442 รวมเร่ืองสวนปา่
ยางพาราเป็นทัง้ พืชเกษตรและพชื ป่าไม้ เป็นพืชเกษตรในแง่ของการดูแลรักษาที่ตอ้ ง
ประณีต ต้นทุนสูง และให้น้ำยางเป็นเสมือนรายได้กระแสรายวัน แต่เป็นป่าไม้ เมื่อปริมาณ
น้ำยางลดน้อยลงจึงต้องตัดฟันเมื่อมีอายุ 25-26 ปี เพื่อปลูกยางสายต้นใหม่ อันจะให้น้ำยาง
มากกว่าเดิม รอบตัดฟันของยางพาราในแง่ของป่าไม้จึงมีอายุ 25-26 ปี ซึ่งใกล้เคียงกับ
ไม้สัก ราคาน้ำยางมีขึ้นมลี ง แต่ราคาไม้มีแต่ขน้ึ อยา่ งเดยี ว เพียงแตจ่ ะขึน้ มากหรือน้อยเทา่ นน้ั
ดงั นน้ั เกษตรกรผู้ปลูกยางพาราจึงควรปลูกสายพนั ธ์ทุ ี่ลำตน้ ตรง เปลา สูง เพ่ือจะได้ผลตอบแทน
ท้งั จากนำ้ ยางและเน้อื ไม้สูงตามไปด้วย
ปาลม์ น้ำมัน เป็นพืชเศรษฐกิจ
หลักในลำดับที่สาม ใช้ระยะปลูก 9 x
9 เมตร หรือไร่ละ 22 ต้น พันธุ์ที่ใช้
ปลูกกันมากคือเทเนอรา ซึ่งเป็นพันธ์ุ
ส่งเสริมของกรมวิชาการเกษตร เก็บ
เกี่ยวผลผลิตได้ในช่วงอายรุ ะหว่าง 3-
15 ปี ซึ่งสั้นกว่ายางพารา หาก
เปรียบเทียบกับยางพาราราคา ณ
ปัจจุบัน (พ.ศ. 2556) ในภาพรวม ยางพาราอาจจะน่าสนใจกว่าปาล์มน้ำมัน เพราะดูแล
รกั ษาง่ายกว่า ความถใ่ี นการใส่ปยุ๋ น้อยกว่า แถมรายรับยังสงู กวา่ อีกด้วย หากคิดผลผลิตของ
น้ำยาง 250 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี กิโลกรัมละ 70 บาท (17,500 บาทต่อไร่ต่อปี) และผลผลติ
ของปาลม์ 3.5 ตนั ตอ่ ไร่ต่อปี ราคาตันละ 3,500 บาท (12,250 บาทต่อไร่ตอ่ ป)ี ยิง่ ไปกว่านน้ั
เมื่อถึงเวลาตัดโค่นรื้อแปลงเพื่อปลูกใหม่ ยางพารายังมีรายได้จากการขายไม้อีกไร่ละ 4-5
หมื่นบาท ในขณะที่แทบจะไม่มีรายได้จากการขายต้นปาล์มแก่ ๆ เลย แต่อย่างไรก็ตาม
เกษตรกรมักมีภูมิปัญญาในการเลือกหรือปรับเปลี่ยนชนิดพืชที่จะปลูกค่อนข้างสูง เช่น ถ้า
ที่ลุ่มมีน้ำท่วมขัง ก็ปลูกปาลม์ แต่ถ้าเป็นที่ดอนหรือมีความลาดชันพอสมควรก็จะเลือกปลกู
ยางพาราหรอื ผลไมแ้ ทน
แม้ไม้ผลยนื ต้นที่เกษตรกรในทอ้ งที่ตำบลสะตอนยิ มปลูกกันมากจะเปน็ เงาะกต็ าม แต่
ทางราชการของอำเภอเขาสมิงต้องการให้เปลี่ยนจากเงาะมาปลูกทุเรียนกันมากข้ึน
โดยเฉพาะทุเรียนหมอนทอง เพราะเป็นที่ต้องการของตลาดต่างประเทศ สามารถส่งออกได้
เกือบทั้งหมด ทุเรียนกระดุมซึ่งเป็นพันธุ์เบา เก็บเกี่ยวได้ก่อน ทำเงินได้เร็วกว่าทุเรียนพันธุ์
อื่น ๆ ก็มีปลูกกันมากพอสมควร แต่ในวันที่พวกเราไปเยี่ยมชมนั้น คุณธันว์ บรรจง ได้นำ
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 443
ทุเรียนพวงมณีมาให้ลองชมิ ดดู ว้ ย พร้อมกับเลา่ ให้ฟังว่าพวงมณีเป็นทุเรยี นพันธ์ุโบราณ เคย
ปลกู กนั มากในภาคใต้ ชาวมาเลเซยี นิยมบรโิ ภคมาก มีผู้นำเข้ามาปลูกแถวเขาสมิงราวสบิ กวา่
ปีมาแล้ว ในยุคสมัยหนึ่งพวงมณีสู้กระแสของหมอนทองไม่ได้ จนแทบจะไม่มีคนปลูกเพ่ือ
การค้ากันเลย มีแต่เก็บต้นเก่า ๆ ไว้หรือไม่ก็ปลูกแซมในแปลงหมอนทองเทา่ นั้น แต่ปัจจบุ นั
เร่ิมเป็นทน่ี ิยมของผบู้ ริโภคมากข้นึ เพราะรสชาตหิ วานมันที่สำคัญกล่ินไม่ฉนุ จดั กินแล้วไมเ่ รอ
ออกมาให้เป็นที่น่ารังเกียจของคนข้างเคียง หากเปรียบเทียบกับหมอนทองที่คนส่วนใหญ่
คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี พอจะกล่าวได้ว่า พวงมณี มีผลเล็ก ขั้วยาว หนามใหญ่แต่สั้น เมล็ด
ใหญ่ เนื้อนอ้ ยแตล่ ะเอียด หวานไม่จดั
ตามโปรแกรม การเข้าเยี่ยมชมกิจการด้านการเกษตรแห่งต่อไปคือสวนสุดแสวง แต่
ดว้ ยข้อจำกดั ดา้ นเวลา และดินฟา้ อากาศ ชมรม มก. อาวุโส ภายใตก้ ารบริการแบบครบวงจร
ของคุณปราโมช ร่วมสุข (โทร : 081-782-8370) ก็แนะและนำพวกเราไปสหกรณ์
การเกษตรท่าใหม่ จำกดั และบรษิ ัท อนิ ฟนิ ทิ ฟรุ๊ต จำกัด
คุณปราโมช รว่ มสขุ เป็นศษิ ย์เกา่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ร่นุ ที่ 34 (KU 34) เรียน
วิชาเอกสาขาพืชสวน คณะเกษตร ประกอบอาชีพด้านธุรกิจการเกษตรอยู่ในจงั หวัดจนั ทบุรี
ด้วยบุคลิกที่เป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง มีมนุษยสัมพันธ์และความรู้ดี มีหัวก้าวหน้าจึงได้รับ
เลือกให้เป็นประธานหอการค้ากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออก (กลุ่มที่ 9) และคณบดีคณะ
เทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพพรรณี รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาของสหกรณ์
การเกษตรท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ในการท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรครั้งนี้ ชมรม มก. อาวุโส
ไดร้ บั ความอนุเคราะห์อยา่ งดียิ่ง จากอาจารยป์ ราโมช ร่วมสุข
สหกรณ์การเกษตรท่าใหม่ ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ในท้องที่ตำบลเขาบายศรี อำเภอ
ท่าใหม่ จังหวัดจันทบุรี ก่อตั้งมายาวนานกว่า 30 ปีแล้ว ปัจจุบันมีนายทิ้ง ศรีคงรักษ์
เป็นประธานกรรมการ บริหารงานร่วมกับรองประธานและกรรมการอีก 13 ท่าน โดยมี
นางกาหลง เพิ่มพลู เป็นผู้จดั การ ภายใต้วิสัยทัศน์ “เปน็ สหกรณท์ ีม่ น่ั คง ซือ่ ตรงด้วยบริการ
มุ่งพัฒนาธุรกิจให้เป็นที่พึ่งของมวลสมาชิกและชุมชน” โดยดำเนินธุรกิจและให้บริการแก่
สมาชิกที่มอี ยรู่ ว่ ม 3,000 คน ในดา้ นธรุ กจิ สินเชอ่ื (การใหก้ ู้เงนิ ) ธรุ กจิ การตลาด (ซือ้ มา ขายไป)
ธรุ กจิ เงนิ ฝาก (สัจจะออมทรัพย์ ออมทรพั ย์ และออมทรพั ยพ์ ิเศษ) และธุรกจิ รวบรวมผลผลติ
ด้านการเกษตรเพื่อส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผลไม้หลักของจังหวัดจันทบุรี อาทิ ทุเรียน
มังคดุ เงาะ สละ และสับปะรด
444 รวมเรือ่ งสวนปา่
ในระยะแรก ๆ กจิ การของสหกรณ์กล็ ุ่ม ๆ ดอน ๆ ไมไ่ ดก้ า้ วไกลด่ังใจหวงั แตจ่ ากการ
ทุ่มเททำงานอย่างจริงจัง ซื่อสัตย์โปร่งใสของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องก็เริ่มได้รับความเชื่อมั่นจาก
สมาชิก จุดเปลี่ยนแปลงที่สำคัญเริ่มจากการทุ่มเงินซื้อผลไม้ที่ราคาตกต่ำในปี พ.ศ. 2547
ตามแนวพระราชดำรัส “ขาดทุนคือกำไร” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วร่วมมือ
กับบริษัท อินฟินิท ฟรุ๊ต จำกัด และคณะเทคโนโลยีการเกษตร มหาวิทยาลัยราชภัฏรำไพ
พรรณี แปรรูปผลไม้ควบคู่กับการศึกษาหาแนวทางการส่งออกผลไม้ทั้งในรูปของผลไม้สด
และผลไม้แชแ่ ขง็ ไปญีป่ ุ่นและเกาหลีถกู ต้องตามมาตรฐานของประเทศปลายทาง ด้วยการจัด
เทศกาลนำผลไม้ไทยไปจำหน่ายเป็นประจำทุกปี ประชาสัมพันธ์ให้ผู้บริโภคเข้าใจถึง
รูปลักษณ์และการรับประทานผลไม้ไทย เช่น ชาวญี่ปุ่นมักเข้าใจว่ามังคุดผิวลายนั้นคุณภาพ
ไม่ดี ซื้อเฉพาะมังคุดผิวมัน กาบเขียวเท่านั้น รวมทั้งเชิญชวนให้ร้านอาหารไทยให้บริการ
ผลไม้ไทย และยังมองไกลไปถึงสายการบินของไทยในอนาคตอีกด้วย จนทำให้สหกรณ์
การเกษตรท่าใหม่ในทุกวันนี้มีความแข็งแกร่ง เป็นพี่เลี้ยงและแหล่งศึกษาเรียนรู้ดูงานใน
ลักษณะ “อยากรู้ ไปดูเอง” ของหนว่ ยงานสหกรณก์ ารเกษตรอื่น ๆ จำนวนไม่นอ้ ย
ในส่วนของบรษิ ทั อนิ ฟินทิ ฟรุต๊ จำกัด ที่เปน็ หลักในการแปรรูปและผลิตผลไม้แช่แข็ง
ร่วมกับสหกรณ์ฯ ภายใต้คำแนะนำของอาจารย์ปราโมช ร่วมสุข เพื่อแก้ปัญหาราคาตกต่ำ
และสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผลไม้ของเกษตรกรนั้น ทำกับผลไม้ที่เกษตรกรปลูกแทบทุกชนิด
แล้วขายได้ราคาไม่คุ้มทุน แต่ที่โดดเด่นในตอนนี้เห็นจะเป็นทุเรียนและมังคุด โดยเฉพาะน้ำ
มังคดุ พร้อมดืม่ และมงั คุดเน้ือสีทบั ทิม
คำขวัญประจำจังหวัดจันทบุรีคือ “น้ำตกลือเลื่อง เมืองผลไม้ พริกไทยสายพันธุ์ดี
อัญมณีมากเหลือ เสื่อจันทบูร สมบูรณ์ธรรมชาติ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช รวม
ญาตกิ ู้ชาติทจี่ ันทบุรี” หน่ึงในอัญมณี
ที่มีชื่อเสียงของจันทบุรีคือ ทับทิม
จันท์ ดังนั้นมังคุดเนื้อสีทับทิมที่เป็น
ผลติ ภัณฑ์ใหมจ่ ากเมืองผลไม้แห่งน้ีจึง
เรยี กวา่ “มงั คุดทับทมิ ” หรอื “Ruby
Mangosteen”
ภาพจาก : https://th-th.facebook.com/SiamTownUS/posts/2068102879873711/ คนไทยทุกคนทราบกันดีว่า
มังคุดมีเนื้อสีขาว และผู้บริโภคส่วน
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 445
ใหญ่ก็ทราบว่ามังคุดเป็นราชินีแห่งผลไม้หรือ Queen of Fruit ซึ่งควรจะรับประทานคู่กับ
ทุเรียนซึ่งเป็น King of Fruit แต่คงมีคนไทยจำนวนไม่มากนักที่ทราบว่าเปลือกสีแดงของ
มังคุดสุกที่เราโยนทิ้งนั้นมีสารแอนโธไซยานิน (Anthocyanin) ซึ่งมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระอยู่
ด้วย ด้วยเหตุน้เี องจึงมกี ารศกึ ษาวจิ ยั ผลติ มังคดุ ทบั ทิมข้นึ มาโดยนำมังคุดทงั้ ลูกแชเ่ ยอื กแขง็ ที่
อุณหภูมิลบ 40 องศาเซลเซียส (-40°C) เพื่อให้น้ำชักนำเอาสารสีแดงจากเปลือกอ่อนแทรก
ซึมเขา้ ไปอยูใ่ นเนอื้ สีขาว เกิดเป็นเนือ้ มงั คุดสที ับทมิ ขน้ึ มา นวัตกรรมใหมน่ พ้ี ดู งา่ ย แต่กว่าจะ
คดิ ได้และทำสำเร็จน้นั ยากมาก ต้องให้เครดติ ท้ังคนคดิ และคนทำซ่ึงสำเร็จแลว้ โดยขณะนอ้ี ยู่
ในข้นั ตอนของการทดสอบตลาด
เช้าวันสดุ ท้าย (14 มถิ ุนายน 2556) ของทวั ร์นเิ วศเกษตรคร้ังน้ี ชมรม มก. อาวุโส ได้
พากนั ไปเดนิ ออกกำลังกายในยามเชา้ ตรู่ (06.30-08.00 น.) บนทางเดิน (walkway) ในศูนย์
ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ในท้องที่ตำบลคลองขุด
อำเภอท่าใหม่ จังหวัดจนั ทบุรี
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เป็นหน่วยงาน
ภาคสนามของสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ซ่งึ มอี ยู่ดว้ ยกัน 6 ศูนย์ กระจายอยูใ่ นทกุ ภูมภิ าคของประเทศ
อันได้แก่ เขาหินซ้อน (ฉะเชิงเทรา) ห้วยฮ่องไคร้ (เชียงใหม่) พิกุลทอง (นราธิวาส) อ่าว
คุ้งกระเบน (จันทบุรี) ห้วยทราย (เพชรบุรี) และภูพาน (สกลนคร) ซึ่งแต่ละศูนย์มีปัญหา
เฉพาะและแตกต่างกนั จดุ เร่มิ ต้นของศนู ยก์ ารศกึ ษาฯ นน้ั เกิดจาก พระราชกระแสรับส่ังของ
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวกับราษฎรบ้านเขาหินซ้อน (เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2522)
ผู้น้อมเกล้าฯ ถวายที่ดินเพื่อสร้างพระตำหนักว่า “ก็เลยถามผู้ให้ที่นั้นนะ ถ้าหากไม่สร้าง
ตำหนัก แต่สร้างเป็นสถานที่ที่จะศกึ ษาเก่ยี วกบั การเกษตรจะเอาไหม เขากบ็ อกวา่ ยินดี ก็
เลยเริ่มทำในที่นั้น” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมุ่งหวังให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาฯ
เป็นพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิตและเปน็ ต้นแบบของความสำเร็จให้แกเ่ กษตรกรและผู้สนใจ
ทัว่ ไปไดม้ ีความรู้และชว่ ยเหลอื ตนเองได้อย่างยั่งยืน
ในส่วนของศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนฯ ซึ่งตั้งขึ้นในปี พ.ศ. 2525 น้ัน
มูลเหตุของปัญหาคือดินเค็มเพราะน้ำทะเลท่วมถึง จึงมุ่งที่จะศึกษา สาธิตและพัฒนาที่ดิน
ชายฝั่งทะเลแบบผสมผสาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่างป่าชายเลนกับประมงชายฝั่ง เพราะ
พระองค์ท่านทรงห่วงใยในระบบนิเวศของป่าชายเลนเป็นอย่างมาก จึงทรงชี้แนะให้ส่วน
446 รวมเร่อื งสวนป่า
ราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งกรมป่าไม้ กรมประมง กรมชลประทาน และกรมอุทกศาสตร์ร่วมกัน
ฟนื้ ฟูปา่ ชายเลน และทรงมีพระราชดำรสั ตอนหนง่ึ วา่
“...ปา่ ชายเลนท่ปี ลกู มาแลว้ ถา้ แนน่ เกินไป แสงแดดส่องลงไปไมถ่ ึง
ไมม่ ีออกซิเจน สตั วน์ ำ้ ไมส่ ามารถอย่ไู ด้ จำเปน็ ต้องตัดสาง และไม้ท่ี
ตัดสางออกให้นำไปเผาถ่านหรอื ใช้ประโยชนอ์ ย่างอ่นื ...”
พระราชดำรัสดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า องค์พระประมุขของเราทรงมีความรู้ด้านป่าไม้
และนิเวศวิทยาอย่างลึกซึ้งแตกฉาน เพราะคนจำนวนไม่น้อยแม้แต่นักวิชาการยังคิดว่าการ
ตัดไม้รวมทั้งการตัดสางขยายระยะเป็นการทำลายป่า แต่พระองค์ท่านทรงเห็นว่าการตัดสาง
นอกจากจะเปน็ การปรับปรุงระบบนิเวศโดยองค์รวมแลว้ ยงั ทำใหไ้ ด้ไมม้ าใช้ประโยชน์อกี ดว้ ย
นี่คือจอมปราชญ์ของปวงชนชาวไทย
75 บญุ เพญ็ นวลฉวี
กับอาชีพการปลูกสรา้ งสวนป่า
ทั้ง ๆ ท่ีการปลกู ไม้ (ป่า) เศรษฐกจิ จดั ว่าเปน็ เกษตรย่งั ยืน (sustainable agriculture)
ที่แท้จริง เพราะมีความยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ตามหลักวิชาการ
เศรษฐกจิ ยัง่ ยืนเพราะราคาไมม้ แี ต่ข้นึ กบั ข้นึ เพียงแต่จะขึ้นมากหรือน้อยเทา่ นน้ั ไมข่ ้นึ ๆ ลง ๆ
เหมอื นกบั ราคาพชื ผลเกษตรอื่น ๆ ที่เกษตรกรตอ้ งออกมาปดิ ถนน ชุมนุมประท้วงเพ่ือขอขึ้น
ราคากันเป็นประจำ ในช่วงที่ราคาไม้ไม่เป็นสิ่งจูงใจให้ตัดฟันออกมาจำหน่าย ผู้ปลูกป่าก็
ไมต่ ดั หรือตดั แต่เพยี งส่วนน้อยในรูปของการตดั ขยายระยะ ไมท้ ่ียืนต้นเหลืออยกู่ ็เติบโตต่อไป
เรื่อย ๆ ไม้ใหญ่ใช้ประโยชน์ได้หลากหลายก็จะขายได้ราคาดีกว่าไม้เล็ก ในขณะที่พืชผล
เกษตรอื่น ๆ เมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยวก็ต้องเก็บเกี่ยว ทิ้งไว้ต่อไปไม่ได้ เพราะขาดอำนาจการ
ตอ่ รอง “ผีถึงป่าชา้ ” ขายได้เงินน้อยดีกว่าปล่อยใหส้ ญู เปลา่
สังคมยั่งยืนเพราะการปลูกไม้(ป่า)เศรษฐกิจมีห่วงโซ่ของกิจกรรมที่ยืดยาวและ
หลากหลาย ซง่ึ กจิ กรรมเหลา่ นน้ั ส่วนใหญอ่ ยูใ่ นชนบท การปลกู สร้างสวนปา่ จึงชว่ ยก่อให้เกิด
การสร้างงานแก่ชมุ ชนชนบทอย่างตอ่ เนือ่ งและยงั่ ยืน เม่อื คนมีงานทำกเ็ ข้าหลกั “งานคอื เงิน
เงนิ คอื งาน บนั ดาลสขุ ” ปัญหาของสังคมอันเนอื่ งมาจากการว่างงานกล็ ดน้อยลง
ส่วนความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นที่ประจักษ์ชัดแล้วว่าไม้ป่ามีอายุยืน มีรอบ
หมนุ เวยี นในการเกบ็ เก่ยี วยาวนานกว่าพชื เกษตร ท่สี ำคัญกว่านั้นก็คอื การเก็บเกย่ี วพชื ผลปา่
ไม้หรือการตัดไม้ออกมาขายนั้นสามารถเลือกระบบการตัดฟัน เช่น ระบบเลือกตัด
(selection system) ได้ ในขณะที่การเก็บเกี่ยวพืชผลการเกษตรไม่มีทางเลือกอื่นใด
นอกจากต้องใชร้ ะบบตดั หมด หรือ clear cutting system เทา่ นัน้ การเลอื กตดั เปน็ การเปิด
หน้าดินเพียงบางส่วน ในขณะที่การตัดหมดตอ้ งเปิดหน้าดินเตม็ ที่ร้อยเปอรเ์ ซ็นต์ แล้วเร่มิ ไถ
พรวนเตรยี มพน้ื ที่เพ่ือปลูกใหม่ในรอบต่อไป ย่งิ พืชท่ปี ลกู มีอายสุ น้ั เทา่ ใด โอกาสท่ีหน้าดินจะ
ถูกเปิดโล่งก็มีมากขึ้นเท่านั้น ด้วยเหตุนี้เอง ความอุดมสมบูรณ์ของดินในไร่ข้าวโพดจึงลด
พิมพค์ ร้งั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 14 (150) : 36–39 (พ.ศ. 2557)
448 รวมเรื่องสวนป่า
ต่ำลงรวดเร็วและรุนแรงกว่าในสวนไม้(ป่า)เศรษฐกิจ นอกจากนี้ ไม้ยืนต้นยังช่วยกักเก็บ
คาร์บอนได้มากและยงั่ ยนื กว่าพชื ล้มลกุ อีกด้วย
นั่นคือ สวนไม้เศรษฐกิจช่วยลดปัญหาโลกร้อนได้ดีกว่าแปลงปลูกพืชไร่ แต่น่า
แปลกใจว่าทำไมรฐั บาลทกุ ยคุ ทุกสมัยต่างกท็ ่มุ เทสารพัดแรงจูงใจให้เกษตรกรปลูกแต่พืช
เกษตรอายุส้ันกนั อย่างไมล่ ืมหลู ืมตาดูนานาอารยประเทศกันบ้างเลย
ในประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลาย เกษตรกรยึดการปลูกสร้างสวนป่าเป็นอาชีพมา
ยาวนานนบั ศตวรรษแลว้ ไม่ว่าจะเปน็ ญป่ี ุ่น ออสเตรเลยี ประเทศในกลุ่มอียู รวมท้ังประเทศ
กลุ่มสแกนดิเนเวีย โดยเฉพาะฟินแลนด์ ประเทศที่มีฐานะทางเศรษฐกิจแข็งแกร่ง มั่นคง มี
ชื่อเสียงด้านการศกึ ษาและสิ่งแวดล้อมของโลก ความโดดเด่นดงั กล่าวมีรากฐานมาจากการมุ
มานะปลูกไม้เศรษฐกิจเพียง 3 ชนิด คือ ไม้สก๊อตไพน์ (Scotch pine) นอร์เวย์สปรู๊ซ
(Norway spruce) และไม้เบอร์ช (birch) ของบรรพบุรุษในอดีต ทั้ง ๆ ที่ไม้ทั้งสามชนิดน้ี
กว่าจะโตถงึ ขนาดตัดฟันมาใชป้ ระโยชนไ์ ดต้ ้องใชเ้ วลาถึง 50-60 ปี แมแ้ ตต่ ้นกลา้ กว่าจะโตถงึ
ขนาดพร้อมปลกู ก็ต้องใชเ้ วลา 3-5 ปี ในขณะท่ปี ระเทศไทยใช้กล้าอายุ 6-12 เดือนปลกู และ
ไม้โตเรว็ บางชนิดสามารถตัดขายไดด้ ว้ ยอายุเพียง 3-5 ปีเท่านั้น แต่เกษตรกรไทยส่วนใหญ่ก็
ไม่ค่อยยอมรับเอาการปลูกสร้างสวนป่ามาเปน็ อาชีพหลัก ด้วยเหตุผลพืน้ ๆ ที่ว่าการปลูกไม้
ป่าตอ้ งใช้เวลายาวนานเกนิ กว่าจะรอคอยได้
สมยั ผมเรียนปรญิ ญาโทอยู่ที่มหาวทิ ยาลัยเฮลซิงกิเม่อื ปี พ.ศ. 2513-2515 ไดถ้ าม
อาจารย์ที่ปรึกาว่าทำไมป่าปลูกของฟินแลนด์จึงเป็นแหล่งรายได้หลักของประเทศ ท่าน
ตอบว่าเพราะใตด้ ินและในทะเลของฟินแลนด์ไม่มีทรัพยากรธรรมชาติอ่ืนใดเลย บนดินก็
ปลูกพืชผลการเกษตรไม่ได้เพราะอากาศหนาวจัดตลอดปี ถ้าไม่มีป่าเศรษฐกิจประเทศ
ฟนิ แลนด์ก็อยไู่ มไ่ ด้
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยก็ไม่โชคร้ายและล้าหลังไปเสียเลยทีเดียว เพราะอย่าง
น้อยเรากม็ คี นบกุ เบิกการปลูกป่าเป็นอาชีพอย่บู ้าง ทผี่ มรจู้ ัก ค้นุ เคย และนบั ถือมากท่ีสุดคน
หนึ่งคือ “นายบุญเพ็ญ นวลฉวี” หรือ “ลุงบุญเพ็ญ” ของคนในแวดวงการปลูกสร้างสวน
ปา่ ภาคเอกชน ผู้ยึดเอาการปลูกสรา้ งสวนปา่ มาเปน็ อาชีพตลอดชวี ติ
ที่กล่าวว่าตลอดชีวิตเพราะ “ลุงบุญเพ็ญ” ได้ถึงแก่กรรมเมื่อวันเสาร์ที่ 22
มิถุนายน 2556 ด้วยวัย 75 ปี 7 เดือน โลงบรรจุศพก็ทำจากไม้สักที่ตนเองปลูกขึ้นมา
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 449
แม้แต่ของที่ระลึกท่ีแจกให้แก่แขกในวันพระราชทานเพลงิ ศพก็เปน็ กล้าไม้ป่าชนดิ ตา่ ง ๆ
เช่น สัก และพะยูง เปน็ ตน้
นายบุญเพ็ญ นวลฉวี เกดิ เมอ่ื วันที่ 18 พฤศจิกายน 2480 ท่ีอำเภอสองพ่นี อ้ ง จังหวัด
สุพรรณบุรี สำเรจ็ การศกึ ษาชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 6 (ในสมัยนน้ั ) แลว้ เขา้ รบั ราชการในตำแหน่ง
บุรุษพยาบาล โรงพยาบาลตำรวจ อยู่ระยะหน่ึง ก่อนลาออกมาช่วยครอบครัวทำสวนดว้ ยใจ
รัก และได้สมรสกบั นางวัลย์ลดา นวลฉวี มีบุตร ธดิ า รวมทัง้ สิน้ 4 คน โดยเฉพาะบุตรคนที่
สอง (นายศิริพงษ์ นวลฉวี) และธดิ าคนทส่ี าม (นางวงษว์ ิภา ศรพี านิช หรอื คณุ ตุก๊ ตา) ซ่ึง
สนิทคนุ้ เคยกบั ผมคอ่ นข้างมากนัน้ ไดย้ ึดอาชพี การปลกู สร้างสวนปา่ ตอ่ จากคุณพ่ออย่างครบ
วงจรดยี ่ิง
ในปี พ.ศ. 2511 “ลุงบุญเพ็ญ” และภรรยาได้เดินทางจากสุพรรณบุรี ด้วยเงินทุน
เพียง 800 บาท ไปลงหลักปักฐานอยู่ที่ตำบลศิลาทิพย์ อำเภอชัยบาดาล จังหวัดลพบุรี ด้วย
การรับจ้างปลูกพชื ไร่ อาทิ ขา้ วโพด และถวั่ เพราะไมม่ ที ี่ดนิ เปน็ ของตนเอง แต่ดว้ ยความเปน็
คนสู้ชีวิต นักคิด นักพัฒนาใฝ่หาความรู้ ต่อมาจึงเริ่มเช่าที่ดินประมาณ 30 ไร่ ปลูกข้าวโพด
เป็นของตนเอง และด้วยความสามารถในเชิงช่าง เมื่อมีรถไถเก่า ๆ จึงทำการซ่อมไถไร่ของ
ตนเอง และรบั จา้ งไถไร่ของคนอ่นื จนทำใหฐ้ านะของครอบครวั เร่ิมดีข้ึน
“ลุงบุญเพ็ญ” ยึดหลักการทำงานด้านการปลูกไม้เศรษฐกิจง่าย ๆ 5 ประการ คือ
“ตอ้ งมใี จรกั ฝักใฝว่ ชิ า ปรกึ ษาอาจารย์ ดูงานใหท้ ว่ั และช่วยเหลอื ตัวเอง”
โดย “ลงุ บญุ เพญ็ ” อธบิ ายให้ฟงั ว่า คนเราจะทำงานอะไรก็ตามถ้าทำดว้ ยใจรกั แลว้ จะ
ต้ังอกตั้งใจทำ ทำอย่างมีความสขุ และภาคภูมิใจกับผลงานทไี่ ด้รบั
ความรู้ในแขนงวิชาที่จะทำด้วยใจรักนั้นเป็นปัจจัยสำคัญอันจะนำไปสู่ความสำเร็จ
เกษตรกรไทยส่วนใหญ่มักจะทำการเกษตรตามบรรพบุรุษ ไม่ใฝ่หาวิชาความรู้ใหม่ ๆ มา
พัฒนาตัวเองให้ทันโลก ทันสถานการณ์ กลายเป็นเกษตรกรตกยุค ใช้เวลาและทีด่ นิ ไมค่ ุม้ ค่า
เพราะนกึ ไม่ออกว่าจะทำอะไร จงึ ปลอ่ ยเวลาใหผ้ า่ นเลยไปอย่างไรป้ ระโยชน์
“ลุงบุญเพญ็ ” บอกว่าวิชาความรู้ที่ใฝห่ ามาไดน้ ั้น ได้มาทั้งจากการอา่ นหนังสือต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้อง เข้าร่วมประชุมสัมมนาวิชาการ รวมทั้งปรึกษาหารือครูบาอาจารย์และ
นกั วิชาการดา้ นการปลูกสรา้ งสวนป่าและการใช้ประโยชนไ์ ม้จากป่าปลกู ท้ังท่ีคณะวนศาสตร์
และกรมป่าไม้
450 รวมเร่อื งสวนป่า
การไปศึกษาดูงานการปลูกสร้างสวนป่าทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน รวมทั้งของ
เพื่อนเกษตรกรด้วยกัน ทั้งที่ประสบผลสำเร็จและล้มเหลว ก็ถือว่าเป็นการใฝ่หาวิชาอย่าง
หน่งึ เพราะเมือ่ ได้ไปดงู านทีห่ ลากหลายทำใหไ้ ด้มโี อกาสพบปะแลกเปล่ียนประสบการณ์กบั ผู้
อยู่ในเสน้ ทางอาชีพเดียวกัน อันจะทำให้ทราบว่าทำไมเขาจงึ ทำสำเรจ็ หรอื ลม้ เหลว
จากหลักการทั้งสี่ประการข้างต้นก็นำเอาความรู้และประสบการณ์ที่ได้มาปรับใช้กบั
กิจการของตนเอง จน “ลุงบุญเพ็ญ” ผู้เริ่มการปลูกป่าแบบลองผิดลองถูก กลายมาเป็น
เกษตรกรผู้ปลูกไม้(ป่า)เศรษฐกิจเป็นอาชีพที่โดดเด่นที่สุดคนหนึ่งของประเทศ เพราะ
นอกจากจะมีอาชีพที่มั่นคงและมีรายได้เป็นกอบเป็นกำพอสมควรแล้ว ยังได้รับ “กล่อง”
จากสังคมอกี มากมาย อาทิ
พ.ศ. 2542 รางวัลเกษตรกรดีเด่นสาขาการปลูกสร้างสวนป่าระดับภาคกลางและ
ภาคตะวันตก
พ.ศ. 2543 รางวัลเกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ ประจำปี 2543 สาขาอาชีพปลูกสร้าง
สวนป่า ซึ่งได้เข้ารับโล่รางวัลพระราชทานจากสมเด็จพระบรมโอรสา
ธิราชสยามมกุฎราชกุมารในพระราชพิธีจรดพระนงั คัลแรกนาขวัญ เม่ือ
วันที่ 15 พฤษภาคม 2543 และในปีเดียวกันนั้นยังได้รับรางวัลชนะเลิศ
การประกวดอุปกรณ์และเครื่องมือด้านการป่าไม้ ประเภทอุปกรณ์และ
เครื่องมือการปลูกสร้างสวนป่า จากกรมป่าไม้อีก 2 รางวัล คือ (1)
ระบบน้ำหยดและสเปรย์น้ำ (2) เครื่องมือตัดทอนไม้อเนกประสงค์ และ
รางวลั รองชนะเลิศสิง่ ประดษิ ฐ์จากการทำเตาเผาถา่ นประยุกต์
พ.ศ. 2544 รางวลั คนดศี รีชัยบาดาล
พ.ศ. 2545 รางวัลรองชนะเลิศการประกวดการผลิตผลิตภัณฑ์ไม้จากสวนป่า
ประเภทเฟอร์นิเจอร์ไม้จากกรมป่าไม้ ด้วยการใช้เทคนิคพิเศษในการ
ประสานเนอื้ ไมเ้ พื่อผลิตโตะ๊ รบั ประทานอาหาร
พ.ศ. 2546 โล่ประกาศเกียรตคิ ุณผู้ทำคุณประโยชน์ใหก้ บั จังหวดั ลพบุรี
พ.ศ. 2548 ครูภูมิปัญญาไทย ร่นุ ที่ 4 ด้านการเกษตรกรรม
พ.ศ. 2552 คณะกรรมการคัดเลอื กเกษตรกรดเี ด่นระดบั ประเทศ
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 451
นอกจากนี้ยงั ได้รบั เชิญให้เป็นกรรมการและประธานคณะกรรมการในชมรม สมาคม
และสหกรณ์ต่าง ๆ อกี หลายแหง่ ได้รับเชญิ ใหเ้ ป็นวิทยากรบรรยายพิเศษในสถาบันการศึกษา
ตา่ ง ๆ และถา่ ยทอดความรูแ้ ละประสบการณ์ในวิชาชพี ในรายการต่าง ๆ ผา่ นทางสถานีวิทยุ
โทรทัศน์ ช่อง 7, 9, 11 และ สื่อสิ่งพิมพ์อีกมากมาย รวมทั้งได้ใช้ “สวนป่าเทิดดำริ” ของ
ตนเองเป็นศนู ย์เรยี นรดู้ า้ นการปลกู สร้างสวนป่า และต่อมาสำนักงานป่าไมเ้ ขตสระบุรี (ช่ือใน
ขณะนั้น) ได้จัดต้ังศูนย์สาธิตการส่งเสรมิ ปลูกสร้างสวนป่าภาคเอกชนขึน้ ท่ีสวนปา่ เทดิ ดำริ
ของนายบญุ เพญ็ นวลฉวี
จากคนรบั จ้างปลูกพืชไร่ในอำเภอชยั บาดาล ในปี พ.ศ. 2511 กลายมาเป็นเกษตรกร
ผู้ปลูกพืชไร่ในที่เช่าควบคู่กับการรับจ้างไถไร่ และเกษตรกรผู้ปลูกพืชไร่ในที่ดินของตนเอง
รวมเวลาประมาณสิบกว่าปี ปรากฏว่าในช่วงปี พ.ศ. 2520-2522 ฝนเริ่มทิ้งช่วง พืชไร่
โดยเฉพาะข้าวโพดเหี่ยวเฉา ได้ผลผลิตต่ำ ต้องตัดต้นไปเลี้ยงวัว จนชาวบ้านเรียกว่า
“ขา้ วโพดพนั ธเุ์ ลี้ยงวัว” และในปี พ.ศ. 2523 ได้เกดิ ภาวะฝนแลง้ อยา่ งรุนแรงอันเป็นผลมา
จากการตัดไม้ทำลายป่า ทำให้ความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพแวดล้อม และระบบนิเวศ
เปลี่ยนไป การปลูกพืชไร่ต้องประสบกับการขาดทุนปีแล้วปีเล่า ประกอบกับข้อมูลข่าวสาร
ทางวิชาการที่ได้ใฝ่หามา ทำให้ “ลุงบุญเพ็ญ” ตัดสินใจทดลองปลูกไม้ป่าเศรษฐกิจขึ้น เป็น
ครั้งแรกในที่ดินของตนเอง เนื้อที่ประมาณ 25 ไร่ ท้องที่ตำบลศิลาทิพย์ อำเภอชัยบาดาล
จังหวัดลพบุรี ในปี พ.ศ. 2526 ซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ปลูกไม้ป่าเศรษฐกิจรายแรกของตำบลนี้
ดว้ ยการปลกู ไม้สัก สนประดิพทั ธ์ มะคา่ แต้ และยูคาลิปตัส ควบคูก่ บั การปลูกพชื เกษตร อาทิ
พริก มะเขือ มะละกอ กล้วย ฯลฯ เป็นพืชควบตามหลักวิชาระบบวนเกษตร ทำการดูแล
รักษาอย่างดี ท้ังการกำจดั วชั พชื ใสป่ ยุ๋ และใหน้ ้ำด้วยระบบนำ้ หยด จนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ
“ลุงบุญเพ็ญ” จงึ ตดั สินใจยึดการปลูกป่าเป็นอาชีพตงั้ แต่ พ.ศ. 2530 เปน็ ต้นมา โดย
ปลูกเป็นแปลง ๆ เกือบทุกปี แปลงละ 12-50 ไร่ รวมเนื้อที่สวนป่าทั้งสิ้นประมาณ 350 ไร่
โดยในระยะหลัง ๆ มักจะเน้นไปทีไ่ ม้สัก ซึ่งปัจจุบันมีประมาณร้อยละ 80 ของพื้นที่ทั้งหมด
ท่เี หลอื ก็เปน็ ไม้ประดู่ ยูคาลิปตัส สนประดิพทั ธ์ สะเดา และมะค่าแต้ บางแปลงปลกู เชิงเด่ยี ว
(monoculture) บางแปลงปลูกไม้หลายชนิดผสมผสานกัน พืชควบที่น่าสนใจในปัจจุบันนี้
คือ กระชาย บุก และกลอย รวมทง้ั พืชสมนุ ไพรและผกั สวนครัวตา่ ง ๆ รายได้หลัก คอื ไม้สัก
ที่ได้จากการตัดขยายระยะ แล้วนำมาแปรรูปจำหน่าย และ/หรือผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น
โต๊ะ เก้าอี้ ฝาไม้ บานประตู บานหน้าต่าง ศาลาไม้ รวมทั้งกุฏิและบ้านไม้ ส่วนไม้กระยาเลย
452 รวมเร่ืองสวนปา่
ตา่ ง ๆ กใ็ หร้ ายไดจ้ ากการขายเปน็ ไม้เสาเข็ม ไมแ้ ปรรปู และผลิตผลติ ภัณฑไ์ ม้ตา่ ง ๆ รวมทั้ง
ใชเ้ ศษไมป้ ลายไม้ไปเผาถา่ นขายอกี ด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่าผลสำเร็จในอาชีพการปลูกสร้างสวนป่าของ “ลุงบุญเพ็ญ” นั้นมิ
ได้มาจากโชคช่วย แต่เกิดจากใจรัก ยึดหลักวิชาการ และความมานะพยายามโดยแท้ดังคำ
กลา่ วทท่ี ่านได้เนน้ อยเู่ สมอวา่ “ผลของความผิดพลาดคือบทเรียน ผลของความพากเพียร
คอื ความสำเร็จ”
“ลุงบุญเพ็ญ” ไดน้ ำเอาหลกั วิชาวนวัฒนวทิ ยาท่ีว่าดว้ ยการปลูกและจัดการสวนปา่ มา
ใชอ้ ย่างเคร่งครัดทกุ ข้นั ตอน ต้งั แต่การคัดเลอื กชนดิ ไม้ ปลกู ใหส้ อดรับกบั สภาพแวดล้อมของ
ที่ดิน เตรียมพื้นที่ปลูกอย่างประณีต ปลูกในรูปของสวนป่าผสมหรือไม่ก็ในระบบวนเกษตร
ดูแลบำรุงรักษาอย่างดี เพราะตระหนักว่าไม้ป่าก็ต้องการการดูแลรักษาเช่นเดียวกับพืช
เกษตร ไม่ใช่ปลูกทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ปล่อยให้เทวดาเลี้ยงแล้วเติบโตไปตามยถากรรม มาตรการ
การดแู ลรกั ษาท่สี ำคญั อย่างหนึ่งกค็ ือไมท้ มี่ อี ายุการตดั ฟันยาวเพอ่ื ใช้เปน็ ไมซ้ ุง ผลิตไม้แปรรูป
จะตอ้ งมีการลดิ กง่ิ และตดั ขยายระยะเป็นช่วง ๆ ตามความเหมาะสม ตามหลกั วชิ าการ
ในที่นี้ใคร่ขอยกตัวอย่างการปลูกและการจัดการสวนป่าของ “ลุงบุญเพ็ญ” มา
เพอ่ื ใหผ้ ู้สนใจท่ีคิดจะเดินตามได้เห็นแสงสวา่ งทีป่ ลายอุโมงคบ์ า้ งเลก็ น้อย
หลังจากมีประสบการณ์ “ผลของความผิดพลาดคือบทเรียน” จากการปลูกสร้าง
สวนป่าคร้งั แรกในปี พ.ศ. 2526 แลว้ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2530 “ลุงบุญเพ็ญ” ได้ใช้เน้ือท่ี 20 ไร่
ปลูกไม้ป่าเศรษฐกิจแบบผสมผสานในอัตราความหนาแน่นของหมู่ไม้ 400 ต้นต่อไร่ (ระยะ
ปลูก 2 x 2 เมตร) โดยปลูกสนประดิพัทธ์ 300 ต้นต่อไร่ และปลูกประดู่ สะเดา มะค่าแต้
รวม 100 ต้นต่อไร่ ปลูกพืชผักสวนครัวจำพวก ขิง ข่า คะน้า มะเขือ พริกขี้หนูแทรกตาม
หลักการของระบบวนเกษตร ทำให้มีรายได้จากพืชควบเดือนละ 3,000-5,000 บาท เม่ือ
ตน้ ไมโ้ ตขึ้น คือในปีท่ี 4 เรอื นยอดเรมิ่ เบยี ดชิดกนั กต็ ัดไมส้ นประดิพัทธ์บางสว่ นออกตามหลัก
ของการตัดขยายระยะเพื่อขายเป็นไม้ค้ำยัน ทำใหม้ ีรายไดป้ ระมาณ 430,000 บาท นำมาใช้
ในการบำรุงรักษาไมท้ เี่ ตบิ โตช้าและมอี ายกุ ารตัดฟนั ยาวกวา่
อีกตัวอย่างหนึ่งก็คือในปี พ.ศ. 2537 กรมป่าไม้ได้จัดตั้งโครงการส่งเสริมเกษตรกร
ปลูกปา่ (โครงการ 3,000 บาทต่อไร่) ตาม พ.ร.บ. สวนป่า พ.ศ. 2535 “ลุงบุญเพญ็ ” ได้เข้า
ร่วมโครงการฯ ด้วยการปลูกไม้สัก 50 ไร่ โดยใช้ระยะปลูก 2 x 3 เมตร หรือประมาณ 266
ต้นต่อไร่ โดยแปลงนี้มีสักเป็นไม้ป่าเพียงชนิดเดียว คือ ปลูกเป็นสวนป่าเชิงเดี่ยว แต่มีพืช
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 453
เกษตรเป็นพืชควบเพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมบ้าง ที่ต้องปลูกถี่เพราะไม้สักทิ้งใบในช่วงฤดู
หนาว-ฤดูแล้ง เมื่อถึงหน้าฝนความกว้างใหญ่ของใบสักและแน่นทึบของเรือนยอดสามารถ
ยับยั้งการเติบโตและแพร่กระจายของวัชพืชได้เป็นอย่างดี นั่นคือ ระยะปลูกที่ถี่ช่วยลด
ค่าใช้จ่ายในการกำจัดวัชพืชลงได้ บางคนอาจคิดว่าการปลูกถี่ต้องใช้ปริมาณต้นกล้าและ
ค่าแรงงานปลกู ต่อไรส่ ูง แต่นน่ั เป็นการจ่ายเพยี งครงั้ เดียว ในขณะท่ีการกำจัดพชื ตอ้ งทำทุกปี
ปลี ะ 3 คร้งั เป็นอย่างต่ำ
ในช่วง 2 ปแี รกเกษตรกรจะตอ้ งไม่ลดิ ก่ิงต้นสกั โดยเดด็ ขาด โดยลงุ “ลงุ บญุ เพญ็ ”เรยี ก
การจัดการสวนป่าในระยะ 1-2 ปีนี้ว่า “ระยะสร้างฐานราก” เพื่อให้ใบได้ทำหน้าที่ในการ
สงั เคราะห์แสงได้อยา่ งเต็มท่ี จากน้นั ในปีที่ 3 ซึ่งเป็นระยะ “ถากถางส่จู ดุ หมาย” จึงทำการ
ลิดกิ่ง 2 คู่ล่างออกเพื่อเสริมสร้างความตรงเปลาของลำต้น ปีที่ 4 เป็นระยะของการ “ตัด
ขยายระยะ” แล้วจงึ “ประเมนิ ผล” ในปที ี่ 5-7 โดยการวัดการเติบโตของต้นไม้ภายหลังการ
ตัดขยายระยะ ปีที่ 8-12 “ลุงบุญเพ็ญ”เรียกระยะนี้ว่า “ทนอีกนิด” เพราะต้องรอให้ไม้สัก
เจริญเติบโตมีขนาดใหญ่ตรงกับความต้องการของตลาดเพื่อจะเดินเข้าสู่ระยะ “พิชิต
จุดหมาย” ในปีท่ี 13-20 ตอ่ ไป ซึ่งหลังจากนแี้ ทบจะไมม่ คี ่าใชจ้ ่ายในการดูแลรักษาสวนปา่ ที่
ไมม่ รี ายไดก้ ลบั คนื เข้ามาเลย
การตัดขยายระยะเป็นหวั ใจสำคญั
ของการจดั การสวนสักและสวนไม้ท่ีมีรอบ
ตัดฟันยาวอื่น ๆ เช่น ประดู่ แดง ยางนา
มะฮอกกานี พะยงู ฯลฯ ในกรณีของไมส้ ัก
ทีป่ ลูกในปี พ.ศ. 2537 นนั้ “ลงุ บุญเพ็ญ”
ไดท้ ำการตัดขยายระยะคร้งั แรกในปี พ.ศ.
2541 (เมื่อไมม้ อี ายุ 4 ปี) โดยเลือกตดั ตน้
ที่มีขนาดเล็กและคดงอไม่สมบูรณ์ออกไร่
ละ 50 ต้น นำไม้ไปเพาะเห็ดหูหนูขายได้
เงิน 18,000 บาท ซึ่งอาจจะมองดูว่าน้อย
ไม่คุ้มค่าแรง แต่อย่าลืมว่าเป้าหมายของ
การตัดขยายระยะนั้นก็เพื่อเร่งการ
เติบโตของตน้ ไม้ทเ่ี หลืออยู่ เม่ือเรอื นยอด
454 รวมเรือ่ งสวนปา่
เบียดชิดกันก็ต้องทำการตัดขยายระยะ เงิน 18,000 บาทเป็นเพียงผลพลอยได้จากการ
จัดการสวนสักเท่าน้ัน
การตัดขยายระยะครั้งที่ 2, 3, 4 และ 5 ได้กระทำในปี พ.ศ. 2545, 2549, 2552,
และ 2555 โดยตัดไม้ออกไร่ละ 50, 30, 40, และ 30 ต้น ตามลำดับ ไม้ที่ได้จากการตดั สาง
ระยะหลังนี้เริ่มนำมาขายเป็นไม้ท่อน ไม้แปรรูป ทำเครื่องเรือน เช่น โต๊ะ เก้าอี้ วงกบ บาน
ประตู หน้าต่าง และทำสิ่งปลูกสร้าง เช่น ศาลา ซุ้มนั่งพักผ่อน รวมทั้งกุฏิพระ และบ้านพกั
ซึ่งสวนสัก 50 ไร่ ดังกล่าว “ลุงบุญเพ็ญ” ได้ตัดสางไม้ออกครั้งละ 2,500, 1,500, 2,000,
และ 1,500 ต้น ทำให้มีรายได้ประมาณ 230,000, 280,000, 350,000 และ 810,000 บาท
ในปี พ.ศ. 2545, 2549, 2552, และ 2555 ตามลำดับ หากเอา 50 (ไร่) เป็นตัวหารก็จะได้
ค่าเฉลี่ยต่อไร่ เท่ากับ 4,600, 5,600, 7,000, 16,200 บาท ตามลำดับ หรืออาจกล่าวอีกนัย
หนึ่งได้วา่ “ลุงบุญเพ็ญ” มีรายได้จากการตัดขยายระยะไม้เนื้อท่ี 50 ไร่ จำนวน 5 ครั้ง รวม
33,760 บาทต่อไร่ หรือเฉลี่ยเท่ากับ 1,876 บาทต่อไร่ต่อปี ทั้งนี้ยังไมน่ ับมูลค่าของไม้ขนาด
ใหญ่ทม่ี ีฟอรม์ สวยงามยนื ต้นอยู่ในสวนอีกไรล่ ะ 60 ต้น
ขอ้ มูลดังกล่าวน้เี ป็นตวั เลขท่ไี ดจ้ ากการทำจริง ๆ ไม่ใช่ตัวเลขประมาณการ
หลังการตัดขยายระยะครั้งที่ 5 ในปี พ.ศ. 2555 ซึ่งต้นไม้มีอายุ 18 ปี แล้ว มีต้นสัก
เหลืออยู่ประมาณไร่ละ 60 ต้น “ลุงบุญเพ็ญ” วางแผนว่าจะทำการตัดขยายระยะครั้งต่อไป
เมื่อต้นไม้มีอายุ 23 ปี โดยจะตัดให้เหลือ 20-25 ต้นต่อไร่ตามหลักวิชาการ ต้นไม้จะมีเสน้
รอบวงที่ระดับอกเฉลี่ยประมาณ 140 เซนติเมตร ราคาลูกบาศก์เมตรละ 18,000 บาท และ
จะทำการตดั ฟันครั้งสดุ ท้าย (final cutting) เมือ่ ไมม้ อี ายุครบ 30 ปเี ต็ม โดยคาดหวังว่าจะมี
ปริมาตรประมาณต้นละ 1 ลกู บาศก์เมตร
แต่โชคร้ายที่ “ลุงบุญเพ็ญ” ต้องมาเสียชีวิตไปกอ่ นในปี พ.ศ. 2556 จึงไมม่ ีโอกาสทำ
การตัดขยายระยะครั้งที่ 6 ในปี พ.ศ. 2560 และทำไม้ออกในปี พ.ศ. 2567 นั่นคือ ไม่มี
โอกาสได้จบั เงนิ ลา้ นจากการปลกู ป่าเปน็ อาชีพด้วยมือของตนเอง
แต่ “ลุงบุญเพ็ญ” ก็นอนตายตาหลับในโลงไม้สักที่ปลูกสร้างมาจากน้ำมือของ
ตนเองแท้ ๆ
ก่อนตาย “ลุงบุญเพ็ญ” ได้พาลูก ๆ ไปเข้าร่วมประชมุ สัมมนาและแนะนำให้รู้จักกับ
บุคคลในวงการปลูกสร้างสวนป่าอยู่หลายครั้ง รวมทั้งได้สั่งให้ลูกเมียมอบทุนการศึกษา
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 455
ประจำปใี นนามของ “ทุนบุญเพ็ญ-วลั ย์ลดา นวลฉวี” ให้แก่นิสิตคณะวนศาสตร์ สาขาวชิ า
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยที างไม้ ซ่งึ ศกึ ษาเกีย่ วกบั การนำไม้มาใชป้ ระโยชนใ์ นรปู แบบตา่ ง ๆ
โดยตรง นั่นคือ “ลุงบุญเพ็ญ” ต้องการสื่อให้สังคมทราบค่า เราต้องช่วยกันรณรงค์ให้ใช้ไม้
แทนวัสดุอ่ืน เพราะไม้เปน็ ทรัพยากรธรรมชาติทีส่ ร้างขึ้นมาใหม่ได้ (renewable resource)
แต่ไม้ที่ใชต้ ้องได้มาจากการปลกู หรอื สวนป่าเทา่ นน้ั
เราต้องช่วยกันปลูกไม้(ป่า)เศรษฐกิจ ปลูกแล้วตัดมาใช้ประโยชน์ ตัดแล้วปลูก
ขนึ้ มาทดแทน ดังเช่นทปี่ ระเทศฟินแลนดเ์ ขาทำกันมานานหลายชั่วอายคุ นแลว้
นี่คือ “ลุงบุญเพ็ญ” : นายบุญเพ็ญ นวลฉวี ผู้ยึดการปลูกสร้างสวนป่าเป็นอาชีพ
มาตลอดชีวิต
ท่านที่สนใจจะเข้าชมกิจการสวนปา่ เทดิ ดำริของคุณบญุ เพ็ญ นวลฉวี โปรดติดต่อคุณ
ตุก๊ ตา หรอื วงษ์วภิ า ศรพี านิช (โทร : 091-779-1470) บ้านเลขท่ี 10 หมู่ท่ี 1 ตำบลศลิ าทพิ ย์
อำเภอชัยบาดาล จงั หวดั ลพบรุ ี
76 การประชมุ นานาชาติ
วา่ ดว้ ยไม้สกลุ สนทะเลครง้ั ท่ี 5
คนไทยจำนวนไมน่ อ้ ย ทงั้ ที่อย่ใู นวงการและนอกวงการปา่ ไม้ มกั จะคิดวา่ สนทะเลเปน็
ไม้ที่แทบจะไม่มีบทบาทในทางเศรษฐกิจที่ควรค่าแก่การลงทุนลงแรงปลูกเลย เพราะมักจะ
พบเห็นกันอยูท่ ่ัวไปตามแนวหาดทรายชายฝั่งทะเล ซึ่งมักจะเรียกกนั วา่ “ต้นสน” ยิ่งไปกว่า
นั้น บางคนยังไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่า “สนทะเล” ที่ชะอำ เป็นไม้ชนิดเดยี วกันหรอื แตกตา่ งไป
จาก “สนสามใบ” ท่ีดอยสเุ ทพหรอื ไม่ อยา่ งไร
แต่สำหรับนักวิชาการป่าไม้ เกษตรกรผู้ปลูกป่า และผู้ประกอบการด้านการใช้
ประโยชนไ์ ม้โตเรว็ กลมุ่ เลก็ ๆ กลุ่มหน่ึงกลบั เห็นวา่ ไม้ชนดิ นี้มีบทบาททั้งทางตรงและทางอ้อม
ไมย่ ่ิงหยอ่ นไปกวา่ ไม้โตเร็วที่มอี ายุการตดั ฟันสั้นอย่างกระถนิ เทพา และยคู าลิปตัส ฯลฯ แถม
ยังมีข้อมูลทางวิชาการจากการศึกษาวิจัยที่น่าเชื่อถือกว่าไม้ (ที่คิดว่า) โตเร็วหลายชนิดท่ี
พยายามสร้างกระแสใหฮ้ ือฮาเพยี งเพอ่ื (หลอก) ขายตน้ กล้ากนั ไปในช่วงเวลาสนั้ ๆ ก่อนที่จะ
วางมือแลว้ ควา้ เอาไมช้ นดิ ใหมข่ ึ้นมาปลกุ ปน้ั หากินกับเหย่ือรายใหมก่ นั ตอ่ ไป
สนทะเลเป็นไม้โตเร็วอเนกประสงค์ รากสามารถตรึงไนโตรเจนจากบรรยากาศได้
เช่นเดียวกับพืชตระกูลถั่ว ระบบรากลึกและแผ่กว้าง สามารถยึดดินทรายชายฝั่งทะเลได้ดี
เรือนยอด กง่ิ ใบล่ลู มเหมาะสำหรบั ปลูกเปน็ แนวกนั ลม ลำตน้ ตรงเปลาเหมาะสำหรบั ใช้ทำไม้
ค้ำยันและไมเ้ สาเขม็ ในงานก่อสร้าง เนื้อไม้มีค่าความร้อนสูงเหมาะสำหรับใช้ทำฟืน เผาถ่าน
หรือปลูกเป็นสวนป่าพลังงานชีวมวล ความยาวของเส้นใยและคุณสมบัติของเนื้อไม้เหมาะ
สำหรับใช้ผลิตเยื่อในอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ รวมทั้งขึ้นได้ดีในสภาพแวดล้อมท่ี
หลากหลาย ดนิ ทราย แห้งแล้ง หรอื ดนิ ค่อนขา้ งเหนียว ท่ีมีน้ำทว่ มขังเปน็ ครั้งคราว
ด้วยเหตุนี้เอง องค์กรป่าไม้และกลุ่มบุคคลที่สนใจจึงได้รวมตัวกันจัดให้มีการประชุม
เชงิ ปฏบิ ัติการนานาชาตวิ ่าด้วยไมส้ กุลสนทะเล (International Casuarina Workshop)
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 14 (150) : 36–39 (พ.ศ. 2557)
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 457
ต้ังแตป่ ี พ.ศ. 2524 ตอ่ เน่อื งกนั มาในประเทศตา่ ง ๆ ถึง 5 ครง้ั โดยแตล่ ะครั้งก็จะมีจุดเน้นท่ี
แตกต่างกนั ออกไป
ครงั้ ท่ี 1 พ.ศ. 2524 ท่กี รงุ Canberra ประเทศออสเตรเลยี
ครัง้ ที่ 2 พ.ศ. 2533 ท่ีกรงุ Cairo ประเทศอียปิ ต์
ครง้ั ท่ี 3 พ.ศ. 2539 ทเ่ี มือง Da Nang ประเทศเวียดนาม
ครัง้ ที่ 4 พ.ศ. 2553 ทีเ่ มอื ง Haikou ประเทศสาธารณรฐั ประชาชนจนี
ครัง้ ท่ี 5 พ.ศ. 2557 ท่เี มอื ง Mamallapuram ประเทศอินเดยี
ในการประชุมเชิงปฏิบัติการว่าด้วยไม้สกุลสนทะเลครั้งที่ 5 ที่อินเดียนั้น ได้เน้นด้าน
การปรับปรุงพันธ์ุไม้สกุลสนทะเลเพ่ือเพิ่มผลผลิตของไม้และรายได้จากสวนปา่ อันจะนำไปสู่
ความยั่งยืนของชีวิตความเป็นอยู่ในชนบท โดยจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 3-7 กุมภาพันธ์ 2557
ที่เมืองมามาลลาปูแรมซึ่งเปน็ พ้ืนที่มรดกโลกและเป็นเมืองท่าโบราณของอินเดีย อยู่ห่างจาก
เมือง Chennai อันเป็นเมืองหลวงของรัฐ Tamil Nadu ลงไปทางใตป้ ระมาณ 60 กิโลเมตร
มีผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศต่าง ๆ รวมทั้งสิ้นประมาณ 100 คน โดยไปจากประเทศไทย
5 คน คือจากโครงการไม้พลังงานชีวมวล มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 3 คน และจากส่วน
วนวัฒนวิจยั กรมปา่ ไม้ 2 คน
การประชุมในห้องประชุม 3 วันมีทั้งการนำเสนอผลงานวิจัยภาคบรรยายจำนวน 48
เรื่อง และภาคโปสเตอร์ 33 เรื่อง ภายใต้ภาคส่วนหลัก ๆ 7 หัวข้อ อันได้แก่ (1) สถานภาพ
ด้านการวิจัย พัฒนา และการใช้ประโยชน์ (2) บทบาทของจุลินทรีย์ที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง
ธาตุอาหารในดนิ ของไม้สกลุ สนทะเล (3) พันธศุ าสตร์และการปรับปรุงพนั ธุ์ (4) วนวัฒนวทิ ยา
และวนเกษตร (5) โรคและแมลงศัตรูพืช (6) ไบโอเทคโนโลยี และ (7) การประยุกต์ใช้ใน
ภาคอุตสาหกรรม เศรษฐสังคม และการเปล่ียนแปลงของสภาพภมู ิอากาศ
นอกจากน้ี ยงั มีการศึกษาดงู านนอกสถานท่ีเกีย่ วกบั สวนผลิตเมลด็ พันธุ์ แปลงเพาะชำ
กล้าไม้ แปลงทดสอบลกู ผสมและสายต้น สวนสนทะเลและสนประดิพัทธข์ องเอกชน อีก 1 วัน
การประชุมครั้งนี้มีคนไทยนำเสนอผลงานภาคบรรยาย 3 คน คือ ดร. มะลิวัลย์
หฤทัยธนาสันต์ จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นำเสนอผลงานวิจัยเรื่องการเติบโตของไม้
สกลุ สนทะเลลูกผสมระหวา่ งสนประดพิ ัทธ์กบั สนทะเลท่ีปลกู เพื่อพลังงานชวี มวลบนทดี่ นิ เค็ม
ชายทะเล คุณพิเศรษฐ ลือชานิมิตจิต จากกรมป่าไม้ นำเสนอผลงานวิจัยเรื่องการประเมิน
458 รวมเรอื่ งสวนป่า
สายต้นของไม้สนประดิพทั ธท์ ปี่ ลกู ในประเทศไทย และคุณคงศักดิ์ ภญิ โญภษู าฤกษ์ นำเสนอ
ผลงานทางวิชาการเรื่องการปรับปรุงพันธุกรรมไม้สกุลสนทะเล : ผลสำเร็จในอดีตและความ
จำเป็นเรง่ ดว่ นในอนาคต
คุณคงศักด์ิ ภิญโญภูษาฤกษ์ เคยรับราชการอยู่
ที่กรมป่าไม้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง จบการศึกษาระดับ
ปรญิ ญาตรีจากคณะวนศาสตร์ (วน. 33) มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัย
แห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) ต่อมาได้ลาออกจากกรม
ป่าไม้และได้รับการบรรจุเข้าทำงานเป็นนักวิจัยด้าน
วนวฒั นวิทยาท่ี CSIRO (Commonwealth Scientific
and Industrial Research Organization : องค์การ
วิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรมแห่งเครือจักรภพ ออสเตรเลีย) กรุงแคนเบอรา ประเทศ
ออสเตรเลีย จนเกษียณอายุราชการเมื่อสองปีที่ผ่านมา แต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของ
CSIRO ออสเตรเลยี อยู่ ซึง่ นบั วา่ เปน็ คนไทยคนแรกและคนเดียวท่ีทำงานด้านป่าไม้ในองค์กร
แห่งนี้ มีผลงานวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์ไม้ป่ามากมาย โดยเฉพาะไม้โตเร็วที่มีรอบ
หมุนเวียนในการตัดฟันส้ันทัง้ ในสกุลไม้กระถินณรงค์ (Acacia) สนทะเล (Casuarina) และ
ยูคาลิปตัส (Eucalyptus) มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับอย่างสูงจากวงวิชาการด้านนี้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากประเทศเวียดนาม จีนตอนใต้ และอินเดียตอนใต้ เพราะเป็นผู้บุกเบิก
ในการนำไม้โตเร็วสายพันธุ์ใหม่ ๆ เข้าไปทดสอบและติดตามผลอย่างต่อเนื่องยาวนานจน
สามารถถา่ ยทอดถงึ มือเกษตรกรผู้ปลกู ปา่ ในประเทศท้ังสามรวมท้งั ประเทศไทยด้วย
ในปี พ.ศ. 2533 ผมไดม้ โี อกาสเขา้ รว่ มประชมุ ไมส้ กุลสนทะเล คร้ังท่ี 2 ทกี่ รุงไคโรมา
ครงั้ หนง่ึ แลว้ พบวา่ การประชุมทั้งสองครง้ั ทีไ่ ดเ้ ขา้ รว่ มนเ้ี ปน็ การประชมุ ทางวิชาการป่าไม้ที่ดี
มาก ทั้งรูปแบบการจัด เนื้อหาสาระที่นำเสนอ และผู้เข้าร่วมประชุมซึ่งเป็นเพียงกลุ่มเล็กๆ
ประมาณ 100 คน แตเ่ จาะลึกเฉพาะไมส้ กลุ สนทะเลในแง่มมุ ตา่ ง ๆ เทา่ นน้ั
ไม้สกุลสนทะเล (Genus Casuarina) เป็นไม้พื้นเมืองของออสเตรเลีย อินเดียตอนใต้
เอเชยี อาคเนย์ และหมู่เกาะต่าง ๆ ทางตะวันตกของมหาสมุทรแปซิฟิก มอี ยูด่ ้วยกันทั้งส้ิน 17
ชนิด แต่ที่มีบทบาทในทางเศรษฐกิจและพูดถึงกันมากในที่ประชุมนี้มีเพียง 5 ชนิด คือ สน
ทะเล (Casuarina equisetifolia) สนประดิพัทธ์ (Casuarina junghuhniana), Casuarina
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 459
cristata, Casuarina cunninghamiana และ Casuarina glauca โดยชนิดสุดท้ายนั้น
สามารถทนเค็มและขึ้นในที่ดินพรุได้ดีจึงเรียกชื่อสามัญว่า saltmarsh ironwood และ
swamp oak รวมทั้งสองชนิดหลังยังสามารถทนต่ออากาศหนาวเย็นที่มีอุณหภูมิต่ำกว่า 0
องศาเซลเซียสได้ดีกว่าชนิดอื่น ๆ ส่วนจุดเด่นของ Casuarina cristata คือเนื้อไม้มีความ
หนาแนน่ สูง แต่อย่างไรก็ตาม ไมส้ กลุ สนทะเลท่ีปลกู กันแพรห่ ลายมากในขณะนี้ยงั มีอยู่เพยี ง 2
ชนดิ คือ สนทะเลและสนประดพิ ัทธ์ รวมท้ังลกู ผสมของไมส้ องชนิดนเี้ ท่าน้ัน
แม้ไม้สกุลสนทะเลบางชนิดจะทนอากาศหนาวเย็นได้บ้าง แต่การปลูกเชิงพาณิชย์
แทบทั้งหมดอยู่ในเขตร้อน (Tropics) ซึ่งทั่วทั้งโลกมีพื้นที่ปลูกประมาณ 17 ล้านไร่ ในอดีต
จีนเคยเป็นประเทศที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุด คือเคยสูงถึง 6.25 ล้านไร่ แต่ปัจจุบันลดลงเหลือ
เพียง 1.88 ล้านไร่เท่านั้น เพราะพื้นที่สวนป่าไม้สกุลนี้จำนวนไม่น้อยถูกนำมาใช้ในการ
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ เพื่อรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่เกิดขึ้น
อย่างรวดเร็วมากในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา ทำ
ให้อินเดียแซงขึ้นมาเป็นผู้ปลูกรายใหญ่ที่สุดในโลก
มีเนื้อที่ปลูกรวมทั้งสิ้นประมาณ 3.13 ล้านไร่ ส่วน
ใหญ่เป็นไม้สนทะเลและสน ประดิพัทธ์ ปลูกทาง
ตอนใต้ของประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่งิ ในรัฐ Andhra
Pradesh, Orissa, Puducherry และ Tamil Nadu
ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กว่าร้อยละ 80 ของพื้นทีป่ ลูกทัว่
ประเทศ
ผมเคยไปอนิ เดยี มากอ่ นแลว้ แต่ไปในฐานะนักท่องเท่ยี ว รู้สกึ ว่าแขกอนิ เดยี ชอบคุยโว
คุยไม่หยุด นี่เป็นครั้งแรกที่ไปในฐานะนักวิชาการ เข้าร่วมประชุมสัมมนาและศึกษาดูงาน
เห็นแล้วทึ่งมาก ๆ นักวิชาการจากสถาบันวิจัยพันธุศาสตร์และการผสมพนั ธุ์ไม้ป่า (IFGTB :
Institute of Forest Genetics and Tree Breeding) ของเขาเก่งจริง ๆ เอาการเอางานการ
ค้นคว้าวิจัยอย่างจริงจังและต่อเนื่องยาวนานจนได้ผลที่เชื่อถือได้ในเชิงวิทยาศาสตร์แล้วจงึ
ถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่ภาคเอกชนทั้งรายย่อยและรายใหญ่เพื่อนำไปประยุกต์ขยายผล อย่าง
นอ้ ยทีส่ ุดในสว่ นทเ่ี กย่ี วกบั ไมส้ กุลสนทะเลท่ไี ดไ้ ปพบเห็นมากบั สายตาตนเอง
นักวิจยั ปา่ ไมช้ าวอินเดียต่างก็พดู ถึงและกล่าวยกยอ่ งในทีป่ ระชุมว่าผลสำเร็จของการ
ปรับปรุงพันธุ์ไม้สกุลสนทะเลจนไดล้ ูกผสมสายพันธ์ุใหม่รุ่นที่สามในช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา
460 รวมเรอื่ งสวนปา่
และทำให้ผลผลิตของเนื้อไม้เพิ่มจากร้อยละ 15 ขึ้นมาเป็นร้อยละ 112 นั้น เป็นเพราะการ
สนับสนุนของ CSIRO ออสเตรเลีย ผ่านการทำงานอย่างจริงจังอันยาวนานของคุณคงศักดิ์
ภญิ โญภษู าฤกษ์
ในฐานะที่เป็นหนึ่งในหกของคนไทยที่นั่งอยู่ในห้องประชุมนั้น ผมก็เลยพลอยได้
หนา้ ตามไปด้วย
กล่าวเฉพาะไม้สนทะเลและสนประดิพัทธ์ซึ่งเป็นไม้สกุลสนทะเลที่สำคัญของอินเดีย
สนประดิพัทธ์มีถิ่นกำเนดิ เดิมอยู่ในประเทศอินโดนีเซีย ส่วนสนทะเลนั้นเข้าใจว่าขึ้นอยู่ตาม
หาดทรายชายเกาะแกง่ ตา่ ง ๆ ในมหาสมุทรอนิ เดียบา้ ง แตเ่ อกสารทางวชิ าการระบวุ ่าอินเดยี
ไดน้ ำไม้สนทะเล (จากแหล่งไหนไม่ระบุ) ไปปลูกบนแผน่ ดินใหญเ่ ป็นครง้ั แรกในปี พ.ศ. 2411
เพื่อสนองความต้องการไม้ฟืนของชาวบอมเบย์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในขณะนั้น ส่วนไม้สน
ประดิพัทธ์นั้นอินเดียได้นำกิ่งปักชำจากประเทศไทยเข้าไปปลูกในอินเดียเป็นครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2494 ที่ต้องเป็นกิ่งปักชำซึ่งได้มาจากการขยายพันธ์โดยไม่อาศัยเพศ (vegetative
propagation) กเ็ ปน็ เพราะสนประดพิ ทั ธท์ ปี่ ลกู อย่ใู นประเทศไทยซ่งึ พระยาประดิพทั ธ์ภบู าล
นำจากประเทศอินโดนเี ซียเข้ามาปลกู ในประเทศไทยในปี พ.ศ. 2433 มแี ตเ่ พศผู้ ไมม่ เี พศเมยี
จงึ ไม่มีเมล็ดที่จะใช้ในการขยายพันธุ์โดยวธิ ีอาศัยเพศ (reproductive propagation)
สถาบันวิจัยฯ ของอินเดียพบว่าสนประดิพัทธ์มีข้อดีมากกว่าสนทะเลหลายประการ
ทั้งผลผลิตต่อไร่ ความสามารถในการแตกหน่อภายหลังการตัดฟัน การต้านทานโรค
ต้านทานลมพายุ (ไต้ฝุ่น) ฯลฯ ต่อมาจึงได้นำเมล็ด 6 ถิ่นกำเนิดจากติมอร์ตะวันออกมา
ทดลองปลกู และพบว่าสนประดิพทั ธจ์ ากติมอรเ์ ติบโตเรว็ กว่าสนทะเลด้ังเดมิ รวมท้ังปริมาณ
เมล็ดท่ีได้ต่อกโิ ลกรัม (1.6 ล้านเมล็ด กับ 0.6 ลา้ นเมล็ด) และอตั ราการงอกของเมล็ด (90%
กับ 45%) ก็สูงกว่าไม้สนทะเล นกั วิจยั ด้านการปรับปรุงพันธไุ์ มป้ า่ ของอินเดียจึงเอาข้อดีของ
ไมส้ กลุ สนทะเลท้ังสองชนิดนี้มาผสมข้ามและสรา้ งลกู ผสมสายพนั ธใ์ุ หม่ขนึ้ มา แลว้ ขยายพันธุ์
จากท้ังสองวิธี ผลิตกลา้ ไมแ้ จกจ่ายใหเ้ กษตรกรผปู้ ลูกป่า
ด้วยข้อจำกัดของหนา้ กระดาษทไี่ ดโ้ ทรศพั ท์ขอกนั ไว้ เหน็ จะตอ้ งขอจบการประชุม
นานาชาติว่าด้วยไม้สกุลสนทะเลครั้งที่ 5 ภาค 1 ไว้เพียงแค่นี้ก่อน ส่วนภาค 2 จะ
นำเสนอเม่อื ใดนัน้ ยังไม่ขอสัญญาให้เป็นการผกู มัดตวั เองครบั
77 การปลูก
ไม้สกุลไมส้ นทะเล
ในประเทศอินเดีย
แม้ไมใ้ นสกุลไมส้ นทะเล (Genus Casuarina) จะมีอยดู่ ้วยกันถงึ 17 ชนิดก็ตาม แต่ท่ี
นิยมปลูกในเชิงพาณิชย์และมีบทบาททางเศรษฐกิจในปัจจุบันนี้มีเพียง 2 ชนิด คือ สนทะเล
(Casuarina equisetifolia) และสนประดิพัทธ์ (Casuarina junghuhniana) เท่านั้น มี
พื้นที่ปลูกรวมทั้งสิ้นประมาณ 17 ล้านไร่ โดยอินเดียเป็นประเทศที่มีพื้นที่ปลูกมากที่สุดใน
โลก คือราว ๆ 3.13 ล้านไร่ หรือร้อยละ 18.41 ของพื้นที่ปลูกทั่วทั้งโลก ส่วนใหญ่ปลูกทาง
ตอนใต้ของประเทศ โดยเฉพาะในรัฐ Andhra Pradesh, Orissa, Puducherry และรัฐ
Tamil Nadu ซ่ึงมีพื้นท่ปี ลกู รวมกนั เกนิ กวา่ ร้อยละ 80 ของพื้นทป่ี ลูกท้ังประเทศ
ทั้งสนทะเลและสนประดิพัทธ์ต่างก็ไม่ได้เป็นไม้พื้นถิ่นของประเทศอินเดียโดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในส่วนที่เรียกว่าอินเดียแผ่นดินใหญ่ (mainland India) สนทะเลอาจจะมีอยู่ตาม
ธรรมชาติบ้างตามหมู่เกาะอันดามัน (Andaman Islands) ในมหาสมุทรอินเดีย แต่สน
ประดิพัทธ์ถือว่าเป็นพันธ์ุไม้ต่างถิ่นของอินเดียอย่างสิ้นเชิง อินเดียได้นำไม้สนทะเลจากหมู่
เกาะอันดามันขึ้นไปปลูกบนแผ่นดินใหญ่เป็นครั้งแรกในปี พ.ศ. 2411 และได้นำสน
ประดพิ ัทธ์จากประเทศไทยเข้ามาทดลองปลกู เป็นคร้ังแรกในปี พ.ศ. 2494 โดยการสนับสนนุ
ของสำนักงานอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติแห่งภูมิภาคเอเชียในกรุงเทพฯ (FAO’s
Regional Office, Bangkok)
ต่อมาสถาบนั วิจัยพันธุศาสตร์และการผสมพนั ธุ์ไม้ป่า (IFGTB : Institute of Forest
Genetics and Tree Breeding) แห่งประเทศอินเดีย ได้ทำการศึกษาวจิ ัยด้านการปรับปรงุ
พันธุ์ไม้สกุลไม้สนทะเลทั้งสองชนิดนี้อย่างต่อเนื่องและจรงิ จัง ช่วงเวลาเพียง 15 ปี อินเดียก็
ได้ทำการคัดเลือกพันธุ์ ปรับปรุงพันธุ์ และสร้างลูกผสมรุ่นที่สาม ซึ่งเป็นสนทะเล/
พมิ พ์ครง้ั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 14 (154) : 39–41; 14 (155) : 61 (พ.ศ. 2557)
462 รวมเรือ่ งสวนป่า
สนประดิพัทธ์ สายต้น (clones) ใหม่ขึ้นมา แจกจ่ายให้แก่เกษตรกรผู้ปลูกป่า ทั้งนี้โดยการ
สนับสนุนของ CSIRO ออสเตรเลีย ที่มีคุณคงศักด์ิ ภิญโญภูษาฤกษ์ นักวิชาการป่าไม้จาก
ประเทศไทย เป็นหวั เร่ยี วหวั แรงคนสำคัญในการปรับปรุงพนั ธุ์ไมส้ กุลไม้สนทะเลของอินเดีย
ในสว่ นของไม้สนทะเลนัน้ สถาบนั วิจัยฯ (IFGTB) ไดท้ ำการปลูกเพื่อทดสอบการเติบโต
และรูปทรงของลำต้นในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ทางตอนใต้ของอินเดียแห่งละ 100 สายต้น
เมื่อต้นไม้ที่ปลูกมีอายุครบ 10 ปีเต็ม สถาบันฯ ก็คัดเลือกเอา 4 สายต้นที่เด่นที่สุดมา
ขยายพันธเ์ุ พื่อการปลูกสร้างสวนปา่ ไม้สนทะเลตอ่ ไป
สนทะเลส่สี ายต้นที่โดดเดน่ ทส่ี ดุ ของอนิ เดยี ในขณะนไ้ี ด้แก่
1. สายต้น IFGTB-CE1 มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ท่ีชายหาด Ela ประเทศปาปัวนิวกินี เป็น
สายตน้ เพศผแู้ ละเมียอยูใ่ นต้นเดยี วกนั เม่อื อายุ 7 ปี มคี วามสูง 11.81 ม. เส้นผ่านศนู ยก์ ลาง
เพียงอก 9.51 ซม. คา่ ความตรงเปลาของลำตน้ เทา่ กับ 5.75
2. สายต้น IFGTB-CE2 มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่ชายหาดเจ้าไหม อำเภอสิเกา จังหวัด
ตรงั เปน็ สายต้นทีม่ แี ต่เพศเมยี เทา่ นั้น เมื่ออายุ 7 ปี มีความสูง 10.91 ม. เสน้ ผ่านศูนย์กลาง
เพียงอก 8.76 ซม. ค่าความตรงเปลาของลำตน้ เท่ากับ 4.73
3. สายต้น IFGTB-CE3 มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ที่บ้านกำพ่วน อำเภอกะเปอร์ จังหวัด
ระนอง เป็นสายต้นที่มีแต่เพศเมียเท่านั้น เมื่ออายุ 7 ปี มีความสูง 12.10 ม. เส้นผ่าน
ศูนยก์ ลาง 10.14 ซม. คา่ ความตรงเปลาของลำต้นเทา่ กบั 4.46
4. สายต้น IFGTB-CE4 มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมือง Kalipur ในหมู่เกาะอันดามัน เป็น
สายตน้ ทม่ี แี ตเ่ พศผ้เู ท่าน้นั เม่อื อายุ 7 ปี มีความสูง
11.95 ม. เส้นผา่ นศนู ย์กลางเพยี งอก 9.37 ซม. คา่
ความตรงเปลาของลำตน้ เท่ากับ 4.74
จากข้อมลู ดงั กลา่ วจะเห็นไดว้ ่าไม้สนทะเลท่ี
เติบโตเร็วที่สุดซึ่งสถาบันวิจัยฯ ของอินเดียได้
คัดเลือกไว้นั้น 2 ใน 4 สายพันธุ์มีถิ่นกำเนิดเดิม
หรือได้เมล็ดมาจากประเทศไทย โดยเฉพาะอย่าง
ยงิ่ จากจังหวดั ระนองท่ีมีทงั้ คา่ ความสงู และความโต
สูงที่สุด คือ สูงเฉลี่ย 1.73 ม./ปี และเส้นผ่าน
ศูนย์กลางเพยี งอก 1.45 ซม./ปี จะดอ้ ยกว่าสายตน้
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 463
จากหมู่เกาะอันดามันและจากประเทศปาปัวนิวกินีก็แต่ความตรงเปลาของลำต้นเพียง
เลก็ นอ้ ยเท่าน้นั
อันแสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีสายพันธุ์ที่ดี แต่ไม่รู้จักเลือกเอามาใช้ประโยชน์
จะไปโทษอนิ เดยี ก็คงไมไ่ ด้
ผู้ปลูกสนทะเลและสนประดิพัทธ์ของอินเดียส่วนใหญ่เป็นเกษตรกรรายย่อยเพราะ
โตเร็ว ปลูกง่าย ใช้แรงงานในการปลูกและดูแลรักษาต่ำ มีตลาดรองรับไม้ที่ปลูกอย่าง
สม่ำเสมอจึงคุ้มค่ากับการลงทุนลงแรงผู้ปลูกใช้ต้นกล้าจากสายต้นที่ผ่านการคัดเลือกและ
ปรับปรุงพันธุ์ของสถาบันฯ คือ 4 สายต้นดังกล่าวมาแล้วเท่านั้น ใช้ระดับความหนาแน่นใน
การปลูก 10,000 ต้นต่อเฮกแตร์ หรือ 1,600 ตน้ ต่อไร่ หรือมรี ะยะหา่ ง 1.00×1.00 เมตร ใช้
อายุรอบหมนุ เวยี นในการตดั ฟัน (rotation) 4 ปี
ณ อายุ 4 ปี ต้นไม้สายต้นเหล่านี้ที่ปลูกในพื้นที่ที่เหมาะสม มีการใส่ปุ๋ย ให้น้ำ และ
ดูแลรักษาอย่างดีอาจจะมีความสูงถึง 13.50 เมตร (เฉลี่ย 3.37 ม./ปี) และเส้นรอบวง 36
ซม. (เฉลี่ย 9.0 ซม./ปี) ให้เนื้อไม้หนักตน้ ละ 45 กก. หรือประมาณ 32 ตันต่อไร่ หรือ 8 ตัน
ต่อไร่ต่อปี แต่โดยทั่ว ๆ ไปเกษตรกรที่ปลูกโดยมีการให้นำ้ ใส่ปุ๋ยจะได้ผลผลิตราว ๆ 16-24
ตันต่อไร่ หากปลูกโดยไม่มีการให้น้ำผลผลิตจะลดลงเหลือเพียง 12-16 ตันต่อไร่ หรือเฉลี่ย
3-4 ตนั ตอ่ ไรต่ ่อปี
ด้วยเหตุนี้เอง ในรัฐทางตอนใต้ของอินเดียจึงมักจะพบเห็นสวนป่าไม้สนทะเลและ
สนประดิพัทธ์ของเกษตรกรปลูกสลับกับนาข้าว และมีการทดน้ำเข้าแปลงปลูกไม้สนในห้วง
เวลาทฝี่ นท้ิงชว่ ง
มาตรการเรง่ การเตบิ โตของไมส้ กลุ ไม้สนทะเลทั้งสองชนิดอกี ประการหน่ึงของอินเดีย
ก็คือการให้ แฟรงเคีย (Frankia : Frankia casuarinae) แก่ต้นกล้า แฟรงเคียเป็นจลุ ินทรยี ์
จำพวกแอคติโนไมซที (Actinomycete) มีลักษณะก่ึงเช้ือราก่ึงแบคทเี รยี อาศยั อยใู่ นปมราก
ของไม้สกุลไม้สนทะเลในลักษณะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (symbiosis) โดยต้นไม้ให้ราก
เป็นที่อยู่อาศัย ขณะเดียวกันแฟรงเคียก็ช่วยตรึงไนโตรเจนจากบรรยากาศมาช่วยเร่งอัตรา
การเตบิ โตใหแ้ ก่ตน้ ไม้
แฟรงเคียจึงอยู่ร่วมกับต้นไม้ในลักษณะพึ่งพาอาศัย ถ้อยทีถ้อยอาศัยต่อกัน ไม่ใช่
อยแู่ บบกาฝากทเี่ อาแตเ่ กาะและกินเพียงฝา่ ยเดยี ว
464 รวมเร่อื งสวนปา่
การศึกษาวิจัยเกี่ยวกับอิทธิพลของแฟรงเคียต่อการเจริญเติบโตของไม้สกุลไม้สน
ทะเลในประเทศไทยก็เคยมีนิสิตปริญญาโทของคณะวนศาสตร์ ได้ทำเป็นวิทยานิพนธ์ไว้บ้าง
เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว และพบว่ากล้าไมท้ ี่ได้รับแฟรงเคียมีผลผลิตมวลชีวภาพ (น้ำหนกั
แห้ง) ของตน้ กลา้ ท่ีอยู่เหนอื พ้ืนดนิ เพมิ่ ข้นึ 48.74 เปอรเ์ ซ็นต์ และน้ำหนกั แห้งของใบเพ่ิมข้ึน
104.49 เปอรเ์ ซน็ ต์
แต่น่าเสียดายที่การปลูกและการการศึกษาวิจัยไม้สนทะเลและสนประดิพัทธ์ใน
ประเทศไทยในปัจจุบนั น้ีล้าหลังกวา่ เม่ือยส่ี บิ ปที ่ีแลว้ มาก
ในขณะทีป่ ระเทศอินเดยี มีความก้าวหน้าทั้งการศึกษาวิจัย และถา่ ยทอดผลงานวิจัยสู่
เกษตรกรอย่างต่อเนื่องจนถึงขั้นผลิต “ผู้ผลิตตรึงไนโตรเจน หรือ N fixer” ออกจำหน่าย
กันแล้ว โดยสถาบันวิจัยฯ ได้ผลิต แฟรงเคียในรูปของของเหลวเพื่อใช้กับกล้าไม้สกุลไม้สน
ทะเลโดยเฉพาะ เรียกว่า “N fixer” สำหรับใช้เร่งการเจรญิ เตบิ โตของต้นกลา้ ในระยะแรก ๆ
เพียงต้นละ 10 มิลลิลิตรเท่าน้ัน ข้อดีของ N fixer มีหลายประการ อาทิ ไม่มีสิ่งปนเปือ้ น มี
อายุการใช้งานยาวนาน ไม่สูญเสียคุณสมบัติหากเก็บไว้ในที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่า 35°
เซลเซียส รวมทั้งมีจำนวนประชากรของเซลล์แฟรงเคียสูงมากถึง 10 ล้านเท่า ทำให้มี
ประสิทธภิ าพในการตรึงไนโตรเจนจากบรรยากาศไดส้ ูงมาก
ในส่วนของไมส้ นประดิพัทธ์ซงึ่ อนิ เดยี ได้นำเขา้ จากประเทศไทยเขา้ ไปทดลองปลูกคร้งั
แรกในปี พ.ศ. 2494 น้ัน แมจ้ ะเติบโตเรว็ มาก โดยในปแี รกสงู ถึง 5 ม. เส้นรอบวง 15 ซม. ที่
อายุ 5 ปี สงู 20 ม. เส้นรอบวง 50 ซม. และเมื่ออายุ 4 ปี ใหน้ ้ำหนกั ไมถ้ งึ ตน้ ละ 200 กก. ก็
ตาม แต่สนประดิพัทธ์จากประเทศไทยมีแต่ต้นตัวผู้เท่านั้น ทำให้ไม่มีความสามารถทำการ
ผสมพันธุ์เพ่ือสรา้ งสายพันธ์ุใหม่ขึ้นมาได้ รวมทั้งมีค่าความหนาแน่นของเนือ้ ไม้ที่ค่อนขา้ งต่ำ
คือหนัก 592 กก. ต่อไม้อายุ4 ปี ปริมาตร 1 ลบ.ม. ดังนั้นต่อมาสถาบันวิจัยฯ จึงได้นำไม้
สนประดิพัทธ์จากติมอร์ตะวันออกซึ่งมีทั้งเพศผู้และเพศเมียในต้นเดียวกันและมีความ
หนาแน่นของเนอื้ ไมส้ ูงถงึ 689 กก. ตอ่ ลบ.ม. จำนวน 6 แหลง่ เมลด็ มาทดลองปลกู ทำให้ได้
ลูกผสมของไม้สนประดิพัทธ์ที่โตเร็ว สามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งโดยวิธีอาศัยเพศและไม่อาศัย
เพศ รวมทั้งแตกหน่อภายหลังการตดั ฟนั ไดด้ แี ละเร็วอกี ดว้ ย
ในการปลูกไม้สกลุ ไม้สนทะเลทัง้ สองชนิด คือสนทะเลและสนประดิพทั ธต์ า่ งก็ต้องใช้
ต้นกล้าด้วยกันทั้งสิ้น หากขยายพันธุ์โดยวิธีอาศัยเพศก็ทำการเพาะเมล็ด แต่ถ้าขยายพันธุ์
โดยวิธีไม่อาศัยเพศมักจะใช้การตัดยอดปักชำ แต่ในอินเดียส่วนใหญ่จะใช้ต้นกล้าโดยการ
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 465
เพาะเมล็ดมากกว่าที่ได้จากการปักชำ ทว่ากว่าจะไดแ้ มไ่ มม้ าให้เกบ็ เมล็ดกันนั้นต้องผ่านการ
คัดเลือกพันธแ์ุ ละผสมพันธมุ์ าหลายชั่วอายุจนมนั่ ใจวา่ ได้ต้นไมท้ ี่มลี กั ษณะอนั พงึ ประสงค์แลว้
จึงทำการสร้างสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ประเภท “clonal seed orchard” อันเป็นสวนผลิต
เมล็ดพันธุ์ท่สี ร้างโดยวิธขี ยายพันธ์ุโดยไม่อาศยั เพศ แตม่ ีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ใช้สำหรับเก็บเมล็ด
แล้วนำไปเพาะเพือ่ ผลิตตน้ กลา้ ซ่งึ กลับมาเปน็ การขยายพนั ธุโ์ ดยอาศยั เพศอกี รอบหนึง่
ที่เมือง Valluvamedu รัฐ Puducherry ของอินเดีย สถาบันวิจัยฯ (IFGTB) และ
กรมป่าไม้ร่วมมือกับรัฐบาลออสเตรเลยี ได้จัดสร้างสวนผลิตเมล็ดพันธ์ุไม้สนทะเลขึ้นมา โดย
ปลูกกล้าไม้สนทะเล 30 สายต้น (clone : การขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศ) ผสมกันระหว่าง
สายตน้ ตัวเมีย 18 สายตน้ กับสายต้นตัวผู้ 12 สายต้น เป็นจำนวนรวมท้งั สน้ิ ถงึ 990 ต้น โดย
ใช้ระยะปลูก 3.0×1.5 ม. เมื่อต้นไม้อายุ 3 ปีก็อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าไปเก็บเมล็ดจากสวน
ผลิตเมล็ดพันธุ์แห่งนี้มาเพาะ ผลิตกล้าไม้ แล้วนำต้นกล้าเหล่านั้นไปปลูกหรือขายให้แก่
โรงงานเยื่อและกระดาษซึ่งเป็นผู้ปลกู รายใหญ่ก็ได้ โดยซื้อขายกันในราคา 700 กล้าต่อหนึ่ง
เหรยี ญสหรัฐอเมริกา หรอื ประมาณ 4.6 สตางคต์ ่อกล้า (เป็นกลา้ เปลือยราก)
จุดเด่นของเรื่องนี้อยู่ที่รัฐสร้างสวนผลิตเมล็ดไม้พันธุ์ดีที่ได้จากการวิจัย ให้
ชาวบ้าน/เกษตรกรผู้ยากไร้เก็บเมล็ดไปเพาะเพื่อผลิตต้นกล้าแล้วนำไปปลูกและขายไม้
ใหแ้ ก่โรงงานกระดาษตอ่ ไป นน่ั คือ รฐั เป็นผู้ให้ ชาวบา้ นเป็นผู้รบั
ในการผลิตกล้าไม้สกุลไม้
สนทะเลนั้นเนื่องจากเมล็ดมีขนาด
เล็กมาก คือ 0.6 ล้าน เมล็ดต่อ
กิโลกรัมสำหรับสนทะเล และสูงถึง
1.6 ลา้ นเมลด็ ต่อกิโลกรมั สำหรับไม้
สนประดิพัทธ์ ดังนั้นการหว่าน
เมล็ดลงในกระบะทรายหรือร่อง
เพาะจึงต้องระมัดระวังไม่ให้เมล็ด
ไม้ปลิวไปกับลม หลังจากหว่านได้
1-2 เดือนก็ทำการย้ายต้นกล้าลงในร่องเพาะชำ เลี้ยงไว้ต่อไปอีกราว 3-4 เดือน ก็ใช้ปลูกได้
น่ันคอื งานผลติ กลา้ ไมจ้ ะตอ้ งเริม่ ดำเนินการราว 4-5 เดือน ก่อนการปลูกดว้ ยกล้าเปลือยราก
แต่ถ้าใช้กล้าที่เลี้ยงในถุงปาสติก (containerized seedlings)จะต้องใช้เวลายาวนานกว่านี้
466 รวมเรอ่ื งสวนปา่
อีกประมาณ 3-4 เดือน โดยต้นกล้าที่ใช้ปลูกจะมีความสูงราว 30-45 ซม. และมีเส้นผ่าน
ศนู ยก์ ลางท่ีคอราก (ท่ีระดบั ผวิ ดิน) ประมาณ 3-5 มม.
ปกตอิ ินเดียนิยมปลูกกล้าเปลอื ยรากเพราะราคาถกู และง่ายต่อการขนส่ง แต่ต้องปลูก
ตอนต้นฤดูฝน โดยปลูกลงในดินที่ได้เตรียมพื้นที่ไถพรวนไว้อย่างดี ใช้ระยะห่าง 1.00×1.00
ม. ขดุ หลมุ ปลูกเหมือนกับการปลูกกลา้ ไม้เปลือยรากทั่ว ๆ ไป แต่ถา้ พนื้ ที่มกี ารทดน้ำให้ท่วม
ขัง ก็จะทำการปลูกกล้า (เปลือยราก) ไม้สนทะเล/สนประดิพัทธ์เหมือนการปลูกข้าว (หรือ
การดำนา) การสำรวจอตั ราการรอดตายและปลูกซ่อมมักจะทำใหเ้ สร็จเรยี บร้อยภายในเวลา
3 เดือน หลังจากปลูกจริง เพราะต้นกล้าที่ค่อนข้างหนาแน่น (1,600 ต้นต่อไร่) จะได้เติบโต
ทันกันทัง้ สองรุน่ ปลกู
การบำรุงรักษาที่สำคัญคือต้องทำการกำจัดวัชพืชโดยการดายหญ้าด้วยมือในปีแรก
สองครั้ง การปลูกพืชควบที่นิยมกันมากคือถั่วลิสง จะช่วยแก้ปัญหาเรื่องวัชพืชไปได้ไม่น้อย
ชนิดและอัตราการใส่ปุ๋ยขึ้นอยู่กับสภาพความอุดมสมบูรณข์ องดิน โดยส่วนใหญ่มักจะใช้ปุย๋
ยูเรียและซุปเปอร์ฟอสเฟต ใส่ 4 ครั้ง คือพร้อมกับการปลูก เมื่อต้นไม้อายุได้ 6 เดือน 12
เดือน และ 18 เดือน ส่วนเรื่องโรคและแมลงน้ันจัดว่าไม่ใช่ปัญหาสำคัญของการปลูกไมส้ กุล
ไมส้ นทะเล
ความยาวของอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างเช่น
คุณภาพของดิน สภาพภูมิอากาศ ระบบการจัดการ (ให้น้ำหรืออาศัยน้ำฝนเพียงอย่างเดียว)
ความตอ้ งการดา้ นการเงนิ ของเจา้ ของสวน (ร้อนเงนิ หรอื ไม่) และความตอ้ งการซอื้ ไม้และการ
ให้ราคาของตลาด โดยทัว่ ๆ ไปแล้วอนิ เดยี ใช้อายกุ ารตัดฟนั 4 ปสี ำหรับสวนทีม่ ีระบบการให้
น้ำ และ 6 ปีสำหรับสวนที่ไม่ได้ให้น้ำ แต่เกษตรกรบางรายอาจจะตัดไม้ขายเมื่ออายุเพียง
2.5 ปี ในขณะที่สวนป่าของกรมป่าไม้ใชอ้ ายุการตัดฟันยาวนานถึง 8 ปี เมื่อตัดไม้ (แบบตดั
หมด) ขายแล้ว หากเป็นสนประดิพัทธ์ก็จะปล่อยให้แตกหน่อแล้วสางให้เหลือตอละ 2 หน่อ
โดยใช้ระบบการตดั ให้แตกหนอ่ 3 ครง้ั รวมกบั ต้นแม่ท่ีปลกู ในครง้ั แรกเปน็ 4 คร้งั แตถ่ ้าเป็น
สนทะเลซึ่งไม่สามารถแตกหน่อได้ ภายหลังการตัดฟันเกษตรกรเจ้าของสวนจะทำการขุด
ถอนรากต้นไม้ท้ังหมดขน้ึ มา แลว้ ไถพรวนทวั่ พืน้ ที่และทดน้ำเขา้ ท่วมแปลงเพือ่ เตรียมปลูกใน
รอบตอ่ ไป
ต้นไม้ที่ตัดฟันลงมาสามารถขายเป็นสินค้าได้แทบทุกส่วน รวมทั้งเศษเหลือต่าง ๆ
เช่น กิ่ง ยอด และราก ซง่ึ รายไดจ้ ากเศษเหลือเหล่านมี้ ากพอท่จี ะชดเชยกบั ค่าทำไม้ (ตัดฟัน)
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 467
ได้เลยทีเดียว การซื้อขายมักจะ
ก ร ะ ท ำ แ ล ะ ต ่ อ ร อ ง ร า ค า ก ั น ที่
สวนป่า ราคาขึ้นอยู่กับคุณภาพ
ของไม้ ความสะดวกในการเข้าถึง
และความต้องการของผู้ซื้อ/ผ้ขู าย
แต่โดยทั่วไปแล้วไม้เสา (เส้นรอบ
วงเกินกวา่ 20 ซม.) เปน็ ทต่ี ้องการ
มากที่สุด ราคาอยู่ระหว่าง 1,750-
2,500 บาทต่อตัน ไม้ทำเยื่อ
กระดาษมีราคายืดหยุ่นน้อยที่สุด คือตันละ 1,000-1,150 บาท ในขณะที่ไม้ฟืนมีราคาอยู่
ระหว่าง 750-1,250 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความแห้งของไม้และความต้องการของฟืนใน
ทอ้ งถน่ิ
ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือผลการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจอย่างเป็นทางการ
ของการปลูกไม้สกุลไม้สนทะเลในประเทศอินเดียที่พบว่าต้นทุนการปลูกไม้ความหนาแน่น
1,600 ต้นต่อไร่ ที่รวมหมดทุกอย่าง (ยกเว้นราคาท่ีดิน) รวมทั้งการให้น้ำ ใส่ปุ๋ย และการตดั
ฟันที่อายุ 4 ปี คิดเป็นเงิน 5,760 บาทต่อไร่ ขายไม้ได้ 23,920 บาทต่อไร่ นั่นคือ ได้กำไร
สทุ ธิ 4,540 บาทตอ่ ไรต่ ่อปี
กำไรสุทธิ 4,540 ต่อไร่ต่อปีจึงเป็นคำตอบว่าทำไมจึงได้พบเห็นแปลงปลูกไม้
สนทะเล/สนประดิพัทธ์ สลับกับนาขา้ วอยู่ท่ัวไปในชนบทของรัฐ Tamil Nadu ประเทศ
อนิ เดยี
78 สี่สบิ ห้าปี
สถานเี กษตรหลวงอา่ งขาง
ศูนย์รวมพืชพรรณไมเ้ มอื งหนาวของประเทศไทย
ทา่ นทสี่ นใจการเกษตรและการทอ่ งเทย่ี วในพน้ื ทส่ี งู คงจะเคยไปหรอื ประสงคท์ จ่ี ะไป
ดอยอ่างขางเพื่อสัมผัสกับอากาศหนาวเย็น ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ และศึกษาดูงานด้านพืช
พรรณไม้เมืองหนาว เพราะดอยอ่างขางเป็นอ่างรูปวงรี กว้าง-ยาว ประมาณ 3-8 กิโลเมตร
เศษ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,400-1,800 เมตร เป็นที่ตั้งของสถานเี กษตรหลวง
อ่างขาง อันเป็นจุดกำเนิดและเสมือนหนึ่งศูนย์รวมของพืชพรรณการเกษตร ไผ่ และไม้ป่า
เมืองหนาวของประเทศไทย
สถานีเกษตรหลวงอ่างขางเป็น 1 ใน 4 สถานีวิจัยการเกษตร (อ่างขาง อินทนนท์
ปางดะ และแม่หลอด) และอีก 34 ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ของมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่ง
กระจายอยใู่ น 5 จงั หวดั ภาคเหนือตอนบน อันได้แก่ เชียงใหม่ เชยี งราย พะเยา แม่ฮ่องสอน
และลำพูน โดยตัวสถานีฯ ตั้งอยู่ในหุบบนยอดเขาของเทือกเขาตะนาวศรี ในท้องที่บ้านคุ้ม
หมู่ที่ 5 ตำบลแม่งอน อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ติดกับชายแดนพม่า อยู่สูงจาก
ระดับน้ำทะเลปานกลาง 1,400 เมตร มีพื้นที่เพื่อการศึกษา วิจัยและพัฒนาด้านการเกษตร
1,989 ไร่ แต่มีพื้นที่ที่ให้การส่งเสริมและพัฒนาอาชีพหรือพื้นที่ขยายผลบนพื้นฐานของ
การเกษตรทส่ี ูงแกช่ าวไทยภเู ขา 4 เผ่า อนั ได้แก่ ไทยใหญ่ มูเซอดำ ปะหลอ่ ง และจีนยูนนาน
รวม 9 หมู่บา้ น คือ บา้ นคุ้ม บ้านขอบดง้ บ้านหลวง บ้านนอแล บ้านปางมา้ บา้ นปา่ คา บ้าน
ผาแดง บ้านสนิ ชยั และบ้านถ้ำงอ๊ บ
ในปลายปี พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั ฯ พรอ้ มด้วยสมเดจ็ พระนางเจ้า
สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยีย่ มราษฎรทีห่ มู่บ้านผักไผ่ ในเขตอำเภอ
ฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ในขณะที่เสด็จผ่านดอยอ่างขาง ได้ทอดพระเนตรเห็นชาวเขาที่อาศัย
อยู่ในบริเวณนั้นถางป่าทำไร่ปลูกฝิ่นทั้ง ๆ ที่เป็นพืชที่ผิดกฎหมาย และเป็นป่าต้นน้ำ
พมิ พ์ครัง้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 14 (161) : 63–65 (พ.ศ. 2557)
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 469
ลำธารท่ีมคี วามสำคญั ตอ่ ระบบนิเวศ ในขณะทีร่ ายได้ท่ีไดจ้ ากปลูกฝิ่นก็พอ ๆ กบั การปลูกท้อ
พันธุ์พื้นเมือง จึงทรงสละพระราชทรัพย์สว่ นพระองค์จำนวน 1,500 บาท เพื่อซื้อที่ดินและ
ไร่จากชาวเขา ใช้เป็นสถานที่ทดลองปลูกพืชเมืองหนาวนานาชนิด ทั้งไม้ผล ผัก และไม้ดอก
และได้พระราชทานชื่อว่า “สถานีเกษตรหลวงอา่ งขาง”
สถานีเกษตรหลวงอา่ งขาง
เป็นสถานีวิจัยภาคสนามแห่งแรก
ของมูลนิธิโครงการหลวง จัดตั้งขึ้น
โดยพระราชทรัพยส์ ่วนพระองค์เมื่อ
วันที่ 25 ตุลาคม 2512 ในยุคแรกเร่ิม
น้ันไดด้ ำเนนิ การโดยโครงการหลวง
พัฒนาชาวเขาในพระราชดำริ
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ
โดยการสนับสนุนของหน่วยงาน
ตา่ ง ๆ อาทิ โครงการเกษตรทีส่ งู ของมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชยี งใหม่ กรม
ปา่ ไม้ กรมวิชาการเกษตร ฯลฯ โดยมีวัตถปุ ระสงค์เพือ่ ให้เปน็ สถานทวี่ ิจัยดา้ นการเกษตรท่สี ูง
อย่างครบวงจร แล้วถ่ายทอดความรู้ท่ีได้สู่เกษตรกร ประชาชน และองค์กรที่สนใจท้ัง
ภายในประเทศไทยและประเทศเพอื่ นบา้ น
ในวาระท่ีสถานีเกษตรหลวงอ่างขางมีอายุครบ 45 ปี ทางสถานีฯ จึงได้จัดให้มีงาน
“45 ปี สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ขึ้น ณ สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เมื่อวันที่ 5
พฤศจิกายน 2557 โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวง เป็นองค์
ประธานเปิดงาน เพื่อ (1) เผยแพร่พระราชกรณยี กจิ ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวฯ ใน
การพัฒนางานเกษตรที่สูง (2) เพื่อเผยแพร่ผลการดำเนินงานของสถานีเกษตรหลวงอา่ งขาง
และ (3) เพอื่ เฉลมิ ฉลองการดำเนินงานครบรอบ 45 ปี ของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
รปู แบบการดำเนนิ งานมที ง้ั กิจกรรมการแสดงผลงานความก้าวหน้าทางวชิ าการทไ่ี ด้
จากการศึกษาวิจัยของฝ่ายต่าง ๆ และนำเอาผลงานวิจัยไปส่งเสริมให้เกษตรกรนำไปใช้
ประโยชน์ จุดเด่นของงานในส่วนนี้ก็คือการเชื่อมโยงงานวิจัยต่าง ๆ เข้ากับ “5 ทศวรรษ
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ในทศวรรษที่ 1 (พ.ศ. 2512-2521) เป็นยุคบุกเบิกและเร่ิม
งานวิจยั มภี าพของอ่างขางในอดีตทงั้ สภาพของถนนหนทาง ชมุ ชน รวมทัง้ ไรฝ่ น่ิ และการเก็บ
470 รวมเร่ืองสวนปา่
เกี่ยวฝิ่น ทศวรรษท่ี 2 (พ.ศ. 2522-2531) เป็นยุคการวิจัยและส่งเสรมิ มงี านวจิ ัยด้านไม้ดอก
สมุนไพร ป่าไม้ ฯลฯ เกิดขึ้น และเริ่มส่งเสริมผลการวิจัยด้านไมผ้ ล พืชผัก และปศุสตั ว์ ที่ได้
จากทศวรรษแรกออกสู่เกษตรกร ทศวรรษที่ 3 (พ.ศ. 2532-2541) เป็นยุคส่งเสริมและ
พัฒนา ทศวรรษที่ 4 (พ.ศ. 2542-2551) ยุคพัฒนาและเผยแพร่ และทศวรรษที่ 5 (พ.ศ.
2552-ปัจจบุ นั ) คอื อ่างขางวันน้ีและท่จี ะก้าวต่อไป
จุดที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากอีกมุมหนึ่งก็คือ “รวมภาพประทับใจในอดีต”
ซึง่ มที ั้งภาพทพี่ ระบรมวงศานวุ งศแ์ ละราชวงศ์ตา่ ง ๆ ไดเ้ สด็จเยอื นอ่างขาง รวมทั้งเจา้ ชายจิก
มี (พระยศในขณะนั้น) แห่งราชอาณาจักรภูฏานก็ได้เสด็จเยือนสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
ด้วยเช่นกนั
สำหรับพืชพรรณไม้เมืองหนาวที่ได้นำเมล็ดพันธุ์จากประเทศต่าง ๆ เข้ามาทดลอง
ปลูกท่ีสถานเี กษตรหลวงอ่างขางทีส่ ำคัญ ๆ ในชว่ งทศวรรษท่ี 1-2 ไดแ้ ก่ ไมผ้ ล พืชผัก พืชไร่
ไม้ดอก-ไม้ประดับ สมุนไพร ป่าไม้ และไม้ไผ่ นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยด้านวิทยาการหลังการ
เก็บเกี่ยวซึ่งพัฒนาไปสู่งานคัดบรรจุ โครงการป้องกันและกำจัดศัตรูพืชที่พัฒนาไปเป็นงาน
อารักขาพชื และงานวเิ คราะห์สารตกคา้ ง รวมท้ังงานวจิ ัยดา้ นปศสุ ตั วท์ มี่ ที ง้ั แกะ แพะนม หมู
และไก่ และงานดา้ นบอนไซและสนประดับ
ในระยะเริ่มแรกกล่าวได้
ว่าไม้ผลเมืองหนาวเป็นหัวใจสำคญั
ของงานวิจัยซึ่งได้เริ่มดำเนินการ
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2513 พร้อม ๆ กับ
การจัดตั้งสถานีฯ และได้รับการ
สนับสนุนอย่างต่อเนื่องจาก
หน่วยงานด้านการเกษตรของ
ไต้หวันมาจนถึงทุกวันนี้ ไม้ผลเมือง
หนาวที่ประสบความสำเร็จในการ
ทดลองปลูกที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง แล้วทำการขยายพันธุ์ส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นท่ี
โครงการหลวงปลกู เป็นอาชีพหลักมีหลายชนดิ อาทิ แอปเปิ้ล พลับ สาลี่ กวี ี อาโวกาโด บ๊วย
เนคทารีน พีแคน บลูเบอรี่ พีช และสตรอเบอรี่ โดยเฉพาะพีชซึ่งในปัจจุบันสามารถผลิตผล
เพ่ือรบั ประทานสดได้มากกวา่ 100 ตนั ต่อปี และสร้างสายพันธใุ์ หม่เผยแพรส่ ู่เกษตรกรถึง 8
สายพนั ธ์ุ
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 471
สตรอเบอรี่จัดเป็นผลไม้เมืองหนาวขนาดเล็กที่ประชาชนรู้จักและได้รับความนิยม
สูงมากในขณะน้ี โดยเฉพาะสตรอเบอรพ่ี ันธพ์ุ ระราชทาน 80 ซ่งึ เปน็ ผลติ ผลของสถานเี กษตร
หลวงอ่างขาง และได้ส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่รับผิดชอบปลูกทั้งเพื่อผลิตผลสดและต้น
ไหลมาตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2547 จนถงึ ปจั จุบนั นี้
งานวิจัยด้านพืชผักได้เริ่มขึ้นคร้ังแรกในปี พ.ศ. 2519 โดยโครงการมันฝรั่ง ซึ่งใน
ตอนนั้นประเทศไทยต้องสั่งซื้อหัวพันธุ์มันฝรั่งมาจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ต่อมา
สถานีเกษตรหลวงอ่างขางได้กลายเป็นสถานที่รองรับงานวิจัยและทดสอบสายพันธุ์ผักเขต
หนาวชนิดต่าง ๆ ของมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งมีประมาณ 150 สายพันธุ์ ที่สำคัญได้แก่ผัก
ตระกูลสลัด เช่น ผักกาดหอมห่อ ผักกาดหวาน ผักกาดหอมใบแดง ผักกาดหอมโอ๊คลีฟแดง
ซึ่งทั้งหมดได้ปลูกในระบบไฮโดรโปนกิ ส์ (hydroponics) หรือการปลูกพืชในสารละลายโดย
ไม่ใช้ดิน และดำเนินการผลิตผักภายใต้มาตรฐานมูลนิธิโครงการหลวงในระบบ GLOBAL
GAP ซ่ึงสรา้ งความปลอดภยั ใหแ้ กผ่ ู้บริโภคผกั ดบิ ผกั สดเป็นอย่างยิง่
เมื่อถามนกั ทอ่ งเทย่ี วถงึ เหตผุ ลหลักในการขึ้นไปบนดอยอา่ งขาง คำตอบส่วนใหญ่ก็
คือตอ้ งการสัมผัสอากาศหนาวเย็นท่อี ุณหภมู ติ ่ำกวา่ ศูนย์องศาเซลเซียส และต้องการชมความ
สวยงามของไม้ดอกเมืองหนาวนานาชนิด งานไม้ดอก-ไม้ประดับของสถานีเกษตรหลวงอ่าง
ขางได้เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2524 ด้วยการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการผลิตเมล็ดพันธุ์และการ
ขยายพนั ธ์ไุ มด้ อก ไม้หวั และไมก้ ระถางชนดิ ต่าง ๆ รวมทัง้ การศกึ ษาวิจยั การผลติ กหุ ลาบบน
พื้นที่สูง ปัจจุบันนี้งานวิจัยไม้ดอกของสถานีฯ ได้ดำเนินการวิจัยควบคู่ไปกับการทำแปลง
สาธิต โดยเน้นงานวิจัยด้านการปรับปรุงและคัดเลือกสายพันธุ์ และเทคโนโลยีในการผลิต
ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เกษตรกรในพื้นที่รับผิดชอบปลูกไม้ดอกเพื่อการค้า ในส่วนของ
การจัดแสดงสายพันธุ์ไม้ดอกภายในสถานีฯ เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้สำหรับเกษตรกรและ
นักท่องเที่ยวซึ่งเริ่มมาตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2540 นั้น สถานีฯ ได้จัดแสดงสายพันธุ์ไมด้ อกตา่ ง ๆ ไว้
ในรูปของสวนกลางแจ้ง เช่น สวนแปดสิบ สวนกุหลาบอังกฤษ สวนคำดอย และสวนสมเด็จ
ฯลฯ และในรปู ของเรือนไมก้ ระถาง จนทำใหส้ ถานเี กษตรหลวงอา่ งขางกลายเป็นศูนย์รวมไม้
ดอกเมืองหนาวและสถานที่ทอ่ งเท่ียวที่สำคัญของประเทศ
สำหรับงานวิจยั ดา้ นปา่ ไมข้ องมูลนิธิโครงการหลวงซงึ่ เร่มิ ต้นขึ้นทส่ี ถานีเกษตรหลวง
อ่างขางเป็นแห่งแรก โดยความร่วมมือระหว่างมูลนิธิโครงการหลวง คณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และรัฐบาลไต้หวัน (National Taiwan University : NTU,
Taiwan Forestry Research Institute : TFRI, Forest Development Administration :
472 รวมเรอ่ื งสวนปา่
FDA แห่งองค์การทหารผ่านศึกแห่งไต้หวัน : VACRS) และผมได้มีส่วนร่วมต้ังแต่ต้นนั้น เร่ิม
จากโครงการวิจัยการปลูกป่าบนพื้นที่สูง (Highland Reforestation Project) ในปลายปี
พ.ศ. 2524 โดยผู้เชี่ยวชาญฝ่ายไทยและไต้หวนั ได้ร่วมกันสำรวจเลือกพื้นที่ปลูกและกำหนด
ชนิดไม้ปลูกให้สอดรับกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ จากนั้นฝ่ายไต้หวันได้นำเมล็ดพันธุ์ไม้ป่า
ชนิดต่าง ๆ จากไต้หวันมาเพาะ ผลิตต้นกล้า และเริ่มปลูกในกลางปี พ.ศ. 2525 และปลูก
ตดิ ตอ่ กนั มารวม 10 ปี (พ.ศ. 2525-2535) ได้เนื้อทีร่ วมทั้งสิน้ ประมาณ 810 ไร่ ซง่ึ รวมท้ังไม้
ไผ่ที่เริ่มทำการทดลองปลูกในปี พ.ศ. 2529 เพือ่ ผลติ ลำสำหรับใช้คำ้ ยันไม้ผลยืนต้น เชน่ สาล่ี
และแอปเป้ิล
ผลการทดลองพบว่าไมป้ ่าและไมไ้ ผท่ เ่ี ติบโตไดด้ ที ีอ่ า่ งขางและนำไปสูก่ ารขยายพันธุ์
แจกจ่ายให้แก่เกษตรกรในพ้ืนที่สูงนำไปปลกู ภายใต้โครงการป่าชาวบ้านในพระราชูปถัมภ์
ของสมเด็จพระเทพรัตน์ราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้แก่ ไม้กระถินดอย (Acacia
confusa) เมเปล้ิ หอม (Liquidambar formosana) การบรู (Cinnamomum camphora)
จันทร์ทองเทศ (Fraxinus griffithii) สนหนาม (Cunninghamia lanceolata) เพาโลว์เนีย
(Paulownia taiwaniana) ไผ่หวานอ่างขาง (Dendrocalamus latiflorus) ไผ่หยก
(Bambusa oldhamii) ไผ่บีเช (Bambusa beecheyana) ไผ่มากินหน่อย (Phyllo-
stachys makinoi) ไผ่ลิโต (Phyllostachys lithophia) ไผ่ซอยดิส (Phyllostachys
bambusoides) และไผข่ น (Phyllostachys pubescens)
ไผ่บีเชซึ่งมูลนิธิโครงการหลวงได้นำมา
ทำลองปลูกเปน็ คร้ังแรกท่ีสถานีเกษตรหลวงอา่ ง
ขางตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 ต่อมาภาคเอกชนได้ผลิต
ต้นกล้าจำหน่ายและรณรงค์ส่งเสริมให้ปลูกกัน
อย่างแพร่หลายภายใต้ชื่อไผ่กิมซุงนั้นเป็นไผ่
ชนดิ เดยี วกนั คือ Bambusa beecheyana คน
รักไผ่สามารถแวะไปดูไผ่กิมซุงกอแรกได้ที่สวน
รวมพนั ธไุ์ ผภ่ ายในสถานเี กษตรหลวงอ่างขาง
สว่ นไผ่ในสกลุ Phyllostachys ทงั้ สี่ชนิด
ดังกล่าว ข้างต้นนั้นเป็นไผ่ลำเดี่ยว (monopodial bamboo) ปลูกที่สถานีเกษตรหลวงอ่าง
ขางเป็นที่แรกและมีให้ดูที่นี่ที่เดียวในประเทศไทย โดยนำเหง้า (rhizome) จากไต้หวันและ
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 473
ญีป่ ่นุ เขา้ มาทดลองปลกู ที่อา่ งขาง
ในปี พ.ศ. 2529 เช่นกัน ต่อมา
สถานีเกษตรหลวงอ่างขางได้ส่ง
ไผ่มากินหน่อยและไผ่ลิโตให้แก่
สวนสัตว์เชียงใหม่สัปดาห์ละ
200-300 กิโลกรัม ในราคา
กิโลกรัมละ 35 บาท เพื่อใช้เป็น
อาหารของหมีแพนด้า ตั้งแต่ช่วง
ช่วงและหลินฮุ่ยเดินทางมาถึง
เชยี งใหมเ่ มื่อเดอื นตลุ าคม พ.ศ. 2546 จวบจนทกุ วันน้ี และเม่อื เรว็ ๆ นที้ างการมาเลเซยี กไ็ ด้
ส่งเจ้าหน้าที่สามนายมาศึกษาดูงานการปลูกไผ่ลำเดี่ยวของสถานีฯ เพื่อเตรียมรองรับหมี
แพนดา้ คู่แรกจากประเทศจีนดว้ ย
กิจกรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของงานป่าไม้ที่สถานีเกษตรหลวง
อ่างขางก็คือศูนย์สาธิตการใช้ประโยชน์ไม้สมพรสหวัฒน์ ซึ่งจัดสร้างขึ้นจาการทูลเกล้าฯ
ถวายเงนิ พร้อมเคร่อื งจักรกลต่าง ๆ ของคณุ สมพร สหวฒั น์ แหง่ วนชยั กรปุ๊ เพอ่ื นำเอาไม้และ
ไมไ้ ผ่ท่ีไดจ้ ากการจัดการสวนปา่ มาแปรรูปและใช้ประโยชน์ รวมทัง้ สาธติ และใหก้ ารฝึกอบรม
การใช้ประโยชน์ไม้จากป่าปลูกแก่สถานีวิจัย/ศูนย์พัฒนาของมูลนิธิโครงการหลวง นิสิต
นักศกึ ษาที่มาฝึกงาน และประชาชนผ้สู นใจท่วั ไป
ทง้ั หมดน้เี ปน็ เพยี งเส้ียวหนึง่ ของกิจกรรมการเกษตรทส่ี ูงของมลู นิธิโครงการหลวง
ที่จัดแสดงในงาน 45 ปี สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งท่านที่สนใจสามารถไปแวะดูได้ที่
บริเวณศูนย์ข้อมูล สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ จนถึงหลัง
เทศกาลสงกรานตใ์ นชว่ งกลางเดือนเมษายน 2558
79 สวนปา่ เชงิ พาณชิ ยข์ องไทย
ในมมุ มองของไอทีทโี อ
ไอทีทโี อ หรือ ITTO ย่อมาจากคำว่า International Tropical Timber Organization
หรือ องค์การป่าไม้เขตร้อนระหว่างประเทศ ซึ่งก่อตั้งขึ้นภายใต้ความอุปถัมภ์ขององค์การ
สหประชาชาติในกลางปี พ.ศ. 2529 เพื่อให้ความสำคัญกับบทบาทของป่าไม้ในเขตร้อนตอ่
ประชาคมทั่วทั้งโลก มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองโยโกฮามา ประเทศญี่ปุ่น มีสมาชิกสอง
ประเภท คอื ประเภทผู้ผลติ ไม้ 34 ประเทศ และประเภทผู้ใชไ้ ม้ 38 ประเทศ
เขตรอ้ น (Tropics หรือ tropical zone) ตามความหมายในทางภมู ิศาสตรห์ มายถงึ
พนื้ ทีท่ อ่ี ยรู่ ะหว่างเส้นรุ้งที่ 23° 27" (สว่ นใหญ่มักใช้ 23.5°) เหนือและใต้ของเส้นศนู ย์สูตร ซึ่ง
ครอบคลุมพื้นที่ดินประมาณร้อยละ 40 ของพื้นผิวโลก มีประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของ
ประชากรทั้งโลก แต่มีบทบาททางเศรษฐกิจของโลกค่อนข้างน้อย เพราะส่วนใหญ่เป็น
ประเทศที่กำลังพัฒนาและยากจน มีพื้นที่เพาะปลูกเพื่อทำกินเพียงร้อยละสิบเท่านั้น มีอยู่
ด้วยกันทั้งสิ้นประมาณ 105 ประเทศ ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปแอฟริกา และอเมริกาใต้ รวมท้ัง
แถบทะเลคาริบเบียน ในทวีปเอเชียมีเพียง 16 ประเทศเท่านั้น สำหรับสภาพภูมิอากาศ
โดยเฉพาะอณุ หภูมขิ องอากาศในเขตรอ้ นนั้น โดยท่ัวไปถือว่าค่อนขา้ งจะสมำ่ เสมอตลอดท้ังปี
นั่นคือความผันแปรของอุณหภูมิรายเดือนเฉลี่ยในช่วงสามเดือนที่หนาวที่สุดกับสามเดือนที่
ร้อนที่สุดจะแตกต่างกันไม่เกิน 5 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนที่ตกเฉลี่ยตลอดปีน้นั ผันแปร
ต้ังแต่ 0 ถงึ 10,000 มิลลิเมตรตอ่ ปี แต่อยา่ งไรก็ตาม ทางวชิ าการก็ไดแ้ บง่ ความชน้ื ของพ้ืนท่ี
ทำกินในเขตร้อนออกเป็น 3 กล่มุ คอื ร้อยละ 28 ของพน้ื ทท่ี ำกนิ ไม่มีปญั หาในเรื่องความชุ่ม
ชื้น ร้อยละ 42 มีความชุ่มชื้นเพือ่ การเพาะปลูกอยู่ 4-7 เดือน และร้อยละ 30 มีปัญหาเร่อื ง
นำ้ เพ่อื การเพาะปลูกยาวนานกว่าปลี ะ 8 เดือน
ส่วนในเรือ่ งการกระจายของพชื พรรณการเกษตรและป่าไม้ แม้ลักษณะของดิน ลม
ฟ้าอากาศและสภาพภูมิอากาศจะเป็นปัจจัยในการผลิตที่สำคัญ แต่ใช่ว่าพืชพรรณของ
พิมพ์ครง้ั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 16 (177) : 49–51 (พ.ศ. 2559)
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 475
เขตร้อนจะพบเฉพาะในพื้นที่ 23.5 องศาเหนือ–ใต้ของโลก หรือในทางตรงกันข้ามพื้นท่ี
ระหว่าง 23.5 องศาเหนือ–ใต้ใช่ว่าจะพบแต่พชื พรรณของเขตร้อนเท่าน้ัน เพราะบนภูเขาสูง
ใกล้เส้นศูนย์สูตรในเอกวาดอร์ ปาปัวนิวกินี และยูกันดา ที่มีอากาศหนาวเย็นก็มี
ไม้เมอื งหนาวข้นึ อยู่ เชน่ เดยี วกบั บนยอดดอยอนิ ทนนท์ของไทย
ดังนัน้ ถ้าถามวา่ เขตรอ้ นอยู่ที่ไหน ก็มีบางคนตอบทีเล่นทีจรงิ วา่ “เขตร้อนคือท่ซี ึ่ง
มีกล้วยขน้ึ อยู่ (Tropics is where bananas grow)”
ในปี พ.ศ. 2552 ไอทีทีโอได้ตีพิมพ์เอกสารทางวิชาการว่าด้วยการกระตุ้นการปลกู
สรา้ งสวนปา่ อุตสาหกรรมในเขตรอ้ น โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์เพือ่ ศกึ ษาปัจจยั สำคัญบางประการท่ี
บง่ ชถี้ ึงความสำเรจ็ และล้มเหลวของสวนป่าเชงิ พาณชิ ยใ์ นบางประเทศทัง้ ที่เปน็ สมาชกิ และไม่
เป็นสมาชิกของไอทีทีโอ โดยข้อมูลที่นำมารายงานส่วนใหญ่ได้จากการสำรวจในปี พ.ศ.
2549 ซึ่งอาจจะดูไม่ทันสมัยเท่าที่ควร แต่ก็ถือว่าเป็นข้อมูลสวนป่าเชิงพาณิชย์ สวนป่า
เอกชน และสวนป่าอุตสาหกรรมของประเทศต่าง ๆ ทั้งในและนอกเขตร้อนที่ทันสมัยที่สุด
เทา่ ท่ีพอจะเสาะหามาไดใ้ นขณะน้ี
ผมเห็นว่าข้อมูลหลายอย่าง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับการปลูกสร้างสวนป่าและ
สวนป่าเชิงพาณิชย์ของไทยพอจะเทียบเคียงกับความสำเร็จของประเทศต่าง ๆ ได้บ้าง มาก
นอ้ ยเพยี งใด ให้แง่คดิ อะไรแกเ่ รา จึงได้นำเสนอเร่อื งนผี้ ่านทางนติ ยสารไมล่ องไม่รู้
ถ้าจะถามวา่ สวนปา่ เชงิ พาณิชย์ (commercial plantation) อย่ทู ี่ไหน ก็ตอ้ งโยงไป
ว่าพื้นที่ป่าไม้ของประเทศพอจะแบ่งออกตามภารกิจหลักได้ 3 ประเภท อันได้แก่ พื้นที่
อนุรักษ์ อันประกอบด้วยอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเป็นสำคัญ พื้นที่ป่า
ธรรมชาติทำหน้าที่ให้คงไว้ซึ่งความหลากหลายทางชีวภาพ และป่าชุมชนให้ชาวบ้านได้เข้า
ไปเก็บหาของป่ามาอุปโภคบริโภค และประเภทสุดท้ายคือสวนป่าหรือป่าเชิงพาณิชย์
(commercial plantation หรือ commercial planted areas) ซึ่งมีสวนป่าอุตสาหกรรม
และสวนป่าเอกชนเป็นองค์ประกอบหลัก
หรืออาจจะกล่าวให้เข้าใจตรงกันง่าย ๆ ว่า พื้นที่ป่าเชิงพาณิชย์ในที่นี้หมายถึง
พื้นท่ปี า่ ปลูก ซ่ึงสว่ นใหญก่ ็คอื สวนป่าอตุ สาหกรรมและสวนป่าเอกชน นัน่ เอง
ดัชนีชี้วัดความสำเร็จของสวนป่าเชิงพาณิชย์ที่จะกล่าวถึงต่อไปนีม้ ี 4 ประการ คือ
1) พื้นท่ีสวนป่าคดิ เป็นรอ้ ยละของพ้ืนทีด่ ินของประเทศ 2) พื้นที่ผลิตไม้ของประเทศซึ่งส่วน
476 รวมเร่ืองสวนปา่
ใหญ่เปน็ ป่าปลูกและตอ้ งอยูน่ อกเขตอนุรักษ์ 3) ความเพ่มิ พนู รายปขี องเนอ้ื ไมช้ นดิ สำคัญ ๆ
(MAI) และ 4) ศกั ยภาพในการผลิตไม้อย่างยั่งยืนของชนดิ ไมส้ ำคญั ๆ ในรอบปี
จากการรายงานของไอทีทีโอดังกลา่ วปรากฏว่าทั่วโลกมีเนื้อที่สวนป่าอยูร่ วมทั้งส้นิ
ประมาณ 1,171 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 1.43 ของพื้นดินท้ังโลก โดยแยกเป็นพื้นท่สี วน
ป่านอกเขตร้อน 749 ล้านไร่ (ร้อยละ 63.96) และในเขตร้อน 422 ล้านไร่ (ร้อยละ 36.04)
ประเทศที่มีพื้นที่สวนป่ามากที่สุดในโลกห้าอันดับแรกได้แก่ จีน (282 ล้านไร่) อินเดีย (204
ล้านไร่) รัสเซีย (108 ล้านไร่) สหรัฐอเมริกา (102 ล้านไร่) และญี่ปุ่น (67 ล้านไร่) โดยส่ี
อนั ดับแรกเป็นประเทศทมี่ ีพื้นท่กี ว้างขวางมาก ที่น่าสนใจกค็ อื ญปี่ ุ่นซึง่ มพี นื้ ทีเ่ พียงสามส่วนสี่
ของประเทศไทย และมีจำนวน
ประชากรมากกว่าไทยถึงสอง
เท่า แต่มีพื้นที่ป่าไม้ทั้งป่า
ธรรมชาติและป่าปลูกถึงร้อยละ
66.61 ซึ่งสูงกว่าของประเทศ
ไทยถึงสองเท่า ยิ่งไปกว่านั้นยัง
ปรากฏว่าร้อยละ 57.56 ของ
ภาพจาก : พื้นที่ป่าไม้ในญี่ปุ่นเป็นป่า
https://www.japanjournal.jp/science/environment/pt20190911145000.html เอกชน คือราว ๆ 90 ล้านไร่
ซึง่ สว่ นใหญ่กเ็ ป็นป่าปลกู
สำหรบั ตัวเลขพ้นื ที่สวนปา่ ในเขตร้อน 422 ลา้ นไร่น้นั หากจะแยกออกตามภูมิภาค
ต่าง ๆ และคิดเป็นร้อยละของพื้นที่ดินของแต่ละภูมิภาคก็พบว่าโซนเอเชีย–แปซิฟิก มี
ค่าสูงสุด คือ ร้อยละ 4.9 รองลงมาคือโซนละตินอเมริกา-คาริบเบียน (ร้อยละ 3.9) และ
ตำ่ สดุ คอื โซนแอฟรกิ าซ่งึ มีสวนป่าเพยี งร้อยละ 0.28 ของผนื แผ่นดนิ เทา่ นนั้
หากมองให้แคบลงมาเฉพาะโซนเอเชีย-แปซิฟิก สิบประเทศแรกที่มีเนื้อที่สวนป่า
มากที่สุดตามรายงานของไอทีทีโอฉบับนี้ก็คือ อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซีย เวียดนาม
เมียนมา ฟิลิปปินส์ บังกลาเทศ ศรีลังกา และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยมีเนื้อท่ีป่าปลูกรวม
ทั้งสิ้น 335 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 53.86 ของพื้นที่ประเทศทั้งสิบ หรือสูงถึงร้อยละ 99.4
ของเน้อื ทส่ี วนปา่ ในโซนน้ที งั้ หมด ดังรายละเอียดในตารางท่ี 1
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 477
ตารางที่ 1 พน้ื ที่สวนปา่ ในสบิ ประเทศแรกของโซนเอเชยี –แปซฟิ กิ (ข้อมลู ปี พ.ศ. 2548)
ลำดบั ประเทศ เน้ือท่ี พนื้ ท่สี วนป่า % ของสวน
ท่ี ประเทศ ป่าทัง้ ภูมภิ าค
(ล้านไร)่ ล้านไร่ %
1 อินเดีย 1,858 60.3
2 อนิ โดนีเซีย 1,132 203.61 10.96 18.3
3 ไทย 61.69 5.45 9.1
4 มาเลเซยี 319 30.75 9.63 3.2
5 เวียดนาม 205 10.94 5.33 3.2
6 เมียนมา 203 10.69 5.26 1.5
7 ฟลิ ิปปินส์ 411 5.13 1.25 1.4
8 บังกลาเทศ 186 4.71 2.53 1.2
9 ศรลี งั กา 81 3.91 4.80 0.6
10 อาหรบั เอมิเรตส์ 40 1.98 4.89 0.6
52 1.96 3.76
รวม 99.4
4,487 335.37 53.86
ในขณะที่คนไทยยังถกเถียงกันอย่างไม่รู้จบว่ายางพาราเป็นไม้ป่าหรือเป็นพืชผล
การเกษตร ทั้ง ๆ ที่ยางพาราเม่ือเข้ามาเมอื งไทยครั้งแรกก็อยู่ในสงั กัดของกรมป่าไม้ และใน
ปัจจุบันประเทศไทยก็ส่งออกไม้ยางพาราปีละนับหมื่นล้านบาท แต่นักอนุรักษ์ไม่น้อยก็ยัง
รังเกียจยางพาราว่าเป็นไม้ต่างถิ่น อย่างไรก็
ตาม ไอทีทีโอถือว่ายางพาราที่ปลูกอยู่ใน
ประเทศต่าง ๆ นั้นเป็นพืชผลป่าไม้ ซึ่งโดย
สภาพความเป็นจริงก็น่าจะเป็นเช่นนั้น เพราะ
เกษตรกรมักจะตัดโค่นต้นยางเมื่ออายุ 25-26
ปี เพื่อปลูกยางพันธุ์ใหม่ที่ให้น้ำยางมาก
กวา่ เดมิ ไมท้ โ่ี ค่นล้มลงกถ็ ือว่าเปน็ ไม้ซุง น่ันคือ
อายรุ อบหมุนเวียนในการตัดฟนั (rotation) ไม้ยางพาราจงึ อยทู่ ี่ 25 ปี โดยประมาณ
ไอทีทีโอได้รายงานวา่ ไม้ปา่ ที่ประเทศไทยผลิตออกในเชิงพาณิชยท์ ี่สำคัญห้าอนั ดบั
แรกโดยยึดเอาพื้นที่การผลิตเป็นหลักได้แก่ ยางพารา (12.62 ล้านไร่) สัก (5.23 ล้านไร่)
478 รวมเรอ่ื งสวนปา่
สน (4.31 ล้านไร่) ยูคาลิปตัส (2.77 ล้านไร่) และอะเคเซีย (0.93 ล้านไร่) นอกจากนี้ยังมี
พื้นที่การผลิตไม้ชนิดอื่น ๆ ออกมาอีกราว 4.68 ล้านไร่ รวมพื้นที่การผลิตไม้ (productive
area) ของประเทศไทยเทา่ กับ 30.54 ล้านไร่ ผลิตไม้ได้ 42.13 ล้านลูกบาศกเ์ มตรต่อปี โดย
รอ้ ยละ 47.9 เปน็ ไม้ยางพาราดงั รายละเอียดในตารางที่ 2
ตารางท่ี 2 พ้นื ท่แี ละศักยภาพในการผลติ ไม้จากสวนป่าเชงิ พาณชิ ยข์ องประเทศไทย
ชนิดไม้ พน้ื ทีส่ วนปา่ ความเพ่มิ พูน ศักยภาพในการผลิต
(ลา้ นไร่) (ม3/ไร่/ปี
ยางพารา ลา้ น ม3/ปี % ของท้งั หมด
สัก 12.62 1.60
สน 5.23 0.80 20.190 47.9
ยคู าลิปตัส 4.31 1.92
อะเคเซีย 2.77 1.92 4.180 9.9
ไมอ้ ่ืน ๆ 0.93 1.28
รวม 4.68 0.64 8.268 19.7
30.54
- 5.316 12.6
1.184 2.8
2.992 7.1
42.130 100.0
ข้อมูลของไอทีทีโอในตารางที่ 2 น่าสนใจอยา่ งมากประการหน่ึงกค็ ือไมส้ น (pines)
ซึ่งก็คอื ไม้สนเขาหรือไม้สนสองใบและสนสามใบเปน็ สว่ นใหญ่ที่ระบวุ ่ามพี นื้ ท่ีสวนสนเพ่ือการ
ผลิตไม้อยู่ 4.31 ล้านไร่ มีความเพิ่มพูนรายปี (MAI) ของเนื้อไม้เฉลี่ย 1.92 ลบ.ม./ไร่/ปี มี
ศกั ยภาพในการผลิตไมไ้ ดถ้ งึ 8.268 ลา้ น ลบ.ม./ปี หรอื ประมาณร้อยละ 19.7 ของกำลังการ
ผลิตไม้ทั้งหมดของประเทศ เป็นที่สองรองจากไม้ยางพารา ที่ว่าน่าสนใจอย่างมากก็
เพราะว่าตัวเลขเกี่ยวกับไม้สนน้ีไมน่ า่ จะถูกต้อง เพราะประเทศไทยแทบจะไม่มีพืน้ ทีส่ วน
สนเชิงพาณิชย์ที่จะทำหน้าที่ผลิตไม้สนออกจำหน่าย/ใช้สอยเลย ไม้สนแปรรูปที่วาง
จำหน่ายอยู่ในท้องตลาดส่วนใหญ่นำเข้ามาจากประเทศนิวซีแลนด์ เป็นไม้สนเรเดียต้า
หรือสนมอนเทอเรย์ (Radiata หรือ Monterey pine)
สว่ นตัวเลขความเพ่มิ พนู รายปีของเนอ้ื ไม้ชนิดสำคัญ ๆ ทีป่ ลูกเชิงพาณชิ ย์ในประเทศ
ไทยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ ในเขตร้อนด้วยกัน (ตารางที่ 3) ก็น่าสนใจไม่น้อย
เช่นกัน นั่นคือ ความเพิ่มพูนของไม้ทั้งห้าชนิดที่ปลูกในภูมิภาคเอเชียทั้งสามประเทศมีค่า
ใกล้เคียงกันมาก และต่างก็ต่ำกว่าของประเทศบราซิลมากอย่างน่าสนใจที่จะถามว่าทำไม ?
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 479
เพราะสภาพแวดลอ้ มของพืน้ ทป่ี ลกู ? สายพนั ธุ์ ? หรอื การจดั การ ? ซึ่งจะหาคำตอบมาเฉลย
ในโอกาสตอ่ ไป
ตารางท่ี 3 ความเพมิ่ พูนรายปีของเนื้อไมช้ นิดสำคัญ ๆ ทปี่ ลกู ในประเทศต่าง ๆ ในเขตรอ้ น
หนว่ ย : ลบ.ม./ไร/่ ปี
ชนดิ ไม้ ไทย อนิ เดยี อนิ โดนีเซยี บราซิล
ยางพารา 1.60 1.60 1.92 -
สกั 0.80 0.80 0.80 1.44
สน 1.92 1.92 1.60 3.52
ยูคาลปิ ตัส 1.92 1.60 2.08 5.28
อะเคเซีย 1.28 1.28 0.96 4.17
อนึ่งในระหว่างวันที่ 1-4 พฤษภาคม 2559 นี้ ที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ บางเขน จะมี “การประชุมการป่าไม้ประจำปี 2559” เพื่อเฉลิมฉลอง 120
ปีการป่าไม้ และ 80 ปีคณะวนศาสตร์ รวมทั้งมี การประชุมสัมมนาทางวนวัฒนวิทยา ครั้ง
ที่ 10 “ป่าปลูก ... นำไทยสู่เศรษฐกิจเชิงนิเวศ” โดยเน้นการนำเสนอผลงานทางวิชาการ
ด้านการปลูกป่าเศรษฐกิจ การฟื้นฟูป่า ป่าปลูกกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และ
ดา้ นวนเกษตร
ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมประชุมได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 22 เมษายน
2559 และดรู ายละเอียดเพิม่ เติมได้ท่ี http://www.conference.forest.ku.ac.th
80 โครงการส่งเสรมิ
ปลกู ต้นไม้เพอ่ื เปน็ ทนุ ระยะยาว :
ความเปน็ มาและความนา่ จะเป็นไป
นับตั้งแต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ (ครม. สัญจร) ครั้งที่ 5/2561 เมื่อวัน
อังคารที่ 24 กรกฎาคม 2561 ที่จังหวัดอุบลราชธานีได้มีมติเห็นชอบในหลักการร่าง
กฎกระทรวงกำหนดให้ทรัพย์สินอื่นเป็นหลักประกันทางธุรกิจ พ.ศ. .... ตามข้อเสนอของ
กระทรวงพาณิชย์ ทำให้บุคคลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปลูกไม้เศรษฐกิจทั้งภาครัฐ
และเอกชนตื่นตัวและต่ืนเต้นกันมาก เพราะทรัพย์สินอ่ืนที่ว่าน้ีมีบัญชีไม้เศรษฐกจิ หลายสบิ
ชนิด รวม 58 รายการแนบมาด้วย นั่นคือ รัฐบาลจะผลักดันกฎหมายที่เกี่ยวกับการส่งเสริม
ให้ประชาชนปลูกไม้ยืนต้นที่มีมูลค่าสูงในที่ดินกรรมสิทธิ์เพื่อการออมและสามารถนำต้นไม้
ดังกลา่ วมาเป็นหลักประกนั ทางธรุ กิจได้ดว้ ย
ที่พูดว่าทำให้คนในแวดวงไม้เศรษฐกิจตื่นตัวกันอย่างกว้างขวางนั้นเพราะแม้แต่
นิตยสารไม่ลองไม่รู้ ฉบับ 206 ประจำเดือนกันยายน 2561 กย็ งั ไดน้ ำเสนอสกปู๊ พิเศษ เรื่อง
“ปลดล็อคไม้หวงห้ามในที่ดินกรรมสิทธิ์ : หลักประกันทางธุรกิจประเภทใหม่ที่คนไทย
สามารถปลูกได้” โดยกองบรรณาธิการ ตามด้วยฉบับที่ 207 ประจำเดือนตุลาคม 2561
เรื่อง “เจาะลึกปลูกต้นไม้เป็นทุน : หลักประกันทางธุรกิจประเภทใหม่ที่ต้องจับตามอง”
โดย ผศ.ดร. สาพิศ ดิลกสมั พันธ์ หัวหน้าภาควิชาวนวฒั นวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
เกษตรศาสตร์ และนายกสมาคมธุรกิจไม้โตเร็ว รวมทั้ง สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจาก
ฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) กรมปา่ ไม้ องคก์ ารอุตสาหกรรมป่าไม้ ธนาคารเพ่อื การเกษตร
และสหกรณ์การเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และสำนักงานคณะกรรมการวิจัย
แหง่ ชาติ ฯลฯ ตา่ งก็ได้จัดใหม้ ีการประชมุ สมั มนากนั หลายครั้งในช่วงเวลาเพียงสองเดือนเศษ
ทผี่ า่ นมาน้ี
พมิ พค์ รัง้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 18 (208) : 68–71 (พ.ศ. 2561)
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 481
ผมแม้จะแก่แต่ก็ยังเผลอพลอยเกาะกระแสไปกับเขาด้วย เพราะเมื่อเกษียณอายุ
ราชการได้ 5-6 ปี ผมในนามของศนู ย์วิจยั ป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ไดร้ ับมอบหมายใหเ้ ปน็ หัวหน้าคณะที่ปรกึ ษาและผ้จู ัดการ “โครงการส่งเสริมปลูกต้นไม้เพ่ือ
เป็นทนุ ระยะยาว”
โครงการส่งเสริมปลูกต้นไม้เพื่อเป็น
ทุนระยะยาวเกิดจากแนวความคิดของ
ดร. ปีติพงษ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา อดีต
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม ซึ่งเคยปรารภถึงการ
ประเมินมูลคา่ ของตน้ ไม้ที่ยงั ยนื ต้นและ
ยังมีชีวิตอยู่ เพราะเท่าที่ผ่านมาและ
เปน็ อยู่ มลู คา่ ทางเศรษฐกจิ ของต้นไมจ้ ะเกดิ ขน้ึ กเ็ ฉพาะภายหลงั การตัดฟนั หรอื เมือ่ ไมย้ นื ต้น
ที่มีชีวิตอยู่แปรสภาพมาเป็นไม้ซุงเท่านั้น เมื่อมารับตำแหน่งประธานคณะกรรมการบริหาร
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกจิ จากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) หรอื สพภ. (BEDO) จึงได้มอบ
นโยบายให้ไปพิจารณา โดยในตอนแรกนน้ั ยังใชค้ ำวา่ “พันธบตั รตน้ ไม”้ (Tree Bond) เพ่ือ
ศึกษามติ ิทางเศรษฐศาสตรอ์ ันอาจจะนำไปสกู่ ารออกพันธบตั รต้นไม้และการสง่ เสรมิ การปลกู
ต้นไม้เพอื่ เป็นทนุ ระยะยาว สพภ. ได้ตระหนักถงึ บทบาทความสำคัญทั้งทางตรงและทางอ้อม
ของป่าไม้ภายใต้สถานการณ์ที่พื้นที่ป่าไม้ของประเทศลดลงอย่างต่อเนื่อง แม้รัฐบาลทุกยุค
ทกุ สมัยจะไดร้ ณรงค์สง่ เสริมให้มีการเพ่ิมพ้นื ทปี่ ่าขึน้ โดยวิธีตา่ ง ๆ กต็ าม แต่ก็ยังห่างไกลจาก
เป้าหมายที่กำหนดไว้ในนโยบายป่าไม้แห่งชาติ 2528 มาก สพภ. จึงได้จัดทำ “โครงการ
ส่งเสริมปลูกต้นไม้เพื่อเป็นทุนระยะยาว” ขึ้น และมอบหมายให้ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวน
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นแกนนำในการศึกษาภายในระยะเวลา 120 วัน คือ
ระหวา่ งวันที่ 1 มถิ ุนายน 2552 ถึงวนั ที่ 28 กนั ยายน 2552
ผมแม้จะมีประสบการณ์ทางการเรียนการสอน และการวิจัยด้านการปลูกสร้าง
สวนป่ามายาวนานพอสมควร แตม่ คี วามรูเ้ ก่ียวกบั การนำพันธบตั รหรือเครื่องมือทางการเงิน
อื่นมาใช้ในการส่งเสริมการปลูกป่าน้อยมาก จึงได้ปรึกษาหารือกับผู้ทรงคุณวุฒิแล้วฟอร์ม
ทีมงานซึ่งประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ อันได้แก่ ด้านการกักเก็บคาร์บอน/คาร์บอน
เครดิต (ดร. ลดาวัลย์ พวงจิตร : คณะวนศาสตร์ มก.) ด้านวนวัฒนวทิ ยา การปลูกและการ
482 รวมเรอ่ื งสวนป่า
จัดการสวนป่า (นายบุญชุบ บุญทวี : กรมป่าไม้) ด้านระบบวนเกษตรและการมีส่วนร่วม
(ดร. มณฑล จำเริญพฤกษ์ : คณะวนศาสตร์ มก.) ด้านการใช้ประโยชน์ไม้ (ดร. นิคม
แหลมสัก : คณะวนศาสตร์ มก.) ด้านเศรษฐศาสตร์ (รศ. สมพร อิศวลิ านนท์ ดร. กัมปนาท
วิจิตรศรีกมล นางสาวอารียา มนัสบุญเพิ่มพูน : คณะเศรษฐศาสตร์ มก. และนายเดชา
ศุภวันต์ : สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร) และด้านกฎหมาย (ร.อ. ปราโมทย์ ลำไย : คณะ
สังคมศาสตร์ มก.) ทั้งนี้โดยมีนางสาวแอนนา เขียวชอุ่ม และนางสาวละอองดาว
เถาว์พิมาย : ศูนย์วิจัยป่าไม้ มก. เป็นผู้ช่วยวิจัย และ ดร. ลดาวัลย์ พวงจิตร เป็นหัวหน้า
โครงการ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในทีมงานท่ีปรึกษาส่วนใหญ่เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านเศรษฐศาสตร์
แขนงต่าง ๆ ถึงส่คี น
แนวทางการทำงานเริ่มด้วยการประชุมปรึกษาหารือภายในทีมงาน ตามด้วยการ
ประชุมระดมสมองโดยเรยี นเชิญผู้ทรงคุณวฒุ ภิ ายนอกมาเป็นวทิ ยากรบรรยายพเิ ศษในหัวข้อ
ต่าง ๆ และมีการออกไปศึกษาดูงานนอกสถานทีร่ วม 4 ครั้ง คือ (1) นิคมเศรษฐกิจพอเพยี ง
ในเขตปฏริ ปู ทีด่ ินวงั นำ้ เขียว อำเภอวังนำ้ เขยี ว จังหวัดนครราชสีมา (2) การปลูกพรรณไม้ป่า
แทรกในสวนไม้ผลยืนต้น อำเภอพรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช และธนาคารต้นไม้
อำเภอพะโต๊ะ จังหวัดชุมพร (3) เครือข่ายอินแปง บ้านบัว อำเภอกุดบาก จังหวัดสกลนคร
และสำนักงานจัดการทรัพยากรป่าไม้ที่ 6 (อุดรธานี) อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี และ
(4) อุทยานแหง่ ชาตอิ อบหลวง และอทุ ยานแหง่ ชาตดิ อยอินทนนท์ จงั หวดั เชียงใหม่ แล้วนำ
ขอ้ มูลที่ไดท้ ั้งหมดมาวเิ คราะห์ ประชมุ ปรกึ ษาหารอื และจัดทำรา่ งรายงานฉบับสมบูรณ์ข้ึนมา
แล้วนำเสนอร่างต่อทีป่ ระชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นกอ่ นจะออกมาเป็นรายงานฉบบั สมบูรณ์
ส่งให้ สพภ. ภายในระยะเวลาที่ สพภ. กำหนดไว้
การบรรยายพิเศษโดยผทู้ รงคุณวฒุ ิภายนอกรวม 5 ครง้ั ชว่ ยให้ผมมหี ูตาสวา่ งขึ้นมาก
อนั เปน็ ผลใหก้ ารบริหารงานสัมฤทธผ์ิ ลลงดว้ ยดี จงึ ใครข่ อระบรุ ายชือ่ วทิ ยากรและหวั ขอ้
บรรยายพเิ ศษเพอ่ื เป็นการขอบคณุ ไว้ ณ ท่ีน้ีอีกครง้ั หน่งึ ดงั นี้
1. พันธบัตรเพื่อการปลูกไม้เศรษฐกิจ โดย ดร. ชาญชัย มุสิกนิสากร ประธาน
กรรมการบรหิ ารธนาคารสนิ เอเซีย จำกัด (มหาชน)
2. ธนาคารต้นไม้ โดย นายพงศา ชแู นม รองผ้จู ัดการใหญ่ ธนาคารตน้ ไม้
3. การปลูกต้นไม้เพื่อเป็นทุน โดย นายกฤษฎา อุทยานิน สำนักงานเศรษฐกิจการ
คลงั กระทรวงการคลงั
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 483
4. โครงการส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจของกรมป่าไม้ และธนาคารเพื่อการ
เกษตรและสหกรณ์การเกษตร โดย นางสาวเรณู สุวรรณรัตน์ กรมป่าไม้ และนายบรรจง
ขจรไชยกุล ธ.ก.ส.
5. การปลูกต้นไม้เพื่อเป็นทุนระยะยาว โดย นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา
ประธานคณะกรรมการบริหาร สำนกั งานพฒั นาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน)
ผลจากการบรรยายพิเศษและข้อเสนอแนะจากที่ประชุมทุกครั้งเป็นประโยชน์กับการ
ดำเนินงานโครงการนี้เป็นอย่างมาก เช่น การออกพันธบัตรเพื่อการปลูกไม้เศรษฐกิจนั้นไม่
สามารถกระทำได้ เพราะแนวคดิ ของพนั ธบตั รมุ่งระดมทุนเข้ารฐั แต่โครงการนี้ตอ้ งการให้รัฐ
เป็นผ้จู ่ายเงินให้เอกชน หรอื เร่ืองที่ธนาคารตน้ ไม้ในตอนนน้ั จะจา่ ยเงินให้กับสมาชิกที่ปลูกไม้
เศรษฐกจิ ในอตั ราตอ่ ต้นต่อปีเท่า ๆ กัน กไ็ มน่ า่ จะถูกตอ้ ง เพราะมูลคา่ ทางเศรษฐกิจของต้นไม้
ผนั แปรไปตามชนดิ ขนาด และอัตราการเติบโต ซงึ่ อัตราการเติบโตก็ขน้ึ อยูก่ ับสภาพแวดลอ้ ม
ของพื้นที่ปลูก เทคโนโลยีในการปลูกและการบำรุงรักษา ฯลฯ จึงเป็นที่มาของชื่อโครงการ
สง่ เสรมิ การปลกู ตน้ ไมเ้ พอ่ื เป็นทุนระยะยาว และจำแนกกลมุ่ ไม้เพ่ือประเมนิ มลู คา่ ของต้นไม้
ในโครงการออกเป็น 4 กลุ่มตามอัตราการเติบโต อายุ รอบหมุนเวียนในการตัดฟัน และ
มลู คา่ ของเนอ้ื ไมเ้ มอื่ มกี ารนำไปใช้ประโยชน์ ดังน้ี
กลุ่มที่ 1 ต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโตเร็ว รอบตัดฟันสั้น มูลค่าของเนื้อไม้ต่ำ เช่น ไม้
ยูคาลปิ ตัส กระถินเทพา และกระถนิ ณรงค์ เป็นต้น
กลุ่มที่ 2 ต้นไมท้ ่มี อี ตั ราการเติบโตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มลู คา่ ของเน้ือไม้ค่อนข้าง
สูง เชน่ ไม้ยางนา กระบาก จำปาป่า และประดู่ เป็นต้น
กล่มุ ท่ี 3 ตน้ ไมท้ ่มี อี ัตราการเตบิ โตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มลู ค่าของเนื้อไม้สงู เช่น
ไมส้ ัก ตะเคยี นทอง แดง และมะฮอกกานีใบใหญ่ เปน็ ตน้
กลุ่มที่ 4 ต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโตช้า รอบตัดฟันยาว มูลค่าของเนื้อไม้สูงมาก เช่น
ไมพ้ ะยงู ชิงชัน จนั ทนห์ อม และมะคา่ โมง เปน็ ต้น
นั่นคือความเป็นมาของโครงการส่งเสริมปลูกต้นไม้เพื่อเป็นทุนระยะยาวซ่ึง
สำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ (องค์การมหาชน) ได้จัดสรรงบประมาณให้
ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นผู้ทำการศึกษาและ
จัดพิมพ์รายงานในปี พ.ศ. 2552 จึงเรียนมาเพื่อองค์กรต่าง ๆ ที่นำเอาผลงานชิ้นนี้ไป
อ้างองิ หรือใชป้ ระโยชนไ์ ดโ้ ปรดทราบโดยทั่วกันด้วย
484 รวมเรือ่ งสวนป่า
กลมุ่ ที่ 1 ไม้โตเรว็ อายุการตัดฟนั สนั้ มลู คา่ ตำ่ ยูคาลิปตสั กระถนิ เทพา กระถนิ ณรงค์
กล่มุ ที่ 2 ไม้โตปานกลาง อายุการตัดฟนั ยาว ยางนา กระบาก จำปาป่า ประดู่
มูลคา่ คอ่ นข้างสูง
กล่มุ ที่ 3 ไม้โตปานกลาง อายุการตัดฟนั ยาว สัก ตะเคียนทอง มะฮอกกานีใบใหญ่
มูลคา่ สงู
กล่มุ ท่ี 4 ไมโ้ ตชา้ อายกุ ารตดั ฟนั ยาว มลู ค่าสงู มาก พะยงู ชงิ ชนั จนั ทน์หอม
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 485
ส่วนความนา่ จะเปน็ ไปของโครงการส่งเสรมิ ปลูกตน้ ไม้เพ่ือเป็นทุนระยะยาวน้นั ใคร่
ขอให้พิจารณารายชื่อต้นไม้ที่มีมูลค่าสูง จำนวน 58 รายการที่ปรากฏอยู่ในบัญชีต้นไม้ซ่ึง
ครม. สัญจร ครั้งที่ 5/2561 ได้ให้ความเห็นชอบในหลักการที่ผู้ปลูกสามารถนำมาเป็น
หลักประกันทางธุรกิจได้ หลาย ๆ คนพูดว่าไม้ 58 ชนิด แต่ผมใช้คำว่าไม้ 58 รายการ
เพราะรายการที่ 20 ไม้สกุลยาง (Dipterocarpus spp.) ในประเทศไทยมีอยู่ถึง 16 ชนิด
รายการที่ 37 สกุลไม้จำปี-จำปา (Magnolia spp.) มีอยู่ 32 ชนิด รายการที่ 56 ไม้สกุล
มะม่วง (Mangifera spp.) มีอยู่ 17 ชนิด และรายการที่ 57 ไม้สกุลทเุ รียน (Durio spp.) มี
อยู่ 5 ชนดิ รวมจำนวนตน้ ไมใ้ นบัญชดี งั กล่าวแล้วมีถึง 109 ชนดิ ไมใ่ ช่ 58 ชนิดดังท่นี ำไปพดู
กัน นีย่ งั ไมร่ วมรายการท่ี 55 คือ ไผท่ ุกชนิด นะครบั
ผมไม่ทราบท่มี าของชือ่ ตน้ ไม้ 58 รายการดังกลา่ ว แตใ่ ครต่ ั้งขอ้ สังเกตไว้ 2 ประการ
คือ (1) ทำไมไม่มีชื่อของไม้ที่มีอัตราการเติบโตเร็ว รอบตัดฟันสั้น มูลค่าของเนื้อไม้ต่ำ
(ไม้กลุ่มที่ 1) เช่น ยูคาลิปตัส และไม้สกลุ อะเคเซีย ทั้ง ๆ ที่ไม้ในกลุ่มน้ีมีการปลกู และการใช้
ประโยชน์ในอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับ เยื่อกระดาษ และพลังงานชีวมวลกันอย่างกว้างขวาง
ต่อเนอื่ งมายาวนานแล้ว คงไม่ใชเ่ พราะผนู้ ำเสนอรังเกียจไมย้ ูคาลิปตัสซึ่งเป็นไม้ต่างถิ่นนะ
ครับ เพราะเหลืองปรีดียาธร (ลำดับที่ 42) และจามจุรี (ลำดับท่ี 46) ต่างก็เป็นพันธุ์ไม้
ตา่ งถน่ิ เชน่ กนั
ข้อสังเกตประการที่สองของผมก็คือไม้หลายชนิดในบัญชีรายชื่อนี้เหมาะสำหรับ
ปลูกเป็นไม้ประดับ ไม้ให้ร่ม หรือตกแต่งสถานทีใ่ ห้เกิดความสวยงาม ไม่ใช่ไม้ที่จะนำเนื้อไม้
ไปใช้ประโยชน์ เช่น นางพญาเสือโคร่ง ปีบ อินทนิลน้ำ กัลปพฤกษ์ ราชพฤกษ์ สุพรรณิการ์
เหลืองปรีดียาธร ฯลฯ หากจะบอกว่าปลูกเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนและเพิ่มพื้นที่สีเขียว
ใหแ้ กแ่ ผน่ ดินกใ็ ช่ แตเ่ ปน็ การเกาไม่ถูกท่ีคัน
สุดท้าย เม่ือมแี ววว่าปญั หาการปลูกต้นไมม้ คี ่าในท่ดี นิ กรรมสิทธิจ์ ะไดร้ ับการปลดล๊อค
แล้ว ก็ใคร่ขอเรียนฝาก ครม. ให้พิจารณาปลดล๊อคกฎกระทรวงที่ออกตาม พรบ. ภาษี
โรงเรือนและที่ดิน พ.ศ. 2475 และ พรบ. ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ. 2508 ด้วย เพื่อเจ้าของ
ที่ดินในเขตชุมชนที่มีไม้ยืนต้นขึ้นอยู่จะได้รับการยกเว้นภาษี อันจะนำไปสู่มาตรการในการ
เพิ่มและการจัดการพื้นที่สีเขียวในเขตชมุ ชนอย่างยั่งยืน ซึ่งศูนย์วิจัยป่าไม้ได้ทำการศึกษา
ตามความตอ้ งการของสำนกั งานนโยบายและแผนทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดลอ้ ม ตัง้ แต่
ปี พ.ศ. 2547 แล้ว แต่ทุกอย่างก็ยังเงียบหายอยู่จนถึงวันนี้ เข้าทำนอง “เมื่อหัวไม่ส่าย
หางก็ไม่ขยับ” อย่างน้นั หรือ?
486 รวมเรื่องสวนป่า
บัญชีตน้ ไม้ 58 รายการ
ลำดับ ชือ่ สามญั - ชอื่ พฤกษศาสตร์ ลำดบั ช่อื สามญั - ชอื่ พฤกษศาสตร์
1 ไมส้ กั Tectona grandis 30 พฤกษ์ Albizia lebbeck
2 พะยูง Dalbergia cochinchinensis 31 ปบี Millingtonia hortensis
3 ชงิ ชัน Dalbergia oliveri 32 ตะแบกนา Lagerstroemia floribunda
4 กระซิก Dalbergia parviflora 33 เสลา Lagerstroemia loudonii
5 กระพเี้ ขาควาย Dalbergia cultrata 34 อนิ ทนิลน้ำ Lagerstroemia speciosa
6 สาธร Millettia leucantha 35 ตะแบกเลือด Terminalia mucronata
7 แดง Xylia xylocarpa 36 นากบดุ Mesua nervosa
8 ประดปู่ ่า Pterocarpus macrocarpus 37 ไมส้ กลุ จำป–ี จำปา Magnolia spp.
9 ประด่บู ้าน Pterocarpus indicus 38 แคนา Dolichandrone serrulata
10 มะคา่ โมง Afzelia xylocarpa 39 กัลปพฤกษ์ Cassia bakeriana
11 มะคา่ แต้ Sindora siamensis 40 ราชพฤกษ์ Cassia fistula
12 เคีย่ ม Cotylelobium lanceolatum 41 สพุ รรณกิ าร์ Cochlospermum regium
13 เคยี่ มคะนอง Shorea henryana 42 เหลอื งปรีดยี าธร Roseodendron donnell
14 เต็ง Shorea obtusa 43 มะหาด Artocarpus lacucha
15 รงั Shorea siamensis 44 มะขามปอ้ ม Phyllanthus emblica
16 พะยอม Shorea roxburghii 45 หว้า Syzygium cumini
17 ตะเคียนทอง Hopea odorata 46 จามจุรี Albizia saman
18 ตะเคียนหิน Hopea ferrea 47 พลบั พลา Microcos tomentosa
19 ตะเคยี นชนั ตาแมว Neobalanocarpus heimii 48 กนั เกรา Fagraea fragrans
20 ไมส้ กุลยาง Dipterocarpus spp. 49 กะทังใบใหญ่ Litsea grandis
21 สะเดา Azadirachta indica 50 หลมุ พอ Intsia palembanica
22 สะเดาเทยี ม Azardirachta excelsa 51 กฤษณา Aquilaria crassna
23 ตะกู Neolamarckia cadamba 52 ไม้หอม Aquilaria malaccensis
24 ยมหนิ Chukrasia tabularis 53 เทพทาโร Cinnamomum parthenoxylon
25 ยมหอม Toona ciliata 54 ฝาง Caesalpinia sappan
26 นางพญาเสือโครง่ Prunus cerasoides 55 ไผท่ ุกชนิด
27 นนทรี Peltophorum pterocarpum 56 ไม้สกลุ มะม่วง Mangifera spp.
28 สัตบรรณ Alstonia scholaris 57 ไมส้ กุลทุเรยี น Durio spp.
29 ตนี เป็ดทะเล Cerbera odollam 58 มะขาม Tamarindus indica
ดชั นีพรรณไม้
พรรณไม้ เร่อื งที่ พรรณไม้ เรอื่ งที่
ก กฤษณา 13, 59, 74, 80
ก่อ 41
กระซิก 80 กอ่ เดือย 54
กะทังใบใหญ่ 80
กระแซะ 54 กะบุย 46
กนั เกรา
กระดงั งาไทย 59 11, 12, 21, 42,
กัลปพฤกษ์ 50, 56, 80
กระโดน 54 กางขี้มอด 11, 12, 80
กา้ มปู 59, 64
กระถนิ 40 กายา 61
การบูร 21
กระถินคราสซิคาร์ปา 7, 27, 28, 73 กาฬพฤกษ์
กำจัดตน้ 5, 23, 41, 55, 61, 78
กระถินเงิน 38 กมุ่ นำ้ 12
เกด็ แดง 54
กระถนิ ซาบาห์ 7 แกง 41
โกงกาง 42
กระถนิ ณรงค์ 1, 7, 10, 12, 18, 23
โกงกางใบเลก็
27, 38, 55, 57, โกงกางใบใหญ่ 10, 15, 16, 26,
40, 41, 45
64, 73, 76, 80 ขนุน 16, 26
ขนนุ ปา่ 16, 26
กระถินดอย 5, 7, 10, 41, ข่อย
ขางหัวหมู ข
55, 61, 69, 78 ขานาง 41, 42, 54
ขก้ี วาง 59
กระถนิ ดำ 38 ขม้ี อด 20
ขี้หนอน 50
กระถนิ แดง 25 ขห้ี นอนพรุ 59
ข้ีเหลก็ 54
กระถินเทพา 6, 7, 8, 18, 27, 28, 64
59
38, 39, 40, 50, 55, 46
20, 41, 61
56, 59, 73, 76, 80
กระถนิ ป่า 25
กระถินพมิ าน 7
กระถนิ ยกั ษ์ 10, 55, 59, 64
กระถนิ อเคเซีย 27
กระถินเอาลาโคคารป์ า 7, 73
กระท้อน 50, 54
กระทมุ่ 50, 59
กระทุ่มบก 50
กระบก 41, 54, 59
กระบาก 43, 50, 80
กระบากขาว 59
กระเบา 11
กระพ้ีเขาควาย 42, 80
488 รวมเร่ืองสวนป่า
พรรณไม้ เร่ืองที่ พรรณไม้ เรอื่ งที่
ข้เี หลก็ ไทย ค 54 จันทนก์ ระพอ้ 11
เขลง 54, 59 จนั ทน์ชะมด 49
ง จันทน์หอม 49, 80
ควินนิ จ 19 จนั ทนา 49
คอ้ นก้อง 31 จันทนาใบเล็ก 49
คอแลน 54 จันทร์ทอง 5, 55
คันธา 13 จันทร์ทองเทศ 41, 55, 61, 69, 78
ค้างคาว 59 จันใบมัน 49
ค่างเต้น 64 จาก 45
คูน 11 จากเขยี ว 45
เคย่ี ม 80 จากแดง 45
เคย่ี มคะนอง 80 จามจุรี 12, 15, 18, 21,
แค 55 55, 61, 64, 80
แคขาว 54 จำปา 12
แคนา 80 จำปาปา่ 40, 50, 58, 59, 74, 80
แคบา้ น 41 จำปี 12
แคปีก 55 จกิ 41
แคแสด 11 ฉ
เฉียงพร้านางแอ 59
งวิ้ 54 ช
งิ้วปา่ 59 ชมพูพนั ธท์ุ พิ ย์ 11
เงาะ 74 ชมพู่เสม็ด 59
เงาะป่า 54 ชะมวง 41
เงาะโรงเรยี น 74 ชะอม 41
เงาะสชี มพู 74 ชัยพฤกษ์ 11, 12, 42
เงาะสที อง 74 ชา้ งไห้ 46
ชิงชนั 39, 42, 50, 59, 66, 74, 80
จวง 13 ชมุ เห็ด 20
จวงหอม 13 เชียด 23, 59
จัน 49 ซ
จนั ขน 49 ซ้อ 7, 50, 59
จันเขา 49 ด
จนั ดำ 49 แดง 1, 39, 41, 42, 50,
จนั ทน์ 13 54, 56, 71, 75, 80
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 489
พรรณไม้ เร่ืองที่ พรรณไม้ เร่ืองที่
ตะกู ต ทงุ้ ฟ้า 17
ตะกูยกั ษ์ 50, 53, 59, 72, 80 ทเุ รียน 31, 54, 74
ตะโกนา 50 ทเุ รยี นกระดุม
ตะคร้อ 54 ทุเรยี นผี 74
ตะเคยี น 54 ทเุ รียนพวงมณี 46
ตะเคียนชนั ตาแมว 28, 43 ทเุ รยี นหมอนทอง 74
ตะเคยี นทอง 80 เทพทาโร 74
12, 28, 39, 50, เทียะ 13, 23, 67, 74, 80
ตะเคยี นใหญ่ 56, 59, 73, 74, 80 ไทร 17, 54
ตะไครต้ น้ 28 20
ตะบนั 23 นนทรี น
ตะบูน 16 นนทรปี า่ 12, 21, 25, 80
ตะแบก 16 นอ่ งขาว 25, 39, 59
ตะแบกแดง 11, 71 นอรเวยส์ ปรซู๊ 17
ตะแบกนา 59 นากบดุ 27, 75
ตะแบกเลอื ด 80 นางพญาเสอื โคร่ง 80
ตะลงิ ปลงิ 80 นนุ่ 80
ตงั หนใบใหญ่ 41 เนยี ง 54
ตานดำ 46 54
ตาเสือ 59 บง บ
ตำเสา 59 บุนนาค 46, 56
ตว้ิ ขาว 21 เบอร์ช 11, 50, 54
ตีนเป็ด 41, 54 75
ตนี เป็ดทะเล 11, 17, 49, 50 ประ ป
ตนี เปด็ พรุ 80 ประดู่ 54
ตนี เป็ดเล็ก 17 1, 11, 20, 23, 39, 41,
เตง็ 17 ประดกู่ งิ่ อ่อน 42, 50, 56, 75, 80
เตา้ หลวง 41, 43, 80 ประดชู่ ิงชนั 21
59 ประดแู่ ดง 42
ทรงบาดาล ประด่บู ้าน 11, 12
ทองหลาง ท ประดู่ปา่ 12, 80
ทองหลางดา่ ง 42 ประด่ลู าย 59, 80
ทองหลางลาย 41 ประสักดอกแดง 66
ทำมงั ประสกั แดง 74
11, 12 ปอทะเล 74
42 45
41, 54, 74
490 เรอื่ งท่ี พรรณไม้ รวมเร่ืองสวนปา่
พรรณไม้ 33, 38 ไผ่ตงหม้อ เรอ่ื งท่ี
46 ไผ่ทอง
ปอปล่าร์ ไผ่นวล 24, 60, 72
ปอสองสี 50, 59 ไผ่นวลใหญ่ 60
ปออเี ก้ง 41 ไผ่บง 72
ปาล์ม ไผบ่ งใหญ่ 72
ปาลม์ น้ำมนั 18, 57, 73, 74 ไผบ่ ชี ี
ปบี 12, 80 ไผ่บีชยี านา 4, 5, 60, 71
เปง้ ทะเล 45 ไผบ่ เี ช 60, 69, 72
โปรง 16 ไผ่แบมบูซอยเดส
ไผป่ า่ 72
ไผ่ ผ ไผเ่ ปา๊ ะ 69
1, 24, 29, 38, 41, 42, ไผ่โปก 72, 78
ไผก่ ิมซงุ ไผ่มนั หมู 5, 41
ไผ่ขน 62, 66, 59, 74, 80 ไผ่มากินหนอ่ ย 60, 72
ไผ่ขา้ วหลาม 69, 72, 78 ไผ่ยกั ษ์ 72
ไผจ่ ีน 38, 78 ไผ่รวก 72
ไผซ่ อยดิส 60, 71 ไผ่รวกดำ 72
ไผ่ซาง 69, 72 ไผ่ไร่ 5, 38, 41, 78
ไผซ่ างนวล 78 ไผ่ลิตโตเฟีย 69, 72
ไผ่ซางหม่น 60, 72 ไผ่ลโิ ต 3, 29, 59, 60
ไผ่ซงุ 60, 71, 72 ไผล่ ี่จู๋ 29, 60, 72
ไผ่ดำ 60, 69, 72 ไผเ่ ลยี้ ง 3, 60, 71, 72
ไผ่ตง 69 ไผไ่ ลล่ อ 5
ไผต่ งเขียว 5, 38 ไผว่ ดั จนั ทร์ 41, 78
ไผต่ งดำ ไผส่ สี ุก 5, 69
ไผ่ตงป่า 18, 24, 55, 60, 61, 72 ไผห่ ก 24, 29, 60
ไผ่ตงลมื แล้ง 60, 72 71
ไผ่ตงหนู ไผ่หกนำ้ 69
ไผ่ตงหมอ้ 24, 60, 72 ไผ่หกวดั จนั ทร์ 24, 42, 60
ไผท่ อง 72 ไผห่ มาจู๋ 5, 41, 60, 69,
ไผน่ วล 72 ไผห่ ยก 71, 72
ไผ่นวลใหญ่ ไผห่ วานอา่ งขาง 72
ไผบ่ ง 60, 72 72
ไผ่บงใหญ่ 60, 72 ไผเ่ หล่ยี ม 1, 5, 59, 69, 72
ไผบ่ ีชี 5, 38, 41, 60, 78
ไผ่บีชียานา 60 1, 5, 38, 41, 59,
72 60, 69, 72, 78
72 5, 38
60, 71
60, 69, 72
72
69
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 491
พรรณไม้ เร่ืองท่ี พรรณไม้ เรอ่ื งท่ี
ฝาง ฝ มะคา่ แต้ 54, 75, 80
ฝาด 80 มะค่าโมง 39, 42, 50, 54,
พญาสัตบรรณ 16, 45 มะเคด็ 59, 71, 80
พระเจ้าหา้ องค์ พ มะเดื่อ 54
พฤกษ์ มะเดอื่ อทุ ุมพร 20
พลวง 17, 23 มะตมู 54
พลับพลา 54 มะพรา้ ว 41
พะยอม มะพอก
พะยูง 12, 54, 59, 80 มะแฟน 15, 45, 58, 73
41 มะไฟ 59
พะยูงแกลบ มะม่วง
พะยูงดำ 59, 80 มะมว่ งกะลอ่ น 54, 59
พะยูงแดง 54, 80 มะม่วงข้ีไต้ 54
พะยงู ไหม 1, 11, 39, 42, 50, 56 มะมว่ งคนั 54
พังกาหวั สุม 59, 66, 74, 75, 80 มะม่วงปา่
พกิ ุล มะม่วงหมิ พานต์ 54, 59
เพกา 66 มะมดุ 54
เพชรประจันตคาม 66 มะยมป่า 54
เพาโลวเ์ นยี 66 มะรุม
โพธิท์ ะเล 66 มะหาด 49, 50
16 มะฮอกกานี 15, 73
มะกลำ่ ตน้ 11, 12 41, 54
มะกอก 41 มะฮอกกานใี บเลก็
มะกอกเกลอื้ น 24 มะฮอกกานีใบใหญ่ 59
มะกอกป่า 1, 5, 3241, 55, 78 มะฮังใหญ่ 41
มะกัก 45 มงั คุด 54, 59, 80
มะกา ม มงั คุดทบั ทมิ 6, 11, 12, 19, 21,
มะเกลอื 54 เมเปิล้ หอม 25, 40, 73, 75
มะขาม 54 โมก 6
มะขามเทศ 54 โมกมัน 6, 80
มะขามปอ้ ม 41 ไมร้ วก 46
มะขามป้อมดง 54 ไมห้ อม 74
มะแขวน่ 20 74
มะคา่ 12, 54, 59 ยมหอม 5, 41, 55, 61, 69, 78
20, 54, 80 ยมหิน 49
20 59
41, 54, 80 29
54 80
41 ย
41 49, 50, 80
80