟดกันอยูเชน
นน้ั จะมเี วลาํ่ เวลาและไปสนใจกบั เวลาํ่ เวลาความเจบ็ ปวดแสบรอ นอะไรทไ่ี หนกนั
เพราะใจไมค ดิ อยา งอื่นนอกวงความเพียรภายในไปน่ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๘
๓๕๙
เรากเ็ คยเปน เชน นน้ั มาแลว เหมอื นกนั จึงกลาพูดและพูดอยางอาจหาญ แน
ใจวา ไมผ ดิ ดว ย ฟงซิ ฉนั จงั หนั เสรจ็ แลว ไปเดนิ จงกรม นาํ้ ไมไ ดฉ นั เลยในเวลาจงกรม
อยูนั้น มันยังอยูไดไมหิวโหยกับอะไรทั้งสิ้น ฟงซิ มันไปสนใจอะไรกบั หมากพลูบหุ รี่
กบั นาํ้ กบั ทา มนั ไมไ ดส นใจเลย ฟดกันกับกิเลสอยูนั้น เรื่องอะไร ๆ มันลืมคิดไปหมด
กลางวนั แสก ๆ เดินจงกรมตากแดดไดอยางสบาย เดนิ จงกรมตากแดดอยนู นั้ แหละ
โดยไมร สู กึ รอ นเลย ทางจงกรมไมมีรมไมดวยนะ ฟดกันอยูนั้น มันลืมหมด อิดหิว
เมอื่ ยลาลมื หมด นาํ้ ทา มนั ไมไ ดส นใจเลย เพราะไมม ีเวลาจะออกมาสูภายนอก จิตนะ
มันหมุนของมันติ้ว ๆ อยภู ายใน
เดินจงกรมนี้ถาสมมุติมีคนมาดอมดูเรา เขาจะวา พระองคน เ้ี ปน บา หรอื ไง จงึ
เดนิ สะเปะสะปะราวกบั คนตาบอด ชนโนน โดนน้ี ไมไปตามทาง ทั้งนี้เพราะจิตมันไม
ออกจากกายจากใจนั่นเอง มันหมุนอยูขางในติ้ว ๆ ฉะน้ันมันจงึ เดินโซซดั โซเซเขา ปา
เขา รกเรอ่ื ย ๆ เดย๋ี วโครมครามเขา ปา เอา รสู กึ ตวั วา เขา ปา ถอยออกมาเดินไปอีก จติ
หมุนกันอยูนี้ เดี๋ยวเขาปา โนน อีกอยูอยางนน้ั มนั กเ็ ดนิ ไดท ้ังวันนะ เพราะเดนิ คนเดยี ว
น่ี ใครจะมาวา เปน บา เปน อะไรมนั ไมส นใจนว่ี ะ มนั โครมคราม ๆ ของมันอยูอยางนั้น
แตมันก็เดินของมันได บางทกี ห็ ยดุ ยนื เสยี ยนื เสียเปนชว่ั โมงก็ยืนได ถึงระยะที่จะยืน
มันหากเปนของมันเอง ยนื กาํ หนดพจิ ารณาจนไดถ อ ยไดค วามชดั เจนแลว มันถึงจะ
กาวเดินตอไปอีก เวลากา วเดนิ กอ็ ยา งนน้ั แหละ ชนปา ชนหนามไป มนั ไมท ราบวา ได
กาวไปทางไหน ขาก็ดี มันไมสนใจกับขา สนใจอะไรเร่ืองมันอยกู บั จิตนี่ มันจึงหมุน
อยูตรงนี้
ฉนั จังหนั อยู จิตก็ไมไดอยูกับอาหารนะ มนั อยกู บั การพจิ ารณาตา งหาก เมอ่ื
เวลาถงึ ขน้ั ตะลมุ บอนมนั เปน อยา งนน้ั นะ แลวจิตจะเผลอไปไหน นั่นฟงซิ จดั อาหาร
จัดอะไร ๆ ก็จัดซิ แตจิตไมลดละการพจิ ารณา มันหากหมุนของมันอยูอยางนั้น ขน้ั น้ี
เปนความเพยี รอัตโนมัติ เชน เดยี วกบั กเิ ลสเวลามนั หนาแนน อยภู ายในจติ ใจเรา ทํา
อะไรอยูก็ตาม มันก็คิดเปนเรื่องของกิเลสโดยอัตโนมัติ มันเปนอัตโนมัติของมันเอง
พอถึงขั้นอัตโนมัติของธรรมก็เปนอยางเดียวกัน ไมงั้นไมทันกัน
จึงกลาพูดไดวาตั้งแตตื่นนอนขึ้นมาจนกระทั่งถึงหลับ มันเผลอไปขณะไหน
ไมม เี ลย จะมีไดยังไงก็สติปญญาสืบตอดวยความเปนนักตอสูอยางนั้นอยูตลอดเวลา
โดยอัตโนมัติของมันเองไมตองบังคับ เมื่อถึงขั้นมันเปนของมันแลวตายก็ไมถอย คํา
วาแพมีไดยังไง มีไมได ตายเสยี เทา นน้ั ไมต ายกใ็ หร ทู า เดยี ว สติปญญาแข็งแกรงเกิน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๕๙
๓๖๐
กวาจะนํามาพูดใหถูกตองกับความจริงได สติปญญาเมื่อถึงขั้นสละตายแลว คําวาถอย
คําวาแพไมมี มีไมได นอกจากตายกบั รทู าเดยี ว
ทุกสิ่งมันขึ้นอยูกับจิตอะไรก็ตาม มันหิวมันโหยมันอะไร ๆ มันอยูกับจิต พอ
จิตเปนนกั ตอสแู ละเขาตะลุมบอนกนั แลว มันลืมไปหมดนะ ทีนี้เวลากลับมาที่พักพอ
มองเห็นกานํา้ ผมยังไมลืมนะเรื่องทํานองนี้ โอโฮ มนั จะโดดใสก านาํ้ เลย ก็มันจะตาย
รนิ นาํ้ ใสก ระปอ งนมเปลา เพราะใชก ระปอ งนมเปลา เปน ประจาํ แทนแกว นาํ้ แทบไม
ทนั นน่ั นะ พอใสเขาไป ดื่มสําลักกั๊ก ๆ ๆ จะตาย โอโฮ มนั หวิ ขนาดนน้ั นะ บทเวลามา
เหน็ กานาํ้ เขา มนั หวิ นาํ้ จะตาย แตเ วลาไปทาํ ความเพยี รอยคู นเดยี วไมเ หน็ สนใจอะไร
พอมาถึงที่พักมองเห็นกาน้ําเทานั้น มนั จะโดดเขา ใสเ ลย กม็ นั หวิ นาํ้ จะตายนะ พอดื่ม
นาํ้ เขา ไป มนั กลนื ดว ยความอยาก ความหวิ มาก เลยสาํ ลกั จะตาย กลืนลงไปแทบไม
ทันนะซิ สําลักดังกั๊ก ๆ ๆ จะตาย ไมล มื นะนนี่ ะ
เวลาความเพยี รเปน ไปเตม็ ท่ี พจิ ารณาไมห ยดุ มนั กว็ ติ กวจิ ารณ เอ เราคดิ ไว
วา จติ มคี วามละเอยี ดเขา ไปเทา ไร ความพากเพยี รกจ็ ะคอ ยสะดวกสบาย งานการกจ็ ะ
แคบเขา ไป ๆ สะดวกสบายเขา ไปเรอ่ื ย ๆ แตทําไมมันจึงเปนอยางนี้ ดซู คิ วามคาด
ความหมายไวแตกอน กบั ความจรงิ ทเ่ี ปน ขน้ึ กบั จติ มันเขากันไดเมื่อไร เราคาดวา
อยา งน้ัน เราคดิ วา อยา งนน้ั จติ มีความละเอียดเขา ไปเทาไรยง่ิ จะมคี วามสะดวกสบาย
เรอ่ื ยไปเลย แตค รน้ั แลว ไมเ ปน อยา งนน้ั น่ี จติ ละเอียดเขา ไปเทาไรมนั ยงิ่ หมนุ ในงาน
ของมัน หมนุ ติ้ว ๆ ๆ จนไดคิดวา เมื่อไรมันจึงจะยุติกันลงเสียที สะดวกสบายเสยี ที
นา ทําไมตั้งแตตื่นขึ้นมาจนกระทั่งหลับ มันหมุนกันติ้ว ๆ ไมยอมหยุดบางพอได
หายใจเต็มปอด
บางคนื นอนไมห ลบั เสยี ดว ยซาํ้ เพราะการพจิ ารณาไมห ยดุ ทั้งที่นอนเพื่อจะ
ใหห ลบั นน่ั แล มันทําไมจึงเปนอยางนี้ เม่อื ไรถึงจะมีความสะดวกสบายเสียทนี า จติ
ราํ พงึ ขน้ึ ชว่ั ขณะเทา นน้ั พอหยุดรําพึงมันก็หมุนติ้วอีกแลว ๆ นน่ั จนกระทั่งถีบตัวไป
หมดกําลังของมันแลว ไมตองบอกไมตองบังคับ ที่หมุนติ้ว ๆ นั้นมันหยุดของมันเอง
เร่ืองความเพียรอัตโนมัติเม่ือถึงข้ันควรเปนแลว มันเปนไปของมันเองดังที่เลามานี้แล
จากนน้ั กอ็ ยแู บบเซอ ๆ ซา ๆ ละทนี่ ี่ เอ ทาํ ไมเปนอยางน้ี หอื เปน อยา งน้ี
เหรอ ทน่ี ีส่ ติปญ ญาท่ีเคยหมนุ ตว้ิ ๆ หายไปไหนหมด หายหมด หายทั้งสองอยางนั้น
แหละ สิ่งท่ีตอ สกู ันกไ็ มทราบวาหายไปไหน คตู อ สูกไ็ มท ราบหายไปไหน ไปดวยกัน
ไปไหนก็ชางมันเถอะ เราเคยทกุ ขเ พราะสง่ิ เหลา นแ้ี หละ ขาศึกก็ทําใหทุกข การตอสูก็
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๐
๓๖๑
ทุกข เพราะขาศึกมาทําใหทุกข เดินจงกรมก็เซอ ๆ ซา ๆ ไป ไปเห็นกิ้งกาก็เลนกับ
กิ้งกาเสีย เหน็ นกกเ็ ลน กบั นกเสยี เหน็ สตั วต วั ไหนกเ็ ลน กบั มนั ไปเสยี เปนอยางนน้ั ไป
เสยี ไมใชเดินจงกรมอยางจริงจังเหมือนแตกอน
ไปก็ไปยืนดูสัตว พจิ ารณาสตั ว มันหากมีเรื่องของมันนะ ไมใ ชไ ปแบบเซอ ๆ
เสยี จรงิ ๆ มันดูจิตดวงนี้ มนั หยง่ั เขา จติ โนน นะ จิตนี้เปนไดทุกอยาง อาํ นาจของธรรม
ชาติอันนี้ไปฝงไวหมด ไปกําอํานาจไวหมดไมว าจิตสตั ว จิตบคุ คล สตั วน าํ้ สตั วบ ก
บนฟา อากาศ กายทิพย กายหยาบ กายละเอยี ด จติ มันละเอียดกวา นนั้ กเิ ลสมนั
ละเอยี ดกวา นน้ั มันติดพันกันไปได แนะ มันหากคิดของมันเองนะ
มเี ทา นต้ี วั มหาเหตใุ นไตรภพ พอนี้บรรลัยไปแลวไมมีอะไรมากอกวน ก็อยู
ไปอยางนั้น จะไดอะไรกับการอยู มืดแจงก็มีอยูตั้งแตเรายังไมเกิด ใครจะเอามืดเอา
แจงไปเปนสมบัติของตนได ใครจะเอาดนิ ฟา อากาศ แผน ฟา แผน ดนิ นไ้ี ปเปน สมบตั ิ
ของตนได วัตถทุ ้งั หลายท่มี องเห็นเกลอ่ื นอยเู ตม็ โลกเตม็ สงสารนี้ ใครจะเอาไปเปน
สมบัติของตนได มันตางอันตางมี ตางอันตางจริงอยูตามหลักธรรมชาติของมันอยาง
นน้ั มาแตไ หนแตไ ร ตั้งแตเรายังไมเกิด เกดิ มากม็ แี ตก เิ ลสนม้ี นั บงั คบั ใหอ นั นเ้ี ปน เรา
นน้ั เปน ของเรา กวาดตอนเขามา จะตายยังไมวานะ ถาเปนแบกกห็ ลงั หกั แลว ยังจะ
แบกตะพึดตะพือไมยอมวาหนัก กเิ ลสไมย อมใหว า หนกั มันบังคับเอา เพราะฉะนน้ั
มนุษยเราถึงโลภมากไมรูจักตายก็คือมนุษยนี่แล
ถาพูดตามโลกสมมุตินิยมทั่ว ๆ ไปเขาวา มนษุ ยน ฉ้ี ลาดกวา สตั ว ถาพูดตาม
หลกั ธรรมพระพทุ ธเจาอยา งแทจรงิ เพอ่ื จะปราบกเิ ลสแลว ไมเ ปน อยา งนน้ั มนุษยนี้
ใชไดคลองตัวที่สุด กิเลสใชไดคลองตัวที่สุด กเิ ลสเสย้ี มสอนไดง า ยกวา สตั วท ง้ั หลาย
มนษุ ยน โ้ี งก วา สตั วท ง้ั หลายมาก พลิกไปอยางนั้นเสีย ควรจะฉลาดแลว ยงั กลบั ใหม นั
เอาความฉลาดไปใชเ ปน ทาสของมนั เสยี สน้ิ ควรจะเอาความฉลาดของธรรมเขา ไป
แทรกในมนษุ ยน ้ี แตยังไมไดเรื่อง ตายทง้ิ เปลา ราวกบั สตั วท เ่ี ขาไมฉ ลาด สูสัตวก็ไมได
สตั วเ ขากอ็ ยตู ามประสปี ระสาเขากเ็ ปน อยา งหนง่ึ มนษุ ยน ค้ี วรจะมคี วามฉลาด เพราะ
ตามหลักธรรมชาติมนุษยก็ฉลาดอยูแลว ควรจะหาความฉลาดอนั แทจ ริงอันถกู ตอ ง
อนั เปน สารคณุ เขา มาแทรกหวั ใจบา ง อยา งนก้ี ลบั ไมแ ทรก กลบั เอาความฉลาดของ
กเิ ลสเขา มาครอบงาํ เสยี หมด เออ มนษุ ยน เ้ี ลยจะตายจมอยกู บั ความสาํ คญั วา ตน
ฉลาด ทั้งที่โง ถกู กิเลสจูงจมกู จนไมโ งหวั ขึ้นดูเดอื นดาวบางเลย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๑
๓๖๒
โลภกโ็ ลภไมม ีใครเกนิ มนษุ ย โลภจนเจาของจะตายยงั ไมรู ตายแลวก็ไม
ทราบวา เอาอะไรไป พจิ ารณาซิ แมแ ตร า งกายนเ้ี วลาหมดลมหายใจแลว เขาจะเผาไม
เผาฝงไมฝง ทิ้งไวอยางนั้น มีแตแมลงวันจะมาไตมาตอมเทานั้น ไมมีทางที่จะไดติด
ตัวไป เมอ่ื พจิ ารณาใหถึงฐานแหงความจรงิ ของมันแลว โอโฮ ธรรมชาตนิ ม้ี นั ละเอยี ด
จรงิ ๆ ไมอ าจรมู ันไดเ ลย ถา ไมใ ชว ชิ าธรรม ไมเ หน็ มนั แน ๆ แมตายเกิดกี่กัปก็ไมมี
ทางทราบไดเ ลย มีวชิ าธรรมเทาน้นั ทจ่ี ะมองเขาไปเหน็ มนั ได และทําลายมนั ไดโ ดย
ลาํ ดบั จนกระทั่งสน้ิ ซากไป มธี รรมเทา นน้ั
การภาวนามนั กม็ เี รอ่ื งเกย่ี วขอ งหลายประการ ที่ใหความสะดวกก็มี ทใ่ี ห
ความขลุกขลักกาวไมออกก็มี จงึ ตอ งใชห ลายสนั หลายคมในทางอบุ ายเกย่ี วกบั หมกู บั
เพื่อน ไมเชน นน้ั กจ็ ะไมรเู ร่ืองรูร าวอะไร เชน วดั ปา บา นตาดน้ี รูส กึ จะอุดมสมบรู ณ
ดวยปจจัยทั้งสี่ เราจะวา อดุ มสมบรู ณน น้ั ไมผ ดิ เราพูดไดเตม็ ปากเพราะเคยไปท่ีตาง
ๆ มาแลว น่ี ถาไมเคย เรามาเจอแตน เ้ี สยี ทเี ดยี ว เรากย็ งั ไมก ลา พดู วา มนั สมบรู ณ น่ี
เราก็เปนนกั ทอ งเทยี่ ว เกือบพูดไดวาทั่วประเทศไทย และเคยอยกู บั ครบู าอาจารยท ่ี
ทา นพาปฏบิ ตั มิ าแลว
ยง่ิ พอ แมค รูอาจารยม น่ั ทา นชอบอยใู นปา ในเขา โอโฮ เวลาทา นเลา ใหฟ ง
มนั ไปสมั ผสั ทา นถงึ เลา นะ ไมใ ชท า นตง้ั ใจมาเลา เฉย ๆ เวลาพดู ไปสัมผัสทา นก็พดู ให
ฟง แตเ รามนั เกดิ ความสลดสงั เวช ไปบางแหง ฉนั จงั หนั ดว ยขา วเปลา ๆ ไมมีกับเลย
เปน เดอื นนะ ทา นวา เพราะเขาเขา ใจวา พระกรรมฐานนฉ้ี นั แตถ ว่ั แตง า ไมฉันเนื้อฉัน
ปลา เขาไมม ถี วั่ มีงาเขากเ็ อาขาวเปลา ๆ ใสบ าตรใหฉ นั เรากฉ็ นั อยา งนน้ั เพราะเราหา
อยา งนน้ั น่ี ทา นวา แตภ าวนาดี ตวั เบา มันจะกินไดมากอะไรมีแตขาวเปลา ๆ ทา นวา
อยางนั้น การเดนิ ธดุ งคก ล็ าํ บาก บางทเี ดนิ จากนไ้ี ปบา นนน้ั ไปหมูบานนั้นก็ไมถึง
เพราะหลงทาง โดนปาลึกเขาไปอีก
แตกอนหมูบานไมไดเปนอยางนี้ เดนิ ตง้ั วันก็ไมเ จอหมูบ า น หลงทางบอย
เพราะทางโขลงขางมีแยะ โอย นอนจมอยูในปา ทา นวาบางทไี มไดก นิ ขาวก็มี เราก็
เคยอดอยูแลว จะวิตกวจิ ารณอะไร เพราะเราไปหาภาวนานน่ี ะ เราไมไ ปหากงั วลน่ี
ทา นวา ความกังวลเปนเรื่องของกิเลส เราจะฆา กเิ ลส จะกังวลมันอะไร ไปอยูในปาใน
เขา อด ๆ อยาก ๆ ทง้ั นน้ั แหละ ทา นพูด ทนี ธ้ี รรมทา นซสิ มบรู ณภ ายในใจไมม เี วลา
บกพรอง ทา นภาวนาของทา นดว ยความสะดวกสบาย ไมเ กลอ่ื นกลน วนุ วายกบั ใคร ๆ
จติ ใจสงา ผา เผย ธรรมชอบเจรญิ ในทอ่ี ดอยากขาดแคลน ไมไดเจรญิ ในท่สี มบูรณพูน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๒
๓๖๓
ผลดว ยปจ จยั เครอ่ื งบาํ รงุ บาํ เรอ ซึ่งดีไมดีติดปจจัยสี่ ซึ่งเปนเพียงเครื่องอาศัยก็ไดถา
ลืมตัว เลยกลายเปน เนอ้ื เปน หนงั เปน ตวั เปน ตนขน้ึ มาแบบกาฝาก และทาํ ลายจติ ใจ
ใหแ หลกเหลวไปได
เพราะฉะนั้นการฝก ฝนอบรมเจา ของ จงึ ตอ งมคี วามลาํ บากลาํ บน ดวยที่อยูที่
อาศยั บา ง ดวยปจจัยตางๆ เครอ่ื งบรรเทาบา ง ดว ยความเพยี รบา ง บวกกันเขาก็ตอง
ทุกข เพราะจะหนีจากทุกข ตองเอาทุกขแกทุกขซิ ทุกขอันหนึ่งเปนทุกขเพราะกิเลส
สรางขน้ึ มา ทกุ ขอ นั หนง่ึ เปน ทกุ ขเ พราะการบาํ เพญ็ ธรรม ฝา ยหลงั นเ้ี ปน ผลดี เปน ทาง
ใหป ระเสรฐิ เปน ทางใหหลดุ พน ยอมรับทุกขทางนี้มากกวาจะยอมรับทุกขทางนั้น
อยางนั้นซิผูปฏิบัติ ตอ งคิดแยกคิดแยะหลายสันหลายคม จงึ เรยี กวา ปญญา ไมอยาง
นั้นหาทางออกไมไดนะ ปญ ญาเปน สาํ คญั พลกิ แพลงเปลย่ี นแปลงหลายตลบทบทวน
จนคลองตัว จึงจะทันกับกลของกิเลส ไมงั้นตายจมอยูในเงื้อมมือมัน
นี่ก็ยิ่งรอยหรอเขาไปๆ ทกุ วนั พระกรรมฐานเรา กาํ ลงั จะกลายเปน ปลาเนา
ไปขายอยใู นตลาดลาดเลในเมอื งใหญเมอื งหลวงไปแลว นะ เรื่องของกิเลสถามีอยูใน
จติ แลว มนั ลมื ตัวไดงายนะ เหน็ คนมานบั หนา ถอื ตาเคารพเลอ่ื มใสกล็ มื ตวั เสยี ละซิ
เหตทุ เ่ี ปน ปลาเนา กระจายเขา ตลาดนะ เพียงดนิ เหนียวตดิ หวั กว็ า ตัวมหี งอนไปแลว
นน่ั นล่ี ะกรรมฐานตาย ผเู หน็ ธรรมเปน ของแปลกประหลาดอศั จรรยภ ายในจติ อยู
แลว ทา นไมห ลงทา นไมต น่ื ดนิ เหนยี ว ทา นรู มแี ตห าวธิ หี ลบหลกี ปลกี ตวั เทา นน้ั จน
ผานพนไปไดแลว นั้นก็ยิ่งรอบคอบ ควรจะสงเคราะหใ ครมากนอ ยเพยี งไร ทา นกร็ ู
ประมาณของทานเอง ทานไมหลงทานไมตื่น
ผเู ชน นน้ั แลว ทา นเปน ผรู อบคอบ ทานรูจักประมาณความพอดีในการปฏบิ ตั ิ
ตอประชาชน หนกั เบามากนอ ยเพยี งไรทา นรขู องทา นเอง ทานไมถอื ใครเปน ประมาณ
ทา นถอื ธรรมเปน ประมาณ กําลังวังชาของทานเหมาะสมเพียงไรทานก็รูของทานเอง
เพราะทา นไมถ อื โลกามสิ มาเปน เจา อาํ นาจบงั คบั จติ ใจทา น ทา นไมม ีโลกามสิ ติดหัวใจ
ทา นมแี ตค วามเมตตาสงสารทจ่ี ะสงเคราะหส งหาไดม ากนอ ยเทา ไร ทานก็ทําไป ความ
รจู กั ประมาณทา นมอี ยปู ระจาํ ใจ ทานไมลืมตัวไมลืมธรรมจะไปลืมตัวอะไร คนลมื
ธรรมตางหากจงึ ลมื ตัวม่วั สมุ แบบไมมสี ถานีจอดแวะ
หาอบุ ายสงั เกตดเู จา ของใหด นี ะ สิ่งเกี่ยวของกับเรามีอะไรบางที่ทําใหอืดอาด
เนอื ยนาย ทาํ ใหล า ชา ทาํ ใหไ มส ะดวกสบายในจติ ตภาวนามอี ะไรบา ง ตองสังเกต
เสมอ ถึงจะทุกขก็ทนเอา เมอ่ื เจา ของรวู า สะดวกทางดา นจติ ตภาวนาในแงใ ด แมทุกข
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๓
๓๖๔
ก็ตองยอมทนเอา ไมอยางนั้นกาวไปไมได เพราะกเิ ลสมนั รงึ รดั รอบดา นในหวั ใจเรา
ขยับออกชองไหน สว นมากมแี ตก เิ ลสทง้ั นน้ั แหละ เมื่อสติปญญายังไมทัน มแี ตก ิเลส
ยดึ อาํ นาจเอาเราเปน เคร่ืองมอื ของมนั ทงั้ นัน้ แตเ ราไมร วู า มนั เปน กเิ ลสนะ ซิ ตอเมื่อ
สติปญญาทันมันถึงจะรูและรู แยบ็ มาตรงไหนรู ฟนกันแหลกๆ ไปเลย เมื่อถึงขั้นรู
แลวปดไมอยูจริงๆ นะ มันจะออกมาแงไหนมันรูกันทันทีๆ ฟดกันฟนกันแหลกๆ จน
กระทัง่ มนั หมอบอยางทว่ี า นน่ั แหละ หมอบแลวยงั ไมแ ลว ยังตองคุยเขี่ยหาอีกไมหยุด
ไมถอย กิเลสมันหมอบ การหมอบของกเิ ลสอยา เขา ใจวา มนั กลวั เรา มนั หมอบหลบ
ฉากตา งหาก อยา เขา ใจวา มนั กลวั เราเลย มนั หมอบหลบฉากดว ยลวดลายแหง ความ
ฉลาดของมัน ความฉลาดของกิเลสเปน อยางนัน้
ฉากของธรรมะความฉลาดของธรรมเปนยังไง ก็ตามขุดคนจนเจอกัน ฟดกัน
เรอ่ื ยๆ หลายครง้ั หลายหน สุดทายก็เจอปูยาตายายของมันจนได คือ อวิชฺชาปจฺจยา
สงขฺ ารา นก่ี เ็ อาแหลก เมอ่ื เจา โคตรมนั หมดแลว สงครามกห็ ยดุ รบลงทนั ที ฉะนน้ั จง
ฟาดฟน จนหมดเจาโคตร ถาโคตรยังอยูมันก็แตกลูกแตกหลานมาเรื่อย เพราะมนั มี
โคตรมแี ซน ว่ี ะ เอาจนแหลกทง้ั โคตรท้ังแซแลวหมดปญ หาลงทนั ที สบายแสนสบาย
สนุกดูกเิ ลสท่นี ี่ สมมตุ วิ า มนั ไมม ใี นหวั ใจเรา มนั กม็ ใี นสตั วใ นบคุ คล ไปไหน
มนั กเ็ หน็ หมด เกลอ่ื นอยนู ั่น มันแสดงกิริยาทาทางอะไรออกมา ปดไมอยู เหน็ หมดรู
หมด นอกจากจะพูดหรือไมพูดเทานั้น ทีนค้ี วามสงสารมนั กเ็ ปน ข้นึ มาพรอมกนั อีก
คนหนง่ึ ไมร ู คนหนง่ึ รมู นั ดกู นั งา ย คนไมรกู ็เหมอื นคนไปนอนอยูใ นถํา้ เสอื นั่นแล ได
ยนิ เสยี งเสอื คาํ ราม ฮึ่มๆ ยงั นกึ วาคนรองเพลงใหฟง ยังฟงเพลินอยูได ไมรูจักตาย
พวกเรามนั พวกไปนอนอยใู นถํา้ เสอื เสือคํารามจะกลืนหมดทั้งตัว ยงั ออ เพลงน้ี
ไพเราะเพราะพรง้ิ มากนะ แหม เพลงนม้ี าจากไหนนา เพลงอะไร เพลงลูกทุงหรือลูก
กรุงกนั นะ ถงึ ไดไ พเราะเสนาะโสตเอานกั หนา ไมคิดวา เสือมันกําลงั หน่ั หอมหั่น
กระเทียมอยูแลว เสียงกระหึ่มๆ ของมันหั่นหอมกระเทียม กําลงั จะขยําคลุกเคลา กับ
เนื้อมนษุ ยผ ูแ สนโงอ ยูประเดยี๋ วใจยังไมร ู ยงั เขา ใจวา เขารอ งเพลงใหฟ ง กเิ ลสมัน
กลอมคน กลอมอยางนั้นละ จงฟงใหถึงใจ บทเพลงของกิเลสกลอมพวกเรา และ
ปฏบิ ตั ใิ หถ งึ ธรรม ถาไมอยากถูกขยํากับหอมกระเทียมของมัน
เอาละ เลิกกันละทน่ี ี่
<<สารบญั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๔
๓๖๕
เทศนอ บรมพระ ณ วัดปาบานตาด
เมื่อวันที่ ๑๐ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๒๕
พฒั นาจติ ใหพ น พลงั ดงึ ดดู ของกเิ ลส
ในสามแดนโลกธาตุนี้ไมมีอะไรมีกําลังมากกวากิเลสไปได ดังที่กลาวเมื่อสัก
ครนู ว้ี า มันมีอํานาจดึงดูดตลอดเวลา เชน เดยี วกบั วตั ถตุ า ง ๆ ที่ถูกโลกดึงดูดตลอด
เวลานน่ั แล คําวาโลกดงึ ดดู นี้ วัตถุเล็กก็ดึงดูดตามความเล็ก วตั ถใุ หญกด็ งึ ดูดตาม
ความใหญของวตั ถุน้ัน ๆ วัตถุใหญเทาไรยิ่งดึงดูดมาก เรายกไมข น้ึ เพราะหนกั มาก
เกี่ยวกับความดึงดูดของโลก แมเข็มเลมหนึ่งมันก็ยังตองดึงดูด วัตถุตาง ๆ จงึ เตม็
อยกู บั พน้ื โลก จะเหาะลอยอยูบนอากาศไมไดเพราะถูกโลกดึงดูดลงมา
กเิ ลสสรา งพน้ื ฐาน สรา งอาํ นาจ สรางความดึงดูดไวภายในใจของสัตวโลกก็
เหมือนกัน ใจสตั วโ ลกจงึ เปน ฐานแหง ความดงึ ดดู ฐานแหงกําลังของกิเลสที่คอยดึง
ดดู สตั วโ ลกไมใหเ ผยอตวั ขึน้ ไดเลย ไมวาจะคิดอานไตรตรองทางใดขึ้นชื่อวาความดี
แลว ถกู มนั ดึงดดู หรือเหนี่ยวร้งั เอาไวจนได อํานาจของมนั รุนแรงมาก แตเราไม
ทราบวา สง่ิ เหลา นม้ี อี าํ นาจ เพราะยังไมมีคูแขง มันมีอันเดียว เกดิ มากเ็ พราะอาํ นาจ
ของกิเลสพาใหเกิด ความเปน อยู ความเคลอ่ื นไหวทกุ อยา งอยดู ว ยอาํ นาจแหง ความ
ดึงดูดของกิเลสทั้งมวล ไมมีสิ่งใดมามีอํานาจดึงดูดและแฝงเขามาเปนคูแขงกับสิ่งที่
กลา วน้ี สง่ิ นจ้ี งึ มอี าํ นาจทาํ หนา ทแ่ี ตผ เู ดยี วอยใู นหวั ใจสตั วโ ลก ทั้งที่สัตวโลกก็ไม
ทราบเลยวา อะไรเปน เครอ่ื งดงึ ดดู เปนเครื่องกดถวง หรือกดขบ่ี ังคบั อยเู วลานี้ ไมมี
ทางทราบได ไมว า จะเปน สตั วโ ลกรายใดหรอื ผใู ดภมู ใิ ด รวมหมดทง้ั สามแดน
โลกธาตุน้ี ไมม ผี หู นง่ึ รายใดทจ่ี ะสามารถทราบความดงึ ดดู หรือกําลังของกิเลสซึ่งฝง
อยูภายในจิตใจของตนนี้ได เพราะเปน ส่ิงทลี่ ะเอียดออนมากเกนิ กวาสามญั ชนเราจะ
ทราบไดในความเปนของมัน
ดว ยเหตนุ เ้ี ราจงึ เหน็ ความประเสรฐิ และอศั จรรยข องพระพทุ ธเจา ทแ่ี หวก
วา ยมาตรสั รใู นแดนแหง มหาอาํ นาจของวฏั จกั รน้ี ไดเปนพระพุทธเจาขึ้นมา และ
ปราบธรรมชาติทีม่ ีอาํ นาจกดถวงจิตใจ หรือดึงดูดจิตใจนี้ ใหหมดสิ้นไปจากพระทัย
ได นาํ อบุ ายวธิ ตี า ง ๆ ทั้งฝายโทษเพราะความกดขี่บังคับของกิเลส ทั้งฝายคุณคือ
ธรรมเครื่องชําระซักฟอก หรอื ปราบปรามกเิ ลสใหส ตั วโ ลกทง้ั หลายไดท ราบโดย
ลาํ ดบั มา ตั้งแตปฐมสาวกจนกระทั่งพุทธบริษัท หรือสัตวโลกทั่ว ๆ ไป อยา งกวา ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๕
๓๖๖
ขวาง ไมมีใครเสมอเหมือนพระพุทธเจา ดว ยเหตนุ ค้ี าํ วา พระพทุ ธเจา เกดิ ขน้ึ แลว ใน
โลก จึงเปนสิ่งที่สะเทือนใจสัตวโลกผูกําลังตกทุกข และแสวงหาทางออกอยางมาก
มาย เพราะเปน ธรรมชาตทิ ห่ี ายาก นานแสนนานจะมสี กั ครง้ั หนง่ึ
เราคดิ ดวู า สตั วโ ลกทง้ั สามภพน้ี ไมม ผี หู นง่ึ ผใู ดรายใดจะแหวกวา ยโดย
ลําพังตนเอง ใหห ลดุ พน จากมหาอาํ นาจแหง วฏั จกั รนไ้ี ปไดแ มแ ตร ายเดยี ว มพี ระ
พทุ ธเจา เทา นน้ั เปน พระองคแ รก ที่ไดทรงพยายามมาโดยลําดับเต็มพระสติปญญาไม
ลดละทอถอยจนไดตรัสรู ดงั พระพทุ ธเจา ของเราองคป จ จบุ นั เปน ตวั อยา ง เพยี งพระ
ชาตปิ จ จบุ นั น้ี พระองคทรงตะเกียกตะกายไดรับความทุกขทรมานมากเพียงไร มใี คร
จะเปนคูแขงพระพุทธเจาไดไมปรากฏ เพราะการทรงเสยี สละทุกสงิ่ ทุกอยา ง ลว น
เปน สง่ิ ทเ่ี จา มหาอาํ นาจนย้ี ดึ ครองไวแ ลว อยา งเหนยี วแนน ทง้ั สน้ิ ไพรฟาประชาชี
บรษิ ทั บรวิ าร สมบัติพัสถาน ผูอยูในความปกครองที่ทรงรับผิดชอบ ลว นแตม หา
สมบตั ิ นถ้ี อื วา เปน สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา มหาศาลทง้ั นน้ั เฉพาะอยา งยง่ิ พระชายากบั พระราช
โอรสซึ่งเปนสมบัติที่ใกลชิดติดพระองคยิ่งกวาสิ่งใด ๆ พระองคเสด็จพรากจากไปได
อยางไร ถาธรรมดาแลวยอ มเปนไปไมไ ด ไมมีใครกลาทําได แมแตสมบัติสิ่งของ
ธรรมดา ๆ ซึ่งมีคุณคานอยนิดเดียวยังไมอาจสละได
เวลาเสดจ็ ออกทรงผนวช นับแตขณะที่เสด็จออกไป ไดร บั ความทกุ ขค วาม
ทรมานแสนสาหสั ทง้ั ทางพระกายแลพระจติ เพราะการทรงฝก ทรงฝน ทรงทรมาน
พระองค จนถงึ ขน้ั สลบไสล จะเปน แหลจ ะตายแหล แลวก็ฟนพระองคกลับคืนได จน
ปราบมหาอาํ นาจทบ่ี บี บงั คบั และกดถว งอยภู ายในพระทยั ใหส น้ิ ซากลงไป กลายเปน
พระพุทธเจาขึ้นมาทั้งองค นย่ี ากขนาดใด เพียงพระชาติปจจุบันนี้ก็ไมมีใครจะกลา
แขงไดแลว พูดถึงเรื่องความพากเพียรความอดทน ความทุกขทรมานในการ
ตะเกียกตะกายทุกประโยค นบั แตส ถานทอ่ี ยู อาหารปจ จยั เครอ่ื งอาศยั ทเ่ี รยี กวา
ปจ จยั ส่ี ไมม คี วามสะดวกสบายในพระกายและพระทยั เลย เหตุใดจึงทรงฝาฝนมาได
การรบ รบอะไร การแกก ารตอ สู สอู ะไรทเ่ี ปน ภาระหนกั เปนของยากที่สุด
ยง่ิ กวา การสรู บการรบฟน หน่ั แหลกกบั กเิ ลสนไ้ี มม ใี นสามแดนโลกธาตนุ ้ี นี่พระพุทธ
เจาก็ไดทรงสละพระชนมชีพจนไดตรัสรูขึ้นมา ในการตอ สูก็ถึงขน้ั สลบ พระองคไม
ตายแตก เิ ลสตายเกลย้ี งไมม เี หลอื ภายในพระทยั ไดอบุ ัตขิ ึ้นมาเปน ศาสดาเอกในโลก
ทามกลางแหงวัฏจักรซึ่งหมุนอยูรอบตัว
นเ่ี ราไมเ หน็ พระพทุ ธเจา เปน ผปู ระเสรฐิ เปน ผอู ศั จรรยเ หนอื โลกแลว เราจะ
เหน็ อะไรวา ประเสรฐิ ยง่ิ กวา น้ี หากไมม พี ระพทุ ธเจา มาตรสั รแู ละทรงแสดงธรรมดว ย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๖
๓๖๗
วธิ กี ารตา ง ๆ ทง้ั การละและการบาํ เพญ็ ทง้ั ฝา ยโทษและฝา ยคณุ ใหท ราบแลว แมจ ะ
มีหูกี่รอยกี่พันหูก็ไมเกิดผลเกิดประโยชนอันใด มีตากี่รอยกี่พันดวง มีจมูก มีลิ้น มี
กายกี่รอยกี่พันจมูกกี่พันลิ้นก็ไมเกิดประโยชนอะไร เพราะไมท ราบจะเอานาํ ไปใชก บั
สง่ิ ใดจงึ จะเหมาะสม เมื่อไมมีผูชี้แจงแสดงบอกใหรูในทางผิดทางถูกแลว กาย วาจา
ใจหรอื ตา หู จมูก เหลา นก้ี ไ็ มม คี วามหมายอนั ใด นี่พระพุทธเจาทรงชี้แจงไวหมด ให
รูการใชประโยชนทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ ไมปลอยให
ตายและเนา เฟะทง้ิ เปลา ๆ ดงั ทเ่ี คยเปน มาแลว ทว่ั ดนิ แดน
ไมมีผูใดจะมีความฉลาดแหลมคมยิ่งกวาพระพุทธเจา ในการชแ้ี จงแสดง
บอกเครื่องใชเครื่องมือใหเกิดประโยชน สิง่ ใดท่ีจะเปนโทษกท็ รงสั่งสอนใหห กั หาม
ตัวเอง และทรงสั่งสอนหามไมใหทํา สง่ิ ใดทเ่ี ปน ผลเปน ประโยชนน บั ตง้ั แตข น้ั เรม่ิ
แรกแหง ประโยชนห รอื ประโยชนเ ปน พน้ื ๆ จนกระทั่งถึงประโยชนมหาศาล มพี ระ
พุทธเจาพระองคเดียวเทานั้นเปนผูชี้แจงแสดงทุกแงทุกมุม โดย สวากขาตธรรม
ตรสั ไวช อบ ไมม ผี ดิ มพี ลาดคลาดเคลอ่ื นแมแ ตน อ ยเลยในบรรดาศาสนธรรมทง้ั มวล
และเปน นิยยานิกธรรม เครื่องนําออกแกผูประพฤติปฏิบัติตามพระโอวาทที่ทรงสั่ง
สอนไวแ ลว นน้ั จนผานพนจากทุกขไปไดโดยสิ้นเชิง ไมมีใครเหนอื พระพุทธเจาท่ีทรง
แสดงไวแลวโดยถูกตองนี้ไดเลย
นเ่ี ราจะเหน็ ไดอ ยา งชดั เจนวา พระพทุ ธเจา ทรงมคี วามฉลาดเหนอื โลกขนาด
ใด โดยลาํ พงั เราทเ่ี กดิ ขน้ึ มาจะสมบรู ณด ว ยตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ก็ตาม มันก็
สมบรู ณอ ยดู ว ยวฏั จกั ร อยูดวยความโงเขลามืดบอด ใหกิเลสครอบงําจนมดื มิดปด
ตา ทั้ง ๆ ที่มีตาก็นําไปใชประโยชนอะไรไมได มีหูก็ฟงเพื่อกิเลส มีตาก็ดูเพื่อกิเลส
จมกู ลน้ิ กาย ใจก็เพื่อกิเลสทั้งมวล ไมใชม เี พ่อื อรรถเพ่ือธรรม ถาพระพุทธเจาไม
ทรงสง่ั สอนใหร วู ธิ ใี ชอ ายตนะหรอื เครอ่ื งมอื เหลา น้ี เพื่อเปนประโยชนในทางที่ถูกที่
ควร
ทนี เ้ี ราทง้ั หลายไดย นิ ไดฟ ง มาแลว ในตาํ รบั ตาํ รากเ็ คยไดเ รยี นไดอ า น จดจํา
มาไดมากมาย แลว จะควรทาํ อยา งไรทค่ี วรจะเปน ประโยชนแ กเ รา หากพระพุทธเจา
ไมทรงสอนไวแลว เราจะไมมีทางออกเลย น่คี วามอัศจรรยข องพระพุทธเจาเปนอยา ง
น้ี ทั้ง ๆ ทเ่ี ราไดย นิ ไดฟ ง มาแลว ยังไมสามารถปฏิบัติใหเปนไปตามรองรอยไดแลว
เราจะเหน็ วา ผใู ดเปน ผสู ามารถ ใครเปน ผสู ามารถผนู น้ั กเ็ ปน ผหู ลดุ พน ไปได ถา เรา
ไมสามารถเราก็หลุดพนไปไมได ตายจมอยใู นวฏั วนนโ้ี ดยไมม กี าลมเี วลามานบั อา น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๗
๓๖๘
เลย เรยี กวา อนันตกาล หาระหวางไมได หาความสน้ิ สดุ ยตุ ไิ มไ ด ถาปลอยใหเปนไป
ตามวฏั จกั รซง่ึ หมนุ อยภู ายในจติ น้ี
เฉพาะอยา งยง่ิ เราเปน นกั บวช มหี นา ทใ่ี ดเปน สาํ คญั ของนกั บวช ก็คือหนาที่
ปฏบิ ตั ิ ปริยัตไิ ดศ ึกษามาแลวพอสมควรจากอุปชฌายอ าจารย เรยี นมาตามตาํ รบั
ตาํ รา ทานชี้ชองบอกทางใหทุกแงทุกมุม แลวนํามาประพฤตปิ ฏิบัติ กําจัดสิ่งที่เปน
ขา ศกึ อยภู ายในใจของตนดว ยความอตุ สา หพ ยายาม ความขยนั หมน่ั เพยี ร จงึ จะเปน
การถูกตองตามเพศ และทางดาํ เนินของพระพุทธเจา และสาวกทงั้ หลายท่ีดาํ เนินมา
เพราะนี้คือทางเบิกทางถากถางกิเลส ซง่ึ เปน ตวั ภยั ภายในจติ ใจใหห มดสน้ิ ไปจากใจ
ศพั ทส มยั ปจ จบุ นั นเ้ี ขาเรยี กวา พฒั นาชมุ ชน,พฒั นาการ อะไรเปน สง่ิ ทค่ี วร
พฒั นากอ นอ่นื และเปน สิ่งทค่ี วรพัฒนาอยา งยงิ่ ก็คือใจ การพฒั นาจติ เปน สง่ิ สาํ คญั
ยิง่ กวา การพฒั นาส่งิ ใด ๆ ทง้ั สน้ิ หากไมไดพัฒนาจิตแลว สง่ิ ภายนอกจะหรหู ราสงา
งามขนาดใดก็ตาม มนั กส็ กั วา เปน แรธ าตุ เปนอฐิ เปน ปนู เปน หนิ เปน ทราย เปน
ถนนหนทาง ไปเพียงเทา นัน้ ผคู รองสง่ิ เหลา นก้ี ค็ อื ผทู ม่ี ไี ฟเผาผลาญอยภู ายในหวั ใจ
ตลอดเวลา จะหาความสขุ ความเจรญิ และความสงบรม เยน็ มาจากทไ่ี หน
ความสขุ ความเจรญิ ตอ งหมายถงึ จติ ใจเปน อนั ดบั แรก ความไมมีโรคภัยไข
เจบ็ การไปมาหาสดู ว ยความสะดวกสบายเปน อนั ดบั ตอ ไป การพัฒนาจิตใจเปนของ
สาํ คญั มาก ดังพระพุทธเจาทรงสั่งสอนโลกทั้งหลายมาก็คือการพัฒนาจิตใจ เมื่อ
พฒั นาจติ ใจใหด แี ลว สิ่งภายนอกยอมกลายเปนของดีงามไปตาม ๆ กัน มีคุณคา
เปน ประโยชนแ กผ พู ฒั นาโดยสมบรู ณ หากปราศจากการพัฒนาจิตแลวไซร จะไมมี
อะไรมคี ณุ คา เลยในโลกน้ี เพราะจติ เปน ตวั หมนุ เปน ตวั รบั สขุ รบั ทกุ ขร บั ความเสอ่ื ม
ความเจรญิ รับสัมผัสทุกสิ่งทุกอยางที่มากระทบกระเทือนอยูตลอดเวลา ถา ความ
รอบคอบของจิตไมมี สง่ิ เหลา นน้ั จะกลายเปน ภยั ตอ จติ ไมอ าจสงสยั
หากจติ ไดรบั การพัฒนาตนพอสมควร และพัฒนาใหม หี ลักมเี กณฑ จนถงึ
พัฒนาขั้นสุดยอด ถึงความบรสิ ุทธว์ิ ิมุตตหิ ลดุ พนภายในใจแลว อยทู ไ่ี หนกเ็ ปน การ
พัฒนา คอื เจรญิ รงุ เรอื งอยใู นตวั เอง แนะนาํ สง่ั สอนใครกเ็ ปน อรรถเปน ธรรม เปน
เหตเุ ปน ผล เปนความถูกตองลวน ๆ เพราะออกมาจากใจซึ่งพัฒนาดีแลว ฉะนั้น
การพัฒนาจิตจึงเปน ของสาํ คัญดังศาสนาสอนไว
จิตถูกอะไรหุมหอ ถูกอะไรเหยียบย่ําทําลายอยูทุกขณะจิต คิดปรุงออกเรื่อง
ใดมีแตเรื่องฟนเรื่องไฟ เรอ่ื งกเิ ลสตณั หา ความโกรธ ความหลง ลว นแตเ ปน ฟน เปน
ไฟอันออกมาจากเรื่องของกิเลสทั้งมวล หากไมแกไขดัดแปลง ไมช าํ ระลา งสง่ิ เหลา น้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๘
๓๖๙
จะจัดวาเปนการพัฒนาจติ ใจไดอ ยา งไร ก็เปน การพัฒนากเิ ลสใหม ากมนู ขนึ้ โดย
ลาํ ดบั เทา นน้ั แลว หาผลประโยชนอ ะไรพอใหเ ปน ความอบอนุ ชน่ื ใจภายในตวั เราเอง
ทง้ั เวลาเปน อยแู ละตายไป เวลานจ้ี งึ ควรสรา งหลกั เกณฑค อื ศลี ธรรมใหม น่ั คงภายใน
ใจเสยี แตบ ดั น้ี
เฉพาะอยา งยง่ิ นกั บวช เปนผูทีต่ ้ังหนา ตง้ั ตาสรางหลกั ฐานมัน่ คงใหแกจิตใจ
ทเ่ี รยี กวา เรอื นใจ แตข ณะบวชแลว เปน ตน ไป เรม่ิ ตง้ั แตศ ลี ใหบ รสิ ทุ ธ์ิ อยาไดให
ตาํ หนวิ า ศลี ดา งพรอ ย ศลี ไมบ รสิ ทุ ธด์ิ ว ยเจตนา และมคี วามระมดั ระวงั เสมอ อยาให
ศีลดางพรอยหรือขาดทะลุไป เพราะความเผลอความไมม สี ตสิ ตงั และเริ่มทางสมาธิ
จิตไมมีความตั้งมั่น จิตวอกแวกคลอนแคลนเพราะอะไร ก็เพราะกเิ ลสหลอกหลอน
ยว่ั ยทุ าํ ใหว อกแวกคลอนแคลนในธรรม กิเลสเขยาจิตใหตั้งตัวไมได เรากท็ ราบอยู
แลว วา ที่จิตเขาสูค วามสงบไมไ ด เพราะความอยากหาประมาณไมได มันกวนอยู
ตลอดเวลา ใหค ิดใหป รงุ อยไู มห ยุด ซง่ึ แตล ะเรอ่ื งละราวลว นแตเ ปน ฟน เปน ไฟ ออก
มาจากสมุทัยแดนผลิตทุกขมาเผาลนตัวเอง แลว จะหาความสขุ ความสบายมาจากท่ี
ไหน จึงตองตอสูกัน หนักก็ตาม เบากต็ าม การตอสูตองไมคํานึงถึงความหนักเบา
นอกจากความชนะ ใหส มความมงุ มน่ั มงุ หมายตายเอาดาบหนา โดยถา ยเดยี ว
หนักก็ตองตอสูในขณะนั้น เชน เดยี วกบั นกั มวยเขาตอ ยกนั บนเวที ไมไดมา
คํานึงถึงเรื่องความหนักไปเบาไป ความเม่อื ยหวิ ออนเพลีย มงุ แตจะใหชนะโดย
ถา ยเดยี ว ผปู ฏบิ ตั กิ าํ จดั กเิ ลสซง่ึ เปน ตวั ขา ศกึ ภายในใจ ก็ตองมีความมุงมั่นเพื่อชัย
ชนะอยางแรงกลา ความทกุ ขค วามยากความลาํ บากในการตอ สู ตองถือเชนเดียวกับ
นกั มวยเขาตอ สกู นั บนเวที เวลาเสรจ็ สน้ิ ลงไปแลว เมื่อยหิวออนเพลียอะไรคอย
ปฏบิ ตั บิ าํ รงุ หรอื รกั ษากนั พกั ผอนหยอ นตวั กันในภายหลัง ในขณะที่ตอสูตองเอาจริง
เอาจังหวังชัยชนะทาเดียว
ขณะนี้ขาศึกอยรู อบดา น ฝง จมอยูภายในจติ แสดงออกมาทา ใดจึงเปนลวด
ลายของขาศึก ลวดลายแหง ธรรมไมป รากฏเลย เราจะหวงั พงึ่ อะไร พระพุทธเจาสั่ง
สอนสตั วโ ลก สั่งสอนลงที่จุดไหน เพราะคาํ วา โลกนน้ั กวา งขวางมากจนหาประมาณ
ไมได พระองคสอนลงที่จุดไหนเปนจุดสําคัญ ก็ลงที่ใจ เพราะใจเปน จดุ สาํ คญั ทร่ี อง
รบั สง่ิ ตา ง ๆ ทั้งดีและชั่ว สุขแลทุกข และเปน ทร่ี วมแหง ราคคฺคินา ไฟคือความ
กําหนัดยินดี โทสคฺคินา ไฟคือความโกรธความโมโหโทโส โมหคคฺ นิ า ไฟคือความ
ลมุ หลงงมงายแบบนอนไมร ูจกั ต่นื ฝงจมภายในใจแหงเดียวไมไดอยูที่อื่นใด ใจรอ น
กร็ อ นเพราะสง่ิ เหลา น้ี ไมไ ดร อ นเพราะธรรม รอ นเพราะกเิ ลสตา งหาก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๖๙
๓๗๐
เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งอาศยั วริ ยิ ธรรม ขนั ตธิ รรม ความพากความเพียร ความ
อดความทน สตธิ รรมความระลกึ รตู วั อยเู สมอ ปญ ญาธรรม ความฉลาดรอบคอบใน
กิจนอกการใน ตลอดความคิดความปรุงของใจ ความคดิ ใดทเี่ ปนภยั ความคิดใดที่
เปนคณุ พนิ จิ พิจารณาไตรต รอง และตัดฟนคัดเลือกอยูโดยสม่ําเสมอ เรยี กวา เปน
ทาแหงความเพียรของผูม สี ตมิ ีปญ ญาประจาํ ตัวทุกอิรยิ าบถ การเคลอ่ื นไหวทางดา น
จิตใจตองคอยระวังและคอยทราบเสมอ ในอริ ยิ าบถตา ง ๆ ยนื เดนิ นง่ั นอน เวน แต
หลบั เรยี กวา เปน ความเพยี ร ทาตอสูของนักปฏิบัติเพื่อเอาตัวรอดเปนอยางนี้
จิตเปนสิ่งที่ฝกหัดหรือทรมานได พระพุทธเจาจึงทรงสอน ศีล สมาธิ ปญญา
เปน สิ่งท่ีทําใหเ กดิ ใหมีได ทา นจงึ สอนใหบ าํ เพญ็ ใหเ กดิ ใหม จี นถงึ ขน้ั สมบรู ณ และทาํ
ใหสมบรู ณไดทา นจึงสอน ความพากเพยี รเพื่อยังธรรมเหลา นใี้ หเ กดิ ใหเจริญยอมอยู
ในฐานะทค่ี วรเปน ไปได ไมเ ชน นน้ั ทา นไมส อน ใน สวากขาตธรรม ทง้ั มวลเปน ฐานะ
คือเปนไปไดทั้งนั้น ไมใชเปนอฐานะคือเปนไปไมได ทานเปน ไปไดแ ลว สาวกทุก
องคเปนไปไดแลวทั้งนั้น ธรรมนี้จึงเปนธรรมที่ออกมาจากฐานะที่เปนไปไดโดย
สมบรู ณท ง้ั ฝายเหตฝุ า ยผล เหตใุ ดเรานาํ มาประพฤติปฏบิ ตั ิจึงเปน ของไมมนี ํ้ายา
ธรรมกส็ กั แตว า ธรรม เมอ่ื เขา มาสตู วั เราแลว กก็ ลายเปน ธรรมไมม นี าํ้ ยา เพราะอะไร
เพราะถกู กเิ ลสตเี อาแหลก กลายเปน คนไมม นี าํ้ ยา ความเพยี รกเ็ ซอ ๆ ซา ๆ ไมมี
สตสิ ตงั เปน เคร่ืองระมดั ระวังจิตใจเลย ใจจะหาความสงบไดที่ไหน
ถา หากสงบเปน สมาธิไดด วยอาํ นาจของกเิ ลส แมส ตั วท กุ ประเภทในนาํ้ บน
บกบนอากาศ ใตด นิ เพราะสตั วก ม็ กี เิ ลส ตองได สมาธิ ปญญา วิมุตติ กันไปนาน
แลว อยา วา แตม นษุ ยเ ราจะทรงธรรมเหลา นจ้ี าํ พวกเดยี วเลย แตน ก่ี เ็ พราะกเิ ลสนน่ั
เองมนั ทาํ ลาย มันยุแหยกอกวน มนั มไิ ดส รา ง สมาธิ ปญญา วิมุตติ ใหใคร ๆ น่ี ใจ
เราถา เปน นาํ้ กห็ าเวลาสงบใสไมไ ด ยงั ไมท ราบวา กเิ ลสเปน ตวั มารคอยลา งผลาญอยู
หรอื ยงั นอนเพลินคอยเอา สมาธิ ปญ ญา วิมุตติ จากมันอยูหรือ ไมนานจะถูกมันจับ
โยนลงกน เหวเลยเทวทตั จะวาไมบอกไมเตือนนะ
ทา นผใู ดเคยใชธ รรมบทใดในขน้ั เรม่ิ แรกแหง การปฏบิ ตั ิ เหน็ วา ถกู จรติ นสิ ยั
ของตน กพ็ งึ นาํ ธรรมบทนน้ั มาใชม าบรกิ รรมอยา งเอาจรงิ เอาจงั ดวยความมีสติ ให
ถอื วา โลกนไ้ี มม แี ละไมม ใี นความรสู กึ เวลานน้ั มีเฉพาะงานทก่ี าํ ลังทาํ และรบั รกู ันอยูน้ี
เทา นน้ั บรกิ รรมธรรมบทใดกต็ าม เชน พุทโธ ๆ ในโลกนไ้ี มม อี นั ใดภายในใจ ใหมี
แตพุทโธที่สัมผัสสัมพันธกันกับใจอยูนี้เทานั้น ไมส นใจกับสิ่งใด ความคิดวาสิ่งนั้นมี
สิ่งนี้มี กาลนน้ั เปน อยา งนน้ั กาลนเ้ี ปน อยา งน้ี สถานทน่ี น้ั เปน อยา งน้ี อยา งนล้ี ว นแลว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๐
๓๗๑
แตจิตแสดงตัวออกไปดวยความคึกคะนอง ไมคํานึงกับงานของตน ไมส นใจกบั งาน
ของตน จงึ ทาํ ใหเ รอ่ื งราวมนั ยงุ เหยงิ วนุ วายไปตลอด ทั้ง ๆ ที่จะทําจิตใหเปนสมาธิ
เลยไมเปนสมาธิได กลายเปนความลอยลมไป กเ็ พราะความปรงุ ความคดิ ของจติ ท่ี
ไปคดิ วาดภาพอนั นน้ั ภาพอนั น้ี เรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งน้ี กอ กวนตวั เองนน่ั แล ฉะนั้นจึงใหมี
งานเดยี วคอื คาํ บรกิ รรมภาวนาเทา นน้ั เปนความถูกตองเหมาะสม ที่จะยังจิตใหสงบ
เยน็ เปน สมาธไิ ดไ มส งสยั
เรากําหนดอานาปานสติคือลมหายใจเขาออก ก็กําหนดตั้งแตไตรโลกธาตุ
เขา มาสวู งแหง กายเรา วาไมมีอะไร ปรากฏแตลมกบั ความรูท่ีสมั ผัสกนั เทา นนั้ ใหม ี
เทา นน้ั ในความรสู กึ นัน้ แลคอื ผูตั้งหนาตั้งตาทํางานในวงปจ จบุ นั ลมจะละเอียดลงไป
ๆ โดยลาํ ดบั เมื่อมีสติคอยจดจอตอเนื่องกันอยูไมขาดวรรคขาดตอน เพราะไดร บั
การควบคุม จติ ยอ มจะหยงั่ ตัวเขาสคู วามสงบได
ปกติของจิตอยากสงบตัวอยูแลว แตเ พราะอาํ นาจของกเิ ลสมนั ฉดุ มนั ลาก
มันถากมนั ฟน ใหหาความสงบตัวไมไ ด ใจเรยี กรอ งขอความชว ยเหลอื จากเจา ของอยู
แลว เจาของคืออะไร คอื สติ คือปญญา ศรัทธา ความเพยี ร แตล ม เหลวไปหมด จติ
ไดร บั ความทกุ ขร อ นแทบเปน แทบตาย เรยี กรอ งหาความชว ยเหลอื จากเจา ของกไ็ ม
เจอ เจอแตก เิ ลสตวั ทาํ ลายถา ยเดยี ว เพราะฉะนน้ั จึงหาความสงบไมไดภายในจิต นี่
ใหท ราบไวเ สยี แตบ ดั น้ี แลว พยายามทําดังท่ีกลา วมา จิตจะเหนืออํานาจของสติไปไม
ได ตองหยั่งเขาสูความสงบได
เม่ือจิตมีความสงบแลว เราจะเห็นทงั้ คณุ แหง ความสงบของจิต และเหน็ ทง้ั
โทษแหงความวุนวายที่ยังไมสงบแตกอนพรอม ๆ กนั ไปในขณะนน้ั จะหยง่ั ความเชอ่ื
ลงในผลทป่ี รากฏอยแู ลว นน้ั และจะหยง่ั ความเช่ือลงในผลทปี่ รากฏผา นไปแลว และ
ความเพยี รก็จะหนกั แนน ข้ึนโดยลาํ ดับไมอ าภัพเหมือนแตกอน สมาธิที่เคยไดยินแต
ชอ่ื ในตาํ รบั ตาํ รา ก็จะมาปรากฏขึ้นที่ใจดวงสงบตัว ดว ยอาํ นาจแหง สมาธภิ าวนาของ
เราทร่ี กั ษาดว ยดนี แ้ี ล
ฐานที่เกิดที่อยูที่เปนสมาธิคือใจ ไมใชที่ไหน ฐานที่เกิดแหงมรรคผล
นิพพานก็คือจิต สถานทอ่ี ยแู หง กเิ ลสตณั หาอาสวะ แหง วัฏจักรวัฏจติ กอ็ ยูท จี่ ิต ชําระ
ส่งิ ทเ่ี ปน ภยั ทพ่ี าใหหมุนเวยี นเกิดแกเจบ็ ตายออกหมดโดยสิ้นเชิงแลว ไมตองถามหา
พระนิพพาน ถามหาทําไม เวลาทุกขเ กิดข้นึ เรายังไมเหน็ ถามใคร เรายงั รู ทุกขเกิด
ข้ึนมากนอ ยเพราะอาํ นาจของกิเลสประเภทตา ง ๆ ยังประจักษกับใจเรา อะไรจะไปรู
ยง่ิ กวา ใจ ในโลกธาตุนี้ไมมีอะไรรูนอกจากจิตเทานั้น ซง่ึ เปน ผรู รู บั ทราบตลอดเวลา ที
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๑
๓๗๒
นี้เมื่อทุกขเกิดขึ้นใครจะไปถามวานี้คืออะไร แมแตสัตวก็ยังรอนลั่นกระเทือนปาไป
หมด เพราะทกุ ขเ บยี ดเบยี นบบี คน้ั เจบ็ ปวด ทนอยูไมไดจึงตองรอง รอ งจนหมดลม
หายใจและตายไป นเ่ี ขาไมเห็นถามวาทุกขเ ปนยังไง แลวทุกขท เี่ กดิ ภายในหวั ใจของ
เราเพราะอาํ นาจกเิ ลสมนั สรา งขน้ึ มา ทาํ ไมเราจะไมร ู เพราะมอี ยปู ระจาํ กายประจาํ จติ
อยแู ลว แตว นั เกดิ มาในชาตปิ จ จบุ นั น้ี ตางก็รูกันทั้งนั้น
จติ เปน ธรรมชาตทิ ร่ี เู ทา นน้ั มีหนาท่ที ร่ี โู ดยถา ยเดียว ทําไมจะไมรู ทีนี้เมื่อ
ชําระกเิ ลสออกจากจติ โดยสน้ิ เชงิ แลว ทาํ ไมจะไมร วู ากเิ ลสหมดไปแลว ส้นิ ไปแลว
ทุกขสิ้นไปแลว หมดไปแลวโดยประการทั้งปวง คาํ วา นพิ พฺ านํ ปรมํ สขุ ํ ถามหาที่
ไหนเมื่อจิตไดหลุดพนจากทุกขทั้งมวลแลว บรมสุขก็ไมตองถาม เปน ขน้ึ ภายในตวั
เองนน้ั แล เพราะจติ พรอ มทีจ่ ะเปน ความสุขอยูแลว ถา หากไดร บั ความชว ยเหลอื จาก
เจา ของพอประมาณ และไดรับความชว ยเหลือจากเจาของอยางเตม็ ทเี่ ตม็ ฐาน จติ จะ
แสดงความแปลกประหลาดอศั จรรยข น้ึ มาใหเ หน็ ประจกั ษ โดยไมมีสิ่งใดเสมอ
เหมอื นเลยในโลกทง้ั สามน้ี
พระพทุ ธเจาก็วเิ ศษเพราะจิตบรสิ ุทธ์ิ ดว ยการชาํ ระ พระสงฆส าวกวเิ ศษและ
เปนสรณะของพวกเราก็วิเศษ เพราะไดร บั การชาํ ระดว ยอรรถดว ยธรรมโดยถกู ตอ ง
สิ่งที่เปนสมมุติทั้งมวลอันกอใหเกิดเปนขาศึกอยูไมแลวไมเลา ไดกระจายฉิบหายไป
หมดภายในใจ ทา นเหลา นอ้ี งคไ หนทา นหานพิ พาน ทา นถามหานพิ พานมอี งคไ หน
นับตั้งแตพระพุทธเจาลงมาถึงสาวกองคสุดทาย ปรากฏในตาํ รบั ตาํ ราวา องคไ หนเมอ่ื
ถึงวิมุตติหลุดพนไปแลว ยังตองถามหานิพพานอยูอีก มีองคไหน ไมเ คยปรากฏ มี
แตบ รรลอุ รหตั ผล ๆ แลว เทา นน้ั ๆ ทานไมไปถามหาเร่ืองมรรคผลนิพพานทไี่ หน
มรรคผลนิพพานเปนยังไงอีก ก็มกี เิ ลสตัวเดยี วเทา นั้นที่เปน ขา ศกึ ตอ บรมสขุ อนั เปน
ที่พึงใจ พอกเิ ลสสน้ิ ไปจากใจแลว เทา นน้ั ความสขุ เปน ทพ่ี ง่ึ หวงั หรอื นพิ พฺ านํ ปรมํ
สขุ ํ ก็ปรากฏขึ้นในหลักธรรมชาติของตัวเอง ทใ่ี จดวงบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั เทา นน้ั เอาลงตรงนี้ซิ
นกั ปฏบิ ตั ิ จนถึงขัน้ บรสิ ุทธเ์ิ ตม็ ท่ีแลว หากยังมีปญหาที่ตองถามหาพระนิพพานอยู
อีก ผมจะพาเดนิ ขบวนไปทลู ขอรอ งความเปน ธรรม คอื นพิ พานธรรม กับพระพุทธ
เจา เอง เอา จงแนใ จและพากันประกอบความเพยี ร จนถึงขั้นวมิ ตุ ตหิ ลดุ พน อยา งหาย
หว ง
ทําใหไดสมาธิ ถาจิตหาความสงบไมไดแลว อยา เขา ใจวา เราจะมหี วงั อะไร
เปน ความสขุ นะในโลกน้ี ดนิ เปน ดนิ นาํ้ เปน นาํ้ ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ แรธ าตตุ า ง ๆ
เปน แรธ าตตุ า ง ๆ นั้นไมใชความสุข ไมใชสิ่งพึงหวัง ไมใ ชส ง่ิ จะมาใหค วามสขุ ความ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๒
๓๗๓
สบายความสมหวงั แกเ รา นอกจากจะแกส ิง่ ที่เปน ขา ศึกอยูภายในใจเรา และฝงจมอยู
ภายในใจเรานอ้ี อกใหห มด ดว ยอรรถดว ยธรรมเทา นน้ั เราจะเปนที่พึงพอใจโดย
ลาํ ดับไปตั้งแตข ั้นสมาธิ
สมาธกิ ม็ คี วามละเอยี ดโดยลําดบั ลาํ ดา ตั้งแตพื้น ๆ ของสมาธิ จนกระทั่ง
เปน สมาธิอันละเอยี ด ปญ ญากเ็ ชนเดียวกัน คาํ วา ปญ ญา ๆ เปน อยา งไร คอื ความ
เฉลยี วฉลาดความรอบรู ทา นบอกวา ความรอบรใู นกองสงั ขาร เรยี กวา ปญ ญา นท่ี า น
กลา วไวใ นปรยิ ตั ิ สงั ขารมสี งั ขารประเภทใดบา ง สังขารภายนอก สงั ขารภายใน คือ
สงั ขารทป่ี รงุ กบั ใจอยตู ลอดเวลานก้ี เ็ รยี กวา สงั ขาร อนั นเ้ี ปน สงั ขารทส่ี าํ คญั มาก
สงั ขารนเ้ี ปน สมทุ ยั สังขารภายนอกที่มีปจจัยปรุงแตงขึ้น เชน ตนไม ภเู ขา อะไรเหลา
น้ี ไมใชเปนสมุทัย ถาเราไมไปหมายไปยึดไปถือใหเปนความเขาใจผิดของจิตที่เปน
ตัวสมทุ ัยนีม้ า สง่ิ เหลา นน้ั จะไมเ ปน สมทุ ยั สง่ิ เหลา นน้ั จะนาํ มาซง่ึ ทกุ ขแ กเ รา นอก
จากใจดวงเดยี วนเ้ี ทา นน้ั เปน ผอู ตุ รคิ ดิ ไปในแงต า ง ๆ สาํ คญั มน่ั หมายผดิ วา ถกู ถูก
วา ผดิ ไป แลว กล็ บู คลาํ ไปสมุ สส่ี มุ หา ยึดเอาทั้งขวากทั้งหนามทั้งฟนทั้งไฟมาเผาลน
ตนเองนี้เทานั้นไมมีอะไร มีใจดวงเดียวนี้ ปญ ญาจึงตองใหเ ขาใจในสังขารความคิด
ความปรุงของตน ตวั นล้ี ะเปน เจา เรอ่ื ง
สญั ญากบั สงั ขารนส้ี าํ คญั มาก อยูโดยลําพังก็เปนได สว นวญิ ญาณยงั อาศยั
การรบั ทราบทางรปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่เขามาสัมผัสกับตา หู จมูก ลน้ิ
กาย จติ กร็ บั ทราบเปน ระยะ ๆ แลว สรา งมโนภาพเปน สงั ขาร เปนสัญญาขึ้นมา
ปญญาจึงใหรูรอบในกองสังขาร มันคิดมันปรุงอะไรตีกระจายใหแตกซิ พระพุทธเจา
ทานตีแตกหมดดวยปญญา เอาปญ ญามาแบกมาหามไวท าํ ไม หุงตมกินก็ไมได
ปญญาไมใชฐานะที่จะไปหุงตมแกงกิน เปนฐานะในการใช เพอ่ื ความพนิ จิ พจิ ารณา
ใหรูเร่อื งของตวั เฉพาะอยางยิ่งเรื่องของจิต คิดเรอื่ งอะไรบา ง ตา หู จมกู ลน้ิ กาย
สัมผัสสัมพันธกับสิ่งใด ดหี รอื ชว่ั ผิดหรือถูกประการใด ปญ ญาพนิ จิ พจิ ารณาใหเ หน็
ชดั เจน เฉพาะอยา งยิง่ ภายในรา งกายของเราดูใหดี ภเู ขาทง้ั ลกู เรายงั ดรู อบเดนิ รอบ
ทาํ ไมรา งกายชน้ิ เลก็ ๆ เทานี้ดูไมรอบ เดินไมรอบดวยปญญา เราจะแทงทะลปุ รุ
โปรงสิ่งที่ผูกพัน สงิ่ ที่สรา งวฏั จกั รวฏั จติ น้ีใหรรู อบขอบชดิ ไดอยา งไร ปญญาตอง
พจิ ารณา
ทา นวา รูป อนจิ จฺ ํ อะไรทคี่ งเสนคงวาอยภู ายในรางกายอนั น้ี และนอกไป
จากนย้ี งั สรา งความเปลย่ี นแปลงประจาํ ตวั เองอยตู ลอดเวลา ไมวาสิ่งใดขึ้นชื่อวา
สมมตุ แิ ลวตอ งมคี วามเปล่ยี นแปลง เปน แตเ พยี งวา ชา หรอื เรว็ ตา งกนั เทา นน้ั แต
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๓
๓๗๔
ความเปลี่ยนแปลงยอมเปนไปตามหลักธรรมชาติของมันเสมอ ทกุ ขฺ ํ ทเ่ี ปน อยใู นกาย
และในใจของเรานเ้ี ปน ยงั ไง เปน ของท่นี าชอบใจไหม นา พงึ หวงั ไหม เราดูซิ อนตฺตา
มอี ะไรทว่ี า เปน เราเปน ของเรา เราจึงไปยึดไปถือ ความยดึ ความถอื อะไรพาใหยึดให
ถือ ถาไมใ ชต วั กิเลสซึ่งเปน ตัวฉลาดแหลมคมมาก หลอกเราใหย ดึ ใหถ อื อะไรเปน
ของจริงกิเลสไมใหแตะ แตอะไรเปนของปลอม กเิ ลสชอบเสกสรรปน ยอขน้ึ มา
หลอกลวงพวกเราใหห ลงไปตาม วา อนั นน้ั สวยอนั นง้ี าม อนั นน้ั จรี งั ถาวร อนั นน้ั เปน
สขุ อันนั้นดี อนั นน้ั เลศิ อะไรมนั เลศิ ดินเปนดิน นาํ้ เปน นาํ้ ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ มา
ตั้งแตดั้งเดิม มนั เอาความเลศิ มาจากทไ่ี หน นอกจากความเสกสรรปนยอของจิตที่
ออกมาจากกิเลสตัวหลอกลวงนี้บังคับเทานั้น หลอกใหเปนอยา งนน้ั หลอกใหเ ปน
อยา งน้ี
ธรรมเปน ของจรงิ แท ๆ นํามาแทรกลงไปซปิ ญ ญา มนั จรี งั ถาวรทต่ี รงไหน
นา สวยนา งามนา กาํ หนดั ยนิ ดที ต่ี รงไหน แทรกลงไปตั้งแตผิวหนังเขาไปถึงเนื้อ ถึง
เอ็น ถึงกระดูก ถงึ ภายในเทา ไร ยิ่งเต็มไปดวยของปฏิกูลโสโครก เต็มไปดวยปาชาผี
ดบิ อะไรมนั สวยมนั งาม มแี ตก เิ ลสมนั หลอกเราเฉย ๆ ความจรงิ มนั ไมไ ดเปนอยา ง
นน้ั เอาปญญาแทรกลงไป ๆ จะเห็นความจรงิ ไปโดยลําดบั เมอ่ื เหน็ แลว เหน็ เลา
หลายครง้ั หลายหนมนั จะทนไดเ หรอ ฟน แลว ฟน เลา ฟน หลายครง้ั หลายหนมนั กข็ าด
กระจายออกไปจากกันเทานั้นเอง ทีนี้ความยึดมั่นถือมั่นไมตองบอก เมื่อสติปญญา
ไดหยัง่ ทราบลงไปถงึ ฐานแหงความจรงิ ของสงิ่ เหลา น้แี ลว อุปาทานถอนตัว ๆ ไป
ตามลาํ ดับที่ปญญาเขาถงึ
การที่ยึดมนั่ ถอื มน่ั เพราะไมเขาใจ เพราะไมร ู เพราะสาํ คญั ผดิ ถูกกิเลส
หลอกลวงใหยึดใหถือมันก็ยึดก็ถือ เมื่อเขา ใจแลวดว ยปญญาซ่ึงเปน ของจรงิ ก็ถอน
ตัวออกมาได นท่ี า นเรยี กวา ปญ ญา พจิ ารณาซิ มีอยูกับทุกคนไมวาหญิงวาชาย นกั
บวชหรอื ฆราวาส พระพทุ ธเจา สอนธรรมเปน กลาง ๆ เราเปน เจา ของสมบตั เิ หลา นไ้ี ด
ดวยกันท้งั น้ัน นาํ ไปพนิ จิ พจิ ารณา นท่ี า นวา ปญ ญา
ปญ ญาขน้ั หยาบกพ็ จิ ารณาสง่ิ ทก่ี ลา วมาเหลา น้ี มีรปู กาย เปนตน ปญ ญาขน้ั
กลางขัน้ ละเอยี ดลงไปกพ็ จิ ารณานามขันธ พวกเวทนา สญั ญา สังขาร วิญญาณ แตย งั
ไงก็ตาม ตองพจิ ารณาสมั พนั ธเก่ยี วเนอ่ื งกันไปในขณะเดียวกนั น้นั แหละ เมื่อถึงขั้นที่
มีเฉพาะนามขันธ คอื พวกเวทนาภายในจติ สัญญา สังขาร วญิ ญาณ มันหากรูของ
มันไปเอง จนกระทง่ั รรู อบขอบชดิ เชน เดยี วกบั รเู รอ่ื งสว นรา งกายน้ี แลว อปุ าทาน
ความยึดมั่นถือมั่นในขันธทั้งสี่นี้จะมีไดอยางไร เพราะปญ ญาตีแตกกระจายไปหมด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๔
๓๗๕
แลว คาํ วา สตั วว า บคุ คล วา เราวา เขา วาของเราของเขา ถูกปญญาทําลายไปหมดแลว
ก็มีสักแตวาเปนความจริง ๆ แตล ะอยา ง รปู กส็ กั แตว า เปน ความจรงิ เวทนาสกั แตว า
เปน ความจรงิ สัญญา สังขาร วิญญาณ แตล ะอยา ง ๆ สกั วา เปน ความจรงิ ประจาํ ตน
อยเู ทา นน้ั เม่ือความสาํ คญั มน่ั หมายทจ่ี ะใหย ึดใหถ อื ถูกปญญาทําลายแตกกระจาย
ไปหมดแลว จะสําคัญอะไรก็ไมมีอะไรจะสําคัญนี่
ในการพจิ ารณา พจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ หลายครง้ั หลายหนหลายตลบทบทวน
จนเปน ทเ่ี ขา ใจทแ่ี นใ จแลว ยอมปลอยเองวางเอง เราจะไปบงั คบั ใหป ลอ ยใหว างน้ี
เปนไปไมไดเมื่อไมพอ เชน เดยี วกบั เรารบั ประทานอาหาร เมื่อไมถึงกาลจะควรอิ่มก็
ไมอิ่ม รับประทานชอนหนึ่งสองชอนจะใหอิ่มเปนไปไมได ตอ งรบั ประทานเรอ่ื ย ๆ
ไป เมื่อถึงขั้นอิ่มแลวหยุดเอง พอเอง นก่ี ารพจิ ารณากเ็ หมอื นกนั เมอ่ื ถงึ ขน้ั รรู อบ
ขอบชิดแลวปลอยวางเอง ทั้งอุปทานในรูปขันธ ทง้ั อปุ าทานในเวทนา สญั ญา สงั ขาร
วิญญาณขันธ เขา ไปโดยลาํ ดบั จนกระทั่งแทงทะลุเขาไปถึงจิต อนั เปน ตวั วัฏจักรวฏั
จติ โดยแทน ้นั ดว ยปญ ญา จนขาดกระเดน็ ไปหมดไมม อี ะไรเหลอื แลว นน่ั ละทน่ี ่ี หมด
ปญ หาในเรอ่ื งการสกู ารรบฟน หน่ั แหลกกบั กเิ ลส ไปยุติกันที่ตรงนั้น ทนี ค้ี าํ วา อยาก
ไปนิพพาน ๆ ก็หมดความอยากที่ตรงนั้น
ความอยากไปนพิ พานนน้ั เปน มรรค ไมใชเปนตัณหา อยากพนทุกขเปน
มรรคไมใ ชเ ปน ตณั หา ความอยากมสี องประเภท อยากเปนโลก อยากเปน ธรรม
อยากเปน ตณั หา อยากเปน ธรรมอยากเปน มรรค ทีนี้ความอยากหลุดพนจากทุกข
ความอยากไปนิพพาน สรา งกาํ ลงั ทางดา นอรรถดา นธรรมใหม ากขน้ึ ภายในตนเอง
ความอุตสา หก ็เปน มรรค ความเพยี รเปน มรรค ความอดความทนเปน มรรค ความ
บึกบึนทุกแงทุกมุมเพื่อความพนทุกขเปนมรรคทั้งมวล เมื่อถึงที่ถึงฐานเต็มที่แลว
ความอยากกห็ ายไป นั่น ใครจะไปถามหานพิ พานทีไ่ หนอกี
ทาํ ลายตวั วฏั จกั รวฏั จติ นน้ั ออกโดยสน้ิ เชงิ แลว ไมม อี งคใ ดบรรดาผทู ท่ี าํ ลาย
วัฏจกั รวฏั จิตนี้ใหข าดกระเด็นออกไปจากใจ แลวจะอยากไปนิพพาน และถามหา
พระนพิ พานวา อยทู ่ีไหน คําวา นพิ พาน ๆ ก็คือชอื่ อันหนึ่งเทา น้นั หลกั ธรรมชาตทิ ่ี
แทจ ริงก็ไดเห็นอยูรูอยูภายในตวั เอง ครองอยูแลวสงสัยไปไหน
นล่ี ะการพฒั นาจติ พัฒนาตั้งแตตนจนกระทั่งถึงขั้นสุดยอดแหงการพัฒนา
จติ เอา ทีนี้อยูไหนก็อยูเถอะอยูอยางพอตัว จติ สรา งความพอตวั ใหต ัวเองโดย
สมบรู ณแ ลว อยไู หนสบายทง้ั นน้ั เรื่องธาตุเรื่องขันธจะเจ็บไขไดปวย เจบ็ หวั ตวั รอ น
หวิ กระหาย ก็ทราบตามเรื่องของธาตุของขันธ ซึ่งอยูในกฎแหง อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๕
๓๗๖
ยอมมีความพลิกแพลงเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของมันอยูเสมอ แตไมหลง ขันธ
เปน ขนั ธ จิตที่บริสุทธิ์เปนจิตที่บริสุทธิ์โดยหลักธรรมชาติ ไมตอ งบงั คับบัญชาใหรูให
หลง เมอื่ ถึงข้ันเปน จรงิ โดยสมบูรณทกุ แงแลว อะไรก็เปนจริงทั้งนั้น ไมตําหนิไมติไม
ชมเพราะตางอนั ตา งจรงิ เอามากระทบกันทําไม ที่อันหนึ่งจริงอันหนึ่งไมจริงนั่นซิได
กระทบกนั และรบกนั อยูตลอดเวลา เพราะอนั หนง่ึ ปลอมอนั หน่งึ จรงิ เมื่อตางอันตาง
จริงแลวกไ็ มม ปี ญหา
พจิ ารณาจติ ใหถ งึ ขน้ั นน้ั ซิ ใหถึงขั้นตางอันตางจริง ยถาภตู ํ ญาณทสสฺ นํ จติ
รเู หน็ ตามเปน จรงิ ทง้ั ภายนอกภายในตลอดทว่ั ถงึ แลว อยู อยดู ว ยความบรสิ ทุ ธ์ิ จะวา
อยกู อ็ ยดู วยความบริสทุ ธิ์ คดิ อะไรก็สักแตวา ความคดิ ความปรงุ เทา นัน้ เรยี กวา เปน
ขนั ธล ว น ๆ ไมม กี เิ ลสตวั ใดมาเปน เจา ของบงการเรอ่ื งความคดิ ความปรงุ ความสาํ คญั
มน่ั หมายตา ง ๆ อกี มีแตขันธลวน ๆ ขันธไมมีกิเลสก็คือขันธของพระอรหันตนั่นเอง
หรอื ผทู ส่ี น้ิ กเิ ลสแลว นน้ั แล ดงั พระพทุ ธเจา และสาวกทง้ั หลาย รปู กส็ กั แตว า รปู
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็สักแตอาการแตละอยาง ๆ ใชไปพอถึงกาลถึงเวลา
ของมนั เทานั้น เมื่อหมดกําลังที่จะเปนไปไดแลว ก็ปลอยวางลงตามความจริงของมัน
ธรรมชาติที่จริงเตม็ สวนแหงความบรสิ ทุ ธข์ิ องตวั แลว กไ็ มม ีอะไรเปนปญหา ทานจึง
เรยี กวา ตา งอนั ตา งจรงิ นก่ี ารพฒั นาจรงิ เอาใหจ รงิ ใหจ งั จะเหน็ ความจรงิ เตม็ ใจ
ประจักษใจ
เวลานถ้ี กู กเิ ลสมนั ดงึ มนั ดดู มันกดมันถวงอยูตลอดเวลาอิริยาบถ นอนกจ็ ม
ไปดวยกิเลสมันดึงดูด ลุกไมขึ้น นน่ั ศีรษะติดกับหมอน กิเลสดูดใหติดกับหมอน
ภาวนากล็ กุ ข้นึ มาน่ังไมไ ด กิเลสมันดูดไวใหลุกขึ้นนั่งไมได ถานั่งก็สัปหงกงกงัน มัน
จบั หวั ฟด หวั แฟง ตีโนนตีนี้ มีแตกิเลสมันดัดมันแปลงเอาตามความตองการของมัน
ทง้ั นน้ั แหละ เรายงั ไมท ราบอยเู หรอวา เราเสยี เปรยี บกเิ ลส เดินจงกรมก็เดินไปเดินมา
เหมือนกับเศษพระเศษกรรมฐาน หาสติสตังประคองความเพียร รักษาตัวไมใ ห
แสดงตัวขึ้นมาตอสูเทานั้นก็ไมได เราจะหวงั เอาความสขุ ความเจรญิ ทไ่ี หนกนั
อาการใดที่ประกอบความพากเพียรมีแตกิริยา ผูทํางานจรงิ ๆ มแี ตเ รอ่ื ง
ของกิเลส ความเผอเรอ ความไมเ อาไหน ความไมฉ ลาด ความโงเ ขลาตอ ความคดิ
ความปรุงของตน ใหก เิ ลสมนั ฉดุ ลากไปไมท ราบวา กท่ี วปี สามแดนโลกธาตุซึง่ ไมเ คย
เหน็ จิตก็ถูกมันหลอกไปใหเห็นใหรูไปหมด รูดวยอารมณวาดภาพหลอกตัวเองไป
เรายังยอมเชอ่ื มนั ไดสนิทตดิ จมอยูเ หรอ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๖
๓๗๗
กิเลสหลอกคน หลอกขนาดไหน หลอกงา ยนดิ เดียว ธรรมเปน ของจรงิ ควร
จะเชื่อทําไมไมเชื่อ ถาเชื่อก็เชื่อความเพียรซิ ถาเชอ่ื ธรรมพระพทุ ธเจา ความเพยี ร
ยอ มเขม แขง็ คนเรา สติสตังยอมดี ปญญายอมเกิด ถา เชอ่ื ธรรม ถาเชื่อกิเลสมันไมได
เรอ่ื งทง้ั นน้ั แหละ นั่งภาวนาก็สัปหงกงกงัน ไดน าทีสองนาทกี เ็ หมอื นจะลม จะตายใน
หวั ใจครวญครางไปแลว ใหจมอยูกับหมอนนั้นถาไมหิวขาวแลวไมตื่น นน่ั เหน็ ไหม
กิเลสมันดึงมันดูดมันกดมันถวงมันบีบบังคับ จนกระทั่งกระดิกตัวหาความเพียรไม
ได เรายงั วา เราดอี ยเู หรอ
นักปฏิบัติไมคิดเรื่องเหลานี้จะคิดเรื่องอะไร ตอสูกับกิเลสตองตอสูอยางนี้ซิ
อุบายหลอกลวงดังกลาวมา เหลานเี้ ปนอุบายของกิเลสทั้งมวล เอา ถา ทา นทง้ั หลาย
อยากทราบ ใหเ รง ลงไป สติมี เอา ผลติ ข้ึนมาต้ังข้ึนมาบํารุงใหดี ปญ ญามหี ลายขน้ั
หลายภมู ทิ ท่ี า นแสดงไวใ นอรรถในธรรม จนกระทง่ั มหาสติ มหาปญญา จะไมพนจาก
จติ ดวงทไ่ี ดร บั การบาํ รงุ อยนู เ้ี ลย จะไมพนจากปญญาดวงที่คิดที่คนที่พินิจพิจารณา
อยนู ้ี จนมีความช่ําชองไปไดเลย จะปรากฏขึ้นมาทั้งสติปญญาธรรมดา ทั้งมหาสติ
มหาปญ ญา จนถึงขั้นวิมุตติหลุดพน ไมนอกเหนือไปจากจิตดวงนี้เลย เอาใหจ รงิ นกั
ปฏบิ ตั ิ
เราจมอยใู นวฏั สงสารน้ี ไมมีอะไรมีแตความเกิดแกเจ็บตาย ที่แบกหามทุกข
ไปทุกภพทุกชาติทุกขณะที่ไปเกิดที่ใดตายที่นั้น หาความสขุ ไดท ไ่ี หน ไวใจไดเมื่อไร
ความหวงั เราจะสรา งทไ่ี หนถา ไมส รา งขน้ึ ทน่ี ่ี เอาตรงนซ้ี ิ สรางความหวงั ใหไดเ ต็มภมู ิ
ภายในใจ ความหลดุ พน จากกเิ ลสอาสวะโดยประการทง้ั ปวงนเ้ี ทา นน้ั เปน ความ
ประเสรฐิ เลศิ โลกโดยหลกั ธรรมชาตเิ อง ไมตองมาเสกสรรกัน
เรอ่ื งความประเสรฐิ เพราะกเิ ลสมนั เสกสรรนน้ั มนั ไมไดว เิ ศษอะไรแหละ วา
กันไปอยางนัน้ ทงั้ เขาทง้ั เรา เพราะมนั มแี ตค วามรปู ระเภทเดยี วกนั มแี ตค วามรู
ประเภทหลอกตนเอง แลวก็ไปหลอกคนอื่น หลอกคนนั้นหลอกคนนี้ คนโงมันหลอก
ไดงา ย ๆ จะวาไง มนษุ ยเ ราสตั วเ รามนั โงจ ะตายไป กิเลสจะไมหลอกไดงาย ๆ ยังไง
มันหลอกยังไงก็เชื่อมันทั้งนั้น เชื่อมันมาตั้งกัปตั้งกัลปยังไมเห็นโทษของมันเลย
ฉะนั้นถาอยากจะเห็นโทษของมัน ใหสรางสติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร ขน้ึ
ใหด ี แลวจะตามเห็นแงง อนของกเิ ลสทมี่ ันเคยหลอกลวงเรามา จะเขา ใจโดยลาํ ดบั
และแกกันไดปลดเปลื้องกันได ฆา กนั ไดเ ปน วรรคเปน ตอน จนถึงขั้นละเอียดสุดก็
ตามฆา กนั จนไมม อี ะไรเหลอื ภายในใจแลว เอา ทีนี้มันอยูในหัวใจดวงใดทําไมจะไมรู
กเิ ลสเหลา นม้ี นั เคยครองหวั ใจเรามานานแลว ไดถูกทําลายออกไปจากใจนี้แลว มัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๗
๓๗๘
อยูในหัวใจใดทําไมจะไมรู นน่ั ละเพลงของธรรม ที่นก่ี เิ ลสอยไู หนรูห มด เพราะได
ทาํ ลายลงไปแลว ดว ยอาํ นาจแหง ธรรม
จงสรา งจติ นใ้ี หด ี พฒั นาจติ ใหบ รสิ ทุ ธ์ิ นล่ี ะความเลศิ ความประเสรฐิ อยตู รง
น้ี กุสลา ธมมฺ า อกุสลา ธมมฺ า ทา นสอนใหค นฉลาด สอนใหพ ระฉลาดในเวลาท่ี
ประพฤติปฏิบัติตัวอยูนี้ เวลาทม่ี ชี วี ติ อยนู ้ี ไมได กุสลา ธมมฺ า เวลาตายแลว จะไป
หวงั ผลประโยชนอ ะไรใน กสุ ลา ธมมฺ า สาํ หรบั บคุ คลทต่ี ายแลว นน้ั ในเวลามชี วี ติ อยู
นย้ี งั ไมฉ ลาด แลว เราจะเอาความฉลาดไปจาก กุสลา ธมมฺ า ที่สวดนั้นไดยังไง กุสลา
ธมมฺ า ทท่ี า นสวดนะ พระพุทธเจาทรงสอนใหฉลาดที่ตรงนี้ เอาใหจ รงิ ใหจ งั ซนิ กั
ปฏบิ ตั ิ
ที่พูดเมื่อกี้นี้ สมาธิ ปญญา ไมตองพูดวิมุตติก็ได ถา ลงปญ ญาเกรยี งไกร
เต็มที่ คาํ วา มหาสติ มหาปญ ญา นั้นก็คือสติปญญาอัตโนมัตินั่นเอง หมนุ ตวั เปน
เกลียวทงั้ วันทัง้ คืน ยืนเดินนัง่ นอน เวน แตห ลบั เทา นน้ั เปนในหลกั ธรรมชาตขิ องตน
เอง เพราะความสามารถความแกก ลา ของสตปิ ญ ญา ทีไ่ ดฝกมาอยา งเกรยี งไกรแลว
นน่ั ทา นวา มหาสติมหาปญญา กิเลสละเอียดขนาดไหนตามทันหมด จนกระทั่งไมมี
เชื้อของกิเลสเหลืออยูเลย นน้ั แหละสตปิ ญ ญานจ้ี งึ จะหมดหนา ทไ่ี ป จากนน้ั แลว จะวา
ทานเปน มหาสติทานเปน มหาปญญา ทานก็ไมไดวา
ทานผูถึงที่ถึงฐานพนจากสมมุติโดยประการทั้งปวงแลว ทานไมไดสําคัญ
ทา นวา ทา นวเิ ศษ หรอื ทา นเลวกวา ผหู นง่ึ ผใู ด เพราะฉะนน้ั แมส ตั วเ ดรจั ฉานจะตวั เลก็
ขนาดไหนก็ตาม ทานไมประมาท ทานถือเปนเพื่อนทุกขเกิดแกเจ็บตายดวยกันทั้ง
นน้ั เพราะธรรมเปนของออนโยน เมื่ออยูในจิตดวงใดจิตดวงนั้นยอมออนนิ่มไปหมด
เขาไดท ุกเม็ดหนิ เม็ดทราย เขา ไดก บั สตั วท กุ ประเภท ไมมีคําวาแข็งกระดาง นอกจาก
กเิ ลสเทา นน้ั มนั เปน ตวั แขง็ กระดา ง ตัวทิฐิมานะ ตัวเยอหยิ่งจองหอง ถา ธรรมแลว ไม
มี มีแตความออ นนุม น่ิมนวลดวยเมตตามหาคณุ แกโ ลกอยตู ลอดเวลาโดยถายเดียว
รสู กึ เหนอ่ื ยแลว เอาละแคน ้ี
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๘
๓๗๙
เทศนอ บรมพระ ณ วัดปาบานตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๘ มิถุนายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๕
สนามรบของนกั บวช
พระพทุ ธเจา ทท่ี รงพระนามการเทดิ ทนู อยา งสงู จากบรรดาสตั วว า มหาการุ
ณิโก นาโถ หติ าย สพพฺ ปาณนิ ํ เปน ตน ทรงเปน ผูมมี หากรุณาธคิ ุณอนั ยิง่ ใหญแ ก
มวลสตั วน น้ั ออกมาจากความจริงสุดสวนที่เต็มเปยมในพระทัยของพระพุทธเจาทุก
ๆ พระองค บรรดาทเ่ี คยไดร บั ความทกุ ขท รมานอยใู นโลกนั ตวฏั ฏ คือวัฏวนที่เต็มไป
ดวยความมืดบอด จากสง่ิ ปกคลมุ อนั หนาแนน ทง้ั หลาย คือกิเลสประเภทตา ง ๆ แต
ละพระองคทรงผานพนจากนี้ขึ้นมาได ความทุกขความทรมานท้งั หลายจากส่งิ มดื ดาํ
ทั้งหลายปกปดกําบังนี้ พระองคไดเห็นโทษเต็มพระทัย เมอ่ื ไดแ หวกวา ยจากสง่ิ เหลา
นี้ออกมาไดโดยสิ้นเชิงแลว ทรงเห็นโทษอยางเต็มพระทัย และเหน็ คณุ คา แหง ธรรม
แดนแหง ความหลดุ พน เตม็ พระทยั เชน เดยี วกนั เมื่อโทษกับคุณก็ไดเห็นเต็มพระทัย
แลว การมองดูสรรพสัตวที่เหมือนนักโทษถูกคุมขังในเรือนจํา จงึ ทาํ ใหเ กดิ ความ
เมตตาสงสารอยางมากประทับพระทัยดวยกันทุกพระองค จึงทรงนิ่งนอนอยูโดย
ลําพังพระองคไมได
นบั ตงั้ แตว ันตรัสรทู ีแรกกท็ รงเลง็ ญาณดูสตั วโลกทันที ดวยพระจักษุญาณ
อันสวางครอบแดนโลกธาตุ เพราะความทกุ ขน เ้ี ปน สง่ิ ทบ่ี บี บงั คบั และทรมานมานาน
แกบ รรดาสตั วไ มเ วน แตล ะรายทอ่ี ยใู นแหลง แหง ไตรภพน้ี เพราะแหลง นเ้ี ปน แหลง ท่ี
ควบคมุ ของกิเลสซ่งึ เปน มหาอาํ นาจ ทําใหสัตวโลกมืดมิดปดตา ไมใหมองเห็นโทษ
ทกุ ขท่ีกเิ ลสผลิตข้ึนแกตนแมช ่ัวระยะแสงฟา แลบเลย
โทษทั้งมวลที่กิเลสผลิตขึ้นมา มีความปดบังสัตวโลกไปพรอม ๆ กัน ไมให
เหน็ โทษแหง ความทกุ ขท ง้ั หลาย ไมใ หเ หน็ โทษแหง การดน้ิ รนกวดั แกวง ทเ่ี ปน ไปตาม
อํานาจแหง กิเลสทง้ั หลาย คือไมใหเห็นโทษทั้งเหตุอันเปนแดนเกิดแหงทุกข คือ
กเิ ลสประเภทตา ง ๆ ท้งั ผลคือความทุกขความลาํ บากทรมานตาง ๆ ในภพชาตนิ น้ั
ๆ และไมเ คยมคี าํ วา กิเลสเปดชองเปดทางชวยหนุน ชวยผลักชวยดนั ใหสตั วโลกได
เล็ดลอดออกไปจากอํานาจของมัน นอกจากปดบังหุมหอและกีดกันไวโดยถายเดียว
เทา นน้ั ทุกฉากทุกแงทุกมุม ทุกอากัปกิริยาแหงความเคลื่อนไหวนับแตจิตออกมา มี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๗๙
๓๘๐
แตถูกบังคับและปกปดกําบังไวตลอด ความปกปดกําบังนั้นก็เต็มไปดวยเพลงกลอม
ใหส ตั วโลกหลงเคลมิ้ ไปตาม จนมองไมเห็นทิศทางออกจากอํานาจของมันเลย
คาํ วา กเิ ลส ๆ จึงไมป รากฏแมน ดิ ในคณุ คา ที่จะเปดชองเปดทางใหสัตว
โลกไดอ ยสู บายหายหว ง นอกจากนน้ั มนั ตตี ะปใู หต ดิ แนบไวอ ยา งเหนยี วแนน ลกึ ลบั
จนมองไมเห็นเงื่อนตนเงื่อนปลาย
พระพุทธเจาเพียงพระองคเดียว ทส่ี ามารถผลบุ โผลข น้ึ มาไดจ ากความมดื
บอดทง้ั หลาย แลวจึงทรงมองยอนหลังดูความมืดดําทั้งหลาย ทเี่ ต็มไปดว ยมหาภยั
นานาประการ ดว ยพระทัยท่ีบรสิ ุทธิ์อนั เปนสง่ิ ที่มีคณุ คาหาประมาณไมไ ด ไมมีสิ่งใด
เปรยี บเทยี บไดใ นโลกทง้ั สาม เพราะเปน โลกตุ รธรรม เปน ธรรมเหนอื โลก จึงทําให
เกิดพระเมตตาคุณ พระกรณุ าคณุ ตอ สตั วโ ลก ราวทอ งฟา มหาสมทุ รสดุ สาคร นี้แลที่
วา มหาการณุ โิ ก นาโถ พระองคจึงไมทรงสั่งสอนโลกโดยถือวาเปนหนาที่และกิจจํา
เปน ธรรมดา ๆ แตทรงสั่งสอนชวยเหลือดวยพระทัยที่เต็มเปยมดวยพระเมตตา
กรณุ าอยา งแทจ รงิ ทุกพระอาการที่เคลื่อนไหวจึงเปนไปดวยพระเมตตาเต็มองค
ศาสดา ที่สัตวโลกควรยึดถือเปนคติตัวอยางอันดีเลิศจากพระองค
คาํ วา ศาสดาสง่ั สอนโลกนน้ั เปนศาสดาไดท กุ พระอาการท่ีเคล่ือนไหว ไม
เพยี งแตป ระทานพระโอวาทสง่ั สอนสตั วโ ลกแลว เรยี กวา ศาสดา ผแู นะนาํ แตพ ระ
อาการทุกสวนที่แสดงออกตอผูไปเกี่ยวของ ทุกขั้นทุกภูมิ ทุกเพศทุกวัย ทุกชาติชั้น
วรรณะ ยอมเปนศาสดา คอื ครผู สู ง่ั สอนโลกโดยสมบรู ณ ทรงเปนศาสดาเต็มภูมิทุก
พระอาการ กิริยาของโลกที่เคยใชแตกอนทรงปลอยไปตามโลกหมด มเี ฉพาะพระ
นสิ ยั ประจาํ องคศ าสดาลว น ๆ เทา นน้ั ทรงละไดท ง้ั นสิ ยั และวาสนา จึงมีเพียงพระ
พุทธเจาพระองคเดียว สว นสาวกทง้ั หลายยงั มกี ริ ยิ าของโลก เคยเปนนิสัยติดมา ยงั
ละไมได แตก็ไมเปนโทษเปนกรรมอะไร เปน เพยี งนสิ ยั ความเคยชนิ มาดง้ั เดมิ แตเ ปน
ฆราวาสเทา นน้ั
นแ่ี ลศาสดาของพวกเรา ไดทุมเทพระกําลังความสามารถลงอยางเต็มที่ นับ
ตง้ั แตเ รม่ิ แรกปรารถนาพระโพธญิ าณ ทรงบาํ เพญ็ ดว ยความเหนอ่ื ยยากมาโดยลาํ ดบั
จนเสดจ็ ออกทรงผนวช บาํ เพ็ญพรตเพอื่ รอ้ื ถอนกิเลสความมืดบอดอยูภ ายในพระ
ทยั ใหห มดสน้ิ โดยสน้ิ เชงิ แลว นาํ ธรรมอนั สวา งกระจา งแจง มาสง่ั สอนสตั วโ ลก จึงไม
ใชเปน เร่อื งเล็กนอย ความกระเทอื นเหมือนฟาดินถลม พระทัยจะหลุดลอยออกจาก
พระกาย เพราะความหวน่ั ไหวความสะเทอื นไปทว่ั โลกธาตุ ทง้ั การบาํ เพญ็ และการ
ตรสั รธู รรม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๐
๓๘๑
กิริยาที่ทรงบําเพ็ญก็ไมมีอาการใดที่ทําดวยความทอถอยยอหยอน ทาํ เตม็
พระสตกิ าํ ลงั ความสามารถ ทุกพระอาการทุกประโยคพยายาม แมป ระโยคแหง ความ
เพยี รทไ่ี มส าํ เรจ็ ผลอนั ใด เชน การทรมานพระองคโ ดยวธิ กี ารตา ง ๆ มีการอดกระยา
หารเปน ตน ก็เปนความพากเพียรของผูอยากพนทุกข และเปนศาสดาของโลกอยาง
แทจ รงิ ควรนาํ มาเปน คตติ วั อยา งสาํ หรบั เรา ผูยึดถือพระองควา พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ
ถือพระองคเปนศาสดา เปน สรณะ เปนที่ยึดที่พึ่งของใจ และยดึ ปฏปิ ทามาเปน เครอ่ื ง
ดาํ เนนิ จะไมม ีสิง่ บกพรองมาทาํ ลายตวั เองดงั ท่ีเปนอยเู วลานี้
ศาสดาเหน็ โทษแหง สง่ิ ทเ่ี ปน โทษ ทรงเหน็ จรงิ ๆ ละสง่ิ ทเ่ี ปน ภยั ทรงละได
จรงิ ๆ ตดั วฏั จกั รวฏั จติ ทพ่ี าใหห มนุ เวยี นเกดิ แกเ จบ็ ตายอยใู นโลกสงสาร พระองค
ทรงถอดถอนและทรงละทรงตัดขาดจริง ๆ เปน ศาสดาอยา งเตม็ ภูมิ การสง่ั สอนสตั ว
โลกจึงไมมีแขนงใดใหเกิดขอของใจสงสัยสําหรับสัตวโลกทั่ว ๆ ไป
เราทง้ั หลายเปน ผลู า งมอื เปบ จากพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนแลว จงึ ควรเหน็
พระทัยพระพุทธเจา ทนี่ าสงสารพระองคยงิ่ นักในการตะเกียกตะกาย เพื่อธรรมทั้ง
หลายทกุ ๆ ประโยคพยายาม การทเ่ี ราพยายามดาํ เนนิ ตามหลกั ธรรมทท่ี รงสอนไว
แลวโดยถูกตองนั้น จงึ ไมใชเปนเร่ืองหนกั หนาอะไรนักเลย ไมหนักเหมือนพระพุทธ
เจา ผนู าํ สตั วโ ลกทกุ กรณี ครอู าจารยผ แู นะนาํ สง่ั สอนกม็ ี แบบแผนตาํ รบั ตาํ รากม็ ี มี
พรอมแลวไมบกพรอง พวกเรามีเพยี งการลงมอื บาํ เพญ็ อยา งเดียว ยงั เหน็ วา หนกั
มากยากมาก ลาํ บากมากอยหู รอื จะนอนรอคอยใหพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ
และครอู าจารยน าํ ธรรมมาปอ นเหมอื นปอ นขา วเดก็ นน่ั หรอื ถา ลงถงึ ขนาดน้ันแลว ก็
ควรเตรยี มโลงผไี วเ ลยจะรวดเรว็ กวา ทา นนาํ ธรรมมาปอ นใหถ งึ ปาก
ความรูส กึ ของนกั บวชเรากบั ความรสู กึ ของชาวพุทธท่วั ๆ ไป และโลกทว่ั ๆ
ไปนัน้ ตามหลักความจริงแลวตา งกันอยางมากมาย เพราะโลกเขามคี วามรสู กึ
ธรรมดาแบบโลกและทาํ อะไรแบบโลก สว นพระเราผบู วชมานน้ั เพอ่ื เหน็ ภยั เพื่อสลัด
ปดทิ้งสิ่งที่เปนฟนเปนไฟภายในใจ ไฟที่ฝงจมอยูภายในใจนี้ ไมเหมอื นไฟทัง้ หลาย
ภายนอก แตเปนไฟที่สุมอยูตลอดเวลา ถาไมมีวิธีการ ไมมีอุบาย ไมมีแนวทางเปน
เคร่ืองมอื ดบั แลว ไฟนี้จะไมดับเองเลยตลอดกัปกัลป และไมม เี บื้องตน เบอื้ งปลาย
เปนอยูอยางนั้นตลอดไป จึงตองไดใชอุบายวิธีการตาง ๆ ตามหลกั ธรรมท่ีทา น
ดําเนินไดผลมาแลว และช้แี จงไวแ ลวโดยถกู ตอ ง ซง่ึ ผเู ห็นภัยจะนํามาประพฤตปิ ฏบิ ตั ิ
เพื่อกําจัดไฟคือกิเลสทั้งมวล
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๑
๓๘๒
การมาปฏบิ ตั ติ วั ในความเปน นกั บวชเชน น้ี จงึ เปน เหมอื นเขา สสู งครามและ
รบแบบตะลมุ บอน จะมานอนใจเอานสิ ยั ของกเิ ลสจากฆราวาสมาใชไ มเ ปน ผล นอก
จากจะเปน การเพม่ิ กเิ ลสใหพ อกพนู หนาแนน ขน้ึ ภายในใจเทา นน้ั ไมมีอะไรเปน
เครอ่ื งหมายของนกั รบแหง นกั บวชของเราเลย จึงตองใชความพยายามเต็มที่ ใน
อริ ยิ าบถตา ง ๆ ใหถ อื วา เราอยใู นแนวรบ อยูในวงลอมของกิเลสทั้งมวล การ
พิจารณาแกไขถอดถอนทุกวิธีการจึงเปนการตอสู เปน การแหวกวา ยหาทเ่ี ลด็ ลอด
ปลอดภยั จากกเิ ลสประเภทตา ง ๆ ดว ยความไมน อนใจ
ไมมีสิ่งใดที่จะใหความภาคภูมิใจตลอดไปไดในโลกอันนี้ ไมวาวัตถุไมวา
อารมณมันเปนเหยื่อลอของกิเลสทั้งมวล ไมใชเปนโอชารสที่ควรจะติดจะพัน จะ
เคลบิ เคลม้ิ หลงใหลไปตาม นอกจากรสแหง ธรรมเทา นน้ั จะเปน ทแ่ี นใ จตายใจแกผ ู
บาํ เพญ็ ทง้ั หลาย นบั แตค วามสงบเยน็ ใจไปโดยลาํ ดบั แตพ น้ื ๆ แหง ธรรม จนกระทั่ง
ถึงที่สุดวิมุตติหลุดพนไปโดยสิ้นเชิง มีธรรมทุกขั้นเปนที่ไวใจได เปน ธรรมชาตทิ ต่ี าย
ใจและฝากเปน ฝากตายไดโดยลําดับ ไมมีฉากหนาฉากหลังเหมือนกลมายาของกิเลส
ท่หี ลอกลวงสตั วโ ลกเร่ือยมา
การปฏิบัติตนตองใชสติปญญา พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงอยูเสมออยานอนใจ
กเิ ลสเปน สง่ิ ทล่ี ะเอยี ดแหลมคมมากเกนิ กวา ความรธู รรมดาเราจะทนั มนั จะรูเทากล
ของมันได จึงตองฝกสติ ฝกปญญา ที่พอจะตามทันไดและตามทัน พรอมทั้งการแก
ไขถอดถอนไดเปนขั้นเปนตอน
ไมมีสิ่งใดเปนที่ภาคภูมิใจในโลกพอจะตั้งความหวังกับมัน หากเปนสิ่งที่
ภาคภมู ใิ จไดแ ลว พระพุทธเจาศาสดาองคเอกก็ไมสั่งสอนใหละ ใหป ลอ ยวางใหห ลดุ
พน ไปจากสง่ิ เหลา น้ี ใครเกดิ มากไ็ ดป ระสบพบเหน็ ก็ไดสัมผัสสัมพันธเหมือน ๆ กนั
มอี ะไรเปน เครอ่ื งสง เสรมิ ใหไ ดร บั ความสขุ ความเจรญิ และเปนความสขุ อันไพบลู ย
ไมมี นอกจากเปนสิ่งเกลี้ยกลอมจิตใจใหติดจมอยูกับมัน และนอนจมอยใู นวฏั วนน้ี
ไมมีเวลาเล็ดลอดออกไปได นอกจากการปฏบิ ัติธรรมใหผา นพน ไปถายเดียว ซง่ึ เปน
ความถูกตองชอบธรรมอยางยิ่ง
และคาํ วา ความมดื บอดนน้ั อยา พงึ เขา ใจวา เปน ดนิ ฟา อากาศ พระอาทิตย
พระจนั ทร พาใหม ดื บอดหรอื พาใหส วา ง แตพึงทราบวาความมดื บอดทง้ั มวลนคี้ ือ
กเิ ลส เปน เคร่ืองปกปด กาํ บงั จิตใจไวอยางแนบสนิทตดิ จม จนไมท ราบวา อะไรเปน
กเิ ลส อะไรเปนจิต มนั คลกุ เคลา เปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั ในเวลาทแ่ี ยกหรอื กาํ จดั ยงั
ไมได คาํ วา ความสวา งกค็ อื สตปิ ญ ญาทเ่ี รยี กวา ธรรม ทจ่ี ะสามารถรเู ทา ทนั และ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๒
๓๘๓
สามารถสอดสองมองเห็นทั้งโทษและคุณภายในใจที่เคยมืดบอดมา ใหก ลายเปน ใจท่ี
สวา งไสวขน้ึ มา
การเวยี นวา ยตายเกดิ ในวฏั สงสารน้ี พอตัวทุกราย พอตัวทุกคน ไมมีใครยิ่ง
หยอนกวาใคร พอจะมาแขงขันกันวาเปนของดีของวิเศษเลิศโลก ความเกดิ ความตาย
เปนเรื่องกองทุกขทั้งมวล ไมใชของดีมีสุขพอจะอยากมาเกิด กอนที่จะหลุดหรือเล็ด
ลอดออกมาจากชองแคบคือทองของแม กผ็ า นความสลบไสลมาแลว ดว ยกนั ออกมา
แลว แทนทจ่ี ะไดร บั ความสะดวกสบาย ก็ตองทนทุกขทรมานดวยธาตุดวยขันธ ดว ย
เยน็ รอ นออ นแขง็ ความหวิ ความกระหาย โรคภยั ไขเ จบ็ ตา ง ๆ ยาํ่ ยบี ฑี ามาตลอด จน
กระทั่งถึงวาระสุดทายไปไมรอดจริง ๆ ก็ตาย
ลวนแตก องทกุ ขท ีว่ างสายยาวเหยยี ดไปกบั การเกดิ ตาย นับแตเริ่มตกคลอด
จนถงึ วาระสดุ ทา ย คอื หมดลมหายใจทเ่ี รยี กวา ตาย มตี รงไหนทด่ี เี ดน วา ไดร บั ความ
สขุ ความสบาย นอกจากเดนชดั ดว ยความทกุ ขนานาประการ ทป่ี ระสบั ประสานกนั
เรอ่ื ยมา มีตรงไหนพอจะติดจะพัน พอจะเคลบิ เคลิ้มหลงใหลไปกับเร่อื งความเกดิ
เปน นน้ั เกดิ เปน นใ้ี นภพตา ง ๆ เลา ตองพจิ ารณาดวยดีนกั ปฏิบัติ
ทก่ี ลา วมานเ้ี ปน ผลของกเิ ลสทแ่ี นบแนน ละเอยี ดแหลมคมเกนิ สามญั
ธรรมดาจะคาดคดิ ซ่งึ ฝงจมอยภู ายในจติ เปน เชือ้ พาใหเกิด การแกจึงแกลงที่นั่น ไม
ใชแกที่อื่น
ผูยังไมเคยสงบก็พยายามทําใจของตนใหสงบ ดว ยบทธรรมใดก็ตามท่ีเหน็
วา ถกู จรติ เชน บรกิ รรม พุทฺโธ ธมฺโม หรือ สงโฺ ฆ หรอื อฏฐ ิ ทนฺตา อะไรก็ได ผม
ขน เลบ็ ฟน หนงั เหลา นเ้ี ปน คาํ บรกิ รรมไดท ง้ั นน้ั มลี มหายใจเปน สาํ คญั บทหนง่ึ
ตามแตความถนัด จบั จาํ เพาะวงปจ จบุ นั เชน การกาํ หนดบรกิ รรมคาํ ใด กใ็ หร ูอยูก บั
คาํ บรกิ รรมนน่ั เทา นน้ั ไมต อ งไปวาดภาพหอปราสาทวมิ านทไ่ี หน นอกจากเหตุที่ทํา
ถูกตองอยูในขณะนั้นเทานั้น การกาํ หนดลมก็ใหร อู ยทู ี่ลม ลมเขา ใหร ู ลมออกใหรู รู
อยกู บั ลมโดยเฉพาะ ใหค วามรนู น้ั จดจอ อยกู บั ลม ไมตองเกร็งตัวใหมาก บงั คบั ให
มากนัก เปน แตท าํ ความรใู หอ ยกู บั ลมทห่ี ายใจเขา หายใจออก ไมตองไปคาดอดีต
อนาคตใหน อกไปจากวงปจ จบุ ัน คือการกําหนดรูลมอยูโดยตลอด ลมนน้ั แลเปน
เครื่องเกาะเครื่องยึดของจิตเพื่อสงบตัวลงได
เวลาจะตง้ั รากตง้ั ฐานทแี รก จิตหาที่ยึดไมได จงึ ตอ งอาศยั ธรรมบทตา ง ๆ
เปน เครอ่ื งยดึ ทเ่ี รยี กวา บรกิ รรม บรกิ รรมธรรมบทใดกใ็ หอ ยกู บั ธรรมบทนน้ั ใหร อู ยู
กบั ธรรมบทนน้ั ผกู าํ หนดอานาปานสตกิ ใ็ หร อู ยกู บั ลม ซึ่งเปนเครื่องยึดของใจ ใจ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๓
๓๘๔
เมื่อมีความจดจอตอเนื่องอยูกับเครื่องยึดอยูแลว จะตะลอ มตวั เขา มาสคู วามสงบ ผู
กําหนดลม ลมก็จะละเอียดลงไป ลมที่ละเอียดนั้นก็เนื่องจากใจละเอียด ใจคอยสงบ
ตวั เขา มาจนละเอยี ดสดุ ถึงวาระสุดทายลมไดหายไปตอหนาตอตา ทั้ง ๆ ทร่ี อู ยวู า ลม
หยาบ ลมละเอยี ด ละเอียดสุด แลวหายเงียบไปกม็ ี จะอยางไรก็ตาม แมล มหายเงยี บ
ไปกอ็ ยา วติ กวจิ ารณแ ละกลวั ลม กลวั ตาย
นกั ภาวนาสว นมากมกั กลวั ตายอยา งนน้ั อยา งน้ี ไมตองไปกลัว ความรทู ร่ี วู า
ลมหายไปนั้นไมไดห ายไปไหน ความรูนน้ั แลเปนผคู รองรางอยจู ะไมตาย กเ็ ราไมไ ด
ภาวนาเอาลม เปนแตเพียงยึดลมเปนหลักในขณะที่จิตยังยึดตัวของตัวเปนหลักไมได
ตอ งอาศยั ลม ลมละเอยี ดลงไปกแ็ สดงวาจติ นีล้ ะเอียด พอที่จะพึ่งตนเองไดแลวตาม
หลกั ภาวนา แมล มหายใจนน้ั ไดห ายไป แตค วามรนู น้ั ไมห าย ใหอยูกับความรูที่ไม
หายนน้ั ไมตองไปกังวลกับลม จติ จะเขา สคู วามละเอยี ดแนบแนน และแสดงความ
แปลกประหลาดอศั จรรยข น้ึ มาใหเ จา ตวั รเู หน็ ในเวลานน้ั นค้ี อื การเรม่ิ แรกแหง การ
ภาวนา อยา ไดว ติ กวจิ ารณก บั ลมวา หายไปแลว ตนจะตาย มันไมตาย วิธีการของการ
ภาวนาเปน อยา งน้ี ไมใ ชว ิธกี ารฆา ตนเอง เปน วธิ กี ารของการภาวนาเพอ่ื ความเจรญิ
แหง ธรรมภายในใจตา งหาก
เบอ้ื งตน จะมคี วามอดึ อดั บา งสาํ หรบั ผเู จรญิ อานาปานสติ อึดอัดก็ใหรูวาอึด
อัด อยาปลอยลม จะอึดอัดไปไหนก็ใหรู ใจจะขาดในขณะภาวนากใ็ หร ู เพราะเราไม
ไดภ าวนาเพอ่ื ฆา ตวั เอง นน่ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลส เปนกลมายาของกิเลสหลอกลวงให
ถอยหนาถอยหลัง ใหเกดิ ความสงสัยกลวั จะเปน จะตาย แลวทอถอยปลอยวางการ
ภาวนาไปเสยี ตา งหาก นน่ั แสดงวา กเิ ลสทาํ งานไดผ ลแลว เวลาจะทาํ กก็ ลวั แตจ ะลม จะ
ตาย ทั้ง ๆ ทค่ี วามลม ความตายมนั ไมไ ดม ใี นการภาวนา กิเลสมันก็หลอกใหมีจนได
น่กี ็กลมายาของกเิ ลสประเภทหน่งึ ใหพ ึงทราบไวดว ยกัน
นี่หลักของสมาธิของสมถะ สอนใหท ราบ ผูที่บวชใหมก็มี มาประพฤติ
ปฏิบัติใหมก็มี ใหมก บั เกา กอ็ นั เดยี วกนั นน่ั แหละ อยา เขา ใจวา ตนใหมต นเกา มนั จะ
เปนเรื่องของกิเลสแฝงขึ้นมา ถา เกา กใ็ หช าํ นชิ าํ นาญในเรอ่ื งภาวนาซิ ถาไมชํานิ
ชาํ นาญมนั ก็ ก.ไก. ก.กา อยนู น้ั แหละ ไมเ กดิ ประโยชนอ ะไรกบั คาํ วา บวชเกา บวช
ใหม สว นกเิ ลสนน้ั ไมม คี าํ วา เกา หรอื ใหม แตม นั อยใู นจติ เราดว ยกนั เพียงคาํ
บรกิ รรมกไ็ มไ ดเ รอ่ื งไดร าวจะเอาผลประโยชนม าจากทไ่ี หน
ฝกใหดี ทาํ ใหจ รงิ ใหจ งั ผกู าํ หนดหรอื บรกิ รรมธรรมบทใดกใ็ หอ ยกู บั ธรรม
บทนน้ั ใหร อู ยจู าํ เพาะ อยา คาดผลวา จะเกดิ ขน้ึ หรอื แสดงอาการอยา งไรบา ง อยาไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๔
๓๘๕
คาดจะเขวจากหลักปจจุบนั คืองานทก่ี าํ ลงั ทาํ อยู ผลจะไมเกิดขึ้นใหไดชม การภาวนา
สาํ คญั อยทู ป่ี จ จบุ นั การไมคาดไมห มายส่ิงใดนอกไปจากเหตทุ ีก่ าํ ลงั ดําเนนิ อยนู ้ัน
เปน ความถูกตองดงี ามสาํ หรับผปู ฏบิ ัติ จะตอ งปรากฏผลเปน ทแ่ี นใ จวนั ใดวาระหนง่ึ
จนไดไมสงสัย
การปฏิบตั ิกิจการงานใดก็ไมยากเหมือนการปฏิบัติเพอ่ื ฆากิเลส เพราะกเิ ลส
เปนผูแยงผูชิงผูกีดผูขวาง ผคู อยทําลายงานและผลงานของตวั อยเู สมอ งานนจ้ี งึ เปน
เหมอื นวา ยาก เพราะกเิ ลสพาใหย าก กเิ ลสหลอกวายากและกเิ ลสตอสู กเิ ลสขดั ขวาง
ไมใหทํา ซง่ึ เทา กบั การทาํ ลายมนั เราที่โงตอเพลงกลอมของกิเลสก็เชื่อและกลับไป
ตาํ หนธิ รรม ทง้ิ ใหธ รรมเสยี วา การบาํ เพญ็ ธรรมนน้ั ยาก ความจริงกิเลสมันหลอก
กเิ ลสพาใหย ากตา งหาก ธรรมไมไ ดพ าใหย าก จงพากันเขาใจจุดนี้ไวใหดีนักปฏิบัติ
ความทอแทออนแอเหลวไหลลวนแตเ ปน เรอ่ื งของกิเลสท้งั มวล อยา เขา ใจวา เปน
เรื่องของธรรม เวลานเ้ี ราเสาะแสวงหาธรรม ตองมีจริงมีจัง มีสติมีสตังและปญญา
เคลอื บแฝง มคี วามพากความเพยี ร มคี วามอตุ สา หพ ยายาม น่คี ือเรือ่ งของธรรม
เรื่องใดก็ตามอาการใดก็ตาม ทจ่ี ะมาทาํ ลายมากดี ขวางความพากความเพยี ร ความ
อตุ สา หพ ยายาม ความเขม แขง็ ความอดทนเพอ่ื อรรถเพอ่ื ธรรม ใหดอยและขาดไป
นน้ั ลวนแตเปน เร่อื งของกเิ ลส คือตัวมารทั้งนั้น อยา เขา ใจวา เปน สง่ิ อน่ื สง่ิ ใด
นแ่ี หละเร่อื งความละเอยี ดของกเิ ลสจงพากันจาํ ไว เอาใหเ หนอื กเิ ลสไปโดย
ลาํ ดบั แลวจะทราบกลมายาของมันทุกแงทุกมุม ทง้ั หยาบ ทง้ั กลาง ทั้งละเอียดและ
ละเอยี ดสดุ ไมนอกเหนือไปจากธรรมคือ สตธิ รรม ปญ ญาธรรม เปน ตน นไ้ี ด เพราะ
กเิ ลสไมเ หนอื ธรรม เมอ่ื ไดน าํ ธรรมมาใช นําธรรมมาปฏิบัตใิ หถ ูกตอ งเหมาะสมกบั
การปราบปรามกเิ ลสแลว จะไมมีกิเลสตัวใดตกคางอยูภายในใจไดเลย พระพุทธเจา
ชนะกเิ ลสกเ็ พราะธรรม มสี ตธิ รรม ปญ ญาธรรมเปน สาํ คญั ทแ่ี พก เ็ พราะไมม ธี รรม
เหลา น้ี ถกู กเิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายถา ยเดยี ว มรรคผลนิพพานจะมีเต็มหัวใจอยูก็เขาไม
ถึง เพราะกิเลสมันกีดมันกัน มันปดประตูไวทุกแงทุกมุมทุกดานทุกทางใหทําไมได
เขาไมถึง
เดินจงกรมมนั กล็ ากสตหิ นีไปทีอ่ ่ืนเสยี ลากจติ เขา ปา เขา รกไปเสยี ลากไป
ทางรปู ทางเสียง ทางกลิ่น ทางรสไปเสยี เพราะเครื่องหลอกลวงของมันมีเยอะ ทาง
รูปก็เต็มโลกธาตุ เสียงก็เต็มโลกธาตุ กลิ่น รส เครื่องสัมผัสก็เต็มโลกธาตุ ลว นเปน
เหยื่อที่มันปกเสียบไวทั้งนั้น ทาํ เปน เหยอ่ื ลอ ปลาไวห มด แตเ ราไมท ราบวา เปน เหยอ่ื
ลอ เพราะอุบายของมันแหลมคมมาก อุบายของเราไมทัน กระดิกออกไปตรงไหนมี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๕
๓๘๖
แตกเิ ลสรุมลอมเอาหมด ไมม ธี รรมเปน เครอ่ื งรกั ษาบา งเลย ใจจึงหาความสงบไมได
หาความแยบคายไมไ ด หาความเฉลยี วฉลาดเพอ่ื แกก เิ ลสไมไ ด มีแตกิเลสผูกเอามดั
เอา แมเดินจงกรมอยูก็ถูกมันมัดแขงมัดขามัดหูมัดตาไวหมด ราวกับคนหูหนวกตา
บอด ใจวกิ ลวกิ าร งอยเปลีย้ อวัยวะในวงความเพยี รไปเสีย เหลือแตคลงั กเิ ลสเตม็ หัว
ใจ คลงั สตธิ รรม ปญ ญาธรรม วริ ยิ ธรรม ขนั ตธิ รรม สมาธธิ รรม ไมป รากฏ
นั่งสมาธิก็ไมมีสติ ไมมีปญญาที่จะพินิจพิจารณาธรรมของจริงซึ่งมีอยูกับใจ
ไมว า ความเพยี รในทา ใดอาการใด มแี ตก เิ ลสเขา ทาํ งานแทนเสยี สน้ิ แลวก็มาทวงผล
วา ทาํ ไมนง่ั ภาวนาตง้ั นานไมเ หน็ เกดิ ผลอะไร ก็จะเกิดผลอะไร เพราะเหตุกิเลสเอาไป
กนิ หมดแลว พาสง พาสายพาแสห าแตเ รื่องกเิ ลสไปหมด แมต าไมเห็นมันกเ็ ปน
ธรรมารมณใ นสง่ิ ทเ่ี คยรเู คยเหน็ เคยไดย นิ มาแลว เอามาครนุ มาคดิ มาอนุ กนิ อยอู ยา ง
นน้ั ไมเ คยคดิ วา อารมณเ หลา นเ้ี ปน ของเกา ลว งกาลผา นสมยั ลา สมยั ไปแลว เคยคดิ
มาแลวกีค่ รั้งกี่คราวกรี่ อ ยก่ีพันคร้ัง กเิ ลสไมใหคดิ วา เปน ของเกาของเดนเลย ใหค ดิ
วาเปนของใหมเอี่ยมทั้งนั้น จึงไดติดอารมณของมันเรื่อยมา
นี่แลเครื่องหลอกลวงของมัน ลึกซึ้งละเอียดขนาดนั้น จติ เราจงึ ไมทราบจงึ
ตองติดของเกาอารมณเกาที่เคยคิดมาแลว อตีตารมณ คอื อารมณท ผ่ี า นมาแลว ไม
วา ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลน้ิ ทางกาย เคยสมั ผสั สมั พนั ธม าแลว ผา นมาแลว ก็
ไมเ หน็ วา เปน ของเกา เปน เดนไปแลว ไมตองคิดซ้ํา ๆ ซาก ๆ เพราะสิง่ นเี้ คยคดิ มา
แลว เคยใหท กุ ขเ รามาแลว มันไมใหคิดอยางนั้น มีแตทําใหติดพันไปหมด เปน ของ
ใหมเอี่ยมไปหมด ถาเปนเรื่องของกิเลสตองใหมเอี่ยม ลน่ื ไปเลย ถา เปนธรรมแลว
มันขลุกขลัก ๆ กาวไมออก เพราะกเิ ลสดนั เอาไว กันเอาไว กีดขวางเอาไว ไมใ หเปน
ความสะดวก ถาเปนถนนมันก็ตัดไมมากั้นทางไวเสีย เต็มไปดวยกอนหิน ทอนไม รถ
วิ่งไมได ตดิ
เวลาเราจะดําเนนิ เพอ่ื ความราบรน่ื ในธรรม จึงตองถูกกิเลสกีดขวางลอลวง
ไวไ มใ หด าํ เนนิ ดว ยความสะดวก ใหพ งึ ทราบวา กเิ ลสเคยเปน อยา งนน้ั มาตลอด จงึ
ตอ งไดใ ชค วามพยายามเตม็ ท่ี การพยายามตอสูก็ตอสูกับสิ่งที่เปนขาศึก สิ่งที่กีด
ขวางนน้ั แลไมใ ชธ รรมมากดี ขวาง กเิ ลสตา งหากมากดี ขวาง กเิ ลสตา งหากทาํ ใหท อ
แทอ อ นแอ กเิ ลสตา งหากทาํ ใหข เ้ี กยี จขค้ี รา น กิเลสตางหากทําใหทอถอยออนแอ
และหยุดการงานทีจ่ ะเปน ประโยชนทัง้ มวล เพราะอาํ นาจของกเิ ลสมนั เหนอื ของธรรม
ในขน้ั เรม่ิ แรกแหง การบาํ เพญ็
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๖
๓๘๗
ตอไปเม่ือเราทาํ ความพยายามตอสอู ยเู สมอไมลดละความเพยี ร กเิ ลสกค็ อ ย
ออนกําลังลงไป สติไมมีพยายามตั้งขึ้นใหมี ปญญาไมมีพยายามคนคิดใหมี ธรรม
สอนไวแ ลว ทกุ อยา ง สจั ธรรมมอี ยอู ยา งสมบรู ณภ ายในกายในใจเรา นาํ มาใชไ ดทัง้ นัน้
ถาไมขี้เกียจเสียอยางเดียว ถา ลงไดเ หน็ วา กเิ ลสเปน ภยั แลว ความเพียรจะเปนมาเอง
สติปญญาก็จะมาพรอม ๆ กนั ทไ่ี มเ หน็ กเิ ลสเปน ภยั เพราะกเิ ลสกลอ มนน่ั ซสิ าํ คญั
เดนิ จงกรมก็บงั คับกนั ไปแทบลมแทบตาย บงั คบั ไปแลว กใ็ หก ิเลสมนั ถลุงเอาหมด
ไมม อี ะไรเปน เน้อื เปน หนังเปน ของตวั เลย เปน อาหารกเิ ลสเสยี ทง้ั มวล ในอริ ยิ าบถทง้ั
สแ่ี หง การประกอบความเพยี รนน้ั คอื ยนื เดนิ นั่ง นอน ทาํ ภาวนากก็ ลายเปน เรอ่ื ง
ของกิเลสพาวกพาวนไปหมด เปนเรื่องของกิเลสตอมหึ่ง ๆ ไปเสียหมด แลว ธรรมจะ
แทรกขึ้นไดที่ไหน ก็มีแตกิเลสพาแหไปแหมาจนไมมองเห็นตัวพระธุดงคกรรมฐาน
มองเหน็ แตก เิ ลสลอ มหนา ลอ มหลงั อยทู าํ นองนน้ั ในอริ ยิ าบถตา ง ๆ
เอา ถา อยากทราบเรอ่ื งกเิ ลสดงั ทก่ี ลา วมาน้ี จงฟาดฟนกันลงไปอยาทอถอย
ออนแอ ความทอถอยออนแอไมใชธรรม ไมใ ชท างจะใหเ หน็ ธรรม ไมใชอ บุ ายวิธจี ะ
ใหเ หน็ ธรรม ไมใ ชก ารดาํ เนนิ เพอ่ื ความเปน ธรรม นน่ั คือการเดินตามกนกิเลสจูงจมูก
ตา งหาก ทางถูกตองตามธรรมตองขุดคนขึ้นมาตอสูกัน จิตไมเคยสงบก็จะสงบไดไม
สงสยั ถา ดาํ เนนิ ตามวธิ ที ก่ี ลา วมา ปญ ญาพยายามคน คดิ อะไรสัมผัสสัมพันธทางตา
หู จมูก ลน้ิ กาย นาํ มาคดิ พจิ ารณาไตรต รอง แยกแยะยอนหนายอนหลังกลับไปกลับ
มา ทบทวนใหไ ดส ดั ไดส ว นตามเหตตุ ามผลจนเปน ทเ่ี ขา ใจ สิ่งที่เคยสงสัยก็จะคอย
หลุดลอยไป ๆ ดวยอํานาจของปญญาหนีไมพน
เฉพาะอยางยิ่ง จงถอื สกลกายเปน สนามรบเปนสถานท่คี ลี่คลาย เพราะจติ
ตดิ กายนม้ี ากกวา อน่ื บรรดาความตดิ ขน้ั หยาบ สว นลกึ ลบั ภายในใจนน้ั ยกไวก อ น
กายนี้ปดอยูชั้นนอกอยางเปดเผย พยายามคลค่ี ลายออกมา รูปกายนี้มีอะไร ดูตั้งแต
ผวิ หนงั เขา ไปตามความจรงิ ความจริงลวน ๆ ก็คือสิ่งปฏิกูลโสโครกเต็มอยูภายใน
รา งกาย นค้ี อื ความจรงิ ความวา สวยวา งามนา รกั ใครช อบใจนน้ั เปนเรื่องของกิเลส
หลอกลวง มนั เอามาฉาบทาไวท ง้ั ๆ ที่ไมจริง จงแยกแยะเขาไปถึงความแปรสภาพ
มันแปรอยูตลอดเวลา คิดดูตั้งแตวันเกิดมาจนถึงปานนี้เปนยังไงตัวของเรา แตกตาง
แตเ ปนเด็กไหม กายนแ้ี ปรสภาพมาเรอ่ื ย ๆ อยางนี้ หมดทง้ั รา งนแ้ี ปรสภาพทง้ั นน้ั
แมแตจิตใจก็ยังแปรสภาพไปตามขันธและความผลักดันของกิเลส
พจิ ารณาเขา ไป พยายามดใู หเ หน็ ตามความจรงิ ฝน กเิ ลสเขา ไป ตรงไหนมัน
วา งาม เอา แยกตรงนั้นออกมาดูใหเห็นประจักษตามันงามที่ตรงไหน กิเลสทําไมถึง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๗
๓๘๘
หลอกลวงวา สวยวา งามเอานกั หนา อะไรมันงามดูใหดีดวยปญญาของเรา เพราะสติ
ปญญาเรามีอยกู ับตัวดว ยกนั ทําไมจะยอมตีบตันอั้นตูใหกิเลสหลอกไดหลอกไปนัก
หนา คลค่ี ลายดู หนงั กเ็ หน็ ชดั ๆ อยแู ลวมันสวยมันงามทีไ่ หน ขี้เหงื่อขี้ไคลก็เปนขี้
ทัง้ นนั้ เต็มอยภู ายนอกผวิ หนัง ยง่ิ เขา ไปภายในดว ยแลว ดไู มไ ดเ ลย เยิม้ ไปดวย ปุพ
โพโลหติ นาํ้ เนา นาํ้ หนอง และยิ่งลึกเขาไปก็ยิ่งดูไมได คนเราถา ไมม หี นังหุมหอ ไวนี้ดู
กันไดเมื่อไร ดูไดแตพวกแมลงวันเทานั้นพากันตอมหึ่ง ๆ เวลาสตั วต ายเหน็ ไหม
แมลงวันมันชอบ
นจ่ี ติ ของเราเวลานเ้ี ปน เหมอื นแมลงวนั เที่ยวหาตอมสิ่งที่ปฏิกูลโสโครก
สกปรกนน้ั แหละ เสกเปา ลม ๆ แลงวาเปนของสวยของงาม ใจชนิดนี้ไมผิดอะไรกับ
แมลงวนั จิตของปุถุชนเรามันชอบตอมของสกปรกโสมม ของสะอาดคือศีลธรรมมัน
ไมชอบไมตอม เรื่องของกิเลสมันชอบอยางนั้น และเสกสรรขน้ึ มาปด ตาบรุ ษุ ตาฟาง
เอาไวว าเปนของสวยของงาม เปน ของจรี งั ถาวร เปน ของนา เพลดิ เพลนิ เจรญิ หเู จรญิ
ตาเจรญิ ใจ ไมมีวันเบื่อหนายอิ่มพอ
จงเอาปญ ญาหยง่ั ลงไปใหเ หน็ ชดั เจน ดูเขาไปจนกระทั่งถึงกระดูกทุกทอน
อวยั วะทกุ สว น ตับไตไสพุง อาหารใหมอ าหารเกา เต็มอยูนี้ มีอะไรเปนที่พึง
ปรารถนา ทง้ั เขาทง้ั เราเปน เหมอื นกนั ทว่ั โลกดนิ แดน สงสยั ทต่ี รงไหน นา ยดึ ทต่ี รง
ไหนวา เปน ของสวยของงาม จากนน้ั กพ็ จิ ารณากาํ หนดใหก ายนต้ี ายเนา เฟะไปหมด
ทง้ั รา ง แตกระเบิดออกไปถึงไหนอยูไดเมื่อไร คนมีจมูกอยูไมไดแตกฮือ ๆ ไปเลย
นน่ั เหรอของสวยของงาม คนแตกฮอื ๆ นน่ั เหรอ พจิ ารณาใหเ หน็ ชดั ซิ มันไปเสกไว
ทไ่ี หนกเิ ลสนะ สวยทต่ี รงไหน สวยที่คนแตกฮือ ๆ นน่ั เหรอ แมแตยังไมตายก็ยัง
ตองปฏิบัติรักษาความนาเกลียดของกายอยางเขมงวดกวดขันดวยกันเรื่อยมา นบั วา
เปน บอ กงั วลกบั รา งกายนไ้ี มเ บาเลย ยงั จะหลบั หหู ลบั ตาเสกสรรปน ยอไปถงึ ไหนกนั
เวลาตายมนั เนา มนั พอง แตกกระจัดกระจายลงไป แรงกาหมากิน ถาไมมี
คนรักษาแมลงวันเต็มโลกธาตุมาน้หี มดตอมหงึ่ ๆ ดไู ดไ หม น่นั หรือของสวยของงาม
จากนน้ั กส็ ลายลงไป ๆ จนกลายลงไปเปนธาตุดินตามเดิม สว นนาํ้ กไ็ ปเปน นาํ้ ตาม
เดมิ สวนธาตุไฟก็ไปเปนไฟตามเดิม สวนธาตลุ มกไ็ ปเปน ลมตามเดิม ไหนสตั ว
บุคคลสวยงามมอี ยูท ีต่ รงไหน อยทู ่ีดนิ ที่นา้ํ ท่ลี มที่ไฟนั่นเหรอ ดนิ ก็เปนดนิ สวยงามที่
ไหน นาํ้ เปน นาํ้ สวยงามทไ่ี หน เปน สตั วเ ปน บคุ คลทไ่ี หน ลมเปน ลม ไฟเปนไฟ เปน
สัตวเปนบุคคลเปนของสวยของงามที่ไหนกัน มามัวตื่นลมตื่นแลงกันอยูกับปาชาผี
ดบิ ผตี ายไมม วี นั ตน่ื หรอื พระปฏบิ ตั เิ รานะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๘
๓๘๙
จงพิจารณาใหถึงสภาพความจริงของมันดวยหลักธรรมคือปญญา ถา อยาก
จะเหน็ ของจรงิ จิตมาพัวมาพันมาติดมาของอยูกับสิ่งเหลานี้ เพราะกเิ ลสมนั จบั ไส
กิเลสมันหลอกใหจิตหลงแลวก็ยึดมั่นถือมั่น มนั ตีตะปไู วอยา งเหนยี วแนน ดว ย
อุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในธาตุในขันธ คือในธาตุสี่ ดิน นาํ้ ลม ไฟ วา เปน ตวั เปน
ตนอยางสนทิ ตดิ จม กิเลสมันหลอกมากี่กัปกี่กัลปแลวยังไมเบื่อไมอิ่มไมพอเหรอ เขา
กินขาวยงั รูจักเวลาอมิ่ พอ ทาํ ไมใจเรากบั อารมณท ก่ี เิ ลสหลอกลวงนจ้ี งึ ไมเ หน็ มวี นั อม่ิ
พอกัน มแี ตใ หมเ อย่ี มเรอ่ื ย กนิ เทา ไรไมห ายอยาก นอนมากไมรูตื่น นอนมากก็คือ
ความลมุ หลงงมงายนน่ั เอง ไมรูว นั ไหนจะตนื่ ถาไมเอาสติปญญาปลุกเขาไปตีเขาไป
กนิ หลายไมห ายอยาก ตามโบราณทา นวา ไว กนิ เทา ไรมนั ยง่ิ หวิ ยง่ิ โหย คิดไปตาม
อารมณข องกเิ ลสเทา ไรยง่ิ หวิ ยง่ิ โหย ไมมีคําวาอิ่มพอ นแ่ี ลคอื ความกนิ หลายไมห าย
อยาก ฉะนน้ั ทา นจงึ วา ตณั หาความหวิ โหย ใหก นิ เทา ไรยง่ิ หวิ จดั สตั วโ ลกจงึ ตายจงึ ลม
จมเพราะความหวิ ความกนิ
ความอิ่มพอมีอยูในธรรมะเทานั้น กิเลสไมเคยทําความอิ่มพอใหแกผูใด ไม
วา ความโลภ ไมว า ความโกรธ ไมว า ความหลง ไมว า ราคะตณั หาประเภทใด ถา เปน
เรื่องของกิเลสแลว จะไมใหมีความอิ่มพอแกสัตวเลย จะกินจะดื่มจะคิดจะพูดจะทํา
จะสัมผัสสัมพนั ธเทา ไร กย็ ง่ิ หวิ ยง่ิ โหยยง่ิ กระวนกระวาย จนกระทั่งวันตายก็ไมมี
ความอิ่มพอ เรายังจะหลงเพลินอยูกับความหิวโหยไมมีความอิ่มพอซึ่งเปนกองทุกข
นอ้ี ยเู หรอ ความอิ่มพอของกิเลสไมเคยมี ไมเคยใหผูใดอิ่มพอและสมหวัง ยังจะ
บึกบึนไปกับมันอะไรอยูอีกเลา ความอิ่มพออยูกับธรรมตางหากมิใชอยูกับกิเลส
จงพจิ ารณาแยกแยะหลายสนั หลายคมใหร รู อบขอบชดิ โดยถือเอารางกายนี้
เปน สนามรบ เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณาในขน้ั แรก ใหเห็นอสุภะอสุภังประจักษ
ใจ เรอ่ื งความแตกความสลายความแปรสภาพ กใ็ หเ หน็ ชดั ดว ยปญ ญาของเรา จติ จะ
ยึดมั่นถือมั่นไปไหน เมือ่ รูเหน็ ตามเปนจริงแลวตอ งถอยตัวเขามา หดตวั เขา มาตาม
ลาํ ดบั แหง ความเขา ใจ
จิตนี้พรอมที่จะปลอยวางอยูแลว เปน แตเ พยี งวา ไมร อู บุ ายแหง การปลอ ย
วาง จติ จะปลอยวางไดยังไง เพราะถกู กเิ ลสตัณหาอาสวะมนั บบี บังคบั ใหยึดใหถ ือไป
ตามอํานาจของมัน มันสลับซับซอนมากเรื่องของกิเลสนี่ พจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา ให
เหน็ แจม แจง ชดั เจนลงไป นค่ี อื วิธกี ารถอดถอนกเิ ลสอนั เสียบแทงอยภู ายในจติ ใจ
รูปนอกรปู ในมันเหมอื นกัน เสียงนอกเสียงในเหมือนกนั เปน ลม ๆ ไป
อยา งนน้ั แหละ ตื่นอะไรต่ืนลม เสยี งหญิงเสยี งชายมแี ตเ สียงลมเทาน้นั ออกจากปาก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๘๙
๓๙๐
ตื่นไปอะไรตื่นลม เคยไดเ หน็ ไดย นิ มาแตว นั เกดิ ตื่นอะไรอยูอีก นค่ี อื การพจิ ารณา
จนแตกกระจายหายหว งทกุ อยาง
การพจิ ารณาคลค่ี ลายนถ้ี อื เปน งานเปน การจรงิ ๆ พจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา
จนกระทั่งอิ่มพอ ถา เปน ธรรมแลว อม่ิ ถาเปนเรื่องของโลกของกิเลสไมมีวันอิ่มพอ
คิดไปเทาไรก็ยิ่งติดยิ่งพัน ยง่ิ เคลบิ เคลม้ิ หลงใหลไปเรอ่ื ย ๆ หนกั เขา ไปเรอ่ื ย ๆ จม
เสยี จนได แตถาเปนธรรมแลวมีความอิ่มพอ การพจิ ารณาสว นรา งกายใหเ หน็ ตามท่ี
กลาวมาแลวนี้จิตตองอิ่มตัว ความยึดมั่นถือมั่นก็ถอนตัว การพจิ ารณาอยา งทเ่ี คย
พจิ ารณามานน้ั กห็ ยดุ เอง พจิ ารณาไปอะไรเพราะรหู มดแลว ปลอยวางหมดแลว
พจิ ารณาหาอะไร รูเอง เหมอื นกบั เรารบั ประทานอาหาร จะมรี สเอรด็ อรอ ยขนาดไหน
ก็ตามเถอะ ถา ลงวาธาตุขนั ธเพียงพอกบั ความตองการแลวเปน ไมรบั อกี นี่ก็เหมือน
กัน เม่ือพิจารณาพอแลว ก็ปลอยวาง อิ่มตัวเปนขั้น ๆ ไป
อาการของจิตคิดไปในเรื่องใด เมื่อปญญาสวางกระจางแจงขึ้นมา เหน็ เรอ่ื ง
ธาตุเรื่องขันธของตนจนถึงขั้นปลอยวางกันได ผานกันไปไดแลว สิ่งใดที่จะนอกเหนือ
ปญ ญาไปมเี หรอ ไมมี ตองพิจารณาจนกระทั่งรูชัดทุกสิ่งทุกอยางโดยลําดับ เพราะ
สติปญญานี้พรอมที่จะรู พรอมที่จะพิจารณาทุกสัดทุกสวนทุกสิ่งทุกอยางที่ควรแก
การพิจารณา และรูไปโดยลําดับไมอับจน ที่สุดก็ยอนกลับมาเห็นอาการของจิตเทา
นน้ั เปน ตวั หลอกลวง สวนหยาบนอกนั้นถูกตัดออกหมดดวยปญญาแลว จะติดอะไร
กร็ เู สยี รปู เสยี ง กลิ่น รส อะไรก็รูเสยี ดว ยการประมวลเขา มาสสู ภาพเดยี วกนั กบั ตน
เทียบเคียงกันไดทุกสัดทุกสวน และปลอยวางลงสคู วามจริงแลวจะไปติดที่ไหน ไม
ตดิ เพยี งเทา นจ้ี ติ กส็ บายแลว
เมอ่ื จติ สบายแลว เปน ยงั ไง บดั นค้ี ณุ คา แหง ธรรมไดป รากฏเดน ขน้ึ แลว
ความเหน็ โทษแหง กเิ ลสทง้ั หลายไดเ หน็ มาโดยลาํ ดบั แลว ทีนี้ความเพียรไมตองบอก
คอยหมุนตัวไปเองโดยไมตองบังคับขับไสเหมือนแตกอน นค่ี อื ความเหน็ คณุ คา ของ
ธรรม ผลกป็ ระจกั ษอ ยภู ายในใจวา เปน ความสวา งกระจา งแจง ความเบาบางภายใน
จติ ใจ กิเลสหลุดลอยออกไปมากเทาไร จิตยิ่งดีดตัวขึ้นละเอียดขึ้น สขุ กเ็ บา เบาเขา
ไปละเอียดเขาไป ยิ่งเห็นโทษของกิเลสมากขึ้น ปญญาแยกแยะจนเหน็ เรอ่ื งของมนั
ถา ไมเ หน็ โทษกไ็ ปไมร อด ไปไมพน จมอยูกับมันตลอดไป
นแ่ี ลทางดาํ เนนิ เพอ่ื ความพน ทกุ ข ทุกขอยูที่ไหน ทุกขก็อยูที่ใจซึ่งถูกกิเลส
ปก เสยี บเอาไวอ ยา งแนน หนามน่ั คง ปดบังหุมหอเอาไวจนมองหาอะไรไมเจอขึ้นชื่อ
วา ของจรงิ เห็นแตของปลอมๆ และเขา ใจวา เปน ของจรงิ จึงติดมั่นพัวพันอยูในสิ่ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๐
๓๙๑
เหลา นน้ั แลวก็สรางแตความทุกขความทรมานใหแกตนหาทางออกไมได เมื่อสติ
ปญญาไดคลี่คลายออกดูอยางชัดเจนแลว สิ่งที่จอมปลอมทั้งหลายคอยหลุดลอยออก
ไป จิตกม็ ีความสวา งกระจา งแจง ข้นึ มาเรื่อย ๆ พรอมทั้งความเห็นโทษของกิเลส
ประเภทตา ง ๆ และเหน็ คณุ คา แหง ธรรมไปโดยลาํ ดบั
ความเพยี รกา วหนา ละทน่ี ่ี ความเพยี รกา วและความเพยี รกลา สละตายได
ถาลงยังติดคางอยูกับกิเลสตัวใด กเิ ลสตวั ใดยงั จะมาบบี บงั คบั เราอยไู ด เปนไมถอย
เปนไมยอมเด็ดขาด เอาใหต ายดว ยกนั เลย กเิ ลสไมต ายกเ็ ราตายเทา นน้ั คาํ วา แพ
กิเลสนี้จะมีไมได หรือเปนไปไมได หนกั เขา ๆ คาํ วา แพไ มม ี นน่ั ละทน่ี ค่ี วามเพยี รเกง
ไหม คณุ คาของธรรมเดน ข้นึ แลวภายในจติ ใจจะถอยไดอยางไร มีแตบุกและบุกใหญ
ทา เดยี วไมม กี ลางวนั กลางคนื รบตลอด ฟาดฟนกิเลสตลอด
คุณคาของกิเลสมีตรงไหน มอี ะไรบา ง น่ีเห็นแตคุณคาของธรรมเดน ๆ ใน
หวั ใจ ทีนี้รสของธรรมกับรสของกิเลสที่ไดเคยสัมผัสสัมพันธกันมา ทั้งสองอยางนี้รส
อะไรเปนอยางไร ดเี ลศิ ตา งกนั อยางไรบา ง กเ็ ดนชดั ในทางรสของธรรม รสของกเิ ลส
สูไมได เมอ่ื รสแหง ธรรมชนะรสกเิ ลสประเภทใดแลว รสกิเลสนั้นยอมหลุดลอยออก
ไป ๆ รสของธรรมกแ็ ซงหนา ขน้ึ เรอ่ื ย ๆ นล่ี ะการเหน็ โทษกบั เหน็ คณุ เหน็ ไปพรอ ม
ๆ กนั อยา งนใ้ี นวงปฏิบัตขิ องทานผูร ูผูเ ห็น ทา นรทู า นเหน็ อยา งน้ี จนกระทั่งกิเลส
หลุดลอยไปจากใจไมมีสงิ่ ใดเหลือเลย นน้ั แลทน่ี ร่ี สอมตธรรมเตม็ ดวงใจ
การพสิ จู นเ รอ่ื งความเกดิ ความตาย ไมต อ งไปพสิ จู นท ไ่ี หนใหเ สยี เวลาํ่ เวลา
มันพรอมอยูที่จิตดวงบริสุทธิ์นั้น แมแตยังไมบริสุทธิ์ จิตมีความสัมผสั สมั พนั ธกับ
อารมณใ ดทเ่ี ปน สว นละเอยี ด กบั กเิ ลสประเภทใดทเ่ี ปน สว นละเอยี ด มนั กร็ แู ละ
พยายามตัดพยายามฟน พยายามแกพยายามถอดถอน ดวยสติปญ ญาไมล ดละความ
พากเพียร สติปญญาแกขาดจากนั้นแกขาดจากนี้แลว กร็ อู ยภู ายในจติ ไมส งสยั จน
กระทั่งขาดไปโดยสิ้นเชิงไมมีสิ่งใดเหลือเลยขึ้นชื่อวาสมมุติ กเิ ลสท่ีเคยพัวพนั พาให
เกดิ ใหต าย รไู ดช ดั วา หมดแลว ทนี่ ่เี รอ่ื งเกิดเรอ่ื งตายหมดเทาน้นั หมดปญ หาโดย
ประการทง้ั ปวงแลวเพราะไมมเี ง่ือนตอ เหน็ สกั แตว า เหน็ ไดยนิ สักแตวา ไดย นิ ธาตุ
ขันธที่อยูดวยกันนี้ก็สักแตวาอยูดวยกัน แตข าดวรรคขาดตอนกนั แลว ในความสบื ตอ
ระหวา งจติ กบั ขนั ธเ หลา น้ี ระหวา งจติ กบั รปู เสยี ง กลน่ิ รส ระหวา งจติ กบั สภาวธรรม
ทง้ั หลาย ไดข าดจากกนั โดยสน้ิ เชงิ เหน็ ประจกั ษภ ายในใจ เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธล์ิ ว น
ๆ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๑
๓๙๒
ความบรสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ นี้เหมือนอะไร เหมือนรูป เหมอื นเสยี ง เหมือนกลน่ิ
เหมอื นรส เหมือนเครื่องสัมผัสพันธ เหมอื นธาตเุ หมอื นขนั ธไ หม ไมไดเหมือน ไมได
เปนอนั เดยี วกัน อันหนึ่งสมมุติ อันหนึ่งวิมุตติ ตางอันตางมี ตางอันตางจริง ไมค ละ
เคลา กนั
เหตทุ พ่ี าใหเ กดิ แกเ จบ็ ตายเพราะอะไร กร็ ชู ดั เพราะ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขา
รา มันแทรกมนั ฝง อยภู ายในจติ พอนี้ถูกทําลายแตกกระจายออกไปจากใจไมมีอะไร
เหลอื แลว เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ ปญหาแหง การเกิดตายก็ดบั สนิทไมม เี หลอื
แลว ภายในใจ เหลือแตวิบากของกิเลส ผลของกิเลสทีเ่ ปนธาตเุ ปนขนั ธอ ยใู นปจ จบุ นั
น้ี ก็รับผิดชอบกันไปเพียงเทานั้น พาอยู พาไป พาหลบั พานอน พากิน พาขบั พา
ถาย ไปเทา นน้ั และไมเกิดโทษเกิดภัยตอจิตใจอีก เพราะไดข าดจากกนั โดยสน้ิ เชงิ
แลว เปน หลกั ธรรมชาติแลว เปนอัตโนมัติแลว ไมตองเสกสรรปน ยอ ไมตอง
ระมดั ระวงั วา ส่ิงเหลา นี้จะเปน ภัยตอ จิตใจอีกตอ ไป
กเิ ลสประเภทตา ง ๆ จะเปนภัยตอจิตใจอีกไมมี เพราะกิเลสทุกประเภทได
ถูกทําลายหมดแลว กเิ ลสจะมาจากไหน เหาะลอยมาจากไหนจะเขา มาแทรกจติ ใจได
อีก ไมมีกิเลสตัวใด นอกจากกิเลสทมี่ ันเปน สนิมเกิดอยูกับเหล็กและกดั เหลก็ ให
กรอ นไปจนกระทง่ั เหล็กเสียหายไปตามเทานน้ั กเิ ลสตวั นเ้ี ทา นน้ั คอื ตวั อวิชฺชาปจฺจ
ยา น่ี เมอ่ื ไดท าํ ลายลงไปเสียจนแหลกละเอยี ดแลว ทําไมจะไมรู
คาํ วา พระอรหนั ตท ง้ั หลายเปน แบบเดยี วกนั เปน ธรรมแทง เดยี วกนั ไม
สงสัยกัน แมทานจะนิพพานไปกี่กัปแลวโดยทางสมมุติ พระพุทธเจาทรงรูอยางไร
ทรงสอนอยางนั้น และประกาศธรรมกงั วานมาได ๒๕๐๐ กวา ปน แ้ี ลว ในพระพุทธ
เจา องคป จ จบุ นั ของเราวา สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก ผปู ฏบิ ตั จิ ะพงึ เหน็ เองในความจรงิ ทง้ั หลาย
แนะ ปจจฺ ตตฺ ํ เวทิตพฺโพ วิ ฺ หู ิ ผรู จู ะรจู าํ เพาะตนเทา นน้ั ผรู กู ค็ อื ผปู ฏบิ ตั นิ น่ั แลจะ
รูจําเพาะตน จะเปนใครที่ไหนกัน
นก่ี ารทาํ ลายวฏั จกั รวฏั จติ ทาํ ลายทต่ี รงน้ี เมื่อขาดออกไปจากใจโดยสิ้นเชิง
แลวหมดปญหาโดยประการทงั้ ปวง โลกจะวามีก็มี ไมวาก็ไมมีอะไรเปนปญหา
เพราะจติ หมดปญ หาแลว จากสง่ิ ทง้ั หลาย ไมไดเปนปญหาอีกแลว คือไมเปนเรื่องติด
ตอพัวพันกันเหมือนอยางแตกอนมา เพราะเปน จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ แลว
เม่อื รอู ยชู ัด ๆ วา บรสิ ทุ ธล์ิ ว น ๆ จะสูญไปไหน ถา สญู แลว บรสิ ทุ ธไ์ิ ดย งั ไง
เห็นประจักษ เมื่อกิเลสจอมหลอกลวงหมดไปแลว จติ กส็ นกุ รสู นกุ เหน็ นะ ซิ ไมมี
อะไรจะมาทําใหมัวหมองมาปดมากั้น จติ จึงไมเ ปน ลมุ ๆ ดอน ๆ เหมือนแตกอน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๒
๓๙๓
กิเลสถูกเปดออกหมดแลว เมื่อเปนเชนนั้นทําไมจะไมเห็นโทษของกิเลส คอื ความมดื
บอดทป่ี ด หวั ใจนไ้ี วไ มใ หร ไู มใ หเ หน็ ในสง่ิ ทค่ี วรรคู วรเหน็ พอกิเลสทลายไปแลว สิ่งที่
ควรรูก ็ตองรู สิ่งท่คี วรเห็นก็ตอ งเหน็ เปน วสิ ยั ของใจลว น ๆ แลว ตองรูเต็มภูมิของ
ตน นแ่ี หละ โลกวิทู เมื่อทําลายกําแพงอันหนาแนนออกจากใจแลว ตาใจสวา ง
กระจางแจงมองทะลุปรุโปรงไปหมด นีผ่ ลของการปฏิบัตเิ ปนอยา งน้ี เหลา นม้ี ใิ ชผ ล
แหง ความเกยี จครา นเผอเรอนะ จงจาํ ไวอ ยา งถงึ ใจ น้คี ือผลแหง ความเปน นกั ตอสู
ตา งหาก
เราอยา นาํ ความขเ้ี กยี จขค้ี รา นออ นแอทอ แทเ หลวไหล อันเปนเรื่องของกิเลส
เขามาบบี ค้นั หัวใจจะไปไมร อดนกั ปฏบิ ตั ิ ใหเ ลง็ ถงึ พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ เสมอ พุทฺธํ
สรณํ คจฉฺ ามิ ไมใชผูลางมือเปบ ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ไมไดเกิดขึ้นจากการลางมือ
เปบ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ทา นแทบตายมาดว ยกันทง้ั น้ัน เหตใุ ดเราจะมาลา งมือเปบ
มันก็เกงกวาครูไปละซิ ถา เกง กวา ครแู บบนก้ี ต็ อ งเลวลงโดยลาํ ดบั ใหเ กง ในทางความ
พากความเพยี ร เดนิ ตามครนู น้ั แหละ
ไมค วรจะสงสยั แลว โลกธาตนุ ี้มีเกิดกบั ตาย ๆ หาบหามกองทุกขในภพนอย
ภพใหญไ มม เี วลาปลงวางเลย ภพมนษุ ยเ รายงั ดยี งั เปน อสิ รเสรี แตภ พของสัตวเ รา
มองดแู ลวมันนา อยนู าอาศยั ที่ไหน มีแตบีบบี้สีไฟกัดฉีกกันกิน ดูซติ วั ไหนมอี ํานาจ
มากไลกัดไลฉีกกัน สัตวตอสัตว สตั วก นิ สตั ว ทาํ ลายสตั ว เบยี ดเบยี นสตั ว เรายงั ดนี ะ
ภพละเอียดยิ่งไปกวานั้น ซึ่งเปนของมีอยูตามหลักความจริงจะเปนยังไง มันผิดอะไร
กับมหันตทุกขอยูในเรือนจํา มันไมไดผิดอะไรกัน หวั เราะกเ็ หมอื นนกั โทษในเรอื นจาํ
นน่ั แล ถึงจะขับลาํ ทําเพลงกน็ กั โทษขบั ลาํ ทําเพลงอยใู นเรือนจาํ มันเอาดีกรีมาจาก
ไหน เอาความสขุ ความสบายมาจากไหน เอาใหไดขับกลอมอยูกับวิมุตติดูซิ ใหธ รรม
วิมุตติไดกลอมดูซิจะเปนอยางไร ตางกันอยางไรบางระหวางเพลงกลอมของกิเลสกับ
เพลงกลอ มของวิมตุ ติธรรม เอาใหเ หน็ ซนิ กั ปฏบิ ตั ิ
ผปู ฏบิ ตั นิ เ้ี ทา นน้ั จะเหน็ ความจรงิ ทง้ั หลายทก่ี ลา วมา นอกนั้นไมมีทาง จง
เอาใหจ รงิ ใหจ งั คณุ คา ราคาของเรานม้ี าก มบี ญุ วาสนาแลว จงึ ไดม าบวช ทง้ั เปน
มนุษยดวย แลวยังไดม าบวชเปน พระไดประพฤตปิ ฏิบัตธิ รรม อยา ใหแ คลว คลาด
จากธรรมทก่ี ลา วน้ี เอาใหไ ดม หาสมบตั มิ าครองหวั ใจเรา เราครองมหาสมบตั นิ น้ั จะ
เปนที่ตายใจตลอดไป เรื่องอดีต อนาคต สถานทต่ี า ง ๆ ตัดออกหมด ขาดสะบั้นไป
หมดแลว เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน เรอ่ื งของโลก ธรรมชาตนิ ้นั ไมใชโลก ทา นจงึ เรยี กวา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๓
๓๙๔
โลกตุ รธรรม แปลวา ธรรมเหนอื โลก ไมเ หมอื นโลกจงึ เรยี กวา ธรรมเหนอื โลก จะเอา
อะไรไปเหมือน
การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควร ขอยุติเพียงเทานี้
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๔
๓๙๕
เทศนอ บรมพระ ณ วัดปาบานตาด
เมื่อวันที่ ๑๖ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕
ของจรงิ ลบลา งของปลอม
คาํ วาพระพุทธเจา คอื ทา นผปู ราบไตรภพ เรยี นจบในสมมตุ ทิ ง้ั ปวงโดยสมบรู ณ
พระสาวกทดี่ ําเนนิ รอยตามพระพทุ ธเจา กเ็ ปน ผเู รยี นจบปราบไตรภพภายในจติ ใหส น้ิ ซาก
ไปเชน เดยี วกันกับพระศาสดา คาํ ทว่ี า พระพทุ ธเจา อบุ ตั ขิ น้ึ แลว ในโลก กบั คาํ ทว่ี า พระธรรม
ไดอ บุ ตั ิขนึ้ แลว ในโลกน้ัน อุบัติขึ้นมาในขณะเดียวกัน จากนั้นก็พระสงฆไดปรากฏขึ้นแลว
ในโลก นก่ี ลา วถงึ ผลแหง ความปรากฏของธรรม ที่มีพระพทุ ธเจา แลสาวกทรงนําออกมายนื
ยนั
เมือ่ กลาวถงึ เหตุ พระพทุ ธเจาทา นทรงดาํ เนินอยา งไร มคี วามยากเยน็ เขญ็ ใจ
ขนาดไหน พระสาวกทว่ี า สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ นน้ั ทา นลาํ บากหรอื ไดร บั ความทกุ ขท รมาน
หนกั เบามากนอ ยเพยี งไร สว นมากมแี ตแ ทบเปน แทบตายดว ยกนั มจี าํ นวนนอ ยมากทเ่ี ปน
สขุ า ปฏิปทา ขิปฺปาภิฺญา ทั้งปฏิบัติสะดวกทั้งรูไดเร็ว นม้ี จี าํ นวนนอ ยมาก ทุกฺขา
ปฏิปทา ขิปฺปาภิฺญา ปฏบิ ตั ลิ าํ บากแตร ไู ดเ รว็ นก่ี ม็ จี าํ นวนมากขน้ึ พอประมาณในครง้ั
พระพุทธเจา สว น ทกุ ขฺ า ปฏิปทา ทนธฺ าภิ ญฺ า นร้ี ูสึกจะมาก คือทั้งปฏิบัติลําบากทั้งรูได
ชา นม่ี จี าํ นวนมาก ทา นกลา วไวส ป่ี ระเภทดว ยกนั สขุ า ปฏิปทา ขิปฺปาภิฺญา ทั้งปฏิบัติ
สะดวกทั้งรูไดเร็ว ทกุ ขฺ า ปฏิปทา ขิปฺปาภิฺญา ปฏบิ ตั ลิ าํ บากแตร ไู ดเ รว็ มตี า งกนั เปน
ลาํ ดบั ลาํ ดา สขุ า ปฏิปทา ทนฺธาภิ ฺญา ปฏิบัติสะดวกแตรูไดชาก็รูสึกมีนอยมาก สว นมาก
มกั จะปฏบิ ตั ลิ าํ บากกวา จะรจู ะเหน็ ธรรม
เพราะฉะนน้ั ทานผูเปนนักปฏิบัติ พึงดูใจของตัวเอง อยาไปดูผูอื่นที่ทานปฏิบัติ
สะดวกหรือปฏิบัติลาํ บาก และรเู รว็ หรอื ชา มากยง่ิ กวา ดตู วั เรา ทย่ี กมานเ้ี พอ่ื เปน แบบฉบบั
เพื่อไมใ หจติ คิดออกนอกลูนอกทางโดยเหน็ วาลําบากบา งเลก็ นอย แลวก็เถลไถลไปในทาง
เสยี หายและลม จมไปเสยี โดยไมร วู า นน้ั คอื ความลาํ บากอยา งมหนั ต
การปฏบิ ตั เิ ราพอทราบไดใ นนสิ ยั ของเรา เราฝก ทรมานจติ ใจเราหนกั แนน ขนาด
ไหน ไดร บั ผลปรากฏขน้ึ มาอยา งไรบา ง ก็เปน ทุกฺขา ปฏิปทา อยใู นนน้ั ถา ปฏบิ ตั แิ บบลม
หมอนนอนเสอ่ื ไมมวี ันลุกไมมีวันตน่ื เลยนนั้ นน่ั มนั เลย สขุ า ปฏิปทา จนกลายเปน ปฏปิ ทา
ที่เนาเฟะหมดทั้งตัวหมดทั้งใจ อันนี้ไมมีทางที่วาเปน สขุ า และทกุ ขฺ า ปฏิปทา ทนฺธาภิฺ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๓๙๕