60 การขยายพนั ธ์ุ
ไม้ไผ่
ดร. รุ่งนภา พัฒนวิบูลย์ ผู้อำนวยการส่วนความร่วมมือระหว่างประเทศ กรม
อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช นักวิชาการด้านไม้ไผ่รุ่นใหม่ของประเทศไทย ได้
เกริ่นนำหนังสือ “ไม้ไผ่ในประเทศไทย” ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักวิชาการป่าไม้ กรมป่าไม้ เมื่อ
เดือนตุลาคม พ.ศ. 2544 ไว้ว่า ไผ่เป็นพืชเลี้ยงเดี่ยวที่มีวิวัฒนาการมาจากพืชตระกูลหญ้า
จดั เปน็ หญ้าทีม่ ีอายยุ ืนยาวทสี่ ดุ บางชนิดมอี ายุยืนยาวนับรอ้ ยปี ทว่าไผก่ ็ยังคงมีลักษณะทาง
ชีพลักษณ์ (phenology) ที่เกี่ยวกับการออกดอกออกผลในรูปแบบเดียวกับหญ้า กล่าวคือ
เป็นพืชที่มีชีพลักษณ์เป็นแบบ monocarpic ซึ่งเมื่อออกดอกและผลิตเมล็ดแล้วต้นแม่ก็จะ
ตาย หรือที่เรยี กกนั ว่า “ไผ่ตายขุย”
การตายขุยของไผเ่ ป็นที่รู้จักกนั อย่างแพรห่ ลายมาช้านานแล้ว แต่ไผ่จะตายขุยเม่ือใด
นัน้ ยังไมม่ ีใครสามารถระบุอายุขยั ไดอ้ ยา่ งถูกต้องแมน่ ยำ ทราบแต่เพียงวา่ ไผ่เป็นพืชที่มีวงจร
ชีวิตยาวนาน ทำได้เพียงการคาดคะเนโดยกว้าง ๆ เพราะอายุขัยของไผ่แตกต่างกันไปตาม
ชนิดพันธุ์ และการตายขุยของไผ่ชนิดเดียวกันก็ผันแปรไปตามสภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ไผ่
กอน้นั ๆ ขึ้นอยู่
ไผ่ตงซึ่งเป็นไม้ไผ่ต่างถิ่น มีถิ่นกำเนิดเดิมอยู่ทางตอนใต้ของประเทศจีน ได้มีผู้นำเข้า
มาปลูกในประเทศไทยเป็นครั้งแรกราวปี พ.ศ. 2447 สามารถแยกย่อยออกตามลักษณะลำ
ได้ 4 สายพันธ์ุ คือ ไผ่ตงเขยี ว ไผ่ตงดำ ไผ่ตงหนู และไผ่ตงหมอ้ ในปี พ.ศ. 2533 ไผ่ตงเขียวท่ี
จงั หวัดปราจีนบุรเี รม่ิ ออกดอกประปราย แต่ได้ออกดอกและตายขยุ พร้อมกนั ท่วั ประเทศในปี
พ.ศ. 2538 ส่วนไผ่ตงดำในจังหวัดปราจีนบุรีเริ่มออกดอกประปรายในปี พ.ศ. 2542-2543
ในขณะที่ไผ่ตงหม้อที่จังหวัดปราจีนบุรีและพังงา เริ่มออกดอกประปรายในปี พ.ศ. 2551-
2552 แต่ไม่สามารถเก็บเมลด็ มาเพาะขยายพันธุไ์ ด้ เพราะจากการสำรวจเบือ้ งต้นพบวา่ เป็น
พมิ พ์ครง้ั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 9 (93) : 43–45; 9 (94) : 43–46 (พ.ศ. 2552)
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 343
เมลด็ ลีบทง้ั หมด ต้นแมท่ ยอยกันใหเ้ มล็ดและทยอยกันตายขุย ไมใ่ หเ้ มล็ดหรอื ตายขยุ แบบยก
กอในเวลาเดยี วกัน
ไม่แน่ใจว่าไผ่ตงที่นำเข้ามาปลูกเมื่อ 105 ปีที่แล้ว (พ.ศ. 2447) จะเคยตายขุยก่อนปี
พ.ศ. 2533 บ้างแลว้ หรือยัง ถ้ายังไม่เคยกแ็ สดงว่า อายุขัยไผ่ตงเขียวยาวนานกว่าหนึง่ ร้อย
ปี ไผต่ งหม้อมีอายยุ ืนยาวกวา่ ไผต่ งดำ และไผ่ตงดำมีอายยุ ืนยาวกว่าไผ่ตงเขยี ว
ลกั ษณะการออกดอกของไมไ้ ผส่ ามารถแบ่งออกได้ 3 กลุม่ คอื (1) ไผท่ ่ีออกดอกท้งั กอ
โดยทุกลำภายในกอหน่งึ ๆ ออกดอกและตายขุยพร้อมกันทง้ั หมด ไดแ้ ก่ ไผร่ วก (Thyrsostachys
siamensis) ไผ่ป่า (Bambusa bambos) ไผ่บง (Bambusa nutans) ไผ่หก (Dendrocalamus
hamiltonii) ไผ่ซาง (Dendrocalamus strictus) และไผ่ข้าวหลาม (Cephalostachyum
pergracile) (2) ไผ่ที่ออกดอกเป็นบางลำ โดยแต่ละลำจะทยอยกันออกดอก กว่าจะตายขุย
หมดทั้งกอก็ใช้เวลายาวนานกว่าหนึ่งปี เช่น ไผ่ตง (Dendrocalamus asper) และ (3) ไผ่ที่
ออกดอกอย่างต่อเนื่อง ไม้ไผ่ในกลุ่มนี้สามารถเจริญเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยในแต่ละปีมี
เพียงหนงึ่ หรือสองลำเทา่ นัน้ ที่ออกดอก สว่ นลำอนื่ ๆ ภายในกอก็ให้หน่อและเจริญเติบโตต่อไป
ตามปกติ ตัวอยา่ งของไมไ้ ผใ่ นกลุม่ นีไ้ ดแ้ ก่ ไผท่ อง (Schizostachyum brachycladum)
ที่กล่าวว่าการออกดอกและตายขุยของไม้ไผ่แต่ละชนดิ ผันแปรไปตามสภาพแวดล้อม
ของพ้ืนทที่ ไี่ ผก่ อนั้น ๆ ข้นึ อยู่ โดยเฉพาะอยา่ งย่ิงสภาพภูมิอากาศใกล้ผวิ ดิน (microclimate)
กย็ นื ยนั ไดจ้ ากปรากฏการณ์การออกดอกผลิตเมล็ดและตายขุยของไผป่ ่า (Bambusa bambos)
ไผ่ซางนวล (Dendrocalamus membranaceus) ไผ่บงใหญ่ (Dendrocalamus brandisii)
และไผ่รวก (Thyrsosrachys siamensis) ในท้องที่อำเภอต่าง ๆ ของจังหวัดกาญจนบุรี อาทิ
อำเภอบอ่ พลอย ทองผาภูมิ ไทรโยค สังขละบุรี และศรสี วัสด์ิ ท่ไี ดท้ ยอยกนั ใหเ้ มล็ดและตายขุย
ในชว่ งปี พ.ศ. 2535 ถงึ พ.ศ. 2544 ซงึ่ ใชเ้ วลายาวนานแตกต่างกนั ถงึ 10 ปี
ความแห้งแล้งอนั เนอื่ งมาจากฝนตกนอ้ ย และความรอ้ นอนั เนื่องมาจากอณุ หภมู ิในฤดู
ร้อน และ/หรือการเกิดไฟป่าในบริเวณข้างเคียงต่างก็เป็นปัจจัยส่งเสริมให้ไผ่ออกดอกและ
ตายขุยเร็วขึ้น ด้วยเหตุนี้เองจึงมักจะพบเห็นไผ่แม้เป็นชนิดเดียวกันในภาคเหนือและภาค
ตะวันออกเฉยี งเหนอื ออกดอกเรว็ และบ่อยกวา่ ไผใ่ นภาคกลาง ในขณะทีแ่ ทบจะไมพ่ บเห็นไผ่
ในภาคใตอ้ อกดอกเลย ในทางตรงกนั ขา้ ม การบำรุงรักษาแปลงไผด่ ้วยการรดน้ำ พรวนดิน
และใส่ปุ๋ย ให้ไผ่ได้รับความชุ่มชื้นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจะช่วยชะลอการออกดอก
และตายขยุ ของไม้ไผ่ นั่นคือ ชว่ ยยืดอายุขัยของไม้ไผใ่ หย้ าวข้ึนได้
344 รวมเรอ่ื งสวนป่า
การออกดอกของไม้ไผ่เป็นการพัฒนาขั้น
สุดท้ายก่อนที่จะมีการให้เมล็ดและต้นแม่ตายไปใน
ที่สุด แม้เมื่อทำการปลูกไผ่โดยใช้วิธีการขยายพันธ์ุ
แบบไม่อาศัยเพศ (vegetative propagation) เช่น
การตอน การตัดกิ่งปักชำ หรือการแยกเหง้า ไผ่กอ
ใหม่ที่ได้จากการขยายพันธุ์ดังกล่าวก็จะออกดอก
และหมดอายุขัยพรอ้ ม ๆ กบั ไผ่ต้นแม่ ดงั เชน่ กรณีท่ี
เกิดขึ้นกับการปลูกไผ่ตงเขียวของโครงการอีสาน
เขียวเม่ือสิบกวา่ ปีผา่ นมา การเร่มิ ต้นอายุรอบใหม่จะต้องเร่ิมตน้ ด้วยการปลูกจากเมล็ดซึ่งเป็น
การขยายพันธแ์ุ บบอาศยั เพศ (reproductive propagation) เทา่ นน้ั
นน่ั คือ ไผ่สามารถขยายพนั ธไ์ุ ดท้ ง้ั โดยวิธีอาศยั เพศและไม่อาศยั เพศ แต่การขยายพันธุ์
โดยวิธีอาศัยเพศหรือขยายพันธุ์จากเมล็ดนั้นมีข้อจำกัดหลายประการ อันได้แก่ (1) ตลอด
อายุขัยของไผ่ให้เมล็ดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อให้เมล็ดแล้วต้นแม่ก็ตาย อายุขัยของไผ่
ยาวนานมาก อย่างเร็วก็ไม่น้อยกว่า 30 ปี บางชนิดยาวนานกว่า 100 ปี (2) ไผ่จะให้เมล็ด
เมื่อใด (ปีไหน) ไม่มีใครบอกหรือพยากรณ์ล่วงหน้าได้ถูกต้อง (3) ไผ่บางชนิดออกดอกแต่
ไม่ให้เมล็ดหรือให้เมล็ดที่สมบูรณ์น้อยมาก เพราะเมล็ดส่วนใหญ่เป็นหมันหรือลีบ เช่น ไผ่
เลี้ยง (4) อัตราการงอกของเมล็ดไม้ไผ่ไม่สม่ำเสมอ ผันแปรตั้งแต่ 10–80 เปอร์เซ็นต์ ทั้งน้ี
ขึ้นอยู่กับช่วงเวลาที่เก็บและการเก็บรักษา เมล็ดไผ่ที่เก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิห้องจะสูญเสีย
ความมีชีวิตภายใน 6–7 เดือน (5) เมล็ดไผ่ที่มีชีวิตบางชนิดหายาก เพราะเมื่อแก่และร่วง
หล่นลงสู่พื้นดินก็จะถูกทำลายโดย นก กระรอก กระแต ไฟป่า และโรคราแมลงต่าง ๆ และ
(6) ไผ่ที่ปลูกจากต้นกล้าที่มาจากเมล็ดเติบโตช้า ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีกว่าจะพัฒนา
เจริญเติบโตจนมีขนาดลำเท่ากับลำแม่ แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือกล้าไผ่จากเมล็ดเมื่อ
นำไปปลูกและรอดตายแล้ว จะมีเพียง 20-25 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่จะพัฒนากอและลำให้มี
ขนาดใหญเ่ ท่าลำแม่ นน่ั คอื ปลูก 100 ต้นกล้า จะประสบความสำเรจ็ จริง ๆ ไมเ่ กนิ 25 กอ
ทว่า การขยายพันธุ์ไม้ไผ่จากเมล็ดก็มีข้อดีอยู่หลายประการด้วยเช่นกัน อาทิ (1)
ทราบอายุของกอทแ่ี น่นอน กอ่ ใหเ้ กดิ ความม่ันใจในเชงิ ธุรกจิ และวชิ าการ เพราะสามารถคาด
เดาได้ในระดับหนึ่งว่าไผ่ที่ปลูกจะออกดอกและตายขุยเมื่อใด (2) การผสมเกสรข้ามกอตาม
ธรรมชาติเป็นการขยายฐานทางพันธุกรรม เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ และอาจจะ
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 345
นำไปสกู่ ารปรับปรงุ พนั ธุไ์ ม้ไผ่ตามธรรมชาติกไ็ ด้ และ (3) สามารถผลติ ต้นกล้าได้เป็นจำนวน
มาก สะดวกต่อการขนย้ายจากเรือนเพาะชำไปสู่แปลงปลูก เพราะกล้าไม้ไผ่ที่เพาะมาจาก
เมล็ดมักจะเลี้ยงไว้ในถุงพลาสติกที่มีขนาดเล็กกว่ากล้าไม้ไผ่ที่ขยายพันธุ์โดยการแยกเหง้า
หรือตัดลำปักชำ
ไผ่ออกดอกเป็นช่อคล้ายรวงข้าว ส่วนท่ี
เรียกว่าเมล็ดของไผ่นั้นแท้ที่จริงก็คือผลนั่นเอง แต่
ด้วยลักษณะของเมล็ดที่คล้ายกับเมล็ดข้าวจึงมัก
เรียกว่าเมล็ด เมล็ดไผ่ส่วนใหญ่มีขนาดใกล้เคียงกับ
เมล็ดขา้ ว แต่เปน็ ที่น่าสงั เกตว่าไมไ้ ผท่ ่ีมีลำขนาดเล็ก
เช่น ไผ่ข้าวหลาม (Cephalostachyum pergracile)
และไผไ่ ร่ (Gigantochloa albociliata) มักจะมเี มล็ด
ที่มีขนาดใหญ่กว่าไม้ไผ่ที่มีลำขนาดใหญ่ เช่น ไผ่หก
(Dendrocalamus hamiltonii) และไผ่บงใหญ่ (Dendrocalamus brandisii) โดยไผ่ไร่ซึ่งมี
เส้นผ่านศูนย์กลางของลำเพียง 2-4 เซนติเมตร และมีความสูงเพียง 3-4 เมตรเท่านั้น แต่
เมล็ดมีขนาดใหญ่ เมล็ดหนึ่งกิโลกรัมมีปริมาณเพียง 35,000 เมล็ดเท่านั้น ในขณะที่ไผ่บง
ใหญ่ซึ่งมีเส้นผ่านศูนย์กลางของลำ 12-20
เซนติเมตร ความสูง 15-20 เมตร กลับมีเมล็ดเล็ก
คือ มปี ริมาณเมล็ดถึงกโิ ลกรมั ละ 66,000 เมลด็
โดยหลกั การแล้ว การขยายพนั ธไ์ุ ม้ไผ่โดยใช้
เมลด็ สามารถทำไดโ้ ดยการนำเมล็ดไผ่ที่ยงั มีชีวิตอยู่
ไปเพาะในร่องเพาะหรือกระบะเพาะ แล้วย้ายชำ
ตน้ กล้าลงในถุงพลาสตกิ เล้ียงไวใ้ นเรอื นเพาะชำจนโตไดข้ นาดจงึ นำไปปลูก แตใ่ นทางปฏิบัติ
ยังมีรายละเอียดและปัญหาต่าง ๆ มากมายพอสมควร ตั้งแต่การเก็บเมล็ดไปจนถึงการดูแล
รกั ษากล้าไผใ่ นเรือนเพาะชำ
เนื่องจากความมีชีวิตของเมล็ดไม้ไผ่อ่อนไหวต่อการเก็บรักษามาก เมล็ดใหม่ ๆ มี
อัตราการงอกประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ หากเก็บรักษาไว้ในห้องเย็นที่อุณหภูมิ 2-4 องศา
เซลเซียสกส็ ามารถเก็บไว้ได้นานถงึ 2-3 ปีโดยไม่สูญเสียความมีชีวิตของเมลด็ แต่ถ้าเก็บไว้ท่ี
อุณหภูมิห้อง ความมีชีวิตของเมลด็ จะหมดไปภายใน 6-7 เดือน ดังนั้น หากจะต้องซื้อเมล็ด
346 รวมเร่อื งสวนป่า
ไผ่ก็จำเป็นจะต้องทราบวิธีการเก็บรักษาเมล็ด ความมีชีวิตและอัตราการงอกของเมล็ดจาก
ผู้ขายเมล็ดไม้ไผด่ ้วย
ถ้าเมล็ดได้มาโดยการเก็บหามาเองก็ควรจะเก็บเมล็ดที่แก่เต็มที่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่
ในชว่ งเดือนกมุ ภาพนั ธ์ถึงเมษายน ควรเก็บเมล็ดที่ยงั ตดิ อยู่บนต้นโดยการตดั ก่ิงลงมาเป็นชอ่ ๆ
แทนการเก็บเมลด็ ที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นดินซึ่งมกั จะได้รับความเสียหายจากโรคราแมลง ถ้าเป็น
ไผ่ทีล่ ำมีขนาดสงู ใหญ่ เช่น ไผ่ตงหมอ้ อาจจะใชผ้ ้าพลาสตกิ ปูคลุมพ้นื ดนิ แลว้ ตัดลำลงมาเพื่อ
เก็บเมล็ดและนำลำไปใช้ประโยชน์ก็ได้ เมล็ดที่ได้ควรนำไปผึ่งแดด 2-3 วันเพื่อลดปริมาณ
ความชนื้ จากน้นั กท็ ำความสะอาด กำจัดส่งิ เจือปนตา่ ง ๆ กอ่ นนำไปเพาะหรอื เก็บรกั ษาไว้ใน
หอ้ งเย็นทอ่ี ุณหภูมิ 2-4 องศาเซลเซียสดงั กลา่ วแล้ว
เมล็ดไผ่อาจจะเพาะลงในกระบะหรือร่องเพาะก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อมของ
เรือนเพาะชำและปริมาณของเมล็ดเป็นสำคัญ แต่ก่อนการเพาะเมล็ด จะต้องจัดเตรียมดิน
หรือวัสดุเพาะชำให้เรียบร้อย ดินทีใ่ ช้ต้องไม่เปน็ ดินเหนยี ว ควรเป็นดนิ ร่วนปนทรายหรือดนิ
ชั้นบนของป่าไผ่ธรรมชาติซึ่งมกั จะเรยี กว่าดนิ ขุยไผ่ หรืออาจจะใช้ทรายละเอียดก็ได้ รวมท้งั
ควรตากดนิ เพ่ือฆ่าเช้อื โรคราก่อนนำมาใชเ้ พาะเมล็ดดว้ ย จากนัน้ จึงทำการหวา่ นเมลด็ แล้วใช้
ทรายละเอียดกลบบาง ๆ รดน้ำเช้า-เย็นทุกวัน เมล็ดจะเริ่มงอกภายใน 7-10 วัน เมื่อกล้าไผ่มี
ความสูงประมาณ 5-10 เซนติเมตร คือหลังจากหว่านเมล็ดได้ 2-3 สัปดาห์ก็ทำการย้ายต้น
กล้าลงในถุงพลาสติกขนาด 5 x 8 นิ้ว ซึ่งบรรจุดินร่วนปนทรายหรือดินขุยไผ่ถุงละ 1-2 ต้น
เล้ียงไวใ้ นเรือนเพาะชำ รดนำ้ เชา้ -เย็นทกุ วันตามความเหมาะสม แตต่ ้องระวังไม่ให้น้ำขังหรือ
ดินแฉะเกินไป เพราะจะกระทบต่อการถ่ายเทอากาศในดิน การหายใจของราก รวมท้ัง
อาจจะกอ่ ให้เกดิ โรคเนา่ คอดนิ (damping-off) ได้
เมื่อต้นกลา้ อายไุ ด้ 6 เดือนจะมีความ
สูงประมาณ 30 เซนติเมตร ถือว่ามีขนาด
ความโตพอทีจ่ ะนำไปปลูกได้แลว้ นั่นคือ ถ้า
เก็บเมล็ดไผ่รวก ไผ่ซาง ไผ่บงใหญ่ หรือไผ่
ข้าวหลาม และลงมือเพาะในเดือน
กุมภาพันธ์ ก็จะได้กล้าที่พร้อมจะนำไปปลูก
ได้ในเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงกลางฤดูฝน
ของปีเดียวกนั แต่ถ้าช่วงเวลาที่เหมาะสมใน
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 347
การเกบ็ เมล็ดไผล่ า่ ช้าออกไปเปน็ เดือนเมษายน-พฤษภาคม แมจ้ ะเกบ็ แล้วเพาะทนั ที แต่กว่า
จะได้ต้นกล้าสูง 30 เซนติเมตรก็จะเป็นช่วงปลายฤดูฝน คือเดือนตุลาคม-พฤศจิกายน ซึ่งใน
ภาพรวมอาจจะช้าเกนิ ไปสำหรับฤดกู ารปลูกไผ่ ในกรณนี ้คี วรเกบ็ กล้าไวป้ ลูกในต้นฤดูฝนของ
ปีถัดไป ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นต้นกล้าจะมีอายุประมาณ 12 เดือน ความสูงเฉลี่ยราว 50
เซนติเมตร
กล้าไผซ่ ่งึ ย้ายชำต้นเดย่ี ว ๆ เม่อื อายุได้ 7-10 วันจะเรม่ิ แตกหน่อและฟอร์มเป็นกอไผ่
ให้เห็นอย่างชัดเจน เมื่ออายุประมาณ 12 เดือน หน่อที่แตกใหม่จะมีขนาดใหญ่กว่าหน่อเกา่
ดังนั้น ถ้าจะเลี้ยงกล้าไผ่ไว้ปลูกข้ามปีก็ควรจะเปลี่ยนถุงพลาสติกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น เพราะ
ลักษณะของไผเ่ จรญิ เตบิ โตเป็นกอ ไมไ่ ดเ้ ป็นลำตน้ เดยี่ ว ๆ เหมือนไม้ยืนตน้ ทัว่ ๆ ไป
อย่างไรก็ตาม การขยายพันธุ์ไม้ไผ่จากเมล็ดมขี ้อจำกัดหลายประการดังกล่าวแลว้
การขยายพนั ธุโ์ ดยวิธไี มอ่ าศัยเพศจงึ เปน็ ทีน่ ิยมและแพร่หลายมากกว่า
การขยายพันธ์ไุ ม้ไผ่โดยวธิ ีไม่อาศยั เพศสามารถแบ่งออกได้ 6 วิธี ไดแ้ ก่ การแยกเหง้า
หรือตอ การชำปล้องหรือลำ การปักชำข้อ การตอนกิ่งแขนง การชำกิ่งแขนง และการ
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ การจะเลือกใช้วิธีใดนั้นขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ไผ่เป็นสำคัญ ไผ่บางชนิด
สามารถขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศได้หลายวิธี แต่ไผ่บางชนิดขยายพันธุ์โดยไม่อาศัยเพศได้
เพียงบางวิธีเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ผลสำเร็จของแต่ละวิธีนอกจากจะขึ้นอยู่กับชนิดของไม้ไผ่
แล้วยังขึ้นอยู่กับอายุของชิ้นส่วนไม้ไผ่ที่จะนำมาขยายพนั ธุ์ ฤดูกาลที่ทำการขยายพันธุ์ และ
การดูแลรักษาภายหลังการขยายพันธุ์อีกด้วย ที่สำคัญที่สุดก็คือ ขึ้นอยู่กับความรู้ความ
ชำนาญและประสบการณข์ องผทู้ ำการขยายพันธไุ์ ม้ไผ่
การขยายพันธุ์โดยการแยกเหง้า
(rhizome separation) เหง้าคือส่วนของลำ
ไม้ไผ่ที่อยู่ใต้ดิน ประกอบด้วยข้อที่อัดกันแนน่
และตาซึ่งจะเจริญเป็นหน่อและพัฒนาในส่วน
ที่อยู่เหนือพื้นดินเป็นลำ อันประกอบด้วย
ปล้องและข้อต่อไป การขยายพันธุ์โดยวิธีแยก
เหง้าใช้ได้กับไม้ไผ่แทบทุกชนิด โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งไผ่ที่ลำมีขนาดไม่ใหญ่เกินไปนัก แต่
โคนลำค่อนข้างหนา เช่น ไผ่รวก ไผ่รวกดำ
348 รวมเรอ่ื งสวนป่า
ไผเ่ ลยี้ ง และไผ่หยก (Bambusa oldhamii) การแยกเหงา้ เร่ิมดว้ ยการคดั เลือกลำท่ีมีอายุไม่
เกนิ 2 ปี และอยรู่ อบนอกของกอเพราะงา่ ยต่อการขุดแยก ตาของเหง้าทแี่ ก่มักอ่อนแอและ
มีประสิทธิภาพการแตกหนอ่ ต่ำ อายุของเหง้าที่เหมาะสมที่สุดคือ 7-10 เดือน นั่นคือทำการ
แยกเหง้าในเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน ซึ่งเหง้าเหล่านี้ได้แตกหน่อเกิดเป็นลำในราวเดือน
มิถนุ ายน-กรกฎาคมของปกี ่อน และสามารถนำตน้ กล้าออกปลูกไดใ้ นตอนต้นฤดูฝนของปีถัด
มา คือช่วงเดือนมถิ นุ ายน-สิงหาคม ซึ่งต้นกล้ามีอายุประมาณ 4-6 เดือน
เมื่อเลือกลำที่ต้องการได้แล้วก็ใช้เลื่อยตัดลำให้ตออยู่สูงจากพื้นดินประมาณ 80
เซนติเมตร มีปล้อง 2-3 ปล้อง หรือมีข้อ 3-4 ข้อ ข้อบนสุดควรอยูต่ ่ำจากส่วนของลำท่ตี ัดลง
มาประมาณ 15 เซนติเมตร จากนั้นก็ใช้เสียม ชะแลง และขวาน เปิดหน้าดิน ขุดตัดบริเวณ
คอเหง้าแยกออกจากกอแม่ โดยระมัดระวังอย่าให้ตาทั้งที่อยูใ่ นส่วนของเหง้าใต้ดนิ และส่วน
ของลำทอี่ ยูบ่ นดินไดร้ ับการกระทบกระเทือน เพราะตาเหลา่ นีจ้ ะพฒั นาเป็นหน่อและก่ิงก้าน
ตอ่ ไป
ตอหรอื เหง้าทไ่ี ด้อาจจะชำไว้ในถุงพลาสติกท่ีมีขนาดใหญพ่ อเหมาะพอควรกบั ขนาด
ของเหง้า โดยมีดินร่วนปนทรายหรือดนิ ขุยไผ่เป็นวัสดุเพาะชำ หรือชำไว้ในร่องเพาะที่มีดิน
ร่วนผสมขี้เถา้ แกลบในอตั ราสว่ น 1 : 1 ไวใ้ นเรือนเพาะชำ หรอื จะนำไปปลกู โดยตรงเลยก็ได้
แต่ถ้านำเหง้าไปปลูกเลยโดยไม่มีการปักชำ ต้องมั่นใจว่าผู้ปลูกสามารถให้น้ำและดูแลรักษา
ได้เป็นอยา่ งดี รวมทง้ั ควรแยกเหง้าและนำไปปลกู ในช่วงทีม่ ีฝนตกตอ่ เนื่องสมำ่ เสมอ
ในปี พ.ศ. 2542 สถานีเกษตรหลวงปางดะ อำเภอสะเมิง จังหวัดเชียงใหม่ ของมูลนิธิ
โครงการหลวง โดยนายสมาน ณ ลำปาง (โทร: 089-950-4993) ได้ขุดรื้อกอไผ่หวานอ่างขาง
(Dendrocalamus latiflorus) ประมาณ 2 ไร่เศษเพื่อนำพื้นที่มาทำการปรับปรุงและวาง
ระบบการปลกู ใหม่ ทำให้มเี หงา้ หรอื ตอไผห่ วานอ่างขางอายตุ ่าง ๆ เปน็ จำนวนมาก เพื่อไมใ่ ห้
เหง้าเหล่านั้นสูญเปล่า ทางสถานีฯ จึงขุดร่องใต้ร่มไม้ในสวนป่าขนาดลึกและกว้างประมาณ
30-50 เซนติเมตร ยาวหลายสบิ เมตร แล้วนำเหงา้ ไผท่ ง้ั หมดชำไวใ้ นร่องที่มีดินร่วนผสมขี้เถ้า
แกลบเป็นวัสดุเพาะชำ รดน้ำให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ปรากฏว่าการย้ายชำเหง้าไผ่
จำนวนมาก โดยวิธีดงั กลา่ วก็ประสบผลสำเร็จสูงพอสมควร แมเ้ หงา้ ส่วนหนึง่ จะแก่และมอี ายุ
มากก็ตาม
การขยายพันธุ์ไม้ไผ่โดยวิธีแยกเหง้าหรือตอมีข้อดีหลายประการ เช่น โอกาสที่จะ
ประสบผลสำเร็จมีสูงถึง 90-100 เปอร์เซ็นต์ เพราะเหง้าที่มีอายุน้อยมีอาหารสะสมอยู่
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 349
มาก จงึ มอี ตั ราการรอดตายสูง ใหห้ นอ่ ที่แข็งแรงและไดข้ นาดใกล้เคยี งกับลำแมท่ ี่โตเต็มท่ีเร็ว
กว่าการขยายพันธุ์โดยวธิ ีอ่ืน เอกชนผู้ประสบความสำเร็จในการปลูกไม้ไผ่หวานอ่างขางเพอื่
ขายหน่อที่อำเภอลี้ จังหวัดลำพูน รายหนึ่งเล่าให้ฟังว่า การปลูกไผ่หวานอ่างขางโดยการ
แยกเหง้าปลูกโดยตรงจะเริ่มเก็บเก่ียวหน่อได้เมื่ออายุ 2 ปี นอกจากนี้ ไผ่รุ่นใหม่ที่ได้จาก
การขยายพนั ธ์โุ ดยวิธีนี้ยังคงลกั ษณะทางพันธุกรรมเหมือนตน้ พนั ธุ์แม่ แต่ข้อเสียก็มีอยู่หลาย
ประการด้วยเช่นกัน อาทิ ต้องใช้เวลาและแรงงานในการขุดแยกเหง้ามาก ทำให้มีต้นทุนสูง
เหง้าที่แยกออกมาต้องเลี้ยงชำไว้ในถุงพลาสติกขนาดใหญ่ตามขนาดของเหง้าหรือลำ ทำให้
สิ้นเปลืองวัสดุเพาะชำ ยากและสิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในการขนย้าย และไม่สามารถทำการ
ขยายพนั ธุ์จำนวนมากได้หากมเี วลาจำกัด ยงิ่ ไปกว่านนั้ เน่อื งจากลำท่ีเหมาะกับการขยายพันธุ์
โดยวธิ ีนีค้ วรมีอายุ 7-10 เดือน หรืออยา่ งมากกต็ ้องไมเ่ กนิ 2 ปี ทำให้ลำที่ตัดออกเพื่อนำเอา
เหง้าหรือตอไปขยายพันธุ์นั้นไม่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ดีเท่าที่ควร เพราะมีอายุน้อย
เกนิ ไป ง่ายต่อการทม่ี อดจะเข้าทำลาย ลำไมไ้ ผท่ น่ี ำมาใชป้ ระโยชน์ควรมอี ายุต้งั แต่ 3 ปีขนึ้ ไป
ซ่ึงอาจจะแกเ่ กินไปถา้ มองในแง่ของประสิทธิภาพการขยายพันธ์โุ ดยวิธแี ยกเหง้า รวมท้ังถ้ามี
การแยกเหง้าในแต่ละกอมากเกินไป อาจจะทำให้กอเดิมได้รับผลกระทบและมีขนาด
เล็กลงได้
การชำปล้องหรือลำ (culm cutting) ลำก็คือลำต้นของไม้ไผ่ซึ่งประกอบด้วยปล้อง
และข้อ การขยายพันธ์ุโดยวิธีน้ีนิยมใช้กับไม้ไผ่ที่ลำมีขนาดใหญ่ กลวง และเนื้อไม้ไมห่ นามาก
นัก เช่น ไผ่ป่า ไผ่สีสุก และไผ่หวานอ่างขาง โดย
เลือกลำที่มีอายุ 7-10 เดือนเช่นเดียวกับการ
ขยายพันธุโ์ ดยวิธแี ยกเหง้าดงั กล่าวแล้ว ลำออ่ นที่ยัง
ไม่มีกิ่ง แต่ตรงข้อมีตานูนออกมาประมาณปล้องที่
5-12 จะเหมาะสมที่สุด แต่ถ้าเป็นลำแก่ควรมีอายุ
ไม่เกิน 2 ปีและเริ่มมีกิ่งก็ถือว่าใช้ได้ แต่ต้องตัดกิ่ง
ออกให้เหลือราว 2-3 นิ้วโดยต้องระวังอย่าให้ตา
ไดร้ ับการกระทบกระเทือนหรอื ถา้ จะใชล้ ำเดียวกบั ที่
ตัดเพอ่ื ขยายพนั ธุ์โดยการแยกเหง้าได้ก็ดี ช่วงเวลาที่
เหมาะสมคือ เดือนมีนาคมถึงเมษายน ตัดทอนลำออกเป็นท่อน ๆ แต่ละท่อนมี 1 ปล้อง 2 ข้อ
เป็นอย่างน้อย หรืออาจจะมี 3-4 ปล้อง 4-5 ข้อก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความยาวของร่องชำ
350 รวมเรือ่ งสวนปา่
เจาะรูเลก็ ๆ ตรงกงึ่ กลางปล้อง ๆ ละ 1 รูเพื่อใสน่ ำ้ หลอ่ ลำ วางลำลงในร่องชำทม่ี ีขเี้ ถ้าแกลบ
ผสมทรายเป็นวัสดุเพาะชำ ให้ตาของลำอยูด่ า้ นข้าง ใส่น้ำให้เต็มปล้องแล้วปิดรูท่ีเจาะไว้เพอื่
ลดการระเหยของน้ำ หรือถ้าสามารถใช้ระบบน้ำหยดโดยสอดสายยางเล็ก ๆ เข้าไปในรูท่ี
เจาะไว้ได้ก็ดี กลบลำด้วยขี้เถ้าแกลบผสมทราย คอยเติมน้ำให้เต็มปล้องอยู่ตลอดเวลาในช่วง
1-2 สปั ดาห์แรก และรดน้ำให้ชมุ่ ชนื้ อยู่ทกุ วันเปน็ เวลา 5-6 เดือน แลว้ จะพบว่ารากและก่ิงที่
แตกออกมาจะแข็งแรงพอที่จะใชเ้ ลื่อยตัดลำแยกข้อซึ่งพัฒนาเปน็ ต้นกล้าออกจากกนั ข้อละ 1
ต้น นำไปชำไวใ้ นถุงพลาสติกและเล้ยี งไวใ้ นเรือนเพาะชำตอ่ ไปอีก 3 เดือนกน็ ำไปปลกู ได้ น่ัน
คือ นับตั้งแต่เริ่มตัดทอนปล้องชำจนได้ต้นกล้าท่ีสามารถใช้ปลกู ได้ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ปี
ซึ่งทำให้เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาค่อนข้างสูง ในขณะท่ีอัตราการรอดตายมี
ประมาณ 30-40 เปอร์เซ็นต์ รวมทงั้ ทำใหเ้ สยี โอกาสในการท่จี ะปลอ่ ยใหล้ ำไดผ้ ลิตหน่อใหม่
หรือเลี้ยงลำไวใ้ ช้ประโยชนต์ ่อไป แต่ถ้าใช้การขยายพันธุ์โดยการชำปล้องหรือลำควบค่ไู ป
กับการขยายพันธุ์โดยการแยกเหง้าหรือตอก็ถือว่าเป็นการใช้ประโยชน์ไม้ไผ่ลำอ่อน ๆ
อายุเพียง 1-2 ปแี ตล่ ะลำไดค้ ุ้มคา่ มากทเี ดยี ว
การปักชำข้อ (node cutting) การ
ขยายพันธุ์ไม้ไผ่โดยการปักชำข้อจะถือว่า
เป็นส่วนหนึง่ ของการปักชำปล้องหรอื ปักชำ
ลำก็ได้ เพราะข้อเป็นส่วนหนึ่งของลำ จะ
แตกต่างกันก็ตรงที่ในการปักชำปล้องนั้นใน
แต่ละท่อนของลำที่ตัดจะมีข้อตั้งแต่ 2 ข้อ
หรือ 1 ปล้อง ขึ้นไป ในขณะที่การปักชำข้อ
นน้ั ในทอ่ นหนงึ่ ๆ มเี พียงขอ้ เดยี ว ในกรณีของไผห่ วานอา่ งขางที่มอี ายขุ องลำ 7–10 เดือน
ควรขยายพันธุ์ท่อนโคนด้วยวิธีการแยกเหง้า แล้วนำปล้องที่ 5–12 ซึ่งที่ข้อมีตานูนเต่ง
ออกมาไปทำการขยายพันธุ์โดยการชำปล้อง ส่วนท่อนปลาย ๆ ที่ตาข้อเริ่มแตกกิ่งพุ่ง
ออกมาเป็นขนเม่นก็นำไปขยายพันธุโ์ ดยการปักชำขอ้ ได้ โดยใช้เล่ือยตัดตรงก่ึงกลางปลอ้ ง
ใหข้ ้ออยู่ตรงกึ่งกลางของท่อนที่ตัด ระวงั อยา่ ใหป้ ล้องแตกหรือตาได้รับการกระทบกระเทือน
แล้วนำไปชำในร่องหรือกระบะชำที่มขี ีเ้ ถ้าแกลบผสมทรายละเอียดเปน็ วสั ดเุ พาะชำ โดยวาง
ท่อนพันธุ์ให้ตาหงายขึ้น ข้ออยู่ต่ำกว่าระดับดินเลก็ น้อย ลำทำมุมเอียง 45 องศา เพื่อยอดท่ี
แตกขึ้นใหม่จะได้ตงั้ ตรง ใสน่ ้ำลงในปลอ้ งให้เต็มปลอ้ งเพอ่ื รักษาความชุ่มช้ืนของข้อ และรดน้ำ
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 351
เช้า-เย็นตามปกติ ประมาณ 3-4 เดือน เมื่อเห็นว่า ระบบรากพัฒนาดีแล้วก็ย้ายท่อนพันธุ์ลง
ถุงพลาสติก เลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำต่อไปอีกราว 6-8 เดือนก็นำไปปลูกได้ การคัดเลือกลำ
และฤดูการปักชำข้อก็เหมือนกับการปักชำปล้องหรือลำ รวมทั้งควรใช้ลำที่ได้จากการแยก
เหง้าหรือกอปักชำ แต่อัตราการรอดตายค่อนข้างต่ำ คือ มีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จไม่
เกิน 20 เปอรเ์ ซน็ ต์ ในขณะที่การชำปลอ้ งมีอัตราการรอดตายสูงกวา่ เกอื บ 2 เทา่ ที่เป็นเชน่ น้ี
เพราะในการชำปล้องนัน้ มีน้ำหล่อเลี้ยงอยูใ่ นปล้องตลอดเวลา ทำให้ทั้งปล้องและข้อมีความ
ชุ่มชื้นอยู่ตลอดทั้งลำ ในขณะที่การปักชำข้อ แม้จะใส่น้ำหล่อเลี้ยงข้อไว้ ความชุ่มชื้นจะมีอยู่
เฉพาะบรเิ วณข้อเทา่ นน้ั รวมท้งั น้ำทีใ่ ส่ไวก้ ็ระเหยสูญหายไปไดเ้ ร็วกว่าอีกดว้ ย
การตอนกิง่ แขนง (branch layering) กงิ่ แขนง
คือกิ่งที่แตกจากตาบริเวณข้อของลำไม้ไผ่ การ
ขยายพันธุ์โดยวิธีนี้เหมาะสำหรับไม้ไผ่ที่มีกิ่งแขนงอยู่
ไม่สูงจากพื้นดินมากนักเพราะทำได้สะดวก การตอน
กง่ิ ใชไ้ ด้กบั ไผ่เกือบทุกชนดิ เช่น ไผ่ตงเขียว ไผซ่ างหม่น
ไผ่หยก และไผ่หวานอา่ งขาง โดยใชไ้ ดก้ บั ไผ่ท้ังลำอ่อน
ที่มีอายุประมาณ 1 ปี และลำแก่ที่มีอายุ 3-4 ปี ใน
กรณีของลำอ่อนนั้นเลือกกิ่งแขนงที่มีอายุประมาณ 1
เดือนซึง่ จะมีใบออ่ นแตกออกมาราว 3 ใบ แต่ถา้ เป็นลำ
แก่ต้องเลือกกิง่ แขนงทีอ่ ยู่ตอนบน ๆ ของลำและมีกระจุกรากอากาศอยู่บริเวณโคนกิ่ง เลื่อย
โคนกิ่งด้านล่างให้ลึกประมาณ 1 เซนติเมตรเพื่อจะช่วยให้ง่ายต่อการหักกิ่งตอนออกจากลำ
ภายหลังการแตกราก หุ้มกิ่งตอนด้วยขุยมะพร้าว (ที่แช่น้ำพอหมาด ๆ) และแผ่นพลาสติก
มัดหัวท้ายให้แน่นทั้งสองข้าง กิ่งตอนจะเริ่มแตกรากภายใน 1-2 สัปดาห์ และระบบรากจะ
แข็งแรงพร้อมที่จะตัดแยกกิ่งตอนออกจากลำแม่ได้ภายใน 6-8 สัปดาห์ แล้วชำลงใน
ถุงพลาสตกิ เลี้ยงไว้ในโรงเรือนต่อไปอีก 3-4 เดือนกิ่งตอนก็แข็งแรงพร้อมที่จะนำไปปลูกได้
การขยายพนั ธไ์ุ มไ้ ผ่โดยการตอนก่งิ นนั้ มีขอ้ ดีหลายประการ ทีส่ ำคัญก็คือมีโอกาสทจี่ ะประสบ
ผลสำเรจ็ สูงถงึ 80-90 เปอร์เซ็นต์ รวมทง้ั เปน็ การรักษาลำไวใ้ ช้ประโยชน์ตอ่ ไปได้ นน่ั คือก่ิง
ตอนที่ไดเ้ ปน็ เสมอื นผลพลอยได้จากการปลูกไผ่เพ่ือใชล้ ำ ซงึ่ ให้ผลตอบแทนที่เรว็ กว่าการขาย
ลำ และกงิ่ ตอนของไผ่บางชนดิ อาจจะให้ผลตอบแทนสงู กว่าลำกไ็ ด้ ช่วงเวลาที่เหมาะกับการ
ตอนกงิ่ ไผ่กค็ ือระหวา่ งเดือนพฤษภาคมถึงเดือนตลุ าคมซึง่ เปน็ ช่วงฤดูฝน
352 รวมเรอื่ งสวนปา่
การชำกิ่งแขนง (branch cutting) เป็น
การขยายพนั ธุไ์ มไ้ ผโ่ ดยใชก้ ิ่งแขนงเป็นท่อนพันธ์ุ
เช่นเดียวกับการตอนกิ่งแขนง แต่กระทำได้
ง่ายกว่า แม้ไผ่ที่มีลำสูงใหญ่ เช่น ไผ่ตงหม้อ
รวมทั้งไผ่ซางหม่น ไผ่หก ไผ่บงใหญ่ และไผ่
หวานอ่างขาง ซ่งึ มกั จะมีกระจกุ รากอากาศอยู่
บริเวณโคนกิ่งแขนงในส่วนบน ๆ ของลำที่มี
อายุ 3-4 ปีก็สามารถทำการชำกิง่ แขนงได้ แต่
ผลสำเรจ็ จะต่ำกว่าการตอนก่ิง โดยการชำกิง่ ที่
มรี ากอากาศจะมอี ตั ราการรอดตายราว 50-60 เปอรเ์ ซ็นต์ ทง้ั นี้ขึน้ อยู่กบั ชนิดของไมไ้ ผ่ อายุ
ของกิ่ง ฤดูการปักชำ และประสบการณ์ของผูต้ ัดชำเป็นสำคญั แม้การชำกิ่งแขนงจะใช้ไดก้ ับไม้
ไผ่หลายชนดิ กต็ าม แต่เหมาะสมท่สี ดุ กับไผ่ทมี่ ีรากอากาศบริเวณโคนกิ่ง เชน่ ไผต่ งและไผ่หวาน
อ่างขาง โดยเลือกกิ่งแขนงที่มีอายุ 1-3 ปี มีกระจุกของรากอากาศสีน้ำตาล มีตาด้านข้างเห็น
ได้ชัดเจน และมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1-3 เซนติเมตร ใช้เลื่อยตัดกิ่งแขนงให้ชิด
กับลำแม่ ตัดปลายกิ่งออกให้เหลือก่งิ ชำยาวประมาณ 80-100 เซนติเมตรซง่ึ จะมปี ล้องอยู่ 2-
3 ปล้อง หรือมีข้ออยู่ 3-4 ข้อ บ่มกิ่งโดยคลมุ ด้วยกระสอบหรือฟางข้าวไว้ 2-3 วันพรมน้ำไว้
ให้ชุ่มเพื่อเร่งการแตกตารากและตายอด นำกิ่งพันธุ์ไปชำไว้ในกระบะชำที่อยู่ภายใน
โรงเรอื นเพาะชำซ่ึงมีตาข่ายพรางแสงประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ มขี เ้ี ถ้าแกลบผสมทรายละเอียด
เป็นวัสดุเพาะชำ คลุมด้วยพลาสติกใสเพื่อเพิ่มอุณหภูมิและความชื้นนาน 2 สัปดาห์จึงเอา
พลาสตกิ ใสออก รดน้ำให้ชมุ่ ช้ืนต่อไปอีก 3-4 เดือนเม่ือระบบรากพฒั นาและต้นกล้าแข็งแรง
พอก็ย้ายชำลงในถุงพลาสติก เลี้ยงไว้ต่อไปอีก 3-4 เดือนก่อนนำออกไปปลูก หรือถ้าจะลด
ระยะเวลาการชำก่ิงแขนงลงก็สามารถทำไดโ้ ดยการตดั ข้ันตอนการชำกิง่ แขนงไวใ้ นกระบะชำ
นั่นคือ ชำกิ่งพันธุ์ภายหลังการบ่มลงในถุงพลาสติกโดยตรง แต่อาจจะทำให้สิ้นเปลือง
ค่าใชจ้ า่ ยและแรงงาน เพราะก่ิงพนั ธส์ุ ว่ นหนึง่ จะตาย ระยะเวลาทเ่ี หมาะสมกับการชำกิ่งแขนง
คือช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม
อนึ่ง การใช้สารเร่งรากกับการขยายพันธุ์ไม้ไผ่ทั้งโดยการชำปล้อง การปักชำข้อ
การตอนกิ่งแขนง และการชำกิ่งแขนง จะทำให้มีโอกาสที่จะประสบผลสำเร็จสูงและเร็ว
ยิ่งข้ึน
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 353
การเพาะเลยี้ งเน้ือเย่ือ (tissue culture) นกั วิชาการ
ด้านการเกษตรจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ
นักวิชาการป่าไม้จากกรมป่าไม้ ประสบผลสำเร็จในการ
ขยายพันธุ์ไม้ไผ่โดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมายาวนานร่วม
ยี่สิบปีแล้ว (ราวปี พ.ศ. 2535) โดยใช้ส่วนต่าง ๆ เช่น ตา
อ่อน ใบอ่อน และคัพภะของไผ่ตง ไผป่ ่า ไผร่ วก ไผ่เล้ียง และ
ไผ่สีสุก แต่การขยายพันธุ์โดยวิธีนี้ยังไม่แพร่หลายเท่าที่ควร
แม้จะมีข้อดีคือสามารถผลิตต้นกล้าได้จำนวนมากใน
ระยะเวลาอนั ส้นั แต่ก็มขี ้อเสียหลายประการ เช่น ตอ้ งลงทุน
ในตอนแรกและใช้เงินทุนในการผลิตสูง เทคนิคการผลิตในห้องปฏิบัติการค่อนข้างยุ่งยาก
ต้องใช้บคุ ลากรที่มคี วามรคู้ วามชำนาญสงู ยงิ่ ไปกวา่ นนั้ ยังปรากฏว่าไม้ไผ่ท่ีปลูกด้วยต้นกล้า
ที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อมีการยืดตัวและการพัฒนาของลำช้ากว่าการขยายพันธุ์
โดยวิธอี น่ื ๆ ดังกล่าวแล้ว การขยายพันธไ์ุ มไ้ ผโ่ ดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนใหญ่จึงประสบ
ผลสำเร็จเฉพาะการศกึ ษาวจิ ัยในห้องปฏบิ ัติการเท่านั้น
ความรู้ความชำนาญเกี่ยวกับการขยายพันธุ์ไม้ไผ่ดังกล่าวข้างต้นสามารถยึด
เป็นอาชีพหรือเป็นแหล่งรายได้เสริมให้แกค่ รอบครวั ได้อกี ทางหน่ึง ผู้ประสบความสำเรจ็
ในเรื่องนี้เท่าที่ผมรู้จักก็มีอยู่หลายท่านด้วยกัน เช่น อาจารย์เชาวรัตน์ อ่ินอ้าย (โทร :
06-198-2455) แห่งโรงเรียนไตรราษฎร์วิทยา จังหวัดน่าน คุณนคร อดุลยวิศิษฏ์ (โทร :
081-035-0677) แห่งสถานีเกษตรหลวงปางดะ จังหวัดเชียงใหม่ และคุณพูล พุ่มดี (โทร :
087-113-6379) แห่งอำเภอปากพลี จงั หวดั นครนายก เป็นต้น
61 การปลกู ไมข้ ีเ้ หล็ก
ไวเ้ ผาถา่ นที่เชยี งแสน
เชียงแสนเปน็ เมืองเก่าแก่ที่มีประวัติยาวนานและมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์มาก
เมืองหนึ่งของประเทศไทย ซ่ึงในอนาคตอาจจะได้รับการจัดให้เป็นพื้นที่มรดกโลกก็ได้ เป็น
อำเภอขนาดกลางทางด้านเหนือของจังหวัดเชยี งราย มีเนอ้ื ทปี่ ระมาณ 346,250 ไร่ ประกอบด้วย
6 ตำบล อันได้แก่ ตำบลเวียง ตำบลป่าสัก ตำบลบ้านแซว ตำบลศรีดอนมูล ตำบลแม่เงิน
และตำบลโยนก มีประชากร 52,000 คน (พ.ศ. 2551)
จุดสนใจของนักท่องเทีย่ วชาวไทยส่วนใหญท่ ่ีไปเชียงแสนกค็ ือสามเหล่ียมทองคำและ
ลำน้ำโขง แต่ผมได้ไปเยี่ยมชมการปลูกและการใช้ประโยชน์ไม้ของโครงการป่าชาวบ้านใน
พระบรมราชูปถัมถ์ของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี อันเป็นเสมือน
งานส่งเสริมป่าไม้ของมูลนิธิโครงการหลวง ที่ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโงะ ซึ่งอยู่ห่าง
จากสามเหล่ยี มทองคำประมาณ 6 กิโลเมตร
ส่งิ ทน่ี า่ ตื่นตกใจเชิงหว่ งใยในการเดินทางไปเชียงแสนเม่ือวันที่ 21-22 มิถุนายน 2552 ก็
คือคำบอกเล่าของพรรคพวกทั้งคนไทยและคนลาวที่ว่า จีนได้ทำสัญญาเช่าที่ดินของลาว
บริเวณบ้านต้นผึ้งเนื้อที่ประมาณ 30,000 ไร่ เป็นเวลายาวนานถึง 120 ปี ที่ว่าน่าตกใจ
และหว่ งใยก็เพราะบ้านตน้ ผึ้งของลาวอยคู่ นละฝัง่ โขง ตรงกันข้ามกบั ตัวอำเภอเชียงแสนของ
ไทย ขณะน้จี ีนกำลังพฒั นาทด่ี ิน กอ่ สรา้ งท่าเรือ บอ่ นกาสโิ น และอาคารพาณิชย์เปน็ แนวยาว
เหยยี ดเลียบลำนำ้ โขงทง้ั กลางวนั กลางคนื คาดว่าคงจะเปิดให้บรกิ ารได้ในเร็ว ๆ น้ี ส่วนพื้นที่
ซง่ึ ห่างจากแมน่ ำ้ โขงลึกเขา้ ไปในแผน่ ดินลาวน้นั เนอื้ ทเ่ี กือบ 30,000 ไร่ จีนคงไม่ปล่อยทิ้งให้
รกร้างว่างเปล่าเป็นแน่ คิดว่าคงจะนำมาพัฒนาทางด้านการเกษตร ปลูกพืชผัก ไม้ผลเมือง
ร้อนตามความถนัดและขยนั หมน่ั เพยี รของคนจนี แข่งกบั ไทย
ที่นา่ เปน็ หว่ งกค็ อื ผมยงั ไม่ได้ขา่ ว การต่ืนตวั และการเตรียมต้ังรับใดใดจากรัฐบาล
ไทยเลยแม้แต่น้อย
พิมพค์ รงั้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 9 (98) : 44–46; 9 (99) : 37–39 (พ.ศ. 2552)
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 355
ได้ไปเห็นมาก็เล่าสกู่ นั ฟังเท่าน้นั เอง
ศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโงะ เป็นหน่วยงานภาคสนามของมูลนิธิโครงการหลวง
จัดตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2522 อยู่ที่บ้านดอยสะโงะ ตำบลศรีดอนมูล อำเภอเชียงแสน จังหวัด
เชียงราย ใกล้กับชายแดนลาวและพม่า มีพื้นที่ในความรับผิดชอบ 23,750 ไร่ ครอบคลุม 5
หมู่บ้าน ประชากรจำนวน 2,672 คน ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาเผ่าอีก้อ (อาข่า) นอกจากนี้ก็มี
ไทยลื้อและไทยใหญ่ซึ่งอพยพมาจากลาวและพม่า รวมทั้งคนเมืองซึ่งย้ายมาจากต่างอำเภอ
เช่น แม่จัน และฝาง เป็นต้น ภูมิ
ประเทศส่วนใหญ่เป็นเนินเขา
ความสูงจากระดับน้ำทะเลเฉล่ีย
ปานกลางอยู่ระหว่าง 400-700
เมตร อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปี 21
องศาเซลเซียส ปริมาณน้ำฝนเฉลยี่ ภาพจาก : htt[https://www.royalparkrajapruek.org/
ประมาณ 2,200 มลิ ลิเมตรต่อปี
ในอดีต เกษตรกรที่บ้านสะโงะได้ปลูกถั่วเหลืองและทำนาปลูกข้าวเป็นหลัก แต่
หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้เสด็จเยี่ยมราษฎรเมื่อปี พ.ศ. 2521 และ
โครงการหลวงได้เริ่มเข้ามาพัฒนาภายใต้ภาระงานของศูนย์พัฒนาโครงการหลวงสะโงะ
ปัจจุบันบ้านสะโงะและพื้นที่ขา้ งเคียงมีความหลากหลายของพชื พรรณนานาชนิด อาทิ ผัก ท่ี
สำคัญ ๆ ได้แก่ ผักกาดหอมห่อ คะน้า ปวยเล้ง โกโบ ผักกาดหวาน ผักกาดฮ่องเต้ กะหล่ำปลี
ม่วง และเฟนเนล ส่วนไม้ดอกที่ทำรายได้หลักให้แก่มูลนิธิโครงการหลวง ได้แก่ เบญจมาศ
กุหลาบพีคอ๊ ก และแกลดิโอลสั ในขณะท่ีไมผ้ ลสำคัญ ๆ ได้แก่ ฝร่งั คน้ั น้ำ อโวกาโด แมคคาเด
เมีย มะม่วง และล้นิ จ่ี
ส่วนไมป้ า่ ภายใต้การส่งเสริมของโครงการป่าชาวบ้านฯ นอกจากกระถินดอย เมเปิ้ลหอม
จันทร์ทองเทศ และการบูร แล้ว ที่ขึ้นหน้าขึ้นตาทำกันเป็นล่ำเป็นสันมากก็คือขี้เหล็ก แต่
กลุ่มชนที่ปลูกขี้เหล็กกันมากไม่ใช่เป็นชาวเขาเผ่าอีก้อ หากแต่เป็นคนเมือง โดยในฤดูปลูกปี
พ.ศ. 2552 นท้ี างศูนยพ์ ฒั นาโครงการหลวงสะโงะ โดยโครงการปา่ ชาวบา้ นฯ (นายอุดร อาวาส
พรม) ไดจ้ ัดหากลา้ ไม้ขเี้ หล็กจากหนว่ ยตน้ นำ้ มาแจกจ่ายใหแ้ กช่ าวบ้านถงึ 20,000 กล้า
ขี้เหล็กเป็นไมพ้ ื้นเมอื งของไทยซึ่งสามารถพบเห็นได้ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ แต่
อาจจะเรียกชอื่ แตกตา่ งกันไปบา้ ง “ขเี้ หล็ก” เปน็ ชอ่ื ทัว่ ๆ ไป ทางภาคกลางเรยี กวา่ ขี้เหล็กใหญ่
356 รวมเรอื่ งสวนป่า
ภาคเหนอื เรียกข้ีเหล็กหลวง ภาคใต้เรยี กข้ีเหลก็ บา้ น จงั หวดั ขอนแกน่ เรยี กขเี้ หล็กแก่น ส่วน
จงั หวดั แม่ฮอ่ งสอนเรยี กว่าผักจล้ี ี้ เป็นต้น
ทั้งชื่อสามัญและชื่อวิทยาศาสตร์ของไม้ชนิดนี้ต่างก็บ่งบอกถึงความเป็นไทยอย่าง
แท้จริง เพราะชื่อภาษาอังกฤษของไม้ขี้เหล็กคือ Siamese cassia, Siamese senna และ
Thai copper pod ส่วนช่ือวิทยาศาสตร์ได้แก่ Cassia siamea เป็นพืชตระกูลถั่ว จัดอยู่ใน
วงศ์ Leguminosae (Caesalpinioideae)
ขเ้ี หล็กเปน็ พันธ์ไุ มพ้ ระราชทานเพ่ือปลูกเปน็ มงคลประจำจังหวัดชัยภูมิ เปน็ ไม้ยนื ต้น
ขนาดกลาง ไม่ผลัดใบ มีความสูงประมาณ 8-15 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอกเมื่อโต
เตม็ ทีป่ ระมาณ 30-40 เซนติเมตร ลำต้นไม่
ค่อยตรงเปลา เปลือกสีเทาอมน้ำตาลเข้ม
แตกเป็นร่องตามยาว ใบเป็นใบประกอบ
แบบขนนก เรียงสลับ มี 5-12 คู่ ยอดอ่อน
สีแดงเรื่อ เรือนยอดแน่นทึบ ดอกสีเหลือง
สด ออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง ยาว 20-30
ภาพจาก : http://www.sptn.dss.go.th/ เซนติเมตร ผลเป็นฝักแบนยาว 20-30
เซนตเิ มตร มเี มลด็ อยภู่ ายใน
ไม้ขี้เหลก็ มถี ิน่ กำเนิดตามธรรมชาติอยใู่ นเอเชียอาคเนย์ ไล่ตง้ั แตอ่ นิ โดนีเซยี มาเลเซีย
ไทย ลาว กัมพชู า เวียดนาม พมา่ ขึน้ ไปจนถงึ ศรีลังกา และไดม้ กี ารนำไปปลูกนอกถ่ินกำเนิด
ทง้ั ในอเมรกิ ากลาง ฟลอริดา แอฟรกิ าตะวันออก แอฟริกาตะวนั ตก และทางตอนใต้ของทวีป
แอฟริกา อย่างกว้างขวางมาเป็นเวลาช้านานแล้ว โดยเฉพาะในช่วงปี พ.ศ. 2453-2467 ได้
ปลูกกนั แพรห่ ลายมากในประเทศกานา ไนจีเรยี แซมเบีย แทนซาเนีย แองโกลา และยกู ันดา
ทั้งเพอ่ื เปน็ ไมฟ้ นื ไม้เสา และไม้ประดบั จนในปัจจุบันน้ีขีเ้ หล็กเป็นเสมอื นไมพ้ ืน้ เมืองในพื้นที่
ราบแอคครา (Accra Plains) ของประเทศกานา เชน่ เดยี วกบั ต้นจามจุรีหรือตน้ ก้ามปูและไม้
ไผต่ งซ่ึงพบเห็นอยู่ทั่วไปในประเทศไทยแตต่ า่ งก็เปน็ พันธุไ์ มต้ ่างถิน่ ดว้ ยกันทง้ั คู่
เนื้อไม้ขี้เหล็กสีน้ำตาลเข้มแกมดำ ค่อนข้างหนัก คือมีค่าความถ่วงจำเพาะระหว่าง
0.6-0.8 ให้ค่าความร้อนสำหรับไม้ฟืน 4,440 แคลอรี/กรัม แต่ถ้าเผาเป็นถ่านค่าความร้อน
ดังกล่าวจะสูงถึง 6,710-7,040 แคลอรี/กรัม แก่นสีเข้มสวยงามมาก เหมาะสำหรับใช้ทำ
ตู้เสื้อผา้ และเครอ่ื งเรือน
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 357
นอกจากเนื้อไม้แล้วดอกและ ภาพจาก : https://thaiza.com/women/health/485975/
ยอดอ่อนของขี้เหล็กยังใช้เป็นอาหารใน
หลาย ๆ ประเทศ เช่น ไทย พม่า
มาเลเซีย และอินเดีย ซึ่งแม้จะมีรสขม
ต้องต้มคั้นน้ำทิ้งก่อนนำมาแกงใส่กะทิ
และไม่เป็นที่โปรดปรานของคนวัยหนุ่ม
สาวก็ตาม
แต่ความขมของขี้เหล็กก็ก่อให้เกิดคำพังเพย “ขี้เหล็ก เล็กแต่ขม” นั่นคือ ในสมัย
รัชกาลที่ 5 ตามแนวถนนสายลำพูน-เชียงใหม่ สายเก่า ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ได้ปลูกต้น
ยางนา ส่วนในเขตจังหวัดลำพูนได้ปลูกต้นขี้เหล็กไว้ โดยธรรมชาติยางนาเป็นไม้ขนาดใหญ่
ข้ีเหล็กเปน็ ไม้ขนาดเล็ก คนเชียงใหมจ่ งึ หยอกลอ้ คนลำพูนว่าปลกู ตน้ ไม้ไม่รจู้ กั โต คนลำพนู จงึ
แก้วา่ “ข้ีเหลก็ เลก็ แตข่ ม”
เว็บไซต์คลังปญั ญาไทย (www.panyathai.or.th) ได้กลา่ วถึงดอกตูมและใบอ่อนของ
ขีเ้ หล็กว่ามสี ารอาหารหลายอยา่ ง เช่น วิตามนิ เอ และวติ ามินซี โดยในดอกมีปรมิ าณมากกว่า
ในใบ และใบขี้เหล็กสามารถนำมาใช้บ่มผลไม้ ทำให้ผลไม้สุกเร็วขึ้นได้ ยิ่งไปกว่านั้น “คลัง
ปญั ญาไทย” ยงั ได้กล่าวถึงประโยชน์ทางดา้ นสมนุ ไพรของไมข้ ี้เหล็กไวม้ ากมาย สรุปได้ว่าทกุ
สว่ นของไมข้ เ้ี หล็กสามารถใช้ปอ้ งกนั รักษาโรคได้ทั้งส้ิน กลา่ วคือ:
ใบ รักษาโรคบิด โรคเบาหวาน โรคเหน็บชา เป็นยาระบาย แก้ร้อนใน รักษาอาการ
นอนไมห่ ลบั
ดอก รักษาโรคเส้นประสาท โรคนอนไม่หลับ โรคหืด โรคโลหิตพิการ ขับพยาธิ ผาย
ธาตุ ทำให้หลับสบาย
ฝกั แก้พิษไข้ แก้ลมขึ้นเบอื้ งสงู โลหิตขึ้นเบอ้ื งบน ทำให้ระสำ่ ระสายในท้อง
เปลือก รกั ษาโรคริดสีดวงทวาร โรคหิด แก้กระษัย ใชเ้ ป็นยาระบาย
ลำต้น กิ่ง แกก้ ระษัย ดับพษิ ไข้ แกร้ ้อนกระสบั กระส่าย เปน็ ยาระบาย ทำให้เส้นเอ็น
หย่อน บำรุงโลหิต รักษาโรคผิวหนัง โรคหนองใน อาการตัวเหลือง แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ขับ
ระดูขาว
ราก รกั ษาโรคเหนบ็ ชา ทาแกเ้ ส้นอัมพฤกษ์ใหห้ ย่อน แกฟ้ กช้ำ แกไ้ ข้ผิดสำแดง
358 รวมเรือ่ งสวนป่า
อย่างไรก็ตาม มีบางรายงานว่าฝัก เมล็ดและใบขี้เหล็กเป็นพิษกับหมู แต่ไม่เปน็ พษิ
กับสัตว์เค้ียวเอือ้ งจำพวกวัว ควาย แพะ แกะ
ภายใต้สภาพแวดล้อมทีเ่ หมาะสม ขี้เหล็กเป็นไมท้ ่ีเตบิ โตคอ่ นขา้ งเร็ว ต้องการแสงสวา่ ง
เตม็ ท่ี ตา้ นทานปลวกและทนอากาศรอ้ นไดด้ ี แต่ไมช่ อบอากาศหนาว จงึ ไมเ่ หมาะกบั พน้ื ทสี่ ูง
ขึ้นได้ดีในที่ดินลึก ระบายน้ำดี มีความอุดมสมบูรณ์สูง แต่สามารถขึ้นได้แม้จะเป็นดินลูกรงั
และดินหินปูนซึ่งมีฤทธิ์ค่อนข้างเป็นด่างก็ตาม เติบโตเร็วหากปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยเกินกว่า
1,000 มิลลิเมตรต่อปี แต่ถ้าพื้นทีป่ ลูกคอ่ นข้างแหง้ แล้ง คือมีปริมาณฝนตกเฉลี่ยรายปี 500–
700 มิลลิเมตร ต้นขีเ้ หล็กก็ขึ้นได้ แตต่ ้องใชเ้ วลา 2–3 ปี จนกวา่ ระบบรากจะหยั่งลกึ ลงไปถึง
ชั้นดนิ ที่มคี วามชมุ่ ช้นื
ไม้ขี้เหล็กขยายพันธุ์โดยการนำเมล็ดมาเพาะ ซึ่งมีอัตราการงอกค่อนข้างสูงถ้าเป็น
เมล็ดใหม่ ๆ เมล็ด 1 กโิ ลกรัมมปี ริมาณประมาณ 20,000–25,000 เมล็ด การปลูกกไ็ มม่ อี ะไร
ยุ่งยากหากสภาพแวดล้อมเหมาะสมดังกล่าวแล้วข้างต้น ส่วนระยะปลูกก็ขึ้นอยู่กับ
วัตถุประสงค์หลักเป็นสำคัญ การปลูกเพื่อฟื้นฟูดินภายหลังการทำเหมืองแร่ในไนจีเรียและ
ปลูกในพื้นที่ซึ่งมีหญ้าคามากในมาเลเซีย มักจะใช้ระยะถี่ รวมทั้งการปลูกเพื่อเป็นไม้ฟืนใน
อนิ เดยี กใ็ ชร้ ะยะถีม่ าก กล่าวคือมีความหนาแนน่ ของหมู่ไมส้ ูงถึง 1,600–4,800 ตน้ ตอ่ ไร่
ข้อดีของไม้ขี้เหล็กในการปลูกเพ่ือ
เป็นไม้พลังงานก็คือโตเร็ว รอบตัดฟันส้ัน
และที่สำคัญก็คือแตกหน่อภายหลังการตัด
ฟันได้ดีมาก สามารถใช้ระบบการตดั ให้แตก
หน่อ (coppice system) ได้ถึง 5 รอบตัด
ฟัน (rotation)
ชาวบ้านที่อำเภอเชียงแสนได้ปลูก
ไม้ขี้เหล็กไว้เผาถา่ น โดยใช้ระบบการตดั ใหแ้ ตกหน่อมานานหลายสิบปีแล้ว โดยเฉพาะที่
ตำบลเวยี ง และตำบลศรดี อนมูล
ผ้บู ุกเบิกคนสำคัญคือ นายบุญศรี จับใจนาย (โทรศพั ท์: 081-029-0706) อยบู่ ้านเลขที่
92 หมู่ 1 ตำบลเวยี ง เลา่ ให้ฟงั วา่ ไดม้ ีการปลูกขี้เหล็กเพ่ือเผาถ่านตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ. 2509 หรือ
ร่วมห้าสิบปีมาแล้ว โดยการหยอดเมล็ดขี้เหล็กร่วมกับการปลูกข้าวไร่ เมื่อเก็บเกี่ยวข้าวไร่
แล้วก็ทำการถอนเพื่อสางขยายระยะให้เหลือไม้ขี้เหล็กอยู่ประมาณไร่ละ 400–500 ต้น
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 359
เมื่อไม้ข้ีเหล็กอายุได้ 4–5 ปี ก็ทำการตัดรอบแรก แล้วปล่อยให้หน่อที่แตกขึ้นภายหลังการ
ตัดฟันครั้งแรกได้เจริญเติบโต โดยว่างเว้นการตัดฟันไว้ 2 ปี จากนั้นก็ทำการตัดสางหน่อ
ออกไปเผาถ่านทุกปี ปีละ 3–4 หน่อต่อตอ โดยตัดหน่อขนาดใหญ่ออก เหลือหน่อขนาดเล็ก
รอง ๆ ลงมาไวเ้ พอื่ ให้เติบโตและจะไดต้ ดั ฟนั ในปีตอ่ ๆ ไป ทุกปีอยา่ งต่อเน่อื งและย่ังยนื
การเก็บเกี่ยวผลผลิตและจัดการสวนไม้ขี้เหล็กของชาวเชียงแสนจึงจัดได้ว่า
เขา้ ข่าย “เศรษฐกจิ พอเพยี ง” และ “เกษตรยง่ั ยืน” อยา่ งแทจ้ รงิ เพราะเก็บเกยี่ วผลผลิต
แตพ่ ออยูพ่ อกนิ เน้นความยง่ั ยนื เป็นหลัก
เกษตรกรบางรายคัดเลือกต้นขี้เหล็กที่มีลำต้นตรงเปลาเหลือไว้ไร่ละ 10 ต้น เพ่ือ
ต้องการไม้ขนาดใหญ่ที่มีอายุการตัดฟัน 20 ปี สำหรับใช้ทำเสาและเครื่องเรือน เพราะไม้
ขเ้ี หล็กมีความทนทานตามธรรมชาติสงู และทนทานต่อปลวกไดด้ ี
การปลูกไม้ขี้เหล็กที่เชียงแสนมีทั้งที่ปลูกเป็นแนวรั้วโดยใช้ระยะห่างระหว่างต้น 2.5
เมตร ปลูกเป็นสวนป่าเชิงเดี่ยวโดยใช้ระยะปลูก 2 x 2 เมตร หรือ 400 ต้นต่อไร่ และปลูก
แทรกในสวนสม้ โอ ล้นิ จี่ และลำไย ตามหลักการของระบบวนเกษตรทม่ี ีขี้เหล็กเปน็ ไม้ประธาน
ไม้ผลเป็นพืชควบ ในขณะที่ นายตัน สีเขียว แห่งตำบลศรีดอนมูล ได้ปลูกไมข้ ีเ้ หลก็ ควบกับ
ข้าวโพด ซ่ึงเปน็ ระบบวนเกษตรอีกรปู แบบหนึง่ โดยนายตัน สีเขยี ว ได้เผาถ่านไม้ขี้เหล็กขาย
มานานแลว้ มีรายได้จากถ่านไมข้ เ้ี หล็กประมาณปีละ 70,000 บาท
นายบุญศรี จับใจนาย สร้างเตาเผาถ่านไม้ขี้เหล็กแบบง่าย ๆ โดยใช้ถังน้ำมันขนาด
200 ลิตรมาเปิดฝาด้านบนออก แลว้ วางนอนไวบ้ นคนั เหมอื งเก่า กพ็ รอ้ มทีจ่ ะทำการเผาถ่าน
ได้ทันที
ถ่านไม้ขี้เหล็กใช้ย่างเนื้อได้ดีมาก เพราะไฟไม่แรงจนเกินไป ในสมัยก่อนนิยมใช้ถ่าน
ไมข้ เี้ หล็กในการตีเหล็ก เพราะเผาไหม้นานและให้ความร้อนสม่ำเสมอ
ตอนนี้เรามีไก่ย่างดัง ๆ ภายใต้ชื่อเขาโน้น ไม้นี้มามากแล้ว หากท่านใดจะลองใช้
“ไกย่ า่ ง (ถ่าน) ไมข้ เ้ี หลก็ ” เปน็ แบรนดเ์ นมดบู า้ งก็ยังไม่สงวนลขิ สิทธิ์นะครบั
62 การประชุมไม้ไผโ่ ลก
ครงั้ ที่ 8
อาจจะช้าเกนิ ไปกไ็ ด้ท่จี ะพูดถึง-การประชุมไม้ไผโ่ ลกครง้ั ที่ 8 เว้นแตจ่ ะพยายามทำใจ
คดิ ว่า “มาสายดกี ว่าไม่มา”
ในระหวา่ งวันท่ี 16-19 กันยายน 2552 ประเทศไทยได้รับเกียรตจิ าก “องคก์ ารไม้ไผ่
โลก” หรือ World Bamboo Organization ให้เป็นเจ้าภาพจัด ประชุมสัมมนาไม้ไผโ่ ลก
ครั้งที่ 8 หรือ VIII World Bamboo Congress (WBC) ที่โรงแรมอิมพีเรียล ควีนส์ ปารค์
ในกรงุ เทพมหานคร
องค์การไม้ไผ่โลก (WBO : World Bamboo Organization) ก่อกำเนิดมาจาก
“สมาคมไม้ไผ่นานาชาติ” (World Bamboo Association : WBA) ที่เกิดจากการประชุม
ปรกึ ษาหารือรว่ มกันระหว่างผปู้ ระกอบการด้านไม้ไผ่ ในระหวา่ งการประชุมเชิงปฏิบัติการไม้
ไผ่นานาชาติท่ีเชียงใหมใ่ นปี พ.ศ. 2534 และได้รบั การจัดต้ังเป็นสมาคมฯ อย่างเป็นทางการ
ขึ้นในระหว่างการประชุมไม้ไผ่นานาชาติ (International Bamboo Congress : IBC) ท่ี
ประเทศญีป่ ่นุ ในปี พ.ศ. 2535
การประชุมไม้ไผ่โลก (World Bamboo Congress) ได้จัดให้มีการประชุมสัมมนา
มาแลว้ รวม 8 ครง้ั โดยในคร้งั แรก ๆ ได้ใชช้ ่ือวา่ การประชมุ ไมไ้ ผน่ านาชาติ (International
Bamboo Congress : IBC) เพิ่งเปลี่ยนมาใช้ “การประชุมไม้ไผ่โลก” เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมานี้เอง
โดยการประชมุ สมั มนา 7 ครง้ั ที่ผา่ นมาไดจ้ ัดข้นึ ในประเทศต่าง ๆ อนั ได้แก่
ครั้งที่ 1 ปี พ.ศ. 2527 จัดขึ้นที่ประเทศเปอร์โตริโก โดยมีสมาคมไม้ไผ่แห่ง
สหรฐั อเมรกิ า เปน็ เจา้ ภาพ
ครั้งที่ 2 ปี พ.ศ. 2531 จัดขึ้นที่ประเทศฝรั่งเศส โดยมีสมาคมไม้ไผ่แห่งยุโรปเป็น
เจ้าภาพ
พมิ พ์ครงั้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 10 (102) : 42–44 (พ.ศ. 2553)
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 361
ครั้งที่ 3 ปี พ.ศ. 2534 จัดขึ้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในรูปของการประชุมเชิงปฏิบัติการ
ด้านไมไ้ ผน่ านาชาติ โดยมีสมาคมไผแ่ ละหวายนานาชาติ หรอื INBAR เปน็ เจา้ ภาพ
ครง้ั ท่ี 4 ปี พ.ศ. 2535 จดั ขึ้นท่ีประเทศญป่ี ุน่ โดยมีรฐั บาลญปี่ ่นุ เป็นเจา้ ภาพ
ครั้งที่ 5 ปี พ.ศ. 2538 จัดขึ้นที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีมูลนิธิไผ่เพื่อสิ่งแวดล้อม
เป็นเจ้าภาพ
ครั้งท่ี 6 ปี พ.ศ. 2541 จัดขน้ึ ที่ประเทศคอสตาริก้า โดยมมี ูลนธิ ิไม้ไผ่เปน็ เจ้าภาพ
ครั้งที่ 7 ปี พ.ศ. 2547 จัดข้ึนทป่ี ระเทศอินเดีย โดยมรี ฐั บาลอินเดียเปน็ เจา้ ภาพ
สำหรับครั้งท่ี 8 นั้น เดิมกำหนดจะจดั ข้ึนท่ีประเทศบราซิลในปี พ.ศ. 2550 แต่เมื่อมี
เหตุการณ์ขัดข้องและต้องยกเลิกไป องค์การไม้ไผ่โลกจึงขอให้ประเทศไทยรับเป็นเจ้าภาพ
แม้จะมีเวลาเตรียมการค่อนข้างน้อย แต่ไทยก็จัดได้ดีเป็นที่ชื่นชอบและได้รับคำชมเชยจาก
ประธานองค์การไมไ้ ผโ่ ลก และผูเ้ ข้าร่วมประชุมเป็นจำนวนมาก
แต่การประชุมสัมมนาดังกล่าวกลับได้รับความสนใจจากผู้บริหารระดับสูงของ
กระทรวง ทบวง กรม ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องน้อยมาก และไม่แน่ใจว่ารัฐบาลไทยจะทราบ
หรือไม่วา่ ในระหวา่ งวนั ที่ 16-19 กนั ยายน 2552 น้ัน ไดม้ กี ารประชุมไมไ้ ผ่โลกครั้งท่ี 8 ข้ึนท่ี
กรุงเทพฯ โดยมีผู้แทนจากประเทศตา่ ง ๆ รวม 41 ประเทศ จำนวนกว่า 400 คนได้เข้าร่วม
ประชุม เพราะไม่มีบุคคลระดับรัฐมนตรีของไทยเข้าร่วมแม้แต่ในพิธีเปิดเลยแม้เพียงคน
เดียว ทั้ง ๆ ที่ผู้เข้าร่วมประชุมจากประเทศที่พัฒนาแล้วต้องเสียค่าลงทะเบียนสูงถึงคนละ
350 เหรยี ญสหรฐั และ 300 เหรยี ญสหรฐั สำหรับผู้เข้ารว่ มประชุมจากประเทศทีก่ ำลังพฒั นา
ท ี ่ เ ป ็ น เ ก ี ย ร ต ิ อ ย ่ า ง ย ิ ่ ง ส ำ ห รั บ
ประเทศไทยกค็ ือการท่ีองค์การไมไ้ ผ่โลกได้
ประกาศให้ วันที่ 18 กันยายน ของทุก ๆ
ปีเป็น “วันไม้ไผ่โลก” (World Bamboo
Day) ซึ่งเป็นที่ทราบกันโดยทว่ั ไปในแวดวง
ปา่ ไมข้ องไทยว่าวันที่ 18 กันยายน เป็นวัน
สถาปนากรมปา่ ไม้ของไทย
หน่วยงานสนับสนุนหลักของไทยในการประชุมสัมมนาครั้งนี้ได้แก่ กรมป่าไม้ กรม
อุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กรมส่งเสริมการเกษตร
กรมสง่ เสริมคณุ ภาพสง่ิ แวดลอ้ ม และกรมส่งเสรมิ การส่งออก
362 รวมเรื่องสวนปา่
หัวข้อการประชุมไม้ไผ่โลกครั้งที่ 8 ได้เน้น
ไปท่ี “ไม้ไผเ่ พอื่ สงิ่ แวดล้อมและการเปล่ียนแปลง
ของภูมิอากาศ” (Bamboo for Environment
and Climate Change) ซึ่งปัญหาโลกร้อนเป็น
เรื่องที่พูดถึงกนั ในแทบทุกวงการ ไม่เว้นแมแ้ ตก่ าร
ประชมุ สมั มนาไมไ้ ผโ่ ลกในครั้งนี้ เพราะไผ่เป็นพืชที่
เติบโตเร็วที่สุดในโลก โตเร็วกว่าไม้ที่นำมาแปรรูป
ใช้สอยทั่ว ๆ ไปราว 20 เท่า และเติบโตเร็วกว่าไม้
โตเร็วประมาณ 3 เท่า ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ไม้ยืน
ต้นส่วนใหญ่เมื่อถูกโค่นล้มตัดฟันแล้ว มีเพียงน้อย
ชนิดเท่านัน้ ท่ไี ม่ตายและสามารถแตกหน่อ (coppice) ไดภ้ ายหลังการตดั ฟนั แต่ในกรณีของ
ไม้ไผ่จะตายเฉพาะลำที่ถูกตัดฟันลงเท่านั้น เหง้า (rhizome) ยังมีชีวิตอยู่ และจะให้กำเนิด
หนอ่ ใหมข่ ึน้ มาทกุ ปี จะตายกต็ อ่ เมื่อออกดอก หรอื “ไผ่ออกขยุ ” เท่านัน้
ได้มีการประมาณกันโดยคร่าว ๆ ว่ากิจกรรมของมนุษย์ทุกวันนี้ได้ปลดปล่อยก๊าซ
คาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศปีละ 30 ล้านล้านตัน เมื่อปริมาณก๊าซคาร์บอนได-
ออกไซด์ในบรรยากาศมีมากขึ้นตามอัตราการเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรโลกและกิจกรรม
ของมวลมนุษย์ โลกกจ็ ะรอ้ นข้นึ เรื่อย ๆ แต่ต้นไมช้ ่วยคลค่ี ลายปัญหาโลกรอ้ นได้ เพราะต้นไม้
จะเติบโตได้ก็ด้วยการสังเคราะหแ์ สง เป็นที่ทราบโดยท่ัวไปแล้วว่าในกระบวนการสังเคราะห์
แสงของพืชนั้นต้องดูดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศเข้าไป แล้วปลดปล่อยก๊าซ
ออกซิเจนออกมาสู่บรรยากาศ เมื่อปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศลดลงอัน
เน่อื งมาจากกระบวนการสังเคราะห์แสงเพอ่ื การเจรญิ เติบโตของพชื ความรอ้ นกจ็ ะลดลงดว้ ย
น่ันคือ ต้นไม้ช่วยแกป้ ญั หาโลกร้อนไดจ้ รงิ และสามารถอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์
ไดจ้ ริงดว้ ย
เมื่อไผ่เป็นพืชที่โตเร็วที่สุดในโลก ป่าไผ่และสวนไผ่จึงเป็นแหล่งเก็บกักคาร์บอนที่
สำคัญของโลก โดยสวนไผ่ 1 ไร่ สามารถเก็บกักคาร์บอนได้ถึง 15-16 ตัน น่ีคือทีม่ าของ “ไม้
ไผเ่ พ่ือสิ่งแวดล้อมและการเปลย่ี นแปลงของภมู ิอากาศ”
ในพิธีเปิดการประชุมสัมมนาไม้ไผ่โลกครั้งที่ 8 นี้ เริ่มด้วย ดร. คาเมช ซาแลม (ชาว
อนิ เดยี ) ประธานองคก์ ารไมไ้ ผ่โลก กล่าวต้อนรบั จากนัน้ เป็นการกลา่ วสุนทรพจนแ์ ละบรรยาย
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 363
พิเศษโดยผู้เชี่ยวชาญด้านไม้ไผ่ในแง่มุมต่าง ๆ จากหลากหลายประเทศ รวมทั้ง ดร. สงคราม
ธรรมมิญช จากคณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ แต่ทสี่ ะกดผู้ฟังทง้ั ห้องกวา่ 400 คน
ในระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์นานประมาณ 30 นาที แล้วทุกคนต่างลุกขึ้นยืนและปรบมือ
พร้อมกันอย่างกึกก้องมากที่สุดคือการบรรยายพิเศษของ ดร. สุรินทร์ พิศสุวรรณ เลขาธิการ
อาเซยี น (ASEAN)
ไฮไลท์ของพิธีเปิดการประชุมสัมมนาอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การประกาศเกียรติคุณ
ผบู้ ุกเบกิ วงวิชาการไมไ้ ผ่ของโลก” หรอื “Bamboo Pioneers” ซ่งึ มอี ยู่ 4 คน คอื
ศาสตราจารย์ ยูเอดะ โคอิชูอิโร (Ueda Koichuiro) (พ.ศ. 2442-2534) แห่ง
มหาวิทยาลัยเกยี วโต ประเทศญี่ปนุ่
นายกริต สามะพุทธิ (พ.ศ. 2454-2534) อดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ และอดีต
ผูอ้ ำนวยการองคก์ ารอุตสาหกรรมปา่ ไมข้ องไทย
ศาสตราจารย์ ดร. ฟลอยด อลอนโซ แมคคลัว (Floyd Alonzo McClure) (ค.ศ.
1897-1970) แหง่ สหรฐั อเมริกา
ศาสตราจารย์ วอลเตอร์ ลเี ซ (Walter Lises) (ค.ศ. 1926- ) แหง่ ประเทศเยอรมนั
สำหรับการประชุมทางวิชาการภาคบรรยายนั้นได้แบ่งออกเป็น 10 สาขาวิชาการ
(Sessions) อันไดแ้ ก่
1. ไผใ่ นประเทศไทยและเอเชยี อาคเนย์ (Bamboo in Thailand and S.E. Asia) ซึ่งผม
ได้รับเกยี รตใิ หท้ ำหนา้ ทีเ่ ปน็ ประธานการประชมุ มีผ้นู ำเสนอผลงานทางวิชาการรวม 10 เรือ่ ง
2. ไผ่และสิ่งแวดล้อม (Bamboo and the Environment) มีผู้นำเสนอผลงานทาง
วชิ าการ 8 เรือ่ ง
3. ชีววิทยาและอนุกรมวิธาน (Biology and Taxonomy) มีผู้นำเสนอผลงานทาง
วิชาการ 6 เรอื่ ง
4. ชุมชนและการพฒั นาเศรษฐกจิ (Community and Economic Development)
มีผูน้ ำเสนอผลงานทางวิชาการ 15 เรือ่ ง
5. ทรัพยากร การปา่ ไม้ สวนปา่ และการอนุรักษ์ (Resources - Forestry, Plantations
and Conservation) มีผู้นำเสนอผลงานทางวิชาการ 12 เร่ือง
364 รวมเร่อื งสวนป่า
6. การผลิต การออกแบบ และภาคอุตสาหกรรม (Production, Design and
Industrial Aspects) มีผูน้ ำเสนอผลงานทางวชิ าการ 12 เรื่อง
7. คุณสมบตั ิของวัสดุ (Material Properties) มผี ู้นำเสนอผลงานทางวิชาการ 6 เรอื่ ง
8. พืชสวน (Horticulture) มีผู้นำเสนอผลงานทางวชิ าการ 13 เร่ือง
9. สถาปัตยกรรมและวิศวกรรม (Architecture and Engineering) มีผู้นำเสนอ
ผลงานทางวชิ าการ 9 เร่ือง
10. ความรว่ มมอื เพอ่ื โลกที่ดีกวา่ (In Partnership for better World) มีผู้นำเสนอ
ผลงานทางวชิ าการ 5 เรอ่ื ง
นอกจากการนำเสนอผลงานทางวิชาการภาคบรรยายโดยนักวชิ าการจากประเทศตา่ ง ๆ
แล้ว ยังมีการนำเสนอผลงานทางวิชาการภาคโปสเตอร์ และการจัดนิทรรศการด้าน
ไม้ไผ่ในทุกแง่มุม รวมทั้งกรมป่าไม้ได้จัดพิมพ์หนังสือ “ไม้ไผ่ในประเทศไทย” (Bamboos
in Thailand) ออกแจกจ่ายอีกดว้ ย
ส่วนในวันสุดท้าย (19 กันยายน 2552) ได้มีการทัศนศึกษาดูงานสวนไผ่ในจังหวัด
ปราจนี บุรี และจบลงด้วยการให้ผูแ้ ทนจากประเทศต่าง ๆ ทกุ ประเทศทีเ่ ขา้ รว่ มประชมุ ได้ปลูก
ไม้ไผ่ไว้เป็นที่ระลึกที่ศูนย์ศึกษาเพื่อการพัฒนาอันเนื่องมาจากพระราชดำริ เขาหินซ้อน
จงั หวดั ฉะเชิงเทรา ซงึ่ กรมป่าไมโ้ ดยคณุ สมิต บุญเสริมสุข เป็นผู้จดั เตรียมกลา้ ไม้ไผ่ชนิดตา่ ง ๆ
ให้ปลกู
นี่คอื เกยี รตปิ ระวตั ิอันสงู สง่ ในวงการไม้ไผ่ของประเทศไทย เพราะนอกจากจะไดร้ ับ
การคัดเลือกให้เป็นประเทศเจ้าภาพแล้ว คนไทยคนหนึ่ง (นายกริต สามะพุทธิ) ยังได้รับ
การประกาศให้เป็น Bamboo Pioneer ของโลก และวันสถาปนากรมป่าไม้ของไทย
(18 กันยายน) กไ็ ด้ประกาศเป็นวนั ไม้ไผโ่ ลก World Bamboo Day อกี ด้วย
63 สรุปผลงานวจิ ัย
การปลูกไมย้ ูคาลปิ ตสั บนคนั นา
เมื่อวันศุกร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ได้จดั ให้มกี ารประชมุ สัมมนาสรุปผลงานวิจยั “การปลกู ไมย้ ูคาลิปตสั บนคันนา”
ที่ห้องประชุมสง่าสรรพศรี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เพื่อถ่ายทอด
ผลงานวิจยั ท่ีได้ไปสู่เกษตรกร นักวิจัย นิสิตนักศึกษา และประชาชนผู้สนใจทั่วไป มีผู้เข้าร่วม
ประชมุ สัมมนารวมทงั้ ส้นิ 296 คน
โครงการวิจัยการปลูกไม้ยูคาลิปตัสบนคันนา เป็นชื่อที่เรียกขานกนั ท่ัว ๆ ไปอย่างไม่
เป็นทางการของ “โครงการวิจัยเชิงบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาความยากจนในชนบทโดย
เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินด้วยการปลูกไม้โตเร็ว” ซึ่งมี ดร.บุญวงศ์ ไทย
อุตส่าห์ เป็นหัวหน้าชุดโครงการ ดร. นิคม แหลมสัก ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยป่าไม้ เป็นผู้
ประสานงานวจิ ยั ได้รับทุนอดุ หนนุ การวจิ ยั จาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.)
ภายใต้การสนับสนุนการปฏิบัติงานภาคสนามจาก กลุ่มพันธมิตรดับเบิ้ลเอ หรือ สวนกิตติ
อันประกอบด้วย บริษัทพีซีเอส แมเนจเม้นท์ จำกัด บริษัท สมาชิกส่งเสริม จำกัด และ
บริษัทยูคาลิปตัส เทคโนโลยี จำกัด ในกรอบเวลา 3 ปี คือระหว่างเดือนกรกฎาคม 2548
ถึงมิถุนายน 2551 แต่ด้วยความล่าช้าของงานเอกสารซึ่งไม่สอดรับกับฤดูกาลปลูกและงาน
ภาคสนาม จึงได้ขยายระยะเวลาการปฏิบัติงานวิจัยออกไปอีก 1 ปี เป็นสิ้นสุดโครงการใน
เดือนมิถุนายน 2552 โดยในช่วงเวลาดังกล่าวคณะนักวิจัยได้จัดให้เกษตรกร นักวิชาการ
และประชาชนผู้สนใจทั่วไปจำนวนกว่า 200 คน ไปศึกษาดูงานการวิจัยภาคสนามในท้องท่ี
อำเภอพนมสารคาม และอำเภอสนามชัยเขต จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 9 พฤศจิกายน
2551 ครงั้ หนงึ่
ชุดโครงการวจิ ัยการปลกู ไมย้ คู าลิปตัสบนคนั นา ประกอบด้วยโครงการวจิ ยั 9 โครงการ
อนั ไดแ้ ก่
พิมพค์ ร้งั แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 10 (104) : 33–35 (พ.ศ. 2553)
366 รวมเรอื่ งสวนปา่
1. การปลูกไม้ยูคาลิปตัสต่างสายต้นบนคันนา มี นายวิฑูรย์ เหลืองวิริยะแสง
(กรมป่าไม)้ เปน็ หวั หนา้ โครงการ
2. การปลูกไม้ยูคาลิตัสบนคันนาด้วยระยะห่างระหว่างต้นต่าง ๆ กัน มี นายบพิตร
เกยี รติวฒุ นิ นท์ (กรมป่าไม้) เป็นหวั หน้าโครงการ
3. การปลูกไมย้ ูคาลิปตัสบนคันนา ตามแนวรั้วและหน้าบ้าน-หลังบา้ น มี ดร.เริงชยั
เผา่ สจั จ (ขา้ ราชการบำนาญ กรมปา่ ไม)้ เป็นหัวหน้าโครงการ
4. การปลูกไม้ยูคาลิปตัสบนคันนาปรับแต่งในฤดูแล้งอย่างประณีต มี นายพิรัตน์
นาครินทร์ (สมาคมรณรงค์ปลกู ป่าภาคเอกชนแหง่ ประเทศไทย) เปน็ หัวหนา้ โครงการ
5. การใชน้ ำ้ และประสิทธิภาพการใชน้ ำ้ ของไม้ยูคาลิปตัสทป่ี ลูกบนคันนา มี ดร. จงรัก
วัชรนิ ทรร์ ัตน์ (คณะวนศาสตร)์ เป็นหวั หนา้ โครงการ
6. การกระจายของรากและการร่วงหล่นของซากพืชของไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกบนคันนา
และผลกระทบต่อดนิ มี ดร. ร่งุ เรอื ง พลู ศริ ิ (คณะวนศาสตร์) เป็นหัวหนา้ โครงการ
7. การกกั เกบ็ คารบ์ อนของไมย้ คู าลปิ ตสั ที่ปลูกบนคนั นา มี ดร. สาพศิ ดิลกสัมพันธ์
(คณะวนศาสตร์) เปน็ หัวหน้าโครงการ
8. ผลตอบแทนทางการเงินของการปลูกไม้ยูคาลิปตัสบนคันนา มี นายณัฐวัฒน์
คลงั ทรพั ย์ (สถาบนั วจิ ยั และพฒั นาแห่งมหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร)์ เป็นหวั หนา้ โครงการ
9. การปลูกไม้ยูคาลิปตสั แทรกเป็นแถบในแปลงมนั สำปะหลงั มี นายทศพร วัชรางกูร
(กรมป่าไม้) เปน็ หัวหนา้ โครงการ
หากมองในแง่ของระบบวนเกษตร จะเห็นไดว้ ่ามีโครงการสุดท้ายเพียงโครงการเดยี ว
เท่านั้นท่มี มี ันสำปะหลงั เปน็ พชื ควบ ท่ีเหลือทั้งหมดมีข้าวขาวดอกมะลิ 105 เปน็ พชื ควบ
เป็นที่ทราบกันโดยทั่วไปแล้วว่า ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักของประเทศไทย ซึ่งทำ
สถิติการส่งออกเป็นอับดับหนึ่งของโลกติดต่อกันมายาวนานกว่า 20 ปีแล้ว โดยสำนักงาน
เศรษฐกิจการเกษตรได้รายงานว่าประมาณร้อยละ 65 ของครัวเรือนเกษตร หรือราว 3.7
ล้านครัวเรือน ซึ่งมีประชากรประมาณ 15.54 ล้านคน ทำนาปลูกข้าวเป็นพืชหลัก โดยในปี
พ.ศ. 2550 ประเทศไทยมีเนื้อที่นาข้าวรวม 70.187 ล้านไร่ แบ่งเป็นพื้นที่ข้าวนาปี 57.386
ล้านไร่ (ร้อยละ 81.76) และพื้นที่ข้าวนาปรัง 12.801 ล้านไร่ (ร้อยละ 18.24) หรือพื้นท่ี
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 367
ข้าวนาปี (นาอาศัยน้ำฝน) มากกว่าข้าวนาปรัง (นาที่มีระบบชลประทาน) ถึง 4.48 เท่า แต่
ผลผลิตต่อไร่ของข้าวนาปรงั สงู กวา่ ข้าวนาปี 1.57 เท่า
นั่นคือ ข้าวนาปีมีผลผลิตเฉลี่ย 433 กิโลกรัม/ไร่/ปี ในขณะที่ข้าวนาปรังให้
ผลผลิตเฉลี่ยไร่ละ 680 กิโลกรัม/ปี ซึ่งสูงกว่าผลผลิตของข้าวเฉลี่ยทั่วโลก คือ 667
กิโลกรมั /ไร/่ ปี เพียงเลก็ นอ้ ยเทา่ น้นั
แต่อยา่ งไรกต็ าม รฐั บาลไทยทกุ ยคุ ทกุ สมยั ควรจะตระหนักอยูต่ ลอดไปว่า แม้ประเทศ
ไทยจะส่งออกข้าวเป็นอันดับหนึ่งของโลก แต่ผลผลิตข้าวต่อไร่ของไทยกลับต่ำที่สุดใน
กลุ่มอาเซียน โดยผลผลิตเฉลี่ยทั่วประเทศมีเพียง 481 กิโลกรัม/ไร่/ปี เท่านั้น ต่ำกว่า
ฟลิ ิปปินส์ (602 กิโลกรมั /ไร่/ปี) พมา่ (636 กโิ ลกรัม/ไร่/ปี) อนิ โดนเี ซยี (750 กโิ ลกรัม/ไร่/ปี)
และเวยี ดนาม (779 กิโลกรัม/ไร/่ ป)ี
โดยเฉพาะเวยี ดนามซึ่งเปน็ คู่แข่งสำคัญของไทย และกำลังจะก้าวแซงหน้าไทยใน
แทบทุกกรณี มีผลผลิตต่อไร่ของข้าวสูงกว่าไทยถึง 1.62 เท่า นั่นคือ 779 กับ 481
กิโลกรัม/ไร/่ ปี
ที่น่าวิตกยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พื้นที่ปลูกข้าวนาปีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยมี
ถงึ 32.774 ล้านไร่ หรอื ร้อยละ 57.11 ของพื้นท่ีปลกู ข้าวนาปีท่วั ประเทศ แตใ่ ห้ผลผลติ เพียง
338 กิโลกรัม/ไร่/ปี เท่านั้น นั่นคือ ผลผลิตเฉลี่ยต่อไร่ต่อปีของเวียดนามสูงกว่าข้าวนาปรัง
ของไทย 1.15 เทา่ และสงู กวา่ ข้าวนาปีในภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือถงึ 2.30 เท่า
เมื่อความจริงเป็นเช่นนี้แล้ว ไทยจะเอาอะไรไปสู้กับเวียดนามล่ะ และเม่ือ
ข้อเท็จจริงเป็นเช่นนี้ก็คงจะต้องยอมรับกันได้แล้วว่า นี่คือสาเหตุที่แท้จริงของความ
ยากจนของชาวนาไทย
ชาวนาไทยยากจนเพราะผลผลิตของข้าวทั้งจากนาปรังและนาปีต่ำมาก หนทางที่
น่าจะเยยี วยาความยากจนไดร้ ะดับหนึ่งก็คือการเพิม่ ประสทิ ธิภาพการใชป้ ระโยชน์ที่ดินของ
ชาวนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคอื คันนาซึ่งปล่อยทิ้งร้างว่างเปล่าไว้ปีแลว้ ปีเล่า รวมทั้งที่ว่างตาม
แนวรวั้ ขอบเขตทดี่ ิน และบริเวณหน้าบ้าน–หลงั บ้าน
นค่ี ือท่มี าของโครงการวจิ ยั การปลกู ไม้โตเรว็ บนคันนา
ไม้โตเร็วมีมากมายหลายชนิด แต่ไม้โตเร็วที่มีอายุการตัดฟันสั้น (short rotation)
ไม่เกิน 7 ปี มีผลผลติ เฉลี่ยไม่น้อยกว่า 3 ตัน/ไร่/ปี และมีศักยภาพในเชิงพาณิชย์สูง มีตลาด
368 รวมเรื่องสวนป่า
รองรับที่แน่นอน ในขณะนี้คงจะไม่มีไม้อะไรโดดเด่นเท่าไม้ยูคาลิปตัสคามาลดูเลนซิส
(Eucalyptus camaldulensis)
นี่คอื ทม่ี าของโครงการวิจัยการปลูกไม้ยคู าลปิ ตัสบนคันนา
ไมย้ คู าลปิ ตสั ทน่ี ำมาใช้ทดลองในโครงการน้มี ี 4 สายตน้ (clone) อนั ได้แก่
K7 เป็นลูกผสมระหว่างยคู าลิปตัสคามาลดูเลนซิส กับยูคาลปิ ตสั ดกี ลปุ ตา้ (E. deglupta)
K51 พฒั นามาจากไม้ยูคาลปิ ตัสคามาลดูเลนซิสที่ปลูกอยใู่ นประเทศไทย
K58 พฒั นามาจากไม้ยูคาลปิ ตสั ยูโรฟลิ ลา (E. urophylla) ท่ีปลูกอยู่ในประเทศจนี
K59 เปน็ ลูกผสมระหว่างยูคาลปิ ตสั แกรนดิส (E. grandis) กับยคู าลปิ ตัสแบรสเซยี นา
(E. brassiana)
สำหรับการทดสอบสายต้นของไม้ยูคาลิปตัสโดยปลูกแถวเดี่ยว บนคันนาปกติ
ระยะห่างระหว่างต้น 1.0 เมตร หรือ 109 ต้น/ไร่ พบว่า K58 เติบโตดีที่สุด รองลงมาคือ
K59 ในขณะท่ี K51 เตบิ โตชา้ ท่ีสุด โดยเม่อื ไมม้ ีอายุครบ 3 ปีเตม็ K58 มีผลผลิตมวลชีวภาพ
(นำ้ หนักอบแห้ง) ของลำตน้ เฉล่ยี ต้นละ 22.25 กโิ ลกรมั หรือ 2,425 กโิ ลกรัมต่อไร่ ในขณะท่ี
K51 มีผลผลติ มวลชวี ภาพของลำต้นเพียง 13.0 กิโลกรมั ตอ่ ต้นเทา่ น้ัน
ไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกแถวเดี่ยว ระยะห่าง 1.0 เมตร ไม่มีอิทธิพลใด ๆ ต่อผลผลิต
ของข้าวนาปีทั้งสิ้น ไม่ว่าผลกระทบอันเนื่องมาจากสายต้นและอายุของไม้ยูคาลิปตัส
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 369
หรือทิศทางของคันนา โดยผลผลิตของข้าวที่มีการปลูกไม้ยูคาลิปตัสบนคันนาเฉลี่ย 3 ปี
เท่ากบั 540 กิโลกรมั /ไร/่ ปี เท่ากับผลผลิตของข้าวนาปีที่ไมไ่ ด้ปลูกไม้ยูคาลิปตัสไว้บนคันนา
แต่นาปีที่สนามชัยเขตให้ผลผลิตของข้าว (586 กิโลกรัม/ไร่/ปี) สูงกว่าที่พนมสารคาม (490
กิโลกรมั /ไร/่ ป)ี
สว่ นการศึกษาระยะหา่ งระหว่าง
ต้นของ K51 ที่ปลูก 5 ระยะ คือ 0.5,
1.0, 1.5, 2.0 และ 2.5 เมตร ซึ่งมี
จำนวนต้นไม้ไร่ละ 218, 109, 73, 55
และ 44 ต้น ตามลำดับ แม้จะพบว่า
ระยะที่ปลูกที่ห่าง ได้ไม้ที่มีขนาดใหญ่
กว่าการปลูกถี่ก็ตาม แต่เมื่อคำนึงถึง
ขนาดและปริมาณของไม้ที่จะขายเป็น
สินค้าได้แล้วก็พบว่า ระยะห่างระหว่างต้น 1.5 เมตร หรือ 73 ต้นต่อไร่เป็นระยะปลูกที่
เหมาะสมท่ีสดุ โดยไดผ้ ลผลติ มวลชวี ภาพของลำต้นเมื่ออายุ 3 ปีเท่ากับ 2,350 กโิ ลกรมั /ไร่ แต่
ไม้ที่บ้านหนองนกเอี้ยงให้ผลผลิตมวลชีวภาพของลำต้น (3.9 ตัน/ไร่) สูงกว่าที่บ้านเกาะขนุน
(1.3 ตนั /ไร)่ ถึง 3 เทา่ ทงั้ ทท่ี ง้ั สองหมบู่ ้านตา่ งกต็ ้งั อย่ใู นท้องท่ีอำเภอพนมสารคามดว้ ยกนั
การใช้น้ำและประสิทธิภาพการใช้น้ำทางชีววิทยาของไม้ยูคาลิปตัสก็เป็นเรื่องที่มีการ
ถกเถียงกันมายาวนาน ในการวิจัยครั้งนี้ได้ทำการศึกษากับไม้ยูคาลิปตัส K7, K51 และ K58
พบว่าปริมาณน้ำที่ไม้อายุ 3 ปีใช้แตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ หรือไม่แตกต่างกัน
ระหว่างสายต้นนน่ั เอง โดยสายต้น K7 ใชน้ ำ้ 4,069 ลิตร/ตน้ /ปี K51 ใช้น้ำ 3,405 ลิตร/ต้น/
ปี และ K58 ใชน้ ้ำ 3,264 ลติ ร/ต้น/ปี หรืออาจจะกลา่ วอีกนัยหนึง่ ได้วา่ ไมย้ คู าลปิ ตสั อายุ 3 ปี
ใช้น้ำประมาณต้นละ 9–11 ลิตร/วัน ใช้น้ำมากที่สุดในระหว่างเดือนพฤศจิกายน-มกราคม
ซ่ึงเป็นหนา้ หนาว สายต้น K58 มปี ระสิทธิภาพการใชน้ ้ำสงู ท่ีสดุ คอื น้ำ 1 ลิตรสร้างเน้ือไม้
ได้ 11.87 กรมั ในขณะท่ี K51 มีประสทิ ธิภาพการใชน้ ำ้ ตำ่ ท่ีสดุ (5.02 กรมั /ลติ ร)
ผลกระทบต่อดินก็มีการพดู ถงึ กันมาก ผลการวจิ ัยสรุปได้วา่ การปลกู ไมย้ คู าลปิ ตัสบน
คันนาไม่มีผลกระทบต่อคุณสมบัติทั้งทางกายภาพและทางเคมีของดิน นอกจากนี้ยัง
ปรากฏว่าการปลูกไม้ยูคาลิปตัสบนคันนาทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพของ
จุลินทรยี ์ เชอ้ื รา และแบคทีเรยี ในดินเพม่ิ ขน้ึ อันเปน็ ผลมาจากการรว่ งหล่นของเศษซากพืช
370 รวมเรือ่ งสวนป่า
และรากของไมท้ ่ถี ูกไถพรวนในระหวา่ งการเตรียมพืน้ ท่ที ำนาทำใหป้ ริมาณอินทรียวัตถุในดิน
เพิ่มขึ้น ส่วนการศึกษาเกี่ยวกับการกระจายของรากก็พบว่า K58 มีมวลชีวภาพของรากมาก
ท่ีสดุ ในขณะที่ K7, K58 และ K59 เป็นสายต้นท่มี รี ะบบรากตืน้ ส่วน K51 มรี ะบบรากลกึ
เกี่ยวกับการกักเก็บคาร์บอนก็พบว่าสายต้น K58 ซึ่งมีมวลชีวภาพสูงสุดก็สามารถ
เก็บกักคาร์บอนไดม้ ากที่สุด แต่ปริมาณคาร์บอน (carbon content) ไม่แตกต่างกันระหว่างสาย
ต้น ทวา่ การสังเคราะห์แสงสทุ ธสิ ูงสุดแตกต่างกันระหว่างสายตน้ อยา่ งมนี ัยสำคัญยง่ิ ทางสถติ ิ
นอกจากน้ี การศึกษาวจิ ยั ดังกล่าวยงั พบวา่ การปลกู ไมย้ ูคาลปิ ตสั เพื่อเป็นแหล่งรายได้
เสริมบนคันนาเติบโตดีกว่าการปลูกตามแนวรั้วและตามบริเวณหน้าบ้าน–หลังบ้าน หากจะ
ปลูกในหน้าแล้งโดยรดน้ำให้เต็มหลุมก่อนปลูกเพียงครั้งเดียว การปลูกในเดือนมกราคม
ต้นไม้เติบโตเร็วกว่าการปลูกในเดือนกุมภาพันธ์ มีนาคม และเมษายน การปลูกบนคันนา
ปกติแถวเดียวให้ผลตอบแทนทางการเงินสูง
กว่าการปลูกบนคนั นาปรับแตง่ (กวา้ ง 1.50–
1.60 เมตร) สองแถวแบบสลับฟันปลา และ
ไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกแทรกในแปลงมัน
สำปะหลังตามระบบวนเกษตรเติบโตเร็ว
กว่าไม้ยูคาลิปตัสที่ปลูกโดยไม่มีมัน
สำปะหลังเป็นพชื ควบ
ผลการศึกษาวจิ ัยครง้ั นี้พอจะสรปุ ส้ัน ๆ ได้ 4 ประการ คือ (1) การปลูกไมย้ คู าลิปตัส
บนคันนาไม่มีผลกระทบต่อผลผลิตของข้าวนาปี (2) อัตราการเติบโตของไม้ยูคาลิปตัส
ขึ้นอยู่กับพันธุกรรม พื้นที่ปลูก และระยะปลูก ณ ที่นี้พบว่าสายต้น K58 เติบโตดีที่สุด (3)
ระยะห่างระหว่างคันนาที่แนะนำคือ 40 x 40 เมตร และระยะห่างระหว่างต้นที่ปลูกบนคัน
นาแถวเด่ียวคือ 1.50 เมตร ซึง่ จะมตี น้ ไม้ 73 ตน้ ต่อไร่ และคาดวา่ จะได้นำ้ หนักของลำต้นท่ี
ขายได้เม่ืออายุ 5 ปี ประมาณ 5–7 ตันตอ่ ไร่ และ (4) ชาวนาตอ้ งทำนาปลูกข้าว ให้ปลูกไม้
ยคู าลิปตสั เฉพาะบนคนั นาเพ่อื เป็นแหล่งรายไดเ้ สรมิ เท่าน้ัน
น่คี ือบทสรปุ ของโครงการวจิ ัยเชงิ บูรณาการเพื่อแกป้ ญั หาความยากจนในชนบท
โดยเพ่ิมประสทิ ธภิ าพการใช้ประโยชนท์ ่ีดนิ ด้วยการปลกู ไม้โตเรว็
64 หยนี ้ำ : พชื พลังงานชนิดใหม่
ทีค่ นไทยยงั มองขา้ ม
วันนี้ (12 เมษายน 2553) ราคาน้ำมันปั๊ม ปตท. ในกรุงเทพฯ เบนซิน 91 ลิตรละ
37.74 บาท แกสโซฮอลล์ 95 ลิตรละ 34.14 บาท ดีเซลลิตรละ 28.59 บาท และมีแนวโนม้
ว่าจะปรับขึ้นต่อไปอีกเรื่อย ๆ เพราะเฉพาะในสัปดาห์ที่ผ่านมาเพียงสัปดาห์เดียว ปตท. ได้
ประกาศปรับขึ้นราคาน้ำมันทุกชนิดถึง 2 ครั้ง คือลิตรละ 60 สตางค์ และ 50 สตางค์ รวม
1.10 บาทต่อลติ ร
เมื่อโลกเกิดวิกฤตพลังงาน รัฐบาลไทยก็ตื่นตัวฮือฮาเสาะหาพลังงานทดแทนจาก
หลากหลายแหล่ง อาทิ พลังงานน้ำ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม รวมทั้งพืชพลังงาน แต่
เมื่อปัญหาดังกล่าวคลีค่ ลายลง ประเทศไทยก็เลิกศึกษาพัฒนางานวิจัยในเรื่องนี้ เป็นเช่นนีม้ า
ตั้งแต่อดีตจนถึงทุกวันน้ี อย่างเช่นเม่ือเกิดวกิ ฤตพลังงานครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทย
โดยการพลังงานแห่งชาติ และกรมป่าไม้ ภายใต้การสนับสนุนของสหรัฐอเมริกาโดยยูเสด
(USAID) ก็มีโครงการป่าฟืนชุมชนสำหรับหมู่บ้าน หรือ Village Woodlot ขึ้น โดยใช้พื้นที่
ดินเค็ม 7 จังหวัด (ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ มหาสารคาม ขอนแก่น ยโสธร สุรินทร์ และศรีสะเกษ)
ของทุ่งกุลาร้องไห้เป็นโครงการนำร่องศึกษาวิจัยการปลูกไม้ยูคาลิปตัสเพื่อนำเนื้อไม้มาใช้ทำ
ฟืน ถา่ น และผลิตกระแสไฟฟา้ แตโ่ ครงการดงั กลา่ วกเ็ ลกิ ราไปเม่อื ราคาน้ำมันคอ่ ยๆ ลดต่ำลง
ครั้นเมื่อโลกเกิดวิกฤตพลังงานรอบสองขึน้ เมื่อเรว็ ๆ นี้ ประเทศไทยกเ็ ร่ิมรือ้ ฟ้ืนเร่อื ง
เดิม ๆ ขึ้นมาพูดกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพลังงานจากพืช หรือ ไบโอดีเซล
อาทิ แกลบ อ้อย มันสำปะหลัง และสบู่ดำ ฯลฯ
แต่เป็นที่น่าสังเกตว่ารัฐบาลไทยโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน
ไม่เคยพดู ถึงหยนี ้ำวา่ เปน็ พืชพลังงานชนิดใหมท่ ่ีควรค่าแกก่ ารศกึ ษาวจิ ยั เลยแมแ้ ต่นอ้ ย
พมิ พค์ รัง้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 10 (106) : 33–35; 10 (108) : 33–35 (พ.ศ. 2553)
372 รวมเร่อื งสวนปา่
หยีน้ำ หรือที่ชาวบ้านแถวจังหวัดระนองเรียกว่า หยีทะเล มีชื่อเรียกแตกต่างกันไป
ตามแต่ละท้องถิ่น ที่ชุมพรเรียกว่า ขยี้ ภาษามาเลย์ที่นราธิวาสเรียกว่า ปารี ในขณะที่ปัตตานี
เรียกว่า มะปากี เป็นพืชตระกูลถั่ว วงศ์ Leguminosae วงศ์ย่อย Papilionoideae เดิมมี
ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Derris indica (Lam) Bennett ซึ่งพืชตระกูลนี้ในประเทศไทยส่วนใหญ่
เป็นไม้เถาว์ อาทิ เถาตาปลา เถาวัลย์เปรียง ย่านสาวคำ เครือตาปลา หางปลาไหล ยานะเละ
ชะเอมเหนือ และถอบแถบน้ำ ส่วนที่เป็นไม้ต้นหรือไม้ยืนต้นมีเพียง 3 ชนิดเท่านั้น คือ หยีน้ำ
(Derris indica) กางขีม้ อด (Derris kerrii) และขีม้ อด (Derris robusta) และมที ่คี าบเกี่ยวระหว่าง
ไม้พุ่มขนาดใหญ่กบั ไม้ยืนต้นขนาดเลก็ อีก 1 ชนิด คอื คา่ งเตน้ (Derris dalbergioides)
สำหรับหยีน้ำนั้น แต่เดิมใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Derris indica แต่ขณะนี้ได้เปลี่ยนมา
เป็น Pongamia pinnata (L.) Pierre แทน มีชื่อพ้อง (synonyms) 4 ชื่อ คือ Derris
indica (Lam) Bennett, Pongamia glabra Vent., Millettia pinnata L. Panigrahi และ
Millettia novoguineensis Kane & Hat. มีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษหลายชื่อ เช่น Indian
beech tree, Honge tree, Karanga tree, Oil tree, Pongam tree และ Pongamia tree
จะเรียกวา่ Derris indica หรอื Pongamia pinnata ก็ตาม แตห่ ยนี ำ้ ก็เป็นพืชพลังงาน
ชนิดใหม่ทีน่ า่ สนใจอยา่ งยิ่ง จนชุมชนทางตอนใต้ของประเทศอินเดียซึง่ เปน็ เขตแหง้ แล้งกวา่
40,000 ครอบครัว ได้ปลูกหยนี ้ำมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2546 รวมเนื้อที่กว่า 250,000 ไร่ และจดั
ให้หยีน้ำเปน็ ไมท้ ่ีให้เมลด็ แหง่ ความหวัง (Seeds of Hope) สำหรบั พวกเขาเลยทีเดียว
หยีน้ำเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง
ผลัดใบ เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก
ประมาณ 50 เซนติเมตร ส่วนใหญ่มี
ความสูงเฉลี่ยประมาณ 8-10 เมตร แต่
บางเอกสารรายงานว่าสูงถึง 15-25
เมตร รวมทั้งต้นที่ปลูกเป็นไม้ให้ร่มไว้ที่
หลังตึกเทียม คมกฤส คณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ อายุ
ประมาณ 28 ปี เส้นผา่ นศนู ยก์ ลางเพยี ง
อก 30 เซนติเมตร สูงราว 20 เมตร ลำต้นค่อนข้างคดงอ เรือนยอดแผ่กว้างสมดุล แต่มีกิ่ง
ก้านมากเช่นเดียวกับไม้กระถินณรงค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากขึ้นอยู่ในที่โล่งแจ้ง กิ่งลู่ลง ใบ
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 373
แตกใหม่มีสีเขียวอ่อน เป็นมัน ดูสดใสคล้ายใบส้ม
และค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้มเมื่อเริ่มแก่ข้ึน
ดอกเป็นช่อสีชมพูม่วง บานตลอดปี ให้ดอกเมื่อ
ต้นไม้มีอายุ 3-4 ปี และติดเมล็ดเมื่ออายุ 4-6 ปี
เมล็ดยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร อยู่ในฝักรูป
คล้ายตาคน ฝักละ 1-2 เมล็ด ระบบรากหนาแนน่
แข็งแรง จึงป้องกันการพังทลายของดินตามแนว
ชายฝั่งได้ดี การที่มีรากแก้วลึกจึงทำให้หยีน้ำเป็น
พืชที่ทนแล้งได้ดี รวมทั้งการที่เป็นพืชตระกูลถ่ัว
จึงสามารถตรึงก๊าซไนโตรเจนจากบรรยากาศแลว้
เปลี่ยนเป็นแอมโมเนียซึ่งเป็นรูปของไนโตรเจนท่ี
เปน็ ประโยชนต์ อ่ พชื
หยีน้ำเป็นไม้พืน้ เมอื งของประเทศไทย พม่า อินเดีย บังคลาเทศ และเนปาล ได้มีการ
นำไปปลูกและมีสถานภาพเป็นไม้ต่างถิ่นของหลายประเทศ อาทิ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์
อยี ปิ ต์ ซดู าน สหรฐั อเมริกา (ฟลอรดิ า) จีน ญี่ปนุ่ อินโดนเี ซยี มาเลเซีย ฟิลปิ ปินส์ ปากีสถาน
และศรลี ังกา ฯลฯ
การที่ขึ้นได้ดีนอกถิ่นกำเนิดตามธรรมชาติทั้งในเอเชีย แอฟริกา ออสเตรเลีย และ
อเมรกิ า กเ็ ป็นเพราะหยีน้ำเปน็ ไมท้ ม่ี ขี อ้ จำกัดทางชวี กายภาพในการขึ้นอยู่น้อย นนั่ คือ ขึ้นได้
ดีในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย กว้างขวาง เช่น ความสูงจากระดับน้ำทะเลตั้งแต่ 0 ถึง
1,200 เมตร อุณหภูมิตั้งแต่ต่ำกว่า 0 องศาเซลเซียสเล็กน้อยไปจนถึง 50 องศาเซลเซียส
ปริมาณน้ำฝนตั้งแต่ 500-2,500 มิลลิเมตรต่อปี แต่ที่จังหวัดระนองฝนตกเฉลี่ยเกินกว่า
ปีละ 3,000 มิลลิเมตร หยีน้ำก็ข้ึนไดด้ ีเช่นกัน และขึ้นได้ในดินแทบทกุ สภาพไม่วา่ จะเป็นดนิ
ทรายที่เก็บน้ำไม่ค่อยได้ แห้งแล้ง ดินเหนียวซึ่งการระบายน้ำเลว มีฤทธิ์เป็นกรด ดินหินปูน
ซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่าง หรือแม้แต่ดินเค็มซึ่งเรือนรากแช่อยู่ในน้ำกร่อย/น้ำเค็ม แต่จะชอบและ
เจริญเติบโตได้ดีในที่ดินลึก ซึ่งมีการระบายน้ำดี เนื้อดินเป็นดินร่วนปนทราย และมีปริมาณ
ความชนื้ อยใู่ นดินมากพอสมควร
แม้ไม่สามารถจัดหยีน้ำอยู่ในกลุ่มไม้ 3 อย่างเพื่อประโยชน์ 4 อย่าง เพราะไมม่ สี ่วน
ใดของไม้ชนิดนี้ที่จะกินเป็นอาหารได้ก็ตาม แต่หยีน้ำก็สามารถจัดเป็นไม้อเนกประสงค์ได้
เช่นกัน เพราะแทบทกุ ส่วนมปี ระโยชน์ในแงม่ มุ ตา่ ง ๆ ยกเวน้ การนำมาบรโิ ภคเปน็ อาหาร
374 รวมเรื่องสวนปา่
การที่มีใบสีเขียวสด เรือนยอดแน่น สมดุล
ดอกเป็นช่อสีชมพูอมม่วง กลิ่นหอม บานตลอดปี
ขน้ึ ไดด้ ีทงั้ ในท่โี ลง่ แจง้ และใตร้ ม่ เงาของไมอ้ ่ืน หยีน้ำ
จึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นไม้ให้ร่มในสวนสาธารณะ
และตามแนวถนนในเมือง แต่จุดอ่อนในเรื่องนี้อยู่ท่ี
ฝักและเมล็ดในฝักซึ่งเมื่อร่วงหล่นลงสู่พื้นถนนและ
ถูกยานพาหนะบดทับทำให้ถนนสกปรกเช่นเดียวกนั
ฝกั ไม้จามจุรีท่รี ่วงหลน่ ลงบนถนนและลานจอดรถ
การที่มีรากแก้วลึก ระบบรากด้านข้างแน่น
แข็งแรง ขึ้นได้แม้ในที่ดินเปรี้ยว และดินเคม็ หยีนำ้
จึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นพืชเบิกนำเพื่อสร้างสีเขียวให้แก่ที่ดินซึ่งมีปัญหาดังกล่าว รวมทั้ง
ปลูกเพื่อป้องกนั การพังทลายของดินตามแนวหาดทรายชายทะเล และปลูกเป็นแนวป้องกนั
ลมพายุในทโี่ ลง่ แจ้งทัว่ ๆ ไป
เปลือกของไม้หยีน้ำให้ยางสีดำซึ่งในสมัยโบราณนิยมนำมาใช้ใส่แผลอันเกิดจากปลา
พิษกัด ในขณะที่ประเทศฟิลิปปินส์ได้นำเปลือกไม้หยีน้ำมาขวั้นทำเป็นเชือกคล้ายป่าน
มะนลิ า
ใบใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในท้องถิ่นที่แห้งแล้ง เพราะใบไม้หยีน้ำมีคา่
โปรตีนสูง รวมทั้งภายใต้ร่มเงาของต้นหยีนำ้ ก็มีหญ้าอาหารสัตว์ขึ้นไดด้ ดี ว้ ย ส่วนใบแหง้ หาก
ใส่ไว้ในหอ้ งหรอื ภาชนะทเ่ี ก็บเมลด็ ธญั พืช ก็จะมีกล่นิ ซ่งึ ชว่ ยไล่มด แมลงได้
ดอกใชท้ ำปยุ๋ หมักไดอ้ ย่างดี
เนอ้ื ไมส้ ขี าวอมเหลือง ค่อนข้างแข็งแรง ในอินเดียนิยมใช้ทำฟนื ใหค้ า่ ความร้อน 4,600
กโิ ลแคลอรีต่อกโิ ลกรัม ซึ่งต่ำกวา่ ไม้กระถินณรงคแ์ ละสนทะเล แต่สูงกวา่ ไม้กระถนิ ยกั ษ์
ประโยชนท์ ี่สำคญั และได้มีการศึกษาวจิ ัยกันอยา่ งกวา้ งขวางจริงจงั โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ในอนิ เดยี และออสเตรเลีย ก็คือ เมล็ด เพราะในเมลด็ ไมห้ ยีนำ้ น้นั มปี ริมาณนำ้ มันอย่ถู ึง 40
เปอร์เซ็นต์ ซึง่ สูงกว่าเมลด็ สบูด่ ำที่มีนำ้ มนั เพียง 25-30 เปอรเ์ ซน็ ต์ รอ้ ยละ 50 ของน้ำมัน
ในเมล็ดหยีน้ำเป็นคาร์บอน 18 : 1 (C 18 : 1) ซึ่งจัดได้ว่ามีความเหมาะสมสำหรับใช้
ผลติ ไบโอดีเซล
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 375
สวนสบู่ดำทีป่ ลูกและดูแลอยา่ งดีจะให้เมล็ดไร่ละ 800 กิโลกรัม ในขณะที่หยีนำ้ ที่
ปลูกในออสเตรเลียไร่ละ 56 ต้น (350 ต้นต่อเฮกตาร์) อายุ 10 ปี ให้เมล็ดไร่ละ 2,000
กิโลกรัม
ด้วยเหตุนี้เอง หน่วยปฏิบัติการไม้โตเร็วเพื่อพลังงาน ของสถาบันค้นคว้าและ
พัฒนาผลิตผลทางการเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร (KAPI) แห่งมหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ร่วมกับ ปตท. จึงร่วมกันเริ่มโครงการศึกษาวิจัยไม้หยีน้ำเพื่อพลังงาน
ทางเลอื ก โดยมี ดร. มะลวิ ัลย์ หฤทัยธนาสันต์ิ เป็นหัวหน้าโครงการ
เนื่องจากหยีน้ำเป็นพืชตระกูลถั่ว เมล็ดจึงอยู่ในฝักซึ่งจากการศึกษาในอินเดียพบว่า
ฝักหยีน้ำมีความยาวเฉลี่ย 5.17 เซนติเมตร ความกว้าง 2.33 เซนติเมตร ความหนา 1.01
เซนติเมตร และมีน้ำหนักแห้ง 3.18 กรัม ส่วนเมล็ดภายในฝักนั้นมีขนาดความยาว ความ
กว้าง ความหนา และน้ำหนักแห้งเฉล่ีย
เท่ากับ 2.30, 1.56, 0.64 เซนติเมตร และ
1.52 กรัม ตามลำดับ ในขณะที่เมล็ดที่ ดร.
มะลิวัลย์ หฤทัยธนาสันต์ เก็บจากบริเวณ
อุทยานแห่งชาติแหลมสน อำเภอกะเปอร์
จงั หวดั ระนอง มาตรวจสอบเบื้องตน้ พบวา่ มี
น้ำหนักแห้ง 1.78 กรัม อันใกล้เคียงกับค่าที่
ได้จากผลการศึกษาในออสเตรเลียมาก ที่
ระบุว่าเมล็ดมีน้ำหนักแห้ง 1.80 กรัมต่อ
เมลด็
ในใบเลี้ยงของต้นอ่อนเมล็ด (cotyledon) หยีน้ำ มีโปรตีน แป้ง และกรดไขมัน (fatty
acids) เป็นองค์ประกอบหลัก โดยร้อยละ 41.4 ของกรดไขมันนั้นคือ กรดโอเลอิค (oleic
acid) ซึ่งเป็นไขมันไม่อิ่มตัว กรดโอเลอิคนี่เองที่จัดว่าเป็นกรดไขมันที่เหมาะสมสำหรับการ
ผลิตไบโอดีเซล ด้วยเหตุนีเ้ องศูนยแ์ ห่งความเป็นเลศิ เพื่อการวิจัยพืชตระกูลถั่วอย่างครบวงจร
(Centre of Excellence for Integrative Legume Research : CILR) แห่งสภาวิจัยออสเตรเลีย
(Australian Research Council : ARC) ของมหาวิทยาลัยควีนส์แลนด์ (University of
Queensland) และมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (Australian National University :
ANU) จึงได้ร่วมกันทำงานวิจัยหยีน้ำเพื่ออุตสาหกรรมไบโอดีเซลในอนาคตกันอย่างจริงจังใน
ทกุ ๆ ด้านตอ่ เนอ่ื งมายาวนานกว่าสิบปีแลว้ โดยเริ่มตั้งแตก่ ารศึกษาลกั ษณะทางพฤกษศาสตร์
376 รวมเรอื่ งสวนปา่
นิเวศวิทยา พันธุศาสตร์ วนวัฒนวทิ ยา อินทรียเคมี รวมทั้งความเป็นไปไดใ้ นการใชห้ ยนี ้ำเปน็
วัตถุดิบเพื่อผลิตไบโอดีเซลที่สามารถปลูกสร้างขึ้นมาได้และมีความยั่งยืน ซึ่งจากการศึกษา
พบว่าได้มีการนำไม้หยนี ้ำเขา้ ไปปลูกทางตอนเหนือของออสเตรเลียต้ังแต่ยุคต้น ๆ ของการต้ัง
ถิ่นฐานของมนุษย์บนเกาะแห่งน้ี โดยชนพื้นเมืองของออสเตรเลียได้ใช้เมล็ดหยีน้ำเป็นยาเบื่อ
ปลา และใช้เน้ือไมท้ ำเคร่ืองมือเครอื่ งใชต้ ่าง ๆ
สว่ นในอนิ เดียก็รจู้ ักนำเอานำ้ มันในเมล็ดหยีนำ้ มาใช้เปน็ น้ำมนั ตะเกียงและน้ำมันหล่อล่ืน
มานานนับพันปีแล้ว ปัจจุบันหมู่บ้านในชนบทห่างไกลในอินเดียที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ก็ใช้น้ำมันจาก
เมล็ดหยีน้ำที่เรียกว่า Pongam oil หรือ Honge oil เป็นไบโอดีเซลผลิตกระแสไฟฟ้าและ
ปั๊มน้ำเพื่อการชลประทานในเขตแห้งแล้ง สถาบันหิมาลัย (Himalayan Institute) และสถาบนั
วิทยาศาสตร์ของอินเดีย (Indian Institute of Sciences) แห่งเมืองบังกาลอร์ (Bangalore) ได้
ทำการศึกษาเรื่องนี้มากว่า 30 ปีแล้ว โดยมุ่งเน้นถึงการผลิตกระแสไฟฟ้าจากน้ำมันหยีน้ำ
สำหรับใช้เดนิ เครอ่ื งปั๊มนำ้ ในชุมชนชนบทท่หี า่ งไกลและแหง้ แล้ง
แม้จะไมม่ ีส่วนไหนของไม้หยนี ำ้ ที่จะนำมาบริโภคเปน็ อาหารได้ก็ตาม แต่หยีน้ำก็เป็น
ไม้อเนกประสงค์ที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก นอกจากเพื่อผลิตไบโอดีเซลแล้ว ยังมีบทบาท
สำคัญในแง่ของยาพื้นบ้านซึ่งชาวอินเดียในชนบทรู้จักดีและใช้กันมายาวนานแล้วเช่นกัน
อาทิ ดอกใช้แก้โรคเบาหวาน เมล็ดใช้รักษาโรคผิวหนัง เมล็ดที่บดเป็นผงใช้เป็นยาแก้ไข้
ไอกรน โรคหลอดลมอักเสบ และยาบำรุงอาหาร น้ำมันจากเมล็ดใช้ทำสบู่และใช้ทาแก้ปวด
เม่อื ยตามข้อ ผลและหน่อออ่ นที่ได้จากการเพาะเมลด็ ใชร้ ักษาเนื้องอกหรือฝีในช่องท้อง ยอด
ใช้เคย้ี วเพ่อื ทำความสะอาดฟัน น้ำท่สี กดั จากใบใชเ้ ป็นยาแก้ไขห้ วดั แกท้ ้องรว่ ง ทอ้ งข้ึน โรค
ธาตุพิการ และโรคหนองใน ในขณะที่น้ำที่สกัดได้จากต้นและเมล็ดเป็นแอนตี้เซ็บติก
(antiseptic) ใช้สำหรับฆา่ เชอ้ื หรอื ป้องกันการเนา่ เปือ่ ยเชน่ เดยี วกับเกลอื รวมทัง้ ใชร้ ักษาโรค
งสู วัด และแก้อาการคันตามผิวหนัง เปลอื กใชร้ ักษาโรคริดสดี วงทวาร โรคเหนบ็ ชา ยางสีดำท่ี
ได้จากเปลือกใช้รักษาแผลอันเกิดจากปลาพิษกัด รากใช้ทำความสะอาดเหงือกและฟัน และใช้
รักษาแผลพุพอง แผลมีหนอง หรือแมแ้ ต่ขเ้ี ถา้ ทไ่ี ดจ้ ากการเผาไหม้ชาวอินเดียก็ใชใ้ นการยอ้ มสี
จากสรรพคุณยาพื้นบ้านของชาวอินเดียโบราณนี้ ไม่ทราบว่าจะเข้าข่ายน่าสนใจ
สำหรบั แพทยแ์ ผนไทยหรือเปล่า
ด้วยคุณประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมในแง่มุมต่าง ๆ ของไม้หยีน้ำดังกล่าวแล้ว
จงึ เกดิ เป็นความเชอื่ ของคนอินเดยี ทางตอนใตว้ า่ ถ้าท่านไดน้ ง่ั อยู่ใตต้ น้ หยีน้ำในสวนหลังบา้ น
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 377
ของทา่ นทุกวัน ทา่ นจะรสู้ ึกสดชืน่ มีชวี ิตชวี าเสมือนหนึ่งได้ยาบำรงุ กำลังขนานเอก ทำให้ท่าน
สามารถเอาชนะปัญหาอุปสรรคทั้งปวง อันเกิดจากน้ำ ลม และไฟได้ ความเชื่อนี้อาจจะ
กลายเป็นคำทำนายทว่ี ่าตน้ หยนี ำ้ มีศักยภาพที่จะเปล่ียนชีวติ ทีย่ งุ่ ยากลำบากในชนบทในวันนี้
ให้กลายเป็นสวรรคท์ ่ีมแี ตค่ วามมง่ั ค่ังสมบรู ณ์ ความสงบร่มเยน็ และความพอเพียงแบบพง่ึ พา
ตนเองในวนั พรุ่งน้ี
นี่เป็นความเชื่อเชิงคำทำนายจากอินเดีย แต่อย่างน้อยก็ทำให้ได้รับออกซิเจน
เพม่ิ ขน้ึ
ในปจั จุบนั น้ีทงั้ อินเดยี และออสเตรเลียไดท้ ุ่มทุนสนบั สนนุ ให้มหาวิทยาลยั และสถาบัน
การวิจัยของตนทำการศึกษาค้นคว้าไม้หยีน้ำเพื่อเป็นแหล่งพลังงานทดแทนในอนาคตกัน
อย่างจริงจัง รวมทั้งประเทศจนี ก็เริม่ ให้ความสนใจในเรื่องนีด้ ้วย ส่วนใหญ่มุง่ ศึกษาวิจยั ด้าน
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางไบโอเทค (Biotechnology)
พฤกษเคมี (Phytochemistry) และไบโออีเนอยี (Bioenergy) เพื่อปรับเปลี่ยนยีนสจ์ าก 2N
= 22 ให้ได้ผลผลิตชีวมวลของเมล็ดและเปอร์เซน็ ต์น้ำมันในเมล็ดมากข้ึนและเก็บเก่ียวเมล็ด
ได้ง่ายและรวดเร็วกว่าสายต้น (clone) ที่มีอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งการศึกษาวิจัยในแง่ของ
พชื สมนุ ไพรดว้ ย ผลงานวิจยั ในเชิงลกึ ทีไ่ ด้จึงมักจะตีพมิ พ์ในวารสารทางวชิ าการที่ค่อนข้างจะ
จำเพาะเจาะจงเฉพาะทาง และไม่คอ่ ยแพรห่ ลายในห้องสมุดทัว่ ๆ ไปในประเทศไทย
จุดเด่นที่น่าสนใจหลายประการของไม้หยีน้ำในฐานะพืชพลังงานชนิดใหม่ของโลกก็
คือ เป็นไม้ยืนต้นที่มีอายุยืนนาน ซึ่งสามารถกักเก็บคาร์บอนและลดปัญหาโลกร้อนได้ด้วย
โดยในเบงกอลตะวันตกได้ปลกู หยีน้ำเพื่อพลังงานมอี ายกุ ารเก็บเกี่ยวเมล็ดนานถึง 30 ปี หยี
น้ำเป็นพืชพลังงานที่บริโภคเป็นอาหารไม่ได้ (nonfood biodiesel crop) ผลผลิตที่ได้จงึ ไม่
ต้องไปแกง่ แย่งแขง่ ขนั ด้านการตลาดกับพืชน้ำมนั อื่น ๆ เช่น ปาล์มน้ำมนั และมันสำปะหลงั
ฯลฯ หยีน้ำข้นึ ได้ในสภาพแวดลอ้ มท่หี ลากหลาย ทงั้ พน้ื ท่ดี นิ เลว ดินเคม็ ดินเปร้ยี ว และพืน้ ท่ี
น้ำทว่ มขัง รวมทงั้ สามารถขยายพันธ์ไุ ด้ท้ังวิธีอาศยั เพศ (จากเมลด็ ) และไมอ่ าศยั เพศ (ติดตา
ทาบกิ่ง ตอน เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ) แตกหน่อภายหลังการตัดฟันได้ดี เมล็ดใหม่ ๆ ที่เก็บรักษา
ไว้ไม่เกนิ 3 เดือนมีอัตราการงอกสงู และสามารถขยายพนั ธุ์ตามธรรมชาติไดด้ ีมาก
เอกสารสิ่งพิมพ์ของศนู ยส์ ่งเสริมสบู่ดำและไบโอดีเซล (Centre for Jatropha Promotion
and Biodiesel : CJP) ของอินเดียซึ่งนำออกเผยแพร่เมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2552
ยอมรับว่าหยีน้ำเป็นพืชเพื่อไบโอดีเซลชนิดใหม่ที่บริโภคเป็นอาหารไม่ได้ แต่มีทั้งกำไรและ
378 รวมเร่ืองสวนปา่
ความยั่งยืน โดยให้น้ำมัน 330 แกลลอน ในปีที่สี่ 1,000 แกลลอนในปีที่เจ็ด และ 2,000
แกลลอนในปที ี่สบิ ในพ้ืนทปี่ ลูก 1 เฮกตาร์ หรอื ถา้ จะแปลงเปน็ หนว่ ยทค่ี นไทยเข้าใจไดง้ ่าย ๆ
กจ็ ะได้นำ้ มนั ไรล่ ะ 240 ลติ รในปที ีส่ ่ี 728 ลิตรในปที เ่ี จ็ด และ 1,456 ลิตรในปีท่สี บิ
ส่วนจะเปน็ ราคาคยุ แบบแขก ๆ หรือเปลา่ ก็ไมท่ ราบ แต่น่นั เปน็ ตัวเลขของ CJP
ส่วนในออสเตรเลียน้ัน ศาสตราจารย์ปีเตอร์ เกรสชอฟฟ์ (Prof. Perter Gresshoff)
ผู้อำนวยการศนู ยแ์ ห่งความเป็นเลิศเพื่อการวิจัยพืชตระกูลถ่ัวอยา่ งครบวงจรของมหาวิทยาลัย
ควีนส์แลนด์ ได้รายงานว่าปัจจุบนั ประเทศออสเตรเลียใช้น้ำมนั ดีเซลปีละ 18,000 ล้านลิตร
(ประเทศไทยใช้วันละ 51 ล้านลิตร หรือปีละ 18,615 ล้านลิตร) หากตัวเลขดังกล่าวเป็นไบ
โอดีเซลท่ีได้มาจากเมล็ดไม้หยีน้ำ ก็ต้องใช้พื้นที่ปลกู หยนี ้ำประมาณ 4.375 ล้านไร่ ทั้งนี้ บน
พื้นฐานท่วี ่าปลกู ไร่ละ 56 ต้น ให้เมล็ดตน้ ละ 20,000 เมล็ดตอ่ ปี เมลด็ มนี ้ำหนัก 1.8 กรัมต่อ
เมลด็ และมกี รดไขมนั ในเมล็ด 40 เปอร์เซน็ ต์
พื้นที่ 4.375 ล้านไรอ่ าจจะมองว่ากว้างขวางมาก แต่อย่าลมื ว่าประเทศออสเตรเลียมี
ที่ดินเสื่อมโทรมที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ถึง 1-2 ล้านตารางกิโลเมตร หรือประมาณ 625-1,250
ล้านไร่ เนื้อที่ 4.375 ล้านไร่จึงเป็นเพียง 0.35-0.70 เปอร์เซ็นต์ของที่ทิ้งร้างว่างเปล่าเท่า
นน้ั เอง
หากยึดเอาตัวของออสเตรเลียดังกล่าวข้างต้นเป็นเกณฑ์ ประเทศไทยใช้น้ำมันดีเซล
ปลี ะ 18,615 ลา้ นลติ รก็จะต้องใช้พน้ื ท่ีปลูกไม้หยนี ำ้ ประมาณ 4.524 ล้านไร่ ซึ่งใกล้เคียงกับ
พน้ื ทสี่ วนป่ายคู าลปิ ตสั ในปจั จุบนั
ผมไมไ่ ด้โน้มนา้ วใหเ้ กษตรกรหนั มาแหป่ ลูกไม้หยีนำ้ กันเหมือนกบั ทเ่ี กิดขึน้ กับไม้ปา่
หลายชนิดในอดีต เพียงแตต่ ้องการจะบอกกล่าวให้รัฐบาลไทยได้รับทราบว่าประเทศไทย
ควรใหค้ วามสนใจในการศึกษาวจิ ัยกบั พชื พลงั งานชนิดใหม่นีไ้ ด้บ้างแล้ว เพราะนอกจาก
จะมีศักยภาพในฐานะพชื ไบโอดีเซลสูงแล้ว ยังเป็นพืชพื้นเมืองของไทยทีไ่ ม่ใชพ่ ืชอาหาร
แต่สามารถปลูกได้ในแทบทุกสภาพแวดล้อม และมีอายุยืนนาน ซึ่งหมายถึงความยั่งยืน
ในการกักเก็บคาร์บอนอันจะช่วยลดปัญหาโลกร้อนที่พูดถึงกันมากในทุกวันนี้ได้อีกทาง
หนง่ึ ด้วย
65 เกาหลใี ต้
พฒั นาป่าไม้ พฒั นาประเทศ
ทกุ วันนี้ใคร ๆ กพ็ ูดถึงกันแตเ่ กาหลี โดยเฉพาะสงั คมวัยรุน่ ไม่ว่าจะเปน็ ศิลปะ วัฒนธรรม
ดารา นักร้อง ภาพยนตร์ ละคร อาหาร เครื่องสำอาง หรือแม้แต่การท่องเที่ยว ต้องยอมรับว่า
เกาหลีสร้างกระแสให้คนไทยเกาะติดกันได้อย่างรวดเร็วจริงๆ ซึ่งเวลาเพียง 4-5 ปี คนไทย
หายใจเข้าออกเป็นเกาหลีกันอย่างไม่น่าเชื่อ เข้าร้านเกาหลี กินอาหารเกาหลี ดูละครเกาหลี
ฟังเพลงเกาหลี ฯลฯ หากใครไมร่ ้จู กั วง Super Junior ก็ถือว่าตกยคุ กนั เลยทเี ดียวแหละ
ผมไปเกาหลีครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2529 ตอนน้ันเกาหลยี งั ไม่เจรญิ ก้าวหนา้ เหมอื นวันน้ี
ถนนหนทางค่อนข้างแคบ มีทางด่วนน้อยมาก นั่งรถจากกรุงโซลไปเมืองปูซาน เห็นต้นไม้
ขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ตลอดสองข้างทางหลวงระยะทางกว่า 300 กิโลเมตร รู้สึกแปลกใจจึงถาม
อาจารยป์ า่ ไมช้ าวเกาหลีผนู้ ำคณะดูงานว่านนั่ มนั คอื อะไร เขาบอกวา่ เดี๋ยวจะจอดรถให้ดู พอ
ไดจ้ ังหวะเหมาะเจาะเขากจ็ อดรถใหด้ ูและบอกวา่ มนั คือต้นสนเกาหลี (Korean pine : Pinus
koraiensis) และสนแดง (Red pine : Pinus densiflora) ที่ปลูกไว้รอบ ๆ หลุมฝังศพ
พร้อมกับอธิบายต่อไปว่า คนเกาหลีเมื่อตายก็จะนำศพไปฝังเช่นเดียวกับคนจีน แต่ต่างกัน
ตรงที่รอบ ๆ หลุมฝังศพของคนเกาหลีนั้นเขาจะปลูกต้นสนดังกล่าวเพื่อสร้างความร่มร่ืน
ให้แก่ผู้วายชนม์ โดยมีจำนวนมากน้อยแตกต่างกันไปตามฐานะและบารมีของแต่ละ
ครอบครวั หากเปน็ ราชวงศ์กจ็ ะเปน็ หลุมฝังศพขนาดใหญร่ าวกบั ภเู ขายอ่ ม ๆ มอี ย่หู ลายหลมุ
ในบริเวณเดียวกัน ต้นสนที่ปลูกก็ร่มรื่นราวกับสวนสน ซึ่งในเวลาต่อมาก็กลายเป็นสถานท่ี
ทอ่ งเท่ยี วพกั ผอ่ นหย่อนใจของประชาชน และสถานท่ีสำคญั ทางประวัตศิ าสตร์ของประเทศ
นี่คอื กลยทุ ธ์ในการคนื ผืนปา่ ให้แก่แผน่ ดนิ อนั ชาญฉลาดอยา่ งหนึง่ ของเกาหลี
หลังจากนั้นผมก็มีโอกาสเดินทางไปเกาหลีอีก 3-4 ครั้ง ครั้งหลังสุดได้เดินทางไปเมื่อ
วันที่ 22-30 สิงหาคม พ.ศ. 2553 โดยได้รับเชิญจากศาสตราจารย์ ดร. ดอน คู ลี (Prof. Dr.
Don Koo Lee) แห่งมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล (SNU: Seoul National University) ใน
พิมพ์ครงั้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 10 (111) : 36–39 (พ.ศ. 2553)
380 รวมเรอ่ื งสวนปา่
ฐานะประธานยูโฟร (IUFRO : International Union of Forestry Research Organizations)
หรือสหพันธร์ ะหวา่ งประเทศขององคก์ ารวิจยั ดา้ นป่าไม้
ยูโฟร (IUFRO) กอ่ ตัง้ ข้นึ ในปี พ.ศ. 2435 ภายใต้ชือ่ International Union of Forest
Experiment Stations (สหพันธ์ระหว่างประเทศของสถานีวิจัยด้านป่าไม้) ภายหลัง
สงครามโลกครั้งที่หนึ่งจึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น International Union of Forestry Research
Organizations ดังที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย
จัดว่าเป็นองค์กรการวิจัยดา้ นป่าไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เพราะเป็นศนู ย์รวมของนักวิทยาศาสตร์
ป่าไมก้ วา่ 15,000 คน จาก 700 องค์กรใน 110 ประเทศ ทำหนา้ ท่สี นบั สนุนและประสานงาน
การวิจัยดา้ นป่าไม้และต้นไม้เพ่อื ความเปน็ อยทู่ ดี่ ีขน้ึ ของปา่ ไมแ้ ละของคนทด่ี ำรงชีวติ โดยพง่ึ พา
ปา่ ไม้ทงั้ ทางตรงและทางออ้ ม
ไทยเป็น 1 ใน 110 ประเทศ ที่เป็นสมาชิกยูโฟร โดยในปัจจุบันมี 2 หน่วยงาน
(Organization) คือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (คณะวนศาสตร์) และกรมป่าไม้ ทีเ่ ป็น
สมาชกิ ยโู ฟร
การประชุมใหญ่ของยูโฟร หรือที่เรียกว่า IUFRO World Congress นั้นจัดขึ้นคร้ัง
แรกในปี พ.ศ. 2436 ก่อนตั้งกรมป่าไม้ของไทย 3 ปี และตั้งแต่ปี พ.ศ. 2491 เป็นต้นมา
ยูโฟรจัดให้มีการประชุมใหญ่ทุก ๆ 5 ปี หมุนเวียนกันไปในทวีปต่าง ๆ โดยประเทศที่เป็น
เจ้าภาพจะต้องลงแข่งขันและได้รับการคัดเลือกเช่นเดียวกับการเป็นเจ้าภาพ กีฬาโอลิมปิค
และฟุตบอลโลก
สำหรับการประชุมใหญ่ยู
โฟรครั้งล่าสุดที่กรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 23–28
สิงหาคม พ.ศ. 2553 นั้น เป็นการ
ประชุมยูโฟรครั้งท่ี 23 (XXIII โลโกก้ ารประชุมยูโฟร ครง้ั ท่ี 23
IUFRO World Congress) ได้ใช้คำ
ขวัญของการประชุมว่า “ป่าไม้เพื่อ
อนาคต : สังคม และสิ่งแวดลอ้ ม
ที่ยั่งยืน” (Forests for the Future : Sustaining Society and the Environment)
มผี ูเ้ ข้ารว่ มประชุมทงั้ สิ้น 2,700 คน จาก 92 ประเทศ
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 381
การประชุม 6 วนั เรม่ิ ด้วยประธานาธบิ ดลี มี ุงบัก (Lee Myung-bak) แหง่ สาธารณรฐั
เกาหลี เป็นประธานเปิดการประชุม จากน้นั ทุกเชา้ จะมีการบรรยายพิเศษในภาพรวมโดยผู้ที่มี
ชื่อเสียงในวงการป่าไม้จากทั่วโลก รวม 5 เรื่อง ตามด้วยการบรรยายพิเศษสาขาต่าง ๆ
15 สาขา แลว้ จงึ นำเสนอผลงานวิจัยโดยนกั วิจัยผูเ้ ขา้ ร่วมประชุม ซึง่ ในการประชุมครง้ั ที่ 23 นี้
มกี ารนำเสนอผลงานวิจัยภาคบรรยาย 2,027 เร่อื ง และภาคโปสเตอร์ 1,053 เร่ือง ภายใต้ 15
สาขา นอกจากนี้ยังมีการนำไปศึกษาดูงานในช่วงกลางของการประชุม 1 วัน โดยแบ่งสาย
การศึกษาดงู านนอกสถานท่ีออกเป็น 8 สาย ครอบคลุมการศึกษาวิจัยทางป่าไม้ทุกดา้ น แล้วแต่
ผู้เข้าร่วมประชุมจะเลือกไปดูงานสายไหน สาขาอะไร ซึ่งการศึกษาดูงานดังกล่าวนอกจากจะ
เปน็ การประชาสมั พันธ์ประเทศเจ้าภาพในแง่มุมต่าง ๆ แลว้ ยังทำใหผ้ ู้เข้าร่วมประชุมได้เห็นถึง
ความก้าวหนา้ และความสำคัญของงานวิจยั ด้านป่าไม้ของประเทศเกาหลอี ีกดว้ ย
ประเทศสาธารณรฐั เกาหลีหรอื ท่ีมกั จะเรยี กตดิ ปากว่า “เกาหลีใต้” นนั้ เป็นส่วนหน่ึง
ของเอเชยี ตะวนั ออก ตัง้ อยทู่ างตอนใตข้ องคาบสมุทรเกาหลี จดั อยใู่ นเขตอบอ่นุ ภูมิประเทศ
ส่วนใหญ่คือราว 70 เปอร์เซ็นต์เป็นภูเขา มีที่ราบสำหรับใช้เป็นที่ทำกินซึ่งส่วนใหญ่อยู่ทาง
ตะวันตกและตะวันออกเฉียงใต้เพียง 30 เปอร์เซ็นต์ของพื้นที่ประเทศเท่านั้น มีเนื้อที่
ประมาณ 62.12 ลา้ นไร่ หรอื ราวหน่งึ ในห้าของเน้ือทีป่ ระเทศไทย จำนวนประชากรประมาณ
49 ล้านคนเศษ มีกรุงโซลเป็นเมืองหลวง (ประชากร 10.5 ล้านคน) ปูซานเป็นเมืองใหญ่
อันดับสอง (ประชากร 3.6 ลา้ นคน) รองจากโซล
กรุงโซลวันนี้เจริญก้าวหน้ากว่า 25 ปี
ที่แล้วมาก บ้านเมืองสะอาด เป็นระเบียบ ใน
ตัวเมือง บ้านเรือนส่วนใหญ่เป็นอาคารชุด
บา้ นเดี่ยวมนี ้อย หนา้ อาคารชุดมกั ปลูกต้นสน
เป็นหย่อม ๆ เพื่อให้ร่มเงา ถนนหนทาง
กว้างขวาง ทางเท้าเรียบ สายไฟฟ้าอยู่ใต้ดิน
ปลูกต้นไม้บนบาทวิถีสองข้างถนนร่มรื่น มี
การลิดกิ่งต้นไม้ริมทางเรียบร้อยถูกต้องตาม
หลักวิชาการ คือ ใช้การลิดกิ่งเป็นมาตรการในการดูแลรักษาต้นไม้ในเมืองอย่างหน่ึง ต่าง
จากกรุงเทพมหานครที่ลิดกิ่งไม้เพื่อสิ่งกีดขวาง ไม่ใช่ลิดกิ่งไม้เพื่อต้นไม้ แต่กรุงโซลมี
ปัญหาเรื่องการจราจรพอ ๆ กับกรุงเทพมหานคร ถ้าฝนตกในเย็นวันศุกร์ช่วงหลังเลิกงาน
เล็กน้อย รถอาจจะติดมากกวา่ ในกรุงเทพฯ เสียด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ในกรุงโซลมีรถไฟใตด้ ินและ
ระบบการขนส่งมวลชนท่ีดพี อสมควร
382 รวมเรือ่ งสวนปา่
เกาหลีใตจ้ ัดเป็นประเทศทพ่ี ัฒนาแลว้ มีมาตรฐานการครองชพี ทส่ี ูงมาก เป็นประเทศ
ที่มีเศรษฐกิจใหญ่เปน็ ที่ 4 ของเอเชีย (รองจากญี่ปุ่น สิงคโปร์ และไต้หวัน) และเป็นลำดบั ท่ี
15 ของโลก มีผลิตภัณฑ์ประชาชาตติ ่อหัว (GDP Per capita) เฉลี่ยเท่ากับ 20,265 เหรียญ
สหรัฐ หรือประมาณ 52,000 บาทตอ่ คนต่อเดอื น
แม้เกาหลีใต้ในวันนี้จะเป็นประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย แต่ในอดีตก็ต้องฟันฝ่ากับ
วิกฤตต่าง ๆ มากมาย โดยเฉพาะสงครามเกาหลีซึ่งทำให้คาบสมุทรเกาหลีต้องแยกออกเป็น
2 ประเทศ คือเกาหลีเหนือและเกาหลีใต้ในปี พ.ศ. 2491 ซึ่งประเทศไทยก็เคยส่งทหารไป
ร่วมรบในสงครามเกาหลีดว้ ยเชน่ กนั
ภายหลังสงครามโลกครั้งที่สองสิ้นสุดลงใหม่ ๆ ในขณะที่ไทยมีป่าไม้อุดมสมบูรณ์
ครอบคลุมพ้ืนทกี่ วา่ ร้อยละ 60 ของพืน้ ท่ีประเทศนัน้ เกาหลีใต้มีพืน้ ทีป่ า่ ไม้เหลืออยู่น้อยมาก
ผลพวงจากการยึดครองของญี่ปุ่น สงครามเกาหลี ความแห้งแล้งที่รุนแรง และไฟป่า ทำให้
ปา่ ไม้ถูกทำลายลงอย่างหนกั ท้งั โดยการลักลอบตัดไมท้ ำลายปา่ การบุกรุกพ้นื ที่ป่า และการ
ทำไม้ออกเกินกำลังผลิตของป่า ซึ่งในตอนนั้นป่าไม้ในเกาหลีใต้มีปริมาตรไม้เฉลี่ยเพียง 5.7
ลูกบาศก์เมตรต่อเฮกตาร์เท่านั้น แต่จากการเห็นความสำคัญของป่าไม้และเอาจริงกับการ
พัฒนาป่าไม้อย่างต่อเนื่อง ในช่วงเวลา
เพียง 50 ปีเศษ ทำให้ในปี พ.ศ. 2550
เกาหลีใต้มเี นอ้ื ที่ปา่ ไม้ถงึ รอ้ ยละ 65 ของ
เนื้อที่ประเทศ และมีสต๊อกของไม้ในปา่
ถึง 624 ล้านลูกบาศก์เมตร คือเพิ่มจาก
5.7 เป็น 97.8 ลกู บาศก์เมตรตอ่ เฮกตาร์
หรือจาก 0.912 เป็น 15.648 ลูกบาศก์
เมตรต่อไร่ นั่นคือเพิ่มขึ้นถึง 17 เท่า
ภายใน 5 ทศวรรษ
ประธานาธิบดีปักจุงฮี (Park Jeonghee) ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำประเทศที่
ผลกั ดันการฟ้ืนฟูป่าทกุ รูปแบบอยา่ งจรงิ จัง โดยเร่มิ จัดทำแผนพัฒนาปา่ ไม้แห่งชาติข้ึนและมี
การสานต่อมาจนถึงทุกวันนี้ มีการไปตรวจเยี่ยมหน่วยงานป่าไม้ต่าง ๆ ตามแต่โอกาสจะ
อำนวย ดังนั้น คนที่เข้าไปในอุทยานแห่งชาติ สวนรุกขชาติ หรือหน่วยงานป่าไม้ภาคสนาม
ของเกาหลีใต้จะเห็นรูปปั้นของประธานาธิบดปี ักจุงฮีเป็นอนสุ รณ์ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมและ
เคารพบูชา
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 383
ไดแ้ ต่หวงั ว่าเมื่อไหร่เมอื งไทยจะมีผนู้ ำด้านการบริหารประเทศอย่างนบ้ี ้าง?
คนปา่ ไมใ้ นอดตี ต้องทำงานหนกั มากในการปลกู และฟน้ื ฟูป่า เพราะสภาพภมู ปิ ระเทศ
เป็นภูเขาสงู ชนั ไม่มีป่าปกคลุม พื้นดนิ มแี ต่หิน ในการปลูกป่า ผู้ชายตอ้ งใช้ลิ่มตอกสกดั แผน่
หินบนที่ลาดชันเพื่อให้เกิดร่องตามแนวขั้นบันไดดิน ผู้หญิงนำปุ๋ยคอกผสมดินใส่ลงในร่องที่
ขดุ เซาะไว้ จากนนั้ จงึ นำต้นกลา้ ไมล้ งปลกู พ้นื ที่ลาดชันมาก ๆ บางแห่งเดนิ ข้ึนตามปกติไม่ได้
ตอ้ งใชล้ วดสลงิ ดงึ คนขน้ึ ไป
นี่คือความพยายามของคนเกาหลีใต้
ในอดีตก่อนท่ีจะกลายมาเปน็ ประเทศท่ีม่งั คั่ง
ในปัจจบุ นั
ปัจจุบันเกาหลีใต้มีเน้ือท่ีปา่ ไม้ 40 ล้าน
ไร่ หรือประมาณร้อยละ 64 ของพื้นที่ประเทศ
โดยร้อยละ 68.5 เป็นป่าเอกชน ร้อยละ 23.8
ความพยายามปลกู ป่าบนภูเขาหินใน เป็นป่าไม้แห่งชาติ และร้อยละ 7.7 เป็นป่าไม้
อดตี ของเกาหลี ของรฐั บาลทอ้ งถน่ิ โดยร้อยละ 42.0 ของพนื้ ที่
ป่าไม้ทั้งหมด เป็นป่าไม้ใบแคบ (coniferous
forest) รองลงมาคือป่าผสม (รอ้ ยละ 29.2) ปา่ ไมใ้ บกว้าง (ร้อยละ 26.1) และปา่ ประเภทอ่ืน ๆ
(ร้อยละ 2.7) ในอนาคตมแี นวโน้มวา่ พื้นท่ีป่าไม้ใบแคบจะค่อย ๆ ลดน้อยลง ในขณะที่ป่าไม้
ใบกว้างและป่าผสมจะมีพืน้ ทีเ่ พ่ิมมากขน้ึ ทงั้ น้ีเพราะพื้นที่ปา่ ไมใ้ บแคบซงึ่ ส่วนใหญเ่ ป็นไม้สน
แดง (Pinus densiflora) ถึงร้อยละ 55 ของพื้นที่ป่าไม้ใบแคบทั้งหมดมักได้รับผลกระทบ
จากโรครา
ดู ฟู (Du Fu) กวีสมยั ราชวงศ์ถงั (Tang Dynasty) ได้กล่าวไว้วา่ “แมช้ าติจะสญู สิน้
แต่ภูเขาและแม่น้ำยังคงอยู่” แต่กวใี นวนั น้ีกลา่ ววา่ “แมภ้ เู ขาและแม่น้ำจะสูญส้ิน แต่ชาติ
ยังคงอยู่” และกวีในอนาคตจะกลา่ วว่า “หากภูเขาและแม่น้ำสูญสิ้น ชาติก็จะสูญสิ้น คุณ
และผมกจ็ ะถงึ กาลอวสานด้วยเช่นกนั ”
นคี่ อื ปรชั ญาดา้ นป่าไม้ของเกาหลี
“ปา่ ไมน้ ำหน้า ทะเลทรายตามหลงั ความศวิ ิไลซ”์
จากแผนพัฒนาป่าไม้แห่งชาติฉบับที่ 1 ซึ่งประธานาธิบดีปักจุงฮีได้เริ่มไว้เมื่อปี พ.ศ.
2516 จนถงึ ปจั จบุ ันเกาหลใี ตม้ ีแผนพฒั นาปา่ ไมแ้ ห่งชาติติดต่อกนั มาแล้ว 5 ฉบับ คอื
384 รวมเร่อื งสวนปา่
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 1 ช่วง พ.ศ. 2516-2521
แผนพฒั นาฯ ฉบับท่ี 2 ช่วง พ.ศ. 2522-2530
แผนพฒั นาฯ ฉบบั ที่ 3 ชว่ ง พ.ศ. 2531-2540
แผนพัฒนาฯ ฉบบั ท่ี 4 ชว่ ง พ.ศ. 2541-2550
แผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 5 ชว่ ง พ.ศ. 2551-2560
ในแต่ละแผนจะมีวตั ถุประสงค์ และกลยทุ ธ์ในการพฒั นาแตกต่างกนั ไป
จะเห็นได้ว่าเกาหลใี ตม้ ีแผนการพฒั นาปา่ ไม้อย่างเปน็ ระบบและต่อเน่ือง
แล้วประเทศไทยของเราละ่ ?
ไป ๆ มา ๆ ผมก็ตดิ กระแสเกาหลไี ปกบั เขาดว้ ยแลว้ หรอื น่ี ?
66 ปลูกไมพ้ ะยูง
ร่งุ หรือรว่ ง
ผมเคยเขียนเรื่องไม้พะยูงลงในนิตยสารไม่ลองไม่รู้มาครั้งหนึ่งแล้ว ภายใต้ชื่อเรื่อง
“พะยงู ชงิ ชนั : ไมค้ ู่แฝดราคาแพง” โดยตีพิมพใ์ นฉบับที่ 73 ประจำเดอื น สงิ หาคม พ.ศ. 2550
แต่ที่ต้องกลับมาเขียนถึงอีกครั้งหนึ่งก็เพราะเมื่อวันพุธที่ 13 ตุลาคม 2553 นี้
ภาควชิ าวนวัฒนวทิ ยา คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย ดร. จงรัก วัชรินทร์รัตน์
หัวหน้าภาควชิ าฯ ได้จดั ใหม้ กี ารประชมุ เสวนาเร่ือง “ศักยภาพของประเทศไทยในการปลูก
ไม้พะยูงเพื่อเศรษฐกิจ” ขึ้น และมีการอภิปรายเรื่อง “ร่วงหรือรุ่งไม้พะยูงของไทย” ซึ่ง
ผรู้ ว่ มอภิปรายประกอบด้วย คุณประพนั ธ์ พิสมยรมย์ หวั หนา้ ฝ่ายกฎหมาย สำนักกฎหมาย
กรมศุลกากร คุณชัยรัตน์ อร่ามศรี ผู้อำนวยการสำนักธุรกิจและการตลาด องค์การ
อุตสาหกรรมป่าไม้ ดร. สุวรรณ ตง้ั มิตรเจริญ นกั วชิ าการป่าไมช้ ำนาญการพิเศษ กรมป่าไม้
ดร. นิคม แหลมสัก รองผู้อำนวยการศูนย์วิทยาการขั้นสูงด้านทรัพยากรธรรมชาติเขตร้อน
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ ดร. บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ โดยมี ดร. จงรัก วัชรินทร์รัตน์
เปน็ ผู้ดำเนนิ การอภิปราย
ผมเห็นว่าสาระที่ได้จากการประชุมเสวนาดังกล่าวมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ควรค่าแก่
การบอกเล่าสู่ผู้สนใจปลูกไม้เศรษฐกิจซึ่งไม่ได้เข้าร่วมประชมุ ให้ได้รับทราบ อย่างน้อยก็เปน็
ข้อมูลเบื้องต้นเพื่อประกอบการตัดสินใจว่าควรปลูกไม้พะยูงเป็นไม้เศรษฐกิจหรือไม่ จึงนำ
เร่อื งเก่ามาเขียนใหมอ่ ีกคร้ังหนึ่ง
และขอเรียนยำ้ ไวต้ รงน้ีอีกครั้งหน่ึงวา่ พะยูงเป็นหน่ึงในเก้าชนิดไมม้ งคลทใี่ ช้ในพธิ ีวาง
ศิลาฤกษ์ ซึง่ ช่ือทถี่ ูกต้องนัน้ คอื “พะยงู ” ไมใ่ ช่ “พยงุ ” ตามทีเ่ รยี กขานกันอยู่ทวั่ ไป
พะยงู เปน็ ไม้ทโ่ี ตช้าแตม่ ีราคาแพงมากจริง ๆ จากรายงานการศึกษา “โครงการส่งเสริม
การปลูกต้นไม้เพื่อเป็นทุนระยะยาว” ของสำนักงานพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานชีวภาพ
พิมพค์ รงั้ แรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 10 (112) : 34–37 (พ.ศ. 2553)
386 รวมเรือ่ งสวนป่า
(องคก์ ารมหาชน) โดยศนู ย์วิจยั ป่าไม้ คณะวนศาสตร์ มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์ ซ่งึ ได้แบ่งไม้
เศรษฐกจิ โดยยึดเอาอตั ราการเตบิ โต อายรุ อบตดั ฟัน และมลู ค่าของเนอื้ ไม้เป็นเกณฑ์ ออกเป็น
4 กลุ่ม คือ (1) ต้นไม้ที่มอี ัตราการเตบิ โตเร็ว รอบตัดฟันสั้น มูลค่าของเนื้อไม้ต่ำ (2) ต้นไม้ที่มี
อตั ราการเติบโตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มูลคา่ ของเนอ้ื ไม้ค่อนขา้ งสูง (3) ตน้ ไมท้ ่ีมอี ัตราการ
เติบโตปานกลาง รอบตัดฟันยาว มูลค่าของเนื้อไม้สูง และ (4) ต้นไม้ที่มีอัตราการเติบโตช้า
รอบตัดฟันยาว มูลค่าของเนื้อไม้สูงมาก ทั้งนี้ ได้จัดให้ไม้พะยูงอยู่ในกลุ่มที่สี่ คือ มีความ
เพิ่มพูน (MAI) ทางเส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก (DBH) ไม่เกิน 0.8 เซนติเมตรต่อปี เมื่อไม้มี
อายุ 20 ปีจะมีราคาลูกบาศก์เมตรละ 18,630 บาท อายุ 25 ปี ลูกบาศก์เมตรละ 20,280
บาท และอายุ 30 ปี เน้ือไม้จะมรี าคาลูกบาศกเ์ มตรละ 21,930 บาท
น่นั คอื ราคาต่อลกู บาศก์เมตรของไม้พะยูงจะเพิ่มขึ้นตามอายุ หรอื ตามขนาดความโต
นั่นเอง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของสำนักส่งเสริมและพัฒนาไม้เศรษฐกิจศรีราชา องค์การ
อุตสาหกรรมป่าไม้ที่ว่า ไม้พะยูงความยาว 2.10 เมตร เส้นรอบวงต่ำกว่า 100 เซนติเมตร
ราคาลูกบาศก์เมตรละ 10,000 บาท เส้นรอบวง 100–150 เซนติเมตร ลูกบาศก์เมตรละ
25,000 บาท และถ้าเส้นรอบวงเกินกว่า 150 เซนติเมตร ราคาจะสูงถึงลูกบาศก์เมตรละ
35,000 บาท
ยิ่งไปกว่านั้น ข้อมูลผลการจำหนา่ ยไม้พะยงู ของสำนักส่งเสริมและพัฒนาไม้เศรษฐกจิ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ องคก์ ารอตุ สาหกรรมป่าไม้ ยังระบุว่าไม้ (พะยงู ) ของกลางทีป่ ระมูล
จำหน่ายในช่วงเดือนมิถุนายน 2549 ถึง พฤษภาคม 2550 ในท้องที่จังหวัดอุบลราชธานี
อำนาจเจริญ และศรีสะเกษ รวม 27 รายการ ปริมาตร 91.36 ลูกบาศก์เมตร ราคาผันแปร
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 387
ตั้งแต่ลูกบาศก์เมตรละ 15,500 บาท ถึง 91,000 บาท โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ลูกบาศก์เมตรละ
45,296 บาท และส่วนใหญ่มีราคาลกู บาศก์เมตรละ 47,000–52,000 บาท
แสดงว่าพะยูงเป็นไม้มีค่า ราคาแพงและมีความต้องการสูงมากจริง ๆ จึงมีข่าว
การลกั ลอบสง่ ออกไม้พะยงู ท่ีจับกมุ ได้ท้งั โดยกรมศลุ กากรและกรมป่าไมอ้ ย่เู ป็นประจำ ซ่ึง
เปน็ ไปตามหลักอุปสงค์–อปุ ทานของวชิ าเศรษฐศาสตร์
คุณประพันธ์ พิสมยรมย์ ได้ให้ข้อมูลต่อที่ประชมุ ว่า กรมศุลกากรได้จบั กุมไม้พะยูงทีม่ ี
ผู้พยายามส่งออกอยา่ งผดิ กฎหมาย โดยสำแดงชนดิ สนิ คา้ ในเอกสารการส่งออกเป็นเทจ็ อย่เู ป็น
ประจำ ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2549 ถึงปัจจุบัน (พ.ศ. 2553) จับกุมผู้ต้องหาได้กว่า 300 ราย
และยึดไม้ของกลางไว้ร่วม 600 ตู้คอนเทนเนอร์ คิดเป็นปริมาตรกว่า 9,000 ลูกบาศก์เมตร
โดยทั้งหมดเป็นไม้จากประเทศไทย
ส่งไปประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน
ผ่านทางฮ่องกง และยังไม่มีการ
ดำเนินคดีจนถึงที่สุดเลยแม้แต่คดีเดียว
ตู้คอนเทนเนอร์ไม้ของกลางส่วนใหญ่
เกบ็ รักษาไว้ทท่ี ่าเรอื กรุงเทพ และทา่ เรือ
แหลมฉบัง นอกจากนี้ยังมีไม้พะยูงอีก
สว่ นหน่ึงซ่งึ เล็ดลอดผ่านการจับกุมไปได้
ซึ่งคาดว่ามีประมาณครึ่งหนึ่งของไม้ของ
กลางที่ยดึ ไวด้ งั กลา่ วแล้ว
ส่วนไม้พะยูงของกลางท่จี ับกมุ โดยกรมป่าไม้นน้ั สว่ นหนึง่ เกบ็ รกั ษาไวท้ ่ีอู่บกพหลโยธิน
อำเภอวังน้อย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ขององค์การอุตสาหกรรมปา่ ไม้ มีปริมาตรรวม 791
ลกู บาศกเ์ มตร
ไม้พะยูงท่ีจับยึดได้ทั้งโดยกรมศุลกากรและกรมป่าไม้ เข้าใจว่าทั้งหมดเป็นไม้จาก
ป่าธรรมชาติที่มีอายุมาก แก่นมาก กระพี้น้อย ลำต้นคดงอ เป็นไม้ท่อนสั้น ๆ ความยาวเฉล่ีย
ประมาณ 2 เมตรเศษ เปน็ ไม้ท่ีมคี ณุ ภาพดี ราคาแพง ตลาดตา่ งประเทศมีความตอ้ งการสงู มาก
เนื้อไม้จัดอยู่ในชั้น “ความแข็งแรงเกรดเอ” ทั้งในเรื่องของแรงดัดสถิตย์ แรงอัดขนานเสี้ยน
แรงเฉือน และความแขง็ ความทนทานตามธรรมชาติจดั วา่ เป็นไม้ทม่ี ี “ความทนทานสูงมาก”
เพราะทนแดดทนฝนได้นานถงึ 15 ปี สว่ นคณุ สมบตั ดิ า้ นการใชง้ านอนั ไดแ้ ก่ การเลอ่ื ย การไส
388 รวมเรื่องสวนปา่
การเจาะ และการกลึงน้นั จดั อยู่ในชน้ั ท่ี 4 ในจำนวน 6 ชัน้ คือ “คอ่ นขา้ งยาก” การยึดเหนี่ยว
ตะปจู ดั อย่ใู นชั้น “ดีมาก” และการขดั เงาอยใู่ นชั้น “ปานกลาง” ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าวทำ
ให้ไม้พะยูงเหมาะสำหรับใช้ทำเครื่องเรือนชั้นดี ทำตัวถังรถ งานกลึง งานแกะสลัก คันธนู
เครอื่ งดนตรี ดา้ มปากกา ไมบ้ รรทัด รวมท้งั ไม้บผุ นังทส่ี วยงาม
ส่วนประโยชน์ทางอ้อมนั้น ยางใช้ทาแก้ปากเปื่อย รากรับประทานแก้พิษไข้เซื่องซึม
เปลือกต้มเอานำ้ อมแก้ปากเปื่อย ปากแตกระแหง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นกค็ ือ เปลือกไมพ้ ะยูงมี
สารยับยั้งเซลล์มะเร็งที่เรียกว่า Dalbergin ซึ่งขนะนี้คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย กำลงั ทำการศึกษาวิจัยในเชงิ ลึกอยู่
อย่างไรก็ตาม พะยูงเป็นไม้ที่มีฐานพันธุกรรมค่อนข้างกว้าง คุณสมบัติและคุณภาพ
ของเนอื้ ไมน้ อกจากจะข้นึ อยู่กบั อายุและขนาดของไม้ดงั กล่าวแลว้ ยังขึน้ อยู่กับความผันแปร
ทางพันธุกรรมอีกด้วย ดร.วิชาญ เอียดทอง ผู้เชี่ยวชาญด้านรุกขวิทยา (dendrology) ของ
ประเทศไทย ซงึ่ เป็นอาจารยผ์ ้สู อนวิชาพฤกษศาสตร์ปา่ ไม้และรุกขวทิ ยาในสถาบนั อดุ มศึกษา
หลายแห่ง กล่าวว่าไม้พะยูงมีหลากหลายสายต้น
(clones) แต่ละสายตน้ มถี น่ิ ทข่ี น้ึ อยู่ ลกั ษณะของเน้ือไม้
และราคาต่อลูกบาศก์เมตรแตกต่างกันไป โดยไม้พะยูง
ไหม เนื้อไม้มีสีส้มอมเหลืองทอง คุณภาพดีที่สุด และ
ราคาก็แพงตามคณุ ภาพไปด้วย พบมากแถวอำเภอสังขะ
จงั หวัดสุรนิ ทร์ รองลงมาคอื พะยงู แดง เนือ้ ไมส้ ีแดงตาม
ชื่อ พบแถวพูพาน จังหวัดสกลนครและจังหวัดเลย
พะยูงดำ เนื้อไม้สีเข้ม พบที่บึงกาฬ และนครพนม
ตอนบน ในขณะที่ไม้พะยงู แกลบซึ่งถือว่าเปน็ สายต้นไม้
พะยูงที่มีคุณภาพด้อยที่สุด ลายไม้เป็นทางดำสลับแดง
คล้ายม้าลาย พบที่หนองบัวลำภู นอกจากนี้ยังมีไม้ประดู่ลาย (Dalbergia lanceolata) ซ่ึง
พบมากที่จังหวัดเลยและหนองคาย เนื้อไม้คล้ายกับไม้พะยูงแดงมาก แต่ลายไม้เป็นคล่ืน
คลา้ ยไม้ชิงชนั มรี าคาแพงพอ ๆ กบั ไมพ้ ะยงู แดง
ที่กล่าวว่าไม้พะยูงของกลางทีจ่ ับยดึ ได้เปน็ ไม้จากป่าธรรมชาตินัน้ เพราะการปลูกสร้าง
สวนป่าไม้พะยูงในประเทศไทยยังมีน้อยมาก ที่มีอายุมากที่สุดน่าจะเป็นสวนป่าคลองตะเกรา
จังหวัดฉะเชิงเทรา ขององค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ซึ่งปลูกในปี พ.ศ. 2520 เนื้อที่ 14 ไร่
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 389
และที่ปลูกในรูปของสวนป่าแปลงใหญ่ที่สุดก็น่าจะเป็นสวนป่าท่ากุ่ม โนโบรุ อุเมดะ จังหวัด
ตราด ขององค์การอุตสาหกรรมปา่ ไม้อกี เชน่ กนั อายปุ ระมาณ 30 ปี เนือ้ ท่ี 800 ไร่
สว่ นกรมป่าไม้นนั้ ได้เริม่ ปลูกไมพ้ ะยงู ในรปู ของการศึกษาวิจัยทางวนวฒั นวิทยาไวต้ าม
สถานีวนวัฒนวิจัยและสวนป่าต่าง ๆ เมื่อประมาณ 20 ปีมาแล้ว อาทิ สถานีวนวัฒนวิจัย
สะแกราช และสถานีวจิ ัยวนวัฒนวจิ ัยหมสู ี จงั หวดั นครราชสีมา สถานีวนวฒั นวิจัยสงขลา สถานี
วนวฒั นวิจัยกาญจนบรุ ี สถานวี นวัฒนวจิ ยั กาฬสนิ ธุ์ ศนู ย์วิจยั ผลิตผลไม้ป่า จังหวดั เลย สถานี
เพาะชำกล้าไม้ จงั หวัดร้อยเอด็ สวนป่าดงลานและสวนป่าซำแคน จังหวดั ขอนแกน่ เปน็ ตน้
กรมป่าไม้ไดจ้ ดั ให้ไม้พะยงู เป็นหนึ่งในหา้ กลุม่ ไม้สำคัญที่ควรค่าแก่การศึกษาวิจัยและ
ส่งเสริมให้เอกชนปลูก อันประกอบด้วย ไม้สัก ไม้ไผ่ ไม้ยูคาลิปตัส ไม้อะเคเซีย (Acacia)
และไม้พะยูง
ด้วยตระหนักถึงบทบาทความสำคัญท้ังทางตรงและทางอ้อมของไม้พะยูง โปรแกรม
ทรัพยากรพันธุกรรมป่าไม้แห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APFORGEN) จึงได้จัดไม้พะยูงใน
ฐานะไมพ้ ื้นถิ่นไว้ในลำดบั ตน้ ๆ ของภูมิภาคเอเชียแปซฟิ ิกท่จี ะตอ้ งทำการศึกษาวจิ ัยด้านการ
ปรับปรุงพนั ธุ์และส่งเสริมให้มกี ารปลกู กนั อย่างกวา้ งขวาง
กลุ่มงานวนวัฒนวิจัย สำนักวิจัยและ
พัฒนาการป่าไม้ กรมป่าไม้ ไดด้ ำเนนิ การและกำลัง
สานต่องานวิจัยไม้พะยูงอยู่หลายโครงการด้วยกัน
อาทิ การทดสอบสายพันธุ์และถิ่นกำเนิดไม้พะยูง
เพอ่ื การปลกู ป่าเชงิ เศรษฐกิจ การประยกุ ต์ใช้ระบบ
สารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการจัดทำฐานข้อมูลการ
อนุรักษ์พันธุกรรมในถิ่นกำเนิดของไม้พะยูง
ชีววิทยาของดอกและเทคนิคการผสมเกสรไม้พะยงู
การพัฒนาเทคนิควนวัฒนวิจัยเพ่ือเพิ่มผลผลิตสวน
ป่าไม้พะยูง ส่วนการอนุรักษ์และพัฒนาที่ได้ทำ
มาแล้วและจะทำต่อไปอีก ได้แก่ การสำรวจแหล่งเมล็ดและแม่ไม้ การสร้างแปลงรวบรวม
พันธุ์ การสร้างแปลงปรับปรุงพันธุ์ และการสร้างแปลงขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ ส่วนงานท่ี
กรมป่าไม้จะทำตอ่ ไปก็คอื การจดั สร้างแปลงขยายพนั ธแ์ุ บบไม่อาศยั เพศ (hedge orchard)
390 รวมเร่อื งสวนปา่
แม้กรมป่าไมจ้ ะได้ทำการศึกษาวิจัยด้านวนวัฒนวิทยาของไม้พะยูงมามากพอสมควร
แล้วก็ตาม แต่ที่ประชุมเสวนาเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2553 ก็ยังมีความเห็นว่ากรมป่าไม้
องค์การอตุ สาหกรรมป่าไม้ และคณะวนศาสตร์ ควรจดั ตงั้ “กลุม่ วิจัยไม้พะยงู ” เพ่ือร่วมกัน
ทำการศึกษาวิจัยไม้พะยงู เชิงบูรณาการอย่างครบวงจร โดยเน้นการวิจัยด้านการปรับปรุงพันธ์ุ
(ความตรงเปลาของลำต้น คุณภาพของเนื้อไม้ การต้านทานโรค ฯลฯ) การอนุรักษ์แหล่ง
พันธุกรรมในที่ต้ัง (in situ gene conservation) ห่วงโซ่มูลค่าเพ่ิม (value chain) และการ
พัฒนาผลิตภัณฑ์จากไม้พะยูง และการวิจัยด้านวนวัฒนวิทยาเพื่อคัดเลือกสายต้นให้
เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมของพื้นที่ปลูก รวมทั้งการจัดการด้านวนวัฒนวิทยา อันจะ
นำไปสู่การเร่งการเติบโตและลดอายรุ อบตดั ฟันของไมพ้ ะยูง
อยา่ งไรกต็ าม ก่อนทก่ี ลุม่ งานวจิ ยั ไม้พะยงู จะเรมิ่ เขียนชดุ โครงการวิจยั เพื่อหาแหล่งทุน
สนับสนุนการวจิ ัยดงั กลา่ ว ที่ประชมุ เสวนาได้เสนอแนะใหจ้ ัดประชมุ สัมมนาทางวชิ าการ เพื่อ
นำเสนอผลงานวิจัยในอดีตและปัจจุบัน อันจะนำไปสู่การกำหนดทิศทางการวิจัยในอนาคต
ควบคู่ไปกับการดำเนินงานวิจัย หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องก็ควรจะส่งเสริมให้เกษตรกร
ปลกู ไมพ้ ะยงู เป็นไมเ้ ศรษฐกิจบนพื้นฐานขอ้ มูลทางวชิ าการทีม่ อี ยบู่ า้ งแลว้ อาทิ ปลูกแทรกใน
สวนป่ายูคาลิปตัสไร่ละ 15–20 ต้น โดยจัดการให้ยูคาลิปตัสเป็นไม้ที่มีอายุรอบตัดฟันสั้น (5 ปี)
และพะยูงเป็นไม้ที่มีอายุรอบตัดฟันยาว (30 ปี) รวมทั้งปลูกตามบริเวณบ้านเรือนและท่วี ่าง
ทัว่ ๆ ไป ในฐานะไมม้ งคลให้ชาวบ้านไดค้ ้นุ หคู ุน้ ตา แต่ดนิ ท่ีปลูกไมพ้ ะยูงตอ้ งเป็นดนิ ที่มีการ
ระบายน้ำดี นำ้ ไม่ทว่ มขัง
ชื่อไม้พะยูงอาจจะไม่ฮือฮาโดดเด่นเหมือนไม้ในกระแสบางชนิดเมื่อ 2–3 ปีที่
ผ่านมา แต่การปลูกไม้พะยูง แม้จะไม่ทำใหผ้ ูป้ ลูกรุง่ อย่างทันตาเห็น แต่ก็คงไม่ทำใหร้ ่วง
อย่างแนน่ อน เพราะพะยงู เปน็ ไมโ้ ตชา้ รอบตัดฟนั ยาว แต่มรี าคาแพงมากน่นั เอง
67 เทพทาโร
ไมม้ งคลมหศั จรรย์
ผมเคยเขยี นถงึ ไม้เทพทาโรมาครั้งหน่ึงแลว้ โดยใช้ชอ่ื เร่อื งวา่ “เทพทาโร : ไม้ทน่ี ่าสนใจ
ตามไตรภูมิพระร่วง” นำลงตีพิมพ์ในนิตยสารไม่ลองไม่รู้ ปีที่ 5 ฉบับที่ 42 ประจำเดือน
มกราคม พ.ศ. 2548
แต่ที่ต้องกลับมาเขียนถึงไม้ชนิดนี้อีกครั้งหนึ่งก็เพราะ เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2553
ผมได้เดนิ ทางไปเปน็ ประธานฝ่ายฆราวาสในการทอดผา้ ป่าสามัคคีเพ่ือสมทบทุนการก่อสร้าง
พระอุโบสถวัดบ้านบกปุย หมทู่ ่ี 1 ตำบลลำภี อำเภอทา้ ยเหมือง จังหวัดพังงา ซึ่งได้รับความ
กรุณาจากญาติมิตร ผู้มีจิตศรัทธา รวมทั้งขาประจำคอลัมน์ “ไม้เศรษฐกิจ” ของนิตยสาร
ไม่ลองไม่รู้หลายท่าน ได้ร่วมกันทำบุญ ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ ได้เงินถวายวัดรวมทั้งส้ิน
430,031.00 บาท (สี่แสนสามหมื่นสามสิบเอ็ดบาทถ้วน) ในฐานะประธานฯ ผม
ขอขอบพระคุณทุกท่านมา ณ โอกาสนี้อีกครั้งหนึ่ง และขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและ
บุญกุศลที่ท่านได้บำเพ็ญในครั้งนี้ ได้โปรดดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว ประสบแต่
ความสุขความเจรญิ ดว้ ยจตุรพธิ พรชัยสีป่ ระการ คอื อายุ วรรณะ สุขะ พละ เทอญ ฯ
ในวันดังกล่าวผมได้พบกับ คุณสมบูรณ์ บุญยืน (โทร: 089-876-5967) นักวิชาการ
ป่าไม้ชำนาญการพิเศษ แห่งแผนงานวิจัยและพัฒนาไม้หอมเพื่อเศรษฐกิจ สำนักวิจัยและ
พัฒนาการปา่ ไม้ กรมป่าไม้ ซึ่งคนในแวดวงไม้เทพทาโรรู้จักดีว่าเป็น “กูรู” ของไม้เทพทาโร
เพราะนอกจากจะมีภูมิลำเนาอยู่ไม่ห่างไกลจากวดั นิโรธรังสี อำเภอท้ายเหมอื ง จังหวัดพังงา
แลว้ คณุ สมบรู ณย์ ังเปน็ หัวหนา้ สถานวี นวฒั นวจิ ัยสงขลา (ตำบลฉลงุ อำเภอหาดใหญ่ จงั หวัด
สงขลา) ซึ่งมีงานวิจัยและพัฒนาไม้หอมเพื่อเศรษฐกิจ รวมทั้งมีสวนพันธุกรรมไม้เทพทาโร
เพ่ือผลิตกล้าพันธดุ์ ี อยู่อีกดว้ ย
วัดนิโรธรังสี เป็นต้นตำรับในการอนุรักษ์ต้นเทพทาโร การปลูกไม้เทพทาโรและ
การนำผลสุกมาใช้ทำน้ำมันหอมระเหยเทพทาโร ซึ่งมีชื่อเสียงแพร่หลายมาก ภายใน
พิมพค์ รั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 11 (115) : 33–35 (พ.ศ. 2554)