๔๖
หรือนอกจากขณะนนั้ แลว หากจะมกี ารเปลี่ยนแปลงไปในเรอื่ งเพศเรอื่ งอะไรไปก็ตาม
ความรูส กึ ซึ้งในธรรมะหรือความนอบนอ ม ความเคารพจงรักภักดีตอหลักพระพุทธ
ศาสนาขออยาใหบกพรอง เฉพาะอยางย่ิงในขณะที่อยดู ว ยกันน้ีเปนสงิ่ สาํ คัญมากทจี่ ะ
ตองสํารวมระวังทุกคน เพื่อความสงบรมเย็นตอกัน
การประพฤติปฏิบัติทุกแขนงแหงงานใหมีความเขมแข็ง ใหท ราบวา เวลานเ้ี รา
บวชเปน พระแลว กริ ยิ าอาการใดๆ ทเ่ี ราจะแสดงออกใหเ หมาะสมกบั ความเปน พระ
เราจะตอ งพนิ จิ พจิ ารณาเปน พเิ ศษ แลว แสดงออกใหเ หมาะสมกับความเปน พระของเรา
อยาไดแสดงออกมาแบบสุมสี่สุมหา ดังโลกที่เขาไมมีขอบเขตเหตุผลหรือเขตแดนใดๆ
ในการประพฤตติ วั มานน้ั เลย จะขดั กบั หลกั ศาสนา ขัดกับหลักของพระ ขัดกับหมูกับ
เพื่อนที่อยูรวมกัน จะกลายเปน เรอ่ื งความมวั หมองหรอื วนุ วายขน้ึ เชน เดยี วกบั นาํ้ ท่ี
ถกู รบกวนจนขนุ เปน ตมเปน โคลนขน้ึ มา จะอาบจะดื่มจะใชสอยชะลางอะไรไมดีทั้งนั้น
เพราะนาํ้ ขนุ นี่การแสดงออกตอกันและกันใหมีความกระทบกระเทือน กเ็ ปน เหมอื น
กบั กวนนาํ้ ใหข นุ เปน ตมเปน โคลนนน่ั เอง คือกวนธรรมที่สงบแหงใจของแตละทานใหมี
ความขนุ มวั หรอื เปน อารมณข น้ึ มา ซง่ึ เปน การรบกวนจติ ใจกนั ใหเ กดิ ความขนุ มวั และ
เดือดรอนขึ้นมา อยา งนน้ั ไมส มควรอยา งยง่ิ สาํ หรบั พระเรา
การตน่ื ใหต น่ื แตเ ชา และใหน อนดวยความตืน่ ตวั อยูเ สมอทัง้ กลางวนั กลางคืน
เมอ่ื รสู กึ ตวั แลว รบี ตน่ื อยานอนแบบพลิกไปพลิกมาเหมอื นกับหมูท่ีคอยจะขนึ้ บนเขียง
นั้นไมใชเรื่องของพระ เรื่องของพระตองเปนผูมีสติสตังระมัดระวังตนอยูเสมอ เชน
เดยี วกบั แมเ น้อื ทรี่ ะวงั ภัยที่จะมาจากเหตุการณตางๆ อยางนั้นจึงเปนความถูกตอง แม
เชนนนั้ แมเน้ือกย็ ังตายเพราะอันตรายไดท ้ังๆ ที่ระมัดระวัง นธ่ี รรมของพระพทุ ธเจา ท่ี
สั่งสอนภิกษุเปนตน ยง่ิ มคี วามละเอยี ดลออมากยง่ิ กวา แมเ นอ้ื ระวงั ภยั ทง้ั หลาย จงเปน
ผูระมัดระวังใหดีดังกลาวมา
หนาที่การงานอันใดที่เปนเรื่องของพระอยาไดออนแอ ใหมีความเขมแข็ง ตามี
ใหด ู หูมใี หฟ ง ใจมใี หค ดิ หมูเพื่อนทําหนาที่การงานอันใดใหสังเกตสอดรูเพื่อการ
ประพฤติปฏิบัติตามทาน เพราะเรามาอบรมศกึ ษาบางทยี งั ไมเขา ใจตลอดทว่ั ถงึ ในขอ
วตั รปฏบิ ตั อิ นั เปน สว นภายนอก กใ็ หไ ดค วามสมบรู ณเ ขา ไปโดยลาํ ดบั เฉพาะภายในคอื
การอบรมจติ ตภาวนา กใ็ หพึงประพฤตปิ ฏิบตั เิ ปน การเปน งานจริง ๆ อยาออ นแอ
ปวกเปย ก ใหมีความเขมแข็งเปนหลักของงานอยูเสมอ
การภาวนา จะภาวนาธรรมบทใด เชน พุทโธ ธัมโม สังโฆ หรืออานาปานสติ
เปนตน ซึง่ เปนสงิ่ ทก่ี ลมกลืนกบั นิสัยของเรา ใหพ งึ นาํ ธรรมนน้ั เขา มาบรกิ รรมภาวนา
เชน กําหนดอานาปานสติก็กําหนดอยูที่ลมสัมผัสมากนอย เฉพาะอยางยิ่งสัมผัสที่ดั้ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๖
๔๗
จมูกมากกวาเพื่อน ใหพ ึงกาํ หนดสตไิ วทีต่ รงน้ัน แลว สงั เกตสอดรลู มเวลาผา นเขา ไป
ผานออกมาอยูที่ปากทางไดแกดั้งจมูก ไมตองตามลมเขาไปและตามลมออกมาจะเปน
ความกงั วลเพม่ิ ภาระมาก สาํ หรบั ผพู ง่ึ มกี ารอบรมจะเปน การฟน เฝอ เหลอื ความ
สามารถของตน ใหพึงระมัดระวังมีสติสตังอยูกับบทภาวนานั้น แลว จติ จะมคี วามสงบ
รม เยน็ ขน้ึ มาเปน ลาํ ดบั ๆ เมอ่ื สตคิ วบคมุ งานคอื การภาวนาอยไู มข าดวรรคขาดตอนใน
ขณะทาํ ภาวนา จะไมเปนอยางอื่น นอกจากผลคอื ความสงบเยน็ ในใจเทา นน้ั
พระพุทธเจาสอนถูกตองอยางแทจริงสอนโลกสงสาร จนกระทั่งทุกวันนี้ธรรมะก็
มาจากความจริงของจรงิ ท่ีพระพุทธเจาประทานไวแ ลว ทุกส่ิงทกุ อยา ง ไมมีความเคลื่อน
คลาดเปลี่ยนแปลงเปนอยางอื่นอยางใดทั้งสิ้น มัชฌิมาปฏิปทาที่พระพุทธเจาทรงสั่ง
สอนไวแ ลว นน้ั ทุกบททุกบาททุกแงทุกมุมสมควรแกการแกกิเลสทุกประเภท เพราะ
เปนเครื่องมือที่ทันสมัย ไมวา คร้ังพทุ ธกาลหรอื สมัยปจจุบนั นก้ี เิ ลสเปนประเภทเดยี ว
กนั เรอ่ื ยมา ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะ โทสะ โมหะน้ี มีอยูภายในใจของ
สตั วโลกต้งั แตค รั้งโนนมาจนกระทั่งทกุ วนั นี้ ไมเคยอยูที่ไหนนอกจากใจดวงเดียวนี้
ประเภทของกิเลสตางก็เปนอยางเดียวกัน แมตอไปก็เปนกิเลสประเภทเดียวกันนี้
การแกกิเลสจงึ ไมจาํ เปนจะตอ งหาธรรมบทใดซงึ่ เปนธรรมทีท่ นั สมยั หรอื เยย่ี ม
ยอดยิ่งไปกวามัชฌิมาปฏิปทาที่ประทานไวแลวนี้ ธรรมนเ้ี ปน ธรรมทเ่ี หมาะสมอยา งยง่ิ
ในการแกห รอื ปราบปรามกเิ ลสทกุ ประเภทใหห มดสน้ิ ไปจากใจ ไมม สี ง่ิ ใดเหนอื นเ้ี ลย
จึงขอใหอบรมธรรมนี้ใหมีขึ้นภายในใจของตน ตง้ั แตข ้ันเริ่มแรกจนกระทงั่ ขนั้ สมบรู ณ
เต็มที่ คาํ วา มรรคผลนพิ พานทค่ี รง้ั พทุ ธกาลทา นบรรลุ ทา นรู ทานพนจากทุกขซึ่งเปน
สว นผลนน้ั จะปรากฏขน้ึ ภายในตวั ของเราผบู าํ เพญ็ หรอื ดาํ เนนิ ตามหลกั ธรรมทท่ี า น
สอนไวเหมือนครั้งพุทธกาลโดยไมตองสงสัย
ผมเปน หว งหมูเ พือ่ นมากในการประพฤตปิ ฏิบัตธิ รรม อยากใหร ใู หเ หน็ เพราะ
การแสดงธรรมใหหมูเพื่อนฟงตั้งแตตนจนถึงปจจุบันนี้ ไมเ คยสง่ั สอนดว ยความเลอ่ื น
ลอยเลย สัง่ สอนดวยความถงึ จิตถงึ ใจดว ยเจตนาท่ีมคี วามเมตตาสงสาร อยากใหหมู
เพื่อนไดรูไดเห็นทุกสิ่งทุกอยางบรรดาที่ตนรูตนเห็นและตนแสดงออกนั้นๆ เหมือนกับ
ตนที่ไดปรากฏมา การแสดงธรรมแกหมเู พอ่ื นทง้ั หลายนี้ ผมไมไดแสดงดวยความดน
เดา ผมเรยี นตามตรงในฐานะทห่ี มเู พอ่ื นมาอาศยั ผม ผมมคี วามรสู กึ เปน เหมอื นอวยั วะ
เดียวกัน จึงไมมีปดบังลี้ลับ ไดร เู หน็ อยา งใดๆ นาํ มาสอนจนไมมอี ะไรเหลือแลว ภาย
ในพุงนี้ไมมีเหลือ ไดแสดงออกมาอยางหมดเปลือกทีเดียว ไมมีความรูสึกแมนิดหนึ่งที่
จะเปนการโออวดตอหมูเพื่อน แสดงตามสิ่งที่ปรากฏ เชน การประพฤติปฏิบัติ เคย
ประพฤติปฏิบัตอิ ยางใดหนกั เบามากนอ ยขนาดไหน ไดฝ ก ฝนทรมานตนหนกั เบามาก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๗
๔๘
นอยเพียงไรก็ไดนํามาสั่งสอนหมูเพื่อน หรอื มาเลาใหหมูเพื่อนฟงเพ่อื เปน คตเิ ครื่อง
เตอื นใจ เพอ่ื เปนกําลังทางดานปฏิบตั ิเรอ่ื ยมาตามโอกาสอันควร ตลอดถึงผลที่ปรากฏ
เรม่ิ แรกตง้ั แตจ ติ เรม่ิ เปน สมาธคิ อื ความสงบเยน็ ใจกไ็ ดเ ลา ใหฟ ง จิตเสื่อมลงไปมาก
นอยเพียงใดก็ไดเลาใหฟงเพื่อเปนคติทั้งนั้น ทง้ั ความเจรญิ และความเสอ่ื ม ความเสอ่ื ม
กเ็ ปน อาจารยไดเ ปนอยา งดี ผูที่ไดยินไดฟงจากความเสื่อมของเราที่ไดแสดงใหฟงแลว
จะไดตั้งสติสตังระมัดระวังอยาใหจิตของตนเสื่อม ซง่ึ เปน การลาํ บากมากในการทจ่ี ะฟน
ฟจู ติ ใจใหม คี วามเจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ มาตามเดมิ และยง่ิ กวา นน้ั ได เราไดเ คยเปน มาแลว
จติ เสอ่ื มเพยี งเขา สมาธไิ ดบ า งไมไ ดบ า ง ซึ่งแตกอนเขาไดสนิท กําหนดเมื่อไรได
ทุกครั้งๆ ไมเ คยเสยี ครง้ั เลย แตเ วลาจติ เรม่ิ เสอ่ื มเทา นน้ั เรารสู กึ ตวั วา จิตเขาไดบางไม
ไดบ า ง รบี โดดหนที นั ที แมเ ชน นน้ั ยงั เสอ่ื มเปน เวลาตง้ั ป เขา สูความสงบไมไ ดดูซิ จติ
เสือ่ มเพียงเทา นัน้ พยายามฟนฟูฉดุ ลากใหข ้นึ มา ยังฝนเสื่อมถึงขนาดปกวา ยังไม
สามารถฟน ขน้ึ ไดเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ยดงั ทเ่ี คยเปน มานน้ั เลย จงึ ไดเ หน็ โทษแหง ความ
เสื่อมนี้อยางถึงใจ เหตใุ ดจึงวา เห็นโทษอยางถึงใจ เพราะเราเสยี อกเสยี ใจเพราะความ
เสอ่ื มแหง จิตน้มี ากจรงิ ๆ ในชวี ติ นแ้ี นใ จวา จะลมื เรอ่ื งนน้ั ไมล ง เพราะทาํ ใหเ ราเจบ็ ชาํ้ ใจ
มากแทบไมมีโลกอยู เพราะความเสยี ใจ เพราะความเสยี ดาย ถามีผูใ ดผหู นึง่ มาทําให
เราเสยี อกเสยี ใจถงึ ขนาดนน้ั อยา งเปน ฆราวาสแลว ฆาคนได ๕ ศพในวันหน่ึงนี้จะไมรู
สกึ ตวั เลยวา ไดฆ า คน เพราะอาํ นาจแหง ความโกรธแคน นน้ั มนั มากเกนิ กวา ทจ่ี ะมาระลกึ
บาประลึกบุญได
ทนี ้พี อจิตนี้เรมิ่ เจรญิ ขึ้นมาดวยอุบายตา งๆ ทเ่ี ราทมุ เทลงนน้ั แลว จึงขนาบกัน
ใหญใ หส มใจที่เคียดแคน อยูเปน แรมป ไมยอมใหเสื่อมได จนถึงกับวา เอา ถา จติ เราจะ
เสื่อมลงไปแมแตนอยเพียงไรก็ตาม ขอใหเราตายเสียกอนจิตนี้จึงจะเสื่อมได ถา เรายงั
ไมตายจิตนี้จะเสื่อมไปไมได คําทีพ่ ดู อยางนีเ้ หมือนกบั พดู ดว ยความอาฆาตมาดรา ยตอ
กเิ ลสตวั ทาํ ใหจ ติ เราเสอ่ื ม พูดดวยการประกันตัว การรบั รองตวั พดู ดวยความเข็ด
หลาบอยางถึงใจ ประทบั ใจ
หลงั จากนน้ั จติ จงึ เปน เหมอื นนกั โทษ ถูกคุมแจตลอดเวลา ไมยอมใหพราก
สายตาคือสติไปได ไมเ พียงแตว า พูดเฉยๆ ความระมดั ระวงั ตวั นร้ี ะมดั ระวังมากยิง่ กวา
ครงั้ ใดๆ ที่ผานมา นบั แตไ ดท ราบเรอ่ื งจติ เสอ่ื มนน้ั แลว ไดส อนตนใหร ใู หเ ขด็ หลาบ
อยางถึงใจ การระมัดระวังก็ระมัดระวังอยางถึงใจ เวลาจติ เจรญิ ขน้ึ มาเตม็ ภมู ไิ มป รากฏ
วา เสอ่ื มอกี แลว ก็ขยบั ความเพยี รลงใหเต็มที่ เอา ตายกต็ าย ราวกบั วา กดั เขย้ี วกดั ฟน ใส
กนั นน่ั แล เพราะความเคยี ดแคน อยา งถงึ ใจ นค่ี อื ความเคยี ดแคน ใหต นเอง หรอื เคยี ด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๘
๔๙
แคน ใหก เิ ลสทด่ี ดั สนั ดานตน ความเคยี ดแคน ประเภทน้ี คือ มัชฌิมาปฏิปทา ทเ่ี ดด็ กบั
กเิ ลสคอู ริ จงึ ไมจ ดั วาเปนกเิ ลส (แตจ ดั เปน มรรคของธรรมปา พระปา)
นคี่ อื อบุ ายวธิ ที ีด่ าํ เนินมาก็ไดเลาใหห มูเพื่อนฟง หมด โดยไมตองหาเรื่องอุตริ
อะไรมาพูดซึ่งตนไมเปนจริงอยางนั้น นี่พูดอยางถึงใจที่เราทําอยางถึงใจ เอาเปนเอา
ตายเขา วา ในขณะทบ่ี าํ เพญ็ อยนู น้ั ไมเ คยคดิ วา ตนจะไดม าเปน ครเู ปน อาจารยส อนหมู
เพื่อน ไมว า ฆราวาสและพระเณรดงั ทเ่ี ปน มานเ้ี ลย เพราะนสิ ยั ของเราเปน คนมนี สิ ยั
วาสนานอ ย มีความสนใจใฝตอการประพฤติปฏิบัติหรือฝกฝนทรมานตนถายเดียวเทา
นน้ั ไมเคยสนใจกับผูหนึ่งผูใดในขณะที่ประพฤติปฏิบัติตนอยู
เพราะฉะนน้ั เราจงึ ไมไ ดเ ทศนส อนคนในเวลาเราปฏบิ ตั อิ ยู มแี ตช ลุ มนุ วนุ วา ย
หรือเขาตะลุมบอนกบั กเิ ลส ไมส นใจกับอะไรในโลกสงสารอยูถึง ๙ ป ตั้งแตพรรษา ๗
ที่เราออกปฏิบัติทีแรก จนกระทั่งถึงพรรษาที่ ๑๖ ออกพรรษาแลว ถึงเดือน ๖ แรมดับ
คอื แรม ๑๕ คาํ่ เอา พดู ใหเ ตม็ ภมู โิ งเ ตม็ เปานเ้ี สยี จนถึงคืนวันดับนั้นถึงไดตัดสินใจ
กันลงไดดวยความประจักษใจ หายสงสัยทุกสิ่งทุกอยางเรื่องภพเรื่องชาติ เรอ่ื งความ
เกิด แก เจบ็ ตาย เรอ่ื งกเิ ลสตณั หาอาสวะทกุ ประเภทไดข าดกระเดน็ ออกไปจากใจใน
คนื วนั นน้ั ใจไดเ ปด เผยโลกธาตใุ หเ หน็ อยา งชดั เจน เกดิ ความสลดสงั เวช นาํ้ ตารว ง
ตลอดคืน
ในคนื นน้ั ไมไ ดห ลบั ไดน อนเลย เพราะสลดสงั เวชความเปน มาของตน สลด
สังเวชเรื่องความเกิด แก เจบ็ ตาย เพราะแหงอํานาจกิเลสมันวางเชื้อแหงกองทุกขฝง
ใจไว ไปเกิดในภพนั้นชาตินี้ มีแตแบกกองทุกขหามกองทุกขไมมีเวลาปลอยวาง จน
กระทั่งถึงตายไปแลวก็แบกอีกๆ คาํ วา แบกกค็ อื ใจเขาสูภพใดชาติใดจะมีสุขมากนอย
ทุกขตองเจือปนไปอยูนั่นแล จึงไดเ หน็ โทษ เกดิ ความสลดสงั เวช แลว กม็ าเหน็ คณุ คา
แหง จิตใจ ซึง่ แตก อนไมเ คยคดิ วา จติ ใจจะมคี ุณคามหศั จรรยถ ึงขนาดน้ัน การไมน อนใน
คนื นน้ั เพราะความเหน็ โทษอยา งถงึ ใจ และความเห็นคุณอยางถงึ จติ ถงึ ธรรม
ในตอนทายแหงความละเอียดออนของจิต เรากเ็ หน็ วา อวชิ ชาเปน ของดแี ละ
ประเสริฐไปอยางสนิทติดจมไปพักหนึ่ง และหลงอวชิ ชาอยเู ปน เวลา ๘ เดือน ไมเคยลืม
เพราะรกั สงวนอวชิ ชาซึ่งเปน ตัวผองใส ตวั สงา ผา เผย ตวั องอาจกลาหาญ จึงรักสงวนอยู
นน้ั เสยี พยายามระมดั ระวังรักษาอวิชชา ทั้งๆ ที่สติปญญาก็มีเต็มภูมิแตไมนํามาใชกับ
อวชิ ชาในขณะนน้ั เมื่อเวลาไดนําสติปญญาหันกลับมาใชกับอวิชชาอยางเต็มภูมิ เรอ่ื ง
อวิชชาจึงแตกกระจายลงไป ถงึ ไดเ หน็ ความอศั จรรยข น้ึ มาภายในจติ ใจ นน้ั แหละจงึ
เปน ความอศั จรรยอ ยา งแทจ รงิ ไมอัศจรรยแบบจอมปลอมดังที่เปนมา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๔๙
๕๐
ถงึ กบั นาํ้ ตารว ง รว งสองอยา ง รว งดว ยความสลดสงั เวชภพชาตแิ หง ความเปน มา
ของตนหนึ่ง เพราะความอศั จรรยใ นพระพทุ ธเจา สาวกทง้ั หลายทท่ี า นหลดุ พน ไปแลว
ทา นกเ็ คยเปน มาอยา งนห้ี นง่ึ เรากเ็ ปน มาอยา งนี้ คราวนเ้ี ปน ความอศั จรรยใ นวาระสดุ
ทายไดทราบชัดเจนประจักษใจ เพราะตวั พยานกม็ อี ยภู ายในจติ นน้ั แลว แตกอนจิตเคย
มีความเกี่ยวของพัวพันกับสิ่งใด บัดนี้ไมมีสิ่งใดจะติดจะพัวพันอีกแลว
มาสลดสงั เวชอกี ตอนทเ่ี คยคาดอวชิ ชาวา เปน เหมอื นเสอื โครง เสอื ดาว เหมอื น
ยักษ เหมอื นผี แตเ วลาพจิ ารณาเขา ไปเจออวชิ ชาจรงิ ๆ แลว กลบั เปน นางงามจกั รวาล
เปนเพชรเปนพลอย เปน สง่ิ ทอ่ี ศั จรรยม คี า มากโดยไมร สู กึ ตวั นน่ั ซิ จึงตองคิด เมื่อแกสิ่ง
นี้ไดแลว ธรรมแทอนั เปนของวิเศษอัศจรรยย ิง่ กวาน้นั กป็ รากฏขนึ้ มา จึงตองเกิดความ
สลดสงั เวชในความหลงอวชิ ชาและในทกุ ขท ง้ั หลาย และเกดิ ความอศั จรรยใ นธรรมท่ี
ปรากฏขึ้นโดยปราศจากสมมุติใดๆ เขา ไปเจือปนในจิตดวงนน้ั ถึงกบั ใหเกิดความ
ขวนขวายนอยไมคิดจะสอนผูหนึ่งผูใดได เพราะคดิ ในเวลานน้ั วา สอนใครก็ไมได ถา ลง
ธรรมกบั ใจเปน ของอศั จรรยเ หลอื ลน ถงึ ขนาดนแ้ี ลว ไมม ใี ครทจ่ี ะสามารถรไู ดเ หน็ ไดใ น
โลกอนั น้ี เพราะเหลือกําลงั สุดวิสยั ท่ีจะรูได
เบอื้ งตน ท่ีเปน ทัง้ น้ี เพราะจิตยังไมไดคิดในแงตางๆ ใหกวางขวางออกไปถึง
ปฏปิ ทาเครอ่ื งดาํ เนนิ จึงไดยอนกลับมาพิจารณาทบทวนกันอีก ทั้งฝายเหตุคือปฏิปทา
ทงั้ ฝา ยผลทป่ี รากฏในปจ จบุ ันวา ถาธรรมชาตินีเ้ ปนสิ่งที่สุดวิสยั ที่คนอ่นื ๆ จะรไู ดแ ลว
เราทาํ ไมถึงรูได เรากเ็ ปน คนๆ หนึ่งเหมือนกับมนุษยทั่วๆ ไป เรารไู ดเ พราะเหตใุ ด ก็
ยอ นเขา มาหาปฏปิ ทา พิจารณากระจายออกไปจนไดความชัดเจนวา ออ ยอมรบั ละทนี่ ี่
ถามีปฏิปทาคือขอปฏิบัติแลวก็จะตองไดรูอยางนี้
ทานผูใดบําเพญ็ ขอ วตั รปฏิบัตใิ หส มบูรณเ ตม็ ภูมิ ดังที่พระพุทธเจาไดสั่งสอนไว
แลว ธรรมชาตนิ ไ้ี มต อ งมใี ครมาบอกจะรเู องเหน็ เอง เพราะอํานาจแหงมัชฌิมาปฏิปทา
เปน เครอ่ื งบกุ เบกิ ทาํ ลายสง่ิ ทร่ี กรงุ รงั พวั พนั อยภู ายในใจ จะแตกกระจายออกไปหมด
เหลอื แตธ รรมลว นๆ จติ ลว นๆ ทเ่ี ปน จติ บรสิ ทุ ธ์ิ จากน้นั จะเอาอะไรมาเปนภยั ตอจิตใจ
แมส งั ขารรา งกายจะมคี วามทกุ ขค วามลาํ บากแคไ หน ก็สักแตวาสังขารรางกายเปนทุกข
เทา นน้ั ไมส ามารถทจี่ ะทบั ถมจติ ใหบ อบชํา้ ใหขุนมวั ไดเ ลย เพราะธรรมชาตนิ น้ั ไมใช
สมมุติ ขันธทั้งหมดนี้เปนสมมุติลวนๆ ธรรมชาตนิ น้ั เปน วมิ ตุ ติ หลุดพนจากสิ่งกดขี่ทั้ง
หลายซ่ึงเปน ตวั สมมุติแลว แลวจะเกิดความเดือดรอนไดอยางไร เปนก็เปน ตายก็ตาย
เรื่องของขันธสลายลงไปตามสภาพของมันที่ประชุมกันเทานั้น
จิตดวงนี้เปนอยางไร ตอไปนี้จะไปเกิดที่ไหนก็ทราบอยางชัดเจน จะไปเกิดที่
ไหนเมื่อไมมีเชื้อ ไมมีเงื่อนตอทั้งเงื่อนตนเงื่อนปลาย ทั้งอดีต อนาคต แมแตปจจุบันก็รู
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๐
๕๑
เทาทันไมไดยึดไดถือ สพเฺ พ ธมมฺ า อนตฺตา ธรรมทั้งปวงเปนอนัตตาไมถือมั่นแลว
เพราะไดรปู ระจกั ษใ จแลว เมื่อรูประจักษใจและปลอยวางหมดแลว มีธรรมอะไรที่ไมใช
อนัตตาไมใชอัตตา คือ วสิ ทุ ธิธรรม วสิ ทุ ธจิ ติ จะเรียกวิสุทธิจิตก็ได จะเรยี กวสิ ทุ ธธิ รรม
ก็ได จะเรียกนิพพานก็ไดไมมีปญหาอะไรเมื่อถึงตัวจริง ไมมีกิเลสสมมุติใดๆ เขา มาขดั
ขวางแลว เรียกไมเรียกก็ไมมีปญหาอะไรทั้งนั้น เพราะจติ หลดุ พน จากปญ หาความยงุ
เหยิงทั้งมวลไปแลว
เหลานี้ไดพูดใหหมูเพื่อนฟงหมดไมเคยปดบังลี้ลับ ซง่ึ ไมเ คยถามผใู ดเลย
ปรากฏขึ้นกับจิตเอง พระพทุ ธเจา และสาวกทง้ั หลายทท่ี า นปฏบิ ตั ิ เมอ่ื ตรสั รแู ละบรรลุ
ธรรมก็เปน สนทฺ ฏิ ฐ โิ ก ไมทรงถามและถามใคร สมกบั พระธรรมทท่ี า นแสดงไวว า สนฺ
ทิฏฐิโก ผูปฏิบัติจะพึงรูเองเห็นเอง ปจจฺ ตตฺ ํ เวทติ พโฺ พ วิฺูหิ ผูรูทั้งหลายจะพึงรู
จําเพาะตน นน่ั ทา นวา ไวอ ยา งนน้ั ธรรมน้ีมใิ ชธรรมโกหกโลก ทาํ ไมผปู ฏบิ ตั เิ มอ่ื รเู หน็
ไดตามธรรมนนั้ จะเปนการโออวดโกหก รูเห็นไดตองพูดไดตามนั้น ปฏิปทาธรรมทั้ง
หมดนี้แลเปนกุญแจดอกสําคัญที่จะเปดตูพระไตรปฎก ในขณะเดยี วกนั กป็ ราบปราม
กิเลสซึ่งเปนขาศึกและปด บังธรรมในใจ ใหแตกกระจายออกไป กลายเปน ใจวเิ ศษ
ธรรมวเิ ศษลว นๆ ขึ้นมาอยา งไมเ คยคาดฝนมากอ นเลย
เพราะฉะนน้ั จงอยา ไปคดิ ใหเ สยี เวลาํ่ เวลา วา ครง้ั พทุ ธกาลทา นสาํ เรจ็ มรรคผล
นพิ พาน ครง้ั นไ้ี มม ที างสาํ เรจ็ อยาไปคิด นน้ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสหลอกลวงเราใหห ลงกล
มายาของมนั ตา งหาก ไมใชเรื่องของธรรม และจะเกิดความทอแทอ อนแอข้ึนมาในวง
ความเพยี ร กาวไมออก ไปไมรอด จอดจมอยูกับกิเลสกองทุกขตอไปอีก ดีไมดีฆาตัว
ตายกม็ คี นเรา ทั้งๆ ที่ตนยังมีคุณคาอยู เพราะอาํ นาจกลลวงของกเิ ลสหลอกไปฆา นน่ั
เอง หลงกลมายาของกิเลสเทานน้ั ก็จมไปไดค นเรา ความเขมแข็งเคยมีมากนอยเพียงไร
พอกเิ ลสหลอกแยบ็ สองแยบ็ เทา นน้ั กล็ ม ระนาวแบบไมเ ปน ทา เพราะฉะน้ันขอใหพ ากนั
เขา ใจวา ธรรมทุกขั้นจนถึงนิพพานธรรมไมอยูที่ไหน แตอยูที่ใจของผูปฏิบัติตามหลัก
สจั ธรรมทง้ั สใ่ี หเ ขา ใจและสมบรู ณโ ดยลาํ ดบั จนถงึ ขน้ั สมบรู ณเ ตม็ ท่ี ธรรมทกุ ขน้ั จะ
ปรากฏขน้ึ ท่ีใจโดยลําดบั และปรากฏจนเตม็ ภมู เิ ชน เดยี วกนั ไมมีอะไรมาขัดแยงกีด
ขวางได ปากใครก็ตามถือเอาเปนประมาณไดยากมาก เพราะสว นมากใจมกี เิ ลส ปากจึง
มักสกปรก ฉะนน้ั จงถอื สวฺ ากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม จากพระโอษฐถายเดียวเปนเครื่อง
ประกนั มรรคผลนพิ พานของเราผปู ฏบิ ตั ิ
สจั ธรรม คืออะไรบาง ทุกข ความไมส บายกายไมส บายใจมอี ยทู ไ่ี หน ถาไมมีอยู
ทก่ี ายทใ่ี จเรานท้ี กุ คน สมุทัย คอื นนั ทริ าคะ กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตณั หา นี่คือตัว
ของกิเลส มันเกิดขึ้นจากใจเพราะเชื้อของมันมีอยูที่ใจ มันจึงแสดงตัวออกมาจากสิ่งที่มี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๑
๕๒
ใหเ รารู นโิ รธ คือความดับทุกข เอาอะไรมาดบั มนั ถงึ จะดบั ได ถาไมเอามรรค คอื ศีล
สมาธิ ปญญา เฉพาะอยางยิ่ง สติ ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร เปนส่ิงสําคญั มากมาดับ
สตปิ ญ ญาเปน เครอ่ื งบกุ เบกิ เปนเครื่องถอดถอน วริ ยิ ะ คอื ความพากความเพยี รในงาน
ถอดงานถอนของตน ใหเ รง ธรรมเหลา นเ้ี ขา ใหม าก นโิ รธ คือความดับทุกข เมื่อกิเลส
ดบั ไปมากนอ ยดว ยมรรค เรื่องนิโรธจะดับทุกขตามๆ กัน เพราะนโิ รธนน้ั เปน เงาของ
มรรค ถา มรรคทาํ งานมากนอยเพยี งไร นิโรธกแ็ สดงขนึ้ ตามเรือ่ งของมรรคทป่ี ราบ
ปรามกเิ ลสไดม ากนอ ยเพยี งนน้ั
สจั ธรรมทง้ั สน่ี ม้ี อี ยทู ไ่ี หนเวลาน้ี ในครง้ั พทุ ธกาลทา นบรรลธุ รรม ทา นบรรลุ
อะไร ถาไมรแู จงในสจั ธรรมทงั้ สนี่ แ้ี ลว จะหาทางบรรลุธรรมไมไ ด เมอ่ื รแู จง ในสจั ธรรม
ทง้ั สน่ี โ้ี ดยสมบรู ณแ ลว นน้ั แลคอื เปน ผบู รรลธุ รรมถงึ ขน้ั อนั เกษมสาํ ราญ หาอะไรเสมอ
เหมอื นไมไ ดเ ลย ธรรมดังกลาวนั้นอยูที่ดวงใจ พระพทุ ธเจา ตรสั รทู ใ่ี จ เพราะทุกข
สมทุ ยั นโิ รธ มรรค อยูที่ใจ สาวกทง้ั หลายตรสั รทู ใ่ี จนน้ั เอง เพราะใจเปน ผหู ลง ใจเปน
ผปู ฏบิ ตั ติ นใหร ู ใจเปนผูแกความลุมหลงของตน เมอ่ื ไดแ กเ ตม็ ภมู แิ ลว ความลมุ หลง
นั้นก็หมดไป ทุกขก็ดับไป ความลุมหลงนั้นแลพาใหกอทุกข เมื่อทุกขดับไปแลว คาํ วา
นิโรธก็แสดงขึ้นมาในขณะเดียวกัน แลวอะไรที่ยังเหลืออยูเวลาสมุทัยและทุกขดับไป
แลว นน้ั ผทู ีร่ ูว า ทกุ ขแ ละสมทุ ัยดับไปนัน้ แลคือผบู รสิ ทุ ธ์ิ ผูนี้ไมดับ ผนู แ้ี ลเปน
ธรรมชาตทิ บ่ี รสิ ทุ ธ์ิ สัจธรรมท้ังสี่เปน เพียงกริ ิยาอาการดาํ เนนิ ในขณะทีย่ ังไม
หลุดพนจากกิเลสกองทุกขเทานั้น
เพราะฉะนน้ั เรอื่ งอรหัตมรรค อรหัตผล จงึ เปน ธรรมทค่ี าบเกลยี วกนั อยู ยังไม
ละกริ ยิ า ระหวา งมรรคกบั ผลวง่ิ ถงึ กนั ในชว่ั ระยะจรมิ รรคจติ ตามปรยิ ตั ทิ า นวา ไว ชว่ั จริ
มรรคจติ คอื ชั่วลัดมือเดียว ขณะเดยี วเทา นน้ั ขณะน้ันทา นวา มรรคกบั ผลวง่ิ ถึงกัน ทํา
หนา ทต่ี อ กนั เสรจ็ เรยี บรอ ยแลว นน้ั เรยี กวา นพิ พานหนง่ึ ในขณะเดยี วกนั เรยี กวา ถงึ
แดนแหง ความบริสทุ ธิเ์ ต็มท่แี ลว ก็ได และคาํ วา แดนแหง ความบรสิ ทุ ธน์ิ ้ี จะหมายถงึ
อะไร ถาไมหมายถึงใจผูเคยติดอยูในกองทุกข ไดพน จากแดนเเหงความทกุ ขไ ปเทานั้น
เพราะฉะนน้ั ขอใหทุกทา นจงดําเนินจิตใจของตนดวยความเอาจรงิ เอาจังในงาน
คือจิตตภาวนา อยาไดลดละทอถอย ตายก็ตายเถอะ พทุ ธฺ ํ ธมมฺ ํ สงฆฺ ํ ปูเชมิ ตายบชู า
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ ดกี วา ตายเพอ่ื กเิ ลสบชู ากเิ ลสเปน ไหนๆ เราเคยเชอ่ื
เราเคยยอมจาํ นนตอ กเิ ลส คลอยตามกิเลส เคลม้ิ ตามกเิ ลสมาหลายภพหลายชาตจิ น
นบั ไมไ ดแ ลว ใหก เิ ลสพอกพนู หวั ใจจนมองหาดวงใจอนั แทจ รงิ ไมเ หน็ เลยมานานนกั
แลว ทั้งขนทุกขมาทับถมโจมตีเราจนขนาดไมรูจักเปนจักตาย หากําหนดกฎเกณฑไมได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๒
๕๓
วาเมื่อไรทุกขจะหลุดลอยออกไปจากใจ ถาไมแกตัวสมุทัยใหหลุดลอยลงไปแลว ไมมี
ทางที่ทุกขจะหลุดลอยลงไปได
การแกสมุทัยก็คือความเพียร มสี ตปิ ญ ญาเปน สาํ คญั ใหพ ยายามพากเพยี รอยา
ลดละถอยหลัง นี้แลเปนสิ่งที่จะตัดสินได ตัดสินท่ีตรงนี้ ไมมีกาลโนน สถานทน่ี น่ั มี
อาํ นาจยง่ิ กวา ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญ ญา หรือยิ่งกวา สัจธรรมทงั้ สี่นไ้ี ปไดเลย ตรง
นเ้ี ปน สาํ คญั จงยดึ ตรงนีเ้ ปนหลักใจหลกั ปฏบิ ัติ กิเลสอยูที่ตรงนี้ สมุทัยคือกิเลสแทอยูที่
หวั ใจ มรรคคอื การปฏบิ ตั เิ พ่ือแกก เิ ลสดวยอุบายวธิ ตี างๆ อยา นอนใจ ถงึ เวลาคดิ คดิ
อา นไตรต รองใหเ ขา ใจในเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื งขนั ธ เรื่องกิเลสอาสวะแสดงตัวขึ้นมามากนอย
อยา ไปหงึ หวง อยาไปเสียดายอะไรทั้งสิ้นนอกจากความพนทุกข โลกทเ่ี ราเคย
คิดเคยปรุงมาแลวไดประโยชนอะไร นอกจากเปนเรื่องของสมุทัย แลว กวา นเอาความ
ทกุ ขเ ขา มาเผาลนหวั ใจเทา นน้ั ขน้ึ ชอ่ื วา สมทุ ยั แลว เปน อยา งนน้ั เคยเปน อยางนนั้ มา
ดั้งเดิมอยาไดหลงกลมัน จงทาํ ความเข็ดหลาบ อยายอมหมอบราบกราบมนั ตอไป
สติ เราฝกใหมีสติมีได ปญญาพยายามขุดคนคิดอานไตรตรองในแงตางๆ ทั้ง
ภายนอกภายในได ถาพาคิดพาทํา ในเบอ้ื งตน บงั คบั ใหค ดิ อา นเสยี กอ น เพราะปญ ญา
ยังไมรูหนาที่การงานของตัวเอง เชน เดยี วกบั เดก็ ยงั ไมร หู นา ทก่ี ารงาน ผูใหญตองบังคับ
บญั ชาใหเ ดก็ ทาํ งาน จนกวา เดก็ นน้ั เตบิ โตรกู ารงานและรผู ลของงาน รูจ ักวิธที าํ งานแลว
ก็ทํางานไปเองโดยไมตองบังคับบัญชาตอไป เหมือนผูใหญซึ่งรูเหตุรูผลของงานและผล
ของงานเรยี บรอ ยแลว หนาที่การงานไมตองบอกก็ทําไปเอง สติปญญาเบื้องตนก็ตองได
บังคบั บญั ชา ลมลุกคลุกคลานบางก็ตองยอมรับกันไปกอน เพราะยงั ไมช าํ นชิ าํ นาญ ตอ
เมื่อสติปญญาไดดําเนิน และเหน็ ผลแหง ความสงบเยน็ ใจหรอื ความสวา งไสวภายในจติ
เพราะอํานาจของสติปญ ญาขึ้นแลว สติปญญาจะมีความขยันหมั่นเพียรไปเอง เรอ่ื ง
ความเพียรไมตองบอก หมนุ ไปตามกนั นน่ั แหละ ดังที่เคยไดอธิบายใหฟงมาแลว หลกั
ใหญอยูท ต่ี รงนี้
การแกก เิ ลส ไมไดแกอยูสถานที่โนนสถานที่นี่อะไร แตแกกันที่จิต ถาวา สถานท่ี
ก็คือจิตนี้แล อยูตรงนี้ไมอยูที่อื่น ขอใหทุกทานฟงอยางถึงใจ ปฏิบัติแกกิเลสของตน
อยางถึงใจ ใหเ หน็ วา กเิ ลสนเ้ี ปน ภยั อยา งยง่ิ สาํ หรบั หวั ใจเรา จะพาใหเกิดภพเกิดชาติ
เกิดในภพนอ ยภพใหญ ไดรับความทุกขมากนอย ลว นแลว แตไ ปจากกเิ ลสทง้ั นน้ั ไมไป
จากทอ่ี น่ื เลย การแกก เิ ลส การเหน็ กเิ ลสเปน ภยั จงึ ทาํ ใหจ ติ ใจมคี วามพอใจ หรอื มคี วาม
อาจหาญท่ีจะแกก เิ ลสโดยลําดบั ผใู ดท่ไี ดเปนความสะดดุ ใจเขา ใจวากเิ ลสเปนขา ศกึ ตอ
ตนแลว จะมีทางตอสูกัน ถา เหน็ กเิ ลสเปน ตน ตนเปน กเิ ลส เหน็ กเิ ลสเปน เรา เราเปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๓
๕๔
กิเลสอยแู ลว กเิ ลสนน้ั แลจะพาเราจม ครน้ั จมลงไปแตก เิ ลสกบั ขน้ึ อยบู นคอเรา (หวั ใจ
เรา) หาทางฟนฟูตัวเองขึ้นมาไมไดเลย
ขอใหทุกทานนําไปประพฤติปฏิบัติใหถึงใจ ในสว นหยาบกไ็ ดเ คยอธบิ ายใหฟ ง
แลว ในเบอ้ื งตน แหง กณั ฑน ้ี การประพฤติปฏบิ ตั ใิ หม ีความขยนั หม่นั เพยี ร หูไว ตาไว
คิดอานไตรตรอง อยาอยูเฉยๆ ใหม คี วามแกลว กลา สามารถ อยา แสดงความออนแอ
พระพทุ ธเจาทรงมคี วามขยันหมน่ั เพยี รมากไมมีใครเสมอเหมือน ศาสนธรรมที่ออกมา
จากพระพุทธเจานั้น เปน ธรรมที่สอนคนใหมีความขยันหมน่ั เพยี รในทางท่ีดีทช่ี อบ ให
เกดิ ผลเกดิ ประโยชน จนกระทั่งถึงขั้นเปนที่พึงพอใจ ใหนําไปประพฤติปฏิบัติ ใหไ ดร บั
ผลรบั ประโยชน จะบวชมาเวลามากนอ ย ในขณะทเ่ี ราบวชนใ้ี หท มุ เวลาลงเพอ่ื ความ
พากเพยี รอยา ใหเ สยี ผลเสยี ประโยชน อยา ไปคดิ เรอ่ื งนน้ั เรอ่ื งนซ้ี ง่ึ เราเคยคดิ มาแลว ไม
เกิดประโยชนอะไร นอกจากจะเกิดโทษภายในจิตใจใหมีความกังวลและมัวหมองตอจิต
ใจเทา นน้ั ใหท ราบถงึ มนั วา สง่ิ เหลา นเ้ี ปน ภยั และเหน็ โทษของมนั อยาสนใจไปคิด จะ
เหมือนไปควาเอามตู รเอาคูถมาฉาบทาตวั ใหเหมน็ คลุงไปตลอดกาลสถานที่ ไมมี
ประมาณวา ความเหม็นคลุงของกิเลสจะออกจากใจลําพังตนเอง โดยไมชําระซักฟอก
ปราบปราม
เวลานเ้ี ราเปน ลกู ตถาคต จะเปนอยูกี่วันกี่เดือนก็ตาม (พระบวชชว่ั คราวกม็ สี บั
ปนกันฟง) ใหทําหนาที่ของตนเต็มภูมิอยาไดลดละ พระพุทธเจาทานเสด็จออกบวชไม
มใี ครตามสง ตามเสยี ไมมีญาติโยม ไมมีผูตามอุปถัมภอุปฏฐากพระพุทธเจาเลย สละ
ออกจากความเปนกษัตริยลงสคู วามเปน คนขอทาน ใครจะลาํ บากลาํ บนยง่ิ กวา พระพทุ ธ
เจาไมมี ความลาํ บากพระพทุ ธเจา ทรงเผชญิ มาแลว กอ นทจ่ี ะไดต รสั รปู รากฏวา ทรง
สลบไสลถงึ ๓ ครง้ั วา ไง ถาหากไมฟนก็ตาย นี่คือความทุกขมากถึงขั้นสลบนั่นเอง ถา
ยิ่งกวานั้นก็ถึงขั้นตาย นี่ลาํ บากไหมพระพุทธเจาผทู รงบําเพ็ญมากอน ทเ่ี ปน แนวหนา
ของพวกเรา เราจะมแี ตค วามออ นแอ งว งเหงาหาวนอนเตม็ ตวั อยอู ยา งนน้ั เปน ไดเ หรอ
ลูกศิษยตถาคต ควรเปน ไปไดเ หรออยา งนน้ั นะ ฉะนน้ั ใหพ จิ ารณา
อะไรจะอศั จรรยเ ทา ธรรมในแดนโลกธาตนุ ไ้ี มม ี จิตจะเคยหมกมุนอยูกับสิ่งใดก็
ตาม เมื่อธรรมไดฉายแสงเขาไปถึงใจแลว จะปลอยวางโดยลําดับๆ ไมวาอันใดจะถือ
เปนของวิเศษวิโสในความรูสึกมาตั้งแตกอนเพียงไรก็ตาม จะปลอ ยวางไปโดยลาํ ดบั จน
กระทั่งไมมีสิ่งใดเหลือเลย เพราะสง่ิ เหลา นน้ั ไมม คี ณุ คา และประเสรฐิ เหมอื นกบั ธรรม
ชาตอิ นั ประเสรฐิ ซง่ึ ปรากฏขน้ึ ภายในใจ ไมอยางนั้นทานปลอยไมได วางไมได ถา ธรรม
ไมเหนือกวาจะปลอยไปทําไม เชน เราเดนิ ไปเจอตะกว่ั เรากว็ า เปน ของดกี เ็ กบ็ แบกหาม
เอาไป พอไปเจอเงินก็วาเปนของดี ทิ้งตะกั่วไป ไปเจอทองคําเขาไปอีก เจอเพชรเจอ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๔
๕๕
พลอยเขาไปอีก ยิ่งปลอยของเกาไปโดยลําดับๆ เพื่อยึดของดี เอาของดี ของที่ราคาต่ํา
กวา นน้ั กท็ งิ้ ๆ
อันนี้ก็เหมือนกัน โลกามสิ ทง้ั หลายเปน สง่ิ ทม่ี คี ณุ คา มรี าคาตาํ่ กวา ธรรมโดยหลกั
ธรรมชาติ มใิ ชโ ดยความนยิ มทอ่ี าจเสกสรรเปลย่ี นแปลงความจรงิ เปน อยา งอน่ื ได นอก
จากนั้นก็เปนโทษอีกดวย ถาไมฉลาดในการใชสอยและเกบ็ รักษา เมื่อธรรมไดแทรกเขา
ถึงใจมากนอย ควรจะชนะรสชาตคิ วามแปลกประหลาดความอศั จรรยข องโลก ควรจะ
ชนะโลกามิสสิ่งใดไดก็ยอมชนะกันไป ปลอยกันไปวางกันไปโดยลําดับ จนกระทั่งปลอย
วางโดยสน้ิ เชงิ เพราะเหน็ ธรรมวา ประเสรฐิ กวา ไมม สี ง่ิ ใดเสมอเหมอื น ปุญญปาป ปหนิ
บคุ คล กระทัง่ บุญกย็ งั ละอยาวา แตละบาปไดแ ลวเลย บุญก็ยังละ จงึ เรยี ก ปญุ ญปาป
ปหนิ บคุ คล ผมู บี ญุ และบาปอนั ละเสยี ไดแ ลว
บุญกเ็ ปน เครอ่ื งสนบั สนุนใหถ งึ ที่อนั เกษม เมื่อถึงที่เกษมแลว บญุ ซง่ึ เปน สว น
สมมุติ กป็ ลอ ยวางกันโดยหลักธรรมชาตไิ มม ีสิ่งใดเหลอื เลย เหลอื แตค วามบรสิ ทุ ธ์ิ
ลว นๆ และไมติดดวย รูเทา ตัดขาดทั้งอดีตอนาคต รูเ ทาตัดขาดทัง้ ปจ จุบนั ไมย ึดมั่นใน
สง่ิ ใด จะวาพระอรหัตอรหันตทานไมยึดถือสิ่งใดเลยก็ไมผิด แตทานก็ไมไดปราศจากที่
พึ่ง นน่ั เมื่อถึงแดนแหงความพนจากสมมุติหรือถึงแดนเกษมเต็มภูมิแลว พนวิสัยของ
สมมุติแลว ไมไดยึดอะไรทั้งนั้นเพราะจิตพอตัวแลว
นี่ละการประพฤติปฏิบัติ ขอใหทุกทานฟงใหถึงใจ ไดพยายามเทศนส อนมาโดย
ลาํ ดบั ๆ ขอใหเ หน็ ใจผแู สดงดว ย การรบั พระเณรจาํ นวนมากนอ ยกไ็ ดพ จิ ารณาเตม็ หวั
ใจแลว ถงึ ไดร บั ขนาดเทา ทเ่ี ปน มาน้ี ถาเลยกวา นีก้ ต็ องแสดงผลใหเหน็ อยางใดอยาง
หนึ่งแนนอน เพราะเชอ่ื ความคดิ เคยคิดอันใดไวแลวเปนความถูกตองเสมอ ไมใ ชค ยุ
ถามากก็เฟอ แลว กเ็ รๆ รวนๆ เหลวๆ ไหลๆ และกอ ความวนุ วายสว นทด่ี ใี หเ สยี ไป
ดว ย ไมเพียงแตเหลวไหลโดยลําพงั ตนเอง ยังเปนการรกหรู กตารกจิตรกใจ กีดขวาง
เพื่อนฝูงไปอีก นน่ั เปนของดีเมื่อไร
ฉะนั้นทุกๆ องคท ม่ี าบวชนไ้ี มว า จะมาจากสกลุ ใดชาตชิ น้ั วรรณะใด ไมสําคัญยิ่ง
กวา ความเปน พระ ปฏิบตั ิใหต รงแนว ตามหนา ทข่ี องพระ นี้เปนหลักแหงพระอันถูกตอง
ซึ่งจะอยูรวมกันดวยความผาสุกได ถาปลีกจากรองรอยนี้แลวเปนเรื่องของโลกของ
สงสารหาประมาณไมไ ด นนั้ แลจะทาํ ความกีดขวางกัน หาความสขุ ความสบายไมไ ดเ ลย
เพราะมนั รา ว จากรา วกแ็ ตก ถาเอาโลกเขามาแทรกเขามาแฝงตองเปนอยางนี้ พระพุทธ
เจา จงึ ไมม ชี าตชิ น้ั วรรณะ ผูใดมาบวชแลวก็ทรงแสดงอรรถธรรมสั่งสอนอยางเต็มภูมิ
ของพระองค ใหผูนั้นปฏิบัติเต็มภูมิของพระของสมณะซึ่งเปนศากยบุตร พุทธชิโนรส
ของพระพุทธเจา และไดผลเปนที่พอใจโดยทั่วกัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๕
๕๖
สาวกของพระพทุ ธเจา มกี ป่ี ระเภท มีทุกชาติชั้นวรรณะมาประพฤติปฏิบัติ ผใู ด
ออกมา เชน เปน พระราชามหากษตั รยิ เ สดจ็ ออกมาบวชแลว ก็มาเปนคนขอทาน มา
เปน สมณะประเภทเดยี วกนั ทําหนาที่การงานโดยไมถือเนื้อถือตัว วาเคยมียศมีศักดิ์มา
ขนาดไหน อนั นน้ั มนั สมมตุ กิ นั เฉยๆ วา ยศอยางน้ันยศอยางน้ี ดหู วั ใจน่ี หวั ใจน้ี กเิ ลส
มนั ไมไดว ายศวาศกั ด์ิไหนนะ มนั เหยียบไดทง้ั น้ัน ใหแ กต วั มนั เหยยี บมนั เปน ขา ศกึ ตอ
เรานด้ี ว ยธรรม เราจะมคี วามเปน อสิ ระหรอื เราจะมยี ศแหง ธรรมประดบั ใจ ยศแหง
ธรรมประดบั ใจนเ้ี หนือยศอะไรทง้ั สน้ิ และกินไมหมดดว ย ตายแลว กห็ ายหว ง ทุกสิ่งทุก
อยา งไมอ าลยั เสยี ดาย ไมหวงไมหวงไมกังวลใจ จึงขอใหพากันประพฤติปฏิบัติอยานอน
ใจ
<<สารบัญ เอาละเอาแคน ้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๖
๕๗
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๓ สงิ หาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
ยอมตายกบั ความเพยี ร
ความหลงอนั นเ้ี ปน พน้ื เพมาจากอวชิ ชาตณั หาความมดื บอด ฝงอยูภายในใจ
หลักใหญก็มีสาม ความโลภ ความโกรธ ความหลง ช่ือของกิเลสบาปธรรมเหลานี้ มีอยู
ในคมั ภรี ศ าสนา ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธท ีน่ บั พอประมาณ ในคัมภีรมีแตชื่อของกิเลส
ของธรรมทั้งนั้น ตวั กเิ ลสและธรรมจรงิ ๆ มีอยูภ ายในใจของสตั วโลก สว นมากไมว า ทา น
วา เรา เวลาเรยี นจําชอื่ ของกเิ ลสตณั หาและช่อื ของอรรถของธรรมไดก็เขาใจวา ตวั รตู ัว
ฉลาด เปนนักปราชญขึ้นมาทั้งๆ ที่กิเลสไมไดเหือดแหงไปสักตัวเดียว นอกจากเพิ่มขึ้น
เพราะความสาํ คญั ตน ในจติ ใจรอ นยง่ิ กวา ภเู ขาไฟ การเรยี นแบบนท้ี า นเรยี กวา “ความ
รูข ยุ ไมไผ” เพราะทาํ ลายตวั เอง การเรยี นเพอ่ื ปฏบิ ตั ติ ามทเ่ี รยี นรมู า ไดมากนอยยอม
เกิดประโยชนไปตามสวน นเ่ี รยี กวา เรยี นเปน มงคลแกต นและเปน มงคลแกผ เู กย่ี วขอ ง
ไมมีประมาณ
ฉะนน้ั คาํ วา ปรยิ ตั ิ ปฏบิ ตั ิ ปฏเิ วธ จึงตองเปนคูเคียงกันเสมอไป ศาสนาถา ขาด
อยางใดอยางหนึ่งยอมเปนไปไมได ก็จะมีแตชื่อ ดังท่ีเขาเขยี นจดหมายมาตอนหลงั จาก
เขาไดอ า นประวตั ทิ า นอาจารยม น่ั และปฏิปทาของพระธุดงคกรรมฐานสายทานพระ
อาจารยม น่ั แลว มจี าํ นวนมากทเ่ี ขยี นมาคลา ยคลงึ กนั วา หลงั จากอา นประวตั ทิ า น
อาจารยม น่ั และปฏปิ ทาสายลกู ศษิ ยท า นจบลงแลว เหมือนเขาเกิดชาติใหมในชวี ติ อัต
ภาพอนั เดยี วกนั น้ี เขามหี วงั เกย่ี วกบั บญุ กศุ ลมรรคผลนพิ พาน ไมเ ปน ความสดุ ๆ สิ้นๆ
เหมือนแตกอน เปน ความภมู ใิ จทเ่ี กดิ มาในแดนแหง พระพทุ ธศาสนาน้ี ซึ่งเต็มไปดวย
มรรคผลนพิ พาน
แตกอนไมเปนอยางนี้ มนั คดิ ไปแบบลมๆ แลงๆ ในลักษณะทําลายมรรคผล
กุศลผลบุญที่ตนจะพึงไดรับ และออ นใจเหย่ี วแหง ใจจนกลายเปน ความหมดหวงั เพราะ
เหน็ วา ศาสนามแี ตต วั หนงั สอื พระเณรมแี ตผ า เหลอื ง ซึ่งที่ไหนๆ ก็มีไมอดอยาก สง่ิ
สําคัญก็คือ หาผูจะทรงมรรคผลเพราะการปฏิบัติตามหลักธรรมของพระพุทธเจาไมมี
ศาสนาจงึ มแี ตต วั หนงั สอื ไมม ใี ครปฏบิ ตั แิ ละทรงมรรคผลอนั เปน ความจรงิ นน้ั ไว
พอไดอานประวัติทานอาจารยมั่นและปฏิปทาของพระธุดงคฯจบลงแลว ผลที่ได
รบั จากการอา นประวตั ทิ า นคอื การสรา งความหวงั ไดเ ตม็ หวั ใจ หวั ใจเตม็ ตน้ื ไปดว ย
ศาสนา เต็มตื้นไปดวยความหวังที่ไมเปนโมฆะ แมจ ะไมส าํ เรจ็ มรรคผลนพิ พาน ก็พอใจ
ในการบําเพญ็ ความดที กุ อยาง เขาวา อยา งน้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๗
๕๘
มจี าํ นวนมากทเ่ี ขยี นจดหมายคลา ยคลงึ กนั สง มา หลังจากไดรบั หนังสอื ที่ทางวดั
สง ไปใหแ ลว เขาวาไมน กึ วาจะมผี ูปฏบิ ตั ิดปี ฏบิ ัติชอบดงั ที่เหน็ ในประวตั ิทา นพระ
อาจารยม น่ั ซึ่งมีเรื่องของทานเองและมีเรื่องของลูกศิษยของทานอยูในนั้นอยางนี้เลย
ตอนนี้ไดอานอยางถึงใจแลว เตม็ ตน้ื ภายในหวั ใจ เหมือนเกดิ ชาตใิ หมขึ้นมาใน
ทามกลางแหง ชาตเิ กา ๆ ที่มีอยูนี้ เขาพดู อยา งน้ีในจดหมาย
เพราะฉะนน้ั เราผเู ปน นกั ปฏบิ ตั ิ ขอใหถือตามคําสัตยคําจริงที่พระพุทธเจาทรง
ประทานไวแ ลว อยา งใด ซึ่งมี สวากขาตธรรม เปนเครื่องประกันคุณภาพความถูกตอง
ดีงามทกุ อยา งไวโดยสมบูรณแลว การแสดงออกใหโลกไดเห็นชัดก็คือ นิยยานิกธรรม
ซึ่งออกไปจาก สวากขาตธรรม ทต่ี รสั ไวช อบแลว น้ี ธรรมวนิ ยั เปนเครือ่ งนําออกซึ่งโทษ
ทง้ั หลาย ที่มีอยูภายในใจของสัตวโลกผูปฏิบัติตามหลักธรรมของพระองค
ฉะนั้นพระวาจาของพระพุทธเจา จึงเปนพระวาจาท่ีมีสตั ยม จี รงิ มีฤทธาศักดานุ
ภาพมากเหนอื กเิ ลสทกุ ประเภท เมื่อไดนําพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนไวโดยถูกตองนี้ไป
ประพฤติปฏิบัติ กเิ ลสตณั หาภายในใจตอ งเบาบางลงไปตามกาํ ลงั แหง การปฏบิ ตั ขิ อง
ตนๆ และหมดสิ้นไปโดยไมตองสงสัย เพราะอํานาจแหง การปฏบิ ัตขิ องผนู ัน้ เตม็ ภมู ิ
ความจรงิ นี้เคยเปน มาตัง้ แตค รง้ั พทุ ธกาลจนถึงปจ จุบัน และยังจะเปนไปอีกเปน
เวลานาน จนกวาจิตใจของสตั วโ ลกจะหมดความเชอื่ ความเลอ่ื มใส หมดความใฝใ จใน
การปฏบิ ตั ิ หมดความเยอ่ื ใย หมดความพึ่งพิงธรรมของพระพุทธเจา หันเหไปนอกลู
นอกทาง ไมถ อื ธรรมเปน หลกั เปน เกณฑแ ลว นน้ั แล ศาสนาจะหมดก็หมดตรงนั้น คือ
หมดโดยไมมีสัตวโลกรายใดสามารถจะนําไปประพฤติปฏิบัติได ไมม ผี สู นใจเพราะจติ
ใจหยาบเกนิ กวา จะสนใจในธรรมทง้ั หลายแลว ทพ่ี ระองคว า ศาสนาทป่ี ระทานไวห า พนั
ปน น้ั ก็ตามอุปนิสัยของสัตว จิตใจของโลกผูถือพุทธ ถอื ธรรม ถือสงฆนี้ จะมีไปได
เพยี งแคน น้ั จากนน้ั ความรคู วามเหน็ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง จะเปลย่ี นแปลงไปจากหลกั ธรรม
กลายเปน โลกเปน กเิ ลสลว นๆ ไปหมด ศาสนาก็เปนอนั หมดทางชวยเหลือไดอ กี
ในขณะทจี่ ิตใจเปล่ยี นแปลงไปจากหลักธรรม ใจก็มีความพัวพันรักชอบไปใน
ความสกปรกโสมมตางๆ ไมมีประมาณ นสิ ยั สนั ดานเปลย่ี นจากความเปน มนษุ ยธรรม
เปน มนสุ สฺ ตริ จฉฺ าโน รา งกายเปนมนุษยแตใ จกลายเปน ใจของสตั วต ิรัจฉานฉดุ พาไป
อยางหมดหวัง นเ่ี รยี ก “มคิ สญั ญี” เมอ่ื ไมม ศี าสนาแลว กเ็ ปน เหมอื นสตั ว เพราะบาป
ไมมีบุญไมมีภายใน ความสะดงุ ตอบาป ความยินดใี นบุญกุศลกไ็ มมใี นใจ กลายเปน
สัตวในรางมนุษยไปอยางไมสะดุงสะเทือนใจใดๆ ทั้งสิ้น ใครมีอํานาจก็กดขี่ขมเหงรีด
ไถกันกิน ฉีกกันกิน ถอื งานเบยี ดเบียนทําลายกันเปนอาชีพเหมอื นสตั วปา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๘
๕๙
ความไมม ศี าสนาคอื ศลี ธรรมภายในจติ ใจ มีโทษทัณฑถึงขนาดนั้นแล จึงไมใช
ของดี เทาที่โลกยังพออยูไดไมรุนแรงนัก แมจะรอนระอุอยูแทบทุกแหงทุกหนดังที่
ปรากฏอยูทุกวันนี้ ก็ยังพอมีที่ปลงวาง ยังพอมีที่สงบ ยังพอมีที่พักที่ปลงใจอยูบาง
เพราะจติ ใจคนยงั แสวงหาธรรมอยู มธี รรมเปน เครอ่ื งยบั ยง้ั จติ ใจ ไมผ าดโผนโจน
ทะยานไปตามกระแสของโลกโดยถายเดียว การแสดงออกของผูเดือดรอ นยังหวังพึ่ง
ธรรมอยู เชน รอ งขอความเปน ธรรม เปน ตน จิตใจยงั ใฝธรรม ยังหวังพึ่งธรรมอยู ผูที่จะ
วินิจฉัยไตส วนใหไ ดเหตุไดผลเพ่อื ความเปน ธรรมก็ยังมีอยู ไมขาดสูญไปโดยถายเดียว
ธรรมยงั เปน หลกั เปน เกณฑใ นหวั ใจของโลกอยู โลกถึงแมจะรอนก็ยังมีที่เย็น ถา เปน นาํ้
ในมหาสมุทรก็ยังมีเกาะมีดอนพออยูพออาศัยได ไมเปนนํา้ ไปเสียทั้งแผน ดนิ ผมู ธี รรม
อยูก็ไมรอนไปทุกหยอมหญาเสียทีเดียว ยังพอมีธรรมเปนที่หลบซอนผอนคลายได นี่
เราพดู ถงึ ภาคทว่ั ๆ ไป
จิตใจถาขณะใดโลกเขา ย่ํายี ขณะนั้นก็เดือดรอนตั้งตัวไมได ระสาํ่ ระสายวนุ วาย
ไปกับอารมณตางๆ เพราะไมม สี ติ อํานาจของสติปญญาไมพอ สูกําลังของกิเลสที่ผลัก
ดันจิตใจใหฟุงซานไมได ความที่จติ จะฟงุ ซานไปน้ันก็เพราะอาศยั อารมณอดีตเปน
สาํ คญั ไปไดเ หน็ ไปไดย นิ สง่ิ ใดแลว นาํ เรอ่ื งนน้ั เขา มาเปน อารมณเ ผาตวั เอง เพราะจติ ใจ
ถอื สง่ิ นน้ั เปน อารมณ ถือสิ่งนั้นเปนงาน งานนน้ั เปน ไฟ ผลของงานทเ่ี ปน ไฟกเ็ ผาผลาญ
จติ ใจใหเกดิ ความเดือดรอน ขณะไมมีสติยอมเปนอยางนี้ดวยกัน ไมว า ฆราวาส ไมว า
นกั บวช ไมว า นกั ปฏบิ ตั เิ รา
ฉะนั้น จงทําความสังเกตสอดรูตนอยูเสมอ สมกบั เราเปน ผรู กั ษาเรา คือรักษาใจ
อยา ใหส ิ่งใดมายา่ํ ยีจิตใจได อยา ใหส ง่ิ ใดมารบกวนจติ ใจได คาํ วา สง่ิ นน้ั สง่ิ นม้ี ารบกวน
นน้ั หมายถงึ ใจไปคดิ วาดภาพเอาสง่ิ นน้ั ๆ มาครนุ คดิ อยภู ายในใจ ทาํ ใหว า วนุ ขนุ มวั อยู
ภายใน ผลก็เกิดความทุกขความเดือดรอนขึ้นมาอยางหลีกเลี่ยงไมได เพราะเปน ความ
จริงที่ตองยอมรับกัน
เมื่อมีสติปญญาคอยกํากับรักษา คอยขัดคอยขืนคอยตานทานกันอยูเสมอ ใจ
ยอมปลอดภัยไรทุกข เพราะมพี เ่ี ลย้ี ง คือสติปญญาตามรักษา ปกตเิ รากท็ ราบแลว วา
อารมณเ ชนนั้นเปนสง่ิ ไมดี ใหผลเปนพิษเมื่อสัมผัสสัมพันธกันอยูบอยๆ จึงตองอาศัย
การรักษา การกีดกัน การตานทาน การตอสกู ันเรอ่ื ยๆ คําวาปะทะกันนั้น คือมีการตอสู
จึงมีการปะทะ หากจติ ใจของเราเล่ือนลอย สติไมมี ปญญาซงึ่ เปนศาสตราอาวธุ อัน
สําคัญไมมี คําวาปะทะก็ไมปรากฏ นอกจากหมอบราบเรยี บไปเลยเทา นน้ั ถายังมีปะทะ
ก็ยังมีการตอสูกัน ทั้งเขาทั้งเราตอสูกัน เชน ปะทะผูกอการรายเปนตน เรยี กวา สกู นั
ตางคนตางสูกัน ยอมมีทางแพทางชนะได แตนักปฏบิ ัติธรรมไมค วรใหม ีคาํ วา “สูไมได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๕๙
๖๐
หรือแพก เิ ลส” นอกจากชนะไปเปนพักๆ ตอนๆ เพอ่ื กาวเขา สูแดนชนะโดยสิน้ เชิงเทา
นน้ั
กเิ ลสทเ่ี กดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจและมอี ยภู ายในใจ ไมว า จะเปน ความโลภ ความโกรธ
ความหลง ราคะตัณหาประเภทใดๆ ทั้งปูยาตายายของกิเลส ทั้งพอแมของกิเลส ทั้งลูก
เตาเหลากอของกิเลส มันเปนขาศึกทั้งนั้น เมอ่ื เขามาเก่ียวขอ งพัวพนั กบั ใจ ใจที่มีสติก็
ตอสูตานทานซึ่งกันและกัน จนเอาชัยชนะหรืออยางนอยก็สงบกันลงไดเปนพักๆ หาก
ยังไมชนะก็พอมีทางจับเงื่อนนั้นแงนี้ของกิเลสได พอทรงตัวอยูไดดวยสติปญญา
ศรทั ธา ความเพียรของตน
ระหวา งใจกบั อารมณส มั ผสั สมั พนั ธกันอยูเรอ่ื ยๆ ถามีสติก็รูเรื่องกันไปเรื่อยๆ
ถาไมมีสติ ใจกเ็ ปน เขยี งเชด็ เทา ใหก เิ ลสเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายเอา ซึ่งไมสมควรแกผูปฏิบัติ
อยา งย่ิง ฉะนนั้ การตอ สูกบั กิเลสประเภทตา งๆ ตอ งเอาจรงิ เอาจงั ตลอดไป เชนเดียวกับ
นกั มวยชกตอ ยกันบนเวที ซึ่งตางฝายตางฟดกันจนสุดเหวี่ยง ออนขอยอหยอนไมได
ตองแพหรือถูกน็อกไมสงสัย
เราเปน นกั ตอ สเู พอ่ื กวู วิ ฏั ฏะ จึงขอใหเคารพพระพุทธเจา เช่ือฟงพระพทุ ธเจา
พระธรรม พระสงฆอยางถึงใจ เชน เดยี วกบั นกั มวยเชอ่ื ครู อยาเชื่อสิ่งใดยิ่งกวาพุทธ
ธรรม สงฆ เพราะในขณะเดียวกนั นน้ั มนั มีสง่ิ ซมึ ซาบอยูภายในใจและแทรกซอ นกนั อยู
กบั ธรรม สวนมากพวกนน้ั มักมกี ําลงั มากกวาเสมอท่ีคอยทาํ ลายใหเอนใหเอียง ดีไมดี
ลม เหลวโดยไมร สู กึ วา ไดเ อนเอยี งหรอื ลม เหลวไป ทั้งๆ ที่อีแรงอีกาบินตอมเพื่อ กสุ ลา
มาติกา อยรู อบตวั แลว ทั้งนี้เนื่องจากไมมีสติ ถามีสติบางหรือมีสติสัมปชัญญะติดตัว ก็
พอฟดพอเหวี่ยงกันไป
จงยึดความลําบากของพระพุทธเจา นาํ มาเปนสักขพี ยานแกต นเอง การประพฤติ
ปฏบิ ัตธิ รรมของพระองครูสึกวา หนักมากยิ่งกวา พวกเราเปน ไหนๆ ดังที่เคยอธิบายให
ฟง หลายครง้ั แลว เพราะความเปน สพั พญั ู เปน สยมั ภู ทรงปฏิบัติโดยลําพังพระองค
เอง บรรดาพระพทุ ธเจา ทง้ั หลายเปน อยา งนน้ั ผูที่จะบุกเบิกทางเดินใหสัตวทั้งหลายไป
ดว ยความราบรน่ื ปลอดภยั ในขน้ั ตน แหง การบกุ เบกิ เพอ่ื ความเปน ศาสดาและนาํ ธรรม
มาสอนโลก เปน ความลาํ บากขนาดไหน เพราะทางไมเ คยเดนิ การจะเปน สยัมภูก็ตอง
ปฏิบัติโดยลําพังพระองคเองแบบ อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โดยแท ไมหวังพึ่งใคร
สุขทกุ ขล าํ บากลําบนแคไหนก็ตองทน และทรงบําเพ็ญไมลดละทอถอย ดังที่
ทราบกันวา ทกุ ขถึงข้ันสลบไสลจนถงึ สามครง้ั ไมใ ชเ พยี งครง้ั หนง่ึ ครง้ั เดยี วเสยี ดว ย
สมมตุ วิ าใหพ วกเราองคหน่งึ องคใดสลบเพราะความเพียรกลาดงั พระองคในขณะน้ี จะ
พอมีองคใดกลารับไหม ขอตอบแทนไดเลยวา จางๆๆ กไ็ มมใี ครกลา รบั แตจะไดยิน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๐
๖๑
เสียงไมเ ปนทาดังขน้ึ ทนั ทวี า ยอมแลว ๆ หมอบราบแลว ๆ ถา จะใหส ลบแบบพระพทุ ธ
เจา ละก็ จะขอวงิ วอนใหก เิ ลสท้ังมวลนบั แตป ยู าตายายลงไปถงึ เหลนตวั เล็กๆ แดงๆ
ของกิเลสมา กสุ ลา มาติกา เอาไปเปน ทาสเชด็ มตู รเชด็ คถู ใหม นั ยงั จะเบากวา การสลบ
เปนไหนๆ ตาย ตาย ไมเอาๆ ถอยพวกเราถอย วง่ิ พวกเราวง่ิ ถา ลงเปน แบบน้ี นี่คือ
เสยี งอุทานของพวกเราจะโผลขึ้นในทา มกลางทีป่ ระชมุ เวลานี้
เม่ือเปน เชน น้ีจะพอเห็นคณุ คาแหงความเพยี รของพระองคบางไหม ลองคิดดู
ตรองดู เทยี บเคยี งดขู ณะน้ี บางทอี าจเปน ประโยชนม ใี จฮกึ หาญขน้ึ มาบา ง พระพุทธเจา
ถาไมไดทุมเทพระอาการทุกสวนลงถึงขนาดที่วา เอา ตายกต็ าย สลบกส็ ลบ เมื่อไมฟน
จะตายก็ตายไป เมื่อไมต ายใหไดช ยั ชนะเปนศาสดาโดยถา ยเดยี ว ไมมีทางเลือกเปน
อยางอื่น ถาพระทัยไมมีความเขมแข็งถึงขนาดนั้น ก็ตอสูกิเลสไมไดและเปนศาสดาของ
โลกไมได พวกเราพงึ นํามาเทียบกับตวั เองเพ่อื ถอื เอาประโยชน แมไ มไ ดแบบทานทุก
กระเบียดก็พอจะมีหลักยึด สมคําทเ่ี ปลง ระลึกถงึ ทา นวา พทุ ธฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ บา ง
ความทกุ ขท ส่ี บื เนอ่ื งมาจากการยอมจาํ นนกเิ ลสนน้ั เราตา งกเ็ คยแบกหามมา
นานแสนนานจนถงึ ปจ จบุ นั น้ี และยังจะแบกจะหามภพชาติซึ่งเปนกองทุกขตลอดไปนั้น
เรายงั จะมคี วามสามารถ มคี วามพอใจแบกหามไปโดยไมเ ขด็ หลาบอยเู หรอ การ
ประกอบความเพียรเพื่อรื้อถอนสิ่งเปนเชื้อใหกอภพกอชาติ อันกลมกลืนไปกับกอง
ทกุ ขใ หเ ราแบกหามนน้ั ทาํ ไมเราจะไมม คี วามสามารถ ทําไมจะไมมีกําลังตอสู ทาํ ไมจะ
ไมมีความอตุ สา หพ ยายาม ทําไมจะไมอดไมทนได
การอตุ สา หพ ยายามจนสดุ กาํ ลงั แมจะตายในชาตนิ ้ีกเ็ ปนเพียงชาตเิ ดยี ว ไมตอง
ตายซาํ้ ๆ ซากๆ หลายครง้ั หลายหนจนหาประมาณไมไ ดเ หมอื นกเิ ลสพาใหต าย ทําไม
เราจะแยง ชงิ ความอตุ สา หเ สอื กคลานตามกเิ ลส มาเปน ความอตุ สา หพ ยายามทางความ
หลุดพนไมได ถา เราจะเปน ลกู ทา นผเู ปน นกั รบอยา งจรงิ ใจนะ การตายดว ยความเพยี ร
มีความสุข มีดีกรี มีศกั ดิ์ศรเี หนอื กิเลสอยมู าก เราจงึ ควรตายดว ยความพากเพยี ร เชื่อ
พระพุทธเจาเชื่อใหถึงใจ พระองคทรงดําเนินอยางใดจงเชื่อใหถึงใจ จะเปน กําลงั ใจ
กาํ ลงั ความเพยี รทกุ ดาน ตอ ตา นกเิ ลสใหบ รรลยั จากใจไมเ นน่ิ นาน
เราเปน ลกู ศษิ ยต ถาคตปรากฏในพระพทุ ธศาสนาอยา งชดั เจนแลว วา เปน เพศ
ของพระ ซึง่ เปนเพศที่มีความอุตสา หพ ยายามมาก พระของพระพุทธเจาเปนอยางนั้น
เปนเพศที่มีความอดความทนตอสิ่งตางๆ ไมว า ภายนอกภายใน ตลอดถึงโลกธรรมทั้ง
ภายในภายนอกซึ่งเปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล ไมสะทกสะทานหวั่นไหว เราเปน พระ
ปฏิบัติ ตองอดตองทนตองมีความขยันหมั่นเพียร ตอสูเพื่อความเปนสิริมงคลเพื่อ
ความพน โลก หนักก็ตองสูตองทนเพราะทางเดินอยูตรงนี้ ไมมีทางอื่นเปนที่เดิน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๑
๖๒
หากมที างอืน่ เปน ท่ีราบรน่ื ดีงามสะดวกสบายพอเลือกได และถึงไดอยางรวดเร็ว
ทนั ใจแลว พระพุทธเจาทุกๆ พระองคซึ่งเปนจอมปราชญและทรงมีพระเมตตาตอสัตว
โลกอยางเต็มพระทัยอยูแลว ทาํ ไมจะไมป ระทานทางสายนน้ั ใหโ ลกทง้ั หลายไดด าํ เนนิ
กัน ทั้งนี้ก็เพราะมันไมมี พระพุทธเจาเองจึงตองทรงลําบาก การประกาศพระศาสนาก็
ประกาศตามรองรอยที่ทรงรูทรงเห็น อันเปนแนวทางที่ถูกตองดีงามนั้นแลแกสัตวโลก
เมื่อพวกเราไมมีปญญาจะเลือกเองได ยากลําบากก็ตองดําเนินไปตามทางสายที่
ประทานใหน ้ี เพราะไมมีทางอื่นเปนที่พอหลบหลีกปลีกไปได ซึ่งเมื่อปลีกออกไปก็เต็ม
ไปดว ยขวากดว ยหนาม ใครจะมคี วามกลา หาญตอ ขวากตอ หนาม คือกเิ ลสอยอู ีก เพราะ
เวลานก้ี าํ ลงั จะพากนั ปฏบิ ตั เิ พอ่ื หนใี หพ น จากกเิ ลสอยแู ลว ยังจะโดดจากทางที่ถูกตองดี
งามออกไปใหมันทําเปนอาหารวางอีกหรือ
ทางที่เปนไปเพื่อความปลอดภัยก็คือ มัชฌิมาปฏิปทา กเิ ลสมันดดุ นั ขนาดไหน
มันดื้อดานขนาดไหน จงผลิตมัชฌิมาปฏิปทา คือสมาธิ คือสติปญญาขึ้นใหเต็มภูมิ ให
ทันกัน ฟต ใหเหมาะกับความเปนมชั ฌิมาท่จี ะแกกเิ ลสปราบกิเลสได กเิ ลสประเภทดอ้ื
ดานก็มีมัชฌิมาประเภทกลาแข็งรุนแรงตอสูกัน ไมมีคําวาถอย มัชฌิมาผลิตขึ้นมาให
พอเหมาะพอสมกัน เชน เดยี วกบั เขานาํ ไมเ สามาปลกู บา นปลกู เรอื น ไมที่ยังหยาบอยู
ควรจะตดั จะฟนจะถากใหเ ตม็ เมด็ เต็มหนวย เต็มกําลังวังชา ก็ตองถากตองฟนใหเต็มฝ
มือ เตม็ กาํ ลงั เหมือนจะฟนทิ้งผาทิ้งหมดทั้งตนนั้น แตค วามจรงิ เขาถากในสว นทห่ี ยาบ
ที่คดที่งอออกใหหมด เหลอื ไวแ ตส ว นทด่ี ที เ่ี ปน ประโยชน เพอ่ื มาทาํ เปน บา นเปน เรอื น
ตา งหาก เขามิไดฟนทิ้งถากทิ้ง
เครอ่ื งมอื กม็ หี ลายประเภทในการสรา งบา นสรา งเรอื น อยา งหยาบกม็ ี อยาง
กลางก็มี อยางละเอียดก็มี จงึ จะสาํ เรจ็ ประโยชนไ ดต ามตอ งการ เครือ่ งมือท่ีจะสรา งจติ
ใจหรอื เคร่อื งมือปราบกิเลสกเ็ หมอื นกัน คาํ วา มชั ฌมิ ากห็ มายถงึ เคร่อื งมอื ปราบกเิ ลส
ประเภทตา งๆ ทม่ี อี ยภู ายในจติ ใจนน่ั เอง กเิ ลสหนาขนาดไหน ดื้อดานขนาดไหน ตอง
นาํ หลกั มชั ฌมิ าปราบใหถ งึ กนั คือเคร่อื งมอื ใหถึงกนั เขาปราบปราม จึงจะเปน ความ
เหมาะสมกบั การแกก เิ ลสประเภทนน้ั ๆ
หากกเิ ลสหนา แตเ ราจะทาํ แบบลบู ๆ คลําๆ ก็เขากันไมได เชน เดยี วกบั ไมท ง้ั
ตน ทจ่ี ะนาํ มาเปน ตน เสานน่ั แล ซึ่งยังไมถากไมฟนอะไรเลย แตเอากบไปไสไมทั้งตน
มันจะเปนบานเปน เรอื นไดอยา งไร ตอ งเอาขวานถากฟน เขาไป เมื่อถึงขั้นที่จะไสกบก็
เอากบมาไส หลังจากไดถากอยางเกลี้ยงเกลา ดัดที่คดที่งอใหตรงหมดแลว ยอมควรแก
การยกขน้ึ เปน เสาบา นเสาเรอื นได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๒
๖๓
เรื่องของกิเลสก็เหมือนกัน อยา งหยาบเวลานม้ี นั เตม็ อยใู นหวั ใจของพวกเรา เรา
จะทาํ แบบลบู ๆ คลาํ ๆ มันไมทันกัน นี้ไมจัดเปนมัชฌิมา เพราะมีกําลังออนกวากิเลส
กําลังไมเพียงพอกับกิเลสก็นํามาแกกิเลสไมได กิเลสหยาบสติปญญาก็ตองเอาใหห นัก
ใหทันกัน กเิ ลสละเอยี ดเขาไป สติปญญาก็ละเอียดตามกันไป จนกระทง่ั กเิ ลสหาทห่ี ลบ
ซอนไมได เพราะอาํ นาจแหง ปญ ญาฉลาดแหลมคม ตามตอนฟาดฟนกันจนแหลกแตก
กระจายไปหมด นแ่ี ลหลกั มชั ฌมิ าเปน อยา งน้ี
เราอยา เขา ใจวา ปฏบิ ตั ไิ ปเสมอๆ อยูธรรมดาๆ เปนมัชฌิมาของธรรม นน่ั มนั
มัชฌิมาของกิเลสตางหาก ไมใชมัชฌิมาของธรรม ควรหนักก็ตองหนัก มัชฌิมาแปลวา
ความเหมาะสมหรอื ทา มกลาง ทามกลางก็คือความเหมาะสมความพอดีนั่นเอง จะพอดี
กบั กเิ ลสประเภทใดๆ ก็ผลิตขึ้นมาบรรดาสติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร ความเพยี รก็
ใหกลา แขง็ แขง็ จนแกรง เปน หนิ เปน เหลก็ ไปเลย สติปญญาก็ตั้งไมหยุดไมถอย พนิ จิ
พจิ ารณาไมล ะไมว างเพราะสตปิ ญ ญาอยกู บั ตวั ของเราเอง นี่เรียกวามัชฌิมา คือเหมาะ
สมกบั การแกก เิ ลสแตล ะประเภทๆ และแตละกาลแตล ะสมยั ทกี่ ิเลสปรากฏตัวขึน้ มา
และตอสูกันไมลดละปลอยวาง
จิตที่ยังไมสงบก็พยายามทําใหสงบ มีสติคอยรักษาหรือควบคุมงานแหงการ
ภาวนาของตน เราเคยสง เคยคดิ กบั เรอ่ื งอารมณต า งๆ มาตง้ั แตว นั เกดิ แลว จนบดั น้ี ยงั
เสียดายความคิดอะไรอีก ความคดิ เหลา นน้ั ถา จะเปน เหตเุ ปน ผล เปน มงคล เปน
ประโยชน ดังที่ชอบคิดชอบปรุงกัน มนั กค็ วรจะเปนผลเปนประโยชนลนโลกจนไมมีที่
เกบ็ นน่ั แล แตสวนมากมีแตค วามทกุ ขเ ต็มหวั ใจ ลน หวั ใจ เรายงั เสยี ดายความคดิ เหลา
นน้ั อยู กเ็ ทา กบั เรายงั เสยี ดายหวั หนามทป่ี ก หรอื ทม่ิ แทงอยใู นฝา เทา ไมสนใจที่จะถอด
ถอนมันออกเลยนั่นเอง เวลานเ้ี ราจะถอนหวั หนามออกจากฝา เทา คือถอนกิเลสออก
จากใจ จงึ ไมค วรเสยี ดายอารมณอ ะไรในขณะทท่ี าํ ความพากเพยี ร
เราเคยคดิ มามากแลว เรอ่ื งรปู เรอ่ื งเสยี ง เรื่องกลิ่น เรอ่ื งรส เครอ่ื งสมั ผสั ที่มีอยู
ทว่ั โลกดินแดน มนั เปน เรอ่ื งของใจเราไปเทย่ี ววาดภาพสง่ิ นน้ั สง่ิ นม้ี าเปน เรอ่ื งราว และ
หลงมโนภาพของตน หลงอารมณของตน ครุนคิดในอารมณของตน ยุงในอารมณของ
ตน จนหาที่ไปที่มาไมได เหมอื นตามรอยววั ในคอกตา งหาก ไมใชของจริงอะไรเลย เรา
เสยี ดายอะไรมนั นกั หนา จนหาเวลาและความพยายามพรากจากกนั ไมไ ด
อารมณแ หง ธรรมซง่ึ จะทาํ ใหเ รามคี วามสงบเยน็ ใจ ดว ยการบงั คบั จิตลงสู
อารมณแ หง ธรรม เชน กาํ หนดอานาปานสติ ก็ใหรูลมทุกระยะของลม ทําไมจึงฝดเคือง
ดิ้นรนกวัดแกวงเอานักเอาหนา ราวกบั จงู หมาใสฝ นไมผ ดิ เลยเชน นน้ั อยา เสยี ดายความ
คดิ อยา ใหค วามคดิ ใดเขา มาแทรกในขณะทท่ี าํ งานนน้ั ความคดิ คอื สงั ขารมนั คอยจะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๓
๖๔
แทรกอยูเสมอ สงั ขารเปน ตวั มารสาํ คญั สัญญาเจา สหายกนั กย็ นื่ ตวั ออกไปอยา ง
ละเอยี ด ตามรไู ดย าก จติ ธรรมดานต้ี ามรไู ดย าก ถา จติ ทล่ี ะเอยี ดแลว กร็ กู นั ไดเ รว็
การพจิ ารณารา งกาย จะเปน รา งกายขา งนอกขา งในกเ็ อาใหจ รงิ ใหจ งั อยาสักแต
พจิ ารณาผา นไปเฉยๆ วา ไดเ ทา นน้ั ครง้ั เทา นค้ี รง้ั เทา นน้ั รอบเทา นร้ี อบ นั้นนับเอาก็ได
ไมส าํ คญั สาํ คญั ทค่ี วามรแู จง เหน็ จรงิ เพราะการพจิ ารณาดว ยความเจาะจง ดวยความมี
สตปิ ญ ญาเปน ผทู าํ งานดว ยเจตนาจรงิ ๆ จนปรากฏความจรงิ ขน้ึ มาอยา งชดั เจน เนอ่ื ง
จากการพจิ ารณาหลายครง้ั หน เมื่อชัดในสิ่งใดสิ่งนั้นก็หายสงสัย ใหเ อาจรงิ เอาจงั
การเชื่อพระพุทธเจา เชอื่ อยางนีแ้ ละทําอยางนี้ ไมเ หลาะแหละ พระพทุ ธเจา ทรง
บําเพ็ญอยางไร จงเชอ่ื ธรรมทา นและปฏบิ ตั ดิ าํ เนนิ อยา งทา น จงรกั ธรรม รักตน และ
เสยี ดายตน เสยี ดายธรรม มากกวา เสยี ดายอารมณท ง้ั หลายทเ่ี คยเกย่ี วขอ งกนั มานาน
ซึ่งไมเกิดประโยชนอะไรนอกจากโทษโดยถายเดียว พระสงฆส าวกทา นดาํ เนนิ อยา งไร
เปนคติตัวอยางแกพวกเราไดอยางดีเยี่ยม บรรดาสาวกอรหนั ตท เ่ี ราเปลง วาจาถงึ ทาน
ระลึกนึกนอมถึงทานทางดานจิตใจวา สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ อยา เพยี งระลกึ ถงึ ทา นวา เปน
สรณะเพยี งเทา นน้ั ใหระลึกถึงปฏิปทาที่ทานพาดําเนินมา เพอ่ื เปนคติตัวอยาง และเปน
กาํ ลงั ใจของเราไดกาวเดนิ ตามทาน อยางองอาจกลาหาญไมสะทกสะทานตออุปสรรค
ใดๆ ดวย แมไมไดแบบทานทุกกระเบียดก็ยังดี อยูในเกณฑของลูกศิษยที่มีครูสั่งสอน
กเิ ลสเปน สง่ิ ทล่ี ะเอยี ดแหลมคม และเปนสิ่งที่กลอมจิตใจของโลกไดอยางสนิท
ติดจม ทําใหเคลิบเคล้มิ หลงใหลใฝฝนไปตามมนั ไมมีเวลาอ่มิ พอ การเหน็ โทษยอ มเหน็
โทษของมันไดยาก ถาไมน าํ สติปญญาเขาไปจับ เขา ไปเทยี บเคยี ง เขา ไปพสิ จู นพ จิ ารณา
จะไมม ีโอกาสรเู ห็นวากิเลสน้เี ปน โทษตอ จิตใจของสตั วโ ลกเลย เพราะฉะนน้ั สตั วโ ลกจงึ
ตองมีความพอใจในความโลภ ในความโกรธ ในความหลง ความรกั ความชงั อาการ
ตางๆ ซึ่งเปนเรื่องของกิเลส จิตใจของคนและสัตวมีกิเลสชอบกันทั้งนั้น แตเรื่องของ
ธรรมซึ่งจะเปนเครื่องแกกิเลสไมคอยชอบกัน เพราะถูกกีดกันจากกิเลสที่เปนขาศึกตอ
ธรรมไมใ หช อบธรรม ไมใ หน าํ ธรรมมาตาํ หนมิ นั ไมใ หน าํ ธรรมมาแกม นั มาปราบมนั
ผูจะพอรูโทษของกิเลส ตองเปน ผไู ดสัมผัสธรรม รรู สของธรรม รูคุณคาของ
ธรรมภายในใจมากนอ ยทางดา นปฏบิ ตั ิ นาํ มาเทยี บกบั กเิ ลสในแงด ชี ว่ั สขุ ทกุ ขต า ง ๆ
และทราบโทษทราบคณุ จากระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมโดยลาํ ดบั การศกึ ษาธรรมการปฏบิ ตั ิ
บาํ เพญ็ ธรรมยอ มคอ ยเปน ไปเอง นบั แตข นั้ ลมลุกคลุกคลาน จนถึงขั้นอาจหาญเกรียง
ไกร และข้ันหมดอาลยั ในกเิ ลสโลกามสิ ทั้งมวล อนาลโย เสียได
สวนกิเลสจะตง้ั ใจหรือไมต ัง้ ใจมันก็เปนกิเลสอยูเรื่อยไป เพราะในจิตทั้งดวงมัน
เปน กเิ ลสทง้ั สน้ิ อยแู ลว มนั จงึ มอี าํ นาจมาก มีกําลังมาก เนอ่ื งจากเคยเสย้ี มสอน และ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๔
๖๕
บงั คบั บญั ชาจติ ใจของโลกมาเปน เวลานานแสนนานแลว ชนดิ ท่วี าโลกกบั มันเปนอนั
เดียวกัน เรากบั กเิ ลสกเ็ ปน อนั เดยี วกนั ไมท ราบอะไรเปน กเิ ลสอะไรเปน เรา มันกลอม
ไดถึงขนาดนั้น เปนอวัยวะอนั เดยี วกันไปหมด (สว นจดุ หมายอนั สาํ คญั ทเ่ี รามงุ มน่ั อยู
เวลานค้ี อื เรากบั ธรรม ธรรมกบั เราเปน อนั เดยี วกนั )
ปกติของสามัญชนจะหาทางรูโทษของกิเลสไมได โลภกพ็ อใจโลภเพราะกเิ ลส
พาใหพอใจ ไมเ หน็ วา ความโลภนน้ั เปน ภยั ไมเ หน็ วา ความโลภนน้ั เปน ความผดิ โลภผู
อื่นโลภได แตเ ขาโลภเราไมช อบ โกรธเขาโกรธไดดุดาเขาดาได แตเขาดาเราไมได นี่
เรือ่ งของกิเลสมนั ใหเปน อยางน้ัน ทําใหเขาใจวาเจาของถูกตองอยูเสมอทุกกรณี ทจ่ี ะ
ระลึกโทษวา ตัวผดิ นี้มนี อ ยมาก หรือไมมี ถา เปน เรอ่ื งของกเิ ลสลว นๆ หากไมมีธรรมเขา
ไปแทรกบา งจะไมเ หน็ วา ตนผดิ เลย
คาํ วา กเิ ลสจงึ ไมเ หน็ แกใ คร ไมม ใี ครแซงในความเหน็ แกต วั และความถือตวั
ใหญเ หนอื อะไรๆ โลภกม็ าก โกรธกง็ าย การเอารดั เอาเปรยี บกเ็ กง ความอาฆาตมาด
รายก็เร็วและฝงลึกไมยอมถอน ความเหน็ แกต วั กบั ความตระหนถ่ี เ่ี หนยี วใครแตะไมไ ด
สองอยางนี้เปนเพื่อนสนิทติดกันจนแกะไมออก เสยี ไปนอ ยแตจะเอาใหไ ดมากๆ ไม
ยอมเสยี เปรยี บใคร นี่แหละโลกจึงแกไมตก อยูดวยกันจํานวนมากนอยจึงมักเอารัดเอา
เปรยี บกนั เบยี ดเบยี นกนั ทาํ ลายกนั กดขี่ขมเหงกัน ใหไ ดร บั ความกระทบกระเทอื นซง่ึ
กนั และกันอยเู สมอ หาความสงบไมไ ด กเ็ พราะอาํ นาจของกเิ ลสมนั ครอบงาํ หวั ใจนน่ั แล
จะเปนอะไรที่ไหนกัน
หากมธี รรมะเปน เครอ่ื งทดสอบพนิ จิ พจิ ารณาบา ง คนเรายอมอยูดวยกันได
เพราะยอมรบั ความจรงิ ซง่ึ กนั และกนั เราเองกย็ อมรบั ความจรงิ ของเรา ตรงไหนผิดก็
ยอมรับวาผิดและพยายามแกไ ข คนอน่ื ผดิ กย็ อมรบั ตามความจรงิ โลกยอมอยูดวยกัน
ไดเ ปน ผาสกุ มธี รรมเทา นน้ั เปน คแู ขง กเิ ลส เปนเคร่อื งแกกเิ ลสตัวเสนียดจญั ไรตอโลก
หากไมมธี รรมเลย เราจะไมเห็นวากิเลสน้เี ปน โทษเปน คุณอะไรตออะไรกับตัวของเรา
และโลกทั่วๆ ไป จะเห็นเปนความถูกตองตามใจชอบไปเสียสิ้น ทั้งๆ ที่มันเปนโทษ
เมอ่ื นาํ ธรรมะเขา มาทดสอบเทยี บเคยี งแลว ยอมทราบที่ไดที่เสียที่ดีที่ชั่ว ทค่ี วรละควร
สง เสรมิ เพราะโลกมีของสองสิ่งคือดีกับชั่วเปนคูกัน
เมื่อมีสองสิ่งยอมเปนคูแขงกัน เชน คนดกี บั คนชว่ั ยอมเปนคูแขงกันอยูในตัว
อันเดียวไมทราบจะแขงกับอะไร นม้ี นั มแี ตก เิ ลสอยา งเดยี วภายในหวั ใจ หาคูแขงไมได
จงึ ไมท ราบวา กเิ ลสเปน ความผดิ เปน ความไมด ี ใหโทษแกต นอยา งไรบาง แมทุกข
ขนาดไหนก็ยอมรับ กเิ ลสพาใหค ดิ ใหป รงุ ใหพ ดู จาใหท าํ ประการใด ซง่ึ สว นมากเปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๕
๖๖
ความผดิ ก็ตองทําไปตามอํานาจปาเถื่อนนั้น เพราะไมม อี ะไรภายในใจมาคดั คา น เนอ่ื ง
จากมอี ยา งเดยี วคอื กเิ ลสเปน ผบู งการ
เมอ่ื นาํ ธรรมเขา ไปวนิ จิ ฉยั หรอื ไดยินไดฟง อรรถธรรม และอา นเรอ่ื งอรรถเรอ่ื ง
ธรรมเขา ไป ก็มีความรูแปลกๆ แฝงขึ้นมา และมีขอเทียบเคียงฝายผิดฝายถูก จากนั้นก็
มีแกใจ และพยายามแยกแยะกันออกได โดยเหน็ วา ธรรมเปน อยา งนก้ี เิ ลสเปน อยา งนน้ั
ความโลภเปน อยา งนน้ั ความไมโ ลภเปน อยา งน้ี ความโกรธเปน อยางน้นั ความไมโกรธ
เปนอยางนี้ ความหลงเปนอยา งนน้ั ความไมหลงเปน อยางน้ี ความฟุงเฟอ เหอ เหมิ เปน
อยา งนน้ั ความมใี จสงบเยน็ เปน อยา งน้ี คอ ยเขาใจไปโดยลําดบั
ทนี ก้ี ห็ าอบุ ายวธิ แี ยกแยะและนาํ ออกเปน สดั เปน สว น เปน ดี เปนชั่ว แยกออก
คนละทศิ ละทางจากตวั เราเอง ตวั เรากม็ ที ห่ี ลบซอ นผอ นคลาย หายจากทุกขไปเรื่อยๆ
เบื้องตนตองอาศัยกําลังวังชาบังคับบัญชาถูไถกันไป เพราะยงั ไมเ คยเหน็ ผลของงาน
เชน เดยี วกบั เดก็ ทาํ งานนน่ั แหละ ผูใหญตองคอยบังคับบัญชา พอลบั ตาผใู หญ เด็กก็
เถลไถล เรากเ็ หมอื นกนั เมื่อยงั ไมเห็นผลของธรรมเกิดขึน้ ที่ใจบา งเลยก็ข้เี กยี จ ตอง
อาศยั ความบงั คบั บญั ชาตวั เอง สติเปนของสําคัญ เมอ่ื ใจไดร บั ความสงบเยน็ ลงไป นี่
เปน เครอ่ื งวดั เปน ผลของงาน เปน พยานประจักษข้ึนมา
พอใจไดร บั ความสงบเพราะองคแ หง ภาวนา จะเปน ภาวนาบทใดกต็ าม เมื่อใจ
สงบแลว มนั เยน็ เย็นซาบซึ้งละเอียดออน ในขณะเดยี วกนั กเ็ หน็ โทษแหง ความวนุ วาย
ออ ที่ใจหาความสงบสุขไมไดนี้ เพราะความวนุ วายเขา ยงุ กวนจติ ใจอยเู สมอนน่ั เอง จน
หาเวลาพกั ผอนหยอ นจิตไมไ ดเ ลย จิตหาความสงบไมได บดั นจ้ี ติ ไดร บั ความสงบเยน็
เพราะอาํ นาจแหง ธรรม ธรรมกบั กิเลสกเ็ ริ่มเปนคูแขงกนั ข้ึนมาในคนๆ นั้น เมื่อใจได
รบั ความสงบกท็ ราบวา สงบเพราะอะไร สงบเพราะสมาธธิ รรม ภาวนาธรรม ก็ยอมมีทาง
ท่ีจะตอสูก ับกิเลสเรื่อยๆ ไป ไมลดละทอถอยดอยสติปญญาเหมือนแตกอน
จติ เมื่อไดร บั การอบรมอยเู สมอ ไมล ะความพยายาม จะตอ งมคี วามเจรญิ ขน้ึ
เรอ่ื ยๆ เจรญิ ขึน้ วันละเลก็ ละนอ ย เชน เดยี วกบั ความเตบิ โตของเดก็ ทไ่ี ดร บั การบาํ รงุ
รกั ษาจากผเู ลย้ี งดู จติ ใจกไ็ ดร บั การบาํ รงุ จากการเลย้ี งดกู ารรกั ษาของเรา การบาํ รงุ ดว ย
อรรถดว ยธรรม ดวยการเจรญิ ภาวนา ดว ยการระวงั รกั ษาไมใ หเ คลอ่ื นคลาดไปสทู าง
หายนะใหเ กดิ ความเดอื ดรอ น และรักษาอยูโดยสม่ําเสมอโดยความมีสติ จติ กจ็ ะมคี วาม
เจรญิ รงุ เรอื งขน้ึ เรอ่ื ยๆ จนเราไมท ราบเลยวา เบอ้ื งตน จติ เปน อยา งนน้ั และจติ เจรญิ ขน้ึ
มาเปนอยางนี้ไดตั้งแตเมื่อไร
สว นทจ่ี ะทราบชดั เปน ขณะๆ นั้นไดแก จติ ตภาวนา เวลาจิตมคี วามสงบ ในขณะ
น้ันยอ มทราบไดช ัดวา ขณะนี้จติ สงบ เมอ่ื สงบหลายครง้ั หลายหน จิตใจก็คอยเตียนโลง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๖
๖๗
เขา ไปๆ ตอนนี้สังเกตไดยากเพราะเกลี้ยงเกลาลงไปเรื่อยๆ มีรากฐานมั่นคงลงไป
เรอ่ื ยๆ อาศยั การอบรมอยโู ดยสมาํ่ เสมอ จติ ทส่ี งบแลว สงบเลา หลายครง้ั หลายหนนน้ั
นอกจากจิตจะมีความสะอาดผองใสละเอียดเขาไปแลว ยงั เปน การสรา งฐานขน้ึ ภายใน
จิตเองใหมีความแนนหนามน่ั คงยิง่ ข้นึ อกี ดว ย
พอใจมคี วามสงบบา ง เอาละทนี พ้ี จิ ารณาทางดา นปญ ญา คนดูเรอ่ื งธาตเุ รอ่ื ง
ขนั ธน ่ี การคน แรแ ปรธาตใุ หค น ใหแ ปรทต่ี รงน้ี ธาตุก็คือ ธาตุสี่ ดิน นาํ้ ลม ไฟ มีแต
ธาตุลวนๆ อยภู ายในรา งกายน้ี หาเปน เราทต่ี รงไหนมี ถา วา ดนิ กม็ แี ตดนิ ลว นๆ น้ําก็มี
แตน าํ้ ลมก็มีแตลม ไฟก็มีแตไฟ เราไปเสกสรรปน ยอเอาสง่ิ เหลา นว้ี า เปน เราเปน ของ
เรา ไมละอายธาตุสี่ ดิน นาํ้ ลม ไฟ บา งเหรอ ถา เขามีวญิ ญาณเขาพูดได เขาจะหวั เราะ
เราและดา เราจนนา อบั อายนน่ั แล วา “ไอพวกกรรมฐานโง โงตอหนาตอตาพวกขาอยาง
ไมอ ายเลยน่ี ก็พวกขาคือกองธาตุสี่ ดนิ น้ํา ลม ไฟ ทําไมไปกลาหาญไมเขาอรรถเขา
ธรรม เหมาเสกสรรวา พวกขา เปน เราเปน ของเรา เปน สตั วเ ปน บคุ คล เปน หญงิ เปน ชาย
ยุงไปหมด ก็พวกขามิใชพวกยุงเหมือนพวกแกโงๆ นน่ี า มาเสกสรรปน แตง ไปหาพระ
แสงอะไร ก็ดูตามความจริง รตู ามความจรงิ กลวั เขาจะไมว า “บา เสกสรร” หรอื ยงุ จรงิ
กรรมฐานพวกน้ี ไมเ หมอื นกรรมฐานของพระพทุ ธเจา ซง่ึ ทา นเหลา นน้ั พจิ ารณาตาม
ความจรงิ รตู ามความจรงิ ไมเ ทย่ี วเสกสรรแบบปลอมเหมอื นกรรมฐานพวกน”้ี แตนี้
เขาเปน ดนิ เขาเปน นาํ้ เขาเปน ลม เขาเปน ไฟ เราจะถือหรือไมถือ เขากค็ อื ดนิ น้ํา ลม
ไฟ อยูเ ชน นัน้ เขาไมดา เราจงึ พอมหี นา เหลอื อยู
ความถือเปนความหนักหนวงของใจเรา ความทุกขความลําบากเพราะอุปาทาน
กเ็ ปน ภาระหนกั ของเรา เพราะฉะนั้นตองแกดวยสติปญญา พิจารณาลงใหชัดในรางกาย
น้ี พระพุทธเจา ทรงรแู จง เหน็ จรงิ ดว ยกายคตาอันน้ี สาวกท้งั หลายก็เหมอื นกัน สตปิ ฏ
ฐานสเ่ี ปนทางเดนิ เพอื่ ความพน ทุกข อริยสัจสี่เปนทางเดินเพื่อความพนทุกข ฟงใหดีให
ถึงใจ ความพนทุกขจริงๆ อยูนอกอริยสัจ ความพนทุกขจริงๆ อยูนอกสติปฏฐานอีกที
หนง่ึ ทั้งสองนี้เปนทางเดินเพื่อความพนทุกข ผูพนทุกขคือจิต จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว เปน ผู
พนทุกข มใิ ชสติปฏฐานสีแ่ ละอริยสัจสเ่ี ปน ผูบรสิ ทุ ธิแ์ ละเปนผพู น ทุกข นน่ั เปน ทางเดนิ
อันชอบธรรมของจิตตางหาก
นเ่ี ราไดพ จิ ารณาเหน็ ชดั หายสงสัย กาย เวทนา จิต ธรรม พิจารณากาย กายใน
กายนอก ทา นอธบิ ายไวใ นสตปิ ฏ ฐานส่ี แตเ รอ่ื งอบุ ายวธิ ขี องเราทจ่ี ะพจิ ารณา กายคตา
สติ นั้นหาที่สิ้นสุดไมได แลวแตจะถนดั อยางใด จะพจิ ารณาใหเ ปน อสภุ ะอสภุ งั เปนปา
ชาผีดิบหมดทั้งตัวนี้ก็เปนได เพราะกายนเ้ี ปน ปา ชา ผดี บิ อยแู ลว พจิ ารณาทางภาคอสภุ ะ
ก็เปนอยางนี้ จะพจิ ารณาทางธาตทุ างขนั ธ มันก็เปนธาตุอยูแลวตามธรรมชาติของมัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๗
๖๘
เปนความจริงของตัวเองแตละอยางๆ มันปลอมอยูที่ใจดวงเดียว ที่ไปเสกสรรปนยอเขา
วา เปน อยา งนน้ั อยา งน้ี ใจอยูไมเปนสุข เพราะฉะนั้นจึงไดรับแตทุกขแบกแตทุกขอยูร่ํา
ไป เพราะความอยูไมเปนสุขของจิตเอง ถาอยูเปนสุขมันก็ไมมีทุกข เดยี๋ วเอ้ือมไปโนน
เดี๋ยวคิดไปนี้ ปรุงสิ่งนนั้ สําคัญม่นั หมายส่ิงนอ้ี ยูอยางนั้น ผลจงึ เปน ไฟขนึ้ มาเผาตน
จึงตองอาศัยสติปญญา ศรัทธา ความเพยี ร พนิ จิ พิจารณาแยกแยะเรอ่ื งสญั ญา
อารมณออกเปนชิ้นเปนอัน พิจารณาธาตุขันธใหเห็นชัดเจนตามเรื่องของธาตุของขันธ
เอา จะพิจารณาใหแตกกระจายลงไปก็แตก พจิ ารณาจนชาํ นชิ ํานาญ แมเ ราไมพ จิ ารณา
วาธาตุ มันก็เปนธาตุอยูตามหลักธรรมชาติของมันเอง พจิ ารณาวา ขนั ธ ขันธก็แปลวา
หมวด แปลวา กอง กองรูป กองเวทนา กองสัญญา กองสังขาร กองวิญญาณ ก็อยูใน
กายในใจน้ี คาํ วา ขนั ธ ขนั ธ แปลวา กอง แปลวา หมวด กองตั้งแตพื้นเทาถึงบนศีรษะ
มันกองสูงขนาดไหนกองขันธนะ
กองรูปก็คือรูปกายนี้ กองเวทนากม็ ีตง้ั แตพน้ื เทาจดบนศีรษะ กองสัญญาก็จําได
หมดตรงไหนๆ ก็จําได กองสังขารก็ปรงุ แตงไดทั้งภายในภายนอก กองวิญญาณก็คือ
ความรบั ทราบจากอายตนะภายนอก เชน รปู เสยี ง กลิ่น รส เครอ่ื งสมั ผสั เขา มาสมั ผสั
เขามาถูกตองกับ ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ก็เปนอารมณขึ้นมา ขณะทร่ี บั ทราบวา นน้ั เปน
รปู นเ้ี ปน เสยี งเปน ตน นน่ั เรยี กวา วญิ ญาณ พอผา นไปแลว ความรบั ทราบนก้ี ด็ บั ไป
พรอมๆ กบั สง่ิ ทส่ี มั ผสั ผา นไป แตอ ารมณท น่ี าํ มายดึ ไวภ ายในใจน้ี เปน ธรรมารมณไ ม
ยอมผานไปดวย โดยอาศัยอารมณอดีตที่เคยไดรูไดเห็น ไดยินไดฟงมาแลวนั้น นาํ เขา
มาหมกั ดองอยภู ายในใจ ครุนคิดอยูที่นี่ เปน อารมณอ ยทู น่ี ่ี สรา งกเิ ลสอยทู น่ี ่ี เพราะไม
มีสติปญญาแกทัน จงพจิ ารณาแยกแยะใหเ หน็ ตามความจรงิ เชน น้ี พจิ ารณาอนั ใดให
เหน็ ชดั อยา คาดคะเน อยา เดา ใหเ หน็ ตามความจรงิ มนั แสดงข้นึ มาอยา งไรใหดตู าม
ความจรงิ นน้ั นปี่ ญญาข้ันตน
อุบายวิธีของปญญานี้ไมมีสิ้นสุด ขอใหพิจารณาใหปญญากาวออกเถอะ อยู
เฉยๆ จะใหปญญากาวออกเองมันเปนไปไมได เรากเ็ คยเชอ่ื อยา งฝง ใจมาแลว วา ทาน
วา สีลปริภาวิโต สมาธิ มหปฺผโล โหติ มหานสิ โํ ส. สมาธิอันศีลอบรมแลวยอมมีผล
มาก มีอานิสงสมาก สมาธปิ รภิ าวติ า ปฺญา มหปผฺ ลา โหติ มหานสิ สํ า. ปญญาอัน
สมาธิอบรมแลว ยอมมีผลมาก มอี านสิ งสม าก ปฺญาปริภาวิตํ จติ ตฺ ํ สมมฺ เทว อาสเวหิ
วมิ จุ จฺ ต.ิ จิตอันปญญาอบรมแลว ยอมหลุดพนจากกิเลสทั้งปวงโดยชอบ แนะ ฟงดูซิ
นีเ่ รากม็ ศี ลี เปน ท่ีอบอุนอยแู ลว สมาธิก็เรงเขาไป ศลี เปน ศลี สมาธิเปนสมาธิ
อยา เขา ใจวา ศลี จะหนนุ ใหเ ปน สมาธขิ น้ึ มาเอง สมาธจิ ะหนนุ ใหเ ปน ปญ ญาไปโดยลาํ ดบั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๘
๖๙
เอง โดยไมต อ งพจิ ารณาทางปญ ญา อยางนี้ขัดตอความจริงซึ่งตองพิจารณาทางปญญา
จึงจะเปนปญญาขึ้นมาได แมสมาธิก็ตองทําใหเปนสมาธิ
เพยี งมีศลี แลวสมาธิจะเกดิ เอง มีสมาธิแลวปญญาจะเกิดเองดังนี้ แมจ นวนั ตาย
ก็ไมเกิด อยาพากันนั่งคอยนอนคอยแบบลมๆ แลง ๆ ทั้งศีล ทั้งสมาธิ ทั้งปญญาตองทํา
ใหเกิดทั้งสิ้นจึงจะเกิดมี ถาไมนําไปใชก็ไมเกิดผลอะไร เชน มีด ขวาน หรือเครื่องมือ
ตางๆ ทน่ี าํ มาใชง าน ถา ไมเ อามาใชง าน มีดก็เปนมีด ขวานกเ็ ปน ขวาน สว่ิ กเ็ ปน สว่ิ กบ
ก็เปนกบ เลอ่ื ยเปน เลือ่ ยอยูอยางนน้ั ไมส าํ เรจ็ เปน งานชน้ิ นน้ั ๆ ข้ึนมาไดโดยลําพงั เลย
นี่สมาธิก็อยูอยางนั้น ถา มศี ลี แลว ไมท าํ สมาธใิ หเ กดิ ดว ยจติ ตภาวนา สมาธิก็ไมเกิด
อยากจะใหสมาธเิ กิดตอ งทําภาวนา เมอ่ื ภาวนาขน้ึ เปน สมาธแิ ลว ถาอยากใหปญญาเกิด
ตองคิดคนทางดานปญญา ปญญาถึงจะเกิด ไมใชสมาธิจะไปหนุนใหปญญาเกิดไดเอง
ถา เปน อยา งนัน้ ไมมีใครติดสมาธิ เมื่อมีสมาธิแลวก็หมุนตัวไปเรื่อยๆ เปน ปญ ญาเลย
ปญญาก็หมุนตัวไปใหจิตหลุดพนเลย แตน ต้ี ามความจรงิ มนั ไมเ ปน เชน นน้ั
ความจริงก็คือศีลตองทําใหเกิด คือรักษาศีล สมาธิตองทําใหเกิด เมื่อทําสมาธิ
พอจติ มคี วามสงบรม เยน็ บา ง ไมหิวโหยในอารมณอะไรมากไปเหมือนแตกอนที่ไมเคย
ไดสมาธิ แลว กน็ าํ จติ นน้ั ออกพจิ ารณาในแงต า งๆ ของธาตุของขันธ จิตที่ไมหิวโหยก็ตั้ง
หนา ทาํ งานใหเ รา เมื่อทํางานก็เกิดปญญาขึ้นมา เกิดความรแู จงในแงน ั้นแงนขี้ ึน้ มา
เรอ่ื ยๆ เรม่ิ เหน็ ผลไปโดยลาํ ดบั รตู รงไหนหายสงสยั ตรงนน้ั
ปญญาก็คอยเขยิบตัวขึ้นไปๆ ตั้งแตปญญาข้ันหยาบๆ เรอ่ื ยไป จนกระทั่ง
ปญญาขั้นกลาง แลวก็กลายเปน ปญ ญาข้ันละเอยี ดไปโดยลําดบั ๆ และแกกิเลสที่พัวพัน
อยูภ ายในจติ ไปโดยลําดับเชนกนั ปญญาทั้งสามขั้นคือ ปญ ญาขน้ั หยาบ ขน้ั กลาง ขน้ั
ละเอียดและขั้นละเอียดสุดสมกับกิเลสที่ละเอียดสุดไดแก อวิชชา เม่ือพอเหมาะพอสม
กนั แลว เปน มชั ฌมิ า มชั ฌิมานห้ี มุนตัวเขา ไปตรงไหน กิเลสพังทลายลงไปไมมีอะไร
เหลอื นน่ั วธิ แี กก เิ ลสเปน อยา งน้ี ใหพ ากนั เขา ใจ อยา เขา ใจวา สมาธจิ ะเปน ปญ ญา
ปญญาจะแกก ิเลสทั้งหลายไปโดยถา ยเดยี ว ตองนําไปใชเหมือนเครื่องมือจึงจะเปน
ปญญาขึน้ มาตามลาํ ดบั
มันงา ยถา มสี มาธแิ ลว กเ็ หมอื นกบั มเี ครอ่ื งทาํ ครวั ทจ่ี ะนาํ มาปรงุ อาหารชนดิ
ตางๆ น่ันแล เครอ่ื งทาํ ครวั มพี รอ มแลว ถา เราไมป รงุ มนั กเ็ นา เฟะไปเปลา ๆ มันไมเกิด
เปน อาหารขน้ึ มาได สมาธิก็เปนสมาธิอยูอยางนั้น ดีไมดีเนาเฟะ คือติดสมาธิก็เนาเทา
น้นั ละซิ เมื่อติดแลวก็จม จมปลักอยูตรงนั้นแหละ ไปไมรอด จึงตองพิจารณา
นเ่ี คยเปน มาแลว ติดสมาธิ ผมเคยพดู ใหห มูเพอื่ นฟงหลายหน เรื่องสมาธินี่
ชาํ นาญ พูดไดอยางอาจหาญ เพราะจติ เปน สมาธิมาถึงหาหกปก วา กําหนดเมื่อไรไดทั้ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๖๙
๗๐
นน้ั มนั เปนสมาธอิ ยตู ลอดเวลา จติ เปนเหมือนหนิ มคี วามมน่ั คง แตห นิ กห็ นิ กเิ ลส หนิ
สมาธิ ไมใชหินความหลุดพน เมอ่ื เวลาปญ ญาไดแ ยกแยะเขา ไปๆ เหน็ คณุ คา ของ
ปญญา ทีนี้ก็ไปใหญ ถอดถอนกิเลสไปเรื่อยๆ ทไ่ี หนๆ ก็ไมพนปญญา ปญญาเปนผูแก
กเิ ลส สมาธเิ ปน แตเ พยี งทาํ ใหก เิ ลสสงบตวั เขา มาเพอ่ื แกก เิ ลสไดง า ย ฟาดฟนกิเลสได
งาย เพราะมันไมซานไปขางนอก ปญญาก็สนุกฟาดฟนลงไป
เมื่อกิเลสไดสิ้นสุดลงไปเพราะอํานาจของปญญาแลว นน่ั แหละคอื คณุ คา แหง
การปฏบิ ตั ธิ รรม คุณคาของใจเดนดวงเต็มที่ไมมีอะไรเสมอในโลกทั้งสามนี้ จิตเปน
ธรรม ธรรมเปน จติ ใจเปน ธรรม ธรรมเปน ใจ ธมโฺ ม ปทีโป กห็ มายถงึ ความสวา ง
กระจางแจงของใจและธรรมซึ่งอยูดวยกัน เมื่อถึงขั้นนั้นแลว จะวา ใจกไ็ ด จะวาธรรมก็
ได ธรรมคือใจ ใจคอื ธรรม ไมขัดไมของ นน่ั แหละธรรมแทอ ยูท่จี ิต ธรรมแทคือจิต จติ
แทค อื ธรรม เม่อื ถงึ ข้ันน้ีแลว หายสงสัย นค่ี ณุ คา แหง การปฏบิ ตั ธิ รรม
ทุกขก็ทุกขเพื่อไดของประเสริฐขึ้นมา เราตอ งยอมทน ถา เราเชอ่ื ตถาคตวา พระ
องคเปนผูมีเหตุมีผล ตรสั ไวช อบแลว ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง เราก็ตอ งเปน ผูมีเหตผุ ล ดาํ เนนิ
ตามหลักตถาคตที่ทรงสั่งสอนไว ผลที่พึงไดจะไปไหน จะพนจากนี้ไปไมได เพราะ
ศาสนธรรมของพระพทุ ธเจา กค็ อื ตลาดแหง มรรคผลนพิ พานอยดู ๆี นแ้ี ลว ขอใหผ นู น้ั
ดาํ เนนิ กจิ การของตนใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ยตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา เถดิ ผลจะ
พึงปรากฏขึ้นมาเปนลําดับลําดาไมตองสงสัย เหมือนพระพุทธเจาประทับอยูตรงหนานี้
แล ธรรมแสดงบทใดขน้ึ มากค็ อื ธรรมของพระองค พระองคเปนผูแสดงอยางนี้ๆ ออก
มาจากความจริงอยา งนีๆ้ เมอ่ื รเู หน็ ความจรงิ ภายในจติ ใจแลว กเ็ หมอื นรเู หน็ ความจรงิ
ของพระพุทธเจา สงสยั ไปทไ่ี หน ผใู ดเหน็ ธรรมผนู น้ั เหน็ เราตถาคต ก็หมายอันนี้เอง
เอาละแสดงเพยี งเทา น้ี
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๐
๗๑
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๗ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
อรยิ สจั ๔
พระพุทธเจา เปนผูเ ชนไรเราถึงไดกราบ เราถงึ ไดเคารพ มอบกายวาจาใจ ตลอด
ชีวิตไวกับพระพุทธเจา เราเปน ชาวพทุ ธ นับถือพระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆเปน
ชีวิตจิตใจ เวลาเขาถามถงึ พระพทุ ธเจา ถามถึงศาสนา วา ถอื ศาสนาอะไร เราตา งกต็ อบ
เขาทนั ทวี า ถือศาสนาพุทธ เมอ่ื เขาถามวา พระพุทธเจานน้ั เปน อยา งไร ศาสนาพทุ ธเปน
อยางไร และสอนวาอยางไร จะไมพนความติดเขาจนได เพราะมแี ตค วามนบั ถอื เปน
สว นมากสาํ หรบั ชาวพทุ ธเรา แตไมไดสนใจศึกษาและปฏิบัติตามหลักพุทธศาสนาเทาที่
ควรแกเ พศและวยั ของตน
คําตอบก็คือ พระพุทธคือทานผูบริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสทั้งปวง ใจบรสิ ทุ ธเ์ิ ปน
พุทธะเต็มดวง จงึ เปน ผูศกั ดสิ์ ิทธ์ิวเิ ศษกวาโลกทัง้ สาม ซึ่งอยูใตอํานาจของกิเลสอาสวะ
ครอบงําจิตใจ และเปน บอ ยเปน ทาสรบั ใชข องกเิ ลส จิตใจแมรูก็รูอยางลุม ๆ ดอน ๆ
ไปตามอํานาจของกิเลสครอบงํา ไมรูแจงเห็นจริงดังพระพุทธเจา พระองคเปนผูอยู
เหนือกิเลสจึงเทากับอยูเหนือโลกที่มีกิเลสทั้งมวล เปนผูวิเศษกวาโลกทั้งสามที่อยูใต
อํานาจของกิเลส
พระพุทธเจาอยูเหนือกิเลส เพราะสามารถเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายกเิ ลสแหลกแตก
กระจายจากพระทัย จงึ เปน ผวู เิ ศษอยา งสงา ผา เผย ความบรสิ ทุ ธใ์ิ นพระทยั คอื ความ
ประเสริฐแหงพุทธะที่บริสุทธิ์ทั้งดวง ไมมีอะไรเสมอเหมือนในโลกสมมุติ ผเู ปน พทุ ธะ
ดว ยความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั แล คือพระพุทธเจาผูประกาศพุทธศาสนา
การประกาศธรรมสอนโลก ก็ไมมีใครประกาศสอนไดทั่วทั้งสามโลกธาตุเหมือน
พระพุทธเจา เราจะเหน็ วา ใครเปน ผฉู ลาดเหนอื พระพทุ ธเจา ในโลกทง้ั สาม ซึ่งสามารถ
ประกาศธรรมทุกขั้นทุกภูมิอยางถูกตองแมนยําแกสัตวโลกที่มีจริตนิสัยตาง ๆ กัน
คําวาธรรมที่ทานนําออกประกาศสอนโลกนั้น เปนเพียงกิริยาที่ออกมาจาก
ธรรมแทซึ่งมีอยูในพระทัยที่บริสุทธิ์ลวน ๆ เทา นน้ั มิใชธรรมแทดังที่สถิตอยูในพระทัย
ของพระองคเลย คาํ วา ธรรมแทก บั พระทยั ทบ่ี รสิ ทุ ธเ์ิ ปน อนั เดยี วกนั กิริยาที่แสดงออก
จากธรรมแทน น้ั เรยี กวา ศาสนธรรม คอื ธรรมทเี่ ปน คําส่ังคําสอนเพอื่ ปฏิบัตใิ หถ งึ ธรรม
แท ซึ่งจะประจักษกับใจตัวเองดวยกัน
ธรรมประเภทนน้ั กบั ใจทบ่ี รสิ ทุ ธเ์ิ ปน อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เปนของประเสริฐ
ธรรมประเสรฐิ คาํ วา ธรรม ๆ นน้ั ทง้ั ธรรมภายในใจของทา นผรู ู ทง้ั ธรรมในหลกั ธรรม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๑
๗๒
ชาติที่มีอยูประจําโลก ใครไมส ามารถมองเหน็ ไดด ว ยตาเนอ้ื เพราะไมใ ชด า นวตั ถุ แต
เปน นามธรรมลว น ๆ
ถาธรรมในพระทัยของพระพุทธเจา ธรรมในใจของสาวกและธรรมในหลกั ธรรม
ชาตนิ น้ั เปน ดา นวตั ถุ เชน เปน สนิ คา ประเภทตา ง ๆ นําออกโชวและจําหนายใหโลกได
เหน็ และนาํ ไปใชเ หมอื นวตั ถแุ ละสนิ คา ทง้ั หลายแลว ทรพั ยส นิ และสนิ คา ทว่ั โลก จะ
แตกกระจายลมละลายไปทันที ไมม ที รัพยส นิ หรือสินคา ใดจะวิเศษศกั ด์สิ ิทธิ์ ตองเนื้อ
ตองใจ ตอ งหตู องตาและตองการย่ิงกวา สนิ คาคอื ธรรมนนั่ เลย สนิ คา ตา ง ๆ ในแดน
โลกธาตุที่เคยประกาศและนิยมกันมาตั้งกัปตั้งกัลป จะตองลมละลายไปในขณะเดียว
ไมว า สตั วว า บคุ คลในกาํ เนดิ และสถานทต่ี า ง ๆ จะหล่งั ไหลเขามาชมมาซอ้ื สนิ คา
แหงธรรมนี้ ไมม เี วลาวา งเวน เลย ไมม ใี ครสนใจสนิ คา ทง้ั หลายทเ่ี คยสนใจมากอ นนน้ั
เลย เพราะความมคี ณุ คา ความถูกเนื้อตองใจ ความประเสรฐิ เลศิ เลอแหง ธรรมทก่ี งั วาน
อยูในแดนโลกธาตุ หากสามารถผลติ ออกมาเปน ดานวตั ถุไดเหมือนสนิ คา ทว่ั ๆ ไป จะ
ผลิตชนิดใดออกมาก็ตาม จะเปน ของประเสรฐิ ไปตาม ๆ กัน ไมม ีชน้ิ ใดสว นใดแหงสนิ
คา ธรรมน้ี จะไมเปนที่ตองเนื้อตองใจของบุคคลและสัตวทั่วไป จะเปนสิ่งที่พึงใจทั้งสิ้น
แตธรรมชาตินี้ไมสามารถจะผลิตออกมาไดเชนนั้น จึงปรากฏอยูจําเพาะใจของผู
ปฏบิ ตั ไิ ดบ รรลถุ งึ ธรรมขน้ั นน้ั ๆ เทา นน้ั ไมทั่วไปแกผูไมไดไมถึง และผูไมปฏิบัติ
ตามหลกั ธรรมของพระพทุ ธเจา ทท่ี รงแสดงเปน แนวทางออกมา เชนแสดงออก
มาทางเหตุ เหตดุ ี เหตุชั่ว สอนใหร เู รอ่ื งบาปเรอ่ื งบญุ ซง่ึ เปน ความผดิ ความถกู และสอน
ใหล ะบาปบาํ เพญ็ บญุ นเ่ี ปน กริ ยิ าแหง ธรรม ไมใ ชตัวธรรมอยา งแทจ ริง แตใ หด าํ เนนิ
ตามหลักที่ทรงสอนนี้ ซงึ่ เปน เข็มทิศทางเดินเพื่อเขาสธู รรมอนั แทจรงิ โดยลําดับ
เมื่อไดประพฤติปฏิบัติตามเข็มทิศทางเดินแหงธรรม ใจยอมจะไดสัมผัสธรรม
อันแทจริง เพราะธรรมแท มใี จเทา นน้ั เปน ผรู บั ทราบ เปนผูสัมผัส นบั แตธ รรมขน้ั ตาํ่ จน
ถึงธรรมขั้นสูงสุดวิมุตติพระนิพพาน จะนอกเหนอื ไปจากเหตอุ ันดีและใจผูป ฏิบัติ
ดําเนินไปไมได
คําวาพระสงฆก็คือ ผสู น้ิ กเิ ลสแลว ดว ยความตะเกยี กตะกาย ตามรอยพระบาท
ของพระพทุ ธเจา โดยทางปฏปิ ทา จนสามารถหลดุ พน สง่ิ ทต่ี าํ่ ชา เลวทรามทง้ั หลาย ซึ่ง
เคยมอี าํ นาจเหนอื จติ ใจบงั คบั จติ ใจ ออกไปโดยสิ้นเชิง กลายเปนผูศักดิ์สิทธิ์วิเศษขึ้นมา
น่ีแหละพระพทุ ธเจา พระธรรม พระสงฆ เปน ธรรมชาตทิ แ่ี ปลกจากโลกมาก
อยา งนแ้ี ล โลกสมมุติทั้งมวล ไมมีโลกใดจะเสมอดวยพุทธ ธรรม สงฆนี้ ฉะนั้นการถือ
พระพุทธเจา พระธรรม พระสงฆ หรือการถือพุทธศาสนา จึงเปนความถูกตองดีงาม
อยางยิ่งของจิตซึ่งเปนของที่ควรประเสริฐได อัตภาพรางกายมนุษยก็เปนของคูควรกับ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๒
๗๓
ศาสนาอยแู ลว จงึ นบั วา เปน ผมู วี าสนา ไมผิดพลาดไปยึดถือสิ่งตาง ๆ ที่ไมเกิด
ประโยชน ดังที่เห็น ๆ อยูทั่วไป ซึ่งเปนที่นาสงสารมากทั้งที่ชวยอะไรไมได
นเ่ี ราเปน นกั บวช เปนผมู โี อกาสตลอดอริ ิยาบถ คือทุก ๆ อริ ิยาบถท่ีจะบาํ เพญ็
จิตใจ ชําระสะสางจติ ใจ อบรมจิตใจ ชําระสิ่งไมดีซึ่งเปนเครื่องกดถวงจิตใจเราใหนอย
ลงและหมดไปโดยลําดับ เรามีโอกาสมากมเี วลามาก จะเรยี กวา เราไดเ ปรยี บชาวบา นก็
ถูก แตไ มม เี จตนาจะเอารดั เอาเปรยี บใคร เพราะการปฏบิ ตั ธิ รรมไมม กี ารกระทบ
กระเทือนกัน เปน เจตนาทบ่ี รสิ ทุ ธข์ิ องผอู อกบวชและบาํ เพญ็ ธรรมแตล ะราย ๆ
เราพงึ เหน็ โอกาสของเราทไ่ี ดม าบวชในพระพทุ ธศาสนาน้ี วาเปนโอกาสอัน
เหมาะสมอยางยิ่ง งานของเรากเ็ ปน งานทม่ี คี ณุ คา มาก ยิ่งกวางานใด ๆ ทเ่ี คยผา นมาใน
โลก ผลทพ่ี ึงจะไดร ับจากงานทที่ ําน้ี กเ็ ปนผลท่พี งึ ปรารถนาอยางยง่ิ หากเราไมย นิ ดใี น
งานนี้ คอื การบาํ เพญ็ การประพฤตปิ ฏบิ ตั กิ าํ จดั กเิ ลสดว ยจติ ตภาวนา กเ็ รยี กวา เราพลาด
จากโอกาส เปนผูลืมเนื้อลืมตัว ลมื หนา ทก่ี ารงานของตวั ไปมากจนนาใจหาย โดยเหน็
งานอยางอื่น เรอ่ื งอยา งอน่ื ดกี วา เรอ่ื งนง้ี านน้ี เห็นสิ่งที่ไมดีวาเปนของดีไปเสีย ชอ่ื วา จติ
นม้ี คี วามรสู กึ นกึ คดิ ปน เกลยี วกนั กบั ธรรมอยา งมากสาํ หรบั นกั บวชเรา ในขณะเดยี วกนั
กเ็ รยี กวา ความคดิ นน้ั เปน ขา ศกึ แกธ รรมและตวั เราเองดว ย จงระวังใหมากอยา นอนใจ
ความคิดใดที่จะเปนการสั่งสมกิเลสขึ้นมา จะเปน ประเภทความโลภ ความโกรธ
ความหลง ราคะตัณหา แมนอยก็ตาม ใหพ งึ ทราบวา ความคดิ ประเภทนน้ั ทาํ ลายศาสนา
หรอื ทาํ ลายตวั เราเอง ศาสนากค็ อื เราเปน ผรู กั ษา การทาํ ลายกค็ อื เราเปน ผทู าํ ลาย ผล
เกดิ ขน้ึ จากการทาํ ลายกค็ อื เราเปน ผจู ะตอ งรบั เพราะฉะนน้ั จึงตอ งสํารวมระวังตนอยา ง
ยง่ิ เพราะเราบวชมาเพอ่ื สาํ รวม เพื่อกลั่นกรองความคิดความเห็นการแสดงออกตาง ๆ
ใหเขากับหลกั ธรรมวินยั ไมใ หผ ดิ พลาดได
การฝนกิเลสนั้นตองฝน ฝนใหสุดขีดสุดแดน เพราะไดเ ชอ่ื กเิ ลสคลอ ยตามกเิ ลส
โดยไมส าํ นกึ ตวั เลยวา กเิ ลสเปน ขา ศกึ แกต วั มาเปน เวลานานแลว เวลานไี้ ดม าศึกษาอบ
รมธรรมะซึ่งเปนเครื่องชี้ผิดชี้ถูก เปนเครื่องทดสอบยนื ยนั ซึง่ กนั และกนั ไดแ ลววา ธรรม
เปนของประเสริฐ กเิ ลสเปน ของตาํ่ ชา เลวทราม ไมวาจะหมักหมมอยูภายในจิตใจ ไมวา
จะแสดงกิริยาออกมาจากความคิดความปรุง การพูดการจา การกระทํา เปนสิ่งที่ต่ํา
ทรามดวยกัน ไมยังผลใหเกิดสุขอันพึงหวังเหมือนธรรมเลย ดี-ชว่ั สขุ -ทุกข ระหวา ง
กเิ ลสกบั ธรรมเดนิ สวนทางกนั เดนิ หนั หลงั ใหก นั แตไ หนแตไ รมา ไมเคยลงรอยกับ
ความถกู ความจรงิ คอื ธรรมเลย
เพราะฉะนน้ั เราเปน ผปู ฏบิ ตั ศิ าสนา เปน ผรู กั ษาจติ ใจ ปฏิบตั ิจติ ใจ จึงตองมี
ความเขมงวดกวดขันตอภัยของกิเลสทุกประเภท ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในและออกเที่ยว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๓
๗๔
กวา นเอาสง่ิ ตา ง ๆ ภายนอกมาเปน อารมณเ ผาลนตวั สว นมากกร็ ะวงั ใจเรามากกวา จะ
ไประวังภายนอก เพราะใจเราเมอ่ื ไดส มั ผสั กบั สง่ิ ภายนอก ดว ยอายตนะภายใน คอื ตา
หู จมูก ลน้ิ กาย ใจ เกี่ยวโยงกันกับอายตนะภายนอก คือ รปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่อง
สัมผัส แลว จะคดิ ปรงุ ขน้ึ มาในแงต า ง ๆ ซึ่งสวนมากอยากจะพูดวา ๙๙% มนั เปน เรอ่ื ง
ของกิเลส เปนการส่งั สมกเิ ลส และการสง เสรมิ กเิ ลสทง้ั มวล
ถาไมมีสติก็เปนไปไดทั้งรอยเปอรเซ็นต ในวันหนึ่งคืนหนึ่งโดยไมเลือกทา ใน
อิริยาบถทั้งสี่สั่งสมไดทั้งนั้น จะไมร สู กึ ตวั เลยวา เราสง เสรมิ กเิ ลส เพอ่ื ทาํ ลายธรรมทเ่ี รา
ตองการ ขณะแหงความคิดปรุงของจิตแตละขณะ มักเปนไปดวยอํานาจของกิเลสภาย
ในผลักดันออกมา โดยอาศยั อายตนะสมั ผสั กนั และธรรมารมณซ ง่ึ ไดส มั ผสั ผา นเปน อตี
ตารมณไปแลว นาํ เขา มาครนุ คดิ ปรงุ แตง ตา ง ๆ อยภู ายในใจ ใจแทนทจ่ี ะมคี วามสงบ
ผองใส กก็ ลบั กลายเปน ความเศรา หมองยง่ิ ขน้ึ ถา ขาดความระมดั ระวงั ดว ยสติ
ความเพยี รใดกต็ ามไมเหมอื นความเพยี รพยายามรกั ษาจิต และพยายามกาํ จดั
สิ่งไมดีทั้งหลายซึ่งมีอยูภายในจิตออกไป และพยายามรักษาไมใหจิตออกไปกวานเอา
อารมณตาง ๆ มีรูป เสยี ง กลิ่น รส เปน ตน เขา มาทาํ ลายจติ ใจ หรอื เขามาเพม่ิ กิเลสท่ีมี
อยแู ลว ใหก าํ เรบิ ยง่ิ ขน้ึ
งานนเ้ี ปน งานสาํ คญั มากสาํ หรบั นกั บวชเรา จึงตองตอสูกันอยางสุดฤทธิ์สุดเดช
สดุ กาํ ลงั ความสามารถ สุดสติปญญาที่จะตอสูได จงึ ชอ่ื วา เปน ผเู ชอ่ื ธรรม เปนผูตองการ
มรรคผลนิพพานอยา งแทจรงิ ไมเชน น้ันจะตอ งแพก เิ ลสไปเรื่อย ๆ โดยทเ่ี ขา ใจวา ตน
ประกอบความเพยี รเพอ่ื ชาํ ระกเิ ลส แตก เิ ลสสวมรอยเขา มาในทา และประโยคแหง ความ
เพยี รไมร ตู วั โดยที่สติปญญารูเทาไมถึงการณ หรือไมร เู ทาทนั มัน จึงตองสั่งสมสติ
ปญญาขึ้นใหพอตัว การระมัดระวังจิตใหอยูกับตัวอยาใหเผลอไดเปนการดี ถาไมอยาก
เหน็ เราเองตกเวทคี วามเพยี รใหก เิ ลสหวั เราะเยย หยนั
อยาระวังสิ่งใดยิ่งกวาระวังการกระเพื่อมของจิตที่จะคิดปรุงในแงตาง ๆ ที่เรียก
วา จติ แสวงหาอาหาร ความจรงิ นน้ั จติ แสวงหายาพษิ มาเผาตวั เอง ถาไดคิดไดปรุงเรื่อง
ใด ดวยความชอบใจพอใจตองเพลินจนลืมตัว ซึ่งสวนมากจิตที่เปนพื้น ๆ น้ี ความคดิ
ปรุงตาง ๆ มักจะเปนยาพิษทั้งนั้น เวน เสยี แตจ ติ ทม่ี สี ตเิ ทา ทค่ี วร หรือมีสติคอนขางจะ
สมบรู ณแ ละมสี ตโิ ดยสมบรู ณ ถา เปน เชน นน้ั จติ จะผลติ แตอ รรถแตธ รรม ชาํ ระสะสาง
หรือฟาดฟนแตกิเลสเรื่อยไปไมมีคําวาถอย
จิตเรายังไมถึงขั้นนั่น จึงมกั มแี ตข ั้นทําลายตัวอยดู ว ยความคดิ ความปรุง โดยเจา
ตัวก็ไมทราบ ทําลายอยใู นทางจงกรม เดนิ มแี ตก า วขาเดนิ กลบั ไปกลบั มา นั่งก็มีแตราง
นั่งอยูเฉย ๆ เหมอื นหวั ตอ แตจ ติ ลอยอยเู หมอื นวา วเชอื กขาดอยบู นอากาศ จิตลอยไป
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๔
๗๕
ตามรูป ตามเสยี ง ตามกลิ่น ตามรส เครอ่ื งสมั ผสั ตา ง ๆ แลว กก็ วา นมาเปน อตตี ารมณ
ครนุ คดิ อยภู ายในใจ เผาลนตนอยดู ว ยอริ ยิ าบถตา งๆ โดยทต่ี นสาํ คญั วา ประกอบความ
เพียร ความจริงเปน การเพยี รเพอ่ื สง่ั สมกเิ ลสโดยไมรสู กึ ตวั เพราะสตปิ ญ ญาไมท นั กล
มายาของกิเลส
ดวยเหตุนี้จึงตองมีความเขมแข็งในการระวังรักษา จุดที่จะตองรักษามากเพื่อถูก
ตองเหมาะสมก็คือจิต จิตเปนตัวคิดตัวปรุงอยูตลอดเวลา ไมมีการยับยั้ง ไมมีเวลาพัก
ผอ นตวั เลย นอกจากจะไดร บั ความสงบจากการภาวนาทถ่ี กู บงั คบั ดว ยธรรมบทใดบท
หนง่ึ เทา นน้ั แมจิตจะยังไมสงบ แตก ารบรกิ รรมธรรมบทใดบทหนง่ึ นน้ั ก็เปนทางที่จะ
ทาํ ใจใหส งบได ทา นจงึ สอนทางสมถะดว ยธรรมหลายประเภท ตามแตจะเลือกหาบทที่
ถูกกับจรติ นสิ ัยของผปู ฏิบตั จิ ิตตภาวนาเปน ราย ๆ ไป มี ๔๐ หองดวยกัน ทานเรียก
กรรมฐาน ๔๐ มีอนุสสติ ๑๐ เปนตน
งานของใจถาเปนไปดวยการบริกรรมโดยความมสี ติแลว เปน งานแท เปน งาน
เพือ่ จะทําความสงบใหแ กใจโดยถายเดยี ว ถาปราศจากสติ แมบริกรรมอยูก็ไมเกิด
ประโยชนอะไร เหมอื นนกขนุ ทองรอ งแกว เจา ขานน่ั เเล พึงทราบไวอยางถึงใจ
จุดที่รักษาคือใจ อยาลืม มใี จดวงเดยี วเทา นน้ั แหละ กาย วาจาเปน เครอ่ื งมอื จิต
เปน นายผบู งการ กายเปน บา ว กาย วาจา เปนเพียงเครื่องมือ เปนเครื่องใชของใจ ใจ
เปน สาํ คญั จงึ ควรไดร บั การอบรมศกึ ษาและการระมดั ระวงั อยเู สมอ อยา เหน็ สง่ิ ใดดี
และประเสรฐิ เลศิ เลอ ยิ่งกวางานคือการรักษาใจดวยสติ ไมใหสิ่งอื่นใดมากระทบ
กระเทอื นอนั จะเปน เหตใุ หเ กดิ อารมณฟ งุ ซา นราํ คาญ เพิ่มทุกขเขาไปอีก
ทุกขก็ยอมรับวาทุกข เพราะเราทาํ งาน อยา ถือความทุกขค วามลาํ บากในการ
ประกอบการงานทช่ี อบนม้ี าเปน อปุ สรรค จะกาวไมออก ไปไมรอด ทุกขก็ยอมรับใน
เวลาทาํ งาน แมแ ตตายเรายงั จะยอมตาย เหตใุ ดเราจะยอมทกุ ขเ พอ่ื การงานทช่ี อบธรรม
นี้ไมไดละ นี่คืออุบายวิธีการอบรมหรือซักซอมตนเอง โตต อบระหวา งกเิ ลสกบั ธรรม
ภายในใจเราเอง ไมอยางนั้นฝายธรรมตองแพกิเลส ตองมีการโตตอบกันดวยอุบายวิธี
ตาง ๆ
ความทุกขอยูเฉย ๆ มันก็ทุกข การสง่ั สมกเิ ลสดว ยกริ ยิ าตา ง ๆ มันก็ทุกข แต
เราไมส นใจเพราะใจชอบ จึงเขาใจวามันไมทุกข ความจริงมันทุกขดวยกันทั้งนั้น เมื่อได
เคลื่อนใจเคลื่อนกายออกไปจากความเปนปกติแลวยอมทุกข เราตั้งหนาตั้งตาประกอบ
ความพากเพียรเพือ่ บาํ รุงรกั ษาใจ ก็ยอมเปนทุกขเปนธรรมดา ไมวา งานของกิเลสและ
งานของธรรม ยอมเปนทุกขดวยกัน ดวยเหตุนี้เราจึงตองรักษาเพื่อความปลอดภัยของ
ใจ สมเจตนาทม่ี าบวชเพอ่ื บาํ รงุ รกั ษาตวั ดว ยศลี ธรรม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๕
๗๖
กิเลสที่ยังไมเกิดขึ้นก็ไมยอมใหเกิดขึ้น ทเี่ กดิ ขึน้ แลว ฝงอยภู ายในใจก็พยายาม
ชําระสะสางออกไป นี่คืองานที่ชอบ งานอันแทจริงของพระ ไดแ กง านขดุ คน ทาํ ลาย
กเิ ลสทุกประเภททีฝ่ ง จมอยูภ ายในใจดวยความพากเพียร มีสติปญญาเปนเครื่องมืออัน
สาํ คญั นี่คืองานที่ชอบแท ผลทีจ่ ะพงึ ไดร บั จากการรกั ษาจติ ดวยอุบายดงั กลาวนี้ อยาง
นอยก็คือความสงบเย็นใจ ยง่ิ กวา น้ันกส็ งบละเอียดลงไป และเกดิ ความแยบคายทาง
ปญ ญาคอื การคน คดิ การพนิ จิ พจิ ารณา จิตจะมีโอกาสขยายตัวได มีชองทางที่จะขยาย
ตัวออกจากเครื่องหุมหอพัวพัน ใหเ หน็ ความแปลกประหลาดและอศั จรรยข องธรรม
ภายในใจโดยลาํ ดบั เมื่อเพิกถอนกิเลสออกไปเรื่อย ๆ เพราะกเิ ลสเปน ผปู ด บงั เปน ผู
หมุ หอ จิตดวงประเสรฐิ น้นั ไว ใหมืดมิดปดทวารทั้งกลางวันกลางคืน ยนื เดนิ นง่ั นอน
ลวนอยูกับความมืดบอดเรื่อยมา ไมสามารถมองเหน็ ของประเสริฐทม่ี อี ยูในใจน้ันได
เพราะถูกปดบังไวอยางมิดชิดจากกิเลสทั้งหลาย
บัดนี้เปนเวลาที่เรามารื้อถอนกิเลสทั้งมวล ดว ยความเพยี รทไ่ี ดร บั การศกึ ษา อบ
รมมาจากตาํ รบั ตาํ ราและจากครอู าจารย นาํ ความรหู รอื คติธรรมตา ง ๆ นั้นเขาไปทํา
หนาที่ถอดถอนกิเลสประเภทตางๆ ใหหมดสิ้นไปจากใจ ใจจะไดมีความสงบรมเย็น ใจ
สงบคือใจไมคะนอง ไมฟงุ ซานรําคาญกบั สิง่ ที่เปน ฟนเปนไฟทั้งหลายท่ีเคยเปน มา คิดก็
คดิ ในแงอ รรถแงธ รรม แมจะเปน ความคดิ เหมือนกันก็ตาม แตค วามหมายแหง ความ
คิดที่เปนภัยกับความคิดที่เปนคุณนั้นตางกัน คดิ ในแงธ รรมยอ มเปน ความสงบรม เยน็
เปนความคิดที่ถูกตอง คิดในแงผูกมัดในแงทําลายตนเอง เปน ความคิดท่ีผิดและเกิด
โทษทุกขแกตน จงระมดั ระวงั ไมช นิ ชาหนา ดา นจะกลายเปน สนั ดาน กิเลสพอกหัวตอไป
อีก และแบกกองทุกขไมมีเวลาจบสิ้นลงได
เดินไปไหนก็ดี อยูสถานที่ใดก็ดีอยางนอยใหมีสติอยูกับตัว หรอื ผบู รกิ รรมกใ็ ห
สติอยูกับคําบริกรรมของตัว เวลาบรกิ รรมไปนานๆ จติ มคี วามละเอยี ดแลว คาํ บรกิ รรม
แทบจะไมปรากฏ ไมป รากฏกใ็ หร ะลกึ รอู ยเู ปน คาํ บรกิ รรม จนจติ กบั คาํ บรกิ รรมกลม
กลืนเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน กป็ ลอ ยคาํ บริกรรมนั้น ๆ ได ในขณะนน้ั เหลอื แตค วามรู
เดน ดวงโดยลาํ พงั เทา นน้ั
เมอ่ื จติ ขยบั ตวั จะคดิ ปรงุ กเ็ รม่ิ คาํ บรกิ รรมเขา อกี นค่ี อื อบุ ายทาํ ใจใหส งบจาก
อารมณกอกวน ทําไป ใจสงบไปเปน พกั ๆ ไมล ะความเพยี ร เพยี รเรอ่ื ยไป เพยี รไม
ถอยจิตก็คอยกาวไปเอง กิเลสก็คอยสงบตัวลง ธรรมก็มีกําลังมากขึ้น อยา ชะลาใจวา
กิเลสเปนของไมสําคัญ นแ่ี ลคอื ตวั สาํ คญั ในไตรภพ มันพาสัตวโลกใหลมจมอยูใต
อํานาจของมันมากี่ภพกี่ชาติแลว จนไมส ามารถนบั อา นไดเ ลย เพราะฉะนั้น การทจ่ี ะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๖
๗๗
ถอดถอนใหไดอยางใจหวัง เพียงกะพริบตาเดียวเทานั้นจึงเปนไปไมได อยาพากันหาญ
คดิ เปน อนั ขาด ถาไมอยากถูกกิเลสหลอกเขาไปอีก
หากเปน ไปไดแ ลว ธรรมะของพระพุทธเจาก็จะทรงสอนวา “ธรรมะกะพริบ
ตาเดยี ว” ไมจําเปนตองมีมากถึง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ ซึ่งเปนอุบายเพื่อแกเพื่อถอด
ถอนกิเลสทั้งนั้น ถา ลงปฏบิ ตั เิ ขา ขน้ั กะพรบิ ตากส็ าํ เรจ็ แลว ธรรมเหลา นน้ั กไ็ มจ าํ เปน
ตองมีมากมาย มเี พียงวา ธรรมะกะพรบิ ตาเดียว กเิ ลสกเ็ สรจ็ เรยี บวธุ มดุ หวั ไปเลย โลกก็
จะไดผานพนจากทุกขไปหมด ไมม ใี ครเหลอื ตกคา งอยใู นโลกวนุ วายซาํ้ ซากนเ้ี ลย
กิเลสไมใชเปนของจะหักจะฟนใหขาดไดงาย ๆ ไมม กี เิ ลสตวั ไมเ หนยี วแนน
เหนียวทส่ี ุดแนนที่สุดกค็ อื กเิ ลส เปน ธรรมชาตทิ ก่ี ลอ มจติ ใจสตั วใ หเ คลบิ เคลม้ิ หลงใหล
ไดงายที่สุดก็คือกิเลส ไมว า จะเปน ประเภทหยาบ ประเภทกลาง ประเภทละเอียด ลว น
แตหลอกสตั วโ ลกใหห ลงไดอยา งงายดายสบายมาก จะเห็นไดชัด ๆ เชน ความโลภ ก็
ทราบแลว วา ความโลภไมใ ชข องดี ยังพอใจโลภ คาํ วา พอใจโลภกเ็ พราะเชอ่ื กเิ ลสตวั โลภ
นั้นเองมันถึงพอใจ ถาไมพอใจก็ตองตอสูกัน ความพอใจยอมไมมีทางตอสูนอกจาก
คลอยตาม
ความโกรธ โกรธใหเ ขาอยภู ายในจติ ใจ มันก็เปนไฟอยูภายในใจของตนอยูแลว
ยังแสดงออกมาทางอาการอีก จนตาดําตาแดง ดูรูปลักษณะในขณะที่โกรธเหมือนยักษ
เหมือนผีก็ยังพอใจทํา ยงั เหน็ วา ตวั ดี ถอื วา ตวั ดยี ง่ิ กวา คทู ะเลาะววิ าท กวาคนท่ไี มโกรธ
และกวา เวลาอยูปกตเิ สยี อกี นน่ั ไมเ ชอ่ื จะทาํ ไดอ ยา งนน้ั หรอื คนเรา ไมเชื่อความโกรธนะ
จะยอมสละคุณคาแหง ความสงบงามตาพลบี ูชาความโกรธไดล งคอหรอื จนคนอื่นทนดู
ไมไดตนยังสําคัญวาดีอยูได ทง้ั นก้ี เ็ พราะความเชอ่ื กเิ ลสนน่ั เอง โกรธขนาดไหนก็พอใจ
โกรธ จนดูไมไดก็พอใจ
ความหลงนะ หลงกันจนไมมีวันมีคืนมีปมีเดือน หลงมานานเทา ไร โลกเคยมี
ความอิ่มพอกันเมื่อไร ยง่ิ ดืม่ ด่ํากวา เขาติดเฮโรอีน กลอุบายใด ๆ ของกิเลสมันเปน
เยี่ยมทั้งนั้น ไมม คี าํ วา เลว ลา สมยั ไรค า มีแตทันสมัยหรือล้ํายุคมาตลอดไปตลอด อยา
พากนั หวงั จบั หรอื ฆา กเิ ลสตวั ลา หลงั ดว ยความเพยี รแบบกอนแลว นนิ กินแลวนอน
แมป ระเภทละเอยี ด มันก็สามารถหลอกสติปญญาขั้นละเอียดไดอีกเชนเดียวกัน
เพียงขั้นหยาบ ๆ นี้ เราก็เห็นกันไดอ ยางชดั ๆ ไมน า สงสยั แลว วา กเิ ลสมนั แหลมคม
ขนาดไหน จึงหลอกคนไดทุกแงทุกมุมและทุกประเภทแหงมวลสัตว ไมม ใี ครรสู กึ ตวั วา
ตวั ไดเ สยี เปรยี บใหก เิ ลส นอกจากนักปฏิบัติที่ปกสติปญญาเขาสูใจ ตั้งหลักไวที่ใจ
ความคิดปรุงตาง ๆ จะออกไปในแงใด แงค วามโลภหรอื ความโกรธ หรอื ความหลง
หรอื ราคะตณั หา คือความรักความชอบประการใด จะแสดงขึ้นมาที่จิตนี้กอนอื่น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๗
๗๘
เมอ่ื มีธรรมเปน เครอ่ื งสอดสอ ง มธี รรมเปน เครอ่ื งทดสอบคอื สตปิ ญ ญา ตอง
ทราบความกระเพื่อมความเคลื่อนไหวของจิตวาออกไปในแงใด ในแงผิดหรือแงถูก ถา
แงผิดก็รูทันทีและดับไปพรอม ๆ กัน ไมมีการลุกลามไปไดและหักหามกันได แมจะพอ
ใจคดิ ไปกต็ าม ธรรมพาใหฝ น คอื พาใหห กั หา ม เพราะเราเชอ่ื ธรรมเรากห็ กั หา มมนั ได
จะทุกขขนาดไหนก็พอใจในธรรม หกั หา มกเิ ลสซงึ่ เปน สิ่งท่เี คยพอใจมาแลวลงไดดว ย
ธรรม
หากไมมีธรรมเปนเครื่องทดสอบเปนเครื่องเทียบเคียงเปนเครื่องสอดสอง ตอง
เชื่อกิเลสวันยังค่ําคืนยังรุงตลอดไปทุกภพทุกชาติ หาทางพนจากกิเลสไปไมได การแก
กิเลสจึงไมใชเปนของแกไดงาย ๆ ตองอาศัยหลักธรรม อุบายสติปญญา เขาประชิดติด
พันอยูตลอดอิริยาบถตาง ๆ
อยา เสยี ดายความคดิ ความปรงุ ไปกบั รปู เสยี ง กลิ่น รส เครอ่ื งสมั ผสั ซึ่งเคยคิด
เคยปรงุ เคยสมั ผสั สมั พันธม าแลวตัง้ แตร จู ักเดียงสาภาวะจนกระท่ังบัดนี้ ไมเห็นมีอะไร
ดขี น้ึ กวา ทเ่ี คยผา นมาเลย ควรจะนาํ สง่ิ ทเ่ี คยผา นมาแลว นน้ั มาทดสอบบวกลบคณู หาร
กันดู กบั การระมัดระวังรักษาจติ ใจดวยความเขม แข็ง โดยอาศัยสติปญญาเปนเครื่อง
รักษา อันใดดีทางไหนดี
เพยี งใจไดร บั ความสงบจากความฟงุ ซา นเกย่ี วกบั เรอ่ื งโลกสงสาร แมช ว่ั ระยะ
เวลา เรายงั รสู กึ มคี วามสขุ มากและฝง ใจจาํ ไมล มื เกดิ ความตน่ื เตน ภายในใจ มคี วาม
กระหยิ่มยิ้มยองขณะที่จิตมีความสงบตัวลงไป นแ้ี หละเปน คณุ คา แหง ธรรมทเ่ี ปน กาํ ลงั
ใจพอจะฟดเหวี่ยงกันไดกับกิเลส ทเ่ี คยรรู สชาตขิ องมนั มานาน กบั การมารรู สชาตแิ หง
ธรรม คือความสงบเย็นใจเพียงชวั่ ขณะเทานัน้ เพราะการปฏิบัติก็พอเทยี บเคียงใหเปน
ที่เขาใจกันได
มันมีอะไรบางในโลกแหงขันธนี้ เราต้ังความหวงั เพอื่ อะไร ตั้งปญหาถามตัวเอง
ซิ ถามคนอื่นไมไดเรื่อง ดีไมดีทะเลาะกันเปลา ๆ จงตั้งปญหาถามตัวเองเพราะคดีที่
เกี่ยวของกันมันมีอยูที่ใจดวงเดียวนี้ ระหวา งสมทุ ยั กบั มรรคโตว าทหี รอื รบกนั กร็ บทจ่ี ติ
ถอื จติ เปน สนามรบ รบกนั ที่นี่ สกู นั ทน่ี ่ี ใหเ หน็ ดาํ เหน็ แดงกนั ทน่ี ่ี
อยาหวังเอาชัยชนะ อยา หวงั เอาความประเสรฐิ เลศิ เลอทไ่ี หน นอกไปจากการรู
เหตรุ ผู ลระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมในใจดวงน้ี และแกกันที่นี่ดวยความเพียรอันเขมแข็งเทา
นน้ั จงประมวลมาวา ไมมีสิ่งใดจะตอบสนองความตองการของเราใหเปนที่พึงใจได
นอกจากความเพียรเพื่อความหลุดพน สมกบั เราเปน นกั บวชและนกั ปฏบิ ตั ิ ความ
ประเสรฐิ อยตู รงน้ี ความเปน ขาศกึ และเคยเปนขาศกึ ก็อยูตรงนี้ แกก็แกลงตรงนี้ใหถูก
จดุ ของหลกั สจั ธรรม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๘
๗๙
ทุกฺขํ อรยิ สจจฺ ํ ทุกขเปนของจริงเต็มสวนอยูแลว พระพทุ ธเจาตรสั วาเปน ของ
จรงิ แตทําไมโลกจึงกลัวกันนักหนาเรื่องทุกข ก็เพราะหัวใจปลอม จากความผสมคละ
เคลากับกเิ ลสตวั จอมปลอม ใจถึงไดกลัว เพราะมีสิ่งพาใหกลัว ความกลวั นน้ั คอื ตวั
สมุทัย จึงทําใหผูที่กลัวนั้นเกิดทุกขเปนลําดับ กลัวมากยิ่งทุกขมาก สตั วโ ลกกไ็ มท ราบ
วา ความกลวั นน้ั เปน ภยั แกต วั เอง จงึ ทกุ ขห ลายชน้ั หลายเชงิ
ทุกขตามหลักธรรมชาติแหงธาตุแหงขันธก็เปนทุกขอันหนึ่งอยูแลว ความกลวั
ทกุ ขจ นเสยี อกเสยี ใจวนุ วายไปตา ง ๆ ยอมสรางความทุกขขึ้นที่ใจอีกชั้นหนึ่ง เลยเปน
ทุกขทั้งทางกายทุกขทั้งทางใจ จนหาที่ปลงวางไมได เปนไฟไปทั้งกายทั้งใจ เพราะจติ ใจ
ปลอมจึงหาความจริงจากทุกขไมได และปลงใจเชื่อธรรมวาตางอันตา งจริงไมไ ด ฉะนั้น
จึงหาความสุขจากสัจธรรมไมได
สจั ธรรมเปน แดนแหง ความพน ทกุ ข แดนพนทุกขมีอยูในสัจธรรมนี้ไมมีอยูใน
สถานที่อื่น ทกุ ขฺ ํ อรยิ สจจฺ ํ ไดกลาวแลวเมอ่ื กน้ี ้ี คือความทุกขทางกายทางใจ ทุกขทางใจ
เปนผลเกิดขึ้นจากสมุทัยแดนผลิตทุกข ทา นกลา วไวเ ปน หลกั ใหญว า กามตัณหา
ภวตณั หา วภิ วตณั หา ในธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ความทะเยอทะยานอยากในกามคือ
สิ่งที่ชอบใจ ความอยากมอี ยากเปนในแงต า ง ๆ จนหาประมาณไมได ความอยากใน
ของไมมี อยากเทา ไรกไ็ มส าํ เรจ็ อยากลมๆ แลง ๆ ใหเ กดิ ทกุ ขเ ปลา ๆ เชน เกดิ แลว จะ
ไมใหตาย ความแปรสภาพอยตู ลอดเวลากอ็ ยากใหย นื ยงคงถาวร มนั จะยนื ยงคงถาวร
ไดอยางไร ธาตุขันธทั้งหมดนี้เปนกอง อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า อยูแลว จะบงั คบั ใหม นั เปน
ไปตามความอยากไดอยางไร นว่ี ภิ วตณั หา คอื ความทะเยอทะยานอยากในของไมมี ถึง
เวลาจะตายก็ยังไมอยากตาย ดน้ิ รนกระวนกระวาย ดิ้นเทาไรก็ยิ่งเปนทุกข เพราะหวั ใจ
พาใหด น้ิ หวั ใจพาใหเ ปน ทกุ ข นแ่ี หละทา นเรยี กสมทุ ยั แลว จะเอาอะไรมาระงบั ดบั มนั
ทา นวา มรรคเปนเครื่องมือดับสัจธรรมทัง้ สองประเภทนีไ้ ด ทุกขทานบอกวา พึง
กาํ หนดรเู ทา นน้ั ไมเปนส่งิ สําคัญอะไรมากนักเลย แตการกําจัดนี้เปนของสําคัญ คือ
กาํ จดั สมทุ ยั ดว ยมรรค เอา เรียนใหถึงกัน พระพุทธเจา สอนธรรมใหถึงความจรงิ เรา
เรยี นธรรม ฟง ธรรม ปฏิบัติธรรมตองทําใหถึงความจริง เมื่อถึงความจริงแลวจะหา
ความปลอมไมไดเลย
สมั มาทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปโป หมายถึงองคปญญา ถา เปน ดาบกเ็ ปน ดาบอนั คม
กลา ไมมีสิ่งใดที่ดาบนี้จะตัดไมขาด กเิ ลสประเภทใดเปน ขาดสะบน้ั ไปเลย เพราะ
สมั มาทฏิ ฐิ สมั มาสงั กปั โป ที่เรียกวาองคปญญา
สมั มาวาจา ก็กลา วชอบในทางความพากเพียร ในสมณวาจา ไมกลา วนอกลู
นอกทางของผูปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๗๙
๘๐
สมั มากมั มนั ตะ การงานชอบ กด็ งั ทเ่ี ราทาํ กนั อยนู ้ี การปด กวาดลานวดั การทํา
ขอวตั รปฏิบัติ การเดนิ จงกรมนง่ั สมาธภิ าวนา นี้คือการงานชอบ แตขอใหสติกับจิต สติ
กับปญญามาควบคุมงานนี้จึงจะชอบ ทําไปเฉย ๆ สักแตวาทําก็ไมจัดวางานชอบ นอก
จากจะจดั เขา ประเภทงานเผลอ งานรวนเร งานเรร อ น เพราะจิตไมมีที่ยึด ทห่ี มาย
กลายเปน งานลอยลมไปเทา นน้ั เพราะทาํ ดว ยโมหะ ฉะนั้นสติจึงเปนของสําคัญใน
สมั มากมั มนั ตะ
สมั มาอาชวี ะ อยา งหยาบ ๆ กบ็ ณิ ฑบาตมาเลย้ี งชพี ซึ่งเปนงานที่ชอบธรรมของ
นกั บวช ปณฺฑิยาโลปโภชนํ นสิ สฺ าย ปพฺพชฺชา. ตตฺถ เต ยาวชีวํ อสุ สฺ าโห กรณีโย.
บรรพชาอปุ สมบทแลว ใหพ วกเธอทง้ั หลายไปเทย่ี วบณิ ฑบาตมาฉนั ดว ยกาํ ลงั ปลแี ขง
ของตนเถิด นเ้ี ปน งานทช่ี อบธรรมทส่ี ดุ กบั เพศแหง ความเปน นกั บวช จงทาํ ความ
อุตสา หพ ยายามอยางน้ีตลอดชวี ติ อยาขี้เกียจนะพูดงาย ๆ อยางภาษาพระภาษาธรรมะ
ที่ตรงไปตรงมาก็วา ถา ไมข เ้ี กียจกินกอ็ ยาขเ้ี กยี จไปบิณฑบาตมาฉนั นะ ขเ้ี กยี จบณิ ฑบาต
แตขยันกินก็เขากันไมได นี่พูดอยางภาษาของพระเรา เรยี กสมั มาอาชโี วขน้ั หนง่ึ
สัมมาอาชโี วอีกขั้นหนึ่งก็คือ ดแู ลบาํ รงุ รกั ษาจติ ใหช อบธรรม นาํ ธรรมอนั เปน
ความชมุ เยน็ เขา มาหลอ เลย้ี งจติ นําสติปญญา ศรัทธา ความเพยี รเขา มาหลอ เลย้ี งจติ
อยาใหจิตหิวโหยในอาหารที่ถูกกับมโนธาตุ อยา นาํ อารมณอ นั เปน ยาพษิ เขา มาทาํ ลาย
จิตใจ เชน อารมณอนั เปนวิสภาค คอื เปนขา ศกึ ตอ ธรรมหรือตอใจเขา มาทําลายใจ
เรยี กวา เลย้ี งจติ ชอบธรรม ชีวะ ความเปนอยู จิตพาใหเปนอยู ใหเ ลย้ี งอาหารคอื ธรรม
แกจิตโดยชอบธรรม เพอ่ื จติ จะไดมคี วามร่นื เริงบันเทิงกระปรก้ี ระเปรา ขึ้นมา เพราะได
อาหารเปนที่ถูกกับธาตุของตน คือ มโนธาตุ เมอ่ื จติ ไดอ าหารคอื ธรรมเขา หลอ เลย้ี ง
ยอมมีกําลัง สมาธิ ปญ ญา ยอมจะเกิด ยอมจะเจริญทุกขั้นของสมาธิทุกขั้นของปญญา
จนกลายเปนวิมุตติขึ้นมาได
สมั มาวายาโม ทา นบอกวา เพยี รในทส่ี ส่ี ถาน กเ็ ขา ใจอยแู ลว เพยี รละบาปทเ่ี กดิ
ขึ้นแลวไมใหเกิดขึ้น เพยี รสง่ั สมกศุ ลคอื ความฉลาดใหเ กดิ ขน้ึ ภายในจติ ใจ เอากนั ยอ ๆ
อยา งน้ี เพยี รอยใู นกาย เวทนา จติ ธรรม นเ่ี รยี กวา เพยี รชอบ พจิ ารณากรรมฐาน เกสา
โลมา นขา ทนฺตา ตโจ ดูใหตลอดทั่วถึง เพียรอยูที่ตรงนี้ หนังกําหนดถลกออกมาดูซิ
ขางนอกมีแตผิวบาง ๆ โลกตื่นกันที่ผิวนี้ เขา ขา งในเยม้ิ ไปดว ย ปุพฺโพ โลหิต นาํ้ เนา นาํ้
หนอง เต็มไปดวยของปฏิกูลทั้งสิ้น นา เกลยี ดนา กลวั ปา ชา ผดี บิ มนั อยใู นตวั ของเราแต
ละคน ๆ นี่คือความเพียรชอบ ดใู หเ หน็ เหตเุ หน็ ผลในความจรงิ อนั น้ี ทาํ ไมจงึ เสกสรร
ปน ยอกนั วา ดวี า สวยวา งามเอานกั เอาหนา เหมอื นกบั จะเหาะบนิ ไปได ทั้ง ๆ ที่ไมมีปก
เสกสรรกนั ไปหาสมบตั พิ ระแสงอะไรมนั ขดั ตอ ความจรงิ จนถึงกับธรรมกาวไมออก เขา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๐
๘๑
ทางจงกรมไมได นง่ั ภาวนาไมไ ด เพราะกลัวของดิบของดีของสวยของงามนั้นจะถูก
ทาํ ลาย จะบอบช้ํา จะทกุ ขล าํ บาก จะตายจากไป จะไมไดรักสงวนและกอดรัดอยูนาน ๆ
เปนทุกขไปนาน ๆ
จงดูใหเห็นตามความจริงของมัน สถานทเ่ี กิดท่ีอยูมนั เปน ยังไงส่ิงเหลาน้ี มนั เกดิ
มาจากที่สกปรกโสมมทั้งนั้น เวลาเปนอยูกอ็ ยูดวยความสกปรกโสมม ส่งิ ทน่ี าํ เขาไป
บํารุงรักษาก็ลวนแตเปนของสกปรกโสมมทั้งสิ้น ของสะอาดสะอานนําเขาไปบํารุงรักษา
ไมได เพราะไมใชวิสัยของกายอันเปนของสกปรกจะรับไวได ความจรงิ เปนดงั น้ี หา
ความสะอาดที่ตรงไหนมี พจิ ารณาอยา งนซ้ี ิ เรยี กวา สมั มาวายาโม
สมั มาสติ ก็ตั้งสติไวในสติปฏฐานสี่ การพิจารณานี้ก็ตั้งสติไวชอบ พจิ ารณาไป
ตรงไหนในอาการ ๓๒ อาการใดก็ตาม หรือทั้งหมดทุกอาการก็ตาม ใหม สี ตเิ ปน ผคู วบ
คุมงานไปเสมอ ทานเรยี กวา สมั มาสตใิ นองคม รรค
สมั มาสมาธิ เมอ่ื พจิ ารณาชอบธรรมแลว ความสงบก็สงบโดยชอบ คือสงบอยู
ภายในจติ ดวงทเ่ี คยฟงุ ซา นนแ้ี ล เรียกวา สมั มาสมาธิ ไมห ลงโลกหลงสงสารไปไหน
แบบพอสงบแลวความรูกห็ ลุดออกจากตัว เหาะเหนิ เดนิ ฟา ไปเหน็ นรก ไปเหน็ สวรรค
ไปเหน็ โนน ไปเหน็ น้ี ทั้ง ๆ ที่จิตยังไมสงบตัวถึงไหนเลย มันขายกอนซื้อไปแลว ที่ถูก
และไมลอแหลมตอความผิด คอื ใหเ หน็ นรกสวรรคอ ยภู ายในจติ ใจนเ้ี สยี กอ น ภายนอก
ไมเ ปนปญหาอะไรนักเลย ใหส งบอยภู ายในใจน้ี เพราะใจเปน ผฟู งุ ซา น ใจเปนผูกอทุกข
ใจเปน ผกู อ ความวนุ วายใหแ กต วั เอง ใหสงบลงดวยธรรม ดว ยการภาวนาอยภู ายในกาย
ในใจน้ี เมอื่ จิตสงบลงดว ยวธิ นี ี้ ไมสงกระแสใจออกไปสูอารมณภายนอก อนั เปน การยุ
แหยกอกวนตนเอง นน้ั เรยี กวา สมั มาสมาธิ
นแ่ี ล มรรคท้ังแปด สรปุ เขา มาแลว เรยี ก ศลี สมาธิ ปญญา รวมอยทู น่ี ่ี นี่คือ
เครอ่ื งแกก เิ ลสและเปน สจั ธรรม คอื ความจรงิ ประเภทหนง่ึ
นโิ รธ ไมคอยมีปญหาอะไรมากนัก ขอใหด าํ เนนิ มรรคปฏปิ ทานใ้ี หพ อตวั เถอะ
นิโรธคือความดับทุกข จะเปน ขน้ึ เพราะอาํ นาจของมรรคนน่ั แล เชน เดยี วกบั เรารบั
ประทานอาหาร รบั ประทานลงไป ๆ ความอม่ิ หนาํ สาํ ราญกป็ รากฏขน้ึ โดยลาํ ดบั ๆ
ความหิวโหยก็ดับลงไป ๆ มันเปนเรื่องของมันเอง เราไมจําเปนตองไปสรางนิโรธขึ้นมา
ใหส รา งมรรคนใ้ี หพ อเพยี ง นโิ รธพงึ ทาํ ใหแ จง พึงทําใหแจงดวยอะไร ถา ไมทําใหแจง
ดว ยมรรค คือศีล สมาธิ ปญญา หรอื ดว ยมรรคแปดนเ้ี ทา นน้ั ไมมีอยางอื่นที่จะทํานิโรธ
ใหแจงได เพยี รจะไปสรา งนโิ รธใหแ จง วนั ยงั คาํ่ คนื ยงั รงุ กต็ ายทง้ิ เปลา ๆ ไมเกิด
ประโยชนอะไร ถา ไมส รา งมรรคใหม กี าํ ลงั อบรมมรรคใหม กี าํ ลงั ขน้ึ มาปราบกเิ ลสให
เรยี บราบไป นโิ รธความดบั ทกุ ขก เ็ ปน ขึน้ เอง โดยไมตองไปทําหนาที่เหมือนมรรค
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๑
๘๒
มรรคนเ่ี ปน ของสาํ คญั สมทุ ยั เปนของสําคัญเพยี งไรมรรคมีความสําคญั เพยี งนนั้
สัจธรรมทั้งสี่นี้มีสําคัญที่จะตองทําจริง ๆ ก็คือสมุทัยกับมรรค สวนทุกขม ันเปนผลท่ี
เกิดขึ้นจากสมุทัย เชน ทุกขทางใจ สวนทุกขทางกายนั้นพระพุทธเจา พระสาวกก็มี
เพราะทานไมใชคนตายก็ยอมมีความทุกขทางกายเหมือนโลกทั่วไป แตทุกขเหลานี้ไม
สามารถกระทบกระเทือนพระจิตของทานได ใจของพระสาวกทั้งหลายก็เหมือนกัน ทา น
รูตามเปนจริงของมันอยูโดยหลักธรรมชาติ ตามคตธิ รรมดาธรรมนยิ ม
นค่ี อื การปฏบิ ตั เิ พอ่ื มรรคผลนพิ พาน เพอ่ื ฆากิเลส ถา ดาํ เนนิ อยเู ชน นเ้ี ราอยทู ่ี
ไหนกเ็ ปน การตอสกู ับกเิ ลสอยตู ลอดเวลา จะไดเห็นกิเลสหมอบราบใหดูสักที สว นมาก
มแี ตเ ราหมอบราบใหก เิ ลสดู เดนิ จงกรมกย็ ังหมอบราบใหก เิ ลส นงั่ สมาธิ กห็ มอบราบ
ใหก เิ ลส เพราะความเผลอสตเิ ปน ของสาํ คญั อาการแหงความเพียรทุกทา มีแตทา
หมอบราบกราบกเิ ลสทง้ั นน้ั เพราะความเผลอสติ ความใจลอย ความไมตั้งอยูในหลัก
ธรรมแหง การชาํ ระกเิ ลส แหง การแกก เิ ลส แหง การปราบปรามกเิ ลส กิเลสจึงมอี ํานาจ
กดคอลงไดทุกอาการแหงความเพียร ใหพึงเขาใจอยางนี้ ถาไมใชสติปญญาสอดแทรก
ใหร ูเรอ่ื งของกิเลสแลวจะไมร ู กเิ ลสมนั สวมรอยตลอดเวลา
เอา เรยี นใหจ บสจั ธรรม สจั ธรรมมอี ยทู ก่ี ายทใ่ี จนเ้ี ทา นน้ั เรยี นจบทน่ี แ่ี ลว ไม
ตอ งหาเรอ่ื งวา ประเสรฐิ เลศิ เลออะไรกนั ละ นิพพานไมตองไปหา หาทาํ ไม นพิ พาน คือ
อะไร นิพพานก็เปนชื่ออันหนึ่ง ธรรมชาติที่ใหชื่อวานิพพานนั้นคืออะไร ก็ไมตองหา ไม
ตองถาม เพราะรแู ละละไดเ ตม็ ภมู ภิ ายในใจนแ้ี ลว กิเลสก็เปนชื่ออันหนึ่ง ธรรมชาตทิ ่ี
เราใหช่ือวากเิ ลสนนั้ มนั คอื อะไร มนั กอ็ ยทู ่หี วั ใจเรานดี้ วยกนั ทั้งสองอยาง คอื กิเลสก็อยู
ที่ใจ นพิ พานกค็ อื ใจทบี่ รสิ ทุ ธ์ิหมดจดจากกเิ ลสแลวเทานั้น สอปุ าทเิ สสนพิ พาน ก็ได
นิพพานแลว ทงั้ ๆ ที่ธาตุขันธยังครองตัวอยูนี้ อนปุ าทเิ สสนพิ พาน เมื่อปลอยขันธหมด
ความรับผิดชอบโดยประการท้งั ปวงแลว นน่ั คอื อนปุ าทเิ สสนพิ พาน นเ้ี ปน ผลสบื เนอ่ื ง
มาจากความเพียรที่พยายามตะเกียกตะกาย ความเพยี รนม้ี คี ณุ คา ถงึ ขนาดนน้ั
ฉะนัน้ จงฟง และปฏบิ ัตใิ หถงึ ใจ อยา เสยี ดายกเิ ลสทฉ่ี ดุ ลากลง ท้ังทีธ่ รรมทา น
ลากดงึ ขึ้นทุกประโยคแหง ธรรม เอา จงตดั สนิ บรรดานกั บวชนกั ปฏบิ ตั เิ รา วา จะรกั กเิ ลส
หรอื จะรกั พระพทุ ธเจา ในหวั ใจดวงเดยี วกนั น้ี แตระวังสงิ่ หนึ่งจะกระซบิ ขึน้ มาในขณะ
นน้ั นะวา “ขอรักกิเลสเถิด เพราะยงั รกั ความไมเ อาไหนอยเู ตม็ ใจ”
<<สารบญั ยตุ ิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๒
๘๓
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๓๑ ตลุ าคม พุทธศักราช ๒๕๒๑
รอู สภุ ะ รูอยางไร
วดั นเ้ี ราไมป ฏบิ ตั ติ ามความรคู วามเหน็ ความตอ งการของคน แตเ ราปฏบิ ตั เิ พอ่ื
หลกั ธรรมหลกั วนิ ยั หลกั ศาสนาเปน สว นใหญ เพ่ือประชาชนท้งั แผนดินซึ่งอาศัยศาสนา
อันเปนหลักปกครองที่ถูกตองดีงาม ที่เนื่องมาจากการประพฤติปฏิบัติที่ถูกตองดวยดี
ของพระเณร ซง่ึ เปน ผนู าํ ทางศาสนาของประชาชนชาวพทุ ธ เพราะฉะนน้ั เราจงึ ไมส นใจ
ท่จี ะปฏิบตั ติ อ ผูใดเพราะความเกรงใจเปน ใหญ ใหน อกเหนอื จากธรรมจากวนิ ยั อนั เปน
หลกั ศาสนาไป หากใจเกดิ โอนเอนไปตามความรคู วามเหน็ ของผหู นง่ึ ผใู ด หรือของคน
หมูมากซึ่งหาประมาณไมไดแลว วัดและศาสนากจ็ ะหาประมาณหรอื หลักเกณฑไมไ ด
วัดท่ีเอนเอียงไปตามโลกโดยไมมเี หตผุ ลเปน เคร่อื งยืนยันรบั รอง ก็จะหาเขตหาแดนหา
ประมาณไมได และจะกลายเปนวัดไมมีเขตมีแดนไมมีกฎเกณฑ ไมมีเนื้อหนงั แหง
ศาสนาตดิ อยบู า งเลย
ผูหาของดมี คี ุณคา ไวเทิดทูนสกั การบูชาก็คือคนฉลาด จะหาของดี เนอ้ื แทไ วเ ปน
เครอ่ื งยดึ เหนย่ี วนาํ้ ใจกจ็ ะหาไมไ ดเ ลย เพราะมีแตสิ่งจอมปลอมเหลวไหล เตม็ วดั เตม็
วาเตม็ พระเตม็ เณรเถรชี เต็มไปหมดทุกแหงทุกหนตําบลหมูบาน ไมว า วดั ไมว า บา น ไม
วาทางโลกทางธรรม คละเคลา เปน อนั หนงึ่ อนั เดยี วกนั กบั ความจอมปลอมหลอกลวงหา
สาระสาํ คญั ไมไ ด
ดว ยเหตนุ จ้ี ึงตอ งแยกแยะออกเปนสดั เปนสว นวา ศาสนธรรมกบั โลกแมอ ยดู ว ย
กันก็ไมเหมือนกัน พระเณรวดั วาอาวาสศาสนา ตง้ั อยใู นบา นต้ังอยูนอกบาน หรือตั้งอยู
ในปา กไ็ มเ หมอื นบา น คนมาเกีย่ วขอ งก็ไมเ หมอื นคน ตอ งเปน วดั เปน พระ เปน ธรรม
วนิ ยั อนั เปนตวั ของตัวอยูเสมอ ไมเปนนอย ไมขึ้นกับผูใดสิ่งใด หลกั นจ้ี งึ เปน หลกั สาํ คญั
ทจ่ี ะสามารถยดึ เหนย่ี วนาํ้ ใจของคนทม่ี คี วามเฉลยี วฉลาด หาหลกั ความจรงิ ไวเ ปน ทส่ี กั
การบชู าหรอื เปน ขวญั ใจได เราคดิ ในแงน ้มี ากกวาแงอน่ื ๆ แมพระพุทธเจาผูเปนองค
ศาสดากท็ รงคิดในแงนี้เหมือนกัน ดงั จะเหน็ ไดในเวลาที่พระองคประทบั อยูโดยเฉพาะ
กับพระนาคิตะเปนตน
เวลามีประชาชนสงเสยี งเอิกเกริกเฮฮาเขา ไปเฝา พระพุทธเจา พระองคทรงรับสั่ง
วา นาคิตะ นน่ั ใครสง เสยี งอกึ ทกึ วนุ วายกนั มานน้ั เหมือนชาวประมงเขาแยงปลากัน เรา
ไมป ระสงคส ง่ิ เหลา นซ้ี ง่ึ เปน การทาํ ลายศาสนา ศาสนาเปน สง่ิ ทร่ี กั ษาไวส าํ หรบั โลกใหไ ด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๓
๘๔
รบั ความรม เยน็ เปน สขุ เหมอื นกับน้าํ ท่ใี สสะอาดที่รกั ษาไวแ ลว ดว ยดี เปน เครอ่ื งอาบดม่ื
ใชส อยแกป ระชาชนทว่ั ไปไดด ว ยความสะดวกสบาย ศาสนากเ็ ปน เชน นาํ้ อนั ใสสะอาด
นน้ั จงึ ไมต องการใหผหู นงึ่ ผใู ดเขามารบกวน ทาํ ศาสนาใหข นุ เปน ตมเปน โคลนไป นี่คือ
พระพุทธพจนที่ทรงแสดงกับพระนาคิตะ
จากน้นั ก็ส่ังใหพ ระนาคติ ะไปบอกเขาใหกลับไปเสีย กิริยาการแสดงออกเชนนั้น
กบั เวลาคาํ่ คนื เชน น้ี ไมใชเวลาที่จะมาเกี่ยวของกับพระ ซึง่ ทานอยดู ว ยความวเิ วกสงดั
กิริยาที่สุภาพดีงามเปนสิ่งที่มนุษยผูฉลาดคัดเลือกมาใชได และเวลาอ่ืนมถี มไป เวลานี้
ทา นตอ งการความสงัด จงึ ไมค วรมารบกวนทา นใหเ สยี เวลาและลาํ บาก โดยไมเกิด
ประโยชนแตอยางใด น่ีคอื หลกั ดาํ เนนิ อนั เปนตวั อยางจากองคศ าสดาของพวกเรา ไมใช
จะคลุกคลีตีโมงกับประชาชนญาติโยมโดยไมมีขอบเขตเหตุผล ไมมีกฎมีเกณฑ ไมมีเว
ลาํ่ เวลาดงั ทเ่ี ปน อยู ซง่ึ ราวกบั ศาสนาและพระเณรเราเปน โรงกลน่ั สรุ า เปน เจา หนา เจา
ตาจา ยสรุ าใหป ระชาชนยดึ ไปมอมเมากนั ไมม วี นั สรา งซา แตศ าสนาเปน ยาแกค วามเมา
มัว พระเณรเปน หมอรกั ษาความเมามวั ของตนและของโลก ไมใ ชน กั จา ยสรุ าเครอ่ื งมนึ
เมาจนหมดความรูสึกในความนึกกระดากอาย
ใครกา วเขา มาวดั กว็ า เขาเลอ่ื มใสศรทั ธา อนุโลมผอ นผนั ไปจนลมื เนอื้ ลมื ตวั ลมื
ธรรมลมื วนิ ยั ลืมกฎระเบียบอันดีงามของวัดของพระของเณรไปหมด จนกลายเปนการ
ทาํ ลายตนเองและวดั วาศาสนาใหเ สยี ไปวนั ละเลก็ ละนอ ย และกลายเปน ตมเปน โคลน
ไปหมด ท้ังชาววดั ชาวบานหาท่ียดึ เปนหลกั เกณฑไ มได พระเต็มไปดวยมูตรดวยคูถคือ
สง่ิ เหลวไหลภายในวดั ในตวั พระเณร
ดว ยเหตนุ เ้ี ราทกุ คนผบู วชในพระศาสนา จงสาํ นกึ ในขอ เหลา นไ้ี วใ หม าก อยา
เหน็ สง่ิ ใดมคี ณุ คา เหนอื ธรรมเหนอื วนิ ยั อนั เปน หลกั ใหญส าํ หรบั รวมจติ ใจของโลกชาว
พทุ ธใหไดรบั ความม่ันใจ ศรทั ธาและรม เยน็ ถาหลกั ธรรมหลักวนิ ัยไดขาดหรอื ดอยไป
เสยี ประโยชนของประชาชนชาวพุทธที่จะพึงไดรับก็ตองดอยไปตาม จนถึงกับหาที่ยึด
เหนย่ี วไมไ ด ทั้ง ๆ ทศ่ี าสนามเี ตม็ คมั ภรี ใ บลาน มีอยูทุกแหงทุกหน พระไตรปฎกไมอด
ไมอั้น เต็มอยูทุกวัดทุกวา แตสาระสําคัญที่จะนํามาประพฤติปฏิบัติ ใหประชาชนทั้ง
หลายไดร บั ความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส ยึดเปนหลักจิตหลักใจไปประพฤติปฏิบัติ เพื่อเปน
ประโยชนห รอื เปนสิรมิ งคลแกต นน้นั กลับไมมี ทั้ง ๆ ที่ศาสนายังมีอยู เรากเ็ หน็ อยา ง
ชดั เจนอยแู ลว เวลาน้ี
หลกั ใหญท จ่ี ะทาํ ใหศ าสนาเจรญิ รงุ เรอื ง และเปน สกั ขพี ยานแกป ระชาชนผูเขา มา
เก่ียวของ เพอ่ื หวงั บญุ และสริ มิ งคลทง้ั หลายกบั วดั ก็คือพระเณร ถา พระเณรตง้ั ใจ
ประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัยที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไว นน้ั แลคอื ผูรักษา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๔
๘๕
ไวซ ง่ึ แบบฉบบั อนั ดงี ามแหง พระศาสนาและมรรคผลนพิ พานไมส งสยั เขาจะยดึ เปน
หลักเปนเกณฑได เพราะคนในโลกนค้ี นฉลาดยงั มอี ยมู าก สว นคนโงแ มม มี ากจนลน
โลกก็หาประมาณไมได เมื่อถูกใจเขาเขาก็ชมเชย การชมเชยนั้นก็ชมเชยแบบความโง
ของเขา ไมเกิดประโยชน ถาไมพอใจก็ตําหนิติเตียน ความตาํ หนติ เิ ตยี นนน้ั ก็ไมเกิด
ประโยชนแ กท ง้ั เขาและเราดว ย แตผ เู ฉลยี วฉลาดชมเชยนน้ั ยดึ เปน หลกั จติ ใจได แกเ ขา
ดว ยแกเ ราดว ย เปนประโยชนทั้งสองฝาย ชมเชยพระสงฆก ็ชมเชยดวยหลกั ความจรงิ
ความฉลาด พระสงฆผ ตู ระหนักในเหตุผลก็สามารถทาํ ตนใหเ ปนเน้อื นาบุญของเขาได
ดว ย เขากไ็ ดร บั ประโยชนด ว ย แมตาํ หนกิ ม็ ีเหตุผลท่คี วรยดึ เปน คตไิ ด ดว ยเหตนุ เ้ี ราผู
ปฏิบัติพึงตระหนักในขอนี้ใหดี
ไปทไ่ี หนอยาลืมเนื้อลืมตัววาตนเปนนักปฏิบัติ เปน องคแ ทนพระศาสดาในการ
ดาํ เนนิ พระศาสนา และประกาศพระศาสนาดว ยการปฏบิ ตั ิ โดยไมถึงกับตองประกาศ
สง่ั สอนประชาชนใหเ ขา ใจในอรรถในธรรมโดยถา ยเดยี ว แมเพียงขอวัตรปฏิบัติที่ตน
ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนั้น กเ็ ปน ทศั นยี ภาพอนั ดงี ามใหป ระชาชนเกดิ ความเชอ่ื ความ
เลื่อมใสได เพราะการไดเ ห็นไดย ินของตนอยูแลว ยงิ่ ไดมีการแสดงอรรถธรรม ใหถูก
ตองตามหลักของการปฏิบัติโดยหลักธรรมของพระพุทธเจาดวยแลว ก็ยิ่งเปนการ
ประกาศพระศาสนาโดยถูกตองดีงาม ใหส าธชุ นไดยึดเปน หลกั ใจ ศาสนากม็ คี วามเจรญิ
รงุ เรอื งไปโดยลาํ ดบั ในหวั ใจชาวพทุ ธ
อยูที่ใดไปที่ใดอยาลืมหลักสําคัญคือศีล สมาธิ ปญญา อนั เปน หลกั งานสาํ คญั
ของพระ นแ้ี ลคอื หลกั งานสาํ คญั ของพระเราทกุ รปู ทเ่ี ปน ศากยบตุ รพทุ ธชโิ นรสปรากฏ
ในพระพุทธศาสนาวาเปนลกู ศิษยพ ระตถาคต เปน อยทู ต่ี รงน้ี ไมไดเปนอยูเพียงโกนผม
โกนควิ้ นงุ เหลืองหมเหลืองเทา นั้น อันน้ันใครทาํ เอาก็ไดไมส าํ คญั สําคัญที่การประพฤติ
ปฏิบัติตามหนาที่ของตน ศีลพยายามระมดั ระวังรักษาอยา ใหขาดใหด า งพรอ ย มคี วาม
ระเวียงระวังอยูท กุ อิรยิ าบถดว ยสตปิ ญญาของเรา อะไรจะขาดตกบกพรองไปก็ตาม ศีล
อยาใหขาดตกบกพรอง เพราะเปน สมบัตอิ ันสําคัญประจาํ กับเพศของตน หวังพึ่งเปน
พึ่งตายกับศีลของตนโดยแท
สมาธิที่ยังไมเกิดก็พยายามฝกฝนอบรมดัดแปลงจิตใจ ฝาฝนทรมานจิตใจตัว
พยศเพราะอํานาจของกเิ ลสนั้น ใหเขาสูเงื้อมมือของความเพียร มีสติปญญาเปนเครื่อง
สกัดลัดกั้นความคะนองของใจ ใหเ ขา สคู วามสงบเยน็ ใจจนได นี่ก็เปนสมาธิสมบัติ
สาํ หรบั พระเรา ปญ ญาคอื ความฉลาด ปญญาจะใชไดในที่ทุกสถานตลอดกาลทุกเมื่อ
ไมว า กจิ การภายนอกภายในใหน าํ ปญ ญาออกใชเ สมอ ยง่ิ เขา สภู ายในคอื การพจิ ารณา
กเิ ลสอาสวะประเภทตา ง ๆ ดว ยแลว ปญ ญายง่ิ เปน ของสาํ คญั มาก ปญญากับสตินีแ้ ยก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๕
๘๖
กันไมออก จะตองทําหนาที่ไปพรอม ๆ กนั สตเิ ปน ผูควบคมุ งานคอื ปญญาทก่ี ําลงั
ทาํ งาน หากสตไิ ดเ ผลอไปเมอ่ื ไรงานนน้ั กไ็ มส าํ เรจ็ เตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เพราะฉะนน้ั สติ
จงึ เปน ธรรมจาํ เปน ทจี่ ะตอ งแนบนาํ ในงานของตนอยเู สมอ นี่คืองานของพระ ใหท า นทง้ั
หลายจําไวอยางถึงใจตลอดไป อยา ชนิ ชา จะกลายเปน พระหนา ดา นไปโดยทโ่ี ลกเขา
เคารพกราบไหวท กุ วนั เวลา
ออกพรรษานี้ตางองคตางก็จะตองพลัดพรากจากกันไป ตามหนา ทแ่ี ละความจาํ
เปน และกฎคอื อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา หามไมอยู เพราะเปน คตธิ รรมดา เปน เรอ่ื งใหญ
แมตัวผมเองก็ไมไดแนใจวาจะอยูกับทานทั้งหลายไปนานสักเทาไร เพราะอยูใตก ฎอนิจฺ
จํเหมือนกัน ในขณะที่อยูดวยกัน พึงตั้งใจสําเหนียกศึกษาใหถึงใจ สมกบั เรามาศกึ ษา
อบรมและประพฤติปฏิบัติ
คาํ วา ปญ ญาดงั ทก่ี ลา วเมอ่ื สกั ครนู ้ี คอื การพจิ ารณาคลค่ี ลายดสู ว นตา ง ๆ ที่มา
เกี่ยวของทั้งภายนอกภายใน (ตองขออภัยทานนักธรรมะดวยกันทั้งหญิงทั้งชายที่ตกอยู
ในสภาพอยางเดียวกนั กรณุ าพจิ ารณาเปน ธรรม) รปู สว นมากกเ็ ปน รปู หญงิ -ชาย ใน
หลกั ธรรมทา นกลา วไวว า ไมมีรูปใดที่จะเปนขาศึกแกเพศสมณะเรายิ่งกวารูปหญิง-ชาย
เสยี งหญงิ -ชาย กลน่ิ หญงิ -ชาย รสของหญงิ -ชาย เครื่องสัมผัสถูกตองของหญิง-ชาย นี้
เปนเอกที่จะใหเปนโทษเปนภัยแกสมณะ ใหพ งึ สาํ รวมระวงั ใหม ากยง่ิ กวา การสาํ รวม
ระวงั ในเรอ่ื งอน่ื ๆ สตปิ ญ ญากใ็ หค ลค่ี ลายจดุ ทส่ี าํ คญั นม้ี ากยง่ิ กวา คลค่ี ลายการงาน
อยางอื่น ๆ
รปู กแ็ ยกแยะดดู ว ยปญ ญาใหเ หน็ ชดั เจน คาํ วา รปู หญงิ -ชายนน้ั ใหช อ่ื ตาม
สมมุติ ความจรงิ แลว ไมใ ชห ญงิ -ชาย เปน รปู ธรรมดาเหมอื นเรา ๆ ทาน ๆ มหี นงั หมุ
หอ ทว่ั สรรพางคร า งกาย เขา ไปภายในกม็ ีเนอื้ มีหนงั มเี อ็นมกี ระดกู เต็มไปดวยของ
ปฏกิ ูลโสโครกดว ยกัน ไมมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดอาการใดที่ผิดแปลกจากรูปของเราไปเลย เปน
แตเ พยี งวา ความสาํ คญั ของใจนน้ั มนั วา เปน หญงิ -ชาย คาํ วา เปน หญงิ -ชายนั้น มันสลัก
ลงไปภายในจิตใจอยางลึกซึ้งดวยความสําคัญของใจเอง ท้งั ทีไ่ มเ ปนความจริง เปน
ความสาํ คญั ตา งหาก
เสียงก็เหมือนกัน เสยี งกเ็ ปน เสยี งธรรมดา แตเ ราหมายไปวา เปน เสยี งวสิ ภาค
เพราะฉะน้ันจงึ ทิ่มแทงเขา ในหัวใจบรุ ุษอยางฝงลึก เฉพาะอยา งยง่ิ นกั บวชเรา และแทง
ทะลุเขา ไปจนลมื เนอ้ื ลืมตัว ขั้วหัวใจขาดสะบั้นทั้งที่ยังมีชีวิตอยู ขว้ั หวั ใจขาดเปอ ยเนา
เฟะแตไ มต าย เจาตัวกลบั เพลินฟงเพลงเสียงข้วั หัวใจขาดอยา งไมมีวันจืดจางอ่มิ พอ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๖
๘๗
กลิ่น กก็ ลน่ิ ธรรมดาเหมอื นเรานเ่ี พราะเปน กลน่ิ คน ถงึ จะเอาน้ําอบน้าํ หอมจาก
เมืองเทพเมืองพรหมที่ไหนมาประมาชโลม ก็เปนกลิ่นของอันนั้นตางหาก ไมใชกลิ่น
ของหญิง-ชายแทแ มน ดิ เดยี วเลย จงพิจารณาแยกแยะออกดูใหละเอียดถี่ถวน
รสก็เพียงความสัมผัสกัน การสมั ผัสกไ็ มเหน็ ผดิ แปลกอะไรกับอวยั วะเราสมั ผสั
อวยั วะเราเอง อวยั วะนน้ั ๆ กเ็ ปน ดนิ นาํ้ ลม ไฟ เหมือนกัน ไมเห็นมีอะไรผิดแปลกกัน
แนะ เราตอ งพจิ ารณาใหช ดั เจนอยา งน้ี แลว กพ็ จิ ารณาตนเทยี บเคยี งกบั รปู , เสยี ง,
กลิ่น, รส, เครื่องสัมผัส ของคําวาหญิง-ชายนั้น เขา มาเทยี บเคยี งกบั รปู เสยี งกลน่ิ รส
ของเรา ก็ไมมีอะไรผิดแปลกกันโดยหลักธรรมชาติโดยหลักความจริง นอกจากความ
เสกสรรปน ยอของใจท่ีมนั คดิ ไปเสกสรรไปเทา น้นั
ดว ยเหตนุ จ้ี งึ ตอ งอาศยั ปญ ญาพจิ ารณาคลค่ี ลาย อยาใหค วามสําคัญในแงใดแง
หน่งึ ทจี่ ะเปน ขาศึกแกตนเขา มาแทรกสิงหรอื ทําลายจติ ใจของตนได ใหส ลดั ปด ทง้ิ ดว ย
ปญ ญาอนั เปน ความจรงิ ลงสคู วามจรงิ วา สกั แตว า รปู สกั แตว า เสยี ง สกั แตว า กลน่ิ สกั
แตว า รส สกั แตว า เครอ่ื งสมั ผสั ทผ่ี า นแลว หายไป ๆ ทั้งมวล เชน เดยี วกบั สง่ิ อน่ื ๆ นี่คือ
การพิจารณาถูกตอง และสามารถถอดถอนความยึดมั่นสําคัญผิดกับสิ่งนั้น ๆ ไดโดย
ลาํ ดับไมสงสัย
จะพจิ ารณาไปในวตั ถสุ ิ่งใดกต็ ามในโลกนี้ มันเต็มอยูดวยกองอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺ
ตา หาความจรี งั ถาวรไมไ ด อาศัยสิ่งใดสิ่งนั้นก็จะพังลงไป วัตถุสิ่งใดก็ตาม ขึ้นชื่อวามี
อยใู นโลกนล้ี ว นแลว แตส ง่ิ ทจ่ี ะตอ งพงั ทลาย เขาไมพ งั เรากพ็ งั เขาไมแ ตกเรากแ็ ตก เขา
ไมพ ลดั พรากเรากพ็ ลดั พราก เขาไมจ ากเรากจ็ าก เพราะโลกนี้เต็มไปดวยความจาก
ความพลัดพรากกันอยูแลวโดยหลักธรรมชาติ ใหพ จิ ารณาอยา งนด้ี ว ยปญ ญาใหช ดั เจน
กอ นหนา ทส่ี ง่ิ เหลา นน้ั จะพลดั พรากจากเรา หรอื เราจะพลดั พรากจากสง่ิ เหลา นน้ั แลว
ปลอยวางไวต ามเปน จริง เมอ่ื เปน เชน นน้ั จติ ใจกม็ คี วามสขุ นี่พูดถึงขั้นปญญาในการ
พจิ ารณารปู เสยี ง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสตาง ๆ ทั้งขางนอกขางใน ทง้ั สว นหยาบ สว น
ละเอยี ด ยอ มพจิ ารณาในลกั ษณะเหลา นท้ี ง้ั สน้ิ
สมาธกิ อ็ ธิบายบางแลว คาํ วา สมาธคิ อื ความแนน หนามน่ั คงของใจ เริ่มตั้งแต
ความสงบสขุ เลก็ ๆ นอย ๆ ของใจขึ้นไปจนถึงความสงบสุขละเอียดมั่นคง ใจถาไมได
ฝกหัด ไมไดดัดแปลง ไมไ ดบ งั คบั ทรมานดว ยอบุ ายตา ง ๆ มี สติ, ปญญา, ศรทั ธา,
ความเพยี ร เปน เครอ่ื งหนนุ หลงั แลว จะหาความสงบไมไ ดจ นกระทง่ั วนั ตาย ตายก็ตาย
ไปเปลา ๆ ตายดว ยความฟงุ ซา นวนุ วายสา ยแสก บั อารมณร อ ยแปด ไมมีสติรูสึกตัว
ตายดวยความไมมีหลักมีเกณฑเปนที่ยึดอาศัย ตายแบบวา วเชอื กขาดอยบู นอากาศ
ตามแตจะถูกลมพาพัดไปไหน แมยังอยูก็อยูดวยความไมมีหลักมีเกณฑ เพราะความ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๗
๘๘
ลมื ตวั ประมาทหาเหตผุ ลเปน เครอ่ื งดาํ เนนิ ไมไ ด อยแู บบเลื่อนลอย คนเราทั้งคนถาอยู
แบบเลอ่ื นลอยไมหาหลกั ทด่ี ยี ึด ก็ตองไปแบบเลื่อนลอย จะเกดิ ผลประโยชนอะไร หา
ความดีความแนใจในคตขิ องตนทีไ่ หนได เพราะฉะน้ันเมอื่ ยังมชี ีวิตอยูรู ๆ อยูอยางนี้
จงสรา งความแนน อนขน้ึ ทใ่ี จของเรา ดว ยความเปน ผหู นกั แนน ในสารคณุ ทง้ั หลาย จะ
แนตัวเองทั้งยังอยูทั้งเวลาตายไป ไมส ะทกสะทา นหวน่ั ไหวกบั ความเปน ความตาย
ความพลดั พรากจากสตั วแ ลสงั ขารทใ่ี คร ๆ ตองเผชิญดวยกัน เพราะมีอยูกับทุกคน
ปญญาไมใชจะเกิดขึ้นในลําดับที่สมาธิคือความสงบใจเกิดขึ้นแลว แตตองอาศัย
ความฝก หดั คดิ คน ควา ความพนิ จิ พจิ ารณา ปญญาจงึ จะเกิดขึ้น โดยอาศยั สมาธเิ ปน
เครอ่ื งหนนุ อยแู ลว ลําพังสมาธินั้นจะไมกลายเปนปญญาข้ึนมาได ตองเปนสมาธิอยู
โดยดี ถา ไมใ ชป ญ ญาพจิ ารณาตา งหาก สมาธิเพยี งทําใหจิตมีความเอบิ อ่มิ มคี วามสงบ
ตวั มีความพอใจกับอารมณคือสมถธรรม ไมห วิ โหยในความคดิ โนน คดิ น้ี ไมว นุ วาย
สา ยแสเ ทา นน้ั เพราะจติ ทม่ี คี วามสงบยอ มมคี วามเยน็ ยอ มเอบิ อม่ิ ในธรรมตามฐาน
แหงความสงบของตน แลวนําจิตที่มีความอิ่มในสมถธรรมนั้นออกพิจารณา คลค่ี ลายดู
สิ่งตาง ๆ ดวยปญญา ซึ่งในโลกนี้ไมมีอันใดจะเหนือ อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตตฺ า ไปได มัน
เต็มไปดวยสภาพเดียวกัน จงใชป ญ ญาพนิ จิ พจิ ารณา จะเปนแงใดก็ตาม ตามแตจริต
นสิ ยั ทช่ี อบพอกบั การพจิ ารณาในแงน น้ั ๆ โดยยกสง่ิ นน้ั ขน้ึ มาพจิ ารณาคลค่ี ลายดว ย
ความสนใจ ใครร ใู ครเ หน็ ตามความจรงิ ของมนั จรงิ ๆ อยาสักแตพิจารณาโดย
ปราศจากเจตนาปราศจากสตกิ าํ กับ
เฉพาะอยางยิ่งเรื่องอสุภะกับจิตที่เต็มไปดวยราคะความกําหนัดยินดี นเ้ี ปน คู
ปรับหรือคูแกกันไดดีและดีมาก จิตมีราคะมากเพียงไรใหพิจารณาอสภุ ะอสภุ งั มาก
เพยี งนน้ั หนกั เพยี งนน้ั จนกลายเปน ปา ชา ผดี บิ ขน้ึ ใหเ หน็ ประจกั ษใ จในรา งกายของเขา
ของเราทั่วโลกดินแดน ราคะตัณหานัน้ จะกําเริบข้ึนไมไ ดเ มอ่ื ปญ ญาหย่งั รวู า มแี ตป ฏกิ ลู
เต็มตัว ใครจะไปกําหนัดยินดีในปฏิกูล ใครจะไปกําหนัดยินดีในสิ่งที่ไมสวยไมงาม ใน
สง่ิ ทอ่ี ดิ หนาระอาใจ นเ่ี ปน ยาระงบั อสภุ ะอสภุ งั ประการหนง่ึ เปน ยาแกโ รคราคะตณั หา
ขนานเอกขนานหนง่ึ เมอ่ื พจิ ารณาสมบรู ณเ ตม็ ทแ่ี ลว ใหจ ติ สงบตวั ลงไปในวงแคบ
เมอ่ื จติ ไดพ จิ ารณาอสภุ ะอสภุ งั หลายครง้ั หลายหน จนเกดิ ความชาํ นชิ าํ นาญ
พจิ ารณาคลอ งแคลว วองไวทง้ั รูปภายนอกทั้งรูปภายใน จะพจิ ารณาใหเ ปน อยา งไรกเ็ ปน
ไดอ ยา งรวดเรว็ แลว จติ กจ็ ะรวมตวั เขา มาสอู สภุ ะภายใน และจะเหน็ โทษแหง อสภุ ะที่ตน
วาดภาพไวน น้ั วา เปน เรอ่ื งมายาประเภทหนง่ึ แลวปลอยวางทั้งสองเงื่อน คอื เงอ่ื นอสภุ ะ
และเงือ่ นสุภะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๘
๘๙
ทั้งสุภะทั้งอสุภะสองประเภทนี้ เปน สญั ญาคเู คยี งกนั กบั เรอ่ื งของราคะ เมื่อ
พจิ ารณาเขา ใจทัง้ สองเงอ่ื นนี้เต็มที่แลว คําวาสุภะก็สลายตัวลงไปหาความหมายไมไ ด
คาํ วา อสภุ ะกส็ ลายตวั ลงไปหาความหมายไมไ ด ผูที่ใหความหมายวาเปนสุภะก็ดีอสุภะก็
ดีก็คือใจ ก็คือสัญญา สญั ญากร็ เู ทา แลว วา เปน ตวั หมาย เหน็ โทษแหง ตวั หมายนแ้ี ลว ตัว
หมายนี้ก็ไมสามารถที่จะหมายออกไปใหใจติดและยึดถือไดอีก นน่ั เมอ่ื เปน เชน นน้ั จติ
ก็ปลอยวางทั้งสุภะทั้งอสุภะคือทั้งสวยงามทั้งไมสวยงาม โดยเหน็ เปน เพยี งตุก ตา เครอ่ื ง
ฝกซอมของใจของปญญาในขณะที่จิตยังยึด และปญญาพิจารณาเพื่อถอดถอนยังไม
ชาํ นาญเทา นน้ั
เมอ่ื จติ ชาํ นาญ รเู หตุผลทั้งสองประการคอื สภุ ะอสุภะน้ีแลว ยงั สามารถยอน
มาทราบเรื่องความหมายของตนที่ออกไปปรุงแตงวา นน้ั เปน สภุ ะนน่ั เปน อสภุ ะอกี ดว ย
เมอ่ื ทราบความหมายนอ้ี ยา งชดั เจนแลว ความหมายนก้ี ด็ บั ลงไป และเหน็ โทษแหง
ความหมายนอ้ี ยา งชดั เจนวา นค้ี อื ตวั โทษ อสุภะไมใชตัวโทษ สุภะไมใชตัวโทษ ความ
สาํ คญั วา เปน สภุ ะอสภุ ะตา งหากเปน ตวั โทษ เปน ตวั หลอกลวงเปน ตวั ใหย ดึ ถอื นน่ั มนั
ยน เขา มา นก่ี ารพจิ ารณายน เขา มาอยา งนแ้ี ละปลอ ยวางโดยลาํ ดบั
เมอ่ื จติ เปน เชน นน้ั แลว เราจะกาํ หนดสภุ ะหรอื อสภุ ะกป็ รากฏขน้ึ อยทู จ่ี ติ โดยไม
ตองไปแสดงภาพภายนอกเปนเครื่องฝกซอมอีกตอไป เชน เดยี วกบั เราเดนิ ทางและผา น
สายทางไปโดยลาํ ดบั ฉะนน้ั นิมิตเห็นปรากฏอยูภายในจิต ในขณะทป่ี รากฏอยภู ายใน
จติ นน้ั กท็ ราบแลว วา สญั ญาตัวนหี้ มายขนึ้ มาไดแ คน้ี ไมสามารถออกไปหมายขางนอก
ได แมจะปรากฏข้ึนมาภายในจิตก็ทราบไดชดั วา สภาพทป่ี รากฏเปน สภุ ะอสภุ ะนก้ี เ็ กดิ
ขึ้นจากตัวสัญญาอีกเชน เดยี วกนั รูท ้ังภาพท่ีปรากฏข้นึ อยูภายในใจ รทู ั้งสัญญาทหี่ มาย
ตวั ขน้ึ มาเปน ภาพภายในใจอกี ดว ย สดุ ทา ยภาพภายในใจนก้ี ห็ ายไป สญั ญาคอื ความ
สาํ คญั ความหมายขน้ึ มานน้ั กด็ บั ไป รไู ดช ดั วา เมอ่ื สญั ญาตวั เคยหลอกลวงวา เปน สภุ ะ
อสุภะ และเปนอะไรตออะไรไมมีประมาณ หลอกใหหลงทั้งสองเงื่อนนี้ ดับไปแลว
สัญญาก็ดับไปดวย ไมมีอะไรจะมาหลอกใจอีก นก่ี ารพจิ ารณาอสภุ ะ พจิ ารณาอยา งน้ี
ตามหลักปฏิบัติ แตเ ราจะไปหาในคมั ภรี ห าทไ่ี หนกไ็ มเ จอ นอกจากหาความจรงิ ในหลกั
ธรรมชาติที่มีอยูกับกายกับใจ อนั เปนทสี่ ถิตแหงสัจธรรมและสตปิ ฏฐานสี่เปน ตน และ
สรปุ ลงในคมั ภรี ท ใ่ี จน้ี จะเจอดังที่อธิบายมานี้
นเ่ี ปน รปู รปู กายกท็ ราบไดช ดั วา กายของเราทกุ สว นนก้ี เ็ ปน รปู มีอะไรบางในรปู
น้ี อวัยวะทุกสวนเปนรูปท้งั นั้น ไมวาผม ขน เลบ็ ฟน หนงั เน้อื เอ็น กระดูก เยอ่ื ใน
กระดูก มา ม หวั ใจ ตับ ปอด พังผืด ไสใ หญ ไสนอย อาหารใหม อาหารเกา ลว นแลว
แตเ ปน รปู เปน ส่ิงหนึ่งตางหากจากใจ จะพจิ ารณาเปน อสภุ ะ มันก็ตัวอสุภะอยูแลวตั้ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๘๙
๙๐
แตเ รายงั ไมไ ดพ จิ ารณา และคาํ ทว่ี า สง่ิ นเ้ี ปน สภุ ะสง่ิ นน้ั เปน อสภุ ะ ใครเปน ผไู ปใหค วาม
หมาย สง่ิ เหลา นเ้ี ขาหมายตวั ของเขาเองเมอ่ื ไร เขาบอกวา เขาเปน สภุ ะ เขาบอกวา เขา
เปนอสุภะเมื่อไร เขาไมไดหมายไมไดบอกวาอยางไรทั้งสิ้น อันใดจริงอยูอยางไรมันก็
จริงอยูตามสภาพของเขาอยางนั้นมาดั้งเดิม และเขาเองก็ไมทราบความหมายของเขา ผู
ไปทราบความหมายในเขากค็ อื สญั ญา ผหู ลงความหมายในเขากค็ ือสญั ญาเอง ซึ่งออก
จากใจตัวหลง ๆ เมอ่ื มารเู ทา สญั ญาอนั นแ้ี ลว สง่ิ เหลา นก้ี ห็ ายไปอกี ตางอันก็ตางจริง นี่
คอื ความรเู ทา หรอื การรเู ทา เปน อยา งน้ี
เวทนาคอื ความสขุ ความทุกข เฉย ๆ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จากรา งกาย กายกเ็ ปน ธรรมชาติ
อันหนึ่งซึ่งมีอยูตั้งแตทุกขยังไมเกิด ทุกขเกิดขึ้น ทุกขตั้งอยู ทุกขดับไป กายก็เปนกาย
ทุกขก็เปนทุกข ตางอันตางจริง พจิ ารณาแยกแยะใหเ หน็ ตามความจรงิ สักแตวาเวทนา
สกั แตว า กาย ไมน ยิ มวา เปน สตั ว เปน บคุ คล เปน เรา เปน เขา เปนของเราเปนของเขา
หรือของใคร เวทนากไ็ มใ ชเ รา ไมเ ปน ของเรา ไมเปนของเขา ไมเปนของใคร เปนแต
เพียงสิง่ ที่ปรากฏขึน้ มาช่ัวขณะแลวดบั ไปชัว่ กาลเทา นนั้ ตามสภาพของเขา ความจรงิ เปน
อยา งน้ี
สัญญาคือความจําได จําไดเทาไรไมวาจําไดใกลไดไกล จําไดทั้งอดีตอนาคต
ปจ จบุ นั จําไดเทาไรความดับก็ไปพรอม ๆ กนั ดบั ไป ๆ เกดิ แลว ดบั ๆ จะมาถอื วา เปน
สตั วเ ปน บคุ คลทไ่ี หน นห่ี มายถงึ ปญ ญาขน้ั ละเอยี ดพจิ ารณาหยง่ั ทราบเขา ไปตามความ
จรงิ ประจักษใจตัวเองโดยไมตองไปถามใคร
สงั ขารคอื ความคดิ ความปรงุ ปรุงดีปรุงชั่วปรุงกลาง ๆ ปรุงเรื่องอะไรก็มีแต
เรื่องเกิดเรื่องดับ ๆ หาสาระอะไรจากความปรงุ น้ีไมได ถา สัญญาไมร ับชว งไปใหเกิด
เรื่องเกิดราว สญั ญากท็ ราบชดั เจนแลว อะไรจะไปปรุงไปรับชวงไปยึดไปถือใหเปนเรื่อง
ยืดยาวตอไปเลา กม็ แี ตค วามเกดิ ความดบั ภายในจติ เทา นน้ั นค่ี อื สงั ขารมนั เปน ความ
จรงิ อนั หนง่ึ อนั นท้ี า นเรยี กวา สงั ขารขนั ธ ขนั ธ แปลวา กอง แปลวา หมวด รูปขันธ แปล
วา กองแหงรปู สญั ญาขนั ธ แปลวากองแหง สญั ญา หมวดแหงสัญญา สังขารขันธ คือ
กองแหงสังขาร หมวดแหงสังขาร
วิญญาณขันธ คือหมวดหรอื กองแหงวญิ ญาณที่รับทราบในขณะสง่ิ ภายนอกเขา
มาสัมผัส เชน ตาสมั ผสั รปู เปน ตน เกดิ ความรขู น้ึ พอสิ่งนั้นผานไปความรับรูนี้ก็ดับไป
ไมวาจะรับรูสิ่งใดยอมพรอมที่จะดับดวยกันทั้งนั้น จะหาสาระแกน สารและสาํ คญั วา เปน
เราเปน ของเราทไ่ี หนไดก บั ขนั ธท ง้ั หา น้ี
เรื่องของขันธทั้งหานี้เปนอยางนี้ มอี ยา งนี้ปรากฏอยา งนี้ และเกิดขึ้นดับไป ๆ
สบื ตอกันอยูเ รื่อย ๆ อยางนี้ตั้งแตวันเกิดมาจนกระทั่งบัดนี้ หาสาระอะไรจากเขาไมได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๐
๙๑
เลย นอกจากจติ ใจไปสาํ คญั มน่ั หมาย แลว ยดึ มน่ั ถอื มน่ั ในสง่ิ เหลา นว้ี า เปน ตนเปน ของ
ตน แลว แบกใหห นกั ยง่ิ กวา ภเู ขาทง้ั ลกู ขน้ึ มาภายในใจเทา นน้ั ไมมีสิ่งใดเปนเครื่องตอบ
รบั หรอื เปน เครอ่ื งสนอง ความสนองก็คือสนองความทุกขนั้นเอง เพราะความหลงของ
ตนพาใหส นอง
เมอ่ื จติ ไดพ จิ ารณาเหน็ สง่ิ เหลา นอ้ี ยา งชดั เจน ดว ยปญ ญาอนั แหลมคมแลว นน้ั
รูปก็จริงตามรูปโดยหลักธรรมชาติประจักษดวยปญญา เวทนา สขุ ทุกข เฉย ๆ ในสว น
รางกายก็รูชัดตามเปนจริงของมัน เวทนาทางใจคอื ความสขุ ความทกุ ข เฉย ๆ ที่เกิดขึ้น
ภายในใจ นน่ั เปน สาเหตใุ หจ ติ สนใจพนิ จิ พจิ ารณา แมจ ะยงั ไมร เู ทา ทนั สง่ิ นน้ั สิ่งนั้นก็ยัง
ตอ งเปนเคร่ืองเตอื นจิตใหพ จิ ารณาอยูเสมอ เพราะขน้ั นย้ี งั ไมส ามารถทจ่ี ะรเู ทา ทนั
เวทนาภายในจติ ได คือ สขุ ทุกข เฉย ๆ ภายในจติ โดยเฉพาะ ไมเ กย่ี วกบั เวทนาทาง
กาย
วญิ ญาณก็สกั แตวาตางอันตา งจรงิ นช่ี ดั แลว ตามความเปน จรงิ จติ หายสงสยั ทจ่ี ะ
ยึดจะถือสิ่งเหลานี้วาเปนตนอีกตอไป เพราะตางอันตางจริงแมจะอยูดวยกัน ก็เชนเดียว
กบั ผลไมห รอื ไขเ ราวางลงในภาชนะ ภาชนะกต็ อ งเปน ภาชนะ ไขที่อยูในนั้นก็เปนไข ไม
ใชอันเดียวกัน จติ กเ็ ปน จติ ซง่ึ อยใู นภาชนะ คอื รปู เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณอนั น้ี
แตไมใชรูป เวทนา สัญญา สังขาร วญิ ญาณ หากเปน จติ ลว น ๆ อยภู ายในนน้ั นเ่ี วลา
แยกชดั เจนแลว ระหวา งขนั ธก บั จติ เปน อยา งนน้ั
ทีนเ้ี ม่อื จิตไดเ ขาใจในรปู เวทนา สญั ญา สงั ขาร วญิ ญาณ อยางชดั เจนหาท่สี งสยั
ไมไดแลว กจ็ ะมแี ตค วามกระดกิ พลกิ แพลงความกระเพอ่ื มภายในจติ โดยเฉพาะ ๆ
ความกระเพื่อมนั้นก็คือสังขารอันละเอียดที่กระเพื่อมอยูภายในจิต สุขอันละเอียดที่
ปรากฏขน้ึ ภายในจติ ทุกขอันละเอียดที่ปรากฏภายในจิต สัญญาอันละเอียดที่ปรากฏขึ้น
ภายในจติ มอี ยเู พยี งเทา นน้ั จิตจะพจิ ารณาแยกแยะกันอยูต ลอดเวลาดวยสตปิ ญ ญา
อัตโนมัติ คือจิตขั้นนี้เปนจิตที่ละเอียดมาก ปลอ ยวางสง่ิ ทง้ั หลายหมดแลว ขึ้นชื่อวาขันธ
หา ไมม เี หลอื เลย แตยังไมปลอยวางตัวเองคือความรู แตค วามรนู น้ั ยงั เคลอื บแฝงดว ย
อวิชชา
นน่ั แหละทา นวา อวชิ ชารวมตวั รวมอยูที่จิต หาทางออกไมได ทางเดินของ
อวิชชาก็คือ ตา หู จมูก ลน้ิ กาย เพอ่ื ไปสูรปู เสยี ง กลน่ิ รส เครื่องสัมผัส เมื่อสติ
ปญ ญาสามารถตดั ขาดส่ิงเหลาน้ีเขาไปไดโดยลําดบั ๆ แลว อวิชชาไมมีทางเดิน ไมมี
บรษิ ทั บรวิ าร จงึ ยบุ ๆ ยิบ ๆ หรอื กระดบุ กระดบิ อยภู ายในตวั เอง โดยอาศัยจิตเปนที่
ยดึ ทีเ่ กาะโดยเฉพาะ เพราะหาทางออกไมได แสดงออกเปนสุขเวทนาอยางละเอียดบาง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๑
๙๒
ทกุ ขเวทนาอยางละเอียดบาง แสดงเปนความผองใสซ่งึ แปลกประหลาดอศั จรรยอยาง
ยิ่งในเมื่อปญญายังไมรอบและทําลายยังไมไดบาง จิตก็พิจารณาอยูที่ตรงนั้น
แมจะเปนความผอ งใสและสงาผาเผยเพียงไรกต็ าม ขึ้นชื่อวาสมมุติจะละเอียด
ขนาดไหนก็จะตองแสดงอาการอันใดอันหนึ่งขึ้นมาใหเปนที่สะดุดจิต พอจะใหค ดิ อา น
หาทางแกไขจนได เพราะฉะนั้น สุขก็ดีทุกขก็ดีอันเปนของละเอียดเกิดขึ้นภายในจิตโดย
เฉพาะ ตลอดความอศั จรรย ความสวา งไสวซง่ึ มอี วชิ ชาเปน ตวั การ แตเพราะความไม
เคยรเู คยเหน็ เม่อื พิจารณาเขา ไปถึงจดุ นนั้ จึงหลงยดึ และจึงถูกอวิชชากลอมเอาอยาง
หลบั สนทิ โดยหลงยดึ ถอื ความผอ งใสเปน ตน นน้ั วา เปน เรา ความสขุ นน้ั กเ็ ปน เรา ความ
อศั จรรยน น้ั กเ็ ปน เรา ความสงาผาเผยทเี่ กิดขึน้ จากอวชิ ชาซ่งึ ฝง อยูภ ายในจิตนั้นก็เปน
เรา เลยถอื จติ ทง้ั อวิชชาเปน เราโดยไมร สู ึกตวั เสยี ท้ังดวง
แตก็ไมนาน เพราะอํานาจของมหาสตมิ หาปญญาอนั เปน ธรรมไมนอนใจอยแู ลว
คอยสอดคอยสองคอยพินิจพิจารณาแยกแยะไปมาอยูอยางนั้น ตามนิสัยของสติปญญา
ขั้นน้ี กาลหนง่ึ เวลาหนง่ึ ตอ งทราบไดแ นน อน โดยทราบถึงเรอื่ งสขุ ทแ่ี สดงข้ึนเลก็ ๆ
นอย ๆ อันเปนเรื่องผิดปกติ ทุกขแสดงขึ้นนิด ๆ หนอย ๆ อยา งละเอยี ด ตามขั้นของ
จิตก็ตาม ก็พอเปนเครื่องสะดุดจิตใหทราบไดวา เอะ ทําไมจิตจึงมีอาการเปนอยางนี้
ไมค งเสนคงวา ความสงา ผา เผยทแ่ี สดงอยภู ายในจติ ความอศั จรรยท แ่ี สดงอยภู ายใน
จิต ก็แสดงความวิปริตผิดจากปกติขึ้นมาเล็ก ๆ นอย ๆ พอใหสติปญญาขั้นนี้จับไดอยู
นน่ั เอง
เมอ่ื จบั ไดก ไ็ มไ วใ จและกลายเปน จดุ ทค่ี วรพจิ ารณาขน้ึ มาในขณะนน้ั จึงตั้งจิตคือ
ความรปู ระเภทนเ้ี ปน เปา หมายแหง การพิจารณา เมื่อสติปญญาขั้นนี้ไดจอลงไปถึงจุดนี้
วานี้คืออะไร สิ่งทั้งหลายไดพิจารณามาแลวทุกสิ่งทุกอยางจนสามารถถอดถอนมันได
เปนขั้น ๆ แตธรรมชาตทิ ่รี ู ๆ ที่สวางไสวที่อัศจรรยนี้คืออะไร อันนี้มันคืออะไรกันแน
สติปญญาจอลงไปพิจารณาลงไป จดุ นจ้ี งึ เปน เปา หมายแหง การพจิ ารณาอยา งเตม็ ท่ี
และจุดนี้จึงกลายเปนสนามรบของสติปญ ญาอตั โนมัตขิ ้ึนมาในขณะน้ัน ไมนานนักก็
สามารถทาํ ลายจติ อวชิ ชาดวงประเสรฐิ ดวงอัศจรรยส งา ผาเผยตามหลกั อวชิ ชาใหแ ตก
กระจายออกไปโดยสิ้นเชิง ไมมีสิ่งใดเหลือคางอยูภายในใจแมปรมาณูอีกตอไป
เมอ่ื ธรรมชาตทิ เ่ี คยเสกสรรโดยไมร ตู วั วา เปน ของประเสรฐิ อศั จรรยเ ปน ตน ได
สลายตวั ลงไปแลว ส่ิงทไี่ มต อ งเสกสรรปน ยอวาเปน ของประเสริฐ หรอื ไมป ระเสรฐิ ก็
ปรากฏขึ้นอยางเต็มที่ ธรรมชาตนิ น้ั คอื ความบรสิ ทุ ธ์ิ ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั เมอ่ื เทยี บกบั จิต
อวิชชาทว่ี า เปน ของประเสรฐิ เลศิ เลอแลว จิตอวชิ ชานั้นจึงเปนเหมือนกองขี้ควายกอง
หนึ่งดี ๆ นเ่ี อง ธรรมชาติที่อยูใตอวิชชาซึ่งหุมหออยูนั้น เมอ่ื เปด เผยตวั ขน้ึ มาแลว จงึ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๒
๙๓
เปน เหมอื นทองคาํ ธรรมชาติ ทองคําธรรมชาตกิ ับกองขีค้ วายเหลว ๆ นน้ั อนั ไหนมคี ณุ
คา กวา กนั เลา แมแตเด็กอมมือก็ตอบได อยา วา แตจ ะมามวั เทยี บเคยี งใหเ สยี เวลาและ
ขายความโงอ ยเู ลย
นล่ี ะการพจิ ารณาจติ เมื่อถึงขั้นนี้แลวเปนขั้นที่ตัดขาดจากภพจากชาติซึ่งมีอยูกับ
จิต ตัดขาดจากอวิชชาตัณหาทั้งมวล อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา ตัดขาดไปเปนอวิชฺชาย
เตฺวว อเสสวริ าคนโิ รธา สงฺขารนิโรโธ สงฺขารนิโรธา วิฺญาณนิโรโธ…. เปนตน จน
กระทั่ง เอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สสฺ , นิโรโธ โหติ เมื่ออวิชชาดับแลว สงั ขาร
สมทุ ยั กด็ บั และดบั ตาม ๆ กันไปดังทานแสดงไวนั่นแล สงั ขารทป่ี รงุ ประจาํ ขนั ธก ก็ ลาย
เปน สงั ขารลว น ๆ ไปไมเปนสมุทัย วญิ ญาณทป่ี รากฏขน้ึ ภายในจติ กเ็ ปน วญิ ญาณลว น
ๆ ไมเ ปน วญิ ญาณสมทุ ยั วิ ญฺ าณปจจฺ ยา นามรูป, นามรูปปจฺจยา สฬายตน,ํ
สฬายตนปจจฺ ยา ผสโฺ ส อะไรทเ่ี ปน รปู เปน นาม เปน สฬายตนะสมั ผสั ตา ง ๆ ลว นแลว
แตเ ปน หลกั ธรรมชาตขิ องมนั เอง ไมท าํ ความกาํ เรบิ ใหแ กจ ติ ใจดวงเสรจ็ สน้ิ ไปแลว นน้ั
จนกระทั่งถึง เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทกุ ขฺ กขฺ นธฺ สสฺ , นิโรโธ โหต.ิ คาํ วา เอวเมตสสฺ
เกวลสสฺ สิ่งท้งั มวลที่กลาวมานั้นไดดับลงไปแลว โดยสนิ้ เชิง เรยี กวา นโิ รธเตม็ ภมู ิ
การดบั กเิ ลสตณั หาอวชิ ชา ดับโลกดับสงสารจะดับที่ไหน ถาไมดับที่ตัวจิตซึ่ง
เปน ตวั โลกตวั สงสาร ตวั อวชิ ชาตวั เกดิ แกเ จบ็ ตาย เชื้อของความใหเกิดแกเจ็บตายก็ได
แก ราคะตณั หามอี วชิ ชาเปน ตวั สาํ คญั มีอยูที่จิตดวงนี้เทานั้น เม่อื ดับอนั น้ีใหข าด
กระเด็นออกไปจากจิตใจหมดแลวก็ นิโรโธ โหติ เทา นน้ั นี่แหละงานแหงการประพฤติ
ปฏิบัติตามหลักศาสนาของพระพุทธเจา ตั้งแตครั้งพุทธกาลมาจนกระทั่งปจจุบันนี้คง
เสน คงวา ไมมที ใ่ี ดยิ่งหยอนในบรรดาหลกั ธรรมทีพ่ ระพทุ ธเจา ทรงส่ังสอนไวแลว วา จะ
ไมทันกลมายาของกิเลสประเภทตาง ๆ เปนไมมี จงึ เรยี กวา เปน มัชฌิมาปฏิปทา เปน
ธรรมที่เหมาะสมกับการแกกิเลสทุกประเภทตลอดไป จนกเิ ลสไมม เี หลอื หลอดว ย
อาํ นาจแหงมัชฌิมาปฏปิ ทาน้ี จงพากนั เขาใจอยา งน้ี
การปฏิบัติตนใหถือธรรมขอนี้ เพราะความพน ทกุ ขเปน ส่งิ ทมี่ คี ณุ คา เหนอื โลก
ทง้ั สาม เราเหน็ โลกทง้ั สามนว้ี า อะไรเปน สง่ิ วเิ ศษวโิ สกวา ความหลดุ พน แหง ใจจากทกุ ข
ทง้ั มวลเลา เมอ่ื ทราบชดั ดว ยเหตผุ ลแลว ความเพยี รกจ็ ะไดค บื หนา กลา ตายตอ สงคราม
ตายก็ตายไปเถอะ ตายดว ยการรบการพงุ ชงิ ชยั กบั กเิ ลสอาสวะ ซง่ึ เคยครอบงาํ หวั ใจเรา
มานาน ไมมีธรรมบทใด ไมม เี ครอ่ื งมอื ใดทจ่ี ะสามารถฟาดฟน หน่ั แหลกกเิ ลสนใ้ี หจ ม
ลงไปได เหมอื นมัชฌมิ าปฏิปทาที่พระพทุ ธเจาทรงสัง่ สอนไวแลว นีเ้ ลย
ฉะนน้ั คาํ วา พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ จึงเปนที่อบอุนใจ เปน ทแ่ี นใ จเปน ทส่ี นทิ ใจวา
ไดทรงบําเพ็ญทั้งเหตุทั้งผล ทุกสิ่งทุกอยางมาโดยสมบูรณ จงึ ไดน ําธรรมมาสอนโลก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๓
๙๔
สฺวากขฺ าโต ภควตา ธมโฺ ม กต็ รสั ไวช อบแลว ดว ยความรยู ง่ิ เหน็ จรงิ ทกุ สง่ิ ทกุ อยา ง คือ
ตรัสไวชอบทุกแงทุกมุมแลว สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ พระสงฆส าวกทา นดาํ เนนิ ตามหลกั
ธรรมของพระพุทธเจาโดยไมยอหยอนออนกําลัง จนสามารถควาํ่ กเิ ลสออกจากใจ
กลายเปน ใจทเ่ี ลศิ ประเสรฐิ ขน้ึ มาเปน สรณะของพวกเรา ก็ไมพนจากการปฏิบัติตาม
หลกั ปฏปิ ทานเ้ี ลย ดวยเหตนุ ี้ขอใหเราทัง้ หลายจงฟง ใหถ งึ ใจ อยา สนใจใฝห าเรอ่ื ง
หลอกเรอ่ื งลวง เรื่องปลอมแปลงทั้งหลายซึ่งมีเต็มโลกเต็มสงสาร ใหสนใจใฝธ รรมของ
จริงปฏิบัติของจริง เราจะเหน็ ของจรงิ ขน้ึ กบั ใจไปเรอ่ื ย ๆ ในทามกลางแหงของปลอม
ซง่ึ มอี ยูภายในใจและมีอยูเตม็ โลก อยาพากันสงสัยจะเปนความอาลัยเสียดายกิเลสไมมี
ที่สิ้นสุด
การปฏบิ ตั ธิ รรมใหม งุ ทางดา นนามธรรม คือ ศีล สมาธิ ปญญา เปน สาํ คญั ยง่ิ
กวา ดา นวตั ถุ ดานวัตถุนั้นพอเปนพอไปเพียงไดอาศัยก็พอแลว อยูสถานที่ใด คนเรา
เกิดมาจากมนุษย มาเปนพระกม็ าจากคน คนเขามบี า นมเี รอื น พระก็จําตองมีที่พักที่
อาศยั พอบรรเทาเปน ธรรมดา ควรทําพอไดอ าศัยเทาน้นั อยา ทาํ ใหห รหู รา อยาทําแขง
โลกแขง สงสารมนั เปน การสง่ั สมกเิ ลสขน้ึ มา ปรากฏชอ่ื ลอื นามไปในทางโลก ไปในทาง
กเิ ลสหวั เราะเยาะ ใหป รากฏชอ่ื ลอื นามดว ยศลี ดว ยสมาธิ ดวยปญญา ศรัทธา ความ
เพียร ใหปรากฏชื่อลือนามในการบําเพ็ญแกหรือถอดถอนตน ใหพนจากกิเลสกองทุกข
ในวฏั สงสาร นช้ี อ่ื วา เปน ผเู พม่ิ อาํ นาจวาสนาของตนโดยตรงอยา งแทจ รงิ อยาไดละ
ความพากเพียรของตน จงเอาใหตลอดรอดฝง แหง วฏั วนวฏั วุนใหไดใ นชวี ติ อัตภาพนี้
ซึง่ เปน ทแี่ นใ จกวา กาลสถานทแ่ี ละอัตภาพอ่นื ใด
และอยา ลมื เวลาไปทไ่ี หน ๆ อยา เปน บา การกอ สรา ง ไปที่ไหนกอสรางยุงไป
หมด และเปน บา กอสรา งทว่ั ไปหมดนาอดิ หนาระอาใจ พอมองเห็นหนากัน เปนยังไง
ศาลา เปน ยงั ไงโรงเรยี นจวนเสรจ็ แลว ยงั สนิ้ เงินเทาไร เวลาจะมงี านทไี รและมีงานอะไร
ๆ กวานบา นกวานเมอื งกวนบา นกวนเมอื งเขา ใหตองมาสิ้นเปลืองวุนวายดวยอยูไม
หยดุ หยอ น ใหเขาพอมีเงินและผอนเงินทองเขาถุงบาง เขาเสาะแสวงหามาแทบลม แทบ
ตาย เพยี งไดห าไดสิบมาแทนที่จะเลย้ี งปากเลี้ยงทอง เลีย้ งลูกเล้ียงเมีย เลย้ี งครอบครวั
เลย้ี งหลานเลย้ี งเหลนและสง่ิ จาํ เปน อน่ื ๆ บา ง และทาํ บญุ ใหท านตามอธั ยาศยั บา ง
กลบั กลายเกบ็ กวาดเอามาชว ยพระเพราะการเรย่ี ไรรบกวน จนหมดไมหมดมือและยุง
ไปตาม ๆ กัน นม้ี นั เปน ศาสนากวนบา นกวนเมอื ง ซึ่งพระพุทธเจาไมพาทําและไมสั่ง
สอนใหท าํ อยา งนน้ั ขอใหท า นทง้ั หลายเขา ใจเอาไวว า พระพุทธเจาไมไดพาทําอยางนี้ นี่
มันศาสนวัตถุ ศาสนเงนิ มิใชศาสนธรรมตามเยี่ยงอยางของศาสดา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๔
๙๕
เราดซู ิ กุฏิของพระหลังเทาภูเขาอินทนนทนี่ หลังหนึ่งมีกี่ชั้น สงู จรดฟา โนน
หรหู ราขนาดไหน มนั นา สลดสงั เวชขนาดไหน แมแตกุฏิผมนี้ผมก็ยังอดละอายไมได
เหมือนกันทั้ง ๆ ที่ผมก็จําใจอยู ผมตอ งทนละอายหนา ดานเอาบา ง เพราะเขาสง เงนิ มา
ใหทําโดยไมบอกไวลวงหนากอน ละอายตัวเองทขี่ อทานเขามากินประจําชีวิต แตกุฏิหอ
ปราสาทในแดนสวรรคส ไู มไ ด ทั้ง ๆ ทเ่ี ขาผใู หท านอยกู ระตอ บหลงั เทา กาํ ปน น่ี ที่ถูกที่
เหมาะสมกบั พระผเู หน็ ภยั เปน นสิ ยั ที่พักที่อยู อยูที่ไหนอยูเถอะ พอหลวมตวั นอนได
นั่งไดแลวอยูไปเถอะ แตเ รอ่ื งการทาํ ความพากเพยี รนน้ั ขอใหม คี วามหนกั แนน มน่ั คง มี
ความขยนั หมน่ั เพยี รบกึ บนึ
อยา ใหเ สยี เวลาเพราะงานใด ๆ มาเปน อปุ สรรคได เพราะงานนอกนน้ั สว นมาก
มนั เปน งานทาํ ลายงานจติ ตภาวนาเพอ่ื ฆา กเิ ลสทาํ ลายกเิ ลส ซงึ่ เปนงานใหญโตประจําตัว
ประจําใจของพระผูมุงตอแดนหลุดพน ไมเ ยอ่ื ใยในการกลบั มาเกดิ มาตายเพอ่ื แบกหาม
กองทุกขนอยใหญในภพชาตินั้น ๆ อีกตอไป ภยั ใดไมเ ทา ภยั ทก่ี เิ ลสครอบหวั ใจ บงั คบั
ถูไถใหเปนไปไดทุกอยางที่ธรรมไมพึงประสงค ทุกขใดไมเทาทุกขของคนมีกิเลสกดคอ
ไมส กู บั กเิ ลสคราวบวชนจ้ี ะสเู วลาตายแลว ไดห รอื ความเปนอยูของชีวิต ธาตุขันธนั้นพอ
อดพอทนได แตขออยาทนใหกิเลสกดคอตอไป เปน ความไมเ หมาะสมอยา งยง่ิ สาํ หรบั
พระลูกศิษยตถาคต
อะไร ๆ จะพอเปนพอไปหรือขาดแคลนขนาดไหน ขอใหเ ลง็ พระตถาคตเปน
สรณะอยเู สมอ อยา ใหส ง่ิ ไมจ าํ เปน สาํ หรบั พระหรหู รามากเกนิ เหตเุ กนิ ผล เชน สรา ง
อะไรก็สรา งเสยี จนแขง โลกแขงสงสารเขา จนกลายเปน บา ชอ่ื เสยี งเกยี รตยิ ศแบบลม ๆ
แลง ๆ แตธ รรมหากรอกใจพอฟน จากสลบไสลบา งไมส นใจสรา งกนั โลกเขาอยบู า น
หลงั เลก็ ๆ เพียงไอจามก็จะลม อยูกระทอมหอมหอ ไดอะไรมาก็อุตสาหแยงปากแยง
ทอ งแยง ลูกหลานมาทาํ บุญใหท านกับพระ แตพระอยูตึกอยูรานกี่ชั้น หรหู ราโออ า ยง่ิ
กวา พระมาจากแดนสวรรค เหมอื นไมใ ชคนที่เคยอยูบา นกบั พอ-แมห ลงั เลก็ ๆ มากอน
ไปบวชเปนพระเลย ทั้งไมทราบวามีอะไรเปนเครื่องประดับประดาตกแตงแขงกับโลก
เขา มนั นา ละอายโลกเขายง่ิ กวา ลกู สะใภล ะอายยา ขณะจาม เผลอผายลมทางทวารลา ง
หลุดออกอยางแรงแทบสลบไป ทั้ง ๆ ทีศ่ รี ษะโลน ๆ ไมไดคิดถึงศีรษะตนบางเลย มิใช
มนั ดา นเกนิ ไปแลว หรอื พวกเรานะ นั่นไมใชหลกั ของศาสนาทสี่ อนใหน กั บวชแกกเิ ลส
เพราะความเหน็ ภยั ในสง่ิ ประโลมโลก รกรงุ รงั แกศ าสนาและหวั ใจพระเรา จึงขออยาพา
กันคิดกันทํา จงทาํ ความรสู กึ ตวั ไวเ สมอ นี้ไมใชหลักธรรมเพื่อแกกิเลสใหเห็นประจักษ
ใจ แตเ ปน เครอ่ื งสง เสรมิ ใหพ ระลมื ตวั เมามวั มว่ั สมุ กบั เรอ่ื งของกเิ ลส ซึ่งไมใชเรื่องของ
พระ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๙๕