392 รวมเรือ่ งสวนปา่
บริเวณวัดร่มรื่นไปด้วยร่มเงาของไม้เทพทาโรหลากหลายขนาดควรค่าแก่การแวะเข้าไป
ศึกษาเรยี นรเู้ ป็นอยา่ งยิง่
ในวันทอดผ้าป่าสามัคคีดังกล่าวอีกเช่นกัน คุณสมบูรณ์ ได้นำกล้าไม้เทพทาโรมา
แจกจ่ายให้แก่ญาติมิตรผู้มาร่วมทำบุญ และจัดให้คณะกรรมการฯ ได้ปลูกต้นเทพทาโรใน
บรเิ วณวัดบา้ นบกปยุ จำนวน 9 ต้น ไวเ้ ป็นท่ีระลกึ ด้วย
อีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมต้องเขียนเรื่องไม้เทพทาโรลงใน “ไม่ลองไม่รู้” ในวันนี้อีก
คร้งั หนึ่งเพราะ ในระหว่างวันที่ 14 มกราคม ถึงวนั ท่ี 14 กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. 2554 น้ี กรมปา่ ไม้
โดยสำนกั วิจยั และพฒั นาการปา่ ไม้ ได้จัดใหม้ ีนทิ รรศการ “เทพทาโร ... ไม้มงคลมหัศจรรย์”
ขึ้น ณ ห้องจัดแสดงนิทรรศการ คลินิกป่าไม้ โดยมีวัตถุประสงคเ์ พ่ือถ่ายทอดเทคโนโลยีและ
ผลงานวิจัยเกี่ยวกับไม้เทพทาโรสู่เกษตรกร หน่วยงานภาครฐั เอกชน และสถาบันการศกึ ษา
อนั จะนำไปสกู่ ารใชป้ ระโยชนใ์ นการปฏบิ ตั งิ านหรือประกอบอาชีพ เพอ่ื สง่ เสริมให้มีการปลูก
ไมเ้ ทพทาโรกนั อย่างกว้างขวางอนั จะทำใหไ้ ด้มาซ่งึ แหลง่ วัตถุดิบจากปา่ ปลูกแทนป่าธรรมชาติ
และเพื่อแนะนำอาชีพเสริมให้แก่ประชาชนผู้สนใจจะผลิตผลิตภัณฑ์จากน้ำมันหอมระเหย
เทพทาโรเพอื่ การคา้ ต่อไป
กิจกรรมสำคัญของนิทรรศการดังกล่าวประกอบด้วย การให้ความรู้เกี่ยวกับการ
ขยายพันธุ์ การปลูก และการใช้ประโยชน์ไม้เทพทาโร รวมทั้งการฝึกอบรมเทคนิคการผลิต
ผลิตภัณฑต์ า่ ง ๆ จากน้ำมันหอมระเหยเทพทาโร และการแจกฟรีกล้าไม้เทพทาโรแก่ผ้สู นใจ
ท่วั ไปอกี ดว้ ย
เทพทาโรเป็นไม้มงคลพระราชทาน
ประจำจังหวัดพังงา มีการนำมาใช้ในพิธีกรรม
ทางศาสนา และใช้เป็นส่วนผสมในตำรับยา
นอกจากนี้เนื้อไม้ยังใช้ในการก่อสร้าง ทำเครื่อง
เรือนและของใช้ต่าง ๆ ซึ่งเชื่อว่าสามารถป้องกนั
ตัวเรือด ไร มอด และแมลงต่าง ๆ ได้ ปัจจุบันได้
มีผู้นำไม้เทพทาโรมาแกะสลัก ทำเป็นประดิษฐ
กรรมต่าง ๆ จนกลายมาเป็นสินค้าหนึ่งตำบล
หนึ่งผลิตภัณฑ์ของอำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง จากการสำรวจตลาดในจังหวัดตรังและ
จงั หวัดพังงาในปี พ.ศ. 2550 พบวา่ ผู้ประกอบการมรี ายได้เสริมจากการแกะสลักไม้เทพทาโร
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 393
เฉลี่ยคนละ 4,000–5,000 บาทต่อเดือน ยิ่งไปกว่านั้น เศษไม้ที่ได้จากประดิษฐกรรม
ไม้เทพทาโรยงั สามารถนำมากลัน่ เป็นน้ำมันหอมระเหยสำหรับใชผ้ ลติ ยาหม่อง น้ำมันเหลอื ง
นำ้ มนั นวดแก้ปวดข้อ และน้ำมันนวดสปา เพอื่ เป็นแหล่งรายได้เสริมอีกทางหนงึ่ ด้วย
ที่กล่าวว่าน้ำมันหอมระเหยที่ได้จากเนื้อไม้เป็นแหล่งรายได้เสริมนั้นก็เพราะน้ำมัน
หอมระเหยเทพทาโรที่ผลิตได้เป็นกอบเป็นกำนั้นส่วนใหญ่ได้มาจากผล (เมล็ด) โดยข้อมูล
จาก คุณวาสนา สุวรรณสาโรจน์ (โทร: 089-289-6616) เกษตรกรผู้ปลูกไม้เทพทาโรเพื่อ
จำหน่ายเมล็ดพันธุ์และผลิตน้ำมันหอมระเหย แห่งอำเภอท้ายเหมือง จังหวัดพังงา ระบุว่า
ผลสุกสดสีน้ำตาล–ดำ 1 กิโลกรัม (ราคา 40 บาท) เมื่อนำมากระจายผึ่งแดด 3 ครั้งแล้วจะ
เหลอื นำ้ หนักแห้งประมาณ 600 กรมั จากนน้ั ก็นำไปบดใหล้ ะเอียดดว้ ยเครอ่ื งบด แลว้ อัดบีบ
ด้วยเครื่องบีบกระทิก็จะได้น้ำมันหอมระเหยเทพทาโร 100 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 200 ซีซี
ราคาจำหน่ายซซี ีละ 4.35 บาท หรือลติ รละประมาณ 4,350 บาท
จากคณุ ประโยชนข์ องไมเ้ ทพทาโรท้ังจากลูกไมแ้ ละเนือ้ ไม้ดงั กล่าวทเี่ กษตรกรสามารถ
ยึดเป็นอาชีพหลักหรืออาชพี รองอย่างยั่งยืนได้ โดยไม่กระทบตอ่ ไม้เทพทาโรในปา่ ธรรมชาติ
กรมป่าไม้จึงไดส้ ่งเสริมใหเ้ กษตรกรมกี ารปลูกเทพทาโรเป็นไม้หอมเศรษฐกิจกัน แต่การปลกู
ไม้เทพทาโรให้สัมฤทธิ์ผล นอกจากจะต้องคัดเลือกพื้นที่ปลูกให้มีสภาพแวดล้อมเหมาะสม
แล้ว ยังต้องมีการคัดเลือกแม่ไม้ที่มีลักษณะดีมาขยายพันธุ์ และมีการจัดการตามหลักวิชา
วนวฒั นวทิ ยาอกี ด้วย
ไมเ้ ทพทาโรสามารถขยายพนั ธ์ุไดท้ ง้ั โดยวธิ ีอาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ สำหรับเมล็ดไม้
เทพทาโรมีอัตราการงอกที่ค่อนข้างตำ่ และสูญเสียความมีชีวิตเร็วเชน่ เดียวกับไม้ที่มีน้ำมนั ใน
เมล็ดมากทั่ว ๆ ไป โดยปกติเมล็ดไม้เทพทาโรมีอัตราการงอกเพียง 5–10 เปอร์เซ็นต์ในเวลา
90 วัน แต่จากผลการศึกษาวิจัยของกรมป่าไม้ ทำให้สามารถเพิ่มอัตราการงอกของเมล็ด
ข้นึ มาเปน็ 16 เปอรเ์ ซน็ ต์ ใน 30 วัน และ 70 เปอรเ์ ซ็นตภ์ ายในเวลาเพยี ง 12 วนั ในปัจจบุ นั น้ี
สว่ นการขยายพันธุ์โดยวธิ ีไม่อาศยั เพศน้ันสามารถทำไดท้ ัง้ การตอน การตัดยอดปักชำ
และการตัดรากปักชำ การตอนควรกระทำในช่วงฤดูฝนเพราะบรรยากาศมีความชุ่มชื้นสูง
เช่นเดียวกับการตัดรากปกั ชำ เนื่องจากดินชุ่ม ไม่แห้งผาก ทำให้ขุด–ตัดรากได้ง่าย ในขณะท่ี
การตัดยอดปักชำสามารถทำไดท้ กุ ฤดกู าล การตัดยอดปักชำมักจะใช้ในกรณที ตี่ ้องการกล้าไม้
ปลูกเป็นจำนวนมาก ๆ ส่วนการตอนนั้นให้กล้าไม้ไม่มากเหมอื นการตัดยอดและตดั รากปักชำ
จึงควรใชใ้ นกรณีของการขยายพันธ์ุเพ่ือการศึกษาวิจัยและการคัดเลือกพนั ธุ์–ขยายพันธ์ุ เพ่ือ
การสร้างสวนรวมพันธุ์
394 รวมเรื่องสวนป่า
เนื่องจากเทพทาโรเป็นพันธุ์ไม้ในป่าดิบ
ชื้น พื้นที่ที่เหมาะสมสำหรับปลูกไม้เทพทาโรจึง
ควรเป็นพื้นที่ดินดี ร่วนซุย มีความชุ่มชื้นสูง แต่
นำ้ ไม่ทว่ มขงั กล้าท่ีใชป้ ลกู ไม่วา่ จะได้มาจากการ
เพาะเมล็ด การตัดยอดปักชำ การตัดรากปักชำ
หรือการตอนกิ่ง ควรมีความสูงประมาณ 30
เซนติเมตร ซึ่งมีอายุประมาณ 6–8 เดือน หาก
ปลูกเป็นสวนป่าเชิงเดี่ยว ระยะปลูกที่เหมาะสม
คือ 4 x 4 เมตร แตไ่ ม้เทพทาโรจะเตบิ โตเร็วมาก
หากปลูกแทรกภายใต้ร่มเงาของพืชอื่นที่มีส่วน
ทำให้ดนิ มีความชุ่มชื้นสูง เชน่ กลว้ ย ทงั้ นีเ้ พราะเทพทาโรเป็นไม้ที่ตอ้ งการร่มเงา ต้องการไม้
พ่ีเลีย้ งในระยะเรม่ิ แรก และตอ้ งการแสงสวา่ งเต็มทีใ่ นภายหลงั
นั่นคอื เทพทาโรเป็นไม้ทีเ่ หมาะสมสำหรับปลกู เป็นสวนป่าผสม โดยปลกู ปะปนกับ
ไม้ป่าชนิดอื่น ๆ หรือปลูกในระบบวนเกษตร ซึ่งมีพืชเกษตร เช่น กล้วย ปาล์มน้ำมัน
ยางพารา ฯลฯ เป็นพชื ควบ
ศัตรูที่สำคัญของไม้เทพทาโรก็คอื ปลวก ซึ่งมักจะเข้าไปอยู่ในโพรงของโคนต้นไมใ้ หญ่
และทำให้ต้นเทพทาโรยืนต้นตายได้ นอกจากปลวกแล้วอาจจะกล่าวได้ว่า ณ ปัจจุบันน้ี
ผู้ปลูกไม้เทพทาโรยังไม่ประสบปัญหาเรื่องโรค รา แมลง เหมือนกับการปลูกไม้ป่าบางชนิด
แตก่ ารดูแลรกั ษาขนั้ พน้ื ฐาน เชน่ การกำจัดวัชพชื และการปอ้ งกันไฟปา่ กต็ อ้ งทำเป็นประจำ
เชน่ เดียวกบั การบำรุงรักษาสวนปา่ ทว่ั ๆ ไป
มาถงึ จดุ นผี้ มก็ขออนุญาตยืมช่ือแผ่นพับเอกสารทางวชิ าการของคุณสมบูรณ์ บุญยืน
มาประชาสมั พันธผ์ ่านนติ ยสารไมล่ องไมร่ อู้ กี ครั้งหนึ่งว่า “เทพทาโร : ไมป้ ่าท่ีนา่ ปลกู ” จริง ๆ ครับ
68 การปลกู ไมย้ คู าลปิ ตสั
ให้ไดผ้ ลผลิตสูง ตามหลกั
วิชาวนวฒั นวิทยา
ในช่วง 2–3 เดือนที่ผ่านมานี้ (เมษายน–มิถุนายน 2554) ผมได้รับเชิญจากบริษัท
เอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (มหาชน) ให้ไปร่วมกิจกรรมเกี่ยวกับการปลูกยูคาลิปตัสเป็นไม้
เศรษฐกิจถึงสามครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกระหว่างวันที่ 23–26 เมษายน 2554 ร่วมเป็น
กรรมการตัดสินการประกวดการปลูกยูคาลิปตัสดีเด่นประเภทแปลงเล็กและแปลงใหญ่ของ
สมาชิกเกษตกรภายใต้โครงการ “ประกวดสมาชิกดีเด่น ขวัญใจยูคาเอสซีจี เปเปอร์” ใน
ท้องทีจ่ งั หวดั ราชบุรี กาญจนบรุ ี อุทยั ธานี กำแพงเพชร สโุ ขทยั ขอนแก่น กาฬสินธุ์ อดุ รธานี
และหนองบัวลำภู
ต่อมาในวันที่ 19 พฤษภาคม 2554 ก็ได้รับเชิญให้ไปเป็นวิทยากรร่วมกับผู้ช่วย
ศาสตราจารย์ อดิศักดิ์ บ้วนกียาพันธ์ุ “ทิดบ้วน บางปลาม้า” บรรยายเรื่องการปลูกไม้
ยคู าลปิ ตสั ใหไ้ ด้ผลผลติ สงู ตามหลักวิชาวนวฒั นวิทยา ในการมอบรางวัลขวญั ใจยูคาเอสซีจี
เปเปอร์ ณ ศนู ย์การคา้ ริเวอรซ์ ิตี้ กรงุ เทพมหานคร
และ ครั้งที่ 3 ก็ได้รับเชิญให้ไปเล่าตำนานการปลูกไม้ยูคาลิปตัสตามหัวไร่ปลายนาใน
ประเทศไทยต่อท่ีประชุมใหญ่สมาชิกยูคาเอสซีจี เปเปอร์ประจำปี 2554 ซึ่งได้จัดให้มีการ
ประชุมสัมมนาในหัวข้อ “มีที่ดินเพิ่มค่า มีที่นาเพิ่มรายได้” ณ ศาลา 60 พรรษามหาราชินี
เทศบาลเมืองท่าเรือพระแท่น อำเภอท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน
2554 มีสมาชิกผูป้ ลูกยูคาลิปตสั เขา้ รว่ มประชมุ เกอื บ 300 คน
เอสซีจี เปเปอร์ เปน็ ผ้ผู ลติ เยือ่ กระดาษและกระดาษรายใหญข่ องประเทศไทย มกี ำลงั
ผลิตเยื่อกระดาษปีละประมาณ 400,000 ตัน และผลิตกระดาษปีละประมาณ 1.7 ล้านตัน
โดยใช้ไม้ยูคาลิปตัสเป็นวัตถุดิบหลัก โรงงานที่อำเภอท่าม่วง จังหวัดกาญจนบุรี ต้องการไม้
พิมพค์ ร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 11 (120) : 34–37 (พ.ศ. 2554)
396 รวมเร่ืองสวนป่า
ยูคาลิปตัสปีละ 700,000 ตัน ขณะที่โรงงานที่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นต้องการไม้
ยูคาลปิ ตสั ปีละ 1,200,000 ตัน
บริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด ซึ่งมีคุณจุมพฎ ตันมณี เป็นกรรมการผู้จัดการ เป็น
ผู้รับผิดชอบในการจัดซื้อจัดหาให้ได้มาซึ่งวัตถุดิบสำหรับป้อนโรงงาน ด้วยการส่งเสริมให้
สมาชิกยูคาเอสซีจี เปเปอร์กว่า 80,000 รายปลูกไม้ยูคาลิปตัสในพื้นที่ร่วม 1,000,000 ไร่ ที่
กระจายอยู่ในสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ในการนี้บริษัทฯ จะต้อง
ทำการศึกษาวจิ ัยเพ่ือคัดเลือกสายต้น (clones) ให้สอดคลอ้ งกับสภาพแวดล้อมของพ้ืนที่ปลูก
และผลิตกล้าไม้ให้เพียงพอกับความต้องการของเกษตรกรในแต่ละฤดูปลูก พร้อมกับสร้าง
ความเชอื่ ม่นั ใหเ้ กษตรกรเห็นว่าการปลูกไม้ยูคาลปิ ตัสใช้แรงงานน้อยกวา่ ลงทนุ นอ้ ยกว่า แต่
ให้ผลตอบแทนสุทธิที่แน่นอนและสูงกว่าการปลูกพืชไร่หลายชนิด อาทิ อ้อย ข้าวโพด และ
มนั สำปะหลงั
ที่สำคัญก็คือ การปลูกไม้ยูคาลิปตัสมีความเสี่ยงต่อความไม่แน่นอนของลมฟ้า
อากาศ ภยั ธรรมชาติ และราคาของพชื ผลการเกษตรนอ้ ยกว่าพชื ไรด่ ังกลา่ ว
แต่ในตอนนี้ผมจะเน้นเฉพาะเรื่องการปลูกไม้ยูคาลิปตัสให้ได้ผลผลิตสูงตามหลัก
วิชาวนวัฒนวิทยาตามหัวข้อที่บริษัทฯ ได้มอบหมายให้พูดในงานมอบรางวัลขวัญใจยูคา
เอสซีจีเปเปอร์เท่านั้น ส่วนเรื่องราคาและการซื้อขายไม้นั้นเป็นเรื่องของบริษัทฯ โดยตรง
แต่โดยข้อเท็จจริงแล้วราคารับซื้อไม้ยูคาลิปตัสก็มีการเปลี่ยนแปลงขึ้นลงเหมือนกับราคา
พืชผลการเกษตรอื่น ๆ โดยราคาไม้ยูคาลิปตัสผันแปรไปตามราคาเยื่อกระดาษและราคา
กระดาษในตลาดโลกซึ่งมกี ารปรบั เปล่ยี นขึน้ ลงอยูเ่ สมอมาเช่นเดียวกัน
แต่ข้อได้เปรียบของไม้ยูคาลิปตัสก็คือ ถ้าราคาไม้ลดต่ำลงมามาก ๆ เกษตรกร
อาจจะไมต่ ดั ไมข้ ายกไ็ ด้ ซึ่งไมท้ ่ียืนตน้ อยกู่ ็เตบิ โตตอ่ ไปเรอื่ ย ๆ ไม่เน่าเป่อื ย จากไม้ขนาดเล็ก
เติบโตเป็นไม้ขนาดกลาง และไม้ขนาดใหญ่ตามกาลเวลา โดยปกติไม้ใหญ่สามารถ
นำไปใชป้ ระโยชน์ได้หลากหลายและราคาแพงกวา่ ไม้เลก็ ในขณะทพี่ ืชผลทางการเกษตร
อื่นแทบทุกชนิดเมื่อถึงอายุการเก็บเกี่ยวก็ต้องเก็บเกี่ยว ไม่ว่าขณะนั้นราคาจะสูงหรือตำ่
เพราะถ้าไม่เก็บเกี่ยว ปล่อยทิ้งไว้ก็จะเน่าเปื่อยสูญเปล่า นี่คือข้อได้เปรียบของพืชผล
ปา่ ไม้ทกุ ชนิด เม่ือเปรียบเทยี บกบั พชื ผลทางการเกษตรตา่ ง ๆ
วนวัฒนวิทยาเป็นสาขาวิชาการป่าไม้ที่สำคัญที่สุดสาขาหนึ่ง คณะวนศาสตร์ของทุก
มหาวิทยาลยั ทัว่ โลกจะตอ้ งมีการเรียนการสอนทางวนวัฒนวิทยา ซึ่งเป็นศัพท์เฉพาะทางท่แี ปล
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 397
มาจากคำว่า “Silviculture” ในภาษาอังกฤษ ประกอบด้วยศัพท์ 2 คำ คือ Silvi + Culture
โดย Silvi แปลว่า ต้นไม้หรือป่าไม้ ส่วน Culture ก็คือการปลูก ดังนั้น วนวัฒนวิทยาใน
ความหมายกว้าง ๆ ก็คือ การปลูกต้นไม้หรือการปลูกป่านั่นเอง ตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า
“Silviculture is tree planting” แต่ในวงวิชาการป่าไม้ วนวัฒนวิทยาซึ่งในอดีตเคยใช้คำว่า
การปลูกและบำรุงป่านั้นมีความหมายกว้างกว่าการปลูกป่ามาก นั่นคือ วนวัฒนวิทยา
หมายถึงการเกิด การเติบโต องค์ประกอบ คุณภาพ และสุขภาพของต้นไม้และหมู่ไม้ที่
ประกอบกันเปน็ ป่าข้ึนมา
การเกิด มีทั้งป่าท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและป่าทีม่ นุษย์ปลูกสร้างขึ้นมา จึงมีคำวา่
ปา่ ธรรมชาติและสวนป่าเกิดขึ้น
การเติบโตของต้นไม้ย่อมขึ้นอยู่กับปัจจัยสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่ต้นไม้นั้นขึ้นอยู่ มีท้ัง
ปัจจัยท่เี กย่ี วกับดิน ภมู ิประเทศ ลมฟ้าอากาศ ไฟ และปัจจยั ทางชวี ภาพอนั ได้แก่ มนษุ ย์ สัตว์
และพชื พรรณดว้ ยกันเอง
องค์ประกอบของป่าขึ้นอยู่กับการทดแทนตามธรรมชาติของสังคมพืชและปัจจัย
ภายนอกที่นำพืชพรรณใหม่ ๆ เข้ามาปลูก รวมทั้งการปลูกสร้างสวนป่าซึ่งมีส่วนทำให้
องคป์ ระกอบของสงั คมพืชเดิมเปลีย่ นไป
คุณภาพของต้นไม้ หมู่ไม้และป่าไม้ย่อมเปลี่ยนไปตามวิธีการเกิด ชนิดไม้ อัตราการ
เตบิ โต และอายุของต้นไม้และหม่ไู ม้
ส่วนสุขภาพหรือความแข็งแรง/อ่อนแอของต้นไม้และป่าไม้ก็ผันแปรไปตาม
สภาพแวดล้อมท่ขี นึ้ อยู่ การดูแลรักษา รวมทั้งอายขุ องต้นไม้และหมู่ไม้
ทง้ั หมดนี้คอื สงิ่ ทีป่ ระกอบกนั ขน้ึ เปน็ วนวัฒนวิทยาซ่ึงเก่ยี วขอ้ งกับวิชาการสาขาต่าง ๆ
หลายสาขาวิชา อาทิ พฤกษศาสตร์ พันธุศาสตร์ นิเวศวิทยา ปฐพีวิทยา สรีรวิทยา โรคพืช
กีฏวิทยา ไฟป่า วนผลิตภัณฑ์ และเศรษฐศาสตร์ ฯลฯ ที่นักวนวฒั นวทิ ยาจะต้องเรียนรู้เพอ่ื
จะได้ประสบผลสำเร็จในการปลูกป่า ไม่ว่าจะปลูกเพื่อผลตอบแทนทางเศรษฐกิจ เพื่อการ
อนุรักษ์ หรือเพื่อนันทนาการก็ตาม นั่นคือ ปลูกต้นไม้แล้วต้องเติบโตตามวัตถุประสงค์ที่ได้
กำหนดไว้ จนมีคำกล่าวว่า
วนวฒั นวิทยาคือการคนื ผืนปา่ สูแ่ ผ่นดนิ
นักวนวฒั นวิทยาคอื ผ้คู นื ผนื ป่าใหแ้ กแ่ ผ่นดิน
398 รวมเร่อื งสวนปา่
เมื่อเข้าใจความหมายที่แท้จริงของวนวัฒนวิทยาแล้ว การตอบคำถามที่ว่า “ปลูก
ยูคาลิปตัสอย่างไรจึงจะให้ได้ผลผลิตสูง” ก็คงไม่ยาก แต่ในภาคปฏิบัติจริง ๆ นั้นคงไม่ง่าย
เหมือนกับการตอบคำถาม เพราะผู้ปลูกยูคาลิปตัสทราบดีว่า ยูคาลิปตัสไม่ใช่เปน็ ไม้โตเร็วท่ี
ปลูกง่ายและได้กำไรงามเสมอไป หากไม่นำเอาหลักวิชาวนวัฒนวิทยามาประยุกต์ใช้ให้
ถูกต้องและเหมาะสม
การที่จะปลูกไม้ยูคาลิปตัสให้ได้ผลผลิตสูงนั้นจะต้องเริ่มด้วยแนวคิดตามหลักวิชา
ชวี วทิ ยาเบอื้ งตน้ ทวี่ า่
Phenotype = Genotype + Environment
แลว้ เตมิ Management เขา้ ไปอกี คำหน่ึง ก็จะได้
Phenotype = Genotype + Environment + Management
นั่นคือ รูปร่างลักษณะที่ปรากฏให้เห็นย่อมขึ้นอยูก่ ับพันธุกรรม สภาพแวดล้อม และ
การจดั การ
ในกรณีของไม้ยูคาลิปตัสซึ่งเป็นไม้ต่างถิ่น ต้นไม้จะเติบโตเร็ว ช้า มีรูปทรงตรงเปลา
สวยงาม หรือลำต้นคดงอเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับพันธุกรรม คือ ชนิด (species) และสายพันธ์ุ
หรือสายต้น (clones) ที่นำมาปลูก เพราะยูคาลิปตัสมีหลายร้อยชนิด ในแต่ละชนิดก็มี
หลากหลายสายต้นท่ีนกั วนวัฒนวทิ ยาทำการศึกษาวิจยั ปรบั ปรงุ พนั ธใ์ุ หม่ ๆ ขึ้นมาให้สอดรับ
กับวัตถุประสงค์หลักและสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก ที่มีทั้งดินทราย ดินเหนียว ดินเปรี้ยว
ดนิ เคม็ ดินกรด ดนิ ด่าง ทีแ่ หง้ แลง้ นำ้ ทว่ มขงั รวมท้งั การจัดการทงั้ ก่อนและหลงั การปลูก อัน
ไดแ้ ก่ การเตรียมพน้ื ทก่ี อ่ นการปลกู และการดแู ล บำรุงรกั ษาตน้ ไม้ภายหลงั การปลูกจนถงึ การ
เกบ็ เกยี่ วตัดฟนั
จากการศึกษาวิจัยของนักวิชาการ
ป่าไม้แห่งเอสซีจีเปเปอร์ พบว่า สายต้น
H4 ซงึ่ เปน็ ลกู ผสมระหวา่ ง Eucalyptus
camaldulensis กบั Eucalyptus uro-
phylla เจริญเติบโตดีที่สุดในสภาพดิน
ด่างและบนคันนาซึ่งมีระดับน้ำใต้ดิน
ค่อนข้างสูง มีนำ้ ทว่ มขงั ในนาข้าวในฤดฝู น
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 399
แต่ H4 ก็ทนแล้งได้ดีเช่นกัน หากเป็นพื้นที่ดินเค็ม บริษัทฯ แนะนำให้ปลูกสายต้น CT 236
ซึ่งได้มาจากการทดสอบสายต้นของ Eucalyptus camaldulensis ที่มีลักษณะอันพึง
ประสงค์หลายประการ เชน่ เดยี วกบั CT 384 แต่ CT384 เหมาะสำหรับปลกู ในพน้ื ทแ่ี หง้ แลง้
มากกว่าท่ดี นิ เคม็
ดังน้ัน เมือ่ เกษตรกรผู้เป็นสมาชิกตดั สินใจทจี่ ะปลูกไมย้ ูคาลิปตสั เพื่อขายให้แก่บริษัทฯ
ก็ต้องทำการบ้าน หาข้อมูลเกี่ยวกับพื้นที่ที่จะปลูกมาให้มากพอสมควร เช่น ลักษณะดิน
ประวัติการใช้ที่ดินในอดีต สภาพลมฟ้าอากาศ ฯลฯ เพราะไม้ยูคาลิปตัสเติบโตดีในพื้นท่ี
ดินลึก เนื้อดินร่วนปนทรายหรือร่วนปนเหนียว มีความสามารถในการระบายน้ำและถ่ายเท
อากาศได้ดี ไม้ยูคาลิปตัสชอบดินที่มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อน ๆ pH อยู่ในระดับกลาง ๆ มากกว่า
ดินด่างหรอื มี pH ค่อนข้างสูง หากเป็นที่ดินซึง่ เคยใชป้ ลูกพืชไร่ เช่น ข้าวโพด มันสำปะหลัง
โดยใช้รถแทรคเตอร์ไถพรวนเพื่อเตรียมพน้ื ที่ปลูกติดต่อกันมาเปน็ ระยะเวลานานนับสิบ ๆ ปี
ดินบนในชั้นไถพรวนดูเหมือนจะรว่ นซยุ ดี แต่ดินล่างลกึ กว่าชั้นไถพรวนลงไปมักจะแน่นมาก
จนน้ำแทบจะซึมลงไปไม่ได้ เมอ่ื ฝนตกดเู สมอื นหน่ึงมีนำ้ อุดมสมบูรณ์ แต่ลึกลงไปดินแหง้ ผาก
รากก็แทงทะลุผา่ นชน้ั ดนิ ดานลงไปไม่ได้ ในกรณนี ต้ี อ้ งไถระเบิดดินดานหรือเจาะหลุมปลูกให้
ลึกประมาณ 60-80 เซนติเมตร ตน้ ยูคาลปิ ตสั ที่ปลูกจึงจะเติบโตไดด้ ี
การเตรียมพื้นที่สำหรับดินทั่ว ๆ
ไปก็ใช้การไถพรวนดว้ ยรถแทรคเตอรผ์ าน
7 จากนั้นก็กำหนดระยะปลูก ซึ่งระยะ
ปลูกที่เหมาะสมที่สุด คือ 3 x 3 เมตร
หรอื มีต้นไมไ้ รล่ ะ 177 ต้น ซ่ึงนอกจากจะ
ทำให้ต้นไม้เติบโตสม่ำเสมอทุกทิศทาง
และไม่สิ้นเปลืองค่ากล้าไม้และค่าจ้าง
ปลูกมากเกินไปแล้ว ยังสามารถไถพรวน
เพอ่ื กำจัดวัชพชื และปรบั ปรุงบำรงุ ดินในสองทิศทางท่ตี งั้ ฉากแก่กนั ไดอ้ กี ด้วย หรือถ้าต้องการ
ปลูกพืชควบในระยะแรก ระยะปลูก 2 x 4 เมตร หรือ 200 ต้นต่อไร่ก็ถือว่าพอใช้ได้ แต่
เกษตรกรบางรายใช้ระยะปลูก 2 x 2 เมตร หรือ 400 ต้นต่อไร่นั้นเป็นระยะปลูกที่ถี่และมี
ต้นไมห้ นาแน่นมากเกนิ ไป
อย่างไรกต็ าม ในพน้ื ที่ทีฝ่ นตกถงึ 1,600 มลิ ลเิ มตรตอ่ ปี การใชส้ ายพันธุ์ที่มีเรือนยอด
กว้าง ซึ่งก็คือ H4 อีกเช่นกัน ปลูกโดยใช้ระยะปลูก 4 x 5 เมตร หรือ 4 x 6 เมตร (66–80
400 รวมเรอื่ งสวนป่า
ต้นต่อไร่) ก็ให้ผลผลิตไม่ต่างไปจากระยะปลูก 3 x 3 เมตร แต่ข้อดีคือนอกจากประหยัดค่า
ต้นกลา้ ไดม้ ากแลว้ ยังสามารถปลูกพชื ควบได้มากและนานปีกวา่ อกี ด้วย
การปลูกต้นไม้ควรกระทำในตอนต้นฤดูฝน เพราะดินมีความชุ่มชื้น ทำให้ต้นกล้า
ตัง้ ตัวได้ดี และมชี ว่ งฤดูการเติบโตยาวนาน หลงั ปลูก 2–3 สปั ดาห์จะตอ้ งทำการสำรวจอัตรา
การรอดตายและทำการปลูกซ่อมโดยเร็วเพื่อต้นไม้ที่ปลูกเดิมและปลูกซ่อมจะได้เติบโตเท่า
เทียมกัน การดูแลรักษาหลังจากนั้นก็คือการกำจัดวัชพืชเพื่อลดการแก่งแย่งน้ำและธาตุ
อาหารพืช รวมทั้งลดการบดบังแสงสวา่ งเพราะยคู าลปิ ตัสเปน็ ไมท้ ี่ต้องการแสงสว่างเตม็ ที่ จะ
เติบโตช้าหากมีพืชพรรณอื่นมาบดบังแสง การกำจัดวัชพืชยังเป็นการช่วยลดความเสี่ยงจาก
ไฟป่าอีกด้วย เพราะวัชพืชจะกลายเป็นเชือ้ เพลงิ ของไฟปา่ ในหน้าแลง้ ตามกาลเวลา
การใส่ปุ๋ยก็เป็นการบำรุงรักษาสวนไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกในเชิงพาณิชย์ที่จำเป็น
โดยเฉพาะอย่างยิง่ ในรอบตัดฟันหลงั ๆ ซึ่งไม้เติบโตมาจากการแตกหน่อภายหลงั การตดั ฟนั
ทั้งนี้มิใช่เพราะยคู าลิปตัสเปน็ ไม้ที่ทำลายดินดังที่เคยกล่าวขานกัน แต่การปลูกพืชเศรษฐกิจ
ทุกชนดิ ทำให้ความอุดมสมบูรณข์ องดินลดนอ้ ยลงจากเหตุผลสองประการคอื ธาตุอาหารพชื
ถกู ชะลา้ งออกไปจากดนิ ชน้ั บนภายหลงั การไถพรวนเปิดหนา้ ดนิ ตามกระบวนการเตรียมพน้ื ท่ี
ปลูก ครั้นเมื่อถึงเวลาเก็บเกี่ยว ธาตุอาหารพืชก็สูญเสียออกไปอีกครั้งหนึ่งเนื่องมาจากการ
นำเอาชิ้นส่วนของพืชออกไปจากพื้นที่ เช่น หัวมันสำปะหลัง ฝักข้าวโพด ต้นอ้อย รวงข้าว
และต้นยูคาลิปตัส การสูญเสียความอุดมสมบูรณ์ของดินจากทั้งสองกรณีดังกล่าวจะมีมาก
น้อยเพียงใดย่อมขึ้นอยู่กับความถี่และความหนักเบาในการไถพรวนเตรียมพื้นที่ปลูก และ
ความถี่และปริมาณมวลชีวภาพของพืชที่นำออกไปจากพื้นที่นั้น ๆ เพื่อรักษาสมดุลของธาตุ
อาหารพชื ให้มีเทา่ เทยี มกบั ปรมิ าณท่ีเคยมีอยู่ก่อนการปลกู และเกบ็ เกยี่ วพชื เศรษฐกิจ การใส่
ปุ๋ยจงึ เปน็ ส่งิ จำเปน็ ไมเ่ วน้ แม้แต่การปลกู พชื ตระกูลถ่ัวซ่ึงถือกนั วา่ เปน็ พชื ปรับปรงุ บำรุงดนิ
ส่วนอัตราและชนิดของปุ๋ยที่จะต้องใส่ให้แก่ไม้ยูคาลิปตัสนั้นต้องขึ้นอยู่กับผลการ
วิเคราะห์ดิน แต่ให้ยึดหลักการที่ว่าควรใช้สูตรปุ๋ยที่ตัวกลาง (ฟอสฟอรัส) ต่ำ ตัวแรก
(ไนโตรเจน) สูง เพราะบทบาทสำคัญของฟอสฟอรัสคือการเร่งการออกดอกออกผล ในขณะ
ที่บทบาทหลักของไนโตรเจนคือส่งเสริมการเติบโตของลำต้น กิ่ง ใบ สูตรปุ๋ยผสมที่บริษัทฯ
แนะนำสมาชิกเกษตรกร คอื 24-3-24, 24-3-14, 16-8-8 และ 21-7-14 ทั้งน้ี ผนั แปรไป
ตามปรมิ าณธาตุโพแทสเซียมท่ีมอี ยูใ่ นดนิ เป็นสำคัญ
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 401
สว่ นปญั หาเร่อื งโรค รา แมลง ของไมย้ ูคาลปิ ตัสนนั้ กม็ ีอย่บู า้ ง แต่ไมร่ ุนแรงเหมือนกับ
การปลูกพืชไร่เศรษฐกิจต่าง ๆ แต่ที่ผู้ปลูกไม้ยูคาลิปตัสประสบและกังวลอยู่ในขณะนี้ (พ.ศ.
2552) ก็คอื แตนฝอยปม ซ่ึงผมจะนำมาเขยี นถงึ อกี ครัง้ หน่งึ ในภายหลงั
เมื่อต้นไม้ที่ปลูกโตถึงขนาดตัดฟัน สมาชิกเกษตรกรก็โทรศัพท์แจ้งบริษัทฯ บริษัทฯ
จะให้บริการตัดฟัน ชักลาก ขนส่งไม้ และจ่ายเงินค่าไม้ให้แก่สมาชิกเกษตรกรตามราคา
ประกนั โดยเจา้ ของไม้เพียงแต่แจ้งให้ทราบวา่ ตอ้ งการตดั ไม้แปลงไหน และเมอ่ื ไหร่ เทา่ นนั้
ในการตัดไม้ยคู าลิปตัสนน้ั ตอ้ งตดั ใหช้ ิดดินทส่ี ดุ เท่าทจี่ ะทำได้ และที่สำคญั อกี ประการ
หนง่ึ กค็ ือ ตอ้ งใช้เลื่อย อยา่ ใช้ขวานตัด เพราะภายหลังการตดั ฟัน หนา้ เขียงของตอต้องเรียบ
ถ้าใช้ขวานตัดจะทำให้สูญเสียเนื้อไม้ไปมากกว่าการใช้เลื่อยตัด รวมทั้งจะทำให้หน้าตัดของ
ตอฉีกขาดไม่ราบเรียบ อันจะเป็นผลเสียต่อหน่อและการจัดการหน่อที่เป็นผลิตผลหลักใน
รอบตัดฟนั ถัดมา
คำถามที่ว่าจะตัดฟันไม้ยูคาลิปตัสเมื่อใด หรือควรจะกำหนดอายุรอบหมุนเวียนใน
การตัดฟันของไม้ยูคาลิปตัสสำหรับอุตสาหกรรมชิ้นไม้สับเพื่อนำไปผลิตเยื่อกระดาษและ
กระดาษไว้กี่ปีนั้น ก็ให้พิจารณาจากอัตราการเติบโตของต้นไม้ในแต่ละปีจาก Sigmoid
Curve หรอื S–curve อนั แสดงถงึ ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งอายุกับการเตบิ โตของต้นไม้ในระดับ
ความหนาแน่นของหมู่ไม้ต่อไร่ หรือระยะห่างของต้นไม้ที่ปลูกที่กำหนดให้ และตาม
วตั ถุประสงค์หลักของการนำไมไ้ ปใชป้ ระโยชน์เป็นสำคญั
เ ้สน ่ผาน ูศน ์ยกลาง (เซน ิตเมตร)
0 อายุ (ป) 5
ความสัมพันธ์ระหวา่ งอายแุ ละการเตบิ โตของไมย้ ูคาลปิ ตสั ท่ีใชร้ ะยะปลกู 3 x 3 เมตร
402 รวมเร่อื งสวนปา่
ไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกในช่วง 1-2 ปีแรก อัตราการเติบโตซึ่งวัดได้จากเส้นรอบวงหรือ
เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก (1.30 เมตร) จะช้า เพราะต้นไม้ต้องใช้เวลาในการตั้งตัว
และปรับตัวให้เข้ากบั สภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ของพื้นที่ปลูก จากนั้นในปีท่ี 2-4 ต้นไม้จะเตบิ โต
เร็วมาก หากใช้ระยะปลูก 3 x 3 เมตร เรือนยอดจะเริ่มเบียดชิดกันในปีที่ 4 เมื่อเรือนยอด
เบียดชิดกันก็หมายถึงเกิดการแก่งแย่งแสงสว่างขึ้น และเรือนรากก็แก่งแย่งน้ำและธาตุ
อาหารจากดินด้วยเช่นกัน อัตราการเติบโตในปีที่ 5 จึงเริ่มลดลง หากปล่อยไว้ต่อไปความ
เพิม่ พนู รายปีตัง้ แต่ปที ่ี 5 เปน็ ต้นไปก็จะลดตำ่ ลงเรือ่ ย ๆ
ดังนัน้ อายรุ อบตัดฟันหรือ Rotation ของไม้ยูคาลิปตสั เพอื่ อตุ สาหกรรมชิ้นไม้สับ
จงึ ควรกำหนดไว้ท่ี 5 ป
เนื่องจากยูคาลิปตัสเป็นไม้ที่แตกหน่อภายหลังการตัดฟันได้ดีมาก เกษตรกรผู้ปลูก
ยูคาลิปตัสเป็นไมเ้ ศรษฐกิจจึงไมจ่ ำเป็นต้องลงทุนลงแรงปลูกใหม่ภายหลังการตัดฟัน เว้นแต่
มีปัญหาเรื่องโรคราแมลงและ/หรือต้องการเปลี่ยนสายต้นใหม่ที่แข็งแรงและให้ผลผลิตสูง
กว่าเดิม สิ่งที่เกษตรกรต้องทำก็คือตัดแต่งหน่อภายหลังการตัดไม้ 2-3 เดือน ซึ่งหน่อจะมี
ความสูงเฉลี่ยราว 1.0-1.5 เมตร ให้เหลือหน่อดี ๆ ที่มีขนาดใหญ่ สูง ตรงเปลา เพียงตอละ
2-3 หน่อ พร้อมกับใส่ปุ๋ยผสมสูตร 16-8-8 ในอัตราต้นละ 75-100 กรัม หรือไร่ละ
13-18 กิโลกรัม หลังจากนั้นก็บำรุงรักษาด้วยการกำจัดวัชพืช ป้องกันไฟป่า ฯลฯ เหมือน
สวนป่าปลูกใหม่ และรอการตัดฟันรอบทส่ี องเม่ือหน่อมีอายุ 4-5 ปี กระทำอยา่ งน้ไี ด้ 3 รอบ
ตดั ฟัน แล้วจึงร้อื ตอเพ่ือปลูกสายต้นใหม่ตอ่ ไป
ทั้งหมดนี้คือการปลูกไม้ยูคาลิปตัสให้ได้ผลผลิตสูงตามหลักวิชาวนวัฒนวิทยา
วนวัฒนวิทยาจึงมิใช่เพียงการปลูกต้นไม้เพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการดูแลรักษาและ
จัดการต้นไมท้ ี่ปลูกใหไ้ ดค้ ณุ ภาพตามทผี่ ปู้ ลูกต้องการอีกดว้ ย คอื ครอบคลุมตั้งแต่เกิดจนตาย
น่นั เอง
หรือถ้าจะใชภ้ าษานักประชุมสัมมนาก็ต้องพูดว่า วนวัฒนวิทยาว่ากันตั้งแตต่ ้นนำ้
กลางนำ้ ยันปลายนำ้ กันเลยทเี ดียว
69 “ต้องสอนใหเ้ ขา
ปลูกไม้ไว้ใชเ้ อง”
วลีสัน้ ๆ และเรยี บงา่ ย “ต้องสอนให้เขาปลกู ไม้ไวใ้ ชเ้ อง” ท่ีเป็นช่ือเร่อื งของคอลัมน์
ไม้เศรษฐกิจในนิตยสารไม่ลองไม่รู้ในฉบับนี้ ผมอัญเชิญมาจากพระราชกระแสรับสั่งของ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี
เมอื่ วันท่ี 3 กุมภาพันธ์ 2537 สมเด็จพระเทพ
รัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ไดเ้ สด็จพระราช
ดำเนินเยี่ยมศูนย์พัฒนาโครงการหลวงแกน้อย ใน
ท้องที่อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ ได้ทอด
พระเนตรเห็นชาวบา้ น (ชาวเขา) แบกกระชุไมอ้ ยู่บน
หลังเดินออกมาจากป่า ได้ทรงถามวา่ ชาวบ้านเอาไม้
มาจากไหน เอาไปทำอะไร เมื่อทรงทราบว่า เอามา
จากป่า เอาไปทำฟืนเพื่อการหุงต้มและให้ความ
อบอุ่นแก่ร่างกาย จึงได้รับสั่งกับหม่อมเจ้าภีศเดช
รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวงว่า “ต้องสอนให้เขาปลูกไม้ไว้ใช้เอง” เพื่อจะได้ไม่ต้อง
เดินเป็นระยะทางไกลไปตัดไม้ในป่าธรรมชาติมาทำฟืน หม่อมเจ้าภีศเดช รัชนี ได้สนองพระ
ราชกระแสรับสง่ั ในทนั ที
น่นั จึงเปน็ ทม่ี าและเป็นจุดกำเนดิ ของ “โครงการป่าชาวบา้ น ในพระราชูปภัมภ์ของ
สมเด็จพระเทพรัตนราชสดุ าฯ สยามบรมราชกุมารี” ซึ่งในปจั จุบันน้ีทุกสถานีเกษตรหลวง
และศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ของมูลนิธิโครงการหลวงทั้งสามสิบแปดแห่งในห้าจังหวัด
ภาคเหนือตอนบน อันได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย พะเยา ลำพูน และแม่ฮ่องสอน ต่างก็ได้
ดำเนินกิจกรรมโครงการป่าชาวบ้านฯ กันมาอย่างต่อเนื่อง มีการประชุมคณะทำงานทุก ๆ
สองเดอื น
พมิ พค์ รั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 11 (122) : 33–35 (พ.ศ. 2554)
404 รวมเรอื่ งสวนปา่
โครงการป่าชาวบ้านฯ เป็นเสมือนงานส่งเสริมของ “โครงการปลูกป่าบนที่สูง”
(Highland Reforestation Project) ของมูลนธิ โิ ครงการหลวง
โครงการปลูกปา่ บนทส่ี ูงเกิดจากแนวพระราชดำรขิ องพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวที่
ทรงเห็นความสำคัญของป่าไม้ โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งในชุมชนพื้นที่สูงซึ่งอยูห่ ่างไกลความเจรญิ
จึงทรงรับสั่งให้โครงการหลวงปลูกป่าในรูปแบบ “การปลูกป่าสามอย่าง เพื่อประโยชน์ส่ี
อย่าง” เมอื่ วนั ที่ 7 มกราคม 2523 เพราะราษฎรในพน้ื ทสี่ งู ซึ่งยากจนต้องการไม้เพื่อใช้สอย
ไม้เพื่อทำฟืน และไม้เพื่อกินใบ ดอก ผลเป็นอาหาร โดยไม้ที่ให้ผลตอบแทนในทางตรงทั้ง
สามกรณีดังกล่าวนี้ ทรงเห็นว่าต่างกใ็ ห้ผลตอบแทนในทางอ้อม คือ การอนุรักษ์แหลง่ ต้นนำ้
ลำธาร อันเป็นหวั ใจสำคญั ในการจดั การทรัพยากรนำ้ ของประเทศดว้ ยเชน่ กัน
การปลูกป่าบนที่สูงของมูลนิธิโครงการหลวง เป็นโครงการร่วมมือระหว่างองค์การ
ทหารผ่านศึกแห่งไต้หวัน (VACRS: Vocational Assistance Commission for Retired
Servicemen) สถาบันวิจัยป่าไม้แห่งไต้หวัน (TFRI: Taiwan Forestry Research Institute)
มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU: National Taiwan University) และคณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (KUFF) โดยในกลางปี พ.ศ. 2524 คณะผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้
จากไต้หวันและคณาจารย์จากคณะวนศาสตร์ ได้ร่วมกันสำรวจพื้นที่สูงต่าง ๆ ในจังหวัด
เชียงใหม่ เพื่อจะคัดเลือกเป็นที่ตั้งของโครงการปลกู ป่าบนที่สูง ซึ่งในที่สุดก็ได้ตัดสนิ ใจเลือก
พื้นที่ในบริเวณสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ที่มีความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลาง
ประมาณ 1,500 เมตร เป็นสถานท่ีทดลองปลกู ปา่ บนท่ีสงู
ในปลายปี พ.ศ. 2524 ทางการไต้หวันได้ส่ง Mr. Shu, Wei Lieh จากการพัฒนาป่าไม้
(FDA : Forest Development Administration) แห่ง VACRS มาประจำอยู่ที่อ่างขางใน
ฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านป่าไม้ เพื่อเริ่มปฏิบัติงานภาคสนามร่วมกับนายเรือง จันทร์มหเสถียร
และนายสมาน ณ ลำปาง เจ้าหน้าที่โครงการหลวง ภายใต้การวางแผนการปลูกและเก็บ
ข้อมลู การศกึ ษาวิจัยโดยอาจารยจ์ ากคณะวนศาสตร์ นำโดยอาจารยบ์ ุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์
โครงการปลูกป่าบนที่สูงเป็นโครงการศึกษาวิจัยกึ่งสาธิต โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญ 4
ประการ คือ (1) เพอ่ื ศกึ ษาวนวัฒนวทิ ยาของไม้ปา่ ต่างถน่ิ ที่เหมาะสมสำหรับปลูกบนพื้นท่ีสูง
ในภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย (2) เพื่อให้ได้มาซึ่งไม้สำหรับราษฎรในท้องถิ่นได้ใช้
เพอ่ื การอุปโภค บรโิ ภค (3) เพือ่ เป็นแหล่งรายได้เสรมิ ให้แกร่ าษฎร และ (4) เพือ่ ผลประโยชน์
ในทางอ้อม คือ การอนุรักษ์ดินและน้ำบนพื้นที่สูง สวนป่าที่ได้จะใช้เป็นสถานที่ศึกษาวิจัย
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 405
ศนู ยก์ ารเรียนรูห้ รอื ศนู ย์สาธติ การปลูกสรา้ งสวนปา่ บนพน้ื ท่ีสูง ส่วนความรู้และประสบการณ์
ที่ได้รับก็จะนำไปใช้ในการฝึกอบรม และส่งเสริมเผยแพร่ออกสู่เกษตรกรในพื้นที่โครงการ
หลวงและพืน้ ที่สงู อ่นื ๆ ของประเทศต่อไป
โครงการป่าชาวบา้ นฯ ซึ่งสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ าฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงรับ
ไว้ในพระราชูปถัมภ์ จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเป็นผู้ปลูก ดูแลรักษา และใช้
ประโยชนไ์ ม้จากป่าทีต่ นเองปลกู สรา้ งขึ้นมาโดยตรง ตามแนวพระราชดำริ “ตอ้ งสอนให้เขา
ปลูกไม้ไว้ใช้เอง” ดังกลา่ วแลว้ ในตอนตน้
นอกจากนี้ การปลูกป่าภายใต้โครงการป่าชาวบ้านฯ ยังเน้นวัตถุประสงค์เพื่อการ
อนุรักษ์และฟื้นฟูแหล่งต้นน้ำลำธารในพื้นที่โครงการหลวง ตามแนวพระราชดำริ “ปลูกป่า
สามอย่าง เพื่อประโยชน์ส่ี
อย่าง”
มูลนิธิโครงการหลวงจึง
สนับสนุน ส่งเสริมใหเ้ กษตรกร
ผู้ปลูกป่า ตัดต้นไม้ที่ตนเอง
ปลูกมาใช้ประโยชน์ แตก่ ารตัด
ต้นไม้และการจัดการสวนป่า
จะต้องเป็นไปตามหลักวิชา
วนวัฒนวิทยา ซึ่งมีนักวิชาการ
คอยให้คำแนะนำอยู่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรผู้ปลูกปา่ ไม่ขาดแคลนไมใ้ ช้สอย และไม่
ต้องเข้าไปตัดไมใ้ นป่าธรรมชาตดิ งั ท่เี ป็นมาในอดตี ไมว่ า่ จะเปน็ ไมส้ ำหรับใช้สอยท่ัวไปใน
ชวี ติ ประจำวันหรอื ไม้ฟนื ก็ตาม
ป่าชาวบา้ นมีทั้งทีป่ ลูกโดยเกษตรกรเฉพาะราย ในทีด่ ินทำกินของตนเอง เพื่อผลประโยชน์
ของตนเองโดยตรง และปลูกเป็นแปลงรวมโดยสมาชิกของหมู่บ้านเพื่อชุมชนจะได้ไม้มาใช้
สอยร่วมกัน ส่วนรูปแบบในการปลูกโดยเฉพาะในที่ดินทำกินส่วนบุคคลนั้นอาจจะปลูกเป็น
แปลงเล็ก ๆ แยกออกจากแปลงปลูกพืชผลทางการเกษตร หรือปลูกร่วมกับพืชเกษตรตาม
หลักการของระบบวนเกษตร (agroforestry system) หรอื ปลูกเป็นแนวร้วั ตามขอบเขตของ
ทด่ี นิ ก็ได้
406 รวมเร่ืองสวนปา่
สิ่งที่มูลนิธโิ ครงการหลวงให้การสนับสนุนแก่โครงการปา่ ชาวบ้านฯ ได้แก่ คำแนะนำ
ทางวิชาการว่าจากสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก เกษตรกรแต่ละรายควรปลูกไม้อะไร
รูปแบบในการปลูกเป็นอย่างไร ปลูกแบบไหน ปลูกอย่างไร ดูแลรักษาอย่างไร ควรตัดฟัน
เมื่อใด และไม้ที่ได้จากการจัดการสวนป่าและการตัดฟันเมื่อถึงรอบตัดฟันสามารถนำไปใช้
ประโยชน์อะไรได้บ้าง การที่ฝ่ายวิชาการของมูลนิธิโครงการหลวงจะให้คำแนะนำที่ถูกต้อง
แก่เกษตรกร ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้ให้คำแนะนำจะต้องไปตรวจดูพื้นที่และติดตามงาน
ภาคสนามอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ มูลนิธิโครงการหลวงยังผลิตและแจกจ่ายกล้าไม้ให้แก่
เกษตรกรผูเ้ ป็นสมาชิกของโครงการป่าชาวบา้ นฯ เพอื่ นำไปปลูกและปลกู ซ่อมอีกด้วย
ชนิดกล้าไม้ที่เกษตรกร
สมาชิกโครงการป่าชาวบ้านฯ
ต ้ อ ง ก า ร น ั ้ น ข ึ ้ น อ ย ู ่ ก ั บ ว ั ต ถุ
ประสงค์หลักและรูปแบบของ
การปลูก ถ้าปลูกเป็นแนวร้ัว
สองข้างทางเดิน หรือปลูกเป็น
ไม้ประธานในระบบวนเกษตร ก็
มกั ตอ้ งการกล้าไม้ต้นหรือไม้ยืน
ต้น แต่ในภาพรวมแล้วต้องการ
กล้าไผ่มากกว่าไม้ยืนต้น เพราะ
ไผ่เป็นไม้อเนกประสงค์ ใหผ้ ลตอบแทนเร็ว ปลูกงา่ ย ตายยาก กล้าไผท่ ีเ่ กษตรกรอยากไดม้ าก
ที่สุดในขณะนี้คือไผ่หวานอ่างขาง หรือไผ่หมาจู๋ (Dendrocalamus latiflorus) ซึ่งเป็นไผ่
ลำใหญ่ เส้นผ่านศูนยก์ ลางของลำเฉล่ียประมาณ 10-12 เซนติเมตร สูงราว 12-15 เมตร ผิว
ลำสีเขียวสดสะอาดตา หน่อมีรสชาติหวาน น้ำหนักเฉลี่ยประมาณ 1.0-1.5 กิโลกรัม ขายได้
ราคาดี รองลงมาคือไผ่หยก หรือไผ่ลี่จู๋ (Bambusa oldhamii) ซึ่งหน่อมีรสชาติหวานมาก
แต่มีขนาดเล็ก น้ำหนักเฉลี่ยประมาณหน่อละ 300 กรัม แต่ถ้าเก็บเกี่ยวหน่อแล้วทิ้งไว้ใน
อุณหภูมิห้องติดต่อกันนาน 8-10 ชั่วโมง ความหวานก็จะลดน้อยลง เสี้ยนหรอื เส้นใยจะเพ่มิ
มากขึ้น จึงทำให้หน่อไมไ้ ผห่ ยกเป็นท่ีต้องการของตลาดนอ้ ยกว่าหนอ่ ไมไ้ ผห่ วานอา่ งขาง
นอกจากไผท่ งั้ สองชนดิ ดงั กลา่ วแลว้ กลา้ ไผท่ ่มี ลี ำขนาดใหญ่หรือทม่ี ักเรียกกันว่าไผ่ยักษ์
(giant bamboos) หรือไผ่ซุง (timber bamboos) ก็มีความต้องการสูงเช่นกัน ไผ่ในกลุ่มน้ี
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 407
ได้แก่ ไผ่บงใหญ่ (Dendrocalamus brandisii) ไผ่หก (Dendrocalamus hamiltonii) ไผ่ซางหม่น
(Dendrocalamus sericeus) และไผจ่ ีน หรอื ไผ่วดั จนั ทร์ (Dendrocalamus sinicus) ในขณะ
ที่ไผ่บีชียานา หรือที่กำลังฮือฮากันในชื่อไผ่กิมซุง (Bambusa beecheyana) นั้นไม่ได้รับ
การขานรับจากเกษตกรสมาชิกโครงการปา่ ชาวบ้านฯ เทา่ ทคี่ วรไม่วา่ จะเปน็ รสชาติของหน่อ
หรือรูปทรงของลำตน้
ส่วนกล้าไม้ยืนต้นซึ่งเกษตรกรต้องการมาก
ที่สุด คือกล้าไม้จันทร์ทองเทศ (Fraxinus griffithii)
เพราะเนื้อไม้ละเอียด สีขาวนวล ไสกบตกแต่งง่าย
เ ห ม า ะ ส ำ ห ร ั บ ใ ช ้ ท ำ เ ฟ อ ร ์ น ิ เ จ อ ร ์ แ ล ะ ต ก แ ต่ ง
ภายในอาคาร รองลงมาได้แก่ กล้าไม้เมเปิ้ลหอม
(Liquidambar formosana) และกล้าไม้กระถิน
ดอย (Acacia confusa) ซึ่งกิ่งและลำต้นของไม้ทั้ง
สองชนดิ นใี้ ชเ้ พาะเห็ดหอมหรือเหด็ ชิตาเกะได้ดีมาก
กลา้ จนทร์ทองเทศ รวมทั้งกล้าไม้สนหนาม (Cunninghamia lanceo-
lata) ที่เกษตรกรไม่น้อยนำไปปลูกตามแนวรั้วหรือ
ปลกู เป็นแนวกนั ลม เพราะเรอื นยอดแคบ ลำตน้ ตรงเปลา เนือ้ ไม้มีป่มุ ตาเล็ก ๆ คล้ายจุดประ
กระจายอยทู่ ว่ั ไป เหมาะสำหรับใช้บุฝาผนังหอ้ งประชุม
จากจุดกำเนิดของโครงการปลูกป่าบนที่สูงตามแนวพระราชดำริเมื่อกว่าสามสิบปี
มาแลว้ มลู นิธิโครงการหลวงโดยงานป่าไม้และสถานเี กษตรหลวงอา่ งขาง รว่ มกับสถาบนั วิจยั
และพัฒนาพ้นื ท่สี ูง (องค์การมหาชน) ได้จัดใหม้ ีงาน “วันสาธิตป่าชาวบา้ นฯ ... ๓ ทศวรรษ
งานป่าไม้ : จากงานวิจัยสู่การพัฒนาป่าไม้บนพื้นที่สูง” ขึ้นที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง
อำเภอฝาง จงั หวัดเชียงใหม่ เมือ่ วันพฤหัสบดที ่ี 21 กรกฎาคม 2554 โดยมีหม่อมเจ้าภีศเดช
รัชนี ประธานมูลนิธิโครงการหลวงเป็นองค์ประธานเปิดงาน มีเกษตรกร ชาวบ้าน ชาวเขา
ข้าราชการ และประชาชนผ้สู นใจท่วั ไปเข้ารว่ มงานประมาณ 500–600 คน
วัตถุประสงค์หลักของการจัดงานในวันนีก้ ็เพื่อจะเผยแพร่พระราชประสงค์ “ต้อง
สอนให้เขาปลูกไม้ไว้ใช้เอง” ขององค์อุปถัมภ์โครงการป่าชาวบ้านฯ ให้กระจายไปใน
วงกวา้ งยิง่ ข้ึนน่ันเอง
70 ว่าดว้ ยเรอื่ งแมลงศตั รูตัวร้าย
ในสวนไม้ยูคาลิปตัส (อีกท)ี
เมอื่ ห้าปีกวา่ มาแล้ว ผมไดเ้ ขียนถงึ แตนฝอยปมว่าเปน็ ศัตรพู ืชชนดิ ใหม่ของไม้ยูคาลิปตัส
มาครั้งหนึ่งแล้ว โดยนำลงตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้ ฉบับที่ 60 ประจำเดือนกรกฎาคม
2549 แต่ห้าปีที่ผ่านมาปญั หาแตนฝอยปมในสวนไม้ยคู าลิปตัสนอกจากจะไม่ลดน้อยลงแลว้
ยังกลับจะทวีความรุนแรงเพิม่ ขึ้นเรือ่ ย ๆ จากเดิมท่ีเคยเข้าทำลายสร้างความเสียหายเฉพาะ
กล้าไม้ยูคาลิปตัสในเรือนเพาะชำ แปลงไม้แตกหน่อภายหลังการตดั ฟัน และไม้ขนาดเลก็ ใน
สวนปา่ ซึง่ มอี ายเุ พยี งปเี ศษ ความสงู ไม่เกนิ 3 เมตร กเ็ ข้าทำลายทั้งไมเ้ ลก็ และใหญ่ในสวนป่า
แทบทุกชั้นอายุ หลากหลายสายต้น แม้บริษัท สยามฟอเรสทรี จำกัด และบริษัท สโตร่า
เอ็นโซ่ (ประเทศไทย) จำกัด จะเสนอตัวผ่านศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั
เกษตรศาสตร์ เป็นแกนกลางในการสนับสนุนให้มีการประชุมพบปะเพื่อติดตามความ
เคลอื่ นไหวและเยยี วยาการแพร่ระบาดของแตนฝอยปมแล้วก็ตาม
ดังนั้น ภาควิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จึงได้จัด
ให้มีการประชุมเสวนาเรื่อง “แนวทางการแก้ไขปัญหาแตนฝอยปมในสวนป่าไม้
ยูคาลิปตัส” ขึ้นเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2554 โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมจากหน่วยงานภาครัฐ
และเอกชนจาก 13 องค์กร รวม 37 คน
วิทยากรหลักของการประชุมเสวนาดังกล่าวประกอบด้วย ดร. เดชา วิวัฒน์วิทยา
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ (โทร : 089-694-8650) คุณฐิติพร สายมณี
บริษัท เอสซีจี เปเปอร์ จำกัด (โทร : 081-930-5839) คุณอมรพงศ์ หิรัญวงศ์ บริษัท
ยคู าลิปตัสเทคโนโลยี จำกัด (โทร : 085-835-3413) คุณสมบัติ งามเสมอ บริษทั สยามทรี-
ดีเวลอปเมนต์ จำกัด (โทร : 038-722-271-6) คุณณัฐวุฒิ ม่วงทอง บริษัท สยามฟอเรสทรี
จำกัด (โทร : 084-874-2998) และคุณศักดา พรมเลิศ บริษัท สหโคเจน จำกัด โดยมี
ดร. จงรัก วัชรินทร์รัตน์ (โทร : 081-255-6340) หัวหน้าภาควิชาวนวัฒนวิทยา เป็น
พิมพค์ รง้ั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 11 (122) : 33–35 (พ.ศ. 2554)
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 409
ผู้ดำเนินการอภิปราย ดร. กอบศักดิ์ วันธงไชย (โทร : 085-837-0779) อาจารย์ประจำ
ภาควชิ าวนวัฒนวทิ ยา คณะวนศาสตร์ เป็นผจู้ ดั ทำสรุปผลการประชุมเสวนา
ข้อเขยี นวา่ ดว้ ยเร่ืองแมลงศัตรูตัวร้ายในสวนไม้ยูคาลปิ ตัสของผมส่วนใหญ่ก็ได้มา
จากสรปุ ผลการประชมุ เสวนาดังกล่าวของ ดร. กอบศักด์ิ วันธงไชย
แ ต น ฝ อ ย ป ม (invasive gall wasp:
Leptocybe invasa) เป็นแมลงที่มีขนาดเล็กในกลุ่ม
แตนเบียนวงศ์ Eulophidae มีถิ่นกำเนิดในทวีป
ออสเตรเลีย จากนั้นได้มีการระบาดไปยังประเทศ
อิสราเอล ประเทศในแถบทวีปแอฟริกาตอนใต้และ ภาพจาก : กรมป่าไม้
ประเทศอื่น ๆ สร้างความเสียหายแก่ต้นยูคาลิปตัส
ชนิดต่าง ๆ จำนวน 16 ชนิด โดยจะเจาะวางไข่ทำให้
เกิดปมที่บริเวณยอดอ่อน และใบอ่อน ส่งผลให้ยอดเกิดการบิดเบี้ยว หงิกงอ การเติบโต
โดยเฉพาะทางความสูงชะงกั ส่งผลกระทบทำให้ผลผลติ ลดลง
การศึกษาด้านวงจรชีวิตได้มีการศึกษาไว้บ้างแล้ว อาทิ ลักษณะการทำลาย ความ
หนาแน่นของประชากร ความรุนแรงของการระบาด แต่เป็นการศึกษาในระยะเวลาสั้น ๆ
โดยได้ศึกษาในสวนไม้ยูคาลิปตัสทางภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาค
ตะวันตก ซึ่งควรที่จะศึกษาในระยะยาวกว่านี้เพื่อจะได้เข้าใจลักษณะทางนิเวศวิทยาและ
ชวี วทิ ยาของแตนฝอยปมใหม้ ากยิ่งขนึ้
สำหรับลักษณะการเข้าทำลายของ
แตนฝอยปมมีอยู่ 3 ลักษณะ คือ การ
ทำลายบริเวณเส้นกลางใบ ก้านใบ และ
บริเวณยอดอ่อนที่เป็นลำต้น โดยพบ
ทำลายทั้งในกล้าไม้ในเรือนเพาะชำ กล้า ภาพจาก : กรมปา่ ไม้
ไม้/ต้นไม้ที่เพิ่งย้ายปลูกลงในแปลง และ
ต้นไมท้ ีส่ งู ใหญ่แล้ว โดยเฉพาะการทำลายในต้นไม้ใหญ่น้ันเปน็ เสมือนแหล่งหลบพักของแตน
ฝอยปม เนื่องจากผู้ปลูกจะไม่ค่อยสังเกตเห็นการทำลาย และมักมุ่งเน้นกำจัดเฉพาะเม่ือ
ต้นไมย้ งั เล็กอยู่เท่านน้ั
410 รวมเรือ่ งสวนปา่
ปมทีเ่ กิดขึ้นตามใบและยอดอ่อน เกดิ มาจากแตนฝอยปมตัวเมยี ท่วี างไขซ่ ึ่งฉดี สารบาง
ชนิดเข้าไปที่บริเวณผิวของ epidermis หรือ parenchyma ทำให้บริเวณนั้นเจริญเติบโต
ผิดปกติ ไข่จะฟักตัวภายหลังจากวางไข่ 1–2 สัปดาห์ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 5 ระยะ
รวมระยะเวลาที่ตัวอ่อนอยู่ในปมประมาณ 3 เดือน จึงออกเป็นตัวเต็มวยั ซึ่งเป็นจุดแข็งของ
แมลงชนิดนี้ เนื่องจากสารเคมีที่ฉีดพ่นไม่สามารถทำลายตัวอ่อนในปมได้ การแพร่กระจาย
ของแตนฝอยปมพบว่ากระจายในแนวราบมากกวา่ แนวต้ัง โดยจะพบประชากรหนาแน่นมาก
ที่ระยะผิวดินถึงความสูงประมาณ 2 เมตร นอกจากนี้ในแต่ละปีแตนฝอยปมสามารถระบาด
ทำลายได้ 2–3 รุ่น (generation) ต่อเนื่องกัน จึงพบการระบาดได้ทั้งปี การปรากฏ/การ
ระบาดจะพบตวั เต็มวัยไดต้ ลอดทั้งปี โดยจะพบมากในตอนตน้ ฤดูฝนมากกว่าชว่ งกลางฤดูฝน
หรือฤดูแล้ง แต่ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นรุนแรงมากที่สุดในช่วงหน้าแล้ง รวมทั้งพบว่า
ตัวเต็มวยั ออกทำกจิ กรรมมากในช่วงที่แดดไม่แรงจดั มากคอื ชว่ งเช้าหรอื เย็น
สาเหตุสำคัญที่ทำให้แตนฝอยปมสามารถพัฒนาได้อย่างรวดเร็วได้แก่ (1) สามารถ
ปรับตัวให้ดำรงชีวิตอยู่ได้ทั้งในช่วงอากาศร้อนและเย็น ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศ
ร้อนช้ืนอยา่ งประเทศไทย (2) สามารถสบื พันธ์ุได้ท้ังวธิ ีอาศัยเพศและไม่อาศยั เพศ (3) มี 2–3
รุ่นต่อปี จึงพบระบาดทั้งปี ซึ่งจำนวนตัวเต็มวัยจะคาบเกี่ยวมากกว่า 40 เปอร์เซ็นต์ และ
(4) เป็นแมลงต่างถิ่น (exotic species) ที่ติดเข้ามากับไม้ยูคาลิปตัส สำหรับประเทศไทย
ขณะนี้ยังไม่ทราบว่ามีโรคและแมลงศัตรูตามธรรมชาติหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญท่ีควรจะต้อง
ศกึ ษาตอ่ ไป
ปัจจัยธรรมชาติที่น่าสนใจและควรจะต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อหาแนวทางในการ
จดั การกับแตนฝอยปมไดแ้ ก่ ปัจจัยทางดา้ นภมู ิอากาศ เชน่ ลม ปริมาณน้ำฝน แสงสวา่ ง และ
ปัจจยั ทางดา้ นชวี วทิ ยา เชน่ วัชพชื และศตั รูตามธรรมชาติ โดยเฉพาะศตั รูตามธรรมชาติได้มี
การศึกษาในประเทศอิสราเอลซึ่งพบว่ามีแตนเบียนบางชนิดอันเป็นแตนเบียนที่มาจาก
ประเทศออสเตรเลียที่สามารถนำมาใช้ควบคุมแตนฝอยปมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้แก่
Selitrichodes kryceri และ Quadrastichus mendeli โดยอิสราเอลได้พัฒนาแมลงเบียน
ดงั กล่าวจนสามารถใช้ควบคุมแตนฝอยปมไดผ้ ลสำเร็จเป็นอยา่ งดี
ประเทศไทยพบรายงานการระบาดของแตนฝอยปมครั้งแรกเมื่อเดือนมิถุนายน ปี
พ.ศ. 2547 ทส่ี วนป่าลาดกระทิง จังหวดั ฉะเชงิ เทรา ของบรษิ ัท ไมอ้ ัดไทย จำกดั จากนั้นการ
ระบาดได้แพร่กระจายไปในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ สถานการณ์การระบาดในปัจจุบัน ณ
ปี 2554 พบการระบาดในสวนไม้ยูคาลิปตัสในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัด
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 411
ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี ราชบุรี นครราชสีมา บุรีรัมย์ และ
ขอนแก่น แต่สำหรับพื้นที่ปลูกในภาคเหนือยังพบการแพร่ระบาดไม่มากนัก อาจจะ
เนือ่ งมาจากเพ่งิ เริ่มมีการปลกู ในรูปของแปลงปลกู ขนาดใหญไ่ ดไ้ มน่ านนกั
สำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจาก
การทำลายของแตนฝอยปมที่มีการประเมิน
โดยบริษัทยูคาลปิ ตัสเทคโนโลยี พบว่าพื้นท่ี
ที่บริษัทฯ เข้าทำการศึกษาวิจัยได้รับความ
เสียหายประมาณ 177,000 ไร่ โดยแปลงไม้
ภาพจาก : https://nsfcrc-news.blogspot.com ปลูกใหม่มีผลผลิตลดลง 1 ตันต่อไร่ตอ่ รอบ
ตัดฟัน ส่วนแปลงไม้ไว้หน่อนั้นผลผลิตของ
หน่อ 2 รุ่น ลดลงประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ คิดเป็นมูลค่าความเสียหายทั่วประเทศนับ
พันล้านบาท
ภาคเอกชนผู้ปลูกไม้ยูคาลิปตัสรายใหม่ต่างได้พยายามพัฒนาสายต้นที่ทนทานต่อ
แตนฝอยปม โดยเฉพาะการพัฒนาสายต้นลูกผสมของยูคาลิปตัสยูโรฟิลล่า (Eucalyptus
urophylla) ซึ่งมีข้อสงั เกตในเบื้องต้นว่าไมค่ ่อยมแี ตนฝอยปมเข้าทำลาย และได้ผลคอ่ นข้าง
ดีในระยะแรก ๆ ของการปลูก (โดยเฉพาะในรอบตัดฟันที่หนึ่ง) แต่ต่อมาภายหลังจาก
การตัดฟันไม้ในรอบแรกเมื่อเกิดหน่อใหม่ขึ้นมาก็พบว่าหน่อส่วนใหญ่จะเริ่มถูกทำลายโดย
แตนฝอยปม ดังนั้น ณ สถานการณใ์ นปัจจบุ ันจึงยงั ไม่พบสายตน้ ท่ที นทานต่อแตนฝอยปม
ในระยะยาวอยา่ งแทจ้ ริง จงึ ต้องศึกษาพฒั นาสายตน้ อย่างต่อเนอื่ งกันตอ่ ไป
การดำเนินการควบคุมแตนฝอยปมในปัจจบุ ันมที ั้งวิธีการเขตกรรม การใชส้ ารเคมี วิธกี ล
และการพัฒนาสายตน้ ที่ทนทานตอ่ แตนฝอยปม
วธิ ีการควบคมุ โดยการเขตกรรม สามารถกระทำได้โดย (1) การกำจัดวัชพืชในแปลง
ปลูก เพื่อทำลายแหล่งอาศัยหลบภัยของแตนฝอยปม (2) การใส่ปุ๋ย เพื่อให้ต้นไม้มีความ
สมบูรณ์แข็งแรง เร่งการเติบโตซึ่งอาจมีผลต่อความทนทานต่อการเข้าทำลายของแตนฝอย
ปม (3) ตัดแต่งส่วนที่เป็นปมในระยะทีต่ ้นไม้ยังเล็ก/ไม้หน่อ แล้วนำไปเผาทิ้งนอกแปลงเพือ่
ลดแหลง่ สะสมของแตนฝอยปม (4) เนน้ การกำจดั ในระดับแปลงเพาะโดยตัดทำลายส่วนของ
ยอด และใบ ทีถ่ กู ทำลายเพอ่ื ลดการแพรก่ ระจายไปยังพ้นื ที่ปลกู ใหม่ และ (5) การปลกู ไม้ทีม่ ี
หลายสายตน้ ภายในแปลงเดียวกันเพอ่ื ลดความเสยี่ งต่อการระบาด/ทำลาย
412 รวมเร่อื งสวนป่า
วธิ ีการควบคุมโดยใช้สารเคมี แบบการฉีดพน่ และการใส่ทางรากให้ดูดซึมเข้าสู่เน้ือเยื่อ
พืชทั้งระดับแปลงเพาะและแปลงปลูก นั้นปรากฏว่า (1) การใช้สารเคมีคลอร์ไพริฟอส +
ไซเพอร์เมทริน ร่วมกับปุ๋ย ทำให้ต้นไม้ที่ถูกแตนฝอยปมทำลายสามารถฟื้นตัวกลับมา
เจรญิ เตบิ โตต่อไปได้ (2) การใช้สารเคมคี าร์โบซัลแฟน ไดคอลรว์ อส ฟีโนบคู ารบ์ แบบฉีดพ่น
และการใช้สารอิมิดาคลอพริด แบบใส่ทางราก ให้ผลในการยับยั้งการพัฒนาของรอยเจาะ
วางไข่เป็นปมของแตนฝอยปม และฆ่าตัวอ่อนที่อยู่ภายในปมได้ (3) การใช้สารสะเดา หรือ
สารสะเดาร่วมกับสารคาร์โบซัลแฟน สามารถช่วยลดความเสียหายจากการเข้าทำลายของ
แมลงแตนฝอยปมได้ และ (4) การใช้สารสกัดน้ำมันหอมระเหยจากใบยูคาลิปตัส ที่ความ
เข้มข้นสูงตั้งแต่ 1 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ทำให้แตนฝอยปมมีอายุสัน้ ลงได้ แต่มีข้อจำกัดคือต้องใช้
ใบยูคาลิปตสั จำนวนมาก เพ่อื สกัดให้ได้นำ้ มันที่มีปริมาณเพียงพอต่อการใช้งาน ซงึ่ มีต้นทนุ สงู
วิธีการควบคุมโดยวิธีกล โดยการใช้กับดักกาวสีเหลืองในแปลงปลูกและแปลงเพาะ
เพอื่ ล่อให้แมลงตัวเตม็ วยั มาติดกับดัก ซึ่งสามารถลดปรมิ าณแมลงลงไดใ้ นระดบั หนึง่
การพัฒนาสายต้นที่ต้านทาน โดยการศึกษาวิจัยเพื่อพัฒนาสายต้นไม้ยูคาลิปตัสท่ี
ต้านทานการเข้าทำลายของแตนฝอยปมอย่างต่อเนื่อง โดยได้เน้นไปที่สายต้นลูกผสมของ
Eucalyptus urophylla มากขึ้น เนื่องจากมีข้อสังเกตเบื้องต้นว่าสายต้นจากลูกผสมน้ี
ไม่ค่อยได้รับความเสียหายจากแตนฝอยปมมากนัก
อย่างไรก็ตาม ความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ในการแก้ปัญหาการแพร่ระบาด
ของแตนฝอยปมยังมีเรือ่ งทีจ่ ะต้องพูดถึงกันต่อไปอีก
71 การปลกู ป่าไผ่
โดยไม่ตอ้ งปลกู
ตามแนวพระราชดำริ
ทบี่ ้านหวั ทงุ่ อำเภองาว
ความจริงผมได้รับปากกับคุณอัมพา คำวงษา บรรณาธิการนิตยสารไม่ลองไม่รู้
ว่าจะเขียนเรื่องไม้ไผ่ลำใหญ่ในพื้นทีโ่ ครงการหลวงเพื่อลงตีพิมพใ์ นฉบับประจำเดือนกรกฎาคม
2555 แตบ่ ังเอิญกอ่ นสง่ ต้นฉบบั 8–9 วนั คือในช่วงวันที่ 7–9 มิถนุ ายน 2555 ในฐานะประธาน
คณะกรรมการอำนวยการโครงการป่าชาวบ้านในพระราชูปถัมป์ของสมเด็จพระเทพ
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ผมตอ้ งเดินทางไปร่วมประชมุ สัมมนาเชงิ ปฏบิ ตั กิ ารเพอื่
จัดทำแนวทางการดำเนินงานโครงการป่าชาวบ้านฯ ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2555–2559) ที่
เชียงใหม่ และศึกษาดูงานที่ลำปาง และได้มโี อกาสไปดูการจัดการป่าชุมชนซึง่ สอดคล้องกับ
แนวพระราชดำริเก่ยี วกับ “การปลูกปา่ โดยไม่ตอ้ งปลูก” ของพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัว
จึงขออนุญาตทา่ นบรรณาธกิ ารอมั พา ยกเอาเรื่องไม้ไผ่ลำใหญ่ในพน้ื ที่โครงการหลวงไปไวใ้ น
ฉบบั ต่อไป
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2537 ความ
ตอนหน่งึ ว่า
“...ทิ้งป่าตรงนั้นไว้ 5 ปี ไม่ต้องไปทำอะไรเลย แต่ป่าเจริญเติบโต
เป็นป่าสมบูรณ์ โดยไม่ต้องปลูก0ส0ักต้นเดียว คือว่าการปลูกป่านั้น
สำคัญอยทู่ ่ีปล่อยใหเ้ ขาขึ้นเอง...”
พิมพ์คร้งั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 12 (132) : 34–37 (พ.ศ. 2555)
414 รวมเรือ่ งสวนปา่
ตัวอยา่ งผลสำเร็จของการปลกู ป่าโดยไมต่ ้องปลูกตัวอยา่ งหนงึ่ ซ่ึงดำเนินงานสนอง
พระราชดำรโิ ดยสำนกั งานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจาก
พระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) ซึ่งปัจจุบันมีคุณเฉลิมเกียรติ แสนวิเศษ (วนศาสตร์รุ่นที่
35) เปน็ เลขาธกิ าร ก็คอื โครงการศึกษาวธิ ีการฟื้นฟูท่ดี นิ เส่ือมโทรมเขาชะงุม้ อันเน่ืองมาจาก
พระราชดำริ ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ที่เน้นการป้องกันรักษาป่าและ
ควบคุมไฟป่าในพ้ืนท่ีป่าเตง็ รังเสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากการบุกรุกทำลายในอดีต เป็นผลให้
สภาพความอุดมสมบูรณ์ของดินและป่าค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สังคมพืชค่อย ๆ เปลี่ยนไป ตาม
หลักการทดแทนของสังคมพืชตามธรรมชาติ ตรงกับแนวพระราชดำรัสเมื่อวันที่ 15
กรกฎาคม 2539 ทว่ี ่า
“...ให้ช่วยกนั ดแู ลรักษาป่า อยา่ ไปรังแกปา่ ถ้าปลอ่ ยทิ้งไว้ไม่ให้ใคร
ไปรบกวน ระยะเวลา 30–40 ป0ี 0ป่าแห่งนี้จะฟื้นคืนสภาพจากป่า
เต็งรังเปน็ ปา่ เบญจพรรณ...”
นอกจากผลสำเรจ็ ของการปลกู ป่าโดยไมต่ ้องปลูกตามแนวพระราชดำริทีเ่ ขาชะง้มุ ซ่งึ
ดำเนินการโดยสำนักงาน กปร. ดังกล่าวแล้ว ป่าห้วยแม่หิน ที่อำเภองาว จังหวัดลำปาง ก็
เป็นอีกตวั อย่างหน่ึงซึ่งชมุ ชนโดยการสนับสนุนของกรมป่าไม้ ได้ร่วมกันอนุรักษ์และฟ้นื ฟปู า่
เสือ่ มโทรมให้กลบั คืนมาเปน็ ปา่ สมบูรณใ์ นระยะเวลาอนั สัน้
“งาว” เป็นหนึ่งในจำนวน 13 อำเภอของจังหวัดลำปาง เป็นหนึ่งในจำนวนไม่ก่ี
อำเภอของประเทศไทยทม่ี ปี ่าสกั ทั้งป่าธรรมชาตแิ ละสวนป่ามากและสมบรู ณท์ ีส่ ุด คนในแวด
วงป่าไม้ โดยเฉพาะไม้สัก ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจ นักวิชาการ หรือนิสิตนักศึกษาต่างก็คุ้นเคย
กับชื่อของอำเภองาวหรือเมืองงาวเป็นอย่างดี เพราะเคยเป็นแหล่งผลิตไม้สักที่สำคัญของ
ประเทศ เป็นที่ตั้งของศูนย์ปรับปรุงบำรุงพันธุ์ไม้สัก อันเป็นความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทย
และรัฐบาลเดนมาร์ค เป็นศูนย์กลางการศึกษาวิจัยด้านไม้สักมาอย่างยาวนานกว่าคร่ึง
ศตวรรษ และนิสิตคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์ ทุกคนจะตอ้ งผ่านการฝึกภาค
ฤดรู อ้ นท่ีสถานีฝึกนิสติ วนศาสตรห์ ้วยทาก ซึง่ ตง้ั อยใู่ นท้องที่อำเภองาว จงั หวัดลำปาง
แต่งาวก็คงไม่แตกต่างไปจากเมืองไม้สักอื่น ๆ ของประเทศที่ความอุดมสมบูรณ์ของ
พื้นที่ป่าสักและปริมาณไม้สัก รวมทั้งชื่อเสียงดา้ นไม้สักต้องลดน้อยถอยลงเรือ่ ย ๆ ทั้งเพราะ
การบุกรุกแผ้วถางพื้นที่ป่าสักมาปลูกพืชผลทางการเกษตร และการลักลอบตัดไม้สักมา
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 415
จำหน่ายหรือใช้ประโยชน์ส่วนตน ไม่เว้นแม้แต่ไม้สกั ในสวนป่าของรัฐที่ปลูกสร้างขึ้นมาด้วย
เงินภาษีของประชาชน
อย่างไรกต็ าม ชาวบ้านหวั ทุง่ หม่ทู ่ี 8 ซ่งึ ปัจจบุ นั (พ.ศ. 2555) มีประชากรจำนวน
515 คน ใน 128 หลังคาเรือน ก็ชว่ ยกูห้ นา้ หยุดยง้ั การบุกรุกทำลายปา่ ของชาวเมืองงาว
ขึ้นมาได้ เมื่อได้น้อมนำเอาแนวพระราชดำริ “การปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก” มาฟื้นฟูป่า
ห้วยแม่หิน ต้ังแต่วันที่ 3 มิถนุ ายน 2541 เป็นตน้ มา
ป่าห้วยแม่หินมีเนื้อที่ประมาณ
5,000 ไร่ ตั้งอยู่ในป่าสงวนแห่งชาติป่า
แม่โป่ง ท้องที่ ตำบลปงเตา อำเภองาว
จังหวัดลำปาง เดิมเป็นป่าเบญจพรรณที่
มีไม้สัก ไม้มะค่าโมง ไม้ตะแบก และ
ไม้แดง ขนาดสูงใหญ่อุดมสมบูรณ์มาก มี
ไผ่เป็นไม้ในชั้นเรือนยอดต่ำรองลงมา ไม้
ไผ่ที่มีมากที่สุดคือไผ่ซางนวล ซึ่งเหมาะ
สำหรับใช้ทำตะเกยี บ ไม้จิ้มฟนั และไม้เสียบลูกชิ้น นอกจากนี้ยังมไี มไ้ ผ่บง ไผ่ไร่ ไผ่ไล่ลอ ไผ่
ขา้ วหลาม และไผห่ ก เมอ่ื มกี ารนำไมใ้ หญ่ออกตามสัมปทานการทำไม้ ไมไ้ ผ่เหล่านี้ก็จะเจริญ
ทดแทนตามธรรมชาติขึ้นมาครอบคลมุ ชอ่ งว่างของพืน้ ท่แี ทน
แต่ในช่วงปี พ.ศ. 2539–2540 ป่าไผ่ห้วยแม่หิน บ้านหัวทุ่ง ถูกบุกรุกทำลายอย่าง
หนัก เพื่อตัดลำไม้ไผ่ขายให้แก่โรงงานทำตะเกียบ ไม้จิ้มฟัน ไม้เสียบลูกชิ้น ก้านธูป ฯลฯ
รวมทั้งการขุดหน่อไม้ออกจำหน่ายอย่างเปน็ ล่ำเปน็ สนั ทำให้สภาพป่าห้วยแม่หนิ เสื่อมโทรม
ลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อชาวบ้านหัวทุ่งและบ้านพร้าวซึ่งมีพื้นที่ทำกินอยู่สองฝั่ง
ลำห้วยแมห่ ินและแม่นำ้ งาวทข่ี าดแคลนน้ำเพือ่ การเกษตรและอุปโภคบรโิ ภคท่วั ไป
ผลกระทบจากการขาดป่า และขาดนำ้ เพอ่ื การเกษตรดงั กล่าวทำใหช้ าวบา้ นหวั ทุง่ นำ
โดยนายบุญทัน ธิอินโต ผใู้ หญ่บ้านในสมัยนั้น ไดร้ วมตวั กนั เมื่อวนั ที่ 2 มิถุนายน 2541 เพื่อ
ประชุมปรึกษาหารือแกไ้ ขปัญหาความเสื่อมโทรมของปา่ ไม้อย่างเร่งด่วนจริงจัง และมีมตใิ ห้
ปิดป่าห้วยแม่หินทั้ง 5,000 ไร่ หยุดการตัดไม้ไผ่เพื่อการค้าอย่างเด็ดขาดตั้งแต่วันที่
3 มิถุนายน 2541 เป็นต้นไป และประกาศให้ส่วนหนึ่งของพื้นที่ป่าห้วยแม่หิน เนื้อที่
ประมาณ 2,800 ไร่ เป็น “ป่าชุมชนห้วยแม่หิน” ทำให้เพียง 3–4 ปีต่อมา ลำห้วยแม่หินมี
416 รวมเรอ่ื งสวนปา่
น้ำไหลตลอดปี ชาวบ้านสามารถทำการเกษตรได้ดังเดิม รวมทั้งเข้าไปเก็บหาของป่าในป่า
ห้วยแมห่ นิ ไดอ้ ยา่ งตอ่ เนอื่ งอกี ดว้ ย
ป่าชุมชนปา่ หว้ ยแมห่ ิน บา้ นหัวทุ่ง หมู่ที่ 8 ตำบลปงเตา อำเภองาว จังหวัดลำปาง
บริหารจัดการโดยคณะกรรมการปา่ ชุมชนปา่ ห้วยแม่หิน จำนวน 25 คน ปจั จุบันมีนายสุทัศน์
ราชไชย เป็นประธานกรรมการ นายน้อย อุทานันท์ เป็นรองประธานฝ่ายบริหารจัดการป่า
นายวิญญู ลำซาง เป็นรองประธานฝ่ายพัฒนาอาชีพป่าไม้ และนายประชา ขัดโต
เป็นกรรมการเลขานุการ ทั้งนี้ภายใต้การสนับสนุนของศูนย์ส่งเสริมวนศาสตร์ชุมชนที่ 9
(ลำปาง) สำนกั จดั การปา่ ชุมชน กรมป่าไม้ ซึ่งปัจจบุ นั มีนายสุมยั หมายหมั้น นักวชิ าการปา่ ไม้
ชำนาญการ ทำหนา้ ท่ีหัวหนา้ ศนู ยฯ์
ในพื้นที่ป่าชมุ ชนปา่ หว้ ยแม่หนิ 2,800 ไรน่ ี้ มีกฎระเบยี บทเี่ ป็นข้อหา้ มอยู่ 5 ประการ คือ
1. ห้ามนำเกวียนหรือยานพาหนะทุกชนิดเข้าไปในป่าห้วยแม่หินเพื่อตัดไม้ทุกชนิด
ผ้ฝู า่ ฝืนจะถกู ปรบั 1,000–5,000 บาท
2. ห้ามขุดหน่อไม้ทุกชนิด ผู้ฝ่าฝืนจะถูกปรับกอละ 500 บาท โดยจะจ่ายให้ผู้แจ้ง
300 บาท และนำเข้ากองทุนหม่บู า้ น 200 บาท
3. ห้ามเผาป่า ผูฝ้ ่าฝนื จะถูกปรับ 500 บาท
4. ห้ามช๊อตปลาดว้ ยไฟฟ้าหรอื ทำการเบือ่ ปลาทุกชนิด ทกุ ฤดกู าล ผฝู้ ่าฝืนจะถกู ปรบั
1,000 บาท โดยจะจ่ายใหผ้ ู้แจ้ง 500 บาท และนำเขา้ กองทนุ หมบู่ ้าน 500 บาท
5. ห้ามตัดหรือนำไม้ยืนต้น ท่อนไม้ ท่อนซุง ออกจากป่า ผู้ฝ่าฝืนจะถูกนำตัวส่ง
พนกั งานเจ้าหน้าท่ดี ำเนนิ การตามกฎหมาย
ผู้ฝ่าฝืนกฎระบียบของป่าชุมชนและไม่ยอมให้คณะกรรมการป่าชุมชนปรับจะถูก
สง่ ตัวให้เจา้ หน้าทด่ี ำเนินการตามกฎหมาย
จากความรว่ มมือของชาวบา้ นหัวทงุ่ หมทู่ ่ี 8 นำโดยนายประพนั ธ์ ศรีนวล ผู้ใหญ่บ้าน
และความเข้มแข็งของคณะกรรมการป่าชุมชนป่าห้วยแม่หิน ภายใต้การนำของนายสุทัศน์
ราชไชย อดีตผู้ใหญ่บ้าน ทำให้ป่าชุมชนป่าห้วยแม่หินก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและ
ทางอ้อมนานาประการ อาทิ เป็นป่าต้นน้ำลำธารที่มีนำ้ ไหลตลอดปี จนทำให้ชุมชนสามารถ
ประกอบอาชีพทางการเกษตรได้ตามปกติ เป็นแหล่งเก็บหาของป่า เช่น เห็ดและพืชผักป่า
ของชมุ ชน
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 417
เป็นแหล่งผลิตลำไม้ไผ่ชนิดต่าง ๆ ที่ชุมชนสามารถเข้าไปตัดเพื่อจำหน่ายใช้สอยได้
โดยอนุญาตใหต้ ัดเฉพาะลำไมไ้ ผ่ทมี่ อี ายุแก่กวา่ 3 ปีเท่านัน้ ท้ังนเ้ี พราะชุมชนแห่งนที้ ราบดวี า่
ในไผ่ลำอ่อน ๆ จะมีปริมาณแป้งอยู่เป็นจำนวนมาก หากตัดไปใชป้ ระโยชน์ก็จะมีอายุการใช้
งานส้ัน เพราะมีมอดเข้าไปทำลาย ไผ่ใชล้ ำจึงควรจะเป็นลำทีม่ อี ายุตงั้ แต่ 3 ปีขน้ึ ไป
ไม้ไผ่ทชี่ าวป่าชมุ ชนปา่ หว้ ยแมห่ ิน
ตัดลำออกมากที่สุดคือไผ่ซางนวล เพ่ือ
ขายลำให้แกโ่ รงงานทำตะเกียบ ไม้จิม้ ฟัน
และไม้เสียบลูกชิ้น ในราคาลำละ 16
บาท โดยโรงงานจะส่งคืนให้แก่หมู่บ้าน
ลำละ 1 บาท เพื่อเป็นสวัสดิการและ
ค่าใช้จ่ายในการลาดตระเวนดูแลป้องกนั
รักษาป่า และในจำนวนเงิน 16 บาทท่ี
ขายไดน้ น้ั คนตดั ไม้ไผ่จะมีรายได้ลำละ 8
บาท ท้งั น้ี จะตดั วนั ละกล่ี ำต่อคนก็ได้ไมม่ ี
โควตากำหนด แต่ห้ามตัดลำที่อายุต่ำ
กวา่ 3 ปี และหา้ มขดุ หนอ่ ไม้
นอกจากลำไม้ไผ่แล้ว ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมานี้ป่าชุมชนป่าห้วยแม่หินยังเป็นแหล่ง
ผลิตกล้าไผ่ซางนวลที่สำคัญของจังหวัดลำปาง เพราะเป็นช่วงที่ไผ่ซางนวล “ออกขุย” ให้
เมล็ด เมื่อเมล็ดไผ่รว่ งหล่นลงสู่พื้นดินในชว่ ง “ปลายแล้ง ต้นฝน” เมล็ดก็จะงอกเป็นตน้ กลา้
ซึง่ ในช่วงต้นเดือนมิถนุ ายน 2555 ทค่ี ณะทำงานโครงการปา่ ชาวบ้านฯ มลู นธิ ิโครงการหลวง
เข้าไปศึกษาดงู านนน้ั พบวา่ มีกลา้ ไผซ่ างนวลข้นึ อยตู่ ามพ้ืนปา่ ท่โี ลง่ แจ้ง (เช่น ตามแนวถนนใน
ปา่ ไผ่) ขนาดความสงู ประมาณ 7-8 เซนติเมตร เป็นจำนวนมาก ตารางเมตรละนับพันต้น ใน
การนี้คณะกรรมการป่าชุมชนปา่ ห้วยแม่หนิ ได้อนุญาตให้ชาวบ้านเข้าไปถอนต้นกล้าไผ่มาชำ
ไว้ในถุงพลาสติก แล้วขายให้แก่ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธกส.) ใน
ราคาต้นละ 2.50 บาท (กล้าอายุ 1 ปี) โดยชาวบา้ นผู้ผลติ กล้าจะไดร้ บั ตน้ ละ 2.00 บาท ส่วน
ที่เหลืออีก 50 สตางค์นั้นมอบให้เป็นค่าใช้จ่ายของหมู่บ้าน ธกส. จะนำกล้าไผ่ซางนวล
เหลา่ นไี้ ปแจกจา่ ยใหแ้ ก่สมาชกิ ส่วนกล้าไผซ่ างนวลอายุ 1 ปี ที่จำหน่ายใหแ้ ก่บุคคลทว่ั ไปนนั้
คณะกรรมการปา่ ชมุ ชนป่าห้วยแม่หินคดิ ในราคาตน้ ละ 5 บาท
418 รวมเรื่องสวนปา่
ไผ่ให้น้ำ ให้ชีวิต พัฒนาเศรษฐกิจและสังคม แก่ชาวบ้านหัวทุ่ง จึงมีคำกล่าวติดปาก
คนทนี่ ี่วา่ “ไม้ไผ่ใหช้ วี ิต พัฒนาเศรษฐกจิ พัฒนาประชาชาติไทย”
จากการบริหารจัดการป่าชุมชนอย่างเข้มแข็งดังกล่าว ทำให้ป่าชุมชนป่าห้วยแม่หิน
ของบ้านหัวทุ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในวงการป่าชุมชนอย่างกว้างขวาง จึงเป็นสถานทีศ่ ึกษาดู
งานด้านป่าชุมชนทั้งระดับประเทศและระดับนานาชาติ รวมทั้งได้รับรางวัลเกียรติยศตา่ ง ๆ
อยเู่ สมอมา
นค่ี อื ผลสำเร็จของปา่ ชุมชนป่าห้วยแม่หิน และความภาคภมู ิใจของชาวบ้านหัวทุ่ง
หมู่ที่ 8 ตำบลปงเตา อำเภองาว จังหวัดลำปาง ที่ได้น้อมนำเอาแนวพระราชดำริ “การ
ปลกู ปา่ โดยไม่ตอ้ งปลกู ” ของพระบาทสมเด็จพระเจา้ อยู่หวั ไปปฏบิ ตั ิ
72 ไม้ไผล่ ำใหญ่
ในประเทศไทย
เมื่อได้พบเห็นไม้ไผ่ที่ลำมีขนาดใหญ่ผิดปกติจนรู้สึกสะดุดตา สะกิดใจ ผู้คนส่วนใหญ่
รวมทั้งคนในแวดวงการเกษตรและปา่ ไม้จำนวนไม่นอ้ ยมักจะร้องอทุ านว่า โอโ้ ห ไผ่ลำน้ีใหญ่
จัง พร้อมกับถามว่า “อายุเท่าไหร่ ? ” แทนที่จะถามว่าไผ่อะไร ที่ถามเช่นนี้เพราะเขาเข้าใจ
ว่าขนาดของลำไม้ไผ่ขึ้นอยู่กับอายุเหมือนกับไม้อืน่ ทั่ว ๆ ไป เช่น ไม้สักอายุ 10 ปี 20 ปี 30
ปี 40 ปี และ 50 ปี จะมีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก (1.30 เมตรจากพื้นดิน) โดยเฉล่ีย
ประมาณ 11.5, 17.5, 22.0, 25.0 และ 27.8 เซนตเิ มตร ตามลำดับ
นั่นคือ เมอ่ื ไมส้ ักมอี ายุมากข้นึ ก็จะมขี นาดความโต (เส้นผ่านศนู ยก์ ลางเพียงอก หรือ
เสน้ รอบวงของลำต้น) เพ่ิมขึ้นทกุ ปี จะมากหรือน้อยกข็ น้ึ อยู่กับสภาพแวดล้อมของพ้ืนที่ ช่วง
อายุขัย และความใสใ่ จในการบำรุงรกั ษา
เช่นเดียวกับไม้ยางนาทีม่ ีความเพิ่มพูนทางเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกเฉลี่ยประมาณ
ปีละ 1.0 เซนติเมตร ไม้ยางนาอายุ 50 ปี (ปลูกปี พ.ศ. 2505) ที่สวนป่าไตรตรึงษ์ จังหวั ด
กำแพงเพชร จงึ มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพยี งอกเฉล่ยี ประมาณ 50 เซนตเิ มตร ในขณะที่ไม้ยางนา
ที่สารภีริมถนนสายเชียงใหม่-ลำพูน (สาย 106) อายุ 101 ปี (ปลูกปี พ.ศ. 2454) ก็จะมี
เสน้ ผ่านศูนยก์ ลางเพียงอกประมาณ 100 เซนตเิ มตร
แต่ขนาดความโตของลำไม้ไผ่ไม่เพิ่มขึ้นตามอายุเหมือนไม้สักและไม้ยางนา หรือไม้ยืนต้น
อ่นื ๆ เพราะลักษณะประจำตวั ประการหนึ่งของไมไ้ ผ่ท่รี กู้ นั เปน็ สากลคอื
Maximum growth within one growing season
เติบโตเตม็ ทภี่ ายในหนง่ึ ฤดกู ารเจริญเตบิ โต
พิมพค์ รง้ั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 12 (137) : 33–35; 13 (139) : 33–35 (พ.ศ. 2555-2556)
420 รวมเรอื่ งสวนป่า
หนึ่งฤดูการเจริญเติบโตก็คือหนึ่งปีโดยประมาณ นั่นคือ ไม้ไผ่ทุกชนิดทั้งขนาดและ
ความสูงของลำจะเติบโตเต็มที่ภายในหนึ่งฤดูการเติบโตหรือหนึ่งปีเท่านั้น แต่ความจริงแลว้
“หนึ่งปี” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึง “สิบสองเดือน” เต็ม หรือ “สิบสองเดือนเป็นหนึ่งปี” ตาม
ปฏิทิน เพราะไผ่ที่เกิดเป็นหน่อแล้วพัฒนาเป็นลำจะเติบโตเต็มที่ภายในเวลา 8-9 เดือน
เท่านั้น หน่อไผ่ที่โผล่พ้นดินในกลางเดือนมิถุนายนจะพัฒนาเป็นลำที่มีขนาดโตเต็มทีภ่ ายใน
ต้นเดือนมีนาคมของปถี ัดมา เมื่อความโตและความสูงของลำเติบโตเต็มท่ีและหยุดการขยาย
ท้ังทางดา้ นขนาดและความสงู ของลำแลว้ ไผ่ลำนนั้ ก็จะเร่มิ แตกกงิ่ จากตาซ่งึ อยตู่ ามขอ้ ของลำ
ลำไมไ้ ผอ่ ันประกอบดว้ ยลำตน้ ก่งิ และใบ จะพัฒนาเปน็ ลำทส่ี มบรู ณ์ภายในหน่ึงปี
นั่นคือ ความหมายของคำว่า Maximum growth within one growing season
และนับจากฤดูการเจริญเติบโตที่สองหรือตั้งแต่ย่างเข้าปีที่สองเป็นต้นไป ไผ่จะสร้างความ
แข็งแกร่งให้แก่ลำ ลำไม้ไผ่ทีน่ ำไปใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างและทำเฟอร์นิเจอร์จงึ ควรเป็น
ไผ่ลำแก่อายุ 3-5 ปขี นึ้ ไป
ไผ่เป๊าะหรือไผ่ยักษ์บางลำอาจจะมีความสงู ถึง 40 เมตร และมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง
30 เซนติเมตร เมื่อมีอายุเพียง 1 ปี ไผ่จึงจัดว่าเป็นพืชทีม่ ีอัตราการเติบโตเร็วท่ีสุดอยา่ งหนงึ่
ในโลก
ในทางพฤกษศาสตร์ ไผ่จัดเป็นพืชในวงศ์ (family) หญ้า (Poaceae) แต่ด้วยมีขนาด
สูงใหญ่และมีลักษณะหลายประการแตกต่างไปจากหญ้าทั่ว ๆ ไป นักพฤกษศาสตร์จึงจัดไผ่
เขา้ ไว้ในอนุวงศ์ (subfamily) Bambusoideae และแยกไผท่ มี่ เี น้อื ไม้หรือ woody bamboos
ออกเปน็ อกี เผา่ (tribe) หนงึ่ ต่างหาก คอื เผา่ Bambuseae
นั่นคือ ไผ่ที่พูดถึงกันนั้นเป็นพืชในเผ่า Bambuseae อนุวงศ์ Bambusoideae วงศ์
Poaceae ซ่ึงมีดว้ ยกันทัง้ สน้ิ 80–90 สกลุ รวม 1,575 ชนิด (ปี พ.ศ. 2542) เกิดและกระจาย
พันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ทั้งในเขตร้อน กึ่งร้อน และเขตอบอุ่น ในทุกทวีป ยกเว้นทวีปยุโรป
แอนตาร์คติค และทางตะวันตกของทวีปเอเชีย ทั้งในพื้นที่ต่ำ ๆ เหนือระดับน้ำทะเลเพียง
เลก็ น้อย จนถึงพ้ืนที่สูง 4,000 เมตรเหนอื ระดับน้ำทะเลปานกลาง โดยพบในทวีปเอเชียมาก
ที่สุด คือ 1,059 ชนิด ทวีปอเมริกา 489 ชนิด (ร้อยละ 76.07 พบในอเมริกาใต้) ทวีป
แอฟริกา 54 ชนิด หมู่เกาะแปซิฟิก 39 ชนิด และทวีปออสเตรเลีย (เฉพาะทางตอนเหนือ
เท่านัน้ ) 3 ชนิด
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 421
สำหรับประเทศไทยมีไม้ไผ่อยู่ทั้งสิ้น 15 สกุล รวม 82 ชนิด โดยส่วนใหญ่เป็นไผ่ใน
สกลุ ไผป่ ่า (Bambusa) สกลุ ไผไ่ ร่ (Gigantochloa) และสกุลไผต่ ง (Dendrocalamus)
ดร. สราวุธ สังขแ์ ก้ว (โทร : 089-446-6136) อาจารยป์ ระจำภาควชิ าชวี วทิ ยาป่าไม้
คณะวนศาสตร์ ซึ่งสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอก มหาวิทยาลัยดับลิน (University of
Dublin) สหราชอาณาจักรและจัดว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอนุกรมวิธานวิทยาของไผ่ในลำดับ
ต้น ๆ ของประเทศไทย ได้ศึกษาอนุกรมวิธานวทิ ยาในเชิงลึกของไผส่ กลุ ไผ่ตงในประเทศไทย
โดยพบว่าประเทศไทยมีไม้ไผ่ในสกุลนี้อยู่รวมทั้งสิ้น 13 ชนิด และเมื่อมองลึกลงไปแล้วจะ
พบว่าไผ่สกลุ ไผ่ตงหลายชนิดเป็นไผท่ ี่ลำมีขนาดสงู ใหญ่ มบี ทบาททสี่ ำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ
ของประเทศเป็นอยา่ งสงู มายาวนาน
ดังนั้น “ไม้ไผ่ลำใหญ่ในประเทศไทย” ที่กล่าวถึงในท่ีนี้จึงได้จากผลงานวิจัยเรื่อง
“Taxonomy and Systematics of Dendrocalamus” ของ ดร. สราวุธ สังขแ์ ก้ว บวกกบั
ประสบการณภ์ าคสนามอนั ยาวนานของตวั ผมเองเป็นหลกั
คำว่า Dendrocalamus มาจาก “dendro” ในภาษากรีกซึ่งแปลว่า ต้นไม้ และ
“calamus” หรือ “kalamos” คือพืชจำพวกหวาย ดังนั้น Dendrocalamus จึงหมายถึง
พืชจำพวกหวายหรือไผ่ท่ีขึน้ อยู่เปน็ กอ ลำ (ต้น)
มีปลอ้ งและขอ้ มขี นาดสงู ใหญ่คล้ายตน้ ไม้
คำว่า “ไม้ไผ่ลำใหญ่” นั้น มีชื่อเรียก
แตกต่างกนั ไปทั้งในภาษาไทยและภาษาองั กฤษ
โดยต่างกต็ ้องการจะสือ่ หรือสร้างภาพให้เหน็ ถงึ
ขนาดอันใหญ่โตของลำ เช่น giant bamboo
หรือไผ่ยักษ์ และ timber bamboo หรอื ไผ่ซุง
เป็นต้น
Timber bamboo ในอีกความหมาย
หนึ่งเป็นชื่อสามัญหรือชื่อพฤกษศาสตร์ของไม้
ไผล่ ำเดย่ี ว (monopodial bamboo) ชนดิ หนงึ่
ซึ่งมีชือ่ วิทยาศาสตรว์ ่า Phyllostachys bambusoides มีขนาดความโตและความสงู ของลำ
ใกล้เคียงกับไผ่รวกดำทางภาคเหนือของประเทศไทย เข้าใจว่าในประเทศไทยน่าจะมีไผ่ชนิด
น้ีอย่ทู ส่ี ถานเี กษตรหลางอ่างขาง จงั หวดั เชยี งใหม่ เพยี งแห่งเดียวเท่านัน้ โดยมูลนิธิโครงการ
หลวงไดน้ ำจากไตห้ วนั เขา้ มาทดลองปลูกครงั้ แรกในปี พ.ศ. 2529
422 รวมเรอื่ งสวนป่า
ผมขอใหน้ ิยามของ ไมไ้ ผ่ลำใหญ่ หรือไผย่ กั ษ์ หรอื ไผซ่ ุง ทก่ี ำลงั กล่าวถงึ นีว้ า่ หมายถึง
ไผ่ที่มีลำขนาดสูงใหญ่ เนื้อไม้หนา โดยต้องมีความสูงไม่น้อยกว่า 15 เมตร มีเส้นผ่าน
ศูนย์กลางเพียงอกของลำไม่นอ้ ยกว่า 12 เซนติเมตร และความหนาของเนื้อไม้ช่วงกลางลำ
ไม่น้อยกวา่ 1.0 เซนตเิ มตร
จ า ก ข ้ อก ำ หน ด ด ั งก ล ่ า ว ผนว กกั บ
ผลงานวิจัยเรื่องอนุกรมวิธานวิทยาของไม้ไผ่สกลุ
ไผ่ตงของ ดร. สราวุธ สังข์แก้ว ทำให้กล่าวได้ว่า
ไม้ไผ่ลำใหญ่ในประเทศไทยมีอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น 7
ชนิด อันได้แก่ ไผต่ งหมอ้ ไผ่บงใหญ่ ไผม่ ันหมู ไผ่
ยักษ์ ไผ่หก ไผ่หวานอ่างขาง และไผ่จีน ดัง
รายละเอยี ดในตารางทีไ่ ด้นำเสนอไว้ขา้ งล่างนี้
รายชือ่ ไม้ไผ่ลำใหญใ่ นประเทศไทยพร้อมกับขนาดและลักษณะบางประการของลำ
ลกั ษณะของลำ
ที่ ช่ือ ชือ่ วิทยาศาสตร์ ความสงู เสน้ ผา่ น ความยาว ความหนา
พน้ื เมอื ง (ม.) ศนู ยก์ ลาง ของปล้อง (ซม.)
(ซม.) (ซม.)
1 ไผ่ตงหม้อ Dendrocalamus asper 20-30 15-20 30-60 1.0-2.0
2 ไผบ่ งใหญ่ Dendrocalamus brandisii 15-30 10-20 30-60 1.0-2.0
3 ไผม่ ันหมู Dendrocalamus copelandii 15-30 10-20 25-45 1.0-1.5
4 ไผย่ กั ษ์ Dendrocalamus giganteus 20-40 20-30 30-45 1.0-1.5
5 ไผ่หก Dendrocalamus hamiltonii 15-25 10-20 30-70 1.5-3.0
6 ไผ่หวาน Dendrocalamus latiflorus 15-25 10-20 20-60 1.0-1.5
อ่างขาง
7 ไผจ่ นี Dendrocalamus sinicus 20-30 10-30 15-40 1.0-2.0
ไมไ้ ผ่ลำใหญท่ ง้ั เจ็ดชนิดดงั รายชื่อในตารางขา้ งบนน้ี หนอ่ สดมรี สชาตหิ วาน เหมาะแก่
การนำไปประกอบอาหาร แต่ละหนอ่ มีขนาดใหญ่ หนกั หลายกิโลกรมั จงึ อาจจะมขี ้อจำกัดใน
การปลูกเพื่อผลิตหน่อจำหน่ายอยู่บ้าง เพราะหน่อใหญ่เกินกว่าการบริโภคภายในครัวเรือน
อย่างไรก็ตาม ประโยชน์ท่ีเด่นชัดประการหนึ่งของไม้ไผ่เหล่านี้กค็ ือ การใช้ลำในการก่อสร้าง
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 423
โดยเฉพาะอย่างยิ่งใช้ทำเสาบ้าน บังกะโล ใช้ทำเครื่องเรือนประเภทโซฟา และเตียงนอน
ขนาดใหญ่ ซึ่งเฟอร์นิเจอร์ไม้ไผ่ชั้นดี ฝีมือมาตรฐานสากล ราคาแต่ละชิ้นไม่ด้อยไปกว่า
เฟอรน์ ิเจอรไ์ มส้ กั เลย
ส่วนจะเรียกชื่อสามัญว่า giant bamboo หรือ timber bamboo ไผ่ยักษ์หรือ
ไผ่ซุงก็แล้วแต่ แต่ในทางวิชาการป่าไม้จะต้องมีชื่อวิทยาศาสตร์กำกับไว้ด้วยเสมอ เพ่ือ
ป้องกนั ความสับสนของชนดิ พันธุ์ ว่าไผช่ นิดไหน ของใคร ใหญ่ เลก็ หรือราคาต้นกล้าถูก
แพงกวา่ กัน ตามทป่ี รากฏอยตู่ ามส่อื สง่ิ พิมพ์ต่าง ๆ เปน็ ประจำ
เห็นจะต้องยอมรับความจริงอย่างหนึ่งว่าในช่วงเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมานี้ คนไทย
ทั้งทเี่ ปน็ เกษตรกรรายเล็ก รายใหญ่ ผปู้ ระสงคจ์ ะเป็นเกษตรกร และ “เกษตรกรวันหยุด/สุด
สัปดาห์” ต่างก็ให้ความสนใจกับการปลูกต้นไม้ป่าหรือปลูกสร้างสวนป่ากันเป็นจำนวนมาก
จะเพื่อปลูกป่าเป็นอาชีพ เป็นแหล่งรายได้หลัก แหล่งรายได้เสริม เพื่อเป็นมรดกไว้ให้
ลูกหลาน หรือจะปลูกเพื่อสรา้ งมูลค่าเพิ่มให้แก่ที่ดิน รวมทั้งเพ่ิมพื้นที่สเี ขียวให้แก่แผน่ ดนิ ก็
แล้วแต่เหตุผลของแต่ละบุคคลซึ่งย่อมแตกต่างกันไปตามความเลื่อมใสศรัทธาในข้อมูลที่
ได้รับและความคาดหวังในผลประโยชนอ์ นั พึงจะได้รับภายในกรอบเวลาท่กี ำหนดให้
แต่เท่าทสี่ งั เกตดู รสู้ กึ ว่าผคู้ ิดจะปลูกป่าแทบทุกรายมกั จะให้ความสำคญั กบั ผลตอบแทน
ในทางตรงหรือมูลค่าที่เป็นตัวเงิน อันพึงจะได้รับในระยะเวลาอันสัน้ เป็นสำคัญ นั่นคือ ปลูกไม้
อะไรก็ได้ที่ให้กำไรมากและเร็วเหมือนมวลน้ำป่าที่มีจำนวนมหาศาลไหลแรงในช่วงเวลาสั้น ๆ
โดยแทบจะไม่ได้มองถึงความยั่งยืนของรายได้อันเป็นเสมือนหนึ่งน้ำบ่อทรายที่ค่อย ๆ ซึม
ออกมาแต่มคี วามยงั่ ยืนยาวนานกันเลย
จากความตอ้ งการชนดิ ไม้ของผู้ปลกู ปา่ ดังกลา่ วจึงก่อให้เกิดธุรกจิ การจำหน่ายกล้าไม้ป่า
นานาชนิดแตกต่างกันไปตามยุคสมัย แต่ที่เหมือนกันอย่างหนึ่งของกล้าไม้ในกระแสที่หยิบ
ยกขนึ้ มาต่างกบ็ ง่ บอกไปในทิศทางเดยี วกันว่า ปลูกแล้วรวย ... เรว็ ไมว่ ่าจะเปน็ ไม้สักทองที่
ฮือฮามากเมื่อเกือบยี่สิบปีที่ผ่านมา หรือไม้ตะกูที่เพิ่งผ่านพ้นไปเมื่อไม่นานมานี้ ต่างก็ได้
พสิ จู นใ์ หเ้ ห็นแลว้ ว่า ปลกู แลว้ รวยจรงิ แตใ่ ครรวย ? ผปู้ ลกู หรือผขู้ ายกล้าไม้ ? นนั่ คือ หน่งึ
ในหลาย ๆ สาเหตุที่ทำให้ประชาชนผู้ต้องการปลูกป่ารู้สึกท้อแท้ เหนื่อยหน่าย และค่อย ๆ
ถอยห่างออกไปจากวงการปลกู สร้างสวนปา่ มากขน้ึ ทกุ ที
ในแวดวงไม้ไผ่ก็เช่นกัน มักจะมีข้อมูลใหม่ผ่านสื่อออกสู่มวลชนอยู่เป็นประจำ บ้างก็
ว่าไผ่ชนิดนี้ปลูกง่าย ให้หน่อดกตลอดปี บ้างก็ว่าไผ่ชนิดนี้หน่อใหญ่ หนักหลายกิโลกรัม
424 รวมเร่ืองสวนป่า
ลำใหญ่เท่าเด็กอายุเจ็ดขวบ ที่ร้ายกว่านั้นก็คือ เมื่อมีผู้สนใจจะซื้อกล้า (ซึ่งมักจะมีราคา
ค่อนข้างแพง) ถามวา่ ไมไ้ ผล่ ำขนาดยักษ์นอ้ ง ๆ ท่อนซุงลำนอี้ ายกุ ่ปี ี คนขายกล้าก็จะบอกว่า
อายเุ พียงสองปเี ท่าน้นั เอง ทำให้ลกู คา้ กล้าไผจ่ ินตนาการดว้ ยความไมร่ ู้ไปเองว่า อายสุ องปีโต
ขนาดนี้ แล้วถ้าอายุมากกว่านี้มันจะใหญ่โตมโหฬารขนาดไหน พร้อมกับสรุปก่อนตัดสินใจ
จา่ ยเงินคา่ ต้นกลา้ ว่าราคาแค่น้ีถกู มาก ๆ
เพือ่ ความยง่ั ยนื ของการปลูกสร้างสวนไผ่ ผปู้ ระกอบธุรกจิ การค้ากล้าไผ่ต้องให้ความรู้
ทั่ว ๆ ไปเกี่ยวกับไม้ไผ่แก่ผู้ซื้อ เช่น บอกว่าไผ่เป็นพืชที่โตเร็ว แต่เติบโตเต็มที่ภายในหนึ่งปี
หลังจากนั้นจะไม่ขยายขนาดความโตและความสูงของลำออกไปได้อีกแล้ว ไผ่จะตายเมื่อออก
ดอก ออกขุย หรือให้เมล็ด รวมทั้งข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการจัดการสวนไผ่เพื่อจะได้ผลตอบแทน
ในทางตรงทง้ั จากหน่อและลำสงู ท่ีสดุ แตบ่ นพนื้ ฐานของความยั่งยนื แบบนำ้ บอ่ ทราย ไมใ่ ช่นำ้
หลากดังกล่าวแล้ว ที่สำคัญคอื ไม่ควรจะต้ังชื่อไม้ไผ่ที่ต้องการขายกล้าราคาแพงข้ึนมาเอง
ให้หวือหวาเพื่อดงึ ดูดใจลูกคา้
หากจะตั้งชื่อไผ่ของตนขึ้นมาใหม่ ก็ต้องศึกษาหาข้อมูลด้านอนุกรมวธิ านวิทยาให้แน่
ชัดเสียก่อนว่า ไผ่ชนิดนี้คนอื่นหรือท้องที่อื่นเขาเรียกว่าไผ่อะไร มีชื่อพฤกษศาสตร์และช่ือ
วิทยาศาสตร์ว่าอย่างไร เพราะแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าไผ่ทีต่ ัวเองว่าใหม่นั้นจะเป็นไผช่ นิด
ใหมจ่ รงิ ๆ
สำหรับข้อมูลพื้นฐานเกีย่ วกับไม้ไผ่ลำใหญท่ ี่ได้ให้ไว้ในตารางข้างตน้ ทั้งเจ็ดชนดิ น้ัน มี
ดงั ต่อไปน้ี
ไผ่ตง ไม่ใช่เป็นไผ่พื้นเมืองของไทย แต่จะ
มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติอยู่ที่ใดนั้นยังไม่ชัดเจน
บ้างก็ว่าอยู่ในอินโดนีเซีย บ้างก็กล่าวว่ามีการ
กระจายพันธุ์ตามธรรมชาติอยู่ในป่าทางตอน
เหนือของมาเลเซยี ใกลก้ บั คาเมรอนไฮแลนด์ บาง
กระแสก็ระบุว่าไผ่ตงทีป่ ลูกกันอยา่ งแพร่หลายใน
ประเทศไทยนั้นได้มีผู้นำจากทางตอนใต้ของ
ประเทศจีนในราวปี พ.ศ. 2447 เข้ามาปลูกที่
ปราจีนบุรีเมื่อ 108 ปีที่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ไผ่
ตงที่ปลูกเพื่อบริโภคหน่อในประเทศไทยนั้นส่วน
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 425
ใหญ่เป็นสายพันธ์ุไผ่ตงเขียวและไผ่ตงหนู ซึ่งให้หน่อมากแต่หน่อมีขนาดเล็ก สายพันธุ์ที่มี
ขนาดของหนอ่ และลำใหญ่ขึน้ มาอีกเล็กน้อยนัน้ เป็นไผ่ตงดำ มีการปลูกกนั ไม่มากนัก แต่ทั้ง
สามสายพันธน์ุ น้ั ไม่จดั วา่ เป็นไผ่ลำใหญต่ ามขอ้ กำหนดขา้ งต้น
ไผ่ตงที่จัดว่าเป็นไผ่ลำใหญ่ต้องเป็น “ไผ่ตงหม้อ” ซึ่งลำมีขนาดสูงใหญ่ ส่วนใหญ่อยู่
ทางภาคใต้ของประเทศไทย ให้หน่อน้อย แต่หน่อมีขนาดใหญ่มาก การขยายพันธุ์ทำได้ยาก
กว่าไผ่ตงเขียว เพราะกิ่งส่วนใหญ่อยู่ในส่วนบน ๆ ของลำที่สูงมาก ทำให้ยากต่อการแยกกิ่ง
จากลำออ่ นมาปกั ชำ จงึ นิยมขยายพนั ธุไ์ ผ่ตงหม้อด้วยการแยกเหง้า แตก่ ็ทำได้ยากอีกเช่นกัน
เพราะเหง้าซึ่งเป็นส่วนล่างสุดของลำต้นนั้นมีขนาดใหญ่ เนื้อหนา ขุดยาก และมีน้ำหนักมาก
ด้วยเหตุนี้เอง กล้าไผ่ตงหม้อจึงมีราคาแพง ไม่ใช่แพงเพราะสรรพคุณตามกระแสการโฆษณา
เหมอื นกลา้ ไผบ่ างชนดิ
ไผ่บงใหญ่ มีขนาดและลักษณะของลำ
ทั้งความโต ความสูง ความยาวของปล้อง และ
ความหนาของเนอ้ื ไม้ (ซึ่งปกติจะวดั ตรงก่ึงกลาง
ความยาวของลำ) ใกล้เคยี งกบั ไผต่ งหม้อ ต่างกนั
เพียงไผ่ตงหม้อเป็นไผ่ต่างถิ่น ในขณะท่ีไผ่บง
ใหญ่เป็นไผพ่ ้ืนเมืองของไทยบางคนจึงเรยี กไผ่บง
ใหญ่ว่า “ไผ่ตงป่า” พบมากในหลาย ๆ จังหวัด
ทางภาคเหนือของประเทศ รวมทั้งในพื้นที่สูง
ของเชียงใหม่ เชียงราย ตาก แม่ฮ่องสอน น่าน
เพชรบูรณ์ ฯลฯ และบางจังหวัดในภาคกลาง
เช่น พิษณุโลก กาญจนบุรี ราชบรุ ี และเพชรบุรี
ไผ่มันหมู จัดว่าเป็นไผ่ยักษ์ชนิดใหม่ของประเทศไทยซึ่งค้นพบและนำเสนอ โดย
ดร. สราวุธ สังข์แก้ว เมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง บางแห่งเรียกว่าไผ่หกน้ำ มีขนาดความโตและความ
สูงใกลเ้ คียงกบั ไผบ่ งใหญ่ แตป่ ลอ้ งอาจจะส้ันกวา่ และความหนาของเน้ือไม้อาจจะบางกว่าไผ่
บงใหญเ่ ลก็ น้อย รวมท้ังการกระจายพันธ์ุตามธรรมชาติกไ็ ม่กินบริเวณกว้างเหมือนไผ่บงใหญ่
เพราะไผ่มันหมูมักจะขึ้นอยู่ในป่าธรรมชาติ ซึ่งเป็นภูเขาหินปูนในท้องที่อำเภอปาย อำเภอ
ปางมะผา้ และอำเภอเมอื ง จังหวัดแมฮ่ ่องสอน อำเภอท่าสองยาง อำเภอแมส่ อด จังหวัดตาก
และบางส่วนของอำเภอทองผาภมู ิ และอำเภอไทรโยค จงั หวดั กาญจนบรุ ี
426 รวมเร่อื งสวนป่า
ไผ่ยักษ์ มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า Giant bamboo ส่วนชื่อพื้นเมืองในภาษาไทย
บางแห่งเรียกว่าไผ่เป๊าะหรือไผ่โปก เป็นไผ่ที่มีขนาดสูงใหญ่สมชื่อ ในพื้นที่ดินดีที่มีความอุดม
สมบูรณ์ และความชุ่มชื้นสูง อาจจะได้เห็นลำไม้ไผ่ยักษ์ที่สูงถึง 40 เมตร และมีเส้นผ่าน
ศนู ยก์ ลางเพยี งอกถึง 30 เซนติเมตรก็ได้ ไผย่ กั ษก์ ม็ ีความสับสนเกี่ยวกับถน่ิ กำเนดิ ตามธรรมชาติ
เช่นเดียวกับไผ่ตง บา้ งกว็ า่ เปน็ ไผต่ ่างถิน่ สำหรบั ประเทศไทยโดยขึน้ อย่ตู ามธรรมชาติในประเทศ
พม่า รวมทั้งทางตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดีย และทางตอนใต้ของจีน ส่วนที่พบเห็นอยู่ใน
ประเทศไทยนั้นเป็นเพราะมีผู้นำเขา้ มาปลูก แตอ่ ีกกระแสหนง่ึ ก็ยืนยนั ว่ามีกลุ่มไม้ไผ่ยักษ์ขึ้นอยู่
ตามธรรมชาติในระดับความสูง 800 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลในเขตอุทยานแห่งชาติลานสาง
จังหวดั ตาก
ไผ่หก บางแห่งเรียกว่าไผ่นวลใหญ่
เพราะลำมีขนาดใหญ่ ลำอ่อนผิวสีขาวนวลปน
เทา ลำมขี นาดเล็กกวา่ ไผ่ยักษ์ แตป่ ล้องค่อนข้าง
ยาว บางปล้องอาจจะยาวถึง 90 เซนติเมตร ก็
ได้ ลักษณะเด่นอีกประการหนึ่งของลำไม้ไผ่หก
ก็คอื เนื้อไม้หนามาก พบมากในท้องทอ่ี ำเภอฝาง
จังหวัดเชียงใหม่ และอำเภอเวียงแก่น จังหวัด
เชียงราย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามบริเวณหุบเขา
ริมลำห้วยในพื้นที่สูงซึ่งดินและบรรยากาศมี
ความชมุ่ ช้นื สงู
ไผ่หวานอ่างขาง เป็นไผ่ที่มีถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน
แต่มีการปลูกในเชิงพาณิชย์เพื่อบริโภคหน่อกันอย่างแพร่หลายในไต้หวัน เพราะหน่อมี
รสชาติหวาน แต่ต้องเป็นหน่อใต้ดินหรือโผล่พ้นดินขึ้นมาเล็กน้อย มูลนิธิโครงการหลวงได้
นำเข้ามาปลกู ที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง จงั หวัดเชยี งใหม่ ครง้ั แรกในปี พ.ศ. 2529 กอ่ นจะ
ขยายพนั ธ์ไุ ปยงั พ้นื ท่สี งู ตา่ ง ๆ จงึ เรียกว่าไผห่ วานอา่ งขาง แทนชื่อเดมิ ในภาษาจีนคือไผ่หมาจู๋
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2546 ผมได้นำไปทดลองปลกู ท่ีสถานีวิจยั และฝกึ อบรมวนเกษตรตราด ใน
ท้องที่อำเภอเมือง จังหวัดตราด ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลเพียง 20 เมตร ก็ปรากฏว่า
เจริญเติบโตดีไม่ด้อยไปกว่าที่ดอยอ่างขาง ลักษณะเด่นประการหนึ่งของไผ่ชนิดนี้คือใบมี
ขนาดใหญ่ และลำตรง ผวิ เรยี บเนยี น สีเขียวสด ดสู ะอาดตา
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 427
ไผ่จีน หรือที่เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าไผ่โปก เข้าใจว่าเป็นไผ่ต่างถิ่นที่กระจายพันธุ์ตาม
ธรรมชาติอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีนแถวมณฑลยูนนาน ลำมีขนาดสูงใหญ่ แต่ปล้อง
คอ่ นขา้ งส้ันและเนือ้ ไม้ไมห่ นามากนัก เจริญเตบิ โตไดด้ ีบนพืน้ ท่สี ูงทางภาคเหนอื ของไทย ผู้ท่ี
เคยไปบ้านวัดจันทร์ อำเภอกัลยาณิวัฒนา จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งมีกลุ่มไม้สนเขาที่ใหญ่และ
สวยงามทสี่ ดุ แหง่ หนึ่งของประเทศไทย จะสงั เกตเหน็ ไมไ้ ผ่กอใหญ่มาก ๆ บางกออาจจะมีเส้น
ผ่านศูนย์กลางของกอร่วมสิบเมตรก็ได้ ลำสูงเด่นเบียดกันแน่น นั่นคือไม้ไผ่จีนหรือบางคน
มกั จะเรยี กวา่ ไผห่ กวดั จนั ทร์
นอกจากไผท่ ง้ั เจ็ดชนิดดังกล่าวแล้ว ไผ่ซางนวล (Dendrocalamus membranaceus)
และไผ่บีชี (Bambusa beecheyana) ก็พอจะจัดว่าเป็นไผ่ลำใหญ่ขนาดย่อม ๆ ได้เหมือนกัน
หากขึ้นอยใู่ นสภาพแวดล้อมท่เี หมาะสม
ไผ่ซางนวล บา้ งกเ็ รียกวา่ ไผซ่ าง ไผซ่ างหม่น หรือ
ไผ่นวล ตามลักษณะขาว-หม่น-นวลของลำอ่อน เป็นไผ่ที่
พบในป่าผสมผลัดใบทั่วประเทศ ยกเว้น ภาคใต้ซึ่งไม่มปี ่า
ผสมผลัดใบจึงไม่มีไม้ไผ่ชนิดนี้ขึ้นอยู่ตามธรรมชาติ ปกติ
ลำจะมีความสูง 15–23 เมตร มีเส้นผ่านศูนย์กลางเพียง
อกประมาณ 10 เซนติเมตร แต่หากดินมีความอุดม
สมบูรณ์และความชุ่มชื้นสูงก็อาจจะพบไผ่ซางนวลที่ลำมี
ขนาดเสน้ ผ่านศนู ยก์ ลางโตถงึ 18 เซนตเิ มตรกไ็ ด้ ดงั นนั้ จงึ
มีผนู้ ำไม้ไผซ่ างนวลไปสร้าง Bamboo cabin แทน Log cabin ท่มี กั จะสร้างดว้ ยไม้สกั ขนาด
เล็ก ซ่งึ ไดจ้ ากการตัดขยายระยะกันในบางทอ้ งท่ี
ไผ่บีชี หรือไผ่บีเช หรือที่รู้จักกันแพร่หลายใน
ชื่อของ “ไผ่กิมซุง” ในวันนี้นั้น มูลนิธิโครงการหลวง
ได้นำท่อนพันธุ์จากไต้หวันเข้ามาปลูกที่สถานีเกษตร
หลวงอา่ งขาง ตั้งแตป่ ี พ.ศ. 2529 โดยผสู้ นใจประสงค์
จะดูกอดั้งเดิมก็สามารถไปดูได้ที่สถานีเกษตรหลวง
อ่างขาง (คุณขจร สุริยะ โทร : 089-951-4245)
จังหวัดเชียงใหม่ ไผ่ชนิดนี้ทนน้ำท่วมและทนแล้งได้ดี
มาก บางคนจงึ เรียกวา่ ไผต่ งลืมแล้ง แต่โดยข้อเท็จจริง
428 รวมเร่อื งสวนป่า
แล้วเป็นไผ่สกุลไผ่ป่า (Bambusa) ไม่ใช่สกุลไผ่ตง (Dendrocalamus) เหมือนไผ่ลำใหญ่ท่ี
กล่าวมาแลว้ ทั้งหมด จุดเด่นของไผ่บีชีคือให้หน่อดกมาก หน่อมีรสชาตหิ วานพอสมควร ลำสี
เขียวสด มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 8-13 เซนติเมตร เนื้อหนาแต่มักจะคดงอตรงข้อชว่ ง
ล่าง ๆ ของลำ จงึ อาจจะมขี อ้ จำกดั ในการใชป้ ระโยชนล์ ำอยู่บ้าง หากตอ้ งการความตรงเปลา
ไม่คดงอ
เป็นที่น่าสังเกตว่าไม้ไผ่ลำใหญ่ที่กล่าวมาแล้วแทบทุกชนิดมักจะมีถิ่นกำเนิดตาม
ธรรมชาติและเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่สูงทางภาคเหนือหรือภาคตะวักตกเฉียงเหนือของ
ประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก และเชียงใหม่ ยกเว้นไผ่
ตงหม้อท่ขี น้ึ ได้ดีในภาคใต้ซ่งึ ดินดี มฝี นตกชกุ ดงั นนั้ ผทู้ ี่สนใจจะปลูกไผ่ลำใหญ่ชนิดใดก็ต้อง
พิจารณาสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูกของตนเป็นหลักให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของ
การกระจายพันธุ์ตามธรรมชาติของไผ่ชนิดนั้น ๆ และควรพิจารณาหาซื้อกล้าไผ่จากผู้ผลิต
กล้าในท้องถน่ิ เปน็ หลกั
ส่วนผู้ผลิตกล้าไผ่จำหน่ายก็ต้องให้ข้อมูลที่ถูกต้อง เป็นจริง ทั้งในเรื่องของ ชื่อท่ี
ถูกต้อง ชนิดพันธุ์ พื้นที่ปลูก ธรรมชาติ และการใช้ประโยชนไ์ ม้ไผ่แก่ลูกค้า เพื่อผูป้ ลกู ไผ่
จะไดไ้ มผ่ ดิ หวังเหมือนกบั การปลูกไม้ในกระแสทเ่ี คยประสบกนั มามากแลว้ ในอดตี
73 การศึกษาวจิ ัย
การปลูกไมป้ ่าเศรษฐกิจ
ในทีด่ นิ เหมอื งแร่รา้ ง
การฝึกภาคสนามเป็นกิจกรรมการเรียนการสอนภาคบังคับของคณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งนิสิตทุกคน ทุกชั้นปีจะต้องออกฝึกงานหรือที่เรียกกันว่า
“ออกป่า” ในช่วงการปิดภาคฤดูร้อนเป็นเวลาประมาณ 2 เดือนทุกปีตลอดหลักสูตร
การศึกษา สถานที่ฝึกหลัก ได้แก่ สถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์ของคณะฯ ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 5 แห่ง
อันได้แก่ (1) สถานีวิจัยลุ่มน้ำห้วยคอกม้า อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ (2) สถานีฝึกนิสติ
วนศาสตร์ห้วยทาก อำเภองาว จังหวัดลำปาง (3) สถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์วังน้ำเขียว
อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา (4) สถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์หาดวนกร อำเภอ
ทับสะแก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ และ (5) สถานีวิจัยวนศาสตร์พังงา อำเภอตะกั่วป่า
จังหวัดพังงา โดยนิสิตแต่ละชั้นปี แต่ละสาขาวิชาเอกจะต้องหมุนเวียนกันไปตามสถานีฝึก
ต่าง ๆ ซึ่งกระจายอยู่ในแทบทุกภาคของประเทศท่ีมสี ภาพป่าแตกต่างกันไป เช่น ภาคเหนือ
เป็นป่าเบญจพรรณผลัดใบและป่าดิบเขา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นป่าเต็งรัง ในขณะที่
ภาคใต้ส่วนใหญเ่ ป็นป่าดิบช้ืนและป่าชายเลน
นอกจากนรี้ ูปแบบการใชป้ ระโยชน์ทีด่ นิ ภาคปา่ ไมก้ ็แตกต่างกันไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในส่วนที่เกี่ยวกับการปลูกสร้างสวนป่า ซึ่งนอกจากจะขึ้นอยู่กับความต้องการของ
ผู้ปลูกแล้ว ชนิดไม้ที่ปลูกยังผันแปรไปตามสภาพแวดล้อมทั้งทางภูมิประเทศและภูมิอากาศ
ของแต่ละภูมิภาคอีกด้วย เช่น การปลูกไม้สักในภาคเหนือ การปลูกไม้ยูคาลิปตัสในภาค
ตะวันออกและภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ และการปลูกไม้กระถินเทพาในภาคใต้ เป็นต้น ทำ
ให้นิสิตวนศาสตรท์ ่ีจะออกไปฝึกภาคฤดูร้อนทีเ่ กีย่ วกับการปลูกสรา้ งสวนป่าได้มีโอกาสไปใช้
บรกิ ารการปลูกสร้างสวนป่าของหน่วยงานภายนอก เช่น กรมป่าไม้ องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้
รวมทงั้ สวนปา่ ของภาคเอกชนท้งั รายย่อยและรายใหญ่ในจงั หวดั ตา่ ง ๆ
พมิ พค์ ร้งั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 13 (143) : 33–35 (พ.ศ. 2556)
430 รวมเร่ืองสวนป่า
ในการปลูกสรา้ งสวนป่าเชงิ พาณิชยน์ นั้ สงิ่ ทผ่ี ู้ปลกู คาดหวงั มากทส่ี ดุ คือได้ไมท้ ่ีต้องการ
ภายในระยะเวลาอนั ส้ัน นั่นคือ ต้องการให้ต้นไมท้ ่ีปลูกมอี ัตราการเติบโตทีร่ วดเร็วเพือ่ จะได้
กำไรสุทธสิ ูง ดังนน้ั จงึ จำเป็นตอ้ งคัดเลือกชนิดไม้ปลกู ให้สอดรบั กบั พ้นื ท่ี หรอื เลอื กพื้นทปี่ ลกู
ใหส้ อดคล้องกับความต้องการขั้นพ้ืนฐานของชนดิ ไม้ทีต่ อ้ งการปลูก ท่สี ำคญั ที่สุดปจั จัยหน่งึ ก็
คือคุณสมบัติของดิน เช่น ถ้าต้องการปลูกไม้สักให้สัมฤทธิ์ผล ดินจะต้องลึก เนื้อดินเหนียว
ร่วนปนทราย มกี ารระบายน้ำดี สลายตัวมาจากวตั ถตุ น้ กำเนดิ ทีเ่ ปน็ หนิ ปูน ไมม่ ฤี ทธเ์ิ ปน็ กรดจัด
และมีความอุดมสมบูรณ์สูง ซึ่งในอดีตอาจจะเลือกหาพื้นท่ีดินที่เหมาะสมดงั กลา่ วได้ง่าย แต่
ในปัจจุบันพื้นที่ที่พอจะรองรับการปลกู ไม้เศรษฐกิจได้บ้างมีแต่พื้นที่ที่ถูกทิ้งร้างให้ว่างเปล่า
ใชป้ ลูกพชื ผลทางการเกษตรไดผ้ ลไม่คุม้ ทุน เปน็ พ้นื ท่ดี ินทมี่ ีปญั หา ไม่เป็นดินเปรี้ยวจัดก็เค็ม
จัด หรือไม่ก็เปน็ ดินทรายจดั อันเนือ่ งมาจากการใช้ประโยชน์ที่ดินในอดีต เช่น ที่ดินภายหลงั
การทำเหมืองแร่หรอื ทมี่ กั จะเรยี กกนั ว่าที่ดนิ เหมืองแร่รา้ ง เป็นต้น
ในระหวา่ งวันที่ 25 เมษายน ถงึ 16 พฤษภาคม 2556 น้ี ภาควิชาวนวฒั นวิทยา คณะ
วนศาสตร์ ได้นำนิสิตชั้นปีที่ 4 จำนวน 47 คน ไปฝึกภาคฤดูร้อนวิชาเทคโนโลยีวนวัฒน์
ภาคสนามที่สถานีวิจัยวนศาสตร์พังงา โดยมีผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. กอบศักดิ์ วันธงไชย
(โทร : 085-837-0779) เป็นหวั หนา้ คณะ ผมไดร้ ับเชิญใหไ้ ปเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษเร่ือง
“เลา่ เร่อื งเหมืองแร่ร้าง : สถานีวจิ ัยวนศาสตร์พังงา”
สถานีวิจัยวนศาสตร์พังงา พัฒนาขึ้นมาจากสถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์บางม่วง ซึ่งอยู่
ห่างจากบ้านน้ำเค็ม ตำบลบางม่วง อำเภอตะกั่วป่า ที่ได้รับความเสียหายทั้งชีวิตและ
ทรัพย์สินจากพิบัติภัยสึนามิ เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2547 อย่างหนัก จนเป็นที่รู้จักของคน
ไทยทั้งประเทศและชาวตา่ งชาติจำนวนไม่น้อย
สถานีวิจัยวนศาสตร์แห่งนี้ตั้งอยู่บนที่ดินเหมืองแร่ (ดีบุก) เก่าภายใต้สัมปทานของ
นายลิบ กุลวานชิ นายประยุทธ รองหงส์ทอง และนายปรีชา อดุ มทรพั ย์ มีเนอื้ ทร่ี วมท้ังสน้ิ
465 ไร่ 1 งาน 48 ตารางวา (465-1-48 ไร่) ได้มาตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรือ่ ง นำ
ที่ดินขึ้นทะเบียนเป็นของทบวงการเมือง ลงวันที่ 25 เมษายน 2520 และลงประกาศใน
ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 94 ตอนท่ี 70 ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2520
การได้มาซึ่งที่ดินเหมืองแร่ร้าง “เพื่อใช้ตั้งสถานีวิจัยและสถานีฝึกนิสิตวนศาสตร์
ประจำภาคใต้” แห่งนี้เริ่มขึ้นในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2515 จากการริเริ่มของ นายพินิจ
เจริญพานิช (ผู้ช่วยป่าไม้จังหวัดพงั งา) และนายบญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ (อาจารยป์ ระจำคณะ
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 431
วนศาสตร์) ภายใต้การสนับสนุนอย่างจริงจังและต่อเนื่องของ นายพงศ์สุระ ตันมณี (ป่าไม้
จังหวัดพังงา) นายจงรัก ปรีชานนท์ (คณบดีคณะวนศาสตร์) และนายวิรัตน์ ตันภิบาล
(นักวชิ าการกรมพัฒนาที่ดิน)
งบประมาณที่ใช้ในการพัฒนาพื้นที่และการศึกษาวิจัยในระยะเริ่มแรก (พ.ศ. 2525-
2528) นั้นไดม้ าจากสว่ นหน่ึงของเงินค่าภาคหลวงการทำเหมืองแร่ (3%) ของกรมทรัพยากร
ธรณี ภายใต้การสนบั สนุนของ ฯพณฯ นายบรม ตันเถียร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัด
พังงา และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ควบคุมดูแลกรมทรัพยากรธรณี) ซึ่ง
เสียชีวติ จากพิบัติภัยสนึ ามิที่บรเิ วณอุทยานแหง่ ชาติเขาหลกั เมอื่ เช้าวันท่ี 26 ธันวาคม 2547
เมือ่ พดู ถึงการทำ เหมืองแร่ ในประเทศ
ไทยในอดีต โดยเฉพาะทางภาคใต้นั้นมักจะละ
ไว้ในฐานที่เข้าใจร่วมกันว่า เหมืองแร่ดีบุก คำ
ว่า “ที่ดินเหมืองแร่ร้าง” ในที่นี้จึงหมายถึง
พื้นที่ที่ผ่านการทำเหมืองแร่ดีบุกมาแล้ว แล้ว
ถูกทิ้งรา้ งวา่ งเปลา่ ซึ่งอาจเรียกวา่ ที่ดินเหมือง
แร่เกา่ ก็ได้
จาก “จดหมายเหตุสภาเผยแผ่พาณิชย์” กล่าวถึง “การทำเหมืองแร่ในประเทศ
สยาม” ว่าเริ่มขึ้นในราวปี พ.ศ. 1200-1500 โดยชาวอินเดียได้เข้ามาทำแร่ดีบุกบริเวณ
รอยต่อระหว่างตะก่ัวป่ากบั สรุ าษฎร์ธานี หรือเส้นทางผา่ นอุทยานแห่งชาติเขาสกในปจั จุบนั
ซึ่งมีอนุสาวรีย์รูปปั้นพระนารายณ์ปรากฏอยู่ที่ตำบลปากเหล อำเภอกะปง จังหวัดพังงา แต่
อย่างไรก็ตาม การทำแร่ดีบุกในรูปของอุตสาหกรรมเหมืองแร่ ในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นท่ี
เกาะภูเก็ตราวปี พ.ศ. 2070 หรือเมื่อเกือบ 500 ปีมาแล้ว ภายหลังการทำเหมืองแร่ดีบุก
โดยเฉพาะ “เหมืองเรือขุด” พื้นดินส่วนใหญ่มักแปรสภาพเป็นลานทรายที่มีหญ้าคาขึ้นอยู่
หนาแน่นเตม็ ท้องทุง่ ดังนั้น คนท้องถิ่นแถวภูเก็ตและพังงาในอดีตจึงเรียกภูเก็ตว่า “ทุ่งคา”
เพราะเกาะภเู กต็ เตม็ ไปดว้ ยทุ่งหญ้าคาอันเปน็ พชื เบกิ นำภายหลังการทำเหมอื งแร่ดบี กุ น่นั เอง
สิ่งที่ได้จากการทำเหมอื งแร่นอกจากแร่ดีบุกแล้วยังมีขุมเหมืองซึ่งเป็นแหล่งน้ำขนาด
น้อยใหญ่เกิดข้ึนท่ัวไป ชุมชนในบรเิ วณเหมืองแร่เกา่ มักจะใชแ้ หลง่ น้ำจากขุมเหมืองเพื่อการ
อุปโภคบริโภค แต่ผลกระทบในทางลบจากการทำเหมืองแร่มีมากมายหลายประการ อาทิ
การสูญเสยี พืน้ ท่ีป่าไม้ ความต้นื เขินของแมน่ ำ้ ลำคลองอันเน่ืองมาจากการทับถมของตะกอน
432 รวมเร่อื งสวนป่า
เป็นผลให้เกิดปัญหาน้ำท่วมบ้านทว่ มเมืองตามมา แต่ความเสียหายที่สำคัญมากอีกประการ
หนึง่ คอื โครงสรา้ ง เน้ือดนิ และความอุดมสมบรู ณข์ องดนิ ท่เี ปล่ียนแปลงไปอย่างสนิ้ เชงิ
สภาพที่ดินภายหลังการทำเหมืองแร่ดีบุกแบ่งออกได้ 4 โซน คือ ขุมเหมือง กองหิน
ดินเลน และลานทราย โดยพื้นที่กว่าร้อยละ 80 เป็นลานทราย ซึ่งพื้นดินค่อนข้างราบแต่มี
ทรายหนาหลายเมตรครอบคลมุ พนื้ ทอ่ี ยทู่ ่วั บรเิ วณ อนั แสดงว่าทด่ี นิ ภายหลังการทำเหมอื งแร่
หรือที่ดินเหมืองแร่ร้างนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำมาก เพราะดินชั้นบนที่จะรองรับการปลูก
พืชเป็นทรายล้วน ๆ การทดแทนของสังคมพืชตามธรรมชาติจึงเป็นไปได้ช้ามาก ในช่วง 5 ปี
แรกภายหลังการทำเหมืองจะมี
เพียงหญ้าขึ้นอยู่ประปรายตาม
บริเวณที่ดินเลนชายขอบขุม
เหมืองเท่านั้น ไม้พุ่มเริ่มเข้ามา
ทดแทนตั้งแต่ปีที่ 7 เป็นต้นไป
ส่วนไม้ต้นหรือไม้ยืนต้นจะเริ่มมี
การเจริญทดแทนตามธรรมชาติ
ให้เห็นอย่างเด่นชัดตั้งแต่ปีที่ 10
เปน็ ตน้ ไป
พืน้ ท่ีท่ผี ่านการทำเหมืองแร่มาใหม่ ๆ นนั้ แทบจะใชเ้ พาะปลูกพืชเศษฐกิจทางการเกษตร
ไม่ได้เลย เพราะตอ้ งลงทุนสงู มาก จากการศกึ ษาที่จังหวดั กระบเี่ มือ่ ปี พ.ศ. 2532 พบว่า การ
ปลูกสับปะรด มะพร้าว มะม่วงหิมพานต์ ปาล์มน้ำมัน และยางพารา ต้องลงทุนสูงถึงไร่ละ
35,770 บาท ในขณะทต่ี น้ ทุนการปลกู สร้างสวนปา่ ท่ีจังหวัดระนองในปเี ดียวกันก็สูงถึงไร่ละ
29,320 บาท ดังนั้น การลงทุนเพื่อหวังผลตอบแทนในทางตรงอย่างเดียวจึงไม่คุ้มทุน สิ่งท่ี
ควรกระทำจึงมุ่งไปที่การฟื้นฟูระบบนิเวศป่าไม้ที่สญู เสยี ไปให้กลับคืนมาอย่างถาวร อันเปน็
การเพม่ิ พืน้ ที่ป่าไมห้ รือคนื ผืนป่าใหแ้ ก่แผน่ ดนิ นัน่ เอง
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จึงได้จัดตั้งสถานีวิจัยวนศาสตร์พังงาขึ้นโดยมีเป้าหมา ย
หลักเพื่อฟื้นฟู ปรับปรุง และใช้ประโยชน์ที่ดินเหมืองแร่ร้าง โดยใช้องค์ความรู้ทางวิชาการ
ป่าไม้เป็นรากฐาน ปัจจุบันมี ดร.เจษฎา วงศ์พรหม (โทร : 085-151-8798) เป็นหัวหน้า
สถานี ซึ่งกิจกรรมหลักนอกจากจะทำการศึกษาวิจัยในสายงานที่เกี่ยวข้องแล้ว ยังใช้เป็น
สถานทฝ่ี กึ งานภาคฤดรู ้อนของนสิ ติ อีกด้วย
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 433
ในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาสถานีฯ มีผลงาน
วิจยั ออกสสู่ าธารณชนมากมาย แต่ส่วนใหญอ่ ยู่ใน
รูปของวิทยานพิ นธแ์ ละเอกสารทางวิชาการ อาทิ
สมบัติของดินภายหลังการทำเหมืองแร่ดีบุก การ
ทดแทนของสังคมพืชและผลผลิตมวลชีวภาพใน
ที่ดินเหมืองแร่ร้าง ผลผลิตมวลชีวภาพกับสมบัติ
ของดินเหมืองแร่ร้าง ปริมาณโลหะหนักในน้ำขุม
เหมืองอายุต่าง ๆ กัน การทดสอบชนดิ ไม้ในทีด่ ิน
เหมืองแร่ร้าง การทดสอบถิ่นกำเนิดของไม้สน
ทะเลบนที่ดินภายหลังการทำเหมืองแร่ ระบบ
วนเกษตรและพชื อาหารสัตวใ์ นท่ดี นิ เหมอื งแร่เกา่ ฯลฯ
สำหรับงานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ที่เกี่ยวกับการปลูกสร้างสวนป่าก็มี
หลายโครงการ อาทิ การเติบโตและลักษณะทางสรีรวิทยาบางประการของไม้กระถินณรงค์
ลูกผสมที่ปลูกในพื้นที่เหมืองแร่ร้าง (ดร. สาพิศ ดิลกสัมพันธ์, โทร : 081-655-5198) การ
จดั การไม้กระถินเทพาเพื่อการฟ้ืนฟูระบบนิเวศในพ้ืนท่ีเหมืองแร่ร้าง (ดร. สมพร แม่ลิ่ม, โทร
: 085-113-2447) การปลูกไม้ท้องถิ่นกินได้ผสมผสานกับไม้กระถินเทพา (ดร. มณฑาทิพย์
โสมมีชัย, โทร : 089-685-6060) ผลของการตัดสางขยายระยะต่อการเติบโตของไม้
กระถินเทพา (ดร.เจษฎา วงศ์พรหม, โทร : 085-151-8798) การปลูกยางพาราควบไม้
กระถินเทพาในเชิงนิเวศ (ดร. สคาร ทีจันทึก, โทร : 085-952-2757) การคัดเลือกแม่ไม้
กระถินเทพาลกู ผสม (ดร. สมพร แมล่ ม่ิ , โทร : 085-113-2447) และเทคโนโลยีการปลูกเชอ้ื
เพื่อผลิตกลา้ ไม้วงศ์ยางที่มีเห็ดเผาะหนังเป็นเอคโตไมคอร์ไรซาสำหรับการปลูกสร้างสวนป่า
(ดร. อุทยั วรรณ แสงวณิช, โทร : 081-726-1867) ผลงานวิจยั ของโครงการเหล่าน้ีคงจะนำ
ลงตีพิมพ์เผยแพร่เร็ว ๆ นี้ แต่หากท่านสนใจในรายละเอียดเพิ่มเติมก็สามารถติดต่อกับ
หัวหน้าโครงการต่าง ๆ ทางโทรศัพท์ดงั หมายเลขทใ่ี หไ้ วใ้ นวงเล็บแลว้
จะเหน็ ได้วา่ ไม้เศรษฐกิจที่มศี ักยภาพสงู สำหรบั ปลกู ในท่ีดนิ เหมืองแร่ร้างนั้นส่วนใหญ่
เป็นไมใ้ นสกุลอเคเซยี (Acacia : กระถินณรงค์) โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งคอื กระถนิ เทพาซ่ึงเป็นไม้
โตเรว็ และเติบโตดใี นพ้ืนท่ที ี่มีฝนตกชุก ท่ตี ะก่ัวปา่ มีปริมาณน้ำฝนประมาณ 3,600 มิลลิเมตร
ต่อปี และมีจำนวนวันที่ฝนตกไม่น้อยกว่าปีละ 200 วัน คณะวนศาสตร์เคยประสบผลสำเร็จ
434 รวมเรอ่ื งสวนปา่
ในการปลูกไม้กระถินเทพาท่ีตะกั่วป่าในบริเวณที่ดินเลนอันเกิดจากการทำเหมืองแร่มาแลว้
เมื่อตดั ไม้กระถินเทพาออกจำหนา่ ยโดยใช้ระบบการตัดไวแ้ ม่ไม้ ปรากฏว่าเมลด็ ทร่ี ่วงหล่นลง
มามีอตั ราการงอกสงู และมหี มู่ไมร้ ุ่นสองขึน้ มาทดแทนสูงมาก
งานวิจัยที่กำลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ส่วนใหญ่จึงเป็นการจัดการหมู่ไม้ที่เจริญ
ทดแทนตามธรรมชาตใิ นรูปแบบต่าง ๆ โดยใชไ้ ม้กระถินเทพาเปน็ ไม้เบกิ นำ
นอกจากกระถินเทพาแล้วยังมี
ไม้โตเรว็ อน่ื ๆ เช่น กระถินณรงคล์ ูกผสม
กระถินคราสซิคาร์ปา กระถินเอาลาโค-
คาร์ปา และยูคาลิปตัส ส่วนไม้พื้นถิ่นท่ี
โตช้าแต่มีราคาแพงที่เหมาะสมที่สุด
ได้แกไ่ มต้ ะเคยี นทอง
อย่างไรก็ตาม แนวทางการปลูก
ไมป้ ่าเศรษฐกจิ ในที่ดนิ เหมืองแร่ร้างควร
จะใช้ไม้โตเร็วที่มีอายุการตัดฟันสั้นเป็นไม้เบิกนำ แล้วตามหรือปลูกแทรกด้วยไม้โตช้าที่มี
มลู ค่าสงู แตอ่ ายุการตดั ฟนั ยาว เช่น ตะเคียนทอง มะฮอกกานี และยางพารา ในภายหลงั
เรื่องทำนองนหี้ าก “ไม่ (ทด) ลอง (กค็ ง) ไม่ร”ู้ หรอกครับ
74 ตามชมรม มก. อาวโุ ส
ไปทอ่ งเทยี่ วเชิงนิเวศเกษตร
ในระหว่างวันที่ 12 - 14 มิถุนายน 2556 นี้ ผมได้ร่วมคณะทัศนศึกษาไปกับ “ชมรม
มก. อาวุโส” เพื่อพักผ่อนแกมท่องเที่ยวเชิงนิเวศเกษตรตามประสาผู้สูงวัย ในท้องที่จังหวัด
จันทบุรีและตราด ซึ่งเป็นแหล่งผลิตผลิตผลการเกษตรที่สำคัญของประเทศ ประกอบกับ
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นหน้าผลไม้ของภาคตะวันออก ทำให้ได้ทั้งความบันเทิงและความรู้ตาม
รูปแบบของ “ทัศนศึกษา” ที่เป็นการเดินทางท่องเที่ยวเพือ่ แสวงหาความรู้และประสบการณ์
หรอื เรยี นรูด้ ้วยการดู การเห็น เร่มิ ตง้ั แตว่ ทิ ยาเขตศรรี าชา ปา่ ชายเลน สถานวี ิจยั และฝึกอบรม
วนเกษตร สวนผลไม้ของเกษตรรายย่อย การอบไอน้ำและการแช่เยือกแข็งผลไม้เพื่อการ
ส่งออก ผมเห็นว่าหลายสิ่งหลายอย่างที่ได้ไปเห็นมามีเนื้อหาสาระที่คนในแวดวงการเกษตร
อย่างทา่ นให้ความสนใจ จึงนำมาถา่ ยทอดผา่ น “นิตยสารไม่ลองไม่ร้”ู ใหท้ ราบโดยท่วั กนั
ชมรม มก. อาวุโส ก่อตั้งขึ้นอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2532 ในสมัยที่
ศาสตราจารย์ ดร. สุธรรม อารีกุล ปรมาจารยด์ า้ นกีฏวิทยาของประเทศไทยเป็นอธกิ ารบดี
และเป็นสมาชกิ ลำดับท่ี 1 ของชมรมฯ โดยมีวัตถปุ ระสงคห์ ลกั เพอื่ เสรมิ สรา้ งความสัมพนั ธ์ใน
มวลหมสู่ มาชิกและระหวา่ งสมาชิกกับมหาวิทยาลัย และให้การสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของ
มหาวิทยาลัยเท่าที่ผู้สูงวัยจะมีส่วนร่วมได้ สมาชิกประกอบด้วยบุคลากรและศิษย์เก่าของ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป ซึ่งปัจจุบัน (พ.ศ. 2565) มีจำนวน
สมาชิกทีย่ ังมชี วี ติ อยู่รวมทั้งสิน้ ประมาณ 1,500 คน โดยสว่ นใหญ่คือร้อยละ 60 เปน็ ผ้หู ญงิ
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตรไ์ ดร้ บั การสถาปนาขึ้นเม่ือวันที่ 2 กมุ ภาพันธ์ 2486 ปจั จุบัน
มี 5 วิทยาเขต โดยบางเขนเป็นวิทยาเขตหลักและวิทยาเขตแม่ สุพรรณบุรีเป็นวิทยาเขต
น้องใหม่ล่าสุดซึ่งยังมีสถานภาพเป็นเพียงโครงการจัดตั้ง จำนวนนิสิตในปีการศึกษาที่ผ่านมา
(2555-2556) มีรวมกันทั้งสิ้น 62,154 คน แยกเป็นระดับปริญญาตรี โท เอก ในสัดส่วนร้อย
ละ 80.13, 16.95 และ 2.92 ตามลำดับ น่นั คอื ในปัจจุบนั นีม้ หาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์มีนิสิต
ปรญิ ญาเอกจำนวน 1,817 คน
พมิ พค์ รงั้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 13 (144) : 33–35; 13 (145) : 40–43 (พ.ศ. 2556)
436 รวมเร่ืองสวนปา่
สำหรับวิทยาเขตศรีราชา ซึ่งชมรม มก. อาวุโส ได้แวะเยี่ยมชมเป็นจุดแรกนั้น ตั้งอยู่
ริมถนนสุขุมวิท ในท้องที่อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งพัฒนามาจาก “โครงการจัดตั้ง
วิทยาเขตศรีราชา” ในปี พ.ศ. 2532 โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพ่ือให้บริการดา้ นการเรยี นการ
สอนในสาขาวชิ าท่ีจะรองรบั การขยายตัวทางเศรษฐกิจและการพัฒนากำลังคนในเขตภูมิภาค
ชายฝง่ั ทะเลภาคตะวันออก ปจั จบุ ันมี รองศาสตราจารย์ ชยั วัฒน์ ชัยกุล เปน็ รองอธกิ ารบดี
ประกอบด้วย 4 คณะวิชา 1 วิทยาลัย อันได้แก่ คณะวิทยาการจัดการ คณะวิทยาศาสตร์
คณะวิศวกรรมศาสตร์ คณะเศรษฐศาสตร์ และวิทยาลัยพาณิชยนาวีนานาชาติ มีนิสิตรวม
ท้ังสนิ้ 10,181 คน เปน็ นสิ ติ ระดบั ปรญิ ญาตรี 9,779 คน และระดบั ปริญญาโท 402 คน โดย
ร้อยละ 97.51 ของนสิ ิตปริญญาโทเป็นนิสิตภาคพิเศษ ซง่ึ ใหบ้ ริการการเรียนการสอนนอกเวลา
ราชการ แสดงว่านิสติ ปริญญาโทสว่ นใหญม่ งี านทำอยู่แล้ว
จากวิทยาเขตศรีราชา เดินทางต่อไปเกือบ ๆ 4 ชั่วโมง ก็ถึงสถานีพัฒนาป่าชายเลน
ท่ี 2 (ทา่ สอน จันทบรุ )ี กรมทรพั ยากรทางทะเลและชายฝั่ง ตง้ั อย่ใู นบรเิ วณปากน้ำเวฬุ (อ่าน
ว่า เว-ลุ แต่ชาวบ้านในท้องถิ่นมักเรียกวา่ เวน) ท้องที่ตำบลบ่อ อำเภอขลุง จังหวัดจันทบุรี
มเี น้อื ท่รี วมทงั้ สิน้ ประมาณ 1 แสน 5 หม่นื ไร่ ส่วนใหญ่อยใู่ นตำบลบ่อและตำบลบางชัน เดิม
เป็นป่าชายเลนที่เสื่อมโทรมอันเนื่องมาจากการทำนากุ้งที่มุ่งหวังผลตอบแทนที่เป็นตัวเงิน
มากเกินไปจนขาดจิตสำนึกการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เมื่อจัดตั้งเป็นสถานี
พฒั นาป่าชายเลนท่ี 2 ขน้ึ ในปี พ.ศ. 2546 โดยมี นายสมหมาย สรรพคณุ เปน็ หวั หนา้ สถานีฯ
คนแรก และบกุ เบิกฟ้นื ฟูพัฒนาปา่ ชายเลนแห่งนี้ตามแนวพระราชดำรัส “ปลกู ปา่ ในใจคน”
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อปี พ.ศ. 2519 ที่ว่า “เจ้าหน้าที่ป่าไม้ควรจะปลูก
ต้นไม้ลงในใจคนเสียก่อน แล้วคนเหล่านั้นก็จะพากันปลูกต้นไม้ลงบนแผ่นดิน และรักษา
ตน้ ไม้ดว้ ยตนเอง”
ตามโปรแกรม คุณสมหมายจะพาพวกเราลงแพ ชมเหยยี่ วเฉี่ยวเหย่ือ และการเพาะเล้ียง
สัตว์น้ำชายป่าชายเลนปากน้ำเวฬุ รับประทานอาหาร (เย็น) ทะเลในแพ แล้วขึ้นฝั่งขี่จักรยาน
ชมหิง่ ห้อยตอนสองทุม่ แตด่ ้วยเหตุผลทางด้านเวลาซึ่งเยน็ เกนิ ไป และฝนฟ้าอากาศไม่อำนวยใน
บางจงั หวะเวลา กิจกรรมบางอย่างจึงตกหล่นลงไปบ้าง
ช่วงสิบปีท่ีผา่ นมา (พ.ศ. 2546-2556) ป่าชายเลนท่ีทา่ สอนฟนื้ ตวั ขน้ึ มามาก ชาวบ้านให้
ความรกั และความหวงแหนเสมือนหนง่ึ เปน็ เจ้าของป่าโดยตรง เพราะตา่ งตระหนกั ร่วมกันวา่ ป่า
ชายเลนทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขึ้น ป่าคือชีวิต ชีวิตคือป่า เขามีรายได้จากกุ้ง
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 437
หอย ปู ปลา ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้น เลี้ยงปลาเก๋าและปลากะพงขาวในกระชังตามแนวชายฝ่ัง
เก็บลูกหอยนางรมจากรากต้นโกงกางแล้วนำมาเพาะเลี้ยงบนท่อนไม้ไผ่ มีรายได้จาก
นักท่องเที่ยวที่นำเงินมาจับจ่ายใช้สอย กระจายรายได้สู่ชุมชนป่าชายเลนแห่งนี้ ถ้าไม่มีป่า
ชายเลนกไ็ มม่ ีอาหารทะเลสด ๆ และไมม่ ีขนมจากซงึ่ แปง้ ทำจากฝักไมป้ ระสักแดงหรอื ประสกั
ดอกแดง (Bruguiera sexangula) ห่อด้วยใบจากแล้วปิ้งย่างสด ๆ กันในแพไว้บริการ
นกั ท่องเที่ยว รวมทง้ั ไม่มกี ารทำชาจากใบขลู่ (Pluchea indica) ของกลมุ่ แมบ่ ้าน
โชครา้ ยทีค่ ณะของเราไปถึงป่าชายเลนทา่ สอนค่อนขา้ งจะเย็นมากไปหน่อย เลยเวลา
ที่จะได้เห็นเหยี่ยวแดงออกเฉี่ยวปลาหากินแล้ว เหยี่ยวแดงเป็นนกที่มีขนาดค่อนข้างใหญ่
ความยาวจากจงอยปากถึงปลายหางประมาณ 43-51 เซนติเมตร ลำตัวสีน้ำตาลแดงหรือสี
อิฐ หัวสีขาว ชื่อวิทยาศาสตร์ คือ Haliastur indus ส่วนชื่อในภาษาอังกฤษนั้นเรียกว่า
Brahminy kite ตามลักษณะการร่อนบินเหมือนว่าว เป็นนกประจำถิ่นของป่าชายเลนท้ัง
ชายฝัง่ อ่าวไทยและฝง่ั อันดามนั รวมท้ังปากแมน่ ้ำใหญ่ ๆ แต่ไม่พบเหยีย่ วแดงตามหาดทราย
ชายทะเลหรือป่าชายหาด เพราะขาดความ
อุดมสมบูรณ์ของอาหาร คณุ สมหมายเลา่ ให้ฟัง
ว่า ในละแวกบ้านเลนตัก ซึ่งคณะของเราไป
จอดแพเพื่อเข้าห้องน้ำก่อนจะหันหัวแพ
เดินทางกลับนั้นมีประชากรของเหยี่ยวแดงอยู่
ประมาณ 1,200 ตัว บางครั้งนักท่องเที่ยว ภาพจาก : https://mgronline.com/travel/detail/9570000037114
อาจจะโชคดีได้เห็นเหยี่ยวบินลงเฉี่ยวเหยื่อ
กอ่ น 5 โมงเยน็ มากถึง 200-300 ตัว กอ่ นจะบินไปนอนบนคาคบไมใ้ หญ่
ส่วนหิ่งห้อยที่วา่ กันว่าอยู่ตามต้นลำพูนั้นก็ไม่จริงเสมอไป เพราะคุณสมหมายบอกวา่
หิ่งห้อยอยู่บนต้นไม้อะไรก็ได้ที่อยู่ใกล้น้ำ ไม่ว่าจะเป็นต้นลำพู แสม โกงกาง หรือแม้แต่ต้น
กระถินเทพา ทปี่ ลูกอยู่สองขา้ งทางขนานไปกับลำน้ำ โดยวนั ทีจ่ ะดหู ิ่งห้อยได้ดีและมีปริมาณ
มากท่ีสุดนั้นคอื คนื ข้างแรมช่วงเดอื นพฤศจิกายน ถงึ ปลายเดือนเมษายนอนั เปน็ ชว่ งเวลาที่ไม่
มีฝนหรอื ฝนตกนอ้ ย
อย่างไรก็ตาม การรบกวนจากเสียงและแสงสว่างในทุกกรณีถือว่าเป็นศัตรูที่สำคัญ
ของหิ่งห้อย ดังนั้น การนั่งเรือหางยาวที่เสียงดังมาก ๆ และฉายไฟเพื่อชมหิ่งห้อยของ
นกั ทอ่ งเท่ียวถือวา่ เปน็ พฤตกิ รรมที่ไม่ควรกระทำ
438 รวมเรื่องสวนป่า
สถานที่ทศั นศึกษาแห่งต่อไปคือสถานีวิจัยและการฝึกอบรมวนเกษตรตราด ซึ่งเปน็
หน่วยงานในสังกัดสถาบันวิจัยและพัฒนาแห่งมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (สวพ.มก.) มี
ภารกิจดา้ นการศึกษา วิจยั และให้การบริการทางวิชาการแก่ชมุ ชนและสงั คม โดยเฉพาะงาน
ด้าน “วนเกษตร” (agroforestry) ที่ว่าด้วยรูปแบบการใช้ประโยชน์ที่ดินซึ่งผสมผสาน
ระหว่างไม้ (ป่า) ยืนต้นกับพืชเกษตรและ/หรือปศุสัตว์รวมทั้งสัตวน์ ้ำ ถือว่ามีบทบาทสำคญั
เป็นอย่างมากกับการเกษตรในปัจจุบันและอนาคต ที่มักจะพูดถึงความยั่งยืนของระบบกัน
เป็นประจำ เพราะความยั่งยืนที่แท้จริงจะต้องถึงพร้อมซึ่ง 3 องค์ประกอบหลัก อันได้แก่
ความยั่งยืนทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม และเป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าป่าไม้เป็น
ปัจจัยหลักที่จะนำไปสู่ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม หากขาดป่าไม้ก็ขาดความยั่งยืนด้าน
ส่ิงแวดล้อม อันหมายถึงขาดการเกษตรท่ยี ั่งยืนนัน่ เอง
สถานีวิจัยและฝึกอบรมวนเกษตรตราดตั้งอยู่ในพื้นที่ประมาณ 611 ไร่ บริเวณ
ป่าสงวนแห่งชาติท่ากุ่ม-ห้วยแร้ง ในท้องที่ตำบลท่ากุ่ม อำเภอเมือง จังหวัดตราด ได้รับการ
จัดตั้งข้ึนเม่อื วนั ท่ี 14 กมุ ภาพันธ์ 2537 ปจั จบุ ันมีนายณฐั วฒั น์ คลังทรัพย์ (โทร : 089-748-
7746) เปน็ หวั หน้าสถานี ตลอดเวลารว่ ม 20 ปี ทีผ่ า่ นมา สถานีวิจยั แหง่ นี้ได้สร้างผลงานวิจยั
ออกสู่สาธารณชนเป็นจำนวนมาก อาทิ การปลูกยางพาราในระบบวนเกษตร โดยปลูก
ยางพาราควบกบั ไมก้ ฤษณา ยางนา ตะเคียนทอง และเรว่ หอม การปลูกไม้ผลยืนต้นในระบบ
วนเกษตรโดยการปลูกทุเรียน เงาะ มังคุด และลองกอง ซึ่งเป็นพืชเกษตรผสมผสานกับไม้
ทำมัง เทพทาโร จำปาป่า กฤษณา ยางนา และตะเคียนทอง ซึ่งเป็นไม้ปา่ ท่ีนอกจากจะช่วย
เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพแล้ว ยัง
ก่อให้เกิดความยั่งยืนของระบบนิเวศอีกด้วย
รวมทั้งการปลูกไม้ไผ่ผสมผสาน การปลูกไม้
ท้องถิ่นเสริมป่า การผลิตถ่านอัดแท่งอนามัย
ท่ีมีคุณภาพสงู และการผลติ นำ้ ส้มควันไม้จาก
เศษไม้ปลายไม้ที่ได้จากการจัดการสวนป่าวน
เกษตร นอกจากนย้ี ังมงี านวจิ ยั ฟ้ืนฟปู า่ ภายใต้
การสนับสนุนจากโครงการความร่วมมือด้าน
สิ่งแวดล้อมระหว่างประเทศเกาหลีกับอาเซียน (AKECOP : ASEAN-Korea Environmental
Cooperation Project) ซึ่งดำเนินงานร่วมกับภาควิชาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ ตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2546 ติดต่อกันมาจนถึงปัจจุบัน จนทำให้เขากะโลง ซึ่งเคยเป็นป่าเสื่อมโทรมอัน
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 439
เนื่องมาจากการตัดไม้ทำลายป่าในอดีต กลายมาเป็นสวนปา่ ผสมและเป็นต้นแบบในการคนื
ผนื ปา่ สูแ่ ผ่นดนิ ของจงั หวัดตราดในวนั น้ี
สถานีวิจัยและฝึกอบรมวนเกษตรตราดเปน็ เสมือนตักศลิ าทางวนเกษตรของประเทศ
ไทย เพราะเป็นสถานที่ศกึ ษาดูงานของผู้สนใจท่ัวไป เป็นสถานีที่ทำงานวิจัยของนักวิชาการ
ทำวิทยานิพนธ์ของนิสิต เป็นที่ฝึกอบรมของนักเรียน และเป็นแหล่งเรียนรู้ของชุมชนด้าน
วนเกษตร
ที่สถานีวิจัยแห่งนี้นอกจากคณะ
ทัศนศึกษา จะไดเ้ พลดิ เพลนิ กับบรรยากาศ
การเดินท่องเที่ยวไปตามเส้นทางศึกษา
ธรรมชาติรวม 3 กิโลเมตรในรูปของ
“การท่องเที่ยวเชิงวนเกษตร” แล้ว
ชมรม มก. อาวุโส ยังได้ร่วมกันปลูกต้น
พะยูง และชิงชันไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย
พะยูง (Dalbergia cochinchinensis) และ
ชิงชนั (Dalbergia oliveri) เป็นไม้ที่อยูใ่ น
สกุลเดียวกัน ลักษณะทางสัณฐานวิทยาและเนื้อไม้มีความคล้ายคลึงกันมาก จนบางคน
เรียกวา่ ไมพ้ ะยูงชงิ ชัน ท้ัง ๆ ท่เี ป็นไมค้ นละชนดิ ผมเคยเขยี นเรอ่ื ง “พะยูง ชิงชัน : ไม้คู่แฝด
ราคาแพง” ลงในนิตรสารไม่ลองไม่รู้ฉบับประจำเดือน สิงหาคม 2550 และเรื่อง “ปลูกไม้
พะยงู ร่งุ หรือร่วง” ลงในฉบับประจำเดอื น พฤศจกิ ายน 2553 มาแลว้
ด้วยขอ้ จำกัดด้านเวลาท่ีต้องสง่ ต้นฉบบั ให้ บก. อมั พา คำวงษา และหน้ากระดาษ
ที่ขอจองไว้ ผมขอหยุดพักไว้แค่การท่องเที่ยวเชิงวนเกษตรก่อน ส่วนการท่องเที่ยวเชิง
เกษตรตามช่ือเรื่องนน้ั ขออนุญาตนำเสนอในฉบบั ต่อไป
หลังจากเพลิดเพลินกายใจ ได้ความรู้หลากหลาย จากการท่องเที่ยวเชิงวนเกษตร
รวมทง้ั อิม่ หมีพมี นั กนั ทั่วหนา้ กบั กุ้งหอยปูปลาอาหารทะเลสด ๆ จากป่าชายเลนท่าสอนและ
พืชผกั พื้นบา้ นอาหารพน้ื เมอื งทีส่ ถานีวิจัยวนเกษตรตราดแล้ว คณะทศั นศึกษาของชมรม มก.
อาวุโส ภายใต้การนำของ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ชวรีย์ ยาวุฒิ ประธานคณะทำงานฝ่าย
สุขภาพกาย-จิต และสวัสดิการ ก็ได้ไปแสวงหาความรู้ภาคการเกษตร ด้วยการดูให้เห็นของ
จรงิ โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ไปจันทบุรแี ละตราดในชว่ งกลางเดอื นมิถุนายนเช่นนต้ี ้องไมพ่ ลาดการ
440 รวมเรอ่ื งสวนปา่
เยี่ยมชมสวนและชมิ ผลไมส้ ดจากสวน ทั้งของเอกชนรายย่อยและที่บริหารจัดการในรูปของ
บริษทั เพอื่ ส่งออก
จุดแรกท่ชี มรม มก. อาวุโส แวะกค็ ือสวนของนายธันว์ บรรจง ตงั้ อยูใ่ นท้องที่ ตำบล
สะตอ อำเภอเขาสมิง จังหวดั ตราด ซึง่ ตามโปรแกรมจะมีการเข้าชมสวนยางพารา สวนปาล์ม
น้ำมัน และสวนผลไม้ แต่ไม่ทราบว่าจะเป็นความโชคร้ายหรือโชคดีของผู้อาวโุ สทั้ง 45 ชีวิต
จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ที่บ่ายวันนั้น (13 มิถุนายน 2556) พอพวกเราลงจากรถบสั
เดินผ่านบ้านเพื่อจะเข้าสวน พระพิรุณก็เทลงมาอย่างหนัก สิ่งที่พวกเราพอจะทำได้ในตอน
นั้นก็คือ แวะเข้าไปในบ้านพัก นั่งล้อมวงรอบทุเรียน เงาะ และมังคุด กองมหึมา แล้วลงมือ
ชมิ ตามอัชฌาสยั คอื ความรู้จักผ่อนปรน ตามคำเชิญชวนของสมาชิกในครอบครัว “บรรจง”
อาทิ คุณธันว์ คุณจริต คุณทน และคุณจักรพรรดิ์ ที่เป็นทั้งเจ้าของบ้าน เจ้าของสวน และ
วิทยากรผู้ให้ความรู้แก่คณะของเรา ในลักษณะ “ชิมไป คุยไป ไม่หมด ต้องขนขึ้นรถ เอา
กลบั ไปดว้ ย”
ในท่สี ุดพวกเรากถ็ ูกบงั คบั ให้หว้ิ กล่อง “ผลไม้คุณภาพจงั หวดั ตราด” คนละกล่องขึ้น
รถ เพราะฝนตกติดต่อกันยาวนานและหนักขึ้นเรื่อย ๆ โดยไม่มที ีท่าว่าจะหยุด สมกับสมญา
“ตราด เมอื งแหง่ ฝนแปด แดดส่ี แหง่ ภาคตะวันออก” จรงิ ๆ
แต่อย่างไรก็ตาม ในบ่ายวันนั้น คุณจักรพรรดิ์ บรรจง (โทร : 085-697-8261) ก็ทำ
หน้าที่เปน็ วิทยากรหลกั ให้ความรู้เกีย่ วกับการเกษตรของตำบลสะตอแก่เราท้ังในฐานะ (ลูก)
เกษตรกรและเจ้าหนา้ ท่ีสง่ เสรมิ การเกษตรของรฐั ได้อย่างดีเย่ียม เพราะคุณจกั รพรรด์ิ บรรจง
แม้จะจบจากคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (วน. 61 หรือ KU 55) แต่ทำงานท่ี
กรมส่งเสริมการเกษตร ปัจจุบันเป็นนักวิชาการส่งเสริมการเกษตรชำนาญการประจำ
สำนักงานเกษตรอำเภอเขาสมงิ จังหวัดตราด
ตำบลสะตอ ประกอบด้วย 9 หมู่บ้าน มีเนื้อที่ประมาณ 63,000 ไร่ ประชากร 4,900
คน 1,444 ครัวเรอื น หรอื เฉล่ียครวั เรือนละ 3-4 คน ความหนาแน่นของประชากร 0.08 คน
ต่อไร่ หรือคนละ 12.9 ไร่ จำนวนครัวเรือนด้านการเกษตรมีสูงถึงร้อยละ 73 ทั้งนี้เพราะ
สภาพแวดล้อมโดยรวมของตำบลสะตอที่ดินดี มีลำน้ำสายเล็ก ๆ กระจายอยู่ทั่วพื้นที่ และ
ไมม่ ภี เู ขาสงู ชัน น้นั เอ้ืออำนวยตอ่ การเกษตรเป็นอย่างมาก พืชเศรษฐกิจหลักหากยึดเอาเน้ือที่
ปลูกเป็นเกณฑ์ไดแ้ ก่ เงาะ (6,234 ไร่) ยางพารา (5,740 ไร่) ปาล์มนำ้ มัน (2,020 ไร่) มังคุด
(1,350 ไร่) ทุเรียน (1,090 ไร่) และลองกอง (951 ไร่) โดยทั้งหกชนดิ ต่างกเ็ ป็นไม้ยนื ตน้ แต่
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 441
หากมองในมุมของรายได้ปรากฏว่าทุเรียนให้รายได้ต่อไร่สูงที่สุด ตามมาด้วยเงาะ และ
ยางพารา ทว่าพืชที่ทำเงินให้ตำบลสะตอได้สูงสุดคือ เงาะ และยางพารา เพราะมีพื้นที่ปลกู
มากกว่าพืชอ่ืน
เงาะที่ปลูกมีอยู่ด้วยกัน 3 ชนิด คือ เงาะโรงเรียน เงาะสีทอง และเงาะสีชมพู โดย
เกษตรกรนิยมปลูกเงาะโรงเรียนมากที่สุด คือราว ๆ ร้อยละ 90 ของพื้นที่ปลูกเงาะทั้งหมด
เพราะรสชาติหวานกรอบ เป็นที่นิยมของผู้บริโภค ส่วนเงาะสีทองแม้จะมีความหวานด้อย
กว่าเงาะโรงเรียนเล็กน้อยแต่จดุ เดน่ คือเปลือกหนา เหมาะแกก่ ารสง่ ออก และเก็บเกี่ยวได้ใน
ตอนตน้ ฤดู จงึ ไดร้ าคาดี ในขณะที่เงาะสีชมพทู ยี่ งั มผี ู้ปลกู กนั บา้ งกเ็ พราะฤดกู ารเก็บเก่ียวล่าช้า
กวา่ เงาะทงั้ สองชนิดดังกลา่ วแลว้ จงึ ขายได้ราคาดีเช่นกนั โดยเฉพาะในปที ่มี เี งาะออกนอ้ ย
ยางพาราซึ่งมีเนื้อที่ปลูกมาก
เป็นที่สองรองจากเงาะนั้น ใช้ระยะ
ปลูก 2.5 x 7.0 เมตร หรือ 91 ต้นต่อ
ไร่ เริ่มกรีดเมื่ออายุ 7 ปี กรีดได้
ประมาณปีละ 200 วัน ในช่วงยางใบ
ร่วงจะกรีด 1 วัน เว้น 5 วัน เพราะจะ
ได้ปริมาณน้ำยางต่ำ สายพันธุ์ที่ปลูก
นอกจาก เบอร์ 600 ซึ่งนิยมปลูกกัน
โดยทั่วไปแล้ว ที่ตำบลสะตอยังนิยมปลูก เบอร์ 235 และ เบอร์ 24 ซึ่งแม้ในช่วง 2–3 ปีแรก
ของการกรีดจะให้น้ำยางต่ำกว่า เบอร์ 600 ไปบ้างก็ตาม แต่จุดเด่นของสองสายพันธ์ุนี้ก็คือ ลำ
ตน้ สงู ตรง เปลา อันหมายถึงการให้เนอ้ื ไม้มาก เม่ือถึงเวลาโคน่ ตน้ ยางเดิม ปลูกยางใหม่ตาม
นโยบายของกองทุนสงเคราะห์การทำสวนยาง อันจะทำให้มีรายได้จากต้นยางที่โค่นสูง ซึ่ง
เมื่อเร็ว ๆ นี้ ผู้ซื้อไมย้ างไดม้ าติดตอ่ ขอซื้อ (และโคน่ ) ไม้ยางพารา เบอร์ 24 อายุ 24 ปี ของ
คณุ ธันว์ บรรจง ในราคาเหมาจา่ ยไรล่ ะ 43,000 บาท
ยางพาราเป็นพืชพื้นเมืองของอเมริกาใต้ อังกฤษนำจากบราซิลเข้าไปปลูกไว้ที่สวน
พฤกษศาสตร์คิว แล้วขยายพันธต์ุ ่อมายังมาเลเซีย พระยารษั ฎานปุ ระดษิ ฐ์มหิศรภกั ดี (คอซิมบ้ี
ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรังซึ่งเป็น “บิดาแห่งยางพาราไทย” ได้นำจากมาเลเซีย มาปลูกท่ี
จงั หวัดตรงั ในปี พ.ศ. 2442 เป็นครั้งแรก กอ่ นทหี่ ลวงราชไมตรี (ปุณ ปุณศรี) จะนำไปปลูกท่ี
จนั ทบรุ ีในปี พ.ศ. 2454 และแพรก่ ระจายไปท่วั ประเทศในทุกวันนี้