The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2022-11-28 22:40:29

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Keywords: สวนป่า,ไม้เศรษฐกิจ,ยูคาลิปตัส,สัก,ไผ่,เทพทาโร,พะยูง,หยีน้ำ,วนเกษตร,เสม็ดขาว

รวมเร่อื งสวนป่า

ของอาจารยบ์ ญุ วงศ์

โดย

บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์

2566

คำนำ

ผมเลือกสอบเข้าเรียนคณะวนศาสตร์ตามคำแนะนำของคุณวิรัตน์ ตันภิบาล
ซึ่งเป็นรุ่นพ่ีทั้งจากโรงเรียนตะกั่วป่า “เสนานุกูล” และคณะวนศาสตร์ (วน. 28) ที่ว่า
ตอนปิดเทอมจะได้ไปเที่ยวตามจังหวัดต่างๆ เพราะต้องไปฝึกงานภาคสนาม เมื่อเรียน
จบปริญญาวนศาสตรบัณฑิต (วน.บ.) หลักสูตร 5 ปี รุ่นสุดท้ายในปี พ.ศ. 2511 ก็เข้า
เป็นอาจารย์ทันทีตามคำชักชวนของอาจารย์ชุบ เข็มนาค อาจารย์ประจำแผนกวิชา
(ภาควชิ า) วนวัฒนวทิ ยา ทวี่ า่ เปน็ อาจารย์มีโอกาสได้ไปเรยี นต่างประเทศสูง ดว้ ยพื้นเพ
ทีเ่ ปน็ เดก็ บา้ นนอก ไมเ่ คยเหน็ แมแ้ ต่รถไฟและสัญญาณไฟจราจรมาก่อน คิดว่าชีวิตน้ีที่
คณะวนศาสตร์สุขสมหวังมาก เพราะได้เทย่ี วท่ัวไทย ได้ไปเมืองนอก ได้เปน็ อาจารย์ ไป
เรียนปริญญาโทที่ University of Helsinki ประเทศฟินแลนด์ และปริญญาเอกท่ี
University of California (Berkeley) ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ทั้งการเรียน การสอน
งานวิจัย และการบริการทางวิชาการแก่สังคมเน้นในกรอบของสาขาวนวัฒนวิทยา
โดยเฉพาะการปลูกสร้างสวนป่ามาตลอด เพราะ “วนวัฒนวิทยาคือการคืนผืนป่าสู่
แผ่นดิน” อาทิ การฟื้นฟูที่ดินภายหลังการทำเหมืองแร่ที่ตะกั่วป่า (พ.ศ. 2517) การ
ปลูกไม้ป่าต่างถิ่นบนพื้นที่สูงที่ดอยอ่างขาง (พ.ศ. 2525) การปลูกไม้ยูคาลิปตัสในทุ่ง
กุลารอ้ งไห้ (พ.ศ. 2526) และการพฒั นาพื้นท่ีสีเขยี วในกรงุ เทพมหานครและเขตชุมชน
เมือง (พ.ศ. 2542) เมื่อเกษียณอายุราชการ ภาควิชาวนวัฒนวิทยาโดยรอง
ศาสตราจารย์ ดร. มณฑล จำเริญพฤกษ์ หัวหน้าภาควิชาฯ ได้จัดงาน สู่วันใหม่ ...
สานสายใย ... นักปลูกป่า ในวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2546 ที่เคยูโฮม พร้อมมอบ
ภาพวาดการ์ตูน เสื้อยืด และปฏิทินไพ่ป๊อก“นักปลูกป่า” ประจำปี พ.ศ. 2547 ให้แก่
ผมและผู้มารว่ มงาน

ทว่า ก่อนเกษียณอายุราชการเล็กน้อย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมกับ
กรมป่าไม้และชมรมสื่อมวลชนเกษตรประเทศไทยได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาเรื่อง
“ไม้เศรษฐกิจ (ยูคาฯ ยมหอม เพาโลว์เนีย) : ปลูกแล้วรวยจริงหรือ?” ที่อาคาร

(2)

สารนิเทศ 50 ปี เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2546 โดยมี ฯพณฯ นายเนวิน ชิดชอบ
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เป็นประธานเปิดและบรรยายพิเศษ
ซง่ึ ทา่ นไดเ้ น้นเรื่องไม้ยางพาราเพียงอย่างเดยี วเท่านัน้ สว่ นผมได้รบั เชญิ เป็นวิทยากรให้
พูดเรื่องไม้เพาโลว์เนยี หลังการประชุมสัมมนาฯ คุณอภิชาติ ศรีสอาด แห่งนิตยสารไม่
ลองไม่รู้ ได้สัมภาษณ์และขอให้ผมเขียนเรื่องไม้เพาโลว์เนียลงตีพิมพ์ตั้งแต่ฉบับที่ 25
ในปี พ.ศ. 2546 และเรื่องอื่นๆ เรื่อยมาจนกลายเป็นนักเขียนประจำจนถึงฉบับที่ 208
ปี พ.ศ. 2561 โดยมีคุณแอนนา เขียวชอมุ่ และคณุ ละอองดาว เถาว์พิมาย นสิ ติ ปรญิ ญา
โท ช่วยกันพิมพ์ต้นฉบับส่งให้คุณอัมพา คำวงษา บรรณาธิการ ต่อมาพรรคพวกได้
ขอให้ผมรวบรวมบทความทั้งหมดพิมพ์เป็นรูปเล่ม นี่คือที่มาของ “รวมเรื่องสวนป่า
ของอาจารย์บุญวงศ์” โดยมีรองศาสตราจารย์ ดร. ลดาวัลย์ พวงจิตร รองอธิการบดี
ฝ่ายวิชาการ คุณละอองดาว เถาว์พิมาย นักวจิ ยั ประจำศนู ย์วจิ ยั ป่าไม้ และดร. แอนนา
เขียวชอุ่ม ผู้จัดการด้านสิ่งแวดล้อม บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดทำรูปเล่ม
ทงั้ หมด

ผมไม่ได้คาดหวังว่าหนังสือเล่มนี้จะให้ความรูแ้ ละเนื้อหาสาระเชิงวิชาการใดๆ
แก่ท่านผู้อ่าน เพราะเทคโนโลยีการปลูกสร้างสวนป่า รวมทั้งการสืบค้นข้อมูลข่าวสาร
ต่างๆ ในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมานี้เปลี่ยนไปรวดเร็วมาก เพียงแต่ขอฝากรวมเรื่องสวนป่า
ของอาจารย์บุญวงศ์ไว้ในตำนานวนวัฒนวิทยา : การคืนผืนป่าสู่แผ่นดิน เท่านั้นเอง
ครับ

บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์
ศูนย์วจิ ัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์

2 มกราคม 2566

สารบญั

เรื่องที่ ชอ่ื เรอ่ื ง หนา้

พ.ศ. 2546 1
1 เพาโลว์เนยี : ไมเ้ ศรษฐกิจปลกู แลว้ รวยจริงหรอื ?
17
พ.ศ. 2547
2 การปลูกไม้ยูคาในนาขา้ ว 21
3 หลกั การตัดสางขยายระยะและการจดั การสวนสักภายหลัง 27
การตัดสางขยายระยะ 31
4 จะปลกู ปา่ เปน็ อาชพี หรอื ปลกู ปา่ เพอื่ หารายได้เสริม ? 35
5 การเผาถา่ นทไี่ ด้ยงิ่ กวา่ ถ่าน ทดี่ อยอา่ งขาง 41
6 มะฮอกกานี : ไมม้ คี า่ ทน่ี า่ จับตามอง 46
7 ไมก้ ระถนิ เทพา : ทำเยื่อกระดาษกไ็ ด้ ทำไมแ้ ปรรูปกด็ ี 51
8 ปลูกหวายไดท้ ั้งหน่อและลำ 56
9 ยางพารา : ไมท้ ีใ่ ครใครก็ถามหากนั ในวนั น้ี 60
10 เมอ่ื น้ำมนั ข้นึ ราคา ก็ตอ้ งเสาะหาพลงั งานทดแทน 64
11 ธรุ กิจการผลติ ไมล้ ้อม
12 ธุรกิจการปลูกต้นไมใ้ นเมอื ง 69
74
พ.ศ. 2548
13 เทพทาโร : ไม้ทน่ี า่ สนใจตามไตรภมู ิพระรว่ ง 79
14 เยีย่ มเกษตรกรผู้ปลกู ยคู าในนาข้าว ที่ปราจนี บุรี
15 ปลกู สนทะเลตามแนวชายฝัง่ เป็นทงั้ ไมเ้ ศรษฐกจิ และ
ป้องกนั คลืน่ ลม

ii หนา้

เรอ่ื งท่ี ช่ือเร่ือง 84
89
16 ไมโ้ กงกาง : ผสู้ รา้ งและพทิ ักษท์ รพั ยากรชายฝง่ั
17 ไม้ตนี เป็ด : สตั บรรณ หรอื พญาสตั บรรณ ? 94
99
18 ส่ีปีสร้าง...สี่ปรี วย..ด้วยไมย้ คู า 104
19 ปลูกสะเดากลางดอน 112
20 ยางนา : ไมม้ ีค่าทใี่ นหลวงทรงห่วงใย 116
21 การปลกู และการจัดการต้นไมใ้ นเมอื งของสงิ คโปร์ 121
22 การปลกู ยคู าบนคันนาในทุ่งกลุ ารอ้ งไห้
23 ไม้การบูร เปน็ ทัง้ สมนุ ไพร ไม้ใหร้ ม่ และไม้ใช้สอย 126
131
พ.ศ. 2549 136
24 คุณค่าของไมไ้ ผท่ ่คี นไทยยังไมค่ นุ้ เคย 142
25 นนทรีทรงปลกู
26 การปลกู ปา่ ชายเลนรอบบ่อกุ้งที่บางขุนเทียน 147
27 การปลกู ไมโ้ ตเรว็ ในเวียดนาม 153
28 ตะเคยี นทอง : ไม้มคี ่าท่ตี ้องนำเขา้ มาตอ่ เรือหวั โทง 159
หลงั สนึ ามิ 165
29 การปลูกไผร่ วกดำเพ่ือขายลำทจ่ี ังหวัดน่าน 170
30 แตนฝอยปม : แมลงศัตรูพชื ชนดิ ใหม่ของไมย้ คู าลิปตสั
31 ปลกู สะตอในยุคเศรษฐกจิ พอเพียง 176
32 การปลกู ไมย้ คู าลปิ ตัสในประเทศจีน 181
33 เม่ือสมเด็จพระราชาธบิ ดีแหง่ ราชอาณาจักรเลโซโททรง 186
สนพระทยั ในการปลกู ปา่ และระบบการเกษตรผสมผสาน
34 โครงการจดั ต้งั ศูนยอ์ ุตสาหกรรมไม้สกั ครบวงจร จังหวดั แพร่
35 โรคและแมลงคอื ปญั หาของสวนปา่ ยูคาลปิ ตสั ในวนั น้ี

iii หนา้

เร่ืองที่ ชื่อเรอื่ ง 191

พ.ศ. 2550 197
36 การปรบั ปรุงบำรุงพนั ธ์ุไมส้ ัก 1. เมลด็ และสวนผลติ 203
เมลด็ พนั ธ์ไุ มส้ กั 208
37 การปรบั ปรุงบำรงุ พนั ธุไ์ มส้ กั 2. การผลิตกล้าสักท่มี ี 213
คณุ ภาพ 219
38 ไม้กระถินเงนิ หากไมล่ องก็คงไมร่ ู้ 229
39 แผนแม่บท การส่งเสริมปลูกไมเ้ ศรษฐกิจ 235
40 ระบบวนเกษตรที่มีจำปาป่าเปน็ ไมป้ ระธานที่นครศรธี รรมราช 240
41 ปา่ ชาวบ้าน - อาหารจากปา่ 245
42 พะยงู ชงิ ชนั : ไม้ค่แู ฝดราคาแพง 250
43 ปา่ เศรษฐกิจกับการพฒั นาประเทศไทย
44 คิดจะปลกู ยคู าในภาคอสี าน ควรอา่ นเรือ่ งนี้ 256
45 จาก : พืชเศรษฐกจิ ท่ีน่าสนใจในป่าชายเลน 261
46 เสมด็ ขาว : ไม้มีคา่ ในปา่ พรทุ เ่ี สอ่ื มโทรม 266
273
พ.ศ. 2551 281
47 นโยบายป่าเศรษฐกจิ ที่อยากเห็น
48 ไมย้ คู าลปิ ตสั เพอื่ การผลติ ไม้แปรรูป 290
49 จนั ทนห์ อม : ไม้มงคลชั้นสงู ของไทย 296
50 ไม้ตะก.ู ..ถ้าจะลองปลกู ดูบา้ งก็ได้ 303
51 ประวตั ิความเปน็ มาของไมย้ คู าลปิ ตัสในประเทศไทย 311
52 ถ้าจะปลกู ไม้ยคู าลิปตสั ให้ไดก้ ำไรตอ้ งพิจารณาเงือ่ นไข 317
ด้านการเงินและผลผลิต 322
53 ปลกู ไมส้ ักทไี่ หนจงึ จะไดก้ ำไรงาม
54 ป่าสามอยา่ ง เพอ่ื ประโยชน์สี่อยา่ ง : ไมป้ า่ กนิ ได้
55 จนั ทรท์ องเทศ : ไมต้ ่างถน่ิ ทีโ่ ครงการหลวงขอแนะนำ
56 เม่ือเศรษฐีญ่ีปุน่ ชว่ ยไทยปลูกไมเ้ ศรษฐกิจ
57 สวนปา่ เศรษฐกิจในโลกปจั จุบนั

iv หนา้

เร่ืองที่ ชือ่ เร่ือง 328
335
58 ปลูกมนั สำปะหลังแทรกในสวนยูคาลิปตสั หรือปลูก 342
ไม้ยูคาลปิ ตัสแทรกในไรม่ ันสำปะหลัง 354

59 สิบห้าปสี ถานีวจิ ยั วนเกษตรตราด 360
60 การขยายพนั ธไ์ุ ม้ไผ่ 365
61 การปลูกไมข้ ีเ้ หลก็ ไว้เผาถา่ นทีเ่ ชียงแสน 371
พ.ศ. 2553 379
62 การประชุมไม้ไผโ่ ลกครั้งที่ 8 385
63 สรุปผลงานวจิ ัย การปลกู ไมย้ ูคาลิปตสั บนคนั นา
64 หยนี ำ้ : พชื พลงั งานชนิดใหม่ ทค่ี นไทยยงั มองข้าม 391
65 เกาหลใี ต้ พฒั นาปา่ ไม้ ... พฒั นาประเทศ
66 ปลกู ไม้พะยงู รุ่งหรือรว่ ง 395
403
พ.ศ. 2554 408
67 เทพทาโร : ไม้มงคลมหัศจรรย์
68 การปลกู ไม้ยูคาลิปตสั ใหไ้ ดผ้ ลผลิตสงู ตามหลกั 413
วชิ าวนวฒั นวทิ ยา 419
69 ตอ้ งสอนใหเ้ ขาปลกู ไมไ้ วใ้ ชเ้ อง
70 ว่าด้วยเร่ือง แมลงศัตรตู ัวรา้ ยในสวนไมย้ คู าลปิ ตัส (อีกท)ี 429
435
พ.ศ. 2555
71 การปลูกปา่ ไผโ่ ดยไมต่ ้องปลกู ตามแนวพระราชดำริ
ทีบ่ ้านหวั ทงุ่ อำเภองาว
72 ไม้ไผล่ ำใหญใ่ นประเทศไทย

พ.ศ. 2556
73 การศกึ ษาวิจัยการปลกู ไม้ปา่ เศรษฐกิจในที่ดนิ
เหมอื งแร่รา้ ง
74 ตามชมรม มก. อาวโุ ส ไปท่องเทีย่ วเชิงนิเวศเกษตร

v หนา้

เรื่องท่ี ชือ่ เรอ่ื ง 447
456
พ.ศ. 2557 461
75 บุญเพญ็ นวลฉว”ี กับอาชพี การปลูกสรา้ งสวนปา่
76 การประชุมนานาชาตวิ า่ ดว้ ยไมส้ กุลสนทะเล คร้งั ท่ี 5 468
77 การปลูกไม้สกลุ ไม้สนทะเลในประเทศอินเดยี
78 45 ปี สถานีเกษตรหลวงอา่ งขาง” ศนู ย์รวมพืชพรรณ 474
ไมเ้ มืองหนาวของประเทศไทย
480
พ.ศ. 2558 487
79 สวนปา่ เชงิ พาณชิ ย์ของไทยในมมุ มองของไอทที ีโอ
80 โครงการสง่ เสรมิ ปลูกตน้ ไมเ้ พื่อเปน็ ทนุ ระยะยาว : ...
ความเป็นมาและความนา่ จะเปน็ ไป

ดชั นพี รรณไม้

1 เพาโลว์เนยี :
ไม้เศรษฐกจิ ปลกู แลว้ รวย
จริงหรือ?

ภายหลังการประกาศปิดป่าทั่วประเทศเมื่อต้นปี พ.ศ. 2532 ทำให้ไม้เศรษฐกิจของ
ไทยได้มาจากป่าปลูกหรือสวนป่า และจากการนำเข้าเท่านั้น หากยึดหลักการพึ่งพาตนเอง
ลดการนำเข้า ก็อาจจะมองวิกฤตการปิดป่าให้เป็นโอกาสในการพัฒนาสวนป่าเศรษฐกิจได้
เช่นกัน แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว ตลอดช่วงเวลา 14 ปีที่ผ่านมา จากปี พ.ศ. 2532 ถึง พ.ศ.
2546 สวนป่าเศรษฐกิจทั้งของภาครัฐและภาคเอกชนได้รับการพัฒนาให้เจริญก้าวหน้าไป
จริงหรือ หรอื วา่ เปน็ เพยี งการ “กนิ สมบตั เิ ก่า” ซึ่งปลกู สร้างไวก้ อ่ นการปดิ ปา่ เท่าน้ัน เพราะ
กระแสป่าอนุรักษ์ได้รับการผลักดันอย่างจริงจังและต่อเนื่องตลอดมา ในขณะที่ผู้ปลูกป่า
อนุรักษ์ได้รับการยกย่องสรรเสริญ แต่ผู้ปลูกป่าเศรษฐกิจกลับโดนข้อหา “ผู้ตัดไม้ทำลายป่า”
จนองค์กรเอกชนได้ออกมาเรียกร้องให้ชะลอการปลูกป่าเศรษฐกิจ (เดลินิวส์ 10 ธันวาคม
2544) โดยมิได้ตระหนักถึงกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรง
ชี้แนะใหป้ ลกู ปา่ สามอย่าง (คือป่าไม้ใช้สอย ป่าฟืน และป่ากินลูก/ผล) เพื่อประโยชน์สี่อย่าง
ซึ่งประโยชน์อย่างที่สี่ก็คือการอนุรักษ์ระบบนิเวศนั่นเอง จะเห็นได้ว่าสวนป่าเศรษฐกิจ
สามารถทำหน้าที่สวนป่าอนุรักษ์ไปพร้อมๆ กันได้ แต่สวนป่าอนุรักษ์ในประเทศไทย
ไมส่ ามารถมีบทบาทในเชิงเศรษฐกจิ โดยตรงไดเ้ ลย

ยิ่งไปกว่านั้น ประเทศไทยยังได้รณรงค์ให้ “ใช้วัสดุอื่นแทนไม้” เพื่อจะอนุรักษ์ป่า
เพราะมองว่าการตัดไม้คือการทำลายป่า ทั้งๆ ที่น่าจะต้องรณรงค์ให้ “ใช้ไม้แทนวัสดุอื่น”
เพราะไม้เป็นทรัพยากรที่ปลูกสร้างขึ้นมาใหม่ได้ ในขณะที่เหล็ก หิน ปูน เป็นทรัพยากร-
ธรรมชาติที่ใช้แล้วก็หมดไป ไม่สามารถสร้างขึ้นมาทดแทนได้ รวมทั้ง นโยบายการป่าไม้
แห่งชาติ พ.ศ. 2528 ที่ได้กำหนดว่าประเทศไทยจะต้องมีเนื้อที่ป่าไม้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 40
ของพื้นที่ประเทศ โดยร้อยละ 15 เป็นพนื้ ทป่ี า่ อนรุ กั ษ์ และร้อยละ 25 เป็นพ้นื ทีป่ า่ เศรษฐกจิ
ในเวลาต่อมาก็ได้มีการปรับเปลี่ยนตัวเลข ให้เป็นป่าอนุรักษ์ร้อยละ 25 และป่าเศรษฐกิจ

พิมพค์ ร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 3 (25) : 26 – 29; 3 (26) : 27 – 29; 3 (27) : 27 – 29;
3 (28) : 27 – 29 (พ.ศ. 2546)

2 รวมเรือ่ งสวนปา่

ร้อยละ 15 แต่พื้นที่ป่าไม้ของประเทศก็ยังลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 94 ล้านไร่ (ร้อยละ 29.40)
ในปี พ.ศ. 2528 ลงเหลอื เพียง 81 ล้านไร่ (รอ้ ยละ 25.28) ในปัจจบุ นั (พ.ศ. 2546) อันแสดง
ให้เห็นวา่ การตดั ไมเ้ พ่อื ใช้ประโยชนใ์ นทางเศรษฐกิจนัน้ ไมใ่ ช่การทำลายปา่ พนื้ ทปี่ ่าท่ลี ดน้อย
ลงทุกวนั เปน็ เพราะสาเหตอุ นื่ แตผ่ ปู้ ลกู ปา่ เศรษฐกิจโดยเน้นผลตอบแทนทางตรงเปน็ สำคญั ก็
ยังต้องตกเป็นจำเลยของสังคมอยู่เสมอมา ทั้งน้ี ยังไม่รวมถึงความเสี่ยงในเชิงเศรษฐศาสตร์
ทว่ี า่ ปลกู ไมเ้ ศรษฐกิจแล้วค้มุ ทุนและรวยจรงิ หรือ

การปลูกไมเ้ ศรษฐกิจ

ป่าไม้แบ่งออกตามการเกิดได้สองอย่างคือ ป่าธรรมชาติ และป่าปลูกหรือสวนป่า
วัตถุประสงค์หลักของการปลูกสร้างสวนป่ามีสามประการคือ เพื่อการอนุรักษ์ (สวนป่า
อนุรักษ์) เพื่อการพักผ่อนหย่อนใจ (สวนป่านันทนาการ) และเพื่อผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ
(สวนป่าเศรษฐกิจ) สวนป่าทั้งสามประเภทนี้มีบทบาทความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน
โดยเฉพาะประเภทสุดท้ายนอกจากจะสนองวัตถปุ ระสงค์หลักแล้ว ยงั สนองวัตถปุ ระสงค์รอง
ในด้านการอนุรักษ์และรกั ษาไว้ซ่ึงความเป็นพนื้ ทสี่ ีเขยี วควบคูก่ ันไปดังกลา่ วแลว้ อกี ด้วย

ในทางเศรษฐกิจ สวนป่าเศรษฐกิจมีบทบาทต่อเศรษฐกิจของประเทศสูงพอสมควร
ในปี พ.ศ. 2543 อุตสาหกรรมชิ้นไม้สับ เยื่อและกระดาษนำเงินตราเข้าประเทศได้สูงถึง
27,833 ล้านบาท ควบคู่กับการก่อให้เกิดการว่าจ้างแรงงานประมาณ 3 แสนคน โดยไมส้ ่วน
ใหญ่ที่ใช้ในอุตสาหกรรมดังกล่าวคือไม้ยูคาลิปตัส ในขณะที่ปี พ.ศ. 2544 ประเทศไทย
ส่งออกเครือ่ งเรือนไมซ้ ่ึงสว่ นใหญท่ ำมาจากไมย้ างพารา มีมลู ค่าสูงถึง 42,631 ลา้ นบาท และ
อุตสาหกรรมเครื่องเรือนไม้ก็สร้างแรงงานได้ราว 3 แสนคน ทั้งน้ี ยังไม่รวมไม้เพื่อการ
พลังงานซึ่งมีความตอ้ งการ ราว 20 ล้านตัน ในปี พ.ศ. 2540 ในขณะที่ความต้องการไม้เพอื่
การก่อสร้างซึ่งนำเข้ามาในปี พ.ศ. 2543 มมี ลู คา่ ประมาณ 16,020 ล้านบาท อันจะเห็นไดว้ ่า
สวนป่าเศรษฐกิจเป็นธุรกิจระดบั แสนล้านบาททีเดียว

ในการปลกู สร้างสวนป่าเศรษฐกิจนั้น คำถามที่มักจะได้ยินอยู่เปน็ ประจำก็คือ ควรจะ
ปลูกไม้อะไรดี? หรือไม่ก็ถามวา่ ไม้….ปลูกเป็นสวนปา่ เศรษฐกิจได้หรือไม่? แต่ก่อนที่จะตอบ
คำถามดังกล่าวให้ถูกต้องตามหลักวิชาวนวัฒนวิทยานั้น ผู้ตอบควรจะถามกลบั ไปอย่างน้อย
สองข้อคือ (1) จะปลูกทำไม? และ (2) จะปลูกที่ไหน? คำถามข้อแรก แม้จะรู้ว่าปลูกเพื่อ
ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ ทว่าไม้แต่ละชนิดสนองความต้องการดา้ นการใช้ประโยชน์ต่างกัน
ไม้สักเหมาะสำหรับใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ราคาแพง ในขณะที่เครื่องเรือนจากไม้ยางพารามี
คณุ ภาพและราคาด้อยกวา่ ไม้สัก ไม้สนเขาใหเ้ ย่อื กระดาษเส้นใยยาว ส่วนไม้ยคู าลปิ ตสั เหมาะ

บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 3

สำหรบั อตุ สาหกรรมชนิ้ ไมส้ บั และอตุ สาหกรรมเย่ือกระดาษเสน้ ใยสน้ั นอกจากนี้ คำถามทว่ี ่า

จะปลูกทำไมยังอาจจะมองไปถึงความต้องการผลตอบแทนทางเศรษฐกิจของผู้ปลูกว่า

ต้องการในระยะสั้นหรือระยะยาว กล่าวคือ จะปลูกป่าเศรษฐกิจเพื่อใช้เงนิ ในวันนี้ หรือเพ่ือ

สร้างมรดกไว้ให้ลูกหลานได้เงินในวันหน้า ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงไปถึงคำแนะนำในการเลือก

ชนดิ ไมป้ ลูกวา่ จะปลกู ไมโ้ ตชา้ หรอื ไมโ้ ตเรว็

คำว่า “ไม้โตเร็ว” ในหลักสากลน้ันจะต้องมีความเพิ่มพนู รายปีในรูปของเส้นรอบวง
ที่ระดับอกไม่น้อยกว่า 4 เซนติเมตร แต่ไม้ในเมืองไทยส่วนใหญ่มีอัตราการเจริญเติบโตเร็ว
มาก เพราะปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่างๆ เหมาะสมกับการเจริญเติบโต จึงได้กำหนดว่า ไม้โตเร็ว
จะต้องวัดเส้นรอบวงที่ระดับอกได้ 100 เซนติเมตร เมื่อมีอายุไม่เกิน 15 ปี หรือมีความ
เพิ่มพูนรายปีในรูปของเส้นรอบวงที่ระดับอกไม่น้อยกว่า 6.67 เซนติเมตร หรือมีความ
เพิ่มพูนในรูปของเส้นผา่ นศูนย์กลางที่ระดับอกไม่ต่ำกว่าปีละ 2.12 เซนติเมตร จากคำจำกดั
ความที่ว่านี้ ไม้สัก ไม้สนเขา ไม้ยูคาลิปตัส และไม้เพาโลว์เนีย ต่างก็ถือว่าเป็นไม้โตเร็ว
เพียงแต่ไม้สักมีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันยาวกว่าไม้สามชนิดหลัง ดังนั้น แทนที่จะ
เรียกว่าไม้โตช้าหรือไม้โตเร็ว น่าจะใช้คำว่า “ไม้ที่มีอายุการตัดฟันสั้น” และ “ไม้ที่มีอายุ
การตดั ฟันยาว” จะถกู ต้องและเหมาะสมกว่า ซง่ึ โดยนยั ดังกล่าวทำให้สามารถแบ่งไมใ้ นสวน
ปา่ เศรษฐกจิ ออกได้ 3 ประเภทคือ

1. ไม้ที่มีอายุการตัดฟันสั้น : มีเส้นรอบวงที่ระดับอกวัดได้ 100 เซนติเมตร เม่ือ
อายไุ มเ่ กนิ 15 ปี และมอี ายุการตัดฟันไม่เกิน 10 ปี เช่น ไม้ยคู าลิปตัส ไมเ้ พาโลวเ์ นีย

2. ไม้ที่มีอายุการตัดฟันปานกลาง : มีอายุการตัดฟัน 10-30 ปี เช่น ไม้ยางพารา
ไม้สนเขา ไมส้ กลุ อเคเซีย (กระถินณรงค์)

3. ไม้ทีม่ ีอายกุ ารตัดฟนั ยาว : มอี ายกุ ารตดั ฟันตัง้ แต่ 30 ปี ขึ้นไป เช่น ไมส้ กั ไมป้ ระดู่
ไม้แดง และไม้พะยูง เปน็ ตน้

เมื่อมีชนิดไม้เศรษฐกิจที่ต้องการปลูกอยู่ในใจแล้ว และถามว่าควรจะปลูกไม้ชนิด
ดังกล่าวที่ใดนั้น ก็จำเป็นจะต้องนำเอาปัจจัยต่างๆ หลายประการมาประกอบการพิจารณา
อาทิ ตลาดที่จะรองรับไม้ ราคาไม้ สภาพแวดล้อมและทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ เช่น ไม้สัก
จะต้องปลูกในที่ซึ่งความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 800 เมตร ดินควรจะลึก สลายตัวมา
จากหินปูน มีการระบายน้ำดี ไม้ยูคาลิปตัสไม่ชอบดินที่มีฤทธิ์เป็นด่างมากๆ หากปลูกเพื่อ
ขายเป็นวัตถุดิบให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับซึ่งรับซื้อที่หน้าโรงงานตันละประมาณ
1,000 บาท สวนปา่ กค็ วรจะอยู่หา่ งจากโรงงานในรัศมีไม่เกนิ 150 กโิ ลเมตร การปลูกไผ่เพื่อ
ขายหน่อจะต้องคำนึงถึงความอุดมสมบูรณ์ของดินและน้ำ ส่วนเพาโลว์เนียซึ่งเป็นไม้เมือง
หนาวที่มีน้ำหนักเบามากก็ควรจะปลูกในท่ีซึ่งอากาศค่อนข้างหนาวเย็น มีตลาดรองรับท่ี

4 รวมเรอ่ื งสวนป่า

แน่นอน ดนิ ต้องไม่มีน้ำทว่ มขงั รวมท้ังต้องมีแรงงานเพียงพอทีจ่ ะจัดการสวนป่าอย่างประณีต
ได้ตลอดอายุรอบหมุนเวียนในการตดั ฟัน
ความรทู้ ่วั ไปเก่ียวกับไมเ้ พาโลว์เนีย

ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับไม้เพาโลว์เนียที่จะกล่าวถงึ ต่อไปนี้ รวมทั้งการปลูก การจัดการ
สวนปา่ และการใช้ประโยชนเ์ น้อื ไม้ ส่วนใหญ่ได้จากประสบการณ์การทดลองปลูกไม้เพาโลว์
เนียไต้หวันเนียนา (Paolownia taiwaniana) ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางภายใต้การ
แนะนำของนักวิชาการป่าไม้จากไต้หวันในปี พ.ศ. 2526 ประกอบกับผมได้มีโอกาสไปร่วม
การอบรมเชิงปฏบิ ัตกิ ารเร่ือง “International Training Workshop on Genetic Resource
and Cultivation of Paolownia and Agroforestry” ในระหว่างวันที่ 7-20 กันยายน
พ.ศ. 2541 ณ กรุงปักกิ่ง และการศึกษาดูงานในมณฑลเหอหนาน (Henan) และมณฑล
กวางต้งุ (Guangdong) โดยมี Prof. Zhu Zhao Huo เป็นผู้อำนวยการฝึกอบรม

เพาโลว์เนียเป็นไม้ในวงศ์ Scrophulariaceae มีอยู่ด้วยกัน 9 ชนิด คือ Paulownia
albiphloea, Paulownia australis, Paulownia catalpifolia, Paulownia elongata,
Paulownia fargesii, Paulownia fortunei, Paulownia kawakamii, Paulownia taiwa-
niana และ Paulownia tomentosa โดยทั้งหมดเป็นไม้พื้นเมืองของจีน กระจายอยู่ทางภาค
ตะวันออกเฉียงใต้ทัง้ ในท่ีราบและบนภูเขา (ภาพท่ี 1) ซึง่ สงู จากระดบั น้ำทะเลกวา่ 2,000 เมตร
Paulownia fortunei มีการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติลงมาถึงเวียดนามและลาว ในขณะที่
Paulownia tomentosa ขึ้นได้ดีในเกาหลีและญ่ีปุ่นดว้ ย ส่วน Paulownia taiwaniana พบ
เฉพาะในเกาะไต้หวันเท่านั้น แต่เพาโลว์เนียที่มีบทบาทในเชิงพาณิชย์มากมีเพียง 4 ชนิด คือ
Paulownia elongata, Paulownia fortunei, Paulownia taiwaniana และ Paulownia
tomentosa

ภาพท่ี 1 การกระจายของไมเ้ พาโลว์เนยี ในประเทศจีน (จาก : Zhu et al., 1988)

บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 5

ชาวจีนรจู้ กั ไม้ชนิดนมี้ านานกวา่ สองพันปีแล้ว จากบนั ทึกในหนังสอื ช่อื “Erh-ya” ซ่ึง
เป็นสารานุกรมทางธรรมชาติวิทยาและวัฒนธรรมฉบับแรกของจีน เขียนขึ้นเมื่อประมาณ
สามร้อยปีก่อนคริสตศักราช ได้กล่าวถึงพรรณไม้ชนิดต่างๆ ที่มีประโยชน์ไว้มาก โดยใน
จำนวนนั้นได้กล่าวถึงไม้เพาโลว์เนียไว้ด้วยว่า “Yung T’ung-ma” (Wood of Glorious
Paulownia) เมื่อ King Yui ส้นิ พระชนมเ์ ม่ือประมาณ 2,600 ปี มาแลว้ กไ็ ดใ้ ชไ้ มเ้ พาโลว์เนยี
หนา 9 เซนติเมตร (3 cuen) ทำโลงศพและฝังไว้บนยอดเขา จากคุณสมบตั ทิ เ่ี ป็นไมโ้ ตเร็ว มี
ความหนาแน่นต่ำ น้ำหนักเบา และมีดอกสีม่วงสวยงามมาก ชาวจีนจึงมักจะเรียกไม้
เพาโลว์เนยี ว่า “Tz’u T’ung” (Purple Paulownia) หรอื “Pao T’ung” (Foam Paulownia)
ตามประเพณจี ีนในสมยั โบราณ เมอ่ื คลอดบตุ รเป็นผู้หญิง พอ่ แม่ก็จะปลูกตน้ ไมเ้ พาโลวเ์ นยี ไว้
ให้หนงึ่ ต้น ครัน้ ลูกโตเปน็ สาวและเข้าพธิ มี งคลสมรส กจ็ ะโคน่ เพาโลว์เนยี ตน้ นน้ั เพ่อื นำเนื้อไม้
มาทำตู้เสื้อผ้าซึ่งถือว่าเป็นสินเดิมจากฝ่ายเจ้าสาวที่สำคัญและมีค่ามาก หรือแม้แต่รองเท้า
แตะชน้ั ดขี องผ้หู ญงิ ญีป่ ุ่นก็ทำมาจากไมเ้ พาโลว์เนียเชน่ กัน

แตอ่ ย่างไรก็ตาม การวจิ ัยดา้ นการปรับปรุงบำรุงพันธุไ์ ม้เพาโลว์เนียเพ่ิงไดร้ ับความสนใจ
จากสถาบันวิจัยป่าไมข้ องจีนเมื่อปี พ.ศ. 2516 รวมทั้งการศึกษาวิจัยด้านการจำแนกพันธุ์ การ
ปรับปรุงบำรุงพันธุ์ การขยายพันธุ์ การปลูก การจัดการสวนป่า และการใช้ประโยชน์ ก็เพิ่งได้
เริ่มต้นอย่างจริงจังในปี พ.ศ. 2526 โดยความร่วมมือระหว่าง International Development
Research Centre of Canada (IDRC) และ China Academy of Forestry

คุณลกั ษณะเดน่ ประจำตัวไมเ้ พาโลว์เนยี คือโตเรว็ มากและมนี ้ำหนักเบามาก โดยเฉพาะ
Paulownia elongata และ Paulownia fortunei ถือว่าเป็นไม้ที่เจริญเติบโตเร็วที่สุดใน
บรรดาไม้สกุลเพาโลว์เนียด้วยกัน จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “แชมเปียนของไม้โตเร็ว”
และมีคำกล่าวในหมูเ่ กษตรกรชาวจนี วา่ ไม้เพาโลว์เนยี อายุ 1 ปี มองดูคล้ายไม้ถ่อ พออายุ 3 ปี
มีรปู ร่างเหมอื นรม่ และสามารถตดั มาเล่อื ยแปรรูปเป็นไม้กระดานได้เม่ืออายุ 5 ปี นอกจากจะ
โตเร็วและเบาแล้ว เนื้อไม้สีขาวของเพาโลว์เนียยังมีลายสวยงาม ไม่หด ยืดหรือแตกหักบิดงอ
ไสกบตกแต่งงา่ ย มีเงางาม แห้งเร็ว รวมทั้งมีคุณสมบัติดา้ นการป้องกันเสียงสะทอ้ น และเป็น
ฉนวนกันกระแสไฟฟ้ารั่วไหลได้เป็นอย่างดี จึงทำให้มีคนสนใจปลูกไม้เพาโลว์เนียเป็นสวนปา่
เศรษฐกิจกันมาก แต่จะประสบผลสำเร็จมากน้อยเพียงใดนั้นนอกจากจะขึ้นอยู่กับข้อมูลด้าน
การตลาดและราคาแล้ว ความร้ดู ้านนิเวศวิทยาก็เปน็ ส่งิ จำเปน็ ไม่น้อยเชน่ กนั

6 รวมเรื่องสวนปา่

ความตอ้ งการด้านนเิ วศวิทยาของไม้เพาโลวเ์ นยี

โดยหลักการแล้วอัตราการเจริญเติบโตของต้นไม้แต่ละชนิดย่อมแตกต่างกัน ทั้งน้ี
ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่ต้นไม้นัน้ ๆ ขึ้นอยู่ อันได้แก่ สภาพภูมิประเทศ ภูมิอากาศ ดิน ไฟ
ป่า และปัจจัยทางชีวภาพซึง่ ประกอบดว้ ยมนุษย์ สัตว์ และพืช ปัจจัยเหล่านี้ต่างก็มีอิทธพิ ล
ทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ ไม้สักที่ปลูกบนดอยอินทนนท์จะ
เจริญเติบโตช้ามาก เพราะอุณหภูมิต่ำอันเนื่องมาจากความสูงเหนือระดับน้ำทะเลเป็นปจั จยั
ทางตรงที่จำกัดการเจริญเติบโตของไม้สัก ความแห้งแล้งในทุง่ กุลาร้องไห้อาจจะไม่ถงึ กับทำ
ให้ต้นยูคาลิปตัสที่ปลูกไว้ตาย แต่ตายเพราะไฟป่า ความแห้งแล้งจึงเป็นปัจจัยทางอ้อมท่ี
ก่อให้เกิดไฟป่าซึ่งทำให้ต้นยูคาลิปตัสตาย โดยมีไฟป่าทำหน้าที่เป็นปัจจัยทางตรง
ความสำเร็จของการปลกู ปา่ เศรษฐกิจจึงขน้ึ อยู่กับการเลือกชนิดไม้ปลูกใหส้ อดคล้องกับปัจจัย
แวดลอ้ มของพน้ื ทปี่ ลกู มากกวา่ การปรับเปล่ยี นสภาพแวดลอ้ มใหเ้ ขา้ กบั ชนิดไมท้ ่ีเลือกมาปลกู

ในกรณีของไม้เพาโลว์เนียก็เช่นกัน ภายใต้สภาพแวดล้อมทั่วๆ ไป Paulownia
fortunei อายุ 10 ปี จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกประมาณ 30-40 เซนติเมตร (ความ
เพิ่มพูนปีละ 3-4 เซนติเมตร) แต่ถ้าสภาพแวดล้อมเหมาะสม ไม้อายุ 18 ปี จะมีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางเพียงอกถึง 100 เซนติเมตร (ความเพิ่มพูนปีละ 5-6 เซนติเมตร) หรือถ้า
สภาพแวดล้อมเหมาะสมมากและได้รับการจัดการอย่างดีอาจจะให้ความเพิ่มพูนในรูปของ
เส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับอกสูงถึง 8-9 เซนติเมตรต่อปีก็ได้ แต่ถ้าสภาพแวดล้อมไม่
เหมาะสม ค่าความเพิ่มพูนรายปีดังกล่าวจะมไี ม่ถึง 1 เซนติเมตร ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าไม้
เพาโลว์เนียเจรญิ เติบโตช้ามาก และเปน็ ทที่ ราบกันโดยท่วั ไปวา่ ไมเ้ พาโลว์เนียชนิดนี้อ่อนไหว
ต่อการเปล่ียนแปลงของสภาพแวดล้อมได้เรว็ มาก อยา่ งไรกต็ ามปกติรปู แบบการเจรญิ เติบโต
ของต้นไม้ทุกชนิดจะโตเร็วในตอนแรก และจะชะงักการเจริญเติบโตเมื่อมีอายุมากขึ้น แต่
ปรากฏว่า Paulownia fortunei ที่ Yan He County ในมณฑล Kweichow ต้นหนึ่งอายุ
80 ปี มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 202 เซนติเมตร สูง 49.5 เมตร อีกต้นหนึ่งอายุ 90 ปี มี
เส้นผ่านศูนย์กลาง 224 เซนติเมตร ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นต้นเพาโลว์เนียที่ใหญ่ที่สุดในโลกก็ได้
รวมทั้งยังถือว่าเป็นต้นไม้ที่มีอัตราการเจริญเติบโตรายปีค่อนข้างสูง (ปีละ 2.53 เซนติเมตร
และ 2.49 เซนติเมตร ตามลำดับ) เมอ่ื เปรียบเทียบกับไมช้ นิดอ่ืนๆ ที่มอี ายเุ ท่ากนั

ดงั ได้กล่าวในตอนตน้ แล้วว่าไม้เพาโลวเ์ นียท่ีมบี ทบาทในเชิงการคา้ น้นั มอี ยู่ด้วยกัน 4
ชนิด แต่การปลูกไม้เพาโลว์เนยี เหลา่ นจ้ี ะได้กำไรมากน้อยเพยี งใดนอกจากจะข้นึ อยู่กับปัจจัย

บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 7

ดา้ นการตลาดแลว้ ยังขน้ึ อยู่กบั ปัจจัยสิ่งแวดล้อมอกี ดว้ ย ขอ้ มูลในตารางท่ี 1 แสดงให้เห็นถึง
ความต้องการด้านนิเวศวิทยาของไม้เพาโลว์เนียดังกล่าว ซึ่งจะเห็นได้ว่าอุณหภูมิต่ำสุดเป็น
ปัจจัยสำคัญในการกำหนดการกระจายพันธุ์ของไม้เพาโลว์เนีย โดย Paulownia tomentosa
ทนตอ่ สภาพอากาศหนาวเยน็ ไดด้ ีกวา่ Paulownia elongata, Paulownia fortunei และ
Paulownia taiwaniana ตามลำดับ หรืออาจจะพูดอีกนัยหนึ่งได้ว่าสภาพภูมิอากาศบน
ดอยอ่างขางซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 1,400–1,800 เมตรนั้น เหมาะสำหรับปลูกไม้
Paulownia taiwaniana มากกว่า Paulownia tomentosa ในขณะท่ีญี่ปุน่ มีความตอ้ งการ
เนื้อไม้ Paulownia elongata และ Paulownia tomentosa มากกว่า Paulownia
taiwaniana ซง่ึ เน้ือไม้มีค่าความหนาแนน่ มากท่ีสดุ

ตารางท่ี 1 ความต้องการดา้ นนิเวศวิทยาและการกระจายพันธ์ุของไม้เพาโลว์เนียในประเทศจนี

คุณสมบตั ิ/สภาพแวดล้อม P. elongata P. fortunei P. taiwaniana P. tomentosa

ความหนาแน่นของเนอ้ื ไม้, 0.209 0.258 0.262 0.236
กรัม/ลบ.ซม.
การกระจายพนั ธ์ุ 28-36 18-30 22-25 28-40
เส้นรงุ้ , องศาเหนอื 112-120 105-122 120-122 105-128
เสน้ แวง, องศาตะวนั ออก 1,200 1,100 1,000 1,500
ความสูงจากระดับนำ้ ทะเล, ม.
อุณหภมู ิ, องศาเซลเซยี ส 40 40 39 40
-15 -10 2 -20
สูงสดุ 12-17 15-23 20-23 11-17
ตำ่ สุด
เฉล่ยี 600-1,500 1,200-2,300 1,800-2,300 500-1,500
น้ำฝน 3-9 2-3 2-3 3-9
มิลลเิ มตร/ปี
จำนวนเดอื นทแี่ หง้ แล้ง 5.0-8.0 4.5-7.5 4.5-7.0 5.0-8.5
pH ของดนิ รว่ นปน ร่วนเหนียว รว่ นเหนยี ว รว่ นเหนียว
เน้อื ดิน ทราย ปนทราย ปนทราย ปนทราย

8 รวมเรอื่ งสวนปา่

การปลกู และการจัดการสวนปา่ เพาโลวเ์ นีย

การที่จะตัดสินใจว่าควรจะปลูกไม้เพาโลว์เนียเป็นสวนป่าเศรษฐกิจหรือไม่นั้น จะต้อง
พิจารณาปัจจัยด้านการตลาดเป็นอันดับแรก กล่าวคอื จะต้องม่ันใจว่าเม่ือปลูกแล้วจะขายได้
และต้องขายได้ราคาทีค่ ุ้มค่ากับการลงทุนด้วย แม้เพาโลว์เนียจะเป็นไม้โตเร็ว แต่กว่าจะตัด
จำหน่ายไดก้ ็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7-10 ปี ซงึ่ ช้ากว่าอายุการเกบ็ เก่ยี วพชื ไร่มาก ระดบั ความ
ตอ้ งการและราคาไมใ้ นวันทป่ี ลกู อาจจะแตกต่างไปจากเมอ่ื ถงึ อายุการตดั ฟันกไ็ ด้ เมื่อมีความ
มั่นใจด้านการตลาดและตัดสินใจว่าจะปลูกแล้ว ก็ต้องพิจารณาว่าควรจะปลูกไม้เพาโลว์เนีย
ชนิดใด เพราะเพาโลว์เนียที่มีบทบาทในเชิงพาณิชย์นั้นสนองความต้องการของตลาดและ
ตอ้ งการสภาพแวดลอ้ มทแี่ ตกต่างกัน Paulownia fortunei และ Paulownia elongata มี
ลำต้นสวย ตรง เปลา เหมาะสำหรับปลูกเพื่อเอาเนื้อไม้ขายเป็นไม้แปรรูป Paulownia

kawakamii มีลำต้นเตี้ย ช่อดอกใหญ่
เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ประดับ แต่ถ้า
ปลูกเพื่อต้องการกลิ่นหอมหรือสะกัด
น้ำหอมจากดอก Paulownia tomentosa
และ Paulownia kawakamii น่าจะเหมาะสม
กว่าไม้เพาโลว์เนียชนิดอื่นๆ ในขณะท่ี
Paulownia taiwaniana ม ี ค ุ ณ ส ม บ ั ติ
ตา่ งๆ ดงั กล่าวอยู่ในระดบั กลางๆ

ความรู้เกี่ยวกับความต้องการด้านนิเวศวิทยาของไม้เพาโลว์เนียทำให้ผู้ปลูกสามารถ
เลอื กพ้นื ทปี่ ลูกท่ีเหมาะสมได้ ปัจจัยสิง่ แวดล้อมที่สำคัญทสี่ ดุ 2 ประการซงึ่ ผปู้ ลูกไม้เพาโลว์เนีย
จะตอ้ งคำนงึ ถึง ไดแ้ ก่

1. ดิน เพาโลว์เนียต้องการดินลึก มีความร่วนซุย ความอุดมสมบูรณ์สูง และความ
ชุ่มชื้นสูง แต่ต้องระบายน้ำได้ดี ระดับน้ำใต้ดินในหน้าฝนไม่ควรสูงเกินกว่า 1.5 เมตร ไม้
เพาโลว์เนียจะตายหากนำ้ ทว่ มขังตดิ ต่อกัน 2-3 วัน รวมทงั้ ไม่ชอบดนิ เค็ม ดินที่เป็นกรดหรือ
ด่างจัดเกินไป ดินที่ขาดความชุ่มชื้น และดินตื้น จึงไม่ควรปลูกไม้เพาโลว์เนียบนเขา เพราะ
บนเนินเขาดินมักจะต้ืนและมีความชุ่มชื้นต่ำทำใหต้ ้นไม้เจริญเติบโตช้ากวา่ บนทีร่ าบหรือเชิง
เขามาก จากการศึกษาพบว่าเพาโลว์เนียเป็นไม้ที่มีเรือนรากลึก รากจะดิ่งลึกลงไปราว 80
เซนติเมตร แล้วจึงแผ่กว้างออกด้านขา้ ง ร้อยละ 90 ของรากที่หาอาหารอยู่ในระดับความลึก

บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 9

20-90 เซนตเิ มตร จากผวิ หน้าดนิ Paulownia taiwaniana เจรญิ เติบโตดบี นดินทส่ี ลายตวั
มาจากภูเขาหินปูน ใกล้ตัวอาคาร ในบริเวณหมู่บ้านหรือชุมชน ริมถนน และริมคลอง โดยมี
ความเพิ่มพูนด้านเสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางเพียงอกประมาณปลี ะ 3.5 เซนติเมตร หรอื วัดรอบลำต้น
ไดร้ าว 110 เซนติเมตรเมื่ออายุ 10 ปี

2. แสงสว่าง เพาโลวเ์ นียเปน็ ไม้ทต่ี ้องการแสงสว่างเต็มท่ี ไม่ชอบรม่ เงาของไม้อืน่ จะ
เจริญเติบโตชา้ และตายไปในท่ีสดุ หากขาดแสงสว่างโดยตรง การปลกู ควบกับไมห้ รอื พืชอนื่ ใน
รูปของสวนป่าผสมหรือในระบบวนเกษตร จะต้องเลือกไม้ที่ไม่ก่อให้เกิดร่มเงาแก่ไม้
เพาโลว์เนีย เช่น การปลูกเพาโลว์เนียควบกับไม้ยูคาลิปตัสจะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร
เพราะทงั้ คตู่ ่างกเ็ ป็นไม้โตเรว็ การปลูกเปน็ ไมป้ ระธานในระบบวนเกษตรในประเทศจีนมักจะ
มีข้าวสาลีเป็นพืชควบใช้ระยะปลูก 5x10 เมตร แล้วตัดขยายระยะให้เหลือ 5x20 เมตรเม่ือ
อายุ 5 ปี และ 5x40 เมตรเมอ่ื อายุ 8 ปี กอ่ นท่ีจะทำการตัดฟนั ครง้ั สุดทา้ ยเมือ่ อายุ 10-12 ปี

สำหรับการขยายพันธุ์นั้น ไม้เพาโลว์เนียสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งโดยการอาศัยเพศ
และไมอ่ าศัยเพศ ซึ่งพอจะแยกออกเปน็ วธิ ตี า่ งๆ ไดด้ งั นี้

1. การเพาะเมลด็ เมล็ดเพาโลวเ์ นยี มีขนาดเลก็ และเบามาก จงึ สามารถปลิวไปตาม
ลมได้ถึงครึ่งกิโลเมตร เมล็ด 1 กิโลกรัมมีปริมาณถึง 4-6 ล้านเมล็ด โดยเมล็ด 1,000 เมล็ด
นั้นมีน้ำหนักเพียง 0.17 – 0.25 กรัมเท่านั้น ในผลหนึ่งๆ จะมีเมล็ดอยู่ตั้งแต่หนึ่งร้อยจนถึง
หลายพันเมล็ด การขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศกระทำไดโ้ ดยการเพาะเมล็ดแล้วย้ายชำต้นกลา้
เลีย้ งไวจ้ นอายุประมาณ 1 ปี ซงึ่ สงู ราว 2-3 เมตรแลว้ จงึ นำไปปลกู การขยายพนั ธุโ์ ดยวิธีนท้ี ำ
ให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและมีความต้านทานโรคสูง แต่ข้อเสียก็คือไม้เพาโลว์เนียผสมข้ามต้น
กันไดง้ า่ ย ทำใหย้ ากต่อการควบคุมสายพนั ธ์ุดที ี่ผา่ นการคัดเลือกทางพันธุกรรมมาแล้ว จึงมัก
ไมค่ อ่ ยนยิ มใช้การขยายพนั ธโ์ุ ดยการเพาะเมลด็ กัน เพราะไมม่ ัน่ ใจในแงข่ องพันธกุ รรม

2. การแยกหน่อออกจากรากหรอื ตอ ลักษณะเด่นอีกประการหน่ึงของเพาโลว์เนีย
ก็คือมีความสามารถแตกหน่อ (จากตอ) ภายหลังการตัดฟันสูง หน่อเหล่านี้อาจจะแยก
ออกไปเลี้ยงเป็นต้นกล้าเพื่อนำไปปลูกต่อไปได้ แต่ก็ไม่ค่อยนิยมกันมากนัก เพราะต้นกล้า
มกั จะมอี ัตราการรอดตายตำ่

3. การตัดรากปักชำ เป็นวิธีการขยายพันธุ์ไม้เพาโลว์เนียที่นิยมใช้กันแพร่หลายมาก
ทส่ี ุด โดยการตัดรากขนาดเส้นผา่ นศูนยก์ ลาง 1.0 - 2.0 เซนติเมตร ยาวประมาณ 15 เซนติเมตร

10 รวมเร่อื งสวนปา่

จากต้นแม่ที่มีอายุตั้งแต่สองปีขึ้นไป ต้นละ 10 - 15 ราก นำไปปักชำเลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำ
ประมาณ 3-6 เดอื นแล้วจึงนำตน้ กล้าไปปลูก ช่วงเวลาท่ีเหมาะสมสำหรบั การตัดรากปักชำมาก
ที่สดุ คือช่วงท่ีเพาโลว์เนียท้งิ ใบ นั่นคือ หากตัดรากปักชำในเดือนมกราคมซง่ึ เป็นหน้าหนาวก็จะ
ไดต้ น้ กล้าท่ีสามารถปลกู ได้ในราวเดือนมถิ นุ ายนซง่ึ เปน็ ต้นฤดูฝน หรอื จะนำรากไปปลกู ในแปลง
ปลูกโดยตรงเลยก็ได้หากปลกู แลว้ สามารถใหน้ ้ำและดแู ลรกั ษาได้เป็นอยา่ งดี

4. การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ หากต้องการกล้าเป็นจำนวนมาก การผลิตโดยวิธี
เพาะเล้ียงเนื้อเยื่อก็เหมาะสม แต่ต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าการตดั รากปักชำและมีความ
ตอ้ งการต้นกล้าในปริมาณที่มากจริงๆ

การกำหนดระยะปลูกท่ีเหมาะสมก็เป็นอกี ปจั จัยหนึ่งซึ่งส่งผลตอ่ การเจริญเติบโตของ
ไม้เพาโลวเ์ นีย โดยปกตหิ ากปลูกเชงิ เดยี่ ว คือปลกู ไม้เพาโลวเ์ นียชนิดเดยี วล้วนๆ ก็มกั จะนยิ ม
ใชร้ ะยะ 4 x 5 เมตร 5 x 5 เมตร หรือ 6 x 6 เมตร ซงึ่ ดูเหมือนจะค่อนข้างหา่ งเกนิ ไปสำหรับ
ความรู้สึกของคนไทย แต่ต้องไม่ลืมว่าเพาโลว์เนียเป็นไม้โตเร็วและต้องการแสงสว่างเต็มที่
หากปลูกถี่ แสงสว่างส่องไมถ่ ึงพื้นดิน ต้นเพาโลว์เนียอาจจะได้รับความเสียหายจากโรคและ
แมลงได้ง่าย แต่ถา้ ปลูกในระบบวนเกษตรก็ควรจะมรี ะยะปลกู ต้งั แต่ 5 x 10 เมตรขึ้นไป โดย
ชนิดของพืชควบก็ข้ึนอยู่กับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ ความเคยชินของเกษตรกร และความ
ตอ้ งการของตลาด ทีน่ ยิ มกนั มากคอื พชื ไร่ทลี่ งมือปลูกเมื่อเพาโลวเ์ นยี เริ่มทิ้งใบ และเกบ็ เก่ียว
ผลผลิตได้เมอ่ื เพาโลว์เนียเริม่ แตกใบใหม่ เชน่ ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ และลนิ ิน นอกจากน้ี สน
หนาม (Cunninghamia lanceolata) และไผก่ ส็ ามารถปลูกร่วมกับเพาโลว์เนียไดเ้ ป็นอย่าง
ดี เพราะเพาโลวเ์ นียเป็นไม้ผลดั ใบ มเี รอื นรากลึก ก่งิ กระจาย เรอื นยอดไมแ่ นน่ ทึบ ในขณะท่ี
ไผ่มรี ะบบรากต้ืน สนหนามมเี รอื นยอดเลก็ แต่ระยะปลกู ตอ้ งห่างมากๆ

เมื่อต้นเพาโลว์เนียที่ปลูกอายุได้ 1 ปีเต็ม จะต้องทำการตัดต้นเดิมที่ระดับดินออก
เพื่อให้ระบบรากได้พฒั นาต่อไป ต้นใหม่จะเกิดจากการแตกหน่อ (coppice) นั่นคือ หากบอก
ว่าอายุรอบหมุนเวียนในการตดั ฟันไมเ้ พาโลว์เนยี 9 ปี อายุที่แท้จริงคือ 10 ปี ปฏิบัติการทาง
วนวัฒนวิทยาที่จำเป็นมากสำหรบั ไม้เพาโลว์เนียก็คือการลิดกิ่ง โดยจะต้องทำการลิดกิ่งต้งั แต่
กิ่งยังอ่อนๆ มิฉะนัน้ ลำต้นจะมคี วามเรียวมาก ขาดความเปลา คือโคนใหญ่ปลายเล็ก อันเปน็
ลักษณะท่ไี ม่พึงประสงค์ นอกจากน้กี ารป้องกันไฟป่าก็เป็นสิง่ จำเปน็ เพราะถ้าเกิดไฟไหม้สวน
แม้จะเพียงลวกๆ ลำต้นก็ตาม เปลือกจะแห้งและตายไปในทีส่ ุด หรือหากไม่ตาย ตามลำต้นก็
จะมีก่งิ กา้ นแตกออกมามาก ทำให้สูญเสยี รูปทรงทต่ี ้องการ

บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 11

สว่ นปญั หาในเรอื่ งโรคและแมลงน้ัน กาฝากเปน็ ปัญหาท่พี บบอ่ ยท่ีสดุ ในไมเ้ พาโลว์เนยี
ท่ีมีอายุมากและปลูกเป็นสวนป่า ซึ่งจะมีผลกระทบต่ออัตราการสังเคราะห์แสงและการ
เจริญเติบโตของต้นไม้ หากปลูกไม้เพาโลว์เนียแน่นเกินไป แสงสว่างส่องลงสู่พื้นดินไม่ได้
ความช้ืนสมั พทั ธ์ในสวนป่าสงู เกินไป โรคทจ่ี ะเกิดคอื แอนแทรคโนสซึง่ ทำอนั ตรายแก่ส่วนของ
ใบเชน่ เดยี วกับ โรค Sphaceloma paulowniae ทม่ี ักจะเกดิ กับไมใ้ นวยั หนมุ่ แต่ถ้าเป็นตน้
กลา้ โรคทพี่ บเป็นประจำคือโรคเน่าคอดิน (damping-off)

Paulownia fortunei ท่ปี ลูกในสภาพแวดล้อมท่เี หมาะสมและไดร้ ับการดูแลรักษาดี
พอสมควร เมื่ออายุ 10 ปี จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกประมาณ 40 เซนติเมตร สูง 12
เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางของเรือนยอด 9 เมตร และความสูงของลำต้นจนถึงกิ่งสดกิ่งแรก
(clear bole) 4 เมตร ผลสำเรจ็ จากการปรบั ปรงุ บำรุงพันธุท์ ำให้การเจริญเตบิ โตและผลผลิต
ของเนื้อไม้มีค่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าว ทั้งนี้ สถาบันวิจัยป่าไม้ของจีนได้แนะนำให้ ปลูก
Paulownia fortunei สายพันธุ์ C 001, C 020 และ SP 001

การใช้ประโยชน์ไมเ้ พาโลว์เนีย

เนื้อไม้ทุกชนิดสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ แต่การใช้ประโยชน์อย่างถูกต้องเหมาะสม
น้ันขึ้นอย่กู บั คุณสมบตั ขิ องไมแ้ ตล่ ะชนิด เพาโลว์เนียเป็นไมโ้ ตเรว็ ปกติไมโ้ ตเร็วส่วนใหญ่เน้ือ
ไม้จะมีการหดและบิดตัวสูง แต่เป็นข้อยกเว้นสำหรับไม้เพาโลว์เนีย เพราะมีค่าสัมประสิทธิ์
การหดและบิดตัวทางปริมาตรเพียง 0.269-0.371 % และความชืน้ ในเนื้อไม้อยู่ระหว่าง 15-
21% เทา่ น้ัน ความเบาของเนื้อไม้ก็เป็นคุณสมบัติเดน่ อกี ประการหนึ่ง โดยเนือ้ ไม้เพาโลว์เนียมี
ค่าความหนาแน่นระหว่าง 0.21 - 0.33 กรัม/ลบ.ซม. ประกอบกับค่าการนำความร้อนที่มี
เพียง 0.063-0.086 kcal m-1hr-1 oC-1 ซึ่งเป็นค่า
ต่ำที่สุดสำหรับไม้ การนำอุณหภูมิมีค่าเท่ากับ
0.000561 - 0.000631 m-2hr-1 ซึ่งเป็นค่าที่ต่ำ
มาก ทำให้เพาโลว์เนียเป็นไม้ที่มีคุณสมบัติด้าน
ฉนวนไฟฟ้าหรือป้องกันการรั่วไหลของ
กระแสไฟฟ้าได้อย่างดีย่ิง คณุ สมบตั ดิ ้านการส่งเสียง
สะท้อนมีค่าระหว่าง 14.06 - 20.84 m4kg-1sec-1 ซง่ึ
เหมาะสำหรับใช้ทำเครื่องดนตรีประเภท
เครื่องสายเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ การที่ไม้

12 รวมเรื่องสวนป่า

เพาโลว์เนียมีการยืดหดตัวต่ำ ทำให้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ทำจากไม้เพาโลว์เนียไม่ได้ รับ
ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของความชื้นที่ผันแปรไปตามฤดูกาลต่างๆ ส่วนคุณสมบัติ
ของเนื้อไม้ที่มีเสี้ยนตรง นุ่ม ทำให้ไสกบตกแต่งง่าย ผิวหน้าไม้เป็นเงางาม ผึ่งแห้งเร็ว โดยไม้
แผ่นที่หนา 1 นิ้ว ผึ่งไว้ที่อุณหภูมิห้องเป็นเวลา 22 วัน ความชื้นจะลดลงเหลือเพียง 10%
เท่าน้ัน

จากคุณสมบัติของเนื้อไม้ดังกล่าว ทำให้สามารถนำไม้เพาโลว์เนียไปใช้ประโยชน์ได้
อย่างกว้างขวาง เช่น ใช้ทำเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย อันได้แก่ เปียโน กีตาร์ ไวโอลิน
และขิม ซึ่งให้คลื่นเสียงที่ก้องกังวานอย่างสม่ำเสมอ ใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ตู้เสื้อผ้า ลิ้นชัก
เกี๊ยะไม้ กล่องโสม กล่องอัญมณี และเครื่องแกะสลัก งานฝีมือต่างๆ นอกจากนี้ ไม้เพาโลว์
เนียยังใช้ในการก่อสร้างบ้านเรือน ทำเครื่องมือเครื่องใช้ได้เช่นเดียวกับไม้โตเร็วอื่นๆ
เฟอร์นิเจอร์ที่ผลิตจากไม้เพาโลว์เนียอาจจะมีรอยด่างดำบ้าง ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการไม่
ตัดโค่นต้นไมใ้ นฤดูกาลเจริญเติบโตและการแชไ่ มไ้ วใ้ นน้ำใสชวั่ ระยะเวลาหนึง่ ไม้เพาโลว์เนีย
ทโ่ี ตชา้ เนอ้ื ไมจ้ ะละเอียดมาก เหมาะสำหรับใช้ทำถงั ไวน์ กล่องชา และทำลงั เล้ียงผ้ึง ยงิ่ ไปกวา่
นัน้ เปลือก ใบ ดอก ผล และเน้อื ไม้ ยงั มีคณุ ค่าในเชงิ สมนุ ไพรอีกด้วย โดยสามารถนำไปใช้ใน
การผลิตยาแก้ไอ หอบหืด ขับเสมหะ ลดความดนั โลหิต ฯลฯ ผลและใบเม่อื นำมาแช่น้ำแล้วใช้
น้ำนั้นสระผมทุกวันจะทำให้ผมดกดำ ใบและดอกมีโปรตีนสูง จึงเหมาะสำหรับใช้เลี้ยงสัตว์
จำพวกหมู แกะ และกระตา่ ย รวมทั้งใช้ทำปุ๋ยคอกช้ันดี

จากคุณสมบัติและการใช้ประโยชน์อย่าง “ไม้อเนกประสงค์” ดังกล่าว ทำให้มีการ
ปลูกไม้เพาโลว์เนียกันอย่างกว้างขวาง โดยในประเทศจีนมีเนื้อที่สวนป่าเพาโลว์เนียกว่าสิบ
ล้านไร่ นอกจากนี้ยังได้นำไปปลูกในยุโรป ออสเตรเลีย และอเมริกาเหนือ จนทำให้ทาง
ตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศสหรฐั อเมริกามีการกระจายพันธุ์ของไมเ้ พาโลวเ์ นียจนดูเสมือน
หน่งึ เปน็ ป่าธรรมชาติ รวมทัง้ ในประเทศไทย ซ่งึ มกี ารตื่นตวั ในเรือ่ งการปลูกไม้เพาโลวเ์ นียในหมู่
ภาคเอกชนอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2545 เป็นต้นมา แต่เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศ
ตา่ งๆ ทป่ี ลูกไม้เพาโลว์เนียนั้นสว่ นใหญ่มีอากาศหนาวเยน็ และขนาดของสวนปา่ แตล่ ะรายก็ไม่
กวา้ งขวางนัก เพราะเพาโลวเ์ นียตอ้ งการการดูแลรกั ษาท่ีประณตี ดังกล่าวแล้ว

ลทู่ างการปลูกไม้เพาโลวเ์ นยี ในประเทศไทย

หากกำหนดความยาวของรอบตัดฟันไม้เพาโลว์เนียไว้ที่อายุ 10 ปี การทดลองปลูกไม้
เพาโลว์เนยี ไม่ใช่ของใหมส่ ำหรับประเทศไทย เพราะในปี พ.ศ. 2515 กองบำรุง กรมป่าไม้ ได้

บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 13

นำเมล็ดไม้เพาโลวเ์ นียจากไตห้ วนั ซ่ึงเข้าใจว่าเปน็ Paulownia taiwaniana มาทดลองปลูก
ที่ศูนย์อนุรักษ์พนั ธ์ไุ ม้ปา่ พระฉาย จังหวัดสระบุรี แต่ไม่ไดผ้ ลเพราะดินมกี ารระบายน้ำไม่ดี มี
น้ำท่วมขังไหลผ่าน ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 กองอนุรักษ์ต้นน้ำ กรมป่าไม้ ก็ได้สั่งเมล็ด
เพาโลว์เนียจากฝรั่งเศสมาปลูกภายใต้โครงการแม่สา ที่จังหวัดเชียงใหม่ แต่ก็ไม่ประสบ
ผลสำเร็จอีกเช่นกัน เพราะขาดประสบการณ์ในการผลิตกล้าจากเมล็ดซึ่งมีขนาดเล็กมาก
ในช่วงเวลาเดียวกัน คือในปี พ.ศ. 2517 บริษัทเพาโลว์เนียดีเวลลอปเม้นท์ ก็ได้นำไม้
เพาโลว์เนียจากประเทศญี่ปุ่นมาปลูกในรูปของสวนป่าเอกชนขนาดย่อมขึ้นที่อำเภอแม่แตง
จงั หวัดเชยี งใหม่ ซ่งึ อยูส่ งู จากระดับนำ้ ทะเลประมาณ 330 เมตร เพอื่ ส่งไมไ้ ปขายยังประเทศ
ญปี่ นุ่ คาดว่าเปน็ Paulownia fortunei และได้ทำการตดั ฟันนำไม้ไปใช้ประโยชน์ในปี พ.ศ.
2522 จากนั้นก็ได้เลิกกิจการไป เข้าใจว่าเป็นเพราะปัญหาเรื่องไฟป่า และ/หรือสิทธิการใช้
ประโยชน์ทีด่ นิ แต่ขณะน้ียงั มรี ่องรอยของตน้ เพาโลวเ์ นียปะปนกบั ปา่ ธรรมชาติหลงเหลืออยู่
บา้ งในเส้นทางเขา้ สถานีวจิ ัยเกษตรหลวงแมห่ ลอด ของมูลนิธโิ ครงการหลวง

ต่อมาในเดือนเมษายน พ.ศ. 2526 โครงการปลูกป่าบนที่สูง (ดร. บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ :
งานป่าไม้) มลู นิธิโครงการหลวง กไ็ ด้นำราก Paulownia taiwaniana จากไต้หวนั จำนวน 70
รากมาทดลองปลูกที่สถานีวิจัยเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอไชยปราการ จังหวัดเชียงใหม่ ใช้
ระยะปลกู 4 x 4 เมตร โดยการนำรากจากไต้หวนั ปลกู ลงดนิ โดยตรงเลยทีเดียว แต่มีการรดน้ำ
และดูแลรกั ษาเสมอื นหน่งึ เป็นกลา้ ไม้ในเรือนเพาะชำ ทง้ั นีไ้ ด้ปลูกไวท้ ่ีบริเวณหนา้ สำนักงานฯ
60 ต้น และปลกู ไวท้ บี่ ริเวณแปลงเพาะป่าไม้ 10 ตน้ ปรากฏว่ารากท้งั หมดเจริญเติบโตขึน้ มา

เป็นตน้ เพาโลว์เนีย โดยบรเิ วณหนา้ สำนักงานฯ
ได้มีการตัดฟันไปบ้าง แต่บริเวณแปลงเพาะ
ป่าไม้ยังมีอยู่ครบทุกต้นดังที่เห็นอยู่ในทุกวันน้ี
(พ.ศ. 2546) จากนั้นในปีถัดมา ก็ได้มีการขุด
รากจากต้นแม่ทั้ง 70 ต้น นำไปปลูกในพื้นที่
ต่างๆ ภายในสถานีฯ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ.
2527 ทั้งในบริเวณแนวถนนติดกับบ้านพัก
ริมดอยซึ่งเจริญเติบโตดีมาก เพราะดินดี ลึก มี
ความชุม่ ชื้นสูง และบริเวณเนินเขาหลังศูนย์ฝกึ อบรมซึ่งเจริญเติบโตชา้ มาก เพราะดินตื้น
มีความชุม่ ชื้นต่ำ ท้ังๆ ทีส่ องจุดปลกู ดังกล่าวห่างกนั เพียง 200 เมตรเท่านั้น

14 รวมเร่ืองสวนป่า

เมื่อพบว่า Paulownia taiwaniana เป็นไม้โตเร็วที่น่าสนใจสำหรับพื้นที่สูงอย่าง
ดอยอ่างขาง งานปา่ ไม้ มูลนิธโิ ครงการหลวง กไ็ ดศ้ กึ ษาระบบวนเกษตรบนท่สี งู โดยมเี พาโลว์เนีย
เป็นไมป้ ระธาน มีพชื กสิกรรมชนดิ ตา่ งๆ อาทิ ขา้ วบารเ์ ลย์ ขา้ วสาลี ลินิน ขา้ วโพดหวาน ข้าวไร่
ขิง และกาแฟ รวมทั้งไผ่หวานอ่างขาง (ไผ่หมาจู๋ : Dendrocalamus latiflorus) เป็นพืชควบ
ปรากฏว่าพืชไร่ที่ปลูกในช่วงปลายปีและเก็บเกี่ยวตอนต้นปี อันเป็นช่วงเวลาที่เพาโลว์เนีย
ทิ้งใบ เชน่ ขา้ วบาร์เลย์ และขา้ วสาลี รวมทง้ั กาแฟซึ่งตอ้ งการร่มเงาจากไม้ใหญเ่ ป็นไม้พี่เล้ียง
สามารถปลกู เป็นพืชควบในแปลงเพาโลว์เนียตามหลักระบบวนเกษตรได้ดีมาก โดยไม่ก่อให้เกิด
ผลกระทบใดๆ ในทางลบทั้งสิ้น ส่วนไผ่หวานอ่างขางและเพาโลว์เนียก็ผสมผสานกันได้ดี
พอสมควร แตค่ วรปลกู ให้มีระยะหา่ งประมาณ 6 x 6 เมตรเป็นอย่างน้อย แล้วปลูกไผต่ รงจุดตัด
ของเส้นทะแยงมุมของไม้เพาโลว์เนียในรูปของสี่เหลี่ยมจตุรัสซ้อน ทั้งนี้เพราะเพาโลว์เนียเป็น
ไม้โตเร็วท่มี รี ากลึก และทิง้ ใบนานประมาณ 4 - 5 เดอื น ในขณะท่ีไผม่ เี รือนรากตนื้

จากผลสำเร็จดังกล่าว มูลนิธิโครงการหลวง ได้เสนอแนะผ่านเวทีประชุมสัมมนาให้
กรมส่งเสริมการเกษตร กรมป่าไม้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แนะนำและสนับสนุนให้
เกษตรกรที่ปลูกข้าวบาร์เลย์และข้าวสาลีในพื้นที่สูงทางภาคเหนือปลูกไม้เพาโลว์เนียแทรก
เข้าไปในปริมาณ 25-40 ต้นต่อไร่ เพราะนอกจากเกษตรกรจะได้รายได้จากข้าวบารเ์ ลยแ์ ละ
ข้าวสาลีแลว้ ยังมีรายได้เสริมจากไมเ้ พาโลว์เนียซึง่ เปน็ เสมือนหนึ่งเงินฝากประจำ รวมทั้งรม่
เงาของไม้เพาโลวเ์ นียซงึ่ แนน่ ทบึ ในหนา้ ฝนยงั ชว่ ยปอ้ งกนั การพังทลายของดินบนท่ีสงู ได้อยา่ ง
ดีเยี่ยมอีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ข้อเสนอดังกล่าวยังไม่ได้รับการตอบรับจากหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องแตอ่ ยา่ งใดท้ังสนิ้

จากที่กล่าวในตอนต้นว่าไม้ Paulownia taiwaniana ซึ่งปลูกที่ดอยอ่างขางเมื่อปี
พ.ศ. 2526 และ 2527 มีทั้งที่โตเร็วมากและ
โตช้ามาก ทั้งๆ ที่แปลงปลูกห่างกันเพียง 200
เมตรเท่านั้น ดังนั้น เมื่อถามว่ามีการปลูกไม้
เพาโลว์เนียในเมืองไทยหรือไม่ ขอดูแปลง
ปลูก ได้ที่ไหน ก็ต้องตอบว่าได้และมีมาต้ัง
20 – 30 ปีแล้ว บริเวณสถานีเกษตรหลวง
อา่ งขาง อำเภอไชยปราการ จังหวดั เชียงใหม่

น่าจะเป็นแปลงตัวอย่างให้ดูได้ดีที่สุด เพราะมีทั้งที่ประสบความสำเร็จคือโตเร็วสมดัง

บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 15

ที่กลา่ วขานกนั และล้มเหลวคือโตช้าอยา่ งไม่นา่ เชอ่ื ขอ้ มลู ในรปู ของเส้นรอบวงท่ีระดับอกซ่ึง
วัดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2546 ปรากฏว่าไม้เพาโลว์เนียซึ่งปลูกในเดือนเมษายน 2526 ที่
บริเวณแปลงเพาะป่าไม้ ต้นท่ีมีขนาดโตที่สุดวัดได้ 236 เซนติเมตร ในขณะที่ต้นเล็กที่สุดมี
เส้นรอบวงเพียง 72 เซนติเมตรเท่านั้น ส่วนกลุ่มที่ปลูกในเดือนมิถุนายน 2527 บริเวณข้าง
บ้านริมดอยต้นโตที่สุดมีเส้นรอบวงถึง 231 เซนติเมตร ซึ่งโตกว่าบริเวณที่ลาดชันหลังศูนย์
ฝกึ อบรมกวา่ สองเท่า

กล่าวโดยสรุป ไม้ Paulownia taiwaniana อายุ 19 ปีที่ดอยอ่างขาง หากปลูกบน
ที่ราบจะเจริญเติบโตรวดเร็วมาก มีความเพิ่มพูนรายปีในรูปของเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก
ถึง 2.43 เซนติเมตร แต่ถ้าปลูกบนเนินเขาซึ่งดินตื้นและลมแรงจะมีความเพ่ิมพูนรายปีเพยี ง
1.58 เซนติเมตร เท่านัน้ ประสบการณจ์ ากดอยอ่างขางชีใ้ หเ้ ห็นวา่ ไม้เพาโลวเ์ นียมคี วาม
ผันแปรทางพันธกุ รรมและมีความอ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมสูงมาก โดยสามารถยืนยันได้
จากขอ้ มูลดังต่อไปนี้

การปลูกบนที่ราบ ดินลึก อายุ 19-20 ปี
บริเวณแปลงเพาะมีเส้นรอบวงที่ระดับอก 72 - 236
เซนติเมตร เฉลี่ย 129 เซนติเมตร ข้างบ้านริมดอยมี
เส้นรอบวง 127 - 231 เซนติเมตร เฉลี่ย 164
เซนติเมตร หน้าศูนย์ฝึกอบรมมเี ส้นรอบวง 113 - 200
เซนติเมตร เฉลี่ย 147 เซนติเมตร แต่ถ้าปลูกบนเนิน
เขา ดินตื้น อายุเท่ากันมีเส้นรอบวงเฉลี่ยเพียง 60
เซนติเมตรเท่านั้น หรือถ้าจะกล่าวในรูปของความ
เพิ่มพูนรายปี โดยยึดหลักสากลที่ว่าไม้โตเร็วจะต้องมี
ความเพิ่มพูนรายปีในรูปของเส้นผ่านศูนย์ที่ระดับอก
ไม่น้อยกว่า 2.12 เซนติเมตรต่อปี ก็ปรากฏว่า บนที่ราบ ต้นเล็กที่สุด โต 1.15 เซนติเมตร/ปี
ต้นใหญ่ทีส่ ดุ โต 3.75 เซนตเิ มตร/ปี อันแสดงให้เห็นถงึ ความผันแปรทางพันธุกรรมที่ค่อนข้าง
สงู มาก

ส่วนด้านความอ่อนไหวต่อความลึกของดิน ก็พบว่า บนที่ราบ ดินลึก โต 2.46
เซนติเมตร/ปี บนเนินเขา ดินตื้น โต 1.00 เซนติเมตร/ปี หากค่าความเพิ่มพูนดังกล่าวต่ำกว่า
2.12 เซนตเิ มตร/ปี กไ็ ม่ถอื วา่ เปน็ ไม้โตเร็วดังกลา่ วแล้ว

16 รวมเรื่องสวนปา่

คำถามที่ว่า “เพาโลว์เนีย : ไม้เศรษฐกิจปลูกแล้วรวยจริงหรือ?” จึงขึ้นอยู่กับ
ข้อเท็จจริงที่ว่า ปลูกทีไ่ หน? ใครรวย? เกษตรกรผู้ปลูก พ่อค้าคนกลาง หรือคนขายต้นกล้า?
เพราะจากกระแสข่าวในเกือบรอบปีที่ผ่านมา พ.ศ. 2546 มีการรณรงค์ให้ปลูกไม้เพาโลว์เนีย
กันมากจนเกือบจะผิดปกติ ประชาชนให้ความสนใจที่จะปลูกกันมากเป็นพิเศษ ด้วยคาดหวังว่า
เพาโลว์เนยี จะทำให้เขาได้เปน็ เศรษฐีในระยะเวลาอนั สัน้ แตค่ วามเปน็ เศรษฐีของเขาจะเป็นจริง
หรอื ไมข่ ึ้นอยกู่ ับสภาพแวดล้อมของพ้นื ที่ท่จี ะปลูกเป็นสำคัญ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเงินทุนซ่งึ เขาพร้อม
ทีจ่ ะทุม่ เทเพอื่ ปรับเปลย่ี นสภาพแวดล้อมให้สอดคล้องกับความต้องการของไมเ้ พาโลว์เนยี

สรุป

เพาโลว์เนียเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศจีน โตเร็ว มีน้ำหนักเบา จัดเป็นไม้
อเนกประสงค์เพราะแทบทุกสว่ นสามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้ ปลกู กนั แพร่หลายในประเทศ
จนี สำหรับในประเทศไทย มูลนิธโิ ครงการหลวง ได้ทำการศกึ ษาวิจัยอยา่ งจรงิ จังและตอ่ เนอื่ ง
มาต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2526 ในจำนวนไม้เพาโลวเ์ นยี 9 ชนิดนั้น ทีค่ าดวา่ น่าจะปลูกในเชงิ พาณิชย์
ในประเทศไทยได้มีเพียง Paulownia taiwaniana และ Paulownia fortunei เทา่ นั้น แต่
ผู้ที่เล็งผลเลิศ คาดหวังผลกำไรสูงจากการปลูกไม้เพาโลว์เนียจะต้องระลึกไว้เสมอว่า
เพาโลว์เนียเป็นไม้ที่อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมมาก หากทำเลที่ตั้ง ปัจจัยสิ่งแวดล้อม
เหมาะสม ไม้เพาโลวเ์ นยี จะเจริญเติบโตเร็วมาก แต่ในทางตรงกนั ข้าม อตั ราการเจริญเติบโต
จะช้ามากหรืออาจจะตายไปในที่สุดก็ได้ ดังนั้น หากคิดจะปลูกไม้เพาโลวเ์ นียก็ต้องหาความ
มั่นใจด้านการตลาดและเลือกพื้นทีป่ ลูกให้ถูกต้องเหมาะสม มิฉะนั้นแล้วเกษตรกรผู้ปลูกปา่
อาจจะตกเปน็ เหย่ือของไมเ้ พาโลว์เนียเหมอื นกบั ทีเ่ คยเกิดข้ึนกับไม้ป่าบางชนดิ ในอดีตก็ได้ ท่ี
กลา่ วมาท้ังหมดน้ี เพียงแตต่ อ้ งการจะสร้างความมัน่ ใจให้กบั เกษตรกรผู้ปลูกปา่ ว่าสามารถทำ
มาหากินโดยการ “ปลูกปา่ เปน็ อาชพี ” ไดจ้ รงิ ๆ ไมใ่ ชเ่ ขด็ จริงๆ แล้วกับการปลูกป่าเศรษฐกิจ

เอกสารประกอบการเรียบเรียง

Thaiutsa, B. 2001. Highland Reforestation in Northern Thailand : A Case of the Royal
Project Foundation. In: TFRI Extension Series No. 145, Taipei, pp. 6-13.

Zhu, Z.H., C.J. Chao, X.Y. Lu, and Y.G. Xiong. 1988. Paulownia in China: Cultivation and
Utilization. Chinese Academy of Forestry, Asian Network for Biological Sciences
and International Development Research Centre, Singapore. 65 p.

2 การปลูก
ไมย้ คู าในนาข้าว

ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของไทยมาตั้งแต่โบราณกาล การทำนาปลูกข้าวมีให้เห็น
ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ จากข้อมูลสถิติการเกษตรของประเทศไทยของสำนักงาน
เศรษฐกจิ การเกษตรทำใหท้ ราบวา่ ปัจจุบัน (ปกี ารเพาะปลกู 2544/45) ประเทศไทยมเี น้ือที่
นาข้าวรวมทั้งสนิ้ 66,272,000 ไร่ แยกเปน็ นาปี 57,838,000 ไร่ นาปรัง 8,434,000 ไร่ ให้
ผลผลิตเฉลี่ย 419 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งต่ำกว่าฟิลิปปินส์ (497 กิโลกรัมต่อไร่) พม่า (507
กโิ ลกรมั ต่อไร่) อนิ โดนเี ซยี (676 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่) และเวียดนาม (681 กโิ ลกรัมต่อไร่) ท้ังนี้ ไม่
ต้องไปเปรียบเทียบกับประเทศจีนและญี่ปุ่น เพราะผลผลิตข้าวต่อไร่ของประเทศทั้งสองสูง
กว่าของไทยถึงสองเท่าครึ่ง นั่นคือ ผลผลิตของจีน 1,016 กิโลกรัมต่อไร่ และของญี่ปุ่น
1,065 กิโลกรัมตอ่ ไร่

ครั้นหันมามองประเทศไทยของเราเอง ผลผลติ ของข้าวทั้งนาปีและนาปรงั ก็มากน้อย
แตกตา่ งกนั ไปตามภมู ิภาคต่างๆ นาปรงั ใหผ้ ลผลิตต่อไร่ สงู กว่านาปีประมาณ 1.5 เท่า กล่าว
เฉพาะกรณีของนาปีซึ่งครอบคลุมพื้นที่เกือบร้อยละ 90 ของพื้นที่นาทั่วประเทศ ให้ผลผลิต
ตอ่ ไรเ่ ฉลีย่ 380 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร่ โดยเฉพาะภาคกลางซงึ่ มพี ื้นทเี่ พาะปลูก 9.9 ล้านไรใ่ หผ้ ลผลติ
513 กิโลกรัมต่อไร่ ภาคเหนือมีเนื้อที่ 12.8 ล้านไร่ ให้ผลผลิต 469 กิโลกรัมต่อไร่ และภาค
ตะวนั ออกเฉยี งเหนือซ่ึงมพี ้ืนท่นี าปีถงึ 33.0 ลา้ นไร่ แตม่ ีผลผลติ เฉล่ียเพยี ง 306 กิโลกรัมต่อ
ไร่เทา่ นั้น

เมื่อมาถึงจุดนี้ก็พอจะตอบคำถามได้แล้วว่าทำไมชาวนาไทยในภาพรวมจึงยากจน
ยากจนเพราะพื้นที่นาส่วนใหญ่เป็นนาปี นาปีส่วนใหญ่อยู่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภาคท่ีมเี น้อื ที่และประชากรมากทสี่ ุดในประเทศ

การแก้ปัญหาความยากจนของชาวนาทางหนงึ่ ก็คือเพิ่มผลผลติ ต่อไร่ด้วยการลดพื้นที่
นาปี และเพม่ิ พนื้ ทีน่ าปรงั แต่ตอ้ งลงทนุ สงู และคงกระทำไดไ้ ม่ง่ายนัก

พมิ พค์ รั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (30) : 27 – 29 (พ.ศ. 2547)

18 รวมเรอื่ งสวนปา่

หนทางทน่ี า่ จะเปน็ ไปไดง้ า่ ยกว่า และชาวนาสามารถดำเนนิ การไดท้ ันทีโดยไม่ต้องรอ
ระบบชลประทานจากภาครัฐก็คือ “การปลูกไม้ยูคาในนาข้าว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการ
ปลูกบนคันนาในพื้นที่นาปีของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เป็น
ผลใหผ้ ลผลติ ของขา้ วต่อไรต่ ำ่ และชาวนาพลอยยากจนตามไปดว้ ย

ยูคาหรือยูคาลิปตัสเป็นไม้พื้นเมืองของออสเตรเลยี มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้นประมาณ 600
ชนิด แต่ที่คนไทยรู้จักดีและมีบทบาททางเศรษฐกิจสูงติดต่อกันมาประมาณ 20 ปี ก็มีเพียง
ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส (Eucalyptus camaldulensis) ชนิดเดียวเท่านั้น ชื่อคามาลดู
เลนซิสนี้ตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2375 เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่านเคาน์แห่งเมืองคามาลโดลีผู้ประสบ
ความสำเร็จในการนำไม้ชนิดนี้จากออสเตรเลียมาปลูกในที่ดินส่วนตัวในประเทศอิตาลี
หลังจากนั้นประเทศต่างๆ ก็ได้ปลูกไม้ยูคาลิปตัสชนิดต่างๆ กันอย่างกว้างขวางจนทำให้
ขณะนี้มเี น้ือที่สวนป่ายคู าลิปตัสท่วั โลกเกอื บ 120 ล้านไร่

ประเทศไทยได้นำไม้ยูคาลิปตัสเข้ามาปลูกครั้งแรกในราวปี พ.ศ. 2444 ในรูปของไม้
ประดับ/ไม้ให้ร่มในบริเวณพระที่นั่งวิมานเมฆ หลังจากนั้นราว 50 กว่าปี ก็ได้มีการทดลอง
ปลูกไม้ยูคาลิปตัสชนิดต่างๆ ภายใต้โครงการสำรวจและพัฒนาวัตถุดิบเพื่อทำเยื่อกระดาษ
ของกรมปา่ ไม้ แตก่ ารปลูกในเชิงพาณชิ ยเ์ พิง่ เริม่ ขน้ึ อยา่ งจรงิ จงั เมอ่ื ประมาณ 20 กว่าปที ีผ่ ่าน
มานี้เอง อันเป็นผลต่อเนื่องมาจากโครงการป่าฟืนชุมชนสำหรับหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการร่วมมือ
กันระหวา่ งกรมป่าไม้และการพลังงานแห่งชาติในชว่ งวิกฤตพิ ลงั งานของโลก

คำว่า “ไม้ยูคา” ที่จะกล่าวถึงต่อไปนี้หมายถึง “ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส” ชนิด
เดยี วเทา่ นัน้

แม้ยูคาจะเป็นไม้อเนกประสงค์ ใบใช้กลั่นน้ำมัน ดอกใช้เลี้ยงผ้ึง เนื้อไม้ใช้ทำฟืน เผา
ถ่าน ทำเสาเข็ม และใช้ประโยชน์ทัว่ ๆ ไปได้เหมอื นกบั ไมอ้ น่ื ๆ แต่บทบาททางเศรษฐกิจที่โดด

เด่นของไม้ชนิดนี้คือการใช้เป็นวัตถุดิบในรูป
ของอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับสำหรับอุตสาห-
กรรมเยือ่ กระดาษและอุตสาหกรรมแผ่นใยไม้
อัดความหนาแน่นปานกลาง (เอ็มดีเอฟ) ซ่ึง
ปัจจุบนั ประเทศไทยต้องการไม้ยูคาในรูปของ
ไม้ท่อนเพื่อป้อนโรงงานอุตสาหกรรมชิ้นไม้
สับราวปีละ 7 ล้านตัน และมีแนวโน้มว่า
ความต้องการดังกล่าวจะเพิ่มสูงขึ้นอย่าง

บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 19

รวดเร็วเกินกวา่ กำลงั ผลิตภายในประเทศที่จะไลต่ ามทัน น่นั หมายความวา่ ในอนาคตอันใกลน้ ี้
ประเทศไทยอาจจะขาดแคลนไมย้ ูคาก็เป็นได้

ใครที่เคยได้ยินและเคยคิดว่ายูคาก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบนิเวศ ยูคาเป็นไม้ที่
ปลูกง่ายตายยากนั้นขอให้ล้มเลิกความคิดดังกล่าวได้แล้ว เพราะกรมป่าไม้ สมาคม
วิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมดินและปุ๋ยแห่ง
ประเทศไทย ไดร้ ว่ มกนั จดั ประชุมสมั มนาเชงิ วิชาการและไดผ้ ลสรปุ วา่ การปลูกยคู าลิปตัสไม่
มผี ลกระทบในทางลบต่อระบบนิเวศ แตเ่ กษตรกรจะปลูกยคู าหรือไมน่ นั้ ปจั จยั สำคัญที่สุดคือ
ราคาไม้ ถ้าขายได้ราคาดีก็ปลูกตัดขายแล้วปลูกใหม่ แต่ถ้าได้ราคาไมด่ ี เมื่อตัดขายแล้วก็จะ
ไม่หวนกลับมาปลูกอีก ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ต้องอาศัยไม้ยูคาเป็นวัตถุดิบจึงต้องให้
ความสำคัญกับสิ่งจูงใจในเรื่องนี้ เพื่อให้ทั้งผู้ผลผลิตและผู้บริโภคไม้ยูคาอยู่ได้ด้วยกันอย่าง
ยงั่ ยนื ทัง้ คู่

การปลกู ยคู าเพือ่ หวังผลตอบแทนในทางเศรษฐกจิ น้นั ไมง่ ่ายอยา่ งทค่ี ิด เพราะจะต้อง
มีการเลือกพื้นที่ปลูกให้ถูกต้องเหมาะสม มีการเตรียมพื้นที่ปลูกและมีการดูแลรักษาอย่าง
ประณตี เชน่ เดยี วกบั การปลกู ปา่ เศรษฐกจิ และการเกษตรสาขาอืน่ มฉิ ะนั้นแลว้ ผลผลิตจะตำ่
ไม่คุ้มค่ากับการรอคอย สวนป่ายคู าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไมแ้ ละของกรมป่าไมท้ ี่เห็น
อยทู่ ัว่ ๆ ไปในขณะนีใ้ ห้ผลผลติ เฉลย่ี ไม่ถงึ หนึ่งตันต่อไร่ต่อปี ซึง่ ถือว่าต่ำมาก

การปลูกไม้ยูคาในรูปของสวนปา่ เศรษฐกจิ ควรจะใหผ้ ลผลิตเฉลยี่ ไมน่ อ้ ยกวา่ 3 ตนั ตอ่
ไร่ต่อปี โดยมีอายุการตัดฟันไม่เกิน 5 ปี ซึ่งนอกจากการเลือกพื้นที่ปลูก การปลูกและการ
จัดการดังกล่าวแล้ว การคัดเลือกสายพันธุ์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ก็
เป็นเรื่องสำคัญ ขณะนี้ผลงานวิจัยของบรษิ ัทใหญ่ๆ อย่างสวนกิตติ (ฉะเชิงเทรา ปราจีนบุร)ี
สยาม ฟอเรสทรี (กาญจนบุรี ราชบุรี เพชรบุรี) และสยามทรีดีวีลอปเมนท์ (ระยอง ชลบุรี)
ต่างกม็ ตี น้ กล้าสายพนั ธุด์ ีส่งเสรมิ ให้เกษตรกรนำไปปลกู กนั อยา่ งแพรห่ ลายพอสมควร

นอกจากจะปลูกในรูปของสวนป่าเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว ยังมีการปลกู เป็นพืชควบใน
ระบบวนเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งปลูกเป็นพืชแทรกในไร่มันสำปะหลงั อีกด้วย แต่รูปแบบ
ยังไมค่ ่อยแพรห่ ลาย ทวา่ ที่น่าสนใจมากรูปแบบหน่งึ ก็คอื การปลูกยคู าบนคันนาในนาขา้ ว ซึ่ง
นอกจากจะทำให้เกษตรกรมรี ายได้จากท่นี าเพิม่ ขนึ้ แลว้ ยงั ช่วยใหผ้ ู้ประกอบการอตุ สาหกรรม
ชิ้นไม้สบั ได้วัตถดุ ิบป้อนโรงงานอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนอีกด้วย รวมทั้งหากปอกเปลือกกอ่ น
ส่งขายให้แก่โรงงาน เปลือก ใบ และกิ่งเล็กๆ ที่ทิ้งไว้ในนาข้าวก็จะผุสลายกลายเป็น
อนิ ทรยี วัตถุใหแ้ ก่ข้าวในนาไปด้วย

20 รวมเรือ่ งสวนป่า

เกษตรกรสามารถปลกู ยคู าบนคันนาได้โดยปลกู เป็นแถวเดีย่ วๆ ให้มีระยะห่างระหวา่ ง
ต้นประมาณ 2-3 เมตร เพื่อเปิดช่องว่างให้ข้าวในนาได้รบั แสงสว่างอยา่ งเต็มที่และเพียงพอ
จึงไม่ควรปลูกทุกๆ คันนา ปลูกเฉพาะ
บนคันนาที่มีระยะหา่ งกนั 30-40 เมตร
ก็พอแล้ว การกระทำดังกล่าวแทบจะ
ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเตรียมพื้นท่ี
ปลูกและการดูแลรักษาเลย เพราะ
ชาวนาจะต้องยกตกแต่งคันนาและ
บำรุงรักษาตน้ ขา้ วอย่แู ลว้ หากคัดเลอื ก
สายพันธุ์ให้เหมาะสมตามคำแนะนำ
สง่ เสรมิ ของหนว่ ยงานที่เก่ยี วข้องกจ็ ะทำให้ได้ไม้ไมน่ อ้ ยกวา่ 3 ตนั ตอ่ ไร่ เม่ืออายุ 5 ปี น่ันคือ
จะสร้างรายไดเ้ สรมิ เปน็ เงนิ ก้อนท่ีเปน็ กอบเป็นกำเปน็ งวดๆ ได้ไม่น้อยทีเดยี ว

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีพื้นที่นาปี 33 ล้านไร่ หากรัฐและเอกชนร่วมกันสนับสนนุ
อย่างจริงจังให้นำเอาพื้นที่นาปีเพียงหนึ่งในสามคือ 11 ล้านไร่ มาปลูกยูคาบนคันนา โดย
กำหนดอายุรอบตดั ฟนั ไว้ที่ 5 ปี ก็จะไดไ้ มป้ ้อนโรงงานปลี ะ 6.6 ล้านตันซึ่งใกลเ้ คียงกับความ
ต้องการไม้ท่อนของอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับทั้งประเทศในปัจจุบันนี้ นั่นคือ คันนาในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือจะช่วยสร้างรายได้เสริมถึงปีละ 6 พันล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมรายได้
จากการสรา้ งงานในชนบทอกี จำนวนมหาศาล

น่ีเปน็ การมองอยา่ งเจียมเน้ือเจยี มตวั เพราะคดิ เพยี งเศษหนง่ึ ส่วนสามของพ้ืนที่นาปใี น
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปลูกบนคันนาที่มีระยะห่างถึง 30-40 เมตร เท่านั้น หากจะทำกัน
จริงๆ จังๆ การปลูกยูคาในนาข้าววันนี้ก็คงจะช่วยแก้ปัญหาความยากจนของชาวนาไทยใน
หกปีข้างหน้าได้แนน่ อน

เร่อื งอยา่ งนี้ “ไม่ลอง ไมร่ ู้” หรอกครับ

3 หลักการ
ตดั สางขยายระยะและการจัดการ
สวนสกั ภายหลังการตัดสางขยายระยะ

นิตยสาร ”ไม่ลองไม่รู้” ฉบับประจำเดือนมกราคม 2547 ได้ลงสกู๊ปพิเศษเรื่อง
“ไม้สกั THINNING : ประโยชน์นำไปใชแ้ ละตลาดรบั ซื้ออยไู่ หน?”

เพื่อให้เกษตรกรผูป้ ลูกสรา้ งสวนป่าไดเ้ ขา้ ใจเร่ือง THINNING มากย่ิงข้นึ และสามารถ
นำไปลองใช้ใหไ้ ด้รู้โดยทัว่ กนั คอลัมน์ “ไมเ้ ศรษฐกิจ” ฉบบั น้ีจึงขอนำเสนอเร่ือง “หลักการ
ตัดสางขยายระยะและการจัดการสวนสักภายหลังการตัดสางขยายระยะ”
การตดั สางขยายระยะคอื อะไร ?

“THINNING” ท่นี ติ ยสารไม่ลองไมร่ ้ฉู บบั ดงั กลา่ วกลา่ วถึงนน้ั ศพั ทท์ างวชิ าการป่าไม้
ของไทยใช้คำวา่ “การตดั สางขยายระยะ”

การตัดสางขยายระยะหมายถึงการตัดต้นไม้ในสวนป่าในช่วงเวลาใดก็ได้ตั้งแต่เร่ิม
ปลกู ไปจนถงึ การตดั ฟนั ครงั้ สุดท้ายเมอ่ื ไม้ถงึ อายุรอบหมุนเวยี นในการตดั ฟัน และการตดั ฟนั
ที่เรียกว่าการตัดสางขยายระยะนั้น ไม้ที่ตัดออกจะต้องเป็นไม้ชนิดเดียวกับไม้ที่ต้องการ
เหลอื ไวต้ ัดฟนั ในการตดั ฟันครงั้ สดุ ทา้ ย หากเป็นคนละชนดิ จะไมเ่ รยี กวา่ เป็นการตดั สางขยาย
ระยะ เช่น การตัดสางขยายระยะสวนสกั จะต้องเป็นการตัดไมส้ กั เท่าน้ัน หากตัดไมช้ นิดอ่ืน
ท่ไี ม่ตอ้ งการออกจะเรียกวา่ การกำจัดวชั พืช และ/หรือการตดั ไม้บำรุงปา่

การตดั สางขยายระยะมักใช้กับสวนป่าท่มี ีอายุรอบหมนุ เวียนในการตดั ฟนั ยาวเท่าน้ัน
ไม่ใช้กับไม้ที่มีรอบหมุนเวียนในการตัดฟันสั้น ดังนั้นในขณะนี้จงึ มักจะได้ยินผู้ประกอบการ
ปลูกป่าภาคเอกชนพูดถึงเรื่องการตัดสางขยายระยะไมส้ ักกันบ่อยมาก แต่แทบจะไม่พูดถึงการ
ตัดสางขยายระยะไมย้ ูคาลปิ ตัสกันเลย

พมิ พ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (31) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)

22 รวมเร่ืองสวนปา่

ทำไมตอ้ งตัดสางขยายระยะ ?
ในการปลูกสร้างสวนปา่ น้ัน ไมว่ ่าจะเป็นไม้ท่ีมอี ายกุ ารตดั ฟนั สนั้ หรอื ยาวตา่ งกป็ ลูกให้

มีระยะค่อนข้างถี่ ในกรณีของไม้ที่มีอายุการตัดฟันสั้นซึ่งมักต้องการไม้ขนาดเล็ก เช่น
ยูคาลิปตัสเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมชิ้นไมส้ ับ ทำฟืนเผาถ่าน หรือทำนั่งร้านในงานก่อสร้าง นนั้
กเ็ พื่อจะได้ผลผลิตต่อไร่สูง แต่ในกรณีของไม้ท่ีมอี ายกุ ารตัดฟนั ยาว เชน่ ไมส้ ักก็เพื่อบีบบังคับ
ให้ต้นไม้เกิดการลิดกิ่งตามธรรมชาติ ทำให้ลำต้นตรงเปลาสูง และมีความเรียวต่ำ ซึ่งเป็น
คุณสมบัติอันพึงประสงค์ของไม้ซุงขนาดใหญ่ แต่การปลูกถี่นั้น เมื่อต้นไม้เจริญเติบโตไปถึง
ระดับหนึ่ง ระบบรากและเรือนยอดก็เริ่มเบียดชิด เกิดการแก่งแย่งน้ำ ธาตุอาหาร และแสง
สว่าง ทำให้ต้นไมท้ ี่มีอายเุ ท่ากนั มีอัตราการเจริญเตบิ โตไม่เทา่ กัน เกิดเป็นไม้ชนั้ เด่น (1) หรอื
ไม้ที่มีชั้นเรือนยอดสูงใหญ่โดดเด่น ไม้ชั้นรอง (2) ไม้ชั้นกลาง (3) และไม้ชั้นล่าง (4) ซึ่ง
อนาคตของไม้ทั้งสี่ชั้นเรือนยอดนั้นแตกต่างกันมาก กล่าวคือ ไม้ชั้นล่างจะถูกเบียดบังและ
ตายไปในท่ีสุด ในขณะทไ่ี มช้ ้นั เด่นจะเจริญเตบิ โตปกคลมุ พื้นท่ีสวนปา่ อย่างกว้างขวาง

เพื่อลดการแก่งแย่งแข่งขันดังกล่าว จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำการตัดสางขยาย
ระยะไม้ในสวนป่าที่มอี ายกุ ารตดั ฟันยาวเช่นไม้สกั

11 224411 3322 1144 224411 33224422 11 22

หรืออาจกล่าวอีกนัยหนงึ่ ได้วา่ เหตุผลทีต่ อ้ งทำการตัดสางขยายระยะไม้สักในสวนป่า
พอสรุปได้ 4 ประการคอื

1. เพื่อลดความหนาแน่นของหมู่ไม้ในสวนป่า ทำให้ต้นไม้ที่เหลืออยู่มีช่องว่างทั้ง
ระหวา่ งเรือนยอดและเรือนรากเพิม่ ข้นึ อันจะมสี ว่ นช่วยเรง่ การเจริญเตบิ โตด้านความโตของ
ลำตน้ และสง่ ผลใหต้ น้ ไมโ้ ตถงึ ขนาดตัดฟนั ได้เรว็ ขนึ้

2. เพอ่ื กำจดั ตน้ ไมท้ ถ่ี ูกแมลง โรค รา ทำลาย จนยืนตน้ ตายหรอื กำลงั จะตาย ทำให้
หมไู่ ม้ทเี่ หลืออยเู่ ปน็ ต้นไมท้ ม่ี สี ขุ ภาพแข็งแรง ปราศจากแหลง่ เพาะโรค รา แมลงต่างๆ

3. เพื่อกำจัดต้นไมท้ ่ีมีลำต้นคดงอ มีลักษณะไมพ่ ึงประสงค์ เหลือเพียงตน้ ทีม่ ีรูปทรง
ตรงเปลาสวยงาม อันเปน็ หลักประกันดา้ นคุณภาพของหมูไ่ มเ้ มื่อถึงอายกุ ารตัดฟนั

บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 23

4. เพื่อให้ได้รับผลการตอบแทนด้านการเงินกลับคืนมาก่อนเวลาอันควรแม้จะเป็น
เพียงผลพลอยได้ท่ีมาจากการขายไมต้ ดั สางขยายระยะกต็ าม

จะตัดสางขยายระยะเมื่อใด ?

เจา้ ของหรอื ผู้จดั การสวนสักต้องไมล่ ืมว่าวตั ถปุ ระสงค์หลกั ของการตัดสางขยายระยะ
คือการเร่งการเจริญเติบโตของต้นสักที่เหลืออยู่ ไม้สักที่ตัดสางออกมาหากสามารถนำไป
จำหน่ายหรือใช้ประโยชน์ได้ถือว่าเป็นผลพลอยได้ หากไม่สามารถนำไปจำหน่ายหรือใช้
ประโยชน์ได้ แต่ต้นไม้เบียดแน่นแก่งแย่งแข่งขันกันมากแล้ว ก็จะต้องทำการตัดสางขยาย
ระยะ โดยต้องไม่เสียดายไม้ที่ต้องตัดสางทิ้งไป เพราะตัดสางเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของ
ตน้ ไมท้ เี่ หลืออยู่

ดงั น้นั หากถามวา่ จะตัดสางขยายระยะเม่ือใด ? คำตอบกค็ อื เมอื่ อัตราการเจิญเติบโต
ของหมไู่ ม้ในสวนปา่ เร่มิ ลดลงอนั เนอ่ื งมาจากการเบียดแน่นแกง่ แยง่ แข่งขนั กนั เอง

นั่นก็หมายความว่าเจ้าของหรือผู้จัดการสวนสักจะต้องติดตามหรือมีข้อมูลการ
เจริญเติบโตของไม้สักในสวนที่มีอายุต่างๆกันตั้งแต่เริ่มปลูกเป็นต้นไป โดยปกติการ
เจริญเติบโตของต้นไม้จะเป็นรูปตวั S หรือที่เรียกว่า S-curve หรือ Sigmoid curve โดยใน
ระยะแรกๆ ต้นไม้จะโตช้า เพราะต้องพยายามปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ของ
พื้นที่ปลูก เมื่อตั้งหลักได้แล้วจึงเป็นระยะที่เจริญเติบโตได้รวดเร็วมาก จากนั้นอัตราการ
เจรญิ เตบิ โตจะเร่ิมลดลงเพราะเรือนยอดเริม่ เบียดแนน่ และมกี ารแกง่ แย่งแขง่ ขันเกิดขึ้น การ
ตัดสางขยายระยะคร้ังแรกจะตอ้ งทำ ณ จุดน้ี

หลังจากนั้นอัตราการเจริญเติบโตจะเพิ่มขึ้นอีกระยะหนึ่ง เมื่ออัตราการเจริญเติบโต
เริ่มลดลงก็จะต้องทำการตัดสางขยายระยะครั้งที่สอง และครั้งต่อๆ ไปอีก จนเหลือจำนวน
ต้นไม้ตอ่ ไรใ่ นปรมิ าณท่ีเหมาะสม

24 รวมเร่อื งสวนปา่

สวนสักในรัฐเคอราล่า ประเทศอินเดียปลกู 480 ต้นต่อไร่ ทำการตดั สางขยายระยะ 6
ครง้ั กอ่ นการตดั ฟนั ครงั้ สดุ ท้ายเม่อื อายุ 70 ปี โดยเม่อื ถงึ อายกุ ารตดั ฟันมีไมส้ กั เหลอื อยเู่ พียง
17 ต้นตอ่ ไรเ่ ทา่ นัน้

สวนสักในประเทศไทยส่วนใหญ่ปลูก 100-200 ต้นต่อไร่ โดยมีระยะปลูกตั้งแต่ 2x4
เมตร 3x3 เมตร 3x4 เมตร ไปจนถึง 4x4 เมตร ซึ่งจะปลูกกี่ต้นต่อไร่ หรือจะตัดสางขยาย
ระยะกีค่ รงั้ กต็ าม แตเ่ มอื่ ถึงอายกุ ารตดั ฟันจะมีไมส้ กั เหลืออยู่ 16-25 ต้นต่อไร่

องค์การอตุ สาหกรรมปา่ ไม้ ผนู้ ำดา้ นการปลกู สวนสักเศรษฐกิจของไทยได้กำหนดให้
มีการตัดสางขยายระยะไม้สักในสวนป่า 3 ครั้ง คือเมื่ออายุ 10, 15 และ 22 ปี สำหรับสวน
สกั ทีด่ นิ ดี และเม่ืออายุ 10, 20, และ 30 ปีสำหรบั สวนสกั ทด่ี นิ ไม่ดี ทง้ั น้โี ดยกำหนดอายุรอบ
หมนุ เวียนในการตดั ฟนั ไมส้ ักดงั กล่าวไวท้ อ่ี ายุ 30 และ 40 ปีตามลำดับ

จะตดั สางขยายระยะอย่างไร ?

ในการตัดสางขยายระยะเพื่อเร่งการเจริญเติบโตของไม้ดีที่เหลืออยู่นั้น มีวิธีการให้
เลือกปฏิบัติได้ 4 วิธี ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุของต้นไม้ในสวนป่าและความต้องการของเจ้าของ
สวนป่า คือ

1. การตัดไม้ขนาดเล็กออก โดยมุ่งตัด
ไม้ชั้นล่าง (4) ออกทั้งหมด เหลือไว้แต่ไม้ดีๆ ที่มี
ขนาดตั้งแต่ไม้ชั้นกลาง (3) ขึ้นไป เพราะไม้ชั้น
ล่างถูกเบียดบัง ปล่อยทิ้งไว้ก็แทบจะมองไม่เหน็
อนาคตดา้ นการใชป้ ระโยชน์ไม้

2. การตดั ไม้ขนาดใหญอ่ อก ทำการตัด
ไม้ท่ีมีเรือนยอดเด่น (1) และไมช้ ้นั รอง (2) ออก เหลือไมข้ นาดเลก็ และขนาดกลางทีม่ รี ปู ทรง
ดีไว้ วิธีน้ีมกั จะใช้ในกรณที ี่ตลาดต้องการไมท้ ี่ตัดออก เพราะมีขนาดใหญ่พอสมควร อันเป็น
การสรา้ งรายได้ใหแ้ กเ่ จ้าของสวนป่ากอ่ นเวลาอนั ควร

3. การตัดไม้ขนาดกลางออก เป็นการตัดไม้ชั้นกลาง (3) และไม้ชั้นรอง (2) ออก
เพือ่ เปดิ ช่องวา่ งเรง่ การเจรญิ เตบิ โตให้แกไ่ มช้ น้ั เดน่ และไมช้ นั้ ลา่ งทมี่ ลี ักษณะดี

4. การตัดแถวเว้นแถว หรือตัดต้นเว้นต้น เป็นการตัดสางขยายระยะที่ไม่ได้
พิจารณาถึงขนาดความใหญ่/เล็ก หรือ เด่น/ด้อย ของชั้นเรือนยอด แต่พิจารณาระยะปลูก

บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 25

เป็นสำคัญ ซึ่งมักใช้กับการตัดสางขยายระยะครั้งแรก เช่น จากระยะปลูกเดิม 2x4 เมตร
ระยะท่ไี ด้ภายหลงั การตดั สางขยายระยะคร้ังแรกจะกลายเป็น 4x4 เมตร เป็นต้น

จะจดั การสวนสกั ภายหลังการตัดสางขยายระยะอย่างไร ?

การจัดการสวนสักภายหลังการตัดสางขยายระยะขึ้นอยูก่ ับวิธกี ารตัดสางขยายระยะ
ความหนักเบาของการตัดสางขยายระยะ อายุของต้นไม้ในสวนป่า และความต้องการของ
เจ้าของสวน การจัดการที่น่าจะนำมาพิจารณาได้แก่ (1) การปลูกพืชควบ และ (2) การ
จัดการหนอ่ ท่ีแตกจากตอ

หากการตัดสางขยายระยะคร้ังแรกใช้วิธีการตัดไม้ขนาดเลก็ ออก ช่องว่างทีเ่ กิดข้นึ คง
ไมม่ ากนกั ตอที่เหลืออยู่ก็คงไม่แขง็ แรงพอ จึงแทบจะทำอะไรไมไ่ ด้ หากระยะปลกู 4x4 เมตร
ทำการตัดสางขยายระยะโดยวิธีตัดสองแถวเว้นสองแถว ช่องว่างที่เกิดขึ้นมีขนาดกว้าง
พอสมควร อาจจะบำรุงรักษาหน่อที่แตกจากตอที่มีขนาดใหญ่และแข็งแรงโดยการตัดสาง
หน่อใหเ้ หลอื เพียงตอละหน่อ เพอ่ื ใหเ้ กิดเป็นหม่ไู ม้ร่นุ สองขนึ้ มาควบคู่กบั ไม้รุ่นแรกท่ีปลูกข้ึน
ก็ได้ หรือจะปลูกพืชเศรษฐกิจที่ค่อนข้างทนร่มแทรกก็ได้ ชนิดของพืชแทรกในสวนสัก

26 รวมเร่ืองสวนปา่

ภายหลงั การตดั สางขยายระยะนอกจากจะต้องเป็นพืชทนร่มและขนึ้ อยู่กบั ความต้องการของ
เจ้าของสวนแลว้ ยงั ตอ้ งข้นึ อย่กู บั สภาพแวดล้อมของพื้นท่ีอกี ดว้ ย

สวนสักทางภาคใต้ที่มีฝนตกชุกอาจจะปลูกกาแฟเป็นพืชควบหลังการตัดสางขยาย
ระยะครั้งแรก ปลูกหวายเป็นพืชควบหลังการตัดสางขยายระยะคร้งั ทสี่ อง เพ่ือจะได้ตัดหวาย
ขายพร้อมกบั การทำไมอ้ อกเมื่อไม้สักอายุครบ 30 ปี แต่ในภาคเหนือซง่ึ เปน็ ถน่ิ กำเนิดของไม้
สักนั้น ฝนตกน้อย หน้าแล้งอากาศร้อน แห้งแล้ง พืชควบอาจเป็นผักหวาน เพกา ไผ่ไร่
ไผ่รวก หรืออาจทำการเลี้ยงวัวในสวนสักก็ได้ เพราะวัวนอกจากจะทำรายได้เสรมิ ให้แล้ว ยัง
ชว่ ยกำจัดวชั พืช/เชือ้ เพลงิ และปอ้ งกันไฟป่าไดเ้ ปน็ อยา่ งดีอีกดว้ ย

4 จะปลกู ปา่ เป็นอาชพี

หรอื ปลกู ปา่ เพื่อหารายไดเ้ สริม ?

เมื่อพูดถงึ คำวา่ “ปลูกป่า” หลายคนจะตัง้ คำถามวา่ “ป่าปลกู ได้หรือ? ถ้าปลูกสร้าง
ขึ้นมาไม่น่าจะเรียกว่าป่า เพราะป่าต้องเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หมู่ไม้ทีเ่ กิดจากการปลูกไม่
น่าจะเรยี กว่าป่า……..”

โดยข้อเท็จจริงตามหลักวิชาการป่าไม้หรือ “วนศาสตร์” แล้ว เราสามารถแบ่งป่า
ออกเป็นประเภทตา่ งๆ ได้หลายอย่าง เช่น แบ่งตามชนิดไม้สำคญั ๆ ที่เป็นองค์ประกอบหลัก
ออกเป็น ป่าเตง็ รัง ป่าดิบชื้น ป่าดิบเขา ฯลฯ แบ่งตามทำเลที่ตัง้ โดยยดึ เอาชายฝั่งทะเลเปน็
เกณฑ์ออกเป็นป่าบก ป่าชายเลน แบ่งตามความเป็นเจ้าของออกเป็นป่าของรัฐ ป่าเอกชน
ป่าชมุ ชน ฯลฯ

แต่ถ้าจะแบง่ ป่าออกตามการเกิดหรือจุดกำเนิดกส็ ามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ
ได้ 2 ประเภท คือ (1) ป่าธรรมชาติ และ (2) ป่าปลกู

ป่าธรรมชาตนิ ั้นเป็นป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ อาจจะเกิดจากเมล็ดหรือโดยการ
แตกหนอ่ จากต้นตอเดมิ กไ็ ด้ แต่สว่ นใหญแ่ ลว้ จะมาจากเมล็ด มนษุ ย์อาจจะมีส่วนชว่ ยสง่ เสรมิ
ให้เกิดป่าธรรมชาติขึ้นมาได้บ้าง แต่การส่งเสริมนั้นจะต้องไม่เป็นการนำเมล็ดไปปลูกหรือ
หว่าน ทำได้เพียงการเตรียมพืน้ ท่เี พื่อรองรบั การรว่ งหล่นของเมล็ดเทา่ นนั้ เช่นเมล็ดสนทะเล
ซึ่งมีขนาดเล็กมาก เมล็ดหนึ่งกิโลกรัมมีตั้งแปดแสนเมล็ด หากปล่อยให้ร่วงหล่นตาม
ธรรมชาติ เมล็ดส่วนหนึ่งอาจจะตกอยู่บนตอไม้ใบหญ้า ไม่สัมผัสกับดินโดยตรง เป็นผลให้มี
อตั ราการงอกตำ่ การชว่ ยเหลอื ของมนุษยใ์ นส่วนนก้ี ็คือการเตรียมพนื้ ทีโ่ ดยการไถพรวนหรือ
กำจดั วชั พชื และส่งิ กดี ขวางต่างๆ เพือ่ รองรับการร่วงหลน่ ของเมลด็ ก่อนฤดูกาลร่วงหล่นของ
เมล็ดเลก็ นอ้ ย

พิมพ์ครั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (32) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)

28 รวมเรือ่ งสวนปา่

ผู้ที่เดินทางผ่านป่าสนเขา (สนสองใบ สนสามใบ) แถวบา้ นวัดจันทร์ ห้วยนำ้ ดงั บ่อหลวง
แม่สะรียง ฯลฯ จะสังเกตเหน็ กล้าไม้สนขึน้ อยู่หนาแน่นตามไหล่ทางท่ีเพิง่ ผา่ นการซ่อมแซม
ไหล่ถนนไปได้ไม่นาน การเกรดทาง บูรณะถนนก็เป็นเสมือนหน่ึงการเตรียมพืน้ ที่เพื่อรองรับ
การร่วงหล่นของเมล็ดสน อันจะช่วยให้การสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้สนดำเนินไปได้ดี
ย่งิ ข้ึน หรอื อาจพูดอกี นยั หนึง่ ว่าชว่ ยใหไ้ ดป้ ่าสนธรรมชาติรุ่นใหม่ท่ีหนาแนน่ สมบูรณ์

ในกรณีของป่าปลูกนั้น ป่าที่ได้เราไม่เรียกว่าป่าธรรมชาติ แต่เรียกว่า “สวนป่า”
ดังนั้น สวนป่าจึงหมายถึงที่ดินอันประกอบด้วยพันธุ์ไม้ป่าที่มนุษย์ได้ปลกู สร้างขึ้นมาอย่างมี
ระบบแบบแผนและมีวัตถุประสงค์ทช่ี ดั เจน

วัตถุประสงค์หลักของการปลูกสร้างสวนป่ามี 3 ประการ คือ (1) เพื่อให้ได้มาซ่ึง
ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ เรียกว่า “สวนป่าเศรษฐกิจ” (2) เพื่อป้องกันภัยธรรมชาติและ
รักษาไว้ซึ่งสมดุลย์ของระบบนิเวศ เรียกว่า “สวนป่าอนุรักษ์” และ (3) เพื่อการพักผ่อน
หย่อนใจ เรยี กวา่ “สวนป่านนั ทนาการ”

ในท่ีนีจ้ ะกล่าวถึงเฉพาะสวนป่าเศรษฐกิจแต่เพียงอยา่ งเดียว

แม้ว่าเนื้อไม้จะเป็นผลตอบแทนหลักที่ได้จากสวนป่าเศรษฐกิจก็ตาม แต่การปลูกไผ่บง
ใหญ่เพื่อขายหน่อไม้ การปลูกไม้สนคาริเบียเพื่อเก็บเมล็ดขาย หรือการปลูกยูคาลิปตัสเพื่อ
เล้ยี งผ้ึงเพอ่ื ขายนำ้ ผงึ้ กถ็ อื ว่าเปน็ สวนปา่ เศรษฐกิจดว้ ยเชน่ กัน

ขอ้ สำคัญอยูท่ ่ีว่าเปน็ เศรษฐกิจหลัก หรือเศรษฐกจิ รอง สวนปา่ ทปี่ ลกู จะยึดเป็นอาชีพ
หลักได้หรือไม่ หรือเปน็ เพียงแหล่งรายได้เสรมิ ให้แก่ครอบครัวอีกทางหนงึ่ เทา่ น้นั

คำตอบขึน้ อยู่กับชนิดไม้ทป่ี ลูก ขนาดของสวนป่า และรูปแบบการปลกู

ชนิดไม้ที่ปลูกมีทั้งไม้โตช้าและไม้โต
เร็ว หรือถา้ จะเรยี กใหถ้ ูกต้องจริงๆ ก็ควรจะ
เรียกว่าไม้ที่มีอายุรอบหมุนเวียนในการตัด
ฟันยาวและไม้ที่มีอายุรอบหมุนเวียนในการ
ตัดฟันสั้น เพราะไม้บางชนิดโตเร็วแต่มีอายุ
รอบหมุนเวียนในการตัดฟันยาว เช่นไม้สัก
ซึ่งมีอัตราการเจรญิ เติบโตไม่แตกต่างไปจากไม้ยูคาลิปตัส แต่อายุรอบหมุนเวียนในการตัด
ฟันไม้สักยาวกว่าไม้ยูคาลิปตัสราว 5-6 เทา่ คือตัดฟนั เม่อื อายุ 30 ปี สำหรบั ไม้สัก และ 5-6
ปี สำหรบั ไมย้ คู าลปิ ตสั

บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 29

ขนาดของสวนป่าก็เป็นปัจจัยสำคัญ การปลูกและการจัดการสวนป่าเพื่อให้ได้
ผลตอบแทนรายปีเทา่ เทียมสมำ่ เสมอกนั ทุกปีตามหลักวชิ าวนศาสตร์นั้น เจา้ ของสวนจะต้อง
แบ่งที่ดินเพื่อดำเนินการปลูกและตัดฟันออกเป็นแปลงๆ ให้มีจำนวนแปลงเท่ากับอายุรอบ
หมุนเวียนในการตดั ฟันของชนิดไมท้ ่ีปลูก เกษตรกรรายย่อยซ่ึงมีทีด่ ินน้อย มีทุนรอนจำกดั ก็
ยากท่จี ะยดึ เอาการปลูกสร้างสวนป่าเปน็ อาชีพได้ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งการปลูกไม้ที่มีอายุรอบ
หมุนเวียนในการตัดฟันยาว เพราะต้องรอคอยนานปี ปีหนึ่งๆ ก็ทำไม้ออกมาขายได้ไม่มาก
นักเพราะข้อจำกดั ดา้ นขนาดของแปลงตัดฟัน ทำได้เพยี งปลูกปา่ เป็นอาชพี เสรมิ เท่านัน้

รูปแบบในการปลูกที่เห็นได้เด่นชัดคือปลูกสวนป่าเชิงเดี่ยวโดยใช้ไม้ชนิดเดียวล้วนๆ
ปลูกเป็นสวนป่าผสมโดยมีไม้ป่าตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปปลูกคละกัน หรือปลูกในระบบ
วนเกษตรซึ่งมีไม้ป่าเป็นองค์ประกอบหลักและมีพืชกสิกรรมหรือหญ้าอาหารสัต ว์เป็นพืช
แทรก สวนป่าเชิงเดี่ยวของไม้ที่มีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันยาวน่าจะเป็นเพียงแหล่ง
รายได้เสริมมากกว่าแหล่งรายได้
หลักเหมือนสวนป่าเชิงเดี่ยวของ
ไม้ที่มีรอบหมุนเวียนในการตัดฟัน
สั้นหรือสวนป่าผสม การปลูก
สร้างสวนปา่ ในระบบวนเกษตรทำ
ให้เกษตรกรมีรายได้ช่วงแรกๆ
จากพืชควบ จึงนา่ ยดึ เปน็ อาชีพได้
มากกว่าการปลูกสร้างสวนป่า
เชิงเดย่ี วหรือสวนปา่ ผสม

ยูคาลิปตัสเป็นไม้โตเร็วท่ีมีอายรุ อบหมุนเวียนในการตัดฟนั สัน้ สามารถตัดฟันไม้ออก
ขายให้โรงงานอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับได้ภายในเวลาไม่เกิน 5 ปี ได้ไม้ 12-15 ตันต่อไร่ ราคา
ซื้อขายหน้าโรงงานในขณะนี้ตันละประมาณ 900-1,200 บาท เกษตรกรควรจะมีรายไดส้ ทุ ธิ
ไมน่ ้อยกว่าครอบครวั ละ 30,000 บาทตอ่ เดือนจึงจะมีชีวิตความเปน็ อยทู่ ีด่ แี ละสามารถส่งลกู
ให้เรยี นหนงั สอื ในระดบั อดุ มศึกษาได้

หากยึดเอาหลักการข้างต้นเป็นเกณฑ์ เกษตรกรที่คิดจะปลูกป่าเป็นอาชีพจะต้องมี
ที่ดนิ ทำกินประมาณ 180-200 ไร่ เพ่อื แบ่งปลกู และตดั ฟันไม้ยูคาลปิ ตัสโดยใชร้ อบหมุนเวียน
ในการตัดฟัน 5 ปๆี ละ 36-40 ไร่

30 รวมเร่ืองสวนป่า

แต่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่มีที่ดินทำกินเพียงครอบครัวละ 20-30 ไร่ หากจะนำมา
ปลูกป่าตามหลักเกณฑ์ดังกล่าว จะมีรายได้สุทธิเพียงเดือนละ 3,000-5,000 บาท ต่อ
ครอบครวั เทา่ นนั้ ซ่ึงไม่น่าจะยึดเปน็ อาชพี หลักให้มีชีวิตความเป็นอยู่และอนาคตท่ีดีได้แม้จะ
มีการปลูกพืชแทรกตามหลักวนเกษตรก็ตาม

ดังนั้น เกษตรกรรายย่อยซึ่งมีที่ดินทำกินน้อยก็ควรจะยึดอาชีพการเกษตร ปลูกข้าว
พืชไร่ ไม้ผล ตามศกั ยภาพของความเหมาะสมของท่ีดนิ และความต้องการของตลาดเป็นหลัก
แต่การปลูกพืชกสิกรรมอย่างเดียว เกษตรกรมักตกเป็นเหยื่อของพ่อค้าคนกลาง และจน
ซำ้ ซากปีแล้วปีเล่า

ถงึ เวลาแล้วทเ่ี กษตรกรจะต้องใช้ประโยชนท์ ่ีดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยปลูกไม้ป่า
ยืนต้นตามศักยภาพความเหมาะสมของที่ดินและตามความต้องการของตลาด แทรกตามหัว
ไร่ปลายนาในแปลงพืชกสิกรรม หรือตามแนวคันนาในนาข้าวในระดับความหนาแน่นที่ไม่
ก่อให้เกิดผลกระทบต่อผลผลิตของพชื หลัก ไม้ป่าเหล่านี้จะเป็นแหล่งรายได้เสริมที่เป็นกอบ
เป็นกำให้แก่เกษตรกรรายย่อยได้ไม่น้อยเลย เพียงแต่หลายๆปีจึงจะได้สักครั้ง ไม่ได้ทุกปี
เหมือนกบั การปลกู ปา่ เปน็ อาชพี หลัก

เรื่องอย่างน้ี “ไม่ลอง ไมร่ ”ู้ หรอกครบั

5 การเผาถ่าน
ท่ีไดย้ งิ่ กวา่ ถ่าน ทดี่ อยอ่างขาง

เมื่อวันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้
เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานในพิธีเปิด “ศูนย์สาธิตการใช้ไม้สมพรสหวัฒน์”
ณ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จงั หวัดเชียงใหม่

ศูนย์สาธิตการใช้ไมฯ้ แห่งนี้เป็นอาคารคอนกรีตเสรมิ เหล็ก ชั้นเดียว ขนาด 12 x 40
ตารางเมตร จัดสร้างข้นึ จากเงินบริจาคของนายสมพร สหวฒั น์ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท
วนชัย จำกัด (มหาชน) โดยเมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2546 คุณสมพร สหวัฒน์ได้ทูลเกล้าฯ
ถวายเงินจำนวน 5 ล้านบาทใหม้ ลู นธิ ิโครงการหลวงจดั สร้างอาคารและจัดซ้ือครุภณั ฑ์ประจำ
อาคารเพื่อการแปรรูปไมแ้ ละใชป้ ระโยชนไ์ มจ้ ากสวนป่าสถานเี กษตรหลวงอ่างขาง

การปลูกสร้างสวนป่าของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง มูลนิธิโครงการหลวง ได้เริ่มขึ้น
เมื่อปี พ.ศ. 2525 โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง คณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั แห่งชาติไตห้ วนั สถาบนั วจิ ยั ป่าไม้
แห่งไต้หวัน โดยการนำพรรณไม้ต่างถิ่นและไม้ไผ่ชนิดต่างๆ กว่า 40 ชนิดจากไต้หวัน จีน
และญี่ปุ่น มาทดลองปลูกที่ดอยอ่างขาง ซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร
อากาศหนาวเย็นตลอดปี โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อการศึกษา วิจัย สาธิต และฝึกอบรม
ดา้ นการปลกู สรา้ งสวนป่าและการใช้ประโยชนไ์ ม้ต่างถ่ินในระดบั ชุมชน ชนบท

ผลการศึกษาพบว่าพรรณไม้ป่าและไม้ไผ่ต่างถิ่นที่เจริญเติบโตได้ดีที่ดอยอ่างขาง
ได้แก่ ไม้เพาโลว์เนีย เมเปิลหอม การบูร จันทร์ทอง กระถินดอย สนหนาม ไผ่หวานอ่างขาง
(ไผห่ มาจู๋) ไผห่ ยก (ไผล่ ่ีจู๋) ไผ่มากนิ หนอ่ ย ไผล่ ิตโตเฟยี ไผแ่ บมบูซอยเดส ไผ่ดำ และไผเ่ หลี่ยม
ส่วนไมไ้ ผพ่ นื้ เมอื งของไทยทเ่ี จริญเติบโตดีมีสองชนดิ คอื ไผห่ กและไผ่บงใหญ่

พมิ พ์ครง้ั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (33) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)

32 รวมเรือ่ งสวนปา่

จากผลการทดลองดังกล่าว มูลนธิ โิ ครงการหลวงได้ส่งเสริมให้เกษตรกรตามศูนย์และ
สถานีต่างๆ ของมูลนิธิโครงการหลวงในท้องที่จงั หวัดเชยี งใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา และ
แม่ฮ่องสอน ปลกู ไมเ้ หลา่ น้ไี วใ้ ชส้ อยภายใตก้ ารสนับสนนุ ของโครงการป่าชาวบา้ นในพระบรม
ราชูปถัมภข์ องสมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี

ในส่วนของสวนป่าที่ดอยอ่างขางก็มีการศึกษา วิจัย และจัดการตามหลักวิชา
วนวัฒนวิทยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ การลิดกิ่งและการตัดสางขยายระยะ เพื่อปรับปรุง
คุณภาพและเร่งการเจริญเตบิ โตของหมูไ่ มท้ ี่เหลืออยู่ สว่ นไมข้ นาดเลก็ รวมทัง้ เศษไม้ปลายไม้
ที่ได้ก่อนถึงอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันดังกล่าว ทางโครงการฯ ก็ได้พยายามศึกษาหา
ลู่ทางในการนำไปใช้ประโยชน์ในรูปแบบต่างๆ โดยในอดีตได้นำกิ่งไม้เลก็ ๆ ขนาดแท่งดินสอ
และด้ามปากกามามัดรวมกันแล้วใชเ้ พาะเห็ดหอมได้ผลดมี าก

แต่ศนู ยส์ าธิตการใช้ไม้สมพรสหวัฒน์ที่สรา้ งขึน้ ใหม่น้ีสามารถนำไม้ขนาดเล็กที่ได้จาก
การลิดกิ่งและการตัดสางขยายระยะมาใช้ประโยชน์ได้ยิ่งกว่าการใช้เพาะเห็ดหอม เพราะ
ศูนย์ไม้แห่งนี้ประกอบด้วยห้องแปรรูปไม้ท่อนและไม้ไผ่พร้อมเครื่องจักรกล ห้องทดสอบ
ผลิตภณั ฑ์ หอ้ งเก็บผลิตภณั ฑ์ ห้องอบไม้ และเตาเผาถ่านไทย-อวิ าเตะ พรอ้ มระบบควบแน่น
เพอ่ื ผลิตน้ำสม้ ควนั ไม้

ดงั นัน้ ศูนยส์ าธิตการใช้ไมส้ มพรสหวัฒน์ จึงสามารถผลติ ผลิตภัณฑ์ไมข้ นาดย่อมตา่ งๆ
เพื่อการใช้ประโยชน์ อาทิ ไม้แปรรูปเพื่อใช้ในงานก่อสร้างทั่วไป ไม้ซึ่งผ่านกรรมวิธีทาง

วิศวกรรมเพื่อใช้ในโรงหัตถกรรมไม้
ของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ถ่าน
ก้อนและถ่านอัดแท่งเพื่อใช้เป็นแหล่ง
พลังงานในการหุงต้ม ปิ้งย่าง ดูดซับ
ก๊าซ กลิ่น สี ของที่ระลึกจากถ่าน
รวมท้ังน้ำสม้ ควนั ไม้ (wood vinegar)
และนำ้ มนั ดินไม้ เพอ่ื ใช้ในโครงการผัก
อินทรีย์ของมูลนิธิโครงการหลวง และ
ผลติ ผลติ ภัณฑ์ท่มี มี ูลคา่ เพิ่มตอ่ ไป

จุดเด่นของ “การเผาถ่านที่ได้ยิ่งกว่าถ่านที่ดอยอ่างขาง” ของศูนย์สาธิตการใช้ไม้
สมพรสหวฒั นก์ ค็ อื การกอ่ สร้างเตาเผาถา่ นไทย-อวิ าเตะ ขนาด 12 ลูกบาศกเ์ มตร 2 เตา ให้
ห่างกันประมาณ 4 เมตร โดยให้เตาท้ังสองอย่ใู นห้องกำแพงอฐิ มอญอีกชนั้ หนึง่ เพ่ือใช้ความ

บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 33

ร้อนที่ได้จากการเผาถา่ นสำหรับอบไม้ ส่วนควันจากเตาเผาถ่านกบ็ ังคบั ให้ควบแน่นเป็นหยด
น้ำกลายเป็นน้ำส้มควนั ไม้ หรือ wood vinegar

เตาเผาถ่านขนาด 12 ลูกบาศก์เมตรทั้งสองเตาเผาถ่านได้เดือนละ 2-3 ครั้ง จุไม้เตาละ
6 ตนั ไดถ้ ่านจากการเผาครง้ั หนึ่งๆ ประมาณ 1.5 ตนั ไดน้ ้ำสม้ ควนั ไมป้ ระมาณ 400 ลติ ร ราคา

ซื้อขายถ่านกิโลกรัมละ 5 บาท น้ำส้ม
ควันไม้ลิตรละ 80-120 บาท รายได้ใน
เบื้องต้นจากน้ำส้มควันไม้จึงสูงกว่าจาก
ถ่านไม้ราว 4-6 เท่า ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า
เปน็ การเผาถ่านทีไ่ ดย้ ่งิ กว่าถ่าน

น้ำส้มควันไม้เป็นผลพลอยได้
จากการเผาถ่านภายใต้การควบคุมโดย
การควบแน่น เป็นของเหลวสีน้ำตาลใส
มีกล่นิ ควนั ไม้ มสี ารประกอบต่างๆ มากกวา่ 200 ชนิด เช่น กรดอนิ ทรียแ์ ละแอลกอฮอล์ชนดิ
ต่างๆ ที่ได้จากการสลายตัวของเซลลูโลส เฮมิเซลลูโลส และลิกนิน มีค่า pH (ค่าความเป็น
กรดเป็นด่าง) อยู่ระหว่าง 1.5-3.7 ค่าความถ่วงจำเพาะสูงกว่า 1.005 ใส และไม่มีสาร
แขวนลอย ใช้เป็นสารปรับปรุงดิน กำจัดวัชพืชและศัตรูพืช เร่งการเจริญเติบโตของพืช
ป้องกันรักษาเนื้อไม้จากการทำลายของเชื้อราและแมลง ใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ผลิต
สารดบั กล่ินตวั สารปรับผวิ นมุ่ ยารักษาโรคผวิ หนัง อุตสาหกรรมยอ้ มผ้า อตุ สาหกรรมอาหาร
รมควัน และใชผ้ ลติ สารชว่ ยยอ่ ย ฯลฯ ซง่ึ ญี่ปุ่นและเกาหลมี ีการใชก้ ันแพร่หลายมานานแลว้

ในส่วนของถ่านไม้เอง คนไทยส่วนใหญ่รู้จักถ่านในฐานะผู้ให้พลังงานเพื่อการหุงต้ม
เท่าน้ัน แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นเห็นคุณค่าอันมหาศาลของถ่านไม้และไม้ไผ่ จน
สถาบันชีวิตมนุษย์แห่งกรุงโตเกียวมีแผนจะลงทุนปลูกไผ่เพื่อผลิตถ่านไม้ไผ่ในประเทศไทย
เพือ่ การส่งออก

ถ่านเป็นผลผลิตจากการสลายตัวไม้ด้วยความร้อน ซึ่งมีคุณสมบัตแิ ตกต่างกันไปตาม
ชนดิ ไมซ้ ่ึงเปน็ วตั ถุดิบและระดับความร้อนในการเผา โดยสามารถจำแนกถา่ นออกได้ 2 ชนิด
คือถ่านดำและถ่านขาว คนไทยยังรูจ้ ักถ่านขาวกันน้อยมาก ความจริงไม่ได้มีสีขาวดังชือ่ แต่
เป็นถ่านที่เผาด้วยความร้อนที่สูงกว่าปกติ เมื่ออุณหภูมิขึ้นสูงถึง 1,100 องศาเซลเซียส แล้ว
ตอ้ งดับทนั ที

34 รวมเรื่องสวนป่า

ไม้ไผ่ให้ถ่านขาวที่มีชื่อเสียงมาก
กระดิ่งถ่านขาวจากกระบอกไม้ไผ่ให้เสียง
ใสก้อง กังวาล ถ่านขาวใช้ทำน้ำแร่ ดดู ซับ
กลิ่นและอินทรียสารต่างๆ ที่ปนเปื้อนมา
กับน้ำ แร่ธาตุต่างๆ ในถ่านเมื่อละลาย
ออกมาจะชว่ ยเพิ่มรสชาติและคณุ ภาพของ
น้ำ เมื่อนำมาชงน้ำชา กาแฟ หรือปรุง
อาหาร และผสมเหล้าจะได้รสชาติที่นุ่ม
ละมุน เมื่อวางบนข้าวสุกที่อยู่ในภาชนะจะทำให้ข้าวและอาหารมีรสชาติดียิ่งขึ้น ใช้ทำน้ำ
ร้อนสำหรับอาบท่มี คี ณุ ภาพใกล้เคียงกับนำ้ พรุ ้อน

ส่วนถ่านดำนอกจากจะใชเ้ ป็นเชอ้ื เพลงิ เพ่ือการหุงต้มดงั ทีท่ ราบกันดีอยแู่ ล้วนั้น ยังใช้
ประโยชน์ในภาคอตุ สาหกรรมต่างๆ เช่น อุตสาหกรรมเคมี อุตสาหกรรมโลหะ อุตสาหกรรม
ปนู ซเี มนต์ อตุ สาหกรรมผลิตฉนวน อุตสาหกรรมธูป พลุ ดอกไมไ้ ฟ ฯลฯ รวมทง้ั ใช้ประโยชน์
ในครัวเรือน เช่น ใช้ดูดกลิ่น ดูดความชื้นในบ้านเรือน เพิ่มความบริสุทธิ์ของบรรยากาศ ใช้
บำบดั น้ำท้งิ จากบ้านเรือน ใช้ปรับปรงุ ดินทางการเกษตร และใชร้ องพ้ืนในคอกปศุสัตว์ เปน็ ต้น

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ท่านเห็นแล้วหรือยังครับว่าการเผาถ่านนั้นได้ยิ่งกว่าถ่านจริงๆ
นะครับ

6 มะฮอกกานี :
ไมม้ คี า่ ทนี่ า่ จับตามอง

มะฮอกกานี เป็นไม้ในวงศ์ Meliaceae วงศ์เดียวกับไม้เลี่ยนและลองกอง จัดอยู่ใน
สกุล (genus) Swietenia ซึ่งไม้สกุลนี้มีอยู่ด้วยกันสามชนิด คือ มะฮอกกานีใบใหญ่
(Swietenia macrophylla) มะฮอกกานีใบเล็ก (Swietenia mahogani) และ Swietenia
humilis ซึ่งไม่มีชื่อไทย และไม่มีในประเทศไทย แต่การบรรยายให้เห็นความแตกต่างทาง
พฤกษศาสตร์ของไม้ทั้งสามชนิดนี้ยังอยู่ในวงศ์จำกัดมาก เนื่องจากการผสมข้ามระหว่างกัน
เกิดขึ้นได้ง่าย อย่างไรก็ตามที่รู้จักกันดีและมีบทบาทเชิงพาณิชย์สูงในประเทศไทยมีเพียง
มะฮอกกานใี บใหญอ่ ย่างเดียวเทา่ นั้น

ดงั นนั้ มะฮอกกานี ในทน่ี ี้จึงหมายถึง มะฮอกกานีใบใหญ่

หลายคนเขา้ ใจว่ามะฮอกกานีเป็นไม้ไมผ่ ลดั ใบ เน่อื งจากช่วงการทงิ้ ใบและการแตกใบ
ใหม่ข้ึนมาทดแทนสัน้ มาก แต่โดยขอ้ เทจ็ จริงแลว้ มะฮอกกานเี ป็นไม้ผลัดใบ มถี ่นิ กำเนิดอยู่ใน
ละแวกเดียวกบั ยางพารา ซึ่งเป็นพชื เศรษฐกจิ สำคัญของไทยในขณะนี้ กลา่ วคือ กระจายพนั ธุ์
ตามธรรมชาตอิ ยู่ในตอนใตข้ องประเทศเม็กซิโกเร่ือยลงมาถึงอเมริกากลางซึ่งอยู่ในช่วงเส้นรุ้ง
ระดับเดียวกับประเทศไทยและอเมริกาใต้ทางตอนบนของแถบเส้นศูนย์สูตร ตั้งแต่ประเทศ
กัวเตมาลา เบลซิ ฮอนดรู ัส นคิ ารากัว ปานามา เวเนซูเอลา โคลมั เบีย อเี ควดอร์ บราซลิ เปรู
จนถึงโบลิเวีย รวมเนื้อที่ป่าประมาณ 1,470 ล้านไร่ แต่ในรอบทศวรรษที่ผ่านมาเนื้อที่ป่า
มะฮอกกานีธรรมชาติถูกทำลายลงเฉลี่ยปีละ 0.38% หรือประมาณ 5.59 ล้านไร่ เนื่องจาก
พื้นทีด่ งั กลา่ วมีความอุดมสมบรู ณ์สงู เหมาะแก่การเกษตร ทำให้กำลงั การผลติ ไม้มะฮอกกานี
ในอเมริกาใต้และอเมริกากลางลดลงถึง 30 และ 66% ตามลำดับ ในขณะที่เนื้อที่สวนป่า
มะฮอกกานีทั้งโลกมเี พยี ง 1.25 ล้านไร่เท่าน้ัน สถานการณ์การผลิตไม้เพื่อใชท้ ำเฟอร์นิเจอร์
ช้ันแนวหน้าของโลกชนดิ นจี้ งึ น่าเปน็ ห่วงยงิ่

พิมพค์ รั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (34) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)

36 รวมเรือ่ งสวนป่า

ในดา้ นการปลูกสร้างสวนป่าไมม้ ะฮอกกานีกม็ สี ถานภาพไม่แตกต่างไปจากยูคาลิปตัส
และสนเรเดียต้าหรือสนมอนเทอเรย์ เพราะต่างก็ไม่มีการปลูกเป็นสวนป่าเศรษฐกิจ ใน
ประเทศที่เป็นถิ่นกำเนิดของตนเอง แต่มีบทบาทสำคัญทางเศรษฐกิจในฐานะไม้ต่างถิ่นหรอื
exotic species

ประเทศที่มีการปลูกไม้มะฮอกกานีกันอย่างกว้างขวาง 3 อันดับแรก ได้แก่
อินโดนีเซีย (7.27 แสนไร่) ฟิจิ (2.63 แสนไร่) และฟิลิปปินส์ (1.57 แสนไร่) ซึ่งรวมกันถึง
92% ของเนื้อที่สวนป่ามะฮอกกานีทั้งโลก โดยอินโดนีเซียได้นำเมล็ดไม้มะฮอกกานีจาก
ประเทศกัวเตมาลาเข้าไปปลูกครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2413 ฟิจิจากเบลิซ พ.ศ. 2441 และ
ฟิลปิ ปนิ ส์จากเปรู พ.ศ. 2450

สำหรับประเทศไทย J.E. Meyhew และ A.C. Newton ได้กล่าวไว้ในหนังสือ
วนวัฒนวิทยาของไม้มะฮอกกานี (Silviculture of Mahogany) ว่าได้นำไม้มะฮอกกานีเข้า
มาปลูกครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. 2452 แต่การปลูกในรูปของสวนป่าได้เริ่มขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2507
ปัจจุบันมีเนื้อที่ปลูกในรูปของสวนป่าทดลองรวมทั้งสิ้นประมาณ 4 พันไร่ โดยส่วนใหญ่
(98%) ปลกู หลัง พ.ศ. 2528

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายข้อมูลและติดตามประเมินผล สำนักงานป่าไม้จังหวัดเพชรบุรี
(โทรศัพท์ : 0-3241-1771) ได้กล่าวถึงไม้มะฮอกกานีไว้ใน “มะฮอกกานี – ต้นไม้
พระราชทาน” อย่างน่าสนใจยิ่งว่า :

พ.ศ. 2453 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จพระราช
ดำเนินวางศิลาฤกษ์ พระราชวังรามราชนิเวศน์ (พระราชวังบ้านปืน) เพื่อเป็นที่ประทับแรม
ในเวลาเสดจ็ ประพาสจังหวดั เพชรบรุ ี ตอ่ มาไดม้ กี ารสรา้ งพระราชวงั รามราชนิเวศน์แล้วเสร็จ
ได้มีการก่อสรา้ งถนนต่างๆ เช่น ถนนราชดำเนิน ถนนดำรงรักษ์ ถนนราชวิถี และได้โปรดให้
นำตน้ มะฮอกกานีมาปลกู ริมถนน และในบรเิ วณพระราชวังรามราชนิเวศนเ์ พอื่ ความสวยงาม

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2541 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้
เสด็จปฏิบัติพระกรณียกิจในพื้นที่จงั หวัดเพชรบุรีและพระราชทานต้นมะฮอกกานีให้ตัวแทน
กลุ่มต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนในจังหวัดเพชรบุรี ณ พระราชวังรามราชนิเวศน์ เพื่อให้เป็น
สญั ลักษณใ์ นการอนรุ กั ษแ์ ละฟน้ื ฟูตน้ มะฮอกกานี

บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 37

ขณะนี้จังหวัดเพชรบุรีมีคณะกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูต้นมะฮอกกานีจังหวัด
เพชรบุรี ซึ่งเป็นองค์กรดูแลการอนุรักษ์และฟื้นฟูมะฮอกกานีในพื้นที่จังหวัดเพชรบุรี จึงได้
จัดตัง้ กองทนุ อนรุ ักษ์และฟน้ื ฟูมะฮอกกานีเฉลิมพระเกยี รติขนึ้

จากการสำรวจต้นมะฮอกกานี
บริเวณริมถนนในเขตเทศบาลเมือง
เพชรบุรีครั้ง ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 – 15
ม ิ ถ ุ น า ย น 2 5 4 2 จ ำ น ว น ต ้ น ไ ม้
มะฮอกกานีที่ปลูกไว้จำนวนทั้งสิ้น 595
ต้น มีต้นไม้ตาย 143 ต้น คงเหลือต้น
มะฮอกกานีที่สมบูรณ์จำนวน 452 ตน้

คณะกรรมการอนุรักษ์และฟื้นฟูมะฮอกกานีจังหวัดเพชรบุรีได้ประชุมหารือแนวทาง
ดำเนินการกับต้นไม้ที่ตายซึ่งอาจจะเกิดอันตรายกับการสัญจรได้ จึงมีมตใิ ห้ตดั มะฮอกกานีที่
ตายจำนวน 143 ต้น และแปรรปู เป็นผลิตภัณฑต์ ่างๆ จำหนา่ ยเพอื่ นำเงินเขา้ กองทุนอนุรักษ์
และฟนื้ ฟูมะฮอกกานีตอ่ ไป

มะฮอกกานีเป็นไม้ผลัดใบขนาด
ใหญ่ มีพูพอนสูง มีความสูงเฉล่ีย
ประมาณ 30 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง
เพียงอกประมาณ 1.5 เมตร แต่ภายใต้
ส ภ า พ แ ว ด ล ้ อ ม แ ล ะ ก า ร จ ั ด ก า ร ที่
เหมาะสมต้นมะฮอกกานีอาจจะสงู ถงึ 60
เมตร และวัดความโตรอบลำต้นได้ถึง 9
เมตร การเจริญเติบโตค่อนขา้ งเร็ว โดยมี
ความเพิ่มพูนด้านปริมาตรไม้ระหว่าง
2.4 – 3.2 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ไรต่ อ่ ปี

อาจกล่าวได้วา่ มะฮอกกานีเป็นไม้อเนกประสงค์ทนี่ า่ จับตามองชนดิ หนึง่ เพราะแทบ
ทกุ ส่วนใช้ประโยชนไ์ ด้นานาประการ ที่เด่นชดั คือ ใบสเี ขียวเขม้ สะอาดตา เหมาะสำหรบั ปลูก
ให้ร่มตามสวนสาธารณะ เกาะกลางถนน และริมทางเท้าได้เป็นอย่างดี เนื้อไม้มีความ

38 รวมเรอ่ื งสวนป่า

ถ่วงจำเพาะ 0.54 ความหนาแน่น 500-850 กรัม/ลูกบาศก์เซนติเมตร การยืดหดตัว 7.4%
โดยปรมิ าตร ผงึ่ ใหแ้ หง้ ได้ภายใน 6-11 สัปดาห์หรอื ใชเ้ วลาอบ 4-8 วนั สำหรบั ไมแ้ ผน่ ซง่ึ หนา
25 – 50 มิลลิเมตร เนื้อไม้ละเอียด ตกแต่งไสกบง่าย แข็งแรงทนทาน แก่นสีแดงอมเหลือง
คล้ายสีเนื้อปลาแซลมอน จึงจัดว่าเป็นไม้ที่เหมาะสมสำหรับใช้ทำเฟอร์นิเจอร์และตู้เสื้อผ้า

ร ะ ด ั บ ไ ฮ ค ล า ส ข อ ง โ ล ก ช น ิ ด ห น่ึ ง
รวมทั้งใช้ในการก่อสร้างและตกแต่ง
ภายในทั่วๆ ไป ใช้กั้นผนังห้อง/ห้อง
ประชุม ใช้ทำเรือ และตกแต่งเรือ
ยอร์ช ทำตัวถังรถยนต์ ทำตู้ลำโพง/
วิทยุ/เครื่องดนตรี ใช้ทำไม้อัด ไม้บาง
(วีเนียร์) และปาร์ติเกิลบอร์ด รวมทั้ง
ใช้ทำเยื่อกระดาษซึ่งให้ผลผลิตเย่ือ
49.5% เมล็ดมีน้ำมันประมาณ 47.5 – 62.2% ซึ่งเมื่อสกัดออกมาแล้วสามารถใช้เปน็ นำ้ มนั
ชักเงาชนั้ ดมี ีราคาแพง เปลือกใชใ้ นการย้อมหนัง ยางทีไ่ ดจ้ ากเปลือกเปน็ ทต่ี ้องการของตลาด
ในบอมเบย์ (อนิ เดีย) เปลอื กหุ้มเมลด็ หรอื ผลเม่อื นำมาบดสามารถใช้เป็นวสั ดเุ พาะชำได้อย่าง
ดี นอกจากนยี้ ังมีรายงานจากอเมริกากลางว่าส่วนต่างๆ ของไม้ชนิดนมี้ ีคุณค่าหลากหลายใน
เชงิ สมนุ ไพรอกี ดว้ ย

มะฮอกกานีสามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ด ตัดยอดปักชำ และเพาะเลี้ยง
เนื้อเยื่อ เมล็ดรวมปีกมีปริมาณ 1,600 – 2,000 เมล็ดต่อกิโลกรัม หากปราศจากปีกจะมี
เมล็ดเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3,500 เมล็ด หรือ 200 เมล็ดต่อลิตร เมล็ดที่เก็บรักษาไว้ในที่ซึ่งมี
ความชื้น (3 – 7%) และอุณหภูมิต่ำ (1 – 5 องศาเซลเซียส) สามารถเก็บไว้ได้นานหลายปี
โดยไม่มีผลต่อความมีชีวิตของเมล็ด แต่ถ้าเก็บไว้ในถุงกระดาษ ณ อุณหภูมิห้องจะเก็บไว้ได้
ราว 7 – 8 เดือน อัตราการงอกของเมล็ดอยู่ในระหว่าง 60 – 90% กล้าไม้ที่ใช้ปลูกควรมี
ความสูงไม่น้อยกว่า 50 เซนติเมตร แต่เกษตรกรในฟิลิปปินส์ชอบใช้กล้าที่สูง 1.0 – 1.5
เมตร เพราะจะตง้ั ตัวและแข่งขันกับวัชพืชได้ดกี ว่ากล้าไมข้ นาดเล็ก

ปจั จยั ส่งิ แวดล้อมสำคญั ท่ีจะตอ้ งคำนงึ ถึงในการคดั เลือกพน้ื ที่เพ่ือปลูกไม้มะฮอกกานี
น้ันมสี องประการ คือ (1) ความสงู เหนือระดับนำ้ ทะเลไมค่ วรเกนิ 700 เมตร ซึ่งใกล้เคียงกับ
ความต้องการของไม้สัก และ (2) ปริมาณน้ำฝนไม่ควรต่ำกว่า 1,200 มิลลิเมตรต่อปี ฝนย่ิง
มากยิ่งดี ช่วงความแห้งแล้งในรอบปีไม่ควรจะมากกว่า 4 เดือน ซึ่งข้อมูลความต้องการใน

บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 39

ส่วนนี้ใกล้เคียงกับไม้กระถินเทพา ส่วนดินแม้จะเป็นรองทั้งสองปัจจัยดังกล่าว แต่
มะฮอกกานีไม่ชอบดินแน่นและดินลูกรัง ชอบดินลึก ระบายน้ำดี มี pH ระหว่าง 5 – 6 ใน
ภาพรวมพื้นที่ที่เหมาะสำหรับปลูกไม้มะฮอกกานีจึงควรอยู่ตั้งแต่ภาคกลางตอนบนลงไปถึง
ภาคใต้ตอนล่าง รวมทั้งภาคตะวันตกแถวอำเภอทองผาภูมิ และภาคตะวันออก ส่วนภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือนั้นควรเป็นตอนล่าง และบริเวณตะเข็บตามแนวชายแดนตั้งแตจ่ ังหวดั
เลยและหนองคายลงมา ซงึ่ สว่ นใหญ่เปน็ ที่ราบริมแมน่ ำ้ โขง

มะฮอกกานเี ป็นไมท้ ตี่ ้องการแสงสว่าง
เต็มที่ ไม่ทนร่ม อาจจะปลูกในรูปของสวนป่า
เชิงเดี่ยวชนิดเดียวล้วนๆ ปลูกเป็นสวนป่า
ผสมซึ่งมักปลูกให้เป็นไม้พี่เลี้ยงเพื่อให้ร่มเงา
แก่ไม้ยางนา ปลูกในระบบวนเกษตรโดยมี
กาแฟ โกโก้ และลางสาด เป็นพืชควบ หรือ
ปลูกเป็นแนวร้ัวในรูปของ “รั้วสีเขียว” หรือ
“รั้วมีชีวิต” ก็ได้ หากปลูกเป็นแปลงดงั กล่าว
ข้างต้นในอินโดนีเซียใช้ระยะปลูก 2 x 2
เมตร แต่ถ้าปลูกเป็นแนวรั้วแถวเดียวใน
ฟิลิปปินส์ใช้ระยะหา่ งระหว่างต้นเพียง 1.0 –
1.5 เมตรเท่านั้น ถ้าปลูกห่างต้นไม้จะมีกิ่งก้านมาก แต่ถ้าใช้ข้าวไร่ ข้าวโพด มันสำปะหลัง
และเผือกเป็นพชื ควบ ควรใช้ระยะปลูก 3 x 3 เมตร

ศัตรูตัวสำคัญของสวนป่ามะฮอกกานีคือ แมลงเจาะยอดอ่อนสองชนิด คือ
Hypsipyla grandella และ Hypsipyla robusta โดยชนดิ แรกระบาดมากในอเมริกากลาง
และอเมริกาใต้ ส่วนชนิดหลังระบาดมากในแอฟริกาและเอเชียอาคเนย์ ส่วนใหญ่จะเข้า
ทำลายยอดอ่อนเมื่อต้นไม้มีอายุตั้งแต่สองปีขึ้นไป ทำให้ลำต้นแตกกิ่งก้านสูญเสียความตรง
เปลา มรี ูปทรงเสมอื นไม้พุ่ม ป้องกนั ควบคมุ แก้ไขได้โดยคดั เลือกสายพันธุ์ให้เหมาะสม ผ่าน
การทดสอบถิ่นกำเนิดของเมล็ด (provenance trials) เลือกปลูกในที่ซึ่งดินมีความอุดม
สมบูรณ์สูง ปลูกในรูปของสวนป่าผสม ในระบบวนเกษตร หรือในแนวรั้วแทนการปลูกเป็น
แปลงเชิงเดี่ยว ตัดต้นที่ถูกแมลงเจาะเผาทำลาย ใช้การชิงเผาเข้าช่วยเป็นครั้งคราว และถ้า
จำเป็นจริงๆ กต็ อ้ งใชย้ าฆา่ แมลงตามความเหมาะสม

40 รวมเรื่องสวนป่า

หากปลูกห่างต้นไม้ที่มีกิ่งก้านมากก็
จำเปน็ จะต้องทำการลิดกงิ่ การตัดสางขยาย
ระยะถือเป็นการจัดการสวนป่ามะฮอกกานี
ที่ต้องทำ เพราะนอกจากจะช่วยเร่งการ
เติบโตของต้นไม้ที่เหลืออยู่แล้วยังทำให้ได้
ไม้ขนาดเล็กมาใช้สอยหรือได้รายได้จากไม้
ตัดขยายระยะก่อนถึงรอบตัดฟันอีกด้วย
ปกติจะทำการตัดสางขยายระยะครั้งแรก
เมื่อไม้มีอายุได้ 5-10 ปี และตัดคราวต่อๆ
ไปทุกๆ 5-10 ปี จนถึงการตัดฟันคร้ัง
สุดท้ายซึ่งส่วนใหญ่กำหนดไว้ที่อายุ 20-30 ปี หากเลือกพื้นที่ปลูกเหมาะสมและมีการใส่ปยุ๋
จะได้ไม้ซงุ ขนาดเสน้ ผ่านศูนยก์ ลาง 50 เซนตเิ มตร ณ อายุรอบหมนุ เวียนในการตัดฟันไม่เกิน
20 ปี แต่ถ้าพื้นที่ปลูกและการจัดการไม่เหมาะสมหรือต้องการไม้ซุงขนาดใหญ่มากๆ อายุ
รอบหมุนเวียนในการตัดฟันอาจยาวนานถึง 50 ปีก็ได้ ส่วนระบบวนวัฒน์ที่เหมาะสมที่สุด
สำหรับการตัดฟันไม้ชนิดนี้คือ ระบบการตัดไว้ไม้พี่เลี้ยงหรือระบบการตัดให้ร่ม
(shelterwood system)

มะฮอกกานีจึงเปน็ ไม้มคี ่าท่นี ่าจบั ตามองอกี ชนดิ หน่ึงซึง่ ถา้ ไม่ลองกค็ งไมร่ ู้

7 ไมก้ ระถินเทพา :
ทำเย่อื กระดาษกไ็ ด้
ทำไมแ้ ปรรปู กด็ ี

กระถินเทพาหรือที่แต่ก่อนนี้มักจะคุ้นเคยกับชื่อ กระถินซาบาห์ กันมากกว่า เพราะ
บริษัทไม้อัดไทยจำกัดได้นำเมล็ดจากซาบาร์ในมาเลเซียเข้ามาปลูกในประเทศไทยเป็นคร้ัง
แรกในปี พ.ศ. 2523 น้นั มีชอ่ื วิทยาศาสตร์วา่ Acacia mangium เปน็ ไม้สกลุ เดยี วกับชะอม
ส้มป่อย และกระถินพิมาน แต่ที่คนไทยรู้จักดีและนิยมปลูกเป็นสวนป่ากันมาก่อนหน้านั้น
แล้ว 2 ชนิด คือ สีเสียดแก่น (Acacia catechu) และกระถินณรงค์ (Acacia auriculiformis)
ครั้นในปี พ.ศ. 2525 โครงการหลวงก็ได้นำไม้กระถินดอย (Acacia confusa) จากไต้หวัน
เข้ามาปลูกที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อีกชนิดหนึ่ง และต่อมา
กรมป่าไม้กพ็ บว่ากระถินเอาลาโคคาร์ปา (Acacia aulacocarpa) และกระถินคราสซิคาร์ปา
(Acacia crassicarpa) ก็เจริญเติบโตได้ไม่แพก้ ระถนิ เทพา ทว่าไม้กระถินสองชนิดหลงั นี้ยัง
ไมม่ ีชื่อภาษาไทยและยงั ไมป่ ลูกกันแพร่หลายมากนัก

จึงกล่าวไดว้ า่ ไม้สกุลอะเคเซียท่ีมีศักยภาพควรแก่การปลกู สร้างสวนป่าในประเทศไทยมี
ด้วยกัน 7 ชนิด คือ กระถินพิมาน สีเสียดแก่น กระถินณรงค์ กระถินเทพา กระถินดอย
กระถินเอาลาโคคาร์ปา และกระถินคราสซิคาร์ปา ซึ่งทั้งหมดเป็นไม้โตเร็ว มีอายุรอบ
หมุนเวียนในการตัดฟันคือประมาณ 10 ปี ยกเว้น กระถินดอยซึ่งต้องขยายอายุการตัดฟนั
ออกไปเป็น 15-20 ปี เพราะต้องปลูกในพื้นที่สูงซึ่งมีอากาศหนาวเย็นมากกว่าไม้ชนิดอื่น
ดงั กล่าวแลว้

กระถินเทพามีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติอยู่ 3 กลุ่ม คือตามแนวชายฝั่งตะวันออก
เฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลียหรือทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์แถบเมืองเคนส์ ทาง
ตอนใต้ของประเทศปาปัวนิวกินี และกลุ่มสุดท้ายคือบริเวณเกาะซีแรม อารู และอิราเนียน-
จายา ของประเทศอนิ โดนีเซยี ซง่ึ อยู่ทางตะวนั ตกของปาปวั นิวกินี

พมิ พค์ รั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (35) : 19 – 21; 4 (36) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)


Click to View FlipBook Version