The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ืทีมงานกรุธรรม, 2022-05-19 22:53:25

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

เข้าสู่แดนนิพพาน หลวงตามหาบัว

Keywords: เข้าสู่แดนนิพพาน,หลวงตามหาบัว

๑๔๖

บา ง มนั นา รน่ื เรงิ นา อนโุ มทนาสาธกุ ารทไ่ี หน ถาเอาจริงเอาจังมันตองรูไมตองสงสัย

อยางทุกวันนี้พูดจริงๆ ตามความรสู กึ โงๆ นแ่ี หละ มันไมเคยไปหนักในอดีตอนาคต

อะไรเลย เชน ครง้ั พทุ ธกาลทา นเปน อยา งนั้นๆ ครง้ั นเ้ี ปน อยา งนๆ้ี ไมเ ลย เพราะแน

ใจวามชั ฌมิ าปฏิปทาน้คี งเสน คงวาตลอดมา กเิ ลสกเ็ ปน ตวั คงเสน คงวาในหวั ใจสตั ว

นน่ั เอง ถาไมแกไมถอดถอนออกจากใจใหเบาบางและสิ้นไป

มัชฌิมาปฏิปทาเปนเครื่องปราบกิเลสทุกประเภทไดอยางไมมีปญหา ถือเอา

ตรงนี้เชื่อตรงนี้เชื่อจริงๆ รอ ยเปอรเ ซน็ ต เพราะฉะนั้นคร้ังนัน้ ครง้ั นจี้ งึ ไมมีปญ หา ขอ

ใหมีความเพียรเถอะ กิเลสจะตองพังทลายไมสงสัย ไมวาครงั้ ไหนไมม กี ิเลสตัวใดทจ่ี ะ

แปลกปลอมมาจากครั้งพุทธกาล พอจะมาเปนตัวใหมที่จะแกดวยมัชฌิมาปฏิปทานี้

ไมได นเ่ี ราเชอ่ื ตรงน้ี ฉะนน้ั จงเอาใหจ รงิ ใหจ งั ดูจิตกับกิเลสที่ปกคลุมใจไมมีกาลโนน

กาลน้ี การแกการถอดถอนกิเลสจึงไมควรคิดใหนอกเหนือจากวงมัชฌิมา และนาํ มา

ปราบกเิ ลสทม่ี อี ยใู นจติ นใ้ี หส น้ิ ซากไป นน่ั แลทส่ี มหมายอยตู รงนน้ั แตไ หนแตไ รมาจน

ถึงปจจุบัน

เอาละหยดุ แคน ้ี

<<สารบัญ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๖

๑๔๗

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมอ่ื วนั ท่ี ๒๙ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๒๒

อบุ ายแกค วามกลวั

ศาสนาคอื นาํ้ ดบั ไฟ ไฟราคะ ไฟตัณหา หรอื วา ไฟโลภ ไฟโกรธ ไฟหลง ไหมหัว
ใจสตั วโ ลก ถาไมมีน้ํา คอื ธรรมะเปน เครอ่ื งระงบั ดบั กนั บา งเลย หวั ใจดวงนน้ั ๆ จะเปน
เหมือนไฟทั้งกองเผาลนอยูตลอดเวลาหาความสงบสุขไมได ไมวาจะอยูในสถานที่ใดๆ
ไมสําคัญที่สถานที่ แตส าํ คญั ทค่ี วามรมุ รอ นเผาลนจติ ใจเพราะอาํ นาจแหง กเิ ลสตณั หา
อาสวะประเภทตา งๆ มนั เผาลนอยภู ายใน ไมม เี วลาํ่ เวลา ไมมีอิริยาบถใดพอที่จะวาง
เวน นอกจากมธี รรมเขา ไประงบั ดบั กนั เทา นน้ั ดว ยเหตนุ ศ้ี าสนาจงึ เปน ธรรมจาํ เปน ตอ
มวลสัตวอ ยมู ากทเี ดียว

ผตู อ งการหวงั ความสขุ ความเจรญิ หวงั หนรี อ นพง่ึ เยน็ ก็ตองเห็นโทษแหงไฟทั้ง
หลายทส่ี มุ อยภู ายในจติ ใจ และเหน็ คณุ แหง ธรรมซง่ึ เปน เสมอื นนาํ้ สาํ หรบั ดบั ไฟเหลา น้ี
ใหพอลดหยอนผอนคลายพอหายใจไดบาง หรอื พอบรรเทาไมร มุ รอ นจนเกนิ เหตเุ กนิ
ผล เกินประมาณที่จะทนได เกินสติกําลังความสามารถที่จะแกไขได บางรายถงึ กบั เปน
บา ไป เพราะไฟเหลา นม้ี จี าํ นวนไมน อ ย ในโลกเราทป่ี ราศจากธรรมเปน เครอ่ื งเยยี วยา
รักษา เพราะฉะนน้ั ธรรมจงึ เปน ธรรมชาตทิ จ่ี าํ เปน อยมู ากจะขาดธรรมเสยี มไิ ด ถาไม
อยากเหน็ โลกเปน ไฟทง้ั กองแผดเผามวลสตั วไ มม เี วลาวา งเวน

ราคะดบั ดว ยนาํ้ อนั ใด พระพุทธเจาทรงสอนใหดับดวยธรรมซึ่งเปนคูปรับของ
กันและกัน เชน ใหด บั ดว ยการพจิ ารณาอสภุ ะ ปฏกิ ลู โสโครก และ อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
ซึ่งมีประจําอยูกับสิ่งที่จิตใจไปพัวพันหรือรักชอบ เฉพาะอยางยิ่งเรื่องอสุภะ เรื่องปฏิกูล
เปน สง่ิ จาํ เปนอยางยง่ิ ตอไฟประเภทน้ี

โทสะเกิดขึ้น พึงระงับดวยความเมตตาหนึ่ง ระงับดวยการมองคนอื่นในแงเหตุ
ผลหนง่ึ มองกนั ในแงใ หอ ภยั หนง่ึ มองกันในสมานตั ตตา ไมถือตัวหนึ่ง พจิ ารณาเรอ่ื ง
ราวทใ่ี หเ กดิ โทสะนน้ั ดว ยเหตผุ ลหนง่ึ และยอนเขามาดูตัวที่กําลังโกรธกําลังโมโหโทโส
อยนู ้นั คือ ตวั พษิ ตวั ภยั ตวั ไฟเผาลนจติ ใจอยใู นขณะนน้ั กอนอื่นที่จะลุกลามไปไหมผู
อื่น ตองไหมผูโกรธผูโมโหโทโสกอนผูอื่น นเ่ี ปน จดุ สาํ คญั ใหดูที่จุดนี้ซึ่งเปนจุดเกิดขึ้น
แหง ภยั คือโทสะหรือความโกรธ เมอ่ื เหน็ สง่ิ เหลา นเ้ี ปน ภยั กร็ ะงบั ดบั กนั ทต่ี รงนด้ี ว ย
อบุ ายวธิ ีการตา งๆ ที่จะระงบั ดับมันได

เชนเดียวกับเราคิดในทางผิดมันเกิดโทสะขึ้นมา กใ็ หเ หน็ วา โทสะเปน ภยั แกต วั
เราเอง แลว รบี ระงบั ดบั ทต่ี รงมนั เกดิ คอื เกิดท่จี ติ นั้น ไมใหกระจายออกไปสูผูอื่น

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๗

๑๔๘

บางคราวคนอน่ื ไมม คี วามผดิ แตเ ราไปเขา ใจเสยี เองวา ผนู น้ั มคี วามผดิ หรือผู
นั้นมีอะไรแกตนทั้งๆ ที่เขาไมมีอะไรเลย ก็เพราะความสําคัญของใจหลอกลวงตนเอง
ใหเกิดโทสะขึ้นมา เกดิ ความโกรธความแคน ขนึ้ มาก็ได แมจะมีผแู สดงปฏกิ ิริยาอันเปน
ความกระทบกระเทือน ใหเกิดความโกรธความไมพอใจขึ้นมาก็ตาม ผูปฏิบัติธรรมไม
ควรไปมองในแงนั้น มองดูคนนั้น มองเรื่องนั้น คดิ เรอ่ื งนน้ั ใหมากยงิ่ กวา การยอนเขา
มาสูจุดแหงเหตุ คอื ตัวโทสะซึ่งเกิดขึ้นที่ใจ

คน ควา หาเหตหุ าผลแหง ความโกรธ ถอื ความโกรธเปน จดุ หมายหรอื เปน เปา
หมายแหง การพจิ ารณา ถอื ตัวโกรธนัน้ เปนตวั โทษตวั ภยั ทที่ ําลายตนเองอยใู นขณะนน้ั
แลว ระงบั กนั ดว ยอบุ ายวธิ กี ารตา งๆ ไมย อมเคลื่อนคลาดจากจุดน้นั ไปเลย ความโมโห
โทโสหรือความโกรธจะลุกลามไปไมได เมอื่ สตคิ วามระลกึ รยู อนเขาสูจ ุดแหง เหตุน้นั ซึ่ง
เปนจุดที่ถูกตอง ดว ยการพจิ ารณาโดยทางปญ ญาจนความโมโหโทโสระงับลงดว ยอบุ าย
นน้ั ๆ คราวตอ ไปกจ็ ับจุดท่เี คยปฏิบัติไดผ ลมาแลว และพิจารณาระงับลงไดเรื่อยไป

สว นความหลงนั้นเปนสิ่งที่ลึกซึ้งละเอียดมาก มแี ทรกอยกู บั กเิ ลสประเภทตา งๆ
เตม็ ไปหมดไมม เี วน เพราะเปน ประเภทซมึ ซาบละเอยี ดลออ สามารถเขา แทรกซมึ ไดใ น
กิเลสทุกประเภท เพราะฉะนน้ั เราจะยกออกมาพูดเฉพาะโมหะเสียทีเดียวก็ไมได เชน
ความโลภกม็ คี วามหลงมาแทรก ความโกรธก็มีความหลงมาแทรก ความรักก็มีความ
หลงมาแทรก ความชังก็มีความหลงมาแทรกทั้งนั้น มันแทรกไดหมด จึงระงับดับกัน
ดว ยสตปิ ญ ญาอนั แหลมคมเทาน้นั ท่ีจะใหโมหะนสี้ น้ิ สุดลงไปได อวิชชาไดสิ้นสุดลงไป
จากจิตเมื่อใด พงึ ทราบวา เมอ่ื นน้ั แหละ โมหะอันสําคัญซึ่งเปนรากเหงาของกิเลสทั้ง
หลายจงึ จะสน้ิ ลงไป หากอวิชชายังไมสิ้นเมื่อไรโมหะก็ยังตองมีอยูนั่นแหละ รากแกว
จรงิ ๆ ออกมาจากโมหะอวิชชา

เราเปน นกั ปฏบิ ตั ทิ าํ หนา ทข่ี องการบวชเตม็ ภมู ขิ องเราทกุ วนั เวลาทกุ อริ ยิ าบถ ดว ย
การชาํ ระสะสางกเิ ลสประเภทตา งๆ ซึ่งมีอยูกับใจและเกิดขึ้นที่ใจ และลกุ ลามไปสภู าย
นอก ตองถือเปนกิจเปนงานสําคัญ อยา เหน็ งานอน่ื ๆ วา เปน งานจาํ เปน หรอื หนกั แนน มี
คณุ คา ยง่ิ กวา งาน คอื การชาํ ระกเิ ลสประเภทตา งๆ ภายในใจ ดว ยความเพยี รทา ตา งๆ
อุบายวธิ ตี า งๆ อยโู ดยสมํา่ เสมอ อยา เสยี ดายเวลาํ่ เวลา อยา เสยี ดายอารมณแ หง ความคดิ
ความปรุงของใจ ซง่ึ เคยเปน มาและเคยหลอกหลอนมาเปน เวลานานแลว ทว่ี า สังขารขันธ
หรอื สัญญาขันธ นี้ออกหนาออกตาอยูตลอดเวลา ผูมีสติเทานั้นถึงจะทราบเรื่องของ
สังขารและเรื่องของสัญญาที่ออกหนาออกตาอยู ทั้งๆ ที่ไมไดมีอะไรมากระทบใหคิดให
ปรงุ ใหเกิดความสาํ คัญมั่นหมายก็ตาม แตมันเกิดขึ้นมาโดยลําพังของมันไดอยางคลอง
ตวั ไมเ หมือนกับวิญญาณทีค่ อยรบั ทราบสง่ิ ภายนอกทมี่ าสมั ผสั จงึ จะปรากฏข้ึนมา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๘

๑๔๙

การพิจารณาจึงตอ งถอื ใจเปนสาํ คญั มีสติคอยระมัดระวังเสมอ อยา ไปคนุ เคยกบั
ความเพยี รแบบโลกๆ ซึ่งเปนพิธีการของกิเลสแตงกลอนแตงบทเพลงใหเดินตามจังหวะ
ของมัน เชน เคยเดนิ จงกรมแลว กเ็ ดนิ ไปเฉยๆ นั่งไปเฉยๆ ไมมีความจดจอตอเนื่องดวย
สติสัมปชัญญะกํากับใจในประโยคแหงความเพียร ไมเกิดประโยชนอันใด เพราะสง่ิ ทจ่ี ะ
ใหเ กดิ ประโยชนต ามหลกั แหง ความเพยี รนน้ั ตองมีสติเปนเครื่องจดจอตอเนื่องกันกับ
งานที่ทํา เชน ผูบริกรรมก็มีสตกิ ํากับการบริกรรมของตนสบื เนื่องกนั ไปโดยลาํ ดับ

ผพู จิ ารณาทางดา นปญ ญา สตเิ ปน ของสาํ คญั ไปตลอดสาย ไมม ที จ่ี ะละเวน สตเิ ลย
การยนื การเดนิ ไปที่ไหนสตใิ หมีอยูกบั ตัว ความมสี ตอิ ยกู บั ตวั นน้ั เหมอื นกบั มเี ครอ่ื งรบั
ทราบ สติปญญาทาทางตางๆ ที่จะระมัดระวังหรือตอสูตานทานกับสิ่งที่มาเกี่ยวของนั้น
ยอ มทาํ หนา ทไ่ี ดร วดเรว็ กวา คนไมม สี ติ ฉะนั้นจึงตองฝกสติ

ตั้งแตพื้นๆ ภาวนา การอบรมเบื้องตนก็อาศัยสติ จะเห็นได เชน เวลาไปอยใู น
สถานทน่ี า กลวั มาก ซึ่งไดเคยไปอยูแลวและไดเห็นเหตุเห็นผลกันกับเรื่องของสติไดดี พอ
เปน หลกั ฐานพยานยนื ยนั และนํามาพูดใหหมูเพื่อนฟงไดโดยไมสงสัย คอื เราไปอยใู น
สถานท่นี ากลวั สติยอมตั้งตัวอยูเสมอ

การตง้ั สตอิ ยูโดยสมํ่าเสมอเพราะความระวังตวั ทั้งกลัวตายก็กลัว ทั้งกลัวจิตจะ
สงออกไปสูสิ่งที่กลัวนั้นก็กลัว จึงตองระมัดระวังทั้งดานอันตรายเกี่ยวกับสิ่งภายนอก
เชน เสอื เปน ตน ทง้ั ภายในกลวั สตจิ ะเผลอตวั จากความเพยี รนก้ี ร็ ะวงั บังคับจิตไมให
เสยี ดายในอารมณท น่ี า กลวั เชน คิดไปเรื่องเสือ เรอ่ื งอนั ตรายตา งๆ ไมยอมใหจิตเล็ด
ลอดออกไปคิดเปนอันขาด บงั คบั ใหค ดิ ปรงุ อยกู บั คาํ บรกิ รรมโดยเฉพาะเทา นน้ั จติ
ปรงุ พุทโธ ก็ใหอยูกับ พุทโธ สบื เนอ่ื งกนั เปน ลาํ ดบั สละทุกสิ่งทุกอยางในความคิด
ภายนอก ใหส ตกิ บั จติ กลมกลืนกนั เปน อนั เดียว

ทีนเ้ี มอื่ สติมคี วามสบื ตอ งานของจิตทก่ี าํ ลงั ภาวนาก็เปนชิ้นเปนอันเปนเน้อื เปน
หนังข้ึนมา สามารถสง่ั สมพลงั ขน้ึ มาไดใ นขณะนน้ั กลายเปน จติ ทม่ี คี วามสงบตวั แนน
หนามั่นคงขึ้น ทั้งๆ ที่เดินก็เดินไดอยู เดินจงกรมกลับไปกลับมาก็เดินได แตจิตมี
ความเหนยี วแนน มน่ั คงอยภู ายในตวั เอง ดวยความมีสติเปน เคร่อื งระวงั รักษาอยตู ลอด
เวลา อารมณทเ่ี คยกลวั ก็หายเงียบไป ไมอยากคิด ไมเ สยี ดายในความคดิ เกย่ี วกบั
อารมณป ระเภทนน้ั ๆ แมจะคิดออกไปถึงอารมณที่นากลัว จิตก็เลยไมกลัว พอคิดออก
ไป ขณะเดียวก็ถอยกลับเขามาทันทีอยูดวยความมั่นคงของใจ ใจเลยกลายเปน ใจทก่ี ลา
หาญขน้ึ มาในขณะนน้ั

ทั้งๆ ทใ่ี นเบอื้ งตนเร่มิ เดินจงกรมจติ กลวั มาก แตพอไดหลักเลยกลายเปนจิตที่
กลา หาญขน้ึ มาในขณะนน้ั จะเดนิ นานสักเทา ไรก็ได ไมม คี วามสะทา นหวน่ั ไหวตอ เรอ่ื ง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๔๙

๑๕๐

ความกลัวใดๆ ทง้ั สน้ิ เวลาจติ มคี วามแนน หนามน่ั คงเตม็ กาํ ลงั ของตวั ในภมู นิ น้ั แลว
อยาวา แตไมกลัวเฉยๆ เลย แมเ สอื จะเดนิ เขา มาผา นทางจงกรม กส็ ามารถจะเดนิ เขา
ไปลบู คลําหลงั เสือไดอยางมติ รสหายเพือ่ น เกิด แก เจบ็ ตาย ดวยกัน ดวยจิตที่มี
ความออนโยน ไมค ดิ เลยวา เสอื นน้ั จะทาํ อนั ตรายอะไรแกต นไดเ ลย

แตความจริงนั้นเสือจะทําไดหรือไมไดเปนอีกแงหนึ่ง แตค วามรสู กึ ในขณะนน้ั ไม
มีกลัวอะไรทั้งสิ้น ขึ้นชื่อวาอันตรายไมมีความสะทกสะทาน เพราะจติ มคี วามแนน หนา
มั่นคงเต็มตัว เกินกวาที่จะไปหมอบไปกลัวไปออนนอมตอสิ่งนั้นวาเปนของนากลัว
กลายเปน จติ ทส่ี งา ผา เผยองอาจกลา หาญเตม็ ตวั ขน้ึ ในเวลานน้ั นี่ไดเห็นประจักษใจกับ
ตัวเองมาแลว

เพราะฉะนั้นการประกอบความพากเพียร แมจะเปน นสิ ัยข้ขี ลาดหวาดกลวั ของ
มนุษยเ ราท่มี ีชีวิตอยเู ชน สัตวทง้ั หลายกลัวกนั ก็ตาม แตก็ตอ งบังคับตนใหเ ขาไปสสู ถาน
ทน่ี า กลวั นน้ั เพื่อการประคองความเพียรไดดีเสมอมา ที่พระพุทธเจาทรงสอนใหไปอยู
ตามรุกขมูลรมไม ชายปา ชายเขา ทเ่ี ปลย่ี วๆ อนั เปน ทน่ี า กลวั พระองคท รงเหน็ เหตุ
เหน็ ผลโดยสมบรู ณแ ลว

เวลาไปอยสู ถานทน่ี า กลวั ทา นกแ็ สดงใหเ ราไดเ หน็ ไดอ า นอยแู ลว เชน ธชัคค
สตู ร วา หากไปอยใู นสถานทน่ี า กลวั เกดิ ความเปลย่ี วเปลา ขน้ึ ภายในจติ ใจ ใจวา เหว ให
ระลึกถงึ พระพุทธเจา ความกลวั นน้ั จะหายไป หากระลึกถึงพระพุทธเจาความกลัวยังไม
หาย พงึ ระลกึ ถงึ พระธรรมอนั เปน นยิ ยานกิ ธรรม แลว ความกลวั จะหายไป หากระลกึ
ถึงพระธรรมความกลัวยังไมหาย ใหระลึกถึงพระสงฆ ความกลวั จะหายไป น้ีแหละคือ
หลักประกันจิตไมใหกลัว คอื หลกั ธรรม จะเปน พทุ ธ ธรรม สงฆ บทใดก็ตามเปนธรรม
ดวยกนั ท้งั น้นั และเปน หลกั ยดึ ของใจไดเ ปน อยา งดหี ายหว ง

เวลาเรานาํ มาประพฤตปิ ฏบิ ตั ติ ามทท่ี า นสง่ั สอนไว โดยไมใหจิตเล็ดลอดออกไป
สูสิ่งอื่นๆ ท่ีเปนของนา กลัวหรือไมก ลัวกต็ าม ใหจ ติ มคี วามกลมกลนื กนั อยกู บั ธรรมบท
นน้ั ๆ จติ จะมคี วามแนน หนามน่ั คงขน้ึ ภายในตนโดยลาํ ดบั จนแนช ดั ภายในจติ ใจ วา จติ
นห้ี าความสะทกสะทา นหวน่ั ไหวไมไ ดแ ลว เกี่ยวกับเรื่องความกลัวใดๆ ทั้งสิ้น ทนี เ้ี ดนิ
นานเทาไรกเ็ ดนิ จะไปไหนก็ไปได ไมมีความรูสึกกลัว

ทก่ี ลา วนเ้ี ปน ตามเวลา ไมใชจะเปนอยูเสมอไป เมื่อจิตถอยออกมาจากนั้นแลว
มันก็มีความกลัวไดอีก แตอยางไรก็ตาม เราพอมหี ลกั ฐานพยานเปน เครอ่ื งยนื ยนั ไดว า
เราเคยทาํ ดว ยอบุ ายวธิ นี น้ั ๆ จติ ของเราไดร บั ความสงบรม เยน็ ไดร บั ความกลา หาญ
เราจะตองทําอยางนั้นไมทําอยางอื่น เรยี กวา ไดหลักเกณฑ ไปไหนกใ็ ชอ บุ ายอยา งน้นั
จรงิ ๆ เปน ประจาํ เปน กเ็ ปน ตายกต็ าย จิตจะไมยอมปลอยวางจากหลักธรรมที่นําเขา

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๐

๑๕๑

มากาํ กบั ใจนเ้ี ลย เมอื่ เปนเชน นัน้ ผลก็ตองปรากฏขึ้นมาดงั ที่เคยปรากฏแลว นี่ไดเคย
ปฏบิ ตั มิ าแลว

ตั้งแตสมัยกอนที่สัตวเสือชุกชุมโนน ผิดกับสมัยนี้อยูมาก กาลเวลาผา นกนั มาไม
กี่ป ความเปลย่ี นแปลงของโลกเปลย่ี นไปมาก เชน ในปา ในเขา แตกอนมีแตสัตวแต
เสือมีแตอันตราย ทุกวันนี้ปาก็ถูกทําลายไปหมด ไปที่ไหนก็มีแตผูแตคน หาคาํ วา สตั ว
วาเสือชักจะไมมี นานไปกวา นพ้ี ดู เรอ่ื งสตั วเ รอ่ื งเสอื คนอาจจะไมเชื่อก็ได ทั้งๆ ที่มันก็
เคยมเี คยเปน อยแู ลว

ทา นนกั ปฏบิ ตั ทิ งั้ หลาย พึงถือสติเปนสําคัญ ใหกํากับตัว ถอื เปน ภาระหนา ทข่ี อง
ตวั อยา เสยี ดายความคดิ ความปรงุ เกย่ี วกบั โลกสงสารใดๆ เราเคยคดิ เคยปรงุ เคย
สมั ผัสสัมพันธมาแลว ไดผ ลดชี ่วั ประการใด พอท่จี ะนาํ มาเทยี บเคียงเลอื กเฟนไดแ ลว
ไมค วรจะเสียดายในอารมณที่เคยเปนมา

แตพ งึ ทราบวา ขน้ึ ชอ่ื วา เรอ่ื งกเิ ลสแลว ไมว า ประเภทใดๆ ตองเปนเครื่องกลอม
ใจสตั วใ หเ คลบิ เคลม้ิ หลบั ไหลไดเ ปน อยา งดี อยา ลมื นเ้ี ปน สาํ คญั เราผูปฏิบัติก็พน ไป
จากความเปนสัตวโลกที่ถูกกลอมจากกิเลสประเภทตางๆ ไมไดเหมือนกัน จึงพึงตั้งสติ
รอรบั ไวเ สมอ วากิเลสทุกประเภทจะตองมากลอมที่ใจ ใจจะตองตอสูกับกิเลสดวย
ธรรมมสี ตธิ รรม ปญ ญาธรรม วริ ยิ ธรรม ขนั ตธิ รรม เปน สาํ คญั

ขึ้นชื่อวาธรรมตองฝนตองตานทานกับกิเลสเพราะการตอสูกัน อันใดฝนอันนั้น
มกั เปน ธรรม อันใดที่ไมฝนและเปนความชอบพอ มกั เปน กเิ ลสเสมอในขน้ั เรม่ิ แรก
ปฏิบัติ เวน เสยี แตธ รรมะขน้ั กลางถงึ ขน้ั ละเอยี ดแลว นน้ั เปน อกี แงห นง่ึ ผิดกัน นบั ตง้ั
แตธรรมขั้นกลางข้นึ ไปแลว จติ ใจมีความดูดด่มื ในธรรม คลายโลกามิสทั้งหลายออก
ไปเปนลําดับ สิ่งเหลานั้นจึงไมมีกําลังดึงดูดจิตใจใหอยูใตอํานาจได ใจดูดดื่มและหนัก
แนน ในธรรม เพราะธรรมมกี าํ ลงั และมรี สชาตเิ หนอื กวา ไปเปน ลาํ ดบั

เฉพาะอยางยิ่ง สติปญญา ศรทั ธา ความเพยี ร นบั วนั มกี าํ ลงั กลา ไปโดยลาํ ดบั จน
ถึงธรรมขั้นละเอียดเพียงไร จติ ยง่ิ มคี วามเพลดิ เพลนิ รน่ื เรงิ ในธรรมจนเกนิ ความพอดี
ไปก็มีในบางครั้ง ทา นจงึ เรยี กอทุ ธจั จะในสงั โยชนเ บอ้ื งบนวา ความฟุง ความเพลนิ ใน
การพจิ ารณา จนลมื เวลาํ่ เวลา ลมื ความเหนด็ เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา ซงึ่ เปน สังโยชนเคร่ืองตดิ
ของประเภทหนึ่ง เพราะขัดตอความพอดี คอื มัชฌิมา ความพอดเี หมาะสม

ดงั ท่ีมีในตําราที่พระทา นเดนิ จงกรมจนฝาเทาแตกนัน้ ถา ความรสู กึ นกึ คดิ
ธรรมดาทว่ั ๆ ไปแลว ตอ งวา ทา นฝก ทานทรมานตนเอง บงั คบั ตนเองใหเ ดนิ เสยี จนฝา
เทา แตก ซึง่ ทาํ ใหผเู ร่ิมฝก หดั ปฏบิ ัติเกิดความทอ ใจ อดิ หนาระอาใจวา ยากเกนิ ไปหนกั
เกินไป ไมส ามารถทําตามนัน้ ได แลว หมดกาํ ลงั ใจทจ่ี ะอตุ สา หข วนขวาย

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๑

๑๕๒

แตถาคิดตามหลักปฏิบัติแลว ความเพยี รขน้ั นน้ั หากเปน อยา งนน้ั เอง คอื เปน
ความเพยี รอยทู กุ อริ ยิ าบถ ไมวาจะยืน จะเดนิ จะนั่ง จะนอน เวน แตเ วลาหลบั อยา ง
เดียว นอกนน้ั เปน ความเพยี รทง้ั สน้ิ เชน เดนิ จงกรมจติ ใจหมนุ ตว้ิ อยกู บั ธรรม ระหวา ง
ธรรมกับกิเลสที่ตอสูกัน พัวพันฟดเหวี่ยงกันอยูตลอดเวลา ไมคิดถึง เดือน ป นาที
โมง เชา สายบา ยเยน็ หวิ กระหายใดๆ ทง้ั สน้ิ ระหวา งสตปิ ญ ญา ศรัทธา ความเพยี ร
อัตโนมัติกับกิเลสเขาตะลุมบอนกัน จะไปเผลอตัวไดอยางไร นน่ั แหละความเพยี รทท่ี าํ
ใหเ พลนิ เดินจงกรมจนกระทั่งฝาเทาแตกไมรูสึกตัว เพราะไมสนใจกบั ฝา เทา ย่ิงกวา
ธรรม และเพราะพลังของจิตที่มีกําลังมาก เรงตอความพากเพียรเพื่อความหลุดพน
ฟาดฟน ห่นั แหลกกบั กิเลสไมม ีคําวา ทอถอยปลอ ยวาง นอกจากใหไดชัยชนะหรือกิเลส
หมอบราบไปหมด จนไมม กี เิ ลสตวั ใดเหลอื อยภู ายในใจเลย รอบๆ ตวั กลายเปน ซาก
กิเลสไปหมด นน้ั แลเปน ทพ่ี อใจของความเพยี รประเภทนน้ั

ฉะนน้ั การประกอบความเพยี รจนฝา เทา แตกนน้ั จึงเปนฐานะที่เปนไปไดไมสงสัย
ในธรรมขน้ั น้ี นี่พูดทางภาคปฏิบัติ ตองเอาความจริงมาพูดกันใหถึงใจผูปฏิบัติบาง จะ
ไดเ ปน กาํ ลงั ใจตอสกู บั กิเลสตัวโลกทง้ั หลายเกรงขาม

ทง้ั นเ้ี พราะความเพลนิ ในธรรมและความพากเพยี ร ไมใ ชเ ปน ไปเพราะบงั คบั จติ
เดนิ จงกรมจนฝา เทา แตก ทั้งๆ ทจ่ี ติ กเ็ รร อ นวนุ นน่ั วนุ นห่ี าสาระอะไรยงั ไมไ ด แลวก็
เดินจงกรมจนฝาเทา แตกนี้ คิดวาจะเปนไปไดยากหรือเปนไปไมไดพอๆ กนั แตถา
เพราะความเพยี รเปน เครอ่ื งดงึ ดดู ทาํ ความเพยี รทา ตา งๆ จนลมื เวลาํ่ เวลาลมื เหนด็
เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา จนฝา เทา แตกนน้ั เปนไปไดโดยไมสงสัย ในหลกั ปฏบิ ัตทิ เี่ คยผานมา
เปน อยา งนั้น

นับแตธรรมขั้นกลางไปถึงขั้นนั้น ซง่ึ เปน ขน้ั ละเอียดไปโดยลาํ ดับแลว กําลังของ
โลกภายในใจออ นลงโดยลาํ ดบั แทบไมป รากฏ แตกําลังของธรรมมีมากขึ้นๆ จึงทําให
ความเพยี รหรอื การบาํ เพญ็ ทกุ ๆ ประโยค หมุนเปนธรรมจักรไปไดโ ดยไมรสู ึกฝนเลย

เมื่อถึงขั้นละเอียดยิ่งกวานั้น ตองไดคุยเขี่ยขุดคนหาตัวกิเลส เพราะกิเลสหมอบ
กเิ ลสหลบซอ นตามแบบฉลาดที่เคยครองไตรภพของมัน สติปญญาทันสมัยเกรียงไกร
เต็มที่ มแี ตท า จะฟาดฟน หน่ั แหลกถา ยเดยี ว หาคาํ วา แพไ มม ี คําวาทอถอยไมมี มีแต
ทาจะเอาใหแหลกแตกกระจายไปจากใจ ไมใหมีเหลือเลยแมแตนิดหนึ่งขึ้นชื่อวาสมมุติ
เพราะฉะนั้นจิตขั้นนี้จึงหาความทอถอยไมได หาความขเ้ี กยี จไมม ี มแี ตค วามขยนั หมน่ั
เพยี รและเปน นกั ตอ สโู ดยถา ยเดยี ว ตองรั้งเอาไว คาํ วา รง้ั คอื รง้ั ใจเขา สคู วามสงบใน
สมาธิ เพอ่ื พกั จากงานทช่ี ลุ มนุ วนุ วายกนั ไมม เี วลาํ่ เวลา ระหวางธรรมกับกิเลสตอสูกัน
ใหเขาสูสมาธิคือความสงบ เปน กาลเปน เวลาเพอ่ื สง่ั สมกาํ ลงั นเ่ี ปน ความเหมาะสม

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๒

๑๕๓

สาํ หรบั ผปู ฏบิ ตั ทิ ง้ั หลาย ควรถอื เปน แบบฉบบั ในการดาํ เนนิ สมถะและวปิ ส สนาจนถงึ
จดุ หมายปลายทาง

เม่ือพกั งาน ตามธรรมดาของจิตขั้นนี้ตองเสียดายงาน เสยี ดายการทาํ งาน ไม
อยากพักตัว แตจ าํ เปน ตอ งบงั คบั ทเ่ี รยี กวา รง้ั เอาไว เพื่อพักสงบในสมาธิ เมื่อพักสงบ
ใจก็มีกําลัง หยดุ ปรงุ แตงโดยทางปญญาทเ่ี คยนาํ ไปใชก ับกเิ ลสเสียในขณะนัน้ เหลอื
แตค วามรลู ว นๆ ทรงตวั อยใู นความสงบพอสมควร เมื่อรูสึกมีกําลังแลวก็ถอยจิตออก
เพื่อทํางานทางดานปญญาตอไป

จิตนั้นพอถอยออกเทานั้นจะวิ่งถึงงานทันที ไมม อี ะไรรวดเรว็ ยง่ิ กวา จติ ขน้ั นจ้ี าก
นน้ั กห็ มนุ ตว้ิ กบั งานโดยลาํ ดบั ๆ นน่ั เมื่อถงึ ข้ันน้ีแลว ไมมคี าํ วา ขเี้ กยี จ นอกจากจะพูดวา
ขน้ั ขยนั เกนิ คาดเทา นน้ั ซ่ึงเปน คําเหมาะสมกับจิตขั้นนี้ กิเลสหมอบ ตองคุยเขี่ยขุดคน
กนั เสียจนเตม็ ท่ีเตม็ ฐาน ซงึ่ กเ็ ปนงานอันหนึ่ง พอเจอกิเลสก็ตอสูกับกิเลส นี้ก็เปนงาน
อนั หนง่ึ

การคยุ เขย่ี หากเิ ลสกเ็ ปน งานประเภทหนง่ึ เวลาเจอกนั แลว ตอ สกู นั ก็เปนงานอัน
หนง่ึ จติ ขน้ั นจ้ี งึ ไมม เี วลาวา งงาน ดังที่โลกพูดกันวา คนวา งงาน นั่นคือคนขี้เกียจทํางาน
นน่ั เอง จนไดชัยชนะ หมายความวา เขา ใจเรอ่ื งกเิ ลสแตล ะชนดิ หลุดลอยออกไปจากใจ
แนใ จ เห็นประจักษไปเปนพักๆ แลว คยุ เข่ียไปอกี ขุดคนอีก เจออีกสูอีกอยูอยางนั้น น่ี
คือปญญาขั้นอัตโนมัติ หมนุ ตวั ไปเอง ผปู ฏบิ ัตถิ า ลงปฏบิ ัติถึงข้นั น้แี ลว ใจจะไมมีเวลา
วา งงาน งานจะเปนไปอยูตลอดอิริยาบถ เวน เสยี แตห ลบั แมแตหลับก็ยังไมอยากจะ
หลบั บางคนื ตลอดรงุ เอาเฉยๆ ไมยอมหลับเลย เพราะจิตยังทาํ งานอยางเพลินตัวกลัว
ไมหลุดพน

ดว ยเหตนุ จี้ งึ ตอ งไดรัง้ จติ ยับย้ังจติ เขา สูสมาธิ เพื่อใหจิตมีความสงบ ขั้นนี้พูด
ตามธรรมะปา เราเรยี กวา เพลนิ ในความเพยี ร และเขา กันไดกับคาํ วาทอ่ี ทุ ธจั จะ ใน
สงั โยชนเ บอ้ื งบน คอื ความฟุง ความเพลนิ ในความเพยี ร วุนอยูกับกิเลส ตอสูกับกิเลส
พุงตัวออกไปตอสูกับกิเลสอยูตลอดเวลา ไมใชฟุงซานแบบโลกๆ แลว เกดิ ความรําคาญ
แบบโลกๆ อยางนั้น ผิดกันคนละโลก นาํ มาเทยี บกันไมไ ด

ฟุงในสถานที่นี้หมายถึงการออกตอสูกับกิเลสนั่นเอง จนลืมเนื้อลืมตัว ลมื เวลาํ่
เวลาความเหนด็ เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา ไปหมด ลกั ษณะนท้ี า นวา อทุ ธจั จะ เมือ่ จติ ผานไปแลว ถึง
จะรไู ดว า ออ ตรงนน้ั คอื จดุ นน้ั ถายังไมผานก็ยังไมรู เชน การพกั จติ ในเรอื นสมาธิ เมอ่ื
มนั จะตายจรงิ ๆ ก็มาพกั เสียทหี นึง่ ทั้งๆ ที่ไมอยากพักก็ตองจําใจพัก เพราะจิตมัน
เหนอ่ื ยมากจรงิ ๆ แตถึงจะเหนื่อยก็ไมถอยนี่ ถาเปนสิ่งที่ตายไปไดมันก็ตายไดจริงๆ
เพราะความเหนด็ เหนอ่ื ยเตม็ ประดาเกนิ กวา จะทนได แตจติ ไมใชเ ปน ของตาย มีแต

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๓

๑๕๔

ความเหนด็ เหนอ่ื ยความเพลยี ภายในจติ เทา นน้ั จิตไมไดตาย จึงตองพาเขาสูสมาธิเพื่อ
พักสงบอารมณวปิ ส สนา ใหมีกําลังดานสมาธิ

พอถอนออกจากสมาธิแลว จิตใจจะรูสึกมีกําลังขึงขังตึงตัง นเ่ี หน็ คณุ คา ของ
สมาธเิ ปน เครอ่ื งสนบั สนนุ ปญ ญาไดเ ปน อยา งดี ทา นจงึ กลา วไวใ นอนศุ าสนน น้ั วา สมาธิ
ปริภาวิตา ปฺญา มหปฺผลา โหติ มหานสิ สํ า ปญญาอันสมาธิอบรม อันสมาธิหนุน
หลงั พูดงายๆ มสี มาธเิ ปน เครอ่ื งหนนุ แลว ยอมทํางานไดผลเปนที่พอใจไปโดยลําดับ น่ี
พดู เอาความเปน อยา งน้ี

สมาธจิ งึ มคี วามจาํ เปนตลอดสาย จนกระทง่ั ถงึ วาระสดุ ทา ย สมาธิจะละไปไมได
ถึงกาลพักตองพัก เชน เดยี วกบั เราทาํ งาน เวลาทาํ งานก็ต้งั หนาตงั้ ตาทําเต็มเม็ดเตม็
หนว ย ถึงเวลาพักก็ตองพัก รบั ประทานอาหารพกั ผอ นนอนหลบั พกั เอากาํ ลงั วงั ชา ถึงไม
ไดงานไดการอะไรจากการพัก แตก็ไดกําลังสําหรับดําเนินงานในกาลตอไปไดโดย
สะดวก สมาธิกับปญญาจึงมีความเกี่ยวโยงกันอยางแยกไมออก

ทีนี้ ปฺญาปริภาวิตํ จิตฺตํ สมมฺ เทว อาสเวหิ วมิ จุ จฺ ติ นั่น จิตอันปญญาอบรม
แลว จิตอันปญญาซักฟอกแลว พูดตามความถนัดใจทางภาคปฏิบัติ ยอ มหลดุ พน จาก
กิเลสทั้งปวงโดยชอบ เพราะฉะนน้ั ศลี สมาธิ ปญญา จึงแยกกันไมออก พระพุทธเจา
ทรงเปน ผบู ญั ญตั เิ องเพอ่ื สว นรวมเปน สาธารณะ คาํ วา ศีล สมาธิ ปญญา มีความเกี่ยว
โยงกันอยางนี้

จะใชแ บบสมัยจรวดดาวเทยี มตัดทอนเอาตามความตองการ (ของกิเลส มิใช
ของธรรม) ยอมไมได ตองใหเปนไปตามหลักความจริงที่ทรงบัญญัติไวแลว

แตส มาธขิ องใครจะเดนขนาดไหนนั้น เปนไปตามจริตนิสยั เรอ่ื งความสงบเพ่อื
จะเปน บาทฐานแหง ปญ ญานน้ั มคี วามจาํ เปน เสมอกนั ไมใหม ีสมาธเิ ลยแตจะใหเปน
ปญญาลวนๆ ไปเลยนน้ั เปนไปไดยาก หรืออาจเปนไปไมได แมแ ตข ปิ ปาภญิ ญา ก็ยังมี
ความสงบแฝงอยูในระยะเดยี วกัน

อยางนอยตองใหมีจิตสงบ เมื่อจติ สงบแลว กเ็ รียกวา จิตอ่มิ ตวั พอประมาณ หรอื
จิตอิ่มตัว เหมอื นกบั เราไดร บั ประทานแลว แลว ตง้ั หนา ทาํ งานใหอ ยา งเตม็ เมด็ เตม็
หนว ยไมเ ถลไถล ไมค วา โนน ควา นเ้ี หมอื นจติ ทไ่ี มม คี วามสงบ เต็มไปดวยความฟุงซาน
ราํ คาญ พจิ ารณาใหเ ปน ปญ ญากก็ ลายเปน สญั ญาอารมณไ ปเสยี เพราะจิตไมอิ่มตัว
ฉะนน้ั การอบรมสมาธจิ งึ มคี วามจาํ เปน ในขน้ั เรม่ิ แรก

สมาธิข้ันใดกต็ ามมีความจําเปนตอปญ ญาข้นั นัน้ ๆ อยาไปคิดวาไดสมาธิเต็มที่
แลว จงึ จะพจิ ารณาปญ ญา นน้ั เปน ความคดิ ผดิ ความสงบขนาดใดกค็ วรแกป ญ ญาขนาด
นน้ั บางครั้งปญญายังตองมาอบรมจิตใหเปนสมาธิก็ยังมี ดงั ทเ่ี ขยี นไวแ ลว นน้ั นน้ั เปน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๔

๑๕๕

ชว่ั ระยะกาลทเ่ี ราจะนาํ มาใช ไมใ ชเ ปน ธรรมพน้ื เพเสมอไป เปน ธรรมเสมอไป เฉพาะ
สมาธิอบรมปญญา ดงั ทท่ี า นกลา วไวแ ลว นน้ั

ทก่ี ลา วมาเหลา น้ี ไดเ ริม่ กลาวต้ังแตเร่ืองความหนักใจ ความทอถอยออนแอ
เกย่ี วกบั เรอ่ื งการงาน ในเบอ้ื งตน เปน การลาํ บาก ทําใหเกิดความทอถอยนอยใจ อาจคดิ
ไปวา ตนไมมวี าสนาบา ง ตนมวี าสนานอ ยบา ง ซง่ึ เปน เรอ่ื งใหเ กดิ อปุ สรรคตอ การดาํ เนนิ
ไมเต็มเม็ดเต็มหนวย

ความจรงิ เรามอี ปุ นสิ ยั วาสนามาดว ยกนั ทกุ คน เวลานเ้ี รากไ็ ดเ ปน พระตง้ั หนา มา
บวชในพระพทุ ธศาสนาดว ยศรทั ธาความเชอ่ื ความเลอ่ื มใส กเิ ลสกม็ ปี ระเภทเดยี วกนั กบั
ครั้งพุทธกาล ไมไดนอกเหนือไปจากนั้นเลย ธรรมะทเ่ี ปน เครอ่ื งปราบกเิ ลส คอื ศีล
สมาธิ ปญญา เปน ตน กเ็ ปน ธรรมะทเ่ี คยปราบปรามกเิ ลสใหส น้ิ ซากมาแลว ต้งั แตคร้ัง
พุทธกาลจนถึงสมัยนี้ ไมม คี าํ วา ลา สมยั ธรรมเหลา นแ้ี ลเปน ธรรมทท่ี นั กบั กเิ ลสทกุ
ประเภท ขอใหน าํ มาใช เฉพาะอยางยิ่งสติกับปญญา ใหถือเปน ธรรมจาํ เปน อยางยิง่ มี
ความเพยี รเปน เครอ่ื งหนนุ หลงั เราจะเหน็ แดนแหง ความพน ทุกขข ้ึนทใ่ี จโดยไมสงสัย
เพราะความพากเพยี ร

ใจทเ่ี คยอดั อน้ั ภายในตวั เองเพราะอาํ นาจแหง กเิ ลสบบี บงั คบั เมอ่ื ไดร บั การบกุ
เบกิ ดว ยความเพยี ร มีสติปญญาเปนเครื่องมือแลว จติ ใจจะคอยเบิกกวางและส่งิ เหลา
นั้นจะเพิกถอนออกไป จติ ใจจะเกดิ ความโลง โถงสวา งไสวภายในตน มคี วามสะดวก
สบาย อยูท่ไี หนก็สบาย เพยี งแตข น้ั สงบเทา นน้ั เรากส็ บาย มีตนทุนพอไดอาศัยบางแลว

จงพจิ ารณาทางดา นปญ ญาดงั ทเ่ี คยอธบิ ายใหฟ ง แลว อบุ ายวธิ แี หง การพจิ ารณา
ทางดา นปญ ญานน้ั ขนึ้ อยกู ับจรติ นสิ ัยของทานผูใดจะควรคิดคน ขน้ึ มา ใหเ ปน ความ
ถนัดเหมาะสมกับจริตจิตใจของทานผนู ัน้ และเปนสิ่งที่จะทําใหกิเลสหลุดลอยออกไปได
นั้นเปนอุบายที่ถูกตองดวยกัน อยาคอยกวาดตอนเอาตามแบบตามแผน ตามตาํ รบั ตาํ
รามาแกก เิ ลสโดยถา ยเดยี ว จะไมทันกาลไมทันกับกิเลสที่นอกจากคัมภีรมีเยอะแยะ ไม
ใชวากิเลสจะโง ไปนอนคอยตายกองกันอยูในคัมภีร ใหเ ราไปฟาดไปฟน มนั ดว ยมรรค
ซง่ึ อยใู นคมั ภรี เ ดยี วกนั นน้ั ใหก เิ ลสฉบิ หายตายไปหาไดไ ม

กเิ ลสมนั อยนู อกคมั ภรี  เขา มาอยใู นหวั ใจเรานท้ี ง้ั สน้ิ เพราะฉะนน้ั ปญ ญาจงึ ผลติ
ขึ้นใหทันกัน เราไดเ งอ่ื นไดห ลกั ฐานมาจากการศกึ ษาเลา เรยี นพอประมาณแลว จงนาํ
มาตีแผออกแตละแขนงๆ ใหเ ปน อบุ ายวธิ กี ารของตนเอง นาํ มาใชฆ า กเิ ลส ปราบกเิ ลส
ภายในใจ นช่ี อ่ื วา เปน ผมู คี วามแยบคายไปตามจรติ นสิ ยั ของแตล ะรายๆ ท่คี วรนํามาใช
สาํ หรบั ตน ซึ่งถูกตองดวยกันทั้งนั้น

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๕

๑๕๖

อริ ิยาบถทง้ั สี่ ยนื เดนิ นั่ง นอน ขอใหมสี ติอยโู ดยสมา่ํ เสมอ แมจะไมได
พิจารณาอะไร ความรูสึกตวั ใหเ ปน สมั ปชญั ญะ พยายามฝกใหด ี เมอ่ื สตมิ คี วามสบื เนอ่ื ง
อยูกับตัว ทา นเรยี ก สมั ปชัญญะ ถา นกึ รเู ปน ขณะๆ ไปเรยี กวา สติ ถาละเอียดเขาไปจน
ถึงกับเปนอัตโนมัติของสติของปญญาแลว ทา นกเ็ รยี ก มหาสติ มหาปญ ญา เพราะเปน
ไปไดอยางนั้นจริงๆ

สติเมื่อถึงขัน้ แกกลาสามารถ ปญญาเมื่อถึงขั้นฉลาดแหลมคมแลว คนเราไมไ ด
โงอยูตลอดเวลา มันฉลาดไดดวยกันทั้งนั้น ยิง่ ถึงคราวจนตรอกจนมุมดว ยแลว สติ
ปญญาจะหมุนรอบตัว ใครจะไปยอมจนตรอก ใครจะไปยอมตายเฉยๆ ทั้งๆ ที่สติ
ปญญาพอที่จะคิดคนหามาแกไข พอเล็ดลอดไปได ยงั มอี ยภู ายในหวั ใจ ใครจะไปยอม
ตายเปลา ๆ แบบโงๆ ตอนนั้นละตอนสติปญญาเกิดและพลิกแพลงแกไขเอาตัวเล็ดลอด
ไปได และไดห ลกั ฐานพยานยนื ยนั อยา งองอาจกลา หาญในวาระตอ ไป ขอใหพากันตั้ง
อกตั้งใจใชหัวคิดปญญาใหเกิดความฉลาด

ใหม คี วามหา วหาญตอ แดนพน ทกุ ข สิ่งอื่นๆ ก็เคยไดพบไดเห็นไดสัมผัส
สมั พันธมาแลวดังทไี่ ดพ ูดแลวนัน้ แล เรื่องของโลกไมมีใครโกหกใครได เพราะตา งคน
ตา งเคยสมั ผัสสัมพันธม าดว ยกนั โทษคณุ ขนาดไหนกเ็ หน็ แลว ดว ยใจของเรา สว นธรรม
นเ้ี รายงั ไมเ คยรเู คยเหน็ ทา นผวู เิ ศษเสยี ดว ยเปน ผแู สดงไว แตเ รากย็ งั ไมเ คยรเู คยเหน็
อยางทาน

ผูวิเศษคือใคร ก็คือ พระพุทธเจา เปน ผทู รงคน พบธรรมอศั จรรย ธรรมอศั จรรย
นผ้ี จู ะรบั ทราบ ผจู ะรบั รอง ผจู ะยนื ยนั ผจู ะทรงรสชาตธิ รรมอศั จรรยน น้ั กค็ อื ใจ คาํ วา
ตรสั รธู รรมหรอื บรรลธุ รรมกต็ รสั รทู ใ่ี จบรรลทุ ใ่ี จ ฆา กเิ ลสหมอบราบไปหมดแลว เหลอื
แตธ รรมลว นๆ เต็มพระทัยเต็มหัวใจ นน่ั แหละทเ่ี รยี กวา ศาสดาองคว เิ ศษ สาวกองค
วเิ ศษ

ธรรมะทก่ี ลา วไวว า ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขนั ธน น้ั มพี อประมาณเทา นน้ั ไมไดมาก
มายอะไรเลย ถาตามภูมิของศาสดาแลว ทรงสั่งสอนโลกมากตอมาก สอนอยูถึง ๔๕
พระพรรษาจงึ เสดจ็ ปรนิ พิ พาน ธรรมจะมเี พยี ง ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธเทา นนั้ จะทัน
กับโรคกิเลสตัณหาของสัตวทั้งสามโลกธาตุนี้ไดอยางไร ถาธรรมไมมากมายยิ่งกวานั้น
เปนไหนๆ ธรรมตองมีมากตอมากสมภูมิศาสดานั่นแล จึงจะทันกับกิเลสของสัตวซึ่งมี
มากตอมากดวยกัน คือ มีมากทั้งมวลสัตว มมี ากทง้ั กเิ ลสบนหวั ใจสตั วโ ลก การสั่งสอน
ของพระพุทธเจาก็ไมซ้ํารอยกัน นอกจากจริตนิสัยของสัตวโลกจะซ้ํารอย อบุ ายวธิ กี าร
แหงธรรมที่ทรงแสดงออกจึงจะซ้ํากัน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๖

๑๕๗

วันคืนหนึ่งสัตวโลกมาเกี่ยวของกับพระองคมีมากตอมากถึงสามโลกธาตุ นับแต
วนั ตรสั รแู ลว ทรงสง่ั สอนโลกจนถงึ วนั เสดจ็ ปรนิ พิ พาน มสี ตั วโ ลกมาเกย่ี วขอ งอยา ง
มหาศาล ธรรมตอ งเปน ธรรมมหาศาลจงึ จะสมดลุ กนั การสั่งสอนก็สอนไปตามจริตนิสัย
ของนานาจิตตัง ธรรมจึงไมอ าจซา้ํ กนั ไดถ า จรติ ไมเ หมอื นกนั

ลงเปน ศาสดาสอนโลกแลว ตอ งเปน คลงั แหง ธรรม สอนโลกอยางไมอัดไมอั้น
เต็มภูมิศาสดา สัตวโลกจึงสนุกตักตวงผลประโยชนจากคลังแหงธรรมของศาสดา โดย
สาํ เรจ็ เปน พระโสดาบา ง ไมเ ปน โสดน โสเดาดงั เราๆ ทา นๆ ทีเ่ ปน กนั อยู สาํ เรจ็ เปน
พระสกทิ าคาบา ง เปน พระอนาคาบา ง เปน พระอรหนั ตบ า ง ไมขาดวรรคขาดตอนตลอด
วนั นพิ พาน ธรรมเพื่อสัตวโลกจําตองมากพอแกเหตุการณ

พวกเราเพยี งตวั เทา หนนู ก้ี ล็ องใหร ซู ิ รอู รรถรธู รรมขน้ึ ภายในใจ ตองพูดไดอยาง
เตม็ ปากและอาจหาญ ควรทจ่ี ะนาํ ธรรมมาอบรมสง่ั สอนลกึ ตน้ื กวา งแคบ หยาบละเอยี ด
ตองพูดไดเต็มปากไมกระดากอาย เพราะไดรูไดเห็นทั้งเหตุทั้งผลเต็มภูมิของตนมาแลว
ดวยกนั ทําไมจะพูดจะแนะนําสั่งสอนกันไมได ตองไดโดยไมสงสัย ธรรมจรงิ ภายในใจ
กบั ธรรมจดจาํ มาจากตาํ รา ความรวดเรว็ ทนั เหตกุ ารณต า งกนั อยมู าก พูดก็สาธุ มิได
ประมาทการเรยี นเพราะเรากเ็ คยเรยี นมา พอดนเดาไดบาง แตจะยกภาษิตแตละบท
ออกแสดง กลบั วง่ิ เขา ตาํ ราหมด สดุ ทา ยกค็ วา ธรรมะปา ออกมาดนเดาตามประสีประสา
พอผา นรอดตวั ไปเปน คราวๆ นน่ั แล

เพยี งเทา นก้ี พ็ อใหท ราบไดว า พระพุทธเจาซึ่งเปน จอมศาสดานั้น ทรงแสดง
ธรรมแกโลกมีธรรมประมาณเทาไร ตองมีขนาดครอบโลกธาตุนะซิ ไมอยางนั้นก็ไมทัน
กับกิเลสของสัตว กเิ ลสกจ็ ะหาเรอ่ื งตาํ หนเิ อาวา ภูมิธรรมของศาสดาสูภูมิกิเลสของมาร
ไมได เปน ศาสดาองคบ กพรอ งในธรรมนโยบายการสง่ั สอน แตก เิ ลสหมอบราบทง้ั สน้ิ
เพราะนโยบายแหง ธรรมของพระองค จงึ แนใ จวา พระธรรมมีมากเต็มภูมิของศาสดาซึ่ง
นอกจาก ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธออกไป

นี่ก็พยายามอบรมส่ังสอนหมูเ พือ่ นเพอื่ ใหไดหลักไดเกณฑ ผูมาใหมก็มีผูอยูเกา
ก็มี จงตั้งอกตั้งใจปฏิบัติ อยา มาแบบเถลไถล มาสักแตมา อยูสักแตอยู ไปสักแตไปไม
ไดเรอื่ งไดราว และมาเอาชอ่ื เอานามเอาเกยี รตยิ ศชอ่ื เสยี ง วา เคยไปอยกู บั อาจารยน น้ั
เคยไปอยกู บั อาจารยน ี้ ไปจบั จา ยขายกนิ อยางนั้นก็ยงิ่ เลวไปใหญ ไมตรงกับความมุง
หมายของผรู บั และใหก ารอบรมเพอ่ื อรรถเพอ่ื ธรรมดว ยความบรสิ ทุ ธใ์ิ จ แกบ รรดาทา น
ผูมาอาศัย เพราะฉะนน้ั จงเหน็ ใจ ไดพยายามแนะนําสั่งสอนเพื่อนฝูงมาเต็มสติปญญา
กาํ ลงั ความสามารถ ไมว า ธรรมะขั้นใดภมู ิใด ไมเ คยมกี ารปดบงั ลีล้ บั ไวแ มแ ตน อยเลย
เปดเผยใหฟงทุกแงทุกมุมเพื่อเปนคติเพื่อเปนอุบายเพื่อเปนกําลังใจ และดาํ เนนิ ตาม

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๗

๑๕๘

หลักธรรมที่สอนดวยความแนใจวาไดสอนโดยถูกตองแลวทุกขั้นแหงธรรม คําวา พุทธ

บชู า ธรรมบชู า สังฆบูชา นน้ั จงพลชี พี ดว ยการปฏบิ ตั บิ ชู าทา นจรงิ ๆ ผลแหงการพลชี พี

นน้ั จะเปน ธรรมอศั จรรยข น้ึ ทใ่ี จแทนศาสดา ประหนึ่งพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ

ประทบั อยตู รงหนา เราขณะนแ้ี ล

จึงขอยุติเพียงเทานี้

<<สารบัญ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๘

๑๕๙

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๑๒ ธนั วาคม พุทธศักราช ๒๕๒๒

การบวชเปน ของยาก

การบวชทา นกลา วไวว า บวชไดย าก บวชแลว การประพฤตติ ามธรรมวนิ ยั ก็เปน
ของยาก การจะดาํ เนินทางดา นจิตใจของนกั บวช เพอ่ื รแู จง เหน็ จรงิ ตามหลกั ธรรมของ
พระพุทธเจาก็เปนของยาก ทําไมจึงเปนของยาก เพราะกิเลสไมใชของงายดาย กเิ ลส
เปน สง่ิ ทเ่ี หนยี วแนน มน่ั คงมาก การประพฤติปฏิบัติเพื่อถอดถอนหรือตอสูกับกิเลสจึง
เปนของยากทุกๆ ประโยคไป ความเปน นกั บวชกค็ อื ความเปน นกั รบ เปนนกั ตอสูกบั ส่งิ
ที่เปนขาศึกแกจิตใจของตน ไมวาจะเปนครั้งใดสมัยใดก็ตาม หลักความจรงิ มมี าอยาง
นน้ั

กิเลสไมเคยมีความออนแอทอถอย พอที่จะชําระมันไดอยางงายดาย กิเลสมี
ความขยัน มีความเขมแข็ง มคี วามฉลาดแหลมคมมาก เวลาครอบหวั ใจสัตว จึงทําให
สตั วข ยนั ขนั แขง็ และฉลาดไปตามเพลงขับกลอมของมัน แตขี้เกียจออนแอทอแทเหลว
ไหลและโงเ ขลาในสง่ิ ทเ่ี ปน ธรรมเปน สารประโยชนท ง้ั หลาย เพราะกเิ ลสเปน ขา ศกึ เปน
คูแ ขงกบั ธรรม คือความดีงามทงั้ หลายมาแตก าลไหนๆ ไมเคยลงรอยกันเลย กําลังทุก
ดานของกเิ ลสมมี ากไมมีเวลาบกบาง จงึ สามารถครองหวั ใจสตั วโ ลกเรอ่ื ยมา

เรามงุ หนา มาบวชในพระพทุ ธศาสนา กวา จะไดบ วชกเ็ ปน ของยาก บวชแลว จะ
รกั ษาสกิ ขาบทวินยั ซ่งึ เปนการขดั ตอนิสัยเดิมอนั เปนนสิ ัยของกเิ ลส ก็ตองเปนของยาก
เพราะตองตอสูกับกิเลสที่ฝงจมภายในใจ จนกลายเปน นสิ ยั มานานแสนนาน ตอง
ระมดั ระวงั รกั ษากายวาจาใจทเ่ี คลอ่ื นไหวไปมาอยเู ปน นจิ ศลี นจิ ธรรม ใจจงึ จะเปน ธรรม
ขึ้นมาไดตามใจหวัง แตจะเพราะเหตุผลกลไกอะไรก็ตาม มักมีกิเลสแทรกอยูเสมอ ภาย
ในอาการของจิตอาการของกายที่แสดงออกมา เม่ือเปน เชนนกี้ ารประพฤติปฏิบตั ิจงึ
เปนของยาก และมักเปดชองใหฝายต่ําย่ํายีตีตอยอยูเสมอ

โลกที่ไมรูพิษภัยของกิเลสหรือไมรูกลไกของกิเลสที่ฝงอยูภายในใจ และยอม
จาํ นนตอ สง่ิ เหลา นโ้ี ดยไมร สู กึ ตวั อยแู ลว จึงประพฤติปฏิบัติกันยาก เกือบรอ ยทง้ั รอย
มักทอถอยออนแอ การที่จะบึกบึนหรือตะเกียกตะกายเพื่อแกและถอดถอนกิเลส เพื่อ
ความหลดุ พน นน้ั เราพอทราบกนั ทกุ องค เพราะไดเร่ิมปฏิบตั มิ าดวยกัน วา ระหวา ง
กเิ ลสกับธรรมซึง่ มอี ยูในใจดวงเดียวน้ี แกและถอดถอนกันยากยิ่งกวาถอดถอนหัว
หนามออกจากฝาเทาเสียอีก การฝกฝนอบรมและทรมานตนก็คือการตอสูกับกิเลส ซึ่ง
เปน ผเู คยเสย้ี มสอนใจใหเ ชอ่ื มนั อยา งฝง จมมาเปน เวลานาน จึงเปนของยากลําบาก แต

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๕๙

๑๖๐

อยา ลมื วา ความเลศิ แหง ธรรมมคี ณุ คา และนาํ้ หนกั มากกวา ความลาํ บากทางความเพยี ร
เปนไหนๆ

การอตุ สาหพยายามประพฤตปิ ฏิบัติธรรมทางดานจติ ใจ ทเ่ี รยี กวา การแหวกวา ย
จากกิเลสไปแตละขั้นละตอนนั้น ตองเปนของยากลําบากไปตามจังหวะแหงการตอสู
เพราะกเิ ลสไมวา ประเภทใด ตองเปน สิ่งทีเ่ หนียวแนน แกน นักสูด วยกัน มันเกาะอยูก บั
จิตไมยอมปลอยวางเอางายๆ ถาอบุ ายวธิ ีและการปราบปรามมีกาํ ลงั ไมพอ ตองยอม
แพมันโดยไมตองสงสัย นท่ี า นวา การบวชกย็ าก บวชแลว การประพฤตพิ รตพรหมจรรย
ใหเ ปนไปตามสกิ ขาบทวินยั ก็ยาก การจะตะเกียกตะกายตนใหหลุดพนไปตามทางสันติ
ธรรมทท่ี า นทรงสอนไว กอนที่จะหลุดพนไปไดก็ตองตอสูกับกิเลสอยางเต็มสติกําลัง
ความสามารถ ซึ่งก็พนจากความยากลําบากไปไมได เมอ่ื รวมความแลว ยากดว ยกนั ทง้ั
นน้ั

แตการยากของผูเชื่อธรรมวินัยของพระพุทธเจาก็ไมยากจนสุดวิสัย เพราะทา นผู
ไดชัยชนะที่ผานไปแลว สว นมากลว นผา นไปดว ยความยากลาํ บากนน่ั แล เพราะการ
ปราบกเิ ลสทกุ ประเภทซง่ึ เปน สง่ิ ทป่ี ราบยาก ทา นกเ็ คยไดป ราบปรามมาแลว ทุกขขนาด
ไหนทานก็เคยทุกขมากอนแลว ทาํ ใหเ หน็ ประจกั ษพ ยานเปน อยา งดี

ไมว า กเิ ลสประเภทใด เกาะอยใู นหวั ใจใด จะตอ งมคี วามเหนยี วแนน มน่ั คง มี
ความฉลาดแหลมคมเกนิ กวา จติ จะระลกึ รไู ดว า ผดิ หรอื ถกู วา เปน โทษเปน คณุ ประการ
ใดบา ง ถาไมใ ชธ รรมมีสตแิ ละปญญาธรรมเปนตน เขา พสิ ูจนทดสอบกัน ซึ่งทานก็พา
ดาํ เนนิ วธิ กี ารเหลา นม้ี าแลว

ขัน้ จะทําจติ ใหมีความสงบเปนสมาธกิ ย็ าก ไมใชเรื่องเล็กนอย แตเ มอ่ื พยายาม
ตามหลกั ธรรมจรงิ ๆ แลว กไ็ มย ากจนเกนิ กาํ ลงั เพราะความตอ งการ ความอยาก ความ
หวงั ความมุงมัน่ แตล ะอยางซ่ึงเปนกําลังใจมีอยูภายในใจเราแลว ก็พอฟดพอเหวี่ยงกัน
ไปไดทุกขั้นทุกภูมิของอรรถของธรรมและทุกประเภทของกิเลส ไมนอกเหนือไปจากสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี รซง่ึ เปน อาวธุ อนั สาํ คญั นไ้ี ปไดเ ลย

ดวยเหตุน้จี งึ ตอ งพยายามเพือ่ แหวกวายตนใหออกจากวัฏวน คอื หมนุ ไปเวยี น
มาดว ยการเกดิ แกเ จบ็ ตาย ซึ่งลวนเปนเรื่องของกองทุกข โปรยไปตามระยะทางไมขาด
วรรคขาดตอน เหมอื นเขาโปรยขา วตอกตามทางนน่ั แล นี่แลเรื่องทุกขที่มันติดสอยหอย
ตามไปในชาตคิ วามเกิด ชราความแก มรณะความตาย เปน เชน น้ี

การฝกฝนอบรมการทรมานนัน้ ไมมีการฝกฝนการทรมานสัตวตัวใด ยากยิ่งกวา
การฝก ฝนทรมานมนษุ ยค อื เราแตล ะรายๆ นเ่ี ลย พระพุทธเจาก็ทรงเปนมนุษยคนหนึ่ง
ถาใหนามตามขั้นมนุษยตามศักดิ์ศรีของมนุษยตามเกียรติของมนุษย กใ็ หน ามวา พระ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๐

๑๖๑

องคเปนกษัตริย แตกิเลสมนั ไมไดนิยมวาเปน คนช้ันใด มนั คงเปน กเิ ลสและเหยยี บยาํ่
ทําลายหัวใจของคนของสัตว ทุกขั้นทุกภูมิทุกชาติชั้นวรรณะ โดยไมสะทกสะทานเลย
เมือ่ เปน เชนนัน้ จะไมยากไมล ําบากไดอ ยางไร ในการปลดเปลอ้ื งกเิ ลสหรอื สลดั กเิ ลส
ออกจากใจ เพราะมนั เคยเกาะกนิ หวั ใจมานานจนไมอ าจประมาณได

ทัง้ เบ้ืองตนเบื้องปลายแหงความเปน มาของสตั วของบุคคลแตล ะราย เพราะ
ความยดื ยาวดว ยทกุ ขเ ปน สายยาวเหยยี ดมาดว ยกนั กบั ชาตคิ วามเกดิ ชราความแก
พยาธิความเจ็บไขไดปวย ตลอดถึงความตาย นี่เรื่องของทุกขก็ติดสอยหอยตามกันมา
ไมอาจกําหนดไดวาเปนทุกขมาแตเมื่อไหร เคยเกดิ เคยตายมาแตเ มอ่ื ไหรจ นถงึ ปจ จบุ นั
น้ี

ที่ยืดยาวที่สุดไมมีอะไรเปนคูแขงได ก็คอื ความหมุนเวียนเกดิ ตายท่เี ต็มไปดว ย
ความทกุ ขท รมานของสตั วผ มู กี เิ ลสเปน เจา อาํ นาจครอบงาํ ใจนน่ั แล เปนเพียงเจาของไม
อาจจดจาํ ความเปน มาของตนไดเ ทานัน้ จึงไมนึกขยะแขยงและกลัวกัน แมค วามระลกึ
ไมไ ดนัน้ กค็ อื กเิ ลสน่ันแลทําใหหลงลมื ในความเปน มาของตน มคี วามทกุ ขค วามลาํ บาก
ยากจนเขญ็ ใจขนาดไหน กเิ ลสกป็ ด บงั ซอ นไวไ มใ หเ จา ตวั รเู หน็ ตางจึงทนทุกขทรมาน
กันมาดว ยความมดื บอดสุมเดา ไมอาจมองเห็นจุดหมายปลายทางได

ถา คนเราแตล ะรายๆ ทราบวถิ ีความเปน มาของตนในเร่ืองการทอ งเที่ยว ไดแก
ความเกดิ ที่นนั่ ตายที่น่ี ซึ่งกลมกลืนไปกับความทุกขไดบาง ความทราบนั้นก็จะกระจาย
ไปถงึ เร่ืองความทกุ ขความลาํ บากทง้ั หลายทตี่ นไดเ คยประสบเคยรู เคยเหน็ มา ก็พอจะ
มแี กใ จอตุ สา หพ ยายามแหวกวา ย ใหหลุดพนจากแหลงแหง วฏั วนอนั น้ีไปไดเปนรายๆ
เปน คณะๆ อนั เปน ความรวดเรว็ กวา ทเ่ี ปน มาและเปน อยนู ไ้ี มน อ ยเลย เพราะความตน่ื
ตัวกลัวทุกขกลัวภัยเปนสาเหตุใหตะเกียกตะกายกัน

นถ่ี งึ เราไมท ราบกต็ าม ผูที่เปนสักขีพยานของเราก็คือองคศาสดา ธรรมท่ี
ประกาศสอนไวก็ออกมาจากศาสดาองคเอก ที่ทรงรูทรงเห็นตามความจริงทุกอยางมา
แลว วา สตั วท ง้ั หลายเวยี นวา ยตายเกดิ อยใู นวฏั สงสารไมม ปี ระมาณ ไมนอกเหนือไป
จากวฏั วนนไ้ี ปได เพราะเปนที่อยูที่รวมของสัตวที่มีกิเลสพาใหเกิด-ตาย บรรดาสตั วท ม่ี ี
กิเลสจะตองเปนอยางนี้ดวยกัน สงิ่ ตายตวั ทจี่ ะพาใหส ตั วเ กดิ และตาย ตลอดถึงไดรับ
ความทกุ ขค วามลาํ บากตา งๆ กค็ อื เรอ่ื งอวชิ ชากเิ ลสประเภทละเอยี ด พาใหเ ปน มาโดย
ลาํ ดบั ลาํ ดาไมข าดวรรคขาดตอนแหง ภพชาติ จนถงึ ปจจบุ นั ชาติทก่ี าํ ลังเปนอยเู วลานี้

เราถอื องคศ าสดาและศาสนธรรมทท่ี า นตรสั ไวน น้ั มาเปน สกั ขพี ยาน ตาเราไม
สามารถมองเหน็ เรอ่ื งความเปน มาของเรา หู ใจเราไมส ามารถรเู รอ่ื งรรู าวความเปน มา
ของตน ก็พึงยึดเอาหลักธรรมของทานมาเปนหูเปนตา เปน เครอ่ื งประดบั ใจ เครื่องสอง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๑

๑๖๒

ใจเพื่อกาวไปตามนั้น ยอมจะเห็นทางออกจากวัฏทุกขโดยลําดับไมอับจน เรอ่ื งเกดิ ตาย
กจ็ ะไมส งสยั เพราะเปน ความจรงิ อยา งตายตวั ไมมีอะไรมาลบลางได นอกจากธรรมคือ
ววิ ฏั ธรรมเปน ตน

การเกดิ ในภพนอยภพใหญ เปลย่ี นภพเปลย่ี นชาตเิ ปน สตั วเ ปน บคุ คล เปน เปรต
เปนผี เปน ยกั ษเ ปน มาร เปน เทวบตุ รเทวดาอนิ ทรพ รหม ก็อยูในวงแหงวัฏจักรของคน
และสัตวทีม่ กี ิเลสดวยกัน ไมนอกเหนอื จากธรรมท่ีพระพทุ ธเจาทรงตรสั ไวไ ปไดเ ลย
ฉะนน้ั จงยดึ ธรรมมาเปนหลกั ใจ เปน เครอ่ื งสอ งทาง เปน สกั ขพี ยาน เปน หเู ปน ตาเปน
ความรคู วามฉลาด เปน หลกั ดาํ เนนิ อยา ไดล ดละปลอ ยวาง

ทา นวาอวิชชาคือความมดื บอดนนั้ เองเปน ตวั การใหญ รกู ร็ แู บบอวชิ ชาเหน็ แบบ
อวิชชา อะไรๆ เปน แบบของมนั ทง้ั สน้ิ ไมไ ดเ ปน แบบธรรม พอทจี่ ะใหเ กิดความสวาง
กระจางแจงแกจิตใจไดเลย มนั จงึ ลาํ บากสาํ หรบั มวลสตั วผ มู ดื บอดดว ยอวชิ ชา ตัณหา
อุปาทานฝงใจ

ดวยเหตนุ จ้ี ึงตอ งยึดเอาหลักธรรมมาเปนสักขีพยาน มาเปนเคร่ืองฝากเปน ฝาก
ตายไวก บั ใจ พยายามตะเกยี กตะกายไปตามน้ี ทุกขก็พอทนไดเพราะเคยทนมาแลว
ทุกขดวยความพากเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสออกจากจิตใจ ไมใชทุกขเพื่อความลมจม
พระพุทธเจาเปนที่ยอมรับของพุทธบริษัททั่วโลกดินแดนแลววา พระองคเปนทุกข
อันดบั หนึ่งในวงพทุ ธศาสนา ในวงพุทธบริษัท เพราะการฝกทรมานพระองคกอนได
ตรสั รธู รรมมาแจกจา ยสตั วโ ลก เราเปน ศิษยตถาคตจาํ ตองเดนิ ตามครู ครพู าเดนิ ผา น
ทุกขดวยความพากเพียร ศิษยตองเดินตามนั้นไมยอมถอย

ไดก ลา วเมอ่ื สกั ครนู ว้ี า การฝก ฝนทรมานหรอื อบรมตนนน้ั ไมมีอะไรยากยิ่งกวา
การฝก ฝนอบรมหรือทรมานมนุษย เพราะกเิ ลสพาใหย าก กเิ ลสเปน สง่ิ ทเ่ี หนยี วแนน
มากยากที่จะถอดถอน ยากที่จะตดั จะฟน หรอื ปราบปรามใหห มดสิน้ ไปไดง ายๆ จึงตอง
ใชก าํ ลงั เตม็ ความสามารถ เพียงขั้นสมาธิเทานั้นก็ตองใชกําลังใหเหมาะสมกับสมาธิที่
ควรจะเกิดขึ้นได

เอา….วันนี้ทําสมาธิไมเกิดเพราะกําลังไมพอ กําลังสติก็ไมพอ กาํ ลงั ความเพยี ร
ก็ไมพอ จิตใจมีความทอแทออนแอ ความสงบของใจเกิดไมได ตองเพิ่มกําลังใหม
พลิกแพลงเปลี่ยนแปลงใหม ตองพลิกกันอยูอยางนี้จึงเรียกวาปญญา ความฉลาดใน
การตอสู เอาจนสงบได ทําไมจะสงบไมได ธรรมทา นสอนเพอ่ื ความสงบทง้ั นน้ั ไมได
สอนเพอ่ื ความฟงุ ซา นราํ คาญ ไมไดสอนเพอ่ื ความสา ยแสไ ปตามกระแสของโลกสงสาร
นน่ั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสพาใหเ ปน ไปตา งหาก ไมใ ชธ รรมพาใหเ ปน กเิ ลสพาใจใหฟ งุ ซา น
ขุนมัว ธรรมพาใหใ จสงบผอ งใส กเิ ลสกบั ธรรมเดนิ สวนทางกนั ไปคนละจดุ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๒

๑๖๓

จิตใจท่เี ปน ไปตามกระแสของโลกเหมอื นน้ําซับน้าํ ซมึ โดยไมมีสติเปนเครื่องกั้น
กางหวงหา มตา นทานกนั บา งเลยนน้ั ไมใ ชเ ปน การบาํ เพญ็ ธรรม แตเ ปน การเสอื กคลาน
ตามกเิ ลสทฉ่ี ดุ ลากไปตา งหาก เราควรจะทราบในแงเ หลา นไ้ี ว เพอ่ื ความรสู กึ ตวั และเขม
แข็งทางความพากเพียรขึ้นอีก ชวยจิตไดมีความสงบ นก่ี ย็ ากขน้ั หนง่ึ

ในการฝก มนษุ ยค อื เราผหู นง่ึ ดูเอา…ยากหรือไมยาก การฝกมนุษยการฝกพระ
ใหเปนพระทสี่ มบรู ณแบบตามทางศาสดา เพื่อเปนหลักยึดของใจอันมั่นคง จงยึดเอา
พระพทุ ธเจา พระสาวกมาเปน ตวั อยา ง ทา นฝก ทา นยากลาํ บากขนาดไหน สว นเราจะฝก
แบบงา ยยง่ิ กวา ทา นกจ็ ะเกง กวา ครไู ปเพราะเหตไุ มเ หมอื นครู เหตไุ มม คี วามหนกั แนน
ม่นั คงเหมอื นครู แตจ ะใหก เิ ลสหลดุ ลอยไปเรว็ ยง่ิ กวา ครู การเกง กวา ครแู บบน้ี มนั เปน
ไปไมได เราเดนิ ตามครลู าํ บากอยา งครู เพอ่ื ความรแู จง เหน็ จรงิ อยา งครู ผลทไ่ี ดร บั จะ
เหมอื นครู

อยา หาความสะดวกสบายนอกครนู อกอาจารย จะเปน จะตายกข็ อใหเ ปน ใหต าย
แบบครู พทุ ธฺ ํ ธมมฺ ํ สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ จงยึดใหฝ ง ลึกภายในใจ อยา ปลอ ยใหก เิ ลสปด
มือให พุทธ ธรรม สงฆ หลุดลอยไปได พระพุทธเจา แลสาวกท้งั หลาย สวนมากมีแต
ลาํ บากกนั ทง้ั นน้ั เพราะกเิ ลสไมเ คยเปน ผงู า ยดายและสอนงา ยแกผ ปู ระพฤตธิ รรมและ
แกผูใด สตั วต วั ใด เพราะไมเ คยเปน ลกู ศษิ ยแ ละเปน ทาสเปน บอ ยของใครๆ ในโลกทง้ั
สาม มแี ตเ ปน ศาสดาผทู รงอาํ นาจโดยถา ยเดยี วเรอ่ื ยมา เมอ่ื มผี บู าํ เพญ็ ธรรม ปฏิบัติ
ธรรม มันตองตอสูขัดขวางอยูตลอดเวลา จึงเรียกวาขาศึกของธรรมก็คือกิเลสนั่นเอง
แมขาศึกของเราก็คือกิเลสนี้เชนกัน

เมื่อพยายามทําจิตใหสงบวันนี้ไมได กใ็ หทราบวา ความบกพรอ งและกาํ ลังของ
เราไมพ อ สติไมพอ สตติ ง้ั ไวก บั งานทต่ี นทาํ ขาดวรรคขาดตอน จึงถกู กิเลสฉุดลากไป
ตามกระแสของมันตอหนาตอตาในวงความเพียร จนเขา สคู วามสงบไมไ ด แมน ง่ั ภาวนา
ก็นั่งอยูเฉยๆ เหมอื นหวั ตอ แตจ ติ เรร อ นไปดว ยอาํ นาจของกเิ ลสเสยี สน้ิ ทั้งนี้เพราะสติ
ไมพอหรือสติไมมี ถูกกิเลสขับไลออกหมด เมื่อทราบวากําลังของสติไมพอ ความเผลอ
ตัวมีมาก ก็เรงตัวใหมตั้งสติใหม ไมทอถอยปลอยวางความเพียรใหกิเลสไดใจ พลิก
แพลงเปลยี่ นแปลงใหมเอาจนจติ มคี วามสงบได จงึ ชอ่ื วา ภาวนาหรอื บาํ เพญ็ ธรรมให
เหนอื กเิ ลส ถาสติออนกวากิเลส ใจกไ็ มร ธู รรมไมเ หน็ ธรรม มีความสงบเปน ตน กิเลสก็
แข็งขอไมยอมธรรม ฉะนั้นสติปญญาจึงตองใหเหนือกิเลสอยูเสมอ เสยี ทา ใหก เิ ลสตรง
ไหนตองฟตตัวยิ่งขึ้น และถอื วา กเิ ลสสอนเราใหฉ ลาดในจดุ บกพรอ งไปในตวั ดว ย ฟต
จนทันเพลงมวยของกิเลสไปเปนระยะๆ จึงเรียกวานกั ตอสเู พอ่ื ชัยชนะ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๓

๑๖๔

ความฟงุ ซา นเปน กเิ ลสประเภทหนง่ึ การฝนใจหรือการฝกฝนอบรมใจดวยวิธี
ตางๆ ซง่ึ เปน การตอ สกู บั กเิ ลสใหเ กดิ ความสงบ ตองทุมเทกําลังความเพียรทุกดานลง
ใหเ หนอื กเิ ลสทท่ี าํ ใหฟ งุ ซา นนน้ั จิตยอมสงบได ไมเหลือวิสัยของนักภาวนาไปได
เพราะศาสดาซ่งึ เปนครูเอกของพวกเราพาทําและพาไดช ยั ชนะมาแลวไมสงสยั

ขั้นปญญาก็เหมือนกัน ตองพจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา ไมหยดุ ไมถ อย คลค่ี ลายดู
สงิ่ ท่มี ีอยภู ายในตน คอื ขนั ธท ท่ี า นเรยี กวา ความจรงิ เชน กายคตาสติ เปน ตน ในสตปิ ฏ
ฐานสี่ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม หรอื อรยิ สัจสี่ก็เหมอื นกนั อยใู นกายในจติ นท้ี ง้ั สน้ิ
เมอ่ื พิจารณาตรงไหนใหม สี ติจดจอ ตอ เนื่องกันไปกบั งานแหงการพิจารณา อยา ลดละ
สติ สตเิ ปน สง่ิ สาํ คญั มากทเี ดยี ว สตขิ าดวรรคขาดตอนตรงไหน งานกข็ าดวรรคขาด
ตอนตรงนั้น ผลที่ควรจะสืบเนื่องกันไปก็ตองขาดวรรคขาดตอนตามเหตุที่ขาดไป นค่ี วร
สํานึกเสมอผูปฏิบัติ ถา ไมอยากเนน่ิ ชา หรอื เหลวไหล

อันความเหลวไหลนั้นไมไดขึ้นอยูกับอะไร แตข น้ึ อยกู บั ผทู าํ ตวั ใหเ หลวไหลตา ง
หาก เชน วนั นก้ี บั วนั นน้ั วนั ผา นมาแลว กบั วนั น้ี วนั นว้ี นั พรงุ น้ี ปนี้ปหนาก็เหมือนกัน
นน่ั ไมส าํ คญั ทส่ี าํ คญั คอื ตวั เราผเู หลวไหล การแกต องแกที่ตวั เรา ไมมีวันไหนเปนวันดี
ทั้งอดีต อนาคต ปจ จบุ นั มันเปน เพยี งมดื กับแจงเทาน้นั ถาตวั เราไมดเี พราะสกู เิ ลสไม
ได เนอ่ื งจากความเพยี รทจ่ี ะทาํ ใหป รากฏสง่ิ ทภ่ี าคภมู ใิ จขน้ึ ภายในใจไมม ี ตองเปนผู
รงุ รงั กดี ขวาง วนั คืน เดือน ป อดีต อนาคตและปจจุบันอยูตลอดไปนั่นเอง

คําวา สมาธิ ก็อยาไปคาดไปหมาย วา สมาธเิ ปน อยา งนน้ั สมาธเิ ปน อยา งน้ี หลกั
สาํ คญั กค็ ืองานของเราทที่ าํ เพือ่ ความสงบน้ัน เปน เครอ่ื งยนั ยนั เปน เครอ่ื งรบั รอง ทจ่ี ะ
ใหเ กดิ ความสงบและเปน สมาธิ คอื ความแนน หนามน่ั คงขน้ึ ทใ่ี จ ไมใชเกิดขึ้นเปนขึ้น
เพราะความคาดหมายดน เดา แตเ กดิ มขี น้ึ เพราะการภาวนาในหลกั ปจ จบุ นั เปน สาํ คญั
กวาที่อื่น การคาดการหมายไมเกดิ ประโยชน อยา ไปคาดหมายใหเ สยี เวลาํ่ เวลาและ
เปลาประโยชนเลย

เมอ่ื กาํ หนดธรรมบทใด เชน กาํ หนดอานาปานสตกิ ใ็ หร อู ยทู ล่ี ม เปนกับตายก็ให
รอู ยทู น่ี น้ั อยา ใหเ ผลอ สดุ ทา ยความรทู ง้ั มวลกร็ วมกระแสเขา มาสจู ดุ เดยี ว มลี มหายใจ
เปน หลกั เปนทย่ี ึด ลมก็คอยละเอียดลงไปๆ ละเอียดลงไปจนกระทั่งหายเงียบเลยก็มี
แตไมตาย อยา ไปกลวั เวลาลมหายไปในความรสู กึ ขณะนน้ั นี่เคยเปนมาแลวถึงพูดได
ไมเคยเปนพูดไมถูกหรอก นอกจากนักโกหกอาจพูดดนเดาและหลอกคนอื่นไดซึ่งมักมี
แฝงกันไปเสมอ แตเ ราไมใ ชค นประเภทนน้ั จึงดนเดาไมเปนถาไมรูไมเห็นขึ้นกับตน

ลมละเอียดลงไปๆ จนหายเงยี บไปเลย ทีนี้จะมีวิตกอันหนึ่งขึ้นมาเปนขาศึกใน
ขณะนั้น วา นล่ี มหายใจหมดไปแลว จะไมต ายหรอื นน่ั มนั กระตกุ เจาของใหเ สยี หลกั แลว

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๔

๑๖๕

ก็มาควาลมหายใจตั้งเสียใหม เลยไดแ คก ลวั ตายเพราะลมหมดไป ภาวนาทีหลังพอมา
ถึงจุดลมหายใจหมดก็เปนอีก ๆ เลยไมไปถึงไหน พอถูกกระตุกดวยความคิดเชนนั้น
ลมหายใจก็มีขึ้นมา จิตก็มาสูความหยาบตามปกติของจิตเสีย ความถกู ความจรงิ ลม
หายใจที่หายไปนั้นไมตองไปกังวลกับมันหรอก เมื่อมันหายไปกใ็ หอยกู บั ตัวรู ผรู นู น้ั
โดยไมกังวลกับลมหรือสิ่งใด ใจกอ็ ยดู ว ยความสงบเยน็ เทา นน้ั เอง พอจิตขยับตัวออก
จากความสงบลมหายใจก็มีมาเอง โดยไมตองไปควาไปหามันใหยุงไป

ผูมีปญญารักษาตัว มนั ตองมอี ุบายแกค วามเผลอของตวั ที่คิดจากเลห เ หลี่ยม
ของกิเลส คอื ความสงสยั กลวั วา จะตายนน้ั แหละ มนั เปน เลห เ หลย่ี มของกเิ ลส ก็พึง
ทราบเสยี ในขณะนน้ั วา เมอ่ื ความรยู งั ครองรา งอยนู แ้ี ลว อยางไรก็ไมตาย เอา ลมหายใจ
จะหมดก็หมดไปเถอะ ถา ลงความรนู ย้ี งั มอี ยใู นรา งนแ้ี ลว จะไมต าย เพียงเทานใ้ี จกพ็ ุง
ทะลุ หายเงยี บไปจากความกลวั ตาย และดาํ รงตวั อยใู นความสงบอยา งหายหว งเทา นน้ั
แล

อุบายวิธีแก เราตอ งคดิ คน ขน้ึ มาภายในตนนน้ั แหละ เปน ความเหมาะสมทส่ี ดุ
ยง่ิ กวา ครบู าอาจารยห ยบิ ยน่ื ใหเ ปน ไหนๆ ซึ่งสุดทายก็หลุดไมหลุดมือไปเสีย ไมเหมือน
เจาของคิดขึ้นมาโดยลําพังตัวเองและประจักษกับใจตัวเอง ทั้งไดผลเปนที่พึงพอใจจาก
อบุ ายนน้ั ดว ย ทั้งนับวันเวลาแตกแขนงออกไปอยางกวางขวางดวย ใชแ กก เิ ลสทนั ควนั
ไมม วี นั หมดส้นิ ดว ย เปน สมบตั ขิ องตนจากภาคปฏบิ ตั อิ ยา งภาคภมู ใิ จดว ย

การพจิ ารณาทางดา นปญ ญาเปน สาํ คญั มาก อยา สกั แตว า พจิ ารณาเปน เพยี ง
อาการหรอื เปน พธิ ี พจิ ารณาเพอ่ื ความรจู รงิ เหน็ จรงิ กบั อาการนน้ั ๆ จรงิ ๆ ดวยความมี
สตสิ บื เน่อื งกันไปโดยลําดบั จะแยกจะแยะอาการใดกใ็ หม คี วามรกู บั อาการนน้ั เทา นน้ั
สองอยา งใหร กู นั อยเู พยี งเทาน้นั เหมือนกับโลกนี้ไมมีอะไรเลย มแี ตค วามรกู บั อาการท่ี
พิจารณาสมั ผสั สมั พันธกนั อยสู องอยา งเทา นน้ั แลวก็จะกระจายไปหมด

ความรอู นั นจ้ี ะสวา งกระจา งแจง ซมึ ซาบไปทว่ั อวยั วะสว นอน่ื ๆ ที่เราไมได
พจิ ารณา ก็เขาใจตลอดทัว่ ถึงเพราะเปน เหมือนๆ กัน บางครั้งจิตก็ซานไปเอง เทย่ี วรู
รอบขอบชิดไปหมด มันเหมือนกับกระดาษซึมมันซึมซาบไปๆ เพราะความซง้ึ ภายในใจ
วาอันน้ีเปนอยา งน้ีจรงิ ๆ เชน เปนของปฏิกูล เปน ทุกข หรอื เปน อนตฺตา มันซึ้งถึงใจ
กาํ หนดไปทางไหนจติ มันซานไปตามนน้ั และซา นไปตามๆ กันหมด เพราะสง่ิ เหลา น้ี
เหมือนกัน

อุบายปญญาไมพอผลิตขึ้นมา หาอบุ ายคดิ ตั้งหนาตั้งตาคิด ตั้งหนาตั้งตาพินิจ
พจิ ารณา ตง้ั หนา ตง้ั ตาสงั เกตดว ยความสนใจ เตม็ ไปดว ยเจตนา เต็มไปดวยความมุง
มั่น อยากรอู ยากเห็นความจริงท่มี ีอยูน้ี สติตองติดแนบเสมอ ไมวาขั้นสมาธิ ไมว า ขน้ั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๕

๑๖๖

ปญญา สตมิ คี วามจาํ เปน ตลอด จะเวนขั้นใดขั้นหนึ่งที่สติจะไมเขาไปเกี่ยวของไมได
การบาํ เพญ็ ดว ยความมสี ตเิ ปน เครอ่ื งสนบั สนนุ งานใหร วดเรว็

สติ เปน ธรรมสาํ คญั มากทเี ดยี ว ไมวาขั้นสมาธิไมวาขั้นปญญา จนกระทั่งสติ
ปญญากลมกลืนเปนอันเดียวกัน ทีนี้จะวาสติก็ได จะวาปญญาก็ถูก พอกระเพื่อมพับก็รู
ทันที ปญญาวิ่งทันที สอดสองดูเหตุดูผลระหวางจิตกับอารมณสัมผัสสัมพันธกันตลอด
ไปไมม เี วลาวา ง ตอ นไ้ี ปจะทราบวา สตปิ ญ ญาทาํ งานมากไปโดยลาํ ดบั จนไมม คี าํ วา จติ
วา งงาน นอกจากเหน็ วาจิตออ นเพลียเพราะทํางานมาก กร็ ง้ั เขา สสู มาธคิ วามสงบเปน
คราวๆ ไป เพอ่ื เปน กาํ ลงั ในการพจิ ารณาทางดา นปญ ญา และปฏบิ ัติอยางน้ไี ปโดย
สมา่ํ เสมอทัง้ สมถะและวปิ ส สนา ซึ่งมคี วามจาํ เปนไปคนละทางเทา ๆ กัน

นลี่ ะการฝก การทรมานตน คือการตอสกู บั กเิ ลสประเภทตา งๆ ภาษาธรรมะทา น
เรยี กวา กเิ ลส ความเศราหมองมืดตื้ออยูภายในใจของคนและสัตวทั่วไป ความมืดมน
อนั นน้ั แหละ มนั กระจายออกมาทางกริ ยิ ามรรยาท ทําใหรูสึกไปทางไมดีในแงตางๆ แม
ทส่ี ดุ มาบําเพ็ญธรรมมันก็ทาํ ใหม ดื ทาํ ใหห ลง ทําใหลืมตัว ทาํ ใหข เ้ี กยี จ ทําใหออนแอ
ทอถอย คอยขัดขวางอยูร่ําไป

เพราะใจทั้งดวงมีแตกิเลสความมืดตื้อหุมหอ จนไมสามารถมองเห็นมโนธาตุที่
แทจริงไดเลย จะไมใหสัตวโลกงมงายไดอยางไร เพราะมแี ตธ รรมชาตงิ มงายเปน หวั
หนา รบั เหมาจติ ทง้ั ดวงเสยี สน้ิ ดวยเหตุนี้จึงตองยากแกการแกการถอดถอน เพราะ
ธรรมชาตินท้ี ้งั มวลลว นเปนขา ศึกกบั ธรรมท้งั ส้ิน เมื่อสิ่งนี้ขวางอยู จงึ ปฏบิ ตั ธิ รรมยาก รู
ธรรมไดย าก เนอ่ื งจากมนั ไมใ หร ไู มใ หเ หน็ ธรรม มันแทรกอยูทุกแงทุกมุมทุกขณะจิตที่
คิดปรุงออกมา ผูตอสูมันจําตองฝกสติผลิตปญญา หา วหาญทางความเพยี ร เปนนักอด
ทน เผลอตัวไมได มนั เขา แทรกและทํางานแทนทนั ที ถาไมเผลอมันก็ไมทํา แตมันจอง
หาโอกาสกบั เราอยตู ลอดเวลา ถามันมีอํานาจมากกวามันก็ฉุดลากเอาไปตอหนาตอตา
เราตองผลิตสติปญญาใหมกี าํ ลงั กลา สามารถข้ึนโดยลาํ ดับ เอามันใหอยูในเงื้อมมือจน
ได นี่อุบายวิธีฝกตน ยอมมียากมงี ายเปนธรรมดาของการสูรบ

ยากก็ยากเถอะยากอยางนี้ นบั แตเ กดิ มาเรายงั ไมเ คยยาก พอแม ปูยา ตายาย
ของเรากไ็ มเ คยยาก รอยทั้งรอยมักยุงยากกับกิเลสทั้งนั้น ยากกบั ธรรม ทุกขเพราะการ
ฆากเิ ลสตอ สูกับกิเลสไมม ใี ครไดทําเหมอื นเรา เราไดย ากเราไดท กุ ขเ พราะเราไดส กู บั
กเิ ลสตวั เปน ภยั จงทุกขจงยากเถิด ความทกุ ขย ากในงานฆา กเิ ลสน้ี เปน สริ มิ งคลเปน
เกยี รตแิ กเ ราอยา งยง่ิ เอา…ทุกขเถิด ตายเถิด ชีวิตจิตใจบูชาพระพุทธ พระธรรม พระ
สงฆไปเลย อยา เสยี ดาย กเิ ลสจะพามาตายอกี เอาจนไดชัยชนะมาครอง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๖

๑๖๗

เราเปน ลกู ศษิ ยต ถาคต เราจะเอาความประเสรฐิ เลศิ โลกเพราะความทอ แทอ อ น
แอ ความข้เี กยี จมักงา ย ความออนกําลังอนั เปน สมบตั ิของกเิ ลสลวนๆ มาประดับตัว
ประดับใจทําไมกัน ตองเปนความเขมแข็งในการประพฤติปฏิบัติ ใหเ หน็ สจั ธรรม ที่
ทานประกาศกังวานอยูได ๒๕๐๐ กวา ปแ ลว เขา มาสคู วามจรงิ เตม็ หวั ใจใหไ ด อยาให
หลุดมือไป คาํ วา สจั ธรรมนน้ั เปน ธรรมทท่ี า นเขยี นไวต ามตาํ รบั ตาํ ราทเ่ี ราทง้ั หลายเรยี น
ทองบนสาธยาย นน่ั เปน ชอ่ื เปน ความจาํ ยงั เปน ธรรมนอกใจ ถา เปน อาหารกย็ งั อยใู น
ภาชนะ ยังไมเขามาถึงปากถึงทอง ใหนอ มเขามาสตู วั จริงของสัจธรรมอันแทจ ริงคือใจ
ของเรานใ้ี หไ ด

สติปฏฐานสี่อันเปนความจริงแทคืออะไร อยูที่ไหน วา กาย ก็รางกายของเราทุก
สว นกเ็ ปน กายคตาสติ หรอื เปน กายานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน เวทนาเหมอื นกนั สขุ ทุกข
เฉยๆ กเ็ ปน เวทนานปุ ส สนาสตปิ ฏ ฐาน จติ ความคดิ ปรงุ ในเรอ่ื งราวตา งๆ ก็เปนจิตตานุ
ปส สนา ตามรูตามเห็นความคิดความปรุงของตน อารมณอะไรที่เกิดขึ้นตอสายกับเรื่อง
ราวอะไรทเ่ี รยี กวา ธรรมารมณ อนั นน้ั กเ็ ปน ธมั มานปุ ส สนา กอ็ ยกู บั ใจเรา เพราะเกดิ
และสมั ผสั ทใ่ี จเราเอง

วาทุกขคือทุกขกายก็ดีทุกขใจก็ดี ก็คอื ทุกขสัจซึ่งเปน ความจริงอยูตามหลกั ธรรม
ชาติของตน เวลามีก็มีอยูที่กายที่ใจของเรานี้ ทุกขทั้งทางกายทุกขทั้งทางใจ ก็มีอยูที่นี่
สมุทัยก็มีอยูที่ใจ ชอ่ื ธรรมเหลา นม้ี อี ยทู ต่ี าํ รา แตท า นชเ้ี ขา มาหาใจ ตองมาคนดูที่ใจของ
เราน้ี ถึงจะเห็นสมุทัยรูเรื่องของสมุทัย และละสมทุ ยั ไดด ว ยมรรคสจั

ทานกลาวไวยอๆ วา กามตณั หา ภวตณั หา วภิ วตณั หา…แนะ คาํ วา ตณั หาคอื
ความบกพรอ ง คอื ความอยากและรบกวนเจา ของอยตู ลอดเวลานน่ั แล อยากไมหยุดไม
ถอย อยากไมมีวันอิ่มพอ ทา นเรยี กวา ตณั หา มนั รบกวนอยตู ลอดเวลานาที ไมมีวันมี
คืนมีปมีเดือน รบกวนสตั วบ คุ คลเราเขาตง้ั แตเ ลก็ จนโตจนเฒา จนแกจ นตาย มันกวนอยู
อยา งนน้ั จงึ เรยี กวา ตณั หา มนั เคยมีความสงบตวั เมอ่ื ไรถา ไมทําใหม นั สงบ ภวตัณหาก็
อยากมนี ่นั อยากเปน นี่ อยากมสี ง่ิ นน้ั อยากเปน สง่ิ น้ี อยากอยูตลอดเวลา สามความ
อยากนี้มันเกี่ยวโยงกัน

วภิ วตณั หา ถาพูดทางภาคปฏิบัติแลวมันอยากในของไมมีนั่นเอง เกดิ แลว อยาก
อยูอยางนี้ตลอดไปไมใหตาย มนั มไี ดทีไ่ หน สิ่งสัมผัสสัมพันธที่ถูกใจไมใหพลัดพราก
จากไปมีไดที่ไหน มันตองพลัดพรากจากไป เกิดแลวตองตาย แตว ภิ วตณั หาน่ี มันไป
อยากในสิ่งที่เปนไปไมได ในสิ่งที่เปนอฐานะคือเปนไปไมไดนั้นแล จงึ เรยี กวา
วภิ วตณั หา อยากในของไมมี อยากเทาไรมันก็ไมอิ่มไมพอ สัตวโลกอยากเหมือนกัน
หมด อยากในของมีอยูเชน ภวตณั หา มนั กเ็ ปน ตณั หา ไมมีความอิ่มพอเหมือนกัน นี่

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๗

๑๖๘

ทา นเรยี กวา สมทุ ยั มันเปนอยูภายในใจของสัตวโลกหรือของพวกเราทุกๆ คนตลอด
เวลา

ความใคร ความอยาก ความทะเยอทะยาน มนั ดิ้นมนั กวัดมนั แกวง อยูภ ายในใจ
หาความสงบไมไ ด ถา เปน นาํ้ กข็ นุ เปน ตมเปน โคลนไปหมด หาความสงบนิ่งใสไมได
เพราะถูกกวนดวยอํานาจของกิเลส ใจทําไมจะไมขุนมัวจะไมมืดดําทําใหเกิดทุกข จิตใจ
ขุนมัวจิตใจมืดดํา เพราะอาํ นาจของกเิ ลสบบี บงั คบั อยตู ลอดกาลสถานทอ่ี ริ ยิ าบถ ผล
ของมันก็คือความทุกขความลําบากลําบนมากนอย ตามกาํ ลงั ของกเิ ลสทบ่ี บี คน้ั ในระยะ
นน้ั ๆ นน่ั เอง

การแกส มทุ ยั กค็ อื การทาํ สมาธภิ าวนา การพจิ ารณา เชน พิจารณากายคตาสติ
เปนตน พจิ ารณาดว ยมรรค มรรคคอื สตปิ ญ ญาเปน ของสาํ คญั สติเปนพื้นฐานใชไป
ทุกๆ ขั้นทุกแขนงของงานที่ทําและขั้นของธรรมที่พิจารณา ปราศจากสติไมได สัมมา
ทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป คือองคปญญาที่จะนํามาคลี่คลายดูเรื่องของกิเลส ฟาดฟน หน่ั
แหลกกบั กเิ ลส ใจรักชอบกับสิ่งใด ไปหลงรักหลงชังหลงเกลียดหลงโกรธกับอะไร เสก
สรรปน แตง เอามาแขง ธรรมของพระพทุ ธเจา เพอ่ื ความวเิ ศษวโิ สอะไร คน หาความ
จอมปลอมของมันใหเ จอ จะไดเจอธรรมของจริงที่กิเลสตัวจอมปลอมปกปดไว

พงึ ทราบเสมอวา กเิ ลสเปน คแู ขง กบั ธรรม ธรรมไมใ หร กั กเิ ลสมันฝนไปรัก
ธรรมทานวาไมใหชังไมใ หเกลียดไมใหโ กรธ กิเลสมันฝนตอหนาตอตา ไปรักไปชัง ไป
เกลยี ดไปโกรธอยไู ดภ ายในหวั ใจทก่ี าํ ลงั บาํ เพญ็ ธรรมเขา สใู จอยนู น้ั แล.นน่ั ระหวา งกเิ ลส
กับธรรมตองตอสูกันอยูอยางนี้ทุกระยะ เพราะฉะนนั้ ผปู ฏิบัตธิ รรมตองใหร ูกลมายา
ของกเิ ลสทเ่ี ขยา เปา หกู ระซบิ ใจอยตู ลอดเวลาภายในใจเราเองดว ยสตปิ ญ ญา เอาใหร ู
กลั่นกรองหรือคลี่คลายผลักดันมันออกไป หรือฟาดฟนมันออกไปดวยปญญา ทีแรกก็
ใชสมาธิกอน พอใหมีชองทางดําเนินได นอกจากเปนกรณีพเิ ศษทีเ่ ราจะใชป ญ ญาฟาด
ฟน หน่ั แหลกกนั ไป จนกระทั่งถึงกิเลสมันหมอบ จิตหมอบเปนสมาธิขึ้นมาได นน่ั เปน
กรณีพิเศษ ดงั เขยี นไวแ ลว ในปญ ญาอบรมสมาธซิ ง่ึ เปน ภาคปฏบิ ตั ิ

มรรคคืออะไร คอื ทางดาํ เนนิ เพอ่ื ความรแู จง สจั ธรรมทง้ั ส่ี ทุกฺเข ญาณํ ญาณ
หยง่ั ทราบในทกุ ข ทกุ ขฺ สมทุ เย ญาณํ ญาณหยง่ั ทราบในสมทุ ยั ทุกฺขนิโรเธ ญาณํ ญาณ
หยง่ั ทราบในนโิ รธ ทุกฺขนิโรธคามนิ ี ปฏิปทาย ญาณํ ญาณหยง่ั ทราบในมรรคเครอ่ื ง
ทําลายกิเลสแลกองทุกขทั้งมวล อยํ วจุ ฺจติ สมมฺ าทฏิ ฐ ิ ญาณหยง่ั ทราบเชน นป้ี ราชญ
ทา นเรยี กวา สัมมาทิฏฐิ ละเอียดสุดยอด เพราะการหลดุ พน ดว ยความชอบธรรม ยอม
เหน็ ทกุ ขเปน ของจรงิ เหน็ สมทุ ยั เปน ของจรงิ เหน็ นโิ รธกเ็ ปน ของจรงิ เหน็ มรรคเปน
ของจรงิ แตละอยางๆ ดวยปญญาอันละเอียดแหลมคม นนั้ แลคอื สมั มาทิฏฐิ ทา นวา อยํ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๘

๑๖๙

วจุ จฺ ติ สมมฺ าทฏิ ฐ ิ แปลวา ความเหน็ ชอบ ความเหน็ ไมป น เกลยี วกบั ธรรม ไมปนเกลียว
กับหลกั ธรรมชาติ ไมปนเกลียวกับหลักคติธรรมดาที่เปนไปตามหลักธรรมชาติของตน
ที่กลาวทั้งหมดนี้อยูที่ไหน กบ็ รรจอุ ยทู ห่ี วั ใจของเรานท้ี ง้ั นน้ั

สว นทกุ ขก บั นโิ รธเปน กริ ยิ าอนั หนง่ึ เทา นน้ั เราไมไปขวนขวายกับเรื่องของทุกข
และเรื่องของนิโรธ ทํางานไมไปเกี่ยวกับทุกขและนิโรธเลย เชนทานวาทุกขพงึ กาํ หนดรู
นโิ รธพงึ ทาํ ใหแ จง ใครจะไปทําทุกขใหดับโดยไมดับตนเหตุคือสมุทัย และใครจะไปทาํ
นโิ รธใหแ จง โดยไมบ าํ เพญ็ เหตุ คือ มรรคเลา ความจริงทุกขก เ็ พียงกําหนดทราบกนั เทา
นน้ั แตใ หท าํ หนา ท่ี ตองทําหนาที่ถอดถอนสมุทัยดวยมรรคมีสติปญญาเปนสําคัญเทา
นน้ั งานทท่ี าํ จรงิ ๆ มรี ะหวา งสมทุ ยั กบั มรรคทาํ หนา ทต่ี อ กนั เทา นน้ั ก็กระเทือนไปถึง
ทุกขกับนิโรธไปเอง เพราะเปน ธรรมเกย่ี วโยงกนั

ทุกขพึงทราบ ทา นวา ปริฺญาตนฺติ เม ภกิ ขฺ เว นน้ั พระองคทรงประกาศให
เบญจวคั คียท ้งั หาฟง วา ทกุ ขท ค่ี วรกาํ หนดรู เราไดก าํ หนดรแู ลว สมทุ ยั ทค่ี วรละเราละ
ไดแ ลว นโิ รธควรทาํ ใหแ จง เราไดท าํ ใหแ จง แลว มรรคทค่ี วรบาํ เพญ็ ใหเ กดิ ใหม ี เราได
บาํ เพญ็ ใหเ กดิ ใหม สี มบรู ณเ ตม็ ทแ่ี ลว

การจะทาํ ทกุ ขใ หด บั และการจะทาํ นโิ รธใหแ จง กห็ มายถงึ เรอ่ื งของมรรคโดยตรง
ผลิตสติปญ ญาขนึ้ มาทุกระยะจนมกี าํ ลังแกกลาสามารถแลว กจ็ ะทาํ ใหแ จง ทง้ั เรอ่ื งธรรม
ทั้งเรื่องกิเลสไปดวยกันไมสงสัย ทา นวา นิโรธคอื ความดับทกุ ข ควรทาํ ใหแ จง กก็ ารดบั
ทุกขถาไมดับสมุทัยทุกขจะดับไดอยางไร ฉะนน้ั ตอ งรแู จง เหน็ จรงิ ในสมทุ ยั ละสมุทัยได
ดวยปญญา จะไปละเอาเฉยๆ ไมได นล่ี ะงานชน้ิ สาํ คญั กค็ อื ระหวา งสมทุ ยั กบั มรรค
ทํางานตอกัน

นี้แหละกระจายไปถึงเรื่องทุกขดวย เรอ่ื งนโิ รธดว ย ซึ่งเปนผลดวยกันทั้งสอง
อยางทั้งเบื้องตนเบื้องปลาย เบื้องตนคือทุกขเปนผลเกิดจากกิเลสคือสมุทัย ทเ่ี รยี กวา
สมทุ ยั ๆ นโิ รธดบั ทกุ ขด ว ยอาํ นาจของมรรคทป่ี ราบกเิ ลสใหส น้ิ ไป ความทุกขจะไมมี
ทางเกิดขึ้นภายในใจอีกเลย เวน แตท กุ ขใ นเบญจขนั ธทเ่ี ปน ธรรมชาตขิ องมนั มาด้งั เดมิ
แมพระพุทธเจาก็ทรงมี พระสาวกก็มีเหมือนกัน

เรื่องธาตุเร่ืองขันธม ันเปน ธรรมชาติอนั หนง่ึ ไมใ ชต ัวกเิ ลส เพราะฉะนั้นมันจึงไม
ดบั ไปกบั กิเลส กเิ ลสดบั ไป ทกุ ขท เ่ี กิดข้นึ เพราะกเิ ลสผลิตข้นึ มานนั้ กด็ บั ไป แตทุกขใน
ขันธไมดับ มันอยากเกิดมันก็เกิดของมัน อยากดับก็ดับของมัน ถาจะแยกออกมาเปน
สมุทัยของธาตุก็แยกได แตไ มจําเปนเพราะไมใ ชก ิเลส แมสาเหตุก็เปนสาเหตุของธาตุ
ตา งหาก เชน เราฉนั อะไร รับประทานอะไรไปแสลงตอธาตขุ ันธ มันเกิดความทุกขขึ้น
มา เชน ถายทอง เปนตน เพราะอาหารประเภทนน้ั ๆ เปน เหตอุ ยา งน้ี จะวา อาหาร

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๖๙

๑๗๐

ประเภทนน้ั เปน สมทุ ยั คือเปนเหตุใหถายทอง เกิดความทุกขขึ้นมาก็ถูก แตถูกไปตาม
ประเภทของธาตุขันธ ไมเกี่ยวกับกิเลส เพราะนม่ี นั ไมใ ชก เิ ลส ทานจึงไมน ํามาเกย่ี วของ

สว นทเ่ี ปน กเิ ลสอนั เปน สง่ิ สาํ คญั ซง่ึ มอี ยภู ายในจติ แสดงกริ ิยาอาการออกมาจาก
จติ นน้ั ทา นเรยี ก สมุทัย คือแสดงออกมาในฝายผูกพันใหติดอยู แลวก็เกิดทุกขขึ้นมา
เพราะความผกู พนั และความตดิ อยนู น้ั ทา นจงึ สอนใหแ กด ว ยมรรค คือปญญาอัน
แหลมคม เมื่อแกอันนี้ไดแลวสมุทัยก็หมด เมื่อสมุทัยหมดทุกขก็ดับ ทุกขก็หมดในจิต
ไมมีทุกขในจิตอีกตอไปตลอดอนันตกาล

จะไปทาํ นโิ รธใหแ จง ดว ยวธิ กี ารใด ทา นบอกไวเพียงเทา นัน้ นโิ รธพงึ ทาํ ใหแ จง
คือความดับทุกขพึงทําใหแจงดวยปญญา ความหมายวา อยา งนน้ั ทุกขพึงกําหนดรูและ
ทาํ ลายดว ยมรรค ทุกขถึงจะดับไปอยางสนิท การแกทุกขดับทุกขตองมาแกตนเหตุคือ
สมทุ ยั ซง่ึ เกย่ี วโยงกนั กบั มรรค

ในเรอ่ื งเหลา นผ้ี ปู ฏบิ ตั เิ ทา นน้ั จะรแู งห นกั เบาของธรรมทง้ั หลาย ที่จะมา
ประยุกตกันกับกิเลสใหไดเหตุไดผลทันกับเหตุการณ จนไดชัยชนะไปโดยลําดับๆ ผู
ปฏบิ ตั เิ ทา นน้ั จะเปน ผชู าํ่ ชองชาํ นชิ าํ นาญ และรแู งหนกั เบาระหวา งกเิ ลสประเภทใด กบั
ธรรมประเภทใด ที่จะแกหรือถอดถอนกันดวยวิธีการตางๆ ตามแตอุบายสติปญญา ผู
ปฏิบัติจะเปนผูทราบไดดี เพราะไดผ า นส่งิ เหลานอี้ ยา งโชกโชนภายในใจของตน

ที่กลา วท้ังหมดนี้มีอะไรเปนเคร่อื งรบั รองอยเู วลานี้ กค็ อื ความรู คือใจ กิเลสก็
อยทู ค่ี วามรนู น้ั แหละ สจั ธรรมก็อยทู ่นี ี้ ทุกขเ กิดขนึ้ มาจากใจเพราะสมทุ ัยเปน ตนเหตุ
นิโรธคือความดับทุกข ดบั เพราะอาํ นาจของมรรคทท่ี าํ ลายกเิ ลสเครอ่ื งผลติ ทกุ ขใ หฉ บิ
หายลงไปไมมีเหลือแลว ทุกขภายในใจของผูสิ้นกิเลสแลวก็ไมมี สวนทกุ ขท างธาตุทาง
ขันธมีดวยกัน พระพุทธเจาก็มี สาวกก็มี เจบ็ ทอ ง ปวดหัว หวิ กระหาย อยากหลบั อยาก
นอนดังที่เปนอยูนี้ เปนธรรมดาของธาตุของขันธที่ยังครองกันอยู

แตสําคญั ท่จี ิตไมไดรับความกระทบกระเทอื นจากทกุ ขภ ายในรา งกาย ที่เกิดขึ้น
มากนอย ทุกขในขันธมีมากขนาดถึงตาย ก็ไมสามารถเขาไปทําลายจติ ใจอันบรสิ ทุ ธิ์ ซึ่ง
เปนวิมุตติธรรมนั้นใหเ อนเอียงไดเ ลย เพราะวมิ ตุ ตเิ ปน อนั หนง่ึ สมมุตเิ ปน อันหนงึ่ ถา
เปน โลก ทั้งสองก็อยูคนละโลกแลว แตธรรมนี้เปน โลกตุ รธรรมอนั สดุ ยอดแลว
ทุกขเวทนาทั้งหลายจะเอื้อมถึงไดอยางไร ทุกขจะเปนมากเปนนอยเพียงไร ก็แสดงอยู
ภายในรา งกายคอื รปู ขนั ธน เ้ี ทา นน้ั ไมส ามารถเขา ไปทาํ ลายจติ ใจใหโ ยกคลอนหรอื เอน
เอยี งไปดว ยเลย นน่ั การเรยี นสจั ธรรมจบ จบตรงน้ี สตปิ ฏ ฐานสี่ก็จบตรงนีไ้ มจ บที่ไหน
พระพุทธเจา พระสาวกทง้ั หลายทา นสาํ เรจ็ ทต่ี รงน้ี รแู จง เหน็ จรงิ ทต่ี รงน้ี

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๐

๑๗๑

ฉะนน้ั การปราบกเิ ลสจงึ ปราบทใ่ี จอนั เปน คลงั ของกเิ ลสมากอ น สถานทน่ี จ่ี งึ เปน
ทป่ี ราบกเิ ลส เพราะดั้งเดิมเปนสถานที่ผลิตกิเลส เมื่อกิเลสตัวรกรงุ รงั สนิ้ ไป ใจจงึ
บรสิ ุทธขิ์ ึน้ กับตนและหายสงสัยในสมมตุ ทิ ้ังมวล

เรามาศกึ ษาอรรถธรรม จงนาํ ธรรมเขา ไปเปน เครอ่ื งมอื ปราบกเิ ลสใหห มดจาก
ใจ ใจจะไดว า ง คือวางจากกิเลสและวางไปหมดในวงสมมุติ ทั้งวางจากตวั เอง ทง้ั วา ง
จากกิเลส แตกอนเต็มไปดวยกิเลส ใจหาความวางไมได ชําระกิเลสหมดไมม ีเหลือแลว
ใจกว็ า ง ไมยึดไมถือไมสําคัญมั่นหมาย วางที่ตรงนั้น

ความวา งนน้ั แลคอื ความบรสิ ทุ ธ์ิ ความบรสิ ทุ ธน์ิ น้ั กบั ความวา งกลายเปน อนั
เดยี วกนั แลว จะกลายเปนสญู ไดอ ยางไร ฟงซิ ถา สญู ไปจะเรยี กวา บรสิ ทุ ธเ์ิ หรอ จะเรยี ก
วา วา งเหรอ สญู กเ็ ปน สญู วา งกเ็ ปน วา ง เปนคนละอยางนี่ สูญของโลกยกใหโลกสมมุติ
เขาไป สูญของพระนิพพาน วา งของพระนพิ พาน เปน ธรรมนพิ พาน ไมใชโลกสมมุติ
พระนิพพานจึงไมสูญแบบโลกสมมุติ และไมมีอยูแบบโลกสมมุติ ความมอี ยแู ละความ
สูญสิ้นของโลกสมมุติ จึงมใิ ชวสิ ยั กนั กับความมคี วามสญู ของนพิ พานธรรม เพราะเปน
ธรรมเหนอื สมมตุ ิ

ดงั ท่โี ลกวาสญู สญู แบบฉบิ หายปน ปไ มม อี ะไรเหลอื เลย เชน ไฟไหมบานทรัพย
สินเงินทองสูญไปหมด ไมม ชี น้ิ เหลอื เลย แตธาตุเดิมของมันก็ไมสูญ เพยี งสญู จากความ
เปน สมบตั ทิ โ่ี ลกเสกสรรปน ยอหรอื ผลติ ขน้ึ มาเทา นน้ั เชน ถวยชามนามกร บา นเรอื น
เครื่องนุงหมใชสอยตางๆ เมื่อถูกไฟไหมลงไปแลวก็กลายเปนธาตุเดิมไป ธาตุเดิมของ
มันจึงไมสูญ สญู แตค วามเปน บา นเปน เรอื น เปนสมบัติเงินทองที่สมมุติขึ้นเทานั้น

ทีนี้พูดถึงจิต ธาตุเดิมแทก็คือธาตุรู อะไรสูญไปหมดก็ยังเหลือธาตุรูคือจิต จติ น้ี
ไมสูญ จิตจะสูญไปไหน ก็รูอยูเห็นอยูอยางนั้น ถาสูญไปหมดไมมีอะไรเหลือ จะเอา
อะไรมาเปนความบริสทุ ธ์ิ จะเอาอะไรมาเปน ความวา ง จะเอาอะไรมาเปน ปรมํ สขุ ํ

ความไมเ คยสมั ผสั ทางดา นปฏบิ ตั ธิ รรม ปฏบิ ัตจิ ิต แตค าดคะเนเดาเอาดว ย
อาํ นาจของกเิ ลสความงมงายพาใหส าํ คญั ไปตา งหาก มใิ ชค วามจรงิ พาใหร จู รงิ เหน็ จรงิ
ดงั พระพุทธเจาแลสาวกทานที่ทา นเปนนกั พสิ จู นทางดานจติ ตภาวนา คนทส่ี าํ คญั วา ตาย
แลว สญู น้ี จิตใจมักดิ่งลงทางต่ํา เวลามีชีวิตอยูอยากทําอะไรก็ทําตามใจชอบ ไมคํานึงถึง
บุญถึงบาปดีชั่วประการใดทั้งสิ้น ขอใหไดทําอยางสมใจขณะที่มีชีวิตอยูก็พอ เพราะ
เวลาตายแลว หมดความหมาย สิ่งตางๆ สูญโดยประการทั้งปวงไมมีความสืบตอ นี่คือ
เรื่องของกิเลสครอบงําจิตใหจมมิดจนไมรูสึกตัว ทําอะไรกท็ ําแบบสุดๆ สน้ิ ๆ เพราะตน
ไดก ลายเปน คนสดุ ๆ สน้ิ ๆ ไปแลว อะไรๆ จงึ หมดความหมายไปตามๆ กัน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๑

๑๗๒

น่ีแหละเรื่องของกิเลสตัวจอมปลอมครอบงําใจสัตวโ ลก มันจึงสนุกโกหก
หลอกลวงสัตวโลกตอหนาตอตา ถา เปน คนกป็ ระเภทหนา ดา นสนั ดานหยาบคาย เกิน
กวา จะอยูร ว มกับมนุษยท ้งั หลายไดน ่นั แล กเิ ลสกบั ธรรมเดนิ สวนทางกนั กิเลสคือตัว
จอมปลอม ของไมปลอม คนไมปลอมเขากับกิเลสไมได สวนธรรมคือยอดแหงความ
จรงิ สิ่งจอมปลอม คนจอมปลอมจึงเขากับธรรมไมได กเิ ลสกบั ธรรมจงึ เปนคอู ริกนั คู
แขงกันแตไ หนแตไ รมา ผสู นใจในธรรม ประพฤติธรรม จาํ ตอ งรบกบั กิเลส สง่ิ
จอมปลอมภายในใจตัวเองตลอดไป จนกเิ ลสตวั แสนปลน้ิ ปลอ นหลอกลวงหมดอาํ นาจ
ไปจากใจแลว ก็ไมมีอะไรพาใหฝน พาใหจม ฉะนน้ั ในสามโลกธาตนุ จ้ี งึ มกี เิ ลสอยา ง
เดยี วเทา นน้ั เปน เจา อาํ นาจครองหวั ใจสตั วโ ลก และเปน คตู อ สธู รรม กเิ ลสกลวั ธรรม
อยา งเดยี วในสามโลก นอกนนั้ กเิ ลสไมเคยกลวั อะไรเลย

ความรคู วามเหน็ ทว่ี า ตายแลว สญู ก็คือความบงการของกิเลสโดยแท ทผ่ี ดิ ความ
จรงิ ไปรอ ยเปอรเ ซ็นตท เี ดยี ว ความจรงิ ทธ่ี รรมบง บอกวา สตั วบ คุ คลตายแลว ตอ งเกดิ
อีก ถากิเลสที่เปนเชื้อแหงภพชาติยังมีอยูในใจ จะเปนอื่นไปไมได ความจริงความถกู
ตอ งแหง ธรรมรอ ยเปอรเ ซน็ ต เดนิ สวนทางกนั กบั กเิ ลสตวั เสกสรรปลน้ิ ปลอ นหลอก
หลอนสัตวไมมีประมาณ

ทง้ั น้ีตองทราบขอ เทจ็ จรงิ ดวยการพสิ ูจนตามหลกั จิตตภาวนา ดังองคศาสดา
และสาวกทรงพสิ จู นแ ละพสิ จู น จนเหน็ ความจรงิ เตม็ สว นมาแลว จะมาดน เดาเกาหมดั
เอาเฉยๆ นั้นไมถูกไมควร กลวั จะวกกลบั มาเกดิ เสวยผลกรรมชว่ั ตา งๆ ไมหวาดไหว
นน่ั ซิ ทน่ี า กลวั มากนะ

เพราะความจรงิ จะเปน ไปตามความจรงิ จะไมเ ปน ไปตามความนกึ เดาความ
สาํ คญั การกลบั มาเกดิ กค็ อื ความจรงิ ตามธรรมอยแู ลว การตายแลว สญู นน้ั มนั เปน หลมุ
พรางของกิเลสตางหากนี่ ไมใชค วามจริงพอจะนาํ มาแขงธรรม ลบลา งธรรมไดน ่ี คนท่ี
สาํ คญั วา ตายแลว สญู จะตอ งสรา งกรรมชว่ั มากกวา คนธรรมดา เวลาผดิ หวงั กลบั มาเกดิ
อยางไมคาดคิด ก็จะตองรับเสวยกรรมที่เปนมหันตทุกขมากตอมากจนสูไมไหว นั่นซิที่
นา ใจหาย เพราะการกระทําดีชั่วทั้งมวล เปนเครื่องประกาศถึงผลสุขทุกขอยางตายตัว
อยูแลว ลบไมส ญู

เรื่องศาสนาลกึ ซึง้ มากเพราะใจเปนสงิ่ ท่ีละเอยี ดมาก ศาสนากค็ อื ความรู ความ
เปนของใจที่ออกมาเปนศาสนา จึงตองสอนเขาไปที่ใจ มีความละเอยี ดแหลมคมเทาๆ
กัน จึงจะเขาใจเรื่องของกันและกันได ระหวางธรรมกับใจก็อยูดวยกัน เขาใจกันได
กิเลสที่เปนสิ่งเคลือบแฝงละเอียดขนาดไหนก็เหนือธรรมไปไมได เพราะกเิ ลสเปน
สมมุติ ธรรมเปนไดทั้งขั้นสมมุติและขั้นวิมุตติ จึงตองเหนือกิเลสอยูเสมอ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๒

๑๗๓

ความเลวของกิเลสกับความเลิศของธรรม กเ็ ดนิ สวนทางกนั ชนดิ รอ ยเปอรเ ซน็ ต

เชน เดยี วกนั ความฉลาดในอบุ ายปลน้ิ ปลอ นหลอกลวง และเสกสรรปน ยอตบตาสตั ว

โลกใหเ ชอ่ื ถอื และคลอ ยตาม จนหลบั ไหลใฝฝ น ไมม วี นั ตน่ื กย็ กใหก เิ ลส ความจรงิ ความ

แท ธาตุแทไมมีคําวาปลอมนั้นคือธรรม กิเลสไมอาจเอื้อมทําลายได เมอ่ื ฝา ยหนง่ึ

ปลอม ฝา ยหนง่ึ จรงิ ความจริงตองเหนือความปลอมอยูโดยดี

ผปู ฏบิ ตั ธิ รรม ทาํ ใจใหส งบ เปน สมถธรรม วปิ ส สนาธรรม ยอ มมธี รรมในใจและ

เหนอื กเิ ลสไปเรอ่ื ยๆ จนปราบกนั ไดอยา งเรยี บราบไมม ีอะไรเหลอื ใจก็อยูเหนือโลก

เหนือกิเลสทั้งปวง เหนือขันธ เปน นตฺถิ สนตฺ ปิ รํ สขุ ํ สุขอื่นใดไมเหมือนสุขที่เกิดจาก

การปราบกเิ ลสสน้ิ ไปจากใจ

นค่ี วามยากความลาํ บากทง้ั มวลทเ่ี ราทาํ มานน้ั กห็ ายไปหมดแลว มันไมไดมากอ

กวนทาํ ลายเราอยใู นเวลาทบ่ี รสิ ทุ ธแ์ิ ลว นน้ั เลย ทั้งเปนเครื่องหนุนใหหลุดพนจากทุกข

อยางดีเยี่ยมดวย หากเราไมท าํ อยา งนน้ั ก็ไมรูอยางนี้ เม่ือพจิ ารณายอ นหลงั ก็ภมู ใิ จ

ตอนนน้ั ความเพยี รของเราเปน อยา งนน้ั ๆ ความทกุ ขค วามลาํ บากเพราะการตอ สกู บั

กเิ ลสเปน อยา งนน้ั ๆ ขา มมาเปน ลาํ ดบั ลาํ ดา

ถึงขั้นที่จะมอบเปนมอบตายกัน เพราะความแกก ลา สามารถแหง สติ ปญญา

ศรทั ธา ความเพยี ร ก็หมุนกันเขาไปเลย ตายกไ็ มเ สยี ดายชวี ติ นอกจากใหร ูใหห ลุดพน

อยา งเดยี วเทา นน้ั ไมร เู อาตายกต็ าย นี่ถึงขั้นมันเด็ดมันก็เด็ด ถึงขั้นมันสูมันก็สูเอาตาย

เปน เดิมพัน ถงึ ขน้ั มนั เสยี สละเปน สละตายมนั เสยี สละจรงิ ๆ เพื่อธรรมดวงนั้น สจู น

ผานพนไปไดอยางใจหวัง แลว กไ็ มเ หน็ ตาย ความทุกขทั้งมวลในการประกอบความ

เพยี รมาทกุ ประโยคนน้ั มนั กห็ ายหนา ไปหมด แนะ ยังเหลอื แตผ ลเทา นน้ั คอื ความ

สมบรู ณภ ายในใจ เพราะความเพยี รเหลา นน้ั เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ

เพราะฉะนน้ั ขอใหย ดึ อบุ ายเหลา นไ้ี ปเปน หลกั เปน เกณฑ เปน คตเิ ครอ่ื งดาํ เนนิ

ทุกขยากลําบากก็พยายามผลิตสติปญญาขึ้น ใหทันกับกลมายาของกิเลสอยูเสมอๆ อยา

ไดทอถอยออนแอ ซึ่งไมใชทางของพระพุทธเจา ไมใชทางของธรรมพาดาํ เนินใหถ งึ

ความพน ทกุ ข นอกจากจะพอกพูนกิเลสและกองทุกขขึ้นใหมากยิ่งกวาที่มีอยูแลวนี้เทา

นน้ั จึงไมควรเสียดายความไมเปนทาของตน

เอาละยตุ ิ

<<สารบัญ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๓

๑๗๔

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๗ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๒๓

นอนใจ นอนจม

จติ เปน ตวั ยนื โรงในเรอ่ื งความเกดิ แกเ จบ็ ตาย นเ่ี ปน หลกั ความจรงิ รอ ย

เปอรเซ็นต โดยอาศยั เช้ือเพื่อเพาะใหเ กดิ ทน่ี น่ั เพาะใหเกิดท่นี ี่ ตามหลกั ธรรมทา นวา

อวิชฺชาปจฺจยา สงขฺ ารา เปน ตน อยตู รงนน้ั แหละ ภพชาตินอยใหญแตกแขนงออกไป

จากนน้ั ทานเรยี งลาํ ดับลําดาไปจนถึงทีส่ ุดของอวชิ ชาวา สมุทโย โหติ ผปู ฏบิ ตั จิ ะเรยี ง

ลาํ ดบั ลาํ ดาในการปฏบิ ตั ไิ ปตามทา นนน้ั เหลวทง้ั เพ เหมอื นการจะโคน ตน ไมใ หต าย

แตจ ะไปเทย่ี วตดั ใบนน้ั ตดั ใบน้ี กง่ิ นน้ั กา นน้ี สิบปก็ไมลม ตองโคนเขาไปรากฝอยราก

แกวของมัน และถอนพรวดขน้ึ มาตรงนนั้ มันตายไปหมดไมมีเหลือกระทั่งกิ่งกานสาขา

ดอกใบ

อวชิ ชาตวั เดยี วเทา นน้ั อยแู นบสนทิ กบั จติ ถา ไมใ ชท างดา นจติ ตภาวนาอยา งไรก็

ไมพบความจริงของมัน ท่เี ปนตน เหตพุ าใหเกดิ และพาไมใหเกิด พระพุทธเจา ทรงคน

อยูถึงหกปโดยไมมีใครสั่งสอนเลย ความลาํ บากลาํ บนจงึ มมี าก สาํ หรบั พวกเรามคี รมู ี

อาจารย มตี าํ รบั ตาํ ราแนะนาํ สง่ั สอนไวแ ลว เพียงจะพยายามปฏบิ ตั ิใหเ ปน ไปตามหลัก

ธรรมอันถูกตองดีงาม อันเปนการถอดถอนกิเลสไปดวยขอปฏิบัติก็ยังทําไมได จะเรยี ก

วา เราเหลวไหลขนาดไหน

หลกั ใหญอ ยกู บั ความมงุ มน่ั เปน สาํ คญั ในการปฏบิ ตั ิ ถาความมุงมั่นมีมาก ความ

อุตสาหพยายามก็ตามกันมา นอกจากนน้ั ยงั มคี รอู าจารยค อยใหโ อวาทสง่ั สอนและ

สนบั สนนุ ดว ยอบุ ายวธิ กี ารตา ง ๆ ในเวลาปฏบิ ตั อิ กี ดว ย หากเกดิ ความรคู วามเหน็ ขน้ึ

มาอยางใด ตนเองไมเ ขา ใจเพราะทางไมเ คยเดนิ ก็ถามครูอาจารยได หรอื เวลาทา น

แสดงธรรมเขา ไปสมั ผสั กบั ความรขู องเราความเปน ของเราเขา ก็เขาใจไปในขณะที่ฟง

เทศนน น้ั ๆ นเ่ี ปน ความสะดวกมากในการเสาะแสวงและปฏบิ ตั ธิ รรมสาํ หรบั พวกเรา

เมอื่ เทยี บกบั พระพทุ ธเจา แลว

ครง้ั พทุ ธกาลทา นบรรลธุ รรมจาํ นวนมากมาย ทา นกก็ ลา วไวใ นบคุ คลสป่ี ระเภท

นน่ั เปน ประเภท อุคฆฏิตัญู วิปจิตัญู ผสู ามารถจะรไู ดอ ยา งรวดเรว็ และรเู รว็ รอง

ลาํ ดับกนั ลงมา จากนน้ั กเ็ ปน จาํ พวก เนยยะ พอลากพอจูงกันไปได หลายครง้ั หลายหน

ก็พอเปนผูเปนคนและผานไปได สว น ปทปรมะ นน้ั รสู กึ จะมารวมอยใู นสมยั ปจ จบุ นั น้ี

เสยี มาก เพราะพูดเรื่องศีลเรื่องธรรมรูสึกจะเขากันไมคอยได กลายเปน ความเเสลงหู

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๔

๑๗๕

แสลงใจไมสนใจฟง การฟงนั้นมักจะแสดงอาการงวยงงสงสัย ราวกบั เปน เรอ่ื งแปลก
เรื่องนอกสังคมมนุษยผูดี เปน เศษเปน เดนไป ราวกบั ธรรมเปน ของเศษเดนหาคณุ คา
ไมได ไมค วรแกม นษุ ยป จจุบนั จะรบั ไวในสงั คม เปน เรอ่ื งครลึ า สมยั เปนเรื่องขัดหูขัด
ตาไมอยากฟงไมอยากเห็น แสดงอาการไมพ อใจข้ึนมาและพูดเยาะเยยไปตา ง ๆ อยาง
ไมกระดากอาย ทง้ั นเ้ี พราะความรสู กึ มนั นบั วนั ตาํ่ ชา เลวทรามลงไปทกุ ที ของดีกลาย
เปนขาศึกไปได

ตามหลักธรรมชาติแลว ธรรมเปน ธรรมชาตอิ นั ประเสรฐิ เหนอื โลกแตไ หนแตไ ร
มา ไมมีอะไรเปนคูแขงแยงดีกวาธรรมไปได และธรรมทาํ คนใหเ ปน คนดไี ปโดยลาํ ดบั
จนถึงขัน้ ดีเลศิ มาแตก าลไหน ๆ ธรรมะของพระพุทธเจาไมเคยทําใหผูหนึ่งผูใดไดรับ
ความเสอ่ื มเสยี และฉบิ หายวายปวงไปแมแ ตน อ ยเลย นอกจากเปน เครอ่ื งสง เสรมิ ให
เปนคนดีตามกําลังของผูปฏิบัติตามโดยลําดับ ไมว า เพศใดวยั ใด จึงหาทางตองติไมได

คาํ ทว่ี า ศาสนาเสอ่ื มกห็ มายถงึ จิตใจของมนุษยเ สอ่ื มทรามลงไปจากอรรถจาก
ธรรมอันถูกตองดีงามนั่นเอง ไมเ คารพยาํ เกรงในสง่ิ ทค่ี วรเคารพยาํ เกรง ไมเชื่อไมนับ
ถือธรรมและไมปฏิบัติตามธรรมที่สอนไวนี้ เชน บาป บญุ นรก สวรรค พรหมโลก
นพิ พาน เหลา นเ้ี ปน สง่ิ ทม่ี อี ยู ทกุ สตั วบ คุ คลจาํ ตอ งสมั ผสั สมั พนั ธก บั ธรรมชาตเิ หลา น้ี
เรอ่ื ยมาและจะเรอ่ื ยไป โดยไมขึ้นอยูกับความเชื่อหรือไมเชื่อวามีหรือไมมีนั้น ๆ เลย
เพราะธรรมชาตนิ เ้ี ปน ของจรงิ และขน้ึ อยกู บั ความจรงิ แตเ มอ่ื อวยั วะทจ่ี ะรบั ทราบสง่ิ ทง้ั
หลายดงั กลา วเหลา น้ี มันหนวกมันบอดไปเสยี แปดทิศแปดดานเปน ปทปรมะ จงึ หา
ความรตู ามความจรงิ นน้ั ไมไ ด ตางก็ลูบคลําไปตามความมืดบอดหาที่จอดแวะอันเหมาะ
สมไมได จึงไมมีจุดหมายปลายทางทั้งการอยูและการไป

เพราะใจเปน ปทปรมะ คือมืดแปดทิศแปดดานทั้งกลางวันกลางคืน ยนื เดนิ
นง่ั นอน ทุกอิริยาบถที่เคลื่อนไหวอยูดวยความมืดบอด เพระอาํ นาจของกเิ ลสตณั หา
มันครอบงําจนหาทางไปไมได เมื่อหาทางไปไมไดแลวก็มีแตหาทางทําลายตนเองไป
โดยลาํ ดบั ดว ยความรคู วามเหน็ ดว ยวาทะ กริ ยิ าตา ง ๆ ที่แสดงออกใหขัดตออรรถตอ
ธรรม เปน การคดั คา นตา นทานและทาํ ลายธรรม อนั เปน การลบลา งทาํ ลายตนเองโดย
ไมรูสึกตัว นโ่ี ลกสว นมากกาํ ลงั หมนุ เขา มาในจดุ นเ้ี วลาน้ี

ฉะนน้ั เรากเ็ ปน ผหู นง่ึ ทอ่ี ยใู นทา มกลางแหง โลกทก่ี ลา วมาน้ี ซึ่งไมใชของดี เปน
อยูกับจิตดวงใดจิตดวงนั้นก็เหมือนคนไขหนักกําลังจะตาย รอเอาเขา หบี เขา โลงอยแู ลว
ถา มาเปน กบั เราจะเปน อยา งไร โรคประเภทนั้นไมใชของดี โรคทค่ี วรจะหายดว ยยา โรค
ที่พรอมจะหายดวยยาก็มีอยู สาํ หรบั เราจะจดั เขา ในโรคประเภทไหน ยาคอื ธรรมโอสถ
ของพระพทุ ธเจา กม็ ี หมอคอื ผนู าํ ยามาแนะนาํ สง่ั สอนไดแ กค รอู าจารยก ย็ งั มี

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๕

๑๗๖

เราเชอ่ื กเิ ลสตณั หากเ็ ชอ่ื มาเปน เวลานานไดร บั ผลประโยชนอ ยา งใดบา ง ควรนาํ
บวกลบคณู หารกนั ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรมซง่ึ อยใู นหวั ใจดวงเดยี วกนั นด้ี ว ยดี แลว รบี เรง
ขวนขวายในแนวทางทถ่ี กู ตอ งแมน ยาํ ดว ยความอตุ สา หพ ยายาม ซึ่งเปนการถูกตองไม
สายเกนิ ไป เรยี กวา ยงั เปน เนยยะ คือเปนผูพอฉุดพอลากไปได โดยอาศยั โอวาทคาํ สง่ั
สอนและครบู าอาจารยค อยแนะนาํ ตกั เตอื น เจา ของกฉ็ ดุ ลากเจา ของดว ยความ
พากเพียร ดว ยอบุ ายทไ่ี ดร บั การอบรมมาแลว จากครจู ากอาจารย กิเลสยอ มจะคอย
เหือดแหงไปโดยลําดับ ผนู น้ั กจ็ ะมสี งา ราศขี น้ึ ภายในใจ

นแ่ี หละหลกั ของการปฏบิ ตั ศิ าสนา สําคัญอยูที่ใจ ถาลองไดมืดบอดแลว ไมยอม
สัมผัสสัมพันธไมยอมรับอะไรทั้งนั้นขึ้นชื่อวาของดีมีประโยชน นอกจากจะเปดทางรับ
ความมืดบอดใหหนักเขาไป ทาํ ลายตนโดยลาํ ดบั จนแหลกเหลวไปเลยเทา นน้ั ไมมี
ความดีใด ๆ แมนอยที่จะแทรกซึมเขาไปถึงจิตใจดวงนั้นได ทา นจงึ เรยี กวา ปทปรมะ
ถา เปนโรคก็เปนประเภท ไอ.ซ.ี ย.ู คอยแตล มหายใจอยเู ทา นน้ั จะเตรยี มหบี เตรยี มโลง
ก็เตรียมไดแลว ยังไงก็ไปไมรอดคนประเภทนี้ แมจะมีชีวิตอยูสักรอยปพันปมันก็เปน
ประเภท ไอ.ซี.ย.ู หาความดเี ขา ซมึ ซาบภายในจติ ใจพอเปน สารคณุ เครอ่ื งพยงุ จติ ใจ
เพื่อสืบตอภพอันดีงามในกาลขางหนาไมมีเลย มแี ตค วามเหยยี บยาํ่ ทาํ ลายตนใหล ม จม
ลงไปสูความทุกขความลําบากทรมานฉิบหายปนปไ มม ีช้ินดีตลอดไปสาํ หรบั จติ ดวงน้นั

เพราะฉะนัน้ การท่ีจะรอ้ื ถอนตนใหข้นึ จากหลม ลึก แมจะไดรับความทุกขมาก
นอยก็จําตองอดตองทน เพราะอยากเห็นของดีมคี วามสขุ ใจไรเ ส้ียนหนามท่ที ่ิมแทงหัว
ใจมานาน และจงปกใจพลีชีพบูชาธรรมคําสั่งสอนอันเปนองคแทนศาสดา ยดึ เปน หลกั
ใจหลกั ดาํ เนนิ มคี วามจรงิ ใจเปน พน้ื ฐาน ทาํ อะไรใหม คี วามจรงิ ใจมคี วามจดจอ มสี ติ มี
ปญญาคอยสอดสองมองดู ควบคุมงานทีท่ ําทุกระยะ

งานอะไรก็ตาม เราเคยไดพ ดู หลายครง้ั หลายหนแลว ไมมีงานใดที่ตอสูกันถึงขั้น
แตกหกั ราวกบั ฟา ดนิ ถลม เหมอื นงานฆา กเิ ลสรบกบั กเิ ลสนเ่ี ลย นี้เปนงานที่หนักมากที
เดียว พระพุทธเจาเม่ือไดต รัสรูกป็ รากฏวา โลกธาตุสะเทือนสะทา นหว่ันไหว จะวายังไง
ราํ่ ลอื มาจนกระทง่ั ทกุ วนั น้ี ก็เพราะงานชิ้นเอกของพระองคไดสําเร็จลุลวงลงไป กเิ ลส
หมอบราบเรยี บ ไมม ปี ระเภทใดเหลอื อยภู ายในพระทยั เลย ความอศั จรรยจ งึ แสดงขน้ึ
ทั่วไตรโลกธาตุ ดังธัมมจักกัปปวัตตนสูตรทานแสดงไวแลวนั้น

ใครก็ตามถายงั ไมไ ดผา นงานใหญขา ศกึ ใหญภายในใจ ดวยการตอสูกับกิเลสตัว
เหนยี วแนน แกน ไตรภพใหส าํ เรจ็ เรยี บราบลงจากใจกอ น อยาดว นคุยวา ตนทํางานใหญ
โตสาํ เรจ็ ถา ไมอ ยากขายโงใ หก เิ ลสหวั เราะเยาะเอา และปราชญท า นปลงธรรมสงั เวชใน
การขายตัวของผูนั้น ทว่ี า ตนเกง แบบหลบั หหู ลบั ตาพดู พลา ม

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๖

๑๗๗

ทกุ สงิ่ ทุกอยางในบรรดาความเคลื่อนไหวของผูปฏบิ ัติ ใหเ ปน อาการแหง นกั ตอ
สอู ยเู สมอ อยาใหเปนความทอแทออนแอ คดิ ลงั เลสงสยั ไปตาง ๆ ซึ่งเปนเรื่องของ
กเิ ลสหลอกทง้ั เพ ความจรงิ อนั เปนที่อบอุนใจในการบําเพญ็ นั้นกค็ ือธรรมมอี ยแู ลว
ศาสนธรรมคําสอนฝายเหตุท่ีช้ีชอ งบอกทางเราก็มีอยแู ลว ผลที่จะพงึ ไดรับเปนข้นั เปน
ตอนจนถึงขั้นวิมุตติหลุดพน ทานก็แสดงไวแลวโดยถูกตองในหลักแหง สวากขาต
ธรรม ไมเคลอื่ นคลาดไปจากน้ีเลย

เราผปู ฏบิ ตั เิ หมอื นกบั ลา งมอื เปบ เทา นน้ั กย็ งั จะถอื วา ลาํ บากลาํ บนแลว จะมีทาง
ไดม รรคผลนิพพานท่ีไหน ยอมเปนไปไมได เคลื่อนออกทาใดก็มีแตทากิเลสรุมลอม มี
แตทากเิ ลสบังคบั บญั ชาเหมอื นผตู องหา ไมมีธรรมคือสติปญญาเปนตน ตามคุมครอง
ปอ งกนั ตวั บา งเลยนน้ั รสู กึ วา จะเปน คนทห่ี มดคณุ คา พระทห่ี มดราคาเกนิ ไป ไมส มควร
แกฐ านะของเรา เพศของเราทเ่ี ปน นกั บวช อันเปนเพศที่โลกชาวพุทธยกยองชมเชยและ
กราบไหวบ ชู าวา เปน เพศ ปุ ญฺ กเฺ ขตฺ ของโลกเลย จึงขอใหพากันพิจารณาใหมากอยา
นอนใจ ซ่งึ ผิดกับวสิ ยั ของนักบวชซง่ึ เปน เพศพจิ ารณาใครครวญในทุกสิ่งทเี่ กี่ยวขอ งกับ
ตน

การแนะนําสั่งสอนทุกแงทุกมุมเรื่อยมาตั้งแตเริ่มรับหมูเพื่อน ผมไดทุมเทลง
เต็มความสามารถทุกดานทุกทาง ไมว า ฝา ยเหตฝุ า ยผล ทั้งตนทั้งปลาย แสดงอยางเต็ม
เหตเุ ตม็ ผล เตม็ อรรถเตม็ ธรรม เต็มสติกําลังความสามารถทุกแงทุกมุม เปดเผยออก
หมดเปลือก ไมมีการปด บงั ลล้ี บั แมแ ตน อยไวเ ลย จงึ กรณุ าเหน็ ใจผอู บรมสง่ั สอนดว ยใจ
จริงใจจดจอกับหมูเพื่อน ไมอยากใหถูกจองจําอยูตลอดเวลาดวยกิเลสประเภทตาง ๆ
ซึ่งพอที่จะดิ้นใหหลุดไปได เอาตัวรอดไปไดดวยขอปฏิบัติ จึงไมอยากใหนอนใจนอน
จมดงั ทเ่ี คยเปน มาและเปน อยนู เ่ี ลย

การทําอะไรขอใหมีสติ สตนิ เ้ี ปน สาํ คญั มาก ในวงงานทง้ั หลายไมว า ภายนอกภาย
ใน ขาดสติแลวยอมแสดงความผิดพลาดขึ้นมา มากนอยตามความขาดสตนิ ้ันแล
ปญญาคือความละเอียดสุขุมรอบคอบในงานของตนทั้งภายนอกภายใน ธรรมทั้งสอง
อยา งนค้ี วรนาํ มาใชป ระจาํ ตวั อยเู สมอ อยา ไดป ลอยวางและอยาถอื วา ไมสําคญั งานชน้ิ
เอกจะลุลวงไปไดจะพนจากสติปญญานี้ไปไมได เพราะไดร บั การอบรมใหม กี าํ ลงั ขน้ึ
โดยลาํ ดบั จนกลายเปน มหาสติ มหาปญญา ฟาดฟน หน่ั แหลกกบั กเิ ลสหยาบละเอยี ด
ใหมุดมอดไปจากจิตใจโดยไมเหลือก็คือสติปญญานี้แล ไมใชม าจากทไี่ หน เพราะ
ฉะนั้นจงเห็นความสําคัญของสติปญญา เราไดป ฏบิ ตั มิ าแลว เตม็ สตกิ าํ ลงั ความสามารถ
ยังไมมองเห็นสิ่งใดธรรมใดที่จะยิ่งไปกวาสติปญญา ในบรรดาธรรมฝา ยเหตเุ ปน เครอ่ื ง
แกหรือถอดถอนกิเลสทั้งมวล โดยมีความเพียรและธรรมอนื่ ๆ เปน เครอ่ื งสนบั สนนุ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๗

๑๗๘

พระลูกศิษยตถาคตตองอดตองทน เพศนี้เปนเพศที่อดทน พระพุทธเจาพาอด
พาทนมาแลว จนไดผ ล เพียรก็ไมมีใครเกินพระพุทธเจา จนเปนตัวอยางอันดีเยี่ยมแก
โลกมาแลว คาํ วา สงฆฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ ของพวกเราก็ไมปรากฏวาองคไหนที่ลางมือเปบ
มแี ตแทบลม แทบตายมาดว ยกนั ทัง้ นั้น นน่ั แหละการฆา กเิ ลสเปน สง่ิ ทฆ่ี า ไดย าก เพราะ
เหนียวแนนมั่นคงมากแตไหนแตไรมา อยา เขา ใจวา ฆา ยากตายยากเฉพาะกเิ ลสอยบู น
หวั ใจเราสมยั นเ้ี ทา นน้ั

เหมอื นคาํ พดู ในครง้ั โบราณเลา ตอ ๆ กนั มาวา รบกบั ยกั ษแ ละฆา ยกั ษม นั รบ
ยากฆา ยาก ซง่ึ สว นมากเราสมู นั ไมไ ดน ะ นักปฏิบัติธรรมตองยอนเขามาภายในใจของ
ตัววา ยักษก็หมายถึงปาปธรรม พวกกเิ ลสมารนเ้ี อง การฆาก็หมายถึง ฆา ดว ยธรรม
เครอ่ื งมอื และความเพยี รออกไปจากธรรม ระหวางธรรมกบั กิเลสน้ันเปน ขาศกึ กนั มาแต
กาลไหนๆ ผูตอสูกับกิเลสจึงเหมือนรบกับยักษ คําวายักษกินคนก็กินทั้งโลกธาตุนี้
แหละ กลืนลงไปแลว คือตายไปแลวกลับมาเกิดอีก เกิดแลวตาย ตายแลวเกดิ บงั คบั
ใหโ ลภ ใหโกรธ ใหห ลง ใหเ ปน ไปในแงต า งๆ สดุ แตก ิเลสจะดลบนั ดาลใหเปน ไป โดย
พาใหเ ปน สตั วน รก เปรต อสรุ กาย สตั วด ริ จั ฉาน ภูตผีปศาจตางๆ ไมมีประมาณ ยักษ
ตัวมีฤทธาศักดานุภาพมากนั้นมีอยูทุกหัวใจของสัตวโลกไมมียกเวน นอกจากผปู ราบ
มนั ใหส น้ิ ซากไปแลว เทา นน้ั คือพระพุทธเจาและพระอรหันตขีณาสพทาน

เพราะฉะนน้ั เราทร่ี ภู าษภี าษากบั เรอ่ื งกเิ ลสเหลา นพ้ี อสมควรแลว จงึ ไมค วรยอม
ตนใหมนั มานอนขบั กลอ ม บาํ รงุ บาํ เรออยภู ายในใจอยา งเพลดิ เพลนิ จนเกนิ ไป ราวกบั
พระไมมีหัวใจ ถูกกิเลสเอาไปย่ํายีตีแผแยไปหมดทั้งดวง ตองตอสูกับมันดวยสติปญญา
ศรทั ธา ความเพยี ร อยาไดลดละ จะเริม่ เห็นแดนแหง ความพนทุกขไ ปโดยลาํ ดับ นับแต
ความสงา ผา เผยองอาจกลา หาญ ความสงบผองใสไปเปน ลําดบั ลาํ ดา เปลย่ี นสภาพสู
ความละเอียดไปตามภูมิจิตภูมิธรรมจนถึงวิมุตติหลุดพน หาความเปลย่ี นแปลงใดๆ ไม
ไดบรรดาอาการของจิตด-ี ชั่วซึ่งเปนสมมุติ ไมมีในวิมุตติจิตนั้น เปนแตอาการของขันธ
ที่มีอยูเปนอยูตามปกติของตน อาการทจ่ี ะเปลย่ี นแปลงใหม เี ศรา หมองผอ งใส หรอื
เปลีย่ นสภาพเปน อยางนั้นอยา งนีอ้ ีกนนั้ ไมมี เมื่อถึงขั้นเต็มภูมิของจิตลวน ๆ แลว เปน
อยา งนน้ั

เหมือนกบั นาํ้ ทบี่ ริสทุ ธลิ์ ว นๆ ไมมีสีตางๆ แฝงอยูเลยฉะนั้น การทน่ี าํ้ มสี แี ดง สี
ขาวหรอื สอี ะไรตา งๆ นน้ั ยอมพาดพิงกับสิ่งตางๆ เชน พาดพิงกับใบไมก็กลายเปนสี
ใบไมไป พาดพงิ กับสขี าวก็กลายเปน ขาวไป เชน เราเทนาํ้ ใสแ กว สใี ดนาํ้ กก็ ลายเปน สนี น้ั
ขึ้นมา นจ่ี ติ ทบ่ี รสิ ทุ ธจ์ิ รงิ ๆ แลว จงึ ไมป รากฏสสี นั วรรณะลกั ษณะใดๆ ทั้งสิ้น เหลือแต

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๘

๑๗๙

ความรลู ว นๆ อันเปนความรูที่บริสุทธิ์พูดไมถูกเทานั้น แตร อู ยา งชดั เจนภายในตวั หา
ความสงสัยไมได กค็ อื จติ ทบ่ี รสิ ทุ ธ์นิ นั้ แล

ฉะนน้ั การตอ สกู บั กเิ ลสทกุ ประเภท ใหพ งึ พากันทราบอยางถึงใจไวเ สมอ อยา
ตอสูแบบความทอถอยออนแอ ไมใชทางที่จะชนะกิเลสได ตองห้ําหั่นกันเขาไป

อยา สงสยั วา โลกนม้ี สี ถานทใ่ี ดสง่ิ ใดบา งทจ่ี ะพาใหม คี วามสขุ ความเจรญิ จะพา
ใหเ ลศิ ใหป ระเสรฐิ มคี วามสขุ ความสบายจรี งั ถาวร ไมมี อยา สงสยั ใหเ สยี เวลาและทกุ ข
ใจเปลา ท้ังเปน ความประมาทดวย มแี ตเ รอ่ื งอนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตาเต็มตัวของมัน เมื่อ
มาเกย่ี วขอ งกบั เรา เรากก็ ลายเปน ตวั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ า พัวพันกันไปกบั สิง่ เหลาน้ัน
ซึ่งลวนแตเปนการสั่งสมทุกขแกตนทั้งนั้น แมส ง่ิ นน้ั เขาจะเปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
ตามสภาพของเขา เขาก็ไมไ ดร ับผลเปน ความทุกขความทรมานเหมอื น อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ
อนตฺตา ซง่ึ เกดิ ขน้ึ ภายในใจเราทไ่ี ปเกย่ี วขอ งพวั พนั กบั สง่ิ เหลา นน้ั เลย

อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทเ่ี กาะกนิ อยภู ายในใจนเ้ี ปน สง่ิ สาํ คญั มาก จงพากันกําจัด
ใหไ ด เอาใหเ หน็ พระพุทธเจาเปนศาสดาองคเอกแทๆ ไมมีใครทัดเทียมในโลกธาตุนี้
ธรรมที่แสดงออกก็เปนธรรมที่เต็มภูมิเต็มฐานไมบกพรองตั้งแตตนจนอวสาน ถึงที่สุด
คือวิมุตติพระนิพพานไมมีใครเสมอ นี่แลคือสรณะของผูหวังพนทุกขในวัฏสงสาร จะ
พงึ ยดึ พงึ เกาะใหแ นน ภายในใจและการปฏบิ ตั ดิ าํ เนนิ ทางปฏปิ ทา

สรณะนล่ี ะเปน จดุ ทจ่ี ะใหค วามสมหวงั แกพ วกเรา นอกนั้นก็ไมไดประมาทวาไม
ไดอาศัยเขามา แตพ ดู ตามหลกั ความจรงิ ของธรรมสาํ หรบั ผเู สาะแสวงหาของจรงิ วา หา
ที่เกาะที่ยึดฝากเปนฝากตายอยางแทจริงไมได มีแตสิ่งที่จะพังทลายไปดวยกันทั้งนั้น ภู
เขาทั้งลูกก็อยูใตกฎธรรมชาติคือ อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะไมพังไดอยางไร ดินฟา
อากาศ วัตถุสิ่งของเงินทอง ไมวาสิ่งใดที่อยูใตอํานาจของอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ตองมี
การเปลย่ี นแปลงไปอยเู สมอ และพังทลายไปไดเชนเดียวกัน หาที่เกาะที่ยึดพอเปนที่ไว
วางใจและมคี วามรม เยน็ ภายในใจบา งไมไ ด ไมจ รี งั ถาวรอะไรเลย ไมส ง่ิ นน้ั กเ็ ปน เราเสยี
เองตองพลัดพรากจากกันไป ไมเ หมอื นธรรมท่ีเปน คูค วรและติดแนบกับใจไปตลอด

แตธรรมที่สัมผัสไดดวยใจนั้น เวลานม้ี กี เิ ลสเปน เจา อาํ นาจครองอยู ใจจงึ กลาย
เปน ความรมุ รอ นเพราะธรรมเขา สมั ผสั ยงั ไมถ งึ เนอ่ื งจากกิเลสเปน เจา ของครอบงําไว
รอบดา น การปราบมนั จงึ ยากในขน้ั เรม่ิ แรก ดีไมดีอาจถูกมันปราบเสียกอน ตวั อยา ง
เชน พอจะเดินจงกรมก็ถูกมันเตะออกจากทางจงกรม จะนั่งสมาธิก็ถูกมันเตะลงใส
หมอน จะอยูในทาใดก็ถูกมันเตะใหเผลอใหเถลไถลไปเสียจนได ลว นแตก เิ ลสมนั เตะ
มันตอย มันฉุดมันลากออกไปใหคิดใหอานในทางของกิเลส ไมใชทางของธรรม นจ่ี ง

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๗๙

๑๘๐

ทราบวา กเิ ลสมนั แหลมคมอยา งน้ี ถา ไมท ราบแงข องกเิ ลสเหลา นบ้ี า งแลว เราจะไมร วู ธิ ี
ปฏิบัติตอมัน กําจัดมันไมได

วิธีกําจัดมันโดยถูกตองและไดผลไปโดยลําดับคือ ดวยความมีสติระมัดระวังอยู
เสมอ นีแ่ ลคืออุบายวิธกี ารอนั หนงึ่ ท่ีจะทราบกลมายาของกิเลสไปโดยลาํ ดับ และปญญา
ความสอดสองมองทะลุกิเลสที่มีอยูภายในใจมากนอย

ราคะเกดิ ขน้ึ มนั ทาํ ใหค นและสตั วด น้ิ รนกระวนกระวาย สตั วเ มอ่ื ราคะกาํ เรบิ หรอื
โรคบากําเรบิ มันดิ้นรนกระวนกระวายกวัดแกวงอยูเปนปกติสุขไมได ทั้งตัวผูตัวเมีย
ทั้งเพศหญิงเพศชาย มนุษยแ ละสตั วเ ปน เหมอื นกัน ถาอยูเฉยๆ เชน เวลาหลบั สนทิ
ราคะก็ไมแสดงตัว โทสะก็ไมแสดงตัว ความโลภก็ไมแสดงตัว โมหะก็ไมแสดงตัว เวลา
นน้ั สตั วท ง้ั หลายมคี วามสขุ เตม็ ท่ี เวลาสขุ เต็มภูมิของคนและสตั วทม่ี ีกิเลสท่ัวไป ก็คือ
ขณะหลบั สนทิ เทา นน้ั นอกจากนน้ั หาความสขุ ไมไ ด เพราะสงิ่ เหลา น้ีเองออกเพนพาน
กอกวนเพื่อทํางานของตัวเอง แตทีท่ าํ งานของมันตั้งอยบู นหวั ใจคนและสตั ว จึงเปน
ทุกขไปกับมัน

ใหเราเห็นอยา งน้กี อ นถา ยงั มองไมเห็นทีไ่ หนซงึ่ ละเอียดกวา นี้ ใหถ อื เอาเวลา
หลบั สนทิ มาเทยี บกบั เวลาตน่ื นอน พอตื่นขึ้นมามีแตกิเลสมันฉุดมันลาก ดีมันก็พอใจ
ชั่วมันก็พอใจ อะไรๆ มันพอใจ มนั ใหทาํ และตดิ รางแหมันไปหมด เพราะกเิ ลสพาให
ตดิ ตวั เราเองไมอ ยากตดิ ไมอ ยากพอใจ เชน เขารองไหมันยังพอใจรองไห ความรองไห
เปนของดีละหรือ ความทุกขเพราะการรองไหเปนของดีละหรือ ทําไมทุกขแทๆ มันพอ
ใจ นน่ั พิจารณาเอาซิ มนั แหลมคมขนาดไหนกเิ ลสนะ ไมเห็นตัวของมันละ เหน็ แตห นุ
ที่มันเชิดออกมาเปนกิริยาทาทางตางๆ แสดงความโลภ แสดงความโกรธ แสดงความ
หลงออกมาดวยอํานาจของกิเลสท่ีมนั อยูฉ ากหลงั ไมใ หเ ห็นตวั มันเลย เหน็ แตค วาม
หยาบโลนของผนู น้ั แสดงอยอู ยา งนั้น นแ่ี ลกเิ ลสมนั แหลมคมอยา งน้ี ดูเอา พิจารณาเอา
จะรเู องเหน็ เองเพราะมอี ยบู นหวั ใจเรานด่ี ว ยกนั

เพราะฉะนน้ั จงึ ตอ งใชค วามเพยี รพยายาม เอาใหเ ตม็ เมด็ เตม็ หนว ย เราสละ
ชวี ติ แลว เพอ่ื ศาสนธรรม ซึ่งจะยังตนใหพนจากทุกข ไมมีการลมจม การประกอบความ
พากเพยี รไมว า จะวธิ ใี ดอริ ยิ าบถใด เปนสิ่งที่จะปลดเปลื้องกิเลสอาสวะทั้งนั้น ถา ดาํ เนนิ
ตามหลักธรรมที่พระพุทธเจาทรงสั่งสอนไวจะไมเปนอยางอื่น

นแ่ี ลทโ่ี บราณกลา ววา ยกั ษร บกนั ในนทิ าน จะเปน ปรมั ปราเปน เรอ่ื งจรงิ กต็ าม
พงึ เทยี บเขา ระหวา งกเิ ลสกบั ธรรม ซง่ึ เปน ขา ศกึ กนั และตอ สกู นั มากอ นคาํ วา โบราณเปน
ไหนๆ กเิ ลสตอ งมีเลหเ หลีย่ มแหลมคมมาก ถา เราเปน ฝา ยธรรมหากเครื่องมือไมมี
เพียงพอกับการตอสูมัน ตองแพมันจนได มนั ฆา เอาตาย ตายจากเพศ ตายจากมรรค

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๐

๑๘๑

ผลนิพพาน ตายจากความมุงมั่นของตนที่จะพึงไดพึงถึง ตายหลายประเภทเพราะสู
กิเลสไมได ถกู มนั กาํ ราบปราบปรามเอาเรยี บราบไป นเ่ี ราไมต อ งการอยา งนน้ั จึงตอง
ตั้งหนาตั้งตาตอสูกับกิเลสซึ่งเปนเหมือนยักษ และเปนผูกอทุกขภายในใจสัตวโลกไมมี
การบกพรอง มสี มบูรณอยูต ลอดเวลา

ความทุกขใจเมื่อสมุทัยยังมีอยูภายในแลว จะตองผลิตอยูตลอดไป มีมากมีนอย
ละเอียดขนาดไหนมันก็ผลิตของมันขึ้นมา เรื่องความทุกขนี้ตองเปนเงาตามตัวแยกไม
ออก ดวยเหตุนี้จึงจําเปนตองแกไขแยกแยะถอดถอน หรือฆาตัวเหตุคือสมุทัยใหสิ้นไป
คาํ วา กามตัณหา กามกค็ อื ความใคร ความชอบใจ ชอบใจสง่ิ ใดกเ็ รยี กวา กาม กามแปล
วา ความใครค วามชอบใจ วัตถุสิ่งของเงินทอง นามธรรมกต็ าม รปู ธรรมกต็ าม มนั เปน
เรื่องกามกิเลสทั้งนั้น เพราะเปนเรื่องของกิเลสทั้งมวลที่เราจะตองแกไขถอดถอน ดว ย
อุบายวิธีการตา งๆ ไมเ ชน นน้ั ไมท นั กเิ ลส จะถูกมันจับมัดเขาเตาไฟเผากันไมหยุด คือ
เกิดตายๆ ไปตลอด

นง่ั ภาวนากใ็ หม สี ติ ตงั้ หนาตง้ั ตาปฏบิ ัติอยเู ฉพาะหนา อยาเอาเรือ่ งสงิ่ ใดงานใด
เขา ไปกงั วลภายในใจ ขณะนน้ั ใหท าํ หนา ทใ่ี นวงปจ จบุ นั อยาไปคาดเรื่องมรรคผล
นพิ พานวา จะเปน ขน้ึ อยา งนน้ั อยา งน้ี คาดไปกเ็ สยี เวลา และสตกิ บั จติ พรากจากงานนน้ั
แลวจะไมเกิดประโยชนอนั ใด เดินจงกรมกใ็ หรูอ ยกู บั คําบริกรรมของตน นั่งก็ใหรูอยู
กบั คาํ บรกิ รรม เชน กําหนดพุทโธก็ใหรูอยูกับ พุทโธๆ เรามงี านอนั เดยี วนเ้ี ทา นน้ั ไมมี
งานอื่นใดที่จะหวังพึ่งเปนพึ่งตาย นอกจากความเพียรเพื่อแกกิเลสตัณหาอาสวะทุก
ประเภท ไมมีงานอื่นใดที่พอจะพึ่งเปนพึ่งตายได มงี านนเ้ี ทา นน้ั เอาตรงน้ี จติ และ
ความเพียรตลอดอิทธิบาททั้งสี่ปกลงตรงนี้ทุมลงตรงนี้ อยา เสยี ดายความคดิ ปรงุ เรอ่ื ง
อื่นๆ ซึ่งเคยคิดมามากตอมากแลว ยง่ิ กวา ความคดิ เพอ่ื อรรถเพอ่ื ธรรม อนั เปน ทาง
ถอดถอนกิเลสตัวพิษภัยออกจากใจใหสิ้นไป

อยูไหนใหมีสติ ทจ่ี ะตงั้ รากตง้ั ฐานความสงบเบ้อื งตน นีล้ ําบากอยูม ากพอสมควร
ถาไดพื้นฐานคือความสงบบางก็พอถูไถกันไป หรือไดค วามสงบแลว กย็ ิง่ เพม่ิ กาํ ลงั มาก
ขึ้น เหมือนคาขายมีกําไรมีตนทุนแลวก็พอบึกพอบึนพอถูไถกันไปได แตส าํ คญั ทค่ี า ขาย
ไมมตี นทนุ นซี่ มิ ันลาํ บาก พยายามใหม ีตน ทนุ จติ เปน สิง่ ที่อบรมใหหายพยศไดโ ดย
ลาํ ดบั ตามปกตขิ องจิตมคี วามฟงุ ซา นรําคาญ เพราะถูกยุแหยกอกวนจากกิเลสอยูเสมอ
ไมมีเวลายบั ยง้ั ตงั้ ตวั ไดเลย นี่เปนนิสัยของจิตที่มีกิเลสเปนผูบังคับบัญชา ผมู กี เิ ลสเปน
นายเหนอื หวั ใจตอ งเปน อยา งนน้ั ดว ยกนั จึงไมควรสงสยั วาใครจะมคี วามสขุ โดยไมมี
พิษแฝงอยูเลย

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๑

๑๘๒

ทนี เ้ี ราจะนาํ ธรรมเขา ไปบงั คบั จติ ขบั ไลก เิ ลสผเู คยบงั คบั บญั ชาจติ ใจแตก อ นให
สลายตวั ลงไป มีธรรมเขาแทนที่ที่กิเลสเคยฝงจมอยู เบอ้ื งตน ตอ งอาศยั ความสงบเสยี
กอน ทาํ ความสงบดว ยบทภาวนาจดจอ ตอ เนอ่ื งกนั ดว ยความมสี ตอิ ยกู บั บทธรรมนน้ั ๆ
อยา ใหเ ผลอ อยาคิดอยา คาดหมายอดีตอนาคตวาผลทีจ่ ะเกิดขน้ึ จากสมาธจิ ะเปน
ประเภทใดบา ง อยา ไปคาดไปหมายใหค ลาดเคลอ่ื นจากงานทเ่ี รากาํ ลงั ทาํ อยใู นปจ จบุ นั
คอื คาํ บรกิ รรมภาวนา

ผูกําหนดอานาปานสติก็ใหรูแตลมเขาลมออก สูงต่ําก็ชางไมสําคัญ สําคัญที่
ความรูความสัมผัสของลมเขาลมออกรูกันอยูทุกๆ ระยะ จะสูงจะต่ําหยาบละเอยี ดให
กาํ หนดรูท ีล่ มเขา ออกนเ้ี ทาน้ัน อยา ไปคาดหมายใหเ กดิ ความลงั เลสงสยั และตง้ั ลม
บอ ยๆ ไมถูก

เรอ่ื งทจ่ี ะทาํ ใหน กั ภาวนาสงสยั เปน อยา งน้ี ทีแรกก็ตั้งลมที่ดั้งจมูก โดยทเ่ี หน็ วา
ลมสัมผัสที่ดั้งจมูกมากกวาเพื่อน พอตั้งที่นั่นแลวกําหนดเพลินไปๆ เกดิ ความสงสยั ขน้ึ
มาเหมือนดั้งจมูกนี้สูงขึ้นไปๆ โนนก็มี บางทีเหมือนดั้งจมูกนี้ต่ําลงไป เลยตั้งใหม
กาํ หนดใหม จติ เลยหาความสงบไมไ ดเ พราะอารมณน น้ั มากวนใจอยเู สมอ อยางนี้
เหมือนกับปลูกตนไมพอจะขึ้นบางแลวก็ไปขุดมาปลูกใหมๆ ยายอยูไมหยุดไมถอย สดุ
ทายตนไมก็ตายไมเกิดประโยชนอะไรเลย ทางที่ถูกเมื่อปลูกพื้นที่ตรงไหนดวยความถูก
ตองแลว พยายามรกั ษาและรดนาํ้ พรวนดนิ อยใู นทน่ี น้ั ในตน ไมต น นน้ั ไมโ ยกยา ย
เปลี่ยนแปลงตนไมไปที่อื่นๆ ตน ไมเ มอ่ื ไดร บั อาหารหรอื ปยุ เปน ทเ่ี หมาะสมแลว กเ็ จรญิ
ขึ้น ดอกผลก็เปนขึ้นมาตามๆ กันเมื่อถึงกาลที่ควรจะเปนดอกเปนผลแลว

จิตก็เหมือนกัน การตั้งลมจะตั้งสูงตั้งต่ํา เราตง้ั ทต่ี รงไหนแลว กใ็ หจ บั ทต่ี รงนน้ั ไว
แลว กาํ หนดใหร ลู มเขา รูลมออกอยูทุกระยะๆ จะสูงไปหรือต่ําไปก็ตามที่นี่ ที่วาสูงไปต่ํา
ไปน้ัน มนั เปน ความสาํ คญั ของจติ ตา งหาก ท่ีจะทาํ ใหเ ผลอตวั จากวงปจจบุ นั คอื งานท่ี
กาํ ลงั ทําอยนู ัน้ ไดแกการกําหนดอานาปานสติที่ดั้งจมูก บางทีทําใหจมูกสูงขึ้นไปๆ บาง
ที่ทําใหต่ําลงไปๆ บางทีทําใหเปนความรูสึกเหมือนวาชองจมูกนี้กวางออกไป เวงิ้ วา งไป
หมดอยางนี้ก็มี อยา ไปสนใจ ใหกําหนดดูลมจับอยูที่ลมนั้นที่แสดงตางๆ นน้ั เปน อาการ
หนึ่งๆ ทจ่ี ะหลอกเราใหเ ขวหลกั ไปเทา นน้ั ใหพ ากนั จาํ ไว จับลมไมหยุดไมถอย สง่ิ เหลา
นั้นมันก็คอยคลายตัวของมันไปเอง คอ ยเส่ือมไปคลายไปจางไป สดุ ทา ยกเ็ หลอื แตล ม
เหลือแตลมก็กําหนดแตลมจนละเอียดเขาไป เอา ลมจะหมดจรงิ ๆ ก็ใหหมด อยาไป
ตกใจอยาไปกลัวตาย เมื่อจิตยังครองรางอยู ลมจะหมดไปก็ไมตาย

เวลากาํ หนดเมอ่ื ลมหมดไปจรงิ ๆ ไมมีอะไรเหลือ แตค วามรมู นั เหลอื อยนู น่ั
แหละ เมื่อลมละเอียดลงไปก็แสดงวาจิตละเอียด เมื่อลมหมดไปจริงๆ ในความรสู กึ มนั

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๒

๑๘๓

มีได ถึงลมจะหมดไปก็ตามใหทราบวา ลมที่กําหนดนั้นหมดไป แตค วามรทู เี่ ปนตวั การ
สาํ คญั ซง่ึ เราตอ งการนน้ั มอี ยกู บั เรา ใหอยูกับความรูนั้นไมตองไปกังวลกับลมหรือสิ่งใด
ในขณะนน้ั จนถึงเวลาจิตแสดงอาการออกจากความสงบนั้นมาเปนปกติ ถาจะหยุดก็
คอ ยหยดุ สวนลมก็มีมาเองตามปกติ นค่ี อื หลกั ของการภาวนาอานาปานสติ คราวตอไป
ก็ทาํ ดังทเี่ คยทํามาแลว จะไมผิดพลาดไมลังเลสงสัย และพึงถือวิธีนี้เปนหลักยึดตอไป
อยา งมน่ั ใจ

จงทําใจใหสงบ เมอ่ื จติ มคี วามสงบแลว จติ ยอ มอม่ิ ตวั และควรแกก ารพจิ ารณา
เหมอื นเรารบั ประทานอาหารอม่ิ เรยี บรอ ยแลว ยอ มควรแกก ารทาํ งานฉะนน้ั จะออก
พิจารณาเรอื่ งธาตุขนั ธอายตนะไมว าภายนอกภายในไดท้ังนนั้ พจิ ารณาใหเ ปน อสภุ ะ
อสุภัง หรอื อนจิ จฺ ํ ทุกฺขํ อนตฺตา หรอื เปน ธาตเุ ปน อะไรกแ็ ลว แตถ นดั กบั จรติ นสิ ยั
เพราะสง่ิ เหลา นเ้ี ปน ความจรงิ ดว ยกนั อสุภะอสุภังมันก็อสุภะจริงๆ ไมมีที่ไหนเปนที่
สะอาดสะอาน ภายในรางกายน้เี ต็มไปดวยของปฏกิ ลู โสโครก ผวิ บางๆ ของหนังหุมหอ
ไวก็วานาดแู ละชมกัน เสกสรรกนั วา นา ดูนา ชม วา สวยวา งามนา รกั ใครช อบใจ ความจรงิ
รกั หนงั หนังรองเทาเจา ของกม็ ไี มเหน็ นา รัก หนงั นน้ั มนั นา รกั ทต่ี รงไหน หนงั เขากบั
หนังเราก็ไมเห็นผิดกันอะไร นารกั ที่ตรงไหน จงพจิ ารณาแยกแยะคลค่ี ลายออกดตู าม
สว นตา งๆ ของรางกาย

พิจารณาเขาไปขางในก็เต็มไปดวยของปฏิกูลโสโครกนาขยะแขยง จะนา รกั ใคร
ชอบใจที่ตรงไหน พจิ ารณาแลว พจิ ารณาเลา ซาํ้ ๆ ซากๆ แยกแยะออกดูจนกระทั่งแตก
กระจาย หรือกําหนดใหต ายใหเ นาพองหนองไหลเปอ ยลงไป นาํ้ เนา นาํ้ หนองไหล
เกลื่อนไปเต็มพื้นปฐพี จะถอื วา เปน สตั วเ ปน บคุ คลหญงิ ชายและสวยงามทต่ี รงไหน
พจิ ารณาซาํ้ ๆ ซากๆ จนเหน็ แจง ตามความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั จติ ยอ มจะคลายความรกั
ชอบไปเปนระยะไมสงสัย เหลา นเ้ี ปน อบุ ายวธิ ี อยางนอยก็สงบราคะไดเปนอยางดี ไม
คึกคะนองน้ําลนฝงดังที่เคยเปนมา

แตก ารพจิ ารณาตอ งทําซ้าํ ๆ ซากๆ เปน อาจณิ ของการพจิ ารณา เปน พน้ื เปน ฐาน
เปน งานประจาํ ตนในโอกาสทค่ี วรพจิ ารณา ออกจากความสงบแลว กพ็ จิ ารณาอยา งนน้ั
จะพิจารณาเปนธาตุ แยกกระจัดกระจายออกไปเปนธาตุสี่ ดนิ นาํ้ ลม ไฟ ก็แยกออกไป
สุดทายเมื่อกระจายลงไปแลวก็มีแตดินแตน้ําแตลมแตไฟ ไมเหน็ มีอะไรเหลอื อยใู น
ความเปน สตั วเ ปน บคุ คล ดังท่ีกเิ ลสจอมหลอกลวงพาเสกสรรปน ยอกนั นี้เลย

ฉะนน้ั จงพจิ ารณาใหเ หน็ ตามความจรงิ เม่ือถงึ ความจริงแลว คานไมได เปนแต
กเิ ลสมนั เสกสรรปน ยอขน้ึ มาหลอกเทา นน้ั เอง ปลอมแปลงขึ้นมาวาเปนของสวยของ
งาม วา เปน สง่ิ ทน่ี า รกั ใครช อบใจ เปน สง่ิ ทน่ี า เพลดิ เพลนิ เพราะฉะน้นั ผลมนั จงึ เปนได

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๓

๑๘๔

ทั้งสองทาง คือทาํ ใหเ พลิดเพลนิ จนลืมเนือ้ ลืมตัว ลืมเปนลืมตายกบั ส่ิงนั้นๆ และทาํ ให
เศรา โศกเสยี ดายเพราะสง่ิ ทน่ี า เพลดิ เพลนิ นพ้ี ลดั พรากจากไป หรือวปิ รติ ผิดไปจากเดมิ
ทเ่ี คยมเี คยเปน เมือ่ สิง่ น้นั ๆ เปลย่ี นแปลงไปกเ็ กดิ ความเศรา โศกเสยี ใจ เรื่องของกิเลส
จึงเปนเรื่องของทุกขทั้งมวล จงพจิ ารณาอยางละเอยี ดรอบคอบสลับกนั ไปเวลามีโอกาส
เพราะการถอดถอนกิเลสทุกๆ ประเภทถอดถอนดวยสติปญญาเปนสําคัญ

การทาํ ความสงบนน้ั เปน การตะลอ มกเิ ลสเขา สจู ดุ รวม เพอ่ื ใจจะไดส งบสบาย
และมีกําลังใจที่จะออกพินิจพิจารณาทางดานปญญา เมื่อไดกาวออกทางดานปญญา
พินิจพิจารณาอาการตางๆ ของสว นรา งกายทง้ั ภายในภายนอกแลว เราจะเหน็ ความ
หลุดลอยของกิเลส เพราะอาํ นาจของปญ ญาไปโดยลาํ ดบั และเพลนิ ตอ ความเพยี ร
ตลอดไป ถาพูดถึงการคาก็ไดกําไรไปโดยลําดับ พื้นฐานของจิตก็คือสมาธิ ไดแก ความ
สงบ กาํ ไรกค็ ือปญ ญาฆา กิเลสขาดลงไปโดยลําดบั ลาํ ดารูประจักษก บั ใจ ไมเหมือนสมาธิ
สมาธเิ ปน เพยี งกเิ ลสรวมตวั เขา มาสจู ดุ สงบ ไมเ ทย่ี วสง่ั สมกเิ ลสเพราะความฟงุ ซา นเทา
นน้ั พอกิเลสสงบลงไปไมกอกวน ใจกม็ กี าํ ลงั ควรแกก ารพจิ ารณาและพจิ ารณาแยกแยะ
จะแยกตรงไหนจะแยะตรงไหน จิตใหจดจอตอเนื่องไปโดยลําดับ จนรชู ดั และเกดิ ความ
สลดสงั เวชถงึ นาํ้ ตารว ง

เมอ่ื พจิ ารณาใหเ หน็ โทษมนั เหน็ จรงิ ๆ เปน จรงิ ๆ เราเคยพจิ ารณามาแลว จนถงึ
กับขึ้นอุทาน โอโฮ อยา งนเ้ี หรอ เหน็ กายเหน็ อยา งนเ้ี หรอ นน่ั เปน อยา งนเ้ี ชยี วหรอื เหน็
กาย แตกอนกายก็มีอยูกับเรามาตั้งแตวันเกิดทําไมจึงไมเห็น เพง่ิ จะมาเหน็ กนั วนั น้ี
เหรอความปฏกิ ลู ความปฏิกูลตางๆ ซึง่ มอี ยใู นกายเพิ่งมาเห็นวนั นีเ้ หรอๆ กําหนดดู
เทาไรยงิ่ เกิดความสลดสงั เวชไปโดยลําดับ ทั้งๆ ท่ีตอนพิจารณากายอยางเพลนิ ๆ อยู
นน้ั นะ แตเ ปน เหมือนวา กายไมม ี ความรสู กึ มนั ไปอยกู บั อาการทก่ี าํ ลงั พจิ ารณานน้ั เสยี
แมเชนนั้นน้ําตามันก็รวงออกมาตามประสาของมัน เราไมส นใจกบั มนั มแี ตพิจารณาจ้ี
เขา ไปๆ จนทะลุปรุโปรงโลงไปหมด นี่เปน อบุ ายของสติปญญาพจิ ารณาอยางนี้ เวลา
เหน็ เหน็ อยา งนส้ี าํ หรบั เรา แตอ ยา คาดหมายเพราะเปน เรอ่ื งของแตล ะคนจะรเู หน็ ขน้ึ
กับตัวเองโดยเฉพาะๆ ในเวลาพจิ ารณา

การพจิ ารณาดว ยปญ ญาขน้ั นร้ี นุ แรงไปโดยลาํ ดบั ๆ ตง้ั แตข น้ั เกย่ี วกบั ราคะอสภุ ะ
ลงมา เปนขั้นของปญญาที่รุนแรงมาก แตม นั รนุ แรงดว ยความอาจหาญน่ี จงึ เรยี กวา
ผาดโผน มันอาจหาญมากทเี ดยี ว พอผา นข้ันรางกายซึ่งเปนรปู ธรรมน้ีไปแลว ปญญา
นน้ั เหมอื นกบั นาํ้ ซบั นาํ้ ซมึ ซึ่งไหลรินอยูทั้งแลงทั้งฝนนั่นแล ไมมากแตไมหยุด เปน
ปญญาขั้นละเอียด เพราะกเิ ลสมนั ละเอยี ดเขา ไปมแี ตน ามธรรม พวกเวทนา สัญญา
สังขาร วิญญาณ ทั้งสุขทั้งทุกขเฉยๆ มนั มอี ยภู ายในรา งกายและเขา ไปสจู ติ ใจ มันแยก

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๔

๑๘๕

มันแยะไปทั้งภายนอกคือรางกาย ทั้งภายในคือจิตใจ เวทนาอยูไดทั้งสองแหง จงึ
พจิ ารณาแยกแยะ สว นมากกพ็ จิ ารณาเวทนาสว นรา งกายมนั กเ็ ขา ไปถงึ ใจเอง เพราะมนั
ออกมาจากใจนี่ จะไปไหนพน เมื่อละเอียดลออเขาไปแลว อะไรมนั กเ็ ปน ธรรมไปหมด
รา งกายกส็ กั แตว า เทา นน้ั เมอ่ื ไมเ สกสรรปน ยอเพราะอาํ นาจของกเิ ลส เนอ่ื งจากธรรม
ปราบลงสคู วามจรงิ แลว

ถาพูดถึงอสุภะมันก็อสุภะ พูดถึงเรื่องธาตุมันก็เปนธาตุโดยตรงอยูแลว นน่ั คอื
ธรรมปราบความเสกสรรปน ยอของกเิ ลสทง้ั หลายใหเ ขา สสู ภาพเดมิ สภาพแหง ความ
จริงของตน จึงสักแตวาๆ พอไปถึงสุข ทุกข เฉยๆ มันก็สักแตวาอันเดียวกัน ความคดิ
ความปรงุ กห็ าเราหาเขาทไ่ี หนมี มีแตความกระเพื่อมของจิตแย็บๆ ออกไปเปนเรื่อง
เปน ราวแลว กด็ บั ไปๆ ความเกดิ ดบั นน้ั หรอื เปน เราเปน ของเรา มนั ไมใ ชเ รา ไมใชของ
เรา มันเปนตวั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา ทง้ั หานเี้ ปนเหมอื นกนั รปู เวทนา สัญญา สงั ขาร
วญิ ญาณ แตละประเภทเปน ตวั อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา เหมือนกัน มนั เปน ตวั เราตวั ของ
เราทต่ี รงไหน พจิ ารณาหาความจรงิ จรงิ ๆ มนั ไมม สี ตั วบ คุ คลเราเขา เปนตน ในขนั ธห า
แตอยางใดเลย มนั สกั แตว า ๆ เทาน้นั นแ้ี ลคอื ความจรงิ

พจิ ารณายน เขา ไปๆ กเิ ลสตณั หาอาสวะทม่ี นั เคยเกาะเกย่ี วอยกู บั สง่ิ เหลา น้ี วา
เปน เราเปน ของเรา เคยหลอกลวงเรามานาน มันหาที่อยูไมได เพราะถูกตัดฟนหั่น
แหลกเขาไปดวยอํานาจของสติปญญา มันก็ไหลรวมตัวเขาไปถึงจิต สติปญญาก็ไลที่จิต
นน้ั ฟาดฟนกันลงไปที่จิตนั้นใหแหลกละเอียดไปตามๆ กัน ขน้ึ ชอ่ื วา กเิ ลสแลว ไมว า
ประเภทใดมันก็คือตัว อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา อันเปนตัวสมมุติเหมือนกันหมด ละเอยี ด
ขนาดไหนก็คือตัวสมมุติ ตัวสมมุติก็ตองมีอนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตตฺ าเต็มตัว เปน เราเปน ของ
เราทไ่ี หนได ฟาดฟน หน่ั แหลกเขา ไปในจติ จนแตกกระจายหมดนน้ั แลว นั้นแหละที่นี่ตัว
ยนื โรงวา เกดิ แก เจบ็ ตาย ก็คือเชื้อของอวิชชาเปนตนเหตุ อวิชชานี้ไดสิ้นสุดลงไปแลว
จากจิตดวงนั้น จิตดวงนั้นแลเปนธรรมทั้งดวงอยางเต็มภูมิ หมดปญหาโดยประการทั้ง
ปวง ขึ้นชื่อวากิเลสและสมมุติทั้งมวลไมมีเขาเกี่ยวของอีกแลว

นน่ั แลการคน หาธรรมของจรงิ จงคน ใหเ จอ เรื่องเกดิ แกเจบ็ ตายจะไมเจอทไ่ี หน
จะเจอที่จิต เปน ตวั การทใ่ี หเ ทย่ี วหาทพ่ี าใหเ กดิ แก เจบ็ ตาย ที่จิตนั้นมีอะไร ก็มี อวิชฺ
ชาปจฺจยา สงขฺ ารา นั้นแหละตัวกอตอแขนงออกไปโดยลําดับ ฟาดฟนหั่นแหลกลงไป
ถึงรากแกวคืออวิชชา ถอนพรวดข้ึนมาแลว เปนอนั วาหมดปญ หาโดยส้ินเชงิ ไมมสี ิ่งใด
เหลอื นน่ั แหละสงครามชนะอยา งสดุ ยอด ต้ังแตบ ัดน้นั แลวไมม กี ิเลสตัวใดท่ีจะโผลจ าก
ทห่ี ลบซอ นปรากฏตัวขน้ึ มาอกี เพราะสติปญญารไู มท ันแลวมาเปน ขา ศกึ ตอ เราอีกนะ
เปน อนั วา หมดเทา นน้ั กเิ ลสอวิชชาดบั เช้ือหมดแลว ทนี่ ีน่ ะ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๕

๑๘๖

ตง้ั แตบ ดั นน้ั แลว จะอยู จะนั่ง จะนอน จะเดนิ จะดอู ะไรฟง อะไรกเ็ ปน อสิ รเสรี
เต็มตัว ไมกลัวอะไรอีกแลว เพราะไมม นี ายเหนอื หวั คอยควบคมุ นกั โทษคอื จติ ใหเ ปน
อยางนั้นอยางนี้อีก ดูไดเต็มตา ฟงไดเต็มหู มีกี่ตากี่หูกี่จมูกกี่ลิ้นกี่กายกี่ใจของผูนั้นได
ทั้งนั้น เพราะดดู ว ยความจรงิ ฟง ดว ยความจรงิ ทุกสิ่งทุกอยางดวยความจริง ดว ยความ
เปน อสิ ระในหลกั ธรรมชาตขิ องจติ ทบ่ี รสิ ุทธิ์แลว นี่ผลแหงการปฏิบัติธรรมของพระพุทธ
เจา ซง่ึ เปน ปจ จบุ นั ธรรมอยตู ลอดเวลา เหมาะสมกบั คาํ วา มชั ฌมิ า คือเปนปจจบุ ันทนั
สมัยกับกิเลสทุกประเภทตลอดมา ขอใหนํามาประพฤติปฏิบัติเถอะ ความที่ไดยินไดฟง
อยางไดฟงวันนี้ จะปรากฏภายในใจของนักปฏิบัติโดยไมตองสงสัย ถา เอาจรงิ เอาจงั นะ
เพราะสวากขาตธรรมนั้นไมมีปญหาอะไรอยูแลว นอกจากหัวใจที่เต็มไปดวยกิเลสตัว
แสนปลน้ิ ปลอ นซอ นเลบ็ เหนบ็ แนมหวั ใจเราเทา นน้ั แหละ พาใหเ ปน เจา ปญ หา ฆา หรอื
ทาํ ลายตวั เราอยเู รอ่ื ยมา

มนั ไมต ายแหละการประกอบความเพยี รฆา กเิ ลสน่ี เปน แตเ พยี งความลาํ บากลาํ
บนมากนอ ยเทา นน้ั แตเ รอ่ื งตายจรงิ ๆ นน้ั คอื กเิ ลสมนั ตาย เราไมต ายแหละตายดว ย
ความเพยี รนะ กเิ ลสนน่ั แหละเปน ผจู ะตาย แตเ รามนั กลวั ตายเสยี กอ นนะ ซิ มันถึงไม
สามารถฟาดฟน หน่ั แหลกกเิ ลสได พอใหถลอกปอกเปกไปบาง หรอื ใหถ งึ ขน้ั กเิ ลสตาย
เพราะฉะนน้ั จงเอาใหถ งึ ขน้ั กเิ ลสตาย อยาเอาเพียงแตกิเลสถลอกปอกเปกเฉยๆ ใชไม
ได เอาใหก เิ ลสตายซิ เม่ือกิเลสตายแลวไมมีละในโลกน้วี าสิ่งใดจะมาเปน ขาศกึ ตอ จิตใจ
มีกเิ ลสเทาน้นั เปน ขา ศึกของใจ รูไดชัด เมอื่ กเิ ลสดับภพดบั ชาติลงไปหมดแลว ไมมี
อะไรเขามายุแหยกอกวนใหจิตไดรับความลําบากอยางนั้น ไดรับความทรมานอยางนอ้ี ีก
ตอไป จงึ เหน็ ไดช ดั วา ออ มนั มกี เิ ลสนเ้ี ทา นน้ั สามโลกธาตนุ ไ้ี มม อี ะไรมาเปน ใหญแ ละ
เปนพิษเปนภัยตอจิตใจ นอกจากกเิ ลสอยใู นหวั ใจตวั เองนเ้ี ปน เจา อาํ นาจ และเปนพิษ
เปนภัยตอ ตัวเองเทา นน้ั

เมอ่ื กเิ ลสสน้ิ ลงไปแลว เปน อนั วา หายหว ง อยูก็อยู ตายก็ตายไมมีปญหาถึงเรื่อง
ธาตุเร่อื งขันธ เพราะไดพ ิจารณารอบคอบหมดแลวตลอดทวั่ ถงึ ไมมสี ิง่ ใดเหลอื หลอ จงึ
ขอใหทุกทานนําไปพินิจพิจารณา ตั้งศรัทธา ความเพยี ร ความมุง ม่ันตอชยั ชนะในการ
ปราบปรามกเิ ลสใหถ งึ ใจ ความเพยี รจะถงึ ใจ สติปญญายังไมมีก็จะเปนขึ้นมา ดว ย
อาํ นาจแหง ความมงุ มน่ั เปน หลกั สาํ คญั และเปน แมเ หลก็ อนั สาํ คญั ทด่ี งึ ดดู ความ
พากเพียร ความอดความทน สติปญญาก็เปนมาๆ เพราะความมงุ มน่ั อยาไปลังเล
สงสยั ในเรอ่ื งมรรคผลนพิ พานใหเ สยี เวลาํ่ เวลา และตัดทอนกาํ ลงั ความเพียรทกุ ดานให
หมดไป ผลสดุ ทา ยกล็ ม เหลว ไปไมรอด แนะ มันเกิดประโยชนอะไรความไปไมรอดนะ
ถอยทัพกลับแพมันเกิดประโยชนเหรอ ใหค ดิ อยา งนเ้ี สมอ อบุ ายสตปิ ญ ญาทจ่ี ะใหท ัน

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๖

๑๘๗

กับกลมายาของกิเลสที่หลอกเราอยูทุกระยะ ฟตใหทันกัน จงึ ชอ่ื วา ผมู าหาความเฉลยี ว
ฉลาดจากหลกั ธรรม

จงทําความเขา ใจกับตนอยางหนกั แนนอยูเสมอวา ในการรบกบั ขา ศกึ กใ็ หเ รา
เปน ผหู นง่ึ ในการรบ กเิ ลสตายไปจากจติ ใจกใ็ หเ ราเปน ผหู นง่ึ ทร่ี เู รอ่ื งกเิ ลสมนั ตายไป
เร่ืองภพเรือ่ งชาติเคยเกิด แก เจบ็ ตาย มากี่กัปกี่กัลปนับไมถวน กใ็ หเ ราเปน ผหู นง่ึ รู
และตดั ขาดสะบั้นลงในวงปจจุบนั ของจิต อยาใหเปนขาวของทานผูใดมาฉวยเอาของดี
ไปครอง โดยทเ่ี ราไมม สี ว นดว ยอยา งเตม็ ภมู ิ คาํ วา จติ นไ้ี ดบ รสิ ทุ ธส์ิ ดุ สว นแลว กเิ ลส
เอื้อมไมถึง ไมมีกิเลสตัวใดอีกแลว กใ็ หเ หน็ ในหวั ใจของนกั ปฏบิ ตั คิ อื เราเองเปน ผหู นง่ึ
เมอื่ ไดท าํ ความเขาใจกับตวั เองดงั ที่กลาวมาน้ี แนทเี ดยี ววาจะไมเ ปนอ่ืน ตอ งเปน ผูน้นั
แนน อนจะทรงมรรคทรงผลอนั สมบรู ณใ นสมยั ปจ จบุ นั คอื วนั น้ี เดอื นน้ี ปนี้ ชาตนิ ้ี

การแสดงธรรมกเ็ หน็ วา สมควรแกเ วลาขอยตุ ิ

<<สารบัญ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๗

๑๘๘

เทศนอ บรมพระ ณ วดั ปา บา นตาด
เมื่อวันที่ ๒๐ มถิ นุ ายน พทุ ธศกั ราช ๒๕๒๓

อยา ประมาทนอนใจ

ทา นนกั ปฏิบัติทง้ั หลาย จงคํานึงถึงพระโอวาทของพระพุทธเจาที่ทรงสั่งสอน
พระสาวกในครง้ั พุทธกาล หรือสั่งสอนภิกษทุ ง้ั หลายในครงั้ นนั้ ทรงเนนหนักลงในงานที่
จะรื้อถอนสิ่งที่รกรุงรังฝงอยูภายในใจ ซึ่งทาํ ใหส ตั วท ้ังหลายไดร บั ความทกุ ขค วามเดือด
รอ นตลอดมา ดว ยความเกดิ แกเ จบ็ ตายอนั เปน ผลของสง่ิ ทร่ี กรงุ รงั นน้ั คอื กเิ ลสประเภท
ตางๆ

พระพุทธเจาทรงสั่งสอนวิธีการ งานที่จะรื้อถอนสิ่งเหลานี้แกภิกษุทั้งหลายใน
ครง้ั นน้ั ไมมีงานใดพระโอวาทใดท่ที รงเนน หนักลง ยิ่งกวาการสั่งสอนพระสงฆเพื่อให
เหน็ โทษเหน็ ภยั ในสง่ิ ทเ่ี ปน พษิ เปน ภยั อยภู ายในใจเรา ซึ่งมุงมาประพฤติปฏิบัติเพื่อ
ความพนจากทุกขอยูแลว ใหเ หน็ อยา งเตม็ ใจ นี่เปนหลักใหญของพระโอวาทคําสั่งสอน
ท่ที รงมุงหวังอยา งยงิ่ แกบรรดาสัตว เฉพาะอยางยิ่งภิกษุบริษัทซึ่งพรอมแลวที่จะออก
แนวรบเพื่อชัยชนะในสิ่งที่เปนขาศึกตอตนเอง ไดแ กก เิ ลสประเภทตา งๆ ซึ่งลอมหนา
ลอ มหลงั อยเู วลาน้ี ไมม ขี ยบั ขยายบา งเลย ถาไมถูกขับไลดวยความเพียรของนักตอสู
เพอ่ื ชยั ชนะ

นเ่ี ปน การเปน งานอนั สาํ คญั มาก แมพ ระองคเ องกท็ รงถอื เปน ภาระอนั ใหญ
หลวงมากทเี ดียว ไมปรากฏนับแตขณะที่พระองคเสด็จออกทรงผนวชวา ไดทรงทํากิจ
การงานใดๆ นอกเหนอื ไปจากงานปราบปรามส่ิงทเี่ ปนขาศกึ อยูภายในพระทยั การหวงั
ความตรัสรกู ็คอื หวงั ความพนทุกข การหวังความพนทุกขก็ตองฝาฟนสิ่งที่เปนขาศึกปก
คลุมอยูภายในพระองคใหขาดไปโดยลําดับ เปน สายทางทร่ี าบรน่ื ดงี ามตอ ความพน
ทุกขดวยการประพฤติปฏิบัติ

แตเ พราะพระองคทรงเปน สยัมภู จะพงึ รเู องเหน็ เอง จงึ ไมม คี รมู อี าจารยท แ่ี นะ
นําหรือถวายพระโอวาทแกพระองค ทรงบําเพ็ญโดยลําพังพระองคเอง รสู กึ วา ลาํ บาก
มากอยูไมนอย ผดิ บา งถกู บา งเปนธรรมดางานทไ่ี มเ คยทาํ หรือทางไมเ คยเดนิ แตอ ยา ง
ไรก็ตามความมุงมั่นของพระองคมีอยูกับงานทุกระยะ เพื่อถอดถอนกิเลสอาสวะซึ่งเปน
เชื้อแหงวัฏจักร เครอ่ื งพาสตั วใ หห มนุ เวยี นเกดิ แกเ จบ็ ตายอยนู ้ี ทรงถือเปนงานสาํ คญั
ยง่ิ กวา งานอน่ื ใด

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๘

๑๘๙

นบั แตว นั ทรงผนวชจนกระทง่ั ถงึ วนั ตรสั รู มีแตงานนี้ลวนๆ สาํ หรบั พระพทุ ธเจา
ที่ทรงดาํ เนนิ มา จนไดต รสั รเู ปน ศาสดาเอกของโลกขน้ึ มากเ็ พราะงานชน้ิ นส้ี าํ เรจ็ กเิ ลส
ขาดสะบั้นไปจากพระทัยไมมีเหลือหลออยูแมนิดเดียว การทก่ี เิ ลสแตล ะประเภทจะขาด
หรอื หลุดลอยไปนั้น ลวนเกิดจากการรื้อถอนการฟาดฟนหั่นแหลกดวยงานคือการตอสู
กบั กเิ ลสทกุ ประเภท นี่พระองคถือเปนงานใหญโตมาก เหนอื ชวี ติ ของพระองคเ อง หาก
จะทรงสน้ิ พระชนมใ นเวลาบาํ เพญ็ กไ็ มท รงเสยี ดาย เพราะความมงุ มน่ั ในความหลดุ พน
มีกําลังกลา อันดับตอไปคือความเปนศาสดาของโลก เปน สงิ่ ท่มี ีนํา้ หนักมากยิ่งกวา
ความมงุ มนั่ อื่นใดในสกลโลก

การบําเพ็ญของพระองคจึงเปนไปดวยการปฏิบัติ เพื่อถอดถอนกิเลสโดย
ถา ยเดยี วเทา นน้ั หลงั จากไดต รัสรแู ลว ทรงนําพระโอวาทมาส่ังสอนบรรดาสัตวมีภกิ ษุ
เปนตน ก็ทรงเนน หนกั ลงในงานท่ีพระองคท รงบําเพ็ญ และไดเห็นผลเปนที่พอพระทัย
มาแลวทง้ั น้นั

พระองคไ มท รงชมเชยกจิ การงานใดสาํ หรบั สมณะผูเปนนกั บวชอยแู ลว วา ใหท าํ
สง่ิ นน้ั ใหท าํ สง่ิ น้ี หรอื สง่ิ นน้ั ดงี านนน้ั ดี นอกจากความเพียรเพื่อถอดถอนกิเลสอาสวะ
โดยถา ยเดยี วเทา นน้ั ไมว า จะอยใู นอริ ยิ าบถใด พระองคไมใหทอถอยในการบําเพ็ญ ใน
การตอสู นั่งอยูก็ตอสู ยนิ เดิน นอน เวน เสยี แตห ลบั เปนทาตอสูของนักรบ ดว ยความ
มีสติมีปญญาเครื่องรักษาตัว มีสติเปนเครื่องระมัดระวงั สง่ิ ทจี่ ะเปน ขาศึกเพิ่มข้ึนอกี ภาย
ในจติ ใจ เพราะตามลาํ พงั กม็ อี ยแู ลว บรรดาสง่ิ ทไ่ี มพ งึ ปรารถนาทง้ั หลาย มีเต็มหวั ใจ จงึ
ไมประสงคที่จะใหสั่งสมใหมากมูนขึ้นไป ยิ่งกวาการถอดถอนใหหมดไปโดยลําดับเทา
นน้ั ผูปฏิบัติจงถือเปนกิจจําเปนอยางยิ่งในงานเพื่อถอดถอนโดยถายเดียว และจงระวงั
คาํ วา สง่ั สมในขณะเดยี วกนั เพราะเปน ส่งิ ที่เกิดไดงายมากในทกุ หวั ใจ ไมขึ้นอยูกับพิธีรี
ตองใดๆ เมอ่ื เกดิ แลว เปน สง่ิ ทช่ี าํ ระยากมาก ทั้งไมพอใจชําระนอกจากพอใจสั่งสมมาก
กวา โดยทั่วไปเปนอยางนั้น

ทา นพดู เปน สว นใหญไ วว า ความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหา เหลา น้ี
ลว นแตป ระเภทใหญๆ ของขาศึกและเปนจอมทัพดวยกันทั้งนั้น ถา ไมม จี อมธรรมเขาสู
จอมทพั คอื กิเลสประเภทตา งๆ แลวก็ไมมีหวังชัยชนะไดเลย เพราะฉะนน้ั คาํ วา กองทพั
ก็คือขาศึกกองใหญหลวงมากมายนั่นเอง กองธรรมกค็ อื การประกอบความเพยี รดว ย
อุบายวิธีตางๆ มีสติปญญาเปน เครือ่ งกํากบั รกั ษาจติ ใจอยโู ดยสมํ่าเสมอนนั่ แล มีทาทาง
แหงการตอสูตานทานกับขาศึกคือกิเลสอยูไมหยุดหยอน ไมว า อริ ยิ าบถใดทา ใด เปน ผมู ี
สติหมุนอยูกับงานของตนที่ตอสูกับขาศึกเทานั้น

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๘๙

๑๙๐

ไมเห็นงานใดทจ่ี ะวิเศษวิโสยง่ิ กวางานถอดถอนกิเลสอาสวะ เพื่อความหลุดพน
ถึงแดนเกษม ดังพระพุทธเจาทรงเปนมาแลว และประทานพระโอวาทไวเ พอ่ื บรรดา
สตั วไ ดพ บเหน็ ดว ยตวั เอง จากการตะเกียกตะกายของตัวเอง เฉพาะอยางยิ่งพระปฏิบัติ
เราเปน สาํ คญั มาก ใหพ ึงคํานงึ และตระหนกั ในงานของตนอยาใหยดื เยื้อไปนาน เรอ่ื ง
การเกดิ แกเ จบ็ ตายนน้ั ไมม ีส่ิงใดเปน สาเหตุ อยา พากนั สงสยั ใหเ สยี เวลาและเสยี ทา ให
กเิ ลสไปเรอ่ื ยๆ นอกจากกเิ ลสสามสป่ี ระเภทซง่ึ เปน จอมทพั นเ้ี ทา นน้ั เปน ตวั เหตุ จอม
ทัพจอมศัตรูก็คือกิเลสแตละประเภทนี้แล ยาํ่ ยตี แี หลกจติ ใจใหไ ดร บั ความทกุ ขท รมาน
อยูเ รื่อยมา หากเปนของไมทนทานก็แหลกละเอียดเปนผุยผงไปนานแลว

แตนี้เพราะจิตเปน ของทนทานมาก ทุกขขนาดไหนก็ยอมรับวาทุกขแตไมฉิบ
หาย ไมส ลาย ไมท าํ ลายเหมอื นสง่ิ ทง้ั หลาย จึงพอทนสืบตอภพชาติมาไดจนถึงปจจุบัน
น้ี เราไมค วรสงสยั เรอ่ื งภพเรอ่ื งชาติ เพราะจติ นเ้ี ปน ตวั ประกนั แหง ภพชาตอิ ยแู ลว โดย
หลักธรรมชาติของมันที่มีเชื้อพาใหเกิดอยูภายใน เชอ้ื ภายในจติ เปน เครอ่ื งยนื ยนั เรอ่ื ง
ความเกดิ แกเ จบ็ ตายในภพนอ ยภพใหญ จงึ ไมค วรสงสยั ในเรอ่ื งเคยเกดิ แกเ จบ็ ตายหรอื
ไม เพราะธรรมชาตนิ เ้ี คยเปน มาแลว ยง่ิ กวา เคยเสยี อกี เนื่องจากไมเปนอยางอื่น นอก
จากจะพาสตั วใ หเ กดิ แกเ จบ็ ตายและบบี บงั คบั จติ ใจของสตั ว ใหไ ดร บั ความทกุ ขค วาม
ลําบากในภพนอ ยภพใหญอยูต ลอดมาเทา นั้น จงึ ไมควรสงสยั

การแกก เิ ลสประเภทตา งๆ ออกจากจิตใจ ดวยงานที่พระพุทธเจาทรงมอบให
แลว นน้ั เปน ภาระสาํ คญั เฉพาะหนา ของเรา ไมมีผูหนึ่งผูใดแมทั้งสามแดนโลกธาตุ จะ
มาชว ยภาระธรุ งั ของเราใหเ บาลงหรอื ใหห มดสน้ิ ไปได โดยที่เราไมตองประกอบงานซึ่ง
เปน ความจาํ เปน เฉพาะเรานเ้ี ลย ตอ งเปน หนา ทข่ี องเราอยา งเดยี วเทา นน้ั หนกั หรอื เบา
กเ็ ปนหนาทข่ี องเราจะตอ งตอสแู บกหามแตผูเดยี ว ไมม ใี ครสามารถทาํ หนา ทแ่ี ทนเราได
ฉะนน้ั จงตง้ั หนา ทาํ หนา ทข่ี องเราใหส าํ เรจ็ ลลุ ว งไปดว ยความภาคภมู ใิ จ ตามพระโอวาท
วา อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเปนที่พึ่งของตน

อยาลืมพระโอวาทที่ทรงสั่งสอนพวกเราซึ่งเคยไดพูดใหฟงเสมอ เบอ้ื งตน ทา น
มอบงานไมก ่ีช้ินใหพ วกเราพอเหมาะแกกําลงั พอใหเปน ปากเปน ทาง เม่อื ยึดนั้นเปน
งานหลักแลวจะกระจายไปอีกไมมีสิ้นสุดยุติ เมอ่ื สตปิ ญ ญาไดป รากฏขน้ึ มาแลว เพราะ
การประกอบความพากเพียรไมลดละทอถอย งานเหลานี้ก็จะชัดแจงดวยกาํ ลังสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร นน่ั แลเปน ธรรมเครอ่ื งบกุ เบกิ เพกิ ถอน

เบอ้ื งตน ขณะทบ่ี วชทา นทรงสอนวา เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ,ตโจ ทันตา
นขา โลมา เกสา. ทําไมทานจึงสอนอยางนี้ทุกรูปทุกนามไป เวน เสยี ไมไ ดจ นกระทง่ั
ปจ จบุ นั น้ี ไมวาอุปชฌายะองคใดจะชอบกรรมฐานไมชอบกรรมฐานก็ตาม เวลาบวช

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๐

๑๙๑

กลุ บตุ รจาํ ตอ งสอนกรรมฐานหา นใ้ี ห เพอ่ื เปน งานหรอื เปน ศาสตราวธุ ฟาดฟน หน่ั แหลก
กับความรักความชอบ ความหลงใหลใฝฝ น ในสง่ิ ทก่ี ลา วน้ี กรรมฐานนจ้ี งึ ไมใ ชเ ปน เรอ่ื ง
เล็กนอย ถา จะเทยี บแลว กห็ นายง่ิ กวา ภเู ขาทง้ั ลกู ใหญย ง่ิ กวา ภเู ขาทง้ั ลกู หนักอึ้งยิ่งกวา
ภูเขาทั้งลกู เสียอีก เพราะสง่ิ เหลา นน้ั สามารถจะทําลายได ดวยเครื่องมือเครื่องจักร
เคร่อื งยนตต า งๆ จนราบเปน หนา กลองกไ็ ดไ มน านนกั เลย

แตจ ะทาํ ลายกอ นภเู ขาภเู รา ซึ่งยึดมั่นถือมั่นสําคัญผิดมาเปนเวลาตั้งกัปตั้งกัลป
นท้ี าํ ลายไดย ากมาก มผี ใู ดบา งทส่ี ามารถทาํ ลายสง่ิ เหลา นล้ี งไดโ ดยไมต อ งยากลาํ บาก
อะไรเลย และไมมีผใู ดแนะนาํ ตกั เตอื นส่งั สอนวิธกี ารทําลายเลยกท็ าํ ไดน ้นั ยอ มเปน ไป
ไมได เพราะฉะนน้ั จงึ ไดน ามวา สาวก ไดแกผูสดับตรับฟงจากพระพุทธเจา จนทราบ
อุบายวธิ ีการตา งๆ แลว นาํ มาประพฤติปฏบิ ตั ิตอ ตนเองตามอุบายวธิ ีท่ีทานสอนนั้น จงึ
เขา ใจไปโดยลาํ ดบั ในกจิ การงานนน้ั ๆ

ผมเสน เลก็ ๆ กจ็ รงิ แตมันใหญโตอยูกับความมืดตื้อหนาแนนของกิเลสครอบงํา
ความจรงิ เอาไว ดว ยการเสกสรรปน ยอหอ งนาํ้ หอ งสว มวา เปนของสวยของงามนารัก
ใครชอบใจ สง่ิ เหลา นน้ั จงึ ใหญโ ตหนาแนน ในความรสู กึ ของสามญั ทว่ั ไป น่นั เปน ของ
ปลอมตามหลักธรรม ไมใ ชเ ปน ความจรงิ นเ่ี พยี ง เกสา โลมา เทา นก้ี ห็ นาแนน ขนาด
ไหน กาํ เเพงเจด็ ชน้ั เขายงั ทาํ ลายไดค รเู ดยี วยามเดยี ว อนั นม้ี นั หนายง่ิ กวา นน้ั อกี จึงไม
สามารถทาํ ลายลงใหถ งึ ความจรงิ ไดอ ยา งงา ยดาย นขา ทันตา ตโจวาระสดุ ทา ยแหง
กรรมฐานหา

ตามความจรงิ แหง ธรรมแลว หนังเปนสิ่งที่หนาเมื่อไร จะไมพ จิ ารณายากลาํ บาก
อะไรนกั เลย เพียงผิวๆ ของมันก็เต็มไปดวยของปฏิกูลโสโครกอยูแลวโดยหลักธรรม
ชาติ ตามธรรมที่ทรงสอนไวแ ลวนี้ นค้ี อื ความจรงิ โดยแท ไมม กี ารเสกสรรใดๆ ทง้ั สน้ิ
แตจ ิตใจของเรามันบิดเบอื นความจริงไปตางๆ เพราะกเิ ลสพาใหบ ดิ เบอื น กเิ ลสพาให
เสกสรรกเิ ลสพาใหพ ลกิ แพลง กเิ ลสพาใหต อ สู กเิ ลสพาใหก ําบังของจริงท้ังหลายไว
เอาแตของปลอมมาหลอกลอหลอกลวงสัตวโลก ซง่ึ หลงอยแู ลว ดว ยอาํ นาจของกเิ ลส ก็
ยิ่งทําใหหลงเพิ่มขึ้นอีก ไมมีเขตมีแดนแหงความพอดีติดจิตติดใจบางเลย

เพราะฉะนน้ั กอ นภเู ขาภเู รากอ นเลก็ ๆ เพียงกอนรูปขันธเทานี้ ทั้งที่สติปญญามี
อยู แตไ มส นใจนาํ มาใชน าํ มาคลค่ี ลายนาํ มาฟาดฟน หน่ั แหลก สิ่งที่ปกคลุมหุมหออยู
ดว ยความสาํ คญั วา สวยวา งาม วา เราวา ของเรา วา ตวั ตนเราเขา ใหแตกกระจายลงไปสู
หลกั ความจรงิ คือเปนของปฏิกูลบาง เปน อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา บา งประจกั ษใ จ ตาม
หลกั ธรรมชาตทิ ธ่ี รรมสอนไวบ า งเลย เพียงเทานี้ก็ไมสามารถทําได จงึ เรยี กวา เพยี งรปู
ขนั ธข องเราแตล ะทา นละคนนเ้ี ทา นน้ั มนั ก็ใหญโ ตย่ิงกวา ภเู ขาทง้ั ลกู อยูแลว จึงไม

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๑

๑๙๒

สามารถทาํ ลายได เพราะเหตนุ น้ั ทา นจงึ สอนในจดุ นอ้ี นั เปน จดุ สาํ คญั วา เกสา โลมา
นขา ทันตา ตโจ เปนตน เพอ่ื ใหส นใจดมู นั ไมมองขามกันไปเสียแบบบุรุษตาบอดตา
ฝาฟาง

กิเลสก็เกิดขึ้นจากจุดนี้แล เกดิ ขนึ้ จากความรักความชอบใจ ความเกลยี ด ความ
ชังก็เปนกิเลส เพราะความเกลยี ดความชังไมใชเรื่องของธรรม ความเกลยี ด ความโกรธ
ความรักความชอบ เปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล หอมลอ มอยูภายในรา งกายและจติ ใจนี้
จนหาทางออกไมได เมอ่ื เปน เชน นน้ั จงึ ตอ งสอนวธิ กี ารพจิ ารณาอนโุ ลมปฏโิ ลม ยอน
หนาถอยกลับไปมาอยูดวยความมีสติ เพอ่ื ความชาํ นชิ าํ นาญในงานของตน

การบรกิ รรมธรรมบทใด ก็ใหจิตจดจอตอเนื่องกับคําบริกรรมและวัตถุที่ตน
บรกิ รรมนน้ั จรงิ ๆ เชน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ อาการใดก็ตามใหมีความรูสึกอยู
กบั ส่งิ นั้นๆ หรอื จะแยกพิจารณาออกเปนสัดเปนสว นตามความจรงิ ของมันทมี่ ีหลาย
อาการดวยสติปญญา ก็ไมพนที่จะทราบไปได ถา ความพอใจความเชอ่ื ตามหลกั ธรรม
ของพระพุทธเจามีอยูภายในใจ ไมถูกกิเลสฉุดลากใหแตกกระเจิงไปหมด เหลือแต
ความจอมปลอมซ่ึงเปนหลักเปนแกนอยภู ายในใจอยางเดียว เวลาแสดงออกมามีแต
ความรักความชอบใจ ความนา กาํ หนดั ยนิ ดี ความเกลยี ด ความโกรธไปเสียหมด แลว
จะเห็นของจริงเจอของจริงไดที่ไหน เพราะความรคู วามเหน็ อนั เปน เรอ่ื งของกเิ ลสทง้ั
มวลนี้ เปน เครอ่ื งปด กน้ั กาํ บงั ความจรงิ ในหลกั ธรรมชาตอิ นั เปน ธรรมแท ไวอยางมิด
ชิดติดอยูกับใจตลอดเวลา ไมมีการพจิ ารณาแยกแยะพอใหมองเหน็ ยิบๆ แยบ็ ๆ
เหมอื นฟาแลบบา งเลย

นล่ี ะหลกั ใหญ จงึ เปน สง่ิ ทค่ี วรเนน หนกั ทางความเพยี รลงสจู ดุ นใ้ี หม าก ใหเปนที่
เขา ใจ ตามหลักแหงสวากขาตธรรมวา ตรสั ไวช อบแลว นน้ั ชอบจริงๆ ความไมช อบเปน
เรื่องของกิเลส ใหพ งึ ทราบวา กเิ ลสเปน ผฉู ดุ ลากจติ ใจของเราไป ทั้งที่กําลังประกอบ
ความเพยี รในทา ตา งๆ ฉุดลากออกนอกลูนอกทางใหปนเกลียวกับธรรม และเปน ขา ศกึ
ตอ ธรรม เปนขาศึกตอตนเองในขณะเดียวกัน จงึ ไมเ หน็ เหตเุ หน็ ผลอนั เปน ความจรงิ ขน้ึ
มาจากการพจิ ารณาหรอื ภาวนานน้ั บา งเลย ดว ยเหตนุ จ้ี งพากนั พจิ ารณาในจดุ ทก่ี ลา วน้ี
ซาํ้ ๆ ซากๆ มีสติอยูกับตัว พจิ ารณาอยโู ดยสมาํ่ เสมอ อยา เขา ใจวา พจิ ารณาแลว หลาย
ครง้ั หลายหน ไมเปนของสําคัญ ไมม คี วามหมายในสง่ิ นน้ั

ความหมายอนั แทจ รงิ คอื พจิ ารณาจนรแู จง เหน็ จรงิ ตามหลกั ความจรงิ ทง้ั หลาย
ที่มีอยูในรางกายนี้ งานนี้แลเปนงานชิ้นเอกของนักปฏิบัติเรา ใหถ อื งานนเ้ี ปน สาํ คญั ถือ
งานนเ้ี ปน ชวี ติ จติ ใจ ทุกอริ ิยาบถความเคลื่อนไหวไปมาอยา ไดล มื งานของตนนี้ ซง่ึ เปน
งานถอดถอนกิเลสตัวขาศึกทั้งหลายซึ่งมีอยูภายในใจ อันเกดิ ขนึ้ จากความรกั ใครช อบ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๒

๑๙๓

ใจ อุปาทานความยึดมั่นถือมั่น ซึ่งลวนแตเปนเรื่องของกิเลสทั้งมวล จงถอดถอนออก
ดว ยการพจิ ารณาโดยทางสตปิ ญ ญา จงถือหลักความจรงิ ท่ที านวา อนจิ จฺ ํ ทกุ ขฺ ํ อนตฺตา
หรอื ปฏกิ ลู โสโครก ใหเ หน็ ตามความจรงิ อยา งนท้ี กุ ระยะทเ่ี ปน อยแู ละเวลาพจิ ารณา

การพจิ ารณาตามทท่ี า นสอนไวแ ลว จะไมเปนอยางอื่น นอกจากจะรแู จง เหน็ จรงิ
ตามสิ่งที่มีอยู โดยหลักธรรมชาติของตนเทานั้น งานนเ้ี ปน งานสาํ คญั อยาใหจิตเถลไถล
ไปรักใครชอบใจกับงานอื่นใด นอกจากงานเครื่องถอดถอนกิเลสเทานั้น นเ่ี ปน หลกั
ใหญของผูปฏิบัติทั้งหลายจะพึงยึดเปนหลักใจหลักงานตลอดไป

การกาํ หนดท่จี ะใหจติ มีความสงบกต็ อ งใชก ารบงั คับบัญชาดว ยสติ ไมมีสติงาน
ใดก็ตามจะเปนงานที่ราบรื่นดีงามไดผลเปนที่พึงพอใจไปไมได สตจิ งึ เปน สง่ิ จาํ เปน มาก
สาํ หรบั กาํ กบั งานทง้ั หลายทง้ั ภายในภายนอก จะละเวน เสยี มไิ ด

การพิจารณาทางดานปญญา ก็ถอื เอาเร่ืองธาตุเรื่องขนั ธไ มวาภายนอกภายใน
เทียบเคยี งกนั ใหไดทกุ สดั ทกุ สวน เพราะสง่ิ เหลา นม้ี สี ภาพเหมอื นกนั รปู เขารปู เราเปน
เหมือนกัน มีหนังหอกระดูกอันเดียวกัน หนังเทา นน้ั แหละเปน เคร่อื งปกปด กาํ บงั ใหฝ า
ฟางอยเู วลาน้ี คลี่คลายขางในออกมาขางนอก พลกิ ดใู หเ หน็ ชดั เจนมอี ะไรบา งในน้ี ทาน
จงึ สอนวา ตโจ แลว ยอ นกลบั ทนั ที เพราะหนงั เปน สง่ิ จาํ เปน มาก หมุ หอ ไวบ างๆ เทา
นน้ั กห็ ลง เมื่อพลิกขางในออกมาขางนอกแลวก็จะทราบความจริงของมัน ลึกเขาไปเทา
ไรยิ่งเต็มไปดวยสิ่งไมพึงปรารถนา เปนของปฏิกูลโสโครกไปหมด เหตใุ ดจึงกลา จึง
หาญเอานกั หนาวา เปน ทร่ี กั ใครช อบใจ วา เปน เราเปน ของเรา หนงั กเ็ ปน เรา ผมก็เปน
เรา กระดูกทุกชิ้นของปฏิกูลโสโครกขนาดไหนจนมองดูไมได ยงั มาถอื เปน เราเปน ของ
เราไดอ ยู ไมอายตัวเองมั่งเหรอ

นี่กลของกิเลสมันหลอกลวงคน มนั หลอกถึงขนาดน้ีและเคยหลอกมานานแลว
เราจะรือ้ ถอนสิ่งหลอกลวงปด บงั ความจรงิ ท้งั หลายไวน ้ี ใหเปดเผยออกมาดวยสติ
ปญญา ศรัทธา ความเพยี ร ใหเ หน็ ความจรงิ ไปโดยลาํ ดบั ลาํ ดา ความหลอกลวงตมตุน
ความสาํ คญั มน่ั หมายตา งๆ จะคอยหมดไป ถานําสวากขาตธรรมของพระพุทธเจาเขา
ไปแยกแยะไปคลี่คลาย จะไมพนจากหลักความจริงนี้ไปไดเลย

บรรดาพระสาวกทง้ั หลายทท่ี า นบรรลถุ งึ แดนแหง ความพน ทกุ ข ลว นแลว แต
เปน ผไู ดพ จิ ารณาคลค่ี ลายภเู ขาภเู รา อนั หนาแนน ไปดว ยสงิ่ สกปรกโสมมทัง้ หลาย แต
ถกู เสกสรรวา เปน ของสวยของงาม แลวยึดมั่นถือมั่นดวยอํานาจของกิเลสและผานไป
ดวยกันทั้งสิ้น ถา ไมพ จิ ารณาคลค่ี ลายผา นนเ้ี สยี กอ น จะพนไปไมได เพราะความยดึ มน่ั
ถือมั่นอยูที่นี่ ทา นจงึ เรยี กวา อปุ าทาน ไมหลงเสียกอนไมยึด เราจะถอดถอนความหลง
ใหเ ปน ความรตู ามหลกั ความจรงิ ขน้ึ มา แลวก็ปลอยวางเองโดยไมตองบังคับ เมอ่ื เหน็

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๓

๑๙๔

ตามเปน จรงิ แลว ไมว า สง่ิ ใด ยอ มหายสงสยั ท้ังภายนอกภายใน งานนเ้ี ปน งานสาํ คญั มาก
ในชีวิตความมุงมั่นเพื่อความหลุดพนของพระ อยา สนใจกบั งานอน่ื ใด

ผมเปนหว งหมเู พ่ือนมากในเร่อื งเกี่ยวกบั งานตา งๆ สวนมากมักจะเถลไถลออก
นอกลูนอกทางของงานที่จําเปน ไปเทย่ี วลบู เทย่ี วคลาํ ในงานทไ่ี มจ าํ เปน จนกลายเปน
เรอ่ื งวนุ วายขน้ึ มา แลวก็เปนเครอ่ื งส่งั สมกเิ ลสขน้ึ มาโดยไมรสู ึกตวั แลว ยงั เถลไถลคดิ
ไปอีกหลายแงหลายทาง อนั เปน เครอ่ื งสง่ั สมกิเลสใหห นกั มากเขาไปอกี โดยหาวา สรา ง
บารมบี า ง หาวา ทาํ ประโยชนใ หโ ลกบา ง

อนั โลกนน้ั นะ ประโยชนไ หนทจ่ี ะดยี ง่ิ กวา การชาํ ระจติ ใจ การอบรมจิตใจใหมี
ความแนน หนามน่ั คง รูขออรรถขอ ธรรมทัง้ หลาย จนกลายเปน รแู จง แทงตลอด แลว นาํ
ความจรงิ อันถูกตองดีงามและรม เยน็ เปน สุขภายในใจของตนนไ้ี ปสอนโลก อันไหนจะมี
คณุ คา มรี าคามนี าํ้ หนกั มากกวา กนั กับเรื่องภายนอกที่ทําลงไปนั้น วาเพ่ือประโยชนแก
โลก อะไรจะสาํ คญั เทา ใจทไ่ี ดร บั การอบรมดว ยดี การงานทุกแผนกก็ขึ้นอยูกับใจซึ่งเปน
แรงงานและหวั หนา งาน ใจไมไ ดร บั การอบรมบา งเลยผลจะเปน อยา งไร ใหคิดเอาก็รู
เอง

แมแ ตท าํ ประโยชนใ หต นยงั ไมเห็นไดเรอื่ งไดราว ยงั จะคุยอวดวาทาํ เพ่อื
ประโยชนแ กโ ลกแบบลมๆ แลง ๆ ใหเ ขาหวั เราะเยย หยนั ไมอ ายโลกบา งหรอื การกอ
สรา งสง่ิ ตา งๆ อันเปน ท่ีนาํ มาแหง ความกงั วลหมนหมองทง้ั ตนและชาวบานใหนอนตา
หลับไมได เพราะกวนกนั ไมห ยดุ เหลา น้จี งพากนั ระมัดระวงั จดจาํ ใหถ ึงใจเร่ืองอยา งน้ี
นี่เปนขาศึกตองานแกงานถอดถอนกิเลส จนกลายเปน งานสง่ั สมกเิ ลสขน้ึ มา สาํ หรบั ผู
มุงความพนทุกขจะไปไมรอด มแี ตค วามกังวลวุน วายกบั อิฐกบั ปนู กบั หินกบั ทรายกับ
เหล็กกับไม นานเขา กก็ ลายเปน ศาสนาอฐิ ปูน หนิ ทราย เหลก็ ไม ไปเสียหมด ไม
ปรากฏศาสนธรรมอยา งแทจ รงิ หลงเหลอื อยบู า งเลย ซง่ึ เวลานก้ี าํ ลงั คบื คลานเขา มาตาม
วดั วาอาวาสสถานทอ่ี ยูตา งๆ

สง่ิ เหลา นม้ี อี ยใู นโลก เจรญิ หรอื เสอ่ื มเรากเ็ หน็ อยแู ลว นี่คือวัตถุ หนิ ปูน ทราย
เหลก็ ไม ไปที่ไหนก็ไมอดไมอยากขาดแคลนในโลกอันนี้ ถา เจรญิ กเ็ จริญกนั มาแลว
เพราะสง่ิ เหลา นม้ี อี ยใู นโลกมานาน แมจ ะไมเ สกสรรปน ยอหรอื ปรงุ แตง ขน้ึ มาใหเ ปน
บา นเปน เรอื นเปน ตกึ เปน หา งกต็ าม สิ่งเหลา นี้เปนของมีอยกู บั พน้ื แผนดนิ นีอ้ ยแู ลว
ควรจะทาํ มนษุ ยแ ละพระเราใหม คี วามเจรญิ รงุ เรอื งไปดว ยสง่ิ เหลา นม้ี านานแลว ไมค วร
จะไดมาดัดแปลงแตงจิตใจของตนใหมีอะไรที่ยิ่งกวานั้นตอไปอีก เพราะสง่ิ เหลา นน้ั เปน
เครอ่ื งสง เสรมิ ใหเ ปน ของวเิ ศษวโิ สไดแ ลว นไ่ี มเ หน็ เจรญิ รงุ เรอื งทต่ี รงไหน วตั ถเุ จรญิ

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๔

๑๙๕

มากเพียงไร จติ ใจยง่ิ นบั วนั แหง แลง ความสงบสขุ มากขน้ึ จนนา ใจหายเวลาน้ี จึงอยาพา
กันตน่ื ในสง่ิ ทไ่ี มควรตนื่ เพราะเรามใิ ชก ระตา ยตน่ื ตมู น่ี

พระพุทธเจานําพระศาสนาออกมาสั่งสอนโลก ไมไ ดน าํ เปน อฐิ เปนปูน เปน หนิ
เปน ทราย เปน ไม เปน เหลก็ ออกมาสั่งสอนโลก โลกเขาไมไดกราบพระพุทธเจาดวย
พระองคเกงกลา สามารถในเรอ่ื งผลติ หรือเปนชางกอ สรางในเรอ่ื งอฐิ เรื่องปูน เรอ่ื งหนิ
เรอ่ื งทราย เรอ่ื งเหลก็ เรื่องไม เรื่องวัตถุ เครอ่ื งกอ สรา งเหลา นน้ั น่ี

คําวา พุทฺธํ สรณํ คจฉฺ ามิ เขากราบไหวด วงพระทยั ทบ่ี รสิ ทุ ธว์ิ มิ ตุ ตหิ ลดุ พน เปน
ธรรมแทงเดียวกัน กับพระทัยท่บี ริสุทธิ์ตา งหาก ธมมฺ ํ สรณํ คจฉฺ ามิ เขากราบไหว
ความสวางกระจางแจงแหงพระธรรมที่เต็มอยูในพระทัยของพระพุทธเจาตางหาก สงฆฺ ํ
สรณํ คจฉฺ ามิ เขากราบพระสาวกทั้งหลายทีใ่ จของทา นบริสทุ ธิ์วิมุตติหลดุ พน อันเปน
ของวิเศษไมมีอยูในแดนสมมุตินี้แมนอย ซง่ึ ไมอ าจเทียบเคียงความบรสิ ุทธวิ์ เิ ศษนน้ั ได
เลย เขากราบทา น ธรรมของทา น ดวงธรรมของทานท่บี รสิ ทุ ธิ์นน้ั ตา งหาก เขาไมไ ด
มากราบอฐิ กราบปนู กราบหนิ กราบทราย กราบเหลก็ หลา อะไรเหลานี้ซึ่งเปนของมี
อยกู บั โลก

ทงั้ น้เี ราไมไ ดปฏเิ สธวาไมใ หทํา แตใ หท ราบวา ปจ จยั สน่ี น้ั คอื อะไร ปจ จยั แปลวา
อะไร แปลวา เครอ่ื งอดุ หนนุ เครื่องบาํ รุงเยยี วยาพอใหชวี ิตรา งกายเปน ไปได และ
อนเุ คราะหพ รหมจรรยใ หเ จรญิ ดว ยธรรมภายในใจ ปจ จยั นน้ั มอี ะไรบา ง เปนของวิเศษ
แลว เหรอ ฟงวาปจจัยๆ เปนแตเพยี งเครอ่ื งอุดหนนุ พอใหเ ปน ไปในวนั หน่งึ ๆ เทา นน้ั

จวี ร เครอ่ื งนงุ หม ก็พอไดอาศัยปกปดสกลกาย กนั รอ นกนั หนาวเหลอื บยงุ
ตางๆ ใหเ ปน ไปวนั หนง่ึ ๆ ไมถ อื วา เปน ของจําเปนและวเิ ศษเกนิ ความจาํ เปน ของมนั
การมาบวชในศาสนามาปฏบิ ตั ธิ รรม ก็ไมไดถือวาจีวรเปนของวิเศษยิ่งกวาอรรถกวา
ธรรม ซง่ึ เปน แดนมงุ หมายของการบวชและการปฏบิ ตั ธิ รรม

บณิ ฑบาต ก็พอยังอัตภาพใหเปนไป นี่คือปจจัยเครื่องอาศัยแตละอยางๆ
อาหารการบรโิ ภคพอยงั ชวี ติ อตั ภาพใหเ ปน ไปในวนั หนง่ึ เพอ่ื การบาํ เพญ็ สมณธรรม ให
ถึงแดนแหงความหลุดพน ซง่ึ เปน ธรรมวเิ ศษ ยงั ผบู รรลใุ หถ งึ ความวเิ ศษเทา นน้ั ไมฉ นั
เพอ่ื บาํ รงุ รา งกายใหส วยงามเปลง ปลง่ั ดว ยรสอนั เอรด็ อรอ ยแหง อาหารคาวหวานแต
อยางใด ฉันพอพยุงชีวิตรางกายไวเพื่อความเพียร จงึ เรยี กวา ปจ จยั สง่ิ อาศยั ของสมณะ

เสนาสนะ ที่อยูที่อาศัย เชน กระตอบ กฎุ ี เปนตน นก้ี ็เปนปจ จัยสิง่ อาศัยเพื่อบัง
ลมกันแดดกันฝนแตละอยางเทานั้น ไมถือเปนสําคัญยิ่งกวาธรรมแดนหลุดพน

คลิ านเภสชั ยาแกโ รคแกภ ยั กเ็ พยี งเปน ปจ จยั เครอ่ื งกาํ จดั ปด เปา โรคภยั ไขเ จบ็
ซึ่งเกิดมีขึ้นในรางกาย เพื่อบรรเทาหรือแกไขกันไปตามสมควรแกเหตุที่พอเปนไปได

เขา สแู ดนนพิ พาน ๑๙๕


Click to View FlipBook Version