The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Forestry Research Center, 2022-11-28 22:40:29

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์

รวมเรื่องสวนป่าของอาจารย์บุญวงศ์เป็นบทความที่อาจารย์บุญวงศ์ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้

Keywords: สวนป่า,ไม้เศรษฐกิจ,ยูคาลิปตัส,สัก,ไผ่,เทพทาโร,พะยูง,หยีน้ำ,วนเกษตร,เสม็ดขาว

292 รวมเร่ืองสวนป่า

ผลผลิตต่อไรข่ องเนือ้ ไม้ยคู าลิปตสั ย่อมผนั แปรไปตามช้นั คุณภาพพ้ืนที่ (site quality)
สายต้น (clone) และการจัดการ (management) โดยนักวิจัยได้เลือกศึกษาในสวนป่า
เอกชนซึ่งมีสายต้นและการจัดการเหมือนกัน แต่มีชั้นคุณภาพของพื้นที่ต่างกัน 3 ระดับ คือ
ดี ปานกลาง และเลว มีระยะปลูกต่างกนั 3 ระยะ คือ 2.0 x 1.5 เมตร (533 ต้นต่อไร)่ 2.0 x
2.0 เมตร (400 ต้นตอ่ ไร่) และ 2.0 x 3.0 เมตร (267 ต้นต่อไร่)

ส่วนการวิเคราะหด์ ้านการเงินนั้น นักวิจัยได้อาศยั 3 วิธีหลักซ่ึงใช้กนั อยู่ท่ัว ๆ ไป ใน
การศึกษาวิจัยทางเศรษฐศาสตร์ อันได้แก่ อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C ratio:
Benefit/Cost) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV : Net Present Value) และอัตราผลตอบแทน
ภายใน (IRR : Internal Rate of Return) ทั้งนี้โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ร้อยละ 5, 7,
9, 11, และ 13 และกำหนดราคาในการซอื้ ขายไม้ทอ่ นไวท้ ี่ตันละ 700 บาท, 800 บาท, 900
บาท, 1,000 บาท และ 1,100 บาท อายุรอบหมุนเวยี นในการตดั ฟนั ไมท้ ่ใี ชค้ ือ 3 ปี

ศูนย์วิจัยป่าไม้ได้ทำการศึกษาเม่อื ปี พ.ศ. 2539 พบวา่ สดั ส่วนของไมย้ ูคาลปิ ตสั ที่
ใชท้ ำเปน็ สินค้าไดม้ ีค่าเท่ากบั 0.8142 นนั่ คือ นำ้ หนกั ของไม้ยูคาลปิ ตัสทใ่ี ชใ้ นการซ้ือขาย
หรอื ทำเป็นสนิ คา้ ได้สามารถคำนวณไดโ้ ดยใชน้ ำ้ หนกั สดต่อไรข่ องเน้อื ไม้คูณดว้ ย 0.8142

โดยทั่วไปแล้วการวิเคราะห์โครงการถือเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจที่จะใช้
ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพตามหลักวิชาการ เพราะการวิเคราะห์โครงการจะต้องมีการ
ประเมินผลตอบแทน (benefit) และค่าใชจ้ ่าย (cost) ของแตล่ ะโครงการ ถ้าผลตอบแทนสูง
กว่าค่าใช้จ่ายก็แสดงว่าโครงการนั้นให้ผลตอบแทนคุ้มค่าควรแก่การลงทุน การวิเคราะห์
โครงการมี 2 ประเภทคือ การวเิ คราะห์ทางเศรษฐกิจ (economic analysis) และการวิเคราะห์
ทางการเงนิ (financial analysis)

โดยหลักการแล้ว การวิเคราะหท์ างเศรษฐกิจเป็นการมองต้นทนุ และผลประโยชนท์ าง
เศรษฐกิจของประเทศเป็นสำคัญ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์ผลตอบแทนทางตรงและ
ผลตอบแทนทางอ้อม ในขณะที่การวิเคราะห์ทางการเงินนั้นเป็นการวิเคราะห์ถึงการลงทุน
และผลตอบแทนของโครงการในแง่ของเอกชนโดยมุ่งผลกำไรทางการเงินเป็นสำคัญ
ผลตอบแทนท่นี ำมาคำนวณจึงมเี พียงผลตอบแทนทางตรงเท่าน้นั

จากการศกึ ษาผลผลิตตอ่ ไร่ของไมย้ คู าลิปตัสอายุ 3 ปีที่จงั หวัดสุรนิ ทรข์ องนายอำนาจ
ขำทวพี รหม พบวา่ ระยะปลกู 2.0 x 3.0 เมตร ใหผ้ ลผลติ สงู ท่สี ดุ ในทุกระดบั ชนั้ คณุ ภาพพ้นื ที่
คือ 12.36 ตันต่อไร่สำหรับชั้นคุณภาพพื้นที่ดี 10.51 ตันต่อไร่สำหรับชั้นคุณภาพพื้นท่ี

บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 293

ปานกลาง และ 8.65 ตันต่อไร่สำหรับชั้นคุณภาพพื้นที่เลว หรือถ้าจะมองในแง่ของความ
เพม่ิ พูนรายปใี นชน้ั คุณภาพพนื้ ทด่ี ังกล่าวก็จะได้ผลผลติ ของเนือ้ ไม้ 4.12 ตนั ตอ่ ไรต่ ่อปี 3.50
ตันต่อไร่ต่อปี และ 2.88 ตันต่อไรต่ ่อปี ตามลำดบั

ค่าความเพิ่มพูนรายปีของชั้นคุณภาพพื้นที่ดี ปานกลาง และเลว ที่ได้จากการศึกษา
ในจังหวัดสุรินทร์ของนายอำนาจ ขำทวีพรหม ในครั้งนี้สามารถเทียบได้กับผลงานวิจัยเรื่อง
“ศักยภาพทางกายภาพของพื้นทีส่ ำหรับการปลูกไมย้ ูคาลิปตสั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ตอนลา่ ง” ของนายวรวทิ ย์ อินศวร ซึ่งพบว่า กลมุ่ ชดุ ดนิ ท่ีเหมาะสมต่อการปลูกไม้ยูคาลิปตัส
เป็นอย่างยงิ่ คือ กล่มุ ชดุ ดนิ ท่ี 38 มคี วามเพิม่ พนู 4.17 ตนั ต่อไร่ต่อปี กลุ่มชดุ ดินทเ่ี หมาะสม
ต่อการปลูกไม้ยูคาลิปตัสเป็นอย่างมาก คือ กลุ่มชุดดินที่ 33, 44 และ 46 มีความเพิ่มพูน
3.42 ตันต่อไร่ต่อปี และกลุ่มชุดดินที่เหมาะสมต่อการปลูกไม้ยูคาลิปตัส คือ กลุ่มชุดดินที่
29, 35, 36, 40, 41, 47, 48, 49 และ 55 มคี วามเพม่ิ พนู 2.67 ตันต่อไร่ตอ่ ปี

ตามการวิเคราะห์ด้านการเงินของการปลูกยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิสในจังหวัด
สุรินทร์ของนายอำนาจ ขำทวีพรหม ปรากฏว่าไม้ยูคาลิปตัสที่มีระยะปลูก 2.0 x 3.0 เมตร
อายุ 3 ปี มีตน้ ทุนในการปลกู ไรล่ ะ 3,601 บาท แยกเป็นค่าใช้จา่ ยในปีที่หนงึ่ ปีทีส่ อง และปี
ทสี่ ามเท่ากบั 2,053 บาท 1,028 บาท และ 520 บาท ตามลำดับ โดยคา่ เชา่ ทีด่ ิน (ไรล่ ะ 400
บาทตอ่ ป)ี เปน็ คา่ ใชจ้ า่ ยทส่ี งู ท่ีสดุ ในสองปีสุดทา้ ย ในขณะท่ีคา่ กล้าไม้ (440 บาทต่อไร่) เป็น
ต้นทุนสูงที่สุดในปีแรก รองลงมาคือค่าเช่าที่ดิน (400 บาทต่อไร่) นอกจากนี้ยังมีต้นทุนใน
การทำไมอ้ อกอกี ตันละ 120 บาท

ผลการวิเคราะห์ด้านการเงินทั้งสามวิธีพบว่าถ้าสามารถจัดการให้ไม้ยูคาลิปตัสใน
สวนป่ามีความเพิ่มพูนเกินกวา่ 2.88 ตนั ต่อไรต่ ่อปี เกษตรกรเจ้าของสวนกจ็ ะได้กำไร ไม่ว่า
ชั้นคุณภาพของพื้นที่ปลูกจะเลว (ได้ไม้ 2.88 ตันต่อไร่ต่อปี) อัตราดอกเบี้ยจะสูง (ร้อยละ
13) และราคาไม้จะต่ำ (ตันละ 700 บาท) ก็ตาม หากชั้นคุณภาพพื้นที่ดีขึ้น อัตราดอกเบ้ีย
ตำ่ ลง และราคาไมส้ งู ขน้ึ เกษตรกรกจ็ ะยิ่งไดก้ ำไรมากขึ้น

ตัวเลขในตารางขา้ งลา่ งนี้แสดงให้เห็นวา่ มูลคา่ ปัจจบุ นั สุทธิของไม้ยูคาลิปตสั อายุ 3 ปี
ผันแปรตั้งแต่ 495 บาทต่อไร่ ถ้าชั้นคุณภาพพื้นที่เลว อัตราดอกเบี้ยสูงถึงร้อยละ 13 และ
ราคาไม้เพียงตันละ 700 บาท ไปจนถึง 7,127 บาทต่อไร่ ถ้าชั้นคุณภาพพื้นที่ดี อัตรา
ดอกเบย้ี ต่ำเพียงร้อยละ 5 และราคาไมส้ งู ถึงตนั ละ 1,100 บาท

294 รวมเรื่องสวนปา่

หรือถา้ จะพิจารณาจากอัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทนุ ก็จะพบว่าค่า B/C ratio ผันแปร
ตั้งแต่ 1.13 ถึง 2.54 และค่าอัตราผลตอบแทนภายใน (IRR) ผันแปรระหว่าง 95.11 ถึง
185.86 หากชั้นคุณภาพของพนื้ ทีเ่ ลว อัตราดอกเบย้ี สงู ที่สดุ ราคาไม้ต่ำทีส่ ุด และชัน้ คุณภาพ
พ้ืนที่ดี อตั ราดอกเบีย้ ต่ำท่สี ดุ และราคาไม้สูงทส่ี ดุ ตามลำดับ

มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (NPV) ของไม้ยูคาลิปตัสอายุ 3 ปี ที่มีราคาไม้ อัตราดอกเบี้ย และช้ัน

คณุ ภาพของพืน้ ทีป่ ลกู ตา่ ง ๆ กัน

(หนว่ ย : บาทตอ่ ไร่)

ราคาไม้ ดอกเบ้ยี ชั้นคณุ ภาพพื้นท/ี่ ความเพมิ่ พูน (ตนั /ไร/่ ป)ี
(บาท/ตัน) (%)
ดี (4.12) ปานกลาง (3.50) เลว (2.88)
700 5
7 2,856 1,929 997
800 9
11 2,611 1,735 854
900 13
2,385 1,557 724
1,000 5
7 2,178 1,393 604
1,100 9
11 1,986 1,242 495
13
3,924 2,837 1,744
5
7 3,620 2,593 1,560
9
11 3,340 2,368 1,392
13
3,081 2,162 1,237
5
7 2,843 1,971 1,094
9
11 4,991 3,745 2,491
13
4,629 3,451 2,267
5
7 4,294 3,180 2,060
9
11 3,985 2,930 1,869
13
3,699 2,699 1,694

6,059 4,653 3,239

5,638 4,309 2,973

5,249 3,992 2,728

4,889 3,699 2,502

4,556 3,428 2,293

7,127 5,561 3,986

6,647 5,167 3,679

6,203 4,803 3,396

5,793 4,467 3,134

5,413 4,156 2,893

บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 295

นั่นคือ ภายใต้เงื่อนไขการลงทนุ และผลตอบแทนดงั กล่าว การปลกู ไม้ยูคาลปิ ตสั ได้
กำไรในทุกกรณี

ปัจจุบัน (พ.ศ. 2551) อัตราดอกเบี้ยเพื่อการลงทุนตกประมาณร้อยละ 6–7 และ
ราคาไม้ที่ซื้อขายกันที่หน้าโรงงานสูงถึงตันละ 1,000–1,200 บาท เกษตรกรผู้ปลูกไม้ยูคา
ลิปตสั จะไดก้ ำไรแนน่ อนหากสามารถจดั การให้สวนปา่ มีผลผลิตของเนื้อไมส้ ดไม่ต่ำกว่า 2.88
ตันต่อไรต่ ่อปี หรือ 8.65 ตันตอ่ ไร่ ณ อายุรอบหมนุ เวียนในการตัดฟัน 3 ปี

สิ่งที่น่าจะต้องนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจเพิ่มเติมก็คือราคาน้ำมันซ่ึง
กำลังพุ่งสูงขึ้นทุกวัน จนวันนี้ขึ้นมาถึงลิตรละ 36 บาทแล้ว เกษตรกรจะต้องรับผิดชอบ
ค่าขนส่งไม้จากสวนป่ามาถึงโรงงานเอง สวนป่าที่อยู่ใกล้ตลาดมากเพียงใดย่อมทำให้
เกษตรกรไดก้ ำไรมากข้นึ เท่านนั้

53 ปลกู ไมส้ กั ทไ่ี หน
จึงจะได้กำไรงาม

ไม้สักแม้จะเป็นไม้ที่รู้จักกันแพร่หลายทั่วโลกในแทบทุกวงการ แต่ก็มีถิ่นกำเนิดตาม
ธรรมชาติอยู่เฉพาะในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว และอินโดนีเซีย เท่านั้น ยิ่งไปกว่านัน้
วงการค้าไม้สกั ทวั่ โลกตา่ งก็ยอมรับตรงกันว่าไม้สักจากประเทศไทย และประเทศพม่าเท่านั้น
ที่เป็น “ไม้สักทอง” ซึ่งเป็นความต้องการของตลาดโลก ทั้ง ๆ ที่โดยข้อเท็จจริงทางวิชาการ
แล้วปรากฏว่าไม้สักมีอยู่เพียงชนิดเดียว สายพันธุ์เดียว คือ Tectona grandis ส่วนจะเป็น
ไม้สกั ทองหรือไม่ขน้ึ อย่กู บั สภาพแวดล้อมของพ้ืนที่ ไม่ใช่ขึน้ อยู่กบั พันธุกรรม

ข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติระบุวา่ ในปี พ.ศ. 2544 มีเน้อื ที่
สวนสักอยู่ทั้งสิ้นประมาณ 36 ล้านไร่ ประเทศไทยมีมากเป็นลำดับที่สามของโลกคือ 5
ล้านไรเ่ ศษ รองจากอินเดีย (16 ล้านไร)่ และอนิ โดนเี ซีย (9 ลา้ นไร)่

สำหรับประเทศไทยนั้น กรมป่าไม้ได้ทำการปลูกสร้างสวนสักขึ้นเป็นครั้งแรกในปี
พ.ศ. 2449 ในรูปของการทดลองโดยวิธีอาศัยชาวไร่ (Taungya Plantation) ที่จังหวัดแพร่
โดยพระยาวนั พฤกษพิจารณ์ (บิดาของ ฯพณฯ พลอากาศเอก สิทธิ เศวตศิลา องคมนตรี)
ในสมัยท่ี Mr. W.F. Lloyd ชาวอังกฤษเปน็ อธบิ ดีกรมป่าไม้ ตอ่ มาในปี พ.ศ. 2510 องค์การ
อุตสาหกรรมป่าไม้และบริษัทไม้อัดไทยจำกัด ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและ
สหกรณ์ก็ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการปลูกสร้างสวนสักอีกแรงหนึ่ง ในขณะที่ภาคเอกชนได้
เริ่มทำการปลูกสร้างสวนสกั ในเชิงพาณิชย์อย่างจริง ๆ จัง ๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2535 เป็นต้นมา
ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับการที่กรมป่าไม้ได้ประกาศใช้พระราชบัญญัติการปลูกสร้างสวนป่า
พุทธศักราช 2535

สกั เปน็ ไมท้ ี่ปลกู ง่าย ตายยาก แตอ่ ตั ราการเจริญเตบิ โตของไมส้ กั นนั้ เอาแน่นอนไม่ได้
ถ้าสภาพแวดลอ้ มเหมาะสม การเติบโตในระยะแรก ๆ จะรวดเรว็ มากพอ ๆ กับไม้ยูคาลปิ ตัส
และไม้ตะกูซึ่งฮือฮากันมากในขณะนี้ กล่าวคือไม้สักอายุ 1 ปีอาจจะสูงถึง 5 เมตรก็เป็นได้

พิมพค์ ร้ังแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (85) : 43–45; 8 (86) : 43–45 (พ.ศ. 2551)

บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 297

แต่ถ้าปัจจัยแวดล้อมของพื้นที่ปลูกไม่เอื้ออำนวย ไม้สักอายุ 1 ปี อาจจะสูงไม่ถึง 30
เซนติเมตร กเ็ ปน็ ไปไดเ้ ช่นกนั

ความสูงจากระดับนำ้ ทะเลเป็นปัจจยั ท่ีสำคญั ทส่ี ุดในการเลือกพื้นทปี่ ลูกไม้สัก คือต้อง
ไม่เกิน 700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลาง ปัจจัยสิ่งแวดล้อมที่เอือ้ อำนวยตอ่ การ
เจริญเติบโตและคุณภาพของไม้สัก ได้แก่ ความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางอยู่
ระหว่าง 200-700 เมตร สภาพภูมิประเทศมีความลาดชันเล็กนอ้ ย ความลาดชันไม่ควรเกิน
15 เปอร์เซ็นต์ น้ำไม่ท่วมขัง ดินเป็นดินตะกอนทับถมซึ่งสลายตัวมาจากหินปูน มีปริมาณ
แคลเซียมและฟอสฟอรสั ค่อนข้างสงู ค่าความเปน็ กรดเป็นดา่ ง (pH) ประมาณ 6.5-7.5 และ
สภาพภูมิอากาศ ปริมาณน้ำฝน
รายปีเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 1,250-
1,650 มิลลิเมตร มีช่วงฤดูแล้งที่
ชดั เจน 3-5 เดอื น อุณหภมู ิเฉลย่ี อยู่
ระหว่าง 27-36 องศาเซลเซียสใน
เวลากลางวัน และ 20-30 องศา
เซลเซียสในเวลากลางคืน และมี
ความเข้มของแสงสว่างประมาณ
75-95 เปอร์เซ็นต์

การเติบโตของไม้สักจัดอยู่ในประเภท Periodic Growth คือมีช่วงฤดูการเติบโตใน
รอบปีที่แน่นอนชัดเจน โดยการเติบโตทางความสูงจะอยู่ในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงสิงหาคม
ปีละ 4 เดือน มีอัตราการเติบโตทางด้านความสูงสูงที่สุดในเดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นต้นฤดูฝน
ส่วนทางด้านความโตนั้นมีอัตราความเพิ่มพูนสูงที่สุดในช่วงกลางฤดูฝนคือเดือนกรกฎาคม
และสิ้นสุดการเติบโตทางเส้นผ่านศูนย์กลางของลำต้นในเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม ช่วง
อัตราการเติบโตดังกล่าวอาจจะเปลี่ยนแปลงได้บ้างเล็กน้อยตามสภาพภูมิอากาศของแต่ละ
ท้องทใ่ี นแต่ละปี

เกี่ยวกับความผันแปรด้านการเติบโตของไม้สักในสภาพแวดล้อมต่าง ๆ กันนั้น
นกั วิชาการปา่ ไมข้ องไทยได้ทำการศึกษาวจิ ัยมานานพอสมควรแล้ว หนึง่ ในจำนวนผลงานวิจัย
ซึ่งค่อนข้างจะคลาสสิกและมีการอ้างอิงถึงกันเป็นประจำก็คือ วิทยานิพนธ์ปริญญาโท
สาขาวิชาวนวัฒนวิทยา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ของ นายสมเกียรติ จันทร์ไพแสง
(ปัจจบุ ันเป็นอาจารย์อยูท่ ีม่ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช) เร่อื ง “ผลผลิตของสวนปา่ ไมส้ กั ”

298 รวมเรือ่ งสวนป่า

เมื่อปี พ.ศ. 2520 ซึ่งพบว่าปริมาตรของไม้
สักใต้เปลอื กทใ่ี ช้ทำเปน็ สนิ คา้ ได้ในภาคเหนือ
ของประเทศไทยผันแปรไปตามชั้นคุณภาพ
ของพื้นที่ (site quality) เป็นอย่างมาก หาก
ยึดเอาปริมาตร 25-26 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่
เป็นบรรทัดฐาน ตัวเลขในตารางที่ 1 แสดง
ให้เหน็ วา่ ไม้สักทป่ี ลูกในชั้นคณุ ภาพพ้ืนที่ท่ีดี
ที่สุดจะให้ปริมาณ 26.19 ลูกบาศก์เมตรต่อ
ไร่ภายในเวลาเพียง 25 ปี แต่ถ้าปลูกในสภาพพื้นที่ที่ไม่เหมาะสมที่สุด เมื่ออายุ 60 ปีจะให้
ปริมาตรที่ใช้ทำเป็นสินค้าได้เพียง 25.85 ลูกบาศก์เมตรต่อไร่เท่านั้น หรือถ้าจะกำหนดอายุ
รอบหมุนเวียนของการตัดฟันเฉลี่ยไว้ที่ 30 ปี ชั้นคุณภาพของพื้นที่ปานกลางจะได้ไม้ 22.40
ลูกบาศก์เมตรต่อไร่ แต่ถ้าเป็นชั้นคุณภาพพื้นที่ดีจะได้ปริมาตรดังกล่าว ณ อายุการตัดฟัน
เพียง 20 ปีเท่านั้น หรือถ้าเป็นชั้นคุณภาพพื้นที่เลวต้องใช้เวลาถึง 50 ปีจึงจะได้ปริมาตรถึง
22.79 ลูกบาศก์เมตรตอ่ ไร่

ตารางที่ 1 ปริมาตรใต้เปลือกของไม้สักที่ใช้ทำสินค้าได้ ณ อายุการตัดฟันและช้ันคุณภาพ
พ้นื ที่ปลูกต่างกนั ในภาคเหนือของประเทศไทย

อายุ ปรมิ าตร (ลบ.ม.ต่อไร่) ตามช้นั คุณภาพพ้นื ท่ีต่าง ๆ

(ป)ี เลว ค่อนขา้ งเลว ปานกลาง คอ่ นข้างดี ดี

10 3.69 6.03 8.36 10.69 13.03

15 7.50 9.83 12.75 15.08 15.58

20 10.71 13.63 16.55 19.47 22.97

25 13.12 16.27 19.53 22.69 26.19

30 15.40 18.90 22.40 25.90 29.40

35 17.80 21.30 24.81 28.31 32.04

40 19.51 23.01 26.51 30.59 34.09

45 21.09 25.06 28.56 32.41 35.91

50 22.79 26.88 30.38 34.11 37.61

55 24.38 28.58 32.08 35.81 39.66

60 25.85 30.16 33.90 37.40 41.48

บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 299

ดร.อภิชาติ ขาวสอาด อดีตผู้เชี่ยวชาญดา้ นไม้สักของประเทศไทย (ถึงแก่กรรมแลว้ )
ก็ได้รายงานการเจริญเตบิ โตของไมส้ ักทีป่ ลูกในสภาพพื้นที่ตา่ ง ๆกันในภาคเหนือเมือ่ ปี พ.ศ.
2534 ว่า ไม้สักที่ปลูกในสภาพพื้นที่ปานกลางจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 22.44
เซนติเมตร เมื่อมีอายุ 30 ปี ถ้าปลูกในสภาพพื้นที่ดีเส้นผ่านศูนย์กลางจะพุ่งขึ้นถึง 28.80
เซนติเมตร เมื่ออายุเพียง 20 ปีเท่านั้น แต่ถ้าสภาพพื้นที่ไม่ดีอายุ 60 ปียังโตเพียง 21.61
เซนติเมตร เทา่ นน้ั ดงั รายละเอียดในตารางที่ 2

ตารางท่ี 2 การเตบิ โตของไมส้ กั ในสวนปา่ เมือ่ ปลูกในสภาพพนื้ ท่ีต่าง ๆ กนั ในภาคเหนือของ
ประเทศไทย

อายุ พนื้ ท่ไี มด่ ี พ้ืนท่ปี านกลาง พ้ืนท่ีดี
DBH H DBH H
(ป)ี DBH H 9.99 9.40 13.80 14.10
17.73 16.60 24.48 28.80
10 6.14 4.70 22.44 20.00 30.59 30.00
25.94 22.00 34.92 33.00
20 10.95 8.30 28.87 23.30 38.39 34.90
31.48 24.20 41.38 36.30
30 14.26 10.00

40 16.96 11.00

50 19.35 11.6

60 21.61 12.1

หมายเหตุ: DBH = เส้นผ่านศนู ย์กลาง (ซม.) H = ความสูง (ม.)

นายเรวัต พิมสาร นิสิตปริญญาโทสาขาการบริหารทรัพยากรป่าไม้ คณะวนศาสตร์
(ปริญญาโทภาคพิเศษ) ได้ทำวิทยานิพนธ์เรื่อง “การวิเคราะห์ทางการเงินของการปลูก
สร้างสวนป่าไม้สักแม่เมาะ จังหวัดลำปาง” เมื่อปี พ.ศ. 2550 โดยมีรองศาสตราจารย์
ดร. วุฒิพล หวั เมืองแก้ว เปน็ ประธานกรรมการทป่ี รึกษา

สวนป่าแม่เมาะตั้งอยู่ในท้องที่อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เป็นหนึ่งในหกสวนป่า
แรกขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) เริ่มดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 มีเนื้อท่ี
ตามทะเบียนรวม 20,013 ไร่ แต่เกือบหนึ่งในสามได้อนุญาตให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิ ตแห่ง
ประเทศไทยเขา้ ไปใช้ประโยชน์ทำเหมืองลิกไนต์ ปัจจบุ ันมเี นือ้ ทสี่ วนปา่ เชิงพาณิชย์ซึ่งได้วาง
แผนการจัดการตามหลักวิชาการรวม 14,304 ไร่ เป็นสวนไม้สัก 13,622 ไร่ หรือร้อยละ
95.23 ของพน้ื ท่สี วนปา่ เชิงพาณิชยท์ ั้งหมด รองลงมาคือ สวนไม้ยูคาลปิ ตัส (682 ไร)่ ปจั จบุ นั
มนี ายธรี ะยทุ ธ กลดั พรหม (โทร : 081-993-1918) เป็นหวั หนา้ สวน

300 รวมเรอ่ื งสวนปา่

ในการศึกษาวิเคราะห์ด้านการเงินของการปลูกสร้างสวนสัก คุณเรวัตได้แบ่งช้ัน
คุณภาพของสวนป่าแม่เมาะออกเป็น 3 ระดับคือ (1) ชั้นคุณภาพพืน้ ท่ีดี (2) ชั้นคุณภาพพืน้ ท่ี
ปานกลาง และ (3) ชั้นคุณภาพพื้นที่เลว ทำการเก็บข้อมูลปฐมภูมิในสวนป่าชั้นอายุต่าง ๆ
16 ชั้นอายุ ๆ ละ 3 แปลง รวม 48 แปลง ข้อมูลที่เก็บได้แก่ เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก
เสน้ ผา่ นศูนยก์ ลางที่ปลายตน้ ซ่ึงใชท้ ำเปน็ สินค้าได้ ความสงู ทัง้ หมด และความสูงท่ีใช้ทำสินค้า
ได้ เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวมาคำนวณปริมาตรผลผลิต ส่วนข้อมูลทุติยภูมิที่ได้จากสำนักงาน
สวนป่า ได้แก่ ต้นทนุ การปลูก การดูแลรักษา การทำไม้ออกจากสวน และรายได้ทัง้ จากพืชควบ
และจากไมส้ กั ที่ทำการตดั ฟนั ในระยะเวลาต่าง ๆ อันได้แก่ การตดั ขยายระยะเม่ือไม้มีอายุ 10
ปี 15 ปี และ 20 ปี และการทำไม้ออกเมื่อครบรอบตัดฟันที่อายุ 30 ปี วิเคราะห์ด้านการเงิน
โดยอาศัยเกณฑ์วัด 3 วิธีคือ (1) NPV : มูลค่าปัจจุบันของผลได้สุทธิ (2) B/C ratio :
อัตราส่วนผลได้ต่อทุน และ (3) IRR : อัตราผลตอบแทนภายใน ทั้งนี้ได้กำหนดอัตราคดิ ลดไว้
5 ระดับ คอื รอ้ ยละ 4, 6, 8, 10 และ 12 และอายขุ องโครงการเทา่ กับ 30 ปี

การปลูกและดูแลสวนสักของสวนป่าแม่เมาะมีต้นทุนไร่ละ 13,045 บาทตลอดอายุ
รอบหมุนเวียน 30 ปี โดยปีแรกมีต้นทุนไร่ละ 2,170 บาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าเตรียมพื้นที่
(650 บาท/ไร)่ ค่าเหงา้ สัก ปลกู และปลูกซอ่ ม (550 บาท/ไร)่ และคา่ กำจัดวัชพืช (3 ครั้งรวม
600 บาท/ไร่) ค่าใชจ้ ่ายในปที ส่ี อง 575 บาท/ไร่ ปีทสี่ ามและสปี่ ีละ 530 บาท/ไร่ ปที หี่ า้ และ
หกปลี ะ 420 บาท/ไร่ และต้งั แตป่ ีทเี่ จด็ เป็นต้นไปจนถึงการตดั ฟันในปที ส่ี ามสบิ มีค่าใช้จ่ายปี
ละ 350 บาท/ไร่ ส่วนค่าจ้างในการทำไม้สักจากสวนป่าตั้งแต่การโค่นล้มไม้ไปจนถึงการชัก
ลากรวมกอง พร้อมจำหน่ายน้นั อ.อ.ป. กำหนดไว้ลูกบาศกเ์ มตรละ 630 บาท

สำหรับราคาไม้สัก
ท่อนก็ขึ้นอยู่กับความโตและ
ความยาวของไมท้ อ่ น โดยไม้
ที่โตและ ยาวมีราคาต่อ
ลูกบาศก์เมตรสูงกว่าไม้ท่ี
เล็กและสั้น ดังรายละเอียด
ในตารางที่ 3 เช่น ไม้ที่มีเส้น
รอบวงกลางท่อน 30-34
เซนตเิ มตรซ่ึงสว่ นใหญ่ได้จาก
การตดั ขยายระยะคร้ังแรก ราคาผันแปรตัง้ แต่ลูกบาศก์เมตรละ 2,700 ถงึ 3,800 บาท เฉล่ีย

บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 301

3,250 บาท หากมีความยาวตั้งแต่ต่ำกว่า 2 เมตรจนยาวเกินกว่า 6 เมตร หรือไม้ท่อนที่มี
ความยาว 2-4 เมตรก็มีราคาผันแปรตั้งแต่ลูกบาศก์เมตรละ 3,000 บาทไปจนถึง 21,100
บาท หากมีเส้นรอบวงกลางท่อนตั้งแต่ 30-34 เซนติเมตรไปจนถึงโตกว่า 135 เซนติเมตร
เปน็ ตน้

ตารางท่ี 3 ราคาไมส้ กั ท่อนจากสวนปา่ ขององคก์ ารอุตสาหกรรมป่าไม้

เส้นรอบวงกลางท่อน ราคา (บาท/ลบ.ม.) ตามความยาวต่าง ๆ เฉล่ยี
(ซม.) ต่ำกว่า 2 ม. 2-4 ม. 4-6 ม. เกิน 6 ม. 3,250
7,325
30-34 2,700 3,000 3,500 3,800 13,975
60-64 5,600 7,100 8,000 8,600 19,750
90-94 11,500 13,600 14,800 16,000 21,450
120-124 16,300 19,400 21,000 22,300
มากกวา่ 135 17,700 21,100 22,900 24,100

องค์การอตุ สาหกรรมป่าไมไ้ ด้กำหนดขนาดเสน้ ผ่านศูนยก์ ลางกลางตน้ ขั้นต่ำของไมท้ ่ี
จะใช้เป็นสินคา้ ไดไ้ ว้ท่ี 9.08 เซนตเิ มตร ไมส้ ักทม่ี ขี นาดเส้นผ่านศูนย์กลางต่ำกว่า 9 เซนติเมตร
ถือว่ามีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะใช้ทำเป็นสินค้าได้ ผลการศึกษาของคุณเรวตั จึงพบวา่ อายุของ
ไม้สักในสวนป่าแม่เมาะที่จะใช้เป็นสินค้าได้นั้นผันแปรไปตามชั้นคุณภาพพื้นที่ คือ ช้ัน
คุณภาพพื้นที่ดีอายุ 9 ปีขึ้นไป ชั้นคุณภาพพื้นที่ปานกลางอายุ 10 ปีขึ้นไป และชั้นคุณภาพ
พ้นื ทเี่ ลวอายุ 14 ปีขึน้ ไป

นั้นหมายความว่า ถ้า
สวนป่าแม่เมาะต้องการ
ผลตอบแทน (เล็ก ๆ น้อย ๆ)
จากไม้ที่ทำการตัดสางขยาย
ระยะออกมา การตัดขยาย
ระยะครั้งแรกควรจะกระทำ
เมื่อไม้มีอายุ 9 ปี 10 ปี และ
14 ปี สำหรับช้นั สภาพพื้นท่ีดี
ปานกลาง และเลว ตามลำดบั

302 รวมเรอื่ งสวนปา่

นอกจากนี้ ผลงานวิจัยของคุณเรวัตยังพบว่า ณ ระดับอัตราคิดลดร้อยละ 4, 6, 8, 10
และ 12 ไม้สักในสวนป่าแม่เมาะชั้นคุณภาพดีมีมูลค่าปัจจุบันของผลได้สุทธิเท่ากับ 20,944,
12,612, 7,547, 4,381 และ 2,346 บาทต่อไร่ ตามลำดับ มีอัตราส่วนผลได้ต่อต้นทุนเท่ากับ
2.54, 2.17, 1.85, 1.59 และ 1.36 ตามลำดับ มีอัตราผลตอบแทนภายในเท่ากบั ร้อยละ 15.44
ถ้าเปน็ ช้นั คุณภาพพื้นที่ปานกลาง มลู ค่าปัจจบุ นั ของผลได้สุทธจิ ะเทา่ กบั 8,397, 4,270, 1,808,
304 และ - 635 บาทตอ่ ไร่ ตามลำดบั และมอี ัตราส่วนผลไดต้ ่อตน้ ทนุ เท่ากับ 1.72, 1.45, 1.23,
1.05 และ 0.89 ตามลำดับ มีอตั ราผลตอบแทนภายในเท่ากบั ร้อยละ 10.65

แสดงว่าถา้ จะปลกู ไม้สักใหไ้ ด้กำไรดีท่ีแมเ่ มาะหรือท่ีซึง่ มีสภาพแวดล้อมคล้ายคลึง
กับสวนป่าแม่เมาะ ต้องปลูกในชั้นคุณภาพพื้นที่ดีและปานกลางเท่านั้น ทั้งนี้ในชั้น
คณุ ภาพพนื้ ทปี่ านกลางระดับอตั ราคดิ ลดต้องไม่เกินร้อยละ 10 ส่วนช้ันคุณภาพพื้นที่เลว
การปลกู ไมส้ ักจะไม่ไดก้ ำไรเลยแม้ระดบั อตั ราคิดลดจะต่ำเพียงรอ้ ยละ 4 ก็ตาม

นั่นคือ ถ้าจะปลูกไม้สักเชิงพาณิชย์ต้องคิดถึงสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูกให้
รอบคอบ

54 ปา่ สามอย่าง
เพอ่ื ประโยชนส์ ่อี ย่าง :...
ไมป้ ่ากินได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสเกี่ยวกับการปลูกป่าสามอย่าง เพ่ือ
ประโยชน์สี่อย่าง มาเป็นเวลาช้านานร่วมสามทศวรรษแล้ว กล่าวคือ เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม
พ.ศ. 2523 ได้พระราชทานพระราชดำรัส ณ เขื่อนห้วยกุ่ม อำเภอเกษตรสมบูรณ์ จังหวัด
ชยั ภูมิ ความวา่

“... ให้มีการปลูกป่าไม้ยืนต้น เป็นป่าไม้ผล ป่าไม้ฟืน และป่าไม้ใช้สอย
บริเวณเหนือเขื่อนหรือฝายน้ำล้น เพื่อยึดดนิ ไมใ่ หถ้ ูกน้ำชะพังทลาย เพื่อ
รักษาความชุ่มชื้นของดินและอากาศ ตลอดจนให้ราษฎรได้มีไม้ผล ไม้
บรโิ ภค และไมไ้ ว้ใช้สอยยามจำเปน็ ...”

ต่อมาในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2524 ได้พระราชทานพระราชดำรัสในพิธีปิดการ
สัมมนาการเกษตรภาคเหนือ ณ สำนักงานเกษตรภาคเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ความว่า

“... เดยี๋ วน้ที กุ คนก็คงเข้าใจแล้ววา่ ป่าสามอยา่ งน้ันคืออะไร แต่ให้เข้าใจ
ว่าป่าสามอย่างนีม้ ีประโยชนส์ ่ีอย่าง ไม่ใชส่ ามอย่าง ป่าสามอย่างทีบ่ อก
ว่าเป็นไม้ฟืน เป็นไม้ผล และไม้สร้างบ้าน นั้น ความจริงไม้ฟืนกับไม้ใช้
สอยก็อันเดียวกัน ไม้สร้างบ้านกับไม้ใช้สอยก็อันเดียวกัน แต่เราแบ่ง
ออกไปเปน็ ไม้ทำฟืน ไมส้ ร้างบ้านเรือน รวมท้งั ไมท้ ำศลิ ปหัตถกรรม แล้ว
ก็ไมผ้ ล ...”

พิมพค์ รัง้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (87) : 43–46 (พ.ศ. 2551)

304 รวมเรอ่ื งสวนปา่

“... เร่อื งไมส้ ามอยา่ งคือ ไม้ฟืน ไมผ้ ล ไม้สรา้ งบ้าน ประชาชนมีความรู้
ทั้งคนที่อยู่บนภูเขา ทั้งคนที่อยู่ในที่ราบ เขามีความรู้ เขาทำงานมา
ตั้งแต่หลายชั่วคนแล้ว เขาทำกันอย่างดี เขามีความเฉลียวฉลาด เขารู้
ว่าตรงไหนควรทำกสิกรรม เขารวู้ า่ ที่ไหนควรจะเกบ็ ไมไ้ ว้ ...”

ไม้ป่ายืนต้นหรือไม้ต้นแทบทุกชนิดให้ประโยชน์หลายอย่าง เพราะนอกจากจะให้
ประโยชน์ทางตรงแล้ว ยังให้ประโยชน์ทางอ้อมในเชิงอนุรักษ์ด้วยเสมอ ไม้ที่ให้ประโยชน์
หลายอย่างน้นั ภาษาปา่ ไม้เรยี กว่า “ไมอ้ เนกประสงค”์ คนสว่ นใหญ่เข้าใจดวี ่าไมช้ นิดใดเหมาะ
แก่การใช้สอยอะไร แต่ถ้าจะปลูกไมป้ ่ายืนต้นที่ยอด ดอก และ/หรือผลกินไดค้ วรปลูกไม้อะไร
นน้ั หลายคนอาจจะยงั ไม่ทราบ คณะอนุกรรมการประสานงานวิจัยและพัฒนาทรพั ยากรป่าไม้
และไม้โตเร็วอเนกประสงค์ คณะกรรมการสาขาเกษตรศาสตร์และชีววิทยา สำนักงาน
คณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ซึ่งมี รองศาสตราจารย์ ดร. สุรีย์ ภูมิภมร เป็นประธาน และ
คุณอนันต์ คำคง เป็นเลขานุการ จึงได้รวบรวมข้อมูลและจัดพิมพ์หนังสอื “ไม้อเนกประสงค์
กินได้” (Edible Multipurpose Tree Species) ขึ้นมาเมื่อปี พ.ศ. 2540 ผมเห็นว่าเป็น
หนังสือที่มีประโยชน์สำหรับผู้สนใจงานทางด้านนี้เป็นอย่างมาก จึงได้คัดเลือกรายชื่อไม้ป่า
ยืนต้นกินได้จำนวน 60 ชนิดที่เกษตรกรอาจจะพิจารณาเลือกปลูกเป็นป่าสามอย่างเพื่อ
ประโยชน์สี่อย่างดังรายละเอียดในตารางที่ 1 ทั้งนี้โดยเลือกเอาเฉพาะไม้ยืนต้นท่ีมขี นาดใหญ่
และขนาดกลางเทา่ นน้ั ไม่รวมไม้พุ่ม ไม้ไผ่ และปาล์ม ซ่ึงหลายชนดิ ก็เป็นพืชปา่ ทก่ี ินได้เช่นกนั

ตารางที่ 1 ไมป้ า่ ยืนตน้ กินไดท้ น่ี า่ สนใจปลกู เป็น “ปา่ สามอย่าง เพ่อื ประโยชนส์ อ่ี ยา่ ง”

ชอ่ื พื้นเมือง ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ สภาพแวดลอ้ มท่ี ส่วนทบี่ ริโภคเปน็
1 กระโดน เหมาะสม อาหาร

2 กระท้อน Careya sphaerica ปา่ เบญจพรรณ ยอดออ่ น ดอก ผล
3 กระบก
ป่าเตง็ รัง อ่อน กินเป็นผักสด
4 กระแซะ
5 ก่อเดอื ย Sandoricum indicum ปา่ ดิบแลง้ ปา่ ดิบชื้น ผลสด ผลสกุ เปน็ ผลไม้

6 กำจดั ต้น Irvingia malayana ปา่ เบญจพรรณ เนอื้ ในเมล็ด

ปา่ ดิบแล้ง

Millettia atropurpurea ป่าดิบแลง้ ปา่ ดิบช้นื ยอดออ่ นกินเปน็ ผักสด

Castanopsis ปา่ ดบิ เขา สูง 800 เมลด็

acuminatissima เมตรขนึ้ ไป

Zanthoxylum limonella ปา่ เบญจพรรณ ใบออ่ นกนิ เป็นผกั สด

เมลด็ ใสเ่ ครื่องแกง

บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 305

ชื่อพื้นเมอื ง ชอื่ วิทยาศาสตร์ สภาพแวดล้อมที่ ส่วนทบ่ี รโิ ภคเป็น
เหมาะสม อาหาร

7 ขนุน Artocarpus ดนิ ดี มีความชนื้ สงู ผลอ่อนใชแ้ กง ผลสกุ

heterophyllus เป็นผลไม้

8 ขี้กวาง (เลือด) Eugenia claviflora ปา่ พรุ ที่ลมุ่ ผลสกุ เปน็ ผลไม้

9 ขเ้ี หลก็ ไทย Cassia siamea ป่าเบญจพรรณ ใบอ่อน ยอดออ่ น

ปา่ ดบิ แลง้ ดอกตมู

10 เขลง Dialium cochinchinense ป่าเบญจพรรณ เยอื่ หุ้มเมล็ด

ปา่ ดบิ แลง้

11 คอแลน Nephelium hypoleucum ป่าดงดบิ ผลสกุ เปน็ ผลไม้

ป่าเบญจพรรณชน้ื

12 แคขาว Dolichandrone serrulata ปา่ เบญจพรรณ ดอกนำมาตม้ จมิ้

นำ้ พรกิ หรอื แกงสม้

13 ง้ิว Bombax ceiba ป่าเบญจพรรณ ดอกและผลอ่อน

เกสรตัวผูแ้ ห้ง

14 เงาะป่า Nephelium maingayi ปา่ ดบิ ชน้ื ปา่ พรุ ผลสกุ เป็นผลไม้

15 แดง Xylia xylocarpa ปา่ เบญจพรรณ เมลด็ ในฝัก

16 ตะโกนา Diospyros rhodocalyx ป่าเบญจพรรณแล้ง ผลสกุ เป็นผลไม้

ป่าละเมาะ

17 ตะครอ้ Scheichera oleosa ป่าเบญจพรรณ ผลสุกเป็นผลไม้

18 ตวิ้ ขาว Cratoxylum formosum ปา่ เบญจพรรณ ใบออ่ น ยอดอ่อน

ป่าเต็งรัง ดอกอ่อน

19 ทุเรียน Durio zibethinus ดนิ ทม่ี คี วามอุดม ผลสกุ เปน็ ผลไม้

สมบูรณส์ งู

20 ทำมัง Litsea petiolata ปา่ ดงดิบ เปลือกและใบใช้ตำ

น้ำพริก

21 เทยี ะ Dialium patens ปา่ พรุ ยอดอ่อน ผล

22 เนยี ง Archidendron jiringa ป่าดงดิบ เมลด็ ในฝัก

23 นนุ่ Ceiba pentandra ดนิ ทม่ี คี วามอุดม เนอ้ื ในฝกั อ่อนกนิ เป็น

สมบูรณต์ ำ่ ผกั จิม้

24 บุนนาค Mesua ferrea ป่าดบิ ช้ืน ปา่ ดิบแลง้ ยอดออ่ นกินเปน็ ผักจมิ้

25 ประ Elateriospermum tapos ปา่ ดงดบิ เมลด็

26 พะยอม Shorea roxburghii ปา่ เบญจพรรณ ดอกออ่ น

306 รวมเร่ืองสวนป่า

ชอ่ื พ้นื เมือง ช่ือวิทยาศาสตร์ สภาพแวดล้อมที่ สว่ นท่บี รโิ ภคเปน็
เหมาะสม อาหาร

27 พระเจา้ หา้ องค์ Dracontomelum ป่าดิบช้ืน ป่าดบิ แลง้ เมลด็

mangiferum

28 พฤกษ์ Albizia lebbek ปา่ เบญจพรรณ ใบอ่อน ยอดออ่ น

กนิ เปน็ ผักจ้ิม

29 มะกอก Spondias pinnata ป่าเบญจพรรณ ป่า ยอดออ่ นใบออ่ น ผล

ดิบแลง้

30 มะกอกเกล้อื น Canarium subulantum ปา่ เบญจพรรณแลง้ ผล

31 มะกกั Spondias bipinnata ป่าดิบแลง้ ใกล้เขา ผลแก่

หินปูน

32 มะเกลือ Diospyros mollis ป่าเบญจพรรณแล้ง เนอื้ ในติดเมลด็
33 มะกลำ่ ตน้ Adenanthera pavonia
ปา่ เบญจพรรณ ป่า ยอดอ่อน ใบอ่อน กนิ

ดงดบิ เปน็ ผักสด

34 มะขาม Tamarindus indica ดนิ ท่ีมกี ารระบาย ฝกั ดอกและใบอ่อน

นำ้ ดี

35 มะขามป้อม Phyllanthus emblica ป่าเบญจพรรณแลง้ ผล
36 มะขามป้อมดง Cephalotaxus griffithii
ป่าดบิ เขา สงู 1,000 ผล

เมตรขน้ึ ไป

37 มะค่าแต้ Sindora siamensis ป่าเบญจพรรณ เมลด็ แก่

38 มะค่าโมง Afzelia xylocarpa ปา่ เบญจพรรณ เน้ือในเมลด็ อ่อน

39 มะเคด็ Madhuca pierrei ปา่ ดบิ แล้ง ผลสกุ เป็นผลไม้

40 มะเดอ่ื อทุ ุมพร Ficus racemosa ปา่ ดิบเขา ชอ่ ดอก ผลออ่ น

41 มะไฟ Baccaurea sapida ปา่ ดงดบิ ผลสุกเป็นผลไม้

ป่าเบญจพรรณ

42 มะแฟน Protium serratum ป่าเบญจพรรณ ผลสุกเปน็ ผลไม้

ป่าดบิ แล้ง

43 มะมว่ ง Mangifera indica ป่าเบญจพรรณ ผลดบิ ผลสกุ เปน็ ผลไม้

ป่าดงดิบ

44 มะม่วงกะล่อน Mangifera caloneura ปา่ ดิบชื้น ป่าดบิ แล้ง ผล

45 มะม่วงข้ไี ต้ Mangifera sylvatica ป่าดงดบิ ผล

46 มะมว่ งคนั Mangifera pentandra ปา่ ดิบชื้น ผล

47 มะมุด Mangifera foetida ป่าดบิ ชน้ื ป่าพรุ ผลดบิ ผลสกุ เปน็ ผลไม้

48 มะหาด Artocarpus lakoocha ป่าดงดบิ ผลสุกเป็นผลไม้

บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 307

ชอื่ พ้ืนเมือง ชอื่ วทิ ยาศาสตร์ สภาพแวดล้อมที่ ส่วนทบ่ี รโิ ภคเปน็
Dyera costulata เหมาะสม อาหาร
49 เยลตู ง ปา่ ดิบชืน้ นำ้ ยางใชท้ ำหมากฝร่งั
50 สะเดา
51 สะเดาชา้ ง Azadirachta indica ป่าดิบแลง้ ช่อดอก ยอดอ่อน
52 สะตอ
53 สะท้อนนก Azadirachta excelsa ปา่ ดบิ ชื้น ยอดอ่อน และดอก
54 สมอดีงู
55 สา้ นใหญ่ Parkia speciosa ปา่ ดิบช้ืน ยอดอ่อน ฝัก เมลด็
56 ส้มกบ
Sandoricum beccarianum ปา่ พรุ เยอ่ื หุ้มเมล็ด
57 หว้า
58 เหรียง Terminalia citrina ป่าดงดบิ เนื้อหุ้มเมลด็ ของผลแก่
59 หกู วาง
60 อ้อยช้าง Dillenia obovata ปา่ เบญจพรรณแล้ง ผลแก่

Hymenodictyon ปา่ เบญจพรรณ ใบออ่ นกินแทนผัก

excelsum ป่าดิบแล้ง

Eugenia cumini ปา่ ทีล่ ุ่มรมิ น้ำ ผลสุกเปน็ ผลไม้

Parkia timorijana ป่าดบิ ช้ืน เมลด็ ในฝกั

Terminalia catappa ป่าชายหาด เนื้อในเมล็ด

Lannea coromandelica ป่าดงดบิ ใบออ่ นกนิ แทนผัก

ข้อมูลในตารางที่ 1
ชใี้ หเ้ ห็นว่า ถา้ จะปลูกไมป้ า่ ยืนตน้
เพื่อนำเอาเนื้อไม้ไปใช้สอย และ
ยอด ดอก ผล รับประทานได้
ควรปลูกไม้อะไร จำเป็นจะต้อง
พิจารณาสภาพแวดล้อมของพ้ืนท่ี
ปลูกเป็นสำคัญ เช่น ทั้งสะเดา
และสะเดาช้างต่างก็กินยอดอ่อน
ได้ทั้งคู่ แต่สะเดาควรปลูกในที่ค่อนข้างแห้งแล้ง ดินระบายน้ำได้ดี ในขณะที่สะเดาช้างควร
ปลกู ในปา่ ดิบชื้นซึง่ มฝี นตกชกุ เช่นเดียวกบั สะตอ แตต่ ่างไปจากมะขามป้อมและกะบก

ตารางที่ 2–4 แสดงให้เห็นถงึ คณุ ค่าสารอาหารที่มีอย่ใู นดอกและยอดอ่อนท่ีกินเป็น
ผักจิม้ (ตารางท่ี 2) เมลด็ ท่นี ำมาปรุงเป็นอาหาร (ตารางที่ 3) และผลท่ีกนิ เปน็ ผลไม้ (ตารางท่ี
4) ซึ่งวิเคราะห์โดยกองโภชนาการ กรมอนามัย และภาควิชาเทคโนโลยีการอาหารและ
โภชนาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ศรนี ครนิ ทรวิโรฒ

308 รวมเรอื่ งสวนปา่

ตารางที่ 2 คุณค่าสารอาหารทม่ี ีอย่ใู นยอดออ่ นและดอกทีใ่ ชบ้ รโิ ภคเป็นผักจมิ้ ของไม้ปา่
บางชนิดที่ปลูกเปน็ “ปา่ สามอยา่ ง เพือ่ ประโยชนส์ ่ีอยา่ ง”

สารอาหาร ยอด ดอก ยอด ดอก ยอด ยอด ยอด ยอด
กระโดน งิว้ ตวิ้ ขาว พะยอม พฤกษ์ มะกอก มะกล่ำตน้ สะเดา

1 พลังงาน - 257 - - - 46 - -

(กโิ ลแคลอร่)ี

2 โปรตีน (กรมั ) 2.6 6.6 2.4 4.4 1.0 2.7 0.7 5.4

3 ไขมนั (กรมั ) 0.5 1.4 1.7 1.1 0.4 1.0 1.51 0.5

4 คารโ์ บไฮเดรต 16.9 54.6 8.2 7.2 18.9 6.5 0.6 12.5

(กรัม)

5 กากอาหาร - 14.9 - - - 5.2 - -

(กรัม)

6 เถา้ (กรมั ) - 4.9 - - - 1.9 - -

7 แคลเซียม 13 429 67 46 179 49 362 354

(มิลลิกรัม)

8 ฟอสฟอรัส 18 161 19 - 211 80 - 26

(มิลลิกรัม)

9 เหลก็ 1.7 8.8 2.5 0.3 3.3 9.9 5.2 4.6

(มิลลิกรัม)

10 วิตามินเอ 3,958 - 7,500 - - - 6,155 6,375

(หนว่ ยสากล)

11 วติ ามนิ บี 1 0.1 0.06 0.04 - - 0.96 - 0.06

(มิลลกิ รัม)

12 วิตามินบี 2 0.88 0 0.67 - - 0.22 - 0.07

(มิลลิกรัม)

13 วติ ามนิ ซี 126 - 56 - - - 37 194

(มิลลิกรัม)

บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 309

ตารางที่ 3 คุณคา่ สารอาหารทม่ี อี ย่ใู นเมล็ดทน่ี ำมาใชป้ รุงอาหารของไม้ปา่ บางชนิดทป่ี ลกู
เปน็ “ปา่ สามอยา่ ง เพอ่ื ประโยชนส์ อ่ี ยา่ ง”

สารอาหาร สะตอ เหรียง เนยี ง

1 พลังงาน (กโิ ลแคลอรี)่ 130 88 156
2 นำ้ (กรัม) 70.7 79.6 59.6
3 คารโ์ บไฮเดรต (กรัม) 15.5 6.7 29.4
4 โปรตนี (กรมั ) 8.0 7.5 8.8
5 ไขมนั (กรัม) 4.0 3.5 0.4
6 กากอาหาร (กรมั ) 0.5 1.3 1.3
7 เถา้ (กรมั ) 1.3 1.4 0.5
8 แคลเซียม (มิลลิกรัม) 76 182 25
9 ฟอสฟอรสั (มิลลกิ รัม) 83 4 52
10 เหล็ก (มิลลกิ รัม) 0.7 2 0.7
11 วติ ามนิ เอ (หนว่ ยสากล) 794 22 1,084
12 วติ ามินบี 1 (มิลลิกรัม) 0.11 0.06 0.19
13 วติ ามินบี 2 (มิลลิกรัม) 0.01 0.62 0.01
14 วิตามนิ ซี (มลิ ลิกรัม) 6.0 83
-

310 รวมเรอ่ื งสวนป่า

ตารางท่ี 4 คุณค่าสารอาหารทมี่ ีอยู่ในผลท่ีใชบ้ ริโภคเป็นผลไมข้ องไมป้ า่ บางชนิดที่ปลกู เปน็
“ปา่ สามอย่าง เพ่ือประโยชนส์ ่อี ย่าง”

สารอาหาร ตะโกนา ทุเรยี น มะมว่ ง (ดิบ)

1 พลงั งาน (แคลอรี่) 99 124 -
2 นำ้ (กรมั ) 73.6 66.8 -
3 ไขมัน (กรัม) 0 1.6 0.4
4 คารโ์ บไฮเดรต (กรมั ) 24.5 28.3 15.3
5 ไฟเบอร์ (กรัม) 1.5 1.4 -
6 โปรตีน (กรมั ) 0.3 2.5 0.6
7 แคลเซยี ม (มิลลิกรมั ) 19 20 10
8 ฟอสฟอรัส (มิลลิกรมั ) 15
9 เหลก็ (มลิ ลกิ รมั ) - 63 0.2
10 วิตามินเอ (หนว่ ยสากล) 0.4 0.9 183
11 วติ ามนิ บี 1 (มิลลิกรมั ) - 17 0.06
12 วติ ามนิ บี 2 (มลิ ลิกรัม) - 0.27 0.05
13 วติ ามินซี (มลิ ลกิ รมั ) 1.37 0.29 62
79 37

หวงั เป็นอยา่ งยิ่งว่าขอ้ มลู ต่าง ๆ เหล่าน้จี ะทำให้แนวพระราชดำรัส “การปลูกป่า
สามอย่าง เพอ่ื ประโยชน์ส่อี ยา่ ง” ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั เมอ่ื เกอื บสามสบิ ปี
มาแลว้ เกิดเป็นรูปธรรมขน้ึ มาทัว่ ประเทศไทยในเรว็ วนั นี้

55 จันทร์ทองเทศ : ไม้ต่างถนิ่
ท่ีโครงการหลวงขอแนะนำ

“ไม้ต่างถิ่น” หรือ exotic forest tree ตามหลักวิชาวนศาสตร์นั้นมีความหมายสอง
กรณี โดยกรณีแรกหมายถึงไม้ที่ขึ้นอยู่หรือนำไปปลูก นอกถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติ ส่วน
กรณที ี่สองนั้นหมายถงึ ไมท้ น่ี ำไปปลูกนอกประเทศอนั เป็นถ่ินกำเนดิ ตามธรรมชาติเดิม

ทัง้ สองกรณมี ปี ระเด็นทแ่ี ตกต่างกนั เพยี งเลก็ นอ้ ยเทา่ นั้น เช่นในกรณขี องไมส้ ักซึ่งมีถน่ิ
กำเนิดตามธรรมชาติอยู่ในภาคเหนือของประเทศไทย แต่ภาคใต้ของไทยก็เช่นเดียวกับ
ประเทศมาเลเซียคืออยู่นอกถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติของไม้สัก การนำไม้สักจากจังหวัดแพร่
ไปปลูกทจ่ี งั หวดั สงขลาอาจถอื ว่าสักเปน็ ไมต้ ่างถิน่ สำหรับสงขลาตามความหมายในกรณีแรก
แตเ่ นือ่ งจากทงั้ แพรแ่ ละสงขลาต่างกอ็ ยใู่ นประเทศไทย จงึ ไม่ถอื ว่าสักเปน็ ไมต้ ่างถ่ินตามกรณี
ที่สอง ทว่าการนำไม้สักจากแพร่ข้ามชายแดนไทย-มาเลเซีย ไปปลูกในมาเลเซียถือว่าไม้สัก
เป็นไม้ต่างถิ่นสำหรับประเทศมาเลเซีย นั่นคือ กรณีแรกมักใช้กับประเทศใหญ่ ๆ เช่น
สหรฐั อเมริกาเท่าน้นั

ไม้สักมีกำเนิดตามธรรมชาติอยู่ในประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว และอินโดเนเซีย
การนำไม้สักจากอินเดียเข้ามาปลูกในประเทศไทยจึงไม่ถือว่าเป็นการปลูกไม้ต่างถิ่น เพราะ
ทั้งสองประเทศต่างก็เป็นถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติของไม้สัก แต่การนำไม้สักจากไทยไปปลกู
ในเขมรนนั้ ถอื วา่ เปน็ การปลกู ไมต้ า่ งถิน่

หลายคนอาจจะต่อต้านการปลูกไม้ต่างถิ่น หลายคนอาจจะถามว่าทำไมต้องปลูก
ไมต้ ่างถิน่ ทำไมไมป่ ลกู ไมพ้ ้นื เมอื งของไทย

แต่ในแวดวงวิชาการป่าไม้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาวิชาวนวัฒนวิทยา ซึ่งว่าด้วย
การปลูกสรา้ งสวนปา่ โดยตรง ถือว่าการปลกู ไมต้ ่างถิ่นเป็นเรื่องสำคญั มาก เพราะไม้ต่างถิน่
ช่วยให้ผู้ปลูกป่ามีโอกาสแห่งทางเลือกชนิดไม้เพิ่มมากขึน้ ทั้งในแง่ของอัตราการเจริญเตบิ โต

พิมพ์คร้ังแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (88) : 32–35 (พ.ศ. 2551)

312 รวมเรื่องสวนปา่

ความเหมาะสมด้านสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก คุณสมบัติของเนื้อไม้ และอายุรอบ
หมุนเวียนในการตัดฟัน ไม้สนพื้นเมืองของประเทศไทยมีเพียงสองชนิด คือ ไม้สนสองใบ
และไมส้ นสามใบ แตผ่ ลงานวิจัยของกรมป่าไมเ้ มือ่ เกือบหา้ สบิ ปีมาแลว้ พบว่า ไม้สนคาริเบีย
และไม้สนโอโอคาร์ปา ซึ่งเปน็ ไมต้ า่ งถน่ิ มีอัตราการเจรญิ เตบิ โตไม่ด้อยกวา่ สนพนื้ เมือง ไม้ทม่ี ี
คุณสมบัติเหมาะสำหรับใช้ทำเยื่อกระดาษเส้นใยสั้นที่มีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟันส้ัน
เพียงห้าปีก็ไม่มีไม้พื้นเมืองใดเหมาะสมเท่าไม้ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซีสซึ่งนำเข้ามาจาก
ออสเตรเลีย

นอกจากยูคาลิปตัสแล้ว ไมเ้ ศรษฐกิจของไทยอีกหลายชนิดต่างก็เป็นไม้ต่างถิ่น ท่ีรู้จัก
คนุ้ เคยกันเปน็ อยา่ งดีได้แก่ ยางพารา กระถินเทพา กระถนิ ณรงค์ กระถินยกั ษ์ สนประดิพทั ธ์
และไมไ้ ผต่ ง รวมทั้งจามจรุ ีซึง่ เปน็ ตน้ ไม้ประจำจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั กเ็ ป็นไม้ต่างถิน่ ด้วย
เช่นกัน

สำหรบั พ้ืนทส่ี งู ทางภาคเหนือของประเทศไทยซ่ึงมีอากาศหนาวเยน็ จดั ในฤดูหนาวนั้น
มีไม้ต่างถิ่นที่จะให้เลือกปลูกเป็นสวนป่าเศรษฐกิจได้เพียงไม่กี่ชนิด ในปี พ.ศ. 2525 มูลนิธิ
โครงการหลวงได้เมล็ดไม้ต่างถิ่นกว่าสิบชนิดจากไต้หวัน จีน และญี่ปุ่น มาทดลองปลูกที่
สถานเี กษตรหลวงอา่ งขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ “โครงการป่าไมไ้ ตห้ วนั ” ซ่ึง
ในปัจจุบันก็คือ “งานป่าไม้ มูลนิธิโครงการหลวง” โดยมีวัตถุประสงคห์ ลกั สามประการคอื
เพอื่ เป็นสถานท่ศี กึ ษาวจิ ยั ดา้ นวนวัฒนวทิ ยาของไม้ตา่ งถิ่นในพ้ืนท่สี งู เพอ่ื เป็นแหล่งไมใ้ ช้สอย
ไม้ฟืน และสร้างรายไดเ้ สริมให้แก่ชุมชนชนบทในพ้ืนที่สูง และเพื่อการอนุรักษ์ดนิ และน้ำบน
พ้ืนที่สงู อันเป็นแหล่งตน้ น้ำสำคญั ของประเทศ

ผลการทดลองในคร้ังนน้ั พบว่ามไี ม้ตา่ งถิน่ เพยี งไมก่ ช่ี นดิ เทา่ น้นั ท่ีเจริญเตบิ โตไดด้ ที ดี่ อย
อ่างขางซึ่งอยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร อากาศหนาวเย็นโดยในปลายเดือน
ธันวาคม ต้นเดือนมกราคมของทุก ๆ ปี อุณหภูมิจะลดลงต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียส ปริมาณ
น้ำฝนเฉลี่ยประมาณ 1,700 มิลลิเมตรต่อปี ชนิดไม้ที่น่าสนใจควรแก่การส่งเสริมสู่เกษตรกร
ได้แก่ Paulownia taiwaniana (ไม้เพาโลว์เนีย) Cinnamomun camphora (ไม้การบูร)
Acacia confusa (ไม้กระถินดอย) Liquidambar formosana (ไม้เมเป้ิลหอม) และ
Fraxinus griffithii (ไมจ้ นั ทรท์ องเทศ)

ในระยะแรก ๆ โครงการหลวงเรียก Fraxinus griffithii ว่าไม้จันทร์ทอง แต่เมื่อ
ทราบในเวลาต่อมาว่าจันทร์ทองเป็นไม้ยืนต้นพื้นเมืองของไทยที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า

บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 313

Fraxinus floribunda โครงการหลวงจึงเรียกไม้ Fraxinus griffithii ที่นำเข้ามาจาก
ไตห้ วนั วา่ จนั ทร์ทองเทศ”

ไมส้ กุล Fraxinus เปน็ ไม้จำพวกไม้ Ash จดั อยใู่ นวงศม์ ะกอก (Olive) Oleaceae สว่ น
ใหญ่เป็นไม้ผลัดใบ แต่บางชนิดในเขตกึ่งร้อนเป็นไม้ไม่ผลัดใบ มีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 60 ชนิด
ส่วนใหญ่อยูใ่ นเขตหนาวทางดา้ นบนของเส้นศูนย์สูตร ในประเทศจีนมี 22 ชนิด ส่วนที่เป็นไม้
พื้นเมืองของเมืองไทยตามหนงั สือ ชื่อพรรณไม้แห่งประเทศไทย ของศาสตราจารย์เต็ม สมิติ
นันทน์ มอี ยู่สามชนิด คอื จันทร์ทอง (Fraxinus floribunda) หรือ Himalayan Manna Ash
แค (Fraxinus cochinchinensis) หรือ Chinese Ash หรือ Korean Ash และ แคปี ก
(Fraxinus malacophylla) โดยชนิดแรกเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางในขณะทีส่ องชนิดหลังเป็น
ไม้พุ่มขนาดใหญ่หรือไมย้ ืนต้นขนาดเลก็

จันทร์ทองเทศ หรือ Fraxinus griffithii C.B. Clarke มีชื่อสามัญที่เรียกกันทั่ว ๆ ไป
ในทางการค้าว่า Griffith’s Ash และ Flowering Ash แต่เนื่องจากเป็นไม้ Ash ที่ไม่ผลัดใบ
คือมีใบเขียวสดตลอดปี จึงมีชื่อสามัญอีกชื่อหนึ่งว่า Evergreen Ash มีถิ่นกำเนิดตาม
ธรรมชาตอิ ยใู่ นหลายประเทศของทวปี เอเซียตอนกลาง โดยเฉพาะในมณฑลกวางเจา กวางสี
ไทนาน หูเบ และหูนานของจีน ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย รวมทั้งพบในไต้หวัน
ญ่ีปนุ่ บงั กลาเทศ พม่า ฟิลปิ ปนิ ส์ และเวียดนาม

สายพันธุ์ซึ่งนำเข้ามาทดลองปลูกที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขางเมื่อปี พ.ศ. 2525
ได้เมล็ดพันธุ์มาจากไต้หวัน ภายใต้การสนับสนุนของสถาบันวิจัยป่าไม้แห่งไต้หวัน และ
ภาควชิ าวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั แหง่ ชาตไิ ตห้ วัน

ในสภาพธรรมชาติ จันทร์ทองเทศเจริญเติบโตได้ทั้งบนพืน้ ที่ราบและเนินเขาที่ดินมีการ
ระบายนำ้ ดี อ้มุ น้ำไดด้ ี มคี วามชุ่มช้ืนสูง
แต่นำ้ ไมท่ ่วมขงั ขน้ึ ได้ต้งั แต่ระดับความ
สูง 300 เมตร จนถึง 2,000 เมตร เหนือ
ระดับน้ำทะเลปานกลาง แต่จากการ
นำมาทดลองปลูกในบริเวณคณะวน
ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
บางเขน ซึ่งพื้นที่อยู่สูงจากระดับ
น้ำทะเลปานกลางเพียง 1–2 เมตร ก็

314 รวมเร่อื งสวนป่า

ปรากฏว่าไม้จันทร์ทองเทศขึ้นและเจริญเติบโตได้ดีพอสมควร อย่างไรก็ตาม ถ้าจะปลูกเป็น
สวนป่าเชิงพาณิชย์ ความสูงจากระดับน้ำทะเลของพื้นที่ปลูกควรอยู่ระหว่าง 400–1,000
เมตร

จันทร์ทองเทศ เป็นไมย้ ืนต้นขนาดกลาง มีความสูงประมาณ 15–20 เมตร เรือนยอด
กว้าง 3–4 เมตร เปลือกนอกเรียบ สีขาวเทา หรือแดงอมน้ำตาล เนื้อไม้ส่วนที่เป็นกระพี้สี
ขาวเหลืองอมเทาเช่นเดียวกับส่วนที่เป็นแก่น นั่นคือ แทบจะแยกสีสันของกระพี้และแก่น
ออกจากกันไม่ได้ เนื้อไม้ละเอียด เสี้ยนตรง ไสกบตกแต่งง่าย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก
ปลายคี่ การเรียงตัวของใบเป็นแบบตรงกันข้าม สลับตั้งฉาก มีใบย่อย 5–11 ใบ หลังใบไม่มี

ขน เป็นมัน มีสีเขียวเข้ม มีความยาว
ประมาณ 3–7 เซนติเมตร และกว้าง
ประมาณ 2–4 เซนตเิ มตร ดา้ นท้องใบ
สีขาวนวล ใบเขียวสดตลอดปี มีความ
หนาแน่นของปากใบ 275 ปากใบต่อ
ตารางมิลลิเมตร ดอกออกเป็นช่อ สี
ขาว มีกลนิ่ หอม ผลมปี กี ขนาดเล็กยาว
2–5 เซนติเมตร กว้าง 4 มิลลิเมตร
เรอื นยอดเลก็ ไม่แผก่ ว้าง เหมาะสำหรับปลกู เปน็ ไม้ในเมอื ง ริมถนนสายแคบ ๆ กล้าไม้มอี ัตรา
การคายนำ้ อยใู่ นระดับปานกลาง คือ 3.85 ลูกบาศก์เซนติลติ รต่อช่ัวโมงต่อกลา้ ใกล้เคียงกับ
กล้าไม้ยูคาลิปตัส (3.71 ลูกบาศก์เซนติลิตรต่อชั่วโมงต่อกล้า) และมีประสิทธิภาพการใช้น้ำ
ของสว่ นทเ่ี ปน็ ลำต้นเท่ากบั 0.88 กรมั ต่อลิตร กลา่ วคือ การจะไดม้ าซ่ึงเน้ือไม้ของส่วนที่เป็น
ลำตน้ หนึ่งกโิ ลกรมั ก็ตอ้ งใช้นำ้ 1.36 ลิตร

ลักษณะเดน่ ประการหน่งึ ของไมจ้ ันทร์ทองเทศกค็ ือ มกี ารสบื ตอ่ พนั ธุ์ตามธรรมชาติ
(natural regeneration) ดีมากหากสภาพแวดล้อมของพื้นที่ป่าเอื้ออำนวย ที่สถานี
เกษตรหลวงอ่างขางซึ่งดินดี มีความชุ่มชืน้ ทัง้ ของดินและของบรรยากาศสูง ไม่มีปัญหาเร่อื ง
ไฟป่า จึงปรากฏว่าตามพื้นป่าในแปลงปลูกไม้จันทร์ทองเทศอายุ 25 ปีมีกล้าไม้ขึ้นอยู่
หนาแนน่ มาก กล้าไมเ้ หลา่ นีอ้ าจจะถอนมายา้ ยชำลงถุงปลาสตกิ เพอื่ ใชป้ ลกู ต่อไปได้

หรือถ้าจะจัดการสวนป่าจันทร์ทองเทศเดิมด้วยวิธีการสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติใน
รอบหมนุ เวียนที่สอง ก็สามารถทำได้โดยใชจ้ อบขุดเป็นร่องเล็ก ๆ ตามเส้นแนวขอบเขาก่อน

บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 315

หน้าที่เมล็ดจะแก่จดั และร่วงหล่นลงมาเล็กน้อย เพื่อรองรับการร่วงหล่นของเมล็ด จากนั้นก็
ตัดไม้หรือทำไมร้ ุ่นแรกออก หมู่ไม้รุ่นใหม่ก็จะเกิดขึ้นจากการงอกของเมล็ดที่ร่วงหล่นลงบน
ขั้นบันไดดินที่ทำไว้ แต่ต้องไม่ลืมว่าจันทร์ทองเทศเป็นไม้ที่ต้องการแสงสว่างเต็มที่ ดังนั้น
การทำไม้ออกในรอบแรกต้องใชว้ ธิ ีการตดั หมด จะใช้ระบบเลอื กตัดไม่ได้

พื้นทีป่ ลกู ไมจ้ ันทรท์ องเทศนอกจากจะต้องไดร้ ับแสงสว่างเต็มท่ี ดินดี และน้ำไม่ทว่ ม
ขังแล้ว ค่าความเป็นกรดเป็นด่างของดินควรอยู่ระหว่าง 5.5–6.5 เตรียมพื้นที่โดยการไถ
พรวนทั่วพื้นที่ หรือไถพรวนเป็นแถบ ๆ หรือไม่ไถพรวนเลยแต่ขุดหลุมปลูกให้มีขนาดใหญ่
พอสมควร คือประมาณ 25 x 25 x 25 เซนติเมตร ระยะปลูกที่เหมาะสมคือ 2 x 4 เมตร
ทั้งนี้ในปีแรก ๆ เกษตรกรอาจจะปลูกพืชเกษตรควบตามหลักของระบบวนเกษตรก็ได้ โดย
ชนิดของพืชควบขึ้นอยู่กับความต้องการของเกษตรกร สภาพแวดล้อมของพื้นที่ และลู่ทาง
การตลาดของพืชเกษตรเป็นสำคัญ ที่นิยมกันมากในภาคเหนือได้แก่ ข้าวโพด ข้าวไร่ เผือก
ถัว่ และขิง

กล้าไม้ที่ใช้ปลูกมีอายุประมาณ 8–12 เดือน เพาะโดยการหว่านเมล็ดลงในร่องเพาะ
ให้มีความหนาแน่นของเมล็ดประมาณ 70 กรัมต่อตารางเมตร ซึ่งจะได้ต้นกล้าเกือบ ๆ
3,000 กล้า จากนั้นประมาณ 6–7 สัปดาห์ก็ย้ายกล้าลงถุงปลาสติก เลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำ
โดยมีการรดน้ำและดูแลรักษาตามปกติจนมีความสูงประมาณ 50 เซนติเมตร หรือเมื่อต้น
กลา้ โตจนเป็นท่พี อใจแลว้ กน็ ำไปปลูกเป็นสวนปา่ ได้

เกษตรกรที่สนใจจะปลูกไม้จันทร์ทองเทศสามารถติดต่อขอซื้อกล้าและขอทราบ
รายละเอียดต่าง ๆ รวมทั้งขอไปศึกษาดูงานด้านการปลูกและการใช้ประโยชน์ไม้ที่ศูนย์
สาธิตการใชไ้ มส้ มพรสหวฒั น์ สถานเี กษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จงั หวัดเชียงใหม่ ได้
ที่ คุณขจร สุริยะ (โทรศัพท์ 089-951-4245) และคุณกิตติศักดิ์ จินดาวงค์ (โทรศัพท์
086-658-0376)

ดว้ ยความทเี่ ปน็ ไมไ้ มผ่ ลดั ใบ ทรงพุม่ เลก็ เรือนยอดไมเ่ กะกะเก้งก้าง หลาย ๆ เมอื งใน
ประเทศออสเตรเลีย จีน และไต้หวัน รวมทั้งกรุงเกียวโตเมืองหลวงเก่าของญี่ปุ่น และทาง
ตอนใต้ของรัฐแคลิฟอร์เนีย จึงนิยมปลูกไม้จันทร์ทองเทศเป็นไม้ให้ร่มตามแนวถนนหนทาง
และสวนสาธารณะในเมือง

ส่วนด้านประโยชน์ของเนื้อไม้นั้น ดร.นิคม แหลมสัก ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยป่าไม้
คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ กไ็ ด้ทำการศึกษาวจิ ัยคณุ สมบตั ิด้านตา่ ง ๆ ของ

316 รวมเรื่องสวนป่า

เนื้อไม้ในเชิงลึกไว้มากพอสมควร พบว่าไม้จันทร์ทองเทศมีคา่ ความถ่วงจำเพาะเท่ากับ 0.62
ความหนาแน่นของเนอื้ ไมใ้ นสภาวะสด 0.87 กรัมตอ่ ลกู บาศกเ์ ซนติเมตร ในสภาวะแห้ง 0.80
กรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร ปริมาณความชื้นในสภาวะสด 40.11 เปอร์เซ็นต์ สภาวะแห้ง
16.15 เปอร์เซ็นต์ ค่าความแข็งเท่ากบั 805 กโิ ลกรมั คา่ ความตา้ นทานแรงดดั 132.40 เมกะ
พาสกัล ค่ามอดลู สั ยดื หยนุ่ 12,635 เมกะพาสกัล และความสามารถในการแปรรูปตกแต่งจัด
อยู่ในระดบั ปานกลาง

ข้อมูลคุณสมบัติไม้ที่น่าสนใจอีก
ประการหนึ่งก็คือ ไม้จันทร์ทองเทศจาก
สถานีเกษตรหลวงอ่างขางเมื่อนำเข้า
เครื่องปอกเป็นไม้วีเนีย (Veneer) ได้
วีเนียบาง (0.5–0.8 มิลลิเมตร) 52
เปอร์เซ็นต์ โดยแยกเป็นเกรด A 50
เปอร์เซ็นต์ เกรด B 41 เปอร์เซ็นต์ และ
เกรด C 9 เปอร์เซ็นต์ ได้วีเนียหนา (2.5
มิลลิเมตร) 25 เปอร์เซ็นต์ รวมส่วนที่ใช้เป็นวีเนียได้เท่ากับ 77 เปอร์เซ็นต์ เหลือแกน 5
เปอร์เซ็นต์ และปีกไมซ้ ึ่งเหมาะสำหรบั ใช้เป็นเชอ้ื เพลิงมี 18 เปอร์เซน็ ต์ คุณภาพของไม้บาง
จดั อยใู่ นเกณฑ์นา่ พึงพอใจมาก เพราะผวิ เรียบ สม่ำเสมอ เนือ้ ไมไ้ มบ่ ิด ไม่แตกรา้ ว

ส่วนข้อมูลด้านการเจริญเติบโต การสังเคราะห์แสง การใช้น้ำ การปลูก และการ
จัดการสวนป่า รวมทั้งข้อมูลพื้นฐานด้านนิเวศสรีระ ก็มีคณาจารย์หลาย ๆ ท่านจากคณะ
วนศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ร่วมกบั มลู นธิ ิโครงการหลวงไดท้ ำการศกึ ษาวิจัยในเชิง
ลึกไว้มากพอสมควร

ด้วยประสบการณ์จากการศึกษาวิจัยเป็นเวลายาวนานกว่ายี่สิบห้าปี งานป่าไม้
มูลนิธิโครงการหลวงจึงกล้าแนะนำไม้จันทร์ทองเทศสู่เกษตรกร ซึ่งผู้สนใจสามารถไป
ศึกษาดูงานไดท้ ่สี วนปา่ สาธิต สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ครบั

56 เมอ่ื เศรษฐญี ีป่ ่นุ ชว่ ยไทย

ปลูกไมเ้ ศรษฐกจิ

“ไมเ้ ศรษฐกจิ ” ทีก่ ลา่ วถงึ น้หี มายถงึ ไม้ใน “ป่าเพอ่ื เศรษฐกิจ” ซ่งึ “นโยบายการป่า
ไม้แห่งชาติ” ที่ประกาศใช้เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2528 ได้ “กำหนดไว้เพื่อการผลิตไม้
และของป่าเพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจ ในอัตราร้อยละ 25 ของพื้นที่ประเทศ” และใน
เวลาต่อมาได้ปรับลดลงเหลือรอ้ ยละ 15 ของพนื้ ทปี่ ระเทศ หรอื ประมาณ 48.20 ล้านไร่

เมื่อรัฐบาลประกาศ “ปิดป่า” ในปี พ.ศ. 2532 “ไม้เศรษฐกิจ” อันพึงจะได้มาจาก
“ป่าเพื่อเศรษฐกิจ” จึงต้องมาจากสวนป่าภายในประเทศ และ/หรือ การนำไม้เข้ามาจาก
ต่างประเทศเท่านั้น ข้อมูลของกรมป่าไม้ระบุว่าในปี พ.ศ. 2549 มูลค่าการนำเข้าไม้และ
ผลิตภัณฑ์ไม้ของประเทศไทยสูงถึง 25,105.571 ล้านบาท แยกเป็นไม้ท่อนและไม้แปรรูป
18,861.227 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ไม้ในรูปแบบต่างๆ 6,244.344 ล้านบาท ในขณะที่

ปัจจบุ ันน้ีประเทศไทยมเี นอ้ื ทีส่ วนปา่ เศรษฐกิจที่จะ
ผลิตไม้เศรษฐกิจทั้งเพื่อใช้สอยภายในประเทศและ
เพื่อการสง่ ออกรวมทัง้ สิ้นประมาณ 26 ล้านไร่ โดย
แยกเป็นสวนไม้ป่าชนิดต่างๆ และสวนยางพารา
อย่างละประมาณ 13 ล้านไร่

อาจจะกล่าวได้ว่าองค์การอุตสาหกรรมป่า
ไม้ หรือ อ.อ.ป. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นเจ้าของ
สวนป่าเศรษฐกิจรายใหญ่ท่สี ุดของประเทศไทย คือ
มีเนื้อที่สวนป่าอยู่ถึง 1.150 ล้านไร่ ประกอบด้วย
ไม้เศรษฐกิจหลัก 3 ชนิด คือ สวนสัก 588,900 ไร่
(รอ้ ยละ 51.21) สวนยูคาลิปตัส 199,875 ไร่ (ร้อยละ 17.38) และสวนยางพารา 63,444 ไร่

พิมพ์คร้ังแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 8 (89) : 43–45 (พ.ศ. 2551)

318 รวมเรอื่ งสวนปา่

(ร้อยละ 5.52) สว่ นทเี่ หลืออีก 297,700 ไรห่ รอื ร้อยละ 25.89 น้นั เป็นสวนป่าไมก้ ระยาเลย
อ่ืนๆ อาทิ ไม้แดง ประดู่ ตะเคียนทอง พะยูง และกระถินเทพา ฯลฯ

องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ได้เริ่มปลูกสร้างสวนสักในปี พ.ศ. 2511 สวนยางพาราใน
ปี พ.ศ. 2517 และสวนยูคาลิปตัสในปี พ.ศ. 2521 โดยใช้งบประมาณจากภาครัฐที่จัดสรร
จากเงินรายได้ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้เอง และงบประมาณที่รัฐบาลจัดให้ภายใต้
โครงการ (ปลกู ป่า) ตา่ งๆ ตลอดมา

จนกระทั่งถึงปี พ.ศ. 2535 นายโนโบรุ อุเมดะ (Mr. Noboru Umeda) มหาเศรษฐี

ชาวญี่ปุ่น ประธานมูลนิธิอุเมดะ (Umeda Foundation) ก็ได้เริ่มให้การสนับสนุนองค์การ

อุตสาหกรรมป่าไม้ปลูกไม้เศรษฐกิจภายใต้โครงการชื่อ “ศูนย์ความร่วมมือทางวนวัฒน

วิทยาโพ้นทะเล – อุเมดะ/องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้” หรือ Overseas Silviculture

Center–Umeda/ Forest Industry

Organization หรือที่เรียกชื่อย่อว่า

โครงการ OSC–/FIO ที่เรียกว่าเป็น

ความร่วมมือก็เพราะมูลนิธิอุเมดะ ให้

งบประมาณในการปลูก ปลูกซ่อม และ

ดูแลรักษาในสามปีแรก หลังจากน้ัน

องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้จะต้อง

รับผิดชอบในการดูแลรักษาและจัดการ

ภาพจาก : https://www.technologychaoban.com/agricultural- สวนป่าของโครงการฯ เองทั้งหมด ไม้
technology/article_129676 และรายได้ทั้งหมดเป็นทรัพย์สินของ

องคก์ ารอุตสาหกรรมป่าไม้

นายโนโบรุ อุเมดะ ประธานมูลนิธิอุเมดะ เกิดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2461 ใน
ครอบครัวชาวนาที่เมืองกิฟุ ซึ่งอยู่ใกล้กับเมืองนาโงย่า ประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันอายุ 90 ปี 8
เดือน แต่ยังมีสุขภาพแข็งแรง สามารถเดินทางมาตรวจเยี่ยมสวนป่าของโครงการฯ ใน
ประเทศไทยได้ตามปกตเิ ชน่ เดยี วกับทุกๆ ปที ่ผี ่านมา

นายโนโบรุ อเุ มดะ เปน็ พี่ชายคนโต มีน้องชาย 4 คน นอ้ งสาว 4 คน เมื่อมอี ายุได้ 23
ปี ได้เดินทางไปทำการเกษตรและพัฒนาที่ดินเพื่อการเกษตรท่ีแมนจูเรีย ในช่วงสงครามโลก
ครั้งที่สองถูกเกณฑ์เป็นทหารญี่ปุ่นและถูกจับเปน็ เชลยอยู่ระยะหนึ่ง เมื่อได้รับการปล่อยตัว
ออกมาในปี พ.ศ. 2490 ก็ได้เริม่ ทำธุรกจิ ในเมอื งโอซาก้า

บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 319

ในปี พ.ศ. 2513 นายโนโบรุ อุเมดะ ได้เริ่มทำธุรกิจด้านการเกษตรและป่าไม้ที่เกาะ
ฮอกไกโดทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุ่น และก่อตั้งบริษัทชิโตเซการป่าไม้ (Chitose
Forest Co. Ltd.) เพอื่ ทำธรุ กิจดา้ นการปลกู สร้างสวนป่าข้นึ ทเ่ี กาะฮอกไกโดในปี พ.ศ. 2525
ปัจจุบันทำธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในเมืองโอซาก้า รวมทั้งเป็นเจ้าของสนามแข่งรถและ
ธุรกจิ การปลูกสรา้ งสวนป่าในเกาะฮอกไกโด

จากประสบการณ์การปลูกสร้างสวนป่าในเกาะฮอกไกโดอันยาวนาน นายโนโบรุ
อุเมดะ มีเจตนารมณ์อย่างแรงกล้าในอันที่จะได้เห็นผืนแผ่นดินปกคลุมไปด้วยป่าไม้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือสวนป่าเศรษฐกิจซึ่งนอกจากจะช่วยสร้างความร่มรื่นชุ่มชื้นให้แก่
แผน่ ดินแล้ว ยังช่วยสร้างรายได้ใหแ้ ก่สงั คมทอ้ งถนิ่ และประเทศชาติในภาพรวมอกี ด้วย จึงได้
ตั้งปณิธานท่ีจะปลูกปา่ ให้เป็นของขวัญแก่มวลมนุษย์ในโลกนี้ทุกคน นายโนโบรุ อุเมดะ โดย
มูลนิธิอุเมดะจึงได้เริ่มให้การสนับสนุนการปลูกสร้างสวนป่าในประเทศฟิลิปปินส์และ
มาเลเซียในปี พ.ศ. 2533

สำหรับประเทศไทยนั้น ศาสตราจารย์ ดร. เคียวจิ โยดะ นักนิเวศวิทยาป่าไม้แห่ง
มหาวิทยาลัยโอซาก้า เป็นผู้ชักนำประธานมูลนิธิอุเมดะเข้ามาเจรจากับองค์การ
อุตสาหกรรมป่าไม้ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535 และทำบันทึกตกลงจัดตั้งโครงการความ
ร่วมมือดังกล่าวขึ้นเมื่อวันที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2535 ศาสตราจารย์ ดร. เคียวจิ โยดะ เป็น
เพื่อนสนิทของศาสตราจารย์ ดร. สง่า สรรพศรี อดีตคณบดีคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั
เกษตรศาสตร์ ได้ทำงานวิจัยด้านนิเวศวทิ ยาป่าไม้ร่วมกันมาเป็นเวลายาวนานตั้งแต่วัยหนมุ่
ปจั จบุ นั ทั้งคู่ไดถ้ งึ แกก่ รรมไปสิบกวา่ ปีแล้ว

มลู นธิ ิอุเมดะได้ใหก้ ารสนับสนนุ องค์การอตุ สาหกรรมป่าไมป้ ลกู สรา้ งสวนปา่ เศรษฐกจิ
ต้งั แตป่ ี พ.ศ. 2535 เปน็ ตน้ มาโดยแบง่ เป็นระยะๆ ระยะละ 3 ปี คอื ระยะท่ี 1 ปี พ.ศ. 2535–
2537 ระยะท่ี 2 ปี พ.ศ. 2538–2540 ปัจจบุ นั อยู่ในระยะที่ 6 ปี พ.ศ. 2550–2552 ชนดิ ไมท้ ี่
ปลูกและงบประมาณที่ให้การสนับสนุนในแต่ละระยะอาจจะแตกต่างกันไปบ้าง โดยใน
ระยะแรกๆ เน้นไมส้ กั และไมย้ คู าลิปตัส แต่ระยะหลงั ๆ มักจะเนน้ มาที่ไมย้ างพาราและไม้สัก
รวมงบประมาณที่ได้ให้การสนับสนุนไปแล้วทัง้ สิ้นเป็นเงนิ 95.93 ล้านบาท ได้เนื้อที่สวนป่า
20,593 ไร่ หรือเฉลี่ยไร่ละประมาณ 4,658 บาท แยกเป็นสวนยางพารา 9,252 ไร่ สวนสัก
7,285 ไร่ สวนยูคาลิปตัส 1,634 ไร่ และสวนไม้อื่นๆ อันได้แก่ ไม้ประดู่ แดง ตะเคียนทอง
ยางนา กระถินเทพา กันเกรา สะเดา และไม้บง รวม 2,422 ไร่ ดังรายละเอียดในตาราง
ขา้ งลา่ งน้ี

320 รวมเร่ืองสวนป่า

พ้ืนท่ีสวนป่าเศรษฐกิจของโครงการศูนยค์ วามร่วมมอื ทางวนวัฒนวทิ ยาโพน้ ทะเล–
อเุ มดะ/อ.อ.ป. (OSC–U/FIO)

ระยะ ปี พ.ศ. เน้อื ที่ (ไร)่ อื่นๆ รวม งบประมาณ
ท่ี สัก ยคู าลปิ ตัส ยางพารา 1,365 (ไร)่ (ล้านบาท)
4,955
1 2535–2537 2,860 730 - 566 11.54
311 958 2.25
2 2538–2540 392 - - 180 1,702 9.03
2,725 12.68
3 2541–2543 9 904 478 - 4,953 28.63
- 5,300 31.80
4 2544–2546 2,145 - 400 2,422 20,593 95.93

5 2547–2549 1,879 - 3,074

6 2550–2552 - - 5,300

รวม 2535–2552 7,285 1,634 9,252

เป็นที่น่าสังเกตว่างบประมาณที่มูลนธิ ิอุเมดะให้การสนับสนุนด้านการปลูกสร้างสวน
ปา่ แกอ่ งค์การอุตสาหกรรมป่าไมต้ ั้งแต่ระยะท่ี 2 (ปี พ.ศ. 2538–2540) เปน็ ต้นมานนั้ เพม่ิ ขึ้น
เรื่อยๆ คือ จาก 2.25 ล้านบาทสำหรับพื้นที่ปลูก 958 ไร่ในระยะดังกล่าว เป็น 31.80 ล้าน
บาทสำหรบั พน้ื ที่ปลูก 5,300 ไร่ ในปัจจบุ ัน (ระยะที่ 6 ปี พ.ศ. 2550–2552) ท้ังน้ี เนือ่ งจาก
ความพงึ พอใจในผลการดำเนนิ งานขององค์การอตุ สาหกรรมปา่ ไม้

ปัจจุบัน (พ.ศ. 2552) ต้นไม้ในสวนป่าเศรษฐกิจของโครงการโอเอสซี–ยู/อ.อ.ป. เร่ิม
เก็บเกี่ยวผลประโยชน์ได้บ้างแล้ว นั่นคือ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้มีรายได้จากไม้ยูคา
ลิปตัส 6,718,065 บาท จากน้ำยางพารา 4,928,900 บาท และจากไม้สกั ตัดสางขยายระยะ
259,508 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 11,906,473 บาท หรือประมาณร้อยละ 12.41 ของ
งบประมาณที่ไดร้ บั การสนบั สนนุ จากมลู นิธอิ ุเมดะซึ่งองค์การอุตสาหกรรมปา่ ไม้จะนำรายได้
ที่ได้รับนี้เป็นทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานปลูกสร้างสวนป่าเพื่อสร้างพื้นที่สีเขียวอย่าง
ย่ังยืนให้แกแ่ ผ่นดนิ ไทยตอ่ ไปดังเจตนารมยเ์ ดิมของประธานมูลนธิ ิอุเมดะ

นอกจากความหลากหลายของชนดิ ไมด้ ังกลา่ วแล้ว สง่ิ ที่นา่ ภาคภมู ิใจอีกประการหน่ึง
ก็คือ สวนป่าภายใต้โครงการโอเอสซี–ยู/อ.อ.ป. ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะสวนป่าใดสวนป่าหนงึ่
หรือท้องที่จังหวัดใดจังหวดั หนึ่งเท่าน้ัน แต่กระจัดกระจายอยู่ใน 16 สวนป่า 10 จังหวัด ทั่ว
ทุกภาคของประเทศไทย คือ จังหวัดกาญจนบุรี (สวนป่าทองผาภูมิ เกริงกระเวีย ไทรโยค)
สุพรรณบุรี (องค์พระ ด่านช้าง) ฉะเชิงเทรา (คลองตะเกรา) จันทบุรี (โป่งน้ำร้อน แก่งหาง

บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 321

แมว) ตราด (ท่ากุ่ม) เลย (น้ำสวย–ห้วยปลาดุก นาด้วง ภูสวรรค์) กาฬสินธิ์ (สมเด็จ) ศรีสะ
เกษ (ขนุ หาญ) แพร่ (แม่มาน) และจงั หวดั กระบี่ (สวนปา่ หว้ ยนำ้ ขาว)

ด้วยคุณงามความดีที่ต่อเนื่องกันอันยาวนานดังกล่าว นายโนโบรุ อุเมดะจึงได้รับ
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ชั้นจตุตถดิเรกคุณาภรณ์ เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2542
และชั้นตติยดิเรกคุณาภรณ์ เมอ่ื วนั ท่ี 20 พฤศจิกายน 2549

ขณะนี้มีข่าวว่าผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทยหลาย ๆ ท่านได้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อ
วัตถุประสงค์หลักแตกต่างกนั มากมาย ผมได้แต่ตั้งความหวังอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ไว้ว่าสัก
วันหนึง่ คงจะไดเ้ ห็นมหาเศรษฐีชาวไทยดำเนินรอยตามนายโนโบรุ อุเมดะ ประธานมูลนิธิ
อเุ มดะ มหาเศรษฐีชาวญป่ี ุ่นท่านนกี้ นั บ้าง

57 สวนปา่ เศรษฐกิจ
ในโลกปจั จบุ ัน

ในระหว่างวันที่ 17–20 พฤศจิกายน 2551 คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ร่วมกับกรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กรมทรัพยากรทางทะเลและ
ชายฝั่ง องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ กรุงเทพมหานคร และองค์กรต่าง ๆ ทั้งในประเทศและ
ต่างประเทศอีก 10 หน่วยงาน ได้ร่วมกันจัดการประชุมสัมมนานานาชาติ “FORTROP II :
Tropical Forestry Change in a Changing World” ขึ้น ที่อาคารสารนิเทศ 50 ปี
มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน เพื่อเปน็ กจิ กรรมทางวชิ าการอยา่ งหนงึ่ ในการร่วมเฉลิม
ฉลอง 72 ปีของคณะวนศาสตร์ หรือ 72 ปแี หง่ การศกึ ษาวิชาการป่าไม้ของประเทศไทย

เมื่อสิบสองปีที่แล้ว คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้จัดให้มีการ
ประชุมสัมมนานานาชาติ “FORTROP’ 96 : Tropical Forestry in the 21st Century”
ขนึ้ เน่อื งในโอกาส 100 ปกี รมปา่ ไม้ และ 60 ปกี ารศึกษาวิชาการปา่ ไมข้ องประเทศไทย

FORTROP II จึงเป็นการจัดสัมมนาทางวิชาการป่าไม้เขตร้อนภาคสองโดยมี
ดร. ลดาวัลย์ พวงจิตร รองคณบดีฝ่ายการศึกษาเป็นประธานคณะกรรมการการ
ประชุมสัมมนา และมี ดร. สาพิศ ดิลกสัมพันธ์ เป็นเลขานุการ มีผู้เข้าร่วมประชุมจาก
ประเทศต่าง ๆ รวม 30 ประเทศ จำนวนประมาณ 600 คน

การประชุมสัมมนาได้แบ่งออกเป็น 11 กลุ่มหลักได้แก่ (1) ป่าไม้ในเขตร้อนและการ
เปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ (2) การใช้ภูมิสารสนเทศเพื่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อม (3) ความร่วมมือด้านการวิจัยทางนิเวศวิทยาระยะยาวในระดับนานาชาติ (4)
นิเวศวิทยาและการอนุรักษ์ป่าไม้ในเขตแห้งแลง้ (5) ระบบนิเวศของป่าชายเลนและพ้นื ที่ชมุ่
น้ำ (6) สวนป่าเชิงพาณิชย์ (7) การป่าไม้และพื้นที่สีเขียวในเขตเมือง (8) วนศาสตร์ชุมชน
(9) พื้นที่อนุรักษ์และการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (10) ผลิตภัณฑ์ป่าไม้และวัสดุชีวภาพ และ
(11) สมาคมนักศึกษาวนศาสตร์แห่งภูมิภาคอาเซียน โดยการประชุมสัมมนาดังกล่าว

พิมพค์ ร้ังแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 9 (90) : 43–46 (พ.ศ. 2552)

บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 323

ประกอบด้วยการบรรยายในหัวข้อหลักและหัวข้อรองโดยวิทยากรรับเชิญ การนำเสนอ
ผลงานทางวิชาการโดยนักวจิ ัยในรูปของการบรรยาย การอภิปราย การจัดนิทรรศการ และ
การศึกษาดูงานนอกสถานท่ี โดยมี ฯพณฯ ดร. อำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป็นประธาน
เปิดการประชุมสัมมนา

ผมคิดว่าการสัมมนาของกลุ่มที่ 6 ในหัวข้อสวนป่าเชิงพาณิชย์ (Symposium VI :
Commercial Plantation Forestry) เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับไม้เศรษฐกิจโดยตรงซึ่งผู้ติดตาม
คอลัมน์ “ไม้เศรษฐกิจ” ของนติ ยสาร “ไม่ลองไม่ร”ู้ อาจจะสนใจ จึงไดน้ ำเอาสาระบางส่วน
ของการบรรยายพิเศษเรื่อง “ป่าปลูกในโลกปัจจุบัน” (Plantation Forest in a
Modern World) ของคณุ คงศักด์ิ ภญิ โญภูษาฤกษ์ มาเล่าสู่กันฟัง

คุณคงศักดิ์ ภิญโญภูษาฤกษ์ สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะวนศาสตร์
(วน. 33) มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลยี
(Australian National University : ANU) เคยรับราชการอยูท่ ี่กรมป่าไม้ มีความเชี่ยวชาญ
ด้านวนวัฒนวิทยาของไม้สัก ไม้ยูคาลิปตัส และไม้สกุลกระถินณรงค์ (Acacia) ปัจจุบันรับ
ราชการเปน็ ผูเ้ ชีย่ วชาญดา้ นป่าไมป้ ระจำอย่ทู ่ี CSIRO กรงุ แคนเบอรร์ า ประเทศออสเตรเลีย

คุณคงศกั ดิ์ ไดเ้ ริ่มต้นการบรรยายดว้ ยการตงั้ คำถามว่า “ทำไมต้องปา่ ปลูก?” นั่นคือ
ทำไมต้องป่าปลูก หรือทำไมต้องสวนป่านั่นเอง คำตอบง่ายๆ สั้น ๆ ที่ต้องปลูกป่าก็เพราะ
โลกมีความต้องการไม้และต้องการมากข้ึนเรือ่ ย ๆ ในขณะที่พืน้ ท่ีป่าธรรมชาติลดลงตาม
การเพม่ิ ข้นึ ของประชากร

แต่ถ้าจะขยายความให้ยาวออกไปว่าทำไมต้องปลกู ปา่ เศรษฐกิจหรือปลูกไม้ไวใ้ ช้สอย
ก็สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล 2 ประการ ประการแรก คือ เหตุผลเกี่ยวกับป่าธรรมชาติ
ซึ่งถือเป็นปัจจัยในทางลบที่ต้องปลูกปา่ เพราะป่าธรรมชาติที่มอี ยู่ถูกโค่นล้มแผ้วถางเพิ่มขนึ้
ทุกวัน ทั้งในรูปของการทำไม้ที่ปราศจากหลักวิชาการ ความต้องการที่ดินเพื่อทำกิน เพื่อ
พฒั นาทีอ่ ยอู่ าศัยและสาธารณปู โภคตา่ ง ๆ ปา่ ธรรมชาติท่ีเหลอื อยูส่ ว่ นใหญก่ ถ็ กู ประกาศเป็น
เขตปา่ อนรุ ักษเ์ พอ่ื ประโยชนท์ างอ้อม ซึง่ ไมส่ ามารถทำไมอ้ อกมาใชป้ ระโยชน์ได้ ป่าธรรมชาติ
ที่อยู่นอกเขตอนุรักษ์สว่ นใหญ่เป็นป่าเสื่อมโทรม ที่การสืบต่อพันธุ์ตามธรรมชาติไม่เป็นท่นี ่า
พึงพอใจ เพราะมีความหนาแน่นของหมู่ไม้ตำ่ มีชนิดไม้ไม่ตรงกับความต้องการใชป้ ระโยชน์
ขาดการจัดการที่ดีเพราะเป็นป่าของรัฐ จึงให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ และอยู่ห่างไกลเส้นทาง
คมนาคม ไม่คุ้มกบั การลงทุนตัดฟนั ชกั ลาก ในเชงิ เศรษฐศาสตร์

324 รวมเรือ่ งสวนป่า

ในปัจจุบันนี้ ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ท่ี
ซื้อขายกนั ในตลาดโลกจะต้องมาจากสวน
ป่าเท่านั้น เช่นเดียวกับในกรณีของ
ประเทศไทย ซึ่งไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ที่ซ้ือ
ขายใช้ประโยชน์กันอยู่ในทุกวันนี้ถ้าไม่
นำเข้ามาจากต่างประเทศก็ต้องได้มาจาก
สวนป่าเท่านั้น เพราะประเทศไทยได้
ประกาศ “ปิดปา่ ” ตงั้ แตป่ ี พ.ศ. 2532

เหตุผลประการที่สองเป็น สิ่งจูงใจให้มีการปลูกป่า ซึ่งถือเป็นปัจจัยในทางบวก
เพราะพื้นที่ที่ไม่เหมาะสำหรับปลูกพืชไร่ อ้อย มันสำปะหลัง หรือปลูกได้แต่ให้ผลผลิตต่อไร่
ต่ำ เช่น นาข้าวอาศัยน้ำฝน นั้นเป็นพื้นที่ที่ควรจะนำมาปลูกป่าเศรษฐกิจ ซึ่งเมื่อปลูกแล้วก็
จะก่อให้เกิดการสร้างงานแก่ชุมชนชนบท เพราะการปลูกป่าต้องใช้แรงงาน ปลูกแล้วทำให้
สภาพแวดล้อมของท้องถิ่นดีขึน้ เอื้ออำนวยต่อการทอ่ งเที่ยวเชิงนิเวศ ลดปัญหาโลกรอ้ น ได้
ชนิดไม้ที่ตรงกับความต้องการของการใช้ประโยชน์ ในปริมาณที่สูงต่อหน่วยพื้นที่ปลูก
ภายใต้อายุรอบหมนุ เวียนในการตัดฟันท่ีกำหนดให้ อันเปน็ การผลิตไมอ้ อกมาได้เพยี งพอและ
ตรงกบั ความต้องการของผบู้ ริโภค และสอดคล้องกบั ความต้องการของตลาดโลกท่ีว่าไม้ที่ซื้อ
ขายใช้สอยจะต้องเป็นไม้ที่ได้มา
จากสวนปา่ เทา่ นั้น

องค์การอาหารและเกษตร
แห่งสหประชาชาติได้รายงานการ
ผลติ และการบริโภคไมแ้ ละผลิตภัณฑ์
ที่ต้องอาศัยไม้เป็นวัตถุดิบหลักใน
การผลิตพอสรุปได้ว่า ประเทศที่
ร่ำรวยอย่างสหรัฐอเมริกา สวีเดน
ฟินแลนด์ และเดนมาร์ค ผลิตและบริโภคไม้มากกว่าประเทศที่ยากจนอย่างไทยและอินเดยี
ไม้ที่ผลิตแยกเป็นสองกลุ่ม คือ กลุ่มไม้ใบกว้าง (non-coniferous) เช่น ไม้สัก ไม้
ยูคาลิปตัส และไม้ยางพารา และไม้ในกลุม่ ไม้ใบแคบ (coniferous) เช่น ไม้สน เพื่อใช้ในรูป
ของไมเ้ พอ่ื พลงั งาน คือ ฟนื และถา่ น ไม้ซงุ เพอ่ื ผลิตไมแ้ ปรรูปและไมบ้ าง และประการสุดทา้ ย
คือ ไม้เพอ่ื อตุ สาหกรรมช้นิ ไมส้ บั สำหรบั ใช้ทำเยื่อกระดาษและไมอ้ ัดในรูปแบบตา่ ง ๆ

บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 325

กล่มุ ประเทศทกี่ ำลังพัฒนาส่วนใหญ่ใชไ้ มใ้ นรปู ของฟืนและถา่ น ในขณะท่ีประเทศ
ทพ่ี ัฒนาแลว้ ใช้ไมใ้ นรูปของเยื่อกระดาษมากกว่าฟนื และถ่าน

ข้อมูลขององค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติอีกเช่นกันระบุว่าในปี พ.ศ.
2549 ท่วั โลกผลติ ถ่านไม้ได้ 43.456 ล้านตัน เปน็ ของประเทศไทย 1.249 ล้านตนั ในขณะที่
สหรัฐอเมริกามีเพียง 0.902 ล้านตันเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม สหรัฐอเมริกาผลิตเยื่อ
กระดาษจากไม้ได้ 51.220 ล้านตนั แต่ตัวเลขการผลิตของจนี มเี พียง 1.985 ล้านตัน อินเดยี
1.886 ล้านตัน และไทย 0.933 ล้านตัน โดยปริมาณการผลิตทั่วทั้งโลกในปี พ.ศ. 2549 มี
เทา่ กับ 165.517 ล้านตนั

ในกรณีของไม้ซุงเพื่อ
แปรรปู และเพือ่ ผลิตไมบ้ าง ท้ัง
โลกผลิตได้ 999.865 ล้านตัน
เป็นของสหรัฐอเมริกา
256.036 ล้านตัน จีน 52.200
ล้านตัน อินเดีย 22.390 ล้าน
ตัน และไทย 2.008 ลา้ นตนั

ประเทศที่พัฒนาแล้ว
ส่วนใหญ่อยู่ในทวีปยุโรปและอเมริกาเหนือ แต่ประเทศที่กำลังพัฒนาส่วนใหญ่อยู่ในเอเชีย
และอาฟริกา ดังนั้นร้อยละ 73.0 ของปริมาณการผลิตไม้ฟืนจึงอยู่ในเอเชียและอาฟริกา
ในขณะที่ร้อยละ 73.3 ของเยื่อกระดาษจากไม้ และร้อยละ 68.9 ของไม้ซุงเพื่อ
ภาคอตุ สาหกรรม ผลติ ในยโุ รปและอเมริกาเหนือ

การผลติ ทกี่ ลา่ วถึงน้ีหมายถึงการทำไม้ออกมาใช้ประโยชน์ ซ่งึ สว่ นใหญ่แล้วในปจั จบุ นั
จะตอ้ งทำออกมาจากสวนปา่

ดังนัน้ สวนป่าเพือ่ ผลิตไม้ใช้สอยหรือสวนป่าเศรษฐกจิ จงึ มีความสำคญั ต่อวิถชี วี ติ
ระบบเศรษฐกิจ และสังคมของทุกประเทศ ปัจจุบันเพียงร้อยละ 2.8 ของพื้นที่ป่าในโลก
เท่านั้นที่เป็นป่าปลกู ที่เหลืออีกเกือบร้อยละ 97 เป็นป่าธรรมชาติ แต่ป่าปลูกได้ผลิตไม้เพอ่ื
ภาคอุตสาหกรรมได้มากกว่าร้อยละ 50 ของความต้องการไม้ทั้งหมด และมีอัตราการ
ขยายตวั ประมาณปลี ะ 15.625 ลา้ นไร่

326 รวมเร่ืองสวนป่า

หากมองในภาพรวมของทว่ั ท้ังโลก ทวีปเอเชยี มพี นื้ ท่ีป่าปลกู มากท่สี ุด คือ มีพนื้ ที่สวน
ป่าสูงถึงรอ้ ยละ 62 ของเนื้อที่สวนป่าทั้งหมด รองลงมาคือ ทวีปยุโรป (ร้อยละ 17) อเมริกา
(ร้อยละ 15) และอื่น ๆ (ร้อยละ 6) หากมองในแง่ของชนิดไม้ (species) เดี่ยว ๆ ที่ปลูกกนั
มากที่สุดก็คือยางพารา ซึ่งมีเนื้อที่ปลูกประมาณ 67.78 ล้านไร่ (ร้อยละ 5.29) รองลงมาคอื
ไม้สกั 35.73 ลา้ นไร่ (รอ้ ยละ 3.06) แต่ถา้ มองในระดบั สกลุ (Genus) ของไมท้ ีป่ ลูกมากที่สุด
ก็ต้องยกให้สกุลไม้สนเขา (Pinus) ซึ่งมีเนื้อที่ 233.69 ล้านไร่ (ร้อยละ 20.02) ตามมาด้วย
สกุลไม้ยูคาลิปตัส (Eucalyptus) เนื้อที่ปลูก 111.63 ล้านไร่ (ร้อยละ 9.56) และสกุลไม้
กระถินณรงค์ (Acacia) ซ่ึงมเี นอื้ ที่ปลูก 51.98 ล้านไร่ (ร้อยละ 4.45) ไม้ใบแคบ (coniferous)
ชนิดตา่ ง ๆ มีเนอื้ ทีป่ ลูกประมาณ 129.64 ลา้ นไร่ หรอื ร้อยละ 11.11 สว่ นทเี่ หลอื อีก ร้อยละ
47 นั้นแยกเป็นไม้ใบกว้างชนิดตา่ ง ๆ หลากหลายสกุลร้อยละ 18 และที่มีความหลากหลาย
มากมาย จนไม่สามารถจำแนกได้ว่าเป็นไม้ชนิดใดบ้างนั้นมีถึงร้อยละ 29 ของพื้นที่ป่าปลูก
ท้ังหมด

เป็นที่น่าสังเกตว่าทิศทางการปลูกสร้างสวนป่าเชิงพาณิชย์ในระยะ 40–50 ปีที่ผ่าน
มานี้มีการเปลี่ยนแปลงมากพอสมควร โดยในยุค พ.ศ. 2500 มีการปลูกไม้สนเขากันมาก
ทศวรรษถัดมาไม้ยางพาราได้เข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่เมื่อ 20 ปีที่ผ่านมานี้โลกให้ความ
สนใจกบั การปลกู ไมส้ กุลกระถินณรงคแ์ ละยคู าลปิ ตสั ซงึ่ เปน็ ไมโ้ ตเรว็ และมอี ายรุ อบหมนุ เวยี น
ในการตดั ฟันสน้ั และมแี นวโน้มว่าในทศวรรษหน้าจะมีการปลูกไมย้ ูคาลปิ ตสั มากกว่าไม้สกุล
อ่นื ๆ

ถามวา่ ทำไมในระยะหลั งๆ จงึ ให้ความสำคัญกบั การปลกู ไม้สกุลกระถินณรงค์กนั มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้สกุลกระถนิ ณรงค์ในเขตร้อนชืน้ (Tropical Acacias) ซึ่งอินโดเนเซียมี
เนื้อท่ปี ลูกถงึ 7.5 ล้านไร่ และเวยี ดนาม 2.5 ล้านไร่ คำตอบกค็ ือ ไมส้ กุลกระถนิ ณรงค์ให้เส้น
ใยที่มีคุณภาพดีสำหรับอุตสาหกรรมเยือ่ กระดาษ ในส่วนของไม้ทอ่ นก็ใช้ทำเฟอรน์ เิ จอร์ไดด้ ี
เป็นที่ต้องการของตลาด รวมทั้งขยายพันธุ์ได้ง่าย โตเร็ว และมีความเสี่ยงต่อโรครา แมลง
หลัก ๆ น้อย จุดด้อยเมื่อเปรียบเทียบกระถินณรงค์กับยูคาลิปตัสก็มีเพียงความสามารถใน
การแตกหนอ่ เทา่ นนั้ เอง

สว่ นกรณขี องไม้ยคู าลปิ ตัสนัน้ ก็มีขอ้ ดีคลา้ ย ๆ กับไมส้ กุลกระถนิ ณรงค์ แม้ยูคาลิปตัส
จะเป็นไม้พื้นเมืองของออสเตรเลีย แต่ก็ได้มีการนำไปปลูกเชิงพาณิชย์กันในประเทศต่าง ๆ
อย่างแพรห่ ลายมากกว่าหน่งึ ร้อยประเทศ จนทำใหเ้ นื้อทีป่ ลูกเพ่ิมข้ึนจาก 4.375 ล้านไร่ ในปี

บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 327

พ.ศ. 2490 เป็น 37.500 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2528 และ 106.25 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2550
ประเทศที่มีเนื้อที่ปลูกไม้ยูคาลิปตัสมากที่สุดสิบอันดับแรกได้แก่ 1) อินเดีย (30 ล้านไร่)
2) บราซิล (22.606 ล้านไร่) 3) จีน (11.875 ล้านไร่) 4) ออสเตรเลีย (5 ล้านไร่)
5) อาฟริกาใต้ (3.323 ล้านไร่) 6) โปรตุเกส และไทย ซึ่งมีเนือ้ ที่ปลูกเท่า ๆ กัน คือ 3.125
ล้านไร่ 8) อุรุกวัย และเวียดนาม (ประเทศละ 2.500 ล้านไร่) และ 10) ประเทศชิลี (2.25
ลา้ นไร่)

สวนป่าเชิงพาณิชย์ไม่ว่าจะเป็นไมท้ ี่มีอายุรอบหมุนเวยี นในการตัดฟันยาว ปานกลาง
หรือสั้น และไมว่ า่ จะเป็นไมพ้ ้ืนเมืองหรือไม้ต่างถิ่น ในปัจจุบันนี้มีการศึกษาวจิ ยั ในเชงิ ลึกกนั
อย่างกวา้ งขวาง ท้ังโดยภาครัฐและธรุ กิจภาคเอกชนที่เกีย่ วขอ้ ง ต้ังแตก่ ารปรับปรุงบำรุงพันธุ์
ค้นหาสายพันธุ์ใหม่เพื่อขยายฐานพันธุกรรมและเพิ่มกำลังการผลิต การคัดสรรและเตรียม
พ้นื ท่ปี ลูก รวมทั้งการจัดการสวนปา่ อย่างประณตี

หลายคนพูดว่ายูคาลิปตัสเป็นไม้ตา่ งถิ่น เป็นสิ่งเลวร้าย ไม่ควรปลูก โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งการปลูกเป็นพืชเชิงเดีย่ ว แต่ลืมไปว่าสับปะรด ยางพารา ปาล์มน้ำมัน ฯลฯ ต่างก็เป็นพชื
เศรษฐกิจต่างถิ่นซึ่งส่วนใหญ่ก็ปลูกเป็นพืชเชิงเดี่ยวและจัดการอย่างประณีตด้วยเช่นกัน
ทั้งนน้ั

การกำหนดพืน้ ท่ีปลูกท่เี หมาะสม และการจดั การท่ีถูกตอ้ งตามหลกั วชิ าการจึงเป็น
มาตรการที่จำเปน็ อยา่ งยิ่งสำหรับสวนป่าเชิงพาณชิ ยใ์ นอนาคต

58 ปลูกมันสำปะหลัง
แทรกในสวนยคู าลปิ ตสั

หรอื

ปลกู ไมย้ ูคาลิปตสั
แทรกในไรม่ ันสำปะหลงั

มักจะมีคนถามว่าเราจะเรียกการเกษตรแบบผสมผสานตาม “ระบบไร่นาป่าผสม”
อย่างเช่นการปลูกมันสำปะหลังร่วมกับไม้ยูคาลิปตัสอย่างไร จะเรียกว่าเป็นการปลูกมัน
สำปะหลังแทรกในสวนยูคาลิปตัส หรือจะเรียกว่าเป็นการปลูกไม้ยูคาลิปตัสแทรกในไร่มัน
สำปะหลังกันแน่ สำหรับผม จะเรียกอย่างไรนั้นไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญต้องเข้าใจว่านั่นคือ
“ระบบวนเกษตร” รูปแบบหนึ่งซึ่งรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรทั้งหลาย
ควรทำความเขา้ ใจใหถ้ ูกตอ้ ง รณรงค์ส่งเสรมิ อยา่ งจรงิ จงั ใหเ้ กดิ ขนึ้ กบั การปลูกพชื ผลทางการ
เกษตรในภมู ภิ าคตา่ ง ๆ ท่ัวประเทศอย่างย่ังยนื และตอ่ เน่ือง

วนเกษตรคือรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งมีป่าไม้เป็นองค์ประกอบหลัก
กสิกรรม และ/หรือ ปศุสัตว์/ประมง เป็นองค์ประกอบรอง การที่จะถือว่าการปลูกพืชของ
เกษตรกรเข้าข่ายพอที่จะเรียกว่าเป็นระบบวนเกษตรได้หรือไม่ให้พิจารณาดูว่ามีป่าไม้เป็น
องค์ประกอบอยูด่ ้วยหรือไม่ หากไม่มีก็ไม่ใช่ระบบวนเกษตร เป็นแต่เพียงการทำฟาร์มระบบ
หนง่ึ เท่าน้นั เพราะ วน (วะนะ) แปลวา่ ปา่

ดังนั้น “ไร่นาสวนผสม” จึงไม่ใช่ระบบวนเกษตรต้อง “ไร่นาป่าผสม” จึงจะเป็น
ระบบวนเกษตร

ระบบวนเกษตรแบ่งออกเปน็ 3 ระบบหลกั ได้แก่ (1) ระบบกสกิ รรม-ปา่ ไม้ หรือ agri-
silvicultural system (2) ระบบป่าไม้-ปศุสัตว์ หรือ sylvo-pastoral system และ (3)
ระบบกสิกรรม-ป่าไม้-ปศุสัตว์ หรือ agro-sylvo-pastoral system ซึ่งอาจจะแสดงให้เขา้ ใจ
ไดง้ ่าย ๆ ดังไดอะแกรมข้างลา่ งนี้

พิมพ์ครัง้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 9 (91) : 43–46 (พ.ศ. 2552)

บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ ป่าไม้ 329

กสิกรรม ปศสุ ัตว์

ระบบ ระบบ ระบบ
กสกิ รรม-ปา่ ไม้ กสิกรรม-ปา่ ไม้-ปศสุ ตั ว์ ปา่ ไม้-ปศุสัตว์

การที่พืชใดจะจัดเป็นพืชกสิกรรม พืชใดเป็นพืชป่าไม้ หรืออะไรคือปศุสัตว์ก็เป็นที่
คุ้นเคยและยอมรับกันเป็นสากลอยู่แล้ว สำหรับประเทศไทยเป็นที่ทราบกันดีแล้วว่า กาแฟ
น้อยหน่า กระเทียม สับปะรด มะพร้าว ข้าวไร่ เป็นพืชเกษตร ในขณะที่ไม้สัก ยูคาลิปตัส
จำปาป่า เป็นไม้ป่า ส่วนยางพาราในปัจจุบันนี้เป็นได้ทั้งพืชผลทางการเกษตรและป่าไม้
ดังน้ัน การปลูกไมส้ กั ควบกับขา้ วไรท่ ีล่ ำปาง หรือน้อยหนา่ ทปี่ ากช่อง จึงเป็นระบบวนเกษตร
เช่นเดียวกับ การปลูกกาแฟใต้ร่มไม้จำปาป่าที่นครศรีธรรมราช และการปลูก มันสำปะหลัง
รว่ มกบั ไม้ยูคาลปิ ตัสทม่ี หาสารคาม รวมทั้งการปลกู สับปะรดแทรกระหวา่ งแถวของยางพารา
ท่ีพังงา แต่การเลย้ี งววั ในสวนมะพร้าวทีท่ ับสะแก หรือการปลูกกระเทยี มแทรกในสวนลำไยท่ี
ลำพูนนั้นไม่ใชร่ ะบบวนเกษตร เพราะทั้งมะพร้าว ลำไย และกระเทียม ต่างก็เป็นพืชผลทาง
การเกษตร ไม่ใช่พืชผลป่าไม้ การปลูกพืชแบบผสมผสานดังกล่าวจึงเป็นเพียงการทำฟาร์ม
ระบบหน่ึงเท่านนั้

มาตรการชี้วัดความสำเร็จของระบบวนเกษตรมี 4 ประการ คือ (1) ผลผลิต
(productivity) ระบบวนเกษตรตอ้ งแสดงให้เห็นว่าผลผลิตต่อไร่ทั้งจากพชื ผลทางการเกษตร
และป่าไม้ต้องสูงกว่าการปลูกพืชเชิงเดี่ยว (2) การตลาด (marketability) ผลผลิตต่อไร่ท่ี
สูงขึ้นต้องมีตลาดรองรับ คือปลูกแล้วขายได้ (3) การยอมรับของเกษตรกร (adoptability)
เกษตรกรต้องยอมรับการผลิตระบบนี้อย่างแท้จริง และ (4) ความยั่งยืน (sustainability)
ระบบนต้ี อ้ งมีความย่ังยนื ไม่ใช่เกษตรกรยอมรับเฉพาะในช่วงทีท่ างราชการสง่ เสริมเท่านนั้

ระบบวนเกษตรจงึ เปน็ การพัฒนาไปสู่ “เกษตรยั่งยนื ” คือยง่ั ยืนท้ังระบบเศรษฐกิจ
สังคม และสิ่งแวดล้อม เกษตรยั่งยืนจะเกิดขึ้นไม่ได้หากปราศจากองค์ประกอบทางด้าน
ปา่ ไม้

330 รวมเร่ืองสวนปา่

ป่าไม้จึงช่วยให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการเกษตรหรือเกษตรยั่งยืนด้วยเหตุผล 8
ประการ คือ (1) ชว่ ยในดา้ นการอนรุ กั ษด์ ินและน้ำ การจัดการป่าตน้ นำ้ ทำใหภ้ าคการเกษตร
มีน้ำใช้ตลอดปี (2) สร้างรายได้เสริมให้แก่เกษตรกร เพราะพืชสมุนไพร กล้วยไม้ พืชอาหาร
และไม้ประดับ จำนวนไม่น้อยต่างก็ได้มาจากป่า (3) ให้พลังงานในรูปของฟืน ถ่าน และ
พลังงานชีวมวล (4) ทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันลมและรั้วสีเขียวหรือรั้วมีชีวิต ซึ่งอาจจะเป็น
“รั้วกินได้” รวมทั้งเพิ่มพื้นที่ทำกินและผลผลิตต่อไร่ของที่ดินหลังแนวกันลม (5) ทำหน้าที่
เป็นไมพ้ เ่ี ลย้ี งใหร้ ่มเงาแกพ่ ชื เกษตรที่ต้องการร่มเงา เช่น กาแฟ และโกโก้ (6) ช่วยเพิ่มความ
อุดมสมบูรณ์ให้แก่ดินผ่านทางขบวนการร่วงหล่นและย่อยสลายของเศษไม้ใบไม้อันเป็นการ
เพิ่มปริมาณอินทรียวัตถุให้แก่ดิน (7) เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากร
พันธุกรรมให้แก่การเกษตร เพราะป่าไม้ช่วยขยายฐานพันธุกรรมใหม่ ๆ ทั้งของพืชและสัตว์
รวมทั้งแมลงและจลุ ินทรีย์ทม่ี ปี ระโยชน์ และ (8) ในเขตแหง้ แล้ง แถบปา่ ตามรมิ แม่นำ้ ลำธาร
เป็นแหล่งอาหารและรม่ เงาของสัตว์เล้ียง

วนเกษตรจึงเป็นระบบการเกษตรอนั พึงปรารถนาทง้ั ในปจั จบุ นั และอนาคต

กล่าวในสว่ นของการปลกู มันสำปะหลงั ข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกจิ การเกษตรระบุ
ว่าในปี พ.ศ. 2550 ทั่วทั้งโลกมีเนื้อที่ปลูกมันสำปะหลังรวมทั้งสิ้น 115.113 ล้านไร่ ให้
ผลผลติ รวม 224.273 ล้านตัน เฉลี่ยไร่ละ 1,921 กิโลกรัม ประเทศทีม่ ีเน้ือที่การเก็บเก่ียวมัน
สำปะหลังมากที่สุด 5 อันดับแรกได้แก่ไนจีเรีย (24.063 ล้านไร่) บราซิล (12.155 ล้านไร่)
คองโก (11.563 ล้านไร)่ อนิ โดเนเซยี (7.543 ล้านไร)่ และไทย (7.339 ล้านไร)่

แต่ผลผลิตต่อไร่ของไนจีเรียค่อนข้างต่ำ คือ เพียง 1,920 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งใกล้เคียง
กับค่าเฉลี่ยของทั้งโลก ในขณะที่อินเดียซึ่งมีเนื้อที่การเก็บเกี่ยวเพียง 1.513 ล้านไร่เท่านั้น
แต่ผลผลิตต่อไร่สูงที่สุดคอื 5,023 กิโลกรัมต่อไร่ รองลงมาคือประเทศไทย (3,668 กิโลกรัม
ต่อไร)่ ถัดจากไทยลงมาคืออนิ โดเนเซยี (2,600 กโิ ลกรมั ตอ่ ไร)่ เวียดนาม (2,543 กโิ ลกรัมต่อ
ไร่) และบราซิล (2,247 กิโลกรัมต่อไร่) ซึ่งมีเนื้อที่ปลูกเป็นอันดับที่สองของโลก แต่ผลผลิต
ตอ่ ไร่อยู่ในลำดับท่หี ้า

ข้อที่น่าสังเกตประการหนึ่งก็คือ แม้ผลผลติ ต่อไร่ของไทยจะเป็นอนั ดบั ท่ีสองรองจาก
อินเดียเพียงประเทศเดียวเท่านั้นก็ตาม ซึ่งดูเหมือนน่าจะเป็นความภาคภูมิใจของประเทศ
ไทย แต่เมื่อพิจารณาดูตัวเลขให้ละเอียดแล้วพบว่าผลผลิตมันสำปะหลังของอินเดียสูงกว่า
ของไทยถึงไร่ละ 1,355 กิโลกรัม หรือ 1.37 เท่า จึงเป็นประเด็นที่นักวิชาการด้านมัน
สำปะหลังยงั จะต้องศึกษาวิจยั กันต่อไป

บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 331

ในส่วนของผลผลิตมันสำปะหลังออกสู่ความต้องการของตลาดโลก ข้อมูลของ
สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรก็ระบุว่าในปี พ.ศ. 2550 ประเทศไนจีเรียผลติ มนั สำปะหลังได้
มากที่สุด (45.750 ล้านตัน) รองลงมาคือบราซิล (27.313 ล้านตัน) ไทย (26.916 ล้านตัน)
อนิ โดเนเซีย (19.610 ลา้ นตนั ) และคองโก (15.000 ล้านตัน)

นั่นคือ ประเทศไทยผลิตมันสำปะหลังได้มากที่สุด เป็นอันดับที่สามของโลก
(26.916 ล้านตัน) มเี นือ้ ท่ีการเก็บเกย่ี วเปน็ อันดับที่หา้ (7.339 ล้านไร่) และผลผลติ ต่อไร่
สงู เป็นอันดบั ทส่ี อง (3,668 กิโลกรมั ตอ่ ไร่)

ภาพจาก : https://www.xinhuathai.com/eco/169093_20210115 มันสำปะหลังที่ว่านี้คือ “มัน
สำปะหลังโรงงาน” ซึ่งหมายถึงมัน
สำปะหลังที่เกษตรกรปลูกและเก็บ
เกี่ยวผลผลิต หรือขุดในระหวา่ งวันที่ 1
ตุลาคม ถึง 30 กันยายน ของปีถัดไป
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขายผลผลิตมัน
ให้แก่ลานมันเส้น โรงงานอัดเม็ดมัน
โรงงานแป้งมัน และโรงงานแปรรูป
อย่างอื่น

ในปี พ.ศ. 2550 ประเทศไทยมเี นอ้ื ทป่ี ลูกมันสำปะหลัง 7.623 ลา้ นไร่ แตม่ ีเน้ือท่ีการ
เกบ็ เก่ียวเพียง 7.339 ลา้ นไร่ ซงึ่ ต่ำกวา่ เนอื้ ที่ปลกู ถึง 284,000 ไร่ หรือเกบ็ เกี่ยวได้เพียงร้อย
ละ 96.27 ของเนื้อที่ปลูก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีเนื้อที่ปลูกมากที่สุด (4.411 ล้านไร่)
รองลงมาคือภาคกลาง (2.299 ล้านไร่) และภาคเหนือ (1.123 ล้านไร่) โดยจังหวัด
นครราชสมี ามีเน้อื ทปี่ ลกู มากทส่ี ุด (1.938 ลา้ นไร่) แตจ่ ังหวัดชลบรุ ีและระยอง ใหผ้ ลผลิตต่อ
ไร่สูงที่สุด คือ 4,120 และ
4,027 กิโลกรัมต่อไร่
ตามลำดบั ในขณะท่จี ังหวัด
ลำปางให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำ
ทส่ี ดุ (2,816 กโิ ลกรัมต่อไร่)

ในกรณีที่คิดจะปลูก ภาพจาก : https://www3.rdi.ku.ac.th/?p=58931
มนั สำปะหลังควบกบั ไมย้ คู า

332 รวมเรือ่ งสวนป่า

ลปิ ตัสเพอื่ หลกี เลี่ยงการปลกู พืชเชิงเดี่ยวกต็ ้องพิจารณาดูวา่ มไี ร่มนั สำปะหลงั ใกล้ตลาดรับซ้ือ
ไม้ยูคาลิปตัสอยู่ที่ใดบ้าง อาทิ จังหวัดขอนแก่นเป็นที่ตั้งของโรงงานเยื่อกระดาษฟีนิกซ์
ในขณะท่ีปราจีนบุรีเป็นที่ตั้งของโรงงานเยื่อกระดาษดับเบิ้ลเอ ไร่มันสำปะหลังที่อยู่ในรัศมี
120 กิโลเมตรจากโรงงานมีศักยภาพที่จะปลูกไม้ยูคาลิปตัสป้อนเป็นวัตถุดิบให้แก่
อุตสาหกรรมเยื่อกระดาษได้สูงมาก อนั จะทำให้เกษตรกรมีรายได้เสรมิ เพิ่มขน้ึ ขณะเดียวกัน
โรงงานก็มีความม่ันใจในแหลง่ วตั ถุดบิ ทต่ี อ้ งการ ซ่งึ ตา่ งกไ็ ด้ประโยชนด์ ว้ ยกนั ทั้งคู่

สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรได้รายงานว่าในปี พ.ศ. 2551 จังหวัดสระแก้ว
(389,938 ไร่) ฉะเชิงเทรา (316,275 ไร่) และปราจีนบุรี (160,478 ไร่) มีเนื้อที่ปลูกมัน
สำปะหลังรวม 866,691 ไร่ มีเนื้อท่ีเก็บเก่ียว 831,409 ไร่ ซึ่งเท่ากบั ร้อยละ 95.93 ของเน้ือ
ที่ปลูก นั่นหมายความว่าเกษตรกรในท้องที่สามจังหวัดดังกล่าวปลูกมันสำปะหลังแล้วไม่
ได้ผล ไม่ได้เก็บเกี่ยว มีเนื้อที่สูงถึง 35,282 ไร่ หากคิดที่ผลผลิตเฉลี่ย 3,530 กิโลกรัมต่อไร่
และราคาตันละ 1,180 บาท ก็จะทำให้ทราบว่าเกิดการสูญเสียจากการปลูกมันสำปะหลัง
อยา่ งเดียวในปี พ.ศ. 2551 เฉพาะท้องที่สามจงั หวัดน้ีสงู ถงึ 146.964 ลา้ นบาท

หากจะพิจารณาข้อมูลของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรที่ระบุว่า ในปี พ.ศ.
2551 มีเน้อื ทป่ี ลกู มนั สำปะหลงั แล้วไม่ได้เก็บเก่ยี วท้งั ประเทศสงู ถงึ 353,000 ไร่ ผลผลิต
เฉลี่ยไร่ละ 3,456 กิโลกรัม และราคาที่เกษตรกรขายได้กิโลกรัมละ 1.73 บาท ก็ทำให้
ทราบว่าเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลังเชิงเดี่ยวทั่วประเทศได้สูญเสียรายได้ไปถึง
2,110.545 ล้านบาทเลยทเี ดยี ว

นี่คือความสูญเสียทางเศรษฐกิจของการปลูกมันสำปะหลังเชิงเดี่ยวอันนำไปสู่
ความยากจนของเกษตรกร

คุณทศพร วัชรางกูร (โทร: 081-269-6031) แห่งกรมป่าไม้ จึงได้ทำการวิจัยเชิง
บูรณาการเพื่อแก้ปัญหาความยากจนในชนบท โดยการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์
ท่ีดินดว้ ยการปลกู ไม้โตเรว็ เรื่อง “ความเปน็ ไดข้ องการปลูกไม้ยูคาลิปตัสแทรกเป็นแถบใน
แปลงปลูกมันสำปะหลัง” โดยได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุน
การวิจัย (สกว.) ใชก้ ล้าไมย้ ูคาลิปตัส 2 สายต้น คือ K7 และ K51 ใน 2 ทอ้ งที่ปลกู คือ บา้ น
คลองตะเคียน ตำบลเขาหินซ้อน อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา และบ้านช่องกลำ่
ตำบลหนองตะเคียนบอน อำเภอวัฒนานคร จังหวัดสระแก้ว คาดว่าผลการทดลองจะเสร็จ
สมบูรณ์และนำเสนอต่อสาธารณชนได้ภายในเดือนมิถนุ ายน 2552

บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 333

นายบัญญัติ จิตสำราญ (โทร : 086-110-1784) เกษตรกรแห่งบ้านคลองตะเคียน
ตำบลเขาหินซ้อน เป็นผู้หนึ่งซึ่งได้ปลูกมันสำปะหลังควบกับการปลูกไม้ยูคาลิปตัสตาม
คำแนะนำของคุณทศพร วัชรางกูร โดยใช้กล้าไม้ยูคาลิปตัสสายต้น K7 ระยะปลูก 2.80 x
1.50 เมตร หรือ 381 ตน้ ตอ่ ไร่ และใช้มันสำปะหลังพนั ธ์ซุ ดั ดัม (ซงึ่ หัวใหญแ่ ตเ่ ปราะ คนงาน

จึงไม่ชอบขุดเพราะหัก
ง่าย) ระยะปลูก 100 x
70 เซนตเิ มตร โดยปลกู
2 แถวในช่องว่าง
ระหว่างแถวของไม้ยูคา
ลิปตัส เมื่ออายุครบ 1
ปี ไม้ยูคาลิปตัสมีเส้น
ผ่านศูนย์กลางเพียงอก
3 เซนติเมตร สูง 5
เมตร ได้มันสำปะหลัง
ไร่ละ 3.3 ตัน ขายได้
ราคาตนั ละ 1,280 บาท และขายตน้ มนั สำปะหลังเพอ่ื นำไปเปน็ ทอ่ นพันธปุ์ ลูกประมาณไร่ละ
1,000 ต้น ได้เงินราว ๆ 500 บาท จึงมีรายรับจากมันสำปะหลังในปีแรกประมาณไร่ละ
5,000 บาทเศษ แต่ปลูกได้เฉพาะปีแรกปีเดียวเท่านั้น เพราะร่มเงาของไม้ยูคาลิปตัสบดบัง
แสงสว่าง ประกอบกับมันสำปะหลังเป็นพืชที่ต้องการแสงสว่างเต็มที่ ทว่า จากอัตราการ
เจริญเติบโตของไม้ยูคาลิปตัสในปีแรกดังกล่าวพอจะประมาณการได้ว่าเมื่ออายุครบรอบตัด
ฟันห้าปีน่าจะได้ไม้ไม่น้อยกว่า 20 ตันต่อไร่ ซึ่งจะมีรายรบั จากไม้ยูคาลิปตัสในปีที่ 2-5 รวม
4 ปี ประมาณ 5,000 บาทต่อไร่ต่อปี โดยแทบจะไมม่ ีคา่ ใช้จ่ายเลย เพราะไม่ต้องเตรยี มพ้ืนที่
ปลูกและไม่ต้องใส่ปุ๋ยเป็นรายปีเหมือนกับการทำไร่มันสำปะหลังภายหลังการเก็บเกี่ยว
ผลผลิตในแต่ละปี

ในแง่นิเวศวิทยา อาจจะมีบางท่านตั้งข้อสังเกตว่าทั้งมันสำปะหลังและไม้ยูคาลิปตัส
ต่างก็เป็นพืชกินดินด้วยกันทั้งคู่ จึงไม่ควรนำมาปลูกร่วมกัน แต่คงลืมไปว่าถ้าปลูกมัน
สำปะหลังเชิงเดี่ยว ภายหลังการเก็บเกี่ยวขุดถอนหัวขึ้นมาก็จะเป็นการเปิดหน้าดินอย่าง
เต็มที่ ทำให้ง่ายต่อการชะล้างพังทลายสูญเสียหน้าดินอันโอชะไป แต่ถ้าปลูกร่วมกับไม้

334 รวมเร่อื งสวนปา่

ยูคาลิปตัส นอกจากจะมีร่มเงาของไม้ยูคาลิปตัสคอยปกป้องผิวหน้าดินแล้ว การขุดถอน
หัวมันสำปะหลงั ยังเป็นการช่วยพรวนดินและกำจัดวัชพืชให้แก่สวนไม้ยูคาลิปตัสโดยไม่ต้อง
ลงทุนใด ๆ อกี ดว้ ย

ดังนั้น จึงแนะนำให้ปลูกมันสำปะหลังร่วมกับไม้ยูคาลิปตัสตามหลักการของระบบ
วนเกษตร ส่วนเมื่อปลูกแล้วจะเรียกว่าปลูกมันสำปะหลังแทรกในสวนไม้ยูคาลิปตัส หรือ
ปลูกไม้ยูคาลิปตัสแทรกในไรม่ ันสำปะหลัง ก็ได้ทั้งนัน้ ขึ้นอยู่กบั วา่ เดิมเคยปลูกมันสำปะหลัง
แลว้ เอายคู าลิปตัสแทรกเขา้ ไป หรือเดมิ เคยปลูกยคู าลิปตัสแล้วเอามันสำปะหลงั แทรกเข้าไป

แต่สำหรับผม สนใจทีจ่ ะปลูกไม้ยูคาลปิ ตัสแทรกเข้าไปในไร่มันสำปะหลงั มากกว่า
เพราะต้องการเอาใจเกษตรกรซึ่งส่วนใหญ่เคยชินกับการปลูกมันสำปะหลังเชิงเดี่ยว แต่
เมื่อเอายูคาลิปตัสแทรกเข้าไปในไร่มันสำปะหลังเกิดเป็นระบบวนเกษตรขึ้นมา และ
พัฒนาไปสู่เกษตรยั่งยืน คือยั่งยืนทั้งเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม และที่สำคัญคือ
การคืนผืนป่าให้แกแ่ ผ่นดินตามหลักวชิ าวนวฒั นวิทยา

59 สบิ ห้าปี
สถานวี ิจัยวนเกษตรตราด

วันเสาร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2552 ซึ่งเป็นวันวาเลนไทน์ ผมได้รับเชิญจากสถาบันวิจัย
และพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้เดินทางไปร่วมงานสิบห้าปีวันสถาปนาสถานี
วิจัยวนเกษตรตราด ที่จังหวัดตราด และได้ถือโอกาสนี้นำนักศึกษาชาวภูฏาณ 5 คนซึ่งมา
ศึกษาหลกั สูตรการจัดการป่าไมอ้ ยา่ งมีส่วนร่วมไปศึกษาดงู านทางภาคตะวนั ออกด้วยเลย

สถานีวิจัยวนเกษตรตราด (Trat Agroforestry Research Station: TARS) เป็น
หน่วยงานระดับภาควิชา สังกัดสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ :
ส ว พ . ม ก . (Kasetsart University Research and Development Institute: KURDI)
ก่อต้งั ขึ้นเมอื่ วนั ท่ี 14 กุมภาพนั ธ์ 2537 ในท้องทต่ี ำบลท่ากุม่ อำเภอเมือง จงั หวัดตราด ห่าง
จากชายแดนไทย-กัมพชู าประมาณ 4 กโิ ลเมตร

พื้นที่ของสถานีวจิ ัยวนเกษตรตราด เดิมเป็นป่าสงวนแห่งชาติท่ากุ่ม-หว้ ยแรง้ ซึ่งผ่าน
การทำไม้โดยบริษัทตราดทำไม้ จำกัด ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 บริษทั ตราดทำไม้ จำกัดได้ทำ
การปลูกสรา้ งสวนปา่ ไมก้ ระยาเลยตามเง่ือนไขสัมปทานการทำไม้ ซง่ึ ขณะนั้นมีเนื้อท่ีท้ังหมด
3,020 ไร่

เมื่อรัฐบาลยกเลิกสัมปทานการทำไม้ (ปิดป่า) ทั่วประเทศในปี พ.ศ. 2532 สวนป่าท่ี
ปลูกสร้างขึ้นภายใต้เงื่อนไขสัมปทานดังกล่าวจะต้องมอบให้แก่องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
(อ.อ.ป.) แต่ด้วยความคิดทางวิชาการอันยาวไกลและความสัมพันธ์ส่วนตัวทั้งของผู้บริหาร
บรษิ ทั ตราดทำไม้ จำกดั และผู้บริหารของมหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ในขณะนนั้ บรษิ ทั ตราด
ทำไม้ จำกัด จึงได้มอบสวนป่าไม้กระยาเลยเน้ือที่ 703 ไร่ ให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
จัดตั้งเป็นสถานีวิจัยวนเกษตรตราดเพื่อประโยชน์ในการศึกษาค้นคว้าวิจัยทางด้าน
วนเกษตรของประเทศ ซงึ่ ขณะนั้นวงวิชาการปา่ ไม้ของไทยยงั ไม่คนุ้ เคยกับคำวา่ “วนเกษตร”

พิมพค์ รงั้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 9 (92) : 43–46 (พ.ศ. 2552)

336 รวมเร่อื งสวนปา่

หรือ Agroforestry มากนัก ในปี พ.ศ. 2542 กรมชลประทานได้ขอใช้พื้นที่ 109 ไร่ สร้าง
อ่างเก็บน้ำท่าแร้ง ต่อมาในปี พ.ศ. 2543 มหาวิทยาลัยฯ ได้รับบริจาคที่ดินจากเอกชน
เพิม่ เตมิ อกี 17 ไร่ 2 งาน จงึ ทำให้สถานวี จิ ัยวนเกษตรตราดในปัจจุบันมเี น้ือที่รวมท้งั ส้ิน 611
ไร่ 2 งาน

วิสัยทัศน์ของสถานีวิจัยวนเกษตรตราดคือ “ศึกษาวิจัย สร้างองค์ความรู้ด้าน
วนเกษตรที่ก่อให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในท้องถิ่นอย่างเป็น
รูปธรรม เพื่อการสาธิตและถ่ายทอดเทคโนโลยีสู่บุคลากรของประเทศทุกระดับ” โดยมี
วตั ถปุ ระสงคใ์ นการดำเนนิ งานดงั น้ี

1. เพื่อค้นคว้าวิจัยทางด้านวนเกษตร โดยประสานความร่วมมือกบั หน่วยงานต่าง ๆ
ทง้ั ภายในและภายนอกมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์

2. เพ่อื ใหบ้ ริการทางวิชาการดา้ นป่าไม้ วนเกษตร และการเกษตร แก่สงั คม

3. เพื่อดำเนินการสาธิต ฝึกอบรม และเผยแพร่ความรู้ด้านวนเกษตรแก่บุคลากร
ทัว่ ไป

4. เพ่ือเป็นสถานทฝ่ี กึ งานของนิสติ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์และสถาบันการศึกษา
อ่ืน ๆ

สถานีวิจัยวนเกษตรตราดตั้งอยู่ในพื้นที่ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลาง
ประมาณ 20-30 เมตร ดนิ จัดอยู่ใน
ชุดดินคลองซาก เป็นดินร่วนปน
ทราย มีค่าความเป็นกรดเป็นด่าง
อยู่ระหว่าง 4.6-5.6 ปริมาณน้ำฝน
ประมาณ 3,500-4,000 มิลลิเมตร
ต่อปี อุณหภูมิเฉลี่ย 28 องศา
เซลเซียส อุณหภูมิสูงสุด 38 องศา
เซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุด 18 องศา
เซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 89
เปอร์เซ็นต์ สภาพป่าธรรมชาติเดิมเป็นป่าดิบชื้นและป่าดิบแล้ง พรรณไม้สำคัญ ๆ ที่บริษัท
ตราดทำไม้ จำกัด ได้ปลูกไว้และยังหลงเหลืออยู่จนมีสภาพคล้ายป่าธรรมชาติในทุกวันนี้

บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 337

ได้แก่ ไม้กระทุ่มหรือไม้ตะกู (Anthocephalus chinensis) เหรียง (Parkia timoriana)
อะรางหรือนนทรีป่า (Peltophorum dasyrachis) พะยูง (Dalbergia cochinchinensis)
ประดปู่ ่า (Pterocarpus macrocarpus) และกระถินยกั ษ์ (Leucaena leucocephala)

จากการสำรวจของ ดร. วิชาญ เอียดทอง พบว่าในบริเวณสถานีวิจัยวนเกษตรตราด
มีไม้ยืนต้นทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่ปลูกสร้างขึ้นมาถึง 144 ชนิด ไม้ยืนต้นบาง
ชนิด บางต้นโตขนาด 2-3 คนโอบ บางชนิดเมื่อโตเต็มที่จะมีความสูงถึง 30-40 เมตรที่เด่น
มาก ๆ ได้แก่ กฤษณา (Aquilaria crassna) กระบก (Irvingia malayana) กระบากขาว
(Anisoptera costata) กางขี้มอด (Albizia odoratissima) เขลง (Dialium cochinchinense)
งิ้วป่า (Bombax anceps) จำปาป่า (Paramichelia baillonii) ชมพู่เสม็ด (Aglaia
rubiginosa) ตะกู (Anthocephalus chinensis) ตะเคยี นทอง (Hopea odorata) ตะแบก
แดง (Lagerstroemia calyculata) ตาเสือ (Aphanamixis polystachya) เต้าหลวง
(Macaranga gigantea) ประดปู่ า่ (Pterocarpus macrocarpus) ปออีเก้ง (Pterocymbium
javanicum) มะค่าโมง (Afzelia xylocarpa) มะแฟน (Protium serratum) มะพอก
(Parinari anamense) มะม่วงกะล่อน (Mangifera coloneura) มะยมป่า (Ailanthus
triphysa) ม ะ ห า ด (Artocarpus lakoocha) ย า ง น่ อง (Antiaris toxicaris) ย า ง น า
(Dipterocarpus alatus) เลียงมัน (Berrya cordifolia) ลังโก (Aglaia lawii) ลำพูป่า
(Duabanga grandiflora) ลำป้าง (Pterospermum diversifolium) สมพง (Tetrameles
nudiflora) ส ม อ ด ี งู (Terminalia citrina) ส ม อ พ ิ เ ภ ก (Terminalia bellerica) สั ก
(Tectona grandis) สตั บรรณ (Alstonia scholaris) ส้าน (Dillenia ovata) เหรียง (Pakia
timoriana) และอโุ ลก (Hymenodictyon excelsum)

ส่วนพรรณไม้ยืนต้นที่มีขนาดกลางซึ่งมีความสูง 20-30 เมตรที่เด่น ๆ ได้แก่ ขานาง
(Homalium tomentosum) ขนุนป่า (Artocarpus kemando) ขี้หนอน (Zollingeria
dongnaiensis) ค้างคาว (Aglaia edulis) เฉียงพร้านางแอ (Carallia brachiata) ชิงชัน
(Dalbergia oliveri) เ ช ี ย ด (Cinnamomum iners) ซ ้ อ (Gmelina arborea) ต า น ด ำ
(Diospyros transitoria) เติม (Bischofia javanica) พฤกษ์ (Albizia lebbek) พะยูง
(Dalbergia cochinchinensis) พลับพลา (Microcos tomentosa) มะเกลือ (Diospyros
mollis) โมกมัน (Wrightia tomentosa) ลาย (Microcos paniculata) เลี่ยน (Melia
azedarach) สั่งทำ (Diospyros buxifolia) สะแกแสง (Cananga latifolia) สีเสียดเปลือก

338 รวมเรอ่ื งสวนปา่

(Pentacme burmanica) สาธร (Millettia leucantha) แสนคำ (Terminalia triptera)
อินทรชติ (Lagerstroemia loudonii) และอนิ ทนิลนำ้ (Lagerstroemia speciosa)

จากตัวอย่างของรายชื่อไม้ยืนต้นขนาดใหญ่และขนาดกลางดังกล่าวจะเห็นได้ว่ามี
พรรณไม้ใหม่ ๆ แปลก ๆ เป็นจำนวนมาก โดยไม้หลายชนิดเป็นไม้โตเร็วที่อยู่ในความสนใจ
ของสังคมขณะนี้ อาทิ ตะกู ปออีเก้ง สมพง และกฤษณา นอกจากนี้สถานีวิจัยวนเกษตร
ตราดยังมีพืชพื้นล่างและไม้ล้มลุกท่ีมีบทบาทในทางเศรษฐกิจไม่น้อยอีกหลายชนิด เช่น
หวาย ระกำ และสละ รวมทั้งเหมียง (Gnetum gnemon) ซึ่งยอด (ผักเหมียง) อ่อนผัด
น้ำมันจัดเป็นเมนูอาหารชั้นเยี่ยมของปักษ์ใต้ และเร่วหอม (Etlingera punicea) ซึ่งทาง
สถานีฯ ได้นำมาทดลองผลิตผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อาทิ ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ลูกอม และหัว
เชือ้ ปรงุ อาหารท่ีมรี สเผ็ด เช่น ตม้ ยำ และก๋วยเตยี๋ ว เป็นตน้

ในส่วนของการศึกษาวิจัยทางด้านวนเกษตรซึ่งเป็นวิสัยทัศน์และวัตถุประสงค์หลัก
ของสถานีวิจัยวนเกษตรตราด ทางสถานีฯ ก็ได้ทำการศึกษาวิจัยอย่างต่อเนื่องโดยยึดเอา
นิยามวนเกษตรของ ดร. พี. เค. อาร์. แนร์ (P.K.R. Nair) ปรมาจารย์ทางวนเกษตรเป็นหลกั
ทว่ี า่ “วนเกษตร คือระบบการจัดการทีด่ ินแบบย่ังยนื ที่สามารถเพ่มิ ผลผลิตรวมใหก้ บั ทด่ี นิ
โดยการผสมผสานระหว่างผลผลิตจากพืชเกษตรและป่าไม้ และ/หรือปศุสัตว์ ภายใน
ช่วงเวลาหรือต่างชว่ งเวลากนั ในหน่วยที่ดินเดียวกัน และเป็นการปฏิบัติที่สอดคล้องกบั
ขนบธรรมเนียมประเพณีของประชาชนในท้องถ่นิ ”

ชุดโครงการวิจัยที่เด่น ๆ และ
ประกอบด้วยโครงการวิจัยต่าง ๆ ชุด
โครงการละหลายโครงการวิจัย ได้แก่
การศึกษาเพื่อพัฒนาระบบวนเกษตร
แบบครบวงจร รูปแบบการพัฒนาวน
เกษตรในพื้นที่ลุ่มน้ำเพื่อการเพ่ิม
ผลผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มอย่างย่งั ยืน
การจัดการลุ่มน้ำอย่างยั่งยืนโดยใช้
ระบบวนเกษตรเป็นฐาน การศึกษา
ชนิดพรรณไม้ในระบบวนเกษตรเพื่อ
การฟื้นฟูและเพิ่มความหลากหลาย
ทางชีวภาพของพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม

บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 339

และชุดโครงการวิจัยเรื่องเทคโนโลยีการจัดการไม้กฤษณาเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม
อย่างยั่งยืน เป็นต้น โดยโครงการวิจัยต่าง ๆ เหล่านี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยทั้งจาก
ภาคเอกชนและภาครัฐ ทั้งจากภายในและภายนอกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และทั้งจาก
ภายในประเทศและตา่ งประเทศ

ในส่วนของไม้กฤษณา ทางสถานีฯ ได้ทดลองปลูกไม้กฤษณาในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
ปลูกกฤษณาควบกับสับปะรด สละ ไม้ผลยืนต้น ยางพารา และปลูกกฤษณาแทรกในป่า
ธรรมชาติ ผลปรากฏวา่ กฤษณาเจริญเติบโตดภี ายใต้รม่ เงาของไมอ้ ืน่ แตร่ ม่ เงาต้องไม่แน่นทบึ
เกินไป คอื ต้องมแี สงสวา่ งส่องลงมาถึงพนื้ ดนิ นั่นคือ ถ้าจะปลกู ควบในป่าธรรมชาตติ ้องปลูก
แทรกในระหว่างช่องว่างของเรือนยอดไม้ใหญ่ ถ้าจะปลูกเป็นพืชควบในสวนยางพาราก็ควร
ปลูกในปีที่ 3-4 โดย 2-3 ปีแรกควรปลูกสับปะรดแทรกในระหว่างแถวของยางพารา เมื่อ
ยางพาราเติบโตเริ่มมีร่มเงาจึงค่อยเอากฤษณาเข้าไปแทรกแทนสับปะรด แต่ถ้าจะปลูก
กฤษณาในระหว่างแถวของต้นสละก็สามารถปลูกไปพร้อม ๆ กันได้เลย ซึ่งไม้กฤษณาจะ
เจริญเติบโตได้ดีมาก หรือจะปลูกภายหลังการปลูกสละหนึ่งปีก็ได้ แต่การปลูกกฤษณาควบ
กบั สับปะรดน้นั ไม่ได้ผลเท่าท่ีควร เพราะสับปะรดไม่สามารถให้รม่ เงาแกก่ ลา้ ไมก้ ฤษณาได้

การทดลองปลูกไม้โตเร็วก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากปริมาณน้ำฝนที่สถานีวิจัย
วนเกษตรตราดสงู ถึงปลี ะ 3,500-4,000 มลิ ลเิ มตร กระถินเทพาจงึ เจรญิ เติบโตดี มอี ตั ราการ

รอดตายสูง และมีรูปทรงสวยมาก ไม้
อายุ 4 ปีมีความสูงเกินกว่า 10 เมตร
ส่วนไมต้ ะกูแมจ้ ะมีความสูงเป็นอันดับ
สองรองจากกระถินเทพา คอื สงู ราว 8
เมตร แต่ปัญหาของไม้ตะกูก็คือมี
อัตราการรอดตายต่ำมาก ไม้ที่ปลูก
70-80 เปอร์เซน็ ตต์ ายเมื่ออายุ 3-4 ปี
ทว่า ต้นที่รอดตายก็เจริญเติบโตเร็ว
มาก ไม้ที่น่าสนใจมากอีกชนิดหนึ่งก็
คือ ไม้ขนุนป่า ซึ่งเนื้อไม้มีสีเหลืองทอง การเจริญเติบโตทางความสูงก็พอ ๆ กับไม้ปออีเก้ง
และกระดังงาไทย คือสูงราว 6 เมตร จัดอยู่ในลำดบั ท่ีสามรองจากไม้ตะกู แตก่ ระดังงาไทยมี
อัตราการรอดตายสูง และการเจริญเติบโตสม่ำเสมอมาก ในขณะที่ไม้มะหาดเจริญเติบโต
ชา้ ทีส่ ดุ

340 รวมเรอ่ื งสวนปา่

สวนบ้าน (Home garden) ก็เปน็ วนเกษตรอีกระบบหนงึ่ ซ่ึงไดด้ ำเนนิ การทสี่ ถานวี จิ ัย
วนเกษตรตราด โดยการปลกู พชื พนั ธุ์หลากหลายชนดิ หลายชั้นเรอื นยอด ท้ังไม้ยนื ตน้ ไม้พุ่ม
และพืชล้มลุก เน้นไม้ผลกินลูก ไม้กินใบ พืชสมุนไพร และผักสวนครัวรั้วกินได้ตามแนว
เศรษฐกิจพอเพียง

นอกจากนี้ สถานีวิจยั วนเกษตรตราดยงั มแี ปลงทดลองปลกู ไม้ป่าแทรกด้วยพืชเกษตร
การปลูกไม้ป่าแบบผสมผสาน การปลูกไม้เสริมป่า และการปลูกพืชแทรกในสวนยางพารา

และแปลงทดลองปลูกไม้ไผ่ซึ่งปรากฏ
ว่าไผ่หวานอ่างขางหรือไผ่หมาจู๋จาก
ไต้หวัน และไผ่รวกดำจากเชียงใหม่
เจรญิ เติบโตได้ดมี าก รวมทง้ั วนเกษตร
ระบบป่าไม้ปศุสัตว์ ซึ่งสถานีฯ ได้
ทดลองเลีย้ งเน้อื ทราย (Axis porcinus)
ซึ่งเป็นสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ภายใต้ร่ม
เงาของตน้ ไมป้ า่ เนือ้ ที่ 1 ไร่ 2 ตวั ในปี
พ.ศ. 2540 ปัจจบุ ันออกลูกหลานมามี
รวมทั้งสิ้น 15 ตัว ตามหลักวิชาวนเกษตรการเลี้ยงสัตว์ในสวนป่านอกจากจะก่อให้เกิด
ผลตอบแทนทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากสัตว์เลย้ี งโดยตรงแล้ว มูลสตั วย์ ังมีส่วนช่วยให้ดินมี
ความอุดมสมบูรณ์ดีขึ้น ขณะเดียวกันสัตว์เลี้ยงก็ช่วยกำจัดวัชพืชในสวนป่า เพราะสัตว์ต้อง
กินหญ้าเป็นอาหาร อันส่งผลต่อไปยังการแก้ปัญหาไฟป่าในหน้าแล้ง เพราะช่วยลดปริมาณ
เช้ือเพลงิ และความรนุ แรงของไฟปา่ ไปในเวลาเดียวกนั

ส่วนทางด้านการใช้ประโยชน์ไม้และผลิตผลทางการเกษตรนั้น สถานีวิจัยวนเกษตร
ตราดกม็ ีศนู ยส์ าธติ การใชป้ ระโยชนไ์ ม้ เตาเผาถ่านจากเศษไมป้ ลายไมอ้ ันเป็นผลพลอยไดจ้ าก
การจัดการสวนป่า การผลิตน้ำส้มควันไม้ (wood vinegar) อันเป็นผลพลอยได้จากการเผา
ถ่าน การผลิตถ่านอัดก้อน การใช้ประโยชน์เส้นใยสับปะรด และการผลิตกล้าไม้ดอกไม้
ประดบั

ท่ีสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ สถานีวิจัยวนเกษตรตราดได้จัดสร้าง “สวนรุกขชาติ
วนเกษตร” หรือ Agroforestry Arboretum ขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในวโรกาสท่ี
พระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หวั ทรงพระชนมายุครบ 6 รอบ เม่อื วนั ที่ 5 ธันวาคม 2542 ในเน้อื
ที่ประมาณ 30 ไร่ เพื่อเป็นแหล่งรวบรวมพืชพรรณต่าง ๆ ที่ปลูกกันในระบบวนเกษตร โดย

บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 341

แบ่งพื้นที่ออกเป็น 5 โซน อันได้แก่ โซนไม้แปรรูปมีค่า โซนไม้กินได้ โซนไม้ใช้สอยใน
ครวั เรอื น โซนพืชสมุนไพร และโซนไม้ประดบั

ในเนื้อที่กว่า 600 ไร่ของสถานีวิจัยวนเกษตรตราดนั้น ทางสถานีฯ ได้จัดสร้าง
“เส้นทางเรียนรู้วนเกษตร” หรือ Agroforestry Trails ระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร เพื่อใช้
เป็นเสน้ ทางเรยี นรูท้ างพฤกษศาสตร์ปา่ ไมแ้ ละระบบวนเกษตรรูปแบบตา่ ง ๆ สถานวี นเกษตร
ตราดจึงเหมาะสำหรับเป็นสถานที่ศกึ ษาวิจัยและแหล่งเรียนรูแ้ ก่ผู้สนใจทางระบบวนเกษตร
ทุกระดับชั้น เพราะนอกจากจะมีผลงานทางวิชาการอันเกิดจากการศึกษาวิจัยในท้องถิ่น
โดยตรงแล้ว ทางสถานฯี ยงั มหี อ้ งบรรยายและหอพักไว้รองรบั ผู้เขา้ ไปใชบ้ ริการทางวิชาการ
อกี ดว้ ย

สนใจโปรดติดตอ่ ดร. ประทีป ดว้ งแค หัวหนา้ สถานี และ ดร. ณัฐวฒั น์ คลังทรัพย์
ผู้ช่วยหัวหน้าสถานีฯ ไดท้ โี่ ทรศพั ท์ : 089-748-7746 หรอื E-mail: [email protected]


Click to View FlipBook Version