The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2022-11-28 22:40:29

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Keywords: สวนป่า,ไม้เศรษฐกิจ,ยูคาลิปตัส,สัก,ไผ่,เทพทาโร,พะยูง,หยีน้ำ,วนเกษตร,เสม็ดขาว

242 รวมเรือ่ งสวนป่า

ไม้โตเร็วบนคันนาก็ได้ ไม้โตเร็วซึง่ เป็นที่ต้องการของตลาดมากที่สดุ ในขณะนี้เห็นจะไม่มี
อะไรโดดเดน่ เทา่ ไมย้ ูคาลิปตัส

แต่การจะปลูกไม้ยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือให้ได้ผลผลิตสูงก็ไม่ควร
มองข้ามผลงานวจิ ยั ของคณุ วรวทิ ย์ อนิ ศวร ดงั กล่าวแลว้

พื้นที่กลุ่มชุดดินดอน นอกเขตป่าอนุรักษ์ และมีความลาดชันไม่เกิน 35 เปอร์เซ็นต์
ในภาคอีสานตอนล่างซึ่งมีศักยภาพที่จะนำมาปลูกไม้ยูคาลิปตัสได้นั้นมีเนื้อที่ประมาณ
23.321 ล้านไร่ หรือประมาณรอ้ ยละ 44.23 ของพืน้ ทีอ่ ีสานตอนล่างทั้งหมด สว่ นใหญ่อยู่ใน
กลุม่ ชดุ ดินท่ี 40 รองลงมาคอื กลุ่มชดุ ดนิ ท่ี 41, 35, 29, 55, 31, และ 56

ในภาพรวม คุณวรวิทย์ อนิ ศวร พบวา่ คณุ สมบตั ิของดินช้ันบนที่ระดบั ความลึก 0 - 10
เซนติเมตร ไม่มีผลต่อผลผลิตของไม้ยูคาลิปตัส ซึ่งแตกต่างไปจากคุณสมบัติของดินในชั้น
ความลึก 10 - 30 และ 30 - 60 เซนตเิ มตร คือ ดินบนมบี ทบาทนอ้ ยกวา่ ดนิ ลา่ งน่ันเอง

กล่าวคือ ผลผลิตมวลชีวภาพเหนือพื้นดินของไม้ยูคาลิปตัสอายุ 5 ปี จะเพิ่มขึ้น
เมื่อคุณสมบัติของดินในระดับความลึก
10 - 30 เซนตเิ มตร มีปริมาณอนุภาคดิน
เหนียว ปริมาณโปแตสเซียม ปริมาณ
ฟอสฟอรัส และค่าพีเอช (pH) เพิ่มข้ึน
แต่ผลผลิตดังกล่าวจะลดลงหากดินในชั้น
ความลึก 10 - 30 เซนติเมตรมีค่า
แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม และ
อินทรียวัตถุเพิ่มขึ้น สมบัติต่าง ๆ ของดิน
ชั้นความลึก 30 - 60 เซนติเมตร ก็ให้ผล
ใกลเ้ คยี งกนั

นั่นคือ ไม้ยูคาลิปตัสในพื้นที่กลุ่ม
ชดุ ดินดอนในภาคอสี านตอนล่างเจรญิ เตบิ โตไดด้ ีในพน้ื ทซ่ี งึ่ ดนิ มีอนุภาคดนิ เหนียวและค่า
พเี อชสูง แตป่ รมิ าณแคลเซยี มและโซเดยี มต่ำ

ส่วนปัจจัยที่เกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ แม้โดยทฤษฎีระบุว่า ความชื้นในอากาศ
อุณหภูมิ แสงสว่าง ลม ฝน และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ มอี ิทธิพลต่อการเจรญิ เตบิ โตของพืช


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 243

พรรณทั่ว ๆ ไปก็ตาม แต่สำหรับการศึกษาครั้งนี้ไม่พบว่าสภาพภูมิอากาศมีอิทธิพลต่อการ
เจริญเติบโตของไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกในกลุ่มชุดดินดอนของภาคอีสานตอนล่างแต่อย่างใด
ทั้งสิ้น ทั้งนี้เพราะข้อมูลภูมิอากาศที่นำมาใช้อาจจะไม่ใช่ข้อมูลภูมิอากาศของแต่ละกลุ่มชดุ
ดนิ ดอน แต่เปน็ ขอ้ มลู ภูมอิ ากาศท่เี ก็บตามเขตการปกครองต่าง ๆ ก็ได้

จุดเด่นของงานวิจัยเรื่องนี้อยู่ตรงทีค่ ุณวรวิทย์ อินศวร ได้แบ่งชั้นดัชนีถิ่นที่ตั้ง (site
index) ตามมวลชีวภาพเหนือพื้นดินทั้งหมด (total aboveground biomass) ของไม้
ยคู าลปิ ตัสในสวนป่าช้ันอายุต่าง ๆ โดยวธิ ี Anamorphosis ที่อายฐุ าน 5 ปี ออกเป็น 5 ชน้ั

พูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือ คุณวรวิทย์ อินศวร แบ่งพื้นที่ที่มีศักยภาพต่อการปลูกไม้
ยูคาลิปตัสในอสี านล่าง โดยยดึ กลุ่ม
ชุดดินเป็นหลัก ออกเป็น 5 กลุ่ม
อันได้แก่

1. กลุ่มชุดดินที่เหมาะสม
ตอ่ การปลูกไม้ยคู าลิปตสั เปน็ อยา่ ง
ยิ่ง ได้แก่ชุดดินที่ 38 มีเนื้อที่
112,614 ไร่ ให้ผลผลิตมวลชีวภาพ
เหนือพื้นดินทั้งหมด 10.8 ตัน/ไร่
หรือให้น้ำหนักสดของลำต้น 20.85
ตัน/ไร่

2. กลุ่มชุดดนิ ทีเ่ หมาะสมต่อการปลูกไมย้ ูคาลิปตัสเปน็ อย่างมาก ไดแ้ กก่ ลุม่ ชดุ ดิน
ที่ 33, 44 และ 46 มีเนื้อที่ 639,787 ไร่ ให้ผลผลิตมวลชีวภาพเหนือพื้นดินทั้งหมด 8.86
ตัน/ไร่ หรือให้นำ้ หนกั สดของลำต้น 17.09 ตัน/ไร่

3. กลมุ่ ชุดดนิ ท่เี หมาะสมตอ่ การปลกู ไม้ยูคาลปิ ตสั ไดแ้ กก่ ลุ่มชดุ ดินท่ี 29, 35, 36,
40, 41, 47, 48, 49 และ 55 มีเนื้อที่ 18,463,697 ไร่ ให้ผลผลิตมวลชีวภาพเหนือพื้นดิน
ทง้ั หมด 6.91 ตัน/ไร่ หรือใหน้ ้ำหนกั สดของลำต้น 13.34 ตนั /ไร่

4. กลุ่มชุดดินทไ่ี ม่เหมาะสมต่อการปลกู ไมย้ คู าลิปตัส ได้แกก่ ลุม่ ชดุ ดนิ ท่ี 31, 35/56,
40/56 และ 49/56 มีเนื้อที่ 3,438,452 ไร่ ให้ผลผลิตมวลชีวภาพเหนอื พ้ืนดินทั้งหมด 4.97
ตนั /ไร่ หรอื ใหน้ ำ้ หนักสดของลำตน้ 9.59 ตนั /ไร่


244 รวมเรอ่ื งสวนป่า

5. กลุ่มชดุ ดินทีไ่ มเ่ หมาะสมต่อการปลูกไมย้ คู าลิปตัสเป็นอย่างย่งิ ได้แกก่ ลุ่มชดุ ดิน
ที่ 56 มีเนื้อที่ 666,871 ไร่ ให้ผลผลิตมวลชีวภาพเหนือพื้นดินทั้งหมด 3.02 ตัน/ไร่ หรือให้
น้ำหนกั สดของลำต้น 5.84 ตนั /ไร่

คำว่า “ผลผลิตมวลชีวภาพเหนือพื้นดินทั้งหมด” นั้นเป็นศัพท์ทางวิชาการ หาได้
โดยการนำเอาส่วนต่าง ๆ ของพชื ทอ่ี ยเู่ หนอื พ้นื ดินท้ังหมด อนั ได้แก่ ลำต้น ก่ิง ใบ ดอก และ
ผล ไปอบแห้งท่ีอุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส จนแห้งสนิท ซึ่งปกติต้องใชเ้ วลาไม่นอ้ ยกว่า 24
ชว่ั โมง แลว้ นำไปชั่ง นำ้ หนกั ทไ่ี ด้จากการช่ังนเ้ี รยี กวา่ “ผลผลติ มวลชวี ภาพ”

จากการศึกษาของคุณวรวิทย์ อินศวร ดังกล่าว จะเห็นได้ว่าพื้นที่กลุ่มชุดดินดอนใน
ภาคอีสานตอนล่างส่วนใหญ่ (ร้อยละ 79.17 ของพื้นที่เป้าหมาย) เหมาะสมต่อการปลูกไม้
ยูคาลิปตัส แต่ที่เหมาะสมอย่างยิ่งและเหมาะสมมากนั้นมีเพียงร้อยละ 0.48 และ 2.74
ตามลำดบั ในขณะทพี่ ื้นที่ทีไ่ มเ่ หมาะสมและไม่เหมาะสมอยา่ งยิ่งกม็ ีเพียงรอ้ ยละ 14.74 และ
2.86 ตามลำดับ เทา่ น้นั

สนใจรายละเอียดของวิทยานิพนธเ์ ร่ืองนี้โปรดติดต่อ ภาควิชาวนวัฒนวิทยา หรือ
หอ้ งสมุด คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน กรุงเทพฯ 10900


45 จาก: พชื เศรษฐกจิ
ทน่ี า่ สนใจในปา่ ชายเลน

ปา่ ชายเลนเปน็ สังคมพืชชายฝัง่ ทะเล ดินเลน ซงึ่ มีนำ้ ทะเลทว่ มถงึ มีความหลากหลาย
ทางชีวภาพสูง เฉพาะพืชมีอยู่ดว้ ยกนั ทัง้ สิน้ กวา่ 70 ชนิด แต่ทร่ี ู้จกั กนั ดีมากทส่ี ุดชนิดหน่ึงคือ
ไม้โกงกาง ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงรู้จักและเรียกป่าชายเลนว่า “ป่าโกงกาง” ทว่า นอกจาก
ไม้ยืนตน้ แลว้ ยงั มีพืชตระกลู ปาล์มอยอู่ ีก 2 - 3 ชนิด ได้แก่ เปง้ ทะเล หลาวชะโอน และจาก

จากเป็นพันธพ์ุ ชื ที่เก่าแกแ่ ละมอี ายมุ ากทส่ี ุดในปา่ ชายเลน จากการตรวจสอบฟอสซิล
ของละอองเรณพู บว่าจากมีอายปุ ระมาณ 69 ลา้ นปี ในขณะท่ีไม้โกงกางมีอายุเพียง 30 ล้านปี
เท่านัน้ ส่วนพันธพ์ุ ชื อน่ื ๆ ในป่าชายเลนเพง่ิ เกิดตามขึ้นมาทีหลัง

จากเป็นพันธุ์พืชป่าชายเลนที่เจริญเติบโตได้ดีในบรเิ วณปากแม่น้ำหรือปากอ่าว ที่ซึ่ง
น้ำเป็นน้ำกร่อยมากกว่าชายฝัง่ ทะเลที่มีน้ำเค็มตลอดทั้งปี พันธ์ุไมป้ า่ ชายเลนที่ขึน้ อยูร่ ่วมกนั
ในป่า ไดแ้ ก่ สมอทะเล ฝาด ลำพู ปอทะเล และโพธท์ิ ะเล แตอ่ าจจะพบจากข้ึนอยู่นอกพ้ืนท่ี
ที่มีน้ำขึ้นลงตามปกติบ้างก็ได้ บางคนจึงจัดให้จากเป็นพืชร่วมของป่าชายเลน (mangrove
associate) แทนการเปน็ พันธพ์ุ ชื ของป่าชายเลนที่แทจ้ ริง (true mangroves)

จากมีถิ่นกำเนิดและการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติค่อนข้างกว้าง พบทั้งในเขตร้อน
ของทวีปอเมริกา แอฟริกา ออสเตรเลีย และเอเชีย โดยเฉพาะในเขตร้อนเอเชีย จากมีการ
กระจายพันธ์ตุ งั้ แตศ่ รลี ังกา อินเดีย บงั กลาเทศ พมา่ ไทย มาเลเซยี อนิ โดนีเซยี ปาปัวนิวกินี
หมู่เกาะโซโลมอน ฟลิ ิปปินส์ กมั พชู า เวยี ดนาม ขึ้นไปทางเหนอื จนถึงหมเู่ กาะริวกวิ ของญปี่ นุ่
และลงมาทางตอนใต้จนถึงรฐั ควีนสแ์ ลนดข์ องออสเตรเลีย

สภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไปทำให้ทะเลมีคลื่นลมแรงขึ้น และน้ำทะเลมีความเค็ม
เพมิ่ ขน้ึ เป็นผลทำให้ปา่ จากสูญพนั ธไ์ุ ปในบางพน้ื ที่

พมิ พค์ ร้งั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (76) : 35 – 37 (พ.ศ. 2550)


246 รวมเร่ืองสวนป่า

สำหรับในประเทศไทย
จะพบเห็นป่าจากขึ้นอยู่ตาม
ชายฝัง่ ทะเล และปากแมน่ ำ้ ลำ
คลองทั่ว ๆ ไป ที่มีน้ำกร่อย
ท่วมถึง โดยพบมากในจังหวัด
ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สมุทรสาคร
สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช
สตูล ตรงั กระบ่ี และระนอง

ในทางพฤกษศาสตร์ จากมีชอื่ วทิ ยาศาสตร์ว่า Nypa fruticans Wurmb. มชี อ่ื สามัญ
ว่า Nipa Palm จดั อยใู่ นวงศ์ Palmae เป็นพืชทมี่ เี หงา้ หรือลำตน้ เปน็ หวั อยใู่ ต้ดิน (rhizome)
ซึ่งชาวบ้านเรียกว่า “หินจาก” ระบบรากเป็นรากฝอยซึ่งอวบอ้วน ค่อนข้างยาว และมีเป็น
จำนวนมาก เกาะกนั เปน็ กระจุก ทำหนา้ ท่ีเกาะยึดดินไดเ้ ป็นอยา่ งดี ลำต้นอว้ น สนั้ อาจเลื้อย
ตามผิวดินหากถูกน้ำเซาะ หรืออยู่ใต้ผิวดิน และสามารถแตกเป็นสองง่ามเพื่อการขยายพนั ธุ์
ใบยาว 3 – 9 เมตร จดั เป็นประเภทใบประกอบซง่ึ มีใบย่อย 30 – 40 ใบ จากต้นหน่งึ ๆ มีใบ
6 – 7 ใบ ทุกใบสามารถสร้างช่อดอกจากซอกที่โคนใบเหมือนหมากหรือมะพร้าว ดอกตัวผู้
และดอกตัวเมียอยู่ในต้นเดียวกัน แต่มีเพียงบางช่อดอกเทา่ นั้นที่จะพัฒนาเปน็ ผล ซึ่งผึ้งและ
แมลงหวี่เป็นพาหะสำคัญในการผสมเกสร ผลมีสีน้ำตาลเข้มรวมกันอยู่เป็นกระจุกแน่น
เรียกวา่ “โหม่งจาก”

ไดม้ ผี ู้พยายามใชล้ ักษณะภายนอกแบง่ สายพนั ธ์ุของจากออกเป็นสองชนดิ คือ จากแดง
และจากเขียว โดยจากแดงมีใบสีแดงแกมส้มจนใบร่วง จากเขียวมีความสูงของกอมากกว่า
จากแดงเกอื บสองเท่า รวมทั้งใบยอ่ ยยาวและกวา้ งกวา่ อีกด้วย

จากเป็นพืชอเนกประสงค์ที่อำนวยประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม จนมีบทบาท
ความสำคัญตอ่ ชวี ติ ประจำวนั และเศรษฐกิจของชมุ ชนชายฝัง่ เป็นอยา่ งมาก

ผลประโยชน์ทางอ้อม ป่าจากเป็นแหล่งอาหารและที่อยูอ่ าศัยของสัตว์น้ำจำพวกกงุ้
หอย ปู ปลา ซึ่งนับว่าเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของประชาชนตามบริเวณชายฝั่ง ทางด้าน
การอนรุ ักษ์ ปา่ จากสามารถป้องกนั การกดั เซาะชายฝัง่ ไม่ให้พังทลายได้เป็นอย่างดียิ่ง เพราะ
ลำต้นซึ่งอยู่เหนือผิวดินมีลักษณะเป็นแผ่นเรียงทับซ้อนกัน บ่อกุ้งแถวคลองพระราม


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 247

ตำบลแหลมฟา้ ผา่ อำเภอพระสมทุ รเจดีย์ จงั หวัดสมุทรปราการ จงึ นิยมปลูกจากตามขอบบอ่
เพือ่ ป้องกนั การพงั ทลายของดนิ กนั แทบทกุ บ่อ

ประโยชน์ทางตรง แทบทุกส่วนของจาก
ส า ม า ร ถ น ำ ม า ใ ช ้ ป ร ะ โ ย ช น ์ แ ล ะ ก ่ อ ใ ห ้ เ กิ ด
ผลตอบแทนในทางเศรษฐกิจได้ ใบอ่อน ใช้มวน
บุหรี่ ทำภาชนะใช้สอยในครัวเรือน ทำกระบวยตัก
น้ำ ตะกร้าใส่ของ และหมวกกันแดด ใบแก่ นำมา
เย็บเป็นตับจากใช้มุงหลังคา ทำผนังกั้นกันแดดฝน
และใช้ห่อขนมจาก ช่อดอกอ่อน นำมารับประทาน
เป็นผักหรือใช้ประกอบอาหารได้เช่นเดียวกับ
ทะลายอ่อนหรือผลอ่อน ส่วนผลแก่ สามารถนำมา
ทำเป็นขนมหวานน้ำเชื่อมคล้ายลูกชิด ก้านทะลาย
ที่ผลเริม่ แก่ใช้ทำน้ำตาล น้ำส้มสายชู และเครือ่ งดื่มประเภทแอลกอฮอล์ ทางจากและผลแก่
ท่ีแหง้ ใชท้ ำเช้อื เพลงิ ฯลฯ

จากประโยชน์ทางตรงในหลากหลายรูปแบบดังกล่าว จึงมีผู้ประกอบอาชีพทำมวน
บุหรี่ใบจาก เย็บจากมุงหลังคา ทำน้ำตาลจาก และทำขนมจาก กันมากพอสมควร อย่างไรก็
ตาม ปัจจัยทางธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือลักษณะดินและการท่วมถึงของน้ำทะเล
มกั จะมีสว่ นในการกำหนดการประกอบอาชพี จากต้นจากอยไู่ ม่น้อย หากอยู่ชายฝ่ังซึง่ ดนิ เป็น
เลนออ่ น มีนำ้ ทะเลทว่ มถงึ อย่เู ป็นประจำมกั จะตัดใบออ่ นมาทำมวนบหุ ร่ี ถดั จากชายฝ่งั ข้นึ มา
ก็ตัดใบแกม่ าเย็บเปน็ ตบั จากเพือ่ มุงหลังคา และถัดข้ึนมาอีกซึง่ น้ำทะเลท่วมถึงเป็นครั้งคราว
ดนิ ค่อนข้างแขง็ กม็ กั จะมอี าชีพทำนำ้ ตาลจากหรอื น้ำตาลปี๊บจากชอ่ ดอกและทะลายอ่อน

เกษตรกรผู้สนใจจะปลูกจากเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่งหรือจาก
ส่วนใดส่วนหนึ่งของกอจาก ในเบื้องต้นจำเป็นจะต้องเข้าใจถิ่นนิเวศของป่าจากหรือ
สภาพแวดล้อมที่จากขึ้นอยู่ตามธรรมชาติบ้างพอสมควร เพราะการเลือกพื้นที่ปลูกท่ี
เหมาะสมนั้นน่าจะเป็นการเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของการปลูกพืชผลทางการเกษตรและ
ป่าไม้ น่นั คอื ควรปลกู จากในพน้ื ทน่ี ำ้ กร่อยท่ไี ดร้ ับอทิ ธพิ ลจากการท่วมถงึ ของนำ้ ทะเล แต่
มีความเค็มต่ำ มีน้ำจดื มาก ความเคม็ ของน้ำในฤดูฝนมคี ่าประมาณ 4 พีพีที (ppt = ส่วนใน
พันส่วน) และในฤดแู ล้งประมาณ 11 พีพีที ค่าความเป็นกรดเปน็ ด่าง (pH) ของน้ำประมาณ


248 รวมเร่ืองสวนป่า

7 คืออยู่ในระดับเป็นกลาง ดินเป็นดินเลนท่ีมีความอุดมสมบูรณ์ หน้าดินลกึ เป็นดินท่ีอิ่มตัว
ด้วยนำ้ อยตู่ ลอดเวลา มคี า่ pH ประมาณ 5.7 และค่าอินทรยี วตั ถุ 5.8 เปอร์เซน็ ต์

จากสามารถปลูกได้ทั้งโดยการนำ
เมล็ดไปปลูกโดยตรงและโดยการนำเมล็ดไป
เพาะเลย้ี งเป็นต้นกลา้ แล้วนำตน้ กล้าไปปลูก
ในพื้นที่ที่ต้องการ จากเป็นพันธุ์พืชที่เมล็ด
งอกตั้งแต่ยังติดอยู่กับทะลายบนต้น เม่ือ
เมล็ดหลุดจากทะลายและร่วงหล่นลงสู่ดินก็
จะไหลไปตามน้ำ งอก และเจริญเติบโตได้
อย่างรวดเร็ว ดังนั้น การเก็บเมล็ดเพื่อนำไป
ปลกู หรอื นำเมลด็ ไปเพาะจึงตอ้ งเกบ็ จากทะลายทีแ่ กเ่ ต็มที่ก่อนท่ีจะรว่ งหลน่ ลงดิน นำเมล็ดที่
ได้ไปปลูกในหลุมซึ่งลึกประมาณ 15 เซนติเมตร โดยมีระยะห่างประมาณ 2 x 4 เมตร หาก
เมล็ดเริ่มมียอดหรือหน่อแตกออกมาแล้วต้องระวังอย่าให้หน่อได้รับอันตรายหรือหัก แต่ถ้า
ต้องการปลูกโดยใช้ต้นกล้าก็ให้นำเมล็ดที่เก็บจากทะลายไปเพาะชำไว้ในถุงพลาสติกซึ่งมีดิน
ป่าจากหรือดินป่าชายเลนเป็นวัสดุเพาะชำ เลี้ยงต้นกล้าไว้ในเรือนเพาะชำ 4 - 6 เดือน จึง
นำออกไปปลูกในพื้นที่เช่นเดียวกับการปลูกพรรณไม้ป่าทั่ว ๆ ไป แต่พื้นที่ปลูกจะต้องมีน้ำ
กรอ่ ยทว่ มถึง นั่นคอื ถา้ เปน็ พ้ืนทร่ี าบหากห่างจากชายฝง่ั พอสมควรก็ควรจะต้องขุดแพรกให้
นำ้ กรอ่ ยไดเ้ ข้าถึงพืน้ ที่

การดูแลรกั ษาสวนจากในช่วง 1 - 2 ปีแรกที่สำคญั กค็ ือการแผ้วถางหญ้า กำจดั วัชพืช
เมื่ออายุ 2 ปีขึ้นไปจึงเริ่มทำการลิดกิ่งให้โปร่ง หากปลูกจากเพื่อทำน้ำตาลเป็นวัตถุประสงค์
หลัก การดูแลรักษาที่จำเป็นก็คือการตัดสางขยายระยะเมื่อจากมีอายุประมาณ 5 ปี ให้มี
ระยะห่างประมาณ 3 x 3 เมตร ก่อนการเกบ็ เก่ียวผลผลติ น้ำตาล ตั้งแตป่ ีที่ 6 - 7 เปน็ ตน้ ไป

สวนจากหรือปา่ จากไม่มีปัญหาเร่ืองโรคราแมลง ศตั รูพชื ท่ีพอจะมีอยู่บ้างได้แก่ปูและ
หนู โดยปจู ะทำลายตน้ จากทเี่ พิ่งปลกู ในปแี รก ส่วนหนูจะกัดกนิ ยอดออ่ นหรือทะลายเพราะมี
รสหวาน

อย่างไรก็ตาม มาตรการการดูแลรักษาสวนจากย่อมแตกต่างกันไปตามวัตถุประสงค์
หลกั ของเจา้ ของสวน หากตอ้ งการใชใ้ บแก่กต็ ้องตดั ใบแก่ให้ถงึ โคนโดยเหลือใบอ่อนที่ยอดไว้
2 - 3 ใบ แต่ถ้าต้องการทำน้ำตาลก็ควรตดั สางขยายระยะให้เหลือตน้ จากอยูป่ ระมาณ 60 - 80


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 249

กอต่อไร่ ในแต่ละกอก็ต้องตัดแต่งให้โปร่งโดยการตัดใบที่แก่จัดออกให้เหลืออยู่เพียงกอละ
5 - 7 ใบ ที่สำคัญก็คือในการตัดแต่งกอนั้น จะต้องตัดให้เหลือโคนใบไว้ประมาณ 1 เมตร
เพราะส่วนโคนของใบจากหรือ “พงจาก” นั้นเป็นส่วนอวบน้ำซึง่ เก็บน้ำหวานไว้ หากตัดใบ
ชิดโคนต้นเหมือนกับการลิดกิ่งไม้ป่าก็
จะทำให้ผลผลิตของน้ำหวานลดลง

การจัดการป่าจากเพื่อผลิต
น้ำหวานสำหรับทำน้ำตาล น้ำส้มสายชู
และทำสุรา การทำใบจากมวนบุหรี่
การเย็บจากมุงหลังคา และการนำเอา
ส่วนต่าง ๆ ของต้นจากมาประกอบ
อาหารนั้นมีเทคนิคในการจัดการและ
การผลิตผลติ ผลต่าง ๆ มากมาย ชาวบ้านผู้มีอาชีพจากป่าจากมีเทคนิคปลีกย่อยแตกตา่ งกัน
ไป ส่วนใหญ่เปน็ การถ่ายทอดและเรยี นรจู้ ากภูมปิ ัญญาท้องถน่ิ

ในส่วนของนักวิชาการที่สนใจศึกษาวิจัยเรื่องจากอย่างจริงจังนั้นมีอยู่น้อยมาก ที่ผม
พอจะรู้จักคุ้นเคยอยู่คนหนึ่งก็คือ ดร.วิจารณ์ มีผล (โทร : 086-096-5218) แห่งกรม
ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ซึ่งเกษตรกรผู้สนใจประสงค์จะได้รายละเอียดเพิ่มเติม
สามารถตดิ ตอ่ โดยตรงไดเ้ ลย

ในขณะที่ผู้ประกอบอาชีพทำนากุ้งในพื้นที่น้ำกร่อย ตามริมแม่น้ำลำคลองและ
ปากอ่าวบริเวณชายฝั่งทะเล มักจะถูกสังคมกล่าวหาว่าเป็นผู้บุกรุกทำลายป่าชายเลน
ก่อให้เกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง การปลูกจากตามแนวขอบบ่อกุ้งอย่างที่ชาวนากุ้งคลอง
พระรามทำกันน่าจะช่วยแก้ข้อกล่าวหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี ผมจึงอยากเชิญชวนให้
เกษตรกรผทู้ ำนากุ้งได้โปรดชว่ ยกันปลูกจากรมิ ขอบบอ่ กงุ้ เพราะนอกจากจะได้ประโยชน์
ในทางตรงแล้ว ป่าจากที่ปลูกขึ้นมายังก่อให้เกิดประโยชน์ในทางอ้อมอย่างมหาศาลเกนิ
กวา่ ทจ่ี ะประเมินค่าเป็นตวั เงนิ ไดอ้ ีกดว้ ย


46 เสม็ดขาว :
ไม้มคี า่ ในปา่ พรเุ สื่อมโทรม

ป่าพรุ (swamp forest) คือสังคมพืชป่าไม่ผลัดใบหรอื ปา่ ดงดิบ ขึ้นอยู่ในพ้นื ท่ดี ินพรุ
(peatland) ที่มลี กั ษณะเดน่ คอื เปน็ พ้นื ที่ลมุ่ ชุ่มน้ำ มนี ำ้ จืดขังอยเู่ ป็นระยะเวลายาวนานแทบ
ตลอดทั้งปี ทำให้ดินมีความชุ่มชื้นสูง มีฤทธิ์เป็นกรดจัด ค่าความเป็นกรดเป็นด่างหรือ pH
ของดินอยู่ระหวา่ ง 3.5 - 4.5 ทั้งนเ้ี พราะเศษไมใ้ บหญา้ ท่ีร่วงหลน่ ลงมาสลายตวั ชา้ มาก ทำให้
มีชั้นของอินทรยี วัตถุทับถมอยู่หนามาก อาจจะหนาถึง 20 เมตรก็ได้ นักปฐพีวิทยาเรียกดนิ
ประเภทนี้ว่าดินอินทรีย์หรือ organic soil หรือ peat soil พื้นที่ซึ่งดินส่วนใหญ่เป็น peat
soil กเ็ รียกว่า peatland และเรยี กปา่ ซึ่งขนึ้ อยบู่ น peatland วา่ ป่าพรุ

ประเทศที่มพี นื้ ที่ปา่ พรุและมชี ่อื เสยี งในเรื่องการจัดการป่าพรุมากที่สุดประเทศหน่ึงก็
คือฟินแลนด์ ซึ่งพื้นท่ีเศษหนึง่ ส่วนสามของประเทศเป็นพื้นที่ป่าพรุ ไม้เศรษฐกิจมีเพียง 2 - 3
ชนิดเท่านั้น ที่สำคัญได้แก่ ไม้ Scotch pine และ Norway spruce ซึ่งโตช้าและมีผลผลิต
ตอ่ ไร่ตำ่ มาก เพราะดินไม่ดี รัฐบาลจงึ ต้องทุ่มเทงบประมาณทำการศกึ ษาวจิ ัยเพ่ือเพิ่มผลผลติ
ให้แก่พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งสถาบันวิจัยป่าไม้แห่งฟินแลนด์และคณะวนศาสตร์ของ
มหาวิทยาลยั เฮลซิงกิซ่ึงผมไปเรียนจบปริญญาโทเม่ือ 30 กว่าปีมาแลว้ ต่างก็มีภาควิชาการ
จัดการพื้นที่ดินป่าพรุ (Department of Peatland Forest Management) จนทำให้
ฟนิ แลนดม์ ชี ่อื เสียงด้านป่าไม้และอุตสาหกรรมเยือ่ กระดาษโดง่ ดงั ไปทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย จากเอกสารทางวิชาการของกรมป่าไม้ในปี พ.ศ. 2542 ปรากฏว่า
มีพ้นื ท่ปี ่าพรอุ ยู่ 403,466 ไร่ ส่วนใหญค่ อื รอ้ ยละ 77.32 อยูใ่ นจังหวัดนราธิวาส (193,559 ไร่)
และนครศรีธรรมราช (118,413 ไร่) แต่ร้อยละ 86 ของพื้นที่ป่าพรุในประเทศไทยเปน็ พื้นท่ี
ปา่ พรเุ สอื่ มโทรม คงมีพืน้ ท่ีปา่ พรสุ มบรู ณเ์ หลืออยู่ในจงั หวดั นราธิวาส สรุ าษฎรธ์ านี และตรัง
เพียง 56,477 ไร่เท่านั้น ทั้งนี้ 56,113 ไร่ อยู่ในท้องที่จังหวัดนราธิวาส ที่คนไทยรู้จักกันดีก็

พมิ พ์ครงั้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (77) : 37 – 39 (พ.ศ. 2550)


บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 251

คือพรุโต๊ะแดงและพรุบาเจาะ อัน
เป็นท่ีต้งั ของ โครงการศูนย์ศึกษาการ
พัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ

แม้ป่าพรุสมบูรณ์ของไทยจะ
เหลืออยู่ไม่มากนัก แต่ก็มีความ
หลากหลายทางชีวภาพสูงมาก พืช
พรรณท่ีข้ึนอยู่นอกจากจะต้องปรับตัว
ให้มีชีวิตอยู่รอดในพื้นที่น้ำท่วมขังและดินเป็นกรดจัดแล้ว ไม้ยืนต้นหรือไม้ต้นยังต้องมีราก
แก้วสั้น รากแขนงแผ่กว้าง โคนต้นมีพูพอนค่อนข้างใหญ่ มีรากค้ำยันและรากหายใจจำนวน
มากโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ ไม้เด่น ๆ ได้แก่ ตังหนใบใหญ่ อ้ายบ่าว กะบุย ระไมป่า สะเตียว
ทุเรียนผี เลอื ดควายใบใหญ่ หวา้ น้ำ หวา้ หิน ข้ีหนอนพรุ มะฮงั ใหญ่ ปอสองสี และชา้ งไห้

โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ได้รายงานถึง
ความหลากหลายของพรรณไม้ในป่าพรุ จงั หวดั นราธวิ าสวา่ มีพรรณไมด้ อกถึง 109 วงศ์ 437
ชนิด และมีเฟิร์น 15 วงศ์ 33 ชนิด ในขณะที่ป่าพรุบนเกาะกาลิมันตันของอินโดนีเซียมี
พรรณไม้เพียง 310 ชนิด ใน 78 วงศเ์ ท่าน้ัน ขณะเดียวกนั ศูนย์วจิ ัยและศึกษาธรรมชาติป่าพรุ
สิรินธร ก็รายงานว่าในบริเวณพรุโตะ๊ แดงมีความหลากหลายของสัตว์ป่าสูงถึง 325 ชนิด ใน
จำนวนนีม้ ีนกอยู่ถึง 196 ชนดิ สตั วเ์ ลีย้ งลกู ดว้ ยนม 62 ชนดิ และสัตว์เล้ือยคลาน 50 ชนิด

แมพ้ ืน้ ที่ปา่ พรุส่วนใหญ่จะถูกทำลายกลายสภาพจากป่าพรุสมบูรณ์เปน็ ปา่ พรุเสื่อมโทรม
อันเนื่องมาจากการบุกรุกแผ้วถางป่าและ/หรือการระบายน้ำออกจากพรุเพื่อปรับเปลี่ยน
รูปแบบการใช้ประโยชน์ท่ีดิน และตามมาด้วยไฟป่าในหน้าแล้งทีเ่ ผาไหมช้ ั้นดินอินทรีย์ซึง่ ใน

จังหวัดนราธิวาสบางแห่งอาจจะหนา
ถึง 3.8 เมตร แตห่ ากพ้นื ทป่ี า่ พรุเสื่อม
โทรมนน้ั ไม่ถกู รกุ รานรุนแรงจนเกนิ ไป
ปล่อยให้มีการทดแทนของสังคมพืช
ตามธรรมชาติชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ไม้เสมด็ ขาว และพืชตระกลู หญ้าก็จะ
กลายเป็นพืชเด่นของป่าพรุรุ่นสอง


252 รวมเร่ืองสวนปา่

(secondary swamp forest) เข้ามาทดแทนป่าพรุดั้งเดิม (primary swamp forest) และ
เมื่อใดก็ตามที่ไม้เสม็ดขาวขึ้นมาครอบคลุมพื้นท่ีได้แล้ว ก็มักจะมีเรือนยอดชิดติดกัน ฟอร์ม
ตัวเป็นสังคมพืชป่าชนิดเดียว (pure stand) ยากที่จะมีพรรณไม้อื่นแทรกขึ้นมาได้ แม้เมื่อมีไฟ
ไหม้ก็จะมีกล้าไม้เสม็ดขาวขึ้นมาทดแทนหนาแน่นกว่าเดิม ดังจะเห็นดงป่าเสม็ดขาวได้ทั่ว ๆ
ไป ทั้งในจังหวัดนราธวิ าส และนครศรีธรรมราช รวมทั้งในท้องทีจ่ งั หวัดเกาะกงของประเทศ
กมั พูชา บริเวณสองขา้ งถนนตัดใหม่จากชายแดนไทยดา้ นอำเภอคลองใหญไ่ ปกรงุ พนมเปญ

ไม้เสม็ดขาว หรือเม็ด หรือเหม็ด ที่ชาวใต้เรียกกัน หรือที่ชาวไทยอิสลามเรียกว่าไม้
กือแล นั้นมีชื่อภาษาอังกฤษหลายชื่อ เช่น cajuput tree, milk wood tree, paper bark
tree และ swamp tea tree มีช่อื วิทยาศาสตร์ว่า Melaleuca cajuputi Powell จัดอยู่ใน
วงศ์ไม้หว้า (Myrtaceae) ซึ่งเป็นวงศ์เดียวกับไม้ยูคาลิปตัส ฯพณฯ ดร. อำพล เสนาณรงค์
องคมนตรี จงึ เรยี กไม้ยคู าลปิ ตสั วา่ “เสม็ดเทศ” ส่วนไม้เสมด็ ขาวซึง่ เปน็ ไม้พื้นเมืองของไทย
นัน้ ทา่ นเรยี กว่า “เสมด็ ไทย”

ไมใ้ นสกุล Melaleuca มีอย่ดู ว้ ยกันทั้งสิ้นประมาณ 250 ชนิด สว่ นใหญ่อยูใ่ นประเทศ
ออสเตรเลีย สำหรับประเทศไทยมีเฉพาะไม้เสมด็ ขาว หรอื Melaleuca cajuputi เพยี งชนิด
เดยี วเท่าน้นั

เสม็ดขาวเป็นไมย้ นื ต้นขนาดกลางถึงใหญ่ ในสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสม เมื่อโตเต็มท่ี
อาจมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับอกสูงถึง 1.20 เมตร และมีความสูงร่วม 40 เมตร ก็เป็นได้
ลำต้นมักบิด ด้วยเหตุที่เปลือกมีสีขาวเป็นแผ่นบาง ๆ คล้ายกระดาษซอ้ นทับกันเป็นปึกหนา
จึงเรียกว่าไม้เสม็ดขาวหรือ paper bark tree ยอดอ่อนมีขนสีขาวเป็นมัน ดอกมีขนาดเล็ก
สีขาว ออกเป็นช่อตามงา่ มใบคล้ายหางกระรอก ผลมรี ปู รา่ งคล้ายถว้ ย ผลหนึ่ง ๆ มีเมล็ดราว
200 เมล็ด ทั้งเมล็ดและผลมีขนาดเล็กมาก โดยผล 1 กิโลกรัมมีประมาณ 11,000 ผล และ
เมลด็ 1 กิโลกรัมมปี ระมาณ 2.24 ลา้ นเมลด็

เสม็ดขาวจัดเป็นไม้อเนกประสงค์ที่น่าสนใจชนิดหนึ่ง เพราะให้ประโยชน์ทั้งทางตรง
และทางอ้อม โดยประโยชน์ทางอ้อมนั้นไม้เสม็ดขาวช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ผืนดินได้อย่างดี
และรวดเร็ว เพราะมีอัตราการสืบต่อพนั ธตุ์ ามธรรมชาติสูง โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในบริเวณที่ถูก
ไฟไหม้ เมื่อเกิดเป็นป่าเสม็ดขาวขึ้นมาแล้วก็จะก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพใน
ระบบนิเวศ กลายเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด จากการสำรวจของศูนยว์ ิจัยและ
ศึกษาธรรมชาติปา่ พรุสิรินธร พบว่า ในปา่ เสม็ดขาวของพรุโตะ๊ แดง มสี ัตวป์ า่ อยู่ถงึ 135 ชนดิ


บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 253

ในจำนวนนเี้ ปน็ สัตวป์ กี 89 ชนิด สัตว์เลย้ี งลกู ดว้ ยนม 23 ชนิด และสัตวเ์ ลอื้ ยคลาน 21 ชนิด
นอกจากนป้ี ่าเสมด็ ขาวยังก่อให้เกิดเหด็ เสม็ดซ่ึงแมจ้ ะมรี สชาติขมเล็กน้อยแต่ก็เป็นท่ีนิยมของ
ผู้บริโภคและมรี าคาแพง ดอกเสม็ดขาวใหน้ ำ้ ผึ้งที่มีคุณภาพสูงจงึ เหมาะแก่การเลี้ยงผึ้งในป่า
เสมด็ ขาว

หลาย ๆ เมืองใหญ่ในไต้หวันและจีน
แผ่นดินใหญ่นิยมปลูกไม้เสม็ดขาวไว้ตาม
บริเวณถนนหนทางเป็นไม้ในเมือง เพราะ
เป็นไม้ไม่ผลัดใบ มีใบเขียวสดและมีดอกสี
ขาวอยู่แทบตลอดทั้งปี กรุงเทพมหานคร
นา่ จะนำมาปลกู ในถนนบางสายที่มนี ำ้ ท่วม
ขังอยู่เป็นประจำ รวมทั้งสองข้างทาง
มอเตอร์เวย์ผ่านสนามบินสุวรรณภูมิสู่
ชลบุรี ผมเคยแนะนำให้จังหวัดตราดปลูก
เสม็ดขาวเป็นไม้ในเมืองเมื่อหลายปีมาแล้ว แต่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการขานรับจากผู้ที่มี
ส่วนเก่ยี วข้องเท่าทคี่ วร

ส่วนประโยชน์ทางตรงนั้นกล่าวได้ว่าทุกส่วนของไม้เสม็ดขาวก่อให้เกิดผลตอบแทน
ในทางเศรษฐกจิ ทัง้ ส้ิน ไม่ว่าจะเปน็ ลำตน้ ก่ิง ใบ ดอก ผล หรอื แมแ้ ตเ่ ปลือก โดยลำต้นขนาด
ใหญแ่ ม้จะบดิ แต่ก็สามารถนำมาแปรรูปใช้ทำเสา ไม้พ้ืน วงกบประตู หน้าต่าง ไม้ขนาดกลาง
ใช้ทำเสาเข็ม เสารั้ว ทำฟืน เผาถ่าน
และใชเ้ ป็นวัตถุดิบในการผลิตแผ่นไม้อัด
ซีเมนต์ ส่วนไม้เสม็ดขาวขนาดเล็กก็ใช้
ทำไม้ค้างปลูกพืชไร่ พืชสวน ด้าม
เครื่องมือทางการเกษตร และใช้ทำคัน
เบ็ด เปลือกใช้ทำฝาบ้าน ใช้มุงหลังคา
ใช้อุดรูรั่วของเรือ และใช้เป็นวัสดุย้อม
แห อวน เพ่อื ยืดอายกุ ารใชง้ าน

ประโยชนใ์ นทางตรงที่สำคัญของไมเ้ สม็ดขาวอีกอย่างหนึ่งก็คือใบ นอกจากจะบริโภค
ยอดอ่อนแทนผักและใช้เป็นอาหารของแพะและกระบือแล้ว ใบไม้เสม็ดขาวยังมีคุณค่าเชิง


254 รวมเรอ่ื งสวนปา่

เภสัชกรรมอีกด้วย เพราะมีต่อมผลิตน้ำมันหอมระเหยซึ่งให้น้ำมันที่มีรสขม หอมร้อนคล้าย
การบรู เรียกวา่ “นำ้ มันเขยี ว” หรอื cajuput oil นำมาใช้เป็นยารกั ษาโรคต่าง ๆ อาทิ หอบ
หืด โรคเกาต์ ไขข้ออักเสบ ปวดเส้นประสาท บรรเทาอาการปวดท้อง ปวดฟัน ปวดศรีษะ
ขับลม ขับเสมหะ ขับพยาธิ ใช้เป็นยารักษาการติดเชื้อในช่องคลอด รักษาเนื้องอก สิว และ
ฮ่องกงฟุต นอกจากนี้น้ำมันหอมระเหยจากใบไม้เสม็ดขาวยังมีฤทธิ์ในการยับยั้งการ
เจริญเติบโตของเชื้อจุลินทรีย์ รวมทั้งออกฤทธิ์ในการไล่ยุง เหา หมัด ไร และแมลงศัตรูพืช
หลายชนดิ

สถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หรือ
KAPI แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ศึกษาการใช้ประโยชน์จากสารสกัดใบเสม็ดขาว
โดยการเก็บตัวอย่างใบไม้เสม็ดขาวจากจังหวัดต่าง ๆ 9 จังหวัด ทั้งทางฝั่งอ่าวไทย และฝั่ง
ทะเลอนั ดามันรวม 16 แห่ง มาวเิ คราะห์หาเปอร์เซ็นตน์ ำ้ มนั หอมระเหย พบวา่ ใบไม้เสม็ดขาว
มีน้ำมันหอมระเหยเฉลยี่ 0.82 เปอร์เซ็นต์ โดยใบไมเ้ สมด็ ขาวจากอำเภอเมือง จงั หวัดสงขลา
และอำเภอสิชล จังหวัดนครศรีธรรมราชมีน้ำมันหอมระเหยสูงที่สุด (1.42 และ 1.40
เปอร์เซ็นต์) ในขณะที่ใบจากอำเภอทา้ ยเหมือง จังหวัดพังงา และอำเภอเมือง จังหวัดชุมพร
ให้ค่าน้ำมันหอมระเหยน้อยที่สุด (0.44 และ 0.45 เปอร์เซ็นต์) ทั้งนี้ใบเสม็ดขาวแห้งให้
ผลผลิตของสารสกดั สงู กว่าใบสด

นอกจากนี้ KAPI นำโดยรองศาสตราจารย์วิชัย หฤทัยธนาสันต์ิ (โทร : 02-942-8600)
ผู้อำนวยการสถาบันฯ ยังได้พัฒนาสูตรธูปไล่ยุงจากใบเสม็ดขาว โดยพบว่าสูตรที่เหมาะสม
ที่สุดประกอบด้วยผงใบเสม็ดขาวร้อยละ 45 ผงไม้บงร้อยละ 30 และขี้เลื่อยไม้ยางพารา
ร้อยละ 25 จากนั้นได้นำไปทดสอบประสิทธิภาพในการไล่ยุง พบว่า สารในใบไม้เสม็ดขาว
ไมส่ ามารถทำใหย้ งุ ตายหรือสลบ แต่สามารถไล่ยุงทำให้ยุงหนีไปได้ มีอายกุ ารเกบ็ รกั ษานานกว่า
6 เดือน และผลติ ภัณฑธ์ ูปไล่ยุงจากผงใบเสม็ดขาวนีเ้ ปน็ ทยี่ อมรับของผบู้ รโิ ภคถึงร้อยละ 75

เมื่อทราบถึงผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมอันหลากหลายของไม้เสม็ดขาวแล้ว
หลายท่านอาจสนใจที่จะปลูก เกษตรกรผู้คิดที่จะปลูกไม้เสม็ดขาวต้องเข้าใจถึงลักษณะทาง
วนวัฒน์และความต้องการด้านสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมของไม้ชนิดนี้มากพอสมควร นั่นคือ
ไม้เสม็ดขาวเจริญเติบโตได้ดีในพืน้ ทีป่ า่ พรุเสื่อมโทรมซ่งึ มนี ้ำท่วมถึงหรือระดับนำ้ ใต้ดินสูง ดินมี
ความชมุ่ ช้ืนสงู และมีฤทธิ์เปน็ กรด ในเบอ้ื งต้นถอื ว่าพืน้ ที่รกร้างว่างเปล่าในกรุงเทพมหานคร
และปริมณฑล รวมทั้งพื้นที่ชุ่มน้ำในจังหวัดต่าง ๆ ซึ่งทิ้งรกร้างว่างเปล่าไว้ ในหน้าแล้งก็
มกั จะเกดิ ไฟไหม้หญา้ อยู่เป็นประจำแทบทกุ ปนี น้ั เหมาะสำหรบั ปลกู ไม้เสมด็ ขาวมาก


บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 255

ไม้เสม็ดขาวปลูกโดยใช้ต้นกล้าอายุประมาณ 6 เดือน สูงราว 50 เซนติเมตร ซึ่งต้น
กล้าดังกล่าวอาจจะเพาะมาจากเมล็ดหรือถอนจากบริเวณใต้โคนต้นไม้เสม็ดขาวที่มีน้ำท่วม
ขังหรือดินชื้นแฉะ ย้ายชำไว้ในถุงพลาสติก 2 – 3 เดือน ก่อนนำออกปลูกก็ได้ ระยะปลูกท่ี
เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์หลัก หากปลูกเป็นต้นไม้ในเมืองริมถนนควรมีระยะห่าง
ระหว่างต้นประมาณ 8 – 10 เมตร ถ้าปลูกเป็นสวนป่าเพื่อต้องการเนื้อไม้ควรใช้ระยะปลกู
2 x 2 เมตร เมื่ออายุ 10 ปี จะมีความสูงประมาณ 9 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 16
เซนติเมตร ซงึ่ อาจจะตัดหมดหรอื ตัดสางมาใช้ประโยชนก์ ็ได้ แต่ถ้าปลกู เพื่อต้องการสารสกัด
จากใบก็ควรจะใช้ระยะปลูกให้ถี่เข้ามา เช่น 1 x 1 เมตร หรือ 1 x 2 เมตร หรือราวๆ ไร่ละ
1,000 ต้น และที่สำคัญกว่านั้นก็คือต้องใช้สายต้นที่ใบให้น้ำมันหอมระเหยมากดังผลการ
ทดลองของ KAPI

เนื่องจากสวนป่าไม้เสม็ดขาวไม่มีปัญหาเรื่องโรคและแมลง การดูแลรักษาที่จำเป็น
จริง ๆ ก็มีเพียงการกำจัดวัชพืชและการป้องกันไฟป่าในช่วงอายุ 1 – 3 ปีเท่านั้น หาก
ต้องการไม้ขนาดเลก็ อายุการตัดฟันที่เหมาะสมกค็ ือ 8 – 10 ปี ภายหลังการตัดฟันไม้เสม็ด
ขาวจะแตกหน่อได้ดีมาก นั่นคือ สามารถนำเอาระบบการตัดให้แตกหน่อ ( coppice
system) มาใชไ้ ด้ โดยในรอบทส่ี องอายุการตัดฟันจะลดลงเหลือเพียง 5 – 7 ปี เท่านน้ั

เมื่อเกิดไฟป่าไหม้ สวนไม้เสม็ดขาวที่ให้เมล็ดแล้วจะมีต้นกล้าทั้งที่เกิดจากเมล็ดและ
จากการแตกหน่อขึ้นมาหนาแน่นมาก อาจจะมีความหนาแน่นถึง 400 ต้นต่อตารางเมตร
หรอื 5 – 6 แสนต้นตอ่ ไรก่ ไ็ ด้

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าคนที่รู้เรื่องไม้เสม็ดขาวดีที่สุดในประเทศไทยคนหนึ่งก็คือ
คุณธนิต หนยู ม้ิ (โทร : 081-959-8413) แหง่ กรมอทุ ยานแห่งชาติ สัตวป์ า่ และพนั ธุพ์ ืช


47 นโยบายป่าเศรษฐกิจ
ท่อี ยากเห็น

ขณะที่พรรคการเมืองต่าง ๆ กำลังรณรงค์หาเสียงในชว่ งโค้งสดุ ท้ายของการเลือกต้งั
ทั่วไปในวันอาทิตย์ที่ 23 ธันวาคม 2550 ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ก็ได้จดั ใหม้ ีการเสวนาทางวิชาการ “ตลาดนดั นโยบายทรัพยากรป่าไม้ไทย”
ข้ึนมา โดยมีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ ให้ผเู้ ขา้ รว่ มเสวนาได้รบั ความร้เู กีย่ วกับนโยบายทรพั ยากรป่าไม้
ของประเทศ ได้รับทราบปัญหาทางด้านทรัพยากรป่าไม้พร้อมทั้งเสนอแนะแนวทางแก้ไข
และไดม้ โี อกาสแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ อันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ท่ีเกี่ยวขอ้ งและประเทศชาติ
ในภาพรวมตอ่ ไป โดยในวันพุธที่ 19 ธนั วาคม 2550 เป็นการจดั ครัง้ ที่ 2 ในหัวขอ้ “นโยบาย
ปา่ เศรษฐกิจท่ีอยากเหน็ ”

ศูนยว์ ิจยั ป่าไม้เป็นหน่วยงานภายใน ระดับภาควชิ า สงั กดั คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ทำหน้าที่ประสานงานด้านวิชาการป่าไม้ทั้งในรูปของโครงการวิจัยและ
โครงการพัฒนาวิชาการ และจัดให้มีการฝึกอบรม และประชุมสัมมนาในหัวข้อต่าง ๆ อย่าง
ต่อเนื่อง รวมทั้งจัดพิมพ์ “วารสารวนศาสตร์” ซึ่งเป็นวารสารทางวิชาการป่าไม้เพียงฉบับ
เดียวของประเทศไทย ปัจจุบันมี ดร. นิคม แหลมสัก รองคณบดีฝ่ายวิจัย ทำหน้าที่
ผู้อำนวยการศนู ยว์ ิจยั ปา่ ไม้

ที่ประชุมเสวนาได้หยิบยกเอานานาปัญหาของป่าเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั้งในอดีตและ
ปัจจุบันขึ้นมาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเสนอแนะแนวทางแก้ไขร่วมกัน ซึ่งส่วน
ใหญ่มักเป็นปัญหาเดิม ๆ ที่ยังไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหนยื่นมือเข้ามาแก้ไขอย่างจริงจังบน
พื้นฐานของวิชาการป่าไม้ อาทิ ปัญหาด้านกฎหมายป่าไม้ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการปลูกป่า
เศรษฐกิจและการใช้ประโยชน์ไม้จากสวนป่า ปัญหาด้านกองทุนหรือสินเชื่อเพ่ือการปลูกไม้
เศรษฐกิจซึ่งต้องใช้ระยะเวลายาวนานกว่าการปลกู พชื ผลทางการเกษตร แม้จะเป็นไม้โตเรว็ ก็
ตาม รวมทั้งปญั หาระบบการประกันภยั ตน้ ไม้ในสวนปา่

พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (78) : 33 – 35 (พ.ศ. 2551)


บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 257

ความหลากหลายปญั หาทหี่ ยิบยกมาเสวนากน็ ำไปสู่นโยบายปา่ เศรษฐกจิ ท่อี ยากเหน็

ที่ประชุมเสวนาอยากเห็นการกำหนดแนวเขตป่าอนุรักษ์ที่ชัดเจน เพราะป่า
เศรษฐกิจจะตอ้ งอยู่นอกเขตป่าอนุรักษ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออทุ ยานแห่งชาติและเขตรกั ษา
พันธุ์สัตว์ป่า ส่วนพื้นที่ลุ่มน้ำชั้นหนึ่งนั้น ส่วนใหญ่ทับซ้อนอยู่กับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ทั้งสอง
ประเภทข้างตน้ เมื่อรัฐกำหนดขอบเขตพ้นื ท่ปี ่าอนรุ ักษเ์ ปน็ ท่ีแน่นอนแลว้ เอกชนทั้งรายย่อย
และรายใหญ่ รวมทั้งองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนที่สนใจจะปลูกไม้เศรษฐกิจก็สามารถ
ดำเนนิ การได้โดยไม่ต้องกงั วลว่าจะอยใู่ นเขตป่าเศรษฐกิจหรือไม่ แต่ท่ีแน่ ๆ ก็คือตอ้ งอยู่นอก

เขตป่าอนุรักษ์ นั่นคือ ที่ดินซึ่ง
นำมาปลูกไม้เศรษฐกิจอาจจะเป็น
ที่โฉนด ที่ นส. 3 หรือที่ สปก. ก็
ได้ หากเจ้าของมีความสนใจที่จะ
ปลูก ที่ดินนั้นมีศักยภาพที่จะ
รองรับการปลูกไม้เศรษฐกิจ และ
มีความม่นั ใจดา้ นการตลาดของไม้
ท่ีปลูก

อยากเห็นความคล่องตัวในการปลูกป่าเศรษฐกิจ (นอกเขตป่าอนุรักษ์) การจัดการ
สวนป่าเศรษฐกจิ รวมทั้งการใช้ประโยชน์และการตลาดไม้จากสวนป่า ในทุกวันนี้ผู้ปลกู ไม้
เศรษฐกิจขาดสภาพคล่องอย่างมากทั้งในเรื่องกองทุนส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจซ่ึง
จำเป็นต้องให้สินเชื่อระยะยาว ระบบการป้องกันภัยต้นไม้ในสวนป่า และกฎหมายป่าไม้ที่ไม่
เอ้ืออำนวยตอ่ การปลูก การจัดการ การตดั ฟัน การขนสง่ การแปรรูป การผลติ ผลติ ภณั ฑ์ และ
การค้าไม้และผลิตภัณฑไ์ ม้ ผ้บู ริหารระดบั สูงแทบทุกคนเมอ่ื เขา้ มารบั ตำแหนง่ หน้าท่ีใหม่ต่าง
ก็มีนโยบายที่จะแก้ไขกฎระเบียบ
ต่าง ๆ เพื่อก่อให้เกิดสภาพคล่องแก่
ผู้ประกอบการ แต่ก็เป็นได้เพียงแค่
การแถลงแนวนโยบายในการบริหาร
องค์กรเท่านั้น เพราะปัญหาที่
ผู้ประกอบการปลูกป่าเศรษฐกจิ เคย
ป ร ะ ส บ อ ย ู ่ ท ุ ก อ ย ่ า ง ก ็ ย ั ง ค ง อ ยู่
เหมือนเดิม


258 รวมเรื่องสวนป่า

อยากเห็นกรมป่าไม้โอนย้ายมาสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และเน้นการ
สง่ เสรมิ การปลกู ไม้เศรษฐกิจนอกเขตปา่ อนุรกั ษ์เปน็ บทบาทหลัก ส่วนการดูแลฟ้ืนฟูพื้นที่
ป่าอนุรักษ์นั้นให้เป็นบทบาทโดยตรงของกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซ่ึง
สังกัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมดังเดิม บทบาทหลักของกระทรวง
เกษตรและสหกรณ์คือการสร้างกลไกใหเ้ อื้ออำนวยต่อการผลิตพืชผลทางการเกษตร รวมทง้ั
ประมงและปศุสัตว์บนพื้นฐานของความยั่งยืนมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อสนองความต้องการ
ของประชาชน แต่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้นเน้นการอนุรักษ์
ทรัพยากรธรรมชาตเิ ปน็ สำคัญ จะเหน็ ได้ว่านโยบายของสองกระทรวงนี้เดนิ สวนทางกนั การ
ปล่อยให้กรมปา่ ไม้อยู่ภายใต้สงั กดั กระทรวงทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมก็เท่ากับเป็น
การคุมกำเนิดไมใ่ หป้ ่าเศรษฐกิจเกิดขน้ึ หรือเจรญิ เตบิ โตน่นั เอง อีกแนวทางหน่ึงก็คือโอนงาน
ป่าเศรษฐกิจไปสังกัดกรมส่งเสริมการเกษตร นั่นคือ มองไม้เศรษฐกิจเป็นพืชผลทาง
การเกษตรอยา่ งหนึง่ ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณจ์ ะต้องสง่ เสรมิ ให้ปลูก หรอื อีกแนวทาง
หน่งึ ก็จัดต้งั องค์กรใหมข่ ึน้ มารองรับการปลกู ปา่ เศรษฐกจิ โดยเฉพาะ

อยากเหน็ สำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ (องคก์ ารมหาชน) เกดิ เปน็ รูปธรรมข้ึนมา
ในเร็ววัน ด้วยเล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีองค์กรเพื่อขับเคลื่อนการปลูกป่าเศรษฐกิจ
อยา่ งครบวงจร ภาคเอกชนภายใตก้ ารนำของนางยงิ่ ลักษณ์ ปฏิภาณเทวา (081-641-2908)
แห่งสหกรณ์สวนป่า ร่วมกับหน่วยงานภาครัฐนำโดย ดร. นิคม แหลมสัก (081-833-6162)
แหง่ ศนู ยว์ จิ ยั ป่าไม้ ได้พยายามผลักดันกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้เกดิ องค์กรที่จะกำกับดูแลเร่ือง
ไม้เศรษฐกิจภายใต้ชื่อ “สำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ (องค์การมหาชน)” ตั้งแต่ปลายปี
2545 เปน็ ตน้ มา ลา่ สุดกรรมาธกิ ารการวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการพลงั งานของวุฒิสภา
ได้แตง่ ตง้ั คณะทำงานพิจารณาการตราพระราชกฤษฎีกาการจัดต้ังสำนกั งานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ
ตาม พ.ร.บ. องค์การมหาชน พ.ศ. 2542 เมื่อวนั ท่ี 15 ธันวาคม 2547 และคณะทำงานได้ยกร่าง
การจัดตั้งสำนักงานฯ แล้วเสร็จตั้งแต่ปลายปี 2548 แต่จนถึงวันนี้ (19 ธันวาคม 2550) ก็ยัง
ไม่มีวี่แววว่าจะเกิดสำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติขึ้นมาได้ เพราะขาดการสนับสนุนอย่าง
จรงิ จงั จากรัฐบาล

พระราชกฤษฎีกาการจดั ตั้งสำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ซง่ึ ไดย้ ก
ร่างข้ึนมามอี ยู่ด้วยกันท้ังส้ิน 45 มาตรา 3 หมวด คอื หมวด 1 ว่าดว้ ยสำนักงานไม้เศรษฐกิจ
แห่งชาติ หมวด 2 ว่าด้วยคณะกรรมการสำนักงานไม้เศรษฐกิจแห่งชาติ และหมวด 3 ว่า
ด้วยกองทุนส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ โดยร่างพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งสำนักงาน


บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 259

ไมเ้ ศรษฐกจิ แหง่ ชาติ (องค์การมหาชน) มีวัตถุประสงค์ 4 ประการ อนั ได้แก่ (1) ส่งเสริมและ
สนับสนุนการปลูกไม้เศรษฐกิจในที่ดินกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองของเกษตรกรให้
แพร่หลายและกว้างขวาง (2) ส่งเสริมและสนับสนุนผู้ที่ปลูกไม้เศรษฐกิจให้ถูกต้องตามหลัก
วิชาการ ทั้งชนิดไม้ พื้นที่ปลูก เทคนิคการปลูก ดูแลรักษา และอื่น ๆ (3) ส่งเสริมและ
สนับสนุนกลไกด้านการเพิ่มมูลค่าไม้ การตลาดไม้เศรษฐกิจ และขยายแหล่งรับซื้อไม้ให้
กว้างขวางท้ังในประเทศและตา่ งประเทศ และ (4) ส่งเสริมและสนบั สนุนศนู ยไ์ มเ้ ศรษฐกิจให้
มีความเขม้ แขง็ เปน็ ที่พง่ึ ของผปู้ ลกู ไม้เศรษฐกจิ ท่ีเปน็ สมาชกิ ได้ และสามารถพงึ่ ตนเองได้

อยากเห็นนโยบายป่าไม้แห่งชาติในส่วนที่เกี่ยวกับป่าเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้จริง ๆ
ในทางปฏิบัติ ตามที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบนโยบายป่าไม้แห่งชาติเมื่อวันที่ 3
ธนั วาคม 2528 นโยบาย 7 ข้อในจำนวน 20 ขอ้ เก่ยี วขอ้ งกบั ป่าเศรษฐกิจโดยตรง อนั ได้แก่

ข้อ 4(2) ปา่ เพอื่ เศรษฐกจิ กำหนดไว้เพอื่ การผลิตไม้และของป่าเพือ่ ประโยชน์ในทาง
เศรษฐกจิ ในอัตราร้อยละ 25 ของพน้ื ท่ปี ระเทศ (ตอ่ มาไดป้ รับลดพืน้ ทปี่ ่าเศรษฐกิจจากร้อยละ
25 ลงเหลือร้อยละ 15 และปรับเพ่ิมพ้ืนที่ป่าอนุรักษ์จากร้อยละ 15 ขึ้นเป็นร้อยละ 25 ของ
พื้นทป่ี ระเทศ)

ข้อ 8 เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตไม้ด้วยการจัดการป่าไม้ทั้งในระบบวนวัฒน์แบบ
เลือกตัดและระบบวนวัฒน์แบบตัดหมดตามหลักวิชาการ โดยเฉพาะในระบบตัดหมดนี้เมื่อ
ตัดแล้วใหป้ ลกู ทดแทนในพ้นื ท่ที ี่ถูกตัดทนั ที

ข้อ 12 ให้มีการพัฒนางานด้านป่าไม้โดยส่งเสริมการปลูกป่าภาคเอกชนและ
ภาครัฐบาลเพื่อใชภ้ ายในประเทศ เพื่อประโยชน์ในการอุตสาหกรรม และสนับสนุนให้มีการ
สง่ ออกไปจำหนา่ ยต่างประเทศ สง่ เสริมการปลูกปา่ ชุมชน สง่ เสริมการปลูกป่าในท่ีดินของรัฐ
และการปลูกปา่ ตามหวั ไร่ปลายนา หรอื ปลูกปา่ รายยอ่ ยเพือ่ ประโยชนใ์ ชส้ อยในครัวเรอื น

ข้อ 13 สนับสนุนให้มีโรงงานอุตสาหกรรมแบบต่อเนื่องและโรงงานเยื่อกระดาษเพ่อื
นำทุกส่วนของไม้มาใช้ประโยชน์ และส่งเสริมให้มีการใช้วัสดุอ่ืนทดแทนไม้

ขอ้ 14 ใหม้ กี ารปรบั ปรุงแก้ไขกฎหมาย เพือ่ อำนวยผลให้การรักษาและเพ่ิมทรัพยากร
ป่าไม้และการตดั ฟนั ไมม้ าใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อ 16 เพื่อลดการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง จึงให้มีการใช้ไม้เพื่อพลังงาน โดยให้มีการ
ปลกู ป่าเพื่อเปน็ แหล่งพลังงาน


260 รวมเรือ่ งสวนปา่

ข้อ 19 กำหนดให้มสี ่ิงจูงใจในการส่งเสรมิ การปลูกปา่ ภาคเอกชน

เพื่อขานรับนโยบายป่าไม้แห่งชาติดังกล่าว รัฐบาลจึงได้จัดตั้งคณะทำงานจัดทำ
“แผนหลักการปลูกสร้างสวนป่า” ขึ้นในปี พ.ศ. 2532 โดยมี ฯพณฯ รองนายกรัฐมนตรี
นายพิชัย รัตตกุล เป็นประธาน โดยในแผนหลักการปลูกสร้างสวนป่านี้ได้กำหนดให้มีการ
ปลูกป่าเศรษฐกิจจำนวน 38.5 ล้านไร่ ให้แล้วเสร็จภายใน 30 ปี (พ.ศ. 2534 - 2563) โดย
ภาครฐั (กรมป่าไม้ องคก์ ารอุตสาหกรรมปา่ ไม้ ทหาร และบรษิ ทั ไมอ้ ัดไทย จำกัด) ปลกู รอ้ ยละ
30 และภาคเอกชน (สวนปา่ เศรษฐกิจและสวนปา่ ชมุ ชน) ปลกู รอ้ ยละ 70 ของพน้ื ท่ีเปา้ หมาย
ทั้งนี้ สวนป่าเศรษฐกิจโดยภาคเอกชนจะมีเนื้อที่ถึง 20.95 ล้านไร่ หรือร้อยละ 54.42 ของ
พ้นื ที่สวนปา่ ตามแผนหลักการปลกู สรา้ งสวนป่า พ.ศ. 2532

แม้รัฐบาลในยุคนั้นได้ผลักดันให้เกิดนโยบายป่าไม้แห่งชาติและแผนหลักการปลูก
สร้างสวนป่าข้นึ มา แตก่ ารปลูกปา่ เศรษฐกจิ ในรอบ 22 ปที ผี่ า่ นมากย็ งั ประสบกบั ปัญหาเดมิ ๆ
นานาประการ เนื้อที่ปลูกและกำลังผลิตของไม้จากป่าปลูกก็ยังห่างไกลเป้าหมายมาก
ประเทศไทยจึงต้องสูญเสียเงินตราเพื่อนำเข้าไม้จำนวนมหาศาลอย่างต่อเนื่องตลอดมาทุกปี
เฉพาะไม้สักเพียงอย่างเดียว ในปี พ.ศ. 2549 ประเทศไทยต้องนำเข้าถึง 146,758 ลูกบาศก์
เมตร คิดเป็นมูลค่าประมาณ 3,210 ล้านบาท ทั้ง ๆ ที่ประเทศไทยได้ชื่อว่าเป็นผู้ผลิตไม้สัก
ทองซงึ่ มคี ุณภาพดที ีส่ ุดในโลก

น่าเสยี ดายท่กี ารรณรงคห์ าเสียงเลือกตง้ั ครง้ั นไ้ี ม่มีพรรคการเมืองใดแถลงนโยบาย
ปา่ เศรษฐกจิ บนพืน้ ฐานทางวิชาการป่าไม้ทีน่ า่ เช่ือถือไดเ้ ลยแม้แตพ่ รรคเดียว

ได้แต่หวังวา่ รัฐบาลใหม่ภายหลังการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 คงจะมีนโยบาย
ป่าเศรษฐกิจให้ได้เห็นสมความอยากเสียที ไม่ใช่อยากเห็นแต่ยากที่จะได้เห็นดังเช่น
รัฐบาลทผี่ า่ น ๆ มา


48 ไม้ยคู าลปิ ตสั
เพื่อการผลิตไมแ้ ปรรูป

ในปีหนึ่ง ๆ ประเทศไทยต้องนำเข้าไม้ท่อนและไม้แปรรูปเป็นจำนวนไม่น้อย เฉลี่ย
แล้วตกประมาณปีละสองหมื่นล้านบาท และมีแนวโน้มว่าจะเพิ่มสูงขึ้นแทบทุกปี เช่น เพ่ิม
จาก 16,408 ล้านบาท ขึ้นเป็น 20,732 ล้านบาท 21,866 ล้านบาท และ 24,412 ล้านบาท
ในปี พ.ศ. 2545 พ.ศ. 2546 พ.ศ. 2547 และ พ.ศ. 2548 ตามลำดบั

แม้มูลค่าการนำเข้าในปี พ.ศ. 2549 จะลดลงเหลือเพียง 18,861 ล้านบาท แต่ก็ยัง
เป็นการสูญเสียเงินตราให้แกต่ ่างประเทศอย่างที่ไมค่ วรจะต้องสูญเสียเป็นจำนวนไม่น้อยอยู่
นั่นเอง ในจำนวนนี้ประมาณร้อยละ 15 เป็นการนำเข้าไม้สัก และประมาณร้อยละ 5 เป็น
การนำเข้าไม้สนเขา ส่วนที่เหลือคือ ประมาณ 15,000 ล้านบาทเป็นมูลค่าการนำเข้าไม้
ใบกวา้ งชนิดต่าง ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ คือไม้ในวงศไ์ ม้ยางนาเพื่อใช้ในการก่อสรา้ ง รวมทั้งไม้
ยคู าลิปตัสซ่ึงมีมลู คา่ การนำเข้าในปี พ.ศ. 2549 ประมาณ 13.3 ลา้ นบาทเศษดว้ ย

เพอื่ ลดการนำเขา้ ไมท้ อ่ นและไม้แปรรปู เพ่อื ใช้ในการก่อสร้าง สถาบันวจิ ยั และพฒั นา
แห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (สวพ.มก.) จึงได้จัดสรรงบประมาณการวิจัยประจำปี
2550 – 2552 ให้ ดร. ลดาวัลย์ พวงจิตร อาจารย์ประจำภาควิชาวนวัฒนวิทยา และ
รองคณบดีฝ่ายการศึกษา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำการศึกษาวิจัย
เรื่อง “การคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัสเพื่อผลิตไม้แปรรูป” ซึ่งเป็นหนึ่งในส่ี
โครงการย่อยของชุดโครงการวิจัยเรื่อง “เทคโนโลยีวนวัฒน์เพื่อการผลิตไม้แปรรูป” ที่มี
ดร. มณฑล จำเริญพฤกษ์ หัวหน้าภาควิชาวนวฒั นวทิ ยา เป็นหัวหนา้ ชดุ โครงการวจิ ัย

“ไม้ยูคาลิปตัส” เป็นชื่อที่คุ้นหูคนไทยมาช้านานแล้ว และส่วนใหญ่ทราบดีว่าเป็นไม้
โตเร็ว มีอยู่ด้วยกนั ท้ังส้ินกว่า 600 ชนิด เกือบทั้งหมดมถี ิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในทวีปออสเตรเลยี
มีเพียง 3 ชนิดเท่านั้นที่พบว่ามีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่นอกออสเตรเลีย อันได้แก่ Eucalyptus
deglupta ซึ่งมีถ่ินกำเนิดเดิมอยู่ในปาปัวนิวกินี และเกาะมินดาเนา ประเทศฟิลิปปินส์

พิมพ์ครัง้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (79) : 37 – 39 (พ.ศ. 2551)


262 รวมเร่ืองสวนป่า

Eucalyptus urophylla ซึ่งมีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ในติมอร์และหมู่เกาะทางตะวันออกของ
ประเทศอินโดนีเซยี และ Eucalyptus alba ซ่ึงมีถ่นิ กำเนดิ เดมิ อยทู่ ้ังในทางตะวนั ออกเฉียงเหนือ
และตะวันตกเฉียงเหนือของทวีปออสเตรเลีย รวมทั้งในปาปัวนิวกินี ติมอร์ และทาง
ตะวนั ออกของอนิ โดนีเซยี

นั่นคือ ยูคาลิปตัสทั้งหมดถอื ว่าเปน็
ไม้พื้นเมืองของออสเตรเลีย ยกเว้นยูคา
ลิปตัสดกี ลุปต้า และยูคาลปิ ตสั ยโู รฟลิ ลา

เนื่องจากเป็นไม้สกุลใหญ่ มีอยู่ร่วม
700 ชนิด จึงมีความหลากหลายทั้งอัตรา
การเจริญเติบโต ขนาด รูปทรง และการใช้
ประโยชน์ ไม่ใช่ยูคาลิปตัสทกุ ชนิดจะเปน็ ไม้
โตเร็วและเหมาะสำหรับใช้ทำเยื่อกระดาษ
อย่างที่คนไทยส่วนใหญ่เข้าใจกัน ไม้ยูคา
ลิปตัสบางชนิดโตช้ามาก ชนิดที่เหมาะ
สำหรับใชใ้ นการผลติ ไม้แปรรูปเพื่อใช้ในการ
ก่อสร้าง ใช้ทำไม้พื้น และใช้ทำเฟอร์นิเจอร์
ในออสเตรเลียก็มีเพียงไม่กี่ชนิด ที่โดดเด่น
มาก ๆ ได้แก่ Karri (Eucalyptus diversicolor) Jarrah (Eucalyptus marginata) และ
Blackbutt หรือ Yarri (Eucalyptus patens) แต่ยูคาลิปตัสทั้งสามชนิดนี้ไม่เหมาะสำหรับ
ดินฟา้ อากาศและสภาพแวดล้อมในประเทศไทย

Karri เป็นไม้ที่มีขนาดสูงใหญ่ จัดว่าเป็นไม้ใบกว้างที่สูงที่สุดชนิดหนึ่งในออสเตรเลีย
คือ มีความสูงเฉลี่ยประมาณ 45 - 70 เมตร เนื้อไม้สีน้ำตาลอมแดงเข้ม หนัก มีความ
หนาแนน่ สงู ถึง 900 กโิ ลกรัมต่อลูกบาศกเ์ มตร

Jarrah มีความสูงน้อยกว่า Karri คือ สูงราว 30 - 40 เมตร แต่มีขนาดใหญ่มาก
เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางเพยี งอกสงู ถงึ 2 เมตร เน้อื ไมส้ แี ดงเขม้ มีความหนาแน่น 670 กิโลกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร

Blackbutt มขี นาดสูงใหญพ่ อ ๆ กับไม้ Jarrah จัดว่าเปน็ ไมแ้ ปรรูปชน้ั หน่งึ สำหรับใช้
ในงานกอ่ สร้าง ทำเฟอร์นิเจอรแ์ ละไม้พ้นื


บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 263

แม้จะได้มกี ารศึกษาวจิ ัยเพือ่ นำไม้ยูคาลิปตัสหลายชนิดเข้ามาปลูกในประเทศไทยกว่า
60 ปีมาแล้วก็ตาม แต่การปลูกไม้ยูคาลิปตัสในเชิงพาณิชย์อย่างกว้างขวางจริงจังโดย
ภาคเอกชนเพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อประมาณ 20 กว่าปีท่ีผ่านมานี้เอง และชนิดไม้ที่ปลูกก็มีเพียง
Eucalyptus camaldulensis เปน็ สว่ นใหญ่ และปลกู เพอื่ อุตสาหกรรมชนิ้ ไม้สับสำหรับใช้ทำ
เยื่อกระดาษเป็นสำคัญ รองลงมาคือปลูกเพื่อใช้ทำฟืน ถ่าน ไม้ค้ำยัน และไม้เสาเข็ม แทบจะ
ยังไมม่ ีการปลกู ไม้ยคู าลิปตสั เพ่ือผลติ ไม้แปรรปู โดยเฉพาะกนั เลย ทง้ั น้ีเพราะเนอ้ื ไม้ยูคาลิปตัส
คามาลดเู ลนซีสมกั จะแตกรา้ ว โคง้ บิดงอ ไดง้ ่ายภายหลงั การแปรรูป การไสกบตกแต่งก็ทำได้
ไม่ง่ายนักเมื่อเทียบกับไม้ท้องถิ่นของไทยที่ใช้กันอยู่ทั่วๆ ไป เพราะเนื้อไม้เสี้ยนสน แต่ข้อ
ได้เปรียบของไม้ยูคาลิปตัสชนิดนี้ก็คือเจริญเติบโตเร็ว ปลูกได้ทั่วไปแทบทุกสภาพแวดล้อม
และตา้ นทานตอ่ การเข้าทำลายของปลวกได้ดี

จุดอ่อนดังกล่าวอาจจะบรรเทาเบาบางลงได้หากได้มีการศึกษาค้นคว้าวิจัยกันอย่าง
จริงจัง ด้วยเหตุนี้เอง ดร. ลดาวัลย์ พวงจิตร (โทร: 081-920-7083) จึงได้ทำการศึกษา
วิจัยเรื่องการคัดเลือกและปรับปรุงพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัสเพื่อผลิตไม้แปรรูป หรือที่มักเรียกกัน
ง่าย ๆ ว่า “Eucalyptus for Sawn Timber” โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์หลกั 3 ประการคอื

1) เพื่อคัดเลือกสายพันธุ์ยูคา
ลิปตัสที่ให้ผลผลิตสูงและมีคุณสมบัติ
เหมาะสมสำหรับการแปรรูปและงาน
เฟอรน์ ิเจอร์

2) เพื่อจัดทำสวนรวมสายต้น
หรือโคลน (clone bank หรือ hedge
orchard) สวนผลิตเมล็ดพันธุ์ (seed
orchard) แ ล ะ แ ป ล ง ท ด ส อ บ ว ง ศ์
(family trials) สำหรบั ใช้ในงานปรับปรุงพนั ธุไ์ มย้ คู าลิปตสั เพอื่ การแปรรปู ต่อไปในอนาคต

3) เพื่อคัดเลือกคุณลักษณะที่เหมาะสมและสามารถใช้ในการคัดเลือกแม่ไม้สำหรับ
การแปรรปู ไมแ้ ละงานเฟอรน์ เิ จอร์

ไม้ยูคาลปิ ตัสในการศึกษาวจิ ัยเรอ่ื งนีจ้ ำกัดขอบเขตอยู่เฉพาะยูคาลปิ ตสั คามาลดูเลนซีส
อย่างเดียวเท่านั้น เพราะการศึกษาด้านวนวัฒนวิทยาที่ผ่านมาพบว่าสามารถปลูกและเจริญ
เติบโตในประเทศไทยไดด้ ีกวา่ ไม้ยคู าลปิ ตัสชนิดอนื่ ๆ


264 รวมเรือ่ งสวนป่า

ในการคัดเลือกสายพันธุ์และปรับปรุงบำรุงพันธุ์ไม้ป่านั้นสิ่งที่นักปรับปรุงพันธุ์ต้อง
คำนึงถึงมากที่สุดประการหนึ่งก็คือ “ฐานพันธุกรรม หรือ genetic base” เพื่อป้องกัน
ปญั หาอนั อาจจะเกิดจากความสามารถในการตา้ นทานโรคและแมลง และความเคน้ เนือ่ งจาก
ปัจจัยสิ่งแวดล้อม ดังที่ได้เกิดขึ้นแล้วกับการคัดเลือก “สายต้น T5” ของไม้ยูคาลิปตัสใน
อดีต ซึ่งตอนน้ันมุ่งคัดเลือกสายต้นทีเ่ จริญเตบิ โตเร็วและให้ผลผลิตมวลชีวภาพสูงเพียงอยา่ ง
เดยี วเท่านั้น ตอ่ มาเม่อื มีการปลกู ยคู าลิปตสั สายตน้ T5 กนั อยา่ งกวา้ งขวางกท็ ำให้เกิดปัญหา
โรคระบาดเพราะฐานพันธุกรรมต่ำ ด้วยเหตุนี้เองโครงการวิจัยเรื่องนี้จึงตั้งเป้าหมายไว้ว่า
สวนรวมสายตน้ และสวนผลติ เมล็ดพนั ธทุ์ จี่ ะจัดสรา้ งขน้ึ ตามวตั ถุประสงคข์ ้อท่ี 2 นน้ั จะต้องมี
ความหลากหลายของสายตน้ ยูคาลิปตัสไม่น้อยกว่า 30 สายตน้

ปจั จยั ท่จี ะใช้ช้ีวดั วา่ ไม้ยคู าลปิ ตัสสายตน้ น้นั ๆ เหมาะสำหรับใช้ทำไมแ้ ปรรูปมากนอ้ ย
เพียงใด ได้แก่ อัตราการเจริญเติบโต ความหนาแน่นและความถ่วงจำเพาะของเนื้อไม้ แนว
วงปี การเรียงตัวของแนวเสี้ยนไม้ กลสมบัติ และสมบัติทางฟิสิกส์ รวมทั้งการแตกร้าว โก่ง
โคง้ บดิ งอ

ในการปฏิบัติงานวิจัยภาคสนามนั้น
นักวิจัยได้ออกสำรวจคัดเลือกแม่ไมย้ ูคาลิปตสั
ทั่วประเทศ จำนวนไม่น้อยกว่า 100 ต้น ทั้งท่ี
ปลูกอยู่ในสวนปา่ และนอกสวนป่า โดยแม่ไม้ที่
เลือกจะตอ้ งมีเสน้ รอบวงที่ระดับอกต้ังแต่ 100
เซนติเมตรขึ้นไป ลำต้นตรงเปลา มีความเรียว
(taper) น้อย ลำต้นส่วนที่ปราศจากก่ิง
(clearbole) ต้องสูงเด่นและเป็นต้นไม้ที่มี
สุขภาพสมบูรณ์ ปราศจากการเข้าทำลายของ
โรค รา แมลง และไฟป่า จากนั้นก็นำตัวอย่าง
เนื้อไม้ไปทดสอบคุณสมบัติที่เหมาะต่อการ
ผลิตไม้แปรรูปในห้องปฏิบัติการที่ศูนย์วิจัย
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม้ คณะ
วนศาสตร์ แล้วคดั เลือกสายตน้ ทดี่ ีที่สดุ 30 สายตน้ เพือ่ นำไปปลูกในสวนรวมสายต้น แปลง
ทดสอบวงศ์ และสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ ท่ีสถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว จังหวัด


บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 265

นครราชสีมา ของคณะวนศาสตร์ และสวนป่ามัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น ขององค์การ
อุตสาหกรรมป่าไมต้ ่อไป

จากการสำรวจภาคสนามเบื้องต้นพบว่าไม้ยูคาลิปตสั ในหลาย ๆ พื้นที่มีลักษณะตรง
ตามวตั ถุประสงค์ท่วี างไว้ ต้นไม้เจริญเตบิ โตเร็วมาก ลำตน้ สงู ตรง เปลา เช่น ยูคาลิปตัสอายุ
22 ปี ที่ศนู ยฝ์ ึกอบรมป่าไม้ที่ 5 ในทอ้ งที่อำเภอเมือง จังหวดั ตาก มีความสงู ถงึ 30 เมตร เส้น
รอบวงที่ระดับอก 160 เซนติเมตร ที่สถานีวนวัฒนวิจัยกำแพงเพชร อำเภอเมือง จังหวัด
กำแพงเพชร ไม้ยูคาลิปตัสอายุ 22 ปีที่ปลูกบนดินลูกรัง มีความสูงถึง 25 เมตร และมีเส้น
รอบวงที่ระดับอกถึง 155 เซนติเมตร หรือแม้แต่ยูคาลิปตัสซึ่งปลูกบนพื้นที่ดินทรายในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือขององค์การอุตสาหกรรมปา่ ไม้หลายพื้นที่ เช่นที่สวนป่าดงเค็ง อำเภอ
คเู มือง จังหวัดบุรีรัมย์ อายุ 21 ปี วัดเส้นรอบวงทรี่ ะดับอกไดถ้ ึง 130 เซนติเมตร และมีความ
สงู ถึง 30 เมตร เปน็ ต้น

เกษตรกรและผ้ปู ระกอบการทีส่ นใจไม้ยูคาลิปตัสเพ่ือผลิตเปน็ ไม้แปรรูปสำหรับใช้
ในการก่อสร้างและใช้ทำเฟอร์นิเจอร์โปรดอดใจรอสักระยะ อีกไม่นานมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ก็คงจะให้คำตอบในเชิงวิชาการว่ามีสายต้นไหนที่เหมาะสมควรค่าแก่การ
ลงทนุ เชิงพาณิชยแ์ น่นอน


49 จนั ทน์หอม :
ไม้มงคลชน้ั สูงของไทย

การส้นิ พระชนมข์ องสมเดจ็ พระเจา้ พ่ีนางเธอ เจ้าฟา้ กลั ยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธวิ าส
ราชนครินทร์ เมื่อเช้าตรู่ เวลา 2 นาฬิกา 54 นาที ของวันพุธที่ 2 มกราคม 2551 ขณะ
พระชันษาได้ 84 ปี นับเป็นการสูญเสียที่นำมาซึ่งความเศร้าสลดอย่างใหญ่หลวงแก่ปวงชน
ชาวไทยทง้ั มวล หลังจากน้นั กท็ ำให้คนไทยทั้งประเทศได้ยินช่ือ “ไมจ้ นั ทนห์ อม” กันบ่อยข้ึน
แต่ผมไม่แน่ใจว่าคนไทยส่วนใหญ่รวมทั้งตัวผมเองจะมีความรู้เรื่องไม้จันทน์หอมมากน้อย
เพยี งใด หรอื จะเปน็ เพยี งแต่คุ้นกบั ชอ่ื ทผ่ี ่านมาทางสื่อมวลชนต่าง ๆ เป็นระยะ ๆ อาทิ

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โปรดให้ใช้ไม้จันทน์หอมที่ล้ม
แล้ว ไม่จำเป็นตอ้ งโค่นใหม่ มาจัดสร้าง “พระโกศจันทน์” ในพระราชพิธีพระราชทานเพลงิ
พระศพ สมเด็จพระเจา้ พี่นางเธอ เจ้าฟา้ กัลยานิวัฒนา กรมหลวงนราธวิ าสราชนครินทร์

อุทยานแหง่ ชาตกิ ยุ บรุ ี จงั หวดั ประจวบคีรีขันธ์ ไดส้ ำรวจพบไมจ้ นั ทนห์ อมขนาดใหญ่
ยืนต้นตายอยู่ภายในเขตอุทยานแห่งชาติกุยบุรี จำนวน 19 ต้น และพร้อมที่จะจัดส่งไม้
จนั ทนห์ อมที่ต้องการ จำนวน 3 ตน้ ให้สำนกั ชา่ งสิบหมู่ กรมศิลปากร รบั ไปดำเนนิ การต่อไป

ฝ่ายโหรพราหมณ์ และฝา่ ยพระราชพธิ ี สำนักพระราชวัง และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ได้ประกอบพิธีบวงสรวงเพื่อตัดไม้จันทน์หอมที่ยืนต้นตาย จำนวน 3 ต้น ที่อุทยานแห่งชาติ
กุยบุรี ตำบลหาดขาม อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันเสาร์ที่ 20 มกราคม
2551 เวลา 11.19 นาฬิกา

วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา 14.09 นาฬิกา กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม โดย ฯพณฯ รัฐมนตรี อนงค์วรรณ เทพสุทิน ได้ทำพิธีส่งมอบไม้จันทน์หอม
แปรรูปจำนวน 130 แผ่น ปริมาตร 1.55 ลูกบาศก์เมตร ให้แก่ กระทรวงวัฒนธรรม โดย

พิมพ์ครง้ั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (80) : 37 – 40 (พ.ศ. 2551)


บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 267

ฯพณฯ รัฐมนตรี อนุสรณ์ วงศ์วรรณ เพื่อนำไปจัดสร้างพระโกศจันทน์ สมเด็จพระเจ้า
พน่ี างเธอ เจ้าฟา้ กลั ยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครนิ ทร์

ดว้ ยความทไี่ ม่คอ่ ยมคี วามรู้ แต่อยากรู้ และอยากใหค้ นอน่ื ที่สนใจไดร้ เู้ รอ่ื งไมจ้ ันทน์หอม
ดว้ ย ผมจึงได้เสาะหาเอกสารและพูดคยุ กบั ผู้รู้หลาย ๆ ทา่ น โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงคือ ดร. คงศักด์ิ
(พรศักดิ์) มีแก้ว (โทร: 081-421-2955) นักวิชาการป่าไม้ 8ว กรมป่าไม้ ซึ่งไดท้ ำการศกึ ษา
วิจัยด้านวนวัฒนวิทยาของไม้จันทน์หอมมานานพอสมควร และ ดร. ขวัญชัย ดวงสถาพร
(โทร : 089-827-2110) หัวหน้าห้องปฏิบัติการรุกขกาลวิทยาเขตร้อน (Laboratory of
Tropical Dendrochronology) ภาควิชาการจัดการป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ซึง่ ได้ใช้หลกั การวิเคราะห์วงปี (Tree Ring Analysis) ทำการวเิ คราะห์หาอายุ
และการเติบโตของไมจ้ ันทนห์ อมทง้ั สามต้นที่จะใชใ้ นการจดั สรา้ งพระโกศจนั ทน์

ชื่อ “ไม้จัน” ซึ่งคุ้นหูคนไทยไม่น้อยนั้นมอี ยู่หลายชนิด หลายสกุล และหลายวงศ์ ตาม
หนงั สอื “ชอ่ื พรรณไม้แห่งประเทศไทย” ของศาสตราจารย์เต็ม สมิตนิ ันท์ ฉบบั แก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ. 2544 ไม้สกุล Diospyros วงศ์ Ebenaceae มี 3 ชนิด คอื จัน (Diospyros decandra)
จันเขา (Diospyros dasyphylla) และจันดำ (Diospyros venosa) สกุล Tarenna วงศ์
Rubiaceae มี 5 ชนิด คือ จันทนห์ อม (Tarenna fragrans) จันขน (Tarenna puberula)
จนั ใบมัน (Tarenna pulchra) จนั ทนา (Tarenna hoaensis) และจันทนาใบเล็ก (Tarenna
wallichii) สกุล Aglaia วงศ์ Meliaceae มี 1 ชนิด คือ จันทน์ชะมด (Aglaia silvestris)
และสกลุ Mansonia วงศ์ Sterculiaceae มี 1 ชนดิ คอื จนั ทนห์ อม (Mansonia gagei)

ไม้สกุล Mansonia ในโลกนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 5 ชนิด มีถิ่นกำเนิดอยู่ในเอเชียและ
แอฟริกา ในประเทศไทยมเี พียงชนิดเดยี วคอื ไมจ้ ันทนห์ อม หรอื Mansonia gagei

ไม้จันทน์หอมที่กล่าวถึงต่อไปนี้เป็นชนิดเดียวกับไม้จันทน์หอมที่สำนักช่างสิบหมู่นำ
จากอุทยานแห่งชาติกุยบุรีมาใช้ทำพระโกศจันทน์ มีชื่อพื้นเมืองเรียกแตกต่างกันไปตาม
แต่ละท้องถิ่นรวม 4 ชื่อ คือ จันทน์ จันทน์ขาว จันทน์พม่า และจันทน์หอม มีช่ือ
วิทยาศาสตร์ว่า Mansonia gagei J.R.Drumm. ex Prain ชื่อสามัญ คือ Kalamet เป็น
พันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัดนครปฐม และเป็นไม้หวงห้ามประเภท ข (ไม้หวง
ห้ามพิเศษ) คือเป็นไม้หายากหรือไม้ที่ควรสงวน ซึ่งไม่อนุญาตให้ทำไม้ เว้นแต่รัฐมนตรจี ะได้
อนุญาตเป็นกรณพี ิเศษตามพระราชกฤษฎกี ากำหนดไมห้ วงหา้ ม พ.ศ. 2530


268 รวมเรอื่ งสวนปา่

ไม้จนั ทนห์ อมมีถ่ินกำเนิดอยู่ในประเทศไทย พมา่ และอนิ เดีย สำหรับในประเทศไทย
นั้นพบขึ้นประปรายอยู่กันห่าง ๆ ในป่าดิบแล้งและป่าเบญจพรรณชื้นทั่วไป โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในบริเวณซึ่งเป็นภูเขาหินปูน ในระดับความสูงไม่เกิน 400 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ปานกลาง พบมากในจงั หวัดนครราชสมี า สระบุรี และประจวบครี ีขันธ์

อาจจะกล่าวได้ว่าแหล่งไม้จันทน์

หอมธรรมชาติที่สำคัญที่สุดของประเทศ

ไทยนั้นอยู่ในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์

โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือในบริเวณป่าสงวน

แห่งชาติป่ากุยบรุ ี อุทยานแห่งชาติกุยบรุ ี

อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด และ

อุทยานแห่งชาติน้ำตกห้วยยาง ในป่า

ธรรมชาติไม้จันทน์หอมส่วนใหญ่มีความ

สูงมากกว่าความสูงเฉลี่ยของหมู่ไม้

ข้างเคียง เช่น ไม้ในป่าสงวนแห่งชาติป่า

ภาพจาก : Thaireportchannel.com/archives/5127 กุยบุรีมีความสูงเฉลี่ย 7 เมตร แต่ไม้
จันทน์หอมมีความสงู ถึง 18 เมตร หรือท่ี

อุทยานแห่งชาตเิ ขาสามร้อยยอดในขณะทีต่ น้ ไม้สว่ นใหญม่ คี วามสูง 5 เมตร แต่ไม้จันทน์หอม

สูง 6 เมตร เป็นต้น

ข้อที่ควรสังเกตอีกประการหน่ึงก็คือไม้จันทน์หอมในป่าธรรมชาติแม้จะที่จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์เองก็มีอยู่น้อยมาก กล่าวคือมีต้นไม้ใหญ่อยู่เพียง 4 - 6 ต้นต่อไร่ มีลูกไม้
10 - 25 ต้นต่อไร่ และมีกล้าไม้ 1,680 - 16,800 ต้นต่อไร่ การที่มีกล้าไม้หนาแน่นแสดงว่า
เมล็ดมีอัตราการงอกค่อนข้างสูง แต่พอถึงวัยลูกไม้มีต้นไม้เหลืออยู่ค่อนข้างน้อยแสดงว่า
กล้าไม้ทีง่ อกส่วนใหญต่ ้องตายไปในช่วงอายุไมเ่ กิน 10 ปี เพราะสภาพแวดล้อมไมเ่ หมาะสม
และขาดการจดั การท่ีถูกต้อง

จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมป่าไม้
และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ น่าจะต้องร่วมกันประกาศพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี
เป็นเขตอนุรักษ์แหล่งพันธุกรรมไม้จนั ทนห์ อม และนำเอาหลกั วชิ าการดา้ นวนวัฒนวิทยา
เขา้ ไปจัดการอยา่ งถูกต้องและเหมาะสมโดยด่วนทส่ี ุด


บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 269

จันทน์หอมเป็นไม้ยืนต้น ผลัดใบ แต่เนื่องจากช่วงการทิ้งใบหมดต้นแล้วแตกใบใหม่
ขึ้นเต็มต้นนั้นสั้นมาก จึงดูเสมือนหนึ่งเป็นไม้ไม่ผลัดใบ โดยขนาดของลำต้นแล้วจัดเป็นไม้
ขนาดกลางถงึ ใหญ่ สงู 20 - 30 เมตร ภายใต้สภาพแวดลอ้ มที่เหมาะสมเมื่อโตเต็มที่อาจจะมี
เส้นผา่ นศูนย์กลางเพียงอกสงู ถงึ 150 เซนตเิ มตรกไ็ ด้

จากการสำรวจไม้จันทน์หอมที่ยืนต้นตายตามธรรมชาติในบริเวณป่าสงวนแห่งชาติ
ป่ากุยบุรี (นอกเขตอุทยานแหง่ ชาติกุยบุรี) โดย ดร. คงศักดิ์ มีแก้ว เมื่อวันที่ 8 - 9 มกราคม
2551 และรายงานให้อธิบดีกรมป่าไม้ทราบว่ามีไม้จันทน์หอมยืนต้นตายอยู่ 24 ต้น มี
เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกเฉลีย่ 52 เซนติเมตร ความสูงเฉล่ีย 11 เมตร แต่ต้นที่สูงที่สดุ นั้น
สูงถึง 30 เมตร โดยต้นที่มีขนาดเล็กที่สุดที่ยืนต้นตายมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกเพียง 22
เซนติเมตร และต้นที่ใหญ่ทส่ี ุดมเี สน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางเพียงอกถงึ 119 เซนติเมตร

อทุ ยานแหง่ ชาติกยุ บุรแี ละป่าสงวนแหง่ ชาติปา่ กุยบรุ เี ปน็ พืน้ ท่ปี ่าผืนเดยี วกัน ใชร้ ะดบั
ความสูงจากระดับน้ำทะเล 200 เมตรเป็นเส้นแบ่ง โดยอุทยานแห่งชาติกุยบุรี อยู่เหนือ
เส้น 200 เมตรจากระดบั น้ำทะเลปานกลาง สังกดั กรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ า่ และพันธ์ุพืช
สว่ นปา่ สงวนแหง่ ชาติปา่ กยุ บรุ ีนัน้ อย่สู งู จากระดบั น้ำทะเลปานกลางไมเ่ กิน 200 เมตร สังกัด
กรมปา่ ไม้

สำหรบั ไมจ้ นั ทน์หอม 3 ตน้ ที่ใช้ในพระราชพธิ ีพระราชทานเพลงิ พระศพสมเด็จพระเจ้า
พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ นั้น กรมอุทยานแห่งชาติ
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ได้ส่งแผ่นไม้ตัวอย่างไปให้ห้องปฏิบัติการรุกขกาลวิทยาเขตร้อน ของ
ดร. ขวัญชัย ดวงสถาพร ทำการวิเคราะห์อายุและการเติบโตรายปีด้วยเทคนิครุกขกาลวิทยา
โดยใช้เครื่องมือวัดการเติบโตที่เรียกว่า “Velmex” ซึ่งมีความละเอียดเท่ากับ 0.001
มลิ ลิเมตร หรือ 1 ใน 1,000 มิลลิเมตร ผลปรากฏว่า

ต้นที่ 1 มีเส้นรอบวงของแว่นไม้ที่สูงจากพื้นดิน 30 เซนติเมตร เท่ากับ 178.17
เซนติเมตร นับอายุได้ 142 ปี มีอัตราการเติบโตทางเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยรายปีเท่ากับ
4.00 มิลลิเมตร หรอื 4.00 เซนตเิ มตรในเวลา 10 ปี

ตน้ ที่ 2 เน่อื งจากลำต้นในชว่ ง 2.50 เมตรจากพ้ืนดนิ เปน็ โพรง จึงใช้แวน่ ไม้ตัวอย่างที่
สูงจากพ้ืนดิน 2.50 เมตร มาทำการวิเคราะห์แทน ซึ่งปรากฏว่ามีเส้นรอบวงเท่ากับ 108.21
เซนติเมตร นับอายุได้ 118 ปี มีอัตราการเติบโตทางเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยรายปีเท่ากับ
3.00 มลิ ลเิ มตร หรือ 3.00 เซนติเมตรในเวลา 10 ปี


270 รวมเร่อื งสวนปา่

ต้นที่ 3 มีเส้นรอบวงของแว่นไม้ที่สูงจากพื้นดิน 30 เซนติเมตรเท่ากับ 134.34
เซนติเมตร นับอายุได้ 110 ปี มีอัตราการเติบโตทางเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยรายปีเท่ากับ
3.90 มิลลเิ มตร หรือ 3.90 เซนตเิ มตรในเวลา 10 ปี

จึงเห็นไดว้ ่าไมจ้ นั ทน์หอมในสภาพธรรมชาตมิ ีอตั ราการเตบิ โตชา้ มาก

จนั ทนห์ อมเป็นไม้ท่ีมเี รือนยอดค่อนข้างกลมหรือเป็นรูปกรวย ค่อนขา้ งโปร่ง ใบเดี่ยว
เรียงสลับ รูปยาวรี ปลายใบแหลม ลำต้นตรงเปลา เปลือกค่อนข้างเรียบสีเทาอมขาว ดอกมี
ขนาดเลก็ สขี าวรวมกันเปน็ ชอ่ ตามปลายก่งิ หรือง่ามใบ ออกดอกในเดือนสงิ หาคมถึงกันยายน
ผลเป็นรูปกระสวย มีปีกเดียว เมื่อแก่เป็นประเภทผลแห้ง สีเหลืองอ่อนปนน้ำตาล ผลแก่
เดือนธันวาคมถึงมกราคม ผลหนึ่งกิโลกรัมมีจำนวนประมาณ 2,650 ผล หนึ่งผลมีหนึง่ เมล็ด
เมล็ดหนงึ่ กิโลกรมั มีจำนวนประมาณ 3,560 เมล็ด หรอื เมล็ด 1,000 เมลด็ หนกั 280 กรมั

เน้อื ไม้จนั ทน์หอม ในส่วน

ของกระพี้มีสีขาว แก่นสีน้ำตาล

เข้ม เนื้อละเอียด เสี้ยนตรง เป็น

ไม้เนื้อแข็ง ไสกบตกแต่งง่าย มี

ความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 0.93

ไม้ทตี่ ายจะมีกลนิ่ หอม จากการที่

ได้สัมผัสแว่นไม้จันทน์หอม 3

ภาพจาก : https://www.hrdi.or.th/Articles/Detail/46 แว่นที่ห้องปฏิบัติการรุกขกาล
วิทยาเขตร้อน คณะวนศาสตร์

พบว่า เนื้อแก่นไม้จันทน์หอม

ละเอียดมาก ขัดแล้วเปน็ มันวาว ลบู เล่ือนเหมอื นลบู ผวิ กระจก ลื่นมือกว่าไม้มะมว่ งป่า ไม้ยม

หอม และไม้สักมาก ที่สำคัญกว่านั้นคือกลิ่นหอม เมื่อเข้าไปในห้องที่เก็บตัวอย่างแว่นไม้ไว้

จะรู้สกึ หอมเปน็ กล่นิ เฉพาะตวั

จากคุณสมบัติของเนื้อไม้ดังกล่าวจึงนิยมใช้ทำหีบใส่เสื้อผ้า เครื่องกลึง เครื่อง
แกะสลัก เสาหลกั เมือง และดอกไม้จันทน์ นำ้ มนั หอมท่ีได้จากการกลั่นช้ินไมใ้ ชท้ ำเคร่ืองหอม
นำ้ อบไทย เครื่องสำอาง รวมท้งั ยาบำรงุ หัวใจ เน้ือไมใ้ ชเ้ ปน็ ยาบำรุงประสาท แกไ้ ข้ แก้โลหิต
เสยี ออ่ นเพลีย กระหายน้ำ ขเ้ี ลื่อยใช้ทำธปู หอม

“ดอกไมจ้ ันทน์” ทีใ่ ชใ้ นงานเผาศพ ในอดตี ทำมาจากไม้จนั ทนห์ อมแทบทง้ั สนิ้ เพราะ
เป็นไม้ที่มีกลิ่นหอม สีขาวบริสุทธิ์ ถือว่าเป็นการให้เกียรติแก่ผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย แต่ใน


บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 271

ปจั จบุ ันหาไม้จนั ทน์หอมมาทำดอกไมจ้ ันทนไ์ ดย้ ากมาก จึงหนั มาใชไ้ มต้ นี เป็ด ไมโ้ มก เปลือก
ข้าวโพด หรือแมแ้ ตก่ ระดาษแทน แต่กย็ ังคงเรยี กว่าดอกไมจ้ ันทนเ์ ชน่ เดิม

เนื่องจากจันทน์หอมเป็นไม้มงคลชั้นสูงของไทยที่ใช้ในพระราชพิธีต่าง ๆ รวมทั้งพิธี
สำคัญ ๆ ของราษฎรทีจ่ ัดเปน็ กรณีพิเศษ เป็นไม้อเนกประสงคซ์ ง่ึ แทบทกุ ส่วนสามารถนำไปใช้
ประโยชนไ์ ด้ แต่ไม้จนั ทนห์ อมในป่าธรรมชาตินอกจากจะขึน้ อยู่เพยี งเฉพาะบางพ้ืนท่ีแล้ว ใน
แต่ละพ้นื ทยี่ ังมีความหนาแน่นของหมไู่ มน้ อ้ ยมากอีกด้วย การปลูกสร้างสวนปา่ ไมจ้ นั ทนห์ อม
ไม่ว่าจะโดยภาครัฐหรือภาคเอกชนกย็ งั แทบจะไม่ได้เริ่มขึ้นเลย ในขณะท่ีความต้องการใชไ้ ม้
ในอนาคตนั้นมีแน่นอน ประกอบกับจันทน์หอมเป็นไม้ที่มีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟัน
ยาว (long rotation) การปลูกไม้จันทน์หอมจงึ น่าจะตอ้ งคิดและลงมอื ทำกันตัง้ แตบ่ ดั น้ี

จากประสบการณ์ด้านวนวัฒนวิจัยของ ดร. คงศักดิ์ มีแก้ว ซึ่งได้ทดลองปลูกไม้
จันทน์หอมท่ีสถานีวนวัฒนวิจัยประจวบคีรีขันธ์ อำเภอกุยบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ปรากฏว่าเมล็ดไม้จันทน์หอมที่เพาะโดยใช้ทรายเป็นวัสดุเพาะชำมีอัตราการงอกดีที่สุด คือ
ประมาณร้อยละ 85 เมล็ดสว่ นใหญ่จะงอกภายใน 1 – 2 สปั ดาห์ แต่กล้าไม้ท่ีปลูกควรมีอายุ
ประมาณหนึ่งปีครึ่งคือมีความสูงประมาณ
30 เซนติเมตร ไม้จนั ทน์หอมที่มรี ะยะปลูก
2 x 2 เมตร อายุ 5 ปี มีอัตราการรอดตาย
ร้อยละ 89 สูง 2.82 เมตร เส้นผ่าน
ศูนย์กลางที่โคนต้น 7.14 เซนติเมตร และ
เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 3.12
เซนติเมตร หรือมีอัตราความเพิ่มพูนทาง
ความสูง 56.4 เซนติเมตรต่อปี เส้นผ่าน
ศนู ย์กลางท่โี คนต้น 1.428 เซนติเมตรต่อปี
และเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 0.624
เซนตเิ มตรตอ่ ปี

แสดงว่าไมจ้ ันทน์หอมในสวนปา่ เปน็ ไม้ท่มี ีอตั ราการเติบโตค่อนข้างเร็ว

เกษตรกรผู้สนใจจะปลูกไม้จันทน์หอมอาจจะติดต่อขอทราบรายละเอียดเพิ่มเติม
จาก ดร. คงศกั ด์ิ มแี ก้ว ได้โดยตรงทีห่ มายเลขโทรศัพท์ 081-421-2955


272 รวมเรื่องสวนปา่

พูดถึงการปลูกไม้จันทน์หอม ผมรู้สึกชื่นชมยินดีที่ ฯพณฯ รัฐมนตรีว่าการและท่าน
ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้ร่วมกันแถลงข่าวการผลิตกล้าไม้
จันทน์หอมจำนวน 500,000 ตน้ เพอื่ แจกจ่ายให้แก่ประชาชนนำไปปลูก โดยผ้สู นใจสามารถ
ติดต่อขอรบั ไดท้ ีส่ ำนกั งานทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดลอ้ มจงั หวัด (ทสจ.) ประจวบครี ีขันธ์
เพชรบุรี และราชบรุ ี

แต่ผมไม่แน่ใจว่าถ้ามีประชาชนไปติดต่อขอรับต้นกล้ากันจริง ๆ สำนักงาน ทสจ. ท้ัง
สามแห่งดังกล่าวข้างตน้ จะมีปริมาณกล้าไม้จันทน์หอมเพียงพอที่จะแจกจ่ายกนั จรงิ ๆ ตามที่
ผ้บู ริหารระดับสงู ของกระทรวงฯ ไดป้ ระชาสัมพนั ธไ์ ว้หรือไม่ เพราะการผลติ กลา้ ไม้จนั ทน์หอม
ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ แม้เมล็ดไม้จันทน์หอมจะมีอัตราการงอกค่อนข้างสูง (85%) ก็ตาม แต่ก็
ต้องไม่ลมื ว่าจนั ทนห์ อมไมไ่ ด้ให้เมล็ดเปน็ จำนวนมากทุกปี ปกติปที ี่ใหเ้ มลด็ ดกจะเกิดขึ้นทุก ๆ
3-5 ปี แตก่ ลา้ ไม้ใตโ้ คนต้นนัน้ มใี หเ้ ห็นทุกปี

หรอื ว่าการแจกกล้าไม้จนั ทน์หอมจะเป็นเพียงไฟไหม้ฟางเหมือนกบั หลาย ๆ เร่ือง
อกี เชน่ เคยก็มอิ าจจะทราบได้


50 ไมต้ ะกู
ถ้าจะลองปลูกดบู ้างกไ็ ด้

“ไม้ตะกู” ได้เข้ามาอยู่ในความสนใจของคนในวงการปลูกไม้เศรษฐกิจโตเร็วอย่าง
กวา้ งขวางจนเกอื บจะเรยี กไดว้ ่า “ผดิ ปกติ” ตัง้ แตก่ ลางปี พ.ศ. 2550 เป็นต้นมา ทั้งนี้สงั เกต
ไดจ้ ากขอ้ มูลขา่ วสารการประชาสัมพนั ธ์ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิคสต์ ่าง ๆ บ้างก็เรยี กวา่ “ไม้ตะกู
ยักษ์” บา้ งกเ็ รียกว่า “ไม้สกั เขียว” ฯลฯ

กระแสไม้ตะกูดังยิ่งขึ้นเมื่อ ฯพณฯ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีได้เน้นยำ้
ในรายการ “สนทนาประสาสมคั ร” ผา่ นทางสถานีโทรทศั น์แหง่ ประเทศไทย ช่อง 11 เมื่อ
เช้าวันอาทิตย์ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ว่าไม้ตะกูโตเร็วมาก 1 ปี สูง 7–8 เมตร ข้ึน
ตรงชะลูดเหมอื นต้นสกั เน้ือไมค้ ล้ายไม้สัก มอดไมก่ ิน ใช้แทนไม้สักได้

นักวิชาการด้านวนวัฒนวิทยาหลายท่านรวมทั้งตัวผมด้วย ได้รับโทรศัพท์สอบถาม
เก่ียวกับไม้ตะกูกันบ่อยมาก จงึ ทำใหผ้ มตัดสินใจเขยี นเรื่องไมต้ ะกขู ้ึนมา

ในทางวชิ าการปา่ ไม้ ตะกถู อื วา่ เปน็ ไม้เบิกนำที่โตเร็วมาก เพราะมคี วามเพิ่มพูนรายปี
(MAI : Mean Annual Increment) ของเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก (DBH : Diameter at
Breast Height) เกินกว่า 3.0 เซนติเมตรต่อปี และมีเส้นรอบวงท่ีระดับอก (GBH : Girth at
Breast Height) เกินกวา่ 100 เซนติเมตรเมอ่ื อายุ 10 ปี ตะกเู ป็นไม้ท่ีมีอายุรอบหมนุ เวยี นใน
การตัดฟันปานกลาง (medium rotation) เพราะอายุการตัดฟันที่เหมาะสมเกินกว่า 7 ปี
แต่ไม่เกนิ 25 ปี น่นั คอื อยูร่ ะหว่าง 10–20 ปี

แต่ตะกูจะเปน็ ไม้เศรษฐกิจโตเร็วท่ีควรปลูกหรือไม่ ยังมีปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึงอกี
หลายประการ เพราะตะกูไม่ใช่ไม้เศรษฐกิจโตเร็วชนิดใหม่ของไทย สวนป่าไม้ตะกูใน
ประเทศไทยทัง้ โดยภาครฐั และภาคเอกชนได้เกดิ ข้นึ และดบั ลงเมอื่ เกือบสีส่ บิ ปีมาแลว้

พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (81) : 35–39 (พ.ศ. 2551)


274 รวมเรื่องสวนป่า

ตะกู (Anthocephalus chinensis (Lam) Rich. ex Walp.) เป็นไม้ในวงศ์ Rubiaceae
มีชื่อสามัญในภาษาไทยเรียกแตกตา่ งกันไปตามแต่ละทอ้ งถิ่น อาทิ ภาคกลางและภาคเหนือ
เรยี กว่า ไม้กระทุม่ หรือกระทุ่มบก ภาคตะวนั ออกเรียกว่าไม้ตะโกใหญ่หรือตะโกส้ม ในขณะ
ที่ภาคใต้เรียกว่าไม้ตุ้มขี้หมู ส่วนชื่อสามัญในภาษาอังกฤษคือ Bur - flower Tree ใน
อินเดยี เรยี กว่าไม้ Kadam ฟิลิปปนิ สเ์ รียกว่าไม้ Kaatoan Bangkal มาเลเซียและอินโดนีเซีย
เรยี กวา่ ไม้ Kalempajan หรอื Kalempayan

พิจารณาจากชื่อสามัญแล้วแสดงว่าตะกูเป็นไม้พื้นเมืองของทวีปเอเชีย โดยขึ้นอยู่
ในช่วงเส้นรุ้งที่ 9 – 27 องศาเหนือ กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติตั้งแต่ประเทศเนปาล ไล่มา
ทางตะวันออกเรื่อย ๆ จนถึงบังกลาเทศ อินเดีย ศรีลังกา พม่า ไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
ฟิลปิ ปนิ ส์ ลงไปจนถงึ เกาะปาปัวนวิ กนิ ี ซ่ึงถือวา่ เปน็ ไมท้ ีม่ ีขอบเขตการกระจายพันธ์ุค่อนข้าง
กวา้ งมากพอสมควร

สำหรับในประเทศไทยก็พบไม้ตะกู

ขึ้นอยู่ทั่วไปในแทบทุกภาคของประเทศ

เพราะเป็นพันธุ์ไม้ที่ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ

ได้ค่อนข้างดี จากเหนือสุด คือ เชียงราย

เชียงใหม่ จรดใต้สุด คือ สตูล สงขลา และ

จากตะวันออก คือ ตราด จันทบุรี จรด

ตะวันตก คือ กาญจนบุรี อุทัยธานี แต่ตะกู

มักจะขึ้นอยู่เป็นกลุ่มเล็ก ๆ ตามริมแม่น้ำลำ

ธาร หนอง บึง พื้นที่ชุ่มน้ำ และอ่างเก็บน้ำ

ภาพจาก : https://xn-- ซึ่งดินเป็นดินตะกอนที่ถูกน้ำพัดพามาทับถม
12cmh8bbc4da0bh2bc2a3d5edobk6sg.com/?p=9135

เป็นเวลานาน เป็นดนิ ลึก ระบายนำ้ ดี มคี วาม

อดุ มสมบูรณ์สูง นอกจากนย้ี งั พบเหน็ กลมุ่ ไม้ตะกขู น้ึ อย่ตู ามสองขา้ งถนนตัดใหม่ซง่ึ ตัดผ่านป่า

ดิบชื้นหรือป่าดิบแล้งที่มีความชุ่มชื้นสูงทั่ว ๆ ไป รวมทั้งตามริมลำธารในบริเวณไร่ร้างซึ่ง

ป่าดิบชืน้ หรอื ปา่ ดิบแล้งถูกแผ้วถางลง

ตะกูเป็นไม้ที่อ่อนไหวต่อความแห้งแล้งและน้ำค้างแข็งมาก คือไม่ทนแล้งและไม่
ทนหนาวที่อุณหภูมิลดต่ำลงจนถึงจุดเยือกแข็ง แต่ทนน้ำท่วมแช่ขังอยู่ได้นานถึง 2–3
สัปดาห์ ทวา่ น้ำตอ้ งไม่ทว่ มยอดและตอ้ งไมเ่ ขา้ ไปเหยียบย่ำดินเหนอื เรือนรากในช่วงทน่ี ้ำท่วมขัง


บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 275

จึงมักพบเห็นไม้ตะกูในบริเวณที่ดินมีความชุ่มชื้นสูง ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลปานกลางจนถึง
ความสูง 1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 15 องศาเซลเซียส
สูงสุดเฉล่ีย 35 องศาเซลเซียส แต่จะเจริญเติบโตได้ดีในที่ซึ่งมีอุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีอยู่
ระหว่าง 21 – 32 องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝน 1,500 – 5,000 มิลลิเมตรต่อปี และมี
ความชน้ื ในบรรยากาศไม่ต่ำกวา่ 80 เปอรเ์ ซ็นต์

นั่นคือ ตะกูเป็นไม้โตเร็วที่ต้องการแสงสว่างเต็มที่ ฝนตกสม่ำเสมอ ดินดี มีความ
อุดมสมบรู ณส์ ูง ระบายนำ้ ดี และมคี วามช่มุ ช้ืนสงู ตลอดปี

ตะกูเป็นไมท้ ่ีมีขนาดใหญ่ เรือนยอดเป็นพ่มุ กลม ลักษณะเด่นคอื ใบเด่ียว มีขนาดใหญ่
กิ่งแผ่กว้างตั้งฉากกับลำต้น ส่วนใหญ่ลำต้นตรงเปลาเพราะลิดกิ่งตามธรรมชาติได้ดี แต่บาง
ถิ่นกำเนิดของเมล็ด (provenance) โดยเฉพาะจากประเทศอินเดีย ลำต้นจะไม่สูงเปลา
เพราะมีกิ่งขนาดใหญ่เป็นจำนวนมากจึงลิดกิ่งตามธรรมชาติได้น้อย เปลือกค่อนข้างเรียบ
สีเทาปนน้ำตาล เนื้อไม้สีเหลอื งออ่ น ดอกมีขนาดเลก็ เกาะตดิ กนั แน่นเป็นชอ่ สีขาวปนเหลอื ง
มีกลิ่นหอมอ่อน ๆ ผลเรียงกันแน่นเป็นก้อนกลม ๆ ภายในมีเมล็ดอยู่เป็นจำนวนมาก เมล็ด
ตะกูมีขนาดเล็กมาก คือ ประมาณ 0.44 x 0.66 มิลลิเมตร หรือถ้าเอาเมล็ดมาเรียงตาม
ความยาว 1 เซนติเมตรจะมปี ระมาณ 15 เมล็ด แต่ถ้าเรียงเมลด็ ตามความกวา้ ง 1 เซนตเิ มตร
จะมปี ระมาณ 23 เมลด็ เมล็ดตะกแู หง้ 1 กโิ ลกรัมมจี ำนวนประมาณ 18–26 ลา้ นเมลด็

ผลแก่ของตะกูมีสีเหลืองเข้มซึ่งกวาง เก้ง นก และสัตว์ป่าหลายชนิดชอบกินมาก
ประกอบกับภายในผลมีเมล็ดเล็ก ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก สัตว์ป่าเหล่านี้จึงช่วยให้การสืบ
ตอ่ พนั ธตุ์ ามธรรมชาติ (natural regeneration) ของไม้ตะกเู กดิ ข้ึนได้งา่ ย และทำให้พบ
เห็นกลุ่มไม้ตะกูอยู่ทั่วไปในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทั้ง ๆ ที่บางแห่งจะมองไม่เห็นแม่
ไม้ในบรเิ วณข้างเคียงเลยกต็ าม

เมล็ดตะกูใหม่ ๆ มีอัตราการงอกสูงถึง 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าเก็บทิ้งไว้ 1 ปี อัตราการ
งอกจะลดลงเหลอื เพยี ง 5-10 เปอรเ์ ซน็ ตเ์ ทา่ น้ัน ดงั นนั้ เมล็ดที่นำไปเพาะจะตอ้ งเป็นเมลด็ เกบ็
ใหม่เท่านั้น โดยเมล็ดจะเริ่มงอกภายใน 3–4 สัปดาห์หลังการเพาะ แต่กว่าจะย้ายต้นกล้าลง
ถุงพลาสติกได้ต้องรอให้อายุ 2–3 เดือน แล้วเลี้ยงต้นกล้าไว้ในถุงย้ายชำอีกอย่างน้อย
4 เดอื น จงึ จะไดต้ ้นทกี่ ล้าสูงประมาณ 25–30 เซนตเิ มตรซ่งึ พรอ้ มทจี่ ะนำไปปลูกได้

จากเมล็ดไม้ตะกูกว่าจะได้ต้นกล้าที่ใช้ปลูกได้ต้องใช้เวลาประมาณ 7 เดือน ซ่ึง
ยาวนานกว่าการผลิตกล้าไม้กระถินเทพาเล็กน้อย แต่สั้นกว่าการผลิตเหง้าสักซึ่งต้องใช้


276 รวมเรือ่ งสวนปา่

ภาพจาก : Kaset Today เวลานานถึง 10-12
เดือน นั่นคือ การ
ผลิตกล้าไม้ตะกูไม่
ยากอย่างที่คิด หาก
ลงมือหว่านเมล็ดใน
เดือนพฤศจิกายนก็
จะได้ต้นกล้าที่พร้อม
จะนำไปปลูกได้ในต้น
เดือนมิถุนายนของปี
ถัดไป

นอกจากจะขยายพันธุ์โดยอาศัยเพศ (reproductive propagation) คือการเพาะ
เมลด็ ดงั กลา่ วแลว้ ไมต้ ะกยู งั สามารถขยายพนั ธ์ุโดยไม่อาศัยเพศ (vegetative propagation)
วิธีต่าง ๆ ได้อีกด้วย เช่น การติดตา การต่อกิ่ง การเสียบยอด การตัดยอดปักชำ และการ
เพาะเล้ียงเน้ือเยือ่ รวมท้ังการแตกหนอ่ ภายหลังการตัดฟนั (coppice system)

เนื่องจากไม้ตะกูเปน็ ไมท้ ีโ่ ตเร็วมาก ประกอบกับมเี รือนยอดแผ่กว้างเพราะกิง่ ตั้งฉาก
กบั ลำต้น ระยะปลกู ทเี่ หมาะสมจงึ ไมค่ วรจะน้อยกว่า 4 x 4 เมตร หรอื ความหนาแน่นของหมู่
ไม้ไม่เกิน 100 ต้นต่อไร่ หากปลูกในระบบวนเกษตรควรใช้ระยะปลูก 3 x 6 เมตร หรือ
อาจจะห่างกว่านี้ถึง 4 x 6 เมตร และ 6 x 6 เมตรก็ได้ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับชนิดของพืชควบและ
จำนวนปที ่ีตอ้ งการจะปลกู พืชแทรก

การสำรวจหาอัตราการรอดตายเพื่อทำการปลูกซอ่ ม การกำจัดวัชพืช การป้องกันไฟปา่
เป็นมาตรการการจัดการสวนป่าเบื้องต้นที่จำเป็นสำหรับสวนป่าทุกชนิด แต่สวนป่าที่
ต้องการไม้ขนาดใหญ่เพ่ือใช้ทำไม้แปรรูปหรือไม้บาง (veneer) การลิดกิ่งและการตัดสาง
ขยายระยะถอื วา่ เป็นมาตรการเสรมิ ที่จำเป็น ทว่า สวนปา่ ไม้ตะกูไม่ต้องทำการลิดกิ่ง เพราะ
สามารถลิดกิง่ ตามธรรมชาติไดด้ มี าก

ไม้ตะกทู ีป่ ลกู เปน็ สวนป่า โดยเฉพาะสวนป่าท่มี ีระยะปลกู คอ่ นข้างถหี่ รือหมู่ไม้มีความ
หนาแน่นสูงมักจะมีปัญหาเรื่องโรคราแมลง มากกว่าหมู่ไม้ที่ขึ้นอยู่ห่าง ๆ เป็นกลุ่ม ๆ ตาม
ธรรมชาติ แมลงศัตรูพืชที่สำคัญของไม้ตะกู ได้แก่ หนอนม้วนใบ (Margaronia hilararis)


บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 277

หนอนผีเสือ้ (Arthroschista hilararis) และนมี าโทดจำพวก Meloidogyne spp. เข้าทำลาย
เรือนรากทำใหไ้ ม้ตะกูยืนต้นตาย

แต่สาเหตุแห่งความล้มเหลวของสวนป่าไม้ตะกูในอดีตนั้นคือความไม่เหมาะสมของ
พน้ื ท่ีปลกู กลา่ วคอื ถ้าดินเปน็ ดนิ ทราย กรวด หิน ซ่ึงไม่สามารถเกบ็ ความชุ่มช้นื ไว้ในดินได้ดี
เท่าที่ควร ไม้ตะกูจะยืนต้นตาย เช่นเดียวกับการปลูกต้นตะกูบนพื้นที่ลาดชันซึ่งอยู่ห่างจาก
รมิ แมน่ ้ำ ลำธาร ห้วย หนอง คลอง บึง

บริษัทไม้อัดไทย จำกัด องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กรมป่าไม้ และบริษทั ไม้ขีดไฟ
ไทย จำกัด มปี ระสบการณก์ ารปลกู สร้างสวนปา่ ไมต้ ะกูมายาวนานพอสมควร

บริษัทไม้อัดไทย จำกัด ได้ทดลองปลูกสร้างสวนป่าไม้ตะกูเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่
ที่สวนป่าลาดกระทิง อำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ในปี พ.ศ. 2515 แต่ต่อมาได้
รื้อแปลงเปลี่ยนมาปลูกไม้ยูคาลิปตัสและไม้กระถินเทพาแทน คุณมงคล ศรีอนันต์ (โทร :
081-687-9325) ผชู้ ว่ ยหวั หนา้ สวนป่าลาดกระทงิ เล่าให้ฟังว่าปจั จบุ ัน (พ.ศ. 2551) สวนป่า
ลาดกระทิงมสี วนป่าไม้ตะกเู หลอื อยปู่ ระมาณ 5 ไร่ เป็นไมท้ ป่ี ลกู ในปี พ.ศ. 2528 มีอตั ราการ
รอดตายราว 80 เปอร์เซ็นต์ เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกเฉลี่ยประมาณ 30 เซนติเมตร หรือ
ความเพิ่มพูนประมาณ 1.3 เซนติเมตรต่อปี ความสูงเฉลี่ยประมาณ 20 เมตร ไม้ที่เหลืออยู่
สว่ นใหญ่ยอดหกั เพราะถูกลมพายุพัด ไม้แปรรูปทเ่ี ก็บไว้ในร่มมกั จะถกู แมลงภ่เู จาะทำลาย

บริษัท สโตรา เอ็นโซ (ประเทศไทย) จำกัด โดยคุณประจักษ์ รื่นฤทธิ์ (โทร : 081-
664-2248) ถือได้ว่าเป็นเอกชนรายใหญ่ที่สุดที่บุกเบิกการปลูกสร้างสวนป่าไม้ตะกูขึ้นใน
ประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อนำเอาเนื้อไม้มาใช้ทำก้านไม้ขีดไฟภายใต้ชื่อบริษัท ไทย
สวีดีช แมทช์ หรือบริษัทไม้ขดี ไฟไทยตราพญานาค โดยบริษทั ฯ ได้วางโครงการ เพื่อปลกู
ไม้ตะกูที่อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว กำหนดอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันไว้ที่ 10
ปี ปลูกในระบบวนเกษตร ใช้ระยะปลูก 3 x 6 เมตร มีข้าวโพด ข้าวฟ่าง ทานตะวัน ถั่ว
เหลือง และถั่วเขียว เป็นพืชควบ เริ่มปลูกในปี พ.ศ. 2532–2534 ปีละ 1,000 ไร่ รวม 3 ปี
ได้เนื้อทส่ี วนป่า 3,000 ไร่

หลังจากนัน้ กเ็ ลกิ ปลูก เพราะเมื่อตน้ ตะกูอายุครบ 1 ปี เติบโตเร็วมาก แต่พอย่างเข้า
ปีที่ 2 แมลงกินใบเริ่มระบาด กินแผ่นใบหมด เหลือแต่เส้นใบ เมื่อเข้าปีที่ 3 ก็มีแมลงเจาะ
กนิ ยอดทำให้ยอดด้วน หลงั จากน้นั ก็ค่อย ๆ ทยอยกนั ยืนต้นตาย และการเจริญเติบโตก็ไม่ดี


278 รวมเรือ่ งสวนป่า

เท่าที่ควร เพราะดินเป็นกรวดทราย มีความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์ต่ำ เพื่อลดความ
เส่ียง ต่อมาบรษิ ัทฯ จงึ เปลี่ยนธรุ กรรมและชนิดไม้เปา้ หมายจากตะกูมาเป็นยูคาลปิ ตสั แทน

ต้นตะกูที่รอดตายและเติบโตดีส่วนใหญ่อยู่ตามริมน้ำและบริเวณที่น้ำท่วมถึง ต้นท่ี
ใหญ่ที่สุดขณะที่อายุ 18 ปี วัดเส้นรอบวงที่ระดับอกได้ 255 เซนติเมตร หรือมีความ
เพิ่มพูนทางเส้นผ่านศนู ย์กลางทร่ี ะดับอกเทา่ กับ 4.72 เซนติเมตรต่อปี ซึ่งจดั วา่ โตเรว็ มาก
แต่เป็นต้นที่อยู่ริมหนองน้ำต้นเดียวเท่านั้น ส่วนต้นที่อยู่บนเนินห่างจากขอบหนองน้ำ
ออกไปจะค่อย ๆ มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ ตามระยะทางที่ห่างจากริมน้ำและความลาดชันของ
พนื้ ท่ีท่ีเพิ่มข้นึ

พร้อม ๆ กบั การปลกู เปน็ สวนป่า คณุ ประจกั ษ์ รน่ื ฤทธิ์ กไ็ ด้ทำการศกึ ษาวจิ ัยทางดา้ น
วนวัฒนวิทยาควบคู่กันไปด้วย โดยได้นำเมล็ดไม้ตะกูจากท้องที่และประเทศต่าง ๆ มา
ทดลองปลูกที่วัฒนานคร พบว่า เขาใหญ่และจันทบรุ ีเป็นถ่ินกำเนิดของเมล็ดไม้ตะกูที่ดีที่สดุ
เพราะมใี บใหญ่ ตน้ ไมโ้ ตเร็ว ลำต้นตรง เปลา สว่ นถนิ่ กำเนดิ ของเมลด็ จากประเทศอินเดียนั้น
ไม่เหมาะสมท่ีสดุ เพราะลำต้นเต้ีย กิ่งก้านมขี นาดใหญ่ ไมค่ อ่ ยมีการลิดก่ิงตามธรรมชาติ

คณุ สมบตั ขิ องเน้อื ไมต้ ะกู

ก็มีคนพูดถึงกันมาก ตามหลัก

วิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ทางไม้ ซึ่งเปิดสอนท่ีภาควิชา

วนผลิตภัณฑ์ คณะวนศาสตร์

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

เมื่อพูดถึงคุณสมบัติของเนื้อไม้

ภาพจาก : http://www.takuyak.com/ โดยท่ัว ๆ ไปแล้วกม็ ักจะหมายถงึ
(1) ปริมาณความชื้น (2) ความ

ถ่วงจำเพาะ (3) ความหนาแน่น (4) ความแข็งแรงจากการดัด การบีบขนานเสี้ยน และการ

เชือดขนานเสี้ยน (5) ความเหนียวจากการเดาะ (6) ความแข็งแรง และ (7) ความทนทาน

ตามธรรมชาติ

ในเรื่องความแข็งแรงของเนื้อไม้ก็ถือเอาความแข็งแรงจากการดัดเป็นเกณฑ์ โดยยึด
เอาความแข็งแรงของไม้ตะเคียนทองเป็นบรรทัดฐานในการเปรียบเทียบ ในปี พ.ศ. 2517


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 279

กรมป่าไม้ ได้แบ่งไม้ออกเป็น 3 ประเภท โดยยึดเอาความแข็งในการดัดที่ความชื้น 12
เปอรเ์ ซ็นต์และความทนทานตามธรรมชาติเป็นเกณฑ์ อนั ได้แก่

1. ไม้เนื้อแข็ง คือไม้ที่มีความแข็งแรงในการดัดมากกว่า 1,000 กิโลกรัมต่อตาราง
เซนติเมตร และมีความทนทานตามธรรมชาติตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป เช่น ไม้ตะเคียนทอง กันเกรา
บุนนาค พะยงู ชงิ ชนั แดง ประดู่ และมะคา่ โมง

2. ไม้เนื้อแข็งปานกลาง คือไม้ที่มีความแข็งแรงในการดัด 600 ถึง 1,000 กิโลกรัม
ต่อตารางเซนติเมตร และมีความทนทานตามธรรมชาติ 2 ถึง 6 ปี เช่น ไม้ซ้อ กระบาก
กระทอ้ น จำปาปา่ มะม่วงป่า ยางพารา ยมหอม และสะตอ

3. ไม้เนื้ออ่อน คือไม้ที่มีความแข็งแรงในการดัดต่ำกว่า 600 กิโลกรัมต่อตาราง
เซนติเมตร และมีความทนทานตามธรรมชาติต่ำกว่า 2 ปี เช่น ไม้ตีนเป็ด สมพง ปออีเก้ง
และขางหัวหมู

จากหลกั เกณฑ์ดังกลา่ ว ไม้ตะกูจัดว่าเปน็ ไม้เนื้อแข็งปานกลาง แต่มีความทนทาน
ตามธรรมชาติต่ำ เพราะมีความแข็งแรงในการดัดเท่ากับ 735 กิโลกรัมต่อตาราง
เซนตเิ มตร และมคี า่ ความทนทานตามธรรมชาติเท่ากบั 1.5 ปี และเม่ือเปรียบเทียบกับไม้
ยางพารา จำปาป่า กระถินเทพา และยูคาลิปตัสแล้ว ปรากฏว่าตะกูเป็นไม้ที่มีค่าความ
แข็งแรง ความเหนยี วจากการเดาะ และความแข็งต่ำทส่ี ดุ

เกี่ยวกบั การเตบิ โตของไมต้ ะกูท่จี ัดว่าเป็นไม้ที่โตเร็วมากนนั้ ข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง
ต่างก็ยืนยันตรงกันทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ เช่น ที่วัฒนานคร อายุ 18 ปี
เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 85 เซนติเมตร ความเพิ่มพูน 4.72 เซนติเมตรต่อปี ที่สวนป่า
ลาดกระทิง (บริษัทไม้อัดไทย จำกัด) จังหวัดฉะเชิงเทรา อายุ 6 ปีครึ่ง เส้นผ่านศูนย์กลาง
เพียงอก 18.70 เซนติเมตร ความเพิ่มพูน 2.88 เซนติเมตรต่อปี ที่ประเทศฟิลิปปินส์ อายุ
12 ปี เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 45 เซนติเมตร ความเพิ่มพูน 3.75 เซนติเมตรต่อปี
ที่ประเทศเปอร์โตริโก อายุ 5 ปี เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 38 เซนติเมตร ความเพิ่มพูน
7.60 เซนติเมตรต่อปี และไม้ตะกูในป่าธรรมชาติที่ชุมพร อายุ 17 ปี เส้นผ่านศูนย์กลาง
เพยี งอก 44.75 เซนติเมตร ความเพม่ิ พูน 2.63 เซนติเมตรตอ่ ปี


280 รวมเร่อื งสวนปา่

แต่ข้อมูล “โตเร็วมาก” ดังกล่าวเป็นเพียงเฉพาะของไม้ตะกูต้นที่โตที่สุดและ
เหลืออยู่ตามริมน้ำซึ่งดินดี มีความชุ่มชื้นสูง หรือไม่ก็เป็นข้อมูลเฉลี่ยของต้นตะกูที่ยังมี
อายุน้อย ๆ เท่านัน้ ความน่าเชือ่ ถือจะมีมากนอ้ ยเพียงใดย่อมขึน้ อยู่กับวิจารณญาณของ
ผ้รู บั ขอ้ มลู ขา่ วสารเป็นสำคญั

สำหรับเกษตรกรรายย่อยผู้มีทุนรอนน้อย แต่ต้องการรวยเร็ว บนพื้นที่ดินเลว คง
ต้องคิดให้รอบคอบ แต่ถ้าจะปลูกเพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว บรรเทาเบาบางปัญหาโลกร้อน
หรือ “คนื ผืนป่าให้แผน่ ดนิ ” นน้ั กเ็ ปน็ อีกเร่ืองหนึ่ง ซง่ึ ถา้ ไม่ลองก็คงไม่รู้

ถ้าผมเปน็ เกษตรกรและมที ี่ทางในตา่ งจงั หวดั ผมก็อาจจะลองปลูกไม้ตะกูไว้ดูเล่น
เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมบ้างไร่ละ 4–5 ต้นตามความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ แต่
โชคดีที่ผมเป็นเพียงข้าราชการบำนาญแก่ ๆ จึงไม่ต้องปวดหัวกับไม้เศรษฐกิจโตเร็วมาก
ชนดิ น้ี เหมือนกบั หลาย ๆ ท่าน


51 ประวัตคิ วามเป็นมา
ของไมย้ ูคาลิปตสั ในประเทศไทย

ไม้สกุลยูคาลิปตัส (Eucalyptus) เป็นไม้ในวงศ์ Myrtaceae ข้อมูลล่าสุด ณ เดือน
กุมภาพันธ์ 2551 มีอยู่ด้วยกันท้ังสิ้น 746 ชนิด เกือบทั้งหมดเป็นไม้พ้ืนเมืองของออสเตรเลีย
มีไม้ยูคาลิปตัสเพียงสามชนิดเท่านั้นที่พบว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่นอกทวีปออสเตรเลีย อันได้แก่
Eucalyptus alba ซึ่งกระจายพนั ธต์ุ ามธรรมชาติอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนอื และตะวันออก-
เฉียงเหนือของออสเตรเลยี สว่ นนอกออสเตรเลีย พบท่ี ปาปัวนวิ กนิ ี (Papua New Guinea)
ติมอร์ (Timor) และหมู่เกาะต่าง ๆ ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย ในขณะที่ Eucalyptus
deglupta และ Eucalyptus urophylla นั้นเป็นไม้ยูคาลิปตัสเพียงสองชนิดเท่านั้นที่
ไม่ได้ถือว่าเป็นไม้ประจำถิ่นของออสเตรเลีย เพราะ Eucalyptus deglupta กระจายพันธ์ุ
ตามธรรมชาตอิ ยูใ่ นประเทศปาปัวนิวกินี เกาะสลุ าเวสี (Sulawesi) ของอินโดนีเซีย และเกาะ
มินดาเนา (Mindanoa) ของฟิลิปปินส์ ส่วน Eucalyptus urophylla นั้นมีถิ่นกำเนิดตาม
ธรรมชาตอิ ยใู่ นติมอร์และหมเู่ กาะต่าง ๆ ทางตะวันออกของอินโดนีเซีย

แม้ออสเตรเลียจะเป็น “แผ่นดินแม่” ของไม้ยูคาลิปตัส แต่อาจจะกล่าวได้ว่า ใน
ปจั จุบนั นี้สามารถพบเหน็ ไมย้ ูคาลปิ ตสั กระจายและมีบทบาทในเชงิ พานิชย์อยู่ในประเทศต่าง ๆ
เกือบ 70 ประเทศทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย ยุโรป อเมริกา และอาฟริกา ต่างก็ได้นำไม้
ยูคาลิปตัสชนิดต่าง ๆ เข้าไปทดลองปลูก และเลือกกลุ่มชนิดที่ประสบผลสำเร็จสูงสุดปลูก
สร้างเป็นสวนป่าเศรษฐกิจกันอยา่ งกวา้ งขวาง

จากข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ระบุว่า ในปี พ.ศ.
2543 มีเนือ้ ท่สี วนป่าอยู่ท่วั โลกรวมท้งั สน้ิ 1,167.08 ล้านไร่ ประกอบด้วยสวนไม้สนเขา (Pines)
233.69 ล้านไร่ หรือร้อยละ 20.02 ของพื้นที่ป่าปลูกทั้งหมด รองลงมาคือสวนไม้ใบแคบ
(Conifers) สกุลต่าง ๆ เนื้อที่ 129.64 ล้านไร่ (ร้อยละ 11.11) สวนไม้ยูคาลิปตัส 111.63
ล้านไร่ (ร้อยละ 9.56) สวนไม้ยางพารา 67.78 (ร้อยละ 5.29) สวนไม้อะเคเซีย 51.98

พิมพค์ รัง้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (82) : 35–37; 8 (83) : 46–48 (พ.ศ. 2551)


282 รวมเรื่องสวนปา่

ล้านไร่ (ร้อยละ 4.45) และสวนไม้สัก 35.73 ล้านไร่ (ร้อยละ 3.06) ส่วนที่เหลือ 536.63
ล้านไร่ หรอื ร้อยละ 46.51 น้นั เปน็ สวนปา่ ไม้ชนดิ อ่นื ๆ

จะเหน็ ไดว้ ่าไม้สกลุ ยูคาลิปตสั เป็นไมใ้ บกวา้ งที่มกี ารปลกู กนั แพรห่ ลายมากท่ีสุดใน
โลก มากกวา่ ไม้ใบกวา้ งลำดบั ถดั มาคอื ไมย้ างพาราถงึ สองเทา่ ตัว

สำหรับประเทศไทย ดร. พสุธา สุนทรห้าว อาจารย์ประจำภาควิชาการจัดการป่าไม้
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ทำการสำรวจและรายงานว่าในปี พ.ศ.
2538 ประเทศไทยมีเนื้อที่สวนป่ายูคาลิปตัสของภาคเอกชนอยู่ประมาณ 2.74 ล้านไร่ โดย
อยู่ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ 1.30 ลา้ นไร่ และล่าสุด ในปี พ.ศ 2550 ดร. นคิ ม แหลมสัก
ผ้อู ำนวยการศนู ย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ โดยการสนับสนนุ
ของสำนกั งานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติได้รายงานผลการสำรวจเนอ้ื ท่ีสวนป่ายูคาลิปตัสใน
ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ทง้ั 19 จังหวดั วา่ มีประมาณ 4.23 ล้านไร่ คิดเป็นร้อยละ 4.03 ของ
พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด โดยไม้ยูคาลิปตัสที่ปลกู ในประเทศไทยส่วนใหญ่หรอื
กว่าร้อยละ 90 เป็นยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส (Eucalyptus camaldulensis) หรือยูคาลิปตัส
ลกู ผสมทีม่ คี ามาลดเู ลนซิสเป็นสายพนั ธหุ์ ลกั

ดังนั้น หากมิได้กล่าวเป็นอย่างอื่น ไม้ยูคาลิปตัสในภาพรวมที่กล่าวถึงในที่นี้จึง
หมายถึงไมย้ ูคาลปิ ตสั คามาลดูเลนซิสเท่านน้ั

ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส เป็นไม้ที่ขึ้นกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ตามริมแม่น้ำ
ลำธาร ในเขตแห้งแล้ง ดินเลว ทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ (Queensland) และรัฐ
นอรท์ เทริ ์น เทอรร์ ทิ อร่ี (Northern Territory) ถิน่ กำเนิดของเมล็ดทเี่ จริญเตบิ โตได้ดีสำหรับ
ประเทศไทย มี 3 แหล่ง อันได้แก่
เมล็ดจากเมืองร๊อดแธม ปาร์ค
(Wrotham Park Provenance)
และเมล็ดจากเมืองเพ็ตฟอร์ด
(Petford Provenance) ทางตอน
เหนือของรัฐควีนส์แลนด์ และ
เมล็ดจากเมืองแคตเธ อรี น
(Katherine Provenance) ในรัฐ
นอรท์ เทิรน์ เทอรร์ ทิ อรี่


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 283

เนอื่ งจากยูคาลปิ ตสั คามาลดูเลนซิสในถ่ินกำเนดิ เดมิ ขึน้ อย่ใู นพ้นื ทีด่ ินเลวและค่อนข้าง
แห้งแล้ง คือมีฝนตกเพียง 250–625 มิลลิเมตรต่อปีเท่านั้น รวมทั้งมีช่วงความแห้งแล้งในปี
หนึ่ง ๆ ยาวนานถึง 8 เดือน ต้นไม้จึงมีลำต้นแคระแกรน มีกิ่งก้านมาก ลำต้นไม่ตรงเปลา สูง
ใหญ่เหมือน Eucalyptus globulus และ Eucalyptus grandis ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ขึน้ อยู่ใน พื้นท่ี
ซง่ึ ดินและบรรยากาศมีความชมุ่ ช้ืนสูงและอณุ หภมู ิค่อนขา้ งต่ำ

เมื่อนำไม้ยูคาลิปตสั คามาลดเู ลนซิส ออกจากถ่นิ กำเนิดเดมิ ซึง่ แหง้ แล้งและดินเลวไป
ปลูกนอกถิน่ กำเนิดตามธรรมชาตซิ ึง่ ดนิ ดี มีปรมิ าณนำ้ ฝนและความชมุ่ ชน้ื สงู กว่า กป็ รากฏว่า
เจริญเติบโตเร็วกว่าหมู่ไม้ในถิ่นกำเนิดเดิมมาก ยูคาลิปตัสชนิดนี้จึงมีการปลูกกันอย่าง
แพร่หลายและมบี ทบาทในเชิงพานิชย์ในต่างประเทศมากกว่าในประเทศออสเตรเลียอนั เปน็
แผ่นดินเกิด

ได้มีผูน้ ำไมย้ คู าลิปตัส คามาลดูเลนซิส ออกไปปลกู นอกประเทศออสเตรเลียครั้งแรก
เมือ่ ปี พ.ศ. 2346 โดยปลกู ทเี่ มอื งเนเปลิ ส์ (Naples) ประเทศอิตาลี แต่ตอนนน้ั ยังไม่มกี ารต้ัง
ช่อื วทิ ยาศาสตร์ตามหลกั พฤกษศาสตร์ว่าเป็นไม้ยคู าลิปตัสชนิดใด คงเรียกเพยี งชอื่ ยคู าลปิ ตัส
เฉย ๆ ต่อมาในปี พ.ศ. 2365 เคาน์แห่งคามาลโดลี่ได้นำไปปลูกและพบว่าเติบโตดี จึงได้มี
การตั้งชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Eucalyptus camaldulensis Denhn. ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2375 เป็น
ตน้ มา หลงั จากนน้ั กไ็ ดม้ ีการปลกู ไมย้ ูคาลิปตัสเพ่ิมขึน้ เรื่อย ๆ โดยไดม้ ีการปลูกในรปู ของสวน
ป่าเป็นครั้งแรกในประเทศอิตาลีในปี พ.ศ. 2413 แล้วขยายวงกว้างออกไปสู่ประเทศตุรกี
อสิ ราเอล และประเทศต่าง ๆ ตัง้ แต่ปี พ.ศ. 2427 เปน็ ตน้ มา

จะเห็นได้ว่าไม้ยคู าลปิ ตัสชนิดน้ีกว่าจะก้าวออกจากบ้านเกิดไปเตบิ โตในโลกกวา้ ง
ได้ต้องใช้เวลายาวนานเกือบหน่ึงร้อยปี

สำหรับประวัติความเป็นมาของไม้ยูคาลิปตัสใน
ประเทศไทยที่ว่าใครเป็นคนแรกที่นำเข้ามาปลูก เป็นไม้
ยูคาลิปตัสชนิดใด ปลูกที่ไหน และปลูกเมื่อใด นั้นยังไม่มี
คำตอบที่ชัดเจน แต่จากการที่เป็นผู้สนใจในเรื่องนี้ จึงได้
พยายามศกึ ษาค้นคว้าจากแหลง่ ขอ้ มูลข่าวสารตา่ ง ๆ ตลอด
มาเพอ่ื ทจ่ี ะหาคำตอบในเชิงวิชาการและพอจะสรุปได้ว่า

ปี พ.ศ. 2444 น่าจะเป็นปีแรกที่ได้มีการนำไม้
ยูคาลิปตัสเข้ามาปลกู ในประเทศไทย โดยปลูกเป็นครั้งแรกในบริเวณพระที่นัง่ วิมานเมฆ ใน


284 รวมเรอ่ื งสวนปา่

กรุงเทพมหานคร โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยูห่ ัวได้ทรงวางศิลาฤกษ์พระที่นง่ั
วิมานเมฆเมื่อวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2444 (ร.ศ. 119) แต่ก่อนหน้านั้นเล็กน้อยได้เสด็จ
ประพาสชวาครั้งที่สามระหว่างวันที่ 5 พฤษภาคม–24 กรกฎาคม พ.ศ. 2444 อาจจะมีผู้ตาม
เสด็จได้นำไม้ยูคาลิปตัสจากชวาเข้ามาปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับใน บริเวณพระที่นั่งวิมานเมฆ

เช่นเดียวกบั ต้นยางนาซง่ึ มีขนาดสูงใหญม่ าก เข้าใจว่าคงจะ
ปลูกพร้อม ๆ กัน ปัจจุบันไม้ยูคาลิปตัสต้นนี้ยังมีชีวิตอยู่
แต่ไม่โตเท่าที่ควร เพราะเส้นรอบวงเพียงอก ณ วันที่ 7
กมุ ภาพนั ธ์ 2548 วดั ได้เพียง 173 เซนตเิ มตรเท่าน้ัน เมื่อ
สังเกตจากรูปทรงของลำต้นและทำเลที่ขึ้นอยูซ่ ึ่งเบียดชิด
ติดกับตัวอาคารขายของที่ระลึก เข้าใจว่าเป็นต้นที่เกิด
จากการแตกหน่อ (coppice) ภายหลังจากที่ต้นเดิมถูก
โค่นล้มลง ส่วนจะเป็นไม้ยูคาลิปตัสชนิดใดน้ันไม่สามารถ
ระบุได้แน่ชัด แต่ถ้านำเข้ามาจากชวาจริงก็น่าจะเป็นลูกผสม ระหว่าง Eucalyptus
urophylla, Eucalyptus deglupta และ Eucalyptus alba ซึ่งเป็นไม้ยูคาลิปตัสที่มีถิ่น
กำเนิดตามธรรมชาติอยู่ใน อินโดนีเซียดังกล่าวแล้ว หรือหากจะเน้นพิจารณาไปที่ใบอาจจะ
เป็นยคู าลปิ ตสั ยูโรฟิลล่าก็เปน็ ไปได้

ถ้าเป็นไปตามขอ้ สนั นษิ ฐานข้างตน้ ก็แสดงว่า ได้มีการนำไม้ยูคาลิปตสั เขา้ มาปลูก
ในประเทศไทยเป็นคร้ังแรกตงั้ แตส่ มยั รัชกาลที่ 5 คือ กว่าหนงึ่ รอ้ ยปมี าแล้ว โดยปลูกเป็น
ไม้ประดับเพอ่ื ตกแตง่ สถานทีใ่ นเขตพระราชฐาน “พระท่ีนั่งวมิ านเมฆ”

ส่วนไม้ยูคาลิปตสั ตน้ แรกท่ปี ลกู ในป่าน้นั ก็ไดจ้ ากการสนั นิษฐานอีกเชน่ กัน น่ันคือจาก
ภาพถ่ายเก่าแก่ที่เคยมีอยู่ที่ห้องสมุดคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นรูปต้น
ยูคาลิปตัสสูงประมาณ 4 เมตร ใต้ภาพมีข้อความระบุว่า “ยูคาลิปตัสต้นนี้ปลูกไว้ที่สถานี
วนกรรมห้วยไร่-เขาพลงึ จงั หวัดแพร่ เม่ือเดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2489 โดย อาจารยส์ อาด
บุญเกิด ถ่ายโดย นายประเสริฐ อยู่สำราญ ป่าไม้จังหวัดอุตรดิตถ์เมื่อวันที่ 21 มิถุนายน
2494”

จากหลักฐานดังกล่าวแสดงว่าไม้ยูคาลิปตัสต้นแรกซึ่งปลูกในเขตพื้นที่สวนป่านั้นได้
ปลูกโดยศาสตราจารย์ ดร. สอาด บุญเกิด อดีตหัวหน้าภาควิชาการจัดการป่าไม้ คณะ
วนศาสตร์ และอดีตรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ โดยปลูกที่บริเวณเสาธง
หน้าที่ทำการสถานีวนกรรมหว้ ยไร่-เขาพลงึ อำเภอเด่นชยั จังหวัดแพร่


บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 285

ส่วนการทดลองนำไม้ยูคาลิปตัสเข้ามาปลูกในประเทศไทยอย่างเป็นทางการนั้นได้เร่ิม
ขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2493 โดยกรมป่าไม้ได้นำไม้ยูคาลิปตัส 5 ชนิด อันได้แก่
Eucalyptus alba, Eucalyptus citriodora, Eucalyptus grandis, Eucalyptus paniculata
และ Eucalyptus saligna เข้ามาปลูกที่สถานีวนกรรมดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งก็
คือบริเวณบ้านพักของอุทยานแห่งชาตดิ อยสเุ ทพ-ปยุ ในปัจจุบันนั่นเอง และเป็นที่น่ายินดีวา่
ไม้ยูคาลิปตัสเหล่านี้ส่วนหนึ่งยังเจริญเติบโตงอกงามดี มีขนาดสูงใหญ่มาก มีสภาพคล้ายป่า
ธรรมชาติ ส่วนใหญ่มีความสูงประมาณ 30–40 เมตร และมีเส้นรอบวงที่ระดับอกระหว่าง
280–370 เซนติเมตร เช่น Eucalyptus citriodora ต้นหนึ่งวัดเส้นรอบวงที่ระดับอก (วันที่ 2
มีนาคม 2551) ได้ 356 เซนติเมตร และอีกต้นหนึ่งซึ่งโตที่สุดแต่ไม่แน่ใจว่าจะเป็น
Eucalyptus paniculata หรือ Eucalyptus saligna วัดเส้นรอบวงที่ระดับอกได้ถึง 367
เซนติเมตร

เป็นที่น่าสังเกตว่าการนำไม้ยูคาลิปตัส 5 ชนิด เข้ามาทดลองปลูกในประเทศไทย
เปน็ ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2493 น้นั ยังไมป่ รากฏวา่ มีชอื่ ของ Eucalyptus camaldulensis
อยู่ด้วยเลย

ยูคาลปิ ตสั คามาลดเู ลนซสิ ไดเ้ ข้ามาในประเทศไทยครัง้ แรกเมอื่ ปี พ.ศ. 2507 ภายใต้
โครงการสำรวจวัตถุดิบเพื่อทำเยื่อกระดาษของกรมป่าไม้ โดยในครั้งนั้นกรมป่าไม้ได้นำไม้
ยูคาลิปตัสจำนวน 15 ชนิด เข้ามาทดลองปลูกในภาคต่าง ๆ ของประเทศ คือภาคเหนือที่
จงั หวัดเชยี งใหม่ ภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ทจี่ งั หวัดศรสี ะเกษ ภาคกลางที่จังหวัดกาญจนบุรี
และภาคใต้ทจี่ ังหวดั สรุ าษฎร์ธานี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2516 กรมป่าไม้โดยศูนย์บำรุงพันธุ์ไม้สนและไม้โตเร็ว ภายใต้การ
สนับสนุนของรัฐบาลเดนมาร์กได้ทำการทดสอบชนิดพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัส ( Eucalyptus
Species Trials) และถิ่นกำเนิดของไม้ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส (Provenance Trials of
Eucalyptus camaldulensis) ขึ้นที่อำเภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ทำให้ได้ทราบถึงถิ่น
กำเนิดของเมล็ดพันธ์ุไม้ยคู าลิปตสั ที่เหมาะสมสำหรับประเทศไทยดังกล่าวแลว้

เมื่อคำว่า “ระบบวนเกษตร” (agroforestry system) หรือระบบการใช้ประโยชน์ทีด่ ิน
ร่วมกันระหว่างพืชพรรณไม้ป่ากับพืชกสิกรรม เริ่มเป็นที่รู้จักแพร่หลายในวงวิชาการป่าไม้
ดร. พิทยา เพชรมาก แห่งกรมปา่ ไม้ไดท้ ำการศกึ ษาวิจัยด้านวนเกษตรขึน้ ทจี่ งั หวดั ศรีสะเกษ
ในปี พ.ศ. 2521 โดยมีพรรณไม้ปา่ และพืชเกษตรหลายชนิดปลกู ร่วมกันในพื้นที่ผืนเดียวกนั


286 รวมเร่อื งสวนป่า

ผลการทดลองพบว่าไม้ป่าที่เหมาะสม
สำหรับปลูกเป็นไม้ประธานในระบบวน
เกษตรที่จังหวัด ศรีสะเกษคือไม้ยูคาลปิ ตสั
จึงทำให้ชื่อไม้ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส
เริ่มเป็นท่รี ูจ้ กั แพรห่ ลายในวงกว้างย่ิงขึ้นไป
อีก กรมปา่ ไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
และบริษัทไม้อัดไทย จำกัด จึงได้ทำการ
ปลูกไม้ยูคาลิปตัสเป็นสวนป่าเศรษฐกิจกันอย่างจริงจังและกว้างขวางตั้งแต่ปี พ.ศ. 2523
เปน็ ต้นมา

ต่อมาเมื่อเกิดสงครามในตะวนั ออกกลางเป็นเหตุให้ราคาน้ำมนั ในตลาดโลกพุ่งสูงข้ึน
มาก กรมปา่ ไมร้ ่วมกับการพลังงานแหง่ ชาติ โดยการสนบั สนุนของ องค์การพฒั นาระหว่าง
ประเทศแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ USAID จึงได้จัดทำโครงการปลูกป่าฟืนชุมชนสำหรับ
หมู่บ้านหรือ Village Woodlot Project ขึ้น ในปี พ.ศ. 2524 โดยมี ดร. โกมล แพรกทอง
เปน็ กำลงั หลัก ผมเป็นทีป่ รึกษาทางวนวัฒนวทิ ยา มีวัตถปุ ระสงค์เพ่อื ศึกษา วิจยั และสง่ เสรมิ
การปลูกไมย้ ูคาลิปตัสเพื่อนำเอาชวี มวลมาใช้ในการทำฟืนเผาถ่านและผลิตกระแสไฟฟ้า แต่
เมื่อสถานการณ์วิกฤตพลังงานในครั้งนั้นเริ่มคลี่คลาย โครงการปลูกป่าฟืนชุมชนสำหรับ
หมบู่ ้านกค็ ่อย ๆ เหี่ยว เฉา ซบเซา และตายไปในทสี่ ุด

อย่างไรก็ตาม โครงการปลูกป่าฟืนชุมชนสำหรับหมู่บ้านในครั้งนั้นก็ได้ก่อให้เกิด
ตำนาน “การปลูกยูคาบนคันนา” ขึ้นจากภูมิปัญญาของชาวบ้านในบริเวณทุ่งกุลาร้องไห้
อำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ในปี พ.ศ. 2525 กล่าวคือ ในการประชุมคณะทำงาน
ของโครงการฯ วันหนึ่งทางจังหวัดร้อยเอ็ดได้รายงานต่อที่ประชุมว่ากล้าไม้ยูคาลิปตัสซึ่ง
ป่าไม้จังหวัดผลิตประมาณ 20,000 กล้า ได้สูญหายไปประมาณ 4,000 กล้า ซึ่งปรากฏ
ภายหลังว่าชาวบ้านขโมยไปปลูกตามคันนา แต่ผมได้แย้งว่าควรแปรวิกฤตน้ีให้เป็นโอกาส
เพราะการที่ชาวบ้านขโมยเอากล้าไม้โตเร็วชนิดนี้ไปปลูกในพื้นที่นาของตนก็แสดงว่าเป็น
ความต้องการของชาวบ้าน และเป็นผลสำเร็จของการส่งเสริมอย่างดีย่ิงโดยท่ีทางโครงการฯ
แทบจะไมต่ อ้ งทำการส่งเสรมิ เผยแพร่แต่อยา่ งใดเลย

ในปี พ.ศ. 2526 สำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ หรือ สวทช. โดย
ดร. เถลิง ธำรงนาวาสวสั ดิ์ อดีตปลดั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ในฐานะผอู้ ำนวยการฯ ได้
ให้ทุนการวิจัยแก่คณะวนศาสตร์ โดยมี ดร. สมคิด สิริพัฒนดิลก และ ดร. บุญวงศ์


บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 287

ไทยอุตส่าห์ เป็นนักวจิ ัยหลัก ทำการศึกษาวจิ ยั เพื่อคัดเลอื กแม่ไมย้ ูคาลิปตัสคามาลดูเลนซสิ
ทั่วประเทศ แล้วขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและนำกล้าไม้ที่ได้ไปปลูกในพื้นที่ที่มี
สภาพแวดลอ้ มแตกตา่ งกนั โดยใชพ้ น้ื ที่สวนปา่ ขององค์การอตุ สาหกรรมป่าไม้เปน็ ฐานในการ
รองรับงานปลกู สรา้ งภาคสนาม ผลงานวจิ ยั ทไี่ ด้ก็ขยายผลไปสภู่ าคเอกชนในเวลาตอ่ มา

ผลจากการวิจัยโครงการ สวทช. ดังกล่าวทำให้ได้ลูกไม้ยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซิส
สายต้น “T5” ซึ่งเติบโตเร็ว กิ่งก้านใหญ่ และให้ผลผลิตมวลชีวภาพเหนือพื้นดินสูงมาก

โดยรหัส T เป็นชื่อย่อของอำเภอ
ตะกั่วป่า เพราะ T5 เป็นไม้ที่ปลูก
อยู่บนที่ดินเหมืองแร่ร้างในบริเวณ
สถานีวิจัยวนศาสตร์พังงา ท้องที่
ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า
จังหวัดพังงา โดยนายวิรัตน์ ตันภิ
บาล ข้าราชการกองบริรักษ์ที่ดิน
กรมพัฒนาที่ดิน จากนั้นองค์การ
อุตสาหกรรมป่าไม้และภาคเอกชน
รายใหญ่ต่างก็ได้นำเอา T5 ไปปลูกกันอย่างกว้างขวาง เพราะเติบโตเร็ว ลำต้นสูงใหญ่
รูปทรงดี ให้ผลผลิตมวลชีวภาพสูง จึงทำให้ T5 เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในยุคนั้น แต่
T5 ซึ่งมีฐานพนั ธุกรรมแคบก็ได้ก่อให้เกิดปัญหาขน้ึ ในเวลาตอ่ มา

กล่าวไดว้ า่ คุณสุรางค์ ดำเนินชาญวณิชย์ ภรรยา ดร. กิตติ ดำเนินชาญวณิชย์ เป็น
เอกชนรายใหญ่ รายแรกของประเทศไทยท่ีไดเ้ รมิ่ ปลูกไม้ยูคาลิปตัสเปน็ สวนป่าเศรษฐกิจขึ้นใน
ปี พ.ศ. 2525 ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา ในเนื้อที่ประมาณ 6,000 ไร่ แต่การ
ปลูกเป็นล่ำเป็นสันอย่างจริงจงั และต่อเนื่องได้เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2529 เป็นต้นมา ในนามของ
บรษิ ทั สวนกิตติ จำกดั ในขณะที่บริษทั สยามฟอเรสทรี จำกัด ซ่งึ อยูใ่ นเครอื ปนู ซเี มนตไ์ ทยได้
เริ่มทดลองปลูกไม้ยูคาลิปตัส ที่อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เมื่อปี พ.ศ. 2530 และปลูก
อยา่ งจริงจัง ต่อเนื่องกนั มาทกุ ปี ตงั้ แต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา โดยพ้ืนท่ีปลูกสว่ นใหญ่อยู่ใน
ภาคตะวนั ตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

เมื่อทั้งภาครัฐและเอกชนได้ปลูกไม้ยูคาลิปตัสกันกว้างขวางมากยิ่งขึ้น ก็เกิดกระแส
ต่อต้านการปลูกสร้างสวนป่าไม้ยูคาลิปตัสกันอย่างกว้างขวางเป็นเงาตามตัวขึ้นมาด้วย
เพราะกลุ่มอนรุ ักษ์และองค์กรพฒั นาเอกชนได้เรยี กร้องให้คำนึงถึงผลกระทบต่อระบบนิเวศ


288 รวมเร่อื งสวนป่า

ของการปลูกไม้ชนิดนี้ จนในที่สุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มอบหมายให้กรมป่าไม้
รว่ มกับสมาคมวิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชปู ถัมภ์ และสมาคม
ดินและปุ๋ยแห่งประเทศไทย จัดประชุมสัมมนาทางวิชาการเรื่อง “ไม้ยูคาลิปตัสมีพิษภัย
ร้ายแรงจริงหรือ” ขึ้นที่โรงแรมรามาการ์เด้นระหว่างวันที่ 19–21 มิถุนายน 2530 ผลการ
ประชุมสัมมนาสรุปได้ว่า “ผลการวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์ในประเทศไทย โดยหน่วยงาน
ของรัฐที่มีมาจนถึงทุกวันนี้ ไม้ยูคาลิปตัส ไม่มีพิษภัย ไม่มีผลกระทบในทางลบที่เด่ นชัด
การปลูกไมย้ ูคาลปิ ตสั ชนดิ เดียวล้วน ๆ เปน็ ผนื ใหญ่ จะมีการศกึ ษาอยา่ งต่อเนื่อง และใน
ด้านการตลาดนั้น พบว่า มีศักยภาพสูงทั้งในและต่างประเทศ แต่การส่งเสรมิ การปลกู ไม้
ยคู าลปิ ตสั ควรกำหนดนโยบายการปลูกตามความเหมาะสมของตลาด และปจั จยั อน่ื ๆ ที่
เกี่ยวข้อง เพื่อควบคุมการผลิต และความต้องการของตลาดให้สมดุลกัน” ซึ่ง นายชำนิ
บณุ โยภาส อธิบดกี รมปา่ ไม้ ไดน้ ำสรุปผลการประชุมสัมมนาดังกล่าวเสนอตอ่ พลเอก หาญ
ลีนานนท์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อทราบ เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน
2530

การปลูกไม้ยูคาลิปตัส
บนคันนาซึ่งเกิดจากภูมิปัญญา
ของชาวบ้านในทุ่งกุลาร้องไห้
เมื่อปี พ.ศ. 2525 นั้น ได้ขยาย
ผลมาสู่จังหวัดสระแก้วในปี
พ.ศ. 2540 โดยราษฎรตำบลวัง
ตะเคยี น อำเภอกบนิ ทร์บรุ ี และ
ตำบลหัวหว้า อำเภอศรีมหา
โพธิ จังหวัดปราจีนบุรี ได้ซื้อ
กล้าไม้ยูคาลิปตัสจากกลุ่มพันธมิตรดับเบิ้ลเอไปปลูกบนคันนา จากนั้นก็ได้ขยายผลไปสู่
อำเภอต่าง ๆ ในทอ้ งท่ีจังหวัดปราจนี บุรีและจงั หวัดฉะเชิงเทรา และเกดิ เปน็ “โครงการวิจัย
เชิงบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาความยากจนในชนบทโดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้
ประโยชนท์ ่ดี นิ ดว้ ยการปลูกไม้โตเรว็ ” หรอื “โครงการยูคาบนคนั นา” ในปี พ.ศ. 2548 ซ่ึง
เป็นโครงการวิจัย 3 ปี ภายใต้การร่วมมือระหว่างสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย
(สกว.) บริษัทยูคาลิปตัสเทคโนโลยี จำกัด บริษัทสมาชิกส่งเสรมิ จำกัด และ บริษัทพี ซี
เอส แมเนจเม้นท์ จำกัด อันเปน็ บรษิ ทั ในกลุ่มพนั ธมิตรดบั เบิล้ เอ


บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 289

จากโครงการวิจัยของ สวทช. เมื่อปี พ.ศ. 2526 ซึ่งมุ่งไปที่อตั ราการเจริญเติบโตและ
ผลผลิตมวลชีวภาพเป็นสำคัญและได้มาซึ่งสายต้น T5 จนทำให้มีการปลูกไม้ยูคาลิปตัส T5
กันอยา่ งกวา้ งขวางมากเพราะเติบโตเรว็ ให้ผลตอบแทนสงู แตใ่ นปลายปี พ.ศ. 2538 สายต้น
T5 ก็เริ่มเกิดโรคระบาดขึ้นกับสวนยูคาลิปตัสในภาคตะวันตกแถบจังหวัดราชบุรีและ
กาญจนบุรี แล้วลามลงสู่จังหวัดฉะเชิงเทรา ปราจีนบุรี และสระแก้วในภาคตะวันออกในปี
พ.ศ. 2540 โดยสายต้นท่ีเปน็ โรคยืนตน้ ตายมากทส่ี ดุ คือเบอร์ K8, K54 และ K55

พิบัติภัยของไม้ยูคาลิปตัสอัน
เนื่องมาจากฐานพันธุกรรมได้เกิดขึ้นอีก
ครั้งหนึ่งในปี พ.ศ. 2546 เมื่อสวนป่า
หว้ ยระบำของบริษทั ไม้อัดไทย จำกัด ได้
ตรวจพบแตนฝอยปมซึ่งเป็นแมลง
ศัตรูพืชชนิดหนึ่งเริ่มเข้าทำลายไม้ยูคา
ลิปตัสในสวนป่า ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี
คอื ในปี พ.ศ. 2547 แตนฝอยปมก็ระบาด
ไปยังสวนป่ายูคาลิปตัสแทบทั่วประเทศอย่างรวดเร็วมาก โดยเกิดขึ้นรุนแรงมากในหน้าฝน
กับต้นไม้ที่มีความสูงไม่เกิน 4 เมตร ไม้ยูคาลิปตัสเบอร์ K51 ได้รับผลกระทบหนักมากที่สดุ
จนสวนกิตติต้องยกเลิกการผลิตกล้าไม้เบอร์ดังกล่าว แล้วหันมาส่งเสริมเบอร์ K58 ซ่ึง
ทนทานแตนฝอยปมได้ดีกว่าแทน

เรื่องของไม้ยูคาลิปตัสได้กลายเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งหนึ่งเมื่อ ฯพณฯ นายวุฒิพงศ์
ฉายแสง รัฐมนตรวี ่าการกระทรวงวทิ ยศาสตร์และเทคโนโลยี ได้ให้สมั ภาษณส์ นับสนุนการ
ปลูกไม้ยคู าลปิ ตสั บนคนั นา เมือ่ วนั ที่ 10 กุมภาพนั ธ์ 2551 และ ฯพณฯ นายสมคั ร สนุ ทรเวช
นายกรัฐมนตรีได้กล่าวในเชิงสนับสนุนในรายการ “สนทนาประสาสมัคร” ผ่านทาง
สถานโี ทรทศั น์แห่งประเทศไทย ชอ่ ง 11 เมื่อเชา้ วนั อาทิตยท์ ่ี 24 กมุ ภาพันธ์ 2551


52 ถา้ จะปลกู ไม้ยคู าลปิ ตัส
ให้ไดก้ ำไร ต้องพิจารณาเง่อื นไข
ดา้ นการเงินและผลผลิต

ยูคาลปิ ตัสคามาลดูเลนซิสซึง่ เป็นไม้เศรษฐกิจโตเร็ว มีรอบหมุนเวียนในการตัดฟันสัน้
เป็นไม้ที่จัดอยู่ในแผนแม่บทการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจของกรมป่าไม้ มีการปลูกในเชิง
พาณิชย์กันอย่างแพร่หลายในแทบทุกภาคของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคตะวันออก-
เฉยี งเหนอื ยกเวน้ ภาคใตซ้ ่งึ ไม้เศรษฐกจิ ใดใดกส็ ู้ยางพาราไมไ่ ด้

โครงการศึกษาวิจัยเรื่องการใช้ประโยชน์ไม้โตเร็วเพื่อเป็นพลังงานในการผลิต
กระแสไฟฟ้าและแก๊สหุงต้ม โดยสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ร่วมกับ ศูนย์วิจัย
ปา่ ไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ไดท้ ำการสำรวจชวี มวลไมโ้ ตเรว็ เพ่ือเป็น
พลงั งานทดแทนในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยใช้ภาพถา่ ยดาวเทียม SPOT-4 และ SPOT-5
เป็นฐาน ผนวกกับการตรวจสอบข้อมลู ภาคสนามในพื้นที่จริง พบว่าในปี พ.ศ. 2550 ท้องที่
สิบเก้าจังหวัดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่สวนป่ายูคาลิปตัสอยู่รวมทั้งส้ิน
4,299,247 ไร่ หรือ 4.30 ล้านไร่ หรือประมาณร้อยละ 4.03 ของพื้นที่ภาคตะวันออก-
เฉยี งเหนอื ท้ังหมด

ทงั้ นี้ จังหวัดทมี่ เี น้อื ทีป่ ลูกมากทสี่ ุดหา้ อันดับแรก ไดแ้ ก่ จังหวดั นครราชสีมา (455,157
ไร)่ จังหวดั สุรินทร์ (378,151 ไร่) จงั หวดั บรุ ีรัมย์ (367,690 ไร่) จังหวัดอุดรธานี (345,541 ไร่)
และจังหวัดเลย (288,140 ไร่) และจังหวัดซึ่งมีเนื้อที่ปลูกน้อยที่สุดห้าอันดับสุดท้าย ได้แก่
จังหวัดหนองบัวลำภู (85,416 ไร่) จังหวัดชัยภูมิ (107,838 ไร่) จังหวัดร้อยเอ็ด (110,010
ไร)่ จงั หวัดสกลนคร (128,249 ไร)่ และจงั หวัดมกุ ดาหาร (133,129 ไร)่

พมิ พ์ครง้ั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (84) : 43–47 (พ.ศ. 2551)


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 291

เป็นที่น่าสังเกตว่าเนื้อที่สวนป่ายูคาลิปตัสในจังหวัดร้อยเอ็ดมีอยู่เพียง 110,010 ไร่
ซ่งึ จัดอยใู่ นลำดับท่ี 17 ในจำนวน 19 จงั หวดั ของภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ทัง้ ๆ ทท่ี ราบกัน
โดยทั่วไปว่าได้มีการทำไม้ยูคาลิปตัสออกมาจากจังหวัดนี้เป็นจำนวนไม่น้อย ทั้งนี้เพราะไม้
ยคู าลปิ ตัสในจังหวดั รอ้ ยเอ็ดสว่ นใหญไ่ ด้มาจากการปลูกบนคนั นา แตพ่ น้ื ที่ปลูกไม้ยูคาลิปตัส
ของโครงการดังกล่าวได้มาจากการแปลภาพถ่ายทางอากาศ แล้วทำการตรวจสอบความ
ถูกต้องภาคสนาม และสร้างแผนที่แสดงพื้นที่ปลูกไม้ยูคาลิปตัสซึง่ มีความละเอียด 10 เมตร
ขึน้ มา

การปลูกไมย้ คู าลปิ ตสั สามารถกระทำไดท้ งั้ ในรูปของสวนปา่ เชิงเด่ยี ว (monoculture)
ปลูกในระบบวนเกษตร (agroforestry system) และปลกู บนคันนา (paddy-bund planting)
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของพื้นที่และความต้องการของเกษตรกรเป็นสำคัญ การปลูก
บนคันนาควรเป็นพื้นที่นาปี นาดอน หรือนาอาศัยน้ำฝนซึ่งชาวนาได้ข้าวน้อย ไม้ยูคาลิปตัส
บนคนั นาจงึ เป็นเสมือนแหล่งรายได้เสริมของชาวนา การปลูกในระบบวนเกษตรอาจจะมีข้าวไร่
มนั สำปะหลัง ขา้ วโพด ถ่ัวเขยี ว กระเจย๊ี บแดง หรือแม้แตด่ อกดาวเรืองเปน็ พชื ควบ เกษตรกร
จึงมีรายได้ทั้งจากไม้ยูคาลิปตัสและพืชไร่ในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน ส่วนการปลูกในรูปของ
สวนป่าเชิงเดี่ยวซึ่งมีแต่ไม้ยูคาลิปตัสอย่างเดียว เกษตรกรมีรายได้จากไม้ยูคาลิปตัสอย่าง
เดยี วล้วน ๆ น้นั ผลผลิตต่อไร่ของเนอื้ ไม้ทจ่ี ะขายเป็นสนิ คา้ ได้ และเง่ือนไขดา้ นการเงินทั้งใน
เรอ่ื งของการลงทุนและราคาไมท้ ี่ซื้อขายกนั ถอื ว่าเป็นปจั จยั สำคัญท่ีจะบง่ ชว้ี า่ เกษตรกรผู้นั้น
จะยดึ เอาการปลกู ไมย้ คู าลปิ ตสั (เชิงเดี่ยว) เป็นอาชพี ได้หรอื ไม่

นายอำนาจ ขำทวพี รหม (โทร : 086-877-0288) นิสติ ปรญิ ญาโทโครงการสหวิทยาการ
สาขาการบริหารทรัพยากรป่าไม้ (โทร : 02-942-8660) คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ได้ทำการศึกษาค้นคว้าอิสระ (Independent Study) เรื่อง “การวิเคราะห์
ด้านการเงินของการปลูกยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส ในจังหวัดสุรินทร์ ” โดยมี
รองศาสตราจารย์ ดร. วุฒพิ ล หวั เมอื งแกว้ (โทร : 081-917-6574) เปน็ ประธานกรรมการ
ท่ปี รึกษา

งานวิจัยเรื่องนี้เป็นการศึกษาเฉพาะกรณีของท้องที่สามอำเภอ คือ อำเภอสังขะ
อำเภอกาบเชิง และอำเภอบัวเชด ซึ่งอยู่ทางตอนใต้สุดของจังหวัด ติดกับชายแดนเขมร มี
พ้ืนที่สวนป่ายูคาลิปตัสรวมกนั ทัง้ สิ้น 112,506 ไร่


Click to View FlipBook Version