The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2022-11-28 22:40:29

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Keywords: สวนป่า,ไม้เศรษฐกิจ,ยูคาลิปตัส,สัก,ไผ่,เทพทาโร,พะยูง,หยีน้ำ,วนเกษตร,เสม็ดขาว

92 รวมเร่ืองสวนปา่

รากใช้เป็นยาขับลม เปลือกต้นมีสารอัลคาลอยด์ใช้แก้บิด แก้ไข้มาลาเรีย แก้เบาหวาน ลด
น้ำตาลในเลือด แก้ไข้หวัด หลอดลมอักเสบ รักษาแผลเรื้อรัง ใบใช้พอกดับพิษตา่ งๆ ใบอ่อน
ใช้ชงนำ้ ดื่มแก้โรคลกั ปิดลกั เปิด ยางใช้ทำยารกั ษาแผลเนา่ เปื่อย เปน็ ตน้

นอกจากน้ี ทพ่ี บเห็นกนั อย่างกว้าง
ขวางทั่วไปในขณะนี้คือประโยชน์ทางด้าน
ภูมิสถาปัตย์ ด้วยเรือนยอดรูปไข่ที่แผ่
กว้าง ใบสีเขียวเข้มสดใส จึงมีการปลูก
ตีนเป็ดเป็นต้นไม้ในเมืองกันมาก ไม่ว่าจะ
เป็นตามแนวถนนหนทาง ข้างอาคาร
สำนักงาน โรงแรม ห้างสรรพสินค้า ใน
บริเวณสถาบันการศึกษา และสถานท่ี
ราชการ จนมีธุรกิจการผลิตและขุดล้อมไม้ตีนเป็ดออกจำหน่ายกันอย่างแพร่หลายตามเมือง
ใหญ่ๆ ทั่วไป ทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด รวมทั้งริมถนนสายหลักในเมืองซัวเถา
ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ก็มีไม้ตีนเป็ดขนาดใหญ่เรียงรายอยู่เป็นจำนวนมาก คาดว่า
น่าจะมอี ายุประมาณ 15 - 20 ปี

ทว่า ไม่ควรปลูกไม้ตีนเป็ดใกล้ที่พักอาศัยมากนัก เพราะหากออกดอกพร้อมกัน
มากๆ ในช่วงเดือนตุลาคม – พฤศจิกายน กลิ่นของดอกอาจจะหอมรุนแรงเกินไปจนทำ
ให้เกดิ อาการวิงเวียนศีรษะได้

ตีนเปด็ เปน็ ไม้พระราชทานประจำจงั หวัดสมุทรสาคร

แม้ตีนเป็ดจะเป็นไม้ที่น่าสนใจทั้งการใช้ประโยชน์เนื้อไม้ในอาคาร และการปลูกเปน็
ต้นไม้ในเมืองก็ตาม แต่การปลูกไม้ตีนเป็ดเป็นสวนป่านั้นยังอยู่ในวงจำกัดมาก ประเทศที่มี
การปลูกไม้ตีนเป็ดแพร่หลายมากคืออินเดียและจีนตอนใต้ สำหรับประเทศไทย ผู้ที่ปลุกให้
การปลูกไม้ตีนเป็ดต่นื ขน้ึ มาคอื ดร. ปราณี ฮมั เมอร์ลงิ ค์ อดตี อาจารยป์ ระจำภาควชิ าโรคพชื
คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หัวหน้าโครงการวิจัยกล้าไม้ตีนเป็ดปลอดโรคโดย
การเพาะเล้ยี งเนอ้ื เย่ือ ซึ่งเสยี ชีวิตจากอุบตั ิเหตุทางรถยนตท์ ่อี ำเภอพฒั นานคิ ม จงั หวัดลพบุรี
ในระหวา่ งเดนิ ทางไปปฏิบตั ิงานวิจัยโครงการดังกลา่ วที่จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อประมาณ 3 ปี
เศษมาแล้ว


บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 93

ไม้ตีนเป็ดขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ด การตัดกิ่งปักชำ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือ
แต่การผลิตต้นกล้าจากการเพาะเมล็ดนิยมกันมาก เพราะง่ายและประหยัด กล้าอายุ 3 - 4
เดอื นกน็ ำออกปลกู เป็นสวนปา่ ไดแ้ ลว้ ดร. มณฑล จำเรญิ พฤกษ์ และคณุ สมภทั ร คลังทรัพย์
แห่งภาควิชาวนวฒั นวทิ ยา คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ไดศ้ ึกษาระยะปลูกของ
ไม้ตีนเป็ด พบว่า ระยะปลูกที่เหมาะสมสำหรับสวนป่าคือ 1.0 x 1.0 เมตร เมื่อต้นไม้มอี ายุได้
2 - 3 ปี ก็ควรทำการตัดสางขยายระยะโดยการขุดลอ้ มเพื่อขายเป็นไม้ล้อม ให้ระยะขยายขน้ึ
เป็น 2.0 x 2.0 เมตร ซึ่งจะทำให้ต้นไมเ้ จริญเติบโตได้ดี แต่ถ้าไม่มีตลาดไม้ล้อมก็ควรใช้ระยะ
ปลูก 2.0 x 2.0 เมตร แทนระยะ 1.0 x 1.0 เมตร เพื่อช่วยลดปริมาณต้นกล้าจาก 1,600 ต้น
ต่อไร่ลงเหลอื เพียง 400 ต้นตอ่ ไร่ ศัตรูตัวสำคัญของสวนปา่ ไมต้ นี เปด็ คือไฟป่าและแมลงกินใบ
ไมท้ ่ีมีอายุ 10 - 12 ปี ก็สามารถตัดฟนั นำไปแปรรปู เพ่อื ใชป้ ระโยชนด์ งั กลา่ วแลว้ ได้

ตนี เป็ดจึงเปน็ ไม้โตเร็วที่นา่ สนใจอีกชนิดหน่ึง


18 ส่ีปีสร้าง…
สปี่ ีรวย..ด้วยไมย้ ูคา

“สี่ปีสร้าง สี่ปีรวย ด้วยไม้ยูคา” คือหัวข้อการประชุมสัมมนาซึ่งมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ โดยศูนยว์ จิ ยั ป่าไม้ คณะวนศาสตร์ และบรษิ ัทฟอร์เซริ ฟ์ จำกดั รว่ มกันจัดข้ึนที่
โรงแรมรามาการเ์ ดน้ กรงุ เทพมหานคร เมอื่ วนั พฤหสั บดีที่ 21 เมษายน 2548

ฟอร์เซิร์ฟ (FORSERV : Forestry Service) คือบริษัทที่ปรึกษาด้านทรัพยากรป่าไม้
และระบบวนเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกิจกรรมที่เกี่ยวกับการปลูกสร้างสวนป่าเศรษฐกิจ
ครบวงจร การใช้ประโยชน์ไม้จากป่าปลูก การจัดการพื้นที่สีเขียวในเขตชุมชนเมือง รวมท้ัง
การจดั หลักสูตรฝกึ อบรม ประชุมสมั มนา ศึกษาดูงาน และการทอ่ งเท่ยี วเชิงนิเวศ

ศูนย์วจิ ัยปา่ ไม้ เปน็ หน่วยงานภายในของคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ทำหน้าทีเ่ ป็นผู้ประสานงานและให้การบริการด้านการวิจัย ฝึกอบรม และประชุมสัมมนาท้งั
ในระดับชาติที่ใช้ภาษาไทยและระดับนานาชาติซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ ด้วยสโลแกนท่ี
ค่อนขา้ งจะทรนงของศูนย์ฯ วา่

“ทีน่ .่ี ...เรารู้เรอื่ งป่าไม้ดีท่สี ุด”

ไม้ยูคา ในที่นีค้ ือไมย้ ูคาลิปตัส และยูคาลิปตัสที่พูดถึงกันในหัวข้อ “สี่ปีสร้าง สี่ปีรวย
ด้วยไม้ยูคา” ก็คือยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซีส (Eucalyptus camaldulensis) ซึ่งมีอายุการ
ตัดฟัน 3 - 5 ปี และเป็นยูคาลิปตัสเพียงชนิดเดียวที่ปลูกกันอย่างแพร่หลาย มีบทบาทและ
ศักยภาพควรค่าแก่การปลูกในเชิงพาณิชย์ในประเทศไทย ในปัจจุบันนี้ มีเนื้อที่ปลูกกระจาย
อยู่อย่างกว้างขวางในแทบทุกภูมิภาคโดยเฉพาะอยา่ งย่ิงในภาคตะวันออกและภาคตะวันออก
เฉยี งเหนือ ส่วนใหญ่เป็นสวนปา่ ของเอกชน มีเนื้อที่รวมท้งั ส้นิ ประมาณ 3 ลา้ นไร่เศษ

ยูคาลิปตัสเป็นไม้พืน้ เมืองของออสเตรเลีย มีดว้ ยกนั ทัง้ ส้นิ ราว 600 ชนิด แตท่ ่ีรูจ้ ักกัน
อย่างแพร่หลายในตลาดโลกมีเพียงสบิ กวา่ ชนิดเท่านั้น และสว่ นใหญ่มีบทบาทนอกออสเตรเลีย

พิมพค์ รง้ั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (47) : 20 – 22 (พ.ศ. 2548)


บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 95

มากกว่าในออสเตรเลียอันเป็นถิ่นกำเนิดเดิม ขณะนี้มีสวนป่ายูคาลิปตัสในโลกอยู่ประมาณ
120 ล้านไร่ ซึ่งมากเป็นลำดับที่สามรองจากสวนไม้สนเขา (pines) และไม้ใบแคบต่างๆ
(conifers) หรอื ประมาณร้อยละ 10 ของเน้ือทสี่ วนปา่ ทั้งโลก

สำหรับประเทศไทยได้มีผู้นำยูคาลิปตัสเข้ามาปลูกครั้งแรกประมาณหนึ่งร้อยกว่าปี
มาแล้วในรูปของไม้ประดับ การทดลองปลูกในรูปของสวนป่าโดยกรมป่าไม้ ได้เริ่มครั้งแรก
เมื่อปี พ.ศ. 2493 ภายใต้โครงการสำรวจวตั ถุดิบเพื่อทำเยือ่ กระดาษ และต่อมาเมื่อประเทศ
ไทยประสบภาวะวิกฤตด้านพลงั งานเม่ือประมาณสามสิบปที ่ีแล้ว ไมย้ ูคาลปิ ตัสก็สอ่ แววว่าจะ
มีบทบาทเด่นด้านการพลังงานภายใต้ “โครงการป่าฟืนชุมชนสำหรับหมู่บ้าน” อันเป็น
โครงการความร่วมมือระหว่างกรมป่าไม้ การพลังงานแห่งชาติ และองค์การยูเสด (USAID)
แหง่ สหรัฐอเมริกา ในปี พ.ศ. 2524 – 2528

นั่นคือ ยูคาลิปตัสเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในรูปของไม้ประดับ ต่อมาเป็นไม้เพื่อ
อุตสาหกรรมเย่ือกระดาษ และไมเ้ พอื่ พลังงาน

การปลูกไม้ยูคาลิปตัสในอดีตของประเทศไทยไม่ประสบกับความสำเร็จเท่าที่ควร
เพราะเหตผุ ลสำคญั 5 ประการ อนั ได้แก่

1. ผู้ปลูกคดิ วา่ ยูคาลิปตัสเปน็ ไมท้ ่ีปลูกง่ายโตเรว็ จงึ ขาดการเลือก การเตรียมพื้นท่ี
ปลกู และการจัดการสวนปา่ ท่ดี ี ยูคาลปิ ตสั อาจจะเปน็ ไมท้ ป่ี ลกู งา่ ยตายยากจริง แต่จะไม่คุ้ม
ทุนในเชิงพาณชิ ยห์ ากปราศจากหลักการดงั กลา่ ว

2. ราคาไม้ในอดีตไม่จูงใจเท่าที่ควร โรงงานผู้ใช้ไม้อาจจะจ่ายแพง แต่เกษตรกร
ผปู้ ลูกขายได้ราคาต่ำ เพราะระบบการซือ้ ขายต้องผา่ นพ่อค้าคนกลาง คนกลางได้รายได้สุทธิ
สูงกว่าเกษตรกร เมื่อเกษตรกรตัดไม้ขายในรอบแรกแล้วก็ไม่คิดจะปลูกซ้ำในรอบที่สอง
หรือไมค่ ดิ จะจดั การตอตามระบบการตดั ให้แตกหน่อตามหลักวิชาการป่าไม้

3. ฐานพันธุกรรมของหมู่ไม้แคบมาก ในอดีตมุ่งปลูกแต่สายต้นที่เจริญเติบโตเร็ว
โดยไม่คำนงึ ถึงอันตรายจากโรค รา แมลง เพราะคดิ วา่ ยคู าลิปตสั เปน็ ไมท้ ่ีปลกู ง่ายไมม่ ปี ญั หา
เรื่องโรค รา แมลง เช่นเมื่อ ดร. สมคิด สิริพัฒนดิลก และ ดร. บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ แห่ง
คณะวนศาสตร์ ได้ทำการศึกษาวิจัยในช่วงปี 2530 - 2535 พบว่า สายต้น (เบอร์) T5 จาก
อำเภอตะกั่วป่า จังหวัดพังงา (T = Takuapa) ก็ระดมปลูก T5 กันเป็นการใหญ่ เมื่อเกิดโรค
ระบาดในชว่ งปี พ.ศ. 2539 - 2541 ยคู าลปิ ตสั ในภาคตะวนั ตกและภาคตะวนั ออกล้มตายใน
วงกว้าง หลงั จากนน้ั ภาคเอกชนจงึ เร่ิมคน้ คว้าวิจัย หาสายต้นใหม่ขยายฐานพันธุกรรมกัน


96 รวมเรือ่ งสวนป่า

4. ผู้คนบางกลุม่ ต่อต้านว่ายูคาลิปตัสเป็นไม้ต่างถิ่น ทั้งๆ ที่ความจริงไม้เศรษฐกจิ
หลายชนิดของไทย อาทิ ยางพารา ไผ่ตง ปาล์มน้ำมัน จามจุรี สนประดิพัทธ์ กระถินเทพา
และกระถนิ ณรงค์ต่างกเ็ ปน็ ไมต้ า่ งถิน่ ด้วยกนั ทัง้ สิ้น

5. ผู้คนบางกลุ่มฝังใจว่ายูคาลิปตัสมีผลกระทบต่อระบบนิเวศ ทั้งๆ ที่สมาคม
วิทยาศาสตรก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถมั ภ์รว่ มกบั สมาคมดนิ และปุ๋ยแห่ง
ประเทศไทย และกรมปา่ ไม้ ได้จดั ใหม้ กี ารประชุมสมั มนาทางวิชาการ ในหวั ข้อ “ไม้ยูคาลิปตัส
มีพิษภัยรา้ ยจรงิ หรือ” ทีโ่ รงแรมรามาการเ์ ด้น เมอื่ วนั ท่ี 19 - 21 มิถุนายน พ.ศ. 2530 และ
ได้ข้อสรุปว่า “ผลการวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์ในประเทศไทยโดยหน่วยงานของรัฐที่มีมา
จนถึงทุกวันนี้สรุปได้ว่า ไม้ยูคาลิปตัสไม่มีพิษภัยร้าย ไม่มีผลกระทบในทางลบต่อดิน น้ำ
มนุษย์ พืช และสัตว์ที่เด่นชัด แต่การปลูกยูคาลิปตัสชนิดเดียวล้วนๆ เป็นผืนใหญ่นั้น
จะต้องมกี ารศึกษาวิจัยอย่างต่อเน่อื งกนั ตอ่ ไป”

สำหรบั เกษตรกรทั้งรายย่อยและรายใหญท่ ี่คิดจะปลูกสร้างสวนป่ายูคาลิปตัสนั้นมีข้อ
ทค่ี วรคำนงึ ถงึ อยู่ 6 ประการ อันได้แก่

1. วัตถุประสงค์หลักของการปลูกต้องชัดเจน คือต้องปลูกเป็นสวนป่าเศรษฐกิจ
ไม่ใช่สวนป่านันทนาการหรือสวนป่าอนุรักษ์ แต่เมื่อเกิดสวนป่าเศรษฐกิจขึ้นมาแล้วบทบาท
ทางอ้อมในเชงิ อนุรกั ษ์กจ็ ะตามมาเอง อนั สอดคลอ้ งกับแนวพระราชดำรัส “การปลกู ป่าสาม
อยา่ งเพอ่ื ประโยชน์สอ่ี ย่าง” ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยหู่ ัวฯ

2. การใช้ประโยชน์ต้องชัดเจน เพราะเนื้อไม้ยูคาลิปตัสแตกร้าวและบิดงอง่าย
ประโยชน์ที่เหมาะสมที่สุดคือ (1) อุตสาหกรรมชิ้นไม้สับสำหรับใช้ในอุตสาหกรรมเย่ือ
กระดาษ เรยอน และอุตสาหกรรมไม้อัด (2) ไมเ้ พอื่ พลงั งาน ทำฟืน เผาถา่ น ผลิตนำ้ สม้ ควนั ไม้
และกระแสไฟฟา้ และ (3) ไมเ้ สาเขม็ ไม้คำ้ ยัน และไม้ใช้ในงานก่อสร้างตา่ งๆ

3. การปลูกและการจดั การต้องประณีตจริงจงั บนพื้นฐานทางวชิ าการดา้ นวนวัฒน
วิทยา ตั้งแต่การคัดเลือกสายต้น การคัดเลือกพื้นที่ปลูก การกำหนดระยะปลูก รวมทั้งการ
จดั การดูแลรักษา และการกำหนดอายุการตัดฟนั ทเ่ี หมาะสม

4. ต้องรู้ว่าตลาดอยู่ที่ไหน นั่นคือระยะทางจากสวนป่าไปตลาด หรือโรงงานต้อง
ไม่ไกลเกินไป มิฉะนั้นจะเสียค่าใชจ้ ่ายในการขนสง่ ไม้สงู มาก เพราะราคาซื้อขายไม้เป็นราคา
ท่ีหนา้ โรงงาน ไม่ใช่ราคาท่หี น้าสวนป่า ระยะทางจากสวนป่าไปจดุ รบั ซือ้ ไม้ยิ่งใกล้เท่าใดก็ยิ่ง
ไดก้ ำไรมากเทา่ น้นั ไกลสุดไม่ควรเกิน 150 กิโลเมตร


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 97

5. เลอื กสายตน้ ให้เหมาะสมกับสภาพแวดลอ้ มของพน้ื ท่ปี ลูก แมจ้ ะเปน็ ยคู าลปิ ตัส
ชนิดเดยี วกนั แต่ต่างตน้ หรือต่างสายตน้ ก็เจริญเติบโตได้ดีภายใตส้ ภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน
เช่น บางสายตน้ ทนท่ีดินดา่ ง บางสายตน้ เจรญิ เตบิ โตได้ดแี มใ้ นท่ีซง่ึ มนี ้ำทว่ มขงั บางสายตน้ มี
กง่ิ กา้ นสาขามากเรอื นยอดกว้างไมเ่ หมาะสำหรับปลกู ในระบบวนเกษตร เปน็ ต้น

6. สำหรับเกษตรกรรายย่อยควรปลูกยูคาลิปตสั ในระบบวนเกษตร เชน่ การปลูก
บนคันนาในทุ่งกุลาร้องไห้ ในนาปีหรือที่นาดอน และปลูกเป็นพืชควบในไร่มันสำปะหลัง
รวมทั้งการขายไม้เพือ่ นำไปใชป้ ระโยชน์หากเปน็ ไปได้กค็ วรจะแยกส่วนว่าไมส้ ่วนไหนควรใช้
ทำอะไร เช่น ท่อนโคนนำไปใช้เป็นไม้แปรรูป ท่อนกลางเป็นไม้เสาเข็ม ท่อนปลายขายให้
อุตสาหกรรมชนิ้ ไมส้ บั และเศษไม้ปลายไม้ใช้ทำฟนื เผาถ่าน และผลิตนำ้ สม้ ควันไม้ เป็นต้น

มองเฉพาะอุตสาหกรรมช้ินไมส้ บั และเย่ือกระดาษ ยูคาลปิ ตสั ให้เย่ือใยสั้น ในปี พ.ศ.
2547 ประเทศไทยตอ้ งการไม้ยคู าลิปตัสเพ่อื อุตสาหรรมชิ้นไมส้ ับประมาณ 7 ล้านตัน ตอ้ งการ

สวนป่ายูคาลิปตัสรวมทั้งสิ้นประมาณ 2
ล้านไร่ เพอื่ ทำการปลกู และตดั ฟันหมุนเวียน
กันไปทุกๆ 5 ปีๆ ละประมาณ 4 แสนไร่
เนื้อที่ 1 ไร่ ได้ไม้ยูคาลิปตัส 15 ตัน หรือ
ความเพิ่มพูนของเนื้อไม้เฉลี่ยรายปีเท่ากับ
3 ตันต่อไร่ต่อปี แต่ภาคเอกชนผู้ประกอบ
ธุรกิจอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับและ
อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษรายใหญ่ อาทิ
บริษัทสยามทรีดีเวลลอปเม้นจำกัด กลุ่ม
พันธมิตรดับเบิลเอหรือบรษิ ทั แอดวานซอ์ ะ
โกรจำกัด (มหาชน) และบริษัทสยามฟอเรสทรีจำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือปูนซีเมนต์ไทย
(SCG) ได้ทุ่มทุนศึกษาวิจัยด้านการปรับปรงุ พันธุ์โดยตัง้ เป้าทีจ่ ะเพิ่มผลผลิตเนื้อไม้ให้ได้ถึง 5
ตนั ต่อไรต่ ่อปี หรอื เทา่ กับไร่ละ 15 ตนั ณ อายุการตดั ฟนั เพยี ง 3 ปี หรือ 25 ตันตอ่ ไรใ่ น 5 ปี

สว่ นเมอ่ื สปี่ สี ร้างแล้วอกี ส่ีปีจะรวยด้วยยูคาลิปตัสหรือไมน่ ้นั วทิ ยากรผู้บรรยายพิเศษ
ทุกท่านทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่และเกษตรกรรายย่อย อาทิ คุณกิตติ ดำเนินชาญวนิชย์
ประธานกล่มุ พันธมิตรดับเบลิ เอ คณุ สรุ พร หอมชน่ื กรรมการผ้จู ดั การบริษัทสยามฟอเรสทรี
คุณณรงค์ ทรัพย์สุวรรณ กรรมการผู้จัดการบริษัทสยามทรีดีเวลลอปเม้นต์ คุณธวัชชัย


98 รวมเรอ่ื งสวนปา่

พงษ์สาปาน หัวหน้าหมวดจัดซื้อวัตถุดิบบริษัทไม้อัดไทย จำกัด คุณประจักษ์ รื่นฤทธ์ิ
ผูจ้ ดั การบริษทั สโตร่า เอน็ โซ่ คุณพฒุ นิ ันท์ พึง่ วงศญ์ าติ ผู้ผลิตถ่านและน้ำส้มไม้ คุณบุญเพ็ญ
นวลฉวี เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติประจำปี 2543 สาขาอาชีพปลูกสร้างสวนป่า รวมทั้ง คุณ
ปราโมทย์ ผ่องแผ้ว และคุณทองหลาง สังอรดี สองเกษตรกรผู้ประสบความสำเร็จในการ
ปลกู ยูคาลปิ ตัสบนคนั นาที่จงั หวดั ปราจนี บุรี ต่างยนื ยันตรงกันวา่ ยคู าลิปตัสเป็นพืชที่น่าปลูก
กวา่ พชื ไร่และไมผ้ ล ปลูกแล้วได้เงินแนๆ่

เพราะการลงทุนเพื่อการบำรุงรักษาน้อย หากมีปัญหาเรื่องการตลาดสามารถประวงิ
เวลาการเก็บเกี่ยวออกไปได้ ผลผลิตหลังการเก็บเกี่ยวไม่เสียหายเร็วและง่ายเหมือนพืชไร่
และผลไม้ หากเปรียบเทียบกับยางพารา การปลูกยางพาราต้องมีเนื้อที่มากพอสมควร จะ
ปลูกเพียงไม่กี่ต้นบนคันนาหรือตามแนวรั้วไม่ได้ รวมทั้งยางพาราต้องใช้แรงงานในการเก็บ
เกี่ยวผลผลิต (น้ำยาง) สูงมาก

แต่ถ้าจะคดิ รวยดว้ ยไม้ยคู าลิปตัสวทิ ยากรไดย้ ำ้ ว่าผ้ปู ลกู จะต้อง (1) เลือกพ้ืนทป่ี ลูกให้
เหมาะสม (2) ใช้กล้าพนั ธ์ุดี และ (3) ดแู ลรักษาอย่างจริงจังและต้ังใจ

นั่นคือ ยูคาลิปตัสในเชิงพาณิชย์ไม่ใช่เป็นไม้เทวดาที่ปลูกง่ายไม่ต้องลงทุนลงแรง
อยา่ งท่ีเคยเขา้ ใจกนั ตอ่ ไปอีกแล้ว


19 ปลกู สะเดา
กลางดอน

คนในวัย 40 - 50 ปีขนึ้ ไปคงจะจำเพลงรำวง “สะเดากลางดอนพอแตกใบอ่อน เป็น
พมุ่ เปน็ พวง” กันได้บ้าง ในแง่พฤกษศาสตร์และนิเวศวทิ ยา ผปู้ ระพนั ธเ์ นื้อร้องเข้าใจลักษณะ
ทางพฤกษศาสตร์และความต้องการทางนิเวศวิทยาของไมส้ ะเดาเป็นอย่างดี จนสามารถสรุป
ลกั ษณะเดน่ ของไมช้ นิดนีใ้ หผ้ ู้ฟงั ได้เห็นภาพพจน์อย่างครบถว้ น

สะเดาเป็นไม้ผลัดใบขนาดกลางถึงใหญ่ ลำต้นสูงราว 12 - 20 เมตร เป็นไม้พื้นเมือง
ของเขตร้อน มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติอยู่ในอินเดีย ปากีสถาน ศรีลังกา บังกลาเทศ พม่า
มาเลเซีย อนิ โดนเี ซยี และไทย ได้มกี ารนำออกนอกถ่ินกำเนดิ ไปปลูกเป็นสวนป่าไมต้ า่ งถ่ินใน
หลายประเทศทัง้ ในทวปี ออสเตรเลยี แอฟรกิ า อเมรกิ ากลาง และอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งในท้องถิ่นที่แห้งแล้งของประเทศไนจีเรีย แทนซาเนีย ซูดาน มาลาวี กานา เปอร์โตริโก
ไฮติ และแถบทะเลแครบิ เบยี น

สะเดาเป็นไม้วงศ์ Meliaceae วงศ์เดียวกับไม้มะฮอกกานี ที่คนไทยเรียกว่าไม้สะเดา
นนั้ ในทางพฤกษศาสตรม์ ี 3 สายพันธุ์ คือ

1. สะเดาอินเดยี (Azadirachta indica)
2. สะเดาไทย (Azadirachta indica var. siamensis)
3. สะเดาชา้ งหรือสะเดาเทยี ม (Azadirachta excelsa)

สะเดาช้างเป็นไม้โตเร็ว ขึ้นได้ดีในดินที่มีความชุ่มชื้นสูงอย่างภาคใต้ของประเทศไทย
และเป็นไม้ที่ฮือฮาในวงการสวนป่าเอกชนมาระยะหนึ่ง ซึ่งจะกล่าวถึงในโอกาสต่อไป ส่วน
สะเดาอินเดียและสะเดาไทยนั้นอัตราการเจริญเติบโตช้ากว่าสะเดาช้าง แต่ความแตกต่างที่
เดน่ ชัดทส่ี ุดคือสะเดาทงั้ สองชนิดนี้ข้ึนได้ดใี นที่ดินดอน ค่อนข้างแล้ง นำ้ ไม่ท่วมขงั โดยสะเดา
อนิ เดยี มคี วามสูงใกลเ้ คยี งกับสะเดาไทย แตล่ ำต้นมีขนาดใหญ่กว่ามาก ภายใต้สภาพแวดล้อม

พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (48) : 30 – 32 (พ.ศ. 2548)


100 รวมเร่ืองสวนปา่

ที่เหมาะสมอาจจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่ระดับอก (1.30 เมตรเหนือพื้นดิน) สูงถึง 1.80 -
2.50 เมตร ยอดออ่ นและดอกมีรสขมจดั ไม่มกี ารนำมารับประทานเหมือนสะเดาไทย จงึ มีคน
เรียกสะเดาอินเดียอีกอย่างหนึ่งว่าควินิน และเรียกสะเดาไทยว่าสะเดาบ้าน แต่ท้ังคู่ต่างก็มี
ช่ือสามัญในภาษาอังกฤษเหมอื นกนั วา่ Neem Tree หรือ Nim

“สะเดากลางดอน” ในที่นี้จึงหมายถึงสะเดาไทยหรือสะเดาบ้าน ซึ่งในภาคเหนือ
เรียกว่าสะเลียม และภาคใต้เรียกวา่ เดา

สะเดาเปน็ ไมอ้ เนกประสงค์ทีน่ ่าสนใจ เพราะเป็นไม้ทนแล้งซ่งึ สามารถปลูกได้ในแทบ
ทุกสภาพพื้นที่ ยกเว้นดินที่มีน้ำท่วมขัง เป็นไม้ที่ทนไฟ แตกหน่อภายหลังการตัดฟันได้ดี มี
อันตรายจากศัตรูพืชน้อยมาก ไม่ว่าจะเป็นวัว ควาย สัตว์เลี้ยง หรือโรคแมลง แทบทุกส่วน
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ ทัง้ เนอ้ื ไมเ้ พอ่ื ใช้สอย ดอกและยอดใชเ้ ปน็ อาหาร รวมทั้งคุณค่า
เชงิ สมุนไพรและยาปราบศัตรูพืช

ใบสะเดาเป็นใบ
ประกอบแบบขนนก
ปลายคี่ เรียงเวียน แผ่น
ใบรูปไข่แกมรูปใบหอก
หรือรูปเคียว ขอบใบจัก
ไม่เป็นระเบียบ ฐานใบ
เบี้ยว ใบอ่อนสีแดง ต้น
ท่ยี อดออ่ นสแี ดงเข้มจะ
มีรสขมกว่าต้นที่มีสี
เขียวอ่อน ดังนั้น ยอด
สะเดาสีเขียวอ่อนจึงมี

ผนู้ ยิ มบริโภคและขายไดร้ าคาดีกวา่ ยอดสะเดาสีแดง

ดอกออกเป็นช่อตามซอกใบใกล้ปลายกิ่ง สีขาวนวล ช่อดอกอาจจะยาวถึง 30
เซนติเมตรก็ได้ ดอกมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ออกดอกในช่วงเดือนธันวาคมถึงมีนาคม ผลสุกใน
ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน ลักษณะทั่วๆ ไปของผลคล้ายผลองุ่น มีขนาดกว้าง 1
เซนตเิ มตร ยาว 1 - 2 เซนตเิ มตร เมอ่ื สุกจะมีสีเหลอื งอมเขยี ว ภายในมเี มลด็ กลม รี 1 - 3 เมล็ด
เมลด็ มีนำ้ มนั ราว 40 - 50 เปอร์เซ็นตโ์ ดยน้ำหนกั


บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 101

เนื้อไม้สะเดามีสเี ข้ม ลักษณะคล้ายไมม้ ะฮอกกานี ค่อนข้างหนัก มีความถ่วงจำเพาะ
ประมาณ 0.83 ใช้ทำโครงสรา้ งของอาคารท่ีตอ้ งรบั นำ้ หนักมาก เชน่ คานและตงได้ดี มีความ
ทนทานสงู ผึง่ อบตกแตง่ ง่ายแม้จะทำการแปรรปู ไม้สดกต็ าม เหมาะสำหรับใชใ้ นงานกอ่ สร้าง
ต่างๆ ใช้ทำเครื่องเรือน ทำเรือ เครื่องมือทางการเกษตร ตู้เสื้อผ้า กล่องซิการ์ กลอง ตุ๊กตา
รวมทั้งงานแกะสลักไม้ต่างๆ เพราะเนื้อไม้สะเดาสามารถขัดชักเงาได้ดี เสาบ้านที่ทำจากไม้
สะเดามีความแข็งแรงสูง ปลวกไม่ทำลาย ในตอนเหนือของประเทศไนจีเรียนิยมปลูกไม้
สะเดาเพอ่ื ใช้ทำฟนื ซ่ึงใหค้ า่ ความร้อนประมาณ 4,244 - 5,043 กโิ ลแคลอรตี่ อ่ กิโลกรัม

นอกจากน้ี ไมส้ ะเดายงั มีคณุ คา่ ทางสิง่ แวดล้อมและภูมิสถาปัตยท์ โี่ ดดเดน่ เพราะเป็น
ไม้โตเร็ว เรือนยอดกลมหรือรูปไข่ แน่นทึบ ใบสีเขียวเข้ม ทิ้งใบในช่วงสั้นๆ รากลึก และ
เจริญเติบโตได้ดีในที่แห้งแล้ง น้ำไม่ท่วมขัง จึงมีผู้นิยมปลูกสะเดาเป็นไม้ประดับให้ร่มทั้งใน
บริเวณลานจอดรถ รมิ ตัวอาคาร และตามแนวถนนหนทางต่างๆ

เกาะกลางถนนสเี่ ลนชว่ งบา้ นโปง่ - กาญจนบุรี ซงึ่ ปลกู สะเดาไว้สองแถวเมื่อสิบกว่าปี
ที่แล้ว ขณะนี้สูงใหญ่ร่มรื่นสวยงามมาก เพราะกาญจนบุรีค่อนข้างแห้งแล้ง จึงเหมาะกับไม้
สะเดา ควรที่ถนนสายต่างๆ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและท้องที่แห้งแล้งทำการปลูก
สะเดากันให้มากกว่านี้ รวมทัง้ จังหวัดอุทัยธานซี ง่ึ มสี ะเดาเป็นต้นไมป้ ระจำจงั หวดั

ในกรุงนิวเดลีเมือง
หลวงของประเทศอินเดียได้
จัดให้สถานทูตของประเทศ
ต่างๆ อยู่ในย่านเดียวกัน
ถนนกวา้ ง สะอาด ผดิ กับยา่ น
อื่นๆ ของเมืองหลวงแห่งน้ี
สองข้างถนนและเกาะกลาง
ถนนแทบทุกสายมีต้นสะเดา
อินเดียขนาดใหญ่เกือบสอง
คนโอบ อายุกว่าหนึ่งร้อยปี
ปลูกเรียงรายไวม้ ากมายร่มร่นื สวยงามมาก รวมทงั้ บรเิ วณทชั มาฮาล สง่ิ มหศั จรรย์อนั เล่อื งช่อื
ของโลกก็มสี ะเดาอินเดียขนาดใหญ่อายุนับร้อยปีกระจายให้ร่มเงาแกผ่ ้มู าเยือนอยู่ทั่วไปด้วย
เชน่ กนั


102 รวมเรอ่ื งสวนปา่

อยา่ งไรกต็ าม ประโยชน์ของสะเดาทีค่ นไทยรูจ้ ักกันดนี อกจาก “นำ้ ปลาหวานสะเดา”
แล้วก็คอื คุณค่าทางสมุนไพรและสารปอ้ งกันศัตรพู ืช จนสมาคมสมนุ ไพรแห่งประเทศไทยได้
จัดให้สะเดาเป็นพืชสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคได้หลายอย่าง อาทิ เปลือกจากลำต้นใช้แก้ไข้
มาลาเรีย เปลอื กรากใช้เปน็ ยาสมานแผล แกไ้ ข้ แกโ้ รคผวิ หนัง และแก้บิด ใบใชเ้ ป็นยาพอกฝี
และกำจัดเหา ดอกใช้แก้พิษเลือดกำเดา บำรุงธาตุ ผลแก้โรคหัวใจ ริดสีดวงทวาร ปัสสาวะ
พิการ และใช้ถ่ายพยาธิ รวมท้งั รากซึง่ มีสรรพคณุ ในการแก้ลมแน่นหน้าอก

ส่วนการใชเ้ มลด็ สะเดาเปน็ ยาป้องกันศัตรพู ชื นัน้ เรม่ิ จากการศกึ ษาค้นควา้ ในประเทศ
อินเดียเมื่อปี พ.ศ. 2525 จนแพร่หลายไปทัว่ โลกในปจั จุบันนี้ สะเดาที่ปลูกจะเริ่มให้ผลผลิต
เมื่ออายุ 5 ปขี ้ึนไป แตจ่ ะใหผ้ ลผลิตมากและสม่ำเสมอตั้งแต่อายุ 12 ปีขน้ึ ไป โดยให้ผลเฉลี่ย
ต้นละ 30 กิโลกรัมต่อปี ได้เมล็ดประมาณ 5 - 8 กิโลกรัมต่อต้นต่อปี ในเมล็ดมสี ารอะซาดิ -
แรคติน (azadirachtin) ซึ่งถูกชะล้างจากน้ำฝนและสลายตัวจากแสงแดดได้ง่าย การเก็บ
รักษาเมล็ดจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยแนะนำให้เก็บผลสุกซึ่งมีสีเหลืองโดยตรงจากต้นหรือผลซ่ึง
รว่ งหล่นใหมๆ่ ใตโ้ คนต้นใส่ถุงพลาสติกทิ้งไว้ 1 - 2 วัน เพ่อื ให้เยอื่ หมุ้ เมลด็ อ่อนตัว แล้วแยก
เมล็ดออกจากเนื้อโดยใช้มือขยำและล้างเมล็ดให้สะอาด แล้วใส่ครกตำให้แหลก ห่อด้วยผ้า
ขาวบางแช่น้ำในอัตราส่วนเมล็ดสด 1 กิโลกรัมต่อน้ำ 15 - 20 ลิตร ทิ้งไว้ 1 วันจนกาก
ตกตะกอน ใช้กากและเนื้อเป็นปุ๋ยอินทรีย์เพื่อปรับปรุงบำรุงดิน ส่วนน้ำใช้เป็นสารป้องกัน
แมลงศัตรูพืชต่างๆ เช่น เพลี้ย มอดแป้ง หนอนผีเสื้อ ด้วง จิ้งหรีด ตั๊กแตน แมลงวันผลไม้
และไส้เดอื นฝอย โดยไมเ่ ปน็ อันตรายต่อคนและสัตวเ์ ล้ยี ง

เกษตรกรที่สนใจจะปลูกสะเดาต้องระลึกไว้เสมอว่าสะเดาชอบที่ดอน น้ำไม่ท่วมขัง
เมล็ดที่เอาเนื้อออกหมดจนสะอาดดีแล้ว ซึ่งมีปริมาณประมาณ 4,000 เมล็ดต่อกิโลกรัม
สามารถนำมาเพาะได้ทันที มีอัตราการงอกประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ แต่ถ้าทิ้งไว้ 1 เดือน
อัตราการงอกจะลดลงเหลือเพียง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทั้งนี้เพราะเมล็ดไม้สะเดาสูญเสีย
ความมีชีวิตง่ายมาก เมื่อต้นกล้าแตกใบ 2 - 3 คู่ก็ย้ายชำลงถุงพลาสติก เลี้ยงไว้ราว 5 - 6
เดือนหรือมีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตรก็สามารถนำไปปลูกได้ แต่กล้าค้างปีจะ
เจรญิ เตบิ โตไดด้ กี วา่ กล้าอายุน้อยๆ

ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 2 x 2 เมตร หรือ 400 ต้นต่อไร่ สำหรับไม้ที่ใช้รอบ
หมนุ เวียนในการตัดฟนั ส้นั คือ 5 ปสี ำหรับใช้ทำฟืน เผาถา่ น ซึง่ จะได้ผลผลิตมวลชีวภาพของ


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 103

เนื้อไม้ (น้ำหนักอบแหง้ ) ประมาณ 3.4 ตันต่อไร่ หรือให้ผลผลิตของเนือ้ ไมใ้ นรูปของน้ำหนัก
แหง้ เทา่ กบั 680 กโิ ลกรัมต่อไร่ตอ่ ปี หากต้องการไมเ้ พือ่ ใชใ้ นการกอ่ สรา้ งและทำเฟอร์นิเจอร์
ก็ควรจะตดั ฟนั เมือ่ อายุประมาณ 15 – 20 ปี โดยใช้ระยะปลกู 2 x 2 เมตร หรอื 4 x 4 เมตร
ซึ่งจำเป็นจะต้องทำการตัดขยายระยะเมื่อเห็นว่าเรือนยอดเริ่มเบียดชิดกัน 2 – 3 ครั้ง การ
ตัดขยายระยะครั้งสุดท้ายควรมีต้นไม้ขนาดใหญ่ ลำต้นเปลา เหมาะสำหรับใช้เป็นไม้ซุงเพ่ือ
แปรรูปเหลอื อยูไ่ รล่ ะ 30 – 40 ตน้

ลองหันมาปลูกสะเดาในที่ดอน ซึ่งจะได้ทั้งยอดอ่อน ใบแก่ ดอก เมล็ด และเนื้อไม้
กนั เถอะครับ


20 ยางนา :
ไมม้ คี ่าทใ่ี นหลวงทรงห่วงใย

ไมย้ างนามชี ือ่ เรียกแตกตา่ งกันไปตามท้องทต่ี ่างๆ ของไทย โดยท่ัวๆ ไปมักเรยี กวา่ ยาง
ยางนา ยางขาว ยางแม่น้ำ หรือยางหยวก แต่ที่จังหวดั เลยเรียกยางกุง จังหวัดหนองคายเรียก
ยางควาย ปราจนี บรุ เี รยี กยางใต้ จันทบรุ ีเรยี กยางเนนิ และทีจ่ ังหวัดชุมพรเรียกยางตัง หรอื ชันนา
มีชื่อทางการค้าว่า Yang หรือ Garjan หรือ Keruing มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dipterocarpus
alatus เป็นต้นไม้ในวงศ์ไม้ยาง (Dipterocarpaceae) สกุลไม้ยาง (Dipterocarpus) ซึ่งไม้
สกุลนี้มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 69 ชนิด ในประเทศไทยมี 16 ชนิด อันได้แก่ ยางนา ยางแดง
ยางแข้ง ยางขน ยางเหียง ยางพลวง ยางกราด ยางยูง ยางปาย ยางใต้ ยางวาด ยางมันหมู
ยางเสยี น ยางคาย ยางคลอง และยางกลอ่ ง

ยางนาเป็นไม้พื้นเมอื งของเอเชียอาคเนย์ พบทั้งในลาว กัมพูชา เวียดนาม ฟิลิปปินส์
มาเลเซีย ไทย พม่า รวมทั้งในตอนใต้ของบังคลาเทศ อินเดีย และมณฑลยูนนาน เป็นไม้ไม่
ผลัดใบท่ีมขี นาดสูงใหญ่ อาจสงู ถึง 50 เมตร เส้นรอบวงทรี่ ะดับอกอาจอยู่ระหวา่ ง 4 - 7 เมตร
ก็ได้ จงึ กลา่ วได้ว่า ยางนาเปน็ พญาไมแ้ หง่ เอเชยี อาคเนย์

ในประเทศไทยมีไม้ยางนาขึ้นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปในพื้นที่ราบตามแนวชายฝั่ง
แมน่ ำ้ ลำธาร ซ่งึ ดนิ เป็นดนิ ตะกอนทบั ถม มคี วามช่มุ ช้ืน อินทรยี วตั ถุ และความอดุ มสมบรู ณ์สงู
ความสูงจากระดับนำ้ ทะเลเฉลี่ยปานกลางไม่เกิน 350 เมตร และปริมาณน้ำฝนเฉล่ียประมาณ
ปีละ 1,000 - 2,800 มิลลิเมตร พบได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศซึ่งยืนยันได้จากชื่ออำเภอ
ซึ่งเกี่ยวข้องกับไม้ยางนา เช่น อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ อำเภอยางชุมน้อย จังหวัด
ศรีสะเกษ อำเภอท่าสองยาง จังหวัดตาก และอำเภอท่ายาง จังหวัดเพชรบุรี รวมทั้งชื่อตำบล
และหมู่บ้านต่างๆ อาทิ บา้ นบ่อยาง หนองยาง นำ้ ยาง คลองยาง ทุง่ ยาง โคกยาง ฯลฯ

พมิ พ์คร้ังแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (49) : 30 – 32; 5 (50) : 30 – 32 (พ.ศ. 2548)


บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 105

ปา่ ยางนาธรรมชาติทีใ่ หญ่ท่สี ุดในประเทศไทย
และสามารถเดินทางไปดูได้สะดวกพอสมควรคือ
“ป่ายางกลางอ่าว” หรือที่มีชื่อเรียกอย่างเป็น
ทางการวา่ วนอทุ ยานปา่ กลางอ่าว ซึ่งต้ังอยู่ในหมู่ท่ี
4 ตำบลแม่รำพึง อำเภอบางสะพาน จังหวัด
ประจวบคีรีขันธ์ มีเนื้อที่ประมาณ 1,200 ไร่ มีต้นไม้
ยางนารวมทงั้ ส้ินประมาณ 6,000 ต้น สว่ นใหญ่มีเสน้
รอบวงที่ระดับอกระหว่าง 280-300 เซนติเมตร มี
ปรมิ าตรเน้อื ไมป้ ระมาณ 20,000 ลกู บาศกเ์ มตร โดย
ได้มีผู้ประมาณการว่าน่าจะมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200
ล้านบาท ทั้งนี้ยังไม่รวมพืชพรรณไม้อื่นที่ขึ้นอยู่
รวมกันอีก 119 ชนิด 89 สกุล และเห็ดราชนิดต่างๆ อีกมากมาย อันแสดงให้เห็นถึงความ
หลากหลายทางชีวภาพของปา่ ยางนา

ยางนาเป็นไม้สารพัดประโยชน์และมีความผูกพันกับวิถีชีวิตข องคนไทยมาต้ังแต่
โบราณกาล เพราะในประวตั ิศาสตร์ไทย สมัยกรุงสุโขทัย พ่อขุนกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง
ได้ให้สานกระออมไมไ้ ผย่ าชันน้ำมนั ยาง (ยางนา) มใิ หร้ ่วั เพ่ือใช้แทนตุ่มใสน่ ้ำใสสะอาดสง่ ส่วย
ให้แก่ขอม ในทางกฎหมายป่าไม้ ไม้สักและไม้ยางเป็นไม้หวงห้ามประเภท ก. ซึ่งไม่ว่าจะ
ขึ้นอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม หากมีการตัดฟันหรือมีการทำไม้ออกจะต้องขออนุญาตจากพนักงาน
เจ้าหน้าท่ีเสียก่อน ทั้งนี้เพราะไม้ดังกล่าวมีการใช้ประโยชน์กันอยา่ งกว้างขวาง จึงต้องมีการ
ออกกฎหมายมาควบคมุ

ประโยชน์นานาประการของไมย้ างนาไดแ้ ก่ เนือ้ ไม้ ใชใ้ นการกอ่ สร้างทวั่ ไป ทำฝา พื้น
เพดาน รอด ตง และเครื่องเรือนต่างๆ หากอาบน้ำยางจะมีความทนทานสูง ใช้งานภายนอก
เช่น เสา รั้ว ตัวถังเกวียน และไม้หมอนรองรางรถไฟได้ดี เนื้อไม้มีค่าความถ่วงจำเพาะ 0.70
ค่าความร้อน 4,810 แคลอรี่ต่อกรัม และความแข็งแรง 888 กิโลกรัมต่อตารางเซนติเมตร
บรษิ ัทไมอ้ ดั ไทย จำกัด ได้ใช้ไมย้ างนาผลติ ไมอ้ ัดและแผ่นใยไมอ้ ดั แขง็

น้ำมันยาง ใช้ทาไม้ ยาแนวเรือ ยาภาชนะอื่นๆ กันน้ำรั่ว ใช้ทำไต้จุดไฟให้แสงสว่าง
ใชเ้ ดนิ เคร่อื งยนตแ์ ทนน้ำมันข้โี ล้ ใชผ้ สมกับยางไม้ชนดิ อ่ืนแทนกาวจบั สัตว์ ใช้ทาสีบ้านชักเงา
ทำชันยาง หมกึ พิมพ์ รวมท้งั ใชท้ ำนำ้ มันเช้อื เพลงิ


106 รวมเรือ่ งสวนป่า

ในแง่สมุนไพร น้ำมันและใบยางนาสามารถนำมาใชใ้ ส่แผลห้ามหนอง แก้โรคเร้อื น ใบ
ใช้ตม้ น้ำดืม่ กลอ่ มเสมหะในลำคอ แก้ปวดฟัน ขบั ปสั สาวะ และแก้โรคหนองใน เปลือกต้มน้ำ
กนิ แกต้ ับอักเสบ บำรุงรา่ งกาย ฟอกเลือด หรือทาถูนวดขณะร้อนแก้ปวดตามข้อ

ทางด้านอาหาร แมย้ างนาโดยตวั ของมันเองจะใชเ้ ป็นอาหารไม่ได้ แต่ปา่ ยางนามักจะ
เปน็ แหลง่ อาหารอันโอชะ โดยเฉพาะอย่างยิง่ คือเหด็ ยาง เห็ดเผาะ และนำ้ ผง้ึ

ประโยชน์ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งของไม้ยางนาก็คือคุณค่าทางนันทนาการ เพราะ
ยางนาเปน็ ไม้ไม่ผลดั ใบที่มีลำตน้ สูงใหญ่โดดเดน่ เป็นสงา่ มีอายุยืนยาว จงึ มกี ารปลูกไมย้ างนา
เพ่ือให้ร่มเงาตามสถาบนั การศึกษา ศาสนสถาน และรมิ ถนนหนทางสายตา่ งๆ ทีโ่ ดดเด่นมาก
ที่สุดเห็นจะได้แก่ไม้ยางนาริมถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน (สาย 106) ซึ่งเจ้าเมืองเชียงใหม่
ร่วมกบั ประชาชนชาวเชียงใหมไ่ ดร้ ว่ มกนั ปลูกขน้ึ เมื่อปี พ.ศ. 2454 เพื่อเป็นสญั ลกั ษณ์ว่าชาว
เชยี งใหม่มคี วามรัก สามคั คี กลมเกลียว เหนียวแนน่ ด่ังน้ำมนั ยาง ปัจจุบันเหลอื อยู่ประมาณ
1,100 ต้น มคี วามสงู เฉลีย่ 40 เมตร เสน้ ผ่านศูนย์กลางเพียงอก 120 เซนตเิ มตร และมคี วาม
เพ่ิมพูนดา้ นเส้นผ่านศูนย์กลางเพยี งอกเฉลีย่ 1.24 เซนตเิ มตรตอ่ ปี

ยางนาเป็นไมพ้ ระราชทานประจำจังหวัดอบุ ลราชธานี

ด้วยคุณค่านานาประการ แต่การปลูกและการศึกษาวิจัยด้านการปลูกสร้างสวนป่าไม้
ยางนายงั มีอยนู่ ้อยมาก พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยูห่ วั จึงมีพระราชปรารภ เมือ่ ปี พ.ศ. 2504 วา่

“ไม้ยางนาในประเทศไทยได้ถูกตัดฟันไปใช้สอยและทำเป็นสินค้า
กันเป็นจำนวนมากขึ้นทุกปี เป็นที่น่าวิตกว่าหากมิได้ทำการบำรุง
สง่ เสรมิ และดำเนินการปลูกไม้ยางนาขน้ึ แล้ว ปรมิ าณไม้ยางนาก็จะ
ลดน้อยลงไปทุกที จึงควรที่จะได้มีการดำเนินการวิจัยเกี่ยวกับการ
ปลูกไมย้ างนาเพื่อจะได้นำความร้ไู ปใชใ้ นทางปฏิบตั ิ”

ในฤดูร้อนเกือบทุกปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จแปรพระราชฐานไป
ประทับ ณ พระราชวังไกลกังวล อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อเสด็จผ่านอำเภอ
ท่ายาง จงั หวดั เพชรบุรี ไดท้ อดพระเนตรเห็นตน้ ยางนาขนาดสูงใหญ่ขน้ึ อย่ตู ามธรรมชาติช่วง
หลักกโิ ลเมตรที่ 176 - 179 เป็นจำนวนมาก จึงได้มีพระราชดำริท่จี ะสงวนกลมุ่ ปา่ ยางนาแหง่
นี้ไว้เป็นสวนสาธารณะ แต่มิอาจดำเนนิ การจัดถวายตามพระราชประสงค์ได้ เพราะมีราษฎร


บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 107

เข้าไปถือครองเปน็ ที่อยูอ่ าศยั และทำมาหากิน จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าหนา้ ที่
สำนักพระราชวังเข้าไปเก็บเมล็ดในเดือนเมษายน พ.ศ. 2504 ส่วนหนึ่งนำไปเพาะไว้ใต้ร่ม
ต้นแคบ้าน ในบริเวณสวนจติ รลดา อกี สว่ นหน่งึ ได้ทรงเพาะดว้ ยพระองคเ์ องลงในกระถางบน
ดาดฟา้ พระตำหนกั เป่ียมสุข พระราชวงั ไกลกังวล

เมื่อกล้าไม้ยางนาทั้งสองชุดอายุได้ 4 เดือน คือวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 ซ่ึง
เป็นวันคล้ายวันประสูติของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจา้ ฟ้าวชริ าลงกรณ์ พระบาทสมเด็จพระ
เจา้ อยหู่ วั พรอ้ มด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชนิ ีนาถ และสมเด็จพระเจา้ ลูกยาเธอเจ้า
ฟ้าวชิราลงกรณ์ ได้ทรงปลูกไม้ยางนาลงในแปลงโครงการป่าสาธิตในสวนจิตรลดา ทั้งนี้ได้
ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพาร คณาจารย์ และนิสิตคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ นำโดยศาสตราจารย์เทียม คมกฤส คณบดีคณะวนศาสตร์ ร่วมปลูกไม้ยางนา
จำนวน 1,096 ต้นด้วย ในเนื้อที่ประมาณ 4 ไร่ 1 งาน โดยใช้ระยะปลูก 2.50 x 2.50 เมตร
พร้อมกันนั้น ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ
โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา ดำเนินการสนองพระราชดำริทำการศึกษาวิจัยใน
บริเวณดังกล่าวเพื่อศึกษาอิทธิพลของปุ๋ยเคมี และความเข้มของแสงสว่าง ที่มีต่อการ
เจริญเติบโตของไม้ยางนา โดยไม่ใสป่ ุ๋ย ใส่ปุ๋ยไนโตรเจน 20 กิโลกรัมต่อไร่ และ 40 กิโลกรมั
ต่อไร่ ไม่ให้ร่ม ให้ร่มด้วยการตีไม้ระแนง 50% และ 75% ให้ร่มด้วยการปลูกต้นแคบ้าน 2
ด้าน และ 4 ด้านของกล้าไม้ยางนา รวมทั้งปลูกไม้ยางนาควบกับกล้วยและอ้อย แม้ข้อมูล
การเจริญเติบโตเมื่ออายุได้ 2 ปี 4 เดือน จะแตกตา่ งกันอย่างไมม่ นี ัยสำคัญทางสถิติก็ตาม แต่
ก็พบว่าไม้ยางนามีอัตราการรอดตายสูงถึงร้อยละ 93.5 มีความสูงเฉลี่ย 1.40 เมตร เม่ือ
เยาวว์ ัยต้องการร่มเงาในระดับปานกลาง และมีอตั ราการเจริญเตบิ โตเร็วพอสมควร

จุดเด่นของงานวิจัยเรื่องไม้ยางนาในสวนจิตรลดามี 3 ประการคือ (1) เป็นงานวิจัย
ทางด้านวนวัฒนวิทยาสนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (2) งานทดลอง
ภาคสนามอย่ใู นสวนจติ รลดา ซึ่งคงจะมโี ครงการวจิ ัยที่จะมโี อกาสได้ดำเนนิ งานในลักษณะน้ี
ไม่มากนัก และ (3) การปลูกไม้ยางนาควบกับต้นแคบ้าน กล้วย และอ้อยได้กลายมาเป็น
รูปแบบของการปลูกป่าผสม และการปลูกป่าตามระบบวนเกษตรซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีใคร
ร้จู กั ศัพทค์ ำนี้กันเลย

จากการปลูกไม้ยางนาในสวนจิตรลดาเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2504 นิสิตและ
คณาจารย์คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้รับพระบรมราชานุญาตให้เข้าไป


108 รวมเรื่องสวนปา่

ศึกษาการเจริญเติบโตของไม้ยางนาได้
ตลอดเวลา รวมทั้งให้เขา้ ไปปลูกต้นไม้ใน
บริเวณสวนจิตรลดาเนื่องในวันต้นไม้
ประจำปีแห่งชาติเป็นประจำทุกปีจน
กลายเป็นประเพณีมาจนถึงทุกวันนี้ โดย
ในปีพ.ศ. 2548 นี้ได้ทรงพระกรุณาโปรด
เกล้าฯ ให้นิสติ คณะวนศาสตร์เข้าไปปลูก
ต้นไม้ในสวนจิตรลดาในวันอาทิตย์ที่ 24
กรกฎาคม 2548 ยงั ความปล้ืมปติ ิให้แก่บคุ ลากรคณะวนศาสตรเ์ ปน็ ลน้ พน้ อยา่ งหาที่สดุ มไิ ด้

เมื่อไม้ยางนาที่ปลูกเจรญิ เติบโตกลายเป็นปา่ ยางนาในสวนจิตรลดาก็ได้ทรงพระกรณุ า
โปรดเกล้าฯ ให้โครงการส่วนพระองค์ สวนจิตรลดา และคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ นำพืชพรรณต่างๆ อาทิ หวาย หว้า มะเดื่อ ไทร ฯลฯ เข้าไปปลูกแทรกเพื่อให้
เกดิ ความหลากหลายทางชวี ภาพ และใหเ้ ป็นแหล่งอาหารของนกนานาชนิด รวมทง้ั ได้ทรงพระ
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปลูกป่าสาธิตขึ้นในพื้นที่ว่างบริเวณรอบพระตำหนักเรือนต้น โดยใช้
พรรณไม้ป่าจากป่าประเภทต่างๆ ทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งไม้ผลัดใบและไม้ไม่ผลัดใบ
เพอ่ื ใหน้ กั เรียน นสิ ติ นักศกึ ษาด้านปา่ ไมแ้ ละการเกษตรในกรุงเทพมหานครได้เขา้ ไปศึกษาโดย
ไม่ตอ้ งเสียคา่ ใช้จ่ายและเวลาเพือ่ เดินทางไปศกึ ษาพฤกษศาสตรป์ า่ ไม้ในธรรมชาตทิ อ่ี ยูห่ า่ งไกล

นอกจากนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง
แปลงสาธติ พชื สมนุ ไพรเพือ่ การศกึ ษาขึ้นภายในบริเวณสวนจิตรลดา เมอื่ ปี พ.ศ. 2529 มีเนื้อ
ที่ประมาณ 1 ไร่ โดยแยกปลูกเป็นหมวดหมู่ตามสรรพคุณของพืชสมุนไพรแต่ละชนิดตาม
หลักการการจัดสร้างสวนพฤกษศาสตร์ อาทิ มะขาม ขี้เหล็ก แสมสาร ชุมเห็ด มะกา และ
สลัดได สำหรับกลมุ่ สมุนไพรที่ใช้เปน็ ยาระบาย และกล่มุ ตน้ ขอ่ ยและมะขามเทศสำหรับกลุ่ม
พชื สมนุ ไพรทใ่ี ช้รักษาโรคเหงอื กและฟัน เปน็ ตน้

กล่าวได้ว่าสวนจิตรลดาเป็นแหล่งรวมพฤกษาพรรณเพื่อการศึกษาด้านพฤกษศาสตร์
และธรรมชาติวิทยาที่มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุดในกรุงเทพมหานคร มีจุดกำเนิด
มาจากการศึกษาวิจัยไม้ยางนาตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีทั้ง
ไม้ต้น ไม้พุ่ม ไม้เถา ไม้พุ่มกึ่งเลื้อย ปาล์ม และไผ่ แต่ไม่รวมวัชพืชจำพวกหญ้า พรรณไม้ดอก
ไม้ประดับและพืชล้มลุก ยกเว้นพืชล้มลุกและหญา้ ในสวนสมุนไพร รวมทั้งสิ้นถึง 391 ชนิด ใน


บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 109

จำนวนน้จี ัดเป็นไมต้ ้นหรือไม้ยืนตน้ ซ่ึงมีขนาดสูงใหญ่ อายุยืนนานถึง 204 ต้น หรือร้อยละ 52
ของพรรณไมท้ ง้ั หมด

ยกเวน้ ไม้ยางนาสองขา้ งทางถนนสายเชยี งใหม่-ลำพูนดงั กลา่ วแล้ว สวนป่าไม้ยางนาทมี่ ี
อายุเก่าแก่ที่สุดในประเทศไทยก็คือสวนป่าไมย้ างนาในบริเวณสวนจิตรลดา กรุงเทพมหานคร
ซึ่งทรงปลกู ข้นึ เมอื่ ปี พ.ศ. 2504

ต่อมาในปี พ.ศ. 2505 กรมป่าไม้จึงได้เริ่มปลูกไม้ยางนาขึ้นที่สวนป่าไตรตรึงษ์ ใน
ท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดกำแพงเพชร ริมถนนพหลโยธินหลักกิโลเมตรที่ 376 - 377 ช่วง
นครสวรรค์ - กำแพงเพชร เนื้อท่ปี ระมาณ 51 ไร่ โดยใช้ระยะปลูก 5 x 5 เมตร นบั เป็นสวน
ปา่ ไม้ยางนาสวนทส่ี องของประเทศ

สวนป่าไมย้ างนาลำดับทส่ี ามดำเนินการโดยบริษัทไม้อัดไทย จำกดั ทสี่ วนป่าลาดกระทิง
อำเภอสนามไชยเขต จังหวดั ฉะเชงิ เทรา เน้ือที่ 4 ไร่ 2 งาน โดยใชร้ ะยะปลูก 4 x 4 เมตร

หลังจากนั้น ในปี 2520 องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ก็ได้เริ่มปลูกไม้ยางนาที่สวนป่า
อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร เนื้อที่ 22 ไร่ และที่สวนป่าสมเด็จ อำเภอสมเด็จ จังหวัด
กาฬสินธุ์ โดยใช้ระยะปลูก 2 x 8 เมตร มีทั้งที่
ปลูกในระบบวนเกษตรซึ่งมีมันสำปะหลังเป็น
พืชควบ และระบบสวนป่าผสมซง่ึ ปลกู ไม้ยางนา
ร่วมกบั ไม้ประดแู่ ละยูคาลปิ ตัส

ส่วนสวนป่าไม้ยางนาของเอกชนซึ่งมี
เนอ้ื ทีป่ ลกู รวมท้งั สิน้ ประมาณ 8,000 ไรเ่ ศษนั้น
ส่วนใหญ่เพิ่งเริ่มขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2537 คือเมื่อ
11 ปที ่ผี า่ นมานเี้ อง ภายใต้โครงการสง่ เสริมการ
ปลกู ไม้เศรษฐกจิ ของกรมปา่ ไม้

เกษตรกรรายย่อยผู้สนใจจะปลูกไม้ยาง
นาสามารถติดต่อขอรับกล้าไม้ได้จากศนู ย์ เพาะชำกล้าไม้ประจำจังหวดั ตา่ งๆ ซึ่งมีอยู่เกือบ
ทุกจังหวัด แต่ถ้าเป็นเกษตรกรรายใหญ่ที่ต้องการจะปลูกเป็นปริมาณมาก หรือต้องการได้
กล้าไม้ขนาดใหญ่จำนวนมากก็น่าจะต้องทำการผลิตกล้าไม้ยางนาขึ้นมาเอง เริ่มด้วยการ
จัดหาเมล็ดพันธุ์ซ่งึ มกั จะแกจ่ ดั และเกบ็ กนั ในระหว่างเดือนมีนาคมถงึ พฤษภาคม


110 รวมเรื่องสวนปา่

เมล็ดยางนามีปีกยาวใหญ่ 2 ปีก น้ำหนัก 1
กิโลกรมั มปี รมิ าณประมาณ 230 เมลด็ หรอื ประมาณลติ ร
ละ 50 เมล็ด เมล็ดที่ร่วงหล่นลงมาใหม่ๆ ในช่วง 1 - 2
วันแรกจะมคี วามชนื้ อยู่มาก มีความมชี วี ติ ของเมล็ดราวๆ
75% หากความชื้นในเมล็ดเหลืออยู่ไม่ถึง 30% เมล็ดไม้
ยางนาจะตาย หากนำเมล็ดเหล่านี้ไปเพาะจะไม่งอกเลย
น่ันคือ ความช้ืนในเมล็ด ความมีชีวติ ของเมลด็ และอัตรา
การงอกของเมล็ดไม้ยางนามีความสัมพันธ์ต่อกันอย่าง
มาก เมล็ดที่เก็บไว้ในที่ร่มเป็นเวลาหนึ่งเดือนจะมี
ความชื้นเหลอื อยู่เพียงสิบกว่าเปอร์เซ็นต์เท่าน้ัน ซึ่งจะมีอตั ราการงอกต่ำมากหรือไม่งอกเลย
ก็ได้ วิธีการเก็บรักษาเมล็ดไม้ยางนาที่ดีที่สุดก็คือการเก็บเมล็ดทั้งปีก (ไม่เด็ดปีกออก) ไว้ที่
อณุ หภูมิ 15 องศาเซลเซยี ส

เมลด็ ทร่ี ่วงหลน่ ลงมาได้ไมเ่ กิน 7 วัน เม่ือนำไปเพาะจะมอี ตั ราการงอกราว 40% โดย
เมล็ดจะเริ่มงอกหลังจากเพาะได้ 7 - 10 วัน และจะงอกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงหนึ่งเดือน
จากนั้นก็ทำการย้ายชำกล้าซึ่งมีรากยาวราว 1 น้ิวลงถุงพลาสติกขนาดโตพอสมควร เลี้ยงไว้
จนมีอายุอย่างน้อย 1 ปี ก็นำไปปลูกได้ ถุงที่มีขนาดใหญ่ (5 x 8 นิ้วขึ้นไป) จะให้กล้าที่มี
คุณภาพดีกว่ากล้าที่เล้ยี งไว้ในถงุ เลก็ ๆ

ระยะปลูกที่เหมาะสมของไม้ยางนาคือ 4 x 4 เมตร ผลการทดลองในสวนจิตรลดา
พบว่าไมย้ างนาที่ปลกู ใหม่ๆ ต้องการรม่ เงาจากไม้พ่ีเลี้ยง ดงั น้ัน จงึ ควรปลูกไม้ยางนาในระบบ
วนเกษตร พืชควบที่เหมาะสมกับสวนป่ายางนาก็คือกล้วย เพราะนอกจากจะให้ร่มเงาและ
ความชุ่มชื้นแก่ไม้ยางนาแล้ว กล้วยยังให้ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจในระยะเวลาอันสั้นแก่
เกษตรกรเจ้าของสวนปา่ อยา่ งตอ่ เน่ืองอีกด้วย

มาตรการการดูแลรักษาสวนป่ายางนาที่สำคญั ท่ีสุดนอกจากการกำจัดวัชพืชก็คือการ
ป้องกันไฟป่า ส่วนอันตรายจากแมลงจำพวกด้วงหนวดยาวที่เจาะราก ลำต้น กิ่ง ยอด และ
เปลอื ก รวมทั้งหนอนผเี สื้อท่ีใบน้นั แม้จะพบบา้ งแตก่ ็ไม่มากนกั อาจจะเป็นเพราะสวนป่ายางนา
เชิงเด่ียวยงั มเี น้อื ท่ไี มม่ ากก็เปน็ ได้

ข้อมูลจากสถิติการป่าไม้ของประเทศไทยโดยกรมป่าไม้ระบุว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาน้ี
ประเทศไทยตอ้ งนำเข้าไม้ยางเกนิ กว่าปีละหนึ่งพนั ล้านบาททุกปี โดยส่วนใหญ่นำเขา้ ไม้แปร


บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 111

รปู มากกวา่ ไมท้ อ่ น เช่นในปี พ.ศ. 2546 นำเข้าไมย้ างคดิ เป็นมูลค่า 1,045 ล้านบาท ปี พ.ศ.
2545 นำเข้า 1,141 ล้านบาท โดยในปี พ.ศ. 2543 มีปริมาตรและมูลค่าการนำเข้าสูงที่สดุ
คือ 171,144 ลกู บาศก์เมตร มลู คา่ 1,711 ลา้ นบาท ดังนัน้ น่าจะถงึ เวลาทีภ่ าครฐั และเอกชน
จะลงมือปลูกไมย้ างนาเชิงพาณชิ ยต์ ามแนวพระราชดำรสั กนั ไดแ้ ลว้

เนื่องจากยางนาเป็นพญาไม้แห่งเอเชียอาคเนย์ เป็นไม้มีค่าที่พระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงใย ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและ
เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระ
ชนมพรรษา 6 รอบ วนั ที่ 5 ธันวาคม 2542 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับกรมปา่ ไม้ โดย
การรเิ ร่มิ ของ ฯพณฯ องคมนตรี ดร. อำพล เสนาณรงค์ นายกสภามหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
จึงไดจ้ ดั ให้มีการประชมุ สัมมนาเร่ือง ไมย้ างนาและไมใ้ นวงศ์ยางขนึ้ ในระหว่างวนั ท่ี 17 - 18
พฤศจิกายน 2542 ซึ่งนอกจากจะมีการประชุมสัมมนาและจัดนิทรรศการแล้ว ยังมีการ
ประกวดไม้ยางนาที่มีขนาดใหญ่ในประเทศไทย การจัดสร้างสวนรวมพรรณไม้ในวงศ์ไม้ยาง
ณ สวนพฤกษศาสตร์ 100 ปี กรมป่าไม้ อำเภอวังน้ำเย็น จังหวัดสระแก้ว เนื้อที่ 96 ไร่ การ
ปลูกไม้ยางนาเป็นที่ระลึกในบริเวณมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จำนวน 9 ต้น รวมทั้งการ
จัดพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับไม้ยางนาและไม้ในวงศ์ไม้ยาง จำนวน 4 เล่ม อันได้แก่ (1) สวนรวม
พรรณไม้ยางนาและไม้ในวงศ์ไม้ยาง (2) รายงานการประชุมสัมมนาเรื่องไม้ยางนาและไม้ใน
วงศ์ไม้ยาง (3) นานาสาระเกย่ี วกับไม้วงศ์ยาง และ (4) ไมย้ างนาทป่ี ่ากลางอา่ ว

ผู้ทีส่ นใจสามารถหาอ่านหนงั สอื ทั้งสเ่ี ล่มน้ีไดท้ ี่สำนักหอสมุด มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์
และห้องสมดุ ของส่วนราชการและสถาบันอุดมศกึ ษาท่ีเกีย่ วข้อง


21 การปลูกและการจัดการ
ต้นไมใ้ นเมืองของสงิ คโปร์

ผมได้มีโอกาสเดนิ ทางไปสิงคโปรอ์ ีกครัง้ หนึ่งเมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2548 หลังจาก
ที่ได้เข้าไปในเมืองครั้งสุดท้ายเมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ไปครั้งหลังนี้เพื่อดูการปลูกและ
การจดั การตน้ ไมใ้ นเมืองโดยเฉพาะ

เพราะเป็นที่รู้กันอย่างแพร่หลายในระดับนานาชาติว่าสิงคโปร์เป็น “เมืองในสวน”
หรือ “Garden City” มีกฎหมายและคณะกรรมการที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง จึงทำให้สิงคโปร์
เป็นเมืองสเี ขยี วอยกู่ ลางแมกไม้ในเขตรอ้ นชื้น

สิงคโปร์เป็นประเทศเล็กๆ มีเนื้อที่เพียง 436,875 ไร่ มีขนาดใกล้เคียงกับจังหวัด
นนทบุรี เล็กกว่ากรุงเทพมหานคร 2.24 เท่า ใหญ่กว่าจังหวัดสมุทรสงคราม 1.68 เท่า และ
ใหญก่ วา่ เกาะภเู ก็ต 1.29 เทา่ ระยะทางจากทศิ ตะวนั ออกไปทิศตะวันตกของประเทศมีความ
ยาวเพียง 42 กิโลเมตร และจากทิศเหนือไปทิศใต้มีระยะทางเพียง 23 กิโลเมตร เท่านั้น มี
ประชากรทั้งสิ้นจำนวน 4.24 ล้านคน โดยร้อยละ 82.23 เป็นชาวสิงคโปร์ ซึ่งส่วนใหญ่มี
เชื้อสายจีน รองลงมาคือมาเลย์ และอนิ เดีย มีความหนาแนน่ ของประชากรเทา่ กบั 6,066 คน
ต่อตารางกโิ ลเมตร แทบจะไมม่ ีทรัพยากรธรรมชาติใดเลย แมแ้ ต่น้ำเพื่อการอปุ โภคบรโิ ภค

แต่สิงคโปร์เป็นประเทศทีม่ ั่งค่ัง มชี ือ่ เสยี ง จัดเป็นประเทศทพี่ ฒั นาแลว้ มีรายไดต้ อ่ คน
เบ้ืองต้นประมาณปลี ะ 832,000 บาท ซงึ่ สูงกวา่ ของไทยประมาณ 10 เท่า

ดัชนีวัดความเจริญของสิงคโปร์อีกอย่างหนึ่งก็คือพื้นที่สวนสาธารณะต่อจำนวน
ประชากร ซึ่งตามแผนแม่บทปี 2546 สิงคโปร์กำหนดให้มีเนื้อที่สวนสาธารณะเมื่อสิ้น
ปีงบประมาณ 2548 ไวท้ ี่ 5 ไรต่ ่อประชากร 1,000 คน หรือ 8 ตารางเมตรต่อคน

พิมพค์ ร้งั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (51) : 30 – 32 (พ.ศ. 2548)


บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 113

ในขณะที่กรุงเทพมหานครมีเนื้อที่สวนสาธารณะในช่วงเวลาเดียวกันนี้เพียง 1.50
ตารางเมตรตอ่ คนและได้กำหนดไวใ้ นแผนแม่บทว่าจะมสี วนสาธารณะไม่นอ้ ยกวา่ 4.0 ตาราง
เมตรตอ่ คนในปี พ.ศ. 2570

ประเทศที่เจริญแล้วมีสัดส่วนพื้นที่สวนสาธารณะต่อจำนวนประชากรสูงกว่า
ประเทศทกี่ ำลงั พัฒนา

แม้จะพูดกันว่ากรุงเทพฯ ไม่ใช่ประเทศไทย และประเทศไทยไม่ใช่กรุงเทพฯ แต่
คุณภาพชีวิตของคนในกรงุ เทพฯ ยังหา่ งไกลจากสิงคโปรม์ าก

บนเกาะสิงคโปร์แทบจะไม่มีธรรมชาติหลงเหลืออยู่เลย ซึ่งแตกต่างไปจากประเทศ
เพื่อนบ้านอย่างไทย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย จุดขายทางการท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นสิ่งที่
เกิดจากการจัดสร้างขึ้นของมนุษย์ทั้งสิ้น ทั่วทั้งสิงคโปร์มีพื้นที่ธรรมชาติอยู่เพียง 19 แห่ง
รวมเนื้อที่ประมาณ 19,563 ไร่ หรือราวๆ ร้อยละ 5 ของผืนแผ่นดินสิงคโปร์เท่านั้น พื้นท่ี
ธรรมชาตเิ หล่านไ้ี ดแ้ ก่ ปา่ ดงดิบชื้น ปา่ ชายเลน ปา่ พรุนำ้ จืด และสวนพฤกษศาสตรอ์ ันเกา่ แก่
ซง่ึ องั กฤษสร้างขึน้ ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2402

ความร่มรน่ื เขยี วขจขี องสิงคโปร์จงึ เกดิ ข้นึ จากนำ้ มือของมนษุ ยโ์ ดยแท้ ภายใตว้ สิ ัยทัศน์
อันยาวไกลของอดีตนายกรัฐมนตรีนายลี กวนยู ที่ได้ชักชวนผู้คนตั้งแต่ระดับผู้บริหาร
ประเทศ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำชุมชน ลงไปถึงประชาชนทั่วไปให้ช่วยกันปลูกต้นไม้
ในวันปลกู ตน้ ไม้ซ่ึงมขี ้นึ ครัง้ แรกเมอื่ เดือนพฤศจกิ ายน พ.ศ. 2514 และรณรงคใ์ หผ้ ู้คนรัก เหน็
ความสำคัญ และชว่ ยกนั ดแู ลรกั ษาตน้ ไม้ เพอ่ื ทำใหส้ งิ คโปรเ์ ปน็ เมืองสเี ขยี วในอนาคต

บดั น้ี สามสบิ ปผี า่ นไป สงิ คโปร์เป็นเมอื งสีเขียวโดยสมบูรณ์แลว้

เพอื่ รักษาไว้ซึ่งความเปน็ เมอื งสีเขยี วอยา่ งย่งั ยนื คณะกรรมการปฏิบตั ิงานเมอื งในสวน
(Garden City Action Committee) ของสิงคโปร์จึงได้มีการทำโครงการ “ถนนมรดก และ
ต้นไม้มรดก” (Heritage Roads and Heritage Trees) ขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. 2544
โดยกำหนดให้ถนนสายสำคัญๆ ที่มีต้นไม้ขนาดใหญ่เรียงรายอยู่กว่า 50 สายเป็น “ถนน
มรดก” ที่หน่วยงานและผู้ที่อาศัยใช้ประโยชน์ที่ดินสองข้างทางถนนสายนั้นๆ จะต้องช่วย
การดแู ลรกั ษาใหต้ ้นไมเ้ หล่านนั้ มสี ุขภาพดี มอี ายุยนื ยาวสืบไป

สว่ นตน้ ไม้ใหญ่เก่าแก่ทม่ี ีอายุมาก คือวดั เส้นรอบวง ณ จดุ ท่ีสงู จากพนื้ ดินหนง่ึ เมตรได้
เกินกวา่ 5 เมตร กใ็ ห้ขึ้นทะเบยี นเปน็ “ตน้ ไม้มรดก” หนึง่ ในจำนวนตน้ ไมม้ รดกของสิงคโปร์


114 รวมเรอื่ งสวนปา่

ก็คือต้นตำเสาหรือต้นกันเกราในบริเวณสวนพฤกษศาสตร์ ซึ่งมีเส้นรอบวงของลำต้นถึง 5.3
เมตร หรือมีเส้นผ่านศูนย์กลางเกือบ 2 เมตร และมีความสูงถงึ 32 เมตร เข้าใจว่าเป็นต้นไม้
เก่าแก่ดั้งเดิมทห่ี ลงเหลอื อย่กู อ่ นการจดั สรา้ งสวนพฤกษศาสตรใ์ นปี พ.ศ. 2402

นอกจากน้ี สงิ คโปร์ยังห้ามตดั ตน้ ไม้ท่ีมีเส้นรอบลำตน้ เกนิ กว่า 1.0 เมตร ซ่ึงขน้ึ อยใู่ นที่
โลง่ หรือทีซ่ งึ่ กำหนดให้เป็นพืน้ ที่อนรุ ักษ์ตน้ ไม้ เวน้ แต่จะไดร้ บั อนญุ าตจากทางราชการอย่าง
เป็นลายลักษณ์อักษร หรือเมื่อพิจารณาเห็นว่าหากปล่อยทิ้งไว้ไม้ต้นนั้นอาจจะก่อให้เกิด
อนั ตรายอย่างฉบั พลนั ทันใดข้นึ ได้

ส ่ ว น ต า ม แ น ว ถ น น ห น ท า ง ทุ ก
สายในสิงคโปร์จะมีไม้ยืนต้นเรียงรายอยู่
ทั่วไป ทั้งบนเกาะกลางถนนและบนบาท
วิถีทั้งสองข้าง ไม้ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่ มี
อายุ 40 - 50 ปีขึ้นไป แต่ไม้ยืนต้นขนาด
เล็กซึ่งมีอายุไม่ถึง 10 ปี ก็มีให้เห็นบ้าง
บนแนวถนนท่ีเพ่งิ ตดั เพ่อื ปรบั ปรงุ ใหม่

ต้นไม้ตามแนวถนนที่พบเหน็ ทั่วๆ ไปได้แก่ ประดู่ก่ิงอ่อน จามจุรี นนทรี มะฮอกกานี
หว้า ลั่นทม รวมทั้งต้นกายา (Khaya grandifoliola) หรือต้นแอฟริกันมะฮอกกานี ซึ่งเปน็
ไม้ยนื ตน้ ขนาดใหญ่ สูงถงึ 30 เมตร เนื้อไม้มรี าคา แต่แทบจะไม่มกี ารปลูกกนั ในเมอื งไทยเลย

ถนนออร์ชาร์ดเป็นย่านธุรกิจการค้าที่สำคัญที่สุดของสิงคโปร์ ทุกคนที่ไปสิงคโปร์
จะต้องผ่านถนนสายนี้ ทั้งเกาะกลางและสองข้างถนนออร์ชาร์ดเป็นไม้ยืนต้นขนาดสูงใหญ่
อายหุ ลายสบิ ปี มีความร่มรื่นมาก เสมือนหนึง่ เปน็ สัญลกั ษณ์ของสงิ คโปร์ ตน้ ไม้สว่ นใหญ่เป็น
ประดกู่ ่ิงออ่ นและนนทรซี ึง่ ทัง้ คตู่ ่างกม็ ใี บสเี ขยี วเข้ม ดอกสีเหลอื งสด สวยงามมาก

นอกจากจะปลูกสร้างขึ้นมาอย่างดีแล้ว ยังต้องยอมรับอีกประการหนึ่งว่าสิงคโปร์มี
การจัดการและดูแลรักษาต้นไม้ในเมือง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือไม้ยืนต้นตามริมถนนหนทาง
และในสวนสาธารณะเป็นอย่างดมี ากๆ มกี ารเอาใจใส่ดแู ลอยา่ งสม่ำเสมอและต่อเน่ืองถูกตอ้ ง
ตามหลักวชิ าวนวฒั นวทิ ยาอนั เปน็ วิชาการป่าไมท้ ี่ว่าด้วยการปลูกและการดแู ลรักษาไม้ตน้

ต้นไม้ทุกต้นได้รับการตัดแต่งกิ่งอย่างดี ประณีต ถูกต้องและเหมาะสม เป็นการตัด
แต่งกิ่งต้นไมเ้ พื่อสุขภาพและความสวยงามของต้นไม้ ไม่ใช่ตดั กิ่งไม้เพื่อสายไฟฟ้า ตัวอาคาร


บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 115

หรือสิ่งกีดขวางอื่นใด จึงทำให้เห็นลำต้นตรงเปลา ปราศจากกิ่งตา ไปจนถึงความสูงระดับ
หน่ึงซึง่ ต้องการ จงึ จะเหน็ เรือนยอดท่ีได้ระดบั กนั

โคมไฟทใี่ หแ้ สงสวา่ งในเส้นทางสญั จรจะอยตู่ ำ่ กวา่ เรือนยอดของตน้ ไม้ นัน่ คอื ต้นไม้ให้
ร่มเงาในเวลากลางวัน ไฟฟ้าให้แสงสว่างในยามค่ำคืนอย่างกลมกลืน ไม่ขัดแย้งหรือเป็น
อปุ สรรคต่อกนั

สำหรับประเทศไทย พันตำรวจโท ดร. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้ให้
แนวนโยบายแก่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2546 ว่า
“ให้หาทางสนับสนุนส่งเสริมการสร้างพื้นที่สีเขียว เช่น สวนพฤกษศาสตร์ ทั้งในระดับชุมชน
ตามบา้ นเรอื น หรอื พ้นื ที่ประกอบกจิ การตา่ งๆ โดยรฐั ใหก้ ารสนับสนุนและจัดระบบให้มีส่ิงจูงใจ
เพือ่ ให้โครงการได้เกิดข้นึ ซึง่ พืน้ ท่สี เี ขยี วเหล่านี้นอกจากจะสวยงามแล้ว ยงั เป็นปอดสำหรับผู้ท่ี
อยใู่ กล้เคียงอกี ดว้ ย”

สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมหรือ สผ. ได้ขานรับ
นโยบายของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี จึงได้จัดทำมาตรการในการเพิ่มและการจัดการพื้นท่ี
สีเขียวในเขตชุมชนเมืองอย่างยั่งยืนขึ้นโดยกำหนดมาตรการด้านผังเมือง ด้านกฎหมาย ด้าน
เศรษฐศาสตร์ และดา้ นสังคม ให้ชุมชนเมอื งในระดบั เทศบาลทว่ั ประเทศ อันได้แก่ เทศบาลนคร
22 แห่ง เทศบาลเมือง 103 แห่ง และเทศบาลตำบล 1,009 แห่ง จัดสร้างพื้นที่สีเขียวอย่าง
ยง่ั ยืนข้ึน ด้วยการปลกู การอนรุ กั ษ์ และการจดั การไมย้ นื ตน้ ในเขตเทศบาลตามหลักวชิ าการ

หวังเป็นอย่างยิ่งว่าในอนาคตอันไม่ไกลเกินไปนัก ชุมชนเมืองต่างๆ ของไทยคง
เปน็ ชมุ ชนสเี ขียวทีร่ ่มร่ืน นา่ อยู่ ทา่ มกลางแมกไมเ้ ชน่ เดยี วกบั ประเทศสิงคโปร์ในทุกวันนี้


22 การปลกู ยูคา
บนคันนาในทงุ่ กลุ ารอ้ งไห้

จากการที่ผมได้มีส่วนร่วมอยู่ในโครงการวิจัยเชิงบูรณาการ “การแก้ปัญหาความ
ยากจนโดยการเพม่ิ ประสทิ ธิภาพการใช้ประโยชนท์ ด่ี ินโดยการปลกู ไมโ้ ตเร็ว” ซงึ่ ได้รับทุน
สนับสนุนการวจิ ยั จากฝา่ ยอตุ สาหกรรม สำนกั งานกองทนุ สนับสนนุ การวจิ ัย หรอื สกว. ทำ
ให้ได้มีโอกาสเดินทางไปดูงานที่ทุ่งกุลาร้องไห้อีกครั้งหนึ่งในระหว่างวันที่ 14 - 16 ตุลาคม
2548 ภายใต้การประสานงานของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยศูนย์วิจัยป่าไม้ และ
สถาบันวิจัยและพัฒนาการเกษตรและอุตสาหกรรมการเกษตร หรือ KAPI กรมพัฒนาที่ดิน
โดยสถานีพัฒนาท่ีดินรอ้ ยเอด็ และจังหวดั รอ้ ยเอ็ด

ได้มีโอกาสฟังการบรรยายสรุปและพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับ นายนพพร
จันทรถง ผู้ว่าราชการจังหวัดร้อยเอ็ด นายจีระเกียรติ ภูมิสวัสด์ิ นายอำเภอสุวรรณภูมิ นาย
พิสุทธิ์ ศาลากิจ หัวหน้าสถานีพัฒนาที่ดินร้อยเอ็ด รวมทั้ง ดร.นิคม แหลมสัก ผู้อำนวยการ
ศนู ย์วจิ ัยปา่ ไม้ นางยพุ า มงคลสขุ รองผ้อู ำนวยการ KAPI และบคุ คลทเ่ี ก่ยี วข้องอีกหลายทา่ น

ที่ต้องไปทุ่งกุลาร้องไห้ก็เพราะ “การเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดิน” คือ
การปลกู ตน้ ไมบ้ นคันนา และ “ไม้โตเรว็ ” คือไม้ยูคาลปิ ตสั

ทงั้ นีเ้ พราะทงุ่ กุลารอ้ งไห้เปน็ ตน้ ตำรบั ของการปลูกยคู าลิปตัสบนคันนา

น่นั คือ การปลูกไมย้ คู าลิปตสั บนคันนาเกดิ จากภูมปิ ัญญาท้องถิน่ ของชาวนาในทุง่ กุลา
ร้องไห้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคืออำเภอสุวรรณภูมิ จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งในปัจจุบันนี้ได้มีการ
พัฒนาแพร่กระจายขยายผลอย่างกวา้ งขวางในจงั หวัดปราจีนบรุ แี ละฉะเชงิ เทรา

จากการรายงานของกรมพัฒนาท่ีดนิ ทำให้ทราบวา่ พ้ืนที่ทงุ่ กุลารอ้ งไหม้ ีความกวา้ ง 50
กิโลเมตร ความยาว 150 กิโลเมตร มีเนื้อที่ทั้งสิ้น 2,107,690 ไร่ โดยส่วนใหญ่คือร้อยละ
46.82 หรือ 986,807 ไร่ อยู่ในทอ้ งที่ 4 อำเภอของจังหวัดรอ้ ยเอด็ รองลงมาปรากฏวา่ อยู่ใน

พมิ พค์ รั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (52) : 30 – 32 (พ.ศ. 2548)


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 117

2 อำเภอของจังหวัดสุรินทร์ คือ 575,993 ไร่ (ร้อยละ 27.33) จังหวัดศรีสะเกษ 2 อำเภอ
เนื้อที่ 287,000 ไร่ (ร้อยละ 13.62) จังหวัดมหาสารคาม 1 อำเภอ เนื้อที่ 193,890 ไร่
(ร้อยละ 9.20) และจังหวดั ยโสธร 2 อำเภอ เนื้อที่ 64,000 ไร่ (รอ้ ยละ 3.03)

จุดเด่นของทุ่งกุลาร้องไห้ใน
สายตาของคนทวั่ ไปก็คือ ดนิ เค็ม ความ
แห้งแล้ง ความ ยากจน และข้าวหอม
มะลิ 105

แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่
เฉพาะทุ่งกุลาร้องไห้เท่านั้นที่เป็นพ้ืน
ที่ดินเค็ม ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ของประเทศไทยมีพื้นที่ดินเค็มอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 17.8 ล้านไร่ ส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัด
นครราชสีมา โดยจัดเป็นพื้นที่ดินเค็มจัด 1.5 ล้านไร่ ดินเค็มปานกลาง 3.7 ล้านไร่ และดิน
เคม็ น้อย 12.6 ลา้ นไร่ สาเหตทุ างธรรมชาติเกดิ จากการสลายตัวของดนิ และหินที่มีเกลือเป็น
องค์ประกอบ แต่ที่สำคญั เกิดจากน้ำมือมนษุ ย์ทีเ่ ข้าไปตัดไม้ทำลายป่า ทำนาเกลือ สร้างอ่าง
เก็บน้ำบนพนื้ ท่ีดนิ เคม็ ขดุ เอาดินเคม็ ไปถมท่ี และใชน้ ำ้ ชลประทานไม่ถกู วธิ ี

แนวทางแก้ไขอยา่ งยั่งยนื วิธีหน่งึ ก็คอื การปลกู ไม้ยืนตน้ ทนดินเคม็

ก่อนที่กรมพัฒนาที่ดินจะทำการสำรวจและกำหนดขอบเขตของทุ่งกุลาร้องไห้ในปี
พ.ศ. 2514 จนกลายมาเป็นโครงการพัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้ในปี พ.ศ. 2520 นั้น ปรากฏว่า
ทุ่งกุลาร้องไห้เปน็ ทุ่งโล่งที่แห้งแล้ง ดินเค็มเป็นทรายจัด มีความอุดมสมบูรณต์ ่ำ ปลูกข้าวได้
ผลผลิตประมาณ 15 ถังต่อไร่เท่านั้น มีน้ำท่วมสลับแห้งแล้งจัดทุกปี โดยมีน้ำท่วมใหญ่ทุกๆ
5 ปี ประชาชนมฐี านะยากจน ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยเกลือสนิ เธาว์ ข้าว ปลา และโค

ต่อมาเมื่อกรมพัฒนาท่ีดินโดยความช่วยเหลอื จากรัฐบาลออสเตรเลียไดจ้ ัดทำแผนการ
พัฒนาทุ่งกุลาร้องไห้อย่างจริงจัง ด้วยการปรับรูปแบบของนา นำข้าวหอมมะลิมาปลูก ใช้
ปุ๋ยเคมีร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์ แกลบ และพืชสด เปลี่ยนกรรมวิธีการปลูกข้าวจากนาดำเป็น
นาหว่าน ผลผลิตข้าวเพิ่มขึ้นจาก 15 ถังต่อไร่ก่อนปี พ.ศ. 2514 เป็น 25 ถังต่อไร่ในช่วงปี
พ.ศ. 2520 - 2524 30 ถังต่อไร่ในช่วงปี พ.ศ. 2530 - 2534 และ 35 ถังต่อไร่ในช่วงปี พ.ศ.
2540 - 2544


118 รวมเรอื่ งสวนปา่

ทำใหร้ าษฎรมฐี านะและชีวติ ความเป็นอยดู่ ีขน้ึ การทำนาเกลือซึ่งเคยพบเห็นอยู่ท่ัวไป
นั้น ขณะน้ี (พ.ศ.2548) มีอยู่น้อยมากในเนื้อที่ประมาณ 3,000 ไร่เท่านั้น เศรษฐกิจ
ส่วนใหญ่ขน้ึ อยูก่ ับข้าวหอมมะลิ ไม้ยคู าลิปตสั ปลา และโค

นนั่ คือ ไมย้ คู าลิปตสั เขา้
มามีบทบาททางเศรษฐกิจใน
บรเิ วณทงุ่ กลุ าร้องไห้แทนเกลอื
สินเธาว์ โดยราษฎรให้การ
ยอมรับยูคาลิปตัสว่าเป็นไม้
เศรษฐกิจที่สำคัญตั้งแต่ปี พ.ศ.
2539 เป็นต้นมา จนนาย
นพพร จันทรถง ผู้ว่าราชการ
จังหวัดร้อยเอด็ กลา่ ววา่ “วันนี้
คงไมม่ ีใครทค่ี ดิ จะเอาไมย้ ูคาออกไปจากคันนาของชาวท่งุ กลุ าร้องไหต้ อ่ ไปอีกแลว้ ”

เมื่อกล่าวถึงการปลูกไม้ยูคาบนคันนาในทุ่งกุลาร้องไห้ก็คงจะต้องย้อนไปยังยุคที่
ประเทศไทยเกิดวิกฤตด้านพลังงานครั้งแรกเมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว จนทำให้เกิด “โครงการป่า
ฟืนชุมชนสำหรับหมู่บ้าน” หรือ Village Woodlot Project ขึ้นในปี พ.ศ. 2524 ซึ่งเป็น
โครงการรว่ มระหวา่ งการพลังงานแหง่ ชาตแิ ละกรมป่าไมภ้ ายใต้การสนับสนนุ ด้านการเงินจาก
USAID ทำให้มีการศึกษาวิจัยเชิงพัฒนาการจัดทำแปลงสาธิตการปลูกไม้ยูคาลิปตัสขึ้นใน
บริเวณพืน้ ที่ดนิ เคม็ ภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื โดยเนน้ ทุ่งกุลารอ้ งไห้เป็นพื้นทเี่ ป้าหมายหลัก

โครงการป่าฟืนชุมชนสำหรับหมู่บ้านเน้นการปลูกไม้ยูคาลิปตัสเป็นแปลงๆ โดยใช้
ระยะปลูก 2 x 4 เมตร หากสภาพแวดล้อมเอ้ืออำนวยกจ็ ะมีการปลูกพชื ไร่ เช่น มันสำปะหลัง
และถั่วเขียวเป็นพืชควบตามหลักการของระบบวนเกษตร ส่วนในที่ดอนกลางทุ่งกุลาร้องไห้
หรือในบริเวณ “สวนป่าทุ่งกุลาร้องไห้” ก็ปลูกยูคาลิปตัสอย่างเดียวล้วนๆ เพราะดินเค็มจัด
ไม่มีพืชไร่ใดๆ ขึ้นอยู่ได้ แต่ในที่ลุม่ รอบๆ ที่ดอน ชาวนาปลูกข้าวซึ่งได้ผลผลิตเพียง 15 ถังต่อ
ไรด่ ังกล่าวแล้ว

เม่อื ชาวบ้านเหน็ วา่ ยคู าลปิ ตัสปลูกง่าย โตเร็ว ชาวนาในอำเภอสวุ รรณภูมิจำนวนหน่ึง
ได้นำเอากล้าไม้ยูคาลิปตัสของโครงการฯ ซึ่งผลิตโดยสำนักงานป่าไม้จังหวัดร้อยเอ็ดไปปลูก
บนคันนาของตนเอง และพบว่าเจริญเติบโตได้รวดเร็วกว่ายูคาลิปตัสที่ปลูกเป็นแปลงๆ ใน


บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 119

พื้นที่ของโครงการฯ เป็นอย่างมาก จากนั้น การปลูกยูคาลิปตัสบนคันนาในทุ่งกุลาร้องไห้ก็
แพร่หลายออกไปในวงกว้าง

นี่คือตำนานของภมู ปิ ัญญา การปลกู ยูคา บนคนั นา ในทงุ่ กลุ ารอ้ งไห้

ความเป็นทุ่งโล่งที่แห้งแล้ง และมีลมหัวกุดพัดแรง ได้กลายเป็นอดีตของทุ่งกุลาร้องไห้
ไปแลว้ เพราะทกุ วนั น้ี ทงุ่ กุลารอ้ งไห้ในหน้าฝนดูเขียวสดไปดว้ ยต้นข้าวในนาและต้นยูคาลิปตัส
ที่ล้อมรอบเป็นบล็อกๆ ครั้นถึงหน้าแล้งซึ่งไม่มีต้นข้าวในผืนนาแต่บนคันนายังมีสีเขียวของ
ยคู าลปิ ตัสซงึ่ เป็นไมไ้ ม่ผลัดใบใหเ้ ห็นเปน็ ทิวแถวอย่ทู ั่วไป

ฯพณฯ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ ในสมัยที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้ปลูก
ยูคาลิปตัสต้นหนึ่งไว้ที่สถานีพัฒนาที่ดินร้อยเอ็ด เมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2527 มีความโต
โดยวดั เสน้ รอบลำตน้ ท่ี 1.30 เมตร เมอ่ื วันที่ 15 ตุลาคม 2548 ได้ 312 เซนตเิ มตร ซ่ึงจัดว่า
โตเรว็ มาก

สถานีพัฒนาที่ดินร้อยเอ็ดได้รายงานว่าการปลูกยูคาลิปตัสบนคันนาทำให้ความเค็ม
ของดินลดลง และผลผลิตของข้าวเพิม่ ขึ้น รวมทั้งได้ประมาณการโดยคร่าวๆ ว่าในช่วงฤดูแลง้
ชาวทุง่ กลุ าร้องไหไ้ ดต้ ัดไม้บนคนั นาออกจำหนา่ ยสงู ถงึ เดือนละกวา่ หนึ่งหมนื่ ตัน สรา้ งงานและ
รายได้ในหนา้ แล้งได้กวา่ สิบลา้ นบาทต่อเดอื น จนปรากฏว่ามีการขโมยตัดไมบ้ นคันนากนั บ้าง
แล้วในท้องที่อำเภอเกษตรวิสยั และอำเภอสวุ รรณภูมิ

ในระหว่างที่เยี่ยมชมไม้ยูคาบนคันนาอยู่ในทุ่งกุลาร้องไห้ ได้พบปะพูดคุยกับราษฎร
ผู้ปลูกไม้ยูคาหลายราย อาทิ นายวิรัตน์ กุลสุวรรณ ราษฎรบ้านหัวลิง ตำบลทุ่งศรเี มือง ซึ่ง
บอกว่าการทำนาไม่ได้ผล เพราะน้ำจากลำน้ำเสียวท่วมเสยี หายทุกปี ในระยะ 5 - 6 ปีหลัง
เก็บเกี่ยวข้าวเพียง 2 ครั้งเท่านั้น จึงหันมาปลูกยูคาบนคันนา ทำให้มีรายได้ไว้ใช้สอยและมี
เงนิ ออมพอสมควร โดยปลูกบนคันนาในเนอ้ื ท่ี 32 ไร่

นายแก้ว ตรคี าม ราษฎรบา้ นสองช้ัน ปลกู ขา้ วไม่ได้ผลเพราะนำ้ ทว่ มเชน่ เดยี วกัน จึง
หันมาปลกู ยคู าบนคนั นาเมอ่ื กว่าสบิ ปมี าแล้ว ตดั ไม้ขายได้ 2 รอบแลว้ และกำลังจะมาติดต่อ
ขอซอ้ื กลา้ ไปปลกู เพ่ิมเตมิ ในฤดฝู นนีอ้ ีก เพราะพอใจกับรายได้สุทธิทไ่ี ดร้ บั

แม้การปลูกยูคาบนคันนาในทุ่งกุลาร้องไห้จะได้รับการยอมรับจากเกษตรกรอย่าง
กว้างขวางดังได้กล่าวแล้วก็ตาม แต่จากการสังเกตพบว่าการปลูกยูคาบนคันนาในทุ่งกุลา
รอ้ งไห้กม็ ปี ญั หาท่ที างราชการควรย่ืนมอื เข้าไปช่วยเหลอื หลายประการ อันไดแ้ ก่


120 รวมเรอื่ งสวนปา่

1. การตัดฟนั ไม้ยคู าลปิ ตัสมักตดั ไวต้ อสงู เกินไป คอื สว่ นใหญไ่ วต้ อสูงราว 60 - 80
เซนติเมตร ทัง้ ๆ ที่ท่ีถูกตอ้ งแลว้ ควรตดั ให้ชิดพน้ื ดินท่สี ุดเทา่ ทจี่ ะชิดได้

2. หน่อที่แตกขึ้นมาใหม่ขาดการจัดการตามหลักวิชาการ คือไม่มีการตัดสางหน่อ
หรืออาจมกี ารตัดสาง แตจ่ ำนวนหน่อที่เหลือไว้ต่อตอมีจำนวนมากเกินไป บางรายเหลือไว้ถึง
5 - 7 หนอ่ ตอ่ ตอ ทัง้ ๆ ท่ตี ามหลักวิชาการแล้วควรจะเหลอื ไวไ้ ม่เกนิ 3 หนอ่ ต่อตอเท่าน้ัน

3. หนอ่ ทีเ่ กดิ จากตอภายหลังการตัดฟันรอบทส่ี ามจะเจริญเติบโตชา้ ให้ผลผลิตต่ำ
ดังนั้นเมื่อตัดฟันได้ 3 รอบแล้วควรจะต้องขุดรื้อตอเอาไปเผาถ่านแล้วปลูกสายต้นใหม่
หรือไมก่ ็ปลกู เสรมิ ระหวา่ งตอเดมิ

4. ต้นไม้ที่อยู่ในพื้นที่สาธารณะตามแนวถนนและคูคลองไม่ค่อยจะได้รับการ
จัดการเท่าทคี่ วร มกี ารลักขโมยตัดกันมาก ควรทจ่ี ะต้องใหท้ างราชการ เชน่ องค์การบริหาร
สว่ นตำบล (อบต.) เข้าไปเปน็ ผู้จัดการเพอ่ื หารายไดเ้ ขา้ อบต.

5. ราษฎรบางรายเล็งผลเลิศจากการปลูกยูคาบนคันนามากเกินไป จึงยกคันนาให้
ถี่ และปลูกระยะห่างระหว่างต้นเพียง 80 - 100 เซนติเมตร เท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการที่
ไม่ถูกต้อง ในแนวทางที่ถูกนั้นควรปลูกยูคาให้มีระยะระหว่างต้นราว 2 - 3 เมตร และระยะ
ระหวา่ งคันนาไมค่ วรนอ้ ยกว่า 40 เมตร

น่ันคอื ชาวนาในทุ่งกุลาร้องไหจ้ ะต้องไม่เลิกปลูกขา้ วหอมมะลิ ข้าวจะต้องเป็นพืช
หลักของทุ่งกุลาร้องไห้ ยูคาลิปตัสเป็นเพียงพืชเสริมที่ปลูกเฉพาะบนคันนาเท่านั้น ทั้งน้ี
เพอ่ื ใชป้ ระโยชนพ์ นื้ ทน่ี าใหเ้ ต็มเมด็ เตม็ หน่วย มปี ระสิทธภิ าพสงู สุด

ทั้งหมดนี้เป็นภาระหน้าที่ที่หน่วยงานภาครัฐจะต้องเร่งเข้าไปแนะนำอบรม
เกษตรกรโดยด่วน มฉิ ะนั้นทุ่งกุลาจะตอ้ งกลบั มาร้องไหเ้ หมือนในอดีตอีกคร้ังหน่งึ


23 ไมก้ ารบูร

เปน็ ท้งั สมุนไพร ไมใ้ ห้รม่
และไม้ใชส้ อย

คนไทยสว่ นใหญ่รู้จักการบูรและสรรพคุณของการบูรดีพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิง่
ผู้สูงอายุ แตค่ งมจี ำนวนไม่มากนักท่ีรูว้ า่ นำ้ มนั การบูรหรอื สารการบูรนั้นได้มาจากตน้ ไม้

ผลิตภัณฑ์สารหอมระเหยที่เรียกว่าการบูรในเชิงพาณิชย์นั้นได้มาจากต้นไม้ 2 ชนิด
ซ่ึงมีชื่อวิทยาศาสตร์ในภาษาละตินวา่ Cinnamomum camphora (วงศ์ Lauraceae) และ
Dryobalanops camphora (วงศ์ Dipterocarpaceae) โดยไม้ชนิดหลังไม่มีในประเทศ

ไทย ให้การบูรที่เรียกว่าน้ำมัน
การบูรอินเดยี หรือการบูรบอร์เนียว
ส่วนไม้ชนิดแรกคือต้นการบูรให้
การบูรที่เรียกว่าน้ำมันการบูรฟอร์
โมซา (ไต้หวัน) หรือน้ำมันการบูร
ญ่ปี ่นุ ซง่ึ เป็นสารการบรู ทคี่ นไทยใช้
กนั อยา่ งแพรห่ ลาย

ดังนั้น ไม้การบูรที่พูดถึงใน
ทน่ี ค้ี ือตน้ การบรู ที่ใหส้ ารการบรู และมีชือ่ วทิ ยาศาสตรว์ ่า Cinnamomum camphora

ไม้ยืนต้นสกุลการบูร/อบเชย (Cinnamomum) มีหลายชนิด ทั้งที่เป็นไม้ตา่ งถ่นิ และ
ไม้พื้นเมืองของไทย แต่ที่ชื่อคุ้นหูคนไทยนอกจากจะมีการบูรแล้วยังมีเชียดหรืออบเชย
(Cinnamomum iners) เทพทาโร (Cinnamomum porrectum) ตะไครต้ น้ (Cinnamomum
ilicioides) แกง (Cinnamomum tamala) ฮางแกง (Cinnamomum crenulicupulum)
อบเชยจนี (Cinnamomum aromaticum) และอบเชยเทศ (Cinnamomum verum)

พิมพค์ ร้งั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 5 (53) : 30 – 32 (พ.ศ. 2548)


122 รวมเรือ่ งสวนป่า

การบูรเป็นไม้ต้นหรือไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบ ขนาดใหญ่ อาจจะสูงถึง 45 เมตร และมี
เสน้ ผา่ นศนู ยก์ ลางเพยี งอกถึง 4 - 6 เมตร ย่ิงไปกว่าน้นั ยังปรากฏวา่ เรือนยอดแผ่กิ่งก้านสาขา
กวา้ งถงึ 2 เทา่ ของความสงู ใบเดี่ยวสเี ขยี วสดเป็นมนั วาว มเี สน้ ใบสเี หลืองเด่นชัด ขอบใบเป็น
คลื่น ใบอ่อนสีน้ำตาลแดงเหมือนสีไวน์เบอร์กันดี ใบแก่ด้านบนมีสีเขียวเข้มแต่ด้านล่างเป็น
สเี ขียวออ่ น เมอ่ื ลมพัดใบไมไ้ หวจะสงั เกตเหน็ สีสันดงั กล่าวของใบไมไ้ ดง้ า่ ยมาก แต่ลักษณะเดน่
ที่สุดของใบไม้การบูรก็คอื เม่ือเดด็ ใบมาขยี้จะได้กลนิ่ หอมอนั เปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะตวั

การบูรเป็นไม้พื้นเมืองของประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลี และแถบตะวันออกของทวีป
เอเชีย ได้มีผู้นำเข้าไปปลกู ในประเทศออสเตรเลียเมื่อสองร้อยกวา่ ปีมาแล้ว และไดน้ ำเข้าไป
ปลกู ในมลรฐั ฟลอรดิ าของสหรัฐอเมริกากว่าหนึง่ ร้อยปีมาแล้วเชน่ กัน จนในปัจจุบนั ไมก้ ารบูร
ในพื้นที่ดังกล่าวมีสภาพเหมือนป่าธรรมชาติ เพราะผลสุกเป็นอาหารของนก และนกมี
บทบาทสำคัญในการกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติของไม้ชนิดนี้ นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าไป
ปลูกอย่างกว้างขวางในแถบประเทศกึง่ ร้อนและแหง้ แล้ง เช่น อินเดีย ศรีลังกา มาดากัสการ์
อิยปิ ต์ อาร์เจนตนิ า รวมทง้ั กลุม่ ประเทศยโุ รปใตแ้ ละมลรัฐแคลิฟอรเ์ นียของสหรฐั อเมรกิ า

สำหรับประเทศไทยนั้น อบเชย เทพทาโร ตะไคร้ต้น แกง และฮางแกง เป็นไม้
พื้นเมือง แต่การบูรเป็นไม้ต่างถิ่น ซึ่งไม่ทราบว่า
ได้มีผู้นำไม้การบูรเข้ามาปลูกในประเทศไทยเป็น
ครั้งแรกเมื่อใด แต่มูลนิธิโครงการหลวงได้นำจาก
ไต้หวันเข้ามาทดลองปลูกในรูปของการทดสอบ
ชนดิ พันธุไ์ ม้ที่ “สวนปา่ สาธิตสถานเี กษตรหลวง
อ่างขาง” อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อปี
พ.ศ. 2525 ปัจจุบันมีลำต้นตรงเปลา สูงใหญ่
เจริญเติบโตดีมาก “ศูนย์สาธิตการใช้ไม้สม
พรสหวัฒน์” ของสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ได้
เริ่มนำไม้การบูรชุดนี้มาใช้ประโยชน์ในรูปแบบ
ตา่ งๆ ประมาณ 2 - 3 ปีมาแล้ว

จากเอกสารในตา่ งประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากฟลอริดาระบุว่า ไม้การบูรนอกถ่นิ
กำเนิดตามธรรมชาติ (จีนและญี่ปุ่น) มีลักษณะคล้ายวัชพืช คือพืชที่ไม่พึงประสงค์ เพราะ
การบูรให้เมล็ดดกมาก เมล็ดไม่ค่อยมศี ัตรูเข้าทำลาย ทำให้ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วมากกวา่ พชื


บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 123

พื้นเมือง การบูรจึงเป็นเสมือนพืชต่างถิ่นผู้รุกรานพืชเจ้าถิ่น ดังนั้น แม้จะมีกล้าไม้การบูร
วางขายอยูต่ ามรา้ นขายพรรณไม้ในฟลอริดา แตร่ ัฐฟลอริดาไดจ้ ัดไม้การบรู เขา้ ไวใ้ นพืชกลุ่มที่
หนึ่งคือเปน็ ผบู้ ุกรุกทำลายพชื พ้ืนเมอื งซ่ึงไมค่ วรจะปลกู

อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์การปลูกไม้การบูรที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และ
พื้นที่โครงการหลวงอื่นๆ อีก 18 แห่ง ในจังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย และพะเยา เป็นเวลา 23 ปี
(เริ่มปลูกครั้งแรกในปี พ.ศ. 2525) ไม่ปรากฏว่ามีกล้าไม้การบูรที่เกิดจากเมล็ดขึ้นมาเองเลย
แม้แต่ตน้ เดยี ว ไมร้ ่นุ ใหม่เกดิ จากการแตกรากมีบา้ งแตไ่ ม่มากนกั ทั้งนเ้ี พราะความมีชีวิตของ
เมลด็ การบรู นน้ั ส้ันและต่ำมาก นัน่ คอื การสบื ต่อพนั ธตุ์ ามธรรมชาตขิ องไม้การบูรเกิดขึ้นน้อย
มาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่ฟลอริดาจึงไม่ปรากฏให้เห็นในพื้นที่โครงการหลวงเลย ดังนั้น แม้
การบูรจะเป็นวัชพืชสำหรับฟลอริดาแตค่ ิดว่าเป็นไม้อเนกประสงค์ของเมืองไทยและหลายๆ
ประเทศดงั กล่าวแลว้

ไม้การบูรขึ้นได้ทั้งที่ที่ได้รับแสงสว่างเต็มที่และมีแสงสว่างเพียงรำไร คือเป็นได้ทั้งไม้
ในชัน้ เรอื นยอดเด่นและเรือนยอดรอง ชอบดนิ ทรายหรอื ดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
โดยเฉพาะตามแนวลำน้ำซึ่งดนิ มคี วามอุดมสมบูรณ์สงู แตน่ ้ำไม่ท่วมขงั ไม่ชอบดินที่เปียกช้ืน
ทนความแหง้ แล้งและต้านทานลมไดด้ ี แตไ่ มท่ นความเคม็ ของเกลือจากทะเล ข้นึ ได้ท้ังในทซ่ี ง่ึ
ดินมีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ จนถึงด่างอ่อนๆ คือค่า pH ระหว่าง 4.3 - 8.0 ทนอากาศหนาวได้
แมอ้ ุณหภูมิตำ่ สดุ จะตดิ ลบถงึ 10 องศาเซลเซยี สกต็ าม แต่ถ้าอณุ หภมู ิลดต่ำลงถึงลบ 4 องศา
เซลเซียสอาจเกิดอาการเหี่ยวเฉาของยอดอ่อนได้ อย่างไรก็ตาม แม้อุณหภูมิหน้าหนาวของ
ดอยอ่างขางในช่วงต้นเดือนมกราคมมักจะติดลบทุกปี แต่ยังไม่เคยเกิดอาการยอดการบูร
เหี่ยวเฉาตายเลย

ไมก้ ารบรู จงึ ไมเ่ หมาะทีจ่ ะปลูกตามแนวชายฝัง่ ทะเลซงึ่ ไดร้ บั อทิ ธิพลจากความเค็ม
ของเกลอื ท่ถี กู ลมพดั พาไปสัมผสั กับต้นไม้ ไม่เหมาะสำหรบั ปลกู ในทซี่ ่งึ มีน้ำท่วมขงั

จากคุณสมบัติที่การบูรเป็นไม้ไม่ผลัดใบ มีใบเขียวสดเป็นมันวาว เรือนยอดสวยงาม
ต้านทานลมได้ดมี าก การบรู จงึ เหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ให้รม่ และไมป้ ระดบั ตามแนวถนน
หนทางในเขตชุมชนเมือง และปลูกเป็นแนวป้องกันลมพายุทั้งในชนบทและชานเมือง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกในบริเวณหมู่บ้านจัดสรรโครงการใหญ่ๆ นั้นถือว่าเหมาะสม
มากเพราะได้ทั้งรม่ เงา ความสวยงาม และแนวปอ้ งกนั ลมท่ดี ี


124 รวมเรอื่ งสวนปา่

ทว่า การปลูกต้นไม้ในเขตชุมชนเมือง
มักจะใช้ต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่ซึ่งได้จากการขุด
ล้อม หรือที่เรียกว่า “ไม้ล้อม” แต่ระบบราก
ของไม้การบูรอ่อนไหวต่อการถูกรบกวนมาก
การตัดรากขุดล้อมเพื่อย้ายปลูกเหมือนต้น
ประดู่ พญาสัตบรรณ ฯลฯ ดังที่พบเห็นกัน
ทว่ั ๆ ไปนั้นจะนำมาใชก้ ับไม้การบูรไม่ได้ การ
ย้ายปลูกต้นการบูรขนาดใหญ่จึงต้องเริม่ จาก
การเลี้ยงต้นกล้าขนาดเล็กในถุงขนาดเล็ก
แล้วค่อยๆ เปลี่ยนถุงให้มีขนาดใหญ่ขึ้นไป
เรื่อยๆ จนต้นไม้มีอายุมากและโตได้ขนาด
ตามท่ตี ้องการ

ในแง่ของการใช้ประโยชน์เนื้อไม้ ไม้
การบูรมีน้ำหนกั และความแขง็ แรงปานกลาง เม่ือแปรรปู จะเห็นเสน้ สีเหลืองแดงอยู่ท่วั ไป ทำ
ให้เนื้อไม้ดูสวยงาม ขายได้ราคาดี ไสกบตกแตง่ งา่ ย ป้องกันการเข้าทำลายของแมลงได้ดี จึง
นิยมนำไมก้ ารบูรมาแกะสลัก ทำตเู้ ส้ือผา้ โลงศพ เครือ่ งเรอื น ไมอ้ ัด ไม้บาง (veneer) ฯลฯ

หม่อมเจา้ ภีศเดช รชั นี ประธานมูลนิธโิ ครงการหลวง ได้ทรงเล่าใหฟ้ งั ว่ามีโต๊ะอาหาร
ไมก้ ารบรู ขนาดใหญ่อยตู่ วั หนง่ึ เป็นไมแ้ ผ่นเดยี ว หนาและยาว ใหมๆ่ มกี ลิ่นหอมมาก นานวนั
เข้ากลิ่นหอมค่อยๆ จางลง หากใช้กระดาษทรายถูแผ่นไม้ด้านใต้โต๊ะเบาๆ ก็จะได้กลิ่นหอม
กลบั มาดงั เดมิ

หนังสือ “สมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ” ของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้
กลา่ วถึงสรรพคุณทางเภสชั กรรมของไมก้ ารบูรไวว้ ่า “ตำรายาไทยใชเ้ น้ือไมเ้ ป็นยาบำรงุ ธาตุ
ขับเสมหะ ขับลม แก้จุกแน่นเฟ้อ แก้ปวดท้อง ขับเหงื่อ ถ้านำเนื้อไม้มากลั่นไอน้ำจะได้
สารการบูร (camphor) ใช้แกเ้ คลด็ บวม ขัดยอกแพลง แกพ้ ษิ แมลงตอ่ ย และโรคผวิ หนงั
เร้อื รงั ” อยา่ งไรก็ตาม ถา้ ใช้มากเกินไปจะกระตุ้นการทำงานของระบบประสาท มผี ลกระทบ
ต่อระบบการหายใจ ในตำรายาจีนโบราณจึงห้ามสตรีมีครรภ์และผู้ที่มีอาการขาดสมดุล
“หยนิ -หยาง” ตามปรชั ญาจีนใช้


บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 125

การบูรจงึ เปน็ ไมอ้ เนกประสงค์ที่ใหท้ ้งั ความรืน่ รมยส์ วยงาม ไม้ใช้สอย และยารกั ษาโรค
แต่เกษตรกรทีส่ นใจจะปลูกต้องระลึกไว้เสมอว่า ตอ้ งไม่ปลูกตามแนวชายฝ่งั ทะเลซึง่ มีน้ำท่วมขัง
และดนิ เค็มอนั เนื่องมาจากอทิ ธิพลของทะเล

เนื่องจากเมล็ดไมก้ ารบูรมีความมชี วี ิตอย่ใู นชว่ งท่ีส้นั มาก เม่อื เกบ็ เมล็ดมาจากต้นแล้ว
ต้องรีบเอาเนื้อที่หุ้มเมล็ดออกแล้วนำไปเพาะทันที ต้นกล้าที่เหมาะสำหรับปลูกเป็นสวนป่า
ควรมีอายุประมาณ 1 ปี แต่ถ้าต้องการกล้าขนาดใหญ่เพื่อปลูกเป็นไม้ให้ร่ม ไม้ประดับตาม
แนวถนนในเขตชมุ ชนเมือง ต้องเปลีย่ นถุงพลาสตกิ ให้ใหญข่ ึ้น 2 - 3 คร้ังเมอ่ื ต้นไม้มีขนาดโต
ขนึ้ การขยายพนั ธทุ์ นี่ ิยมใชก้ ันอกี วธิ หี นึง่ กค็ อื การตดั ยอดปักชำ โดยตัดยอดอ่อนทางด้านข้าง
ให้ยาวประมาณ 5 - 8 เซนติเมตรไปปักชำก็จะได้ต้นกล้าเพื่อใช้ปลูกเช่นเดียวกับต้นกล้าที่
เพาะมาจากเมลด็ ถา้ ปลกู เป็นสวนป่าควรใช้ระยะปลกู 4 x 4 เมตร อายุการตัดฟันเพอื่ นำเอา
เนื้อไม้ไปแปรรูปใช้สอยทั่วๆ ไปประมาณ 15 - 20 ปี แต่ถ้าต้องการเอากิ่ง ใบ มากลั่นเอา
นำ้ มนั หอมระเหยกส็ ามารถกระทำได้ตั้งแต่อายุ 5 ปี ข้ึนไป

ในระยะหลังนี้รัฐบาลได้รณรงค์เรื่องการเพิ่มและการจัดการพืน้ ทีส่ เี ขียวในเขตชุมชน
เมืองกันบ่อยมาก การบูรจึงเป็นไมต้ ัวเลอื กใหม่ทีน่ า่ สนใจมากชนดิ หน่ึง ซ่ึงนอกจากจะพัฒนา
ชุมชนเมืองให้เป็นเมืองสีเขียวท่ีร่มร่นื แล้ว เกษตรกรผผู้ ลติ กล้าไมอ้ อกจำหน่ายก็มีลู่ทางสร้าง
รายไดเ้ พม่ิ ข้ึนมาอีกทางหนึง่ ด้วย

สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงมีพระราชดำรัสชม “สวน
สิรีรุกขชาติ” ของมหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ซึ่งเป็นสวนพฤกษชาติทีใ่ ช้สมุนไพร รวมทั้ง
ต้นการบรู เป็นไมป้ ระดบั วา่ “สวนสวยดี และช่างคิดทีน่ ำสมนุ ไพรมาใช้เป็นไมป้ ระดบั ”

ดงั น้ัน ไมก้ ารบรู นอกจากจะเป็นส่วนหน่งึ ของปจั จัยสสี่ ำหรบั มนุษยแ์ ลว้ ยังมีคณุ ค่าใน
เชงิ นันทนาการอกี ด้วย


24 คุณค่าของไมไ้ ผ่

ทค่ี นไทยยงั ไม่คุ้นเคย

ผมคิดว่าคนไทยทุกคนคงจะรูจ้ ักไมไ้ ผแ่ ละเคยได้รับประโยชนจ์ ากไม้ไผ่ ไม่ในทางตรง
ก็ทางอ้อม สว่ นจะมากหรือน้อยนน้ั ยอ่ มแตกต่างกันไป ทง้ั น้ีเพราะไผ่เป็นพชื สารพัดประโยชน์
ซึ่งพบเห็นท่ัวไปในทุกตำบล หมบู่ า้ น หรือแทบจะทกุ ครวั เรือนก็วา่ ได้

ในโลกนีม้ ไี มไ้ ผอ่ ยู่ท้งั ในเขตร้อน เขตหนาว และเขตอบอุน่ รวมท้ังสิ้น 77 สกุล จำนวน
ประมาณ 1,030 ชนิด แต่ส่วนใหญ่พบในเขตร้อนทางตอนใตแ้ ละตะวันออกเฉียงใต้ของทวีป
เอเชีย ซ่งึ มีถึง 750 ชนิด สำหรบั ในประเทศไทยน้ัน ข้อมูลในหนงั สือ “ไมไ้ ผ่ในประเทศไทย”
ของ ดร.รุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านไม้ไผ่ของกรมป่าไม้ ระบุว่ามีอยู่ 15 สกุล 82
ชนิด มีทั้งป่าไผ่ธรรมชาติและไผ่ที่ปลูกขึ้นมา มีทั้งไผ่พื้นเมืองและไผ่ต่างถิ่นซึ่งนำจา ก
ต่างประเทศเขา้ มาปลูกดว้ ยวัตถุประสงคห์ ลักแตกตา่ งกัน

เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่า กาญจนบุรีเป็นจังหวัดที่มีป่าไผ่ธรรมชาติขึ้นอยู่อย่าง
กว้างขวาง ในขณะทปี่ ราจนี บุรเี ปน็ จังหวดั ทีม่ กี ารปลูกไม้ไผ่มากท่สี ดุ ในประเทศไทย และไผท่ ่ี
ปลูกส่วนใหญ่เป็นไผ่ตง นั่นคือ เมื่อพูดถึงป่าไผ่ธรรมชาติกม็ กั จะนึกถึงจังหวัดกาญจนบุรี แต่
พอพดู ถึงสวนไผ่ตงก็จะนกึ ถงึ จงั หวัดปราจนี บรุ ีเปน็ ลำดบั แรก

ไผ่ตงเปน็ ไผ่ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน มีผู้นำเข้ามาปลูกในประเทศ
ไทยเป็นคร้ังแรกเมื่อปี พ.ศ. 2447 (คอื 101 ปีมาแล้ว) ทีอ่ ำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี เพ่ือ
การบริโภคหน่อเป็นเป้าหมายหลกั ต่อมาไดม้ ีการขยายพ้ืนท่ีปลูกออกไปยังจังหวัดต่างๆ ท่ัว
ประเทศ และได้มีการส่งออกในรูปของหน่อไม้ไผ่ตงแปรรูป นำเงินตราเข้าประเทศได้สูงถึง
ปลี ะกวา่ หนึ่งพันลา้ นบาท มีพื้นท่ปี ลูกทัว่ ประเทศเกอื บ 425,000 ไร่

แต่จากการออกดอกและตายขุยของไผ่ตงในช่วงปี พ.ศ. 2537 - 2539 ทำให้ไผ่ตง
อายเุ กือบ 100 ปี ตายไปกว่า 300,000 ไร่ หลังจากนน้ั ก็มกี ารเก็บเมลด็ มาเพาะและคัดเลือก

พิมพค์ รั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (54) : 28 – 30 (พ.ศ. 2549)


บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 127

สายพนั ธใ์ุ หม่ ไดส้ ายพนั ธ์ุดีท่ีร้จู ักกันในชื่อไผ่ “ศรปี ราจนี ” หรอื “เพชรประจนั ตคาม” ตาม
ชอ่ื อำเภอถน่ิ กำเนิดเดมิ คอื อำเภอประจันตคาม จังหวัดปราจนี บุรี

กองส่งเสรมิ พืชสวน กรมส่งเสริมการเกษตร ได้รายงานเม่ือปี พ.ศ. 2547 ว่า ในปี พ.ศ.
2542 ประเทศไทยมีพนื้ ท่ปี ลกู ไม้ไผต่ งอยู่ 144,351 ไร่ โดยส่วนใหญ่ปลูกเพ่ือการบรโิ ภคหน่อ

ทว่า ไผ่ตงไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะหน่อเพื่อการบริโภคเป็นอาหารเท่านั้น แต่ลำไม้ไผ่
โดยเฉพาะไผ่ตงหม้อและไผ่ตงดำ ซึ่งมีลำขนาดใหญ่ ยาว 20 - 25 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง
15 - 20 เซนติเมตร เนื้อไม้หนา 15 - 35 มิลลิเมตร นั้นนิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ ก่อสร้าง
บ้านเรือน และใช้เป็นไมห้ ลักปักเล้ียงหอยในทะเล ซึ่งซอ้ื ขายกันท่สี วนถงึ ลำละ 80 - 100 บาท

นอกจากนี้ ไม้ไผ่แทบทุกชนิดที่มีคุณลักษณะของลำใกล้เคียงกับไผ่ตงยังนิยมใช้เผา
ถา่ นและผลิตน้ำส้มควันไมอ้ กี ด้วย

น้ำส้มควันไม้ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการเผาถ่านมีคุณค่านานาประการ ทั้งทางด้าน
การเกษตร ในครัวเรือน และภาคอุตสาหกรรม โดยจะพูดถึงผลประโยชน์ของน้ำส้มควันไม้ใน
เชิงลึกในโอกาสตอ่ ไป วันนจี้ ะเนน้ มาท่ีถ่านจากไม้ไผก่ อ่ น

ถ่านที่จะกล่าวถึงนี้ไม่ใช่ถ่านเพื่อการหุงต้มหรือถ่านเพื่อให้ความร้อนดังที่คนไทย
คุ้นเคยกันมาแตโ่ บราณกาล แต่เป็นถ่านไมไ้ ผ่เพือ่ สุขภาพซึ่งเป็นที่นิยมกันอย่างกว้างขวางใน
ประเทศญี่ปุ่น แต่การใช้ถ่านไม้ไผ่เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพของคนไทยนั้นยังอยู่ในวงจำกดั
มาก แมป้ ระเทศไทยจะมศี กั ยภาพในการผลิตสูงกต็ าม เพราะประเทศไทยมไี มไ้ ผ่อยู่มากมาย
ทัว่ ประเทศ และคนไทยกม็ ีทกั ษะในการผลิตถา่ นสูงอกี ด้วย

เมื่อวันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน 2548 ผมและคณะจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
พร้อมด้วยศาสตราจารย์ Roger Kjelgren แห่งมหาวิทยาลัย Utah State ประเทศ
สหรัฐอเมริกา ได้มีโอกาสเข้าเยี่ยมชมกิจกรรม
การผลิตถ่านไม้ไผ่และผลิตภัณฑ์ถ่านไม้ไผ่
ไทยอากาศดี ของชุมชนนำโดย คุณกิตติ เลิศ
ล้ำ ที่บ้านเลขที่ 110 หมู่ที่ 1 ตำบลสัมพันตา
อำเภอนาดี จังหวัดปราจีนบุรี ซึ่งใช้ชื่อ
ผลิตภัณฑ์ในเชิงพาณิชย์ว่า “บันตัน”
(Bunton) โดยมีบริษัทชาร์โคลโฮม จำกัด ซ่ึง
อยู่ท่ถี นนรามอนิ ทรา กม. 8 เป็นผู้จัดจำหน่าย


128 รวมเร่อื งสวนป่า

คุณกิตติ เล่าให้ฟังว่าได้ประสบการณก์ ารผลิตถา่ นไม้ไผ่มาจากชาวญ่ีปุ่น โดยชื่อ “บัน
ตัน” นั้นเดิมตั้งใจจะใช้ชื่อว่า “บ้านถ่าน” หรือ Charcoal Home แต่เพื่อนชาวญี่ปุ่นออก
เสยี งบ้านถ่านเป็นบนั ตัน ประกอบกบั คำว่า “ตนั ” ในภาษาญป่ี ุ่นแปลว่า “ถา่ น” และถา่ นเพือ่
สขุ ภาพทมี่ ชี ่อื เสยี งของญีป่ ่นุ กผ็ ลิตจากไม้โอ๊คและไมไ้ ผ่ ท่หี มบู่ ้านถา่ นท่ีช่ือว่า “บนั โจตนั ”

คุณกติ ตจิ งึ ใช้ “บนั ตนั : ถา่ นไมไ้ ผเ่ พื่อสขุ ภาพ” เป็นชือ่ ทางการคา้ ไปเลย และได้รับ
การคัดสรรจากรัฐบาลใหเ้ ปน็ สินค้า OTOP ระดบั 4 ดาว ของภาคกลางจากจังหวัดปราจีนบรุ ี
ในปี พ.ศ. 2546

ไมไ้ ผ่ท่ีนำมาเผาผลติ ถา่ นเพ่อื สุขภาพน้นั จะเป็นไม้ไผช่ นิดใดกไ็ ด้ แต่ที่นยิ มมากคอื ไผ่ตง
ไผ่เลี้ยง และไผ่สีสุก โดยเฉพาะไผ่เลี้ยงนั้นเผาง่ายเพราะมกี ารยืดหดตัวนอ้ ย แต่ที่สำคัญย่งิ ไป
กวา่ นนั้ ก็คอื ลำไมไ้ ผท่ ่ีใช้ต้องมีอายตุ ง้ั แตส่ องปีขนึ้ ไป ปลอ้ งท่ีสงู จากพนื้ ดินตง้ั แต่ 1 เมตรขึ้นไป
มีความเหมาะสมมากกว่าทอ่ นโคนทอี่ ยู่ชดิ ดนิ ซึ่งเผายากกวา่ มาก

เมื่อได้ไม้ไผ่มาแล้ว ขั้นตอนในการผลติ ก็คือ ทอนไม้ไผ่ออกเป็นท่อนๆ ให้มีความยาว
ทอ่ นละ 50 - 100 เซนติเมตร จากนน้ั ก็นำเขา้ เตาเผา 20 วันถดั มาก็จะนำถ่านออกมากองไว้
หน้าเตาเพื่อแยกคัดเกรดถ่านและนำไปผลิตผลิตภัณฑ์ถ่านไม้ไผ่เพื่อสุขภาพประเภทต่างๆ
เพื่อส่งจำหน่ายต่อไป โดยร้อยละ 70 ของผลิตภัณฑ์สง่ จำหน่ายภายในประเทศ ส่วนท่ีเหลอื
อีกร้อยละ 30 นั้นส่งออกต่างประเทศ แม้ศักยภาพในการผลิตจะมีความพร้อมสูงก็ตาม แต่
ถูกจำกดั ดว้ ยกฏระเบียบในการสง่ ออกถ่านไม้ของทางราชการ

บันตนั : ถ่านไมไ้ ผ่เพอื่ สุขภาพ ผลิตถา่ นเดือนละ 22 ตัน ต้องใชไ้ ม้ไผ่ประมาณเดือนละ
250 - 300 ตัน ไม้สด 1.5 ตัน ได้น้ำส้มควันไม้ 35 - 45 ลิตร หรือเฉลี่ยประมาณ 30 ลิตร
น้ำสม้ ควันไม้ต่อหนงึ่ ตันของไม้ไผ่

ดูเหมือนกรรมวิธีการผลิตถ่านไม้ไผ่เพื่อสุขภาพจะไม่ยุ่งยาก แต่ในการปฏิบัติจริงนัน้
ไมง่ า่ ยอยา่ งที่คดิ หรือฟังคำบอกเล่า เพราะต้องเริ่มตัง้ แตก่ ารก่อเตา การนำไมเ้ ข้า การเรียงไม้
การควบคมุ อณุ หภูมิ ฯลฯ ที่สำคญั ที่สดุ คือจะตอ้ งเผาท่อี ุณหภมู สิ งู มากๆ อย่างตำ่ ต้อง 1,000
องศาเซลเซยี ส แตโ่ ดยทัว่ ไปควรจะตอ้ งสูงถึง 1,500 หรือ 1,700 องศาเซลเซยี ส

ถา่ นท่ไี ด้เรียกวา่ “ถ่านขาว” หรือ “White Charcoal” ซึง่ ก็มีสีดำสนทิ เหมือนถ่าน
ทั่วๆ ไปนั่นเอง แต่ถ่านขาวหรือถ่านเพื่อสุขภาพซึ่งเผาที่อุณหภูมิสูงๆ และมีคุณภาพดีนั้น
จะตอ้ งไม่หนักหรือเบาเกนิ ไป เม่อื เคาะถา่ นจะมีเสียงกังวานคล้ายเสียงเคาะกระเบ้ืองเคลือบ


บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 129

ดินเผา เพราะมีความบริสุทธิ์ของธาตุ
คาร์บอนสูง เมื่อหักดูจะเห็นสีดำเป็นมัน
วาว และเมื่อใช้นิ้วถูรอยหักจะไม่มีสีดำ
ของถ่านติดนิ้วมือเลย ส่วนผิวถ่าน
อาจจะมีสีดำบ้างเล็กน้อย แต่ถ่าน
จะต้องไม่บวมพอง ไม่บิดเบี้ยวคดงอ
ต้องคงรูปของวัตถุดิบเดิมคือลำไม้ไผ่
อย่างชดั เจน

ถ่านทีว่ า่ น้มี คี วามพรนุ ในระดบั ท่ีพอเหมาะพอควร สามารถปลดปล่อยประจุลบซึ่งจะ
เปลี่ยนอนุมูลอิสระให้เปน็ ออกซิเจน หากเข้าไปในร่างกายก็จะทำให้ร่างกายได้รับออกซิเจน
เพ่ิมขนึ้ ทำใหก้ ารไหลเวียนของระบบโลหติ ในร่างกายและระบบการหายใจดีขนึ้ สมองปลอด
โปร่ง สง่ ผลดีตอ่ รา่ งกายและจิตใจ

ผลิตภัณฑ์จากถ่านไม้ไผ่ “บันตัน” นั้นมีมากมายนับสิบๆ รายการ แต่ที่เด่นๆ และ
เป็นที่ต้องการของตลาดมากในขณะนี้ได้แก่ หมอนถ่านไม้ไผ่ สบู่ถ่านล้างสารพิษ สบู่เหลว
ธรรมชาตถิ า่ นไมไ้ ผ่ และแชมพถู า่ นไมไ้ ผน่ ้ำแร่

หมอนถ่านไม้ไผ่ มีคุณสมบัติในการดูดซับกลิ่น และความชื้น ให้ประจุและรังสี
อนิ ฟราเรด ชว่ ยให้ผ่อนคลาย สดชนื่ และการไหลเวียนของเลือดดีขนึ้

สบู่ถ่านล้างสารพิษ มีคุณสมบัติสำหรับใช้ชะล้างสิ่งสกปรก ดูดสารพิษในรูขุมขน
ขจัดเซลล์ที่ตาย ลดความมัน กำจัดเชื้อแบคทีเรีย ลดการเกิดสิว บำรุงผิวให้สดใส และนุ่ม
เนียน

สบู่เหลวธรรมชาติถ่านไม้ไผ่
มีคุณค่าในการบำรุงผิวเพราะอุดม
ด้วยวิตามินและคุณสมบัติของประจุ
ลบในถ่านไม้ไผ่ ช่วยชำระล้างส่ิง
สกปรก สารพิษ สารเคมีในรูขุมขน
ขจัดเซลล์ทต่ี าย รวมทงั้ ความมนั เช้ือ
แบคทเี รีย และลดการเกดิ สิว


130 รวมเร่อื งสวนปา่

แชมพูถ่านไม้ไผ่นำ้ แร่ มคี ุณสมบัติชว่ ยดดู ซับสิ่งสกปรก ความมันสว่ นเกนิ ของเส้นผม
และหนังศรีษะ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือดบนหนงั ศรีษะและเพ่ิมการบำรุงด้วยนำ้ แร่ ทำ
ให้เส้นผมและหนงั ศรษี ะมสี ขุ ภาพดีข้ึน

นอกจากนยี้ งั มผี ลิตภณั ฑถ์ า่ นเพอ่ื สุขภาพของ “บนั ตัน” อีกหลายชนดิ อาทิ ถา่ นไม้ไผ่
วาดรูปศิลปะ ถ่านไม้ไผ่ไอโอไนเซอร์ อโรมาสติก ถ่านไม้ไผ่ซอฟเท็นไรซ์ ถุงดับกลิ่นดีโอชูส์
สเปรย์สมุนไพรไล่แมลง ครีมบำรุงผิววิตามินอี โคลนถ่านไม้ไผ่ดูดสารพิษ ครีมนวดผมนำ้ แร่
และน้ำแร่ถ่านไม้ไผ่ ซึ่งล้วนแต่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และมีคุณค่าสูงซ่ึง
คนไทยส่วนใหญ่มักจะไมค่ ่อยคนุ้ เคยแทบท้งั สิน้

นั่นคือ ผลิตภัณฑ์ถ่านไม้ไผ่ไทยอากาศดี หรือ บันตัน: ถ่านไม้ไผ่เพื่อสุขภาพ ได้
สร้างมูลคา่ เพม่ิ ให้แกถ่ า่ นยง่ิ กวา่ ถา่ นทเี่ ราคุ้นเคยกันมาช้านาน

หากท่านจะเป็น “ฅนเอาถ่าน” และสนใจอยากได้รายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อ
คุณกิตติ หรือ คณุ อรอนงค์ เลศิ ล้ำ ที่หมายเลขโทรศพั ท์ 01-813-1935 และ 01-929-3481


25 นนทรที รงปลูก

วันที่ 29 พฤศจิกายน เป็นวันที่มีความสำคัญยิ่งต่อชาวมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วันหนึ่ง เพราะเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2506 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงดนตรีที่หอประชุม
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตบางเขน และได้ทรงปลูกต้นนนทรี 9 ต้นไว้บริเวณริม
สระน้ำหนา้ หอประชุม

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงได้จัดให้มีงาน “วันนนทรีทรงปลูก ดนตรีทรงโปรด”
ขึ้นในวันที่ 29 พฤศจิกายนของทุกๆ ปี เพื่อเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกถึงพระมหา
กรณุ าธิคณุ ของพระองค์ท่าน

ในวันนนั้ (29 พฤศจิกายน 2506 ผมอย่ปู ี 1) พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัว ได้มีพระ
ราชดำรัสแกบ่ คุ ลากรของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรท์ เี่ ข้าเฝา้ รบั เสดจ็ ความตอนหนงึ่ วา่ :

“ขอพูดอะไรสักหนอ่ ย วันนไ้ี ด้รบั เชิญมาปลกู ตน้ ไม้ก็ทำใหค้ ดิ วา่ การปลกู
ตน้ ไมก้ จ็ ำเป็นจะต้องเลือกวา่ ต้นอะไรจงึ จะดี เหมาะสำหรับมหาวทิ ยาลยั ต้นไม้
อะไรๆ ก็สีเขียว ต้นนนทรีที่เลือกเป็นต้นไม้ของเกษตรก็เหมาะสมที่มีสีเขียวด้วย
เหมาะสมมากและน่ายินดีมากที่ต้นนนทรีปลูกได้ทั่วทุกแห่งของประเทศไทย
เพราะทนแล้ง ทนแดดได้ นี้เป็นความหมายที่ดี เพราะคนไทยถ้าปลูกในแผ่นดิน
ไทยก็เติบโตดีและเจริญดี ต้นไม้ต้องมีดินจึงจะเจริญได้ดี ถ้าเอาไปใส่ในกระถาง
หรือเอาไปปลูกในน้ำ หรือปลูกในน้ำยาคุณภาพดีๆ จากต่างประเทศ ก็จะหงอย
อยไู่ มไ่ ด้ เขาต้องการดิน ขอฝากตน้ ไมน้ ใี้ หม้ หาวทิ ยาลยั และนิสิตช่วยกันรักษาให้ดี
อย่าให้หงอย ขอฝากนิสิตทั้งหลายขอให้ช่วยกันรักษาตัวเองให้ดี และอย่าลืมว่า
ตัวเองนั้นจะอยกู่ ันไดก้ ็ดว้ ยแผ่นดินไทย ขอใหช้ ่วยกนั รกั ษาแผน่ ดนิ ไทยไว้ด้วย คน
ไทยถา้ ไร้แผ่นดนิ ก็จะหงอยกันหมด อยู่กันไมไ่ ด้ และเราก็ไม่อยากให้เป็นเช่นน้ัน”

พมิ พค์ รัง้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (55) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)


132 รวมเร่ืองสวนปา่

นนทรีเป็นต้นไม้ประจำมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เป็นสัญลักษณ์อย่างหนึ่งของ
มหาวิทยาลัย ลำต้นสูงใหญ่ อายุยืน หยั่งรากลึกลงดินอย่างมั่นคง เสมือนหนึ่งความเป็น
ปึกแผ่นของสถาบันอุดมศึกษาแห่งนี้ เรือนยอดกลมคล้ายร่ม มีกิ่งก้านสาขามากมายซ่ึง
หมายถึงสาขาวชิ าตา่ งๆ ท่ีเปิดสอน ใบสเี ขียวเขม้ ซึง่ เปน็ สปี ระจำมหาวิทยาลยั ชอ่ ดอกเป็นพวง
ระย้าสีเหลืองสดคล้ายสีเหลืองของรวงข้าวซึ่งเป็นพืชเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของประเทศไทย
และเป็นสีประจำคณะเกษตร ผลเป็นฝักแบนแม้แก่ก็ยังติดแน่นไม่ยอมร่วงหล่นไปจากต้น
เปรียบเสมือนความผูกพันของนิสิตและศิษย์เก่าที่มีต่อมหาวิทยาลัย แม้จะสำเร็จการศึกษา
ออกจากร้วั มหาวทิ ยาลยั ไปแลว้ กต็ าม

นนทรีเป็นพืชตระกูลถั่วซึ่งสามารถตรึงไนโตรเจนจากบรรยากาศมาเพิ่มความอุดม
สมบรู ณ์ใหแ้ ก่ดิน เจรญิ เตบิ โตไดด้ ีทั่วทกุ ภมู ิภาคของประเทศ ไม่ว่าจะเปน็ ในเมอื งทีม่ มี ลพิษมาก
ที่แห้งแล้ง แสงแดดจ้า ดินทรายจัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ หรือแม้แต่ดินเค็มชายทะเล
อันหมายถึงบัณฑิตซึ่งเป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยที่ออกไปประกอบอาชีพอยู่ในท้องที่ต่างๆ
ของประเทศไทย ท้ังในเมืองและทอ้ งถนิ่ ทรุ กันดาร สามารถพลิกฟน้ื ผืนดนิ ไทยให้มคี า่ ขึน้ มากไ็ ด้

ในทางพฤกษศาสตร์ นนทรีมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Peltophorum pterocarpum (DC.)
Backer ex K.Heyne ภาษาอังกฤษเรียกว่า Copper pod tree ตามลักษณะของฝัก หรือ
Yellow flame tree ตามสีสันของดอก แต่ละประเทศต่างก็เรียกชื่อไม้นนทรีแตกต่างกันไป
เช่น Soga ในอินโดนีเซีย Batai ในมาเลเซีย Limset ในเวียดนาม และมีชื่อทางการค้าว่า


บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 133

Braziletto wood ในประเทศไทยก็เรียกกันหลายชื่อ คือนอกจากนนทรีซึ่งเรียกขานกันทั่วไป
แลว้ ทางแมฮ่ ่องสอนมชี อ่ื เรยี กวา่ สารเงิน จังหวัดตราดเรียกวา่ กระถินแดง หรอื กระถินปา่ เป็น
พืชในวงศ์ Leguminosae-Caesalpinioideae เป็นไม้ยืนต้นผลัดใบที่มีความสูง 10 - 30 เมตร
ในบางท้องที่อาจจะสูงถึง 50 เมตรก็ได้ มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 50 - 100 เซนติเมตร

เปลือกเรียบหรือแตกแบบรอยไถ สี
น้ำตาลอมเทา กิ่งอ่อนและยอดอ่อนมี
สีน้ำตาลแดง ใบเป็นใบประกอบแบบ
ขนนกสองชัน้ ยาว 15 - 40 เซนติเมตร
มีใบย่อย 8 - 20 คู่ ท้องใบมีขนสี
น้ำตาลแดง ดอกออกเป็นช่อตามซอก
ใบและปลายกิ่ง ช่อดอกตั้งขึ้น สี
เหลือง มีกลิ่นหอมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในเวลากลางคืน ออกดอกในเดือน
มนี าคมถงึ มถิ ุนายน แตบ่ างต้นอาจจะออกดอกในช่วงเดือนกันยายนถงึ พฤศจิกายนกไ็ ด้ ผลเป็น
ฝกั แบน มเี มล็ด 1 - 4 เมลด็ ตอ่ ฝัก

นนทรีเป็นไม้พื้นเมืองของออสเตรเลยี และหลายประเทศในทวีปเอเชยี อันได้แก่ ไทย
กัมพูชา เวียดนาม อนิ เดีย บงั กลาเทศ อินโดนีเซีย มาเลเซยี พมา่ ปาปัวนิวกินี ศรลี งั กา และ
สิงคโปร์ มีการปลูกนอกถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติกันอย่างกว้าง ขวางทั้งในฟิลิปปินส์
ปากีสถาน ไนจีเรีย อาฟริกา อเมริกากลาง ฟลอริด้า และฮาวาย ขึ้นได้ดีตั้งแต่เหนือ
ระดับน้ำทะเลเล็กน้อยในป่าชายหาดและป่าชายเลนไปจนถึงความสูง 1,600 เมตรเหนือ
ระดับน้ำทะเลปานกลาง ชอบดินร่วนปนทรายและได้รับแสงแดดเต็มที่ อุณหภูมิเฉลี่ย 22 -
32 องศาเซลเซยี ส ปริมาณน้ำฝน 1,500 - 4,500 มลิ ลิเมตรต่อปี

นนทรีเป็นไม้โตเร็ว อาจจะสูงถึง 9 เมตรภายในระยะเวลา 3 ปี และออกดอกในปีที่ 4
ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ด ทาบกิ่ง และตัดกิ่งปักชำ รวมทั้งขุดต้นกล้าที่เกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติมายา้ ยชำ เมล็ดมปี ริมาณประมาณ 20,000 - 21,000 เมล็ดต่อกโิ ลกรัม มอี ตั ราการงอก
ประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ ก่อนเพาะควรนำเมล็ดไปลวกน้ำรอ้ นหรือผ่านกรดอ่อนราว 2 นาทีแล้ว
แช่ทิ้งไว้ในน้ำเย็น 1 คืนเพื่อทำให้เปลือกหุ้มเมล็ดอ่อนตัว นนทรีที่ปลูกแทบจะไม่มีปัญหาเรื่อง
โรคและแมลงเลย การดูแลรักษาทีจ่ ำเป็นจริงๆ กเ็ ฉพาะในปแี รกเพ่ือใหต้ ้นไมต้ ง้ั ตัวได้เท่านนั้


134 รวมเรื่องสวนปา่

ในแง่การใช้ประโยชน์ นนทรีจัดเป็นไม้อเนกประสงค์ชนิดหนึ่ง เพราะรากช่วยตรึง
ไนโตรเจนจากบรรยากาศเพ่อื เพิ่มความอดุ มสมบูรณ์ให้แก่ดนิ ใบและยอดอ่อนใช้เป็นอาหาร
สตั วไ์ ด้อย่างดี โดยตดั ปีละ 2 - 4 คร้ัง ดอกใช้เลย้ี งผ้ึงซึ่งนิยมกันมากในประเทศอินเดีย เน้ือไม้
ใช้ทำฟืนและทำไม้แปรรปู ได้ดี กระพส้ี ขี าวแกมเทา แก่นมีสีนำ้ ตาลอมแดงออ่ นๆ มคี วามแข็ง
และหนักในระดับปานกลาง เสี้ยนค่อนข้างตรง นิยมใช้ในงานก่อสร้างซึ่งไม่ต้องรับน้ำหนัก
มากนัก เหมาะสำหรบั ใชท้ ำตู้เสอ้ื ผ้า เครอ่ื งเรอื น ไม้พ้ืน ฝา ฝา้ เพดาน พานทา้ ย รางปนื และ
งานแกะสลกั ตกแต่งทั่วไป เปลือกมรี สฝาด รับประทานเป็นยาขบั ลมและแกท้ ้องร่วง รวมท้งั
แก้บวมช้ำ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ และใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟัน มีแทนนินซึ่งใช้ย้อมสีแห
อวน และหนังสัตว์ ในอินโดนีเซียใช้สีดำที่เรียกว่า soga ซึ่งได้จากเปลือกนนทรีสำหรับย้อม
ผ้าบาตกิ และดองเหล้า

นนทรเี ป็นไมต้ ระกลู ถว่ั ที่มีเรอื นรากแข็งแรงและดอกสีเหลืองสดสวยงาม จงึ นิยมปลูก
ทั้งเพื่อปรับปรุงบำรุงดิน เป็นแนวกันลม และตกแต่งสถานทีท่ ั้งตามแนวถนนหนทางและใน
สวนสาธารณะ ในเกาะสุมาตรานิยมปลกู นนทรีรว่ มกับไมม้ ะฮอกกานแี ละไมส้ กั

นนทรเี ปน็ ตน้ ไม้ประจำมหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์และจงั หวดั นนทบุรี

นอกจากนนทรีดังกล่าวแล้ว ยังมีไม้ในสกุลนนทรีที่น่าสนใจอีกชนิดหนึ่งซึ่งในภาค
กลางเรียกว่านนทรีป่า แต่ชื่อทางการคือ “อะราง” ซึ่งมีชื่อวิทยาศาสตร์วา่ Peltophorum
dasyrachis (Miq.) Kurz มีลักษณะทั่วๆ ไปคลา้ ยนนทรีมาก แต่อะรางมเี รือนยอดโปร่งกว่า
นนทรี เปลือกสีเทา ดอกสีเหลืองซีดกว่า
นนทรี และข้อแตกต่างที่เด่นชัดประการ
หนึ่งคือ นนทรีช่อดอกตั้งขึ้น แต่อะรางช่อ
ดอกห้อยลง ออกดอกในเดือนมกราคมถึง
มนี าคม

อะรางเป็นไม้พื้นเมืองของไทยและ
เอเชียอาคเนย์ สำหรับประเทศไทยขึ้นได้ดี
ทั่วไปทั้งในภาคเหนือ ภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ และภาคใต้ แต่พบมากในภาค
ตะวันออก เป็นต้นไม้ประจำจังหวัด
ฉะเชิงเทรา ปลูกง่าย โตเร็ว และชอบแดดจัด


บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 135

นิยมปลูกเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม เนื้อไม้เลื่อย ผ่า ไสกบ ตกแต่งง่าย ใช้ทำไม้กระดาน
โต๊ะ เก้าอี้ เครื่องเรือน ไม้พื้น ฝา ฝ้าเพดาน คันไถ หีบใส่ของ พานท้ายรางปนื และเครื่องมือ
ทางการเกษตร เปลอื กมีรสฝาด กนิ รักษาโรคเกี่ยวกับเสมหะและโลหติ แกท้ อ้ งรว่ งและขับลม
ในตำรายาพืน้ บา้ นใช้เปลอื กของต้นอะรางต้มนำ้ ดื่มแก้ทอ้ งเสีย

สถานีวจิ ยั วนเกษตรตราดของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตรท์ ี่อำเภอบ่อไร่ จังหวดั ตราด ได้
ปลูกต้นอะรางในรูปสวนป่ามาเกือบยี่สิบปีแล้ว ได้นำไม้ที่ได้จากการตัดสางขยายระยะมาแปร
รูปและใช้ทำโตะ๊ รบั ประทานอาหาร เนอ้ื ไม้สวยงามมาก เปน็ ทต่ี อ้ งตาตดิ ใจของผูค้ นท่ีได้พบเหน็

นนทรีและอะรางจึงเป็นไม้อเนกประสงค์ที่น่าสนใจสำหรับทุกสภาพภูมิประเทศ
ของไทย ซงึ่ หากไมล่ องก็คงไม่รู้หรอกครับ


26 การปลกู ป่าชายเลน

รอบบอ่ กุง้ ทีบ่ างขุนเทยี น

ความภาคภมู ิใจอย่างหน่ึงของชาวเขตบางขุนเทียนกค็ ือ “ทะเลกรุงเทพฯ” เพราะวา่
กรุงเทพฯ มีพื้นที่ที่เป็นชายฝั่งทะเลเฉพาะในเขตบางขุนเทียนเพียงแห่งเดียวเท่านั้น คน
ส่วนใหญ่จึงเรียกว่า “ชายทะเลบางขุนเทียน” และเป็นที่มาของคำขวัญ “หลวงพ่อไปล่วัด
กำแพง แหลง่ เกษตรกรรม วัฒนธรรมมอญบางกระด่ี พืน้ ทีท่ ะเลกรุงเทพฯ”

ฝั่งทะเลบางขุนเทียนเป็นแนวยาวประมาณ 5 กิโลเมตร อยู่ระหว่างปากแม่น้ำสำคญั
สองสาย คือแม่น้ำเจา้ พระยาและแมน่ ำ้ ท่าจนี โดยมีคลองขุนราชพนิ ิจใจ และคลองบางเสาธง
ขนาบทางทิศตะวนั ออกและทิศตะวันตก ตามลำดับ ทางทิศเหนือเป็นที่ดินของนคิ มสหกรณ์
บา้ นไร่ ส่วนทางทศิ ใต้เป็นชายฝัง่ ทะเลอ่าวไทย อยู่ในท้องที่หมู่ท่ี 9 และหมู่ที่ 10 แขวงท่าข้าม
เขตบางขนุ เทยี น ในอดตี เคยเป็นผืนป่าชายเลนที่อดุ มสมบรู ณ์ กรมปา่ ไมจ้ ึงได้ประกาศให้เป็น
ป่าสงวนแห่งชาติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2517 ต่อมาได้จัดให้เป็นป่าถาวรแห่งชาติเพื่อการ
ศึกษาวิจัยด้านป่าชายเลน และคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้คณะกรรมการจัดที่ดินแห่งชาติมอบ
พื้นที่ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียนให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบเมื่อวันที่ 25
กรกฎาคม 2532

อย่างไรก็ตาม จากปัญหาการขยายตวั ของชุมชนได้ก่อให้เกิดการบุกรุกยึดครองพื้นที่
ของราษฎรเพื่อสร้างบ้านเรือนและเพาะเลีย้ งสัตว์น้ำ รวมทั้งปัญหาการกัดเซาะของนำ้ ทะเล
ทั้งจากชายฝั่งอ่าวไทยและริมแม่น้ำลำคลองรอบด้าน ทำให้ผืนป่าชายเลนบางขุนเทียนลด
น้อยลงอย่างรวดเร็วจนน่าเป็นห่วง คือจาก 11,925 ไร่ ในปี พ.ศ. 2531 ลดลงเหลือเพียง
2,735 ไร่ ในปี พ.ศ. 2543 ซึ่งมีอัตราลดลงถึงปีละเกือบ 800 ไร่ และคาดว่าในปัจจุบันบาง
ขุนเทยี นมปี า่ ชายเลนท่ีคอ่ นข้างสมบรู ณเ์ หลอื อยูเ่ พยี ง 200 ไรเ่ ศษเท่านน้ั

พิมพค์ ร้งั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 6 (56) : 27 – 29 (พ.ศ. 2549)


บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 137

หลักฐานสำคัญที่บ่งบอกถึงการสูญเสียผืน
ป่าชายเลนบางขุนเทียนในอดีตก็คือ “หลักเขตที่
28 ของกรุงเทพมหานคร” ซึ่งโดดเด่นอยู่กลาง
ทะเล เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของชายทะเลบางขุน
เทียน ที่นักท่องเที่ยวแทบทุกคนจะต้องนั่งเรือไป
ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก ผู้ใหญ่ปัญญา ช้างเจริญ
(โทร: 089-030-3773) เล่าให้ฟังว่าเดิมหลักเขตที่
28 นี้ ปักอยู่บนพื้นดินเพื่อแบ่งเขตการปกครอง
ระหว่างจังหวัดสมุทรปราการและกรุงเทพมหานคร
แต่เริ่มต้นด้วยการตัดไม้ทำลายทรัพยากรป่าชายเลนของมนุษย์ ตามมาด้วยการกัดเซาะ
พังทลายชายฝั่งของธรรมชาติ หลักเขตที่ 28 และแนวเสาไฟไร้สายกลางทะเลซึ่งอยู่ห่างจาก
ชายฝั่งออกไปราว 800 - 900 เมตร ที่เห็นอยู่ในวันนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งการสูญเสียที่ดิน
ชายฝั่งทะเลซึ่งมมี นุษยเ์ ป็นผกู้ อ่ ในเบอื้ งตน้

เนื่องจากป่าชายเลนมีประโยชนท์ ้งั ทางตรงและทางอ้อมนานาประการ อาทิ ด้านป่าไม้
ให้ฟืนและถ่าน ให้ชิ้นไม้สับสำหรับอุตสาหกรรมเยื่อและแผ่นไม้อัด สกัดแทนนินจากเปลือก
ใช้ทำเสาเข็มและเครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ รวมทั้งเป็นแหล่งสมุนไพรและอาหารพื้นบา้ นนานา
ชนิด ด้านประมง ป่าชายเลนเป็นทั้งแหล่งอาหาร แหล่งอนุบาลและที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ
นานาชนิด ส่วนประโยชน์ด้าน
สิ่งแวดล้อมนั้น เป็นที่ทราบกันดีว่า
ปา่ ชายเลนทำหนา้ ท่ีเปน็ แนวปอ้ งกัน
คลื่นลมและช่วยเก็บกักตะกอนตาม
ธรรมชาติไดอ้ ยา่ งดเี ย่ยี ม รวมทง้ั ชว่ ย
ฟอกอากาศ ดูด ดัก กรองสารพิษ
และช่วยเพิ่มความหลากหลายทาง
ชีวภาพให้แก่สังคมพืช

การลดลงของพื้นที่ป่าชายเลนจึงนำมาซึ่งความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง จนพระบาท
สมเด็จพระเจา้ อย่หู วั และสมเด็จพระนางเจา้ สริ ิกติ ์ิ พระบรมราชินนี าถ ได้มีพระราชดำรัสและ
พระราชเสาวนยี ์ดว้ ยความห่วงใยในวโรกาสต่างๆ หลายครงั้ อาทิ


138 รวมเรือ่ งสวนป่า

“…ปา่ ชายเลนมีประโยชนต์ อ่ ระบบนเิ วศของพน้ื ท่ชี ายฝ่ังทะเลและ
อ่าวไทย แต่ปจั จบุ ันปา่ ชายเลนของประเทศไทยเรากำลังถูกบกุ รกุ และถกู
ทำลายลงไปโดยผูแ้ สวงหาผลประโยชน์สว่ นตน โดยเฉพาะต้นโกงกางเป็นไมป้ ่า
ชายเลนที่แปลกและขยายพันธุ์ค่อนข้างยากเพราะต้องอาศัยระบบน้ำขึ้นลงใน
การเตบิ โตดว้ ย จึงขอใหส้ ่วนราชการที่เกี่ยวข้อง คอื กรมปา่ ไม้ กรมประมง กรม
ชลประทาน และกรมอุทกศาสตร์ ร่วมกันหาพื้นที่ที่เหมาะสมในการทดลอง
ขยายพนั ธโ์ุ กงกางและปลูกสรา้ งป่าชายเลนกันตอ่ ไป...”

พระราชดำรสั พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยูห่ ัว
10 พฤษภาคม 2534

“พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สอนข้าพเจ้าว่า ป่าไม้ชายเลนนี้สำคัญที่สุด
เพราะว่าเป็นที่เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ เพราะพวกเราเองก็รับประทานปลา แล้วทานปู
ทานกุ้งกันเยอะแยะ เพราะฉะนั้นป่าชายเลนนี้สำคัญในการที่จะรักษาเอาไว้เพื่อ
รักษาพันธุ์ปลา พันธุ์กุ้ง ปู ให้มีมากมายเหมือนแต่เก่าก่อน ขณะนี้ป่าชายเลนถูก
ทำลายมากมายก่ายกอง เรานา่ จะสอนใหล้ ูกหลานเราให้รถู้ ึงคุณค่าของป่าชายเลน
ที่มีประโยชน์ต่อคนไทยทุกคนในแผ่นดินนี้ที่ช่วยเก็บรักษาอาหาร เช่น พันธุ์ปลา
ตา่ งๆ”

พระราชเสาวนยี ส์ มเดจ็ พระนางเจา้ สิรกิ ิติ์ พระบรมราชนิ นี าถ
เนือ่ งในวโรกาสวนั เฉลมิ พระชนมพรรษา
12 สงิ หาคม 2544

“...พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสอนข้าพเจ้าเสมอว่าป่าชายเลนให้ช่วยกัน
ระวังรักษาเพราะว่าป่าชายเลนนี่เหมือนสถานอนุบาลของสัตว์น้ำเล็กๆ ตอนที่
เขายังเล็กๆ เขาไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ การที่มปี า่ ชายเลนก็ทำให้เขาเลี้ยงตัว
ได้และรอดชีวิตเป็นปลาใหญ่ขึ้นมา เป็นกุ้งใหญ่ ปูใหญ่ เจริญเติบโตแล้วก็เป็น
อาหารของมนุษย์ต่อไป แต่ถ้าไม่มปี า่ ชายเลนแล้วพันธุป์ ลา พันธุ์กุง้ พันธุ์ปกู ็จะ
ค่อยๆ สูญไป ก็เท่ากับเป็นสถานอนุบาล นี่เป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงสอนข้าพเจ้าไว้ กเ็ ลยตั้งหน้าตัง้ ตาสนับสนนุ ปา่ ชายเลน...”

พระราชเสาวนยี ส์ มเด็จพระนางเจา้ สริ กิ ิต์ิ พระบรมราชินีนาถ
เนอื่ งในวโรกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา
12 สงิ หาคม 2546


บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 139

ในกรณีของชายทะเลบางขุนเทียนซึ่งมีความสำคัญต่อสมดุลของระบบนิเวศชายฝ่ัง
ทะเลของกรุงเทพมหานครเป็นอย่างมาก พระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ได้เคยมพี ระราชดำรสั
รับสั่งให้ช่วยกันรักษาสภาพแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติชายทะเลบางขุนเทียนให้คง
สภาพสวยงามและมีคุณคา่ รัฐบาลจงึ ได้ให้ความสำคัญกบั พืน้ ท่ชี ายฝ่งั ทะเลบางขนุ เทียนมาก
เป็นพิเศษ ด้วยการมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ ภาคประชาชน และ
ภาคเอกชน ท้งั ในประเทศและตา่ งประเทศ ชว่ ยกันหาทางยับยั้งการพงั ทลายของชายฝั่งและ
พลิกฟื้นผืนป่าชายเลนที่สูญเสียไปในอดีตให้กลับคืนมา เพื่อเป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจของ
ประชาชน เปน็ ท่ีอย่อู าศัยของสัตวน์ ำ้ และที่สำคญั คอื เปน็ หน้าเปน็ ตาของกรุงเทพมหานคร

กรุงเทพมหานคร โดยสำนักงานสวนสาธารณะ สำนักส่ิงแวดล้อม ร่วมกบั มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ จึงไดจ้ ดั ทำโครงการ “การปลกู พันธไุ์ มป้ า่ ชายเลนปรบั ปรงุ ภมู ทิ ัศนช์ ายทะเล
บางขุนเทียนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูระบบ
นิเวศป่าชายเลนบริเวณชายทะเลบางขุนเทียน ปรับปรุงสภาพแวดล้อมและภูมิทัศน์ให้

สวยงาม เหมาะแก่การพักผ่อน
หย่อนใจและการท่องเที่ยวเชิง
อนุรักษ์ รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้
ชุมชนท้องถิ่นได้มีส่วนร่วมในการ
อนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนแห่งน้ี
ให้คงอยู่คู่กบั ชายทะเลบางขนุ เทียน
และกรงุ เทพมหานครตลอดไป

แมว้ า่ โครงการฯ จะมปี ัญหา อปุ สรรคในการดำเนินงานอยู่บา้ ง เพราะราษฎรบางราย
ไม่ยอมให้เขา้ ไปยกคนั ดนิ และปลูกต้นไม้ในทดี่ นิ ของโครงการฯ ซึง่ มีแนวเขตติดตอ่ กับทีท่ ำกนิ
ของราษฎร แต่ในภาพรวมโครงการฯ ได้รับความร่วมมือจากทุกภาคส่วนราชการและชุมชน
ทเี่ กี่ยวข้องอยา่ งดยี งิ่ โดยเฉพาะอยา่ งย่งิ สำนกั งานเขตบางขนุ เทียน วดั และโรงเรียนในพ้ืนที่
และที่สำคัญที่สุดคือชาวบ้านผู้มีอาชีพเลี้ยงกุ้งที่บางขุนเทียน ซึ่งทราบดีว่ากุ้ง ปลา และป่า
ชายเลนต้องอยรู่ ว่ มกนั

นายอุบล พึง่ สาย อายุ 66 ปี ตัง้ บ้านเรอื นอยู่รมิ ลำคลอง บ้านเลขท่ี 106/1 หมู่ที่ 9
แขวงท่าข้าม มีอาชีพเลี้ยงกุ้งมากว่า 30 ปีแล้ว โดยขุดบ่อในเนื้อที่ 53 ไร่ หนึ่งบ่อ เป็นรูป
ยาวรีสี่เหลี่ยมผืนผ้า ปลูกต้นแสมรอบบ่อให้มีระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50 เซนติเมตร


140 รวมเรือ่ งสวนป่า

เพื่อยึดดิน ป้องกันการพังทลายของขอบบ่อ นายอุบล
พึ่งสาย เล่าให้ฟังว่า แสมยึดดินได้ดีกว่าโกงกาง แต่ต้อง
จัดการอย่าให้ลูกแสมร่วงลงบ่อกุ้ง มิฉะนั้นลูกแสมซ่ึง
ร่วงหล่นปีละครั้งจะทำให้น้ำในบ่อเน่าเสียได้ นายอุบล
พึ่งสาย จัดการกับต้นแสมขอบบ่อด้วยการตดั ยอดให้สูง
จากขอบบอ่ ประมาณ 80 เซนติเมตร ถึง 1.0 เมตร ทุกๆ
3 เดือน เสียค่าใช้จ่ายครั้งละ 2,000 บาท กิ่ง ใบ ที่ถูก
ตัดก็ปล่อยให้ตกและค่อยๆ จมลงก้นบ่อแล้วผุสลาย
กลายเป็นอาหารของสัตว์น้ำ การเลี้ยงกุ้งของนายอุบล
พึ่งสาย เป็นการเลยี้ งตามธรรมชาติ ไมต่ ้องไปซื้อลกู ก้งุ มาปลอ่ ยลงในบ่อ ไม่ต้องให้อาหารแก่
กุ้งท่เี ล้ียง มีเพียงการเปดิ /ปิดนำ้ เข้าบอ่ คา่ ใช้จา่ ยหลักก็มีเพยี งการจับก้งุ ทกุ ๆ 15 วัน ซึ่งได้ก้งุ
ประมาณครั้งละ 100 กิโลกรัม และค่าจ้างตัดยอดแสมทุกๆ 3 เดือน ครั้งละ 2,000 บาท
เทา่ นั้น

แสมเปน็ พนั ธไ์ุ มป้ ่าชายเลนทีม่ รี ากหายใจคลา้ ยดินสอ โผลเ่ หนอื ผิวดนิ ข้ึนมาประมาณ
10 - 30 เซนติเมตร ในประเทศไทย มี 3 ชนิด คือ แสมทะเล (Avicennia marina) แสมดำ
(Avicennia officinalis) และแสมขาว (Avicennia alba) แก่นของไม้แสมดำและแสมขาว
มีคุณค่าทางสมุนไพร มีรสเค็มเฝื่อน ใช้ต้มน้ำกินแก้ลมในกระดูก แก้โรคกษัย และใช้เป็นยา
ขับโลหิตสำหรับสตรี เรือนยอดของต้นแสมทะเลโปร่งกว่าแสมขาวและแสมดำ แสมทะเลจงึ
เหมาะสำหรับปลูกรอบขอบบ่อกุ้งมากกว่าไม้แสมอีกสองชนิด รากอากาศและร่มเงาของ
เรือนยอดคือแหล่งอนุบาลและถิ่นที่อยู่อาศัยของกุ้ง ใบที่ย่อยสลายคือแหล่งอาหารตาม

ธรรมชาตขิ องกงุ้ ในบ่อ

นางแตงไทย นานยืนยง อายุ 73 ปี ต้ัง
บ้านเรือนอยู่เลขที่ 101/2 หมู่ที่ 9 แขวงท่าข้าม เป็น
เกษตรกรผูม้ ภี ูมปิ ัญญาชาวบา้ นสงู อกี รายหน่ึงของเขต
บางขุนเทยี น ซึ่งมอี าชีพเลยี้ งกงุ้ โดยวธิ ธี รรมชาติมากว่า
20 ปีแล้ว นางแตงไทย นานยืนยง มีบ่อกุ้งเนื้อที่
ประมาณ 37 ไร่ อยู่ระหว่างคลอง 2 และคลอง 3
ปลูกทั้งโกงกางใบใหญ่และโกงกางใบเล็กไว้รอบขอบ


บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 141

บ่อกุ้ง 2 - 3 แถว โดยมีระยะห่างระหว่างต้นราว 50 - 100 เซนติเมตร เพื่อเป็นแนวปอ้ งกัน
ลมพายุ และป้องกันตลง่ิ ขอบบ่อพงั รวมทง้ั เม่อื ทำการตักดนิ ลอกบ่อก็สามารถโยนดินท้ิงหลัง
แนวต้นโกงกางซึ่งกันไม่ให้ขี้เลนไหลลงสู่บ่อได้อีกด้วย นางแตงไทย นานยืนยง เล่าว่า ต้น
โกงกางที่ปลูกไม่เคยมีการตัดแต่งกิ่งและยอด จะตัดก็ต่อเมื่อต้องการไม้ไปใช้สอยเป็นคร้ัง
คราวเทา่ น้นั ฝักทรี่ ว่ งหล่นบนคันดนิ ขอบบ่อกป็ ล่อยใหง้ อกและเจรญิ เติบโตตามธรรมชาติ ใบ
ที่รว่ งหล่นลงในบอ่ กุง้ ไมเ่ คยกอ่ ปญั หาน้ำเน่าเสียให้แกก่ ารเลีย้ งกุ้งเลย

ไมโ้ กงกางทพ่ี บในประเทศไทย มี 2 ชนดิ คือ โกงกางใบเล็ก (Rhizophora apiculata)
และโกงกางใบใหญ่ (Rhizophora mucronata) ทั้งคู่มีรากค้ำจุนซึ่งทำหน้าท่ีพยุงลำต้นและ
ป้องกันการพังทลายของดินชายฝั่งได้เป็นอย่างดี เนื้อไม้ใช้ในการก่อสร้าง ทำฟืน เผาถ่าน
เปลอื กมีคุณคา่ ในเชงิ สมุนไพร

นอกจากนายอุบล พึ่งสาย และนางแตงไทย นานยืนยง แล้ว ยังมีผู้ประกอบอาชีพ
เล้ยี งกุ้งท่ีบางขุนเทยี นรุ่นเกา่ อีกหลายรายทไ่ี ด้ปลูกพนั ธไ์ุ มป้ ่าชายเลนรอบบ่อกุ้ง ด้วยตระหนัก
ถึงบทบาทความสำคัญของพันธุ์ไม้ป่าชายเลนบนคันดินรอบบ่อกุ้ง อันเป็นการเลี้ยงกุ้งโดย
อาศัยภูมิปัญญาท้องถิ่นตามแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซ่ึง
แตกต่างไปจากเกษตรกรผู้เลี้ยงกุ้งต่างถิน่ รุ่นใหม่บางรายที่คิดว่าพันธ์ุไม้ป่าชายเลนบนคันดิน
รอบบอ่ กุ้งกอ่ ให้เกิดปัญหานำ้ เน่าเสยี ซ่งึ นอกจากจะไม่ปลูกแลว้ ยงั จะต้องกำจัดต้นไม้เหล่านั้น
ออกไปใหห้ มดโดยสน้ิ เชิงอีกด้วย

น่ีคอื ความแตกต่างระหว่างวยั ในการทำมาหากินของคนอาชีพเดียวกนั

นี่คือภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนท่าข้ามที่ควรค่าแก่ความภาคภูมิใจ ซึ่งควรจะต้อง
รักษาไว้และถา่ ยทอดสชู่ ุมชนอน่ื ตอ่ ไป


Click to View FlipBook Version