27 การปลกู ไมโ้ ตเรว็
ในเวียดนาม
ได้มีผู้ให้คำนิยามของ “ไม้โตเร็ว” หรือ Fast-growing Trees ไว้ต่างกัน แม้ต่างกย็ ึด
เอาความเพ่มิ พูนเฉล่ยี รายปี (MAI: Mean Annual Increment) เป็นตัวชีว้ ัดเหมือนกันก็ตาม
ประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย เชน่ ฟนิ แลนด์และสวเี ดน หรือแม้แต่ในเกาะฮอกไกโดทาง
ตอนเหนือของประเทศญี่ปุน่ ซึ่งอากาศหนาวเย็นมาก ช่วงเวลาการสังเคราะหแ์ สงในรอบปขี อง
ต้นไม้สั้น พันธุ์ไม้ชนิดสำคัญๆ เช่น สก๊อตไพน์ (Scotch Pine) และนอร์เวย์สปรู๊ซ (Norway
Spruce) ซง่ึ ใช้ทำเยอ่ื กระดาษมีอายุรอบหมนุ เวยี นในการตัดฟันถึง 50 - 60 ปี กล้าไม้ท่ีใช้ปลูก
ตอ้ งเลี้ยงไวใ้ นแปลงเพาะ 3 - 5 ปี เพอ่ื ใหม้ ีความสูงราว 30 - 50 เซนติเมตรจึงจะนำไปปลกู ได้
รวมทั้งเมื่อสิบกว่าปีมาแล้วผมได้มีโอกาสไปดูงานที่เมืองกิมปี้ (Gympie) ประเทศ
ออสเตรเลยี ในโปรแกรมการดูงานเขาระบุว่าจะพาไปดสู วนยูคาลิปตัสที่มอี ายุรอบหมุนเวียน
ในการตัดฟันสั้น ผมถามว่าที่ว่าสั้นนั้นกี่ปีตัด เขาตอบว่า 15 ปี ผมก็บอกว่าในเมืองไทยถ้า
15 ปี เราตดั ฟนั ได้ 3 รอบเป็นอยา่ งนอ้ ย
ทั้งในกรณีของกลุ่มสแกนดิเนเวียและเกาะฮอกไกโดซึ่งต้นไม้มีอัตราการเจริญเติบโต
ช้ามากนั้น ไม้ที่มีความเพิ่มพูนเฉลี่ยในรูปของปริมาตรเพียง 1.92 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ต่อปี
หรอื 12 ลกู บาศกเ์ มตรตอ่ เฮกตาร์ตอ่ ปี ก็ถอื วา่ เปน็ ไมโ้ ตเร็วแล้ว หรือถ้าจะวดั เส้นรอบวงของ
ลำต้นทคี่ วามสงู จากพ้ืนดิน 1.30 เมตร (GBH) ไม้ท่มี คี วามเพ่มิ พนู ของเสน้ รอบวงเฉล่ียตั้งแต่
4 เซนติเมตรตอ่ ปขี น้ึ ไปก็ถอื วา่ เป็นไมโ้ ตเรว็ แลว้ เช่นกนั
แต่สำหรับประเทศไทยและประเทศเขตร้อนทั้งหลายซึ่งมีฝนตกชุก แสงแดดจ้า
ช่วงเวลาการสังเคราะห์แสงในรอบวันยาวนานตลอดทั้งปี ทำให้ต้นไมม้ อี ัตราการเจริญเติบโต
เรว็ กว่าในเมอื งหนาว นยิ ามของไม้โตเรว็ กจ็ ำเปน็ ตอ้ งแตกตา่ งกนั ออกไป มฉิ ะนัน้ ไม้แทบทุก
ชนิดจะกลายเป็นไม้โตเร็วไปหมด ไม้โตเร็วในแถบร้อนรวมทั้งประเทศไทยจึงกำหนดให้มี
ความเพ่มิ พูนเฉลี่ยอยา่ งนอ้ ย 3.0 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ไรต่ ่อปี
พมิ พ์คร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (57) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 143
แต่ความเพมิ่ พูนในรปู ของปริมาตรและ/หรือความโตของลำต้นดังกลา่ วยังไม่เพียงพอ
ที่จะระบุว่าไม้ชนิดนั้นเป็นไม้โตเร็วหรือไม้โตช้า ผมจึงได้เสนอให้กำหนดอายุรอบหมุนเวียน
ในการตัดฟันเขา้ ไปดว้ ย ทง้ั นเี้ พราะอตั ราการเจริญเติบโตหรือความเพม่ิ พูนเฉลยี่ รายปีของไม้
สักในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมนั้นใกล้เคียงกับไม้ยูคาลิปตัสมาก แต่ไม้สักจัดเป็นไม้โตช้า
เพราะมีอายุตัดฟันยาวอย่างต่ำก็ต้อง 30 ปี ในขณะที่ไม้ยูคาลิปตัสจัดเป็นไม้โตเร็วเพราะมี
อายุการตัดฟนั ส้ันเพยี ง 5 ปีเทา่ นนั้ ทง้ั ๆ ทอ่ี ตั ราความเพมิ่ พนู เฉลยี่ รายปีของไม้ท้ังคู่ต่างก็จัด
อยู่ในประเภทไม้โตเร็วด้วยกัน แต่เป็นการโตเร็วตามหลักการทางชีววิทยา ไม่ใช่โตเร็วตาม
แนวทางของวชิ าวนศาสตร์
ผมจึงได้กำหนดว่าไม้โตเร็วจะต้องมีความเพิ่มพูนเฉล่ียรายปีไม่น้อยกว่า 3.0 ลูกบาศก์
เมตรต่อไร่ต่อปี และต้องมีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันไม่เกิน 7 ปี ไม้โตช้าจะต้องมีอายุ
รอบหมุนเวยี นในการตดั ฟันตัง้ แต่ 30 ปีข้ึนไป สว่ นไมท้ ่มี อี ายกุ ารตดั ฟันระหวา่ ง 7 - 30 ปีนั้น
จดั เป็นไมโ้ ตปานกลาง
โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าว ไม้สักจึงจัดเป็น “ไม้โตช้า” ไม้สนสามใบจัดเป็น “ไม้โต
ปานกลาง” และไม้ยูคาลิปตัสจัดเป็น “ไม้โตเร็ว” เช่นเดียวกับไม้โตเร็วซึ่งปลูกเพ่ือ
อุตสาหกรรมชิน้ ไม้สบั และอตุ สาหกรรมเยอื่ กระดาษอีกหลายชนิด
ในระหว่างวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ถึงวันที่ 2 มีนาคม 2549 ผมได้มีโอกาสเดินทางไป
ประเทศเวียดนามอีกครั้งหนึ่งตามคำเชิญของคุณวิทย์สันต์ จิรรัตนโสภา ผู้อำนวยการ
โรงงาน และคุณสมพงษ์ ทันจิตต์ ที่ปรึกษา บริษัทฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด
(มหาชน) โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อศึกษาดูงานการศึกษาวิจัยการปลูกไม้โตเร็ว 2 สกุล คือ
ยูคาลปิ ตัสและกระถนิ อเคเซยี สำหรับอุตสาหกรรมเย่ือกระดาษแถบเมืองเว้ เมอื งดานัง และ
โฮจิมินซติ ีห้ รือไซ่ง่อน
ประเทศเวียดนามมีเน้ือที่ 206 ล้านไร่ มขี นาดเลก็ กวา่ ประเทศไทยซง่ึ มีเน้ือที่ถึง 321
ลา้ นไร่ นน่ั คอื เวยี ดนามมีเน้อื ทเี่ พยี ง 64% ของประเทศไทย แต่มจี ำนวนประชากรถึง 83.54
ลา้ นคน หรืออาจกล่าวอีกนัยหน่ึงไดว้ ่าพ้นื ที่เฉล่ียต่อประชากรของไทยเท่ากบั 5.17 ไร่ต่อคน
แต่ของเวียดนามเท่ากับ 2.47 ไร่ต่อคน หรือเพียงครึ่งหนึ่งของไทยเท่านั้น คนเวียดนามจึง
ต้องขยนั ในการทำมาหากินมากเปน็ พิเศษ
ในอดีตเวียดนามเคยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์มาก คือในปี พ.ศ. 2486 มีเนื้อที่ป่าไม้ถึง
43.39% ของพื้นที่ประเทศ แต่ด้วยอัตราการเพิ่มของประชากรและภัยสงคราม ทำให้เนื้อที่
144 รวมเรื่องสวนป่า
ป่าลดลงเหลือเพียง 25.04% ในปี พ.ศ. 2538 โดยในช่วงปี พ.ศ. 2523 - 2528 นั้นมีอัตรา
การลดลงของพืน้ ที่ปา่ สูงทสี่ ุดคอื เฉล่ียปีละ 2.2%
ในขณะทพี่ น้ื ทป่ี า่ ธรรมชาติลดลงอย่างรวดเรว็ เวียดนามก็ได้เร่งระดมปลกู ปา่ ขน้ึ อยา่ ง
จริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากที่สงครามได้ยุติลงแล้ว นั่นคือในช่วงปี
พ.ศ. 2519 - 2542 มอี ัตราการปลูกป่าเพมิ่ ขึ้นถึงปีละ 7.85% และเพ่มิ มากท่สี ดุ คือระหว่างปี
พ.ศ. 2528 - 2542 มอี ตั ราการปลูกป่าเพ่มิ ข้นึ ถงึ ปลี ะ 10.20% จนทำใหป้ ัจจุบันเวียดนามมี
เนื้อท่ปี า่ ไมเ้ พมิ่ ขนึ้ เปน็ 68.125 ลา้ นไร่ หรอื 33% ของเนือ้ ทป่ี ระเทศ
แต่เวียดนามก็ยังไม่พอใจกับอัตราการเพิ่มขึ้นของเนื้อที่ป่าดังกล่าว เพราะปัจจุบัน
เวียดนามมีเนื้อที่ป่าเพียงคนละ 0.875 ไร่เท่านั้น ในขณะที่ค่าเฉลี่ยของทั้งโลกสูงถึง 6.063
ไร่ต่อคน ดังนั้น เวียดนามจึงตั้งเป้าหมายในการพัฒนาป่าไม้ไว้ว่าภายในปี พ.ศ. 2553
ร้อยละ 43 ของพ้ืนทปี่ ระเทศจะต้องเปน็ พ้ืนท่ปี า่ ไม้ หรอื ต้องมพี ื้นที่ป่าไม้ 43% ของประเทศ
นอกจากนี้เวียดนามยังได้ตั้งเป้าหมายไว้ว่าในปี ค.ศ. 2010 หรือ ปี พ.ศ. 2553
ประเทศเวียดนามจะทำไม้ออกจากป่ารวมทั้งสิ้น 24.5 ล้านลูกบาศก์เมตร โดย 0.3 ล้าน
ลูกบาศก์เมตรจะทำออกจากป่าธรรมชาติ แตส่ ่วนใหญ่กค็ อื 24.2 ลา้ นลกู บาศกเ์ มตรจะทำไม้
ออกจากสวนป่า ทำหวายและไม้ไผ่ออก 0.35 ล้านตัน และทำของป่าหรือผลิตภัณฑ์อื่นที่
ไม่ใช่ไม้ (Non-timber Forest Products) ออกจากป่า 0.6 ล้านตัน อันแสดงให้เห็นว่า
เวียดนามกำลังทุ่มเทกับการปลูกป่าอย่างจริงจัง และป่าที่ปลูกส่วนใหญ่ก็เป็นสวนป่า
เศรษฐกิจหรือสวนป่าเชิงพาณิชย์
ปัจจุบันเวียดนามมีเนื้อที่สวนป่าทั่วประเทศรวมทั้งสิ้นประมาณ 60.63 ล้านไร่ ซึ่ง
มากกว่าเนื้อที่สวนป่าและสวนยางพาราของไทยรวมกันเกือบ 3 เท่า และมีแนวโน้มว่าจะ
ปลูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพื่อสนองความต้องการไม้ของตลาดโลกซึ่งไม่เคยมีวี่แววว่าจะลดลงเลย
พรรณไม้ที่ปลูกมากที่สุดสามอันดับแรกได้แก่ ไม้กระถินอเคเซีย (70%) รองลงมาคือไม้
ยคู าลปิ ตสั (20%) และลำดับทสี่ ามคือไมส้ นสองใบ (10%) ซึง่ มกั ปลูกบนเนินเขาสงู
ในเวียดนามตอนใต้ตั้งแต่เมืองดองฮา เว้ และดานัง ลงไปจนถึงโฮจิมินห์ซิตี้ มีป่า
ธรรมชาติเหลืออยู่น้อยมาก ส่วนใหญ่เป็นป่าปลูกที่มีอายุไม่มากนัก พันธุ์ไม้ส่วนใหญ่เป็น
ไม้โตเร็ว ปลูกเพื่อป้อนอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับ ซึ่งมีโรงงานอยู่ทั้งสิ้น 30 โรง มีอายุรอบ
หมุนเวียนในการตัดฟัน 5 ปี พื้นที่ปลูกอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่มากนัก มีฝนตกเฉล่ีย
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 145
ประมาณปีละ 1,800 - 2,000 มิลลิเมตร ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่ปลูกส่วนใหญ่อยู่ใกล้ท่าเรือน้ำ
ลึกซง่ึ ไดเ้ ปรียบในแงข่ องการส่งออก
ไม้โตเร็วที่ปลูกเพื่ออุตสาหกรรมชิ้นไม้สับในเวียดนามมีเพียงสองสกุลคือไม้กระถิน
อเคเซีย 3 ชนิด และไม้ยูคาลิปตัส 5 ชนิด อันได้แก่ ไม้กระถินณรงค์ (Acacia auriculiformis)
กระถินเทพา (Acacia mangium) และกระถินคราสซิคาร์ปา (Acacia crassicarpa) ส่วน
ยคู าลิปตัส 5 ชนดิ ไดแ้ ก่ ยคู าลิปตัส คามาลดูเลนซสี (Eucalyptus camaldulensis) ยคู าลปิ ตัส
เทริติคอร์นิส (Eucalyptus tereticornis) ยูคาลิปตัส แกรนดีส (Eucalyptus grandis) ยูคา
ลิปตัส ยูโรฟิลล่า (Eucalyptus urophylla) และ ยูคาลิปตัส เพลลิต้า (Eucalyptus pellita)
โดยยคู าลิปตัสเพลลิต้าต้องการพ้นื ทีป่ ลกู ซึ่งมฝี นตกชุกมากกว่ายูคาลปิ ตัสอกี สีช่ นิด
ท่ีน่าทึ่งเปน็ อยา่ งมากก็คือ กิจการปลกู ไม้โตเรว็ ของเวียดนามก้าวหนา้ กว่าของประเทศ
ไทยมาก ทั้งๆ ที่เวียดนามเริ่มปลูกไม้โตเร็วหลังไทย เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วไทยเป็นพี่เลี้ยงให้
เวยี ดนาม โดยทั้งสองประเทศตา่ งกไ็ ด้รับความชว่ ยเหลอื ทางวชิ าการจากออสเตรเลยี ด้วยกัน
แม้จะมีไม้โตเร็วอยู่เพียง 2 สกุล 8 ชนิด ดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่งานค้นคว้าวิจัยด้าน
การปรับปรุงบำรุงพันธุ์ไม้โตเรว็ ของเวียดนามเจรญิ ก้าวหน้ามาก มีการทดสอบสายพนั ธุแ์ ละ
สายต้นให้เหมาะกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก มีการคัดเลือกสายต้น ผสมข้ามพันธุ์กัน
อย่างกว้างขวาง ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นและแตกต่างไปจากประเทศไทยเป็นอย่างมากก็คือ
งานวิจัยด้านการปรับปรุงพันธุ์ไม้โตเร็วของเวียดนามส่วนใหญ่ดำเนินการโดยภาครัฐและ
สง่ ผลทีไ่ ด้ให้ทงั้ ภาครัฐและภาคเอกชนนำไปขยายผล
เนื้อที่สวนป่าไม้โตเร็วเปน็ ของรฐั 60% และเปน็ ของเอกชน 40%
พนั ธุ์ไมท้ ปี่ ลูกเป็นลกู ผสมแทบทั้งสนิ้ ไมว่ ่าจะเป็นกระถนิ อเคเซยี หรือยูคาลปิ ตัส จงึ ทำให้
ได้ผลผลติ ตอ่ ไรส่ ูง เช่นไม้กระถินอเคเซียมี
ความเพิ่มพูนเฉลี่ยรายปี 4 ตันต่อไร่ ส่วน
ยคู าลิปตสั มคี วามเพ่ิมพนู เฉล่ีย 3.2 ตันต่อ
ไร่ต่อปี ไม้ดังกล่าวเมื่ออายุ 5 ปี จะให้
ผลผลติ เฉลย่ี 20 ตันต่อไร่ และ 16 ตันต่อ
ไร่ ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าผลผลิตเฉลี่ยของ
ประเทศไทย ราคาไม้ทั้งเปลือกที่หน้า
โรงงานตันละประมาณ 1,190 บาท แต่
146 รวมเรอ่ื งสวนปา่
ถ้าปอกเปลือกออกราคาจะตกประมาณตันละ 1,400 บาท ขนาดไม้ซุงที่โรงงานต้องการคือ
ตอ้ งโตกวา่ 4 เซนติเมตร ความยาว 2 เมตร
ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านี้ก็คือ กล้าไม้โตเร็วเพื่ออุตสาหกรรมชิ้นไม้สับที่ปลูกทั้งหมด ไม่ว่า
จะผลติ จากแปลงเพาะชำของรัฐหรือของเอกชนตา่ งกข็ ยายพันธุโ์ ดยการตัดกิ่งปักชำท้ังสิ้น
เพื่อเปน็ หลกั ประกันในการคงสายพันธุแ์ ละผลผลติ ท่คี ดั สรรแล้ว
น่ันคือ เมื่อปรับปรุงบำรงุ พันธไ์ุ ดส้ ายต้นท่ีต้องการแล้ว กจ็ ะทำการเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือ
และจดั สร้างสวนรวมสายต้น (Clone Bank หรอื Hedge Orchard) ท่มี ฐี านพันธุกรรมสงู ข้นึ
ในบริเวณแปลงเพาะ แลว้ ทำการตดั ยอดจากสวนรวมสายตน้ ไปปักชำไว้ในถงุ พลาสติก เลี้ยง
ไว้ในแปลงเพาะ 3 เดือน แล้วนำไปปลูกหรอื จำหน่ายในราคากล้าละประมาณ 1 บาท
ไม้โตเร็วลูกผสมทั้งของกระถินอเคเซียและ
ยูคาลิปตัสส่วนใหญ่มีความเพิ่มพูนทางด้านเส้น
รอบวงของลำต้นเกินกว่า 15 เซนติเมตรต่อปี เช่น
ลูกผสมระหว่าง Eucalyptus camaldulensis X
Eucalyptus grandis อายุ 2 ปีครึ่ง มีความโตของ
เสน้ รอบวงที่ระดับอกถงึ 52 เซนติเมตร ซึ่งจดั ว่าเปน็
ไมโ้ ตเร็วที่เจริญเติบโตเร็วมาก
ไปดูและชื่นชมกับผลสำเร็จของเขาแล้วหันมา
มองของเรา ก็นึกตั้งคำถามขึ้นมาในใจว่าเมื่อไหร่
กิจกรรมการปรับปรุงบำรุงพันธุ์ไม้โตเร็วโดยภาครัฐ
ของไทยจะไล่ตามเวียดนามทนั ?
เราเคยเปน็ พ่ีเลีย้ งให้เวยี ดนาม แตต่ อนนี้เราตอ้ งไปเรยี นรจู้ ากเวียดนาม !
28 ตะเคยี นทอง :
ไมม้ คี า่ ที่ต้องนำเข้ามา
ต่อเรอื หวั โทงหลังสึนามิ
เข้าใจว่าคนไทยส่วนใหญค่ งจะคุ้นเคยกบั ชื่อไมต้ ะเคียนมากพอสมควร เพราะอย่างนอ้ ย
เมื่อได้ยินคำว่า “นางตะเคียน” หรือ “เจ้าแม่ตะเคียน” ก็คงจะมีความรู้สึกไม่แตกต่างไป
จาก “แม่นาคพระโขนง” เท่าใดนัก ส่วนที่มาที่ไปของเจ้าแม่ตะเคียนจะแตกต่างไปจาก
แม่นาคพระโขนงอย่างไรหรือไม่นั้นผมไม่ทราบ อาจจะเป็นเพราะความเงียบสงัดเยือกเย็น
ภายใต้ร่มเงาอนั แนน่ ทบึ สูงใหญ่ของต้นตะเคียนริมลำธารก็เป็นได้
แตท่ ี่ผมทราบแน่ๆ ก็คอื ภายหลงั ธรณพี ิบัติภัยสนึ ามิ ซ่งึ เกดิ ข้ึนในท้องที่ 6 จังหวัด
ชายฝั่งทะเลอันดามันของไทยเมื่อเช้าวันที่ 26 ธันวาคม 2547 นั้น ประเทศไทยต้อง
นำเข้าไม้ตะเคียนจากลาวเปน็ จำนวนมาก แสดงว่าตะเคียนเปน็ ไม้มีค่าที่ไทยต้องการ แต่
ขาดแคลนจึงตอ้ งนำเข้ามา
ไม้ตะเคียนที่พูดถึงนี้คือ “ไม้ตะเคียนทอง” หรือบางท้องถิ่นเรียกว่าไม้ตะเคียนใหญ่ มี
ชื่อทางการค้าในภาษาอังกฤษว่า Iron Wood เพราะเนื้อไม้แข็งและหนักปานเหล็ก ส่วนชื่อ
วิทยาศาสตร์ซ่งึ นักพฤกษศาสตรท์ ่วั โลกใช้เรยี กขานกันในภาษาละตินนัน้ คือ Hopea ordorata
Roxb. เปน็ ไม้วงศ์ Dipterocarpaceae เชน่ เดียวกบั ไม้ยางนา
ตะเคยี นทองเป็นไม้พื้นเมืองของเอเชียอาคเนย์ โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในคาบสมุทรมลายู
พบอยูท่ วั่ ไปในประเทศไทยและกมั พูชา รวมท้งั ทางตอนใตข้ องพมา่ และเวียดนาม ตอนเหนือ
ของมาเลเซีย และหมเู่ กาะตา่ งๆ ในทะเลอันดามนั
ตะเคียนทองเปน็ ไมไ้ ม่ผลดั ใบ ขึ้นได้ดีในปา่ ดิบชื้นหรอื ป่าดบิ แล้งในที่ราบลุ่มริมแม่น้ำ
ลำธาร ดนิ ลึก มคี วามอุดมสมบูรณ์สูง ความสูงจากระดบั นำ้ ทะเลเฉล่ียปานกลางไม่เกิน 300
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (58) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)
148 รวมเร่อื งสวนปา่
เมตร ปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเกินกว่า 1,500 มิลลิเมตรต่อปี และอุณหภูมิเฉลี่ยรายปีควรอยู่
ระหวา่ ง 25 - 27 องศาเซลเซียส
ตะเคียนทองเป็นต้นไม้ที่มีขนาดสูงใหญ่ ลำต้นตรงเปลา อาจจะสูงถึง 45 เมตร เส้น
ผ่านศูนย์กลางเพียงอกถึง 120 เซนติเมตร เมื่ออายุยังน้อย ต้นมีขนาดเล็ก เปลือกเรียบ
สีน้ำตาลดำ แต่ต้นโตที่มีอายุมากๆ เปลือกจะหนา แตกเป็นร่องลึก บริเวณโคนต้นปรากฏ
พูพอนให้เห็นอย่างเด่นชัด เรือนยอดแน่นทึบ ทรงกลมรูปเจดีย์ต่ำ ใบเป็นใบเดี่ยวเรียงสลับ
รูปไข่ ปลายใบเรยี วแหลม โคนใบมน ผิวใบเกล้ียงเปน็ มัน ดอกออกเป็นชอ่ ตามง่ามใบ สีขาว
แกมเหลืองอ่อน มีกลิ่นหอม ออกดอกในเดือนมกราคม - มีนาคม ผลเป็นรูปกระสวยเล็ก มี
ปกี ยาว 1 คู่ ผลแกใ่ นเดือนเมษายน - พฤกษภาคม
เน้อื ไม้ตะเคยี นทองสว่ นทเ่ี ป็นกระพีม้ สี นี ้ำตาลออ่ น แก่นสีนำ้ ตาลแดงอมเหลอื ง ความ
หนาแน่นของเนื้อไม้ที่ความชื้น 15% อยู่ระหว่าง 0.50 - 0.98 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
ความถว่ งจำเพาะเท่ากบั 0.637 โดยเฉลี่ยเนื้อไมม้ นี ้ำหนักประมาณ 753 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์
เมตร มีความแขง็ แรงทนทานสูง เหมาะสำหรับใชใ้ นงานก่อสร้างซ่ึงโครงสรา้ งต้องรับน้ำหนัก
มาก เช่น สร้างบ้านเรือน สะพาน ไม้หมอนรถไฟ ต่อเรือ และทำเครื่องเรือนต่างๆ จากการ
ทดสอบชิน้ ไม้โดยการปักทิ้งไว้ปรากฏว่าไม้ตะเคียนทองมีความคงทนนานกว่า 10 ปี หากใช้
ทำไม้หมอนรถไฟจะมีอายุการใช้งานอยู่ในระหว่าง 15 - 20 ปี ในสมัยโบราณได้มีผู้นำเอา
ต้นไม้ตะเคียนทองทั้งต้นมาขุดเป็นเรือปรากฏว่าสามารถใช้งานได้ยาวนานชั่วอายุคน คือ
60 - 70 ปี หรือหากนำเอาไม้ตะเคียนทองแปรรูปมาทำเรือเดินทะเลก็จะมีอายุการใช้งาน
ยาวนานถงึ 25 - 30 ปีเปน็ อยา่ งน้อย
ความรู้เรื่องการใช้ไม้ตะเคียนทองต่อเรือนั้นไม่ใช่ของใหม่สำหรับคนไทย เพราะ
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (พ.ศ. 2325 – 2352) ได้ทรงปลูกต้น
ตะเคียนทองไว้ในบริเวณเกาะรัตนโกสินทร์ตลอดฝั่งคลองหลอดเพื่อใช้ในการต่อเรือ
ปัจจุบันเหลืออยู่บนถนนอัษฎางค์หลงั วัดราชบพิตร จำนวน 7 ต้น ซึ่งถือว่าเป็นไม้ต้นซึ่ง
ปลกู รมิ ถนนทีม่ อี ายมุ ากทสี่ ุดของกรงุ เทพมหานครในขณะนี้
การทช่ี าวประมงและชา่ งตอ่ เรือทราบดีว่าไม้ตะเคียนทองเหมาะสำหรับใช้ต่อเรือมาก
ดังนั้น เมื่อเกิดธรณีพิบัติภัยสึนามิข้ึน ชาวประมงชายฝ่ังทะเลอันดามันในท้องที่จงั หวัดพังงา
กระบี่ ภูเก็ต ระนอง ตรัง และสตูล ต้องสูญเสียเรือประมงไปหลายพันลำ การช่วยเหลือ
เบื้องต้นทั้งจากภาครัฐ เอกชน และองค์กรเอกชน นอกจากเรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว เครื่องมือ
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 149
ทำกินคือเรือประมงสำหรับประมงชายฝั่งก็เป็นความต้องการหลักอย่างหนึ่ง ดังนั้น ความ
ช่วยเหลือทัง้ จากภายในประเทศและต่างประเทศ ต่างก็มุ่งไปท่ีการจดั สร้างจัดหาเรือประมง
ใหแ้ กช่ าวประมงชายฝ่งั อย่างเร่งด่วนและถ้วนหนา้
เรือประมงที่ว่านี้นอกจากเครื่องยนต์แล้วจะมีไม้ตะเคียนทองเป็นองค์ประกอบหลัก
ไมต้ ะเคียนทองท่ใี ชท้ ้งั หมดนำเข้ามาจากประเทศสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยประชาชนลาว
ซงึ่ ตอ้ งขนส่งผ่านภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือและภาคกลางของไทยลงมาถึงภาคใต้ฝ่ังตะวันตก
รวมระยะทางร่วมสองพันกิโลเมตร จงึ มีคำถามว่า ทำไมไมน่ ำเขา้ ไม้ตะเคียนทองจากพมา่ ซึ่ง
อยู่ติดกบั ชายฝัง่ ทะเลอันดามันของไทยแทนจากตอนใต้ของลาว คำตอบกค็ ือ ความคล่องตวั
ทางธรุ กิจและการค้าระหว่างประเทศ
เรือหัวโทงขนาด 23 กง ซึ่งมี
ความยาว 11 เมตร ลำหนึ่งๆ ต้องใช้
ไม้ตะเคียนทองจริงๆ 2,400 นิ้ว แต่
เมื่อซื้อไม้แผ่นแปรรูปต้องซื้อมา
ประมาณ 3,300 นิ้ว จึงจะเพียงพอ
เพราะเกอื บเศษหนึ่งสว่ นสามของไม้ที่
ซื้อมาต้องสูญเสียไปในรูปของเศษไม้
ปลายไม้ ใช้เพื่อการต่อเรือไม่ได้ นั่น
คือจริงๆ แล้วเรือประมงลำหนึ่งๆ
ต้องใช้ไม้ตะเคียนทองรวมทั้งสิ้น 3,300 น้ิว
ราคาซื้อขายและขนส่งไม้ตะเคียนทองจากลาว
ถึงชายฝั่งทะเลอันดามันนิ้วละประมาณ 25 -
30 บาท
ค่าไม้ตะเคียนทองที่ถูกต้องตาม
กฎหมายในการต่อเรือหัวโทงหนึ่งลำตก
ประมาณ 90,000 บาท แต่ถ้าเป็นไม้จากพม่า
คา่ ใช้จ่ายในสว่ นนจ้ี ะลดลงเหลือเพียง 40,000
บาทเท่านั้น เพราะไม้ตะเคียนทอง (เถื่อน)
จากพม่าราคาเพียงนิว้ ละ 12 บาทเทา่ นน้ั
150 รวมเร่ืองสวนป่า
ในการต่อเรือหัวโทงแต่ละลำปกติจะใช้คนงาน 3 คน ต่อเสร็จเรียบร้อยภายใน 7 วัน
ต่อได้เดือนละ 3 ลำ ค่าแรงงานในรูปของการจ้างเหมาลำละ 26,500 บาท นั่นคือ คนงานมี
รายได้จากการตอ่ เรือเดือนละประมาณสามหม่นื บาทต่อคน
ต้นทุนในการต่อเรือหัวโทงขนาด 23 กง หนึ่งลำ จึงประกอบด้วยค่าไม้ตะเคียนทอง
90,000 บาท คา่ แรง 26,500 บาท ค่าขา้ วของอื่นๆ 14,000 บาท และคา่ เคร่ืองยนต์ 45,000
บาท รวมเปน็ เงนิ ท้งั สิ้น 175,500 บาท
การนำเข้าไม้ตะเคียนทองเพื่อใช้ต่อเรือหัวโทงมอบให้แก่ชาวประมงชายฝ่ัง
ผู้ประสบภยั สึนามจิ งึ มมี ลู ค่าหลายร้อยล้านบาท
แต่ประเทศไทยไม่ได้นำเข้าไม้ตะเคียนทองเฉพาะเพื่อนำมาใช้ต่อเรือภายหลังสึนามิ
เทา่ นั้น เพราะขอ้ มูลจากสถิตกิ ารปา่ ไม้ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2547 ระบุวา่ ในรอบ
ห้าปีก่อนเกิดสึนามิ คือระหว่างปี พ.ศ. 2543 - 2547 ประเทศไทยนำเข้าไม้ตะเคียนทอง
รวมมูลคา่ ถึง 1,623.61 ล้านบาท หรือเฉลยี่ ปลี ะ 324.72 ลา้ นบาท
เพื่อลดการนำเข้าและได้ไม้มาใช้สอยภายในประเทศอย่างเพียงพอ การปลูกไม้
ตะเคียนทองจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย แต่เพื่อให้การปลูกและการจัดการสวนป่า
ตะเคียนทองประสบผลสำเร็จ เกษตรกรผู้สนใจจะปลูกไม้ตะเคียนทองก็ควรจะมีความรู้
ทางดา้ นวนวัฒนวิทยาของไมช้ นิดนบ้ี า้ งพอสมควร
นั่นคือ ตะเคียนทองเป็นไม้โตชา้ ที่มีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันยาว เจริญเติบโต
ได้ดีในดินที่มีความชุ่มชื้นและความอุดมสมบูรณ์สูง มีฝนตกชุกอย่างน้อย 1,500 มิลลิเมตร
ตอ่ ปี เม่ือเยาว์วยั ต้องการร่มเงาจากไม้พี่เล้ยี ง เมลด็ มคี วามมีชวี ิตสั้นมากเชน่ เดียวกับเมล็ดไม้
ในวงศ์ไม้ยางอื่นๆ และปกติจะใหเ้ มล็ดเพียง 2 - 3 ปีตอ่ คร้ังเท่าน้นั
เนื่องจากเมล็ดไม้ตะเคียนทองมีความมีชีวิตสั้นมาก เมล็ดที่ยังไม่แก่จัดจะมีอัตราการ
งอกต่ำพอๆ กับเมล็ดที่เก็บรักษาไว้ไม่ถูกวิธีและ/หรือเป็นเวลานาน การเก็บและเก็บรักษา
เมล็ดพนั ธ์ุจงึ เป็นส่งิ จำเปน็ ขน้ั พน้ื ฐาน โดยต้องเกบ็ เมลด็ ทีแ่ ก่จดั จากต้นเทา่ นั้น ทง้ั นี้ให้สังเกต
ดูสีของเปลือกและปีกเมล็ด อย่าเก็บเมล็ดที่ร่วงหล่นอยู่บนพื้นดิน การขนส่งและเก็บรักษา
เมลด็ แม้ในช่วงเวลาส้นั ๆ ก็ต้องระวงั ไมใ่ หเ้ มลด็ ไมต้ ะเคยี นทองโดนแสงแดดโดยตรง จากนั้น
ตอ้ งรบี กำจดั ปีกออกจากเมลด็ โดยเรว็
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 151
เมล็ดแก่ที่เก็บมาใหม่ๆ มีความชื้นประมาณ 50% มีอัตราการงอก 100% แต่เมื่อ
ความชื้นในเมล็ดลดลงเพียงเล็กน้อย เปอร์เซ็นต์การงอกจะลดลงอย่างรวดเรว็ มาก กล่าวคือ
เมื่อความชื้นในเมล็ดลดจาก 50% ลงเหลือ 44%, 31% และ 23% อัตราการงอกของเมลด็
จะลดลงจาก 100% เหลอื 86%, 74% และ 0% ตามลำดบั เมล็ดที่เกบ็ รกั ษาไว้เกินกว่า 20
สปั ดาห์จะไมม่ ีอัตราการงอกเหลอื อยู่เลย
หากต้องการเก็บรักษาเมล็ดไม้ตะเคียนทองไว้ไม่เกิน 1 เดือน ควรเก็บไว้ในที่ร่มโดย
บรรจุลงในถุงโปร่งที่อากาศถ่ายเทได้ดี แต่ถ้าต้องการจะเก็บรักษาไว้นานกว่า 1 เดือนก็ต้อง
ใชว้ ธิ ีการเก็บรักษาไว้ในสภาพแหง้ และเยน็ โดยทำใหเ้ มลด็ มคี วามช้นื เหลอื อยู่ประมาณ 40%
แล้วบรรจุถุงพลาสติก ปิดปากถุงให้สนิทแล้วนำไปเก็บไว้ในห้องเย็นซึ่งมีอุณหภูมิ 15 องศา
เซลเซียส
จากข้อจำกัดในเรื่องเมล็ดพันธุ์ดังกล่าว จึงได้มีการขยายพันธุ์ไม้ตะเคียนทองโดยวิธี
ไม่อาศัยเพศด้วยการตัดกิ่งปักชำ ทั้งน้ีโดยการตัดยอดกิ่งจากต้นแม่ที่มีอายุ 1 - 4 ปีให้มีความ
ยาวประมาณ 10 เซนติเมตร แช่ลงในฮอร์โมน IAA ที่มีความเข้มข้น 500 ppm เป็นเวลา 3
วนิ าทีก่อนนำไปปักชำไวใ้ นรอ่ งเพาะซึง่ มที รายเป็นวัสดุเพาะชำ
กล้าไม้ตะเคียนทองที่ใช้ปลูกและเจริญเติบโตดีควรเป็นกล้าค้างปี นั่นคือ เมื่อเก็บ
เมล็ดไม้ตะเคียนทองสดจากต้นในเดือนเมษายน-พฤษภาคม ก็ต้องนำไปเพาะทันที หากจะ
นำกล้าอายุ 5 - 6 เดือนไปปลกู ก็ยังมีขนาดเล็กเกินไป หลังจากนั้นก็พ้นฤดูกาลปลูก จึงต้อง
เก็บไว้ปลูกในต้นฤดูฝนของปีถัดไป ซึ่งต้นกล้าจะมีอายุประมาณ 12 - 15 เดือน พื้นที่ปลูก
ควรจะอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 300 เมตร ปริมาณน้ำฝนอย่างน้อย 1,500 มิลลิเมตร
ต่อปี ดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี มีความชื้นและความอุดมสมบูรณ์สูง ระยะปลูกท่ี
เหมาะสมคือ 4 x 4 เมตร
เนื่องจากตะเคียนทองเปน็ ไมท้ ีม่ ีอายุการตัดฟันยาว ตั้งตัวและเจริญเติบโตได้ดีภายใต้
ร่มเงาของไม้อื่นเมื่ออายุยังน้อย ดังนั้น จึงควรปลูกไม้ตะเคียนทองในระบบวนเกษตรโดยมี
กล้วยหรือแคบ้านเป็นพืชควบ หรือจะปลูกไม้ตะเคียนทองในรูปของสวนป่าผสม โดยปลูก
ร่วมกับไม้ชนิดอื่นที่เจริญเติบโตเร็วกว่า เช่น กระถินเทพา หรือกระถินคราสซิคาร์ปา ซึ่ง
เจริญเติบโตได้ดีในที่ซึ่งมีฝนตกชุกเช่นเดียวกับไม้ตะเคียนทอง เมื่อไม้ในสวนป่าผสมมีอายุ
8 - 10 ปี กท็ ำการตัดสางขยายระยะโดยการตดั ไม้โตเรว็ คอื กระถนิ เทพาออกจำหน่าย เหลือ
แต่ไม้ตะเคียนทองอยู่อย่างเดียวประมาณ 50 ต้นต่อไร่ จากนั้นประมาณปีที่ 20 จึงทำการ
152 รวมเรื่องสวนป่า
ตัดสางขยายระยะไม้ตะเคียนทองออก และทำการตัดฟันครั้งสุดท้ายคือทำไม้ออก เมื่อไม้
ตะเคยี นทองมอี ายุ 30 - 35 ปี
นอกจากจะปลูกตะเคียนทองเพื่อหวังเนื้อไม้แล้ว ภูมิปัญญาท้องถิ่นทราบดีว่า ทั้ง
เปลอื กและแกน่ ของไม้ตะเคยี นทองต่างก็มีประโยชน์ทางเภสชั กรรมเป็นอยา่ งมาก นอกจากน้ี
ความเป็นไม้ไม่ผลัดใบ ใบเป็นมันสีเขียวสด เรือนยอดทรงเจดีย์ ตะเคียนทองจึงเหมาะ
อยา่ งยิ่งสำหรบั การปลูกเปน็ ต้นไมใ้ นเมอื ง
ปตั ตานจี งึ เลอื กตะเคียนทองเป็นตน้ ไม้ประจำจงั หวัด
29 การปลูกไผ่รวกดำ
เพอื่ ขายลำท่จี งั หวดั นา่ น
หลายคนอาจจะไม่เคยเดินทางไปจังหวัดนา่ น เพราะคิดวา่ นา่ นอยู่ไกล ไม่สะดวกในการ
เดินทาง แต่ความจริงแล้วการเดินทางไปจังหวัดน่านไม่ยากลำบากอย่างที่คิด เพราะสามารถ
ไปได้ทั้งทางเครื่องบินและรถยนต์ ระยะทางตามเส้นทางรถยนต์จากกรุงเทพมหานครถึงตัว
เมอื งนา่ นประมาณ 670 กิโลเมตร
จังหวัดน่านมีเนื้อที่รวมทั้งสิ้น 7,170,043 ไร่ พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขาและต้นน้ำ
ลำธารที่สำคัญของประเทศ ปกคลุมไปด้วยป่าไม้ทั้งที่เป็นป่าสมบูรณ์และป่าเสื่อมโทรมอัน
เนอ่ื งมาจากการตัดไม้ทำลายป่าทงั้ ในอดตี และปัจจุบนั ข้อมูลของศนู ยป์ ฏิบัติการจังหวัดน่าน
ระบุว่าในปี พ.ศ. 2548 จังหวดั นา่ นมพี ืน้ ทปี่ ่าเสื่อมโทรมอยู่ถึง 2,813,980 ไร่ หรือประมาณ
ร้อยละ 39.24 ของเนื้อที่จงั หวัด มีพื้นท่ีทำการเกษตรเพียง 876,043 ไร่ หรือร้อยละ 12.22
ของเนอื้ ทีจ่ ังหวัดเท่านนั้
ข้อมูลสถิติการป่าไม้ของประเทศไทยประจำปี พ.ศ. 2547 ชี้ให้เห็นว่า จังหวัดน่านมี
เปอร์เซ็นต์พื้นที่ป่ามากที่สุดเป็นลำดับที่สี่ของประเทศ รองจากจังหวัดแม่ฮ่องสอน (87.8
เปอร์เซ็นต)์ จังหวัดเชยี งใหม่ (78.0 เปอรเ์ ซ็นต์) และจงั หวัดตาก (77.2 เปอรเ์ ซน็ ต)์ โดยร้อยละ
74.1 ของเนื้อทจี่ งั หวดั น่านเป็นพน้ื ทีป่ ่าไม้ คือมีเน้ือที่ประมาณ 5.31 ลา้ นไร่ ซง่ึ มากกวา่ พืน้ ที่
ป่าไมใ้ นภาคตะวนั ออกทั้ง 8 จังหวดั (5.15 ล้านไร่) ถงึ 160,625 ไร่
ทางด้านการปกครอง จังหวัดน่านแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 14 อำเภอ 1 กิ่ง
อำเภอ 99 ตำบล 885 หมู่บ้าน และ 27 ชุมชน มีประชากรจำนวน 134,998 หลังคาเรือน
รวมทั้งสิ้น 477,754 คน โดยเกือบครึ่งหนึ่งอยู่ในท้องที่ 4 อำเภอ คือ อำเภอเมืองน่าน
(80,796 คน) อำเภอเวียงสา (70,360 คน) อำเภอปัว (64,866 คน) และอำเภอท่าวังผา
(52,382 คน)
พิมพ์ครัง้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (59) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)
154 รวมเรอ่ื งสวนปา่
ในช่วงที่ดำรงตำแหน่งรอง
อธิการบดีฝ่ายกิจการพิเศษของ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ผมได้มี
โอกาสเดินทางไปราชการที่ศูนย์ภูฟ้า
พัฒนาตามพระราชดำริสมเด็ จ
พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราช
กุมารี ในท้องที่อำเภอบ่อเกลือ ใน
กลางปี พ.ศ. 2543 โดยเดินทางผ่าน
อุทยานแห่งชาติดอยภูคา ในเส้นทาง
รอยต่อระหว่างอำเภอท่าวังผาและ
อำเภอปัว เลยไปถึงเชิงดอยภูคา ได้
สังเกตเห็นไผ่รวกดำขึ้นอยู่เป็นแปลงๆ
ขนาด 1 - 3 ไร่ และเป็นแถวๆ คล้าย
แนวรั้วตามขอบไรช่ ายนา จึงได้สอบถาม คุณมนูศักด์ิ เย็นฉ่ำ (โทร. 01-926-5751) หัวหน้า
โครงการพัฒนาเพื่อความมั่นคงพื้นที่ลุ่มน้ำน่านอันเนื่องมาจากพระราชดำริ พื้นที่ที่ 8
(โครงการ พมพ. พ้นื ที่ท่ี 8 จังหวดั นา่ น) เจ้าของพืน้ ทซ่ี ง่ึ ร่วมเดนิ ทางไปในตอนน้ันด้วย รวมทั้ง
ได้แวะดูและพูดคุยกับเจ้าของแปลงไผ่รวกดำ 2 - 3 ราย ได้ความว่า ไผ่รวกดำเหล่าน้ัน
เกษตรกรเจ้าของที่ดินได้ปลูกขึ้นเพื่อตัดลำส่งไปขายให้แก่ชาวประมงผู้เพาะเลี้ยง
หอยแมลงภทู่ ่จี งั หวดั ชลบรุ ี
โดยที่ตัวผมเองมีความรู้เรื่องการปลูกสร้างสวนไผ่อยู่บ้างเล็กนอ้ ย จึงทึ่งและให้ความ
สนใจกับการปลูกไผ่รวกดำเพื่อขายลำของเกษตรกรจังหวัดน่านเป็นอย่างมาก เพราะ
ระยะทางจากผู้ผลิตในจังหวัดน่าน ถึงผู้บริโภคในจังหวัดชลบุรีเกือบหนึ่งพันกิโลเมตร ค่า
ขนส่งไผ่รวกดำคงสูงพอสมควร เมื่อมีโอกาสเดินทางไปจังหวัดน่านในภายหลัง ก็พยายาม
ปลีกเวลาไปหาข้อมูลเพิ่มเติม รวมทั้งการเดินทางครั้งหลังสุดเมื่อปลายเดือนมีนาคม 2549
พบว่าการปลูกไผ่รวกดำตามขอบไร่ปลายนาทีจ่ ังหวัดน่านได้ขยายตัวออกไปกวา่ เมื่อ 5 - 6 ปี
ก่อนเป็นอย่างมาก โดยสว่ นใหญ่อยใู่ นท้องที่อำเภอปัว อำเภอเชียงกลาง และอำเภอท่าวังผา
ส่วนตลาดนน้ั มิไดจ้ ำกดั อยเู่ ฉพาะจังหวัดชลบรุ ีและระยองดังแต่ก่อนเทา่ นนั้
แต่ไผ่รวกดำจากจงั หวดั น่านยงั ส่งไปขายถึงจงั หวดั สรุ าษฎร์ธานอี กี ดว้ ย
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 155
ลักษณะเด่นของไผ่รวกคือ ลำตรง อัดแน่นเป็นกอ กาบหุ้มลำสีน้ำตาลอ่อนถึงเขียว
กาบตดิ แนน่ กบั ลำคงทนมากและผุสลายไปในขณะยังหุ้มติดอยกู่ บั ลำ
ไผ่รวกเป็นไผ่พื้นเมืองของเอเชียเขตร้อน ในประเทศไทยมีไผ่รวกอยู่สองชนิด คือ
ไผร่ วกหรอื ไม้รวก และไผร่ วกดำ
ไผ่รวกมีชื่อทางพฤกษศาสตร์ในภาษาละตินว่า Thyrsostachys siamensis ส่วนชื่อ
สามัญในภาษาอังกฤษนั้นมีหลายชื่อ เช่น Thai bamboo, Siamese bamboo และ
Umbrella bamboo เส้นผ่านศูนย์กลางลำประมาณ 2 - 5 เซนติเมตร ปล้องยาว 10 - 30
เซนติเมตร และความสูงประมาณ 3 - 10 เมตร พบเห็นในป่าธรรมชาติแทบทุกภาคของ
ประเทศ โดยเฉพาะภาคตะวันตกแถบจังหวัดกาญจนบุรีและราชบุรี จนบางคนเรียกไผ่รวก
ชนิดนวี้ า่ ไผ่รวกเมอื งกาญจน์
ไผ่รวกดำมชี ือ่ พฤกษศาสตร์ในภาษาละตินวา่ Thyrsostachys oliveri มชี ่ือสามัญใน
ภาษาอังกฤษว่า Edible-seeded bamboo มีลักษณะคลา้ ยกับไผ่รวกเมอื งกาญจน์มาก แต่
ลำมีขนาดใหญ่และสูงกว่า คือไผ่รวกดำสูงประมาณ 10 - 17 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางลำ
4 - 7 เซนติเมตร ความยาวปล้อง 30 - 50 เซนติเมตร ส่วนใหญ่มักปลูกเป็นแนวรัว้ หรือเป็น
หย่อมเล็กๆ ทางภาคเหนอื เพอ่ื ใช้ลำทำนั่งรา้ นในงานกอ่ สรา้ งและคำ้ ยันไมผ้ ลยืนตน้
แม้ไผ่รวกทั้งสองชนิดจะมีผู้ปลูกและบริโภคหน่อและใช้ประโยชน์ลำกันมาก
พอสมควร แต่ไผ่รวกเมืองกาญจน์ส่วนใหญ่ปลูกในภาคกลาง ส่วนไผ่รวกดำนั้นปลูกใน
ภาคเหนอื โดยเฉพาะอย่างยิง่ คือจังหวัดน่าน เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน และพะเยา ส่วนจะมี
เน้อื ทป่ี ลูกมากนอ้ ยเพยี งใดนน้ั ยงั ไม่ทราบแน่ชดั
แต่คุณประเสริฐ แก้วอินัง (โทร. 09-
955-0205) นักวิชาการส่งเสริมการเกษตร
ประจำศูนยส์ ่งเสริมและพัฒนาอาชพี การเกษตร
จงั หวัดนา่ น (พืชสวน) เล่าถงึ ตลาดของไม้ไผร่ วก
ดำเพื่อปักเลี้ยงหอยแมลงภู่ว่ามีความต้องการ
เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ในปีพ.ศ. 2533 ราคาซื้อ
ขายที่จังหวัดน่านลำละ 2.50 บาท แต่ในปีน้ี
(พ.ศ. 2549) ราคาเฉลย่ี ประมาณ 15 บาท
156 รวมเร่ืองสวนป่า
ไผ่รวกดำที่ทำการซื้อขายลำกันนั้นต้องเป็นลำทีม่ ีอายุ 3 ปีขึ้นไป เพราะลำอายุ 1 - 2 ปี
เนื้อไม้ยังไมแ่ กรง่ พอ เส้นผา่ นศูนย์กลางตอนกลางลำอยา่ งน้อย 4 เซนตเิ มตร ความยาวของลำ
ไม่จำกัด เกษตรกรเจ้าของสวนจะต้องตัดและขนลำไม้ไผ่มากองไว้ริมถนนที่รถบรรทุกสิบล้อ
สามารถเข้าไปขนได้ ราคาไม้ไผ่รวกดำ ณ จุดรวมกองขึ้นอยู่กับความยาวของลำไม้ไผ่ ตอนนี้
ซื้อขายกันเมตรละ 1 บาท โดยเฉลี่ยไผ่ลำหนึ่งๆ ยาวประมาณ 10 - 12 เมตร จึงมีราคาราว
10-12 บาท เมื่อขนไปสง่ ถงึ ชลบุรีและสรุ าษฎร์ธานีจะตกประมาณ 20 - 30 บาทต่อลำ ช่วงที่
มีการซื้อขายกันมากที่สุดคือระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงตุลาคม เพราะเป็นฤดูการเพาะเลี้ยง
หอยแมลงภู่
คาดว่ามีปริมาณไม้ไผ่รวกดำออก
จากจังหวัดน่านไม่น้อยกว่าปีละหนึ่งล้าน
ลำ จึงทำใหพ้ ้นื ที่ปลูกเพิ่มข้ึนอยา่ งรวดเรว็
จากท่าทอี นั สดใสของธรุ กิจลำไม้ไผ่
รวกดำดังกล่าว ทำให้นายเชาวรัตน์ อ่ิน
อา้ ย (โทร. 06-198-2455) อาจารย์ประจำ
โรงเรยี นไตรราษฎรว์ ทิ ยา ตำบลยม อำเภอ
ท่าวังผา จังหวัดน่าน ได้ใช้เวลาว่างจากราชการและงานสังคมทอ้ งถิ่นมาทำโครงการ “สวน
ไผ่นพรัตน์” ในเนื้อที่ประมาณ 70 - 80 ไร่ เพื่อเป็นแหล่งรายได้เสริมอย่างยั่งยืนให้แก่
ครอบครวั และเป็นตัวอยา่ งแหลง่ เรียนรู้แก่ชมุ ชน ภายใต้สโลแกน “ลองทำดู ครทู ำได้ ปลูก
ไผ่แก้จน”
อาจารย์เชาวรัตน์ได้ปลูกไผ่รวกดำในที่ดนิ
ของตนเองโดยใช้ระยะปลูก 4 x 4 เมตร หรือ
100 กอต่อไร่ ตอนแรกซื้อท่อนพันธุ์คือเหง้ามา
ปลูก แต่ตอนนี้ทำการขยายพันธุ์ได้เอง ซึ่ง
นอกจากจะใช้ปลูกเองแล้ว ยังเหลือพอที่จะ
จำหน่ายให้แก่ผู้สนใจในราคากล้าละ 10 บาทอีก
ดว้ ย
ปกติการขยายพนั ธ์ไุ ผร่ วกดำกระทำได้โดย
ตัดลำอายุ 1 - 2 ปีให้สูงจากพื้นดินประมาณ 60
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 157
เซนตเิ มตร แยกเหง้าออกจากกอ ทะลวงขอ้ เพ่ือใส่นำ้ ลงไปในปล้องให้ชมุ่ อยู่ตลอดเวลา นำไป
ชำลงในถงุ พลาสติกประมาณ 2 เดอื นกน็ ำไปปลกู ได้ แตใ่ นกรณขี องอาจารย์เชาวรตั น์ แทนที่
จะแยกเหง้าของลำใหญ่ออกจากกอดังทป่ี ฏบิ ตั ิกันมา อาจารยไ์ ดแ้ ยกเหงา้ และแขนงเล็กๆ ซ่ึง
มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง 1 - 2 เซนติเมตร ไปปักชำเลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำราว 2 เดือน แล้ว
จึงนำไปปลกู หรอื จำหนา่ ย โดยในการปลูกนั้นควรปลกู ให้เหงา้ ทำมมุ เอียงกับพื้นดินประมาณ
45 องศา เพื่อหน่อที่แตกออกจากตาทั้งสองข้างของเหง้าจะได้พุ่งตรงเป็นมุมฉากกับพื้นดนิ
กลายเป็นลำและสรา้ งกอข้ึนมาไดใ้ นเวลาอันรวดเร็ว
โครงการ “ลองทำดู ครูทำได้ ปลูกไผ่
แก้จน” ของอาจารย์เชาวรัตน์ อิ่นอ้าย เป็น
โครงการ 5 ปี (มกราคม 2544 ถึง ธันวาคม
2548) เนื้อที่โครงการ 50 ไร่ ใช้เงินกู้จาก
สหกรณ์ออมทรัพย์ครูน่านและธนาคารออม
สินจำนวน 1,000,000 บาท ปลูกไร่ละ 100
กอ ค่าใช้จ่ายในการปลูกและดูแลรักษา 5 ปี
แรก กอละ 200 บาท เมื่อสวนไผ่รวกดำอายุ
3 ปี ก็สามารถแยกเหง้าเพอ่ื ชำกล้าขายกอละ
5 เหงา้ ๆ ละ 10 บาท และตัดลำขายกอละ 5
ลำๆ ละ 10 บาท เช่นกนั รวมรายได้จากการ
ขายเหง้าและลำไผ่รวกดำอย่างต่ำกอละ 100 บาท หรอื 10,000 บาทตอ่ ไรต่ อ่ ปี
เมื่อกลางเดือนมีนาคม 2549 คุณอภิชาต วจนะไพโรจน์ แห่งบริษัท H&S Siam
Smartech Co.,Ltd และ Mr. Anthony, Shen จากบริษัท Chi Shan Group แห่งไต้หวัน
ได้มาพบผม และเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ทางไต้หวันต้องการไผ่ที่มีลำหนาๆ อย่างไผ่เลี้ยงเป็น
จำนวนมาก ผมก็แนะนำไปว่าไผร่ วกดำทเ่ี กษตรกรจงั หวัดน่านปลูกกันอยูก่ ็มีคุณสมบัติไม่ต่าง
ไปจากไผเ่ ลย้ี งท่ีคุณต้องการ ดทู ่าทีเขากใ็ ห้ความสนใจไมน่ ้อยเลย
ทว่า การปลูกไผ่ไม่ได้ให้ผลตอบแทนเฉพาะจากการขายเหง้าและลำดังกล่าวมาแล้ว
เทา่ นน้ั เพราะเป็นท่ที ราบกันดวี า่ ไผ่เป็นพชื สารพัดประโยชน์ แวดวงวิชาการป่าไม้จัดไผ่ไว้ใน
กลุ่มพืชอเนกประสงค์ ทุกส่วนมีประโยชน์ และมีสรรพคุณในเชิงสมุนไพรตามภูมิปัญญา
ท้องถิ่น อาทิ หน่อใช้เป็นอาหาร แก้ริดสีดวงทวาร แก้สตรีตกเลือดไม่หยุด ใบใช้ขับฟอกล้าง
158 รวมเรอื่ งสวนป่า
โลหิตระดูที่เสีย รากใช้ขับปัสสาวะ แก้หนองใน ไตพิการ ผลแก้โรคหืด ไข้ผอมเหลือง ขุยไผ่
ใชข้ บั เสมหะ แก้โรคบิด โรคตาแดง ฯลฯ
ที่สำคัญกว่านั้นคือไผ่ทำให้ดินดีมีความอุดมสมบูรณ์สูง ดังที่เรียกขานกันว่า “ดินขุย
ไผ่” ระบบรากของไผ่ช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน ลำไผ่ในกอช่วยชะลอความ
รุนแรงของลมพายุ รวมทั้งไผ่ยังก่อให้เกิดความอ่อนช้อยเขียวขจีมีสุนทรียภาพในแง่
ภูมิสถาปตั ยอ์ ีกด้วย
น่ันคือ ไผม่ ีคณุ ค่าทางสง่ิ แวดล้อมอย่างมหาศาลจนยากที่จะประเมนิ คา่ ออกมาเป็นตัว
เงินทแ่ี ท้จรงิ ได้
การปลูกไผ่รวกดำเพื่อขายลำที่จังหวัดน่านจึงเป็นเรื่องที่ทางจังหวัดและ
ผู้เก่ยี วข้องควรจะใหก้ ารสนบั สนุนเป็นอยา่ งยงิ่
ท่านท่ีสนใจประสงคจ์ ะได้รายละเอียดเพม่ิ เตมิ โปรดติดต่อบคุ คลดังกล่าวขา้ งต้นรวมท้ัง
คณุ วิโรจน์ ใบยา นายก อบต. ยม อำเภอทา่ วังผา โทร 01-992-1416 ได้โดยตรงครับ
30 แตนฝอยปม :
แมลงศัตรูพืชชนดิ ใหม่
ของไม้ยคู าลิปตัส
การปลูกไม้ยูคาลิปตัสเชิงพานิชย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งยูคาลิปตัส
คามาลดเู ลนซิส (Eucalyptus camaldulensis) ไดเ้ ริม่ กนั อย่างจริงจงั เม่ือประมาณย่ีสิบปีท่ี
ผ่านมานี้เอง โดยในระยะแรกๆ ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร เพราะทั้งภาครัฐและ
เอกชนต่างก็คิดว่ายูคาลิปตัสเป็นไม้ที่ปลูกง่าย ตายยาก โตเร็ว ไม่มีศัตรูพืชไม่ว่าจะเป็นโรค
รา หรือแมลงเหมอื นกบั พืชเศรษฐกิจอืน่ ๆ จงึ มองข้ามวิชาการด้านวนวฒั นวทิ ยาที่ว่าดว้ ยการ
ปลูกและการจัดการสวนปา่ ไป
จนเมือ่ เกดิ โรคระบาดทำใหไ้ ม้ยคู าลปิ ตัสท้งั ในภาคตะวนั ออกและภาคตะวนั ตกใบร่วง
ยืนต้นตายในวงกว้างในช่วงปลายฝนต้นหนาว ในปี พ.ศ. 2536 ถึง 2542 ภาคเอกชนผ้ปู ลกู
ยคู าลิปตสั รายใหญ่ ทง้ั บรษิ ัทสยามฟอเรสทรี จำกดั บริษทั สยามทรีดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด
บริษัทสโตร่าเอ็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด กลุ่มพันธมิตรดับเบิ้ลเอหรือสวนกิตติ รวมท้ัง
บริษัทไม้อัดไทย จำกัด และองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ต่างก็เริ่มให้
ความสำคัญกับการศึกษาวิจัยทางวนวัฒนวิทยาของไม้ยูคาลิปตัส และตื่นตัวกับสารพัน
ปัญหาในสวนป่ายูคาลิปตสั กันมากขึ้น จนถึงกับจัดตั้งหน่วยงานและจัดสรรงบประมาณเพ่ือ
การศกึ ษาวิจยั ข้ึนมาเชน่ เดียวกบั ในนานาอารยะประเทศทไี่ ด้ทำกนั ไปนานแล้ว
งานวิจัยส่วนใหญ่มุ่งไปที่การปรับปรุงบำรุงพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัสเพื่อให้ได้ผลผลิตต่อไร่
และมีความสามารถในการต้านทานศัตรูพืชสูง อย่างเช่นกรณีของบริษัทสยามทรีดีเวลลอป
เม้นต์ ไดก้ ำหนดวตั ถปุ ระสงคห์ ลักของการปรับปรงุ พันธุ์ไว้ 4 ประการ คือ (1) เพิ่มผลผลิตไม้
ให้ได้ความเพิ่มพูนรายปี (MAI) อย่างน้อย 4 ตัน/ไร่/ปี (2) เพิ่มผลผลิตเยื่อ (pulp yield)
จากปัจจุบัน 45% ให้ถึง 50% (3) เพิ่มความหนาแน่นของเนื้อไม้ (wood density) ให้อยู่
พมิ พค์ รง้ั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (60) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)
160 รวมเรอ่ื งสวนป่า
ระหว่าง 550 - 600 กก./ลบ.ม. และ (4) ให้ต้นกล้าและหมู่ไม้ในสวนป่ามีความต้านทานต่อ
โรคและแมลงสงู
จากโรคราในปลายทศวรรษ 2530 ผู้ปลูกยูคาลิปตัสก็ต้องเผชิญกับศัตรูพืชชนิดใหม่
คือแมลง “แตนฝอยปม” ซึ่งเริ่มระบาดทั่วทุกภาคของประเทศตั้งแต่กลางปี พ.ศ. 2547
เปน็ ตน้ มา ท้ังในเรือนเพาะชำและในสวนป่ายคู าลปิ ตัส
ดังนัน้ ศนู ย์วิจยั ป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ (โทร. 02-561-4761)
และบริษทั ฟอร์เซิร์ฟจำกัด (โทร. 02-887-4759-60) จึงได้ร่วมกันจดั ใหม้ ีการประชุมสัมมนา
เรื่อง “โรคและแมลงในสวนป่ายูคาลิปตัส:จากโรคเชื้อราถึงแตนปมฝอย” ขึ้นเมื่อวันที่
8 พฤษภาคม 2549 ที่คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยการสนับสนุนของ
บริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด บริษัทสยามทรีดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด บริษัทสโตร่าเอ็นโซ่
(ประเทศไทย) จำกัด และบริษทั ฟีนคิ ซ พัลพ์ แอนด์ เปเปอร์ จำกดั (มหาชน)
การประชุมสัมมนาครั้งนี้เริ่มด้วยผู้ประกอบการการปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัสท้ัง
ภาคเอกชนและรัฐวสิ าหกจิ ได้นำเสนอปญั หาและสถานภาพการระบาดของแตนฝอยปม ตาม
ดว้ ยการอภิปรายซักถามของผเู้ ข้าร่วมประชุม และตอบขอ้ สงสัยพร้อมกับเสนอแนะแนวทาง
ป้องกันแกไ้ ขโดยนักวชิ าการจากภาครัฐ
วิทยากรหลักประกอบด้วยคุณประจักษ์ รื่นฤทธ์ิ (บริษัทสโตร่าเอ็นโซ่ ประเทศไทย
จำกดั : โทร 09-205-6275) คณุ มงคล ศรอี นันต์ (บรษิ ัทไมอ้ ดั ไทย จำกดั : โทร 06-312-0957)
คุณฐิติพร สายมณี (บริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด : โทร. 01-930-5839) คุณสมชาย
ธรรมรักษ์เจริญ (บริษัทสยามทรีดีเวลลอปเม้นต์ จำกัด : โทร. 09-500-3536) คุณขวัญชยั
สันติแสงทอง (องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ : โทร. 09-861-7746) คุณกฤษณา พงษ์พานิช
(กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช : โทร. 01-819-9703) รองศาสตราจารย์โกศล
เจริญสม (คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ : โทร. 09-987-5229) และ
รองศาสตราจารย์ ดร.เดชา วิวัฒน์วิทยา (คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ :
โทร. 09-694-8650)
โดยวงจรชวี ติ พฤตกิ รรมการเข้าทำลาย และการสร้างปมแล้ว อาจารยโ์ กศล เจริญสม
ได้เสนอใหเ้ รยี กชื่อแมลงชนดิ นีว้ ่า “แตนฝอยปม” เช่นเดียวกับ ดร. เดชา วิวฒั นว์ ิทยา แทน
คำว่า “แตนปมฝอย” ดงั ท่ีได้กำหนดไว้ในชอ่ื การประชุมสัมมนานี้
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 161
แตนฝอยปม (invasive gall wasp) มีช่ือ
วทิ ยาศาสตร์วา่ Leptocybe invasa จดั อย่ใู นวงศ์
Eulophidae อันดับ Hymenoptera เป็นแมลงที่
มีขนาดเล็กมาก ลำตวั ยาวประมาณ 1.5 มิลลิเมตร
เทา่ นัน้ สีนำ้ ตาลแกมดำ หนวดส้นั ปีกใส มเี ส้นปีก
เพียงหนึ่งเส้น สามารถผสมพันธุ์ได้ในตัวเอง
สามารถผลิตประชากรไดป้ ีละ 2 - 3 รนุ่ โดยมีช่วง
อายุขัยประมาณ 4 - 5 เดือน ช่วงตัวเต็มวัยสั้นคือ
ใช้เวลาเพียง 5 - 10 วันเท่านั้น เมื่อออกเป็นตัว
เต็มวัย (ออกจากปม) กจ็ ะรีบวางไข่ โดยวางไขค่ รัง้ ละ 80 - 100 ฟอง ลกู ทีไ่ ดส้ ่วนมากเป็นเพศ
เมยี จึงเปน็ เหตุให้การแพร่กระจายหรือการเพิ่มจำนวนประชากรของแตนฝอยปมเป็นไปอย่าง
รวดเร็วมาก
ดร. เดชา ววิ ัฒนว์ ิทยา ไดเ้ น้นว่าแตนฝอยปมเป็นแมลงที่จดั อยู่ในกลุ่มแตนเบียนฝอย
ไม่ใช่กลุ่มแตนปมฝอย เป็นแมลงต่างถิ่นเพราะมีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศออสเตรเลีย แต่ได้
แพร่กระจายระบาดสร้างความเสียหายอย่างหนักให้แก่สวนป่ายูคาลิปตัสแถบตะวันออก
กลางและกล่มุ ทะเลเมดิเตอเรเนียนในราวปี พ.ศ. 2543 เป็นแมลงทเ่ี จาะจงทำลายยูคาลปิ ตสั
เป็นหลัก มีความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศต่างๆ ได้ดีและแพร่กระจาย
ประชากรได้อยา่ งรวดเร็วภายในระยะเวลาอนั สนั้
พฤติกรรมการเข้าทำลายไม้
ยูคาลิปตัสของแตนฝอยปมเกิดขึ้นทง้ั
กับต้นกล้าในเรือนเพาะชำและต้นไม้
ใหญ่ในสวนป่า โดยใช้อวัยวะวางไข่
แทงหรือสอดเข้าไปที่เนื้อเยื่อบริเวณ
epidermis ด้านบนของใบหรือก้าน
ใบ แต่ถ้าเป็นก่งิ ออ่ นกจ็ ะสอดเข้าไปที่
บริเวณเนื้อเยื่อ parenchyma โดย
เลือกบรเิ วณท่ีมีการเจริญเติบโตใหม่ๆ
หลังจากน้ัน 1 - 2 สัปดาห์ เนื้อเยื่อบริเวณที่ถูกทำลายกจ็ ะพัฒนากลายเปน็ ปม พร้อมๆ กับ
การเจริญเติบโตของแมลงทอ่ี าศัยอยูภ่ ายในปม ซง่ึ ปมกเ็ ปรยี บเสมือนเนือ้ งอกในมนุษย์นนั่ เอง
162 รวมเร่อื งสวนป่า
ส่งผลเสียหายให้แก่ต้นยูคาลิปตัสที่เจริญเติบโตขึ้นมา โดยลำต้นจะคดงอแตกเป็นพุ่ม เสีย
รปู ทรงสง่ ผลตอ่ ไปยังผลผลิตของเนื้อไมใ้ นสวนป่า
แตอ่ ย่างไรก็ตาม แตนฝอยปมสร้างความเสียหายให้แกก่ ล้าไมย้ ูคาลปิ ตสั ในเรือนเพาะชำ
และแปลงตดั ให้แตกหน่อมากกวา่ ไม้ใหญใ่ นสวนปา่ ท่ัวๆ ไป
แตนฝอยปมถอื ว่าเป็นแมลงศตั รูไม้ยูคาลิปตสั ชนิดใหม่สำหรบั ประเทศไทย เพราะเพิ่ง
พบเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมานี้เอง โดยคุณมงคล ศรีอนันต์ หัวหน้าสวนป่าลาดกระทิง จังหวัด
ฉะเชิงเทรา (บริษัทไม้อัดไทย จำกัด)
ไดร้ ายงานวา่ พบแตนฝอยปมครง้ั แรก
เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2547 ใน
แปลงยูคาลิปตัสที่ตัดให้แตกหน่อ
(coppice system) อายุ (หน่อ) 6
เดือน หลังจากนั้นก็แพรก่ ระจายไปสู่
แปลงเพาะทั้งกล้าที่ขยายพันธุ์โดย
การเพาะเมลด็ และโดยวธิ ตี ัดก่ิงปกั ชำ
แต่แทบจะไม่พบหรือพบนอ้ ยมากกบั
ต้นยูคาลิปตัสที่มีอายุเกินกว่า 1 ปี
หรอื มคี วามสงู ต้งั แต่ 3 เมตรขึ้นไป
ในขณะที่ คุณฐิติพร สายมณี นักวิจัยดา้ นการปรับปรุงพันธุ์ไม้ยูคาลิปตัส จากบรษิ ัท
สยามฟอเรสทรี จำกัด รายงานว่าได้พบแตนฝอยปมครั้งแรกในท้องที่อำเภอพนมทวนและ
อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อกลางปี พ.ศ. 2548 ทั้งในกล้าไม้ยูคาลิปตัสในแปลง
เพาะ ยูคาลิปตัสในสวนป่าแปลงปลกู ใหม่ และยูคาลิปตัสแปลงที่ตัดใหแ้ ตกหน่อ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งแปลงที่มีวัชพืชขึ้นอยู่หนาแน่นจะปรากฏว่ามีแตนฝอยปมระบาดมากกว่าแปลงที่มี
การกำจัดวัชพืชและจัดการอย่างดี ในขณะที่คุณสมชาย ธรรมรักษ์เจริญ (บริษัทสยามทรีดี
เวลลอปเม้นต์ จำกัด) ได้พบแตนฝอยปมทางภาคตะวันออกแถบจังหวัดระยองและชลบรุ ีใน
เดือนมีนาคม พ.ศ. 2549 ใกล้เคียงกับที่ คุณขวัญชยั สันติแสงทอง หัวหน้าสวนป่ามัญจาคีรี
(องคก์ ารอตุ สาหกรรมป่าไม้) รายงานการตรวจพบทจ่ี งั หวัดขอนแกน่
สว่ นคณุ ประจกั ษ์ รื่นฤทธ์ิ กรรมการผจู้ ัดการบริษัทสโตร่าเอ็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด
ได้แจ้งต่อที่ประชุมสัมมนาว่าอัตราการเข้าทำลายของแตนฝอยปมในจังหวดั สระแก้วผันแปร
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 163
ไปตามชนิดและสายต้น (clone) ของไม้ยูคาลิปตัส โดยยูคาลิปตัสยูโรฟิลลา (Eucalyptus
urophylla) และยูคาลิปตัสเพลลิต้า (Eucalyptus pellita) มีจำนวนสายต้นที่ถูกทำลาย
น้อยที่สุด ถัดขึ้นมาเป็นยูคาลิปตัสเทอริติคอนิส (Eucalyptus tereticornis) ในขณะท่ี
ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซีส (Eucalyptus camaldulensis) ซึ่งปลูกกันมากที่สุดในประเทศ
ไทยในขณะน้นี ้นั ถูกทำลายมากท่สี ดุ
แสดงวา่ แตนฝอยปมไดเ้ กดิ ข้ึนและกำลังแพร่กระจายไปในสวนป่ายคู าลปิ ตสั ทั่วทกุ ภาค
ของประเทศไทย ทั้งภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
โดยส่วนใหญ่เกดิ ข้นึ กับกล้าไม้ในแปลงเพาะ ไมท้ ี่แตกหน่อใหม่ภายหลังการตดั ฟนั และไม้ใน
สวนปา่ ทย่ี ังมขี นาดเล็ก ณ พื้นท่หี นงึ่ ๆ พบในหนา้ ฝนซงึ่ มีวัชพืชหนาแนน่ มากกว่าในหน้าแล้ง
ทวา่ ไมป่ รากฏวา่ มกี ารระบาดรนุ แรงในประเทศออสเตรเลียอันเป็นถ่ินกำเนิดเดมิ
เนื่องจากแตนฝอยปมเป็นแมลงศัตรูพืชที่ยังใหม่มากสำหรับวงการกีฏวิทยาของไทย
ยังไม่เคยมีการศึกษากันอย่างจริงๆ จังๆ เลย ทำให้ขาดข้อมูลด้านชีววิทยาและนิเวศวิทยา
อันจะนำไปสู่การควบคุมป้องกันที่ถูกต้องเหมาะสมตามหลักวิชาการ แต่อย่างไรก็ตาม ท่ี
ประชุมสัมมนาเมือ่ วนั ที่ 8 พฤษภาคม 2549 ไดเ้ สนอแนะแนวทางการป้องกันและการกำจัด
แมลงศัตรพู ชื ชนิดใหมน่ ไ้ี ว้หลายประการ อาทิ
1. หมั่นสำรวจหาแตนฝอยปมในหน้าฝนตามก้านใบ กิ่งอ่อน และยอดอ่อนของต้น
ยูคาลิปตัสทั้งในแปลงเพาะ แปลงที่เกิดจากการแตกหน่อภายหลังการตัดฟัน และสวนป่า
แปลงปลกู ใหมซ่ ึ่งตน้ ไม้มอี ายุน้อย เมือ่ พบก็ให้ทำการเด็ดหรือตดั แลว้ เผาทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้
ระบาดแพร่กระจายในวงกว้างตอ่ ไป แต่ถ้าพบวา่ มกี ารระบาดหนักมากกจ็ ำเปน็ จะต้องใช้สาร
ฆา่ แมลงประเภทดูดซึมฉีดพน่ แทน
2. ทำให้ต้นไม้ไม่เครียด มีความแข็งแรง และเจริญเติบโตรวดเร็ว ด้วยการจัดการ
แปลงเพาะและสวนป่าอยา่ งประณีต เช่น กำจดั วชั พืชเพอ่ื ลดถน่ิ ทีอ่ ยู่อาศัยและสภาพแวดล้อม
ท่ีเหมาะสมของแมลง ใส่ปุ๋ยเพื่อปรับปรุงบำรุงดนิ เร่งการเจริญเติบโตของต้นไม้ และจัดการ
ให้ต้นยคู าลปิ ตสั ได้รบั แสงสว่างเตม็ ทเี่ พราะยคู าลปิ ตสั เปน็ ไมท้ ีต่ อ้ งการแสง
3. ใช้หลักชีววิธี (bio-control) ที่เหมาะสมเพื่อให้ธรรมชาติได้ควบคุมธรรมชาติ
ด้วยกันเอง ด้วยการค้นหาตัวห้ำ-ตัวเบียน ที่มีประสิทธิภาพมาเพาะเลี้ยงและปล่อยออกไป
เพราะพบวา่ แมลงจำพวก Bacillus สามารถทำลายแมลงจำพวก Hyminoptera (ซงึ่ รวมทั้ง
164 รวมเรอื่ งสวนป่า
แตนฝอยปมด้วย) จึงน่าจะทดลองเล้ียง Bacillus แล้วนำไปปล่อยในแปลงเพาะหรือสวนปา่
ยูคาลปิ ตัสท่ีแตนฝอยปมระบาด เพ่ือหาบทสรุปในการป้องกนั และกำจดั แตนฝอยปมต่อไป
4. ใช้หลกั วิชาการปรบั ปรงุ บำรงุ พนั ธุไ์ มป้ า่ (tree improvement) เพือ่ ให้ไดย้ ูคาลิปตัส
ที่โตเร็วและมีความต้านทานศัตรูพืชสูง ด้วยการคัดเลือกชนิดและสายต้นที่เหมาะสมพร้อม
กับผสมพันธุ์ใหม่ขึ้นมาเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานพันธุกรรมของไม้ยูคาลิปตัสให้
กว้างยงิ่ ข้ึน เพราะโรคราและแมลงศัตรูพชื ใหมๆ่ เกิดเพม่ิ ขน้ึ ตลอดเวลา
5. หน่วยงานทงั้ ภาครฐั และเอกชนที่เกย่ี วข้อง อาทิ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ กรม
ป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ตอ้ งร่วมกนั
ศึกษาวจิ ัยอย่างจริงจงั และต่อเนื่อง แล้วเผยแพร่ข่าวสารผลการวิจัยไปสู่ผู้ปลกู ยูคาลิปตสั ทกุ
ระดบั เพราะเมอ่ื เกิดโรคราแมลงศตั รตู ัวใหมข่ ้ึนมาแลว้ ความเสยี หายไมไ่ ดจ้ ำเพาะเจาะจงอยู่
เพียงท้องที่ใดหรือรายใดรายหนึง่ เท่านั้น แต่จะระบาดและสร้างความเสยี หายให้แกป่ ระเทศ
ไทยในภาพรวมดว้ ย
อย่างไรก็ตาม ขณะเขียนต้นฉบับนี้ (วันที่ 28 พฤษภาคม 2549) ผมได้รับแจ้งจาก
คุณเกียรติศักดิ์ สุตะพรหม (โทร. 085-841-8254) ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัทฟอร์เซิร์ฟ
จำกัด และ ดร. นิคม แหลมสัก (โทร 081-833-6162) ผูอ้ ำนวยการศูนยว์ ิจยั ป่าไม้ มหาวทิ ยาลยั
เกษตรศาสตร์ ว่าบริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด และบริษัทสโตร่าเอ็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด
ได้ขอให้หน่วยงานท้ังสองเป็นแกนกลางในเรื่องนี้ โดยจัดให้มีการประชุมพบปะ เพื่อติดตาม
ความเคล่อื นไหวอยา่ งต่อเน่อื ง โดยบริษัทฯ ยินดีใหก้ ารสนับสนุนและความรว่ มมืออยา่ งเต็มที่
ในข้นั น้ีหากท่านมปี ัญหาเก่ียวกับแตนฝอยปม และประสงค์จะไดร้ ายละเอียดเพิ่มเติม
โปรดติดต่อบุคคลและหน่วยงานดังรายนามข้างต้นตามหมายเลขโทรศัพท์ที่ให้ไว้โดยตรงได้
เลยครับ
31 ปลกู สะตอ
ในยุคเศรษฐกจิ พอเพยี ง
ตอนนี้ใครไม่พูดถึง “เศรษฐกิจพอเพียง” ก็ถือว่าตกยุค เข้าใจง่ายๆ เศรษฐกิจพอเพียง
ก็คือ “มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าให้ขาดสิ่งของต้องประสงค์ มีน้อยใช้น้อยค่อย
บรรจง อยา่ จา่ ยลงให้มากจะยากนาน” นน่ั เอง
เศรษฐกิจพอเพียงไม่จำเป็นต้องยึดติดอยู่กับการเกษตรเท่านั้น จะทำอาชีพอะไรที่
สุจริตก็ไดท้ ง้ั นนั้ คอ่ ยๆ เกบ็ หอมรอมริบ ระมดั ระวงั การใช้จา่ ยอย่าให้เกินตวั เกินความจำเป็น
แต่การเกษตรเป็นรากฐานสำคัญของปจั จยั ส่ี ทง้ั อาหาร เคร่อื งนุ่งห่ม ท่อี ยู่อาศัย และยารักษา
โรค ต่างก็ได้มาจากภาคการเกษตรท้งั นัน้ จงึ ทำให้เข้าใจว่าเศรษฐกิจพอเพยี งคือการเกษตร
สะตอกเ็ ปน็ ทม่ี าของปจั จยั ท่จี ำเป็นสำหรับมนุษยเ์ กอื บครบสีป่ ระการ อาจจะขาดกแ็ ต่
เพียงการใช้เป็นเครื่องนงุ่ ห่มเท่านน้ั เพราะสะตอให้ท้ังอาหาร ทอ่ี ย่อู าศัย และยารกั ษาโรคแก่
มนุษย์ การปลูกสะตอจึงสอดคล้องกับแนวพระราชดำริ “ปลูกป่า 3 อย่าง เพื่อประโยชน์
4 อย่าง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัว เพราะฝักและยอดออ่ นของสะตอกินเปน็ อาหาร
ได้ ไม้สะตอใช้ทำฟืนและใช้สอยทั่วๆ ไปได้ สะตอเป็นพืชตระกูลถั่ว ประโยชน์อย่างที่สี่ คือ
ช่วยในการอนุรักษ์ดินและน้ำและเพิ่มพูนความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน วงการป่าไม้จึงจัดให้
สะตอเป็นไม้อเนกประสงค์ (multipurpose tree species หรอื MPTS)
สะตอเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ (evergreen tree) ขนาดใหญ่ ลำต้นตรง เปลา มีพูพอน
บรเิ วณโคนต้น สูงประมาณ 30 เมตร เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางของลำต้นอาจจะสงู ถึง 120 เซนติเมตร
ก็ได้ ในธรรมชาติพบอยูท่ ่ัวไปในป่าดิบช้ืนทัง้ บนท่ีราบและเนนิ เขารวมทั้งบนพืน้ ท่ีดินเลว แต่
เจริญเติบโตได้ดีในทซ่ี ่ึงเป็นดนิ เหนียวปนทรายมฝี นตกชุก แต่น้ำไมท่ ่วมขงั โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ทางภาคใต้และภาคตะวันออกของประเทศไทย
พมิ พ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (59) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)
166 รวมเร่อื งสวนป่า
ในทางพฤกษศาสตร์ สะตอเป็นพืชสกุล Parkia (สกุลไม้สะตอ) วงศ์ Leguminosae
วงศ์ย่อย Mimosaceae มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Stink bean และชื่อวิทยาศาสตร์ใน
ภาษาละติน คือ Parkia speciosa Hassk. พืชสกุลนี้มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติและกระจาย
พันธุ์อยู่ท่วั ไปในป่าดบิ ชืน้ และป่าเบญจพรรณผสมของเขตร้อนช้ืนในเอเชยี อาคเนย์ พม่าและ
อนิ เดยี มีอยู่ดว้ ยกันทง้ั สน้ิ ประมาณ 40 ชนิด แตท่ ่ีเจรญิ เตบิ โตได้ดใี นประเทศไทยและคนไทย
รู้จักคนุ้ เคยมีเพียง 4 ชนิด อนั ไดแ้ ก่
1. สะตอ (Parkia speciosa Hassk.) หรอื ตอ กะตอ ปะตา ปาไต และปัตเตา๊ ะ
2. เหรียง (Parkia timoriana Merr.) หรอื เรยี ง สะเหร่ียง กะเหรีย่ ง นะกิง และนะริง
3. ลกู ดิ่ง (Parkia sumatrana Miq.) หรอื คอ้ นกลอง มะขามเฒา่ และอีเฒ่า
4. คอ้ นก้อง (Parkia leiophylla Kurz) หรอื สะตอปา่ ค้อนก้อมผีแปง สารค้อนก้อง
สารเงนิ และสารผกั หละ
ในจำนวนนี้เหรียงมีขนาดสูงใหญ่ที่สุด คือ สูงถึง 50 เมตร รองลงมาคือลูกดิ่ง และ
ค้อนก้อง ซึ่งสูงราว 35 เมตร ในขณะที่ต้นสะตอมีความสูงน้อยที่สุด คือ สูงเพียง 30 เมตร
เท่าน้ัน แต่สะตอกลับมีบทบาทตอ่ วิถีชวี ติ ของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปักษใ์ ต้มากท่สี ดุ
จนมีการเรียกขานคนปักษ์ใตว้ ่าเปน็ พวก “กลุ่มสะตอ” หรือ “สะตอสามัคคี” ตามลักษณะ
ของเมล็ดซึ่งเรียงกันอยู่อย่างเป็นระเบียบและติดกันอย่างเหนียวแน่นในแต่ละฝัก และ
หลายๆ ฝกั ก็รวมกันเปน็ ช่อเป็นกล่มุ กอ้ นในลักษณะ “ไปไหน ไปกนั ”
กรมวชิ าการเกษตรจดั สะตอเป็นพชื ผกั ยนื ตน้ พชื ผกั เศรษฐกิจที่มบี ทบาทความสำคัญ
สูงมากชนิดหนึ่งซึ่งทำรายได้สุทธิให้แก่เจ้าของสวนปีหนึ่งๆ ไม่น้อย เพราะไม่ต้องเอาใจใส่
บำรุงรักษามากมายเหมือนพชื ผักเศรษฐกิจอนื่ ๆ แถมยังมีผ้นู ิยมบริโภคกวา้ งขวางมากขึ้นทุก
วนั เพราะเปน็ พืชผกั ท่มี รี สชาตดิ ี มคี ณุ คา่ ทางอาหารสงู สามารถนำมารบั ประทานไดท้ ้ังในรปู
ของผกั สดและนำมาเปน็ สว่ นประกอบหลกั ของอาหารปรุงสุก แถมยังมีคณุ ค่าในเชงิ เภสัชกรรม
อกี ด้วย
หนังสือ “สยามไภษัชยพฤกษ์ : ภูมิปัญญาของชาติ” ของคณะเภสัชศาสตร์
มหาวทิ ยาลยั มหิดล ได้กล่าวถงึ สรรพคุณของสะตอตามตำรายาไทยว่า เมล็ดใช้ขบั ลมในลำไส้
แก้ปัสสาวะพิการ (มีอาการปัสสาวะปวด หรือกระปริบกะปรอย หรือขุ่นข้น สีเหลืองเข้ม
หรือมีเลือด) ไตพิการ (โรคเกี่ยวกับระบบปัสสาวะ มีปัสสาวะขุ่นข้น เหลืองหรือแดง และมี
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 167
อาการแน่นท้อง กินอาหารไม่ได้) โดยศูนย์สมุนไพรทักษิณ คณะเภสัชศาสตร์ ได้กล่าวถึง
ประโยชน์ทางยาของเมล็ดสะตอว่า ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด กินเป็น
ประจำชว่ ยป้องกันโรคเบาหวาน
นอกจากนย้ี ังไดม้ ีการศึกษาฤทธ์ิทางเภสัชวิทยาของสะตอ พบว่า สารสกัดด้วยน้ำของ
เมล็ดและเนื้อฝักสะตอมีฤทธิ์ช่วยลดความดันโลหิตในหนูทดลอง มีผลกระตุ้นการแบ่งเซลล์
ของเม็ดเลือดขาว ยบั ย้ังการเจริญเตบิ โตของแบคทเี รียและเชือ้ รา รวมทงั้ โปรตนี ทส่ี กดั ได้จาก
เมลด็ สะตอ พบว่า มีผลต่อการลดระดบั น้ำตาลในเลือดของหนูทดลองทเ่ี ป็นเบาหวาน
สว่ นการบริโภคสะตอตามวิถีชวี ิตของคนใตน้ น้ั บริโภคทั้งยอดอ่อน เมลด็ และฝัก ท้ัง
ในรูปของเมล็ดหรือฝักสดที่เรียกว่า “ผักเหนาะ” ฝักสะตอสุกโดยการนำไปตม้ หรือเผาไฟที่
เรียกว่า “ตอต้ม” หรือ “ตอหมก” นำเมล็ดมาหมักดองที่เรียกว่า “ตอดอง” และนำมา
ประกอบอาหารประเภทอาหารเผด็ เชน่ ผัดเผ็ด แกงเผด็ เป็นต้น
คณะกรรมการโภชนาการแหง่ ชาติ กรมอนามัย ได้ทำการวเิ คราะห์คุณค่าทางอาหาร
ของเมลด็ สะตอ 100 กรมั พบว่า มคี ุณค่าทางอาหารดงั ต่อไปน้ี
พลงั งาน 130 กิโลแคลอรี่
นำ้ 70.7 กรมั
คารโ์ บไฮเดรต 15.5 กรมั
โปรตนี 8.0 กรัม
ไขมัน 4.0 กรัม
กาก 0.5 กรมั
เถา้ (Ash) 1.3 มลิ ลิกรัม
แคลเซียม 76 มลิ ลกิ รมั
ฟอสฟอรัส 83 มิลลิกรัม
เหลก็ 0.7 มิลลกิ รมั
วติ ามินเอ 794 หน่วยสากล (I.U.)
วติ ามนิ บี 1 0.11 มลิ ลิกรมั
วติ ามินบี 2 0.01 มิลลกิ รัม
วิตามนิ ซี 6.0 มลิ ลกิ รัม
ไนอะซีน 1.0 มลิ ลิกรมั
168 รวมเรอื่ งสวนปา่
สว่ นประโยชน์ด้านการนำเน้อื ไมไ้ ปใชส้ อยนน้ั
แม้จะไม่แพร่หลายและเป็นที่นิยมเหมือนไม้
เศรษฐกิจอื่นๆ เนื่องจากมีปริมาณน้อย แต่ไม้สะตอ
ซึ่งมีสีขาวนวล แข็ง และมีแก่นมาก ก็เหมาะสำหรับ
นำมาใชใ้ นการก่อสร้างทั่วๆ ไป รวมทั้งใช้ทำไมแ้ บบ
เครื่องเรือน และลังบรรจุของได้เป็นอย่างดี โดย
เฉพาะอย่างยิ่งภายหลังการปิดป่าในเดือนมกราคม
พ.ศ. 2532 ไม่นาน ประเทศไทยประสบปัญหากับ
การขาดแคลนไมใ้ ช้สอยเปน็ อยา่ งมาก ผปู้ ระกอบการ
ยังปรับตวั ให้เขา้ กบั การนำเข้าไม้ซุงจากต่างประเทศ
ไม่ทัน ไม้ผลยืนต้นขนาดใหญ่ในภาคใต้ทั้งทุเรียน
เหรียง และสะตอ ต่างก็ถูกพ่อค้าไม้จากส่วนกลางลงไปกว้านซื้อกันอย่างมาก เพราะไม้
เหลา่ น้มี ีลำตน้ สูงใหญ่ กลม ตรงเปลา เหมาะสำหรบั ใช้ในอตุ สาหกรรมไมบ้ าง (veneer) เป็น
อยา่ งมาก ปจั จบุ นั นจ้ี ึงมีต้นสะตอขนาดสูงใหญ่หลงเหลือให้เห็นอยู่ในภาคใตไ้ มม่ ากนัก
กองวิจัยผลิตผลป่าไม้ กรมป่าไม้ ไดท้ ำการศกึ ษาคณุ สมบตั พิ นื้ ฐานของไม้สะตอและ
ไม้เหรียงไดผ้ ลดังตารางท่ใี ห้ไว้ ณ ท่ีนี้
คุณสมบัตพิ ้นื ฐานของไม้สะตอและไม้เหรียง
คุณสมบัตขิ องเนือ้ ไม้ สะตอ เหรียง
12
ความชนื้ , % 11 0.50
ความถว่ งจำเพาะ 0.44 720
363
ความแข็ง กก/ ตร.ซม. 88
803
- การดดั 800 1.76
318
- การบบี 436 > 2.6 (1.3 – 5.0)
สนี ้ำตาลอมเหลอื ง
- การเชอื ด 117
ความด้ือ x 100 กก/ ตร.ซม. 887
ความเหนียวจากการเดาะ, กก.-ม. 1.61
ความแขง็ , กก. 272
ความทนทานจากการทดลองฝังดนิ 1 ปี > 2.3 (0.5 – 5.0)
เนือ้ ไม้ สีขาวนวล
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 169
ผู้สนใจหรือคิดจะปลูกสะตอควรจะต้องทราบว่า
สะตอมี 2 ชนิด คอื สะตอขา้ ว และสะตอดาน สะตอข้าว
มีขนาดของทรงพุ่มเล็กแต่ให้ผลเร็วกว่าสะตอดาน
ในขณะที่เมล็ดและฝักของสะตอดานมีขนาดใหญ่และมี
รสชาติเผ็ด/ ฉุนกว่าสะตอข้าว ส่วนความนิยมของ
ผูบ้ รโิ ภคขึ้นอยู่กบั ความพึงพอใจเฉพาะตวั แต่ดูเหมือนว่า
สะตอดานจะไดร้ ับความนิยมมากกว่าสะตอขา้ ว
กรมส่งเสริมการเกษตรได้รายงานว่า ในปี พ.ศ.
2538 ประเทศไทยมีเนื้อที่การปลูกไม้สะตอรวมทั้งสิ้นประมาณ 137,000 ไร่ โดยส่วนใหญ่
อยู่ในจังหวัดชุมพรและระนอง ซึ่งมีเนื้อที่ปลูกถึงร้อยละ 31.28 และ 26.03 ตามลำดับ ให้
ผลผลิตรวมทั้งประเทศ 30,983 ตัน จากเนื้อที่ที่ให้ผลผลิต 58,495 ไร่ หรือเฉลี่ย 530
กิโลกรัมต่อไร่ ราคาซอ้ื ขายที่สวนกิโลกรัมละ 24.16 บาท หรอื เฉล่ยี ไร่ละ 12,800 บาทเศษ ซ่ึง
ถือว่าเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลยเมื่อเปรียบเทียบกับพืชผักเกษตรอื่น เพราะสะตอมีศัตรูพืชและ
ความต้องการการดแู ลรักษาอยา่ งประณีตน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม พนื้ ทท่ี ีป่ ลกู สะตอควรมฝี นตกชุกเหมือนภาคใต้หรือภาคตะวันออกของ
ประเทศไทย ซ่งึ มปี รมิ าณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีประมาณ 2,000 มิลลิเมตร แตต่ อ้ งไม่มีน้ำท่วมขัง
การขยายพันธุ์สามารถกระทำได้ทั้งวิธีอาศัยเพศคือนำเมล็ดมาเพาะ ซึ่งให้อัตราการงอก
ค่อนขา้ งสงู และวิธไี ม่อาศัยเพศโดยการติดตาหรือการตัดก่ิงปักชำ ระยะปลูกท่ีนิยมใช้กันคือ
10 x 10 เมตร หรือ 12 x 12 เมตร โดยมีความหนาแน่น 11 - 16 ต้นต่อไร่ เพื่อให้มีการใช้
ประโยชนท์ ีด่ นิ อยา่ งเตม็ เม็ดเตม็ หน่วย ชอ่ งว่างระหว่างต้นหรือระหวา่ งแถวของสะตอจึงควร
มีการปลูกพืชควบ ชนิดของพืชควบที่เหมาะสมได้แก่สับปะรด เพราะช่วยให้เกษตรกรมี
รายได้ในช่วง 4 - 5 ปีแรกก่อนที่สะตอจะให้ฝัก หรือกาแฟ เพราะเป็นพืชที่ทนร่มและให้ผล
ตอ่ เน่ืองควบค่ไู ปกับสะตอตลอดไป
สะตอจงึ เปน็ พืชทางเลือกท่ีน่าลองในยุคเศรษฐกิจพอเพียง
32 การปลูกไม้ยคู าลปิ ตัส
ในประเทศจีน
ในระหว่างวันที่ 17 - 24 กรกฎาคม 2549 ผมได้มีโอกาสเดินทางไปประเทศจีนอีก
คร้ังหนึ่ง ทพ่ี ูดว่า “อีกครัง้ หน่ึง” นนั้ เพราะผมเคยเดินทางไปประเทศจนี ราว 10 คร้ังแล้ว ไป
ครั้งแรกเม่ือ วันที่ 19 กันยายน ถึง 17 ตุลาคม พ.ศ. 2525 เพื่อเข้ารบั การฝึกอบรมเก่ยี วกับ
การปลูกและการจัดการรวมทั้งการใช้ประโยชน์ไม้ไผ่ ที่สถาบันวิจัยไม้ไผ่ เมืองหางโจว
(Hangzhou) มณฑลเจอเจยี ง (Zhejiang) เป็นเวลา 1 เดือน
ไปคราวนั้นรู้สึกตื่นเต้นมาก เพราะเป็นการเดินทางไปประเทศจีนครั้งแรก และเป็น
ช่วงเวลาที่จีนเพิ่งเปิดประเทศได้เพียง 6 - 7 ปีเท่านั้น จึงได้พบกับสิ่งแปลกใหม่หลายอย่าง
บา้ นเมืองยากจน ไมส่ ะอาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องน้ำสกปรกมาก ถนนหนทางแคบ ผู้คนใช้
รถจักรยานกันแทบทั้งเมือง เต็มถนนไปหมด รถยนต์มีแต่รถบรรทุกขับไปกดแตรไปลัน่ สน่ัน
เมือง ไม่มีห้างสรรพสินค้าใหญ่โตหรหู รา ที่ขึ้นหน้าข้ึนตาท่ีสุดก็เห็นจะเป็นร้านมิตรภาพหรือ
Friendship Shop ประจำเมืองใหญ่ๆ เท่านน้ั ซ่ึงแตกต่างไปจากทุกวนั นท้ี ี่จีนเจริญก้าวหน้า
พัฒนาเปลี่ยนแปลงไปรวดเร็วมาก ถนนกว้างขวาง มีทางด่วนเหมือนหรือดีกว่ามอเตอร์เวย์
ของไทยรว่ มหมื่นกโิ ลเมตร บา้ นเมืองทนั สมยั หอ้ งนำ้ สะอาด
หลังจากนั้นก็ได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานและประชุมสัมมนาต่างๆ อีกหลายครั้ง ทุก
ครั้งที่ไปก็ต้องตะลึงกับความแปลกใหม่ของสิ่งก่อสร้างและโครงสร้างพื้นฐานที่เปลี่ยนแปลง
ไปอยา่ งรวดเร็วแทบไมน่ า่ เชื่อ โดยส่วนใหญ่ไปเกีย่ วกับการประชุมสัมมนาด้านการปลูกสร้าง
สวนป่าและระบบวนเกษตร โดยมีไม้ไผ่และไม้โตเร็วเป็นองค์ประกอบหลัก อาทิ ไม้สกุล
อะเคเซยี ไมเ้ พาโลว์เนีย และไม้ยคู าลิปตัส
แต่ไปคราวนี้ผมได้รับเชิญจากบริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด และบริษัท ฟินิคซ พัลพ์
แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งอยู่ในเครือปูนซีเมนตไ์ ทย ให้ร่วมเดินทางไปดูงานเก่ียวกบั
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (62) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 171
การปลูก การจัดการ และการใชป้ ระโยชนไ์ ม้ยูคาลิปตัสท่ีมณฑลกวางตุ้ง (Guangdong) กวางสี
(Guangxi) และไหหนานหรอื เกาะไหหลำ (Hainan) โดยเฉพาะ
คณะผู้ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีด้วยกัน 7 คน อันได้แก่ คุณธีระศักดิ์ จามิกรณ์
กรรมการผู้จัดการบริษัทฟินิคซ พัลพ์ แอนด์ เพเพอร์ จำกัด (มหาชน) คุณปรเมษฐ
ลานรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการบริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด คุณมนูญศักดิ์ สถีรศิลปิน
ผู้จัดการส่วนผลติ กล้าไม้และพัฒนาพันธุ์ บริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด คุณเกรียงศักดิ์ สาลี
ผู้จดั การสว่ นส่งเสริมการปลูกสร้างสวนปา่ บริษัทฟินคิ ซฯ คุณฐติ พิ ร สายมณี นกั วจิ ัย บรษิ ัท
เยื่อกระดาษสยาม จำกัด (มหาชน) และคุณธีระพงศ์ วนิชชากร เจ้าหน้าที่ฝ่ายผลิต บริษัท
สยามฟอเรสทรี จำกดั
การเดินทางเริ่มต้นด้วยการบินจากกรุงเทพฯ ถึงเมืองกวางโจว โดยใช้เวลาบิน
2 ชั่วโมง 50 นาที เวลาของประเทศจีนเร็วกว่าของไทย 1 ชั่วโมง ที่น่าประหลาดใจในเรื่อง
เวลาของจนี ก็คอื จีนเปน็ ประเทศใหญ่จากฝ่งั ตะวนั ตกไปฝงั่ ตะวนั ออกหา่ งกนั ถึง 62 เส้นแวง
(73 - 135 องศาตะวันออก) คิดเป็นระยะทางร่วม 5,000 กิโลเมตร แต่จีนก็ใช้เวลาเดียวกัน
ทงั้ ประเทศ ตา่ งไปจากสหรฐั อเมริกาซ่งึ เวลาทางตะวันออกและตะวันตกตา่ งกันถึง 4 ชั่วโมง
ท่ีกวางโจว (Guangzhou) ไดด้ ูหอ้ งปฏิบตั กิ ารการผลิตกล้าไม้ยูคาลิปตสั โดยวิธีเพาะเล้ียง
เนอ้ื เย่ือท่ีสถาบันวิจัยป่าไม้เขตร้อน วันร่งุ ขนึ้ ไดเ้ ดนิ ทางไปเมืองซานเจียง (Zhanjiang) ซึ่งอยู่
ทางใต้ห่างลงไปราว 600 กโิ ลเมตร โดยระหว่างทางได้แวะดแู ปลงทดลองการปลูกยูคาลปิ ตสั
ของสถาบันวิจัยการป่าไม้เขตร้อนและสวนป่ายูคาลิปตัสของเอกชนที่เมืองเจียงเหมิน
(Jiangmen) และเมืองยางสี (Yangxi) จากนั้นก็ได้เดินทางไปเมืองเบไฮ (Beihai) ในมณฑล
กวางสี เพื่อดูสวนป่ายูคาลิปตัสของบริษัทสโตราเอ็นโซ่ (Stora Enso) ที่เมืองชางโคว
(Shankou) ดูแปลงเพาะกล้าไม้ขนาดใหญ่ของบริษัท APP (Asia Pulp and Paper) ที่เมือง
ซิงโจว (Qingzhou) แล้วดูสวนป่าของเอกชนที่เมืองเหลโจว (Leizhou) ก่อนลงเรือเฟอร่ี
ขนาดใหญ่ใช้เวลาหนึ่งชั่วโมงครึ่งข้ามจากแผ่นดินใหญ่ไปเมืองไฮโคว (Haikou) ซึ่งเป็นเมือง
หลวงของมณฑล (เกาะ) ไหหลำ เพ่ือดูแปลงเพาะกลา้ ไมย้ คู าลปิ ตสั ทเี่ มืองดิงกาน (Dinggan)
สวนป่าและโรงงานเยื่อกระดาษไหหนานจินไฮ (Hainan Jin Hai Pulp and Paper) หรือ
APP China ที่เมืองยางปู (Yangpu) ซึ่งเป็นเครือของ Sinar Mas Group ที่มีชาวจีนโพ้น
ทะเลเปน็ เจา้ ของ และมบี ริษัทแมอ่ ยู่ที่ประเทศอินโดนีเซยี
172 รวมเร่ืองสวนป่า
คณะผู้เดนิ ทางไปศกึ ษาดูงานเรื่องไม้ยูคาลปิ ตัสครง้ั นโ้ี ชคดีทไี่ ด้ ดร.ซู ตา้ ผิง (Dr. Xu
Daping) ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยการป่าไม้เขตร้อน (Research Institute of Tropical
Forestry : RITF, The Chinese Academy of Forestry) ของจนี เปน็ ผเู้ ขา้ ร่วมเดินทางและ
ให้คำอธิบายรวมทั้งตอบคำถามต่างๆ ตลอดรายการ Dr. Xu Daping จบการศึกษาขั้น
ปริญญาเอกทางป่าไม้จาก มหาวิทยาลัยเมอร์ด๊อช (Murdoch University) แห่งประเทศ
ออสเตรเลยี เป็นลกู ศษิ ยข์ องศาสตราจารย์เบอร์น่ี เดล (Prof. Bernie Dell) ซึง่ เชี่ยวชาญ
ด้านไมคอไรซ่าและธาตุอาหารของไม้ยูคาลิปตัส เป็นนักวิจัยด้านการปรับปรุงบำรุงพันธุ์ไม้
ยูคาลิปตัส ซ่ึงกลา่ วไดว้ า่ เปน็ ผทู้ ีม่ ีความรู้เรื่องการปลกู สร้างสวนป่ายคู าลิปตสั ที่ดที ส่ี ดุ คนหนงึ่
ของจนี
จนี ได้นำไมย้ คู าลปิ ตัสจากออสเตรเลียเข้ามาปลูกครง้ั แรกกวา่ หนง่ึ ร้อยปีมาแล้ว โดยไม้
ยูคาลิปตัสที่จีนนำเข้ามาทดลองปลูกครั้งแรกได้แก่ยูคาลิปตัส เอ๊กเซอร์ต้า (Eucalyptus
excerta) ยูคาลปิ ตสั คามาลดเู ลนซสี (Eucalyptus camaldulensis) และยคู าลิปตสั ซิตริโอ
โดร่า (Eucalyptus citriodora) เมื่อผลการทดลองแสดงให้เห็นว่าไม้ยูคาลิปตัสเจริญเตบิ โตดี
มีอายุการตัดฟันส้ัน จึงได้นำไม้ยูคาลิปตัสชนิดอื่นๆ เข้ามาปลกู เพิ่มขึ้นอีก จนทำให้ปัจจบุ นั น้ี
ประเทศจีนมีเนื้อที่สวนป่ายูคาลิปตัสอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 9.38 ล้านไร่ โดยร้อยละ 90 อยู่ใน
สามมณฑลเท่านัน้ นั่นคือ 3.75 ล้านไร่ในกวางตุง้ 3.75 ล้านไรใ่ นกวางสี และ 0.94 ล้านไรใ่ น
ไหหลำ สว่ นที่เหลอื อีก 0.94 ล้านไร่นน้ั อยู่ในมณฑลยนู นาน (ส่วนใหญ่เป็นยูคาลปิ ตัส โกลบูลัส :
Eucalyptus globulus) เสฉวน (ส่วนใหญ่เป็นยูคาลิปตัส แกรนดิส : Eucalyptus grandis)
ฟูเจียน ฮหู นาน และมณฑลเจยี งสี
จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน
9.38 ล้านไร่ จีนมีเปา้ หมายที่จะ
เพิ่มเนื้อที่สวนป่ายูคาลิปตัสขึ้น
เป็น 2 เทา่ ตวั ใหถ้ ึง 18.75 ลา้ น
ไร่ (3 ล้านเฮกตาร์) ภายในปี
พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015)
ดังนั้น เมื่อเดินทางจาก
กวางโจวตามทางหลวงสาย
ประธานลงมาทางใต้เรือ่ ยๆ จนถึง
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 173
เกาะไหหลำ จะสังเกตเห็นสวนไม้ยูคาลิปตัสอายไุ ม่เกิน 10 ปี อยู่ทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นสองข้าง
ถนนหรือบนภูเขาสูง นั่นคือ ในเส้นทางที่เดินทางผ่านคราวนี้จากเหนือ (กวางโจว) ถึงใต้
(ไหหลำ) พชื ท่ปี ลกู กันมากตลอดเสน้ ทางได้แก่ไมย้ คู าลิปตสั และออ้ ย ทป่ี ลูกกนั มากเฉพาะใน
ตอนใต้ (ไหหลำ) ได้แก่ ยางพารา สับปะรด และป่านศรนารายณ์ ส่วนท่ีปลูกมากเฉพาะทาง
ตอนเหนือ (กวางโจว) ได้แก่ ล้ินจี่ และลำไย
ดร. ซู ต้าผิง เล่าให้ฟังว่าปัจจุบันเกษตรกรเจ้าของสวนลิ้นจี่ในมณฑลกวางตุ้ง
ไม่น้อยโค่นลิ้นจี่ทิ้งเพื่อหันมาปลูกไม้ยูคาลิปตัสแทน เพราะลิ้นจี่มีราคาเพียงกิโลกรัมละ
2 หยวนหรือ 10 บาทเท่านั้น ในขณะที่ไม้ยูคาลิปตัสปอกเปลือกที่สวนราคาสูงถึงตันละ
1,500 บาท ปลกู 5 ปี ตดั ขายไดก้ ำไรสทุ ธปิ ระมาณ 4,000 บาทตอ่ ไร่ตอ่ ปี
ค่าจ้างปอกเปลือกประมาณตัน
ละ 75 บาท ราคาของไม้ยคู าลิปตัสที่ซื้อ
ขายขึ้นอยู่กับขนาดของไม้ ไม้ใหญ่ขาย
ได้ราคาแพงกว่าไม้เล็ก เพราะไม้เล็ก
ขนาดไม่เกิน 12 เซนติเมตรจะนำไปทำ
ชิ้นไม้สับ (wood chip) แต่ถ้าเส้นผ่าน
ศูนย์กลางเกินกว่า 20 เซนติเมตรซึ่ง
นำไปปอกเป็นไม้บาง (veneer) จะขาย
ได้ราคาสูงถึง 3,000 บาทต่อลูกบาศก์
เมตร
แต่ที่น่าทึ่งก็คือ มีโรงงานปอกไม้บางแห่งหนึ่งในเมืองเหลโจว ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.
2544 ใช้ไม้ยคู าลปิ ตสั ขนาดเลก็ ทม่ี เี ส้นผ่านศูนย์กลางตำ่ สดุ เพยี ง 8 เซนตเิ มตรไปปอกเป็นไม้
บาง เมื่อปอกแล้วจะเหลือแกน (ไส้) ไม้เพียง 1 นิ้วเท่านั้น เครื่องปอกที่ว่านี้ราคา 45,000
หยวน ปอกไม้ไดว้ นั ละ 7 – 8 ลูกบาศก์เมตร ราคาไมบ้ างตนั ละ 300 – 380 หยวน และไม้ที่
ปอกง่ายได้ราคาดีที่สุดคือลูกผสมระหว่างยูคาลิปตัสยูโรฟิลลากับยูคาลิปตัสเทอริติคอนีส
(E. urophylla X E. tereticornis)
ปจั จบุ นั มีเนอื้ ท่ีสวนป่ายูคาลิปตัสทั่วทัง้ โลกประมาณ 156 ล้านไร่ โดยประเทศอินเดีย
มีเนื้อที่ปลูกมากที่สุดคือประมาณ 35 ล้านไร่ แต่มีผลผลิตต่ำมากคือมีความเพิ่มพูนเฉล่ียรายปี
เพียง 0.8 - 1.6 ตันต่อไร่ต่อปีเท่านั้น และส่วนใหญ่ใช้ทำฟืน ในขณะที่บราซิลซึ่งมีเนื้อที่
174 รวมเรื่องสวนป่า
สวนปา่ ยคู าลิปตัสมากเปน็ อันดับสองรองจากอินเดยี น้ันมีพ้นื ที่ปลกู ประมาณ 23 ล้านไร่ ส่วน
จนี น้ันจัดอย่ใู นลำดบั ทส่ี าม
ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ต่อปีของไม้ยูคาลิปตัสในเมืองจีนช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้พุ่งสูงข้นึ
อย่างมาก จากไม่ถึง 2.0 ตัน ขึ้นมาเป็น 3.2 ตัน และ 5.6 ตันต่อไร่ต่อปี (35 ตันต่อเฮกตาร์
ต่อปี) ในปัจจุบัน เป็นผลมาจากการศึกษาวิจัยในเชิงลึกอย่างต่อเนื่องแล้วนำผลการวิจัยไป
ประยุกตใ์ ชอ้ ยา่ งจริงจัง
เลกิ คดิ ว่ายูคาลิปตสั เปน็ ไมท้ ่ีปลกู งา่ ย ไม่ตอ้ งเอาใจใส่ดแู ลรักษา
ดร. ซู ต้าผิง เน้นย้ำว่า ผลผลิตต่อไร่ของไม้ยูคาลิปตัสจะเพิ่มขึ้นอย่างมากหาก
เกษตรกรให้ความสำคัญกับการเตรยี มพ้นื ท่ีปลูก การคดั เลือกสายพันธุ์ การกำจัดวชั พืช และ
การใสป่ ๋ยุ รวมท้งั พบว่าการใส่เช้ือราไมคอไรซา่ ทำใหไ้ ดผ้ ลผลติ สูงกว่าปกติถงึ รอ้ ยละ 20 - 30
ปัจจุบันประเทศจีนไม่มีการปลูกยูคา
ลิปตัสสายพันธุ์แท้หรือ pure line กันแล้ว
เพราะให้ผลผลิตตำ่ คือไม่เกิน 2.4 ตันต่อไร่ต่อ
ปี แต่จะหันไปปลูกลูกผสมกันทั้งนั้น เพราะ
ให้ผลผลิตสงู กว่าเกอื บสองเท่าครึ่ง คือ 5.6 ตนั
ต่อไร่ต่อปี ลูกผสมที่แพร่หลายมาก ได้แก่
ลูกผสมระหว่างยูคาลิปตัส ยูโรฟิลล่ากับยูคา
ลปิ ตสั แกรนดิส (E. urophylla x E. grandis)
ยูคาลิปตัส ยูโรฟิลล่ากับยูคาลิปตัส เทอริติ
คอนสี (E. urophylla x E. tereticornis) ยคู า
ลิปตัส ยูโรฟิลล่ากับยูคาลิปตัส คามาลดูเลน
ซีส (E. urophylla x E. camaldulensis) ยู
คาลิปตัส ยูโรฟิลล่ากับยูคาลิปตสั เอ็กเซอร์ต้า (E. urophylla x E. excerta) และปลกู ผสม
ระหว่างยูคาลิปตัส แกรนดิสกับยูคาลิปตัส คามาลดูเลนซีส (E. grandis x E. camaldulensis)
ส่วนจะเลือกปลูกลูกผสมใดนั้นขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมเป็นสำคัญ เช่นที่ชุ่มชื้นดินมีความ
อดุ มสมบูรณ์สงู ควรเลอื กใช้ลูกผสมระหว่างยโู รฟลิ ล่ากับแกรนดิส แต่ถา้ พ้นื ทแ่ี หง้ แลง้ ลูกผสม
ยูโรฟิลล่ากบั เทอรติ ิคอนีสน่าจะเหมาะสมกว่า
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 175
สิ่งที่น่าประทับใจสำหรับ
“คนรักพื้นที่สีเขียว” อย่างผมอีก
ประการหนึ่งก็คือ นับตั้งแต่
กิโลเมตรแรกที่วิ่งรถออกจาก
สนามบินเมืองกวางโจว สองข้าง
ถนนไม่ว่าจะเป็นมอเตอร์เวย์ ทาง
ด่วนยกระดับ หรือทางหลวง
แผน่ ดินธรรมดาระหว่างเมือง ลงไป
จนถงึ เมืองไฮโควในเกาะไหหลำ จะ
มียูคาลิปตัสแทบตลอดเส้นทาง ปลูกแถวเดียวบ้าง สองแถวบ้าง ระยะห่างระหว่างต้นไม่
แน่นอน เฉลี่ยประมาณ 1 - 2 เมตร โคนต้นทาปูนขาวสูงขึ้นมาประมาณ 1 เมตร เห็นแล้ว
รสู้ กึ อิจฉาคนจีนและประเทศจีนจริงๆ
ในปีหนึ่งๆ คนไทยซื้อทัวร์ไปชอปปิ้ง ไปเที่ยวกำแพงเมืองจีนกันเป็นจำนวนมาก
หากมีทัวร์เจาะลึกสวนป่ายูคาลิปตัสในเมืองจีน แล้วลูกทัวร์นำเอาสิ่งที่ได้พบเห็นมาทำ
กับบ้านเราบา้ ง ก็น่าจะชว่ ยให้ความอจิ ฉาตารอ้ นของผมลดลงไดม้ ากทีเดยี ว
33 เมอ่ื สมเด็จพระราชาธบิ ดี
แหง่ ราชอาณาจักรเลโซโท
ทรงสนพระทัยในการปลกู ปา่ และ
ระบบการเกษตรผสมผสาน
ในวโรกาสพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ของพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช มหาราช ระหว่างวันพฤหัสบดีที่ 8 ถึงวันอังคารที่ 13
มิถุนายน 2549 นนั้ มีประเทศท่ีมีสมเด็จพระราชาธบิ ดีและสมเดจ็ พระราชินีได้เสด็จพระราช
ดำเนินเยือนประเทศไทย ตามคำกราบบังคมทูลเชิญของรัฐบาลไทย เพื่อร่วมถวายพระพร
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยหู่ วั ฯ รวม 25 ประเทศ โดยมีสมเด็จพระราชาธบิ ดแี ละสมเดจ็ พระ
ราชินีที่เสด็จฯ มาด้วยพระองค์เองจำนวน 13 ประเทศ นับเป็นการชุมนุมของพระประมุข
จากประเทศต่างๆ มากที่สุดในโลก เพราะขาดเพียงพระประมุขจากราชอาณาจักรเนปาล
ราชอาณาจกั รซาอดุ อิ าระเบีย และรัฐเอกราชซามัวเท่านนั้ ที่ไม่สามารถเสดจ็ ฯ มารว่ มงานได้
ในจำนวนพระราชอาคันตุกะท่ไี ด้เสด็จมาร่วมถวายพระพรคร้ังน้ี เจ้าฟา้ ชายจกิ มี เคเซอร์
นัมเกล วงั ชกุ (HRH Crown Prince Jigme Khesar Namgyel Wangchuck) มกุฎราชกมุ าร
แห่งราชอาณาจักรภูฏาน และสมเด็จพระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 (H.M. the King Letsii III) และ
สมเดจ็ พระราชนิ มี าเซเนต โมฮาโต เซเอโซ (H.M. the Queen Masenate Mohato Seeiso)
แห่งราชอาณาจักรเลโซโท นบั ว่าได้รับความสนใจจากประชาชนชาวไทยมากเป็นพเิ ศษ
สำหรับพระประมขุ แหง่ ราชอาณาจักรเลโซโท เมอื่ เสร็จสน้ิ พระราชภารกิจในกรุงเทพ
มหานครแล้ว สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินี ได้เสด็จพระราชดำเนินต่อไปยัง
จังหวัดเชยี งใหม่ โดยในวันศกุ ร์ท่ี 16 มถิ นุ ายน 2549 ไดเ้ สดจ็ ทอดพระเนตรกิจการโครงการ
พระราชดำริ ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอย
สะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ เพราะพระองค์ทรงสนพระทัยที่จะนำเอาแนวทางการพัฒนาการ
พิมพ์ครงั้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (63) : 28 – 30 (พ.ศ. 2549)
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 177
เกษตรแบบผสมผสานอย่างยั่งยืนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปใช้ในราชอาณาจักร
ของพระองค์
กระทรวงการต่างประเทศ โดยสำนกั งานความร่วมมอื เพอื่ การพฒั นาระหวา่ งประเทศ
(สพร.) และสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงพริทอเรีย จึงได้ขอความร่วมมือมายังสำนักงาน
คณะกรรมการพิเศษเพอื่ ประสานงานโครงการอนั เนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนกั งาน กปร.)
ให้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร ป่าไม้ และพัฒนาที่ดิน เดินทางไปสำรวจข้อมูลและ
ปรึกษาหารือรวมทั้งวางแผนร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเลโซโท เพื่อดำเนินโครงการ
ความร่วมมือทางวิชาการด้านการพัฒนาการเกษตรแบบผสมผสานอย่างยั่งยืนระหว่าง
ราชอาณาจกั รไทยกับราชอาณาจักรเลโซโท
ทำให้ผมได้มีโอกาสไปประเทศเลโซ
โทเป็นคร้งั แรกในฐานะผเู้ ช่ียวชาญด้านป่าไม้
ในระหว่างวันที่ 3 - 10 กันยายน 2549
ร่วมกับ ดร.พิสุทธิ์ วิจารณ์สรณ์ แห่งกรม
พัฒนาที่ดินในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านพัฒนา
ที่ดิน และ ดร. ฉันทนา สุวรรณธาดา แห่ง
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในฐานะผู้เชี่ยวชาญ
ด้านการเกษตร โดยมีคุณสุวรรณา พาศิริ
แห่งสำนักงาน กปร. และคุณพิณ ศรีดุรงค
ธรรม แห่ง สพร. ร่วมเดินทางไปด้วยในฐานะผู้ประสานงาน ทั้งนี้ ภายใต้การอำนวยความ
สะดวกอย่างดียิ่งจาก ฯพณฯ นายโดม บุนนาค เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพริทอเรีย และ
นายโมฮาเล เซโคโต (Mr. Mohale G. Sekoto) รองปลัดกระทรวงเกษตรและความมั่นคง
ทางอาหารของเลโซโท
การเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปเลโซโทต้องใช้เวลาบินทั้งสิ้นเกือบ 14 ชั่วโมง โดยใช้
เส้นทางกรุงเทพฯ-สิงคโปร์-โจฮันเนสเบิร์ก-มาเซรู ซึ่งช่วงสิงคโปร์-โจฮันเนสเบิร์ก ต้องใช้
เวลาบินประมาณ 10 ช่ัวโมง และโจฮนั เนสเบิรก์ -มาเซรู ประมาณ 1 ชวั่ โมง 15 นาที
ราชอาณาจกั รเลโซโท (Lesotho) เป็นประเทศทเี่ ล็กที่สุดประเทศหนึ่งของทวีปแอฟริกา
ตั้งอยู่ภายในประเทศแอฟริกาใต้ (South Africa) เช่นเดียวกับประเทศสวาซิแลนด์ (Swazi-
land) มีเนื้อท่ีทง้ั ประเทศเพียง 18.972 ล้านไร่ ซ่ึงใกล้เคยี งกับเนือ้ ท่ขี องจังหวัดนครราชสีมา
178 รวมเร่ืองสวนป่า
และจังหวัดบุรีรัมย์รวมกัน (19.260 ล้านไร่) หรือจังหวัดกาญจนบุรีรวมกับจังหวัดเพชรบุรี
และจงั หวัดราชบุรี (19.316 ล้านไร่) มจี ำนวนประชากร 2.4 ล้านคน โดยมีอตั ราการเพิ่มของ
ประชากรร้อยละ 2 ต่อปี มีเมืองมาเซรู (Maseru) เป็นเมืองหลวงซึ่งตั้งอยูท่ างตะวันตกของ
ประเทศติดกบั ชายแดนแอฟริกาใต้
เลโซโทเป็นหนึ่งในสามประเทศของทวีปแอฟริกาที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข อีก
สองประเทศคือสวาซิแลนด์และโมร็อกโก เดิมชื่อประเทศบาซูโท (Basutho) ได้เปลี่ยนเป็น
เลโซโทและประกาศเปน็ เอกราชจากรัฐในปกครองขององั กฤษเมื่อวันท่ี 4 ตุลาคม พ.ศ. 2509
ด้วยภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูงชันสลับซับซ้อน เลโซโทจึงได้ชื่อว่าเปน็ “ราชอาณาจักร
แห่งขุนเขา” (The Mountain Kingdom) หรือ “ราชอาณาจักรในเวหา” (Kingdom in
the Sky) โดยการแบ่งเขตนิเวศออกเป็น 4 โซน อันได้แก่เขตภูเขาซึ่งครอบคลุมเนื้อที่ถึง
รอ้ ยละ 61 ของเน้ือทท่ี ั้งประเทศ อยู่สูงจากระดบั นำ้ ทะเลระหว่าง 2,200 - 3,400 เมตร เขต
เชิงเขา ครอบคลุมพื้นที่ร้อยละ 15 ของพื้นที่ประเทศ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลระหว่าง
1,800 - 2,200 เมตร เขตพื้นที่ต่ำ มีประมาณร้อยละ 20 ของพื้นที่ประเทศ อยู่สูงจาก
ระดับน้ำทะเลระหว่าง 1,500 - 1,800 เมตร และเขตท่ีราบริมแม่น้ำ ซึ่งครอบคลุมพื้นที่
เพยี งรอ้ ยละ 4 ของพื้นทปี่ ระเทศเท่านน้ั
พื้นที่ทำกินเพื่อการเกษตรของเลโซโทมีเพียงร้อยละ 13 ของพื้นที่ประเทศเท่านั้น
โดยส่วนใหญ่อยู่ในเขตพื้นที่ต่ำคือสูงจาก
ระดับน้ำทะเลปานกลางระหว่าง 1,500 -
1,800 เมตร พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นภูเขา
เหมาะสำหรับเป็นทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ ร้อย
ละ 40 ของประชากรคือเกอื บ 1 ล้านคนมี
รายได้หลักจากการเกษตรและปศุสัตว์
โดยสัตว์เลี้ยงที่มีปริมาณมากที่สุดได้แก่
แกะ รองลงมาคอื แพะ วัว ลา และม้า
พชื ผลทางการเกษตรทสี่ ำคญั ไดแ้ ก่ ข้าวโพด ขา้ วฟ่าง ขา้ วสาลี ถวั่ มันฝรั่ง และพืชผัก
เมอื งหนาวนานาชนดิ อาทิ กะหล่ำปลี แครอท แอสพาราคัส บร็อคโคล่ี กะหล่ำดอก และถ่ัว
ต่างๆ ส่วนไมผ้ ลยืนตน้ ส่วนใหญ่เป็นพวกท้อ สาลี่ แอปเป้ลิ และพลับ
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 179
แม้จะเป็นประเทศในทวีปแอฟริกา แต่เลโซโทไม่ได้แห้งแล้ง ทั้งๆ ที่ปริมาณน้ำฝน
เฉลย่ี มเี พยี ง 600 - 1,000 มิลลิเมตรต่อปีเทา่ นั้น แตด่ ว้ ยภูมปิ ระเทศทเี่ ป็นภเู ขาสูงและความ
สูงจากระดบั น้ำทะเลระหว่าง 1,400 - 3,400 เมตร หิมะจึงเป็นแหล่งน้ำสำคัญของประเทศ
ทำให้เลโซโทมีปริมาณน้ำถึง 150 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ในขณะที่ความต้องการใช้น้ำของ
ประเทศในปัจจบุ นั มีเพยี ง 2 ลกู บาศกเ์ มตรต่อวนิ าทเี ทา่ น้ัน นน่ั คือ ปริมาณน้ำมีสูงกว่าความ
ต้องการของประเทศถึง 75 เท่าตัว เลโซโทจึงได้สร้างเขื่อนขนาดใหญ่ 2 เขื่อน คือเขื่อน
โมฮาเล (Mohale) และเข่อื นคาทเซ (Katse)
เมื่อปี พ.ศ. 2542 และเรม่ิ เกบ็ กกั นำ้ ในเดือน
พฤษภาคม พ.ศ. 2546 พรอ้ มสรา้ งอโุ มงค์ส่ง
น้ำเชื่อมระหว่างเขื่อนทั้งสองและอุโมงค์
ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 4.5 เมตร รวม
ความยาวราว 77 กิโลเมตร ส่งน้ำไปขาย
ให้แก่ประเทศแอฟริกาใต้ ทำรายได้ให้แก่เล
โซโทปลี ะประมาณ 1,650 ล้านบาท
ทางด้านป่าไม้ ประเทศเลโซโทมีเนื้อที่ป่าเพียงประมาณร้อยละ 1 ของพื้นที่ประเทศ
เท่านั้น โดยเนื้อที่ป่าเหล่านี้พอจะจำแนกออกได้ 5 ประเภท คือ ป่าไม้พื้นเมือง สวนป่าของ
รฐั สวนป่าเอกชน ต้นไมใ้ นบริเวณบา้ นเรือน และตน้ ไมใ้ นเมือง พรรณไม้ทป่ี ลูกในสวนป่าของ
รัฐส่วนใหญ่เป็นไม้สกุลสนเขา เช่น Pinus radiata, Pinus pinaster และ Pinus halepensis
รวมทั้งไม้ยูคาลิปตัสรูบิด้า (Eucalyptus rubida) ซึ่งพบเห็นอยู่ทั่ว ๆ ไป ส่วนในพื้นท่ีของ
เอกชนส่วนใหญ่เปน็ พวกปอปลา่ ร์และอะเคเซยี โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ คือ Populus canescens
และ Acacia dealbata
แม้เลโซโทจะเป็นประเทศค่อนข้างยากจน
เพราะเป็นเพียงประเทศเล็กๆ ที่อยู่กลางประเทศ
แอฟรกิ าใต้ซง่ึ มีคา่ ครองชพี สงู โดยผู้จบปริญญาตรี
ของแอฟริกาใต้หากทำงานกับรัฐจะเริ่มต้น
เงนิ เดือนทป่ี ระมาณสีห่ ม่นื บาท ในขณะที่ของเลโซ
โทเริ่มต้นที่ประมาณสองหมื่นบาท แต่ชีวิตทั้งใน
เมืองและในชนบทดูเหมือนจะมีความสุขไม่น้อย
เพราะไม่มีมลพิษทางอากาศและน้ำ ภูมิประเทศ
180 รวมเรือ่ งสวนป่า
เป็นภูเขา มีแม่น้ำ น้ำตก และทุ่งหญ้าเขียวขจี รถยนต์ส่วนบุคคลส่วนใหญ่เป็นรถยี่ห้อดัง มี
สภาพค่อนข้างใหม่ แต่รถยนต์โดยสารสาธารณะทง้ั ในเมอื งและตา่ งจงั หวัดค่อนข้างเก่า
ดว้ ยจุดตำ่ สุดของประเทศซง่ึ อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลถงึ 1,400 เมตร และจดุ สูงสุดอยู่
สูงจากระดับน้ำทะเล 3,482 เมตร จึงทำให้เลโซโทมีอากาศหนาวเย็นตลอดทั้งปี สภาพภูมิ
ประเทศโดยทั่วๆ ไปมีร่องรอยการชะล้างพังทลายของดินในอดตี รุนแรงมาก แต่น่าทึ่งตรงที่
การชะลา้ งพังทลายของดินในปจั จุบันมีนอ้ ยมาก ในร่องน้ำขนาดใหญซ่ ่งึ มีตลง่ิ สูงชนั กลบั มตี ้น
ปอปล่าร์และตน้ กระถินเงิน (Acacia dealbata) ขน้ึ อยู่หนาแน่นพอสมควร ทง้ั นอ้ี าจจะเปน็
เพราะการทำขั้นบันไดดินเมื่อประมาณ 30 ปีเศษมาแล้วก็เป็นได้ นั่นคือ เมื่อเดินทางไปใน
เขตพื้นที่ตำ่ และเขตเชิงเขาแทบทกุ หนทุกแห่งในเลโซโท จะเห็นขั้นบันไดดินทั่วไปหมด โดย
มักจะเป็นขั้นบันไดกว้าง 5 - 6 เมตร ตรงขอบขั้นบันไดมักจะปลูกหญ้าลำต้นสูงซึ่งใช้มุง
หลงั คากระโจม เห็นขัน้ บันไดดนิ และแถบหญา้ เป็นระเบียบสวยงาม
แต่อย่างไรก็ตาม การใช้ที่ดินเพื่อ
การเกษตรของเลโซโทมักเป็นการเกษตร
เชิงเดย่ี ว ปลกู พืชชนิดเดียวหรือปลูกไม้ชนิด
เดียวล้วนๆ ทำให้ขาดความหลากหลายทาง
ชีวภาพ และเสี่ยงต่อความยั่งยืนของระบบ
นเิ วศ ในการเสดจ็ ทอดพระเนตรกิจการของ
ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้อัน
เ น ื ่ อ ง ม า จ า ก พ ร ะ ร า ช ด ำ ร ิ ข อ ง ส ม เ ด็ จ
พระราชาธิบดีเลตซีที่ 3 และสมเด็จพระราชินี เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2549 พระองค์จึงได้
ทรงสนพระทัยระบบการเกษตรผสมผสานและการปลูกป่าตามแนวพระราชดำริของ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมากเป็นพิเศษ ด้วยการรับสั่งให้กระทรวงเกษตรและความ
มั่นคงทางอาหารแห่งเลโซโท ประสานกับประเทศไทยเพื่อจัดสร้างศูนย์สาธิตเพื่อการ
พัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืนตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงขึ้นเพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้ทาง
การเกษตรแผนใหมข่ องเกษตรกรเลโซโท โดยในศูนย์สาธิตดังกล่าวจะมีทั้งการเกษตร ป่าไม้
และปศสุ ตั ว์ รวมอยูใ่ นพน้ื ทเ่ี ดยี วกนั ตามหลักการของระบบวนเกษตร
วนเกษตรจึงเป็นระบบการเกษตรแบบผสมผสานที่จะนำความยั่งยืนทั้งทาง
เศรษฐกจิ สังคม และสิง่ แวดลอ้ ม มาส่เู กษตรกรและชุมชนชนบทสบื ไป
34 โครงการจัดตั้ง
ศูนย์อุตสาหกรรมไมส้ ักครบวงจร
จังหวัดแพร่
ในบรรดาจังหวัดต่างๆ ทั้งสิบเจ็ดจังหวดั ในภาคเหนือของประเทศไทย จังหวัดแพร่มี
เนื้อที่รวมทั้งสิ้นประมาณ 4.087 ล้านไร่ เล็กที่สุดเป็นลำดับที่สี่รองจากลำพูน พิจิตร และ
พะเยา มีประชากร (ปี พ.ศ. 2547) จำนวน 473,361 คน น้อยที่สุดเป็นลำดับที่ห้ารองจาก
แม่ฮ่องสอน อุทัยธานี ลำพูน และอุตรดิตถ์ แต่มีเนื้อที่ป่าไม้ (ปี พ.ศ. 2547) ร้อยละ 65.21
ของเนื้อทีจ่ ังหวัด ซึ่งมากที่สุดเป็นลำดับที่หก รองจากแม่ฮ่องสอน เชียงใหม่ ตาก น่าน และ
ลำปาง คือ มีเนื้อที่ป่าไม้อยู่ประมาณ 2.665 ล้านไร่ ลดลงจากสี่ปีที่แล้วราว 102,188 ไร่
หรือเฉลี่ยลดลงปีละ 25,547 ไร่
เปน็ ที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้ววา่ แพรเ่ ปน็ จังหวัดทีม่ ีช่อื เสียงทางด้านปา่ ไม้ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งไม้สักมาช้านานแล้ว การศึกษาวิชาการป่าไม้ของไทยก็เริ่มขึ้นที่จังหวัดแพร่ โดย
เปิดทำการสอนวชิ าการปา่ ไม้คร้ังแรกเมื่อวนั ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2479 ทีโ่ รงเรยี นป่าไม้
สังกัดกรมป่าไม้ ซึ่งต่อมาได้พัฒนาขึ้นมาเป็นคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ดงั ที่เป็นอยใู่ นปัจจบุ ันนี้
สวนป่าแหง่ แรกของประเทศไทยก็เกิดขึ้นทจี่ ังหวดั แพร่ โดยพระยาวันพฤกษ์พิจารณ์
(ทองคำ เศวตศิลา) บิดาของ ฯพณฯ พล.อ.อ. สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี เป็นบุคคลแรกท่ี
ไดจ้ ดั ให้มีการปลกู สร้างสวนสกั ข้นึ เมอ่ื ปี พ.ศ. 2449 ท่อี ำเภอเด่นชัย จังหวดั แพร่
วถิ ีชีวิตและเศรษฐกจิ ของจงั หวดั แพร่จึงผูกพันอยกู่ ับไม้สกั มาจนถึงทกุ วนั น้ี
ข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติหรือ เอฟ เอ โอ ระบุว่าในปี
พ.ศ. 2544 มเี นื้อท่ีสวนสกั อยู่ในประเทศตา่ งๆ รวมทัง้ ส้นิ ประมาณ 35.73 ลา้ นไร่ ซึ่งมากเป็น
ลำดับที่สี่ของพื้นที่สวนป่าไม้ใบกว้าง จะเป็นรองก็เพียงสวนไม้ยูคาลิปตัส (111.63 ล้านไร่)
ไม้ยางพารา (67.78 ล้านไร่) และไม้สกุลอะเคเซีย (51.98 ล้านไร่) เท่านั้น โดยอินเดียเป็น
พิมพ์คร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (64) : 29 – 31 (พ.ศ. 2549)
182 รวมเรื่องสวนป่า
ประเทศที่มีเนื้อที่สวนสักมากที่สุดในโลก คือมีถึง 16.01 ล้านไร่ รองลงมา คือ อินโดนี เซีย
(9.19 ล้านไร)่ ประเทศไทยจัดอยู่ในลำดับที่สาม คอื มเี นอ้ื ท่สี วนสัก 5.23 ล้านไร่ ส่วนพม่าซึ่ง
มเี นอ้ื ท่ีสวนสัก 1.83 ลา้ นไร่ นัน้ จัดอยใู่ นลำดับท่ีสี่ และบังคลาเทศ (0.90 ลา้ นไร)่ ลำดบั ท่ีหา้
นั่นคือ อินเดีย อินโดนีเซีย ไทย พม่า และบังคลาเทศ มีเนื้อที่สวนสักรวมกัน
เกินกว่าร้อยละ 90 ของพื้นที่สวนสักทัง้ โลก หากห้าประเทศผู้ผลิตหลักสามารถผนึกกำลงั
กนั ได้อยา่ งแนน่ เหนยี ว กจ็ ะกอ่ ให้เกิดอำนาจการตอ่ รองทางการค้าข้ึนมาได้ไมน่ อ้ ย
ทว่า ไม้สักที่ทั่วโลกยอมรับว่ามี
คุณภาพดีที่สุดและเป็นที่ต้องการของ
ตลาดโลกจนเรียกว่าเป็น “ไม้สักทอง” น้ัน
จะต้องเป็นไม้สักจากไทยและพม่าเท่านั้น
ประเทศไทยจึงอยู่ในฐานะผู้ได้เปรียบ
เพราะเป็นผู้ผลิตมากเป็นที่สามของโลก
และไม้สักที่ผลิตได้ ตลาดโลกก็ยอมรับว่า
เป็นไม้สักทอง ทั้งๆ ที่โดยหลักวิชาการป่า
ไมแ้ ลว้ ความเปน็ “สักทอง” ของไมส้ กั นั้นไมใ่ ช่ผลผลิตทางพันธุกรรม กล่าวคอื ไม้สักจะเป็น
สักทองหรอื ไม่ ไม่ไดข้ ้นึ อยู่กับสายพนั ธุ์ แตข่ นึ้ อยู่กับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูกหรือท้องท่ีที่
ขึ้นอยเู่ ป็นสำคัญ
แมไ้ มส้ ักจากประเทศไทยและพม่าจะไดร้ ับการยอมรบั ว่ามคี ุณภาพดีท่ีสดุ ในโลกก็ตาม
แต่หากมองถงึ กำลังการผลติ ของไม้สกั จากสวนปา่ ที่มีชน้ั คุณภาพของพ้ืนที่ทเี่ หมาะสมท่สี ดุ ณ
อายรุ อบหมุนเวียนในการตดั ฟัน 50 ปี แล้วกลับพบว่า สวนสักของประเทศไทยให้ผลผลิตต่ำ
ที่สุด คือ เฉลี่ยเพียง 0.75 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ต่อปีเท่านั้น ในขณะที่สวนสักของประเทศ
อินโดนีเซีย อินเดีย และพม่า ให้ผลผลิตในช่วงเวลาเดียวกันสูงถึง 2.82, 1.92 และ 1.60
ลกู บาศก์เมตรตอ่ ไร่ต่อปี ตามลำดับ
นนั่ คอื สวนสกั ทองของพม่าให้ผลผลติ สงู กวา่ ของไทยราวสองเทา่
ในอดตี ไม้สักเคยเป็นสินคา้ ส่งออกอนั ดบั ต้นๆ ของไทย แต่จากการจัดการป่าไม้ที่ขาด
หลักวิชาการ มีการทำไม้เกินกำลังผลิตของป่า เนื้อที่การปลูกและการตัดฟันไม่สมดุลกัน
รวมทั้งมีการบุกรุกแผว้ ถางป่าและนำเอาทีด่ ินป่าสกั ช้ันคุณภาพดีไปใช้ประโยชน์ที่ไม่ถูกต้อง
ตามหลักการใช้ประโยชน์ที่ดิน ทำให้ไทยเปลี่ยนสถานภาพจากประเทศผู้ส่งออกมาเป็น
ประเทศผู้นำเข้าไม้สัก
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 183
สถติ กิ ารนำเข้าไม้สกั ทอ่ นและไมแ้ ปรรปู ของไทยในรอบ 20 ปี
พ.ศ. ปรมิ าตร, ลบ.ม. มลู คา่ , พันลา้ นบาท
2528 39,500 711.29
2532 (ปดิ ป่า) 156,224
2537 162,487 1,293.82
2542 110,796 1,889.95
2547 120,641 2,075.78
2,844.40
ขอ้ มลู จากสถติ ิการป่าไม้ของประเทศไทยของกรมปา่ ไม้ระบุว่า ในรอบสองทศวรรษที่
ผ่านมา ไทยต้องนำเข้าไม้สักทั้งในรูปของไม้ท่อนและไม้แปรรูปติดต่อกันเป็นประจำทุกปี
ภายหลังการปิดป่าในปี พ.ศ. 2532 ต้องนำไม้สักเขา้ เฉล่ียปีละประมาณ 140,000 ลูกบาศก์
เมตร มีมูลค่าการนำเข้าสูงกว่าปีละสองพันล้านบาท โดยในปี พ.ศ. 2545 ต้องนำเข้าไม้สัก
เป็นปริมาณสูงถึง 340,816 ลูกบาศก์เมตร ในปี พ.ศ. 2538 ไทยต้องสูญเสียเงินตราเพื่อ
นำเข้าไม้สักสูงถึง 4,093.37 ล้านบาท ทั้งนี้ ยังไม่รวมถึงความสูญเปล่าของการผลิตที่ด้อย
คุณภาพอันเกิดจากการมีไม้สักชั้นดี แต่ปราศจากการนำเอาเทคโนโลยีการใช้ประโยชน์ไม้
และความประณีตในการผลติ มาใช้เพื่อสร้างมูลคา่ เพม่ิ ให้แกผ่ ลิตภณั ฑอ์ กี ต่างหาก
หากประเทศไทยต้องการจะเปน็ ผู้นำดา้ นธุรกิจไม้สักอย่างครบวงจร ก็จำเป็นอย่างย่ิง
ท่ีไทยจะต้องผลติ วตั ถุดบิ คอื ปลกู และจัดการสวนสักตามหลักวิชาการป่าไม้ เพอ่ื เพิม่ ผลผลิต
ต่อไรใ่ หท้ ัดเทยี มกบั ประเทศเพือ่ นบ้าน และสร้างแบรนดเ์ นม “สกั ทองของไทย” ขนึ้ มาให้จง
ได้ เพราะสวนสักนอกจากจะให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ คือลดการนำเข้าไม้จาก
ต่างประเทศแล้ว ยังให้ผลตอบแทนทางสังคม คือก่อให้เกิดการจ้างแรงงานในชุมชนชนบท
อย่างน้อย 10 วัน-คนต่อไร่ต่อปี รวมทั้งเป็นผลดีต่อสภาพแวดล้อมและระบบนิเวศของ
ท้องถน่ิ อกี ดว้ ย
ด้วยตระหนักถึงบทบาทความสำคัญของไม้สักดังกล่าวแล้ว ประกอบกับได้พิจารณา
เหน็ วา่ จงั หวดั แพร่มศี ักยภาพท่ีจะเปน็ ตวั แทนของกลุ่มจังหวัดลา้ นนาในการสร้างแบรนด์เนม
“สักทองของไทย” ให้สมกับคำขวัญของจังหวัดที่ว่า “หม้อห้อม ไม้สัก ถิ่นรักพระลอ
พระธาตุช่อแฮศรีเมือง ลอื เลื่องแพะเมอื งผี คนแพรน่ ี้น้ำใจงาม” และวสิ ยั ทศั นท์ วี่ ่า “เมือง
ไม้สัก วิถีชีวิตวัฒนธรรมล้านนา ภูมิปัญญาท้องถิ่นสู่มาตรฐานสากล” คุณวรวัจน์
เอื้ออภิญญกุล อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดแพร่ พรรคไทยรักไทย จึงได้ริเร่ิม
184 รวมเร่อื งสวนป่า
“โครงการทีคแวลเล่ย์ (Teak Valley)” หรือ “ศูนย์อุตสาหกรรมไม้สักครบวงจร” และ
“โครงการพัฒนาการศึกษาที่มีเป้าหมายสัมพันธ์กับการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของ
ประเทศ” ขึ้น โดยจัดสรรงบประมาณพัฒนากลุ่มจังหวัดแบบบูรณาการ (งบ ซีอีโอ) กลุ่ม
จังหวัดภาคเหนือตอนบน (ล้านนา) สำหรับพัฒนาหลักสูตรการศึกษารวม 5 หลักสูตรเพื่อ
รองรบั “วทิ ยาลัยชมุ ชนสำหรบั ผปู้ ระกอบการ”
หนง่ึ ในจำนวนห้าหลกั สูตรดงั กล่าวคือ “หลกั สตู รไม้สกั ” ซ่งึ จังหวดั แพร่ไดม้ อบหมาย
ใหค้ ณาจารยจ์ ากมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตรเ์ ป็นผศู้ ึกษาวิจยั และจดั ทำ
จ า ก ก า ร ศ ึ ก ษ า พ บ ว ่ า ธ ุ ร กิ จ
เครื่องเรือนไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ของ
ไทยมีมูลค่าสูงถึง 66,830 ล้านบาท
(พ.ศ. 2547) แยกเป็นมูลค่าการ
ส่งออก 46,780 ล้านบาท และบริโภค
ภายในประเทศ 20,050 ล้านบาท โดย
ประเทศที่นำเข้าเครื่องเรือนและ
ผลิตภัณฑ์ไม้จากไทยที่สำคัญสาม
อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปนุ่
และจนี ทว่า มูลค่าดังกลา่ วส่วนใหญเ่ ป็นของไมย้ างพารา ข้อมูลไมไ่ ดร้ ะบวุ ่าเป็นมลู ค่าของไม้
สักเท่าใดแน่นอน แต่พอจะประมาณการได้ว่า ร้อยละ 15 ของมูลค่าเครื่องเรือนและ
ผลติ ภณั ฑไ์ ม้เป็นมลู ค่าของไมส้ กั
นั่นคือ ธุรกิจเครื่องเรือนและผลิตภัณฑ์ไม้สักของไทยมีมูลค่าประมาณ 10,025
ล้านบาท (ปี พ.ศ. 2547) เป็นมูลค่าการส่งออกร้อยละ 70 และบริโภคภายในประเทศร้อย
ละ 30 แม้มูลค่าดังกล่าวจะไม่ไดร้ ะบวุ า่ ตกอยูท่ ่ีจังหวัดแพร่มากนอ้ ยเพียงใด แต่หากแนวคิด
ในการพัฒนาหลักสูตรไม้สักและทีคแวลเลย์ของจังหวัดแพร่เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมา แพร่ก็มี
โอกาสสงู ในอันทจี่ ะได้เปน็ ผนู้ ำทางดา้ นนีข้ องประเทศ
ปัจจุบนั จงั หวัดแพร่ใช้ไม้สักประมาณปลี ะ 73,300 ลูกบาศก์เมตร โดยร้อยละ 38.60
เปน็ การนำเข้ามาจากจงั หวดั อื่น เพราะปรมิ าณไมท้ ีท่ ำออกจากสวนป่ามไี ม่เพียงพอกับความ
ตอ้ งการ แพรม่ ีเนอ้ื ท่สี วนสกั ประมาณ 92,400 ไร่ เป็นสวนสักขององค์การอุตสาหกรรมปา่ ไม้
82,400 ไร่ ที่เหลือเป็นของภาคเอกชน ถ้าจะให้มีไม้สักเพียงพอกับความต้องการของตัวเอง
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 185
แพร่จะตอ้ งมีเน้ือทส่ี วนสกั ไม่นอ้ ยกวา่ 255,400 ไร่ คือ ต้องปลูกเพ่ิมอกี ประมาณ 163,000 ไร่
ปริมาณไม้สักที่ทำออกจากสวนป่าขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ทั้งจากการตัดสางขยาย
ระยะ 3 ครั้ง และการตัดฟันครั้งสุดท้ายเมื่ออายุ 30 ปี ได้ไม้เฉลี่ย 41 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่
ต้นทนุ ในการปลกู และการจัดการสวนสักตลอดอายุการตัดฟัน 30 ปี เฉล่ยี 3,352 บาทต่อไร่
ตอ่ ปี หรอื 2,453 บาทตอ่ ลกู บาศก์เมตร หรือคดิ เปน็ ต้นทนุ ทงั้ สน้ิ ประมาณ 100,560 บาทตอ่
ไร่ มีรายไดจ้ ากไมส้ ักประมาณ 555,950 บาทต่อไร่ในระยะเวลา 30 ปี
การปลูกไม้สักจึงก่อให้เกิด
รายไดท้ ่ีเปน็ กอบเป็นกำและยัง่ ยนื ทว่า
เจ้าของสวนต้องพร้อมที่จะรอคอย
เพราะแมแ้ ต่รายไดง้ วดแรก (ไมค่ ิดทพี่ ึง
จะไดจ้ ากการปลกู พชื ควบ) อันเกิดจาก
การตัดสางขยายระยะครั้งแรกก็ต้องใช้
เวลานานถงึ 10 ปี
อย่างไรก็ตาม หากจังหวัดแพรต่ อ้ งการจะเป็นผู้นำในเรื่องไม้สักของประเทศหรอื ของ
โลก เมื่อพูดถึงไม้สักทองกต็ อ้ งมองมาที่ประเทศไทย เมื่อมาถึงประเทศไทยก็ต้องไปที่จงั หวัด
แพร่ แพร่ก็ต้องมีธุรกิจไม้สักอย่างครบวงจรตามหลักวิชาการป่าไม้ ตั้งแต่เมล็ด ต้นกล้า
สวนป่า ไม้ท่อน ไม้แปรรูป เครื่องเรือน ผลิตภัณฑ์ และธุรกิจต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดย
ทั้งหมดนี้จะต้องอยู่ภายใต้โครงการทีคแวลเล่ย์ หรือศูนย์อุตสาหกรรมไม้สักครบวงจร การ
ผลิตและการดำเนินงานทุกขั้นตอนจะต้องเป็นไปตามหลักวิชาการในหลักสูตรไม้สักของ
วทิ ยาลยั ชมุ ชนสำหรับผปู้ ระกอบการที่ ส.ส. วรวจั น์ เอ้ืออภิญญกลุ ไดจ้ ดุ ประกายไว้
35 โรคและแมลง
คือปญั หาของสวนปา่ ยูคาลปิ ตสั
ในวนั น้ี
ภาคเอกชนของไทยเริ่มตื่นตัวกับการปลูกไม้ยูคาลิปตัสเชิงพาณิชย์กนั อยา่ งจริงจังใน
ราวปี พ.ศ. 2524 หรือประมาณ 25 ปี มาแล้ว ด้วยเชื่อมั่นว่าไม้ยูคาลิปตัสเป็นไม้โตเร็ว มี
อายกุ ารตดั ฟนั ส้นั เพยี ง 5 - 7 ปี ปลูกงา่ ย ตายยาก ปลูกได้ทกุ สภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นที่
แหง้ แล้ง น้ำท่วมขัง ดนิ เคม็ ดินเปรีย้ ว ดนิ เหนียว ดินทราย หรือดินซงึ่ มีความอดุ มสมบรู ณ์ต่ำ
เป็นไมอ้ เนกประสงค์ ใชป้ ระโยชน์ได้หลายอย่าง ไมว่ ่าจะเปน็ ชน้ิ ไมส้ บั เย่อื กระดาษ ฟืน ถ่าน
เสาเข็ม หรือไม้ใช้สอยทั่วไปทั้งในครัวเรือนและชุมชน เมื่อตัดฟันแล้วตอทีเ่ หลอื อยู่กจ็ ะแตก
หน่อให้หมู่ไม้รุ่นใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่ต้องลงทุนจัดหาต้นกล้ามาปลูกใหม่ รวมทั้งไม่มี
ปัญหาเรอ่ื งโรคราแมลงแต่อย่างใดทั้งส้นิ
แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงนั้นก็คือราคาไม้ยูคาลิปตัสต่ำมาก เกษตรกรขายได้เฉลี่ย
เพียงตันละ 350 - 400 บาทเทา่ นนั้ ปญั หาต่อมากค็ อื กระแสขา่ วเก่ียวกับผลกระทบต่อระบบ
นิเวศที่ว่ายูคาลิปตัสเปน็ พษิ เป็นภัยต่อระบบนิเวศ เป็นไม้ที่กินดิน กินน้ำ ปลูกแล้วทำให้ดนิ
เสีย น้ำแหง้ ไมม่ ีสิง่ มชี วี ิตใดๆ ไมว่ า่ จะเป็นพชื พรรณ นก หรอื แม้แตแ่ มลงสามารถอาศัยร่วม
อยูใ่ นสวนปา่ ยคู าลปิ ตสั ไดเ้ ลย
แต่ปญั หาผลกระทบต่อระบบนิเวศกค็ ล่ีคลายลงในเวลาต่อมา เมื่อกรมปา่ ไม้ สมาคม
วิทยาศาสตร์การเกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และสมาคมดินและปุ๋ย
แห่งประเทศไทย ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาทางวิชาการขึ้นเมื่อวันที่ 19 - 21 มิถุนายน
พ.ศ. 2530 และได้ข้อสรุปว่าไม้ยูคาลิปตัสไม่มีผลกระทบในทางลบต่อระบบนิเวศ ทว่า การ
ศกึ ษาวจิ ัยในเร่อื งนีย้ งั ควรจะตอ้ งดำเนนิ การต่อไป
พมิ พค์ ร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (65) : 29 – 31 (พ.ศ. 2549)
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 187
หลังจากนั้นการปลูกยูคาลิปตัสในเชิงพาณิชย์โดยภาคเอกชนก็ได้ขยายตัวขึ้นอย่าง
รวดเร็ว ทั้งในภาคตะวันออกโดยกลุ่มบริษัทสวนกิตติและบริษัทสยามทรีดีเวลลอปเม้นต์
จำกัด ภาคตะวันตกโดยบริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด และภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดย
บริษัทฟีนิกซ์ พัลพ์แอนด์เพเพอร์ จำกัด และบริษัทสโตร่าเอ็นโซ่ประเทศไทย จำกัด ทั้งนี้
เพอื่ ใชเ้ ปน็ วัตถดุ บิ ในการป้อนโรงงานอตุ สาหกรรมชนิ้ ไม้สบั และอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ โดย
ส่วนใหญ่มักใช้ฐานพันธุกรรม T5 (T =
Takuapa) อันเป็นผลิตผลการวิจัยการ
ปรับปรงุ พนั ธุ์ไม้ยูคาลปิ ตัสของคณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ดร. สมคิด
สิริพัฒนดิลก และ ดร. บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์
ภายใต้การสนับสนุนทุนอุดหนุนการวิจัยของ
สวทช. แม่ไม้ T5 อยู่ในบริเวณสถานีวิจัยวน
ศาสตร์ ท้องที่อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา
ภาคเอกชนนำไปขยายพันธุ์โดยการเพาะเลี้ยง
เนื้อเยื่อและตัดกิ่งปักชำซึ่งเป็นการขยายพันธ์ุ
พืชแบบไม่อาศยั เพศ
แม้การขยายพันธุ์พืชโดยวิธีไม่อาศัยเพศจะทำให้ได้ต้นกล้าเป็นจำนวนมากใน
ระยะเวลาอันสั้น และที่สำคัญคือไม่กลายพันธุ์ คือคงลักษณะทางพันธุกรรมเดิมไว้ทุก
ประการ ไม่ว่าจะเป็นลักษณะเด่นหรือลักษณะด้อยก็ตาม แต่ข้อเสียของยูคาลิปตัสสายต้น
(clone) T5 ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาก็คือการระบาดของโรคราอย่างรวดเร็วและรุนแรงแทบ
ทุกภูมิภาคของประเทศ อันเป็นผลเนื่องมาจากฐานพันธุกรรมแคบ คือส่วนใหญ่ปลูกเฉพาะ
สายต้น T5 ซ่ึงเห็นว่าโตเรว็ ใหผ้ ลผลติ ตอ่ ไรส่ งู
หลังจากนั้นภาคเอกชนรายใหญ่ก็ได้ตื่นตัวกับการศึกษาวิจัย ตั้งห้องปฏิบัติการ
วิจัยค้นคว้าหาสายต้นใหม่ๆ เพื่อขยายฐานพนั ธุกรรมให้ไดส้ ายตน้ ที่มีความตา้ นทานโรคและ
ให้ผลตอบแทนสูง พร้อมกับขยายพื้นที่ปลูกออกไปอย่างกว้างขวางและรวดเร็วเพื่อให้มี
ปรมิ าณไมท้ ันกับความต้องการ
การเติบโตอยา่ งรวดเรว็ ของธุรกิจสวนป่ายคู าลิปตัสกอ่ ให้เกิดปัญหาเรื่องโรคราแมลง
ขึ้นมาอีก เมื่อปลายเดือนตุลาคม 2549 นี้ ผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่อำเภอศรีมหาโพธิ
188 รวมเร่ืองสวนป่า
จังหวัดปราจีนบุรี พบว่า สวนยูคาลิปตัสเนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ในท้องที่ตำบลหัวหว้า ของ
นายนิคม น้อยเสน ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 9 ยืนต้นตายแทบทั้งสวน โดยยูคาลิปตัสที่ยืนต้นตาย
เป็นไม้ที่เกิดจากการแตกหน่อภายหลังการตัดฟันในครั้งแรก หน่อมีอายุ 1 ปี 8 เดือน
เจ้าของจัดการตออย่างดีมาก มีการตัดสางให้เหลือหน่อตอละ 2 - 3 ต้นตามหลักวิชาการ
พ้นื สวนสะอาด มหี ญา้ ขึ้นคลมุ พ้นื ดินเขยี วชะอุ่ม จากการพูดคุยกับเจา้ ของสวนทำให้ทราบวา่
ยูคาลิปตัสแปลงนี้เป็นสายต้น K55 ในรอบแรกไม่ปรากฏโรคราใดๆ ทั้งสิ้น อาการใบร่วง
เปลือกแหง้ และยนื ต้นตายเกดิ ขึน้ เฉพาะหนอ่ ภายหลงั การตัดฟันเทา่ น้นั และขณะนบี้ รษิ ทั ได้
ยตุ ิการผลติ กล้าสายต้น K55 แล้วต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2546 เปน็ ต้นมา
เมื่อประมาณ 5 ปีมาแล้ว คุณ
พรจันทร์ บุษบา ได้สังเกตเห็นว่าไม้
ยูคาลิปตัสซึ่งปลูกอยู่ในท้องที่ตำบล
แก้มอ้น อำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี
มีอาการใบร่วงหล่น สุขภาพไม่แข็งแรง
สมบูรณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้นไม้ที่
ปลูกในท่ีซ่งึ ดนิ มีฤทธเิ์ ป็นด่างอ่อนๆ น้ำ
ท่วมขังในหน้าฝน จึงได้ขอการ
สนับสนุนจากบริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด เพื่อทำการศึกษาวิจัยในรูปของวิทยานิพนธ์
ปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (วนศาสตร์) สาขาวนวัฒนวิทยา ผลการศึกษา พบว่า ใน
จำนวนไม้ยูคาลิปตัส 60 สายต้นที่ปลูกนั้น สายต้นเบอร์ CT 65, CT 192, CT 112, CT 183
และ CT 38 มีสุขภาพไม่แข็งแรง ใหผ้ ลผลิตต่ำและไมแ่ นะนำใหป้ ลูกในพ้นื ที่ดงั กล่าว
เมื่อเร็วๆ นี้ก็มีรายงานเกี่ยวกับการระบาดของแตนฝอยปมว่าเป็นแมลงศัตรูไม้
ยูคาลิปตัสชนิดใหม่ที่มักเกิดกับกล้าไม้ ไม้ที่เกิดจากหน่อภายหลังการตัดฟัน และไม้ในสวนป่า
ที่ยังมีขนาดเล็ก ทำให้ผู้ปลูกไม้ยูคาลปิ ตัสทั้งรายย่อยและรายใหญ่ต่างหวั่นวิตกไปทั่วกนั จน
ศูนย์วิจัยป่าไม้ ร่วมกับภาคเอกชน 3 - 4 บริษัทได้จัดให้มีการประชุมสัมมนาเพื่อหาทาง
ป้องกันแกไ้ ขขนึ้ เมื่อวนั ท่ี 8 พฤษภาคม 2549
ด้วยตระหนักถึงความเสียหายจากโรคและแมลงของสวนป่ายูคาลิปตัสดังก ล่าวแล้ว
บริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด จึงได้จัดให้มีการอบรมหลักสูตรการควบคุมและป้องกันโรค
และแมลงในสวนป่ายูคาลิปตัสขึ้นเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2549 โดยผู้เข้ารับการฝกึ อบรมเปน็
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 189
เกษตรกรผู้ปลูกไม้ยูคาลปิ ตัสในทอ้ งท่ีภาคตะวันตก ทั้งนี้โดยมี ดร. เดชา วิวัฒน์วิทยา เป็น
วิทยากรบรรยายเรื่องแมลงศัตรูยูคาลิปตัส และดร. อุทัยวรรณ แสงวณิช เป็นวิทยากร
บรรยายเร่อื ง การควบคมุ และป้องกนั โรคของยคู าลิปตสั
วทิ ยากรทั้งสองเป็นอาจารยป์ ระจำภาควิชาชีววทิ ยาปา่ ไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน โดย ดร. อุทัยวรรณ สำเร็จการศึกษาขั้นปริญญาเอกจาก
มหาวิทยาลัยวอชิงตัน (University of Washington) ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นอาจารย์สอน
วิชาโรควิทยาป่าไม้ และมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษทางด้านเชื้อราไมคอไรซ่า ส่วน ดร. เดชา
น้นั สำเรจ็ การศึกษาขัน้ ปรญิ ญาเอกจากมหาวิทยาลัยเกยี วโต (Kyoto University) ประเทศญป่ี ุ่น
เป็นอาจารย์สอนวิชากีฏวิทยาป่าไม้ มีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษในเรื่องมดและเป็นผู้ก่อตั้ง
พพิ ธิ ภณั ฑม์ ดขนึ้ มาในมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์
ดร. เดชา กล่าวว่ามีแมลงกว่า 170 ชนิดเข้าทำลายไม้ยคู าลิปตัส โดยในประเทศไทย
มีประมาณ 60 ชนิด แยกออกได้ 4 ประเภท อันได้แก่ แมลงทำลายใบ (พบ 23 ชนิด) แมลง
ทำลายลำต้นและกิ่ง (พบ 7 ชนิด) แมลงทำลายราก (พบ 5 ชนิด) และแมลงประเภทดูดกิน
นำ้ เลีย้ ง (พบ 10 ชนดิ ) ในจำนวนนี้ แมลงศตั รูตวั ใหม่ท่นี า่ หว่ งใยมากเปน็ พิเศษ คือ แตนฝอยปม
(Leptocybe invasa) ซึ่งระบาดในแถบตะวันออกกลางและกลุ่มประเทศแถบทะเลเมดิเตอ
เรเนียนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2543 และ
เพิ่งพบในประเทศไทยเมื่อเร็วๆ นี้เอง
เกิดกับกล้าไม้และต้นไม้ในวัยเยาว์
อาการทั่วๆ ไป คือ เป็นปุ่มปมที่เส้น
กลางใบด้านหลัง หรือที่กิ่งอ่อน ทำให้
ยอดหงิกงอ การเจริญเติบโตลดลง และ
รูปทรงของต้นไม้ผิดปกติ แนวทางการ
ป้องกันแก้ไข คือ หมั่นเฝ้าระวังสำรวจ
ตรวจสอบต้นกลา้ และหมู่ไม้ทีย่ ังวัยเยาว์
ทำลายปม ใช้สารเคมี และให้กับดักกาว ที่สำคัญคือ ต้องสร้างยูคาลิปตัสสายพันธุ์ใหม่ท่ี
สามารถต้านทานการทำลายได้สูง ทว่า เนื่องจากแตนฝอยปมยังเป็นแมลงศัตรูพืชชนิดใหม่
สำหรับนักกีฏวิทยาของไทย การร่วมมือกันศึกษาวิจัยอย่างจริงจังทั้งภาครัฐและเอกชนจึง
เป็นส่งิ ที่ ดร. เดชา อยากจะใหเ้ กดิ เป็นรูปธรรมขึ้นมาโดยเร็ว
190 รวมเรือ่ งสวนป่า
ส่วน ดร.อุทัยวรรณ นั้นกล่าวว่าโรค
ของยูคาลิปตัสพบทั้งในกล้าไม้ กิ่งชำ และ
ต้นไม้ใหญ่ในสวนป่า มีทั้งชนิดที่ทำลายใบ
และทำลายเนื้อไม้ โรคที่เกิดกับกล้าไม้ที่พบ
เห็นกนั บอ่ ย คอื โรคเนา่ คอดนิ ซง่ึ มีสาเหตุมา
จากเชื้อรา ควบคุมป้องกันได้ด้วยการลด
ความช้นื ในดนิ โดยการจำกดั การรดนำ้ โรคท่ี
เกิดกับกิ่งชำมักมาจากแปลงตอพันธุ์ซึ่งมี
สาเหตมุ าจากเชื้อแบคทีเรยี โรคทเ่ี กิดที่ใบสว่ นใหญ่เนื่องจากเชื้อรา มที ้ังโรคใบไหม้ และโรค
ใบจุด รวมทั้งโรคเห่ียวซ่ึงเกดิ จากเชื้อแบคทีเรีย ทำให้ใบร่วงหล่น อัตราการเจริญเติบโตของ
ต้นไม้ลดลง และตายไปในท่ีสุด ส่วนโรคท่ีเกิดที่ลำต้นอันเนื่องมาจากเช้ือราที่สำคัญ คือ โรค
แคงเกอร์ วิธีการควบคุมป้องกันที่สำคัญคือ ต้องรักษาพืน้ ทีส่ วนปา่ ใหส้ ะอาด ปราศจากเศษ
ซากพชื ท่จี ะเป็นแหล่งเพาะพนั ธ์ุของโรครา ตอ้ งมนี ักโรคพืชคอยตรวจวินจิ ฉัยโรคเพื่อป้องกัน
แก้ไขแต่เนิ่นๆ รวมทั้งต้องศึกษาหาสายพันธุ์ใหม่ๆ เพื่อขยายฐานพันธุกรรมให้มี
ความสามารถในการต้านทานโรคสูง
อย่างไรก็ตาม ดร.อุทัยวรรณ ไม่แนะนำใหใ้ ช้สารเคมี เว้นแต่เมือ่ จำเปน็ จริงๆ เท่านนั้
และควรใช้ด้วยความระมัดระวังถึงผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อม แต่ได้แนะนำให้
ประเมนิ ระดบั ความรุนแรงของโรคท่สี ำรวจพบเพื่อจะได้กำหนดมาตรการการแก้ไขท่ีถูกต้อง
เหมาะสมต่อไป
เกษตรกรผู้ปลูกยูคาลิปตัสที่มีปัญหาเรื่องโรคและแมลง หากต้องการคำแนะนำ
เพิ่มเติมจากอาจารย์ทั้งสองท่าน โปรดติดต่อที่ภาควิชาชีววิทยาป่าไม้ คณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ บางเขน โทรศพั ท์ 02-579-0176 ไดท้ กุ วันเวลาราชการ
36 การปรบั ปรุงบำรงุ พันธ์ไุ มส้ กั
1. เมล็ดและสวนผลติ
เมลด็ พันธุ์ไม้สัก
ผมเคยพูดไว้หลายครั้งแลว้ ว่าไมส้ กั ทีด่ ีที่สุดในโลกหรอื “สักทอง” ต้องเปน็ ไม้สักจาก
ประเทศไทยและพม่าเท่าน้ัน เพราะสภาพแวดลอ้ มของสองประเทศน้ีเอ้อื อำนวยตอ่ การสร้าง
เนอ้ื ไม้สกั ให้มสี เี หลืองทองสวยงามตรงกบั ความตอ้ งการของตลาดโลก
ทั้งๆ ที่ไทยและพม่ามีสภาพแวดล้อมที่เอ้ืออำนวยต่อการผลติ ไม้สกั ทองคลา้ ยคลึงกัน
มาก แต่ผลผลิตต่อไร่ต่อปี หรือที่ภาษาวิชาการป่าไม้เรียกว่า “ความเพิ่มพูนรายปีเฉลี่ย”
(Mean Annual Increment : MAI) ของไทยกลับต่ำกว่าของพม่าและประเทศเพื่อนบ้านผู้
ปลูกไมส้ กั มาก กล่าวคอื สวนสักในภาคเหนือของไทยซงึ่ ปลูกในพืน้ ทซี่ ่ึงมชี ัน้ คุณภาพถ่ินที่ข้ึน
(site quality) ที่เหมาะสมทีส่ ุด ณ อายุรอบหมุนเวยี นในการตัดฟนั 50 ปี มคี ่าความเพิ่มพูน
รายปเี ฉลย่ี เท่ากับ 0.75 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ไร่ ในขณะทสี่ วนสกั ของพมา่ มคี ่าความเพิ่มพูนราย
ปีเฉลี่ยสูงถึง 1.60 ลูกบาศกเ์ มตรต่อไร่ หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึง่ ไดว้ ่าสวนสกั ในภาคเหนือ
ของไทยให้ปริมาตรไม้ไร่ละ 0.75 ลูกบาศก์เมตรต่อปี แต่สวนสักของพม่า อินเดีย และ
อนิ โดนีเซีย ใหป้ ริมาตรต่อไรต่ อ่ ปสี งู กว่าของไทยถงึ 2.13, 2.56 และ 3.76 เท่า ตามลำดบั
ผลผลิตทางการเกษตรรวมทั้งไม้สักจะมากน้อยเพียงใดย่อมเป็นไปตามหลักการทาง
ชีววิทยาขั้นพน้ื ฐานที่ว่า
Phenotype = Genotype + Environment
คอื ลักษณะทางพนั ธุกรรมหรอื สายพันธุแ์ ละสภาพแวดลอ้ มของพืน้ ทป่ี ลกู รวมทงั้ การ
จัดการสวน
ในเมื่อปัจจัยสิ่งแวดล้อมคลา้ ยคลึงกัน การที่สวนสกั ในพม่าให้ผลผลิตสูงกวา่ ของไทย
กวา่ สองเทา่ ตวั ก็น่าจะเนอื่ งมาจากสายพันธุ์ และ/หรือ การจดั การสวนปา่
พิมพ์ครัง้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (66) : 28 – 30 (พ.ศ. 2550)