๑๔๖
บา ง มนั นา รน่ื เรงิ นา อนโุ มทนาสาธกุ ารทไ่ี หน ถาเอาจริงเอาจังมันตองรูไมตองสงสัย
อยางทุกวันนี้พูดจริงๆ ตามความรสู กึ โงๆ นแ่ี หละ มันไมเคยไปหนักในอดีตอนาคต
อะไรเลย เชน ครง้ั พทุ ธกาลทา นเปน อยา งนั้นๆ ครง้ั นเ้ี ปน อยา งนๆ้ี ไมเ ลย เพราะแน
ใจวามชั ฌมิ าปฏิปทาน้คี งเสน คงวาตลอดมา กเิ ลสกเ็ ปน ตวั คงเสน คงวาในหวั ใจสตั ว
นน่ั เอง ถาไมแกไมถอดถอนออกจากใจใหเบาบางและสิ้นไป
มัชฌิมาปฏิปทาเปนเครื่องปราบกิเลสทุกประเภทไดอยางไมมีปญหา ถือเอา
ตรงนี้เชื่อตรงนี้เชื่อจริงๆ รอ ยเปอรเ ซน็ ต เพราะฉะนั้นคร้ังนัน้ ครง้ั นจี้ งึ ไมมีปญ หา ขอ
ใหมีความเพียรเถอะ กิเลสจะตองพังทลายไมสงสัย ไมวาครงั้ ไหนไมม กี ิเลสตัวใดทจ่ี ะ
แปลกปลอมมาจากครั้งพุทธกาล พอจะมาเปนตัวใหมที่จะแกดวยมัชฌิมาปฏิปทานี้
ไมได นเ่ี ราเชอ่ื ตรงน้ี ฉะนน้ั จงเอาใหจ รงิ ใหจ งั ดูจิตกับกิเลสที่ปกคลุมใจไมมีกาลโนน
กาลน้ี การแกการถอดถอนกิเลสจึงไมควรคิดใหนอกเหนือจากวงมัชฌิมา และนาํ มา
ปราบกเิ ลสทม่ี อี ยใู นจติ นใ้ี หส น้ิ ซากไป นน่ั แลทส่ี มหมายอยตู รงนน้ั แตไ หนแตไ รมาจน
ถึงปจจุบัน
เอาละหยดุ แคน ้ี
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๖
๑๔๗
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๒
อบุ ายแกค วามกลวั
ศาสนาคอื นาํ้ ดบั ไฟ ไฟราคะ ไฟตัณหา หรอื วา ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ไหมหัว
ใจสตั วโ ลก ถาไมมีน้ํา คอื ธรรมะเปน เครอ่ื งระงบั ดบั กนั บา งเลย หวั ใจดวงนน้ั ๆ จะเปน
เหมือนไฟทั้งกองเผาลนอยูตลอดเวลาหาความสงบสุขไมได ไมวาจะอยูในสถานที่ใดๆ
ไมสําคัญที่สถานที่ แตส าํ คญั ทค่ี วามรมุ รอ นเผาลนจติ ใจเพราะอาํ นาจแหง กเิ ลสตณั หา
อาสวะประเภทตา งๆ มนั เผาลนอยภู ายใน ไมม เี วลาํ่ เวลา ไมมีอิริยาบถใดพอที่จะวาง
เวน นอกจากมธี รรมเขา ไประงบั ดบั กนั เทา นน้ั ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนาจงึ เปน ธรรมจาํ เปน ตอ
มวลสัตวอ ยมู ากทเี ดียว
ผตู อ งการหวงั ความสขุ ความเจรญิ หวงั หนรี อ นพง่ึ เยน็ ก็ตองเห็นโทษแหงไฟทั้ง
หลายทส่ี มุ อยภู ายในจติ ใจ และเหน็ คณุ แหง ธรรมซง่ึ เปน เสมอื นนาํ้ สาํ หรบั ดบั ไฟเหลา น้ี
ใหพอลดหยอนผอนคลายพอหายใจไดบาง หรอื พอบรรเทาไมร มุ รอ นจนเกนิ เหตเุ กนิ
ผล เกินประมาณที่จะทนได เกินสติกําลังความสามารถที่จะแกไขได บางรายถงึ กบั เปน
บา ไป เพราะไฟเหลา นม้ี จี าํ นวนไมน อ ย ในโลกเราทป่ี ราศจากธรรมเปน เครอ่ื งเยยี วยา
รักษา เพราะฉะนน้ั ธรรมจงึ เปน ธรรมชาตทิ จ่ี าํ เปน อยมู ากจะขาดธรรมเสยี มไิ ด ถาไม
อยากเหน็ โลกเปน ไฟทง้ั กองแผดเผามวลสตั วไ มม เี วลาวา งเวน
ราคะดบั ดว ยนาํ้ อนั ใด พระพุทธเจาทรงสอนใหดับดวยธรรมซึ่งเปนคูปรับของ
กันและกัน เชน ใหด บั ดว ยการพจิ ารณาอสภุ ะ ปฏกิ ลู โสโครก และ อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
ซึ่งมีประจําอยูกับสิ่งที่จิตใจไปพัวพันหรือรักชอบ เฉพาะอยางยิ่งเรื่องอสุภะ เรื่องปฏิกูล
เปน สง่ิ จาํ เปนอยางยง่ิ ตอไฟประเภทน้ี
โทสะเกิดขึ้น พึงระงับดวยความเมตตาหนึ่ง ระงับดวยการมองคนอื่นในแงเหตุ
ผลหนง่ึ มองกนั ในแงใ หอ ภยั หนง่ึ มองกันในสมานตั ตตา ไมถือตัวหนึ่ง พจิ ารณาเรอ่ื ง
ราวทใ่ี หเ กดิ โทสะนน้ั ดว ยเหตผุ ลหนง่ึ และยอนเขามาดูตัวที่กําลังโกรธกําลังโมโหโทโส
อยนู ้นั คือ ตวั พษิ ตวั ภยั ตวั ไฟเผาลนจติ ใจอยใู นขณะนน้ั กอนอื่นที่จะลุกลามไปไหมผู
อื่น ตองไหมผูโกรธผูโมโหโทโสกอนผูอื่น นเ่ี ปน จดุ สาํ คญั ใหดูที่จุดนี้ซึ่งเปนจุดเกิดขึ้น
แหง ภยั คือโทสะหรือความโกรธ เมอ่ื เหน็ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน ภยั กร็ ะงบั ดบั กนั ทต่ี รงนด้ี ว ย
อบุ ายวธิ ีการตา งๆ ที่จะระงบั ดับมันได
เชนเดียวกับเราคิดในทางผิดมันเกิดโทสะขึ้นมา กใ็ หเ หน็ วา โทสะเปน ภยั แกต วั
เราเอง แลว รบี ระงบั ดบั ทต่ี รงมนั เกดิ คอื เกิดท่จี ติ นั้น ไมใหกระจายออกไปสูผูอื่น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๗
๑๔๘
บางคราวคนอน่ื ไมม คี วามผดิ แตเ ราไปเขา ใจเสยี เองวา ผนู น้ั มคี วามผดิ หรือผู
นั้นมีอะไรแกตนทั้งๆ ที่เขาไมมีอะไรเลย ก็เพราะความสําคัญของใจหลอกลวงตนเอง
ใหเกิดโทสะขึ้นมา เกดิ ความโกรธความแคน ขนึ้ มาก็ได แมจะมีผแู สดงปฏกิ ิริยาอันเปน
ความกระทบกระเทือน ใหเกิดความโกรธความไมพอใจขึ้นมาก็ตาม ผูปฏิบัติธรรมไม
ควรไปมองในแงนั้น มองดูคนนั้น มองเรื่องนั้น คดิ เรอ่ื งนน้ั ใหมากยงิ่ กวา การยอนเขา
มาสูจุดแหงเหตุ คอื ตัวโทสะซึ่งเกิดขึ้นที่ใจ
คน ควา หาเหตหุ าผลแหง ความโกรธ ถอื ความโกรธเปน จดุ หมายหรอื เปน เปา
หมายแหง การพจิ ารณา ถอื ตัวโกรธนัน้ เปนตวั โทษตวั ภยั ทที่ ําลายตนเองอยใู นขณะนน้ั
แลว ระงบั กนั ดว ยอบุ ายวธิ กี ารตา งๆ ไมย อมเคลื่อนคลาดจากจุดน้นั ไปเลย ความโมโห
โทโสหรือความโกรธจะลุกลามไปไมได เมอื่ สตคิ วามระลกึ รยู อนเขาสูจ ุดแหง เหตุน้นั ซึ่ง
เปนจุดที่ถูกตอง ดว ยการพจิ ารณาโดยทางปญ ญาจนความโมโหโทโสระงับลงดว ยอบุ าย
นน้ั ๆ คราวตอ ไปกจ็ ับจุดท่เี คยปฏิบัติไดผ ลมาแลว และพิจารณาระงับลงไดเรื่อยไป
สว นความหลงนั้นเปนสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียดมาก มแี ทรกอยกู บั กเิ ลสประเภทตา งๆ
เตม็ ไปหมดไมม เี วน เพราะเปน ประเภทซมึ ซาบละเอยี ดลออ สามารถเขา แทรกซมึ ไดใ น
กิเลสทุกประเภท เพราะฉะนน้ั เราจะยกออกมาพูดเฉพาะโมหะเสียทีเดียวก็ไมได เชน
ความโลภกม็ คี วามหลงมาแทรก ความโกรธก็มีความหลงมาแทรก ความรักก็มีความ
หลงมาแทรก ความชังก็มีความหลงมาแทรกทั้งนั้น มันแทรกไดหมด จึงระงับดับกัน
ดว ยสตปิ ญ ญาอนั แหลมคมเทาน้นั ท่ีจะใหโมหะนสี้ น้ิ สุดลงไปได อวิชชาไดสิ้นสุดลงไป
จากจิตเมื่อใด พงึ ทราบวา เมอ่ื นน้ั แหละ โมหะอันสําคัญซึ่งเปนรากเหงาของกิเลสทั้ง
หลายจงึ จะสน้ิ ลงไป หากอวิชชายังไมสิ้นเมื่อไรโมหะก็ยังตองมีอยูนั่นแหละ รากแกว
จรงิ ๆ ออกมาจากโมหะอวิชชา
เราเปน นกั ปฏบิ ตั ทิ าํ หนา ทข่ี องการบวชเตม็ ภมู ขิ องเราทกุ วนั เวลาทกุ อริ ยิ าบถ ดว ย
การชาํ ระสะสางกเิ ลสประเภทตา งๆ ซึ่งมีอยูกับใจและเกิดขึ้นที่ใจ และลกุ ลามไปสภู าย
นอก ตองถือเปนกิจเปนงานสําคัญ อยา เหน็ งานอน่ื ๆ วา เปน งานจาํ เปน หรอื หนกั แนน มี
คณุ คา ยง่ิ กวา งาน คอื การชาํ ระกเิ ลสประเภทตา งๆ ภายในใจ ดว ยความเพยี รทา ตา งๆ
อุบายวธิ ตี า งๆ อยโู ดยสมํา่ เสมอ อยา เสยี ดายเวลาํ่ เวลา อยา เสยี ดายอารมณแ หง ความคดิ
ความปรุงของใจ ซง่ึ เคยเปน มาและเคยหลอกหลอนมาเปน เวลานานแลว ทว่ี า สังขารขันธ
หรอื สัญญาขันธ นี้ออกหนาออกตาอยูตลอดเวลา ผูมีสติเทานั้นถึงจะทราบเรื่องของ
สังขารและเรื่องของสัญญาที่ออกหนาออกตาอยู ทั้งๆ ที่ไมไดมีอะไรมากระทบใหคิดให
ปรงุ ใหเกิดความสาํ คัญมั่นหมายก็ตาม แตมันเกิดขึ้นมาโดยลําพังของมันไดอยางคลอง
ตวั ไมเ หมือนกับวิญญาณทีค่ อยรบั ทราบสง่ิ ภายนอกทมี่ าสมั ผสั จงึ จะปรากฏข้ึนมา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๘
๑๔๙
การพิจารณาจึงตอ งถอื ใจเปนสาํ คญั มีสติคอยระมัดระวังเสมอ อยา ไปคนุ เคยกบั
ความเพยี รแบบโลกๆ ซึ่งเปนพิธีการของกิเลสแตงกลอนแตงบทเพลงใหเดินตามจังหวะ
ของมัน เชน เคยเดนิ จงกรมแลว กเ็ ดนิ ไปเฉยๆ นั่งไปเฉยๆ ไมมีความจดจอตอเนื่องดวย
สติสัมปชัญญะกํากับใจในประโยคแหงความเพียร ไมเกิดประโยชนอันใด เพราะสง่ิ ทจ่ี ะ
ใหเ กดิ ประโยชนต ามหลกั แหง ความเพยี รนน้ั ตองมีสติเปนเครื่องจดจอตอเนื่องกันกับ
งานที่ทํา เชน ผูบริกรรมก็มีสตกิ ํากับการบริกรรมของตนสบื เนื่องกนั ไปโดยลาํ ดับ
ผพู จิ ารณาทางดา นปญ ญา สตเิ ปน ของสาํ คญั ไปตลอดสาย ไมม ที จ่ี ะละเวน สตเิ ลย
การยนื การเดนิ ไปที่ไหนสตใิ หมีอยูกบั ตัว ความมสี ตอิ ยกู บั ตวั นน้ั เหมอื นกบั มเี ครอ่ื งรบั
ทราบ สติปญญาทาทางตางๆ ที่จะระมัดระวังหรือตอสูตานทานกับสิ่งที่มาเกี่ยวของนั้น
ยอ มทาํ หนา ทไ่ี ดร วดเรว็ กวา คนไมม สี ติ ฉะนั้นจึงตองฝกสติ
ตั้งแตพื้นๆ ภาวนา การอบรมเบื้องตนก็อาศัยสติ จะเห็นได เชน เวลาไปอยใู น
สถานทน่ี า กลวั มาก ซึ่งไดเคยไปอยูแลวและไดเห็นเหตุเห็นผลกันกับเรื่องของสติไดดี พอ
เปน หลกั ฐานพยานยนื ยนั และนํามาพูดใหหมูเพื่อนฟงไดโดยไมสงสัย คอื เราไปอยใู น
สถานท่นี ากลวั สติยอมตั้งตัวอยูเสมอ
การตง้ั สตอิ ยูโดยสมํ่าเสมอเพราะความระวังตวั ทั้งกลัวตายก็กลัว ทั้งกลัวจิตจะ
สงออกไปสูสิ่งที่กลัวนั้นก็กลัว จึงตองระมัดระวังทั้งดานอันตรายเกี่ยวกับสิ่งภายนอก
เชน เสอื เปน ตน ทง้ั ภายในกลวั สตจิ ะเผลอตวั จากความเพยี รนก้ี ร็ ะวงั บังคับจิตไมให
เสยี ดายในอารมณท น่ี า กลวั เชน คิดไปเรื่องเสือ เรอ่ื งอนั ตรายตา งๆ ไมยอมใหจิตเล็ด
ลอดออกไปคิดเปนอันขาด บงั คบั ใหค ดิ ปรงุ อยกู บั คาํ บรกิ รรมโดยเฉพาะเทา นน้ั จติ
ปรงุ พุทโธ ก็ใหอยูกับ พุทโธ สบื เนอ่ื งกนั เปน ลาํ ดบั สละทุกสิ่งทุกอยางในความคิด
ภายนอก ใหส ตกิ บั จติ กลมกลืนกนั เปน อนั เดียว
ทีนเ้ี มอื่ สติมคี วามสบื ตอ งานของจิตทก่ี าํ ลงั ภาวนาก็เปนชิ้นเปนอันเปนเน้อื เปน
หนังข้ึนมา สามารถสง่ั สมพลงั ขน้ึ มาไดใ นขณะนน้ั กลายเปน จติ ทม่ี คี วามสงบตวั แนน
หนามั่นคงขึ้น ทั้งๆ ที่เดินก็เดินไดอยู เดินจงกรมกลับไปกลับมาก็เดินได แตจิตมี
ความเหนยี วแนน มน่ั คงอยภู ายในตวั เอง ดวยความมีสติเปน เคร่อื งระวงั รักษาอยตู ลอด
เวลา อารมณทเ่ี คยกลวั ก็หายเงียบไป ไมอยากคิด ไมเ สยี ดายในความคดิ เกย่ี วกบั
อารมณป ระเภทนน้ั ๆ แมจะคิดออกไปถึงอารมณที่นากลัว จิตก็เลยไมกลัว พอคิดออก
ไป ขณะเดียวก็ถอยกลับเขามาทันทีอยูดวยความมั่นคงของใจ ใจเลยกลายเปน ใจทก่ี ลา
หาญขน้ึ มาในขณะนน้ั
ทั้งๆ ทใ่ี นเบอื้ งตนเร่มิ เดินจงกรมจติ กลวั มาก แตพอไดหลักเลยกลายเปนจิตที่
กลา หาญขน้ึ มาในขณะนน้ั จะเดนิ นานสักเทา ไรก็ได ไมม คี วามสะทา นหวน่ั ไหวตอ เรอ่ื ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๙
๑๕๐
ความกลัวใดๆ ทง้ั สน้ิ เวลาจติ มคี วามแนน หนามน่ั คงเตม็ กาํ ลงั ของตวั ในภมู นิ น้ั แลว
อยาวา แตไมกลัวเฉยๆ เลย แมเ สอื จะเดนิ เขา มาผา นทางจงกรม กส็ ามารถจะเดนิ เขา
ไปลบู คลําหลงั เสือไดอยางมติ รสหายเพือ่ น เกิด แก เจบ็ ตาย ดวยกัน ดวยจิตที่มี
ความออนโยน ไมค ดิ เลยวา เสอื นน้ั จะทาํ อนั ตรายอะไรแกต นไดเ ลย
แตความจริงนั้นเสือจะทําไดหรือไมไดเปนอีกแงหนึ่ง แตค วามรสู กึ ในขณะนน้ั ไม
มีกลัวอะไรทั้งสิ้น ขึ้นชื่อวาอันตรายไมมีความสะทกสะทาน เพราะจติ มคี วามแนน หนา
มั่นคงเต็มตัว เกินกวาที่จะไปหมอบไปกลัวไปออนนอมตอสิ่งนั้นวาเปนของนากลัว
กลายเปน จติ ทส่ี งา ผา เผยองอาจกลา หาญเตม็ ตวั ขน้ึ ในเวลานน้ั นี่ไดเห็นประจักษใจกับ
ตัวเองมาแลว
เพราะฉะนั้นการประกอบความพากเพียร แมจะเปน นสิ ัยข้ขี ลาดหวาดกลวั ของ
มนุษยเ ราท่มี ีชีวิตอยเู ชน สัตวทง้ั หลายกลัวกนั ก็ตาม แตก็ตอ งบังคับตนใหเ ขาไปสสู ถาน
ทน่ี า กลวั นน้ั เพื่อการประคองความเพียรไดดีเสมอมา ที่พระพุทธเจาทรงสอนใหไปอยู
ตามรุกขมูลรมไม ชายปา ชายเขา ทเ่ี ปลย่ี วๆ อนั เปน ทน่ี า กลวั พระองคท รงเหน็ เหตุ
เหน็ ผลโดยสมบรู ณแ ลว
เวลาไปอยสู ถานทน่ี า กลวั ทา นกแ็ สดงใหเ ราไดเ หน็ ไดอ า นอยแู ลว เชน ธชัคค
สตู ร วา หากไปอยใู นสถานทน่ี า กลวั เกดิ ความเปลย่ี วเปลา ขน้ึ ภายในจติ ใจ ใจวา เหว ให
ระลึกถงึ พระพุทธเจา ความกลวั นน้ั จะหายไป หากระลึกถึงพระพุทธเจาความกลัวยังไม
หาย พงึ ระลกึ ถงึ พระธรรมอนั เปน นยิ ยานกิ ธรรม แลว ความกลวั จะหายไป หากระลกึ
ถึงพระธรรมความกลัวยังไมหาย ใหระลึกถึงพระสงฆ ความกลวั จะหายไป น้ีแหละคือ
หลักประกันจิตไมใหกลัว คอื หลกั ธรรม จะเปน พทุ ธ ธรรม สงฆ บทใดก็ตามเปนธรรม
ดวยกนั ท้งั น้นั และเปน หลกั ยดึ ของใจไดเ ปน อยา งดหี ายหว ง
เวลาเรานาํ มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามทท่ี า นสง่ั สอนไว โดยไมใหจิตเล็ดลอดออกไป
สูสิ่งอื่นๆ ท่ีเปนของนา กลัวหรือไมก ลัวกต็ าม ใหจ ติ มคี วามกลมกลนื กนั อยกู บั ธรรมบท
นน้ั ๆ จติ จะมคี วามแนน หนามน่ั คงขน้ึ ภายในตนโดยลาํ ดบั จนแนช ดั ภายในจติ ใจ วา จติ
นห้ี าความสะทกสะทา นหวน่ั ไหวไมไ ดแ ลว เกี่ยวกับเรื่องความกลัวใดๆ ทั้งสิ้น ทนี เ้ี ดนิ
นานเทาไรกเ็ ดนิ จะไปไหนก็ไปได ไมมีความรูสึกกลัว
ทก่ี ลา วนเ้ี ปน ตามเวลา ไมใชจะเปนอยูเสมอไป เมื่อจิตถอยออกมาจากนั้นแลว
มันก็มีความกลัวไดอีก แตอยางไรก็ตาม เราพอมหี ลกั ฐานพยานเปน เครอ่ื งยนื ยนั ไดว า
เราเคยทาํ ดว ยอบุ ายวธิ นี น้ั ๆ จติ ของเราไดร บั ความสงบรม เยน็ ไดร บั ความกลา หาญ
เราจะตองทําอยางนั้นไมทําอยางอื่น เรยี กวา ไดหลักเกณฑ ไปไหนกใ็ ชอ บุ ายอยา งน้นั
จรงิ ๆ เปน ประจาํ เปน กเ็ ปน ตายกต็ าย จิตจะไมยอมปลอยวางจากหลักธรรมที่นําเขา
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๐
๑๕๑
มากาํ กบั ใจนเ้ี ลย เมอื่ เปนเชน นัน้ ผลก็ตองปรากฏขึ้นมาดงั ที่เคยปรากฏแลว นี่ไดเคย
ปฏบิ ตั มิ าแลว
ตั้งแตสมัยกอนที่สัตวเสือชุกชุมโนน ผิดกับสมัยนี้อยูมาก กาลเวลาผา นกนั มาไม
กี่ป ความเปลย่ี นแปลงของโลกเปลย่ี นไปมาก เชน ในปา ในเขา แตกอนมีแตสัตวแต
เสือมีแตอันตราย ทุกวันนี้ปาก็ถูกทําลายไปหมด ไปที่ไหนก็มีแตผูแตคน หาคาํ วา สตั ว
วาเสือชักจะไมมี นานไปกวา นพ้ี ดู เรอ่ื งสตั วเ รอ่ื งเสอื คนอาจจะไมเชื่อก็ได ทั้งๆ ที่มันก็
เคยมเี คยเปน อยแู ลว
ทา นนกั ปฏบิ ตั ทิ งั้ หลาย พึงถือสติเปนสําคัญ ใหกํากับตัว ถอื เปน ภาระหนา ทข่ี อง
ตวั อยา เสยี ดายความคดิ ความปรงุ เกย่ี วกบั โลกสงสารใดๆ เราเคยคดิ เคยปรงุ เคย
สมั ผัสสัมพันธมาแลว ไดผ ลดชี ่วั ประการใด พอท่จี ะนาํ มาเทยี บเคียงเลอื กเฟนไดแ ลว
ไมค วรจะเสียดายในอารมณที่เคยเปนมา
แตพ งึ ทราบวา ขน้ึ ชอ่ื วา เรอ่ื งกเิ ลสแลว ไมว า ประเภทใดๆ ตองเปนเครื่องกลอม
ใจสตั วใ หเ คลบิ เคลม้ิ หลบั ไหลไดเ ปน อยา งดี อยา ลมื นเ้ี ปน สาํ คญั เราผูปฏิบัติก็พน ไป
จากความเปนสัตวโลกที่ถูกกลอมจากกิเลสประเภทตางๆ ไมไดเหมือนกัน จึงพึงตั้งสติ
รอรบั ไวเ สมอ วากิเลสทุกประเภทจะตองมากลอมที่ใจ ใจจะตองตอสูกับกิเลสดวย
ธรรมมสี ตธิ รรม ปญ ญาธรรม วริ ยิ ธรรม ขนั ตธิ รรม เปน สาํ คญั
ขึ้นชื่อวาธรรมตองฝนตองตานทานกับกิเลสเพราะการตอสูกัน อันใดฝนอันนั้น
มกั เปน ธรรม อันใดที่ไมฝนและเปนความชอบพอ มกั เปน กเิ ลสเสมอในขน้ั เรม่ิ แรก
ปฏิบัติ เวน เสยี แตธ รรมะขน้ั กลางถงึ ขน้ั ละเอยี ดแลว นน้ั เปน อกี แงห นง่ึ ผิดกัน นบั ตง้ั
แตธรรมขั้นกลางข้นึ ไปแลว จติ ใจมีความดูดด่มื ในธรรม คลายโลกามิสทั้งหลายออก
ไปเปนลําดับ สิ่งเหลานั้นจึงไมมีกําลังดึงดูดจิตใจใหอยูใตอํานาจได ใจดูดดื่มและหนัก
แนน ในธรรม เพราะธรรมมกี าํ ลงั และมรี สชาตเิ หนอื กวา ไปเปน ลาํ ดบั
เฉพาะอยางยิ่ง สติปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร นบั วนั มกี าํ ลงั กลา ไปโดยลาํ ดบั จน
ถึงธรรมขั้นละเอียดเพียงไร จติ ยง่ิ มคี วามเพลดิ เพลนิ รน่ื เรงิ ในธรรมจนเกนิ ความพอดี
ไปก็มีในบางครั้ง ทา นจงึ เรยี กอทุ ธจั จะในสงั โยชนเ บอ้ื งบนวา ความฟุง ความเพลนิ ใน
การพจิ ารณา จนลมื เวลาํ่ เวลา ลมื ความเหนด็ เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา ซงึ่ เปน สังโยชนเคร่ืองตดิ
ของประเภทหนึ่ง เพราะขัดตอความพอดี คอื มัชฌิมา ความพอดเี หมาะสม
ดงั ท่ีมีในตําราที่พระทา นเดนิ จงกรมจนฝาเทาแตกนัน้ ถา ความรสู กึ นกึ คดิ
ธรรมดาทว่ั ๆ ไปแลว ตอ งวา ทา นฝก ทานทรมานตนเอง บงั คบั ตนเองใหเ ดนิ เสยี จนฝา
เทา แตก ซึง่ ทาํ ใหผเู ร่ิมฝก หดั ปฏบิ ัติเกิดความทอ ใจ อดิ หนาระอาใจวา ยากเกนิ ไปหนกั
เกินไป ไมส ามารถทําตามนัน้ ได แลว หมดกาํ ลงั ใจทจ่ี ะอตุ สา หข วนขวาย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๑
๑๕๒
แตถาคิดตามหลักปฏิบัติแลว ความเพยี รขน้ั นน้ั หากเปน อยา งนน้ั เอง คอื เปน
ความเพยี รอยทู กุ อริ ยิ าบถ ไมวาจะยืน จะเดนิ จะนั่ง จะนอน เวน แตเ วลาหลบั อยา ง
เดียว นอกนน้ั เปน ความเพยี รทง้ั สน้ิ เชน เดนิ จงกรมจติ ใจหมนุ ตว้ิ อยกู บั ธรรม ระหวา ง
ธรรมกับกิเลสที่ตอสูกัน พัวพันฟดเหวี่ยงกันอยูตลอดเวลา ไมคิดถึง เดือน ป นาที
โมง เชา สายบา ยเยน็ หวิ กระหายใดๆ ทง้ั สน้ิ ระหวา งสตปิ ญ ญา ศรัทธา ความเพยี ร
อัตโนมัติกับกิเลสเขาตะลุมบอนกัน จะไปเผลอตัวไดอยางไร นน่ั แหละความเพยี รทท่ี าํ
ใหเ พลนิ เดินจงกรมจนกระทั่งฝาเทาแตกไมรูสึกตัว เพราะไมสนใจกบั ฝา เทา ย่ิงกวา
ธรรม และเพราะพลังของจิตที่มีกําลังมาก เรงตอความพากเพียรเพื่อความหลุดพน
ฟาดฟน ห่นั แหลกกบั กิเลสไมม ีคําวา ทอถอยปลอ ยวาง นอกจากใหไดชัยชนะหรือกิเลส
หมอบราบไปหมด จนไมม กี เิ ลสตวั ใดเหลอื อยภู ายในใจเลย รอบๆ ตวั กลายเปน ซาก
กิเลสไปหมด นน้ั แลเปน ทพ่ี อใจของความเพยี รประเภทนน้ั
ฉะนน้ั การประกอบความเพยี รจนฝา เทา แตกนน้ั จึงเปนฐานะที่เปนไปไดไมสงสัย
ในธรรมขน้ั น้ี นี่พูดทางภาคปฏิบัติ ตองเอาความจริงมาพูดกันใหถึงใจผูปฏิบัติบาง จะ
ไดเ ปน กาํ ลงั ใจตอสกู บั กิเลสตัวโลกทง้ั หลายเกรงขาม
ทง้ั นเ้ี พราะความเพลนิ ในธรรมและความพากเพยี ร ไมใ ชเ ปน ไปเพราะบงั คบั จติ
เดนิ จงกรมจนฝา เทา แตก ทั้งๆ ทจ่ี ติ กเ็ รร อ นวนุ นน่ั วนุ นห่ี าสาระอะไรยงั ไมไ ด แลวก็
เดินจงกรมจนฝาเทา แตกนี้ คิดวาจะเปนไปไดยากหรือเปนไปไมไดพอๆ กนั แตถา
เพราะความเพยี รเปน เครอ่ื งดงึ ดดู ทาํ ความเพยี รทา ตา งๆ จนลมื เวลาํ่ เวลาลมื เหนด็
เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา จนฝา เทา แตกนน้ั เปนไปไดโดยไมสงสัย ในหลกั ปฏบิ ัตทิ เี่ คยผานมา
เปน อยา งนั้น
นับแตธรรมขั้นกลางไปถึงขั้นนั้น ซง่ึ เปน ขน้ั ละเอียดไปโดยลาํ ดับแลว กําลังของ
โลกภายในใจออ นลงโดยลาํ ดบั แทบไมป รากฏ แตกําลังของธรรมมีมากขึ้นๆ จึงทําให
ความเพยี รหรอื การบาํ เพญ็ ทกุ ๆ ประโยค หมุนเปนธรรมจักรไปไดโ ดยไมรสู ึกฝนเลย
เมื่อถึงขั้นละเอียดยิ่งกวานั้น ตองไดคุยเขี่ยขุดคนหาตัวกิเลส เพราะกิเลสหมอบ
กเิ ลสหลบซอ นตามแบบฉลาดที่เคยครองไตรภพของมัน สติปญญาทันสมัยเกรียงไกร
เต็มที่ มแี ตท า จะฟาดฟน หน่ั แหลกถา ยเดยี ว หาคาํ วา แพไ มม ี คําวาทอถอยไมมี มีแต
ทาจะเอาใหแหลกแตกกระจายไปจากใจ ไมใหมีเหลือเลยแมแตนิดหนึ่งขึ้นชื่อวาสมมุติ
เพราะฉะนั้นจิตขั้นนี้จึงหาความทอถอยไมได หาความขเ้ี กยี จไมม ี มแี ตค วามขยนั หมน่ั
เพยี รและเปน นกั ตอ สโู ดยถา ยเดยี ว ตองรั้งเอาไว คาํ วา รง้ั คอื รง้ั ใจเขา สคู วามสงบใน
สมาธิ เพอ่ื พกั จากงานทช่ี ลุ มนุ วนุ วายกนั ไมม เี วลาํ่ เวลา ระหวางธรรมกับกิเลสตอสูกัน
ใหเขาสูสมาธิคือความสงบ เปน กาลเปน เวลาเพอ่ื สง่ั สมกาํ ลงั นเ่ี ปน ความเหมาะสม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๒
๑๕๓
สาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ทิ ง้ั หลาย ควรถอื เปน แบบฉบบั ในการดาํ เนนิ สมถะและวปิ ส สนาจนถงึ
จดุ หมายปลายทาง
เม่ือพกั งาน ตามธรรมดาของจิตขั้นนี้ตองเสียดายงาน เสยี ดายการทาํ งาน ไม
อยากพักตัว แตจ าํ เปน ตอ งบงั คบั ทเ่ี รยี กวา รง้ั เอาไว เพื่อพักสงบในสมาธิ เมื่อพักสงบ
ใจก็มีกําลัง หยดุ ปรงุ แตงโดยทางปญญาทเ่ี คยนาํ ไปใชก ับกเิ ลสเสียในขณะนัน้ เหลอื
แตค วามรลู ว นๆ ทรงตวั อยใู นความสงบพอสมควร เมื่อรูสึกมีกําลังแลวก็ถอยจิตออก
เพื่อทํางานทางดานปญญาตอไป
จิตนั้นพอถอยออกเทานั้นจะวิ่งถึงงานทันที ไมม อี ะไรรวดเรว็ ยง่ิ กวา จติ ขน้ั นจ้ี าก
นน้ั กห็ มนุ ตว้ิ กบั งานโดยลาํ ดบั ๆ นน่ั เมื่อถงึ ข้ันน้ีแลว ไมมคี าํ วา ขเี้ กยี จ นอกจากจะพูดวา
ขน้ั ขยนั เกนิ คาดเทา นน้ั ซ่ึงเปน คําเหมาะสมกับจิตขั้นนี้ กิเลสหมอบ ตองคุยเขี่ยขุดคน
กนั เสียจนเตม็ ท่ีเตม็ ฐาน ซงึ่ กเ็ ปนงานอันหนึ่ง พอเจอกิเลสก็ตอสูกับกิเลส นี้ก็เปนงาน
อนั หนง่ึ
การคยุ เขย่ี หากเิ ลสกเ็ ปน งานประเภทหนง่ึ เวลาเจอกนั แลว ตอ สกู นั ก็เปนงานอัน
หนง่ึ จติ ขน้ั นจ้ี งึ ไมม เี วลาวา งงาน ดังที่โลกพูดกันวา คนวา งงาน นั่นคือคนขี้เกียจทํางาน
นน่ั เอง จนไดชัยชนะ หมายความวา เขา ใจเรอ่ื งกเิ ลสแตล ะชนดิ หลุดลอยออกไปจากใจ
แนใ จ เห็นประจักษไปเปนพักๆ แลว คยุ เข่ียไปอกี ขุดคนอีก เจออีกสูอีกอยูอยางนั้น น่ี
คือปญญาขั้นอัตโนมัติ หมนุ ตวั ไปเอง ผปู ฏบิ ัตถิ า ลงปฏบิ ัติถึงข้นั น้แี ลว ใจจะไมมีเวลา
วา งงาน งานจะเปนไปอยูตลอดอิริยาบถ เวน เสยี แตห ลบั แมแตหลับก็ยังไมอยากจะ
หลบั บางคนื ตลอดรงุ เอาเฉยๆ ไมยอมหลับเลย เพราะจิตยังทาํ งานอยางเพลินตัวกลัว
ไมหลุดพน
ดว ยเหตนุ จี้ งึ ตอ งไดรัง้ จติ ยับย้ังจติ เขา สูสมาธิ เพื่อใหจิตมีความสงบ ขั้นนี้พูด
ตามธรรมะปา เราเรยี กวา เพลนิ ในความเพยี ร และเขา กันไดกับคาํ วาทอ่ี ทุ ธจั จะ ใน
สงั โยชนเ บอ้ื งบน คอื ความฟุง ความเพลนิ ในความเพยี ร วุนอยูกับกิเลส ตอสูกับกิเลส
พุงตัวออกไปตอสูกับกิเลสอยูตลอดเวลา ไมใชฟุงซานแบบโลกๆ แลว เกดิ ความรําคาญ
แบบโลกๆ อยางนั้น ผิดกันคนละโลก นาํ มาเทยี บกันไมไ ด
ฟุงในสถานที่นี้หมายถึงการออกตอสูกับกิเลสนั่นเอง จนลืมเนื้อลืมตัว ลมื เวลาํ่
เวลาความเหนด็ เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา ไปหมด ลกั ษณะนท้ี า นวา อทุ ธจั จะ เมือ่ จติ ผานไปแลว ถึง
จะรไู ดว า ออ ตรงนน้ั คอื จดุ นน้ั ถายังไมผานก็ยังไมรู เชน การพกั จติ ในเรอื นสมาธิ เมอ่ื
มนั จะตายจรงิ ๆ ก็มาพกั เสียทหี นึง่ ทั้งๆ ที่ไมอยากพักก็ตองจําใจพัก เพราะจิตมัน
เหนอ่ื ยมากจรงิ ๆ แตถึงจะเหนื่อยก็ไมถอยนี่ ถาเปนสิ่งที่ตายไปไดมันก็ตายไดจริงๆ
เพราะความเหนด็ เหนอ่ื ยเตม็ ประดาเกนิ กวา จะทนได แตจติ ไมใชเ ปน ของตาย มีแต
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๓
๑๕๔
ความเหนด็ เหนอ่ื ยความเพลยี ภายในจติ เทา นน้ั จิตไมไดตาย จึงตองพาเขาสูสมาธิเพื่อ
พักสงบอารมณวปิ ส สนา ใหมีกําลังดานสมาธิ
พอถอนออกจากสมาธิแลว จิตใจจะรูสึกมีกําลังขึงขังตึงตัง นเ่ี หน็ คณุ คา ของ
สมาธเิ ปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ปญ ญาไดเ ปน อยา งดี ทา นจงึ กลา วไวใ นอนศุ าสนน น้ั วา สมาธิ
ปริภาวิตา ปฺญา มหปฺผลา โหติ มหานสิ สํ า ปญญาอันสมาธิอบรม อันสมาธิหนุน
หลงั พูดงายๆ มสี มาธเิ ปน เครอ่ื งหนนุ แลว ยอมทํางานไดผลเปนที่พอใจไปโดยลําดับ น่ี
พดู เอาความเปน อยา งน้ี
สมาธจิ งึ มคี วามจาํ เปนตลอดสาย จนกระทง่ั ถงึ วาระสดุ ทา ย สมาธิจะละไปไมได
ถึงกาลพักตองพัก เชน เดยี วกบั เราทาํ งาน เวลาทาํ งานก็ต้งั หนาตงั้ ตาทําเต็มเม็ดเตม็
หนว ย ถึงเวลาพักก็ตองพัก รบั ประทานอาหารพกั ผอ นนอนหลบั พกั เอากาํ ลงั วงั ชา ถึงไม
ไดงานไดการอะไรจากการพัก แตก็ไดกําลังสําหรับดําเนินงานในกาลตอไปไดโดย
สะดวก สมาธิกับปญญาจึงมีความเกี่ยวโยงกันอยางแยกไมออก
ทีนี้ ปฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วมิ จุ จฺ ติ นั่น จิตอันปญญาอบรม
แลว จิตอันปญญาซักฟอกแลว พูดตามความถนัดใจทางภาคปฏิบัติ ยอ มหลดุ พน จาก
กิเลสทั้งปวงโดยชอบ เพราะฉะนน้ั ศลี สมาธิ ปญญา จึงแยกกันไมออก พระพุทธเจา
ทรงเปน ผบู ญั ญตั เิ องเพอ่ื สว นรวมเปน สาธารณะ คาํ วา ศีล สมาธิ ปญญา มีความเกี่ยว
โยงกันอยางนี้
จะใชแ บบสมัยจรวดดาวเทยี มตัดทอนเอาตามความตองการ (ของกิเลส มิใช
ของธรรม) ยอมไมได ตองใหเปนไปตามหลักความจริงที่ทรงบัญญัติไวแลว
แตส มาธขิ องใครจะเดนขนาดไหนนั้น เปนไปตามจริตนิสยั เรอ่ื งความสงบเพ่อื
จะเปน บาทฐานแหง ปญ ญานน้ั มคี วามจาํ เปน เสมอกนั ไมใหม ีสมาธเิ ลยแตจะใหเปน
ปญญาลวนๆ ไปเลยนน้ั เปนไปไดยาก หรืออาจเปนไปไมได แมแ ตข ปิ ปาภญิ ญา ก็ยังมี
ความสงบแฝงอยูในระยะเดยี วกัน
อยางนอยตองใหมีจิตสงบ เมื่อจติ สงบแลว กเ็ รียกวา จิตอ่มิ ตวั พอประมาณ หรอื
จิตอิ่มตัว เหมอื นกบั เราไดร บั ประทานแลว แลว ตง้ั หนา ทาํ งานใหอ ยา งเตม็ เมด็ เตม็
หนว ยไมเ ถลไถล ไมค วา โนน ควา นเ้ี หมอื นจติ ทไ่ี มม คี วามสงบ เต็มไปดวยความฟุงซาน
ราํ คาญ พจิ ารณาใหเ ปน ปญ ญากก็ ลายเปน สญั ญาอารมณไ ปเสยี เพราะจิตไมอิ่มตัว
ฉะนน้ั การอบรมสมาธจิ งึ มคี วามจาํ เปน ในขน้ั เรม่ิ แรก
สมาธิข้ันใดกต็ ามมีความจําเปนตอปญ ญาข้นั นัน้ ๆ อยาไปคิดวาไดสมาธิเต็มที่
แลว จงึ จะพจิ ารณาปญ ญา นน้ั เปน ความคดิ ผดิ ความสงบขนาดใดกค็ วรแกป ญ ญาขนาด
นน้ั บางครั้งปญญายังตองมาอบรมจิตใหเปนสมาธิก็ยังมี ดงั ทเ่ี ขยี นไวแ ลว นน้ั นน้ั เปน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๔
๑๕๕
ชว่ั ระยะกาลทเ่ี ราจะนาํ มาใช ไมใ ชเ ปน ธรรมพน้ื เพเสมอไป เปน ธรรมเสมอไป เฉพาะ
สมาธิอบรมปญญา ดงั ทท่ี า นกลา วไวแ ลว นน้ั
ทก่ี ลา วมาเหลา น้ี ไดเ ริม่ กลาวต้ังแตเร่ืองความหนักใจ ความทอถอยออนแอ
เกย่ี วกบั เรอ่ื งการงาน ในเบอ้ื งตน เปน การลาํ บาก ทําใหเกิดความทอถอยนอยใจ อาจคดิ
ไปวา ตนไมมวี าสนาบา ง ตนมวี าสนานอ ยบา ง ซง่ึ เปน เรอ่ื งใหเ กดิ อปุ สรรคตอ การดาํ เนนิ
ไมเต็มเม็ดเต็มหนวย
ความจรงิ เรามอี ปุ นสิ ยั วาสนามาดว ยกนั ทกุ คน เวลานเ้ี รากไ็ ดเ ปน พระตง้ั หนา มา
บวชในพระพทุ ธศาสนาดว ยศรทั ธาความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส กเิ ลสกม็ ปี ระเภทเดยี วกนั กบั
ครั้งพุทธกาล ไมไดนอกเหนือไปจากนั้นเลย ธรรมะทเ่ี ปน เครอ่ื งปราบกเิ ลส คอื ศีล
สมาธิ ปญญา เปน ตน กเ็ ปน ธรรมะทเ่ี คยปราบปรามกเิ ลสใหส น้ิ ซากมาแลว ต้งั แตคร้ัง
พุทธกาลจนถึงสมัยนี้ ไมม คี าํ วา ลา สมยั ธรรมเหลา นแ้ี ลเปน ธรรมทท่ี นั กบั กเิ ลสทกุ
ประเภท ขอใหน าํ มาใช เฉพาะอยางยิ่งสติกับปญญา ใหถือเปน ธรรมจาํ เปน อยางยิง่ มี
ความเพยี รเปน เครอ่ื งหนนุ หลงั เราจะเหน็ แดนแหง ความพน ทุกขข ้ึนทใ่ี จโดยไมสงสัย
เพราะความพากเพยี ร
ใจทเ่ี คยอดั อน้ั ภายในตวั เองเพราะอาํ นาจแหง กเิ ลสบบี บงั คบั เมอ่ื ไดร บั การบกุ
เบกิ ดว ยความเพยี ร มีสติปญญาเปนเครื่องมือแลว จติ ใจจะคอยเบิกกวางและส่งิ เหลา
นั้นจะเพิกถอนออกไป จติ ใจจะเกดิ ความโลง โถงสวา งไสวภายในตน มคี วามสะดวก
สบาย อยูท่ไี หนก็สบาย เพยี งแตข น้ั สงบเทา นน้ั เรากส็ บาย มีตนทุนพอไดอาศัยบางแลว
จงพจิ ารณาทางดา นปญ ญาดงั ทเ่ี คยอธบิ ายใหฟ ง แลว อบุ ายวธิ แี หง การพจิ ารณา
ทางดา นปญ ญานน้ั ขนึ้ อยกู ับจรติ นสิ ัยของทานผูใดจะควรคิดคน ขน้ึ มา ใหเ ปน ความ
ถนัดเหมาะสมกับจริตจิตใจของทานผนู ัน้ และเปนสิ่งที่จะทําใหกิเลสหลุดลอยออกไปได
นั้นเปนอุบายที่ถูกตองดวยกัน อยาคอยกวาดตอนเอาตามแบบตามแผน ตามตาํ รบั ตาํ
รามาแกก เิ ลสโดยถา ยเดยี ว จะไมทันกาลไมทันกับกิเลสที่นอกจากคัมภีรมีเยอะแยะ ไม
ใชวากิเลสจะโง ไปนอนคอยตายกองกันอยูในคัมภีร ใหเ ราไปฟาดไปฟน มนั ดว ยมรรค
ซง่ึ อยใู นคมั ภรี เ ดยี วกนั นน้ั ใหก เิ ลสฉบิ หายตายไปหาไดไ ม
กเิ ลสมนั อยนู อกคมั ภรี เขา มาอยใู นหวั ใจเรานท้ี ง้ั สน้ิ เพราะฉะนน้ั ปญ ญาจงึ ผลติ
ขึ้นใหทันกัน เราไดเ งอ่ื นไดห ลกั ฐานมาจากการศกึ ษาเลา เรยี นพอประมาณแลว จงนาํ
มาตีแผออกแตละแขนงๆ ใหเ ปน อบุ ายวธิ กี ารของตนเอง นาํ มาใชฆ า กเิ ลส ปราบกเิ ลส
ภายในใจ นช่ี อ่ื วา เปน ผมู คี วามแยบคายไปตามจรติ นสิ ยั ของแตล ะรายๆ ท่คี วรนํามาใช
สาํ หรบั ตน ซึ่งถูกตองดวยกันทั้งนั้น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๕
๑๕๖
อริ ิยาบถทง้ั สี่ ยนื เดนิ นั่ง นอน ขอใหมสี ติอยโู ดยสมา่ํ เสมอ แมจะไมได
พิจารณาอะไร ความรูสึกตวั ใหเ ปน สมั ปชญั ญะ พยายามฝกใหด ี เมอ่ื สตมิ คี วามสบื เนอ่ื ง
อยูกับตัว ทา นเรยี ก สมั ปชัญญะ ถา นกึ รเู ปน ขณะๆ ไปเรยี กวา สติ ถาละเอียดเขาไปจน
ถึงกับเปนอัตโนมัติของสติของปญญาแลว ทา นกเ็ รยี ก มหาสติ มหาปญ ญา เพราะเปน
ไปไดอยางนั้นจริงๆ
สติเมื่อถึงขัน้ แกกลาสามารถ ปญญาเมื่อถึงขั้นฉลาดแหลมคมแลว คนเราไมไ ด
โงอยูตลอดเวลา มันฉลาดไดดวยกันทั้งนั้น ยิง่ ถึงคราวจนตรอกจนมุมดว ยแลว สติ
ปญญาจะหมุนรอบตัว ใครจะไปยอมจนตรอก ใครจะไปยอมตายเฉยๆ ทั้งๆ ที่สติ
ปญญาพอที่จะคิดคนหามาแกไข พอเล็ดลอดไปได ยงั มอี ยภู ายในหวั ใจ ใครจะไปยอม
ตายเปลา ๆ แบบโงๆ ตอนนั้นละตอนสติปญญาเกิดและพลิกแพลงแกไขเอาตัวเล็ดลอด
ไปได และไดห ลกั ฐานพยานยนื ยนั อยา งองอาจกลา หาญในวาระตอ ไป ขอใหพากันตั้ง
อกตั้งใจใชหัวคิดปญญาใหเกิดความฉลาด
ใหม คี วามหา วหาญตอ แดนพน ทกุ ข สิ่งอื่นๆ ก็เคยไดพบไดเห็นไดสัมผัส
สมั พันธมาแลวดังทไี่ ดพ ูดแลวนัน้ แล เรื่องของโลกไมมีใครโกหกใครได เพราะตา งคน
ตา งเคยสมั ผัสสัมพันธม าดว ยกนั โทษคณุ ขนาดไหนกเ็ หน็ แลว ดว ยใจของเรา สว นธรรม
นเ้ี รายงั ไมเ คยรเู คยเหน็ ทา นผวู เิ ศษเสยี ดว ยเปน ผแู สดงไว แตเ รากย็ งั ไมเ คยรเู คยเหน็
อยางทาน
ผูวิเศษคือใคร ก็คือ พระพุทธเจา เปน ผทู รงคน พบธรรมอศั จรรย ธรรมอศั จรรย
นผ้ี จู ะรบั ทราบ ผจู ะรบั รอง ผจู ะยนื ยนั ผจู ะทรงรสชาตธิ รรมอศั จรรยน น้ั กค็ อื ใจ คาํ วา
ตรสั รธู รรมหรอื บรรลธุ รรมกต็ รสั รทู ใ่ี จบรรลทุ ใ่ี จ ฆา กเิ ลสหมอบราบไปหมดแลว เหลอื
แตธ รรมลว นๆ เต็มพระทัยเต็มหัวใจ นน่ั แหละทเ่ี รยี กวา ศาสดาองคว เิ ศษ สาวกองค
วเิ ศษ
ธรรมะทก่ี ลา วไวว า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธน น้ั มพี อประมาณเทา นน้ั ไมไดมาก
มายอะไรเลย ถาตามภูมิของศาสดาแลว ทรงสั่งสอนโลกมากตอมาก สอนอยูถึง ๔๕
พระพรรษาจงึ เสดจ็ ปรนิ พิ พาน ธรรมจะมเี พยี ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธเทา นนั้ จะทัน
กับโรคกิเลสตัณหาของสัตวทั้งสามโลกธาตุนี้ไดอยางไร ถาธรรมไมมากมายยิ่งกวานั้น
เปนไหนๆ ธรรมตองมีมากตอมากสมภูมิศาสดานั่นแล จึงจะทันกับกิเลสของสัตวซึ่งมี
มากตอมากดวยกัน คือ มีมากทั้งมวลสัตว มมี ากทง้ั กเิ ลสบนหวั ใจสตั วโ ลก การสั่งสอน
ของพระพุทธเจาก็ไมซ้ํารอยกัน นอกจากจริตนิสัยของสัตวโลกจะซ้ํารอย อบุ ายวธิ กี าร
แหงธรรมที่ทรงแสดงออกจึงจะซ้ํากัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๖
๑๕๗
วันคืนหนึ่งสัตวโลกมาเกี่ยวของกับพระองคมีมากตอมากถึงสามโลกธาตุ นับแต
วนั ตรสั รแู ลว ทรงสง่ั สอนโลกจนถงึ วนั เสดจ็ ปรนิ พิ พาน มสี ตั วโ ลกมาเกย่ี วขอ งอยา ง
มหาศาล ธรรมตอ งเปน ธรรมมหาศาลจงึ จะสมดลุ กนั การสั่งสอนก็สอนไปตามจริตนิสัย
ของนานาจิตตัง ธรรมจึงไมอ าจซา้ํ กนั ไดถ า จรติ ไมเ หมอื นกนั
ลงเปน ศาสดาสอนโลกแลว ตอ งเปน คลงั แหง ธรรม สอนโลกอยางไมอัดไมอั้น
เต็มภูมิศาสดา สัตวโลกจึงสนุกตักตวงผลประโยชนจากคลังแหงธรรมของศาสดา โดย
สาํ เรจ็ เปน พระโสดาบา ง ไมเ ปน โสดน โสเดาดงั เราๆ ทา นๆ ทีเ่ ปน กนั อยู สาํ เรจ็ เปน
พระสกทิ าคาบา ง เปน พระอนาคาบา ง เปน พระอรหนั ตบ า ง ไมขาดวรรคขาดตอนตลอด
วนั นพิ พาน ธรรมเพื่อสัตวโลกจําตองมากพอแกเหตุการณ
พวกเราเพยี งตวั เทา หนนู ก้ี ล็ องใหร ซู ิ รอู รรถรธู รรมขน้ึ ภายในใจ ตองพูดไดอยาง
เตม็ ปากและอาจหาญ ควรทจ่ี ะนาํ ธรรมมาอบรมสง่ั สอนลกึ ตน้ื กวา งแคบ หยาบละเอยี ด
ตองพูดไดเต็มปากไมกระดากอาย เพราะไดรูไดเห็นทั้งเหตุทั้งผลเต็มภูมิของตนมาแลว
ดวยกนั ทําไมจะพูดจะแนะนําสั่งสอนกันไมได ตองไดโดยไมสงสัย ธรรมจรงิ ภายในใจ
กบั ธรรมจดจาํ มาจากตาํ รา ความรวดเรว็ ทนั เหตกุ ารณต า งกนั อยมู าก พูดก็สาธุ มิได
ประมาทการเรยี นเพราะเรากเ็ คยเรยี นมา พอดนเดาไดบาง แตจะยกภาษิตแตละบท
ออกแสดง กลบั วง่ิ เขา ตาํ ราหมด สดุ ทา ยกค็ วา ธรรมะปา ออกมาดนเดาตามประสีประสา
พอผา นรอดตวั ไปเปน คราวๆ นน่ั แล
เพยี งเทา นก้ี พ็ อใหท ราบไดว า พระพุทธเจาซึ่งเปน จอมศาสดานั้น ทรงแสดง
ธรรมแกโลกมีธรรมประมาณเทาไร ตองมีขนาดครอบโลกธาตุนะซิ ไมอยางนั้นก็ไมทัน
กับกิเลสของสัตว กเิ ลสกจ็ ะหาเรอ่ื งตาํ หนเิ อาวา ภูมิธรรมของศาสดาสูภูมิกิเลสของมาร
ไมได เปน ศาสดาองคบ กพรอ งในธรรมนโยบายการสง่ั สอน แตก เิ ลสหมอบราบทง้ั สน้ิ
เพราะนโยบายแหง ธรรมของพระองค จงึ แนใ จวา พระธรรมมีมากเต็มภูมิของศาสดาซึ่ง
นอกจาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธออกไป
นี่ก็พยายามอบรมส่ังสอนหมูเ พือ่ นเพอื่ ใหไดหลักไดเกณฑ ผูมาใหมก็มีผูอยูเกา
ก็มี จงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อยา มาแบบเถลไถล มาสักแตมา อยูสักแตอยู ไปสักแตไปไม
ไดเรอื่ งไดราว และมาเอาชอ่ื เอานามเอาเกยี รตยิ ศชอ่ื เสยี ง วา เคยไปอยกู บั อาจารยน น้ั
เคยไปอยกู บั อาจารยน ี้ ไปจบั จา ยขายกนิ อยางนั้นก็ยงิ่ เลวไปใหญ ไมตรงกับความมุง
หมายของผรู บั และใหก ารอบรมเพอ่ื อรรถเพอ่ื ธรรมดว ยความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ แกบ รรดาทา น
ผูมาอาศัย เพราะฉะนน้ั จงเหน็ ใจ ไดพยายามแนะนําสั่งสอนเพื่อนฝูงมาเต็มสติปญญา
กาํ ลงั ความสามารถ ไมว า ธรรมะขั้นใดภมู ิใด ไมเ คยมกี ารปดบงั ลีล้ บั ไวแ มแ ตน อยเลย
เปดเผยใหฟงทุกแงทุกมุมเพื่อเปนคติเพื่อเปนอุบายเพื่อเปนกําลังใจ และดาํ เนนิ ตาม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๗
๑๕๘
หลักธรรมที่สอนดวยความแนใจวาไดสอนโดยถูกตองแลวทุกขั้นแหงธรรม คําวา พุทธ
บชู า ธรรมบชู า สังฆบูชา นน้ั จงพลชี พี ดว ยการปฏบิ ตั บิ ชู าทา นจรงิ ๆ ผลแหงการพลชี พี
นน้ั จะเปน ธรรมอศั จรรยข น้ึ ทใ่ี จแทนศาสดา ประหนึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ
ประทบั อยตู รงหนา เราขณะนแ้ี ล
จึงขอยุติเพียงเทานี้
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๘
๑๕๙
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒
การบวชเปน ของยาก
การบวชทา นกลา วไวว า บวชไดย าก บวชแลว การประพฤตติ ามธรรมวนิ ยั ก็เปน
ของยาก การจะดาํ เนินทางดา นจิตใจของนกั บวช เพอ่ื รแู จง เหน็ จรงิ ตามหลกั ธรรมของ
พระพุทธเจาก็เปนของยาก ทําไมจึงเปนของยาก เพราะกิเลสไมใชของงายดาย กเิ ลส
เปน สง่ิ ทเ่ี หนยี วแนน มน่ั คงมาก การประพฤติปฏิบัติเพื่อถอดถอนหรือตอสูกับกิเลสจึง
เปนของยากทุกๆ ประโยคไป ความเปน นกั บวชกค็ อื ความเปน นกั รบ เปนนกั ตอสูกบั ส่งิ
ที่เปนขาศึกแกจิตใจของตน ไมวาจะเปนครั้งใดสมัยใดก็ตาม หลักความจรงิ มมี าอยาง
นน้ั
กิเลสไมเคยมีความออนแอทอถอย พอที่จะชําระมันไดอยางงายดาย กิเลสมี
ความขยัน มีความเขมแข็ง มคี วามฉลาดแหลมคมมาก เวลาครอบหวั ใจสัตว จึงทําให
สตั วข ยนั ขนั แขง็ และฉลาดไปตามเพลงขับกลอมของมัน แตขี้เกียจออนแอทอแทเหลว
ไหลและโงเ ขลาในสง่ิ ทเ่ี ปน ธรรมเปน สารประโยชนท ง้ั หลาย เพราะกเิ ลสเปน ขา ศกึ เปน
คูแ ขงกบั ธรรม คือความดีงามทงั้ หลายมาแตก าลไหนๆ ไมเคยลงรอยกันเลย กําลังทุก
ดานของกเิ ลสมมี ากไมมีเวลาบกบาง จงึ สามารถครองหวั ใจสตั วโ ลกเรอ่ื ยมา
เรามงุ หนา มาบวชในพระพทุ ธศาสนา กวา จะไดบ วชกเ็ ปน ของยาก บวชแลว จะ
รกั ษาสกิ ขาบทวินยั ซ่งึ เปนการขดั ตอนิสัยเดิมอนั เปนนสิ ัยของกเิ ลส ก็ตองเปนของยาก
เพราะตองตอสูกับกิเลสที่ฝงจมภายในใจ จนกลายเปน นสิ ยั มานานแสนนาน ตอง
ระมดั ระวงั รกั ษากายวาจาใจทเ่ี คลอ่ื นไหวไปมาอยเู ปน นจิ ศลี นจิ ธรรม ใจจงึ จะเปน ธรรม
ขึ้นมาไดตามใจหวัง แตจะเพราะเหตุผลกลไกอะไรก็ตาม มักมีกิเลสแทรกอยูเสมอ ภาย
ในอาการของจิตอาการของกายที่แสดงออกมา เม่ือเปน เชนนกี้ ารประพฤติปฏิบตั ิจงึ
เปนของยาก และมักเปดชองใหฝายต่ําย่ํายีตีตอยอยูเสมอ
โลกที่ไมรูพิษภัยของกิเลสหรือไมรูกลไกของกิเลสที่ฝงอยูภายในใจ และยอม
จาํ นนตอ สง่ิ เหลา นโ้ี ดยไมร สู กึ ตวั อยแู ลว จึงประพฤติปฏิบัติกันยาก เกือบรอ ยทง้ั รอย
มักทอถอยออนแอ การที่จะบึกบึนหรือตะเกียกตะกายเพื่อแกและถอดถอนกิเลส เพื่อ
ความหลดุ พน นน้ั เราพอทราบกนั ทกุ องค เพราะไดเร่ิมปฏิบตั มิ าดวยกัน วา ระหวา ง
กเิ ลสกับธรรมซึง่ มอี ยูในใจดวงเดียวน้ี แกและถอดถอนกันยากยิ่งกวาถอดถอนหัว
หนามออกจากฝาเทาเสียอีก การฝกฝนอบรมและทรมานตนก็คือการตอสูกับกิเลส ซึ่ง
เปน ผเู คยเสย้ี มสอนใจใหเ ชอ่ื มนั อยา งฝง จมมาเปน เวลานาน จึงเปนของยากลําบาก แต
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๙
๑๖๐
อยา ลมื วา ความเลศิ แหง ธรรมมคี ณุ คา และนาํ้ หนกั มากกวา ความลาํ บากทางความเพยี ร
เปนไหนๆ
การอตุ สาหพยายามประพฤตปิ ฏิบัติธรรมทางดานจติ ใจ ทเ่ี รยี กวา การแหวกวา ย
จากกิเลสไปแตละขั้นละตอนนั้น ตองเปนของยากลําบากไปตามจังหวะแหงการตอสู
เพราะกเิ ลสไมวา ประเภทใด ตองเปน สิ่งทีเ่ หนียวแนน แกน นักสูด วยกัน มันเกาะอยูก บั
จิตไมยอมปลอยวางเอางายๆ ถาอบุ ายวธิ ีและการปราบปรามมีกาํ ลงั ไมพอ ตองยอม
แพมันโดยไมตองสงสัย นท่ี า นวา การบวชกย็ าก บวชแลว การประพฤตพิ รตพรหมจรรย
ใหเ ปนไปตามสกิ ขาบทวินยั ก็ยาก การจะตะเกียกตะกายตนใหหลุดพนไปตามทางสันติ
ธรรมทท่ี า นทรงสอนไว กอนที่จะหลุดพนไปไดก็ตองตอสูกับกิเลสอยางเต็มสติกําลัง
ความสามารถ ซึ่งก็พนจากความยากลําบากไปไมได เมอ่ื รวมความแลว ยากดว ยกนั ทง้ั
นน้ั
แตการยากของผูเชื่อธรรมวินัยของพระพุทธเจาก็ไมยากจนสุดวิสัย เพราะทา นผู
ไดชัยชนะที่ผานไปแลว สว นมากลว นผา นไปดว ยความยากลาํ บากนน่ั แล เพราะการ
ปราบกเิ ลสทกุ ประเภทซง่ึ เปน สง่ิ ทป่ี ราบยาก ทา นกเ็ คยไดป ราบปรามมาแลว ทุกขขนาด
ไหนทานก็เคยทุกขมากอนแลว ทาํ ใหเ หน็ ประจกั ษพ ยานเปน อยา งดี
ไมว า กเิ ลสประเภทใด เกาะอยใู นหวั ใจใด จะตอ งมคี วามเหนยี วแนน มน่ั คง มี
ความฉลาดแหลมคมเกนิ กวา จติ จะระลกึ รไู ดว า ผดิ หรอื ถกู วา เปน โทษเปน คณุ ประการ
ใดบา ง ถาไมใ ชธ รรมมีสตแิ ละปญญาธรรมเปนตน เขา พสิ ูจนทดสอบกัน ซึ่งทานก็พา
ดาํ เนนิ วธิ กี ารเหลา นม้ี าแลว
ขัน้ จะทําจติ ใหมีความสงบเปนสมาธกิ ย็ าก ไมใชเรื่องเล็กนอย แตเ มอ่ื พยายาม
ตามหลกั ธรรมจรงิ ๆ แลว กไ็ มย ากจนเกนิ กาํ ลงั เพราะความตอ งการ ความอยาก ความ
หวงั ความมุงมัน่ แตล ะอยางซ่ึงเปนกําลังใจมีอยูภายในใจเราแลว ก็พอฟดพอเหวี่ยงกัน
ไปไดทุกขั้นทุกภูมิของอรรถของธรรมและทุกประเภทของกิเลส ไมนอกเหนือไปจากสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี รซง่ึ เปน อาวธุ อนั สาํ คญั นไ้ี ปไดเ ลย
ดวยเหตุน้จี งึ ตอ งพยายามเพือ่ แหวกวายตนใหออกจากวัฏวน คอื หมนุ ไปเวยี น
มาดว ยการเกดิ แกเ จบ็ ตาย ซึ่งลวนเปนเรื่องของกองทุกข โปรยไปตามระยะทางไมขาด
วรรคขาดตอน เหมอื นเขาโปรยขา วตอกตามทางนน่ั แล นี่แลเรื่องทุกขที่มันติดสอยหอย
ตามไปในชาตคิ วามเกิด ชราความแก มรณะความตาย เปน เชน น้ี
การฝกฝนอบรมการทรมานนัน้ ไมมีการฝกฝนการทรมานสัตวตัวใด ยากยิ่งกวา
การฝก ฝนทรมานมนษุ ยค อื เราแตล ะรายๆ นเ่ี ลย พระพุทธเจาก็ทรงเปนมนุษยคนหนึ่ง
ถาใหนามตามขั้นมนุษยตามศักดิ์ศรีของมนุษยตามเกียรติของมนุษย กใ็ หน ามวา พระ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๐
๑๖๑
องคเปนกษัตริย แตกิเลสมนั ไมไดนิยมวาเปน คนช้ันใด มนั คงเปน กเิ ลสและเหยยี บยาํ่
ทําลายหัวใจของคนของสัตว ทุกขั้นทุกภูมิทุกชาติชั้นวรรณะ โดยไมสะทกสะทานเลย
เมือ่ เปน เชนนัน้ จะไมยากไมล ําบากไดอ ยางไร ในการปลดเปลอ้ื งกเิ ลสหรอื สลดั กเิ ลส
ออกจากใจ เพราะมนั เคยเกาะกนิ หวั ใจมานานจนไมอ าจประมาณได
ทัง้ เบ้ืองตนเบื้องปลายแหงความเปน มาของสตั วของบุคคลแตล ะราย เพราะ
ความยดื ยาวดว ยทกุ ขเ ปน สายยาวเหยยี ดมาดว ยกนั กบั ชาตคิ วามเกดิ ชราความแก
พยาธิความเจ็บไขไดปวย ตลอดถึงความตาย นี่เรื่องของทุกขก็ติดสอยหอยตามกันมา
ไมอาจกําหนดไดวาเปนทุกขมาแตเมื่อไหร เคยเกดิ เคยตายมาแตเ มอ่ื ไหรจ นถงึ ปจ จบุ นั
น้ี
ที่ยืดยาวที่สุดไมมีอะไรเปนคูแขงได ก็คอื ความหมุนเวียนเกดิ ตายท่เี ต็มไปดว ย
ความทกุ ขท รมานของสตั วผ มู กี เิ ลสเปน เจา อาํ นาจครอบงาํ ใจนน่ั แล เปนเพียงเจาของไม
อาจจดจาํ ความเปน มาของตนไดเ ทานัน้ จึงไมนึกขยะแขยงและกลัวกัน แมค วามระลกึ
ไมไ ดนัน้ กค็ อื กเิ ลสน่ันแลทําใหหลงลมื ในความเปน มาของตน มคี วามทกุ ขค วามลาํ บาก
ยากจนเขญ็ ใจขนาดไหน กเิ ลสกป็ ด บงั ซอ นไวไ มใ หเ จา ตวั รเู หน็ ตางจึงทนทุกขทรมาน
กันมาดว ยความมดื บอดสุมเดา ไมอาจมองเห็นจุดหมายปลายทางได
ถา คนเราแตล ะรายๆ ทราบวถิ ีความเปน มาของตนในเร่ืองการทอ งเที่ยว ไดแก
ความเกดิ ที่นนั่ ตายที่น่ี ซึ่งกลมกลืนไปกับความทุกขไดบาง ความทราบนั้นก็จะกระจาย
ไปถงึ เร่ืองความทกุ ขความลาํ บากทง้ั หลายทตี่ นไดเ คยประสบเคยรู เคยเหน็ มา ก็พอจะ
มแี กใ จอตุ สา หพ ยายามแหวกวา ย ใหหลุดพนจากแหลงแหง วฏั วนอนั น้ีไปไดเปนรายๆ
เปน คณะๆ อนั เปน ความรวดเรว็ กวา ทเ่ี ปน มาและเปน อยนู ไ้ี มน อ ยเลย เพราะความตน่ื
ตัวกลัวทุกขกลัวภัยเปนสาเหตุใหตะเกียกตะกายกัน
นถ่ี งึ เราไมท ราบกต็ าม ผูที่เปนสักขีพยานของเราก็คือองคศาสดา ธรรมท่ี
ประกาศสอนไวก็ออกมาจากศาสดาองคเอก ที่ทรงรูทรงเห็นตามความจริงทุกอยางมา
แลว วา สตั วท ง้ั หลายเวยี นวา ยตายเกดิ อยใู นวฏั สงสารไมม ปี ระมาณ ไมนอกเหนือไป
จากวฏั วนนไ้ี ปได เพราะเปนที่อยูที่รวมของสัตวที่มีกิเลสพาใหเกิด-ตาย บรรดาสตั วท ม่ี ี
กิเลสจะตองเปนอยางนี้ดวยกัน สงิ่ ตายตวั ทจี่ ะพาใหส ตั วเ กดิ และตาย ตลอดถึงไดรับ
ความทกุ ขค วามลาํ บากตา งๆ กค็ อื เรอ่ื งอวชิ ชากเิ ลสประเภทละเอยี ด พาใหเ ปน มาโดย
ลาํ ดบั ลาํ ดาไมข าดวรรคขาดตอนแหง ภพชาติ จนถงึ ปจจบุ นั ชาติทก่ี าํ ลังเปนอยเู วลานี้
เราถอื องคศ าสดาและศาสนธรรมทท่ี า นตรสั ไวน น้ั มาเปน สกั ขพี ยาน ตาเราไม
สามารถมองเหน็ เรอ่ื งความเปน มาของเรา หู ใจเราไมส ามารถรเู รอ่ื งรรู าวความเปน มา
ของตน ก็พึงยึดเอาหลักธรรมของทานมาเปนหูเปนตา เปน เครอ่ื งประดบั ใจ เครื่องสอง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๑
๑๖๒
ใจเพื่อกาวไปตามนั้น ยอมจะเห็นทางออกจากวัฏทุกขโดยลําดับไมอับจน เรอ่ื งเกดิ ตาย
กจ็ ะไมส งสยั เพราะเปน ความจรงิ อยา งตายตวั ไมมีอะไรมาลบลางได นอกจากธรรมคือ
ววิ ฏั ธรรมเปน ตน
การเกดิ ในภพนอยภพใหญ เปลย่ี นภพเปลย่ี นชาตเิ ปน สตั วเ ปน บคุ คล เปน เปรต
เปนผี เปน ยกั ษเ ปน มาร เปน เทวบตุ รเทวดาอนิ ทรพ รหม ก็อยูในวงแหงวัฏจักรของคน
และสัตวทีม่ กี ิเลสดวยกัน ไมนอกเหนอื จากธรรมท่ีพระพทุ ธเจาทรงตรสั ไวไ ปไดเ ลย
ฉะนน้ั จงยดึ ธรรมมาเปนหลกั ใจ เปน เครอ่ื งสอ งทาง เปน สกั ขพี ยาน เปน หเู ปน ตาเปน
ความรคู วามฉลาด เปน หลกั ดาํ เนนิ อยา ไดล ดละปลอ ยวาง
ทา นวาอวิชชาคือความมดื บอดนนั้ เองเปน ตวั การใหญ รกู ร็ แู บบอวชิ ชาเหน็ แบบ
อวิชชา อะไรๆ เปน แบบของมนั ทง้ั สน้ิ ไมไ ดเ ปน แบบธรรม พอทจี่ ะใหเ กิดความสวาง
กระจางแจงแกจิตใจไดเลย มนั จงึ ลาํ บากสาํ หรบั มวลสตั วผ มู ดื บอดดว ยอวชิ ชา ตัณหา
อุปาทานฝงใจ
ดวยเหตนุ จ้ี ึงตอ งยึดเอาหลักธรรมมาเปนสักขีพยาน มาเปนเคร่ืองฝากเปน ฝาก
ตายไวก บั ใจ พยายามตะเกยี กตะกายไปตามน้ี ทุกขก็พอทนไดเพราะเคยทนมาแลว
ทุกขดวยความพากเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจ ไมใชทุกขเพื่อความลมจม
พระพุทธเจาเปนที่ยอมรับของพุทธบริษัททั่วโลกดินแดนแลววา พระองคเปนทุกข
อันดบั หนึ่งในวงพทุ ธศาสนา ในวงพุทธบริษัท เพราะการฝกทรมานพระองคกอนได
ตรสั รธู รรมมาแจกจา ยสตั วโ ลก เราเปน ศิษยตถาคตจาํ ตองเดนิ ตามครู ครพู าเดนิ ผา น
ทุกขดวยความพากเพียร ศิษยตองเดินตามนั้นไมยอมถอย
ไดก ลา วเมอ่ื สกั ครนู ว้ี า การฝก ฝนทรมานหรอื อบรมตนนน้ั ไมมีอะไรยากยิ่งกวา
การฝก ฝนอบรมหรือทรมานมนุษย เพราะกเิ ลสพาใหย าก กเิ ลสเปน สง่ิ ทเ่ี หนยี วแนน
มากยากที่จะถอดถอน ยากที่จะตดั จะฟน หรอื ปราบปรามใหห มดสิน้ ไปไดง ายๆ จึงตอง
ใชก าํ ลงั เตม็ ความสามารถ เพียงขั้นสมาธิเทานั้นก็ตองใชกําลังใหเหมาะสมกับสมาธิที่
ควรจะเกิดขึ้นได
เอา….วันนี้ทําสมาธิไมเกิดเพราะกําลังไมพอ กําลังสติก็ไมพอ กาํ ลงั ความเพยี ร
ก็ไมพอ จิตใจมีความทอแทออนแอ ความสงบของใจเกิดไมได ตองเพิ่มกําลังใหม
พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใหม ตองพลิกกันอยูอยางนี้จึงเรียกวาปญญา ความฉลาดใน
การตอสู เอาจนสงบได ทําไมจะสงบไมได ธรรมทา นสอนเพอ่ื ความสงบทง้ั นน้ั ไมได
สอนเพอ่ื ความฟงุ ซา นราํ คาญ ไมไดสอนเพอ่ื ความสา ยแสไ ปตามกระแสของโลกสงสาร
นน่ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ปน ไปตา งหาก ไมใ ชธ รรมพาใหเ ปน กเิ ลสพาใจใหฟ งุ ซา น
ขุนมัว ธรรมพาใหใ จสงบผอ งใส กเิ ลสกบั ธรรมเดนิ สวนทางกนั ไปคนละจดุ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๒
๑๖๓
จิตใจท่เี ปน ไปตามกระแสของโลกเหมอื นน้ําซับน้าํ ซมึ โดยไมมีสติเปนเครื่องกั้น
กางหวงหา มตา นทานกนั บา งเลยนน้ั ไมใ ชเ ปน การบาํ เพญ็ ธรรม แตเ ปน การเสอื กคลาน
ตามกเิ ลสทฉ่ี ดุ ลากไปตา งหาก เราควรจะทราบในแงเ หลา นไ้ี ว เพอ่ื ความรสู กึ ตวั และเขม
แข็งทางความพากเพียรขึ้นอีก ชวยจิตไดมีความสงบ นก่ี ย็ ากขน้ั หนง่ึ
ในการฝก มนษุ ยค อื เราผหู นง่ึ ดูเอา…ยากหรือไมยาก การฝกมนุษยการฝกพระ
ใหเปนพระทสี่ มบรู ณแบบตามทางศาสดา เพื่อเปนหลักยึดของใจอันมั่นคง จงยึดเอา
พระพทุ ธเจา พระสาวกมาเปน ตวั อยา ง ทา นฝก ทา นยากลาํ บากขนาดไหน สว นเราจะฝก
แบบงา ยยง่ิ กวา ทา นกจ็ ะเกง กวา ครไู ปเพราะเหตไุ มเ หมอื นครู เหตไุ มม คี วามหนกั แนน
ม่นั คงเหมอื นครู แตจ ะใหก เิ ลสหลดุ ลอยไปเรว็ ยง่ิ กวา ครู การเกง กวา ครแู บบน้ี มนั เปน
ไปไมได เราเดนิ ตามครลู าํ บากอยา งครู เพอ่ื ความรแู จง เหน็ จรงิ อยา งครู ผลทไ่ี ดร บั จะ
เหมอื นครู
อยา หาความสะดวกสบายนอกครนู อกอาจารย จะเปน จะตายกข็ อใหเ ปน ใหต าย
แบบครู พทุ ธฺ ํ ธมมฺ ํ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ จงยึดใหฝ ง ลึกภายในใจ อยา ปลอ ยใหก เิ ลสปด
มือให พุทธ ธรรม สงฆ หลุดลอยไปได พระพุทธเจา แลสาวกท้งั หลาย สวนมากมีแต
ลาํ บากกนั ทง้ั นน้ั เพราะกเิ ลสไมเ คยเปน ผงู า ยดายและสอนงา ยแกผ ปู ระพฤตธิ รรมและ
แกผูใด สตั วต วั ใด เพราะไมเ คยเปน ลกู ศษิ ยแ ละเปน ทาสเปน บอ ยของใครๆ ในโลกทง้ั
สาม มแี ตเ ปน ศาสดาผทู รงอาํ นาจโดยถา ยเดยี วเรอ่ื ยมา เมอ่ื มผี บู าํ เพญ็ ธรรม ปฏิบัติ
ธรรม มันตองตอสูขัดขวางอยูตลอดเวลา จึงเรียกวาขาศึกของธรรมก็คือกิเลสนั่นเอง
แมขาศึกของเราก็คือกิเลสนี้เชนกัน
เมื่อพยายามทําจิตใหสงบวันนี้ไมได กใ็ หทราบวา ความบกพรอ งและกาํ ลังของ
เราไมพ อ สติไมพอ สตติ ง้ั ไวก บั งานทต่ี นทาํ ขาดวรรคขาดตอน จึงถกู กิเลสฉุดลากไป
ตามกระแสของมันตอหนาตอตาในวงความเพียร จนเขา สคู วามสงบไมไ ด แมน ง่ั ภาวนา
ก็นั่งอยูเฉยๆ เหมอื นหวั ตอ แตจ ติ เรร อ นไปดว ยอาํ นาจของกเิ ลสเสยี สน้ิ ทั้งนี้เพราะสติ
ไมพอหรือสติไมมี ถูกกิเลสขับไลออกหมด เมื่อทราบวากําลังของสติไมพอ ความเผลอ
ตัวมีมาก ก็เรงตัวใหมตั้งสติใหม ไมทอถอยปลอยวางความเพียรใหกิเลสไดใจ พลิก
แพลงเปลยี่ นแปลงใหมเอาจนจติ มคี วามสงบได จงึ ชอ่ื วา ภาวนาหรอื บาํ เพญ็ ธรรมให
เหนอื กเิ ลส ถาสติออนกวากิเลส ใจกไ็ มร ธู รรมไมเ หน็ ธรรม มีความสงบเปน ตน กิเลสก็
แข็งขอไมยอมธรรม ฉะนั้นสติปญญาจึงตองใหเหนือกิเลสอยูเสมอ เสยี ทา ใหก เิ ลสตรง
ไหนตองฟตตัวยิ่งขึ้น และถอื วา กเิ ลสสอนเราใหฉ ลาดในจดุ บกพรอ งไปในตวั ดว ย ฟต
จนทันเพลงมวยของกิเลสไปเปนระยะๆ จึงเรียกวานกั ตอสเู พอ่ื ชัยชนะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๓
๑๖๔
ความฟงุ ซา นเปน กเิ ลสประเภทหนง่ึ การฝนใจหรือการฝกฝนอบรมใจดวยวิธี
ตางๆ ซง่ึ เปน การตอ สกู บั กเิ ลสใหเ กดิ ความสงบ ตองทุมเทกําลังความเพียรทุกดานลง
ใหเ หนอื กเิ ลสทท่ี าํ ใหฟ งุ ซา นนน้ั จิตยอมสงบได ไมเหลือวิสัยของนักภาวนาไปได
เพราะศาสดาซ่งึ เปนครูเอกของพวกเราพาทําและพาไดช ยั ชนะมาแลวไมสงสยั
ขั้นปญญาก็เหมือนกัน ตองพจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา ไมหยดุ ไมถ อย คลค่ี ลายดู
สงิ่ ท่มี ีอยภู ายในตน คอื ขนั ธท ท่ี า นเรยี กวา ความจรงิ เชน กายคตาสติ เปน ตน ในสตปิ ฏ
ฐานสี่ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม หรอื อรยิ สัจสี่ก็เหมอื นกนั อยใู นกายในจติ นท้ี ง้ั สน้ิ
เมอ่ื พิจารณาตรงไหนใหม สี ติจดจอ ตอ เนื่องกันไปกบั งานแหงการพิจารณา อยา ลดละ
สติ สตเิ ปน สง่ิ สาํ คญั มากทเี ดยี ว สตขิ าดวรรคขาดตอนตรงไหน งานกข็ าดวรรคขาด
ตอนตรงนั้น ผลที่ควรจะสืบเนื่องกันไปก็ตองขาดวรรคขาดตอนตามเหตุที่ขาดไป นค่ี วร
สํานึกเสมอผูปฏิบัติ ถา ไมอยากเนน่ิ ชา หรอื เหลวไหล
อันความเหลวไหลนั้นไมไดขึ้นอยูกับอะไร แตข น้ึ อยกู บั ผทู าํ ตวั ใหเ หลวไหลตา ง
หาก เชน วนั นก้ี บั วนั นน้ั วนั ผา นมาแลว กบั วนั น้ี วนั นว้ี นั พรงุ น้ี ปนี้ปหนาก็เหมือนกัน
นน่ั ไมส าํ คญั ทส่ี าํ คญั คอื ตวั เราผเู หลวไหล การแกต องแกที่ตวั เรา ไมมีวันไหนเปนวันดี
ทั้งอดีต อนาคต ปจ จบุ นั มันเปน เพยี งมดื กับแจงเทาน้นั ถาตวั เราไมดเี พราะสกู เิ ลสไม
ได เนอ่ื งจากความเพยี รทจ่ี ะทาํ ใหป รากฏสง่ิ ทภ่ี าคภมู ใิ จขน้ึ ภายในใจไมม ี ตองเปนผู
รงุ รงั กดี ขวาง วนั คืน เดือน ป อดีต อนาคตและปจจุบันอยูตลอดไปนั่นเอง
คําวา สมาธิ ก็อยาไปคาดไปหมาย วา สมาธเิ ปน อยา งนน้ั สมาธเิ ปน อยา งน้ี หลกั
สาํ คญั กค็ ืองานของเราทที่ าํ เพือ่ ความสงบน้ัน เปน เครอ่ื งยนั ยนั เปน เครอ่ื งรบั รอง ทจ่ี ะ
ใหเ กดิ ความสงบและเปน สมาธิ คอื ความแนน หนามน่ั คงขน้ึ ทใ่ี จ ไมใชเกิดขึ้นเปนขึ้น
เพราะความคาดหมายดน เดา แตเ กดิ มขี น้ึ เพราะการภาวนาในหลกั ปจ จบุ นั เปน สาํ คญั
กวาที่อื่น การคาดการหมายไมเกดิ ประโยชน อยา ไปคาดหมายใหเ สยี เวลาํ่ เวลาและ
เปลาประโยชนเลย
เมอ่ื กาํ หนดธรรมบทใด เชน กาํ หนดอานาปานสตกิ ใ็ หร อู ยทู ล่ี ม เปนกับตายก็ให
รอู ยทู น่ี น้ั อยา ใหเ ผลอ สดุ ทา ยความรทู ง้ั มวลกร็ วมกระแสเขา มาสจู ดุ เดยี ว มลี มหายใจ
เปน หลกั เปนทย่ี ึด ลมก็คอยละเอียดลงไปๆ ละเอียดลงไปจนกระทั่งหายเงียบเลยก็มี
แตไมตาย อยา ไปกลวั เวลาลมหายไปในความรสู กึ ขณะนน้ั นี่เคยเปนมาแลวถึงพูดได
ไมเคยเปนพูดไมถูกหรอก นอกจากนักโกหกอาจพูดดนเดาและหลอกคนอื่นไดซึ่งมักมี
แฝงกันไปเสมอ แตเ ราไมใ ชค นประเภทนน้ั จึงดนเดาไมเปนถาไมรูไมเห็นขึ้นกับตน
ลมละเอียดลงไปๆ จนหายเงยี บไปเลย ทีนี้จะมีวิตกอันหนึ่งขึ้นมาเปนขาศึกใน
ขณะนั้น วา นล่ี มหายใจหมดไปแลว จะไมต ายหรอื นน่ั มนั กระตกุ เจาของใหเ สยี หลกั แลว
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๔
๑๖๕
ก็มาควาลมหายใจตั้งเสียใหม เลยไดแ คก ลวั ตายเพราะลมหมดไป ภาวนาทีหลังพอมา
ถึงจุดลมหายใจหมดก็เปนอีก ๆ เลยไมไปถึงไหน พอถูกกระตุกดวยความคิดเชนนั้น
ลมหายใจก็มีขึ้นมา จิตก็มาสูความหยาบตามปกติของจิตเสีย ความถกู ความจรงิ ลม
หายใจที่หายไปนั้นไมตองไปกังวลกับมันหรอก เมื่อมันหายไปกใ็ หอยกู บั ตัวรู ผรู นู น้ั
โดยไมกังวลกับลมหรือสิ่งใด ใจกอ็ ยดู ว ยความสงบเยน็ เทา นน้ั เอง พอจิตขยับตัวออก
จากความสงบลมหายใจก็มีมาเอง โดยไมตองไปควาไปหามันใหยุงไป
ผูมีปญญารักษาตัว มนั ตองมอี ุบายแกค วามเผลอของตวั ที่คิดจากเลห เ หลี่ยม
ของกิเลส คอื ความสงสยั กลวั วา จะตายนน้ั แหละ มนั เปน เลห เ หลย่ี มของกเิ ลส ก็พึง
ทราบเสยี ในขณะนน้ั วา เมอ่ื ความรยู งั ครองรา งอยนู แ้ี ลว อยางไรก็ไมตาย เอา ลมหายใจ
จะหมดก็หมดไปเถอะ ถา ลงความรนู ย้ี งั มอี ยใู นรา งนแ้ี ลว จะไมต าย เพียงเทานใ้ี จกพ็ ุง
ทะลุ หายเงยี บไปจากความกลวั ตาย และดาํ รงตวั อยใู นความสงบอยา งหายหว งเทา นน้ั
แล
อุบายวิธีแก เราตอ งคดิ คน ขน้ึ มาภายในตนนน้ั แหละ เปน ความเหมาะสมทส่ี ดุ
ยง่ิ กวา ครบู าอาจารยห ยบิ ยน่ื ใหเ ปน ไหนๆ ซึ่งสุดทายก็หลุดไมหลุดมือไปเสีย ไมเหมือน
เจาของคิดขึ้นมาโดยลําพังตัวเองและประจักษกับใจตัวเอง ทั้งไดผลเปนที่พึงพอใจจาก
อบุ ายนน้ั ดว ย ทั้งนับวันเวลาแตกแขนงออกไปอยางกวางขวางดวย ใชแ กก เิ ลสทนั ควนั
ไมม วี นั หมดส้นิ ดว ย เปน สมบตั ขิ องตนจากภาคปฏบิ ตั อิ ยา งภาคภมู ใิ จดว ย
การพจิ ารณาทางดา นปญ ญาเปน สาํ คญั มาก อยา สกั แตว า พจิ ารณาเปน เพยี ง
อาการหรอื เปน พธิ ี พจิ ารณาเพอ่ื ความรจู รงิ เหน็ จรงิ กบั อาการนน้ั ๆ จรงิ ๆ ดวยความมี
สตสิ บื เน่อื งกันไปโดยลําดบั จะแยกจะแยะอาการใดกใ็ หม คี วามรกู บั อาการนน้ั เทา นน้ั
สองอยา งใหร กู นั อยเู พยี งเทาน้นั เหมือนกับโลกนี้ไมมีอะไรเลย มแี ตค วามรกู บั อาการท่ี
พิจารณาสมั ผสั สมั พันธกนั อยสู องอยา งเทา นน้ั แลวก็จะกระจายไปหมด
ความรอู นั นจ้ี ะสวา งกระจา งแจง ซมึ ซาบไปทว่ั อวยั วะสว นอน่ื ๆ ที่เราไมได
พจิ ารณา ก็เขาใจตลอดทัว่ ถึงเพราะเปน เหมือนๆ กัน บางครั้งจิตก็ซานไปเอง เทย่ี วรู
รอบขอบชิดไปหมด มันเหมือนกับกระดาษซึมมันซึมซาบไปๆ เพราะความซง้ึ ภายในใจ
วาอันน้ีเปนอยา งน้ีจรงิ ๆ เชน เปนของปฏิกูล เปน ทุกข หรอื เปน อนตฺตา มันซึ้งถึงใจ
กาํ หนดไปทางไหนจติ มันซานไปตามนน้ั และซา นไปตามๆ กันหมด เพราะสง่ิ เหลา น้ี
เหมือนกัน
อุบายปญญาไมพอผลิตขึ้นมา หาอบุ ายคดิ ตั้งหนาตั้งตาคิด ตั้งหนาตั้งตาพินิจ
พจิ ารณา ตง้ั หนา ตง้ั ตาสงั เกตดว ยความสนใจ เตม็ ไปดว ยเจตนา เต็มไปดวยความมุง
มั่น อยากรอู ยากเห็นความจริงท่มี ีอยูน้ี สติตองติดแนบเสมอ ไมวาขั้นสมาธิ ไมว า ขน้ั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๕
๑๖๖
ปญญา สตมิ คี วามจาํ เปน ตลอด จะเวนขั้นใดขั้นหนึ่งที่สติจะไมเขาไปเกี่ยวของไมได
การบาํ เพญ็ ดว ยความมสี ตเิ ปน เครอ่ื งสนบั สนนุ งานใหร วดเรว็
สติ เปน ธรรมสาํ คญั มากทเี ดยี ว ไมวาขั้นสมาธิไมวาขั้นปญญา จนกระทั่งสติ
ปญญากลมกลืนเปนอันเดียวกัน ทีนี้จะวาสติก็ได จะวาปญญาก็ถูก พอกระเพื่อมพับก็รู
ทันที ปญญาวิ่งทันที สอดสองดูเหตุดูผลระหวางจิตกับอารมณสัมผัสสัมพันธกันตลอด
ไปไมม เี วลาวา ง ตอ นไ้ี ปจะทราบวา สตปิ ญ ญาทาํ งานมากไปโดยลาํ ดบั จนไมม คี าํ วา จติ
วา งงาน นอกจากเหน็ วาจิตออ นเพลียเพราะทํางานมาก กร็ ง้ั เขา สสู มาธคิ วามสงบเปน
คราวๆ ไป เพอ่ื เปน กาํ ลงั ในการพจิ ารณาทางดา นปญ ญา และปฏบิ ัติอยางน้ไี ปโดย
สมา่ํ เสมอทัง้ สมถะและวปิ ส สนา ซึ่งมคี วามจาํ เปนไปคนละทางเทา ๆ กัน
นลี่ ะการฝก การทรมานตน คือการตอสกู บั กเิ ลสประเภทตา งๆ ภาษาธรรมะทา น
เรยี กวา กเิ ลส ความเศราหมองมืดตื้ออยูภายในใจของคนและสัตวทั่วไป ความมืดมน
อนั นน้ั แหละ มนั กระจายออกมาทางกริ ยิ ามรรยาท ทําใหรูสึกไปทางไมดีในแงตางๆ แม
ทส่ี ดุ มาบําเพ็ญธรรมมันก็ทาํ ใหม ดื ทาํ ใหห ลง ทําใหลืมตัว ทาํ ใหข เ้ี กยี จ ทําใหออนแอ
ทอถอย คอยขัดขวางอยูร่ําไป
เพราะใจทั้งดวงมีแตกิเลสความมืดตื้อหุมหอ จนไมสามารถมองเห็นมโนธาตุที่
แทจริงไดเลย จะไมใหสัตวโลกงมงายไดอยางไร เพราะมแี ตธ รรมชาตงิ มงายเปน หวั
หนา รบั เหมาจติ ทง้ั ดวงเสยี สน้ิ ดวยเหตุนี้จึงตองยากแกการแกการถอดถอน เพราะ
ธรรมชาตินท้ี ้งั มวลลว นเปนขา ศึกกบั ธรรมท้งั ส้ิน เมื่อสิ่งนี้ขวางอยู จงึ ปฏบิ ตั ธิ รรมยาก รู
ธรรมไดย าก เนอ่ื งจากมนั ไมใ หร ไู มใ หเ หน็ ธรรม มันแทรกอยูทุกแงทุกมุมทุกขณะจิตที่
คิดปรุงออกมา ผูตอสูมันจําตองฝกสติผลิตปญญา หา วหาญทางความเพยี ร เปนนักอด
ทน เผลอตัวไมได มนั เขา แทรกและทํางานแทนทนั ที ถาไมเผลอมันก็ไมทํา แตมันจอง
หาโอกาสกบั เราอยตู ลอดเวลา ถามันมีอํานาจมากกวามันก็ฉุดลากเอาไปตอหนาตอตา
เราตองผลิตสติปญญาใหมกี าํ ลงั กลา สามารถข้ึนโดยลาํ ดับ เอามันใหอยูในเงื้อมมือจน
ได นี่อุบายวิธีฝกตน ยอมมียากมงี ายเปนธรรมดาของการสูรบ
ยากก็ยากเถอะยากอยางนี้ นบั แตเ กดิ มาเรายงั ไมเ คยยาก พอแม ปูยา ตายาย
ของเรากไ็ มเ คยยาก รอยทั้งรอยมักยุงยากกับกิเลสทั้งนั้น ยากกบั ธรรม ทุกขเพราะการ
ฆากเิ ลสตอ สูกับกิเลสไมม ใี ครไดทําเหมอื นเรา เราไดย ากเราไดท กุ ขเ พราะเราไดส กู บั
กเิ ลสตวั เปน ภยั จงทุกขจงยากเถิด ความทกุ ขย ากในงานฆา กเิ ลสน้ี เปน สริ มิ งคลเปน
เกยี รตแิ กเ ราอยา งยง่ิ เอา…ทุกขเถิด ตายเถิด ชีวิตจิตใจบูชาพระพุทธ พระธรรม พระ
สงฆไปเลย อยา เสยี ดาย กเิ ลสจะพามาตายอกี เอาจนไดชัยชนะมาครอง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๖
๑๖๗
เราเปน ลกู ศษิ ยต ถาคต เราจะเอาความประเสรฐิ เลศิ โลกเพราะความทอ แทอ อ น
แอ ความข้เี กยี จมักงา ย ความออนกําลังอนั เปน สมบตั ิของกเิ ลสลวนๆ มาประดับตัว
ประดับใจทําไมกัน ตองเปนความเขมแข็งในการประพฤติปฏิบัติ ใหเ หน็ สจั ธรรม ที่
ทานประกาศกังวานอยูได ๒๕๐๐ กวา ปแ ลว เขา มาสคู วามจรงิ เตม็ หวั ใจใหไ ด อยาให
หลุดมือไป คาํ วา สจั ธรรมนน้ั เปน ธรรมทท่ี า นเขยี นไวต ามตาํ รบั ตาํ ราทเ่ี ราทง้ั หลายเรยี น
ทองบนสาธยาย นน่ั เปน ชอ่ื เปน ความจาํ ยงั เปน ธรรมนอกใจ ถา เปน อาหารกย็ งั อยใู น
ภาชนะ ยังไมเขามาถึงปากถึงทอง ใหนอ มเขามาสตู วั จริงของสัจธรรมอันแทจ ริงคือใจ
ของเรานใ้ี หไ ด
สติปฏฐานสี่อันเปนความจริงแทคืออะไร อยูที่ไหน วา กาย ก็รางกายของเราทุก
สว นกเ็ ปน กายคตาสติ หรอื เปน กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน เวทนาเหมอื นกนั สขุ ทุกข
เฉยๆ กเ็ ปน เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน จติ ความคดิ ปรงุ ในเรอ่ื งราวตา งๆ ก็เปนจิตตานุ
ปส สนา ตามรูตามเห็นความคิดความปรุงของตน อารมณอะไรที่เกิดขึ้นตอสายกับเรื่อง
ราวอะไรทเ่ี รยี กวา ธรรมารมณ อนั นน้ั กเ็ ปน ธมั มานปุ ส สนา กอ็ ยกู บั ใจเรา เพราะเกดิ
และสมั ผสั ทใ่ี จเราเอง
วาทุกขคือทุกขกายก็ดีทุกขใจก็ดี ก็คอื ทุกขสัจซึ่งเปน ความจริงอยูตามหลกั ธรรม
ชาติของตน เวลามีก็มีอยูที่กายที่ใจของเรานี้ ทุกขทั้งทางกายทุกขทั้งทางใจ ก็มีอยูที่นี่
สมุทัยก็มีอยูที่ใจ ชอ่ื ธรรมเหลา นม้ี อี ยทู ต่ี าํ รา แตท า นชเ้ี ขา มาหาใจ ตองมาคนดูที่ใจของ
เราน้ี ถึงจะเห็นสมุทัยรูเรื่องของสมุทัย และละสมทุ ยั ไดด ว ยมรรคสจั
ทานกลาวไวยอๆ วา กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตณั หา…แนะ คาํ วา ตณั หาคอื
ความบกพรอ ง คอื ความอยากและรบกวนเจา ของอยตู ลอดเวลานน่ั แล อยากไมหยุดไม
ถอย อยากไมมีวันอิ่มพอ ทา นเรยี กวา ตณั หา มนั รบกวนอยตู ลอดเวลานาที ไมมีวันมี
คืนมีปมีเดือน รบกวนสตั วบ คุ คลเราเขาตง้ั แตเ ลก็ จนโตจนเฒา จนแกจ นตาย มันกวนอยู
อยา งนน้ั จงึ เรยี กวา ตณั หา มนั เคยมีความสงบตวั เมอ่ื ไรถา ไมทําใหม นั สงบ ภวตัณหาก็
อยากมนี ่นั อยากเปน นี่ อยากมสี ง่ิ นน้ั อยากเปน สง่ิ น้ี อยากอยูตลอดเวลา สามความ
อยากนี้มันเกี่ยวโยงกัน
วภิ วตณั หา ถาพูดทางภาคปฏิบัติแลวมันอยากในของไมมีนั่นเอง เกดิ แลว อยาก
อยูอยางนี้ตลอดไปไมใหตาย มนั มไี ดทีไ่ หน สิ่งสัมผัสสัมพันธที่ถูกใจไมใหพลัดพราก
จากไปมีไดที่ไหน มันตองพลัดพรากจากไป เกิดแลวตองตาย แตว ภิ วตณั หาน่ี มันไป
อยากในสิ่งที่เปนไปไมได ในสิ่งที่เปนอฐานะคือเปนไปไมไดนั้นแล จงึ เรยี กวา
วภิ วตณั หา อยากในของไมมี อยากเทาไรมันก็ไมอิ่มไมพอ สัตวโลกอยากเหมือนกัน
หมด อยากในของมีอยูเชน ภวตณั หา มนั กเ็ ปน ตณั หา ไมมีความอิ่มพอเหมือนกัน นี่
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๗
๑๖๘
ทา นเรยี กวา สมทุ ยั มันเปนอยูภายในใจของสัตวโลกหรือของพวกเราทุกๆ คนตลอด
เวลา
ความใคร ความอยาก ความทะเยอทะยาน มนั ดิ้นมนั กวัดมนั แกวง อยูภ ายในใจ
หาความสงบไมไ ด ถา เปน นาํ้ กข็ นุ เปน ตมเปน โคลนไปหมด หาความสงบนิ่งใสไมได
เพราะถูกกวนดวยอํานาจของกิเลส ใจทําไมจะไมขุนมัวจะไมมืดดําทําใหเกิดทุกข จิตใจ
ขุนมัวจิตใจมืดดํา เพราะอาํ นาจของกเิ ลสบบี บงั คบั อยตู ลอดกาลสถานทอ่ี ริ ยิ าบถ ผล
ของมันก็คือความทุกขความลําบากลําบนมากนอย ตามกาํ ลงั ของกเิ ลสทบ่ี บี คน้ั ในระยะ
นน้ั ๆ นน่ั เอง
การแกส มทุ ยั กค็ อื การทาํ สมาธภิ าวนา การพจิ ารณา เชน พิจารณากายคตาสติ
เปนตน พจิ ารณาดว ยมรรค มรรคคอื สตปิ ญ ญาเปน ของสาํ คญั สติเปนพื้นฐานใชไป
ทุกๆ ขั้นทุกแขนงของงานที่ทําและขั้นของธรรมที่พิจารณา ปราศจากสติไมได สัมมา
ทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป คือองคปญญาที่จะนํามาคลี่คลายดูเรื่องของกิเลส ฟาดฟน หน่ั
แหลกกบั กเิ ลส ใจรักชอบกับสิ่งใด ไปหลงรักหลงชังหลงเกลียดหลงโกรธกับอะไร เสก
สรรปน แตง เอามาแขง ธรรมของพระพทุ ธเจา เพอ่ื ความวเิ ศษวโิ สอะไร คน หาความ
จอมปลอมของมันใหเ จอ จะไดเจอธรรมของจริงที่กิเลสตัวจอมปลอมปกปดไว
พงึ ทราบเสมอวา กเิ ลสเปน คแู ขง กบั ธรรม ธรรมไมใ หร กั กเิ ลสมันฝนไปรัก
ธรรมทานวาไมใหชังไมใ หเกลียดไมใหโ กรธ กิเลสมันฝนตอหนาตอตา ไปรักไปชัง ไป
เกลยี ดไปโกรธอยไู ดภ ายในหวั ใจทก่ี าํ ลงั บาํ เพญ็ ธรรมเขา สใู จอยนู น้ั แล.นน่ั ระหวา งกเิ ลส
กับธรรมตองตอสูกันอยูอยางนี้ทุกระยะ เพราะฉะนนั้ ผปู ฏิบัตธิ รรมตองใหร ูกลมายา
ของกเิ ลสทเ่ี ขยา เปา หกู ระซบิ ใจอยตู ลอดเวลาภายในใจเราเองดว ยสตปิ ญ ญา เอาใหร ู
กลั่นกรองหรือคลี่คลายผลักดันมันออกไป หรือฟาดฟนมันออกไปดวยปญญา ทีแรกก็
ใชสมาธิกอน พอใหมีชองทางดําเนินได นอกจากเปนกรณีพเิ ศษทีเ่ ราจะใชป ญ ญาฟาด
ฟน หน่ั แหลกกนั ไป จนกระทั่งถึงกิเลสมันหมอบ จิตหมอบเปนสมาธิขึ้นมาได นน่ั เปน
กรณีพิเศษ ดงั เขยี นไวแ ลว ในปญ ญาอบรมสมาธซิ ง่ึ เปน ภาคปฏบิ ตั ิ
มรรคคืออะไร คอื ทางดาํ เนนิ เพอ่ื ความรแู จง สจั ธรรมทง้ั ส่ี ทุกฺเข ญาณํ ญาณ
หยง่ั ทราบในทกุ ข ทกุ ขฺ สมทุ เย ญาณํ ญาณหยง่ั ทราบในสมทุ ยั ทุกฺขนิโรเธ ญาณํ ญาณ
หยง่ั ทราบในนโิ รธ ทุกฺขนิโรธคามนิ ี ปฏิปทาย ญาณํ ญาณหยง่ั ทราบในมรรคเครอ่ื ง
ทําลายกิเลสแลกองทุกขทั้งมวล อยํ วจุ ฺจติ สมมฺ าทฏิ ฐ ิ ญาณหยง่ั ทราบเชน นป้ี ราชญ
ทา นเรยี กวา สัมมาทิฏฐิ ละเอียดสุดยอด เพราะการหลดุ พน ดว ยความชอบธรรม ยอม
เหน็ ทกุ ขเปน ของจรงิ เหน็ สมทุ ยั เปน ของจรงิ เหน็ นโิ รธกเ็ ปน ของจรงิ เหน็ มรรคเปน
ของจรงิ แตละอยางๆ ดวยปญญาอันละเอียดแหลมคม นนั้ แลคอื สมั มาทิฏฐิ ทา นวา อยํ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๘
๑๖๙
วจุ จฺ ติ สมมฺ าทฏิ ฐ ิ แปลวา ความเหน็ ชอบ ความเหน็ ไมป น เกลยี วกบั ธรรม ไมปนเกลียว
กับหลกั ธรรมชาติ ไมปนเกลียวกับหลักคติธรรมดาที่เปนไปตามหลักธรรมชาติของตน
ที่กลาวทั้งหมดนี้อยูที่ไหน กบ็ รรจอุ ยทู ห่ี วั ใจของเรานท้ี ง้ั นน้ั
สว นทกุ ขก บั นโิ รธเปน กริ ยิ าอนั หนง่ึ เทา นน้ั เราไมไปขวนขวายกับเรื่องของทุกข
และเรื่องของนิโรธ ทํางานไมไปเกี่ยวกับทุกขและนิโรธเลย เชนทานวาทุกขพงึ กาํ หนดรู
นโิ รธพงึ ทาํ ใหแ จง ใครจะไปทําทุกขใหดับโดยไมดับตนเหตุคือสมุทัย และใครจะไปทาํ
นโิ รธใหแ จง โดยไมบ าํ เพญ็ เหตุ คือ มรรคเลา ความจริงทุกขก เ็ พียงกําหนดทราบกนั เทา
นน้ั แตใ หท าํ หนา ท่ี ตองทําหนาที่ถอดถอนสมุทัยดวยมรรคมีสติปญญาเปนสําคัญเทา
นน้ั งานทท่ี าํ จรงิ ๆ มรี ะหวา งสมทุ ยั กบั มรรคทาํ หนา ทต่ี อ กนั เทา นน้ั ก็กระเทือนไปถึง
ทุกขกับนิโรธไปเอง เพราะเปน ธรรมเกย่ี วโยงกนั
ทุกขพึงทราบ ทา นวา ปริฺญาตนฺติ เม ภกิ ขฺ เว นน้ั พระองคทรงประกาศให
เบญจวคั คียท ้งั หาฟง วา ทกุ ขท ค่ี วรกาํ หนดรู เราไดก าํ หนดรแู ลว สมทุ ยั ทค่ี วรละเราละ
ไดแ ลว นโิ รธควรทาํ ใหแ จง เราไดท าํ ใหแ จง แลว มรรคทค่ี วรบาํ เพญ็ ใหเ กดิ ใหม ี เราได
บาํ เพญ็ ใหเ กดิ ใหม สี มบรู ณเ ตม็ ทแ่ี ลว
การจะทาํ ทกุ ขใ หด บั และการจะทาํ นโิ รธใหแ จง กห็ มายถงึ เรอ่ื งของมรรคโดยตรง
ผลิตสติปญ ญาขนึ้ มาทุกระยะจนมกี าํ ลังแกกลาสามารถแลว กจ็ ะทาํ ใหแ จง ทง้ั เรอ่ื งธรรม
ทั้งเรื่องกิเลสไปดวยกันไมสงสัย ทา นวา นิโรธคอื ความดับทกุ ข ควรทาํ ใหแ จง กก็ ารดบั
ทุกขถาไมดับสมุทัยทุกขจะดับไดอยางไร ฉะนน้ั ตอ งรแู จง เหน็ จรงิ ในสมทุ ยั ละสมุทัยได
ดวยปญญา จะไปละเอาเฉยๆ ไมได นล่ี ะงานชน้ิ สาํ คญั กค็ อื ระหวา งสมทุ ยั กบั มรรค
ทํางานตอกัน
นี้แหละกระจายไปถึงเรื่องทุกขดวย เรอ่ื งนโิ รธดว ย ซึ่งเปนผลดวยกันทั้งสอง
อยางทั้งเบื้องตนเบื้องปลาย เบื้องตนคือทุกขเปนผลเกิดจากกิเลสคือสมุทัย ทเ่ี รยี กวา
สมทุ ยั ๆ นโิ รธดบั ทกุ ขด ว ยอาํ นาจของมรรคทป่ี ราบกเิ ลสใหส น้ิ ไป ความทุกขจะไมมี
ทางเกิดขึ้นภายในใจอีกเลย เวน แตท กุ ขใ นเบญจขนั ธทเ่ี ปน ธรรมชาตขิ องมนั มาด้งั เดมิ
แมพระพุทธเจาก็ทรงมี พระสาวกก็มีเหมือนกัน
เรื่องธาตุเร่ืองขันธม ันเปน ธรรมชาติอนั หนง่ึ ไมใ ชต ัวกเิ ลส เพราะฉะนั้นมันจึงไม
ดบั ไปกบั กิเลส กเิ ลสดบั ไป ทกุ ขท เ่ี กิดข้นึ เพราะกเิ ลสผลิตข้นึ มานนั้ กด็ บั ไป แตทุกขใน
ขันธไมดับ มันอยากเกิดมันก็เกิดของมัน อยากดับก็ดับของมัน ถาจะแยกออกมาเปน
สมุทัยของธาตุก็แยกได แตไ มจําเปนเพราะไมใ ชก ิเลส แมสาเหตุก็เปนสาเหตุของธาตุ
ตา งหาก เชน เราฉนั อะไร รับประทานอะไรไปแสลงตอธาตขุ ันธ มันเกิดความทุกขขึ้น
มา เชน ถายทอง เปนตน เพราะอาหารประเภทนน้ั ๆ เปน เหตอุ ยา งน้ี จะวา อาหาร
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๙
๑๗๐
ประเภทนน้ั เปน สมทุ ยั คือเปนเหตุใหถายทอง เกิดความทุกขขึ้นมาก็ถูก แตถูกไปตาม
ประเภทของธาตุขันธ ไมเกี่ยวกับกิเลส เพราะนม่ี นั ไมใ ชก เิ ลส ทานจึงไมน ํามาเกย่ี วของ
สว นทเ่ี ปน กเิ ลสอนั เปน สง่ิ สาํ คญั ซง่ึ มอี ยภู ายในจติ แสดงกริ ิยาอาการออกมาจาก
จติ นน้ั ทา นเรยี ก สมุทัย คือแสดงออกมาในฝายผูกพันใหติดอยู แลวก็เกิดทุกขขึ้นมา
เพราะความผกู พนั และความตดิ อยนู น้ั ทา นจงึ สอนใหแ กด ว ยมรรค คือปญญาอัน
แหลมคม เมื่อแกอันนี้ไดแลวสมุทัยก็หมด เมื่อสมุทัยหมดทุกขก็ดับ ทุกขก็หมดในจิต
ไมมีทุกขในจิตอีกตอไปตลอดอนันตกาล
จะไปทาํ นโิ รธใหแ จง ดว ยวธิ กี ารใด ทา นบอกไวเพียงเทา นัน้ นโิ รธพงึ ทาํ ใหแ จง
คือความดับทุกขพึงทําใหแจงดวยปญญา ความหมายวา อยา งนน้ั ทุกขพึงกําหนดรูและ
ทาํ ลายดว ยมรรค ทุกขถึงจะดับไปอยางสนิท การแกทุกขดับทุกขตองมาแกตนเหตุคือ
สมทุ ยั ซง่ึ เกย่ี วโยงกนั กบั มรรค
ในเรอ่ื งเหลา นผ้ี ปู ฏบิ ตั เิ ทา นน้ั จะรแู งห นกั เบาของธรรมทง้ั หลาย ที่จะมา
ประยุกตกันกับกิเลสใหไดเหตุไดผลทันกับเหตุการณ จนไดชัยชนะไปโดยลําดับๆ ผู
ปฏบิ ตั เิ ทา นน้ั จะเปน ผชู าํ่ ชองชาํ นชิ าํ นาญ และรแู งหนกั เบาระหวา งกเิ ลสประเภทใด กบั
ธรรมประเภทใด ที่จะแกหรือถอดถอนกันดวยวิธีการตางๆ ตามแตอุบายสติปญญา ผู
ปฏิบัติจะเปนผูทราบไดดี เพราะไดผ า นส่งิ เหลานอี้ ยา งโชกโชนภายในใจของตน
ที่กลา วท้ังหมดนี้มีอะไรเปนเคร่อื งรบั รองอยเู วลานี้ กค็ อื ความรู คือใจ กิเลสก็
อยทู ค่ี วามรนู น้ั แหละ สจั ธรรมก็อยทู ่นี ี้ ทุกขเ กิดขนึ้ มาจากใจเพราะสมทุ ัยเปน ตนเหตุ
นิโรธคือความดับทุกข ดบั เพราะอาํ นาจของมรรคทท่ี าํ ลายกเิ ลสเครอ่ื งผลติ ทกุ ขใ หฉ บิ
หายลงไปไมมีเหลือแลว ทุกขภายในใจของผูสิ้นกิเลสแลวก็ไมมี สวนทกุ ขท างธาตุทาง
ขันธมีดวยกัน พระพุทธเจาก็มี สาวกก็มี เจบ็ ทอ ง ปวดหัว หวิ กระหาย อยากหลบั อยาก
นอนดังที่เปนอยูนี้ เปนธรรมดาของธาตุของขันธที่ยังครองกันอยู
แตสําคญั ท่จี ิตไมไดรับความกระทบกระเทอื นจากทกุ ขภ ายในรา งกาย ที่เกิดขึ้น
มากนอย ทุกขในขันธมีมากขนาดถึงตาย ก็ไมสามารถเขาไปทําลายจติ ใจอันบรสิ ทุ ธิ์ ซึ่ง
เปนวิมุตติธรรมนั้นใหเ อนเอียงไดเ ลย เพราะวมิ ตุ ตเิ ปน อนั หนง่ึ สมมุตเิ ปน อันหนงึ่ ถา
เปน โลก ทั้งสองก็อยูคนละโลกแลว แตธรรมนี้เปน โลกตุ รธรรมอนั สดุ ยอดแลว
ทุกขเวทนาทั้งหลายจะเอื้อมถึงไดอยางไร ทุกขจะเปนมากเปนนอยเพียงไร ก็แสดงอยู
ภายในรา งกายคอื รปู ขนั ธน เ้ี ทา นน้ั ไมส ามารถเขา ไปทาํ ลายจติ ใจใหโ ยกคลอนหรอื เอน
เอยี งไปดว ยเลย นน่ั การเรยี นสจั ธรรมจบ จบตรงน้ี สตปิ ฏ ฐานสี่ก็จบตรงนีไ้ มจ บที่ไหน
พระพุทธเจา พระสาวกทง้ั หลายทา นสาํ เรจ็ ทต่ี รงน้ี รแู จง เหน็ จรงิ ทต่ี รงน้ี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๐
๑๗๑
ฉะนน้ั การปราบกเิ ลสจงึ ปราบทใ่ี จอนั เปน คลงั ของกเิ ลสมากอ น สถานทน่ี จ่ี งึ เปน
ทป่ี ราบกเิ ลส เพราะดั้งเดิมเปนสถานที่ผลิตกิเลส เมื่อกิเลสตัวรกรงุ รงั สนิ้ ไป ใจจงึ
บรสิ ุทธขิ์ ึน้ กับตนและหายสงสัยในสมมตุ ทิ ้ังมวล
เรามาศกึ ษาอรรถธรรม จงนาํ ธรรมเขา ไปเปน เครอ่ื งมอื ปราบกเิ ลสใหห มดจาก
ใจ ใจจะไดว า ง คือวางจากกิเลสและวางไปหมดในวงสมมุติ ทั้งวางจากตวั เอง ทง้ั วา ง
จากกิเลส แตกอนเต็มไปดวยกิเลส ใจหาความวางไมได ชําระกิเลสหมดไมม ีเหลือแลว
ใจกว็ า ง ไมยึดไมถือไมสําคัญมั่นหมาย วางที่ตรงนั้น
ความวา งนน้ั แลคอื ความบรสิ ทุ ธ์ิ ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั กบั ความวา งกลายเปน อนั
เดยี วกนั แลว จะกลายเปนสญู ไดอ ยางไร ฟงซิ ถา สญู ไปจะเรยี กวา บรสิ ทุ ธเ์ิ หรอ จะเรยี ก
วา วา งเหรอ สญู กเ็ ปน สญู วา งกเ็ ปน วา ง เปนคนละอยางนี่ สูญของโลกยกใหโลกสมมุติ
เขาไป สูญของพระนิพพาน วา งของพระนพิ พาน เปน ธรรมนพิ พาน ไมใชโลกสมมุติ
พระนิพพานจึงไมสูญแบบโลกสมมุติ และไมมีอยูแบบโลกสมมุติ ความมอี ยแู ละความ
สูญสิ้นของโลกสมมุติ จึงมใิ ชวสิ ยั กนั กับความมคี วามสญู ของนพิ พานธรรม เพราะเปน
ธรรมเหนอื สมมตุ ิ
ดงั ท่โี ลกวาสญู สญู แบบฉบิ หายปน ปไ มม อี ะไรเหลอื เลย เชน ไฟไหมบานทรัพย
สินเงินทองสูญไปหมด ไมม ชี น้ิ เหลอื เลย แตธาตุเดิมของมันก็ไมสูญ เพยี งสญู จากความ
เปน สมบตั ทิ โ่ี ลกเสกสรรปน ยอหรอื ผลติ ขน้ึ มาเทา นน้ั เชน ถวยชามนามกร บา นเรอื น
เครื่องนุงหมใชสอยตางๆ เมื่อถูกไฟไหมลงไปแลวก็กลายเปนธาตุเดิมไป ธาตุเดิมของ
มันจึงไมสูญ สญู แตค วามเปน บา นเปน เรอื น เปนสมบัติเงินทองที่สมมุติขึ้นเทานั้น
ทีนี้พูดถึงจิต ธาตุเดิมแทก็คือธาตุรู อะไรสูญไปหมดก็ยังเหลือธาตุรูคือจิต จติ น้ี
ไมสูญ จิตจะสูญไปไหน ก็รูอยูเห็นอยูอยางนั้น ถาสูญไปหมดไมมีอะไรเหลือ จะเอา
อะไรมาเปนความบริสทุ ธ์ิ จะเอาอะไรมาเปน ความวา ง จะเอาอะไรมาเปน ปรมํ สขุ ํ
ความไมเ คยสมั ผสั ทางดา นปฏบิ ตั ธิ รรม ปฏบิ ัตจิ ิต แตค าดคะเนเดาเอาดว ย
อาํ นาจของกเิ ลสความงมงายพาใหส าํ คญั ไปตา งหาก มใิ ชค วามจรงิ พาใหร จู รงิ เหน็ จรงิ
ดงั พระพุทธเจาแลสาวกทานที่ทา นเปนนกั พสิ จู นทางดานจติ ตภาวนา คนทส่ี าํ คญั วา ตาย
แลว สญู น้ี จิตใจมักดิ่งลงทางต่ํา เวลามีชีวิตอยูอยากทําอะไรก็ทําตามใจชอบ ไมคํานึงถึง
บุญถึงบาปดีชั่วประการใดทั้งสิ้น ขอใหไดทําอยางสมใจขณะที่มีชีวิตอยูก็พอ เพราะ
เวลาตายแลว หมดความหมาย สิ่งตางๆ สูญโดยประการทั้งปวงไมมีความสืบตอ นี่คือ
เรื่องของกิเลสครอบงําจิตใหจมมิดจนไมรูสึกตัว ทําอะไรกท็ ําแบบสุดๆ สน้ิ ๆ เพราะตน
ไดก ลายเปน คนสดุ ๆ สน้ิ ๆ ไปแลว อะไรๆ จงึ หมดความหมายไปตามๆ กัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๑
๑๗๒
น่ีแหละเรื่องของกิเลสตัวจอมปลอมครอบงําใจสัตวโ ลก มันจึงสนุกโกหก
หลอกลวงสัตวโลกตอหนาตอตา ถา เปน คนกป็ ระเภทหนา ดา นสนั ดานหยาบคาย เกิน
กวา จะอยูร ว มกับมนุษยท ้งั หลายไดน ่นั แล กเิ ลสกบั ธรรมเดนิ สวนทางกนั กิเลสคือตัว
จอมปลอม ของไมปลอม คนไมปลอมเขากับกิเลสไมได สวนธรรมคือยอดแหงความ
จรงิ สิ่งจอมปลอม คนจอมปลอมจึงเขากับธรรมไมได กเิ ลสกบั ธรรมจงึ เปนคอู ริกนั คู
แขงกันแตไ หนแตไ รมา ผสู นใจในธรรม ประพฤติธรรม จาํ ตอ งรบกบั กิเลส สง่ิ
จอมปลอมภายในใจตัวเองตลอดไป จนกเิ ลสตวั แสนปลน้ิ ปลอ นหลอกลวงหมดอาํ นาจ
ไปจากใจแลว ก็ไมมีอะไรพาใหฝน พาใหจม ฉะนน้ั ในสามโลกธาตนุ จ้ี งึ มกี เิ ลสอยา ง
เดยี วเทา นน้ั เปน เจา อาํ นาจครองหวั ใจสตั วโ ลก และเปน คตู อ สธู รรม กเิ ลสกลวั ธรรม
อยา งเดยี วในสามโลก นอกนนั้ กเิ ลสไมเคยกลวั อะไรเลย
ความรคู วามเหน็ ทว่ี า ตายแลว สญู ก็คือความบงการของกิเลสโดยแท ทผ่ี ดิ ความ
จรงิ ไปรอ ยเปอรเ ซ็นตท เี ดยี ว ความจรงิ ทธ่ี รรมบง บอกวา สตั วบ คุ คลตายแลว ตอ งเกดิ
อีก ถากิเลสที่เปนเชื้อแหงภพชาติยังมีอยูในใจ จะเปนอื่นไปไมได ความจริงความถกู
ตอ งแหง ธรรมรอ ยเปอรเ ซน็ ต เดนิ สวนทางกนั กบั กเิ ลสตวั เสกสรรปลน้ิ ปลอ นหลอก
หลอนสัตวไมมีประมาณ
ทง้ั น้ีตองทราบขอ เทจ็ จรงิ ดวยการพสิ ูจนตามหลกั จิตตภาวนา ดังองคศาสดา
และสาวกทรงพสิ จู นแ ละพสิ จู น จนเหน็ ความจรงิ เตม็ สว นมาแลว จะมาดน เดาเกาหมดั
เอาเฉยๆ นั้นไมถูกไมควร กลวั จะวกกลบั มาเกดิ เสวยผลกรรมชว่ั ตา งๆ ไมหวาดไหว
นน่ั ซิ ทน่ี า กลวั มากนะ
เพราะความจรงิ จะเปน ไปตามความจรงิ จะไมเ ปน ไปตามความนกึ เดาความ
สาํ คญั การกลบั มาเกดิ กค็ อื ความจรงิ ตามธรรมอยแู ลว การตายแลว สญู นน้ั มนั เปน หลมุ
พรางของกิเลสตางหากนี่ ไมใชค วามจริงพอจะนาํ มาแขงธรรม ลบลา งธรรมไดน ่ี คนท่ี
สาํ คญั วา ตายแลว สญู จะตอ งสรา งกรรมชว่ั มากกวา คนธรรมดา เวลาผดิ หวงั กลบั มาเกดิ
อยางไมคาดคิด ก็จะตองรับเสวยกรรมที่เปนมหันตทุกขมากตอมากจนสูไมไหว นั่นซิที่
นา ใจหาย เพราะการกระทําดีชั่วทั้งมวล เปนเครื่องประกาศถึงผลสุขทุกขอยางตายตัว
อยูแลว ลบไมส ญู
เรื่องศาสนาลกึ ซึง้ มากเพราะใจเปนสงิ่ ท่ีละเอยี ดมาก ศาสนากค็ อื ความรู ความ
เปนของใจที่ออกมาเปนศาสนา จึงตองสอนเขาไปที่ใจ มีความละเอยี ดแหลมคมเทาๆ
กัน จึงจะเขาใจเรื่องของกันและกันได ระหวางธรรมกับใจก็อยูดวยกัน เขาใจกันได
กิเลสที่เปนสิ่งเคลือบแฝงละเอียดขนาดไหนก็เหนือธรรมไปไมได เพราะกเิ ลสเปน
สมมุติ ธรรมเปนไดทั้งขั้นสมมุติและขั้นวิมุตติ จึงตองเหนือกิเลสอยูเสมอ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๒
๑๗๓
ความเลวของกิเลสกับความเลิศของธรรม กเ็ ดนิ สวนทางกนั ชนดิ รอ ยเปอรเ ซน็ ต
เชน เดยี วกนั ความฉลาดในอบุ ายปลน้ิ ปลอ นหลอกลวง และเสกสรรปน ยอตบตาสตั ว
โลกใหเ ชอ่ื ถอื และคลอ ยตาม จนหลบั ไหลใฝฝ น ไมม วี นั ตน่ื กย็ กใหก เิ ลส ความจรงิ ความ
แท ธาตุแทไมมีคําวาปลอมนั้นคือธรรม กิเลสไมอาจเอื้อมทําลายได เมอ่ื ฝา ยหนง่ึ
ปลอม ฝา ยหนง่ึ จรงิ ความจริงตองเหนือความปลอมอยูโดยดี
ผปู ฏบิ ตั ธิ รรม ทาํ ใจใหส งบ เปน สมถธรรม วปิ ส สนาธรรม ยอ มมธี รรมในใจและ
เหนอื กเิ ลสไปเรอ่ื ยๆ จนปราบกนั ไดอยา งเรยี บราบไมม ีอะไรเหลอื ใจก็อยูเหนือโลก
เหนือกิเลสทั้งปวง เหนือขันธ เปน นตฺถิ สนตฺ ปิ รํ สขุ ํ สุขอื่นใดไมเหมือนสุขที่เกิดจาก
การปราบกเิ ลสสน้ิ ไปจากใจ
นค่ี วามยากความลาํ บากทง้ั มวลทเ่ี ราทาํ มานน้ั กห็ ายไปหมดแลว มันไมไดมากอ
กวนทาํ ลายเราอยใู นเวลาทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว นน้ั เลย ทั้งเปนเครื่องหนุนใหหลุดพนจากทุกข
อยางดีเยี่ยมดวย หากเราไมท าํ อยา งนน้ั ก็ไมรูอยางนี้ เม่ือพจิ ารณายอ นหลงั ก็ภมู ใิ จ
ตอนนน้ั ความเพยี รของเราเปน อยา งนน้ั ๆ ความทกุ ขค วามลาํ บากเพราะการตอ สกู บั
กเิ ลสเปน อยา งนน้ั ๆ ขา มมาเปน ลาํ ดบั ลาํ ดา
ถึงขั้นที่จะมอบเปนมอบตายกัน เพราะความแกก ลา สามารถแหง สติ ปญญา
ศรทั ธา ความเพยี ร ก็หมุนกันเขาไปเลย ตายกไ็ มเ สยี ดายชวี ติ นอกจากใหร ูใหห ลุดพน
อยา งเดยี วเทา นน้ั ไมร เู อาตายกต็ าย นี่ถึงขั้นมันเด็ดมันก็เด็ด ถึงขั้นมันสูมันก็สูเอาตาย
เปน เดิมพัน ถงึ ขน้ั มนั เสยี สละเปน สละตายมนั เสยี สละจรงิ ๆ เพื่อธรรมดวงนั้น สจู น
ผานพนไปไดอยางใจหวัง แลว กไ็ มเ หน็ ตาย ความทุกขทั้งมวลในการประกอบความ
เพยี รมาทกุ ประโยคนน้ั มนั กห็ ายหนา ไปหมด แนะ ยังเหลอื แตผ ลเทา นน้ั คอื ความ
สมบรู ณภ ายในใจ เพราะความเพยี รเหลา นน้ั เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ
เพราะฉะนน้ั ขอใหย ดึ อบุ ายเหลา นไ้ี ปเปน หลกั เปน เกณฑ เปน คตเิ ครอ่ื งดาํ เนนิ
ทุกขยากลําบากก็พยายามผลิตสติปญญาขึ้น ใหทันกับกลมายาของกิเลสอยูเสมอๆ อยา
ไดทอถอยออนแอ ซึ่งไมใชทางของพระพุทธเจา ไมใชทางของธรรมพาดาํ เนินใหถ งึ
ความพน ทกุ ข นอกจากจะพอกพูนกิเลสและกองทุกขขึ้นใหมากยิ่งกวาที่มีอยูแลวนี้เทา
นน้ั จึงไมควรเสียดายความไมเปนทาของตน
เอาละยตุ ิ
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๓
๑๗๔
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓
นอนใจ นอนจม
จติ เปน ตวั ยนื โรงในเรอ่ื งความเกดิ แกเ จบ็ ตาย นเ่ี ปน หลกั ความจรงิ รอ ย
เปอรเซ็นต โดยอาศยั เช้ือเพื่อเพาะใหเ กดิ ทน่ี น่ั เพาะใหเกิดท่นี ี่ ตามหลกั ธรรมทา นวา
อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา เปน ตน อยตู รงนน้ั แหละ ภพชาตินอยใหญแตกแขนงออกไป
จากนน้ั ทานเรยี งลาํ ดับลําดาไปจนถึงทีส่ ุดของอวชิ ชาวา สมุทโย โหติ ผปู ฏบิ ตั จิ ะเรยี ง
ลาํ ดบั ลาํ ดาในการปฏบิ ตั ไิ ปตามทา นนน้ั เหลวทง้ั เพ เหมอื นการจะโคน ตน ไมใ หต าย
แตจ ะไปเทย่ี วตดั ใบนน้ั ตดั ใบน้ี กง่ิ นน้ั กา นน้ี สิบปก็ไมลม ตองโคนเขาไปรากฝอยราก
แกวของมัน และถอนพรวดขน้ึ มาตรงนนั้ มันตายไปหมดไมมีเหลือกระทั่งกิ่งกานสาขา
ดอกใบ
อวชิ ชาตวั เดยี วเทา นน้ั อยแู นบสนทิ กบั จติ ถา ไมใ ชท างดา นจติ ตภาวนาอยา งไรก็
ไมพบความจริงของมัน ท่เี ปนตน เหตพุ าใหเกดิ และพาไมใหเกิด พระพุทธเจา ทรงคน
อยูถึงหกปโดยไมมีใครสั่งสอนเลย ความลาํ บากลาํ บนจงึ มมี าก สาํ หรบั พวกเรามคี รมู ี
อาจารย มตี าํ รบั ตาํ ราแนะนาํ สง่ั สอนไวแ ลว เพียงจะพยายามปฏบิ ตั ิใหเ ปน ไปตามหลัก
ธรรมอันถูกตองดีงาม อันเปนการถอดถอนกิเลสไปดวยขอปฏิบัติก็ยังทําไมได จะเรยี ก
วา เราเหลวไหลขนาดไหน
หลกั ใหญอ ยกู บั ความมงุ มน่ั เปน สาํ คญั ในการปฏบิ ตั ิ ถาความมุงมั่นมีมาก ความ
อุตสาหพยายามก็ตามกันมา นอกจากนน้ั ยงั มคี รอู าจารยค อยใหโ อวาทสง่ั สอนและ
สนบั สนนุ ดว ยอบุ ายวธิ กี ารตา ง ๆ ในเวลาปฏบิ ตั อิ กี ดว ย หากเกดิ ความรคู วามเหน็ ขน้ึ
มาอยางใด ตนเองไมเ ขา ใจเพราะทางไมเ คยเดนิ ก็ถามครูอาจารยได หรอื เวลาทา น
แสดงธรรมเขา ไปสมั ผสั กบั ความรขู องเราความเปน ของเราเขา ก็เขาใจไปในขณะที่ฟง
เทศนน น้ั ๆ นเ่ี ปน ความสะดวกมากในการเสาะแสวงและปฏบิ ตั ธิ รรมสาํ หรบั พวกเรา
เมอื่ เทยี บกบั พระพทุ ธเจา แลว
ครง้ั พทุ ธกาลทา นบรรลธุ รรมจาํ นวนมากมาย ทา นกก็ ลา วไวใ นบคุ คลสป่ี ระเภท
นน่ั เปน ประเภท อุคฆฏิตัญู วิปจิตัญู ผสู ามารถจะรไู ดอ ยา งรวดเรว็ และรเู รว็ รอง
ลาํ ดับกนั ลงมา จากนน้ั กเ็ ปน จาํ พวก เนยยะ พอลากพอจูงกันไปได หลายครง้ั หลายหน
ก็พอเปนผูเปนคนและผานไปได สว น ปทปรมะ นน้ั รสู กึ จะมารวมอยใู นสมยั ปจ จบุ นั น้ี
เสยี มาก เพราะพูดเรื่องศีลเรื่องธรรมรูสึกจะเขากันไมคอยได กลายเปน ความเเสลงหู
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๔
๑๗๕
แสลงใจไมสนใจฟง การฟงนั้นมักจะแสดงอาการงวยงงสงสัย ราวกบั เปน เรอ่ื งแปลก
เรื่องนอกสังคมมนุษยผูดี เปน เศษเปน เดนไป ราวกบั ธรรมเปน ของเศษเดนหาคณุ คา
ไมได ไมค วรแกม นษุ ยป จจุบนั จะรบั ไวในสงั คม เปน เรอ่ื งครลึ า สมยั เปนเรื่องขัดหูขัด
ตาไมอยากฟงไมอยากเห็น แสดงอาการไมพ อใจข้ึนมาและพูดเยาะเยยไปตา ง ๆ อยาง
ไมกระดากอาย ทง้ั นเ้ี พราะความรสู กึ มนั นบั วนั ตาํ่ ชา เลวทรามลงไปทกุ ที ของดีกลาย
เปนขาศึกไปได
ตามหลักธรรมชาติแลว ธรรมเปน ธรรมชาตอิ นั ประเสรฐิ เหนอื โลกแตไ หนแตไ ร
มา ไมมีอะไรเปนคูแขงแยงดีกวาธรรมไปได และธรรมทาํ คนใหเ ปน คนดไี ปโดยลาํ ดบั
จนถึงขัน้ ดีเลศิ มาแตก าลไหน ๆ ธรรมะของพระพุทธเจาไมเคยทําใหผูหนึ่งผูใดไดรับ
ความเสอ่ื มเสยี และฉบิ หายวายปวงไปแมแ ตน อ ยเลย นอกจากเปน เครอ่ื งสง เสรมิ ให
เปนคนดีตามกําลังของผูปฏิบัติตามโดยลําดับ ไมว า เพศใดวยั ใด จึงหาทางตองติไมได
คาํ ทว่ี า ศาสนาเสอ่ื มกห็ มายถงึ จิตใจของมนุษยเ สอ่ื มทรามลงไปจากอรรถจาก
ธรรมอันถูกตองดีงามนั่นเอง ไมเ คารพยาํ เกรงในสง่ิ ทค่ี วรเคารพยาํ เกรง ไมเชื่อไมนับ
ถือธรรมและไมปฏิบัติตามธรรมที่สอนไวนี้ เชน บาป บญุ นรก สวรรค พรหมโลก
นพิ พาน เหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทม่ี อี ยู ทกุ สตั วบ คุ คลจาํ ตอ งสมั ผสั สมั พนั ธก บั ธรรมชาตเิ หลา น้ี
เรอ่ื ยมาและจะเรอ่ื ยไป โดยไมขึ้นอยูกับความเชื่อหรือไมเชื่อวามีหรือไมมีนั้น ๆ เลย
เพราะธรรมชาตนิ เ้ี ปน ของจรงิ และขน้ึ อยกู บั ความจรงิ แตเ มอ่ื อวยั วะทจ่ี ะรบั ทราบสง่ิ ทง้ั
หลายดงั กลา วเหลา น้ี มันหนวกมันบอดไปเสยี แปดทิศแปดดานเปน ปทปรมะ จงึ หา
ความรตู ามความจรงิ นน้ั ไมไ ด ตางก็ลูบคลําไปตามความมืดบอดหาที่จอดแวะอันเหมาะ
สมไมได จึงไมมีจุดหมายปลายทางทั้งการอยูและการไป
เพราะใจเปน ปทปรมะ คือมืดแปดทิศแปดดานทั้งกลางวันกลางคืน ยนื เดนิ
นง่ั นอน ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหวอยูดวยความมืดบอด เพระอาํ นาจของกเิ ลสตณั หา
มันครอบงําจนหาทางไปไมได เมื่อหาทางไปไมไดแลวก็มีแตหาทางทําลายตนเองไป
โดยลาํ ดบั ดว ยความรคู วามเหน็ ดว ยวาทะ กริ ยิ าตา ง ๆ ที่แสดงออกใหขัดตออรรถตอ
ธรรม เปน การคดั คา นตา นทานและทาํ ลายธรรม อนั เปน การลบลา งทาํ ลายตนเองโดย
ไมรูสึกตัว นโ่ี ลกสว นมากกาํ ลงั หมนุ เขา มาในจดุ นเ้ี วลาน้ี
ฉะนน้ั เรากเ็ ปน ผหู นง่ึ ทอ่ี ยใู นทา มกลางแหง โลกทก่ี ลา วมาน้ี ซึ่งไมใชของดี เปน
อยูกับจิตดวงใดจิตดวงนั้นก็เหมือนคนไขหนักกําลังจะตาย รอเอาเขา หบี เขา โลงอยแู ลว
ถา มาเปน กบั เราจะเปน อยา งไร โรคประเภทนั้นไมใชของดี โรคทค่ี วรจะหายดว ยยา โรค
ที่พรอมจะหายดวยยาก็มีอยู สาํ หรบั เราจะจดั เขา ในโรคประเภทไหน ยาคอื ธรรมโอสถ
ของพระพทุ ธเจา กม็ ี หมอคอื ผนู าํ ยามาแนะนาํ สง่ั สอนไดแ กค รอู าจารยก ย็ งั มี
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๕
๑๗๖
เราเชอ่ื กเิ ลสตณั หากเ็ ชอ่ื มาเปน เวลานานไดร บั ผลประโยชนอ ยา งใดบา ง ควรนาํ
บวกลบคณู หารกนั ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมซง่ึ อยใู นหวั ใจดวงเดยี วกนั นด้ี ว ยดี แลว รบี เรง
ขวนขวายในแนวทางทถ่ี กู ตอ งแมน ยาํ ดว ยความอตุ สา หพ ยายาม ซึ่งเปนการถูกตองไม
สายเกนิ ไป เรยี กวา ยงั เปน เนยยะ คือเปนผูพอฉุดพอลากไปได โดยอาศยั โอวาทคาํ สง่ั
สอนและครบู าอาจารยค อยแนะนาํ ตกั เตอื น เจา ของกฉ็ ดุ ลากเจา ของดว ยความ
พากเพียร ดว ยอบุ ายทไ่ี ดร บั การอบรมมาแลว จากครจู ากอาจารย กิเลสยอ มจะคอย
เหือดแหงไปโดยลําดับ ผนู น้ั กจ็ ะมสี งา ราศขี น้ึ ภายในใจ
นแ่ี หละหลกั ของการปฏบิ ตั ศิ าสนา สําคัญอยูที่ใจ ถาลองไดมืดบอดแลว ไมยอม
สัมผัสสัมพันธไมยอมรับอะไรทั้งนั้นขึ้นชื่อวาของดีมีประโยชน นอกจากจะเปดทางรับ
ความมืดบอดใหหนักเขาไป ทาํ ลายตนโดยลาํ ดบั จนแหลกเหลวไปเลยเทา นน้ั ไมมี
ความดีใด ๆ แมนอยที่จะแทรกซึมเขาไปถึงจิตใจดวงนั้นได ทา นจงึ เรยี กวา ปทปรมะ
ถา เปนโรคก็เปนประเภท ไอ.ซ.ี ย.ู คอยแตล มหายใจอยเู ทา นน้ั จะเตรยี มหบี เตรยี มโลง
ก็เตรียมไดแลว ยังไงก็ไปไมรอดคนประเภทนี้ แมจะมีชีวิตอยูสักรอยปพันปมันก็เปน
ประเภท ไอ.ซี.ย.ู หาความดเี ขา ซมึ ซาบภายในจติ ใจพอเปน สารคณุ เครอ่ื งพยงุ จติ ใจ
เพื่อสืบตอภพอันดีงามในกาลขางหนาไมมีเลย มแี ตค วามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายตนใหล ม จม
ลงไปสูความทุกขความลําบากทรมานฉิบหายปนปไ มม ีช้ินดีตลอดไปสาํ หรบั จติ ดวงน้นั
เพราะฉะนัน้ การท่ีจะรอ้ื ถอนตนใหข้นึ จากหลม ลึก แมจะไดรับความทุกขมาก
นอยก็จําตองอดตองทน เพราะอยากเห็นของดีมคี วามสขุ ใจไรเ ส้ียนหนามท่ที ่ิมแทงหัว
ใจมานาน และจงปกใจพลีชีพบูชาธรรมคําสั่งสอนอันเปนองคแทนศาสดา ยดึ เปน หลกั
ใจหลกั ดาํ เนนิ มคี วามจรงิ ใจเปน พน้ื ฐาน ทาํ อะไรใหม คี วามจรงิ ใจมคี วามจดจอ มสี ติ มี
ปญญาคอยสอดสองมองดู ควบคุมงานทีท่ ําทุกระยะ
งานอะไรก็ตาม เราเคยไดพ ดู หลายครง้ั หลายหนแลว ไมมีงานใดที่ตอสูกันถึงขั้น
แตกหกั ราวกบั ฟา ดนิ ถลม เหมอื นงานฆา กเิ ลสรบกบั กเิ ลสนเ่ี ลย นี้เปนงานที่หนักมากที
เดียว พระพุทธเจาเม่ือไดต รัสรูกป็ รากฏวา โลกธาตุสะเทือนสะทา นหว่ันไหว จะวายังไง
ราํ่ ลอื มาจนกระทง่ั ทกุ วนั น้ี ก็เพราะงานชิ้นเอกของพระองคไดสําเร็จลุลวงลงไป กเิ ลส
หมอบราบเรยี บ ไมม ปี ระเภทใดเหลอื อยภู ายในพระทยั เลย ความอศั จรรยจ งึ แสดงขน้ึ
ทั่วไตรโลกธาตุ ดังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรทานแสดงไวแลวนั้น
ใครก็ตามถายงั ไมไ ดผา นงานใหญขา ศกึ ใหญภายในใจ ดวยการตอสูกับกิเลสตัว
เหนยี วแนน แกน ไตรภพใหส าํ เรจ็ เรยี บราบลงจากใจกอ น อยาดว นคุยวา ตนทํางานใหญ
โตสาํ เรจ็ ถา ไมอ ยากขายโงใ หก เิ ลสหวั เราะเยาะเอา และปราชญท า นปลงธรรมสงั เวชใน
การขายตัวของผูนั้น ทว่ี า ตนเกง แบบหลบั หหู ลบั ตาพดู พลา ม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๖
๑๗๗
ทกุ สงิ่ ทุกอยางในบรรดาความเคลื่อนไหวของผูปฏบิ ัติ ใหเ ปน อาการแหง นกั ตอ
สอู ยเู สมอ อยาใหเปนความทอแทออนแอ คดิ ลงั เลสงสยั ไปตาง ๆ ซึ่งเปนเรื่องของ
กเิ ลสหลอกทง้ั เพ ความจรงิ อนั เปนที่อบอุนใจในการบําเพญ็ นั้นกค็ ือธรรมมอี ยแู ลว
ศาสนธรรมคําสอนฝายเหตุท่ีช้ีชอ งบอกทางเราก็มีอยแู ลว ผลที่จะพงึ ไดรับเปนข้นั เปน
ตอนจนถึงขั้นวิมุตติหลุดพน ทานก็แสดงไวแลวโดยถูกตองในหลักแหง สวากขาต
ธรรม ไมเคลอื่ นคลาดไปจากน้ีเลย
เราผปู ฏบิ ตั เิ หมอื นกบั ลา งมอื เปบ เทา นน้ั กย็ งั จะถอื วา ลาํ บากลาํ บนแลว จะมีทาง
ไดม รรคผลนิพพานท่ีไหน ยอมเปนไปไมได เคลื่อนออกทาใดก็มีแตทากิเลสรุมลอม มี
แตทากเิ ลสบังคบั บญั ชาเหมอื นผตู องหา ไมมีธรรมคือสติปญญาเปนตน ตามคุมครอง
ปอ งกนั ตวั บา งเลยนน้ั รสู กึ วา จะเปน คนทห่ี มดคณุ คา พระทห่ี มดราคาเกนิ ไป ไมส มควร
แกฐ านะของเรา เพศของเราทเ่ี ปน นกั บวช อันเปนเพศที่โลกชาวพุทธยกยองชมเชยและ
กราบไหวบ ชู าวา เปน เพศ ปุ ญฺ กเฺ ขตฺ ของโลกเลย จึงขอใหพากันพิจารณาใหมากอยา
นอนใจ ซ่งึ ผิดกับวสิ ยั ของนักบวชซง่ึ เปน เพศพจิ ารณาใครครวญในทุกสิ่งทเี่ กี่ยวขอ งกับ
ตน
การแนะนําสั่งสอนทุกแงทุกมุมเรื่อยมาตั้งแตเริ่มรับหมูเพื่อน ผมไดทุมเทลง
เต็มความสามารถทุกดานทุกทาง ไมว า ฝา ยเหตฝุ า ยผล ทั้งตนทั้งปลาย แสดงอยางเต็ม
เหตเุ ตม็ ผล เตม็ อรรถเตม็ ธรรม เต็มสติกําลังความสามารถทุกแงทุกมุม เปดเผยออก
หมดเปลือก ไมมีการปด บงั ลล้ี บั แมแ ตน อยไวเ ลย จงึ กรณุ าเหน็ ใจผอู บรมสง่ั สอนดว ยใจ
จริงใจจดจอกับหมูเพื่อน ไมอยากใหถูกจองจําอยูตลอดเวลาดวยกิเลสประเภทตาง ๆ
ซึ่งพอที่จะดิ้นใหหลุดไปได เอาตัวรอดไปไดดวยขอปฏิบัติ จึงไมอยากใหนอนใจนอน
จมดงั ทเ่ี คยเปน มาและเปน อยนู เ่ี ลย
การทําอะไรขอใหมีสติ สตนิ เ้ี ปน สาํ คญั มาก ในวงงานทง้ั หลายไมว า ภายนอกภาย
ใน ขาดสติแลวยอมแสดงความผิดพลาดขึ้นมา มากนอยตามความขาดสตนิ ้ันแล
ปญญาคือความละเอียดสุขุมรอบคอบในงานของตนทั้งภายนอกภายใน ธรรมทั้งสอง
อยา งนค้ี วรนาํ มาใชป ระจาํ ตวั อยเู สมอ อยา ไดป ลอยวางและอยาถอื วา ไมสําคญั งานชน้ิ
เอกจะลุลวงไปไดจะพนจากสติปญญานี้ไปไมได เพราะไดร บั การอบรมใหม กี าํ ลงั ขน้ึ
โดยลาํ ดบั จนกลายเปน มหาสติ มหาปญญา ฟาดฟน หน่ั แหลกกบั กเิ ลสหยาบละเอยี ด
ใหมุดมอดไปจากจิตใจโดยไมเหลือก็คือสติปญญานี้แล ไมใชม าจากทไี่ หน เพราะ
ฉะนั้นจงเห็นความสําคัญของสติปญญา เราไดป ฏบิ ตั มิ าแลว เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ
ยังไมมองเห็นสิ่งใดธรรมใดที่จะยิ่งไปกวาสติปญญา ในบรรดาธรรมฝา ยเหตเุ ปน เครอ่ื ง
แกหรือถอดถอนกิเลสทั้งมวล โดยมีความเพียรและธรรมอนื่ ๆ เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๗
๑๗๘
พระลูกศิษยตถาคตตองอดตองทน เพศนี้เปนเพศที่อดทน พระพุทธเจาพาอด
พาทนมาแลว จนไดผ ล เพียรก็ไมมีใครเกินพระพุทธเจา จนเปนตัวอยางอันดีเยี่ยมแก
โลกมาแลว คาํ วา สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ของพวกเราก็ไมปรากฏวาองคไหนที่ลางมือเปบ
มแี ตแทบลม แทบตายมาดว ยกนั ทัง้ นั้น นน่ั แหละการฆา กเิ ลสเปน สง่ิ ทฆ่ี า ไดย าก เพราะ
เหนียวแนนมั่นคงมากแตไหนแตไรมา อยา เขา ใจวา ฆา ยากตายยากเฉพาะกเิ ลสอยบู น
หวั ใจเราสมยั นเ้ี ทา นน้ั
เหมอื นคาํ พดู ในครง้ั โบราณเลา ตอ ๆ กนั มาวา รบกบั ยกั ษแ ละฆา ยกั ษม นั รบ
ยากฆา ยาก ซง่ึ สว นมากเราสมู นั ไมไ ดน ะ นักปฏิบัติธรรมตองยอนเขามาภายในใจของ
ตัววา ยักษก็หมายถึงปาปธรรม พวกกเิ ลสมารนเ้ี อง การฆาก็หมายถึง ฆา ดว ยธรรม
เครอ่ื งมอื และความเพยี รออกไปจากธรรม ระหวางธรรมกบั กิเลสน้ันเปน ขาศกึ กนั มาแต
กาลไหนๆ ผูตอสูกับกิเลสจึงเหมือนรบกับยักษ คําวายักษกินคนก็กินทั้งโลกธาตุนี้
แหละ กลืนลงไปแลว คือตายไปแลวกลับมาเกิดอีก เกิดแลวตาย ตายแลวเกดิ บงั คบั
ใหโ ลภ ใหโกรธ ใหห ลง ใหเ ปน ไปในแงต า งๆ สดุ แตก ิเลสจะดลบนั ดาลใหเปน ไป โดย
พาใหเ ปน สตั วน รก เปรต อสรุ กาย สตั วด ริ จั ฉาน ภูตผีปศาจตางๆ ไมมีประมาณ ยักษ
ตัวมีฤทธาศักดานุภาพมากนั้นมีอยูทุกหัวใจของสัตวโลกไมมียกเวน นอกจากผปู ราบ
มนั ใหส น้ิ ซากไปแลว เทา นน้ั คือพระพุทธเจาและพระอรหันตขีณาสพทาน
เพราะฉะนน้ั เราทร่ี ภู าษภี าษากบั เรอ่ื งกเิ ลสเหลา นพ้ี อสมควรแลว จงึ ไมค วรยอม
ตนใหมนั มานอนขบั กลอ ม บาํ รงุ บาํ เรออยภู ายในใจอยา งเพลดิ เพลนิ จนเกนิ ไป ราวกบั
พระไมมีหัวใจ ถูกกิเลสเอาไปย่ํายีตีแผแยไปหมดทั้งดวง ตองตอสูกับมันดวยสติปญญา
ศรทั ธา ความเพยี ร อยาไดลดละ จะเริม่ เห็นแดนแหง ความพนทุกขไ ปโดยลาํ ดับ นับแต
ความสงา ผา เผยองอาจกลา หาญ ความสงบผองใสไปเปน ลําดบั ลาํ ดา เปลย่ี นสภาพสู
ความละเอียดไปตามภูมิจิตภูมิธรรมจนถึงวิมุตติหลุดพน หาความเปลย่ี นแปลงใดๆ ไม
ไดบรรดาอาการของจิตด-ี ชั่วซึ่งเปนสมมุติ ไมมีในวิมุตติจิตนั้น เปนแตอาการของขันธ
ที่มีอยูเปนอยูตามปกติของตน อาการทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงใหม เี ศรา หมองผอ งใส หรอื
เปลีย่ นสภาพเปน อยางนั้นอยา งนีอ้ ีกนนั้ ไมมี เมื่อถึงขั้นเต็มภูมิของจิตลวน ๆ แลว เปน
อยา งนน้ั
เหมือนกบั นาํ้ ทบี่ ริสทุ ธลิ์ ว นๆ ไมมีสีตางๆ แฝงอยูเลยฉะนั้น การทน่ี าํ้ มสี แี ดง สี
ขาวหรอื สอี ะไรตา งๆ นน้ั ยอมพาดพิงกับสิ่งตางๆ เชน พาดพิงกับใบไมก็กลายเปนสี
ใบไมไป พาดพงิ กับสขี าวก็กลายเปน ขาวไป เชน เราเทนาํ้ ใสแ กว สใี ดนาํ้ กก็ ลายเปน สนี น้ั
ขึ้นมา นจ่ี ติ ทบ่ี รสิ ทุ ธจ์ิ รงิ ๆ แลว จงึ ไมป รากฏสสี นั วรรณะลกั ษณะใดๆ ทั้งสิ้น เหลือแต
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๘
๑๗๙
ความรลู ว นๆ อันเปนความรูที่บริสุทธิ์พูดไมถูกเทานั้น แตร อู ยา งชดั เจนภายในตวั หา
ความสงสัยไมได กค็ อื จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธ์นิ นั้ แล
ฉะนน้ั การตอ สกู บั กเิ ลสทกุ ประเภท ใหพ งึ พากันทราบอยางถึงใจไวเ สมอ อยา
ตอสูแบบความทอถอยออนแอ ไมใชทางที่จะชนะกิเลสได ตองห้ําหั่นกันเขาไป
อยา สงสยั วา โลกนม้ี สี ถานทใ่ี ดสง่ิ ใดบา งทจ่ี ะพาใหม คี วามสขุ ความเจรญิ จะพา
ใหเ ลศิ ใหป ระเสรฐิ มคี วามสขุ ความสบายจรี งั ถาวร ไมมี อยา สงสยั ใหเ สยี เวลาและทกุ ข
ใจเปลา ท้ังเปน ความประมาทดวย มแี ตเ รอ่ื งอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตาเต็มตัวของมัน เมื่อ
มาเกย่ี วขอ งกบั เรา เรากก็ ลายเปน ตวั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า พัวพันกันไปกบั สิง่ เหลาน้ัน
ซึ่งลวนแตเปนการสั่งสมทุกขแกตนทั้งนั้น แมส ง่ิ นน้ั เขาจะเปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
ตามสภาพของเขา เขาก็ไมไ ดร ับผลเปน ความทุกขความทรมานเหมอื น อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ
อนตฺตา ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ภายในใจเราทไ่ี ปเกย่ี วขอ งพวั พนั กบั สง่ิ เหลา นน้ั เลย
อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทเ่ี กาะกนิ อยภู ายในใจนเ้ี ปน สง่ิ สาํ คญั มาก จงพากันกําจัด
ใหไ ด เอาใหเ หน็ พระพุทธเจาเปนศาสดาองคเอกแทๆ ไมมีใครทัดเทียมในโลกธาตุนี้
ธรรมที่แสดงออกก็เปนธรรมที่เต็มภูมิเต็มฐานไมบกพรองตั้งแตตนจนอวสาน ถึงที่สุด
คือวิมุตติพระนิพพานไมมีใครเสมอ นี่แลคือสรณะของผูหวังพนทุกขในวัฏสงสาร จะ
พงึ ยดึ พงึ เกาะใหแ นน ภายในใจและการปฏบิ ตั ดิ าํ เนนิ ทางปฏปิ ทา
สรณะนล่ี ะเปน จดุ ทจ่ี ะใหค วามสมหวงั แกพ วกเรา นอกนั้นก็ไมไดประมาทวาไม
ไดอาศัยเขามา แตพ ดู ตามหลกั ความจรงิ ของธรรมสาํ หรบั ผเู สาะแสวงหาของจรงิ วา หา
ที่เกาะที่ยึดฝากเปนฝากตายอยางแทจริงไมได มีแตสิ่งที่จะพังทลายไปดวยกันทั้งนั้น ภู
เขาทั้งลูกก็อยูใตกฎธรรมชาติคือ อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะไมพังไดอยางไร ดินฟา
อากาศ วัตถุสิ่งของเงินทอง ไมวาสิ่งใดที่อยูใตอํานาจของอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ตองมี
การเปลย่ี นแปลงไปอยเู สมอ และพังทลายไปไดเชนเดียวกัน หาที่เกาะที่ยึดพอเปนที่ไว
วางใจและมคี วามรม เยน็ ภายในใจบา งไมไ ด ไมจ รี งั ถาวรอะไรเลย ไมส ง่ิ นน้ั กเ็ ปน เราเสยี
เองตองพลัดพรากจากกันไป ไมเ หมอื นธรรมท่ีเปน คูค วรและติดแนบกับใจไปตลอด
แตธรรมที่สัมผัสไดดวยใจนั้น เวลานม้ี กี เิ ลสเปน เจา อาํ นาจครองอยู ใจจงึ กลาย
เปน ความรมุ รอ นเพราะธรรมเขา สมั ผสั ยงั ไมถ งึ เนอ่ื งจากกิเลสเปน เจา ของครอบงําไว
รอบดา น การปราบมนั จงึ ยากในขน้ั เรม่ิ แรก ดีไมดีอาจถูกมันปราบเสียกอน ตวั อยา ง
เชน พอจะเดินจงกรมก็ถูกมันเตะออกจากทางจงกรม จะนั่งสมาธิก็ถูกมันเตะลงใส
หมอน จะอยูในทาใดก็ถูกมันเตะใหเผลอใหเถลไถลไปเสียจนได ลว นแตก เิ ลสมนั เตะ
มันตอย มันฉุดมันลากออกไปใหคิดใหอานในทางของกิเลส ไมใชทางของธรรม นจ่ี ง
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๙
๑๘๐
ทราบวา กเิ ลสมนั แหลมคมอยา งน้ี ถา ไมท ราบแงข องกเิ ลสเหลา นบ้ี า งแลว เราจะไมร วู ธิ ี
ปฏิบัติตอมัน กําจัดมันไมได
วิธีกําจัดมันโดยถูกตองและไดผลไปโดยลําดับคือ ดวยความมีสติระมัดระวังอยู
เสมอ นีแ่ ลคืออุบายวิธกี ารอนั หนงึ่ ท่ีจะทราบกลมายาของกิเลสไปโดยลาํ ดับ และปญญา
ความสอดสองมองทะลุกิเลสที่มีอยูภายในใจมากนอย
ราคะเกดิ ขน้ึ มนั ทาํ ใหค นและสตั วด น้ิ รนกระวนกระวาย สตั วเ มอ่ื ราคะกาํ เรบิ หรอื
โรคบากําเรบิ มันดิ้นรนกระวนกระวายกวัดแกวงอยูเปนปกติสุขไมได ทั้งตัวผูตัวเมีย
ทั้งเพศหญิงเพศชาย มนุษยแ ละสตั วเ ปน เหมอื นกัน ถาอยูเฉยๆ เชน เวลาหลบั สนทิ
ราคะก็ไมแสดงตัว โทสะก็ไมแสดงตัว ความโลภก็ไมแสดงตัว โมหะก็ไมแสดงตัว เวลา
นน้ั สตั วท ง้ั หลายมคี วามสขุ เตม็ ท่ี เวลาสขุ เต็มภูมิของคนและสตั วทม่ี ีกิเลสท่ัวไป ก็คือ
ขณะหลบั สนทิ เทา นน้ั นอกจากนน้ั หาความสขุ ไมไ ด เพราะสงิ่ เหลา น้ีเองออกเพนพาน
กอกวนเพื่อทํางานของตัวเอง แตทีท่ าํ งานของมันตั้งอยบู นหวั ใจคนและสตั ว จึงเปน
ทุกขไปกับมัน
ใหเราเห็นอยา งน้กี อ นถา ยงั มองไมเห็นทีไ่ หนซงึ่ ละเอียดกวา นี้ ใหถ อื เอาเวลา
หลบั สนทิ มาเทยี บกบั เวลาตน่ื นอน พอตื่นขึ้นมามีแตกิเลสมันฉุดมันลาก ดีมันก็พอใจ
ชั่วมันก็พอใจ อะไรๆ มันพอใจ มนั ใหทาํ และตดิ รางแหมันไปหมด เพราะกเิ ลสพาให
ตดิ ตวั เราเองไมอ ยากตดิ ไมอ ยากพอใจ เชน เขารองไหมันยังพอใจรองไห ความรองไห
เปนของดีละหรือ ความทุกขเพราะการรองไหเปนของดีละหรือ ทําไมทุกขแทๆ มันพอ
ใจ นน่ั พิจารณาเอาซิ มนั แหลมคมขนาดไหนกเิ ลสนะ ไมเห็นตัวของมันละ เหน็ แตห นุ
ที่มันเชิดออกมาเปนกิริยาทาทางตางๆ แสดงความโลภ แสดงความโกรธ แสดงความ
หลงออกมาดวยอํานาจของกิเลสท่ีมนั อยูฉ ากหลงั ไมใ หเ ห็นตวั มันเลย เหน็ แตค วาม
หยาบโลนของผนู น้ั แสดงอยอู ยา งนั้น นแ่ี ลกเิ ลสมนั แหลมคมอยา งน้ี ดูเอา พิจารณาเอา
จะรเู องเหน็ เองเพราะมอี ยบู นหวั ใจเรานด่ี ว ยกนั
เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งใชค วามเพยี รพยายาม เอาใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เราสละ
ชวี ติ แลว เพอ่ื ศาสนธรรม ซึ่งจะยังตนใหพนจากทุกข ไมมีการลมจม การประกอบความ
พากเพยี รไมว า จะวธิ ใี ดอริ ยิ าบถใด เปนสิ่งที่จะปลดเปลื้องกิเลสอาสวะทั้งนั้น ถา ดาํ เนนิ
ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไวจะไมเปนอยางอื่น
นแ่ี ลทโ่ี บราณกลา ววา ยกั ษร บกนั ในนทิ าน จะเปน ปรมั ปราเปน เรอ่ื งจรงิ กต็ าม
พงึ เทยี บเขา ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรม ซง่ึ เปน ขา ศกึ กนั และตอ สกู นั มากอ นคาํ วา โบราณเปน
ไหนๆ กเิ ลสตอ งมีเลหเ หลีย่ มแหลมคมมาก ถา เราเปน ฝา ยธรรมหากเครื่องมือไมมี
เพียงพอกับการตอสูมัน ตองแพมันจนได มนั ฆา เอาตาย ตายจากเพศ ตายจากมรรค
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๐
๑๘๑
ผลนิพพาน ตายจากความมุงมั่นของตนที่จะพึงไดพึงถึง ตายหลายประเภทเพราะสู
กิเลสไมได ถกู มนั กาํ ราบปราบปรามเอาเรยี บราบไป นเ่ี ราไมต อ งการอยา งนน้ั จึงตอง
ตั้งหนาตั้งตาตอสูกับกิเลสซึ่งเปนเหมือนยักษ และเปนผูกอทุกขภายในใจสัตวโลกไมมี
การบกพรอง มสี มบูรณอยูต ลอดเวลา
ความทุกขใจเมื่อสมุทัยยังมีอยูภายในแลว จะตองผลิตอยูตลอดไป มีมากมีนอย
ละเอียดขนาดไหนมันก็ผลิตของมันขึ้นมา เรื่องความทุกขนี้ตองเปนเงาตามตัวแยกไม
ออก ดวยเหตุนี้จึงจําเปนตองแกไขแยกแยะถอดถอน หรือฆาตัวเหตุคือสมุทัยใหสิ้นไป
คาํ วา กามตัณหา กามกค็ อื ความใคร ความชอบใจ ชอบใจสง่ิ ใดกเ็ รยี กวา กาม กามแปล
วา ความใครค วามชอบใจ วัตถุสิ่งของเงินทอง นามธรรมกต็ าม รปู ธรรมกต็ าม มนั เปน
เรื่องกามกิเลสทั้งนั้น เพราะเปนเรื่องของกิเลสทั้งมวลที่เราจะตองแกไขถอดถอน ดว ย
อุบายวิธีการตา งๆ ไมเ ชน นน้ั ไมท นั กเิ ลส จะถูกมันจับมัดเขาเตาไฟเผากันไมหยุด คือ
เกิดตายๆ ไปตลอด
นง่ั ภาวนากใ็ หม สี ติ ตงั้ หนาตง้ั ตาปฏบิ ัติอยเู ฉพาะหนา อยาเอาเรือ่ งสงิ่ ใดงานใด
เขา ไปกงั วลภายในใจ ขณะนน้ั ใหท าํ หนา ทใ่ี นวงปจ จบุ นั อยาไปคาดเรื่องมรรคผล
นพิ พานวา จะเปน ขน้ึ อยา งนน้ั อยา งน้ี คาดไปกเ็ สยี เวลา และสตกิ บั จติ พรากจากงานนน้ั
แลวจะไมเกิดประโยชนอนั ใด เดินจงกรมกใ็ หรูอ ยกู บั คําบริกรรมของตน นั่งก็ใหรูอยู
กบั คาํ บรกิ รรม เชน กําหนดพุทโธก็ใหรูอยูกับ พุทโธๆ เรามงี านอนั เดยี วนเ้ี ทา นน้ั ไมมี
งานอื่นใดที่จะหวังพึ่งเปนพึ่งตาย นอกจากความเพียรเพื่อแกกิเลสตัณหาอาสวะทุก
ประเภท ไมมีงานอื่นใดที่พอจะพึ่งเปนพึ่งตายได มงี านนเ้ี ทา นน้ั เอาตรงน้ี จติ และ
ความเพียรตลอดอิทธิบาททั้งสี่ปกลงตรงนี้ทุมลงตรงนี้ อยา เสยี ดายความคดิ ปรงุ เรอ่ื ง
อื่นๆ ซึ่งเคยคิดมามากตอมากแลว ยง่ิ กวา ความคดิ เพอ่ื อรรถเพอ่ื ธรรม อนั เปน ทาง
ถอดถอนกิเลสตัวพิษภัยออกจากใจใหสิ้นไป
อยูไหนใหมีสติ ทจ่ี ะตงั้ รากตง้ั ฐานความสงบเบ้อื งตน นีล้ ําบากอยูม ากพอสมควร
ถาไดพื้นฐานคือความสงบบางก็พอถูไถกันไป หรือไดค วามสงบแลว กย็ ิง่ เพม่ิ กาํ ลงั มาก
ขึ้น เหมือนคาขายมีกําไรมีตนทุนแลวก็พอบึกพอบึนพอถูไถกันไปได แตส าํ คญั ทค่ี า ขาย
ไมมตี นทนุ นซี่ มิ ันลาํ บาก พยายามใหม ีตน ทนุ จติ เปน สิง่ ที่อบรมใหหายพยศไดโ ดย
ลาํ ดบั ตามปกตขิ องจิตมคี วามฟงุ ซา นรําคาญ เพราะถูกยุแหยกอกวนจากกิเลสอยูเสมอ
ไมมีเวลายบั ยง้ั ตงั้ ตวั ไดเลย นี่เปนนิสัยของจิตที่มีกิเลสเปนผูบังคับบัญชา ผมู กี เิ ลสเปน
นายเหนอื หวั ใจตอ งเปน อยา งนน้ั ดว ยกนั จึงไมควรสงสยั วาใครจะมคี วามสขุ โดยไมมี
พิษแฝงอยูเลย
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๑
๑๘๒
ทนี เ้ี ราจะนาํ ธรรมเขา ไปบงั คบั จติ ขบั ไลก เิ ลสผเู คยบงั คบั บญั ชาจติ ใจแตก อ นให
สลายตวั ลงไป มีธรรมเขาแทนที่ที่กิเลสเคยฝงจมอยู เบอ้ื งตน ตอ งอาศยั ความสงบเสยี
กอน ทาํ ความสงบดว ยบทภาวนาจดจอ ตอ เนอ่ื งกนั ดว ยความมสี ตอิ ยกู บั บทธรรมนน้ั ๆ
อยา ใหเ ผลอ อยาคิดอยา คาดหมายอดีตอนาคตวาผลทีจ่ ะเกิดขน้ึ จากสมาธจิ ะเปน
ประเภทใดบา ง อยา ไปคาดไปหมายใหค ลาดเคลอ่ื นจากงานทเ่ี รากาํ ลงั ทาํ อยใู นปจ จบุ นั
คอื คาํ บรกิ รรมภาวนา
ผูกําหนดอานาปานสติก็ใหรูแตลมเขาลมออก สูงต่ําก็ชางไมสําคัญ สําคัญที่
ความรูความสัมผัสของลมเขาลมออกรูกันอยูทุกๆ ระยะ จะสูงจะต่ําหยาบละเอยี ดให
กาํ หนดรูท ีล่ มเขา ออกนเ้ี ทาน้ัน อยา ไปคาดหมายใหเ กดิ ความลงั เลสงสยั และตง้ั ลม
บอ ยๆ ไมถูก
เรอ่ื งทจ่ี ะทาํ ใหน กั ภาวนาสงสยั เปน อยา งน้ี ทีแรกก็ตั้งลมที่ดั้งจมูก โดยทเ่ี หน็ วา
ลมสัมผัสที่ดั้งจมูกมากกวาเพื่อน พอตั้งที่นั่นแลวกําหนดเพลินไปๆ เกดิ ความสงสยั ขน้ึ
มาเหมือนดั้งจมูกนี้สูงขึ้นไปๆ โนนก็มี บางทีเหมือนดั้งจมูกนี้ต่ําลงไป เลยตั้งใหม
กาํ หนดใหม จติ เลยหาความสงบไมไ ดเ พราะอารมณน น้ั มากวนใจอยเู สมอ อยางนี้
เหมือนกับปลูกตนไมพอจะขึ้นบางแลวก็ไปขุดมาปลูกใหมๆ ยายอยูไมหยุดไมถอย สดุ
ทายตนไมก็ตายไมเกิดประโยชนอะไรเลย ทางที่ถูกเมื่อปลูกพื้นที่ตรงไหนดวยความถูก
ตองแลว พยายามรกั ษาและรดนาํ้ พรวนดนิ อยใู นทน่ี น้ั ในตน ไมต น นน้ั ไมโ ยกยา ย
เปลี่ยนแปลงตนไมไปที่อื่นๆ ตน ไมเ มอ่ื ไดร บั อาหารหรอื ปยุ เปน ทเ่ี หมาะสมแลว กเ็ จรญิ
ขึ้น ดอกผลก็เปนขึ้นมาตามๆ กันเมื่อถึงกาลที่ควรจะเปนดอกเปนผลแลว
จิตก็เหมือนกัน การตั้งลมจะตั้งสูงตั้งต่ํา เราตง้ั ทต่ี รงไหนแลว กใ็ หจ บั ทต่ี รงนน้ั ไว
แลว กาํ หนดใหร ลู มเขา รูลมออกอยูทุกระยะๆ จะสูงไปหรือต่ําไปก็ตามที่นี่ ที่วาสูงไปต่ํา
ไปน้ัน มนั เปน ความสาํ คญั ของจติ ตา งหาก ท่ีจะทาํ ใหเ ผลอตวั จากวงปจจบุ นั คอื งานท่ี
กาํ ลงั ทําอยนู ัน้ ไดแกการกําหนดอานาปานสติที่ดั้งจมูก บางทีทําใหจมูกสูงขึ้นไปๆ บาง
ที่ทําใหต่ําลงไปๆ บางทีทําใหเปนความรูสึกเหมือนวาชองจมูกนี้กวางออกไป เวงิ้ วา งไป
หมดอยางนี้ก็มี อยา ไปสนใจ ใหกําหนดดูลมจับอยูที่ลมนั้นที่แสดงตางๆ นน้ั เปน อาการ
หนึ่งๆ ทจ่ี ะหลอกเราใหเ ขวหลกั ไปเทา นน้ั ใหพ ากนั จาํ ไว จับลมไมหยุดไมถอย สง่ิ เหลา
นั้นมันก็คอยคลายตัวของมันไปเอง คอ ยเส่ือมไปคลายไปจางไป สดุ ทา ยกเ็ หลอื แตล ม
เหลือแตลมก็กําหนดแตลมจนละเอียดเขาไป เอา ลมจะหมดจรงิ ๆ ก็ใหหมด อยาไป
ตกใจอยาไปกลัวตาย เมื่อจิตยังครองรางอยู ลมจะหมดไปก็ไมตาย
เวลากาํ หนดเมอ่ื ลมหมดไปจรงิ ๆ ไมมีอะไรเหลือ แตค วามรมู นั เหลอื อยนู น่ั
แหละ เมื่อลมละเอียดลงไปก็แสดงวาจิตละเอียด เมื่อลมหมดไปจริงๆ ในความรสู กึ มนั
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๒
๑๘๓
มีได ถึงลมจะหมดไปก็ตามใหทราบวา ลมที่กําหนดนั้นหมดไป แตค วามรทู เี่ ปนตวั การ
สาํ คญั ซง่ึ เราตอ งการนน้ั มอี ยกู บั เรา ใหอยูกับความรูนั้นไมตองไปกังวลกับลมหรือสิ่งใด
ในขณะนน้ั จนถึงเวลาจิตแสดงอาการออกจากความสงบนั้นมาเปนปกติ ถาจะหยุดก็
คอ ยหยดุ สวนลมก็มีมาเองตามปกติ นค่ี อื หลกั ของการภาวนาอานาปานสติ คราวตอไป
ก็ทาํ ดังทเี่ คยทํามาแลว จะไมผิดพลาดไมลังเลสงสัย และพึงถือวิธีนี้เปนหลักยึดตอไป
อยา งมน่ั ใจ
จงทําใจใหสงบ เมอ่ื จติ มคี วามสงบแลว จติ ยอ มอม่ิ ตวั และควรแกก ารพจิ ารณา
เหมอื นเรารบั ประทานอาหารอม่ิ เรยี บรอ ยแลว ยอ มควรแกก ารทาํ งานฉะนน้ั จะออก
พิจารณาเรอื่ งธาตุขนั ธอายตนะไมว าภายนอกภายในไดท้ังนนั้ พจิ ารณาใหเ ปน อสภุ ะ
อสุภัง หรอื อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา หรอื เปน ธาตเุ ปน อะไรกแ็ ลว แตถ นดั กบั จรติ นสิ ยั
เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน ความจรงิ ดว ยกนั อสุภะอสุภังมันก็อสุภะจริงๆ ไมมีที่ไหนเปนที่
สะอาดสะอาน ภายในรางกายน้เี ต็มไปดวยของปฏกิ ลู โสโครก ผวิ บางๆ ของหนังหุมหอ
ไวก็วานาดแู ละชมกัน เสกสรรกนั วา นา ดูนา ชม วา สวยวา งามนา รกั ใครช อบใจ ความจรงิ
รกั หนงั หนังรองเทาเจา ของกม็ ไี มเหน็ นา รัก หนงั นน้ั มนั นา รกั ทต่ี รงไหน หนงั เขากบั
หนังเราก็ไมเห็นผิดกันอะไร นารกั ที่ตรงไหน จงพจิ ารณาแยกแยะคลค่ี ลายออกดตู าม
สว นตา งๆ ของรางกาย
พิจารณาเขาไปขางในก็เต็มไปดวยของปฏิกูลโสโครกนาขยะแขยง จะนา รกั ใคร
ชอบใจที่ตรงไหน พจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา ซาํ้ ๆ ซากๆ แยกแยะออกดูจนกระทั่งแตก
กระจาย หรือกําหนดใหต ายใหเ นาพองหนองไหลเปอ ยลงไป นาํ้ เนา นาํ้ หนองไหล
เกลื่อนไปเต็มพื้นปฐพี จะถอื วา เปน สตั วเ ปน บคุ คลหญงิ ชายและสวยงามทต่ี รงไหน
พจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ จนเหน็ แจง ตามความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั จติ ยอ มจะคลายความรกั
ชอบไปเปนระยะไมสงสัย เหลา นเ้ี ปน อบุ ายวธิ ี อยางนอยก็สงบราคะไดเปนอยางดี ไม
คึกคะนองน้ําลนฝงดังที่เคยเปนมา
แตก ารพจิ ารณาตอ งทําซ้าํ ๆ ซากๆ เปน อาจณิ ของการพจิ ารณา เปน พน้ื เปน ฐาน
เปน งานประจาํ ตนในโอกาสทค่ี วรพจิ ารณา ออกจากความสงบแลว กพ็ จิ ารณาอยา งนน้ั
จะพิจารณาเปนธาตุ แยกกระจัดกระจายออกไปเปนธาตุสี่ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ ก็แยกออกไป
สุดทายเมื่อกระจายลงไปแลวก็มีแตดินแตน้ําแตลมแตไฟ ไมเหน็ มีอะไรเหลอื อยใู น
ความเปน สตั วเ ปน บคุ คล ดังท่ีกเิ ลสจอมหลอกลวงพาเสกสรรปน ยอกนั นี้เลย
ฉะนน้ั จงพจิ ารณาใหเ หน็ ตามความจรงิ เม่ือถงึ ความจริงแลว คานไมได เปนแต
กเิ ลสมนั เสกสรรปน ยอขน้ึ มาหลอกเทา นน้ั เอง ปลอมแปลงขึ้นมาวาเปนของสวยของ
งาม วา เปน สง่ิ ทน่ี า รกั ใครช อบใจ เปน สง่ิ ทน่ี า เพลดิ เพลนิ เพราะฉะน้นั ผลมนั จงึ เปนได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๓
๑๘๔
ทั้งสองทาง คือทาํ ใหเ พลิดเพลนิ จนลืมเนือ้ ลืมตัว ลืมเปนลืมตายกบั ส่ิงนั้นๆ และทาํ ให
เศรา โศกเสยี ดายเพราะสง่ิ ทน่ี า เพลดิ เพลนิ นพ้ี ลดั พรากจากไป หรือวปิ รติ ผิดไปจากเดมิ
ทเ่ี คยมเี คยเปน เมือ่ สิง่ น้นั ๆ เปลย่ี นแปลงไปกเ็ กดิ ความเศรา โศกเสยี ใจ เรื่องของกิเลส
จึงเปนเรื่องของทุกขทั้งมวล จงพจิ ารณาอยางละเอยี ดรอบคอบสลับกนั ไปเวลามีโอกาส
เพราะการถอดถอนกิเลสทุกๆ ประเภทถอดถอนดวยสติปญญาเปนสําคัญ
การทาํ ความสงบนน้ั เปน การตะลอ มกเิ ลสเขา สจู ดุ รวม เพอ่ื ใจจะไดส งบสบาย
และมีกําลังใจที่จะออกพินิจพิจารณาทางดานปญญา เมื่อไดกาวออกทางดานปญญา
พินิจพิจารณาอาการตางๆ ของสว นรา งกายทง้ั ภายในภายนอกแลว เราจะเหน็ ความ
หลุดลอยของกิเลส เพราะอาํ นาจของปญ ญาไปโดยลาํ ดบั และเพลนิ ตอ ความเพยี ร
ตลอดไป ถาพูดถึงการคาก็ไดกําไรไปโดยลําดับ พื้นฐานของจิตก็คือสมาธิ ไดแก ความ
สงบ กาํ ไรกค็ ือปญ ญาฆา กิเลสขาดลงไปโดยลําดบั ลาํ ดารูประจักษก บั ใจ ไมเหมือนสมาธิ
สมาธเิ ปน เพยี งกเิ ลสรวมตวั เขา มาสจู ดุ สงบ ไมเ ทย่ี วสง่ั สมกเิ ลสเพราะความฟงุ ซา นเทา
นน้ั พอกิเลสสงบลงไปไมกอกวน ใจกม็ กี าํ ลงั ควรแกก ารพจิ ารณาและพจิ ารณาแยกแยะ
จะแยกตรงไหนจะแยะตรงไหน จิตใหจดจอตอเนื่องไปโดยลําดับ จนรชู ดั และเกดิ ความ
สลดสงั เวชถงึ นาํ้ ตารว ง
เมอ่ื พจิ ารณาใหเ หน็ โทษมนั เหน็ จรงิ ๆ เปน จรงิ ๆ เราเคยพจิ ารณามาแลว จนถงึ
กับขึ้นอุทาน โอโฮ อยา งนเ้ี หรอ เหน็ กายเหน็ อยา งนเ้ี หรอ นน่ั เปน อยา งนเ้ี ชยี วหรอื เหน็
กาย แตกอนกายก็มีอยูกับเรามาตั้งแตวันเกิดทําไมจึงไมเห็น เพง่ิ จะมาเหน็ กนั วนั น้ี
เหรอความปฏกิ ลู ความปฏิกูลตางๆ ซึง่ มอี ยใู นกายเพิ่งมาเห็นวนั นีเ้ หรอๆ กําหนดดู
เทาไรยงิ่ เกิดความสลดสงั เวชไปโดยลําดับ ทั้งๆ ท่ีตอนพิจารณากายอยางเพลนิ ๆ อยู
นน้ั นะ แตเ ปน เหมือนวา กายไมม ี ความรสู กึ มนั ไปอยกู บั อาการทก่ี าํ ลงั พจิ ารณานน้ั เสยี
แมเชนนั้นน้ําตามันก็รวงออกมาตามประสาของมัน เราไมส นใจกบั มนั มแี ตพิจารณาจ้ี
เขา ไปๆ จนทะลุปรุโปรงโลงไปหมด นี่เปน อบุ ายของสติปญญาพจิ ารณาอยางนี้ เวลา
เหน็ เหน็ อยา งนส้ี าํ หรบั เรา แตอ ยา คาดหมายเพราะเปน เรอ่ื งของแตล ะคนจะรเู หน็ ขน้ึ
กับตัวเองโดยเฉพาะๆ ในเวลาพจิ ารณา
การพจิ ารณาดว ยปญ ญาขน้ั นร้ี นุ แรงไปโดยลาํ ดบั ๆ ตง้ั แตข น้ั เกย่ี วกบั ราคะอสภุ ะ
ลงมา เปนขั้นของปญญาที่รุนแรงมาก แตม นั รนุ แรงดว ยความอาจหาญน่ี จงึ เรยี กวา
ผาดโผน มันอาจหาญมากทเี ดยี ว พอผา นข้ันรางกายซึ่งเปนรปู ธรรมน้ีไปแลว ปญญา
นน้ั เหมอื นกบั นาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ ซึ่งไหลรินอยูทั้งแลงทั้งฝนนั่นแล ไมมากแตไมหยุด เปน
ปญญาขั้นละเอียด เพราะกเิ ลสมนั ละเอยี ดเขา ไปมแี ตน ามธรรม พวกเวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ทั้งสุขทั้งทุกขเฉยๆ มนั มอี ยภู ายในรา งกายและเขา ไปสจู ติ ใจ มันแยก
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๔
๑๘๕
มันแยะไปทั้งภายนอกคือรางกาย ทั้งภายในคือจิตใจ เวทนาอยูไดทั้งสองแหง จงึ
พจิ ารณาแยกแยะ สว นมากกพ็ จิ ารณาเวทนาสว นรา งกายมนั กเ็ ขา ไปถงึ ใจเอง เพราะมนั
ออกมาจากใจนี่ จะไปไหนพน เมื่อละเอียดลออเขาไปแลว อะไรมนั กเ็ ปน ธรรมไปหมด
รา งกายกส็ กั แตว า เทา นน้ั เมอ่ื ไมเ สกสรรปน ยอเพราะอาํ นาจของกเิ ลส เนอ่ื งจากธรรม
ปราบลงสคู วามจรงิ แลว
ถาพูดถึงอสุภะมันก็อสุภะ พูดถึงเรื่องธาตุมันก็เปนธาตุโดยตรงอยูแลว นน่ั คอื
ธรรมปราบความเสกสรรปน ยอของกเิ ลสทง้ั หลายใหเ ขา สสู ภาพเดมิ สภาพแหง ความ
จริงของตน จึงสักแตวาๆ พอไปถึงสุข ทุกข เฉยๆ มันก็สักแตวาอันเดียวกัน ความคดิ
ความปรงุ กห็ าเราหาเขาทไ่ี หนมี มีแตความกระเพื่อมของจิตแย็บๆ ออกไปเปนเรื่อง
เปน ราวแลว กด็ บั ไปๆ ความเกดิ ดบั นน้ั หรอื เปน เราเปน ของเรา มนั ไมใ ชเ รา ไมใชของ
เรา มันเปนตวั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ทง้ั หานเี้ ปนเหมอื นกนั รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร
วญิ ญาณ แตละประเภทเปน ตวั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เหมือนกัน มนั เปน ตวั เราตวั ของ
เราทต่ี รงไหน พจิ ารณาหาความจรงิ จรงิ ๆ มนั ไมม สี ตั วบ คุ คลเราเขา เปนตน ในขนั ธห า
แตอยางใดเลย มนั สกั แตว า ๆ เทาน้นั นแ้ี ลคอื ความจรงิ
พจิ ารณายน เขา ไปๆ กเิ ลสตณั หาอาสวะทม่ี นั เคยเกาะเกย่ี วอยกู บั สง่ิ เหลา น้ี วา
เปน เราเปน ของเรา เคยหลอกลวงเรามานาน มันหาที่อยูไมได เพราะถูกตัดฟนหั่น
แหลกเขาไปดวยอํานาจของสติปญญา มันก็ไหลรวมตัวเขาไปถึงจิต สติปญญาก็ไลที่จิต
นน้ั ฟาดฟนกันลงไปที่จิตนั้นใหแหลกละเอียดไปตามๆ กัน ขน้ึ ชอ่ื วา กเิ ลสแลว ไมว า
ประเภทใดมันก็คือตัว อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อันเปนตัวสมมุติเหมือนกันหมด ละเอยี ด
ขนาดไหนก็คือตัวสมมุติ ตัวสมมุติก็ตองมีอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ าเต็มตัว เปน เราเปน ของ
เราทไ่ี หนได ฟาดฟน หน่ั แหลกเขา ไปในจติ จนแตกกระจายหมดนน้ั แลว นั้นแหละที่นี่ตัว
ยนื โรงวา เกดิ แก เจบ็ ตาย ก็คือเชื้อของอวิชชาเปนตนเหตุ อวิชชานี้ไดสิ้นสุดลงไปแลว
จากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นแลเปนธรรมทั้งดวงอยางเต็มภูมิ หมดปญหาโดยประการทั้ง
ปวง ขึ้นชื่อวากิเลสและสมมุติทั้งมวลไมมีเขาเกี่ยวของอีกแลว
นน่ั แลการคน หาธรรมของจรงิ จงคน ใหเ จอ เรื่องเกดิ แกเจบ็ ตายจะไมเจอทไ่ี หน
จะเจอที่จิต เปน ตวั การทใ่ี หเ ทย่ี วหาทพ่ี าใหเ กดิ แก เจบ็ ตาย ที่จิตนั้นมีอะไร ก็มี อวิชฺ
ชาปจฺจยา สงขฺ ารา นั้นแหละตัวกอตอแขนงออกไปโดยลําดับ ฟาดฟนหั่นแหลกลงไป
ถึงรากแกวคืออวิชชา ถอนพรวดข้ึนมาแลว เปนอนั วาหมดปญ หาโดยส้ินเชงิ ไมมสี ิ่งใด
เหลอื นน่ั แหละสงครามชนะอยา งสดุ ยอด ต้ังแตบ ัดน้นั แลวไมม กี ิเลสตัวใดท่ีจะโผลจ าก
ทห่ี ลบซอ นปรากฏตัวขน้ึ มาอกี เพราะสติปญญารไู มท ันแลวมาเปน ขา ศกึ ตอ เราอีกนะ
เปน อนั วา หมดเทา นน้ั กเิ ลสอวิชชาดบั เช้ือหมดแลว ทนี่ ีน่ ะ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๕
๑๘๖
ตง้ั แตบ ดั นน้ั แลว จะอยู จะนั่ง จะนอน จะเดนิ จะดอู ะไรฟง อะไรกเ็ ปน อสิ รเสรี
เต็มตัว ไมกลัวอะไรอีกแลว เพราะไมม นี ายเหนอื หวั คอยควบคมุ นกั โทษคอื จติ ใหเ ปน
อยางนั้นอยางนี้อีก ดูไดเต็มตา ฟงไดเต็มหู มีกี่ตากี่หูกี่จมูกกี่ลิ้นกี่กายกี่ใจของผูนั้นได
ทั้งนั้น เพราะดดู ว ยความจรงิ ฟง ดว ยความจรงิ ทุกสิ่งทุกอยางดวยความจริง ดว ยความ
เปน อสิ ระในหลกั ธรรมชาตขิ องจติ ทบ่ี รสิ ุทธิ์แลว นี่ผลแหงการปฏิบัติธรรมของพระพุทธ
เจา ซง่ึ เปน ปจ จบุ นั ธรรมอยตู ลอดเวลา เหมาะสมกบั คาํ วา มชั ฌมิ า คือเปนปจจบุ ันทนั
สมัยกับกิเลสทุกประเภทตลอดมา ขอใหนํามาประพฤติปฏิบัติเถอะ ความที่ไดยินไดฟง
อยางไดฟงวันนี้ จะปรากฏภายในใจของนักปฏิบัติโดยไมตองสงสัย ถา เอาจรงิ เอาจงั นะ
เพราะสวากขาตธรรมนั้นไมมีปญหาอะไรอยูแลว นอกจากหัวใจที่เต็มไปดวยกิเลสตัว
แสนปลน้ิ ปลอ นซอ นเลบ็ เหนบ็ แนมหวั ใจเราเทา นน้ั แหละ พาใหเ ปน เจา ปญ หา ฆา หรอื
ทาํ ลายตวั เราอยเู รอ่ื ยมา
มนั ไมต ายแหละการประกอบความเพยี รฆา กเิ ลสน่ี เปน แตเ พยี งความลาํ บากลาํ
บนมากนอ ยเทา นน้ั แตเ รอ่ื งตายจรงิ ๆ นน้ั คอื กเิ ลสมนั ตาย เราไมต ายแหละตายดว ย
ความเพยี รนะ กเิ ลสนน่ั แหละเปน ผจู ะตาย แตเ รามนั กลวั ตายเสยี กอ นนะ ซิ มันถึงไม
สามารถฟาดฟน หน่ั แหลกกเิ ลสได พอใหถลอกปอกเปกไปบาง หรอื ใหถ งึ ขน้ั กเิ ลสตาย
เพราะฉะนน้ั จงเอาใหถ งึ ขน้ั กเิ ลสตาย อยาเอาเพียงแตกิเลสถลอกปอกเปกเฉยๆ ใชไม
ได เอาใหก เิ ลสตายซิ เม่ือกิเลสตายแลวไมมีละในโลกน้วี าสิ่งใดจะมาเปน ขาศกึ ตอ จิตใจ
มีกเิ ลสเทาน้นั เปน ขา ศึกของใจ รูไดชัด เมอื่ กเิ ลสดับภพดบั ชาติลงไปหมดแลว ไมมี
อะไรเขามายุแหยกอกวนใหจิตไดรับความลําบากอยางนั้น ไดรับความทรมานอยางนอ้ี ีก
ตอไป จงึ เหน็ ไดช ดั วา ออ มนั มกี เิ ลสนเ้ี ทา นน้ั สามโลกธาตนุ ไ้ี มม อี ะไรมาเปน ใหญแ ละ
เปนพิษเปนภัยตอจิตใจ นอกจากกเิ ลสอยใู นหวั ใจตวั เองนเ้ี ปน เจา อาํ นาจ และเปนพิษ
เปนภัยตอ ตัวเองเทา นน้ั
เมอ่ื กเิ ลสสน้ิ ลงไปแลว เปน อนั วา หายหว ง อยูก็อยู ตายก็ตายไมมีปญหาถึงเรื่อง
ธาตุเร่อื งขันธ เพราะไดพ ิจารณารอบคอบหมดแลวตลอดทวั่ ถงึ ไมมสี ิง่ ใดเหลอื หลอ จงึ
ขอใหทุกทานนําไปพินิจพิจารณา ตั้งศรัทธา ความเพยี ร ความมุง ม่ันตอชยั ชนะในการ
ปราบปรามกเิ ลสใหถ งึ ใจ ความเพยี รจะถงึ ใจ สติปญญายังไมมีก็จะเปนขึ้นมา ดว ย
อาํ นาจแหง ความมงุ มน่ั เปน หลกั สาํ คญั และเปน แมเ หลก็ อนั สาํ คญั ทด่ี งึ ดดู ความ
พากเพียร ความอดความทน สติปญญาก็เปนมาๆ เพราะความมงุ มน่ั อยาไปลังเล
สงสยั ในเรอ่ื งมรรคผลนพิ พานใหเ สยี เวลาํ่ เวลา และตัดทอนกาํ ลงั ความเพียรทกุ ดานให
หมดไป ผลสดุ ทา ยกล็ ม เหลว ไปไมรอด แนะ มันเกิดประโยชนอะไรความไปไมรอดนะ
ถอยทัพกลับแพมันเกิดประโยชนเหรอ ใหค ดิ อยา งนเ้ี สมอ อบุ ายสตปิ ญ ญาทจ่ี ะใหท ัน
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๖
๑๘๗
กับกลมายาของกิเลสที่หลอกเราอยูทุกระยะ ฟตใหทันกัน จงึ ชอ่ื วา ผมู าหาความเฉลยี ว
ฉลาดจากหลกั ธรรม
จงทําความเขา ใจกับตนอยางหนกั แนนอยูเสมอวา ในการรบกบั ขา ศกึ กใ็ หเ รา
เปน ผหู นง่ึ ในการรบ กเิ ลสตายไปจากจติ ใจกใ็ หเ ราเปน ผหู นง่ึ ทร่ี เู รอ่ื งกเิ ลสมนั ตายไป
เร่ืองภพเรือ่ งชาติเคยเกิด แก เจบ็ ตาย มากี่กัปกี่กัลปนับไมถวน กใ็ หเ ราเปน ผหู นง่ึ รู
และตดั ขาดสะบั้นลงในวงปจจุบนั ของจิต อยาใหเปนขาวของทานผูใดมาฉวยเอาของดี
ไปครอง โดยทเ่ี ราไมม สี ว นดว ยอยา งเตม็ ภมู ิ คาํ วา จติ นไ้ี ดบ รสิ ทุ ธส์ิ ดุ สว นแลว กเิ ลส
เอื้อมไมถึง ไมมีกิเลสตัวใดอีกแลว กใ็ หเ หน็ ในหวั ใจของนกั ปฏบิ ตั คิ อื เราเองเปน ผหู นง่ึ
เมอื่ ไดท าํ ความเขาใจกับตวั เองดงั ที่กลาวมาน้ี แนทเี ดยี ววาจะไมเ ปนอ่ืน ตอ งเปน ผูน้นั
แนน อนจะทรงมรรคทรงผลอนั สมบรู ณใ นสมยั ปจ จบุ นั คอื วนั น้ี เดอื นน้ี ปนี้ ชาตนิ ้ี
การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควรแกเ วลาขอยตุ ิ
<<สารบัญ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๗
๑๘๘
เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๓
อยา ประมาทนอนใจ
ทา นนกั ปฏิบัติทง้ั หลาย จงคํานึงถึงพระโอวาทของพระพุทธเจาที่ทรงสั่งสอน
พระสาวกในครง้ั พุทธกาล หรือสั่งสอนภิกษทุ ง้ั หลายในครงั้ นนั้ ทรงเนนหนักลงในงานที่
จะรื้อถอนสิ่งที่รกรุงรังฝงอยูภายในใจ ซึ่งทาํ ใหส ตั วท ้ังหลายไดร บั ความทกุ ขค วามเดือด
รอ นตลอดมา ดว ยความเกดิ แกเ จบ็ ตายอนั เปน ผลของสง่ิ ทร่ี กรงุ รงั นน้ั คอื กเิ ลสประเภท
ตางๆ
พระพุทธเจาทรงสั่งสอนวิธีการ งานที่จะรื้อถอนสิ่งเหลานี้แกภิกษุทั้งหลายใน
ครง้ั นน้ั ไมมีงานใดพระโอวาทใดท่ที รงเนน หนักลง ยิ่งกวาการสั่งสอนพระสงฆเพื่อให
เหน็ โทษเหน็ ภยั ในสง่ิ ทเ่ี ปน พษิ เปน ภยั อยภู ายในใจเรา ซึ่งมุงมาประพฤติปฏิบัติเพื่อ
ความพนจากทุกขอยูแลว ใหเ หน็ อยา งเตม็ ใจ นี่เปนหลักใหญของพระโอวาทคําสั่งสอน
ท่ที รงมุงหวังอยา งยงิ่ แกบรรดาสัตว เฉพาะอยางยิ่งภิกษุบริษัทซึ่งพรอมแลวที่จะออก
แนวรบเพื่อชัยชนะในสิ่งที่เปนขาศึกตอตนเอง ไดแ กก เิ ลสประเภทตา งๆ ซึ่งลอมหนา
ลอ มหลงั อยเู วลาน้ี ไมม ขี ยบั ขยายบา งเลย ถาไมถูกขับไลดวยความเพียรของนักตอสู
เพอ่ื ชยั ชนะ
นเ่ี ปน การเปน งานอนั สาํ คญั มาก แมพ ระองคเ องกท็ รงถอื เปน ภาระอนั ใหญ
หลวงมากทเี ดียว ไมปรากฏนับแตขณะที่พระองคเสด็จออกทรงผนวชวา ไดทรงทํากิจ
การงานใดๆ นอกเหนอื ไปจากงานปราบปรามส่ิงทเี่ ปนขาศกึ อยูภายในพระทยั การหวงั
ความตรัสรกู ็คอื หวงั ความพนทุกข การหวังความพนทุกขก็ตองฝาฟนสิ่งที่เปนขาศึกปก
คลุมอยูภายในพระองคใหขาดไปโดยลําดับ เปน สายทางทร่ี าบรน่ื ดงี ามตอ ความพน
ทุกขดวยการประพฤติปฏิบัติ
แตเ พราะพระองคทรงเปน สยัมภู จะพงึ รเู องเหน็ เอง จงึ ไมม คี รมู อี าจารยท แ่ี นะ
นําหรือถวายพระโอวาทแกพระองค ทรงบําเพ็ญโดยลําพังพระองคเอง รสู กึ วา ลาํ บาก
มากอยูไมนอย ผดิ บา งถกู บา งเปนธรรมดางานทไ่ี มเ คยทาํ หรือทางไมเ คยเดนิ แตอ ยา ง
ไรก็ตามความมุงมั่นของพระองคมีอยูกับงานทุกระยะ เพื่อถอดถอนกิเลสอาสวะซึ่งเปน
เชื้อแหงวัฏจักร เครอ่ื งพาสตั วใ หห มนุ เวยี นเกดิ แกเ จบ็ ตายอยนู ้ี ทรงถือเปนงานสาํ คญั
ยง่ิ กวา งานอน่ื ใด
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๘
๑๘๙
นบั แตว นั ทรงผนวชจนกระทง่ั ถงึ วนั ตรสั รู มีแตงานนี้ลวนๆ สาํ หรบั พระพทุ ธเจา
ที่ทรงดาํ เนนิ มา จนไดต รสั รเู ปน ศาสดาเอกของโลกขน้ึ มากเ็ พราะงานชน้ิ นส้ี าํ เรจ็ กเิ ลส
ขาดสะบั้นไปจากพระทัยไมมีเหลือหลออยูแมนิดเดียว การทก่ี เิ ลสแตล ะประเภทจะขาด
หรอื หลุดลอยไปนั้น ลวนเกิดจากการรื้อถอนการฟาดฟนหั่นแหลกดวยงานคือการตอสู
กบั กเิ ลสทกุ ประเภท นี่พระองคถือเปนงานใหญโตมาก เหนอื ชวี ติ ของพระองคเ อง หาก
จะทรงสน้ิ พระชนมใ นเวลาบาํ เพญ็ กไ็ มท รงเสยี ดาย เพราะความมงุ มน่ั ในความหลดุ พน
มีกําลังกลา อันดับตอไปคือความเปนศาสดาของโลก เปน สงิ่ ท่มี ีนํา้ หนักมากยิ่งกวา
ความมงุ มนั่ อื่นใดในสกลโลก
การบําเพ็ญของพระองคจึงเปนไปดวยการปฏิบัติ เพื่อถอดถอนกิเลสโดย
ถา ยเดยี วเทา นน้ั หลงั จากไดต รัสรแู ลว ทรงนําพระโอวาทมาส่ังสอนบรรดาสัตวมีภกิ ษุ
เปนตน ก็ทรงเนน หนกั ลงในงานท่ีพระองคท รงบําเพ็ญ และไดเห็นผลเปนที่พอพระทัย
มาแลวทง้ั น้นั
พระองคไ มท รงชมเชยกจิ การงานใดสาํ หรบั สมณะผูเปนนกั บวชอยแู ลว วา ใหท าํ
สง่ิ นน้ั ใหท าํ สง่ิ น้ี หรอื สง่ิ นน้ั ดงี านนน้ั ดี นอกจากความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสอาสวะ
โดยถา ยเดยี วเทา นน้ั ไมว า จะอยใู นอริ ยิ าบถใด พระองคไมใหทอถอยในการบําเพ็ญ ใน
การตอสู นั่งอยูก็ตอสู ยนิ เดิน นอน เวน เสยี แตห ลบั เปนทาตอสูของนักรบ ดว ยความ
มีสติมีปญญาเครื่องรักษาตัว มีสติเปนเครื่องระมัดระวงั สง่ิ ทจี่ ะเปน ขาศึกเพิ่มข้ึนอกี ภาย
ในจติ ใจ เพราะตามลาํ พงั กม็ อี ยแู ลว บรรดาสง่ิ ทไ่ี มพ งึ ปรารถนาทง้ั หลาย มีเต็มหวั ใจ จงึ
ไมประสงคที่จะใหสั่งสมใหมากมูนขึ้นไป ยิ่งกวาการถอดถอนใหหมดไปโดยลําดับเทา
นน้ั ผูปฏิบัติจงถือเปนกิจจําเปนอยางยิ่งในงานเพื่อถอดถอนโดยถายเดียว และจงระวงั
คาํ วา สง่ั สมในขณะเดยี วกนั เพราะเปน ส่งิ ที่เกิดไดงายมากในทกุ หวั ใจ ไมขึ้นอยูกับพิธีรี
ตองใดๆ เมอ่ื เกดิ แลว เปน สง่ิ ทช่ี าํ ระยากมาก ทั้งไมพอใจชําระนอกจากพอใจสั่งสมมาก
กวา โดยทั่วไปเปนอยางนั้น
ทา นพดู เปน สว นใหญไ วว า ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา เหลา น้ี
ลว นแตป ระเภทใหญๆ ของขาศึกและเปนจอมทัพดวยกันทั้งนั้น ถา ไมม จี อมธรรมเขาสู
จอมทพั คอื กิเลสประเภทตา งๆ แลวก็ไมมีหวังชัยชนะไดเลย เพราะฉะนน้ั คาํ วา กองทพั
ก็คือขาศึกกองใหญหลวงมากมายนั่นเอง กองธรรมกค็ อื การประกอบความเพยี รดว ย
อุบายวิธีตางๆ มีสติปญญาเปน เครือ่ งกํากบั รกั ษาจติ ใจอยโู ดยสมํ่าเสมอนนั่ แล มีทาทาง
แหงการตอสูตานทานกับขาศึกคือกิเลสอยูไมหยุดหยอน ไมว า อริ ยิ าบถใดทา ใด เปน ผมู ี
สติหมุนอยูกับงานของตนที่ตอสูกับขาศึกเทานั้น
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๙
๑๙๐
ไมเห็นงานใดทจ่ี ะวิเศษวิโสยง่ิ กวางานถอดถอนกิเลสอาสวะ เพื่อความหลุดพน
ถึงแดนเกษม ดังพระพุทธเจาทรงเปนมาแลว และประทานพระโอวาทไวเ พอ่ื บรรดา
สตั วไ ดพ บเหน็ ดว ยตวั เอง จากการตะเกียกตะกายของตัวเอง เฉพาะอยางยิ่งพระปฏิบัติ
เราเปน สาํ คญั มาก ใหพ ึงคํานงึ และตระหนกั ในงานของตนอยาใหยดื เยื้อไปนาน เรอ่ื ง
การเกดิ แกเ จบ็ ตายนน้ั ไมม ีส่ิงใดเปน สาเหตุ อยา พากนั สงสยั ใหเ สยี เวลาและเสยี ทา ให
กเิ ลสไปเรอ่ื ยๆ นอกจากกเิ ลสสามสป่ี ระเภทซง่ึ เปน จอมทพั นเ้ี ทา นน้ั เปน ตวั เหตุ จอม
ทัพจอมศัตรูก็คือกิเลสแตละประเภทนี้แล ยาํ่ ยตี แี หลกจติ ใจใหไ ดร บั ความทกุ ขท รมาน
อยูเ รื่อยมา หากเปนของไมทนทานก็แหลกละเอียดเปนผุยผงไปนานแลว
แตนี้เพราะจิตเปน ของทนทานมาก ทุกขขนาดไหนก็ยอมรับวาทุกขแตไมฉิบ
หาย ไมส ลาย ไมท าํ ลายเหมอื นสง่ิ ทง้ั หลาย จึงพอทนสืบตอภพชาติมาไดจนถึงปจจุบัน
น้ี เราไมค วรสงสยั เรอ่ื งภพเรอ่ื งชาติ เพราะจติ นเ้ี ปน ตวั ประกนั แหง ภพชาตอิ ยแู ลว โดย
หลักธรรมชาติของมันที่มีเชื้อพาใหเกิดอยูภายใน เชอ้ื ภายในจติ เปน เครอ่ื งยนื ยนั เรอ่ื ง
ความเกดิ แกเ จบ็ ตายในภพนอ ยภพใหญ จงึ ไมค วรสงสยั ในเรอ่ื งเคยเกดิ แกเ จบ็ ตายหรอื
ไม เพราะธรรมชาตนิ เ้ี คยเปน มาแลว ยง่ิ กวา เคยเสยี อกี เนื่องจากไมเปนอยางอื่น นอก
จากจะพาสตั วใ หเ กดิ แกเ จบ็ ตายและบบี บงั คบั จติ ใจของสตั ว ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วาม
ลําบากในภพนอ ยภพใหญอยูต ลอดมาเทา นั้น จงึ ไมควรสงสยั
การแกก เิ ลสประเภทตา งๆ ออกจากจิตใจ ดวยงานที่พระพุทธเจาทรงมอบให
แลว นน้ั เปน ภาระสาํ คญั เฉพาะหนา ของเรา ไมมีผูหนึ่งผูใดแมทั้งสามแดนโลกธาตุ จะ
มาชว ยภาระธรุ งั ของเราใหเ บาลงหรอื ใหห มดสน้ิ ไปได โดยที่เราไมตองประกอบงานซึ่ง
เปน ความจาํ เปน เฉพาะเรานเ้ี ลย ตอ งเปน หนา ทข่ี องเราอยา งเดยี วเทา นน้ั หนกั หรอื เบา
กเ็ ปนหนาทข่ี องเราจะตอ งตอสแู บกหามแตผูเดยี ว ไมม ใี ครสามารถทาํ หนา ทแ่ี ทนเราได
ฉะนน้ั จงตง้ั หนา ทาํ หนา ทข่ี องเราใหส าํ เรจ็ ลลุ ว งไปดว ยความภาคภมู ใิ จ ตามพระโอวาท
วา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเปนที่พึ่งของตน
อยาลืมพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนพวกเราซึ่งเคยไดพูดใหฟงเสมอ เบอ้ื งตน ทา น
มอบงานไมก ่ีช้ินใหพ วกเราพอเหมาะแกกําลงั พอใหเปน ปากเปน ทาง เม่อื ยึดนั้นเปน
งานหลักแลวจะกระจายไปอีกไมมีสิ้นสุดยุติ เมอ่ื สตปิ ญ ญาไดป รากฏขน้ึ มาแลว เพราะ
การประกอบความพากเพียรไมลดละทอถอย งานเหลานี้ก็จะชัดแจงดวยกาํ ลังสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร นน่ั แลเปน ธรรมเครอ่ื งบกุ เบกิ เพกิ ถอน
เบอ้ื งตน ขณะทบ่ี วชทา นทรงสอนวา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ,ตโจ ทันตา
นขา โลมา เกสา. ทําไมทานจึงสอนอยางนี้ทุกรูปทุกนามไป เวน เสยี ไมไ ดจ นกระทง่ั
ปจ จบุ นั น้ี ไมวาอุปชฌายะองคใดจะชอบกรรมฐานไมชอบกรรมฐานก็ตาม เวลาบวช
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๐
๑๙๑
กลุ บตุ รจาํ ตอ งสอนกรรมฐานหา นใ้ี ห เพอ่ื เปน งานหรอื เปน ศาสตราวธุ ฟาดฟน หน่ั แหลก
กับความรักความชอบ ความหลงใหลใฝฝ น ในสง่ิ ทก่ี ลา วน้ี กรรมฐานนจ้ี งึ ไมใ ชเ ปน เรอ่ื ง
เล็กนอย ถา จะเทยี บแลว กห็ นายง่ิ กวา ภเู ขาทง้ั ลกู ใหญย ง่ิ กวา ภเู ขาทง้ั ลกู หนักอึ้งยิ่งกวา
ภูเขาทั้งลกู เสียอีก เพราะสง่ิ เหลา นน้ั สามารถจะทําลายได ดวยเครื่องมือเครื่องจักร
เคร่อื งยนตต า งๆ จนราบเปน หนา กลองกไ็ ดไ มน านนกั เลย
แตจ ะทาํ ลายกอ นภเู ขาภเู รา ซึ่งยึดมั่นถือมั่นสําคัญผิดมาเปนเวลาตั้งกัปตั้งกัลป
นท้ี าํ ลายไดย ากมาก มผี ใู ดบา งทส่ี ามารถทาํ ลายสง่ิ เหลา นล้ี งไดโ ดยไมต อ งยากลาํ บาก
อะไรเลย และไมมีผใู ดแนะนาํ ตกั เตอื นส่งั สอนวิธกี ารทําลายเลยกท็ าํ ไดน ้นั ยอ มเปน ไป
ไมได เพราะฉะนน้ั จงึ ไดน ามวา สาวก ไดแกผูสดับตรับฟงจากพระพุทธเจา จนทราบ
อุบายวธิ ีการตา งๆ แลว นาํ มาประพฤติปฏบิ ตั ิตอ ตนเองตามอุบายวธิ ีท่ีทานสอนนั้น จงึ
เขา ใจไปโดยลาํ ดบั ในกจิ การงานนน้ั ๆ
ผมเสน เลก็ ๆ กจ็ รงิ แตมันใหญโตอยูกับความมืดตื้อหนาแนนของกิเลสครอบงํา
ความจรงิ เอาไว ดว ยการเสกสรรปน ยอหอ งนาํ้ หอ งสว มวา เปนของสวยของงามนารัก
ใครชอบใจ สง่ิ เหลา นน้ั จงึ ใหญโ ตหนาแนน ในความรสู กึ ของสามญั ทว่ั ไป น่นั เปน ของ
ปลอมตามหลักธรรม ไมใ ชเ ปน ความจรงิ นเ่ี พยี ง เกสา โลมา เทา นก้ี ห็ นาแนน ขนาด
ไหน กาํ เเพงเจด็ ชน้ั เขายงั ทาํ ลายไดค รเู ดยี วยามเดยี ว อนั นม้ี นั หนายง่ิ กวา นน้ั อกี จึงไม
สามารถทาํ ลายลงใหถ งึ ความจรงิ ไดอ ยา งงา ยดาย นขา ทันตา ตโจวาระสดุ ทา ยแหง
กรรมฐานหา
ตามความจรงิ แหง ธรรมแลว หนังเปนสิ่งที่หนาเมื่อไร จะไมพ จิ ารณายากลาํ บาก
อะไรนกั เลย เพียงผิวๆ ของมันก็เต็มไปดวยของปฏิกูลโสโครกอยูแลวโดยหลักธรรม
ชาติ ตามธรรมที่ทรงสอนไวแ ลวนี้ นค้ี อื ความจรงิ โดยแท ไมม กี ารเสกสรรใดๆ ทง้ั สน้ิ
แตจ ิตใจของเรามันบิดเบอื นความจริงไปตางๆ เพราะกเิ ลสพาใหบ ดิ เบอื น กเิ ลสพาให
เสกสรรกเิ ลสพาใหพ ลกิ แพลง กเิ ลสพาใหต อ สู กเิ ลสพาใหก ําบังของจริงท้ังหลายไว
เอาแตของปลอมมาหลอกลอหลอกลวงสัตวโลก ซง่ึ หลงอยแู ลว ดว ยอาํ นาจของกเิ ลส ก็
ยิ่งทําใหหลงเพิ่มขึ้นอีก ไมมีเขตมีแดนแหงความพอดีติดจิตติดใจบางเลย
เพราะฉะนน้ั กอ นภเู ขาภเู รากอ นเลก็ ๆ เพียงกอนรูปขันธเทานี้ ทั้งที่สติปญญามี
อยู แตไ มส นใจนาํ มาใชน าํ มาคลค่ี ลายนาํ มาฟาดฟน หน่ั แหลก สิ่งที่ปกคลุมหุมหออยู
ดว ยความสาํ คญั วา สวยวา งาม วา เราวา ของเรา วา ตวั ตนเราเขา ใหแตกกระจายลงไปสู
หลกั ความจรงิ คือเปนของปฏิกูลบาง เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา บา งประจกั ษใ จ ตาม
หลกั ธรรมชาตทิ ธ่ี รรมสอนไวบ า งเลย เพียงเทานี้ก็ไมสามารถทําได จงึ เรยี กวา เพยี งรปู
ขนั ธข องเราแตล ะทา นละคนนเ้ี ทา นน้ั มนั ก็ใหญโ ตย่ิงกวา ภเู ขาทง้ั ลกู อยูแลว จึงไม
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๑
๑๙๒
สามารถทาํ ลายได เพราะเหตนุ น้ั ทา นจงึ สอนในจดุ นอ้ี นั เปน จดุ สาํ คญั วา เกสา โลมา
นขา ทันตา ตโจ เปนตน เพอ่ื ใหส นใจดมู นั ไมมองขามกันไปเสียแบบบุรุษตาบอดตา
ฝาฟาง
กิเลสก็เกิดขึ้นจากจุดนี้แล เกดิ ขนึ้ จากความรักความชอบใจ ความเกลยี ด ความ
ชังก็เปนกิเลส เพราะความเกลยี ดความชังไมใชเรื่องของธรรม ความเกลยี ด ความโกรธ
ความรักความชอบ เปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล หอมลอ มอยูภายในรา งกายและจติ ใจนี้
จนหาทางออกไมได เมอ่ื เปน เชน นน้ั จงึ ตอ งสอนวธิ กี ารพจิ ารณาอนโุ ลมปฏโิ ลม ยอน
หนาถอยกลับไปมาอยูดวยความมีสติ เพอ่ื ความชาํ นชิ าํ นาญในงานของตน
การบรกิ รรมธรรมบทใด ก็ใหจิตจดจอตอเนื่องกับคําบริกรรมและวัตถุที่ตน
บรกิ รรมนน้ั จรงิ ๆ เชน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อาการใดก็ตามใหมีความรูสึกอยู
กบั ส่งิ นั้นๆ หรอื จะแยกพิจารณาออกเปนสัดเปนสว นตามความจรงิ ของมันทมี่ ีหลาย
อาการดวยสติปญญา ก็ไมพนที่จะทราบไปได ถา ความพอใจความเชอ่ื ตามหลกั ธรรม
ของพระพุทธเจามีอยูภายในใจ ไมถูกกิเลสฉุดลากใหแตกกระเจิงไปหมด เหลือแต
ความจอมปลอมซ่ึงเปนหลักเปนแกนอยภู ายในใจอยางเดียว เวลาแสดงออกมามีแต
ความรักความชอบใจ ความนา กาํ หนดั ยนิ ดี ความเกลยี ด ความโกรธไปเสียหมด แลว
จะเห็นของจริงเจอของจริงไดที่ไหน เพราะความรคู วามเหน็ อนั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั
มวลนี้ เปน เครอ่ื งปด กน้ั กาํ บงั ความจรงิ ในหลกั ธรรมชาตอิ นั เปน ธรรมแท ไวอยางมิด
ชิดติดอยูกับใจตลอดเวลา ไมมีการพจิ ารณาแยกแยะพอใหมองเหน็ ยิบๆ แยบ็ ๆ
เหมอื นฟาแลบบา งเลย
นล่ี ะหลกั ใหญ จงึ เปน สง่ิ ทค่ี วรเนน หนกั ทางความเพยี รลงสจู ดุ นใ้ี หม าก ใหเปนที่
เขา ใจ ตามหลักแหงสวากขาตธรรมวา ตรสั ไวช อบแลว นน้ั ชอบจริงๆ ความไมช อบเปน
เรื่องของกิเลส ใหพ งึ ทราบวา กเิ ลสเปน ผฉู ดุ ลากจติ ใจของเราไป ทั้งที่กําลังประกอบ
ความเพยี รในทา ตา งๆ ฉุดลากออกนอกลูนอกทางใหปนเกลียวกับธรรม และเปน ขา ศกึ
ตอ ธรรม เปนขาศึกตอตนเองในขณะเดียวกัน จงึ ไมเ หน็ เหตเุ หน็ ผลอนั เปน ความจรงิ ขน้ึ
มาจากการพจิ ารณาหรอื ภาวนานน้ั บา งเลย ดว ยเหตนุ จ้ี งพากนั พจิ ารณาในจดุ ทก่ี ลา วน้ี
ซาํ้ ๆ ซากๆ มีสติอยูกับตัว พจิ ารณาอยโู ดยสมาํ่ เสมอ อยา เขา ใจวา พจิ ารณาแลว หลาย
ครง้ั หลายหน ไมเปนของสําคัญ ไมม คี วามหมายในสง่ิ นน้ั
ความหมายอนั แทจ รงิ คอื พจิ ารณาจนรแู จง เหน็ จรงิ ตามหลกั ความจรงิ ทง้ั หลาย
ที่มีอยูในรางกายนี้ งานนี้แลเปนงานชิ้นเอกของนักปฏิบัติเรา ใหถ อื งานนเ้ี ปน สาํ คญั ถือ
งานนเ้ี ปน ชวี ติ จติ ใจ ทุกอริ ิยาบถความเคลื่อนไหวไปมาอยา ไดล มื งานของตนนี้ ซง่ึ เปน
งานถอดถอนกิเลสตัวขาศึกทั้งหลายซึ่งมีอยูภายในใจ อันเกดิ ขนึ้ จากความรกั ใครช อบ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๒
๑๙๓
ใจ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งลวนแตเปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล จงถอดถอนออก
ดว ยการพจิ ารณาโดยทางสตปิ ญ ญา จงถือหลักความจรงิ ท่ที านวา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
หรอื ปฏกิ ลู โสโครก ใหเ หน็ ตามความจรงิ อยา งนท้ี กุ ระยะทเ่ี ปน อยแู ละเวลาพจิ ารณา
การพจิ ารณาตามทท่ี า นสอนไวแ ลว จะไมเปนอยางอื่น นอกจากจะรแู จง เหน็ จรงิ
ตามสิ่งที่มีอยู โดยหลักธรรมชาติของตนเทานั้น งานนเ้ี ปน งานสาํ คญั อยาใหจิตเถลไถล
ไปรักใครชอบใจกับงานอื่นใด นอกจากงานเครื่องถอดถอนกิเลสเทานั้น นเ่ี ปน หลกั
ใหญของผูปฏิบัติทั้งหลายจะพึงยึดเปนหลักใจหลักงานตลอดไป
การกาํ หนดท่จี ะใหจติ มีความสงบกต็ อ งใชก ารบงั คับบัญชาดว ยสติ ไมมีสติงาน
ใดก็ตามจะเปนงานที่ราบรื่นดีงามไดผลเปนที่พึงพอใจไปไมได สตจิ งึ เปน สง่ิ จาํ เปน มาก
สาํ หรบั กาํ กบั งานทง้ั หลายทง้ั ภายในภายนอก จะละเวน เสยี มไิ ด
การพิจารณาทางดานปญญา ก็ถอื เอาเร่ืองธาตุเรื่องขนั ธไ มวาภายนอกภายใน
เทียบเคยี งกนั ใหไดทกุ สดั ทกุ สวน เพราะสง่ิ เหลา นม้ี สี ภาพเหมอื นกนั รปู เขารปู เราเปน
เหมือนกัน มีหนังหอกระดูกอันเดียวกัน หนังเทา นน้ั แหละเปน เคร่อื งปกปด กาํ บงั ใหฝ า
ฟางอยเู วลาน้ี คลี่คลายขางในออกมาขางนอก พลกิ ดใู หเ หน็ ชดั เจนมอี ะไรบา งในน้ี ทาน
จงึ สอนวา ตโจ แลว ยอ นกลบั ทนั ที เพราะหนงั เปน สง่ิ จาํ เปน มาก หมุ หอ ไวบ างๆ เทา
นน้ั กห็ ลง เมื่อพลิกขางในออกมาขางนอกแลวก็จะทราบความจริงของมัน ลึกเขาไปเทา
ไรยิ่งเต็มไปดวยสิ่งไมพึงปรารถนา เปนของปฏิกูลโสโครกไปหมด เหตใุ ดจึงกลา จึง
หาญเอานกั หนาวา เปน ทร่ี กั ใครช อบใจ วา เปน เราเปน ของเรา หนงั กเ็ ปน เรา ผมก็เปน
เรา กระดูกทุกชิ้นของปฏิกูลโสโครกขนาดไหนจนมองดูไมได ยงั มาถอื เปน เราเปน ของ
เราไดอ ยู ไมอายตัวเองมั่งเหรอ
นี่กลของกิเลสมันหลอกลวงคน มนั หลอกถึงขนาดน้ีและเคยหลอกมานานแลว
เราจะรือ้ ถอนสิ่งหลอกลวงปด บงั ความจรงิ ท้งั หลายไวน ้ี ใหเปดเผยออกมาดวยสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร ใหเ หน็ ความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั ลาํ ดา ความหลอกลวงตมตุน
ความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ จะคอยหมดไป ถานําสวากขาตธรรมของพระพุทธเจาเขา
ไปแยกแยะไปคลี่คลาย จะไมพนจากหลักความจริงนี้ไปไดเลย
บรรดาพระสาวกทง้ั หลายทท่ี า นบรรลถุ งึ แดนแหง ความพน ทกุ ข ลว นแลว แต
เปน ผไู ดพ จิ ารณาคลค่ี ลายภเู ขาภเู รา อนั หนาแนน ไปดว ยสงิ่ สกปรกโสมมทัง้ หลาย แต
ถกู เสกสรรวา เปน ของสวยของงาม แลวยึดมั่นถือมั่นดวยอํานาจของกิเลสและผานไป
ดวยกันทั้งสิ้น ถา ไมพ จิ ารณาคลค่ี ลายผา นนเ้ี สยี กอ น จะพนไปไมได เพราะความยดึ มน่ั
ถือมั่นอยูที่นี่ ทา นจงึ เรยี กวา อปุ าทาน ไมหลงเสียกอนไมยึด เราจะถอดถอนความหลง
ใหเ ปน ความรตู ามหลกั ความจรงิ ขน้ึ มา แลวก็ปลอยวางเองโดยไมตองบังคับ เมอ่ื เหน็
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๓
๑๙๔
ตามเปน จรงิ แลว ไมว า สง่ิ ใด ยอ มหายสงสยั ท้ังภายนอกภายใน งานนเ้ี ปน งานสาํ คญั มาก
ในชีวิตความมุงมั่นเพื่อความหลุดพนของพระ อยา สนใจกบั งานอน่ื ใด
ผมเปนหว งหมเู พ่ือนมากในเร่อื งเกี่ยวกบั งานตา งๆ สวนมากมักจะเถลไถลออก
นอกลูนอกทางของงานที่จําเปน ไปเทย่ี วลบู เทย่ี วคลาํ ในงานทไ่ี มจ าํ เปน จนกลายเปน
เรอ่ื งวนุ วายขน้ึ มา แลวก็เปนเครอ่ื งส่งั สมกเิ ลสขน้ึ มาโดยไมรสู ึกตวั แลว ยงั เถลไถลคดิ
ไปอีกหลายแงหลายทาง อนั เปน เครอ่ื งสง่ั สมกิเลสใหห นกั มากเขาไปอกี โดยหาวา สรา ง
บารมบี า ง หาวา ทาํ ประโยชนใ หโ ลกบา ง
อนั โลกนน้ั นะ ประโยชนไ หนทจ่ี ะดยี ง่ิ กวา การชาํ ระจติ ใจ การอบรมจิตใจใหมี
ความแนน หนามน่ั คง รูขออรรถขอ ธรรมทัง้ หลาย จนกลายเปน รแู จง แทงตลอด แลว นาํ
ความจรงิ อันถูกตองดีงามและรม เยน็ เปน สุขภายในใจของตนนไ้ี ปสอนโลก อันไหนจะมี
คณุ คา มรี าคามนี าํ้ หนกั มากกวา กนั กับเรื่องภายนอกที่ทําลงไปนั้น วาเพ่ือประโยชนแก
โลก อะไรจะสาํ คญั เทา ใจทไ่ี ดร บั การอบรมดว ยดี การงานทุกแผนกก็ขึ้นอยูกับใจซึ่งเปน
แรงงานและหวั หนา งาน ใจไมไ ดร บั การอบรมบา งเลยผลจะเปน อยา งไร ใหคิดเอาก็รู
เอง
แมแ ตท าํ ประโยชนใ หต นยงั ไมเห็นไดเรอื่ งไดราว ยงั จะคุยอวดวาทาํ เพ่อื
ประโยชนแ กโ ลกแบบลมๆ แลง ๆ ใหเ ขาหวั เราะเยย หยนั ไมอ ายโลกบา งหรอื การกอ
สรา งสง่ิ ตา งๆ อันเปน ท่ีนาํ มาแหง ความกงั วลหมนหมองทง้ั ตนและชาวบานใหนอนตา
หลับไมได เพราะกวนกนั ไมห ยดุ เหลา น้จี งพากนั ระมัดระวงั จดจาํ ใหถ ึงใจเร่ืองอยา งน้ี
นี่เปนขาศึกตองานแกงานถอดถอนกิเลส จนกลายเปน งานสง่ั สมกเิ ลสขน้ึ มา สาํ หรบั ผู
มุงความพนทุกขจะไปไมรอด มแี ตค วามกังวลวุน วายกบั อิฐกบั ปนู กบั หินกบั ทรายกับ
เหล็กกับไม นานเขา กก็ ลายเปน ศาสนาอฐิ ปูน หนิ ทราย เหลก็ ไม ไปเสียหมด ไม
ปรากฏศาสนธรรมอยา งแทจ รงิ หลงเหลอื อยบู า งเลย ซง่ึ เวลานก้ี าํ ลงั คบื คลานเขา มาตาม
วดั วาอาวาสสถานทอ่ี ยูตา งๆ
สง่ิ เหลา นม้ี อี ยใู นโลก เจรญิ หรอื เสอ่ื มเรากเ็ หน็ อยแู ลว นี่คือวัตถุ หนิ ปูน ทราย
เหลก็ ไม ไปที่ไหนก็ไมอดไมอยากขาดแคลนในโลกอันนี้ ถา เจรญิ กเ็ จริญกนั มาแลว
เพราะสง่ิ เหลา นม้ี อี ยใู นโลกมานาน แมจ ะไมเ สกสรรปน ยอหรอื ปรงุ แตง ขน้ึ มาใหเ ปน
บา นเปน เรอื นเปน ตกึ เปน หา งกต็ าม สิ่งเหลา นี้เปนของมีอยกู บั พน้ื แผนดนิ นีอ้ ยแู ลว
ควรจะทาํ มนษุ ยแ ละพระเราใหม คี วามเจรญิ รงุ เรอื งไปดว ยสง่ิ เหลา นม้ี านานแลว ไมค วร
จะไดมาดัดแปลงแตงจิตใจของตนใหมีอะไรที่ยิ่งกวานั้นตอไปอีก เพราะสง่ิ เหลา นน้ั เปน
เครอ่ื งสง เสรมิ ใหเ ปน ของวเิ ศษวโิ สไดแ ลว นไ่ี มเ หน็ เจรญิ รงุ เรอื งทต่ี รงไหน วตั ถเุ จรญิ
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๔
๑๙๕
มากเพียงไร จติ ใจยง่ิ นบั วนั แหง แลง ความสงบสขุ มากขน้ึ จนนา ใจหายเวลาน้ี จึงอยาพา
กันตน่ื ในสง่ิ ทไ่ี มควรตนื่ เพราะเรามใิ ชก ระตา ยตน่ื ตมู น่ี
พระพุทธเจานําพระศาสนาออกมาสั่งสอนโลก ไมไ ดน าํ เปน อฐิ เปนปูน เปน หนิ
เปน ทราย เปน ไม เปน เหลก็ ออกมาสั่งสอนโลก โลกเขาไมไดกราบพระพุทธเจาดวย
พระองคเกงกลา สามารถในเรอ่ื งผลติ หรือเปนชางกอ สรางในเรอ่ื งอฐิ เรื่องปูน เรอ่ื งหนิ
เรอ่ื งทราย เรอ่ื งเหลก็ เรื่องไม เรื่องวัตถุ เครอ่ื งกอ สรา งเหลา นน้ั น่ี
คําวา พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ เขากราบไหวด วงพระทยั ทบ่ี รสิ ทุ ธว์ิ มิ ตุ ตหิ ลดุ พน เปน
ธรรมแทงเดียวกัน กับพระทัยท่บี ริสุทธิ์ตา งหาก ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ เขากราบไหว
ความสวางกระจางแจงแหงพระธรรมที่เต็มอยูในพระทัยของพระพุทธเจาตางหาก สงฆฺ ํ
สรณํ คจฉฺ ามิ เขากราบพระสาวกทั้งหลายทีใ่ จของทา นบริสทุ ธิ์วิมุตติหลดุ พน อันเปน
ของวิเศษไมมีอยูในแดนสมมุตินี้แมนอย ซง่ึ ไมอ าจเทียบเคียงความบรสิ ุทธวิ์ เิ ศษนน้ั ได
เลย เขากราบทา น ธรรมของทา น ดวงธรรมของทานท่บี รสิ ทุ ธิ์นน้ั ตา งหาก เขาไมไ ด
มากราบอฐิ กราบปนู กราบหนิ กราบทราย กราบเหลก็ หลา อะไรเหลานี้ซึ่งเปนของมี
อยกู บั โลก
ทงั้ น้เี ราไมไ ดปฏเิ สธวาไมใ หทํา แตใ หท ราบวา ปจ จยั สน่ี น้ั คอื อะไร ปจ จยั แปลวา
อะไร แปลวา เครอ่ื งอดุ หนนุ เครื่องบาํ รุงเยยี วยาพอใหชวี ิตรา งกายเปน ไปได และ
อนเุ คราะหพ รหมจรรยใ หเ จรญิ ดว ยธรรมภายในใจ ปจ จยั นน้ั มอี ะไรบา ง เปนของวิเศษ
แลว เหรอ ฟงวาปจจัยๆ เปนแตเพยี งเครอ่ื งอุดหนนุ พอใหเ ปน ไปในวนั หน่งึ ๆ เทา นน้ั
จวี ร เครอ่ื งนงุ หม ก็พอไดอาศัยปกปดสกลกาย กนั รอ นกนั หนาวเหลอื บยงุ
ตางๆ ใหเ ปน ไปวนั หนง่ึ ๆ ไมถ อื วา เปน ของจําเปนและวเิ ศษเกนิ ความจาํ เปน ของมนั
การมาบวชในศาสนามาปฏบิ ตั ธิ รรม ก็ไมไดถือวาจีวรเปนของวิเศษยิ่งกวาอรรถกวา
ธรรม ซง่ึ เปน แดนมงุ หมายของการบวชและการปฏบิ ตั ธิ รรม
บณิ ฑบาต ก็พอยังอัตภาพใหเปนไป นี่คือปจจัยเครื่องอาศัยแตละอยางๆ
อาหารการบรโิ ภคพอยงั ชวี ติ อตั ภาพใหเ ปน ไปในวนั หนง่ึ เพอ่ื การบาํ เพญ็ สมณธรรม ให
ถึงแดนแหงความหลุดพน ซง่ึ เปน ธรรมวเิ ศษ ยงั ผบู รรลใุ หถ งึ ความวเิ ศษเทา นน้ั ไมฉ นั
เพอ่ื บาํ รงุ รา งกายใหส วยงามเปลง ปลง่ั ดว ยรสอนั เอรด็ อรอ ยแหง อาหารคาวหวานแต
อยางใด ฉันพอพยุงชีวิตรางกายไวเพื่อความเพียร จงึ เรยี กวา ปจ จยั สง่ิ อาศยั ของสมณะ
เสนาสนะ ที่อยูที่อาศัย เชน กระตอบ กฎุ ี เปนตน นก้ี ็เปนปจ จัยสิง่ อาศัยเพื่อบัง
ลมกันแดดกันฝนแตละอยางเทานั้น ไมถือเปนสําคัญยิ่งกวาธรรมแดนหลุดพน
คลิ านเภสชั ยาแกโ รคแกภ ยั กเ็ พยี งเปน ปจ จยั เครอ่ื งกาํ จดั ปด เปา โรคภยั ไขเ จบ็
ซึ่งเกิดมีขึ้นในรางกาย เพื่อบรรเทาหรือแกไขกันไปตามสมควรแกเหตุที่พอเปนไปได
เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๕