42 รวมเรือ่ งสวนป่า
นั่นคือ กระถินเทพาเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และปาปัว
นิวกินี ในช่วงเส้นรุ้ง 1-19 องศาใต้ เส้นแวง 125-146 องศาตะวันออก พบอยู่ทั่วไปใน
บรเิ วณเหนอื ระดบั นำ้ ทะเลเล็กน้อยไปจนถึงระดับความสูง 100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปาน
กลาง ระดับความสูงของพื้นที่ที่จำกัดการเจริญเติบโตของไม้ชนิดนี้ตั้งแต่ 780 เมตรขึ้นไป ซ่ึง
ใกล้เคียงกับระดบั ความสงู เหนอื ระดบั นำ้ ทะเลสูงสุดท่ีไมส้ ักจะขนึ้ ได้
เมื่อเกือบสี่สิบปีที่แล้วแทบไม่มีคนรู้จักไม้ต่างถิ่นชนิดนี้เลย จนกระทั่งปี พ.ศ. 2509
นักวิชาการป่าไม้ชาวออสเตรเลียคนหนึ่งได้นำเมล็ดไม้กระถินเทพา 200 เมล็ดจากแม่ไม้ต้น
หนึง่ ในรัฐควีนสแ์ ลนดข์ องประเทศออสเตรเลยี เข้าไปปลูกเป็นแนวกนั ไฟรอบแปลงทดลองไม้
สนเขาในซาบาห์ ประเทศมาเลเซีย และพบว่าไม้ในแนวกันไฟชนิดน้ีโตเร็วกว่าไม้ซ้อ และไม้
ยูคาลปิ ตัสดกี ลุปตา้ ซงึ่ ปลกู เป็นสวนปา่ กันอยา่ งกวา้ งขวางในซาบาหข์ ณะนัน้
ดังนั้น สิบปีต่อมา บริษัท ซาบาห์ซอฟท์วู๊ด จำกัด จึงได้ลงมือปลูกไม้กระถินเทพา
เป็นสวนป่าอุตสาหกรรมเป็นรายแรกตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 เป็นต้นมา จากนั้น กระถินเทพาก็
กลายเป็นไม้โตเร็วที่มีบทบาทสำคัญในประเทศต่างๆ ในแถบร้อนช้ืนอย่างกว้างขวาง อาทิ
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ลาว ศรีลังกา เวียดนาม รวมทั้งไทยและหลายประเทศในทวีปอาฟริกา
รวมเนอื้ ทป่ี ลูกกวา่ 4 ลา้ นไร่
กระถนิ เทพาเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ไม่
ผลัดใบ เมื่อโตเต็มที่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่
เหมาะสมอาจสูงถึง 25-35 เมตร เส้นผ่าน
ศูนย์กลางเพียงอกกว่า 60 เซนติเมตร แต่ส่วน
ใหญ่ไม่ค่อยพบต้นที่โตกว่า 50 เซนติเมตร
เรือนยอดแน่นทึบสูงเด่น ส่วนของลำต้นที่
ปราศจากกิ่งอาจสูงเกินกว่าครึ่งหนึ่งของความ
สูงทั้งหมดก็ได้ เจริญเติบโตได้ดีแม้ในพื้นที่ป่า
เสื่อมโทรม ดินมีความอุดมสมบูรณ์ตำ่ ชอบดินท่ี
มีฤทธิ์เป็นกรด มีค่า pH ระหว่าง 4.5-6.5
ปัจจัยในการเลือกพื้นที่ปลูกที่สำคัญที่สุดคือปริมาณน้ำฝนซึ่งควรจะมีฝนตกเกินกว่า 2,000
มิลลิเมตรต่อปี หรืออย่างน้อยสุดปริมาณน้ำฝนรายปีก็ไม่ควรจะต่ำกว่า 1,500 มิลลิเมตร
และท่ีสำคญั กค็ อื จะตอ้ งไมม่ ชี ว่ งความแห้งแล้งทเ่ี ด่นชัดตดิ ต่อกันยาวนานมากเกนิ ไป
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 43
สำหรับประเทศไทย พื้นทีท่ ี่เหมาะสำหรับปลูกไม้กระถินเทพาในภาพรวม คือภาคใต้
ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไปจนจรดชายแดนมาเลเซีย รวมทั้งบางส่วนของภาคตะวันออกและภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และที่ราบลุ่มแม่น้ำโขง อุณหภูมิเฉลี่ยควรอยู่ระหว่าง 25-32
องศาเซลเซียส แต่อุณหภูมิต่ำสุดไม่ควรจะต่ำกว่า 13 องศาเซลเซียสเพราะกระถินเทพาไม่
ชอบอากาศหนาว ตรงกันข้ามกับไม้กระถินดอยซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในที่สูงแม้อุณหภูมิต่ำสดุ
ในหน้าหนาวจะต่ำกว่าศูนย์องศาเซลเซียสก็ตาม
กระถินเทพาเป็นไม้สารพัดประโยชน์หรือไม้
อเนกประสงค์เพราะใช้ได้ทั้งเป็นอาหารคน อาหารสัตว์
ฟืน ถ่าน เยื่อกระดาษ ใช้สอยทั่วไป และประโยชน์
ทางออ้ ม
เมล็ดที่เอาไปเพาะและงอกขึ้นมาเหมือนเหรียงหรือ
สะตอสามารถนำไปปรงุ อาหาร และรบั ประทานเป็นผักได้
ใบและยอดออ่ นใชเ้ ปน็ อาหารของโค และกระบอื ซง่ึ พบว่ามคี า่ โปรตนี สูงมาก
ดอกและเกสร เป็นแหล่งอาหารของผ้ึง จงึ เหมาะสำหรับใช้เลี้ยงผึง้
ด้วยค่าความร้อนสูงถึง 4,800-4,900 กิโลแคลอรีต่อกิโลกรัม (kcal/kg) ไม้กระถิน
เทพาจึงเหมาะสำหรับเป็นไม้พลังงานและอุตสาหกรรมถ่านอัดแท่งและถ่านขาว เพราะให้
ถ่านที่มีคณุ ภาพสูงเปน็ ทตี่ ้องการของตลาด
กระถินเทพาอายุ 4 ปีให้ผลผลิตของเยื่อ (pulping yields) 46.9-49.6 % ครั้นเมื่อ
อายุ 9 ปี คา่ ดังกลา่ วเพ่มิ ขึ้นเป็น 49.8-52.3 % ประกอบกับคณุ สมบตั ิต่างๆของเยอ่ื กระดาษ
ทำให้ในเกาะสุมาตรา ซาบาห์ และประเทศเวียดนาม ปลูกไม้กระถินเทพาเป็นวัตถุดิบหลัก
ของอุตสาหกรรมเยื่อกระดาษ โรงงานเยือ่ กระดาษหลายแห่งในประเทศไทยกใ็ ห้ความสนใจ
ในเร่ืองนีเ้ ช่นกนั
ส่วนประโยชน์จากคุณสมบัติเชิงกล
ของเนื้อไม้นั้น เนื้อไม้กระถินเทพามีค่าความ
หนาแน่นระหว่าง 530-690 กิโลกรัมต่อ
ลกู บาศกเ์ มตร (kg/m3) ที่ระดับความชนื้ 15%
มีค่าความถ่วงจำเพาะ 0.65 แก่นสีน้ำตาล
44 รวมเรือ่ งสวนปา่
กระพี้สีเหลืองอ่อน ผึ่ง อบ ตกแต่งไสกบให้เรียบได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับไม้แปรรูปในงาน
ก่อสร้างทั่วไป ทำวงกบประตูหน้าต่าง เครื่องเรือน ตู้เสื้อผ้า ต่อเรือ ไม้บาง ไม้อัด และ
อุตสาหกรรมชิ้นไม้สับ รวมท้ังขี้เลอื่ ยกใ็ ชเ้ พาะเห็ดหอมได้
ที่ตำบลตำตัว อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มีโรงงานทำสระว่ายน้ำเพื่อส่งออกไป
ยุโรปโดยใช้ไมก้ ระถนิ เทพาเปน็ องค์ประกอบหลกั
ความยาวของอายรุ อบหมนุ เวยี นในการตัดฟนั เพื่อประโยชนด์ งั กลา่ วอยู่ในระหวา่ ง 8-
12 ปี
ส่วนประโยชน์ทางอ้อมนั้น เนื่องจากกระถินเทพาเป็นพืชตระกูลถั่วจึงสามารถตรึง
ไนโตรเจนเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ดิน ระบบรากเกาะยึดดินไดด้ ีเหมาะสำหรับปลูกเพ่ือ
ป้องกันการพังทลายของดิน ด้วยเรือนยอดที่แน่นทึบของไม้ไม่ผลัดใบจึงปลูกเป็นไม้แนวกัน
ไฟ แนวกันลม และไม้ให้ร่มตามแนวถนนหนทางในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
และบางจงั หวดั ในภาคใต้ของไทย
นอกจากนี้ ประโยชน์ในทางอ้อมที่เด่นชัดและทราบกันดีอีกประการหนึ่งของไม้
กระถินเทพาก็คือปลูกเพ่ือกำจดั หญ้าคาในพื้นท่ีเส่ือมโทรม ซึ่งปกติในแถบร้อนชื้นท่ัวไปที่ดนิ
รกร้างว่างเปล่ามักจะมีหญ้าคาขึ้นอยู่หนาแน่นและปราบยาก หญ้าคาเป็นพืชที่ต้องการแสง
สว่างมาก ไมท่ นร่ม รม่ เงาท่แี นน่ ทึบของไม้กระถนิ เทพาจึงชว่ ยกำจดั หญ้าคาไดอ้ ยา่ งดี
แม้ไม้กระถินเทพาจะอำนวย
ประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อม
นานาประการดังกล่าวแล้วก็ตาม แต่ผู้
ปลูกกระถินเทพาจะต้องตระหนักไว้ว่า
กระถินเทพาอายุ 4 ปี ในซาบาห์เคยเกิด
โรคไส้ฟักขึ้นประมาณ 12% สวนป่า
กระถินเทพาของบริษัทไม้อัดไทยจำกัด ที่
ลาดกระทิง จังหวัดฉะเชิงเทรา ก็เคยเกิด
ไสฟ้ กั ขึ้นเหมอื นกัน ทวา่ สวนปา่ กระถนิ เทพาอายุ 13 ปขี องคณะวนศาสตร์ ท่อี ำเภอตะก่ัวป่า
จังหวัดพังงา ไม่ปรากฏว่าเกิดโรคไส้ฟักขึ้นเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะเป็นสวนป่า
ขนาดเล็ก ไม่ได้ปลูกในรูปของสวนป่าเชิงเดี่ยว และได้สายพันธุ์ที่มีความต้านทานโรคสูงมา
ปลกู ก็เปน็ ได้
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 45
คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ได้ปลูกไม้กระถินเทพาไว้ที่สถานีฝึกนิสิต
วนศาสตร์บางมว่ ง (สถานีวจิ ยั วนศาสตร์พังงา) อำเภอตะกวั่ ปา่ ซ่ึงดนิ เปน็ ดนิ ตะกอนเหมืองแร่ที่
มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมาก มีหญ้าคาขึ้นหนาแนน่ ฝนตกเฉลี่ยปีละ 3,570 มิลลิเมตร ปรากฏ
ว่ากระถินเทพาเจริญเติบโตดีมาก มีอัตราการรอดตายเกินกว่า 90% ไม้อายุ 13 ปีมีเส้น
ผ่านศูนยก์ ลางท่ีระดบั อกเฉลี่ย 30 เซนติเมตร สูง 29 เมตร ซึ่งดีกว่าไม้อายุเดียวกันทีป่ ลกู ท่ี
ซาบาหใ์ นประเทศมาเลเซียเล็กน้อย ท้งั ๆ ท่แี ทบจะไมม่ กี ารบำรุงรักษาใดๆ เลย เว้นแต่การ
ป้องกันไฟ เมื่อตัดฟนั ไม้เพื่อจำหน่ายใหแ้ กโ่ รงงานทำสระวา่ ยนำ้ ท่ีตำตัวแล้ว การสืบตอ่ พนั ธ์ุ
ตามธรรมชาติภายหลังการตัดฟันจัดอยู่ในเกณฑ์ดีมากเพราะมีกลา้ ไม้ขึ้นอยูห่ นาแน่นตาราง
เมตรละหลายสิบต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่เกิดไฟไหม้เศษไม้ปลายไม้ภายหลังการตัด
ฟนั ปรากฏว่ากล้าไม้ข้นึ หนาแน่นกวา่ บริเวณขา้ งเคียงแตไ่ ม่เกิดการเผาไหม้มากเป็นพิเศษ ไฟ
จงึ ชว่ ยในการสืบต่อพนั ธต์ุ ามธรรมชาติของไมช้ นดิ นดี้ ้วย
จากจุดเริ่มต้นด้านการปลูกและการใช้ประโยชน์ดังกล่าว ขณะนี้เกษตรกรในภาคใต้
แถวจังหวัดพงั งา กระบี่ ระนอง ได้ให้ความสนใจกบั การปลูกไมก้ ระถินเทพากันมาก รวมท้ัง
การปลกู เปน็ ไมใ้ ห้รม่ ตามริมถนนสายหลักของกรมทางหลวงกจ็ ะพบเห็นไดท้ ั่วไปในภาคใต้
จึงคาดหวังวา่ กระถนิ เทพาน่าจะเป็นไม้เศรษฐกิจอีกชนิดหนึ่งในอนาคตแน่นอน ทว่า
การปลูกในเชิงพาณิชย์เป็นอาชีพหลักจะต้องคำนึงถึงสภาพแวดล้อมของพื้นที่และรูปแบบ
การปลูกทเ่ี หมาะสมไวด้ ว้ ยเสมอ
8 ปลูกหวาย
ได้ทง้ั หนอ่ และลำ
สมาชิกขาประจำของนิตยสารไม่ลองไม่รู้คงจะแปลกใจว่าทำไมหน้า “ไม้เศรษฐกิจ”
ฉบบั น้ผี มจึงเขียนเรื่องหวาย เพราะหวายไมใ่ ชไ่ ม้เศรษฐกิจ แตต่ ามกฏหมายปา่ ไม้ หวายเป็น
“ของปา่ ” ซง่ึ หมายถึงผลผลิตที่ได้จากป่าทุกชนิด ยกเว้นไม้ ในทางป่าไมถ้ อื ว่าไม้เปน็ ผลิตผล
หลัก (major forest products) ของป่าเป็นผลิตผลรอง (minor forest products) อันพึง
ไดจ้ ากปา่
ในเขตรอ้ นชนื้ อย่างประเทศไทยซง่ึ มฝี นตกชกุ มคี วามหลากหลายทางชวี ภาพสูง ของ
ป่ามีมากมายหลายชนิด แต่กรมป่าไม้ได้จำแนกออกเป็น 9 กลุ่มใหญ่ๆ อันได้แก่ (1) หวาย
(2) ไผ่ (3) ชันและยาง (4) สมุนไพรและเคร่อื งเทศ (5) พชื อาหาร (6) แมลงอตุ สาหกรรมและ
แมลงกนิ ได้ (7) ไมห้ อม (8) เปลือกไม้ และ (9) แทนนินและสธี รรมชาติ
แมห้ วายจะไมใ่ ชไ่ มเ้ ศรษฐกจิ แตห่ วายกเ็ ปน็ ของป่าท่มี บี ทบาททางเศรษฐกิจไมน่ อ้ ย
หากไม่มปี า่ กไ็ มม่ หี วาย เพราะหวายต้องอาศัยปา่ เปน็ พเ่ี ลยี้ ง
ดงั น้ัน จงึ หยบิ เอาเรอื่ งการปลูกหวายไวใ้ นคอลัมน์ไม้เศรษฐกจิ
ประเทศทปี่ ลูก จัดการ และส่งหวายออกสู่ตลาดโลกมากทีส่ ุดคืออินโดนีเซีย ซึ่งครอง
ตลาดการสง่ ออกหวายถงึ ร้อยละ 80 ของความตอ้ งการทั้งหมด โดยในปี ค.ศ. 2000 อินโดนีเซีย
สามารถสรา้ งรายได้จากการส่งออกหวายได้ถึง 300 ลา้ นเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 12,000
ล้านบาท หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าประมาณร้อยละ 6.5 ของรายได้จากธุรกรรมป่าไม้ของ
อินโดนีเซียนัน้ มาจากหวาย
หวายจงึ เปน็ ของปา่ เศรษฐกจิ ท่นี ่าสนใจไม่น้อย
สำหรับประเทศไทยในอดีตเคยเก็บหาหวายจากป่าธรรมชาติโดยไม่มีการปลูกและ
การจัดการใดๆ ทั้งสิ้น ทำให้กำลังผลผลิตของหวายลดลงเรื่อยๆ หนังสือสถิติการป่าไม้ของ
พมิ พ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (37) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 47
ประเทศไทยประจำปี 2545 ระบวุ า่ ปริมาณหวายท่เี คยไดจ้ ากป่าจำนวน 491.8 ตันในปี พ.ศ.
2539 น้นั ลดลงเหลอื เพยี ง 52.5 ตนั ในปี พ.ศ. 2541 18.5 ตนั ในปี พ.ศ. 2543 และ 0 ตัน
หรือผลิตไม่ได้เลยในปี พ.ศ. 2545 ในขณะที่ความต้องการภายในประเทศยังคงมีอย่าง
ต่อเนื่อง ในช่วงปี พ.ศ. 2543-2545 จึงต้องนำเข้าหวายเฉลี่ยปีละ 5,057 ตัน ทำให้สูญเสีย
เงินตรา 82.17 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้เพื่อนำมาผลิตเฟอร์นิเจอร์หวายส่งออก และนำเงินตรา
เข้าประเทศในชว่ งเวลาเดยี วกันไดเ้ ฉลย่ี ปีละ 127.03 ล้านบาท
มูลค่าทางเศรษฐกจิ ดงั กล่าวของหวายทั้งของไทยและอนิ โดนเี ซยี ไดม้ าจากลำหรือเส้น
หวาย แต่ความจริงแล้วหน่อหวายก็ก่อให้เกิดผลตอบแทนทางเศรษฐกิจทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมได้เช่นเดียวกับลำ ผลตอบแทนทางตรงก็คือการปลูกหวายเพื่อขายหน่อ ในขณะท่ี
การนำหน่อไปบริโภคภายในครวั เรือนซึ่งไม่ก่อให้เกดิ รายไดเ้ พ่ิมข้ึน แต่ชว่ ยลดรายจ่ายลงน้ัน
ถือวา่ เป็นผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในทางออ้ ม
หวายเป็นพันธุ์พืชจำพวกปาล์มซึ่งลำต้นมีหนามเลื้อยยาวไปตามพื้นดินหรือเกาะ
เกี่ยวกับต้นไม้อื่น โดยบางชนดิ อาจจะยาวถึง 160 เมตรก็ได้ ซึ่งถือว่าหวายเปน็ พืชบกที่มีลำ
ต้นยาวที่สุด ในโลกนี้มีหวายอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 14 สกุล ประมาณ 600 ชนิด ส่วนใหญ่อยู่ใน
เอเซียอาคเนย์ซ่ึงมอี ยถู่ ึง 11 สกลุ 516 ชนดิ สำหรับประเทศไทยพบวา่ มีหวายขนึ้ อยู่ 6 สกุล
จำนวน 60 ชนิด แต่บางรายงานระบุว่ามี 7 สกลุ จำนวน 83 ชนดิ ทว่าเป็นหวายทม่ี ีบทบาท
ในเชิงพาณิชย์เพยี ง 19 ชนดิ เทา่ น้นั
หวายเศรษฐกิจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือหวายกนิ หนอ่ และหวายใชล้ ำ
หวายกินหน่อ หรือกินยอด มี 3
ชนิด คือ หวายดง หวายน้ำ และ หวาย
น้ำผึ้ง หลายจังหวัดในภาคตะวันออก-
เฉียงเหนือตอนบนที่อยู่ติดกับแม่น้ำโขง
เช่น สกลนคร นครพนม และมุกดาหาร
นิยมปลูกหวายเพื่อบริโภคหน่อกันมาก
โดยเฉพาะหวายดงและหวายน้ำซึ่งมี
รสชาติขมน้อยกว่าหวายน้ำผึ้ง จึงเป็นท่ี
นิยมของผู้บริโภคมากทั้งในรูปของหน่อ
หวายสด หน่อหวายแหง้ และหนอ่ หวายขวดซ่ึงแช่ในนำ้ เกลอื นำ้ ปนู ใส และนำ้ เชอ่ื ม
48 รวมเรือ่ งสวนปา่
ทั้งนี้โดยการใช้กล้าหวายเพื่อบริโภคหน่อดังกล่าว อายุ 10-11 เดือน ซึ่งปลูกเป็น
แปลงๆ บนที่ดินดอน น้ำไม่ท่วมขัง ใช้ระยะปลูก 3.0x1.5 หรือ 3.0x1.0 เมตร หรือ 356-
533 ต้นต่อไร่ หลังจากปลูก 1 ปี ก็เริ่มเก็บเกี่ยวหน่อรุ่นแรกได้ โดยใช้กรรไกรตัดให้สูงจาก
พน้ื ดนิ ราว 1-2 น้วิ จากนั้นก็เกบ็ เกี่ยวต่อไปได้เร่อื ยๆ จนหวายอายุ 10-15 ปี แลว้ จึงตัดหมด
และใช้ไฟเผาท่ัวทัง้ แปลงแล้วใส่ปุ๋ยคอกในอัตรา 1 ปีบต่อกอ ก็จะไดห้ วายในรอบสองโดยไม่
ต้องปลูกใหม่ ซึ่งหวายรอบสองนี้จะเริ่มเก็บเกี่ยวหน่อได้ภายหลังการตัดหมด 12 เดือน
เช่นเดียวกับแปลงหวายปลูกใหม่ และสามารถเก็บเกี่ยวหน่อต่อไปได้อีก 10-12 ปี หรืออีก
หนงึ่ รอบ
หน่อที่ตัดฟันได้มีทั้งส่วนที่แก่และอ่อน โดยส่วนอ่อนซึ่งรับประทานได้มีราวๆ เศษ
หนึ่งส่วนสิบหรือร้อยละ 10 ของน้ำหนักหน่อทั้งหมด เฉพาะส่วนที่รับประทานได้นี้มี
ประมาณ 30 หน่อต่อกิโลกรัม จำหน่ายกิโลกรัมละ 150-170 บาท หรือขายเป็นรายหน่อ
ราคาหน่อละ 5-8 บาท แต่ถา้ เอาไปทำเป็นหน่อหวายบรรจุขวดจำหนา่ ยขวดละ 60 บาท
สกลนครเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในการปลูกหวายเพื่อการบริโภคหน่อมากที่สุดใน
ประเทศไทย โดยสามารถผลิตได้ถงึ 3 ลา้ นหนอ่ ต่อปี อนั กอ่ ให้เกดิ รายได้แกช่ ุมชนชนบทถึงปี
ละ 15-20 ล้านบาท จนทำให้หน่อหวายกลายเป็นของฝากหรือเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหน่ึง
ผลิตภัณฑ์ของจังหวัดสกลนครไป
โดยปรยิ าย
ส่วนหวายที่ปลูกเพื่อใช้ลำ
นั้นอาจจะแบ่งการใช้ประโยชน์ลำ
ออกเป็น 2 กลุ่ม คือใช้ลำเพื่อทำ
เฟอร์นิเจอร์ ที่นิยมมากมี 5 ชนิด
คือ หวายข้อดำ หวายน้ำผึ้ง หวาย
โป่ง หวายขี้เสี้ยน และหวายกำ
พวน กลุ่มที่สองคือใช้สำหรับจัก
สานหรือตกแต่ง ชนิดที่สำคัญๆ
และเป็นที่ต้องการของตลาดมาก
ได้แก่ หวายตะค้าทอง หวายตะค้า
น้ำ หวายขี้ผึ้งหรือหวายกาหนุน
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 49
หวายหอม หวายซำ หวายขี้เหร่ หวายดง หวายแดง หวายขาว หวายข้าวสาร หวายหิน
หวายขี้ไก่ หวายขริง และหวายงวย ในจำนวนทั้งหมดนี้ หวายข้อ(ลำ)ใหญ่ซึ่งใช้ใน
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์หวายของไทย และกำลังอยู่ในภาวะขาดแคลนมี 4 ชนิด คือ หวาย
ขอ้ ดำ หวายน้ำผึง้ หวายงวย และหวายขีเ้ สีย้ น
หวายใช้ลำ ที่นิยมปลูกกันมาก
ได้แก่ หวายกำพวน หวายโป่ง หวายข้อ
ดำ และหวายตะค้าทอง ซง่ึ ส่วนใหญ่ปลกู
ในภาคใต้ที่มีฝนตกชุก ตั้งแต่ 2,300
มิลลิเมตรต่อปีขึ้นไป ส่วนสภาพแวดล้อม
ของพื้นที่ปลูกขึ้นอยู่กับชนิดของหวาย
เช่น หวายตะค้าทองชอบดินป่าพรุที่มี
ฤทธิ์เป็นกรด น้ำท่วมขังเป็นครั้งคราว
มากกวา่ ทด่ี ินดอน หวายกำพวนและหวาย
โป่งเจริญเติบโตได้ดีบนที่ดนิ ดอนมากกวา่
ดนิ พรุ แตห่ วายเหล่าน้ีควรปลกู ใตร้ ่มเงาของไม้ใหญ่ โดยใชก้ ล้าอายุ 1 ปี ปลกู เป็นพืชควบใน
สวนป่า สวนยางพารา หรือปลูกแทรกในป่าธรรมชาติโดยใช้ระยะปลูก 4x4 เมตร อายุการ
ตัดฟันท่ีเหมาะสมคือ 10-15 ปี หวายกำพวนทีม่ อี ายุตั้งแต่ 13 ปีขึ้นไปลำจะเริ่มแหง้ ตาย จึง
ควรตดั ฟนั เมอ่ื อายุไม่เกนิ 13 ปี
หากจะปลูกหวายเป็นพืชควบในสวนป่าก็ต้องพิจารณาอายุการตัดฟันของไม้ป่าด้วย
เชน่ อายรุ อบหมนุ เวยี นในการตดั ฟนั ของไม้กระถินเทพาและยางพาราเท่ากับ 15 และ 25 ปี
ตามลำดับ ก็ควรปลูกหวายใช้ลำแทรกในสวนป่ากระถินเทพาและสวนยางพาราเมื่อไม้
ประธานดังกล่าวมีอายุ 3-4 ปี และ 10-
12 ปี ตามลำดับ เพื่อจะได้ทำการตัด
หว า ย แล ะไม้ย ืนต ้นท ั้งสองชนิด
ออกจำหน่ายพร้อมๆกนั
ผลผลิตของหวายที่ทำเป็นสินค้า
ได้มีประมาณร้อยละ 60 ของความยาว
ของลำ (เส้น) หวาย จากการศึกษาของ
50 รวมเรื่องสวนป่า
นายชนาธิป กลุ ดิลก แหง่ กรมปา่ ไม้พบวา่ ผลผลิตทที่ ำเป็นสนิ คา้ ไดข้ องหวายกำพวนซง่ึ ปลูก
แทรกในสวนป่าสะเดาเทียมมีประมาณ 600-750 เมตรต่อไร่ ในขณะที่หวายโป่งซึ่งปลูกใน
พืน้ ทเ่ี ดียวกนั ให้ผลผลิตท่เี ป็นสินค้าได้ 1,100-1,250 เมตรตอ่ ไร่ ราคาจำหน่ายจากสวนเมตร
ละ 6-8 บาท แต่ราคาทีห่ นา้ โรงงานสูงถงึ เมตรละ 12-15 บาท
การปลกู หวายซึ่งให้ทั้งหน่อและลำจงึ เป็นสิ่งที่น่าลอง เพราะนอกจากเพื่อการบริโภค
หน่อและใช้ประโยชน์ลำดังกล่าวแล้ว ปรากฏว่าลูกหวาย หน่อหวาย หรือแม้แต่รากหวาย
หลายชนดิ ยงั มคี ณุ คา่ ในเชงิ สมุนไพรตามตำหรับยาไทยโบราณอีกดว้ ย
ท่านที่สนใจจะได้ข้อมูลการปลูกหวายเศรษฐกิจเพิ่มเติมโปรดติดต่อคุณวนิดา
สุบรรณเสณี โครงการส่งเสริมการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืนของหวายจากแปลงปลูกใน
ประเทศไทย และคุณชนาธิป กุลดิลก สำนักส่งเสริมปลูกป่าเศรษฐกิจ กรมป่าไม้ ผู้มี
ประสบการณ์ดา้ นการปลูก การจัดการ และการใช้ประโยชนห์ วายมายาวนาน
9 ยางพารา :
ไมท้ ่ีใครใครกถ็ ามหากันในวนั น้ี
ผมเปน็ คนในแวดวงวิชาการการปลูกสรา้ งสวนป่าทมี่ ีภารกจิ ต้องเดินทางไปต่างจังหวัด
มากพอๆ กบั โอกาสทีจ่ ะตอ้ งร่วมเสวนาทางวิชาการในวงและเวทีต่างๆ จึงทำให้ทราบวา่ วันน้ี
ใครๆ ก็ถามหาไม้ยางพารากันแทบทั้งสิ้น ไม่เว้นแม้แต่คนบนพื้นที่สูงของโครงการหลวงใน
จังหวัดแม่ฮ่องสอน ทั้งนี้ส่วนหนึ่งเปน็ เพราะรัฐบาลพันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร ได้ผลักดนั
ใหร้ าคาน้ำยางสดและยางแผน่ ดบิ ขยบั อย่างต่อเน่ือง จากกโิ ลกรมั ละยี่สิบกวา่ บาท เม่อื สองปี
ที่แลว้ มาเป็นกิโลกรัมละส่สี ิบกวา่ บาทในวันน้ี (พ.ศ. 2547)
อกี สว่ นหน่ึงเปน็ เพราะอดีต ปจั จบุ นั และอนาคตอันสดใสของอุตสาหกรรมไม้ท่ีอาศัย
ไม้ยางพาราเป็นวัตถุดิบทั้งในรูปของไม้แปรรูปและชิ้นไม้สับ ทั้งเพื่อการใช้สอยภายใน
ประเทศและเพื่อการส่งออก ซึ่งจากสถิติการป่าไม้ของประเทศไทย ปี 2545 ระบุว่าในปี
พ.ศ. 2545 ประเทศไทยส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไม้มีมูลค่าสูงถึง 19,716.4 ล้านบาท ซึ่งกว่า
ร้อยละ 60 เป็นเฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา รวมทั้งการส่งออกไม้ยางพาราแปรรูปมีมูลค่าถึง
4,893.5 ลา้ นบาท คิดเปน็ รอ้ ยละ 68.62 ของมลู ค่าการสง่ ไมท้ ่อนและไมแ้ ปรรูปออกทั้งหมด
โดยส่วนใหญ่ส่งไปประเทศจีน จึงทำให้การเหมาซื้อไม้ยางพาราจากสวนในขณะนี้ขยับสงู ขึ้น
ถงึ ไร่ละ 40,000-60,000 บาท
ทั้งนี้ ยังไม่รวมแรงจูงใจจากกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางทีใ่ ห้การสนับสนุนการ
โค่นยางเก่าที่แก่มาปลูกยางพันธุ์ใหม่ในอัตราไร่ละ 6,800 บาท ในขณะที่โครงการส่งเสริม
การปลกู ไมเ้ ศรษฐกิจของกรมปา่ ไม้ใหเ้ งินสนับสนนุ เพียงไร่ละ 3,000 บาท เท่าน้ัน
ด้วยเหตนุ ้เี องพ้ืนท่ีการปลกู ยางพาราของไทยจงึ ขยับจาก 8.5 ลา้ นไร่ในปี พ.ศ. 2517
มาเป็น 10.3 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2527 11.9 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2537 และกว่า 13 ล้านไร่ใน
ปจั จุบัน (พ.ศ. 2547) รวมทง้ั มีแนวโนม้ วา่ จะเพ่ิมข้ึนอย่างมากและรวดเรว็ ในอนาคตอันใกล้น้ี
โดยขยายตัวจาก 14 จังหวัดภาคใต้ 3 จังหวัดภาคตะวันออก (ระยอง จนั ทบุรี ตราด) และ 2
พิมพ์ครั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (38) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)
52 รวมเรือ่ งสวนป่า
จังหวัดภาคกลาง (ประจวบคีรีขันธ์ กาญจนบุรี) ซึ่งถือว่าเป็น “เขตการปลูกยางเดิม”
เพิ่มขึ้นเป็น 3 จังหวัดภาคตะวันออก (ชลบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว) และ 19 จังหวัดภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ (กาฬสินธุ์ นครพนม มุกดาหาร เลย สกลนคร หนองคาย อุดรธานี
หนองบัวลำภู นครราชสีมา บุรีรัมย์ มหาสารคาม ยโสธร ร้อยเอ็ด ศรีสะเกษ สุรินทร์
อุบลราชธานี อำนาจเจรญิ ชัยภูมิ และขอนแก่น) ซึ่งถือว่าเป็น “เขตการปลูกยางใหม่” จน
ขยายตัวไปแทบทุกจังหวัดทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่บนดอยสูงดังกล่าวแล้ว จนทำให้ไทยมี
พื้นท่ีสวนยางพารากว่าร้อยละ 21 ของพื้นที่สวนยางทั้งโลก และมากเป็นอันดับสองรองจาก
อินโดนีเซยี ซึง่ มปี ระมาณ 21.1 ลา้ นไร่
ในแง่ของไม้เศรษฐกิจ สวนยางพารามีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟัน 25 ปี เพราะ
เมื่ออายุ 25 ปีขึ้นไปผลผลิตของน้ำยางจะต่ำ กองทุนสงเคราะห์การทำสวนยางพาราจึง
แนะนำให้เกษตรกรโค่นยางเดิมแล้วปลูกยางพันธุ์ใหม่ซึ่งให้น้ำยางสู งกว่าเดิมขึ้นทดแทน
ไม้ยางที่โค่นล้มลงจึงขายในรูป
ของการเหมาจ่ายไร่ละ 40,000-
60,000 บาทดังกล่าวแล้ว ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับอายุ และขนาดของไม้
รวมทั้งทำเลที่ตั้ง และความยาก
ง่ายในการเข้าถึงของสวนยางเป็น
สำคญั
กองทุนสงเคราะห์การทำ
สวนยางและสถาบันวิจัยยางได้
ประมาณการโดยคร่าวๆ ว่า สวนยางพาราที่อายุครบ 25 ปีที่จะต้องตัดฟันในช่วงปี 2545-
2549 มีเฉลี่ยปีละ 414,793 ไร่ ในช่วงปี 2550-2554 ตัดฟันไดป้ ีละ 479,177 ไร่ และช่วงปี
2555-2560 มีพื้นที่ตัดฟันเฉลี่ยปีละ 351,846 ไร่ ให้ปริมาณไม้ท่อนไร่ละ 44.36 ลูกบาศก์
เมตร หรอื 30 ตนั โดยแยกเป็นไมฟ้ นื 21.09 ลกู บาศกเ์ มตร ไม้แปรรปู 20.40 ลกู บาศกเ์ มตร
และไมเ้ สาเขม็ 2.87 ลกู บาศก์เมตร
อยา่ งไรก็ตาม สมาคมธรุ กิจไม้ยางพาราไทยได้กล่าวในการสมั มนาเชิงปฏิบัติการเร่ือง
“ยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมไม้ยางพาราอย่างครบวงจร” เมื่อเดือนมกราคม 2546
ว่าการสงเคราะห์ตัดโค่นเพื่อปลูกสวนยางทดแทนที่ผ่านมาเฉลี่ยปีละ 200,000 ไร่ หาก
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 53
จดั การด้านการใช้ประโยชน์ได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพจะไดไ้ ม้ทอ่ นเฉลี่ยไรล่ ะ 40 ลูกบาศก์เมตร
รวม 8 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี แยกเป็นไม้ขนาดใหญ่ ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางโตกว่า 6 น้ิว
สำหรับอตุ สาหกรรมไมบ้ างและไมแ้ ปรรูป 5 ล้านลูกบาศก์เมตร เป็นไมข้ นาดเลก็ ท่ีมีเส้นผ่าน
ศูนยก์ ลางตำ่ กวา่ 6 น้วิ สำหรับอตุ สาหกรรมชนิ้ ไม้สบั ฟนื และถา่ น 3 ลา้ นลกู บาศก์เมตร
เกษตรกรผู้เป็นเจา้ ของสวนยางพารารายย่อยของไทยมีพน้ื ท่สี วนยางเฉล่ียรายละ 13
ไร่ หากการโค่นขายไม้ยางแบบเหมาจ่ายได้เงินไร่ละ 50,000 บาท ก็จะได้รายได้จากไม้
ยางพารา 650,000 บาท ซ่ึงมากพอท่ีจะสรา้ งบ้านหลงั ใหม่ในต่างจงั หวัดไดด้ ีพอสมควร หรือ
เฉลี่ยๆ เท่ากับ 2,000 บาทต่อไร่ต่อปี ซึ่งเป็นรายได้ที่ไม่น้อยเลย เพราะนอกจากรายรบั เปน็
เงินก้อนจากเน้อื ไม้ดงั กล่าวแล้ว เกษตรกรยงั มรี ายไดจ้ ากนำ้ ยางซึง่ เปน็ เสมือนกระแสรายวัน
และรายไดจ้ ากการปลูกพืชควบในช่วง 1-5 ปีแรกอกี ด้วย
ด้วยเหตนุ ้เี องที่ไหนๆ ใครๆ ก็ถามหาแต่ความเป็นไปได้ในการปลูกไมย้ างพารากัน
ในวนั น้ี
เพราะยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่ทำรายได้ให้แก่ประเทศในรูปแบบต่างๆ ปีละกวา่
หนงึ่ แสนล้านบาท
แต่คนที่ตั้งข้อรังเกียจไม้ต่างถิ่นทราบหรือไม่ว่ายางพาราก็เป็นไม้ต่างถ่ิน
เช่นเดยี วกับไมย้ ูคาลิปตสั
ยางพาราเป็นพืชป่าพื้นเมืองแถบลุ่มน้ำอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้ ในปี พ.ศ. 2419
เซอร์ เฮนรี วิคเฮม (Sir Henry Wickhem) ได้นำเมล็ดไปเพาะที่สวนพฤกษศาสตร์คิวใน
อังกฤษ ได้กล้าจำนวน 2,800 ต้น แล้วส่งต้นกล้ายางพาราไปปลูกในประเทศต่างๆ ซึ่งเป็น
อาณานคิ มขององั กฤษ รวมท้งั มาเลเซยี หรอื มลายใู นสมัยนน้ั จำนวน 22 กล้า ในปี พ.ศ. 2420
ด้วย
สำหรบั ประเทศไทย พระยารัษฎานปุ ระดิษฐ์มหิศรภกั ดี (คอซิมบ้ี ณ ระนอง) เจ้าเมือง
ตรัง ซึ่งเป็น “บิดาแห่งยางพาราไทย” ได้นำต้นยางพาราจากมาเลเซียเข้ามาปลูกที่ อำเภอ
กันตัง จังหวัดตรัง เมื่อปี พ.ศ. 2442 ซึ่งถือเป็นยางพาราต้นแรกของประเทศไทย ก่อนที่จะ
ได้มีการปลูกเป็นสวนยางพาราที่อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส โดยชาวเดนมาร์ก ในปี พ.ศ.
2445 และ หลวงราชไมตรี (ปุณ ปุณศรี) นำไปปลูกที่จังหวัดจันทบุรี ในปี พ.ศ. 2454 จน
แพร่กระจายกลายเปน็ พืชเศรษฐกจิ สำคญั อันดับสองรองจากขา้ วในทกุ วนั นี้
54 รวมเรอ่ื งสวนป่า
ยางพาราเจริญเติบโตไดด้ ีในที่ดินร่วน ลึก มีสัดส่วนดินเหนียวและทรายใกล้เคียงกัน
คืออย่างละประมาณ 30-35 เปอร์เซ็นต์ เป็นดินที่มีการระบายน้ำและอากาศดี มีค่า pH อยู่
ระหว่าง 4.5-5.5 อากาศชุ่มชื้นตลอดปี ฝนตกปีละประมาณ 175 วัน ปริมาณน้ำฝนเฉล่ีย
ประมาณ 2,000-2,500 มิลลิเมตรต่อปี อุณหภูมเิ ฉล่ยี 20-30 องศาเซลเซยี ส แต่เจรญิ เติบโต
ได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิเฉลี่ย 26-27 องศาเซลเซียส ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่
ระดับน้ำทะเลเฉลีย่ ปานกลางจนถึงระดับความสงู 1,000 เมตรแตใ่ นท่สี งู อายุการเร่มิ กรดี ยาง
จะช้ากว่าในพื้นที่ต่ำราว 1-2 ปี ระยะปลูกมาตรฐานคือ 3x8 เมตร หรือ 66 ต้นต่อไร่ ซึ่งจะ
เรมิ่ เปดิ กรดี ไดค้ ร้งั แรกเม่ือยางมีอายุ
ประมาณ 5 ปี โดยก่อนหน้านี้
เกษตรกรจะมีรายได้จากพืชแทรก
นั่นคือ เกษตรกรควรปลูกยางพารา
ตามระบบวนเกษตร โดยมีสับปะรด
ถัว่ ขา้ วไร่ หรือข้าวโพดเปน็ พืชควบ
ในปัจจุบันนี้เกษตรกรไทยให้
ความสนใจกับการปลูกยางพารากัน
มาก เพราะน้ำยางและยางแผน่ มีราคาสงู ทว่าราคายางมกี ารเปลีย่ นแปลงข้ึนลงมากและบอ่ ย
เช่นเดียวกับราคาพืชผลการเกษตรแทบทุกชนิด ปีนี้ราคาสูง ปีหน้าอาจจะต่ำก็ได้ เพื่อเป็น
หลักประกันความมั่นคงให้แกเ่ กษตรกรและความยั่งยนื ของระบบ นั่นคอื แสดงใหเ้ ห็นว่าการ
ปลูกยางพาราเป็นการเกษตรยั่งยืนที่แท้จริง เกษตรกรชาวสวนยางต้องไม่ปลูกยางเพื่อหวัง
นำ้ ยางเพยี งอยา่ งเดยี ว
ถึงเวลาแล้วที่จะต้องปลูกยาง
พาราเพื่อเนื้อไม้ด้วย โดยน้ำยางอาจจะ
เป็นเป้าหมายหลัก เนื้อไม้เป็นเป้าหมาย
รอง หรือปลูกโดยหวังเนื้อไม้เป็น
เป้าหมายหลัก น้ำยางเป็นเพียงวัตถุ
ประสงค์รองก็ได้
หากเป็นเช่นกรณีหลัง เกษตรกร
จะต้องปรับลดระยะปลูกจากเดิมลงมา
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 55
เป็น 3x7 เมตร (76 ต้นต่อไร่) หรือ 2.5x7.5 เมตร (85 ต้นต่อไร่) หรือแม้แต่ 2x8 เมตร คือ
100 ตน้ ต่อไร่ตามมาตรฐานความหนาแนน่ ของหม่ไู ม้ในสวนป่าก็ได้
ที่สำคัญกว่าระยะปลูกก็คือ การปลูกยางเพื่อเนื้อไม้จะต้องมีการคัดเลือกสายต้น
(clone) และการจดั การสวนตามรูปแบบของการจัดการสวนป่าดว้ ย น่ันคอื จะตอ้ งเลอื กสาย
ต้นที่มีลำต้นตรง เปลา มีความเรียวต่ำ ลำต้นไม่คดงอบิดโค้ง และต้องมีการลิดกิ่งให้สูง
พอสมควร
ในอดีต เราเชอ่ื ว่ายางพาราเปน็ พืชป่า เพราะเคยสงั กดั กรมป่าไม้ ต่อมายา้ ยมาอย่กู รม
กสิกรรม หรอื กรมวิชาการเกษตรในปจั จบุ นั แต่วนั น้ี คือ ตัง้ แต่วันท่รี ัฐบาลประกาศปดิ ป่า ใน
ปี พ.ศ. 2532 ยางพาราเป็นท้งั พืชเกษตรและพืชปา่ ไม้ เพราะไม้ยางพาราไม่ได้ถูกโค่นเผาท้ิง
เหมือนในอดีตต่อไปอีกแล้ว ไม้ยางพาราทำเงินให้แก่เกษตรกรชาวสวนยางไม่ด้อยไปกว่าน้ำ
ยาง และนำรายได้เข้าประเทศปีละนับหมื่นๆ ล้านบาท โดยมีอายุรอบหมุนเวียนในการตัด
ฟัน 25 ปี แต่ความยาวของรอบตดั ฟันดังกล่าวสามารถลดลงใหเ้ หลือเพียง 15-20 ปีได้ หาก
มีการคัดเลือกสายตน้ และการจัดการทีเ่ หมาะสม
ยางพาราจึงเป็นไม้สายกลาง ไม้ทางเลือก และไม้ประธานของระบบวนเกษตรที่
ควรคา่ แก่การแนะนำ
10 เมอ่ื น้ำมันข้ึนราคา
ก็ตอ้ งเสาะหาพลงั งานทดแทน
มีคนกล่าวกันว่าทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้มีวงจร มีวัฏจักร สิ่งมีชีวิตมีอายุขัย ความ
รงุ่ โรจน์ตกตำ่ ของคนและบ้านเมืองก็หมนุ เวียนเปลีย่ นไปตามวฏั จักรธรุ กจิ เชน่ เดียวกบั ลมฟา้
อากาศก็มีฤดูกาล แต่ความยาวนานของวงจรหรือวัฏจักรของสิ่งต่างๆ นั้นแตกต่างกัน เช่น
วิกฤตความแห้งแล้งอย่างรุนแรงของประเทศไทยมักเกิดขึ้นทุกๆ 10-12 ปี แต่วิกฤตกาล
น้ำมันจะยาวนานเพียงใดนั้นไม่ทราบ ทว่าสามทศวรรษที่ผ่านมาได้เกิดวิกฤตการณ์น้ำมัน
อยา่ งรุนแรงข้นึ ทว่ั โลกเหมอื นกับท่ีกำลังเกิดขึน้ ในปนี ้ี (พ.ศ. 2547)
เมอ่ื สามสิบปที ่แี ลว้ ราคานำ้ มนั ในตลาดโลกพงุ่ จากไม่ถงึ สิบเหรียญสหรัฐตอ่ บารเ์ รลขึน้
เปน็ บารเ์ รลละสามสิบเหรียญสหรฐั และคงตวั อยู่ในระดับนนั้ มานานพอสมควร มาขยับอย่าง
รนุ แรงอกี ครงั้ เมอื่ ตน้ ปี พ.ศ. 2547นี้ จนทำให้ราคาน้ำมนั ในขณะนเ้ี กือบจะแตะบาร์เรลละหา้
สิบเหรยี ญสหรัฐอยแู่ ลว้
เมอื่ เกดิ วกิ ฤตการณ์นำ้ มันขน้ึ ครง้ั หนึ่ง ประเทศท่ีไมม่ ีแหล่งนำ้ มนั เปน็ ของตนเองท่ัวโลก
รวมทั้งประเทศไทยต่างกต็ ื่นตัวกับการศกึ ษาวิจัยเพื่อเสาะหาแหล่งพลังงานทดแทนนำ้ มัน ไม่
ว่าจะเป็นก๊าซธรรมชาติ ลม น้ำ แสงอาทิตย์ หรือแม้แต่ชีวมวลหรือมวลชีวภาพ ในอดีตคงจะ
เคยได้ยินเรื่องน้ำมันจากต้นสบู่ดำและทีอีเทอร์นอล เมื่อเร็วๆ นี้ก็ได้ยินเรื่องไบโอดีเซลจาก
มะพร้าว และน้ำมันจากมันสำปะหลัง รวมทั้งเมื่อเดือนที่แล้วประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัด
ประชุมสัมมนาในระดบั นานาชาติวา่ ดว้ ยการพัฒนาเช้ือเพลงิ ชวี ภาพหรือไบโอฟวิ เอล
ในบรรดาพลังงานชีวภาพทั้งหลาย การพัฒนาพลังงานจากไม้นับว่าน่าสนใจไม่น้อย
เพราะเป็นการพัฒนาที่ยั่งยืน ให้ผลตอบแทนทั้งทางตรงคือพลังงานและทางอ้อมคือ
สภาพแวดลอ้ ม ยั่งยืนทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ ตามหลักการการพัฒนาอยา่ ง
ยั่งยนื ท่แี ท้จริง
พิมพ์คร้งั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (39) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 57
เมือ่ เกดิ วิกฤตการณ์นำ้ มนั คราวที่แล้ว การพลงั งานแหง่ ชาติรว่ มกับกรมปา่ ไม้ โดยการ
สนบั สนุนของสหรฐั อเมรกิ า (องค์การยูเสด) ได้รว่ มกนั จดั ทำ “โครงการปา่ ฟนื ชมุ ชนสำหรับ
หมูบ่ า้ น” หรือ NEA/RFD/USAID Village Woodlot Project ขึน้ โดยยึดเอาทุ่งกุลารอ้ งไห้
และพื้นที่ดินเค็มในหกจังหวัดรอบๆ ทุ่งกุลาร้องไห้ อันได้แก่ร้อยเอ็ด มหาสารคาม ยโสธร
ขอนแก่น สุรินทร์ และศรีสะเกษ เป็นพื้นที่นำร่อง เพื่อศึกษาความเป็นไปได้ในการปลูกไม้
โตเรว็ เพือ่ เปน็ แหลง่ พลังงานท้งั เพ่ือการหุงต้มในระดบั ครัวเรือนและเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าใน
ระดบั หมู่บ้าน อานิสงสจ์ ากโครงการดังกลา่ วและอนุสรณ์ที่เหลอื อยใู่ นวนั นี้กค็ ือความเขียวขจี
ของตน้ ไม้บนคนั นาและจดุ รบั ซอ้ื ไม้ยูคาลปิ ตัสในท่งุ กุลาร้องไห้
แต่น่าเสียดายที่ในแงพ่ ลงั งานทดแทน โครงการป่าฟืนชุมชนสำหรบั หมู่บ้านเป็นเพยี ง
“ไฟไหม้ฟาง” เช่นเดียวกับหลายๆ โครงการซึ่งเกิดขึ้นแล้วในอดีต กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน
และจะตอ้ งมีตอ่ ไปในอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย น่นั คือ เม่อื คนไทยเริ่มชนิ ชากับราคาน้ำมันที่
บารเ์ รลละสามสบิ เหรยี ญสหรัฐ การสนบั สนุนด้าน “สวนปา่ พลังงาน” และพลงั งานชีวภาพ
จากภาครัฐก็พลอยมอดตามไปด้วย มิฉะนั้น ป่านนี้บางอำเภอในทุ่งกุลาร้องไห้อาจมีสวนปา่
พลังงานและโรงงานไฟฟ้าพลังงานไม้ต้นแบบไว้ผ่อนคลายวิกฤตการณ์น้ำมันอย่างทุกวันน้ี
บา้ งแลว้ กไ็ ด้
ตามหลักการวิเคราะห์โครงการ การปลูกสร้างสวนป่าพลังงานเป็นทั้งจุดแข็งและ
โอกาสอย่างดียิ่งสำหรับประเทศไทย โดยปราศจากจุดอ่อนและข้อจำกัด เพราะไทยเป็น
ประเทศที่ยากจน ไม่มีแหล่งน้ำมันดิบเป็นของตนเอง ทำเลที่ตั้งของประเทศไทยอยู่ในเขต
รอ้ น ฝนตกชกุ ตน้ ไมเ้ จริญเติบโตอย่างรวดเรว็ มไี ม้โตเร็วซงึ่ มีอายุการตัดฟันส้ันให้เลือกปลูก
มากมายหลายชนิด รวมทั้งมอี ุตสาหกรรมขนาดย่อมและขนาดกลางที่ต้องใช้พลังงานจากไม้
หลายประเภท อาทิ การรมยางแผ่นในภาคใต้ การเผาโอ่งและเครื่องปั้นดินเผาในภาคกลาง
การต้มเกลือสินเธาว์ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และการบ่มใบยาและทำกระดาษสาใน
ภาคเหนอื รวมทั้งการเผาศพในตา่ งจังหวดั ซง่ึ หลายแหง่ ยงั ต้องใช้ไมฟ้ ืนเปน็ พลงั งานหลัก
สมาคมเทคโนโลยีที่เหมาะสมได้ศึกษาสถานภาพพลังงานของจังหวัดนครราชสีมา
พบว่า ในปี พ.ศ. 2545 จังหวัดนครราชสีมาใช้พลังงานในรูปของไม้ฟืน 217 ล้านบาท และ
ในรปู ของถ่าน 209 ลา้ นบาท รวมมลู คา่ 426 ล้านบาท โดยเฉลยี่ ใชไ้ มฟ้ นื ครัวเรือนละ 97.77
กิโลกรัมต่อเดือน และใช้ถ่านครัวเรือนละ 5.67 กิโลกรัมต่อเดือน ถ่าน 1 กิโลกรัมต้องใช้ไม้
5-6 กิโลกรัม จังหวัดนครราชสมี าจงึ ใชพ้ ลงั งานในรปู ของฟนื และถ่านเฉลี่ย 126 กโิ ลกรัมต่อ
58 รวมเร่อื งสวนปา่
ครอบครัวต่อเดือน หรือ 1,513 กิโลกรัมต่อครอบครัวต่อปี หรือ 363 กิโลกรัมต่อคนต่อปี
(จำนวนประชากรเฉลี่ย 4.17 คนต่อครัวเรือน) ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าการบริโภคไม้ฟืนของ
ชาวเขามาก เพราะชาวเขาเผ่าต่างๆ ในประเทศไทยใชไ้ มฟ้ ืน 5.91 ลูกบาศก์เมตรต่อคนต่อปี
และชาวเขาในพืน้ ทีโ่ ครงการหลวงใชไ้ มฟ้ นื 3.37 ลกู บาศกเ์ มตรตอ่ คนต่อปี
ในกรณขี องจังหวดั นครราชสีมาซง่ึ มีประชากร 615,350 ครัวเรอื น จำนวน 2,565,685
คน ใช้ฟืนร้อยละ 13 และใช้ถ่านร้อยละ 16 ของจำนวนครัวเรือนทั้งหมด ความต้องการใช้
พลังงานจากไม้ในรูปของฟืนและถ่านในปี พ.ศ. 2545 จึงมีปริมาณสูงถึง 100,553 ตัน หาก
ยึดหลักวชิ าการป่าไม้ท่ีว่า “ไม้ที่ใช้จะตอ้ งมาจากสวนป่า” บนพื้นฐาน “ใครใช้ คนนัน้ ต้อง
ปลูก” และคิดกำลังผลิตของไม้โตเร็วขนาดเล็กจากสวนป่าที่ได้รับการจัดการค่อนข้างดี
พอสมควรในอตั รา 12 ตันต่อไร่ตอ่ หา้ ปี จังหวดั นครราชสีมาจะต้องมีสวนปา่ พลังงานเพื่อฟืน
และถ่าน 41,897 ไร่ เพื่อปลูกและตัดฟันปีละ 8,379 ไร่ มิฉะนั้นแล้วป่าธรรมชาติจะถูกโคน่
ลม้ ทำลายเพื่อให้ไดม้ าซง่ึ ไม้ฟืนและถ่านปีละเกือบหน่ึงหม่ืนไร่
องคก์ ารอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ หรือ เอฟ เอ โอ ไดร้ ายงานวา่ ในปี ค.ศ.
2000 (พ.ศ. 2543) ผลผลิตไม้ฟืนของโลกรวม 3,532 ล้านลูกบาศก์เมตร ประเทศที่ใชไ้ ม้ฟนื
มากที่สุดคืออินเดีย (297 ล้านลูกบาศก์เมตร) รองลงมาคือจีน และบราซิล (191 และ 132
ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ) ส่วนประเทศไทยใช้ 20.6 ล้านลูกบาศก์เมตรต่อปี กลุ่ม
ประเทศในภูมิภาคเอเซียที่ต้องอาศัยสัดส่วนพลังงานจากไม้มากที่สุดคือลาวซึ่งร้อยละ 89
ของพลังงานได้มาจากไม้ รองลงมาคือภูฎาน (86%) กัมพูชา (84%) พม่า (78%) เนปาล
(69%) ศรีลังกา (49%) เวียดนาม (39%) และฟิลิปปินส์ (31%) ส่วนประเทศไทยต้องอาศัย
ไม้เปน็ แหลง่ พลงั งานรอ้ ยละ 19 ของความตอ้ งการของพลงั งานทงั้ หมด
ใ น ก า ร ป ล ู ก ส ร ้ า ง ส ว น ป่ า
พลังงานเพื่อใช้ไม้ทำฟืน เผาถ่าน
หรือผลิตกระแสไฟฟ้านั้น ผู้ปลูก
จะต้องคัดเลือกชนิดไม้ให้ถูกต้อง
เหมาะสม ปัจจัยที่จำเป็นจะต้อง
คำนึงถึงในการคัดเลือกชนิดไม้
ปลูกไดแ้ ก่สภาพแวดล้อมของพืน้ ที่
ปลูก คุณสมบัติด้านพลังงานของ
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 59
เนื้อไม้ อัตราการเจริญเติบโต และความต้องการด้านวนวัฒนวิทยาของพรรณไม้ ชนิดไม้ท่ี
ปลกู จะต้องสอดคล้องกับปจั จยั แวดล้อมท่ีรองรับ อาทิ สภาพดิน ลมฟา้ อากาศ เป็นไม้โตเร็ว
มีอายุการตัดฟันสั้น มีความสามารถในการแตกหน่อภายหลังการตัดฟันสูง เนื้อไม้มีความ
หนาแนน่ คอ่ นขา้ งสูง ใหค้ ่าความรอ้ นสงู มีปริมาณลูกไฟและขเี้ ถ้าตำ่ พรรณไม้ท่ีว่านไ้ี ดแ้ ก่ ไม้
โกงกาง ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส สนทะเล กระถินยักษ์ กระถินดอย กระถินณรงค์
แอปเปลิ ป่า สะเดา สะแกนา สเี สียดแก่น ฯลฯ
รูปแบบการปลูกสวนป่าพลังงาน
ก็มีความสำคัญพอๆ กับชนิดไม้ เนื่อง
จากไมเ้ พ่อื พลงั งานใช้ได้ทั้งไมข้ นาดใหญ่
และไม้ขนาดเล็ก ใช้ได้ทั้งลำต้น และก่ิง
ก้าน แต่การจะรอให้ต้นไม้มีขนาดใหญ่
นั้นต้องใช้เวลายาวนาน ในเมื่อไม้ขนาด
เล็กก็ใช้ประโยชน์ได้ไม่ด้อยไปกว่าไม้
ขนาดใหญ่ แต่ได้เปรียบในเรื่องของอายุรอบตัดฟันที่สั้นกว่า และต้องระลึกไว้เสมอว่าการ
ปลูกปา่ เพือ่ พลังงานน้นั ต้องการน้ำหนกั ตอ่ ไร่ของสว่ นท่ีเปน็ เน้อื ไมส้ งู ที่สุด ดงั นน้ั จงึ ต้องปลูก
ใหถ้ ี่ ให้มีจำนวนตน้ ตอ่ ไรส่ ูง โดยไม่จำเปน็ ตอ้ งปลูกพืชควบตามหลกั วนเกษตร การตดั ฟนั ก็ใช้
ระบบการตัดหมดแทนระบบการเลือกตัด แต่อย่างไรก็ตาม กิ่งก้านของไม้ที่ได้จาการลิดกิ่ง
และ/หรอื ตัดสางขยายระยะสวนปา่ ทปี่ ลูกเพือ่ ใช้ลำตน้ ไปทำไมแ้ ปรรูปกส็ ามารถนำมาใช้เพื่อ
การพลังงานได้เช่นกัน
โดยขอ้ เท็จจรงิ แลว้ สวนป่าพลงั งานปลูกและจัดการง่ายกว่าสวนปา่ ประเภทอืน่
ในยุควิกฤตการณ์น้ำมัน จงหันมาปลูกไม้เพื่อให้พลังงานทดแทนอย่างยั่งยืนกัน
เถอะ เพราะนอกจากจะช่วยลดการสูญเสียเงินตราค่านำเข้าน้ำมันแล้ว ยังช่วยสร้าง
สภาพแวดลอ้ มทด่ี ี สรา้ งสมดุลของระบบนิเวศ และเพมิ่ พื้นท่ีสีเขียวในรูปของป่าไม้ให้แก่
แผ่นดินไทยอกี ด้วย
11 ธรุ กจิ
การผลติ ไมล้ ้อม
ไม้ล้อม หรือ Balled Trees คือไม้ตน้ ที่ได้จากการขุดล้อมในขณะที่ต้นไม้ยังมชี ีวิตอยู่
เพื่อย้ายจากที่ซึ่งกำลังเจริญเติบโตไปปลูกในพื้นที่ใหม่เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ ส่วน
ใหญม่ กั จะใชก้ ับต้นไม้หรอื ไมต้ ้นและไมพ้ ุม่ ขนาดใหญ่ รวมทัง้ พชื ในวงศป์ าล์มและไผ่
วตั ถุประสงคข์ องการขดุ ลอ้ มและย้ายปลกู ต้นไมพ้ อจะจำแนกกว้างๆ ได้ 3 ประการ คอื
1. เพื่อการอนุรักษ์พันธุกรรมพืช ต้นไม้บางชนิดเป็นไม้มีค่า หายาก มีถิ่นกำเนิด
เฉพาะท่ีเฉพาะแหลง่ เจริญเติบโตชา้ และขยายพนั ธุ์ยาก เช่น ตน้ จนั ทนก์ ระพ้อ และกุหลาบ
แดง การขดุ ลอ้ มย้ายปลกู จะชว่ ยอนุรกั ษ์ไม้เหล่านี้ไวไ้ ดห้ นทางหน่งึ
2. เพื่อการใช้ประโยชน์ที่ดิน ในบางครั้งอาจมีความจำเป็นที่จะต้องนำที่ดินซึ่งมี
ต้นไม้ใหญ่ขึน้ อยู่ไปใชป้ ระโยชน์อย่างใดอยา่ งหนึ่ง เช่น การสร้างถนน อาคาร และวางระบบ
ไฟฟา้ ประปา วธิ เี ดยี วท่ีจะรกั ษาชีวิตต้นไม้ไว้ไดก้ ็คอื การขุดลอ้ มแลว้ ยา้ ยไปปลูกในพนื้ ที่ใหม่
3. เพื่อการตกแต่งภูมิทัศน์ ในระยะประมาณสิบปีที่ผ่านมานี้มีการปลูกไม้ล้อม
ขนาดใหญ่ทั้งตามแนวถนนหนทางในเขตชุมชนเมือง สวนสาธารณะ สนามกอล์ฟ สถานท่ี
ราชการ อาคารสำนักงาน โรงแรม และห้างสรรพสินค้ากันมาก เพื่อตกแต่งภูมิทัศน์ให้ร่มรน่ื
สวยงามและเห็นผลได้รวดเรว็ ทนั ใจ
ในการขดุ ล้อมต้นไมน้ ้ันจะตอ้ งมีการตัดแต่งก่ิงเพ่ือลดการเหีย่ วเฉาอันเน่อื งมาจากการ
สญู เสยี น้ำ และตดั แต่งเรือนรากเพ่ือให้สะดวกต่อการขนสง่ และย้ายปลกู ประเดน็ สำคัญท่ีสุด
คือไม้ลอ้ มจะตอ้ งมีตุม้ ดินหรือมีดินหุ้มรากอยู่ดว้ ยเสมอ สว่ นขนาดของตุ้มจะเล็กใหญ่เพียงใด
นั้นขึ้นอยู่กับชนิดและขนาดของต้นไมเ้ ปน็ สำคัญ นั่นคือ ผู้ขุดล้อมต้นไมใ้ หญ่จะต้องมีความรู้
พฤกษศาสตรป์ ่าไม้ รูธ้ รรมชาตหิ รือนิเวศวทิ ยาของตน้ ไม้ท่ีจะขดุ ล้อมเป็นอย่างดี รวมทั้งต้อง
มีเทคนิคการตัดแต่งกิ่งและราก เพื่อให้ไม้ล้อมมีรูปทรงสวยงามและมีชีวิตรอดอยู่ได้ นักขุด
ล้อมไม้ใหญจ่ งึ ตอ้ งใชท้ ัง้ ศาสตร์และศิลปไ์ ปพรอ้ มๆ กัน
พมิ พค์ รั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (40) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 61
การปลูกไม้ล้อมมักมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการปลูกต้นไม้ตามปกติทั่วไป จึงนิยมใช้เฉพาะ
ในบางกรณเี ทา่ นั้น อาทิ เม่อื ต้องการ
เห็นผลอย่างรวดเร็ว เมื่อพื้นที่ปลูกมี
ปัญหา ปลูกโดยวิธีปกติธรรมดาไม่
ได้ผล เมื่อมีการปลูกต้นไม้นอก
ฤดูกาลหรือปลูกในโอกาสพิเศษ
ต่างๆ เช่นปลูกเป็นที่ระลึกในวัน
สถาปนาองค์กร หรือในโอกาสที่มี
แขกไปเยยี่ มหนว่ ยงาน เป็นตน้
แต่อย่างไรก็ตาม ในแวดวงของคนปลูกไม้ยืนต้นเพื่อตกแต่งภูมิทัศน์มักจะให้
ความสำคัญกบั การเห็นผลอย่างรวดเร็วทันใจมากกว่าราคาต้นไม้หรือค่าใช้จา่ ยในการปลูกไม้
ล้อม ในปัจจุบันซึ่งมักจะเห็นการปลูกไม้ล้อมกันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขต
เทศบาลหรือในย่านชุมชนเมืองที่การปลูกพรรณไม้ยืนต้นโดยใช้ต้นกล้าขนาดเล็กอย่างการ
ปลูกสร้างสวนป่ามักจะเห็นผลช้าหรือไม่ค่อยได้ผลเท่าที่ควร และคาดว่าการปลูกไม้ล้อมใน
เขตเมอื งจะทวบี ทบาทมากขึ้นในอนาคต
แม้กรุงเทพฯ จะไม่มีป่า แต่กรุงเทพฯ ก็เป็นศูนย์กลางของพรรณไม้ล้อมและเป็น
ตลาดไม้ล้อมที่สำคัญของประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่สวนจตุจักร กรมทหารราบที่สิบเอ็ด
รกั ษาพระองคย์ า่ นบางบัว-บางเขน และบริเวณถนนรังสิต-องครักษ์ จงั หวัดปทุมธานี
ไม้ล้อมเหล่านี้ส่วนหนึ่งขุดล้อมต้นไม้ที่เกิดขึ้นเองตามป่าธรรมชาติหรือตามหัวไร่
ปลายนาในลักษณะย้ายป่าจากต่างจังหวัดไปไว้ในกรุงเทพฯ แต่ส่วนหนึ่งเป็นไม้ล้อมที่ปลูก
สร้างขึ้นแล้วขุดล้อมนำเข้ามาจำหนา่ ยในกรุงเทพฯซึ่งจะเป็นไม้ลอ้ มจากป่าธรรมชาติหรือไม้
ลอ้ มจากแปลงปลูกกค็ งสงั เกตดไู ด้ไมย่ ากนกั ไมล้ อ้ มขนาดใหญ่ มีอายุมาก ท่ปี ลูกตามอาคาร
สำนกั งานของภาคเอกชนมกั เปน็ ไมด้ ้ังเดิมซงึ่ เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ การขุดลอ้ มในลักษณะ
นี้จะเรียกว่าเป็นการทำลายป่าก็คงไม่ผิดนัก แต่ไม้ล้อมที่ปลูกตามแนวถนนหนทางโดย
หน่วยงานของรัฐซึ่งเป็นไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่โตมากนักส่วนใหญ่เป็นไม้ขุดล้อมที่มาจากแปลง
ปลูก โดยมีเอกชนปลูกเปน็ สวนป่าแล้วขดุ ลอ้ มนำออกจำหน่ายตามความตอ้ งการของลูกคา้
การผลิตไม้ล้อมในลกั ษณะน้จี งึ เปน็ ธรุ กจิ ทนี่ า่ สนับสนนุ และนา่ สนใจไม่น้อย
62 รวมเรอ่ื งสวนปา่
สหกรณ์สวนป่าภาคเอกชนสระบุรีจำกัด ซึ่งมีคุณพีระศักด์ิ สุขสำราญ เป็นประธาน
และมีที่ทำการอยู่ที่บ้านเลขที่ 104 หมู่ที่ 10 ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี
เป็นต้นแบบของการผลิตไมล้ ้อมดังกล่าว โดยเกษตรกรผู้ปลูกพันธุ์ไมไ้ ด้รวมตัวกันจัดตั้งเปน็
สหกรณ์ขนึ้ เมื่อปี พ.ศ. 2542
เดิมสมาชิกส่วนใหญ่เป็นเกษตรกร ทำนา ปลูกข้าวโพด และทำสวนผลไม้ แต่ต้อง
ประสบกับภัยธรรมชาติและปัญหาราคาผลผลิตตกต่ำ ต่อมาในปี พ.ศ. 2532 สมาคมพัฒนา
ประชากร ร่วมกับบริษัท มีโร จำกัด ได้จัดตั้งโครงการปลูกพันธุ์ไม้จัดสวนขึ้น โดยให้
งบประมาณสนับสนุนไร่ละ 4,000 บาท พร้อมกับจัดหาตลาดไม้ล้อมให้ ทำให้ในปัจจุบัน
ชะอมจึงกลายเปน็ ตำบลทม่ี ีการผลติ ไม้ล้อมมากท่ีสุดในประเทศไทย เกษตรกรมีรายได้ดีและ
มีฐานะมน่ั คงกว่าแตก่ ่อน
ในการผลิตไมล้ ้อมท่ีตำบลชะอมน้ัน
เกษตรกรมีที่ดินตั้งแต่รายละ 1 งานไป
จนถึง 30 ไร่ เฉลี่ยรายละ 1-2 ไร่ ทำการ
ผลิตโดยการนำต้นกล้าไม้ป่าที่ต้องการ
ปลูกไปลงในที่ดินซึ่งไถเตรียมไว้อย่างดี
โดยใช้ระยะปลูก 1x1 เมตร หรือ 1,600
ต้นต่อไร่ เมื่อไม้มีอายุ 1 ปีขึ้นไปจะเริ่มขุด
ล้อมขายได้ ในรูปของการขุดขยายระยะ
แทนการตัดสางขยายระยะ กล่าวคือล้อม
ขายไม้เล็กในปีแรก และขุดขายไม้ใหญ่ที่
เหลอื ในปถี ัดไป
ราคาจำหน่ายขึ้นอยู่กับชนิดและ
ขนาดของไม้
ขนาดของไมว้ ดั โดยใชเ้ ส้นผา่ นศูนย์กลางของลำต้น ณ จดุ ซง่ึ สูงจากพ้ืนดิน 1.30 เมตร
เป็นเกณฑ์มาตรฐานสากลของวิชาการป่าไม้
ราคาจำหน่ายไม้ล้อมโดยสหกรณ์สวนป่าภาคเอกชนสระบุรีจำกัดในปี พ.ศ. 2547
แบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ตามอัตราการเจริญเติบโตและความยากง่ายในการดูแลรักษา ดัง
รายละเอียดในตารางข้างลา่ งน้ี
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 63
กลุ่มที่ ชนิดพนั ธุ์ไม้ เส้นผ่านศูนยก์ ลางของลำตน้ (นวิ้ )
1.0 1.5 2.0 3.0
1. ประดู่ ตีนเปด็ แคแสด สะเดา
หางนกยูงฝรงั่ ชมพูพันธุท์ ิพย์ 60 80 150 250
2. คูน อินทนลิ นำ้ ตะแบก ทองหลางด่าง 70 100 200 300
มะฮอกกานี เหลืองปรดี ยี าธร
200 300 400 600
3. กลั ปพฤกษ์ กนั เกรา พกิ ุล สารภี 250 400 600 800
4. ประดแู่ ดง พะยงู บนุ นาค ชัยพฤกษ์ 300 500 800 1,200
5. สาละ กระเบา หูกระจง
พันธุ์ไม้ที่ขายดีที่สุดในขณะนี้คือ คูน ตีนเป็ด อินทนิลน้ำ ประดู่บ้าน และเหลือง
ปรีดยี าธร โดยไม้ขนาด 2 น้ิว เป็นที่ตอ้ งการของตลาดมากทสี่ ุด ไมล้ อ้ มเหลา่ น้นี อกจากตลาด
ใหญจ่ ะเป็นกรงุ เทพฯ แลว้ ยังสง่ ไปไกลถึงเชยี งใหม่และปัตตานอี ีกด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น ในปีนี้ยังได้เริ่มส่งต้นอินทนิลน้ำความโต 4 นิ้ว สูง 3 เมตร ไปไต้หวัน
ประมาณเดอื นละ 7,000 ต้น
ธุรกิจการผลิตและจำหน่ายไม้ล้อมที่ตำบลชะอมเป็นธุรกิจที่มีความหลากหลายมีท้ัง
เกษตรกรผู้ผลติ ชาวบา้ นผู้ใช้แรงงานขุด พอ่ คา้ ผรู้ ับเหมาซอื้ และรถบรรทกุ ขนส่งไมล้ อ้ ม
พ่อค้าบางรายเหมาซื้อไม้ล้อมขนาด 2 นิ้ว จากชาวสวนโดยไม่ผ่านสหกรณ์ในอัตรา
ต้นละ 130 บาท เมอื่ ขนสง่ ไปถงึ เชยี งใหม่ราคาเฉล่ียจะเพ่มิ ขึน้ เป็นต้นละ 250 บาท
นี่คือธุรกิจการผลิตไม้ล้อมที่ตำบลชะอม อำเภอแก่งคอย ซึ่งควรค่าแก่การ
สนับสนุนและยึดเป็นแบบอย่างอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะสร้างอาชีพที่ชอบธรรมและ
เออื้ ตอ่ สภาพแวดลอ้ มแล้ว ยงั ช่วยเพ่ิมพืน้ ที่สเี ขยี วใหแ้ กช่ ุมชนเมืองโดยทางอ้อมอกี ดว้ ย
12 ธรุ กจิ
การปลูกต้นไม้ในเมอื ง
ความไม่สมดลุ ของสภาพแวดล้อมในเขตเมืองอันเนื่องมาจากการเพ่ิมข้ึนอย่างรวดเร็ว
ของประชากร และการขยายตัวอย่างไร้ทิศทางของชุมชนเมืองที่มุ่งเน้นการพัฒนาทาง
เศรษฐกิจและอุตสาหกรรมมากเกินไป ทำให้ชุมชนเมืองส่วนใหญ่เต็มไปด้วยสารพันปัญหา
สิง่ แวดล้อมและส่งผลต่อไปยงั การขาดคุณภาพชวี ติ ท่ีดีของผ้คู นในชมุ ชนเมอื งอีกดว้ ย
รัฐบาลปัจจุบันภายใต้การนำของ ฯพณฯ พ.ต.ท.ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ได้ตระหนักถึงความหมักหมมของปัญหาสิ่งแวดล้อมและเล็งเห็นบทบาทความสำคัญของ
ต้นไม้และพ้ืนที่สีเขียวในเขตชุมชนเมือง จึงได้มอบนโยบายแก่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2546 “ให้หาทางสนับสนุนส่งเสริมการสร้างพื้นที่สี
เขียว เช่น สวนพฤกษศาสตร์ ทั้งในระดับชุมชนตามบ้านเรือนหรือในพื้นที่ประกอบกิจการ
ต่างๆ โดยรัฐให้การสนับสนุนและจัดระบบให้มีสิ่งจูงใจเพื่อให้โครงการนี้เกิดขึ้น ซึ่งพื้นที่สี
เขยี วเหลา่ น้ีนอกจากจะสวยงามแลว้ ยงั เปน็ ปอดสำหรับผู้คนท่อี ยู่ใกล้เคยี งอกี ด้วย”
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยสำนักงานนโยบายและแผน
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม หรือ สผ. ได้พิจารณาเห็นว่า พื้นที่สีเขียวในเขตชุมชน
เมืองอันพึงประสงค์ตามแนวนโยบายของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นั้น ควรเป็นพื้นที่สีเขียวท่ี
ยัง่ ยืนโดยมไี มต้ น้ หรอื ไมย้ นื ตน้ เป็นองค์ประกอบหลกั และชมุ ชนเมอื งดังกลา่ วในเบือ้ งต้นควร
ยดึ เอากรงุ เทพมหานคร เมอื งพัทยา และเทศบาลตา่ งๆ ทวั่ ประเทศ เปน็ พืน้ ที่เป้าหมายหลัก
จึงได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ศึกษาและ
จัดทำมาตรการในการเพิ่มและการจัดการพื้นที่สีเขียวในเขตชุมชนอย่างยั่งยืน โดยเน้นใน
สามมาตรการหลัก อันได้แก่ มาตรการทางผังเมือง มาตรการทางกฎหมาย และมาตรการ
ทางเศรษฐศาสตร์
พิมพ์คร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 4 (41) : 19 – 21 (พ.ศ. 2547)
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 65
พนื้ ทีส่ ีเขียวในเขตชุมชนเมืองในที่นี้
หมายถึง พื้นที่โล่งในเขตเทศบาลซึ่งมีพืช
พรรณเป็นองค์ประกอบหลัก ได้รับการ
จัดการตามหลักวิชาวนวัฒนวิทยา และ
ภูมิสถาปัตย์ เพื่อเสริมสร้างภูมิทัศน์ให้
เอื้ออำนวยตอ่ การพักผอ่ นหย่อนใจ และทำ
หน้าที่เป็นปอดของเมืองอย่างยั่งยืน อันจะ
ทำให้ชุมชนเมืองเป็นเมืองสีเขียวที่น่าอยู่ตลอดไป จะเป็นที่ดินของรัฐ ที่ดินเอกชน หรือ
ที่ดินประเภทพิเศษ อันได้แก่ ที่ดินทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ และที่ดิน
ศาสนสถานกไ็ ด้ จดุ สำคัญไม่ไดอ้ ย่ทู ค่ี วามเปน็ เจ้าของ แต่อยทู่ ีห่ น้าทีห่ ลักของท่ดี ินน้ันๆ
ขอบเขตของพ้ืนทีท่ ่จี ัดวา่ เป็นพน้ื ที่สีเขียวในเขตชุมชนเมือง ไดแ้ ก่
1. พนื้ ท่ีธรรมชาติ หมายถงึ พื้นทแ่ี หลง่ นำ้ ลำธาร คูคลอง ทะเลสาบ พรุ บึง ชายหาด
เนินเขาและป่าไม้ ซึง่ จำเป็นจะตอ้ งอนรุ ักษไ์ ว้
2. พื้นที่สีเขียวเพื่อบรกิ าร ได้แก่ สวนสาธารณะ สนามกีฬากลางแจ้ง สนามเด็กเล่น
ลานเมือง สวนพฤกษศาสตร์ สวนรุกขชาติ สวนสัตว์ ฯลฯ ซึ่งประชาชนสามารถเข้าไปใช้
บรกิ ารได้
3. พื้นที่สีเขียวเพื่อสิ่งแวดล้อม ได้แก่ พื้นที่สวนไม้ผลยืนต้น สวนป่า พื้นที่สีเขียวใน
หน่วยงานราชการ และในที่ดินของเอกชนซึ่งแม้ประชาชนจะไม่สามารถเข้าไปใช้บริการได้
โดยตรง แต่ก็มีคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมต่อชุมชนเมืองโดยรวม อันเป็นเสมือนปอดของชุมชน
เมือง
4. พื้นที่สีเขียวริมเส้นทางสัญจร
ได้แก่ พื้นที่แนวถนน เกาะกลางถนน
ทางเดิน แนวถอยร่น ริมแม่น้ำ และ
ริมทางรถไฟ
จากขอบเขตของพื้นที่สีเขียว
ดังกล่าว จะเห็นไดว้ ่าชุมชนเมอื งมีพ้นื ท่ที ่ี
มีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็นพื้นที่สีเขียว
อย่างยั่งยืน โดยมีไม้ยืนต้นเป็นองค์ประกอบหลักหลายประเภทด้วยกัน อาทิ พื้นที่ว่างเว้น
66 รวมเร่ืองสวนป่า
ตามกฎหมาย พื้นที่เขตถอยร่น ทางเท้า เกาะกลางถนน เขตทางหลวง ทางรถไฟ พื้นที่ของ
สว่ นราชการ พ้ืนท่ีในสถาบนั การศึกษา และศาสนสถาน รวมทง้ั พ้นื ทร่ี กร้างว่างเปล่าที่ถูกทิ้ง
รา้ งไม่ไดน้ ำมาใชป้ ระโยชน์
นอกจากกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนเมืองที่มีการปกครอง
ท้องถน่ิ แบบพเิ ศษแลว้ ชมุ ชนเมืองท่ตี ้องใหค้ วามสำคัญกบั การพัฒนาพ้ืนทีส่ เี ขียวอย่างย่ังยืน
ยังประกอบด้วยเทศบาลนคร จำนวน 22 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนเมืองขนาดใหญ่ เทศบาล
เมือง จำนวน 103 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนเมืองขนาดกลาง และเทศบาลตำบล จำนวน
1,009 แห่ง ซึ่งถือว่าเป็นชุมชนเมืองขนาดเล็ก ส่วนองค์การบริหารส่วนตำบลนั้นถือว่าเป็น
ชมุ ชนชนบท
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้เสนอแนะว่าชุมชนขนาดเล็ก ควรมีพื้นที่สีเขียวอย่าง
ยั่งยืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของพื้นที่เทศบาลตำบล โดยจัดเป็นพื้นที่สีเขียวบริการอย่าง
น้อยร้อยละ 3 ชุมชนขนาดกลาง ควรมีพื้นที่สีเขียวอย่างยั่งยืนไม่น้อยกว่าร้อยละ 10 ของ
พืน้ ท่เี ทศบาลเมือง โดยจดั เป็นพนื้ ที่สีเขยี วบรกิ ารอย่างนอ้ ยรอ้ ยละ 5
ชุมชนเมืองขนาดใหญ่ รวมทั้งกรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ควรมีพื้นที่สีเขียว
อย่างยั่งยืนไม่น้อยกว่า 12 ตารางเมตรต่อประชากรหนึ่งคน โดยจัดเป็นพื้นที่สีเขียวบริการ
อย่างน้อย 4 ตารางเมตรต่อคน
ส่วนราชการในเขตชุมชนเมือง จะต้องเปน็ หน่วยงานนำร่องในการพัฒนาพ้ืนที่สีเขียว
เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมในเมือง โดยร้อยละ 30 ของพื้นที่ที่อยู่ในความรับผิดชอบของทาง
ราชการควรจดั ให้เป็นพืน้ ทส่ี ีเขยี ว โดยอย่างน้อยรอ้ ยละ 50 ของพ้ืนทีส่ เี ขียวนี้จะต้องมีไม้ยืน
ตน้ เป็นองคป์ ระกอบหลัก
“ที่ว่าง” ตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ควรออกเทศบัญญัติให้
เอื้ออำนวยต่อการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในพื้นที่ว่าง โดยกำหนด “...ให้จัดพื้นที่สีเขียวไม่น้อย
กว่าร้อยละ 30 ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมด และต้องปลูกไม้ยืนต้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ของ
พ้นื ทสี่ ีเขยี วทั้งหมด”
พื้นที่สีเขียวท่ีชุมชนเมืองทัง้ สามระดับ สามารถดำเนินการได้ทันที คือการปลูกตน้ ไม้
ตามริมถนนหนทาง บาทวิถี และเกาะกลางถนนในเขตเทศบาลทุกแห่ง ซึ่งในปัจจุบันนี้
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจนี นา่ จะเป็นแบบอยา่ งของการปลูกต้นไม้ตามแนวทางสัญจร
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 67
ทกุ ประเภทไดด้ ีท่ีสุด เพราะจนี ได้ปลกู ไมย้ นื ตน้ ตามริมถนนและเกาะกลางถนนทุกสาย ไม่ว่า
จะเป็นเมืองใหญ่หรือเมืองเล็ก พรรณไม้ที่ปลูกก็แตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อมของเมือง
แต่ทุกแห่งตา่ งกใ็ ช้ไม้ล้อมทม่ี ขี นาดเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกไม่น้อยกวา่ 2 นว้ิ แทบทัง้ สนิ้
พืน้ ทใ่ี นเขตชมุ ชนเมืองเพ่ือรองรับการพัฒนาให้เป็นพืน้ ที่สีเขียวอยา่ งยงั่ ยนื เหล่านี้ จึง
เป็นโอกาสในเชงิ ธรุ กิจของการปลกู ต้นไม้ในเมือง
นั่นคือ หากรัฐบาลจริงใจกับการพัฒนาพื้นที่สีเขียวในเขตชุมชนเมืองอย่างยั่งยืน ดัง
แนวนโยบายทีใ่ หไ้ วเ้ มอ่ื วันที่ 24 เมษายน 2546 แล้วเกษตรกรจำนวนไมน่ อ้ ยสามารถผลิตไม้
ล้อมจำหน่ายให้แก่เทศบาลทั้ง 1,134 แห่งทั่วประเทศเพื่อนำไปปลูกตามแนวถนนหนทาง
สวนหยอ่ ม สวนสาธารณะ สวนสขุ ภาพ สวนพฤกษศาสตร์ และสวนรกุ ขชาติ ในเขตเทศบาล
จำหน่ายให้แก่ส่วนราชการซึ่งตั้งอยู่ในเขตชุมชน รวมทั้งจำหน่ายให้กับสถาบันการศึกษา
ศาสนสถาน และผูป้ ระกอบการภาคเอกชนนำไปปลกู ในพ้นื ทว่ี า่ งตา่ งๆ ไดอ้ ีกดว้ ย
พรรณไม้ล้อมที่จะผลิตในเชิงธุรกิจดังกล่าวขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของเจ้าของ
วัตถปุ ระสงคข์ องการปลูก สภาพแวดล้อมของพ้นื ที่ปลูก และราคาของตน้ ไม้เป็นสำคัญ ทว่า
ในทางวชิ าการก็สามารถแบ่งหมวดหมู่ตามบทบาทหน้าท่ีหลกั ได้กว้างๆ ดงั น้ี
1. พรรณไม้ตามริมถนนและเกาะกลางถนน ควรเป็นพรรณไม้ที่ทนต่อมลพิษทาง
อากาศและฝุ่นละออง ทนต่อความร้อนอบอ้าวและความแห้งแล้ง ไมผ่ ลัดใบ ระบบรากลึกไม่
แผ่กว้าง ลำต้นไม่มีพูพอน กิ่งก้านเหนียว ไม่เปราะไม่หักง่าย เรือนยอดไม่แผ่กว้าง ดอกมี
สีสันสวยงาม อาทิ มะฮอกกานี สะเดา พิกุล มะเกลือ อินทนิลบก อินทนิลน้ำ ประดู่บ้าน
นนทรี เสลา ตะเคียนทอง ปบี หางนกยูงฝร่งั สารภี ฯลฯ
2. พรรณไม้ในสวนสาธารณะ การปลูกต้นไม้ในสวนสาธารณะ มีวัตถุประสงค์หลัก
เพื่อให้เกิดความร่มรื่นสวยงาม เหมาะแก่
การพักผ่อนหยอ่ นใจ ไม้ที่ปลูกควรมีความ
หลากหลายในเรื่องขนาดและชนิดพรรณ
ไม่มีข้อจำกัดด้านความกว้างของเรือน
ยอดและเรือนราก ดอกอาจจะมีสีสัน
สวยงามและ/หรือมีกลิ่นหอม อาจจะเป็น
ไม้ผลัดใบหรือไม่ผลัดใบก็ได้ ที่นิยมกัน
มาก ได้แก่ นนทรี จามจุรี หางนกยูงฝรงั่
68 รวมเรอ่ื งสวนป่า
ประดู่แดง ประดูบ่ า้ น ตะเคียนทอง กนั เกรา ยางนา หกู วาง สารภี สัตบรรณ พฤกษ์ ชยั พฤกษ์
ราชพฤกษ์ กัลปพฤกษ์ กาฬพฤกษ์ ลั่นทม ทองหลางด่าง จำปา จำปี ศรีตรัง กระถินณรงค์
ฯลฯ รวมท้งั พืชสกุลปาลม์ และไผต่ า่ งๆ
แม้การผลิตไม้ล้อมดูเหมือนจะเป็น
ธุรกิจหลักของการปลูกต้นไม้ในเมืองซ่ึง
ยืนยันได้จากร้านขายต้นไม้ในเมืองใหญ่ๆ ที่
มีอยู่ทั่วไปและนับวันจะมีจำนวนมากขึ้น
เรื่อยๆ แต่การปลูกต้นไม้จะต้องมีการ
จัดการและบำรุงรักษา ดังนั้น การขุดย้าย
และการตัดแต่งกิ่งไม้ใหญ่ก็น่าจะเป็น
ช่องทางธรุ กจิ ในอนาคตไดเ้ ช่นกัน ยิ่งไปกวา่
นั้น ปัจจุบันนี้คนและหน่วยงานในเขตชุมชนเมืองจำนวนไม่น้อย เห็นความสำคัญของต้น
ใหญ่ๆ ในเขตเมือง ต้องการอนุรักษ์ต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุมากๆ ไว้ให้อยู่คู่บ้านคู่เมือง แต่ต้นไม้
ใหญท่ มี่ อี ายมุ ากเหลา่ น้ีมักมีโรค รา แมลง เขา้ ทำลายตามอายุขัย การศัลยกรรมไม้ใหญ่ หรือ
ที่สำนักงานสวนสาธารณะ กรุงเทพมหานคร เรียกว่า “หมอต้นไม้” ก็น่าจะเป็นธุรกิจการ
ปลูกตน้ ไมใ้ นเมืองทส่ี ดใสในอนาคตเช่นกัน
ผมมั่นใจว่า เมื่อประเทศพัฒนาจากภาคเกษตรกรรมไปสู่ภาคอุตสาหกรรมมากขน้ึ
เมื่อสิ่งแวดล้อมในเมืองเลวร้ายลง และเมื่อประชาชนในเขตชุมชนเมืองมีฐานะดีข้ึน
ประชาชนจะเห็นความสำคัญของการปลูกไม้ยืนต้นในเขตเมือง เมื่อนั้นแหละ ธุรกิจการ
ปลูกต้นไม้ในเมืองจะเปน็ ของเรา...เกษตรกรผู้ปลูกและบำรุงรกั ษาตน้ ไม้
13 เทพทาโร :
ไมท้ นี่ ่าสนใจตามไตรภูมิพระร่วง
ผมคดิ วา่ หลายท่านคงไมค่ ้นุ เคยกับไมเ้ ทพทาโร ทัง้ ชอื่ และรูปร่างหนา้ ตาทง้ั ๆ ท่ีเป็นไม้
เก่าแก่ สารพัดประโยชน์ตั้งแต่สมัยสุโขทัย เป็นพันธุ์ไม้พระราชทานเพื่อปลูกเป็นมงคลแก่
จังหวดั พังงา หรือเปน็ ไม้ประจำจังหวดั พังงาอันเป็นภูมลิ ำเนาเดมิ ของผมนน่ั เอง
เทพทาโรมีชื่อภาษาไทยเรียกแตกต่างกันไปตามท้องถิ่น อาทิ จะไคหอม จะไคต้น
(ภาคเหนือ) ตะไคร้ต้น (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ) จวง จวงหอม (ภาคใต้) เทพทาโร (ภาค
กลาง จันทบรุ ี สุราษฎรธ์ านี) พลูตน้ (เชียงใหม)่ การบูร (หนองคาย) มอื แดกะมางงิ (มาเลเซยี
ปัตตานี) ในภาษาบาลเี รยี กว่าไม้เทวทารุ และนารท ส่วนภาษาอังกฤษเรยี กวา่ ไม้ Citronella
Laurel และ True Laurel ตามชื่อวงศ์ Lauraceae (Laurel) ของไม้ชนิดนี้ โดยมีช่ือ
วิทยาศาสตร์ที่ใช้กันในหมู่นักวิชาการป่าไม้และนัก
พ ฤ ก ษ ศ า ส ต ร ์ ท ั ่ ว โ ล ก ซ ึ ่ ง เข ี ย นเป ็ นภ า ษา ละตินว่า
Cinnamomum porrectum Kosterm มีชื่อพ้องทาง
วิทยาศาสตร์ว่า Cinnamomum parthenoxylon
และ Cinnamomum glanduliferum
เทพทาโรเป็นไม้ยืนต้นไมผ่ ลดั ใบ ขนาดกลางถึง
ใหญ่ มีความสูงประมาณ 10-30 เมตร กระจายพันธ์ุ
ตามธรรมชาติในเอเซียอาคเนย์ ตั้งแต่บริเวณเทือกเขา
ตะนาวศรีในพม่า ไทย มาเลเซีย ไปจนถงึ คาบสมุทรอิน
โดจีนและสุมาตรา ในไทยมีอยู่ทั่วไปแทบทุกภาคของ
ประเทศที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเลไปจนถึงระดับ 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่
พบมากในป่าดิบชื้นในภาคใต้ โดยขึ้นกระจายห่างๆ ตามเนินเขา เจริญเติบโตดีบนดินร่วนปน
ทรายซ่ึงมีความชืน้ สูงแตน่ ำ้ ไมท่ ว่ มขงั
พิมพค์ ร้งั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (42) : 19 – 21 (พ.ศ. 2548)
70 รวมเรือ่ งสวนปา่
เรอื นยอดของไม้เทพทาโรเปน็ พมุ่ ทึบสีเขยี วเข้ม ก่ิงออ่ นเขียวเกลีย้ งและมักจะมีคราบ
สีขาว ลำตน้ เรียบไม่มีพูพอน เปลือกสเี ทาอมเขียวหรืออมนำ้ ตาล แตกเป็นร่องตามความยาว
ของลำต้น เมื่อถากเปลือกออกจะมีกลิ่นหอม เปลือกในสีน้ำตาลอมแดง ใบเป็นใบเดี่ยวออก
เรียงสลับกัน แผ่นใบรูปรแี กมรูปไข่ ยาวประมาณ 7-20 เซนติเมตร ปลายแหลม โคนสอบ มี
เสน้ ใบหลกั 1 เสน้ กา้ นใบเรียวเล็กยาว 2.5-3.5 เซนตเิ มตร ใบแก่ดา้ นล่างมสี ีนวล ใบท่ีมีอายุ
มากจะกลายเปน็ สีแดง ดอกออกเป็นช่อตามปลายก่ิง โดยมลี กั ษณะเปน็ กระจกุ ยาวประมาณ
2.5-7.5 เซนติเมตร สีขาวหรือเหลืองอ่อน กลิ่นหอม ในภาคใต้แถวจังหวัดสงขลาออกดอก
ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม แต่ในภาคเหนือพบว่าออกดอกในเดือนสงิ หาคม-กันยายน
ผลมีขนาดเล็ก กลม เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 0.5-0.7 เซนติเมตร เก็บผลได้ในเดือน
มกราคม-กุมภาพันธ์ (ภาคเหนือ)
และมีนาคม-เมษายน (ภาคใต้)
เนื้อไมเ้ ทพทาโรสเี ทาแกมแดง
มีริ้วเขียวแกมเหลือง มีความเหนียว
พอประมาณ เป็นมันเลื่อม เสี้ยนตรง
หรือเป็นคลื่นเล็กน้อย ทำให้ไสกบ
ตกแต่งง่าย มีกลิ่นหอม โดยเฉพาะ
เนือ้ ไมจ้ ากส่วนของรากจะมกี ลิ่นหอม
มากกว่าจากลำต้นและกิ่ง นิยมใช้เป็นไม้บุผนังที่สวยงาม ทำเตียงนอน โต๊ะ เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า
แจว พาย กรรเชียงเรือ กระเบื้องไม้ เศษ
ชิ้นส่วนของรากหากนำมาห่อใส่ตู้เสื้อผ้า
จะกันมอดและแมลงต่างๆ ได้ดี ใช้เป็น
น้ำหอมในรถยนต์ก็ได้ แต่ที่นิยมใช้กัน
อย่างแพร่หลายคือแกะสลักเป็นรูปสัตว์
ต่างๆ เช่น ปลา และตะเกียงเจ้าพายุ จน
กลายเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์
(OTOP) ที่มีชื่อเสียงของ กลุ่มผลิตภัณฑ์
ไมเ้ ทพทาโร ตำบลเขากอบ อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรงั
เทพทาโรเปน็ ไม้พืน้ เมืองเกา่ แก่ของไทย พบหลกั ฐานอา้ งถงึ ครัง้ แรกในสมัยสุโขทัยดัง
ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง พ.ศ. 1888 กล่าวว่าพรรณไม้หอมในอุตตรกุรุทวีปประกอบด้วย
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 71
จวง จันทน์ คันธา กฤษณา เป็นต้น โดยเฉพาะจวงหรือเทพทาโรเป็นไม้อเนกประสงค์ ทุก
ส่วนสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้เป็นอย่างดีมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะสรรพคุณ
ทางด้านสมุนไพร เนื้อไม้มีรสเผ็ด กลิ่นหอม ใช้แก้จุกเสียด ขับลมในลำไส้และกระเพาะ
อาหาร เปลือกเป็นยาบำรุงร่างกายอย่างดี แก้ปวดท้อง ขับลม ทำให้เรอ ใช้บำรุงธาตุ นำมา
ฝนกบั เปลอื กหอยขมและใช้น้ำซาวขา้ วเปน็ กระสายแกไ้ ข้ โดยเฉพาะหญิงสาวรุ่นใช้เปลือกไม้
เทพทาโรต้มกินแก้จกุ เสียดท้อง ท้องขึ้น ท้องเฟ้อ ใบมีรสเผ็ด กลิ่นหอม ใช้ขับลม บำรุงธาตุ
แกแ้ นน่ ทอ้ ง ทอ้ งอืดเฟอ้ ยางรสร้อน ใช้ถา่ ยพยาธิ ถา่ ยนำ้ เหลอื ง
ผลสุกใช้ทำน้ำมันเทพทาโรอันเป็นผลิตภัณฑ์ของวัดนิโรธรังสี อำเภอท้ายเมือง
จังหวัดพังงา ซึ่งทางวัดระบุว่ามีสรรพคุณต่างๆ มากมาย และรับรองว่าใช้แล้วได้ผล อาทิ ใช้
ทาขับลม แก้ปวดท้อง ปวดเมื่อย แก้
ริดสีดวงทวาร ใช้ใส่แผลสด ไฟไหม้ น้ำร้อน
ลวก ใช้ชุบสำลีหยอดหูแก้น้ำหนวก ใช้ขับ
น้ำมูก ไซนัส กินขับเสลด แก้จุกเสียด ปวด
ท้อง ปัจจุบันธุรกิจสปา อบสมุนไพรตาม
โรงแรม และกลุ่มอาบแดดตามชายหาดใน
จังหวัดพังงา ภูเก็ต และกระบี่ นิยมใช้นวด
ร่างกายเพื่อแก้ปวดเมื่อย แถมยังมีกล่ิน
หอมอีกด้วยจึงทำให้ราคาจำหน่ายสูงถึง
ลติ รละสามพันบาท
เวบ็ ไซตข์ องกรมอทุ ยานแห่งชาติ สตั วป์ ่า และพันธุพ์ ชื “www.dnp.go.th” ได้อา้ งถงึ
ไตรภูมิพระร่วง พ.ศ. 1888 ว่าด้วยการใช้ประโยชน์ไม้เทพทาโรหรือไม้จวงหอมตั้งแต่สมัย
สโุ ขทัยวา่ :
.... การบูชาจักรรัตนะ ผู้คนจะแต่งตัว ทากระแจะ จวง จันทน์น้ำหอม และนำเอา
“ขา้ วตอกแลดอกไม้ บปุ ผชาติเทียนแลธปู วาสะชวาลาแลกระแจะ จวง จันทน์น้ำมันหอม
มาไว้มานบคำรพ วันทนาการบูชาแก่กงจักรแก้วนั้น” หรือในตอนกล่าวถึงแผ่นดิน อุตตร
กุรุทวีป มักจะใช้กระแจะ จวง จันทน์ตกแต่งศพ ดังความว่า “เขาจิงเอาศพนั้นอาบน้ำแล
แต่งแง่ หากกระแจะแล จวง จันทน์ น้ำมันอันหอม แลนุ่งผ้าห่มผ้าให้” หรือตอนพระญา
จักรพรรดิราชสวรรคต ก็จะ “ชโลมด้วยกระแจะ จวง จันทน์ และจิงเอาผ้าขาวอันเนื้อ
72 รวมเรอื่ งสวนป่า
ละเอยี ดนนั้ มาตราสังศพพระญาจกั รพรรดริ าชนั้น” ตอนกล่าวถึงการบชู าพระญาจักรพรรดิ
ราช พระนามพระญาศรธี รรมาโศกราช พรรณนาวา่ “นาคราชลางจำพวกเอากระแจะ จวง
จันทน์คันธรสอันประเสริฐอันดีมาถวายทกุ เม่ือ” หรือพระญาศรีธรรมาโศกราชก็จะ “บูชา
พระสงฆเ์ จา้ ด้วยธปู แลเทียนข้าวตอกดอกไมแ้ ลกระแจะ จวง จนั ทนท์ ้งั หลาย”
ตอนพรรณนาดาวดึงส์สวรรค์ของพระอินทร์ กล่าวว่า “หอมกระแจะจวงจันทน์อีก
พรรณดอกไม้อันขจรทุกแห่ง แต่งพัดเข้าเร้าเถิงพระอินทร์หอมฟุ้งทุกแห่ง พระอินทร์จิง
ไปเหล้นที่สวนนั้นสนุกนิ์นัก” และได้กล่าวถึงเทพยดาคือคนธัพพเทวบุตรตกแต่งอาภรณ์
ด้วยแก้วแหวนเงินทองและทาตัวด้วยกระแจะแล จวง จันทน์ ดังได้พรรณนาไว้ว่า “อันว่า
กระแจะแล จวง จนั ทน์อนั เทพยดาทาตัวนัน้ ถา้ แลว่าจะขดู ออกใสต่ ุม่ แลไหได้ 9 ตมุ่ แล”
ความนิยมในเครื่องหอมกระแจะ จวง จันทน์ มีสืบเนื่องมาถึงสมัยอยุธยาตอนต้นดัง
ปรากฏในกฎหมายพิสูจน์ดำน้ำลุยเพลิง พ.ศ. 1899 สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (อู่ทอง)
ว่า “น้ำมันกระแจะ จวง จันทน์” และมีการกล่าวถึงต่อมาในมหาชาติคำหลวง สมัยสมเด็จ
พระบรมไตรโลกนาถเมือ่ พ.ศ. 2025 ดังกล่าวไว้ในกณั ฑม์ หาพนวา่ “กรักขีพง เทพทารู กม็ ”ี
ในสมัยอยุธยาตอนกลาง ตำราพระโอสถสมัยพระนารายณ์ พ.ศ. 2202 กล่าวถึงการ
ใช้ประโยชน์ของเทพทาโรในทางยาวา่ เป็นยาจำเริญพระธาตุ ดังนี้คือ “จำเริญพระธาตุ ให้
เอาใบรักแห้ง บอระเพ็ดแห้ง แห้วหมู ดอกชรากากี ผลมะตูมอ่อน รากมะตูม โกฐหัวบัว
เทพทาโร สมอเทศ เทียนแดง เชือกเขาพรวน ขิงแห้ง ดีปลี กระเทียมทอก รากชะพลู
เกลือสนิ เธาว์ เสมอภาค ทำเป็นจุณ บดด้วยนำ้ ผ้ึงรวง น้ำสรุ า ระคนกนั เป็นลูกกอน เสวย
หนักสลึง 1 แก้พระวาตะ เสมหะ โลหิตกำเริบอันทุพล แก้พระเส้นอันทพฤก อันกระด้าง
ตึงแตพ่ ระชงฆ์ขนึ้ ไป ตราบเท่าถึงบ้ันพระองคใ์ ห้พระเส้นน้ันอ่อน ให้เสวยพระกระยาหาร
เสวยได้ ให้จำเริญพระสกลธาตุเป็นอันยิ่ง ข้าพระพุทธเจ้าออกขุนทิพจักร ประกอบ
ทูลเกล้าฯ ถวาย”
หนังสือไมเ้ ทศเมืองไทย กล่าวถึงประโยชน์ทางยาของเทพทาโรไว้วา่ ตามชนบทต่างๆ
ใชป้ รุงเป็นยาหอมแกล้ ม จกุ เสียดแน่น แนน่ เฟอ้ แกอ้ าการปวดท้อง ขบั ผายลมได้ดี ขับลมใน
ลำไส้และกระเพาะอาหาร ให้เรอ เป็นยาบำรุงธาตุ ในเปลือกมีน้ำมันระเหย 1 ถึง 2
เปอร์เซน็ ต์ และแทนนนิ นอกจากนน้ั ยังกล่าวถงึ ประโยชนอ์ ย่างอ่ืนของเทพทาโร คอื เน้อื ไมส้ ี
ขาว จะมีกลิ่นหอมฉนุ เหมอื นกลิ่นการบรู อาจกลั่นเอาน้ำมันระเหยออกจากเนื้อไม้น้ีได้ และ
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 73
อาจดัดแปลงทางเคมีให้เป็นการบูรได้ ส่วนใบมีกลิ่นหอม ใช้เป็นเครื่องเทศ ตามร้านขาย
สมุนไพรในประเทศไทย จะใช้ใบเทพทาโรแทนใบกระวาน สำหรับใส่เครื่องแกงสะระหม่ัน
ส่วนใบกระวานจริง ๆ ทีม่ ีลกั ษณะเหมือนใบข่า จะไม่นิยมใชก้ ัน
จากคุณประโยชน์ดังกล่าว แม้เทพทาโรจะไม่ใช่ไม้โตเร็วที่เกษตรกรส่วนใหญ่สนใจ
แต่ก็เป็นไม้ที่ “น่าลอง” ไม่น้อย โดยเฉพาะในที่ลาดเชิงเขา ดินร่วนปนทราย น้ำไม่ท่วมขัง
แต่มีความชุ่มชื้นสูง เพราะอัตราการเจริญเติบโตก็ไม่ช้ามากนัก จากการทดลองปลูกเป็น
แปลงสมุนไพรโดย คุณสมบูรณ์ บุญยนื (โทร : 089-876-5967) ที่สถานที ดลองปลูกพรรณไม้
สงขลา พบว่าไม้อายุ 1 ปี มีเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางท่ีระดบั อกเฉล่ีย 1.8 เซนติเมตร สูง 2.1 เมตร
ครั้นเมือ่ อายไุ ด้ 3 ปี มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 6.8 เซนติเมตร สูง 5.4 เมตร ทั้งนี้ โดยใช้
ปยุ๋ คอกและแกลบสดรองกน้ หลุมขนาด 50 x 50 เซนติเมตร
ไมเ้ ทพทาโรขยายพนั ธ์ไุ ดท้ ง้ั โดยการเพาะเมลด็ การตัดกงิ่ ปกั ชำ และการตดั รากปกั ชำ
หากปลูกเป็นสวนป่าเชิงเดี่ยวควรใช้ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 4-5 เมตร แต่การปลูก
แซมใต้ร่มเงาของไม้อื่นในรูปของสวนป่าผสม ปลูกแทรกในสวนยางพารา หรือปลูกตาม
ระบบวนเกษตรโดยมีกล้วยเป็นพืชควบและทำหน้าที่เป็นไม้พี่เลี้ยงในระยะแรกๆ จะ
เหมาะสมกว่า
เกษตรกรผู้สนใจจะปลูกไม้เทพทาโร หากประสงค์จะได้ข้อมูลเพิ่มเติมโปรดติดต่อ
คุณสมบูรณ์ บุญยืน สถานีทดลองปลูกพรรณไม้สงขลา อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา หาก
สนใจกรรมวิธีการผลิตและสรรพคุณของน้ำมันเทพทาโรเชิญแวะไปชมได้ที่ วัดนิโรธรังสี
อำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา หรือถ้าสนใจผลิตภัณฑ์การแกะสลัก เชิญแวะไปที่กลุ่ม
ผลิตภัณฑ์ไมเ้ ทพทาโร ตำบลเขากอบ อำเภอหว้ ยยอด จังหวดั ตรัง
ซ่ึงนอกจากจะ “ไมล่ อง ไมร่ ู้” ยังรบั รองว่ารู้แลว้ จะไมผ่ ิดหวงั อีกต่างหาก
14 เย่ยี มเกษตรกร
ผปู้ ลูกยคู าในนาข้าว
ทปี่ ราจีนบรุ ี
คอลัมน์ไม้เศรษฐกิจใน “ไม่ลองไม่รู้” ปีที่ 4 ฉบับที่ 30 ประจำเดือนมกราคม 2547
ผมไดพ้ ูดถงึ เร่ืองการปลกู ยูคาในนาขา้ ว โดยเน้นเฉพาะพ้ืนทีน่ าปีในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือ
ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 33 ล้านไร่ว่า ถ้าสนับสนุนให้ใช้พื้นที่เพียงหนึ่งในสาม คือ 11 ล้านไร่
ปลูกยูคาบนคันนาทุก ๆ ระยะห่าง 30-40 เมตร โดยมีระยะห่างระหว่างต้นในแต่ละคันนา
เท่ากับ 2-3 เมตร เมื่ออายุ 5 ปี จะได้ไม้อย่างน้อยไร่ละ 3 ตัน ก็พอประมาณการได้ว่าพื้นท่ี
นาปใี นภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือสามารถผลิตไม้ยูคาได้ถึง 6.6 ลา้ นตนั ซ่ึงใกล้เคียงกับความ
ต้องการไม้ท่อนเพื่ออุตสาหกรรมชิ้นไม้สับของประเทศในปัจจุบัน และสามารถแก้ปัญหา
ความยากจนของชาวนาในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ได้ในระดบั หนึ่งอย่างแนน่ อน
ต่อมาผมได้รับมอบหมายจากสำนักประสานงานชุดโครงการวิจัยการพัฒนา
อุตสาหกรรมไมแ้ ละเย่ือ ฝา่ ยอุตสาหกรรม สำนกั งานกองทุนสนบั สนนุ การวจิ ัย (สกว.) ให้ทำ
หน้าที่ผู้อำนวยการโครงการวิจัยเรื่อง “การปลูกไม้โตเร็วเพื่อแก้ปัญหาความยากจนของ
ประชาชนในชนบท” ซึ่งเป็นความร่วมมือทางวิชาการระหว่าง สกว. และกลุ่มบริษัท
แอด๊ วานซอ์ โกร จำกดั (มหาชน) โดยมวี ตั ถุประสงคเ์ พอื่ สนับสนุนใหเ้ กษตรกรนำท่ีดินซงึ่ แทบ
จะไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามขอบไร่ชายนามาปลูกไม้โตเร็วเพื่อสร้างรายได้เสริมหรือเป็นแหล่ง
เงินออมให้แก่เกษตรกร ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างวัตถุดิบคือไม้โตเร็วให้แก่ภาค
อตุ สาหกรรมไม้อกี ด้วย
โครงการวิจัยดังกล่าวประกอบดว้ ย 9 โครงการย่อย มุ่งเน้นการปลกู ไม้ยคู าลิปตัสบน
คันนาในท้องที่จังหวัดปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราเป็นหลัก โดยคาดว่าผลที่ได้จะก่อให้เกิด
ประโยชน์ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมแก่ชุมชนชนบท กล่าวคือ มีการใช้
ประโยชนท์ ่ดี นิ ในไรน่ าอย่างเตม็ ทตี่ ามหลักการของระบบวนเกษตร เกษตรกรมีรายได้เพิ่มข้ึน
พิมพค์ ร้งั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (43) : 19–21 (พ.ศ. 2548)
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 75
ภาคอตุ สาหกรรมมวี ตั ถดุ ิบป้อนโรงงานอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง ประชาชนมงี านทำ สังคม
มีความมัน่ คง และสงิ่ แวดลอ้ มดขี ้นึ เพราะเปน็ การสรา้ งพ้ืนท่สี เี ขยี วอย่างยงั่ ยนื ขึ้นในไรน่ า
จากโครงการดังกล่าวทำให้ผมได้เดินทางไปศึกษาดูงานและเยี่ยมชมการปลูกไม้ยูคา
ในนาข้าวที่ปราจีนบุรีและฉะเชิงเทราหลายครั้ง ทำให้ได้เรียนรู้สิ่งดี ๆ หลายอย่างจากภูมิ
ปญั ญาของชาวนาไทย และทำใหท้ ราบว่าการปลกู ไมย้ ูคาบนคันนาน้ันชาวนาทบ่ี า้ นซำปา่ ตอง
ตำบลวังตะเคียน อำเภอกบินทร์บุรี และบ้านหัวหว้า ตำบลหัวหว้า อำเภอศรีมหาโพธิ
จังหวัดปราจีนบุรี ได้ทำมาเกือบสิบปีแล้ว ได้ตัดไม้ขาย ได้กำเงินหมื่นเงินแสนจากไม้
ยูคาลิปตัสบนคันนาก่อนท่ี สกว. และกลุ่มบริษัทพนั ธมิตรดับเบิล้ เอจะเริ่มโครงการวิจยั การ
ปลูกไม้โตเร็วเพื่อแก้ปัญหา
ความยากจนของประชาชนใน
ชนบทดงั กล่าวหลายปี
หนึ่งในจำนวนชาวนาผู้
บกุ เบกิ การปลูกยูคาบนคันนาที่
ตำบลหัวหวา้ คือ นางทองหลาง
สังอรดี ซึ่งอยู่ที่บ้านเลขที่ 69
หมู่ที่ 1 บ้านหัวหว้า ตำบลหัว
หว้า อำเภอศรมี หาโพธิ จังหวัด
ปราจนี บรุ ี โทรศพั ท์ 037-408-094 ป้าทองหลาง มีทีน่ าปลกู ข้าวอยู่ 26 ไร่ เริ่มปลูกยูคาบน
คันนาเม่อื ปี พ.ศ. 2542 โดยปลูกบนคนั นาทม่ี คี วามกว้าง 60-100 เซนตเิ มตร ปลูกแถวเดียว
บ้าง สองแถวสลับฟันปลาบ้าง ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 60-80 เซนติเมตร ส่วนใหญ่
ปลูกในหนา้ แล้ง โดยรดน้ำตอนปลกู เพยี งคร้ังเดยี วเทา่ นนั้ ได้ทยอยตัดไมท้ ี่มีอายุ 3-5 ปี ขาย
ให้กับคนกลางที่มาติดต่อขอซื้อในราคาตันละ 600-1,000 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของไม้
คือไม้ที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่า 3 นิ้ว ตันละ 600 บาท แต่ถ้าโตกว่า 5 นิ้ว ตันละ
1,000 บาท ไม้ทีต่ ัดขายโดยเฉลี่ยมีน้ำหนักต้นละ 171 กิโลกรัม หรือ 6 ต้นต่อตัน ขณะนี้ป้า
ทองหลางมไี มย้ ูคาบนคนั นาหลายชัน้ อายุ มกี ารจดั การตอโดยสางหน่อให้เหลือ 2-3 หน่อต่อ
ตอตามหลักวิชาการ ป้าทองหลางยืนยันว่ายูคาลิปตัสไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและข้าว
ในนา ไม่ทำให้ปริมาณขา้ วทผี่ ลติ ได้ลดลง
ป้าทองหลางได้ฝากถึงรัฐบาลว่า อยากให้รัฐบาลส่งเสริมการปลูกยูคาในนาข้าว
โดยจัด “กล้ายคู าเอ้ืออาทร” ให้แก่เกษตรกรผ้สู นใจท่วั ๆ ไปดว้ ย
76 รวมเรอ่ื งสวนป่า
ส่วนที่ตำบลวังตะเคียนนัน้ ปรากฏว่านายพุน เคนรัง ซึ่งอยู่บ้านเลขที่ 259 หมู่ที่ 12
บ้านซำป่าตอง อำเภอกบินทร์บุรี เป็นคนแรกที่ได้นำกล้าไม้ยูคาลิปตัสซึ่งเพาะจากเมล็ดมา
ปลกู บนคันนาเมอื่ ปี พ.ศ. 2540 โดยใช้ระยะหา่ งระหว่างต้น 1.50 เมตร เมอื่ ไม้มอี ายไุ ด้ 5 ปี
ก็ตัดขาย ได้น้ำหนักเฉลี่ย 10 ต้นต่อตัน ต่อมาเพื่อนบ้านก็ทำตาม รวมทั้งนายวิรัตน์ อุตคตุ
บ้านเลขที่ 297 หมู่ที่ 16 ตำบลวังตะเคียน โทรศัพท์ 037-135-6242 ซึ่งเริ่มปลูกในปี พ.ศ.
2543 โดยใชก้ ลา้ พันธดุ์ ที ไ่ี ดจ้ ากการตัดยอดปักชำ
จากการริเริ่มโดยภูมิปัญญาของชาวบ้านดังกล่าว ทำให้เกษตรกรในตำบลหัวหว้า
อำเภอศรีมหาโพธิ และตำบลวังตะเคียน อำเภอกบนิ ทรบ์ รุ ี ปลกู ยคู าลปิ ตัสบนคันนากนั อยา่ ง
กว้างขวาง ควรแก่การทเ่ี จ้าหน้าทีภ่ าครัฐและเอกชนผสู้ นใจทั่วไปจะตอ้ งหาโอกาสไปเยยี่ มชม
อย่างย่งิ และเม่อื วันที่ 3 ธันวาคม 2547 นายถาวร เกียรตไิ ชยากร ประธานกรรมาธิการการ
วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และพลงั งาน ของวุฒิสภาก็ได้นำกรรมาธกิ ารฯ และท่ปี รกึ ษารวมทงั้
พันเอกสมคิด ศรีสังคม ไปเยี่ยมชมแปลงปลกู ยูคาในนาข้าวของป้าทองหลางที่บ้านหัวหวา้
ด้วยเช่นกนั
เพื่อขานรับโครงการวิจัย
และการตื่นตัวของเกษตรกรผู้ปลูก
ยูคาในนาข้าวดงั กลา่ ว ใน ฤดปู ลูกปี
2545-46 กลุ่มบริษัทแอ๊ดวานซ์
อโกร จำกัด (มหาชน) หรอื ดับเบ้ิลเอ
ซึ่งมีคุณกิตติ ดำเนินชาญวณิชย์
ประธานผู้ก่อตั้งกลุ่มบริษัทพันธมิตร ได้แจกจ่ายกล้าไม้ยูคาสายพันธุ์ดีที่เหมาะสมสำหรับ
ปลูกบนคันนาให้แก่เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย 8 จังหวัด อันได้แก่ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา
สระแก้ว ชลบุรี ระยอง นครราชสีมา บุรีรมั ย์ และสรุ นิ ทร์ ประมาณ 1.3 ลา้ นราย รายละ 50
กล้าเพื่อนำไปปลูกบนคันนาในระดับความหนาแน่นไร่ละ 50 ต้น หากเกษตรกรที่ได้รับกล้า
ทั้งหมดนำไปปลูกจริงและดูแลให้เจริญเติบโตได้กำลังผลิตไร่ละ 5 ตัน เมื่ออายุ 5 ปี คือ 10
ต้นต่อตัน ในปี พ.ศ. 2550-51 ก็จะมีไม้ยูคาลิปตัสจากคันนาออกมาจากท้องที่ 8 จังหวัด
ดังกลา่ วประมาณปีละ 1.3 ล้านตนั
หรือหากมองเฉพาะจงั หวดั ท่ีอยู่รอบ ๆ โรงงานของกลุ่มบรษิ ทั แอด๊ วานซอ์ โกรเพียง 3
จังหวัด คือปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว ซึ่งมีพื้นที่ทำนาปีในฤดูเพาะปลูก 2545-46
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 77
รวม 2.401 ลา้ นไร่ ถา้ มกี ารปลูกยคู าบนคนั นาเพียงหนงึ่ ในสคี่ อื ประมาณ 6 แสนไร่ ก็จะไดไ้ ม้
ปีละ 6 แสนตัน แต่ถ้าคิดตามมาตรฐานของ “ป้าทองหลาง” คือ 171 กิโลกรัมต่อต้น พื้นท่ี
(25 เปอร์เซ็นต์) นาปีของจังหวัดปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา และสระแก้ว จะสามารถผลิตไม้
ยคู าลปิ ตสั ป้อนโรงงานได้ถงึ ปลี ะ 1.283 ลา้ นตัน
ผมกำลังมองไปที่กลุ่มกระดาษและบรรจุภัณฑ์ของเครือซีเมนต์ไทยซึ่งมีโรงงานผลิต
เยื่อกระดาษอยู่ที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี (บริษัทคราฟท์ไทยอุตสาหกรรม จำกัด)
และอำเภอนำ้ พอง จงั หวัดขอนแกน่ (บริษัทฟิ
นิคพัลพ์แอนด์เพเพอร์ จำกัด) ซึ่งมีบริษัท
สยามฟอเรสทรี จำกัด เป็นผู้จัดหาวัตถุดิบ
ปอ้ นโรงงาน โดยกล่มุ โรงงานวังศาลาทท่ี า่ ม่วง
ม ี พ ื ้ น ท ี ่ ก า ร ท ำ น า ป ี ข อ ง จ ั ง ห ว ั ด ก า ญ จน บุรี
ราชบรุ ี สุพรรณบรุ ี นครปฐม และเพชรบรุ ี อยู่
2.370 ล้านไร่ หากส่งเสริมให้ปลูกยูคาลิปตัส
บนคันนาหนึ่งส่วนสี่ของพื้นที่นาและได้ไม้ 5
ตันต่อไร่ต่อห้าปีก็จะได้ไม้ป้อนโรงงานปีละ
5.93 แสนตันต่อปี
โดยหลักการเดียวกัน พื้นที่ในรัศมีการส่งเสริมของโรงงานที่น้ำพอง 5 จังหวัด คือ
ขอนแก่น อุดรธานี หนองบัวลำภู มหาสารคาม และกาฬสินธิ์ รวม 7.912 ล้านไร่ แต่เนื่องจาก
ดินที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำกว่าในภาคกลางและภาคตะวันตก จึงต้ัง
เป้ากำลงั ผลติ ไว้ที่ 3 ตนั ต่อไรต่ ่อห้าปกี จ็ ะไดไ้ ม้ประมาณปีละ 1.187 ลา้ นตัน
นั่นคือ พื้นที่นาปีในรัศมีการ
ส่งเสริมของสามโรงงานอุตสาหกรรม
การผลิตเยื่อและกระดาษดังกล่าวมี
ศักยภาพที่จะผลิตไม้ยูคาลิปตัสเพื่อ
ปอ้ นโรงงานได้อย่างน้อยปลี ะ 3.080
ล้านตัน ซึ่งมีมูลค่าไม่น้อยกว่า 3
พันลา้ นบาท
78 รวมเร่อื งสวนปา่
นีค่ ือโอกาสของชาวนาปีที่ไมค่ วรมองข้าม หากลงมือปลูกยคู าบนคันนาเพยี งไร่ละ 50
ต้น นอกจากจะสร้างรายได้เสริมอย่างเป็นกอบเป็นกำให้แก่ตัวเองแล้ว ยังมีส่วนในการผลติ
วัตถดุ บิ ให้แกภ่ าคอุตสาหกรรม และสรา้ งสงิ่ แวดล้อมทด่ี ใี หแ้ กแ่ ผ่นดนิ อกี ด้วย
น่ีคอื แนวทางการพ่งึ พาเอื้ออาทรแก่กนั ระหว่างเกษตรกรผู้ยากจนและผู้ประกอบการ
อุตสาหกรรมที่ต้องอาศัยไม้เป็นวัตถุดิบ ซึ่งรัฐควรจะเข้าไปประสานและให้การสนับสนุน
อย่างยิ่ง เพราะว่ากันว่าประเทศไทยมีคันนารวมทั้งสิ้นราว 12 ล้านกิโลเมตร หากเพียง 1
เปอร์เซ็นต์ของคันนามีการปลูกยูคาตามแนวทางภูมิปัญญาของป้าทองหลาง แห่งตำบล
หัวหว้า และลุงพุนแห่งตำบลวังตะเคียน จังหวัดปราจีนบุรี คันนาก็จะช่วยบรรเทาความ
ยากจนของชาวนาไทยได้ไม่นอ้ ย
เรื่องอยา่ งนี้ “ไม่ลอง ไมร่ ู้” หรอกครับ
15 ปลูกสนทะเล
ตามแนวชายฝง่ั
เป็นท้งั ไม้เศรษฐกิจและป้องกนั คล่ืนลม
พิบัตภิ ัยคล่ืนใตน้ ำ้ สึนามทิ ช่ี ายฝง่ั ทะเลอันดามนั ในเชา้ วนั อาทิตยท์ ่ี 26 ธันวาคม 2547
เป็นภัยธรรมชาติครั้งร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ของไทย ทำความเสียหายให้แกช่ ีวิตและ
ทรัพย์สินอย่างใหญ่หลวงเกินกว่าจะประมาณการได้ ตัวเลขอย่างเป็นทางการหลังจากเกิด
เหตุการณ์หกสัปดาห์ (6 กุมภาพันธ์ 2548) ปรากฏว่ามีผู้เสียชีวิต 5,393 ราย สูญหาย
3,071 ราย และบาดเจ็บ 8,457 ราย ในจำนวนผู้เสียชีวิตที่สามารถระบุสัญชาติได้นั้น
ปรากฏว่าเป็นคนไทย 1,733 คน และเป็นคนต่างชาติ 2,171 คน โดยส่วนใหญ่เสียชีวิตใน
ท้องทจี่ งั หวัดพงั งา (รอ้ ยละ 78.89) รองลงมาคือจงั หวัดกระบ่ี (ร้อยละ 13.03) จังหวัดภูเก็ต
(ร้อยละ 4.89) จังหวัดระนอง (ร้อยละ 2.99) จังหวัดสตูล (ร้อยละ 0.11) และจังหวัดตรัง
(ร้อยละ 0.09)
นั่นคือ ทุกจังหวัดดา้ นฝัง่ ทะเลอันดามนั จากระนองถึงสตลู ตา่ งก็ได้รบั ผลกระทบจาก
ธรณีพบิ ัตคิ ร้ังนดี้ ้วยกนั ทัง้ สิน้
ขณะเดียวกันสึนามิก็ทำให้คนไทยจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ระดับมหาเศรษฐีลงมา
จนถึงชาวบา้ นผู้หาเชา้ กนิ คำ่ ไดร้ ูแ้ ละซาบซึง้ ถึงคณุ คา่ ของปา่ ไมแ้ ละต้นไมช้ ายฝ่ังทะเล
ไม่ใช่ “ไม้ใกล้ฝั่ง” ตามความหมายของสำนวนไทยซึ่งไร้คุณค่า แต่เป็นไม้ชายฝั่งท่ี
ช่วยป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของผู้คน รวมทั้งเป็นที่เก็บกักซากศพผู้เสียชีวิตให้ง่ายต่อการ
คน้ หา โดยเฉพาะอย่างยง่ิ คือไมส้ นทะเลและไมโ้ กงกาง
สนทะเล เป็นไม้ไม่ผลัดใบขนาดใหญ่ อาจจะสูงถึง 46 เมตร หรือ 150 ฟุต ชายฝั่ง
ทะเลอนั ดามันบรเิ วณหาดบางสกั อำเภอตะก่วั ป่า จังหวดั พังงา และหาดประภาส ก่ิงอำเภอ
สขุ สำราญ จังหวดั ระนอง มไี มส้ นทะเลขนาด 2-3 คนโอบ เส้นผ่านศูนย์กลางเพยี งอกเกินกวา่
100 เซนติเมตรอยูจ่ ำนวนไม่นอ้ ย
พิมพ์ครั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (44) : 19 – 21 (พ.ศ. 2548)
80 รวมเร่อื งสวนป่า
สนทะเลเป็นไม้ในวงศ์ Casuarinaceae มีชื่อวิทยาศาสตร์ซึ่งเป็นภาษาละตินและใช้
เรียกกันเป็นทางการในหมู่นักพฤกษศาสตร์ว่า Casuarina equisetifolia ไม้ในสกุลนี้ที่คน
ไทยส่วนใหญ่รู้จักกันดีและมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากมีอยู่สองชนิดคือไม้สนทะเล
(Casuarina equisetifolia) และสนประดิพัทธ์ (Casuarina junghuhniana)
สนทะเลเป็นไม้พื้นเมืองของไทย แต่สนประดิพัทธ์เป็นไม้พื้นเมืองของออสเตรเลีย
พระยาประดิพัทธ์ภูบาลได้นำเข้ามาปลูกในประเทศไทยเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2433 โดย
นำเข้ามาเฉพาะต้นเพศผู้เท่านั้น ดังนั้นไม้สนประดิพัทธ์ในประเทศไทยจึงไม่มีผล ไม่มีเมล็ด
ขยายพันธโ์ุ ดยอาศัยเมล็ดไมไ่ ด้ ต้องขยายพันธโ์ุ ดยวิธีไม่อาศัยเพศเชน่ การตัดก่ิงปักชำเท่านั้น
แต่ที่รากของไม้ทั้งสองชนิดต่างก็มีปมเล็กๆ เกาะกันเป็นกระจุกเห็นได้ชัดเจน ปมที่ว่าน้ีคือ
แฟรงเคีย (Frankia casuarinae) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์จำพวกแอคติโนไมซีท (Actinomycete)
อาศัยอยู่ในรากไม้ตระกูลสนทะเลในลักษณะพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน (symbiosis) มี
บทบาทสำคญั ในการช่วยตรึงไนโตรเจนจากบรรยากาศมาใช้ในการเจรญิ เตบิ เชน่ เดียวกับพืช
ตระกูลถั่ว ทำให้ต้นไม้โตเร็วกว่าชนิดที่ปมราก
ไมม่ แี ฟรงเคีย
สนทะเลจึงเจริญเติบโตได้ดีแม้บนดิน
ทรายชายหาดซงึ่ มคี วามช้นื ต่ำ ฝนตกเพียงปลี ะ
300 มิลลิลิตร และดินมีธาตุอาหารพืชอยู่น้อย
มาก
ในออสเตรเลียเรียกไม้ชนิดนี้ว่า ไม้สน
ออสเตรเลียฺ (Australian pine) เพราะใบมี
ลักษณะคล้ายไม้สนเขา (pine) ทั้งๆ ที่แท้จริง
แล้วเป็นไมต้ ่างตระกลู ตา่ งวงศ์กันเลยท่เี ดยี ว
สนทะเลเป็นไม้พื้นเมืองของเอเชีย
อาคเนย์ เกิดและกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ใน ประเทศไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
อินเดยี ศรลี ังกา และทางตะวนั ออกเฉยี งเหนือของทวปี ออสเตรเลยี รวมท้ังหมู่เกาะตา่ งๆ ใน
มหาสมุทรแปซิฟิก ได้มีผู้นำไปปลูกในมลรัฐฟลอริด้า ประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณ
200 ปีมาแล้ว จนผู้คนอเมริกันจำนวนไม่น้อยเข้าใจว่าสนทะเลเป็นไม้พื้นเมืองของฟลอริด้า
เชน่ เดียวกบั ทีค่ นไทยจำนวนไมน่ อ้ ยเขา้ ใจว่าจามจุรเี ปน็ ไม้พ้ืนเมืองของไทย
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 81
สนทะเลเจริญเติบโตได้ดีแทบทุกสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนที่ดินร่วนปน
ทราย นำ้ ไมท่ ว่ มขัง ปรมิ าณนำ้ ฝนเฉล่ยี รายปตี ้งั แตไ่ มถ่ งึ 300 มลิ ลเิ มตรจนถงึ เกินกวา่ 5,000
มิลลิเมตร ตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถงึ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล แต่อากาศต้องไม่เยน็
จนเกิดเป็นเกล็ดน้ำแข็งหรือแม่คะนิ๊ง เป็นไม้ที่ต้องการแสงสว่างเต็มที่ ไม่ทนร่ม แต่ทนดิน
เค็มไดด้ ี ดินมี pH ระหวา่ ง 5.0-7.7
ไม้สนทะเลเริ่มผลิดอกออกผลให้เมล็ดเมื่ออายุ 3-5 ปี เมล็ดมีขนาดเล็กมาก 1
กโิ ลกรมั มปี ระมาณ 700,000 เมล็ด อยใู่ นผลโดยผลสดหน่งึ ๆ จะมีประมาณ 50 เมล็ด ความ
มีชีวติ ของเมล็ดสดมปี ระมาณ 80-90% แต่ถ้าเก็บไว้ 3 ปคี วามมชี ีวติ จะลดลงเหลือเพยี ง 30-
40% เท่าน้ัน นั่นคือไม่ควรเก็บรักษาเมล็ดสนทะเลไว้นานหลายๆ เดือนเพราะจะทำให้
สูญเสียความมีชีวิตและอัตราการงอก เมล็ดใหม่มีอัตราการงอกสูงถึง 80% แต่ถ้าเป็นเมล็ด
เก่าเก็บอัตราการงอกจะลดลงเหลือเพยี ง 20% เท่านน้ั
เนื่องจากเมล็ดสนทะเลมีขนาด
เล็กและเมล็ดใหม่มีอัตราการงอกสูง จึง
ทำให้การสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติของ
ไม้ชนิดนีเ้ กิดข้ึนไดง้ า่ ยภายใตก้ ารเตรียม
พื้นที่รองรับการร่วงหล่นของเมล็ดที่
เหมาะสม นั่นคือให้เมล็ดที่ร่วงหล่นลง
มาใหม่ๆ ได้สัมผัสกับดินหรือทราย
ละเอียดโดยตรงแทนการตกหล่นอยู่บนก้อนหินหรือท่อนไม้ ดังนั้น หากเดินท่องเที่ยว ตาม
หาดทรายชายทะเลที่มีแม่ไม้สนทะเลอยู่มากมายอย่างบริเวณหาดวนกรในจังหวัด
ประจวบครี ีขนั ธ์ ในเดอื นสงิ หาคมหรอื กมุ ภาพันธ์ จะพบเหน็ กลา้ ไมส้ นทะเลอายุ 2-3 สปั ดาห์
ริมหาดทรายชายปา่ อย่อู ย่างหนาแน่น
ได้เคยมีการศึกษาวิจัยเรื่องการสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้สนทะเลในบริเวณ
ที่ดินภายหลังการทำเหมืองแร่ดีบุกที่บ้านทุ่งตึกซึ่งอยู่ติดกับบ้านน้ำเค็ม ในท้องที่ตำบล
บางมว่ ง อำเภอตะก่วั ป่า จังหวดั พงั งา พบว่า ลานทรายอันเกิดจากเรอื ขุดแร่ดบี ุกเป็นเสมือน
หนึง่ การเตรยี มพนื้ ทเี่ พอ่ื รองรบั การสบื ต่อพนั ธตุ์ ามธรรมชาตขิ องไมส้ นทะเลอยา่ งดยี ง่ิ เพราะ
จากการศึกษาพบว่ามกี ล้าไม้สนทะเลอายุ 2, 4 และ 12 ปอี ย่ถู งึ ไรล่ ะ 1,232, 800 และ 267
ตน้ ตามลำดับ อนั เปน็ ระดับความหนาแนน่ ของหมไู่ ม้ท่ีสูงกวา่ การใชต้ ้นกลา้ ปลูกเป็นสวนป่า
ราว 2 เท่าเศษ
82 รวมเรื่องสวนปา่
ระยะปลูกไม้สนทะเลที่นิยมใชก้ นั ทว่ั ๆ ไปคือ 2x2 เมตร หรอื ไรล่ ะ 400 ต้น ปลูกโดย
ใชต้ ้นกลา้ อายุ 3-5 เดอื น เมล็ด 1 ลิตร ให้ตน้ กล้าที่ใช้ปลูกไดร้ าว 30,000 ตน้ กล้าก่อนปลูก
ราว 1 เดือน ควรทำให้แกร่งดว้ ยการเพิ่มแสงสวา่ งและลดการให้นำ้ นอกจากน้กี ล้าท่ีมีขนาด
เล็กมากๆ คืออายุ 1-2 สปั ดาห์ก็ไมค่ วรรดนำ้ มากจนเกินไป เพราะเช้ือราจะทำให้เกิดโรคเน่า
คอดินได้ง่าย
มาตรการการบำรุงรักษาสวนป่าสนทะเลที่สำคัญที่สุดคือการป้องกันไฟป่าเพราะใน
สวนสนทะเลมักจะมีใบสนร่วงหล่นอยู่หนาแน่นมากและกลายเป็นเชื้อเพลิงได้อย่างดีใน
หน้าแล้ง ประกอบกับไม้สนทะเลเป็นไม้ที่ไม่แตกหน่อภายหลังการตัดฟัน จึงไม่สามารถใช้
ระบบการตดั ให้แตกหนอ่ ไดอ้ ยา่ งไม้ยูคาลปิ ตสั ดงั น้ันหากเกดิ ไฟไหมส้ วนสนทะเลกจ็ ะต้องตดั
ตน้ เดิมทิ้งแลว้ ปลกู ตน้ ใหม่ขน้ึ ทดแทน
ไม้สนทะเลที่ปลูกภายใต้สภาพแวดล้อมและการจัดการที่เหมาะสม มีอัตราการ
เจริญเติบโตและความสูงค่อนขา้ งสม่ำเสมอ กล่าวคือ มีความเพิ่มพูนด้านเส้นผ่านศูนย์กลาง
เพียงอกปีละประมาณ 2 เซนติเมตร และความเพิ่มพูนด้านความสูงปีละประมาณ 3 เมตร
นั่นคือ ไม้สนทะเลอายุ 5 ปี ควรจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกประมาณ 10 เซนติเมตร
และควรมีความสูงเฉลยี่ ราว 15 เมตร
ส น ท ะ เ ล เ ป ็ น ไ ม ้ ส า ร พั ด
ประโยชน์ นอกจากเรือนรากจะยึดดิน
ได้ดี และช่วยเพิ่มไนโตรเจนให้แก่ดิน
ดังกล่าวแล้วยังสามารถปลูกเพื่อให้ร่ม
เงา ปรับแต่งภูมิทัศน์ ปลูกตามแนว
ถนน รั้วบ้าน และปลูกเพื่อเป็นแนว
ป้องกนั ลมและป้องกนั ดนิ พังทลายตาม
แนวชายฝั่งได้เป็นอย่างดี จากกรณี
พิบัติภัยสึนามิเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม
2547 ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ไม้ยืนต้นที่เหลืออยู่ตามแนวชายฝั่งส่วนใหญ่ ได้แก่โกงกาง
สนทะเล และมะพรา้ ว
ส่วนประโยชน์ในทางตรงนั้นแทบทุกส่วนของไม้สนทะเลต่างให้ผลตอบแทนในทาง
เศรษฐกิจทั้งสิน้ ลำต้นตรงเปลา เนื้อไม้ที่แข็ง และมีความหนาแน่นสูงถึง 1,000 กิโลกรัมตอ่
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 83
ลูกบาศก์เมตร ผุเปื่อยยากเมื่ออยู่ในดินและน้ำเค็มจึงนิยมใช้ทำเสาเข็มในงานก่อสร้าง เสา
โป๊ะในการประมง ด้วยค่าพลังงานความร้อนที่สูงถงึ 5,000 กิโลคาลอรตี ่อกิโลกรมั สนทะเล
จึงเปน็ ไม้ทเ่ี หมาะสำหรับใชท้ ำฟนื เผาถ่านมาก รวมท้ังเน้อื ไม้ใช้ทำเยือ่ กระดาษก็ได้ เปลอื กซ่ึง
มีสารแทนนนิ อยู่ประมาณ 6-18% สามารถนำน้ำฝาดมาใชใ้ นการฟอกหนัง ให้หนังสีน้ำตาล
ปนแดงอ่อนๆ นอกจากนี้เปลือกไม้สนทะเลยังมีคุณค่าในทางสมุนไพรพื้นบ้านอีกด้วย โดย
นำมาต้มกับนำ้ ไดน้ ำ้ ฝาดแก้โรคทอ้ งเดินเรอื้ รงั
ในหลายๆ ประเทศได้ปลูกสนทะเลเป็นไม้ประธานในระบบวนเกษตรโดยมีกาแฟ
มะม่วงหมิ พานต์ มะพรา้ ว ถั่วลิสง งา และธัญพชื ตระกลู ถ่วั เป็นพชื ควบ
ด้วยความเป็นไม้อเนกประสงค์ตามความหมายของวงการป่าไม้ เกษตรกรตาม
แนวชายฝงั่ ซ่ึงดินเป็นทราย น้ำไม่ทว่ มขัง น่าจะลองปลูกไม้สนทะเลขนานกับแนวชายฝ่ัง
ต้งั แตบ่ ดั นี้
16 ไมโ้ กงกาง :
ผู้สร้างและพทิ ักษ์
ทรพั ยากรชายฝ่ัง
ผมได้กล่าวถึงการปลูกไม้สนทะเลตามแนวชายฝัง่ ไว้ในนิตยสาร “ไม่ลองไม่รู้” ฉบับ
ประจำเดือน มีนาคม 2548 ว่าได้ทั้งผลประโยชน์ในทางตรงคือมีไม้ไว้ใช้สอย และ
ผลประโยชน์ในทางอ้อมคือช่วยป้องกันคลืน่ ลมโดยได้เกี่ยวโยงไปถึงกรณีพิบัติภัย “สึนามิ”
ท่ีชายฝ่ังทะเลอันดามนั ด้วย
วันนี้จะขอกล่าวถึง “ไม้ใกล้ฝั่ง” อีกชนิดหนึ่งคือ โกงกาง ว่าเป็นทั้งผู้สร้างและ
ผพู้ ิทักษ์ทรพั ยากรชายฝ่งั ทะเลทม่ี บี ทบาทท้งั ทางตรงและทางอ้อมไมต่ ่างไปจากไม้สนทะเล
เพียงแต่สนทะเลเป็นไม้ “ป่าชายหาด” ส่วนโกงกางนั้นเปน็ ไม้ “ป่าชายเลน”
ป่าชายเลนเป็นสังคมของพืชซ่ึงขึน้ อยู่บนดินเลนตามแนวชายฝ่ังทะเลในเขตร้อนและ
กึ่งร้อนที่น้ำเค็มท่วมถึง ไม้ยืนต้นชนิดที่สำคัญๆ ได้แก่ โกงกาง แสม ลำพู ลำแพน ตะบูน
ตะบัน พังกาหวั สมุ โปรง และฝาด
ไม้โกงกางในประเทศไทยมี 2 ชนดิ คอื โกงกางใบเลก็ และโกงกางใบใหญ่ โดยทั้งสอง
ชนิดมีรูปร่างลกั ษณะ ขนาด และการใชป้ ระโยชนใ์ กลเ้ คียงกันมาก และทัง้ คกู่ เ็ ปน็ พันธไ์ุ ม้เด่น
ของป่าชายเลน ดังนั้นบางคนจึงมักจะเรียกป่าชายเลนว่าป่าโกงกาง โกงกางจึงเป็นทั้งชื่อ
ตน้ ไม้และชอ่ื ปา่ แต่ปา่ โกงกางมิได้มีเฉพาะไม้โกงกางใบเลก็ และโกงกางใบใหญ่เทา่ นั้น
โกงกางเป็นไม้ชายฝัง่ ทะเลในเขตร้อนและก่ึงร้อน พบทั่วไปตามชายฝัง่ ทะเลทั้งในแถบ
มหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ทั้งในเอเชีย แอฟริกาตะวันตก ทางตอนเหนือของออสเตรเลีย
อเมริกาใต้ อเมริกากลาง รวมทั้งทางตอนใต้ของมลรัฐฟลอริดา คุณสมบัติเฉพาะตัวที่สำคัญ
ประการหนึ่งของโกงกางก็คือความสามารถในการมีชีวิตอยู่ได้ในที่ดินเค็ม มีน้ำท่วมขัง การ
พมิ พค์ รัง้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (45) : 20 – 22 (พ.ศ. 2548)
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 85
ระบายอากาศในดินเลว ความชุ่มชื้นสูง และต้านทานลมได้ดี ซึ่งสภาพแวดล้อมที่วิกฤติ
ดังกลา่ วนม้ี ีไม้ยนื ต้นเศรษฐกิจเพยี งไมก่ ่ชี นดิ เท่าน้นั ที่เจริญเติบโตไดด้ ี
ในทางพฤกษศาสตร์ ทั้งโกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata) และโกงกางใบใหญ่
(Rhizophora mucronata) ต่างก็เป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดกลางถึงใหญ่ สูงประมาณ
20 - 30 เมตร แต่ต้นที่สมบูรณ์จริงๆ อาจจะสูงถึง 40 เมตรก็ได้ จัดเป็นไม้อเนกประสงค์
เพราะแทบทกุ ส่วนมีประโยชน์ โดยเฉพาะเนื้อไม้ซึ่งเป็นมันวาว เสีย้ นตรง มนี ้ำหนักมาก มีค่า
ความถ่วงจำเพาะประมาณ 1.04 มีค่าความร้อนประมาณ 6,600 - 7,200 กิโลแคลอรีต่อ
กิโลกรัม สามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้สารพัดอยา่ ง
ประโยชนท์ ี่สำคัญของไม้โกงกางคือ
การใช้ทำฟืนเผาถ่าน ถ่านไม้โกงกางมีผู้
นิยมใช้กันอย่างกว้างขวาง เพราะรู้จักกันดี
โดยทั่วไปว่าเป็นถ่านที่มีคุณภาพสูง ราคา
แพง ให้ค่าความร้อนสูง ลุกไหม้นาน
ปริมาณขี้เถ้าน้อย ไม่มีสะเก็ดไฟ ติดไฟง่าย
แม้เนื้อไม้ที่เพิ่งตัดใหม่จะมีสภาพค่อนข้าง
เปียกก็ตาม รวมทั้งเปลือกก็สามารถใช้ทำ
เชื้อเพลิงได้ดีเช่นกัน ได้มีการประมาณการโดยคร่าวๆ ว่าไม้โกงกางใบเล็ก 5 ตัน ให้ค่าความ
รอ้ นเทา่ กับถ่านหิน 2 –3 ตนั
ด้วยลกั ษณะของลำตน้ ท่ีตรงเปลา มีความเรียวน้อย มีความเหนยี วและแข็งแรงสูง จึง
นิยมใช้ไม้โกงกางทำเสาเข็ม ไม้ค้ำยัน และใช้ในงานก่อสร้างต่างๆ เคยมีรายงานว่าตึกเก่าๆ
ในตัวเมอื งสงิ คโปรน์ ั้นส่วนใหญใ่ ชไ้ มโ้ กงกางทำเสาเข็ม และดว้ ยลักษณะมันวาวและเส้ยี นตรง
ของเนื้อไม้ดังกล่าวแล้ว จึงมีผู้นำไม้โกงกางไปแปรรูปเพื่อทำเฟอร์นิเจอร์และเครื่องมือ
เครื่องใช้ต่างๆ ในอนิ โดนีเซีย ซาราวัค และซาบาห์ ได้ใชไ้ ม้โกงกางเป็นวตั ถุดบิ สำหรบั โรงงาน
อตุ สาหกรรมชิน้ ไมส้ บั เพื่อส่งออกใหแ้ ก่อุตสาหกรรมเยอ่ื และเรยอนตอ่ ไป
เปลือกไมโ้ กงกาง นอกจากจะใชเ้ ปน็ เชื้อเพลิงแลว้ ยังมคี ุณประโยชนไ์ มด่ ้อยไปกว่าเนื้อ
ไม้ เพราะปริมาณแทนนินที่สูงถึง 7 - 27 เปอร์เซ็นต์ จึงสามารถนำมาสกัดเพื่อใช้ในการทำ
หมึกพิมพ์ สีย้อมผ้า แห อวน ใช้ในการฟอกหนัง และใช้ทำกาวติดไม้ นอกจากนี้ ในแง่ของ
สมนุ ไพรพ้นื บา้ นตามภมู ปิ ญั ญาท้องถนิ่ ยงั ปรากฏวา่ เปลือกไมโ้ กงกางสามารถใช้เป็นยาสมาน
86 รวมเรื่องสวนปา่
แผลและห้ามโลหิต โดยเปลือกตำพอกห้ามโลหิต หรือใช้ใบอ่อนเคี้ยวให้ละเอียดพอก
บาดแผลสด รวมทง้ั ใชเ้ ปลอื กตม้ น้ำล้างบาดแผลเรอื้ รังและรบั ประทานแกท้ ้องร่วง คลน่ื เหียน
อาเจียน และแกบ้ ิดเรือ้ รงั ไดอ้ กี ด้วย
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นผลประโยชน์ในทางตรงนานาประการของไม้โกงกางซ่ึง
สามารถวัดค่าเป็นตัวเงินไดง้ า่ ยและเห็นผลในทางเศรษฐกิจไดช้ ัดเจน
แต่ในทางนิเวศวิทยา ป่าโกงกางหรือป่า
ชายเลนกลับมีบทบาทในทางอ้อมสูงและยั่งยืน
กว่าบทบาทในทางตรง เพราะ “ป่าโกงกางคือ
ผู้สร้างทรัพยากรชายฝั่งทะเล” นอกจากต้นไม้
ซึ่งใหผ้ ลตอบแทนในทางตรงดงั กล่าวแลว้ ปา่ ชาย
เลนยังเป็นผู้สร้างสัตว์น้ำนานาชนิด เพราะเป็น
แหล่งกำเนิด แหล่งเพาะพันธุ์ แหล่งอาหาร และ
แหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ รวมทั้งเป็นผู้ป้องกันน้ำดีมิ
ให้เน่าเสีย และแก้ไขบำบัดน้ำเสียให้กลับดีขึน้ มา
ใหม่ เพื่อเอื้ออำนวยต่อการผลิตสัตว์น้ำตาม
ธรรมชาตไิ ดด้ ังเดิม
รองศาสตราจารย์ ดร. ดุสิต เวชกิจ (โทร: 081-815-4566) ผู้อำนวยการสถาบันวจิ ยั
และพัฒนา มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) ผู้มีภูมิลำเนาอยู่กลางป่าชายเลนยี่สาร
อำเภออัมพวา จงั หวัดสมทุ รสงคราม และได้ศึกษาคน้ คว้าเรอ่ื งปา่ ชายเลนอย่างตอ่ เน่ืองตัง้ แต่
ระดับปริญญาตรีจนถึงปริญญาเอก ได้กล่าวถึงการอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนของจังหวัด
สมทุ รสงครามวา่ เดิมสมุทรสงครามเคยมีปา่ ชายเลนอุดมสมบรู ณ์ แตถ่ ูกบุกรุกแผ้วถางเป็นที่
อยู่อาศัยและที่ทำกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อธุรกิจการเล้ียงกุ้งกุลาดำรุกคืบเข้ามาในปี พ.ศ.
2527 ทำให้ป่าชายเลนส่วนใหญ่ถูกแปรสภาพเป็นนากุ้ง เพราะสามารถทำรายได้ให้แก่
จังหวัดสงู ถึงปีละ 4,000 - 5,000 ลา้ นบาท
ทว่า ความรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจบนพื้นฐานของการทำลายทรัพยากรป่าไม้และ
ส่งิ แวดลอ้ มนนั้ ไมเ่ คยยงั่ ยืน
เมอื่ ป่าชายเลนถูกทำลายลง ระบบนเิ วศชายฝงั่ เปล่ียนไป นำ้ เสียอนั เกิดจากการเล้ียง
กุ้งที่มุ่งเพียงผลกำไรเป็นหลัก ส่งผลให้เกิดโรคกุ้งระบาดอย่างหนัก ราษฎรผู้ประกอบอาชพี
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 87
ประมงชายฝั่งได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า ในที่สุดจึงเลิกเลี้ยงกุ้งกุลาดำกันในปี พ.ศ.
2532 จากนน้ั ในปี พ.ศ. 2534 ทางจงั หวัดสมทุ รสงครามจึงไดเ้ รม่ิ ฟนื้ ฟูป่าชายเลนข้ึนมาใหม่
ภายใต้ “โครงการปลกู ปา่ ชายเลนบนพ้ืนที่งอกชายฝง่ั ” โดยมหี นว่ ยงานภาครฐั และเอกชน
ทั้งในและต่างประเทศให้การสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่อง จนเป็นที่สนพระทัยของ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จึงได้เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมชม
โครงการฯ และทรงร่วมปลูกป่าชายเลนในช่วงปี พ.ศ. 2540 - 2544 ถึง 5 ครั้ง สร้างความ
ปลื้มปิติแก่เหล่าพสกนิกรโดยถ้วนหน้า และเรียกป่าชายเลนที่สูญไปให้กลับมาทำหน้าที่
ผู้สรา้ งและผู้พทิ ักษท์ รพั ยากรชายฝ่งั อยา่ งย่งั ยนื ไดอ้ ีกครงั้ หน่งึ
นอกจากนี้ป่าชายเลนหรือป่าโกงกางยังได้ให้บทเรียนอย่างใหญ่หลวงแก่คนไทย
โดยเฉพาะอย่างย่ิงคือผู้รอดชีวิตจากภัยพิบัติ “สึนามิ” ในท้องที่ 6 จังหวัดชายฝั่งทะเล
อันดามัน เมอื่ วันท่ี 26 ธนั วาคม 2547 เพราะปา่ ชายเลนทำหนา้ ท่ีเปน็ แนวกำบงั คลื่นลมตาม
ธรรมชาติได้อย่างดียิ่ง ทั้งนี้เพราะระบบรากของไม้โกงกางที่เกะกะเก้งก้างสานกันแน่นและ
หยง่ั ลกึ ลงไปในดินเลน โดยไม่ต้องตอกเสาเข็มสรา้ งแนวกำแพง “สีเขียว” อยา่ งหนาขนึ้ มา
เมอ่ื ไดเ้ ห็นคณุ ประโยชน์นานาประการ และบทบาทอนั มหาศาลของปา่ ชายเลนแล้วก็น่า
จะต้องปลูกสร้างขึ้นมา โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ คือไมโ้ กงกางซึง่ เป็นพนั ธ์ุไม้หลักของปา่ ชายเลน
เ ก ษ ต ร ก ร ผ ู ้ ส น ใ จ จ ะ ป ล ู ก ไ ม้
โกงกางต้องระลึกไว้เสมอว่า ไม้โกงกาง
ต้องปลูกในที่ดินเลนอ่อน ซึ่งมีน้ำท่วม
ถึงทุกวันหรือเกือบทุกวัน หากเป็นดิน
เลนแข็งปานกลางจะต้องมีน้ำทะเลท่วม
ถงึ ไมน่ อ้ ยกว่าปักษ์ละ 10 วนั หรือเดือน
ละ 20 วัน แต่ถ้าเป็นชายฝั่งทะเลซึ่งนำ้
ทะเลท่วมไม่ถึงเลยหรือท่วมถึงเฉพาะ
เมื่อน้ำทะเลขึ้นสูงสุดเท่านั้น ผู้ปลูกจำเป็นจะต้อง “ขุดแพรก” เพื่อนำน้ำทะเลเข้าไป ทั้งน้ี
เพราะน้ำทะเลเป็นปัจจยั สำคัญในการกำหนดชะตาชีวิตของไม้โกงกาง
โกงกางเป็นต้นไม้ที่ชอบแสงสว่างเต็มที่ ไม่ทนร่ม การปลูกอาจจะใช้ฝักซึ่งแก่เต็มท่ี
และมีความสมบูรณ์สูงปักลงไปในดินเลนให้ลึกประมาณ 1 ใน 3 ของความยาวของฝักก็ได้
เพราะงา่ ยและประหยัด หรือจะนำฝักมาเพาะเปน็ ตน้ กล้าในถงุ พลาสตกิ ขนาด 4 x 6 น้วิ โดย
88 รวมเรือ่ งสวนปา่
ใช้ดินบกผสมปุ๋ยคอกเป็นวัสดุเพาะชำ แต่ไม่ต้องเจาะรูที่ก้นถุงเหมือนการผลิตกล้าไม้ป่าบก
เล้ียงไวจ้ นมใี บ 2 คูแ่ ลว้ จึงย้ายปลูกก็ได้
ฝักโกงกางเกบ็ ใหม่มอี ัตราการงอกเกอื บร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ถา้ ทิง้ ไว้นานๆ ความมีชีวิต
ของเมล็ดและอัตราการงอกจะลดลงอย่างรวดเร็ว หากไม่สามารถนำฝักไปเพาะหรือปลูกได้
ทนั ที กต็ อ้ งเก็บรักษาไว้ในที่ร่ม โดยวางเรียงในลักษณะต้ังตรงอยา่ ใหท้ ับซ้อนกัน ทำการรดน้ำ
เชา้ - เยน็ ทกุ วนั หรอื จะเกบ็ ไวใ้ นท่ีรม่ ซ่งึ มนี ้ำข้ึนลงท่วมถึงก็ได้
ระยะปลูกที่เหมาะสมและนิยมใช้กันมากคือ 1.0 x 1.0 เมตร และ 1.5 x 1.5 เมตร
แต่สวนป่าโกงกางของเอกชนที่ยี่สารใช้ระยะปลูกที่ค่อนข้างถี่มาก คือ 0.63 x 0.63 เมตร
หรือ 4,000 ต้นต่อไร่ แต่เมื่อถึงอายุการตัดฟัน คือ 12 - 15 ปี จะมีต้นไม้เหลืออยู่ประมาณ
41 – 53 เปอรเ์ ซน็ ต์ ใหไ้ ม้ทท่ี ำเป็นสนิ ค้าได้ 26 - 35 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ไร่ หรอื ให้ผลผลติ มวล
ชีวภาพของลำต้นและกิ่งท่ีคดิ เป็นน้ำหนักแหง้ ไร่ละ 27 - 34 ตัน การตัดฟันใช้ระบบตดั หมด
ทั้งแปลง แล้วปล่อยทิ้งไว้ 1 - 2 ปี เพื่อให้ตอและเศษ
ไม้ปลายไม้ผุสลายก่อนจะกลับมาปลูกใหม่ในรอบ
ต่อไป
ความจริงทุกจังหวัดตามแนวชายฝั่งทะเลของ
ไทยต่างก็มีป่าชายเลนด้วยกันทั้งสิ้น รว มทั้ง
กรุงเทพมหานครซึ่งมีป่าชายเลนอยู่ที่บางขุนเทียน
ประมาณ 2,000 ไร่ ชาวเขตบางขุนเทียนมีความ
ภาคภูมิใจกับความเป็น “หนึ่งเดียวของชายทะเล
กทม.” มาก แต่น่าเสียดายที่ชายทะเลบางขุนเทียน
แทบจะไม่มีสภาพป่าชายเลนเพื่อทำหน้าที่ผู้สร้างและ
ผู้พิทักษ์ทรัพยากรชายฝั่งหลงเหลืออยู่เลย ทั้งนี้เพราะการปล่อยปละละเลยของภาครัฐใน
อดีตและขาดการมีส่วนร่วมอยา่ งจริงจังของชมุ ชน
หรือจะต้องรอให้ธรรมชาติสอนบทเรียนเหมือนที่สมุทรสงครามและหกจังหวัด
ชายฝ่งั ทะเลอนั ดามันเคยไดร้ ับเสยี กอ่ นก็มิอาจทราบได้?
17 ไมต้ ีนเป็ด :
สตั บรรณหรือพญาสัตบรรณ?
ไม้ตีนเป็ดมีชื่อเรียกแตกต่างกันหลายชื่อตามแต่ภูมิภาคของประเทศ ในภาคเหนือ
เรียกวา่ ไมย้ างขาว ภาคกลางเรยี กว่าไม้สัตบรรณ หรือพญาสตั บรรณ หรอื ตนี เป็ด เช่นเดียวกับ
ภาคใต้ที่มกั จะเรียกกันโดยทั่วๆ ไปว่าไม้ตีนเป็ด ชื่อภาษาองั กฤษของไม้ชนิดนี้ก็มีหลายชือ่ อีก
เช่นกัน อาทิ White Cheesewood ซึ่งเรียกตามลักษณะของเนื้อไม้ที่มีสีขาวเปรียบเสมือน
แผ่นเนยแข็ง Black Board เพราะเนื้อไม้อ่อน เบา ไม่ทนทาน หากแปรรูปทิ้งไว้ให้โดนแดด
โดนฝนไม่นานก็จะถูกเชื้อราเข้าทำลาย แผ่นไม้ที่เคยขาวนวลก็จะกลายเป็นสีดำ รวมทั้งชื่อ
Davil Tree ซ่ึงคงจะเรียกตามกลิ่นของดอกที่หากมจี ำนวนมากๆ จะหอมรุนแรงมากจนอาจจะ
ทำให้เกดิ อาการคลืน่ เหียนอาเจียนได้
อยา่ งไรกต็ าม ในที่นขี้ อเรียกวา่ “ไมต้ นี เป็ด” เพียงอยา่ งเดยี ว
ไม้ตีนเป็ดมีชื่อพฤกษศาสตร์หรือชื่อวิทยาศาสตร์เป็นภาษาละตินว่า Alstonia
scholaris (L.) R. Br. เป็นไม้ในวงศ์ Apocynaceae พันธุ์ไม้ในวงศ์นี้มีทั้งไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม
ไมล้ ้มลุก และไมเ้ ถา โดยในสว่ นของไมต้ ้นหรือไม้ยนื ตน้ นัน้ ไดจ้ ัดเขา้ ไว้ในไม้หวงห้ามประเภท
ก ตามพระราชกฤษฎกี ากำหนดไมห้ วงห้าม พ.ศ. 2530 จำนวน 4 สกุล อันได้แก่ สกลุ ตีนเปด็
(Alstonia) สกุลเยลตู ง (Dyera) สกุลโมกหลวง (Holarrheana) และสกลุ โมกมนั (Wrightia)
ในสว่ นของไมป้ ระดบั ท่ีร้จู ักกันดีได้แก่ รำเพย และยีโ่ ถ เปน็ ต้น
ไม้สกุลตีนเป็ดมีทั้งสิ้นประมาณ 30 ชนิด ในประเทศไทยนอกจากตีนเป็ดหรือ
สัตบรรณแลว้ ยังมี ท้งุ ฟา้ ตนี เปด็ พรุ ตีนเป็ดเล็ก นอ่ งขาว และไม้เทยี ะ
ตีนเป็ดเป็นไม้พื้นเมืองของไทย มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติอยู่ในเอเชียและแอฟริกา
เขตร้อน ทั้งในอินเดีย จีนตอนใต้ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และทางตอนเหนือของออสเตรเลีย
(ควีนส์แลนด์) รวมทั้งกระจายอยู่ห่างๆ ในทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
พมิ พ์คร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (44) : 19 – 21; 5 (47) : 84 (พ.ศ. 2548)
90 รวมเรือ่ งสวนปา่
บริเวณริมลำห้วยลำธาร ที่ราบทุ่งหญ้าที่รกร้างว่างเปล่าซึ่งดินเป็นดินร่วนปนทราย มีการ
ระบายน้ำดีแต่มีความชุ่มชื้นสูง ทั้งในป่าผสมผลัดใบ ป่าดิบแล้ง และป่าดิบชื้น แต่จะไม่พบ
ไม้ตนี เปด็ ในป่าเตง็ รงั
ตีนเป็ดเป็นไม้โตเร็วขนาดกลางถึงใหญ่ อาจจะสูงถึง 40 เมตรก็ได้ โคนต้นมีพูพอน
ลำต้นตรงเปลา เรือนยอดแตกกิ่งเป็นชัน้ ๆ แต่สูงจากพื้นดินขึ้นไปราว 8 - 10 เมตร มักจะมี
ก่ิงใหญ่ 1 - 2 ก่งิ พุง่ ด่ิงตงั้ ฉากกบั พ้นื ดินขนานไปกับลำต้นหลกั เสมือนมี 2 - 3 ยอด ใบเด่ียว
เรียงเวียนเป็นวงรอบข้อ ใบรูปไข่กลับหรือรูปหอกกลับ หนา เกลี้ยง เรียบเป็นมัน ผิวใบ
ด้านบนสีเขียวเข้ม สด ด้านล่างสีขาวนวล ตีนเป็ดเป็นไม้ผลัดใบ แต่เนื่องจากช่วงเวลาการ
ท้ิงใบของต้นตีนเปด็ สั้นมาก เมอื่ ทงิ้ ใบเกา่ ก็จะแตกใบใหม่ข้ึนมาทนั ที ทำให้ดูเสมือนหน่ึงเป็น
ไม้ไม่ผลัดใบ ผู้คนจำนวนไม่น้อยจึงคิดว่าตีนเป็ดเป็นไม้ไม่ผลัดใบ ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเป็น
ไม้ผลดั ใบ
ที่บริเวณหน้าที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาหลัก อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา มีต้น
ตีนเป็ดขนาดใหญ่ขนาด 2 คนโอบ สูงกว่า 30 เมตร อยู่ 3 - 4 ต้น เช่นเดียวกับบริเวณหน้า
บ้านพักศูนย์ศึกษาธรรมชาติ สวนป่าทองผาภูมิ ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งอยู่ใน
ท้องท่ีอำเภอทองผาภมู ิ จังหวดั กาญจนบรุ ี กม็ ตี ้นตนี เปด็ ขนาดใหญ่ใกล้เคยี งกับที่เขาหลักอยู่
ด้วยเช่นกัน ต้นตีนเป็ดสูงใหญ่ ตรงเปลา สวยงาม อายุหลายสิบปีทั้งสองแห่งนี้น่าจะใชเ้ ปน็
แม่ไม้ในการขยายพนั ธุ์ได้เป็นอย่างดี
เนื้อไม้ตีนเป็ดไม่มีแก่น สีขาวอมเหลือง เสี้ยนตรง ไสกบตกแต่งง่าย เนื้อหยาบแต่
ค่อนข้างเหนยี ว น้ำหนักเบา มีค่าความหนาแน่นประมาณ 0.37 กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร
ค่าความถ่วงจำเพาะประมาณ 0.316 ลิกนิน 26.77% ขี้เถ้า 0.88% ความยาวของเส้นใย
1.562 มิลลิเมตร ในการแปรรปู ไม้ท่อนได้ไม้แปรรูป 47.31% ส่วนที่เหลือ 52.69% นั้นเปน็
เศษเหลืออันเกิดจากการแปรรูปซ่ึงประกอบด้วยปีกไม้ 12.72% ขี้เลื่อย 14.51% และริมไม้
25.62%
ไม้ตีนเปด็ แปรรูปมักนำไปอบกอ่ นใชป้ ระโยชน์ แตก่ ารอบไม้ทำให้ไมต้ ีนเป็ดเกิดตำหนิ
ขึ้นถึง 63.51% ที่ไม่มีตำหนิมีเพียง 36.49% เท่านั้น ตำหนิส่วนใหญ่คือ 40% เกิดจากการ
โกง่ ของแผน่ ไม้แปรรูป รองลงมาคอื การโค้ง 30.83% การบิด 20.00% การหอ่ 6.67% และ
การแตกรา้ ว 2.50% นั่นคือ ไม้ตนี เป็ดมีการโก่งและโค้งงอมาก แตแ่ ตกรา้ วนอ้ ย
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 91
ทว่า ตำหนิอันเกิดจากการอบไม้ตีนเป็ดดังกล่าวสามารถแก้ไขได้หลายวิธี เช่น
(1) เมือ่ ไมม้ ปี ริมาณความชน้ื ประมาณ 12 - 25% กอ่ นทจี่ ะนำไมอ้ อกจากเตาก็ควรพน่ นำ้ เข้า
เตาอบเพื่อให้ไม้แปรรูปภายในเตาปรับสภาพและลดระยะเวลาการอบให้น้อยลง (2) คัด
ขนาดไม้คั่นให้มีขนาดสม่ำเสมอและตรง ใช้ไม้คั่นให้มากและวางเรียงให้ชิดกันมากข้ึน
(3) เรียงวางไม้แปรรูปหนาๆ ไว้ข้างล่าง และเอาไม้ตีนเป็ดแปรรูปบางๆ ไว้ข้างบน และ
(4) เมื่อนำไม้ออกจากเตาให้รีบวางกองแล้วใช้ลวดรัดให้แน่น หรือจะวางซ้อนกันแล้วใช้ของ
หนักๆ วางทบั ข้างบนอกี ทีหน่งึ เพอื่ ป้องกนั การโค้ง บิด งอ ของไม้แปรรูปกไ็ ด้
ข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของเนื้อไม้ตีนเป็ดทั้งหมดนี้ได้มาจากผลงา นวิจัยเรื่อง
“คุณสมบัติและการใช้ประโยชน์ไม้พญาสัตบรรณ” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยร่วมระหว่างกรม
ป่าไม้และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณการ
วิจัยจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ โดยมี นายวรธรรม อุ่นจิตติชัย แห่งกรม
ป่าไม้ เป็นหัวหน้าโครงการวิจัย โดยใช้ไม้ตีนเป็ดอายุ 9 ปี ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับอก
มากกวา่ 10 นิว้ ข้ึนไป เป็นไม้ตวั อย่างในการทดลอง
ไม้ตีนเป็ดมีความทนทานตามธรรมชาติต่ำ คือเนื้อไม้มีค่าความทนทานเฉลี่ยเพียง
1.4 ปีเท่าน้ัน แมลงและโรคเขา้ ทำลายได้ง่าย ขึ้นราสีดำ ทำให้ผุได้ง่าย ไม่เหมาะสำหรับการ
นำไปใช้ประโยชน์ภายนอกที่ต้องโดนแดดโดนฝนอยู่เป็นประจำ ดังนั้น การค้นคว้าวิจัยเพื่อ
ปรบั ปรุงคณุ ภาพใหท้ นทานต่อสภาพธรรมชาตขิ องไม้ตีนเปด็ จงึ เป็นส่ิงจำเปน็
แต่อย่างไรก็ตาม ด้วยคุณสมบัติของเนื้อไม้ที่เบาและมีสีขาวอมหลืองนั้น ก็เหมาะ
สำหรับใช้ทำลูกทุ่นอวน และนำไปใชป้ ระโยชน์เป็นผลิตภณั ฑ์ภายในอาคารหลายอยา่ ง อาทิ
รองเทา้ ไม้ ของเด็กเลน่ ไม้จมิ้ ฟนั หบี ใสข่ อง ฝกั มดี และโลงศพ โดยเฉพาะการใชท้ ำดินสอดำ
ซึ่งคุณสมบัติทางกายภาพของเนื้อไม้ตีนเป็ดใกล้เคียงกับไม้อินเซนซีดาร์ของสหรัฐอเมริกา
มาก นอกจากนยี้ งั สามารถใชท้ ำไม้ประสาน ไม้บาง หรือไมว้ ีเนยี ร์ ซ่ึงเม่อื นำไมต้ นี เปด็ ท่อนไป
ปอกเป็นไม้บางจะได้ไม้บางประมาณ 45.80% ไม้อัดที่ทำจากไม้ตีนเป็ดมีคุณสมบัติผ่าน
มาตรฐาน มอก. 178-2534 โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้อัดที่ผลิตโดยใช้กาวฟีนอลฟอร์มาดีไฮด์มี
คุณสมบัติสงู กวา่ ไม้อดั ทีผ่ ลติ จากไม้ยางพารา
แม้การใช้ประโยชน์ไม้ตีนเป็ดจะมีข้อจำกัดของเนื้ อไม้อยู่บ้างดังกล่าวแล้วก็ตาม
แต่ตีนเป็ดก็เป็นไม้ที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะหลายๆ ส่วนมีคุณค่าทางเภสัชกรรมพื้นบ้านสูง