192 รวมเรือ่ งสวนป่า
ในที่น้ีจะขอกล่าวเฉพาะสายพนั ธุ์ โดยเริ่มต้ังแต่การคดั เลือกแม่ไมแ้ ละการขยายพันธุ์
ไม้สักเพื่อให้ได้ต้นกล้าหรือเหง้าสำหรับปลูก ไม้สักจะปลูกด้วยต้นกล้าซึ่งเพาะเลี้ยงไว้ใน
ถุงพลาสติก หรอื เหง้าซึ่งตัดแต่งมาจากตน้ กล้าท่มี อี ายุประมาณ 8-12 เดอื น กไ็ ด้
ความจริงการคัดเลือกแม่ไม้สักสายพันธุ์ดีมีประวัติยาวนานเกือบครึ่งศตวรรษแล้ว
กล่าวคือ รัฐบาลไทยโดย กรมป่าไม้ร่วมกับรัฐบาลเดนมาร์ค โดย DANIDA ได้จัดตั้ง “ศูนย์
บำรุงพนั ธไ์ุ มส้ ัก” (Teak Improvement Center : TIC) ภายใต้โครงการปรับปรงุ บำรงุ พนั ธุ์
ไม้สกั ขนึ้ ท่ีอำเภองาว จงั หวัดลำปาง เมอ่ื วันท่ี 25 มกราคม 2508 กิจกรรมสำคัญๆ ของศูนย์
บำรงุ พันธไ์ุ ม้สัก คือ การสำรวจคดั เลอื กไมส้ ักที่มีลักษณะดีอนั พึงประสงค์ทั่วประเทศ บันทึก
ลกั ษณะทางวนวฒั นพ์ รอ้ มกับทำเลทตี่ ั้งทางภูมิศาสตร์อยา่ งละเอียด และขึ้นทะเบียนเป็นแม่
ไม้สักเพื่อเก็บเมล็ดไปผลิตกล้าและ/หรือเก็บกิ่งตาเพื่อนำไปติดตา สร้างสวนรวมพันธุ์ตา
(clone bank หรือ hedge orchard) เพื่อการขยายพันธุ์โดยวิธีไม่อาศัยเพศต่อไป ขณะ
เดียวกันศูนย์บำรุงพันธุ์ไม้สักก็ได้จัดสร้างแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สัก (seed production
area) และสวนผลติ เมล็ดพันธ์ไุ มส้ กั (seed orchard) ข้ึน เพือ่ เป็นหลักประกันดา้ นปริมาณ
และคุณภาพของเมล็ดไม้สักท่จี ะตอ้ งใชใ้ นโครงการปลูกสร้างสวนสกั ในอนาคตอีกดว้ ย
ไม้สักที่มีลักษณะดีและคัดเลือกไวเ้ ป็นแมไ่ ม้น้ันจะต้องเป็นไม้เด่น (dominant tree)
มีขนาดสูงใหญ่ ลำต้นตรงเปลา กิ่งมี
ขนาดเล็กทำมุมเป็นมุมฉากกับลำต้น
อันบ่งบอกถึงความสามารถในการลิด
กิ่งตามธรรมชาติได้ดี ปราศจาก
ร่องรอยการทำลายจากโรครา แมลง
และไฟป่า แม่ไม้ที่มีลักษณะดงั กลา่ วน้ี
ศัพท์ทางวิชาการป่าไม้ เรียกว่า plus
tree โดยลักษณะเด่นของ plus tree
อาจจะเนื่องมาจากพันธุกรรม และ/
หรือ สภาพแวดล้อมของพื้นที่ที่ไม้สัก
ต้นนั้นขึ้นอยู่ก็ได้ หากพิสูจน์ได้ว่าเปน็
plus tree เพราะพันธุกรรมก็จะเรียก
plus tree ต้นนั้นว่าเป็น elite tree
แทน
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 193
หรืออาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า plus tree คือแม่ไม้ที่มีลักษณะทางสัณฐานวิทยา
อันพึงประสงค์ คือ ลำต้นสูงใหญ่ตรงเปลา ส่วน elite tree นั้นจะต้องเป็น plus tree ที่มี
ลักษณะทางพันธุกรรมดีด้วย elite tree จึงเป็นแม่ไม้อันพึงประสงค์ของนักปรับปรุงบำรุง
พันธไ์ุ มส้ ักมากกว่า plus tree
แหลง่ ผลติ เมลด็ พนั ธ์ุไมส้ ัก คอื กลมุ่ ไม้สักในสวนปา่ หรือในปา่ ธรรมชาติซ่ึงหมู่ไม้ส่วน
ใหญ่เป็น plus tree เหมาะที่จะเก็บเมล็ดมาปลูกสร้างสวนป่าต่อไป จึงเข้าไปจัดการให้
เอื้ออำนวยต่อการผลิตและการเก็บเมล็ดพันธุ์ด้วยการตัดไม้สักที่มีลักษณะด้อยออก ตัดสาง
ให้ไม้สักที่เหลืออยูม่ รี ะยะห่างกันพอสมควร เพราะแม่ไม้สักจะให้เมลด็ ดกก็ต่อเมื่อไดร้ ับแสง
สว่างเต็มที่รวมทั้งต้องทำการกำจัดวัชพืชและทำความสะอาดพื้นป่าให้ง่ายต่อการเข้าไปเก็บ
เมล็ดพันธ์ุ
สวนผลิตเมล็ดพนั ธ์ุไมส้ ัก คือ สวนสักซึง่ ปลูกสร้างขึน้ เพื่อเป็นแหล่งผลิตเมล็ดพนั ธ์ไุ ม้
สักประกอบด้วยหมู่ไมซ้ ึ่งมีลักษณะทางพันธุกรรมสูง ปลูกให้แยกห่างจากป่าสักธรรมชาติและ
สวนสักปกติมากพอสมควรเพื่อป้องกันการผสมข้ามกัน โดยใช้ระยะปลูกให้ห่างกว่าสวนป่า
ปกติเพื่อใหต้ ้นสกั ไดม้ กี ่งิ ก้านสาขาและได้รับแสงสวา่ งเตม็ ท่ี รวมทงั้ ตอ้ งมกี ารจัดการสวนอย่าง
ประณีต เพอ่ื ให้ไดเ้ มลด็ ซึง่ สงู ท้ังคณุ ภาพและปริมาณ และงา่ ยตอ่ การเก็บเก่ยี วเมล็ดพันธ์ุ
สวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้
สักแห่งแรกของประเทศไทย
ตั้งอยู่ที่ตำบลแม่กา อำเภอ
เมือง จังหวัดพะเยา จัดสร้าง
ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2508 ภายใต้
โครงการปรับปรุงบำรุงพันธ์ุ
ไม้สักไทย-เดนมาร์ค โดยการ
นำตาจาก plus tree ต่าง ๆ
มาติดกับต้นตอ (stock) ซ่ึง
เป็นเหง้าที่เพาะจากเมล็ดในท้องถิ่น นำไปปลูกให้มีระยะห่าง 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10
เมตร และให้เบอร์ (V) ตามเบอร์ของ plus tree สวนผลิตเมล็ดพันธุ์แห่งนี้ ปัจจุบัน คือ
“สถานีวนวัฒนวิจัยแม่กา” ซึ่งมีคุณประสิทธิ์ เพียรอนุรักษ์ (โทร : 086-587-0338) เป็น
หวั หน้าสถานฯี
194 รวมเรือ่ งสวนปา่
ไมส้ ักสามารถขยายพันธไ์ุ ด้ทั้งโดยวิธี
อาศัยเพศ (reproductive propagation)
คือ เพาะจากเมล็ดและวิธีไม่อาศัยเพศ
(vegetative propagation) คือ การติดตา
ตัดกิ่ง (ยอด)ปักชำ และการเพาะเลี้ยง
เนื้อเยื่อ การขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศ
อาจจะทำให้มีการกลายพันธุ์ได้ แม้เก็บ
เมล็ดมาจากแม่ไม้ที่เป็น elite tree ก็ตาม
แต่ต้นลูกที่ได้อาจจะไม่มีลักษณะดีเหมือน
แม่ไม้ elite tree ก็ได้ อันต่างไปจากการ
ขยายพันธุ์แบบไม่อาศัยเพศ ที่ต้นลูกจะคง
ลักษณะของต้นแม่ไว้ทุกประการ ไม่ว่าจะ
เปน็ ลกั ษณะดที ่พี งึ ประสงค์หรือลักษณะเลวอนั มิพึงประสงคก์ ต็ าม
เนือ่ งจากไม้สกั มอี ายุรอบหมนุ เวียนในการตัดฟันยาวถงึ 30 ปี เพ่อื เปน็ หลักประกนั ว่า
เมื่อถึงเวลาตดั ฟันเจา้ ของสวนจะไดผ้ ลตอบแทนตามท่ีคาดหวัง จงึ จำเป็นอยา่ งย่ิงที่เกษตรกร
ผู้ปลูกสักจะต้องให้ความสำคัญกับเหง้า
หรือต้นกล้าที่ใช้ปลูก ด้วยการลงทุนซ้ือ
เหง้าหรือกล้าที่มีคุณภาพทางพันธุกรรม
สูงและผ่านการคัดสรรมาแล้ว แม้จะมี
ราคาสูงกว่าปกติบ้างก็ตาม เกษตรกร
จำนวนไม่น้อยเข้าใจว่ากล้าพันธุ์ดีต้อง
ได้มาจากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่
ความจริงแล้วการเพาะเลี้ยงเนื้อเย่ือเป็น
เพียงกรรมวิธีการผลิตกล้าไม้แบบไม่
อาศัยเพศวธิ ีหน่ึงเทา่ นั้นเอง หากเนื้อเยื่อเพาะเลีย้ งมาจากแม่พันธ์ุทม่ี ลี ักษณะไม่ดี กล้าไม้ท่ี
ได้ก็คงลักษณะไม่พึงประสงค์นั้นไว้ นั่นคือ กล้าพันธุ์ดีต้องได้มาจากแม่ไม้ที่ดี และจะดี
ย่งิ ขึ้นหากนำมาขยายพันธุ์แบบไม่อาศยั เพศ
หากปลูกสักโดยใช้เหง้าที่เพาะมาจากเมล็ดก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้เ มล็ดมาจาก
แม่ไม้ที่รู้ประวัติความเป็นมา แหล่งเมล็ดสักที่ดีที่สุด คือ สวนผลิตเมลด็ พันธุ์ไม้สัก แต่จนถึง
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 195
ทกุ วนั นีป้ ระเทศไทยมีสวนผลติ เมล็ดสกั อยู่เพียง 13,000 ไรเ่ ทา่ นน้ั และที่สำคัญยงิ่ ไปกว่าเนอื้
ที่ก็คือ สวนผลิตเมล็ดพันธุ์ส่วนใหญ่มีอายุน้อย จัดการไม่ดี เพราะงบประมาณต่อไร่ที่ใช้ใน
การบำรุงรกั ษาสวนผลิตเมล็ดพนั ธุไ์ ม้สักไมต่ ่างไปจากงบประมาณการดแู ลรกั ษาสวนสกั ทว่ั ๆ
ไป แม่ไม้แต่ละต้นจึงให้เมล็ดได้น้อยมาก โดยเฉลี่ยเพียง 210 กรัมต่อต้น หรือ 1.3 กิโลกรัม
ต่อไรเ่ ทา่ นนั้
นั่นคือ ปัจจุบันนี้ประเทศไทยผลิตเมล็ดสักจากสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ได้ประมาณ
ปีละ 17,000 กโิ ลกรัม
เมล็ดสักอยู่ในผลแห้งเปลือกแข็งซึ่งภาษาอังกฤษเรียกว่า drupe ใน drupe หนึ่ง ๆ
จะมีเมล็ดอยู่ 1-4 เมล็ด แต่ผลที่มีเมล็ดอยู่ภายในนั้นมีเพียงร้อยละ 60-70 เท่านั้น หรือ
อาจจะกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าเศษหนึ่งสว่ นสามของผลสักไม่มีเมล็ดอยู่เลย อัตราการงอกของ
เมล็ดสกั จงึ มคี ่าเฉล่ยี เพยี งรอ้ ยละ 35 เท่านั้น
เมล็ด(ผล)สัก 1 กิโลกรัม มี
จำนวนประมาณ 2,000 เมล็ด(ผล)
หรือ 500 เมล็ด(ผล) ต่อลิตร หรือ 4
ลิตรต่อกิโลกรัม หรือ 5 กิโลกรัมต่อ
หนงึ่ ปีบ๊
ส ว น ผ ล ิ ต เ ม ล ็ ด พ ั น ธ ุ ์ ไ ม ้ สั ก
13,000 ไร่ ซึ่งผลิตเมล็ดได้ 1.7 ตันน้นั
ให้เมล็ด (ผล) ประมาณ 34 ล้านเมล็ด
(ผล) ได้ต้นกล้าประมาณ 11.9 ล้านต้น หากปลูกให้มีความหนาแน่น 100 ต้นต่อไร่ ก็จะได้
เนอื้ ท่สี วนสักประมาณ 119,000 ไร่ หรอื หากคิดว่าจะต้องใชต้ น้ กลา้ เพื่อปลกู ซ่อมร้อยละ 20
ปริมาณเมล็ดจากสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ดังกล่าวก็เพียงพอสำหรับเนื้อที่ปลูกสร้างสวนสักปีละ
100,000 ไร่ หรอื จะคดิ งา่ ย ๆ ว่าทกุ ๆ สวนสกั ท่จี ะปลกู สรา้ งข้นึ ใหม่ 8 ไร่ จะต้องมีสวนผลิต
เมลด็ พนั ธ์ุไมส้ ัก 1 ไร่ แต่ถ้ามีการจดั การในระดบั หนึง่ กอ็ าจจะปรบั สดั สว่ นจาก 1 : 8 เปน็ 1 :
10 กไ็ ด้
ศาสตราจารย์ ดร. สอาด บุญเกิด อดีตรองผู้อำนวยการองค์การอุตสาหกรรม
ป่าไม้ (อ.อ.ป.) ได้ให้แนวคิดและเริ่มทำเป็นตัวอย่างกับสวนสกั รุ่นแรกๆ ของ อ.อ.ป. เมื่อส่ี
สิบปีที่แล้ว โดยกำหนดให้สวนสักเปิดใหม่ของ อ.อ.ป. ทุกสวนจะต้องมีสวนผลิตเมล็ดพันธ์ุ
196 รวมเรือ่ งสวนป่า
อย่างน้อย 10 ไร่ เพื่อผลิตเมลด็ สกั สายพันธุ์ดีสำหรับใช้ในการขยายพื้นที่ปลูก ณ สวนป่านั้น ๆ
ปีละ 1,000 ไร่ หรอื สวนผลิตเมล็ดพันธ์ุ 1 ไร่ ให้เมล็ดเพียงพอกบั การปลูกสรา้ งสวนสกั 100 ไร่
แตน่ า่ เสยี ดายที่งานทางวิชาการซึ่งปรมาจารย์ด้านป่าไมไ้ ด้ริเร่ิมไว้ในอดีตไม่ได้รับ
การสานต่อจากคนรนุ่ หลงั ไมว่ า่ จะเปน็ ภาครฐั หรอื เอกชนกต็ าม
หากไมม่ ีสวนผลติ เมลด็ พนั ธ์ุ หรอื เมลด็ จากสวนผลิตเมล็ดพนั ธุม์ ีไม่เพยี งพอ แหลง่ ท่ีมา
ของเมล็ดสักพันธุ์ดีที่ต้องการควรจะมาจากแหล่งผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สัก เพราะผ่านการ
คัดเลอื กแมไ่ มแ้ ละได้รบั การจัดการเพ่ือการผลิตเมลด็ พนั ธ์ุมาแลว้ แตถ่ า้ แหล่งผลิตเมล็ดพันธ์ุ
ยงั ให้เมลด็ ไดไ้ มม่ ากพอกับความต้องการ ท่มี าของเมลด็ อันพงึ ประสงค์แหลง่ สุดท้ายก็คือ แม่
ไมซ้ ่ึงมีลกั ษณะเปน็ plus tree ในสวนปา่ หรอื ป่าธรรมชาติ
อยา่ งไรกต็ าม เพือ่ เพิม่ ผลผลติ ตอ่ ไร่
ของไม้สักจากสวนป่าให้ได้ปริมาตรไม้
ใกล้เคียงกับของประเทศเพื่อนบ้าน การ
ปลูกสร้างและจัดการสวนผลิตเมล็ดพันธ์ุ
ไม้สักตามหลักวิชาการป่าไม้จึงเป็นความ
จำเป็นขั้นพื้นฐานอย่างยิ่ง ประเทศไทย
ต้องมีสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สักกระจาย
อยู่ในภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ มีแม่ไม้
หลากหลายเพื่อขยายฐานทางพันธุกรรมให้กว้าง ที่สำคัญ คือจะต้องมีการจัดการอย่าง
ประณตี และต้องทุ่มเทงบประมาณให้เพียงพอกับการบำรงุ รักษาต่าง ๆ
เลิกคิดเสียทีว่าสวนผลิตเมล็ดพันธุ์ไม้สักคือสวนป่า แต่ต้องระลึกไว้เสมอว่าสวนผลติ
เมล็ดพันธุ์ไม้สักคือสวนผลไม้ เพราะผลิตผลหลักคือเมล็ด ไม่ใช่เนื้อไม้ ดังนั้น งบประมาณ
และการจดั การสวนผลติ เมลด็ พันธไ์ุ มส้ กั จึงไม่ควรจะแตกต่างไปจากสวนไม้ผลยืนตน้
37 การปรบั ปรุงบำรุงพันธไุ์ ม้สัก
2. การผลิตกล้าสักทีม่ คี ณุ ภาพ
การปลูกไม้สักสามารถกระทำได้หลายวิธีทั้งโดยการนำเมล็ดไปปลูกลงในพื้นท่ี
โดยตรง (direct seeding หรือ sowing) การปลูกดว้ ยต้นกล้า (seedling) และการปลกู ดว้ ย
เหง้า (stump)
การปลูกด้วยเมล็ดเริ่มมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2449 ซึ่งเป็นการปลูกสร้างสวนสักครั้งแรก
ของประเทศไทย โดยพระยาวนั พฤกษ์พิจารณ์ ได้ใช้วิธีหยอดเมล็ดลงในหลมุ (dibbling) ท่ี
จังหวัดแพร่ กรมป่าไม้ได้ทดลองปลูกไม้สักด้วยเหง้าเป็นครั้งแรกที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนเมื่อปี
พ.ศ. 2475 ส่วนการปลูกด้วยต้นกล้านั้นเพิ่งกระทำกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน โดยภาคเอกชน
เมื่อประมาณสิบกว่าปมี านี้เอง โดยต้นกล้าที่ใชส้ ่วนใหญ่ได้มาจากการเพาะเล้ียงเนือ้ เยื่อและ
การปักชำมากกว่าการเพาะจากเมลด็
ในการปลูกสร้างสวนป่านั้นการ
ปลูกด้วยเมล็ดโดยตรงไม่ค่อยเป็นที่นิยม
กันมากนัก เพราะนอกจากจะยากต่อการ
ตั้งตัวของต้นกล้าอันเนื่องมาจากปัญหา
ของวชั พชื ส่งผลให้ตน้ ไมเ้ ติบโตช้าแล้ว ยงั
เป็นการสิ้นเปลืองเมล็ดไม้ เพราะการ
ทำลายของมด นก หนู และศัตรูพืชนานา
ชนิดอีกด้วย หากจะว่ากันด้วยหลักการการปลูกสร้างสวนป่าโดยทั่วๆ ไป การนำเมล็ดดีที่มี
ชวี ติ (viable seed) 100 เมลด็ ไปปลกู ลงในพนื้ ทโ่ี ดยตรง ถา้ ไดต้ ้นไมท้ ีเ่ จริญเตบิ โตจนถึงอายุ
การตัดฟันเพยี งหนึง่ ต้นกถ็ อื วา่ ประสบผลสำเร็จแล้ว
ในกรณีของไมส้ ักซ่ึงเมล็ด 1 กิโลกรัม มีจำนวน 2,000 เมล็ด มีอัตราการงอกร้อยละ
35 หากนำเมลด็ จำนวนนีไ้ ปปลูกลงในพื้นท่ีโดยตรงและไดต้ ้นสักทีเ่ จริญเติบโตจนถงึ อายุ
พมิ พ์ครั้งแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (67) : 30 – 32 (พ.ศ. 2550)
198 รวมเรอื่ งสวนป่า
การตัดฟัน (30 ปี) เพียง 7 ต้น หรือเมล็ด 1 กิโลกรัม ได้ต้นสัก 7 ต้น ก็ควรจะพึงพอใจ
แลว้
ด้วยเหตนุ เี้ องการปลูกด้วยเมล็ดจงึ อยู่ในวงจำกดั มาก จะใชก้ เ็ ฉพาะในกรณีท่ีเมล็ดไม้
มอี ตั ราการงอกสงู และการผลิตกล้าไม่ทันกบั ความต้องการตามฤดกู าลปลกู เทา่ นนั้
การปลูกไมส้ ักส่วนใหญ่จงึ นิยมปลูกด้วยเหง้าและต้นกล้า โดยเหง้าก็คือสว่ นหนึง่ ของ
ต้นกล้าที่เพาะมาจากเมล็ด ส่วนต้นกล้าในกรณีนี้ได้มาจากการปักชำและการเพาะเลี้ยง
เนื้อเยื่อซึง่ เปน็ วธิ ีการขยายพันธุ์พชื โดยไมอ่ าศัยเพศ
จะเปน็ การปลกู ดว้ ยเหง้าหรือต้นกล้า
ก็ตาม แต่ประเด็นที่สำคัญที่สุดก็คือเหง้า
และ กล้าเหล่านั้นจะต้องได้มาจากแม่ไม้ท่ี
เป็น elite tree หรือ plus tree ท่มี ีคุณภาพ
ทางพันธกุ รรมสูง มหี ลกั ประกันเปน็ ท่เี ชื่อถอื
ได้ในเชิงวิชาการ หากการขยายพันธุ์ไม้สัก
มาจากเมล็ด เมล็ดสักจะต้องได้มาจากสวน
ผลิตเมล็ดพันธ์ุหรอื อยา่ งนอ้ ยที่สุดก็ต้องเปน็ แหลง่ ผลิตเมล็ดพนั ธ์ุเทา่ นัน้
เหง้าสักก็คือส่วนของต้นกล้าที่ประกอบด้วยรากแก้วและลำต้นที่อยู่ใกล้ผิวดิน รวม
ความยาวท้ังส้นิ ประมาณ 20 เซนติเมตร โดยประมาณสีส่ ว่ นในความยาวห้าสว่ นเปน็ สว่ นของ
รากแก้ว กระบวนการผลิตเหง้าสักเริ่มด้วยการยกร่องทำแปลงเพาะเมล็ดกลางแจ้ง ให้ร่อง
เพาะสูงประมาณ 30 เซนติเมตร กว้าง 1.20 เมตร ส่วนความยาวนั้นไม่จำกัด แต่ต้องมี
ช่องว่างระหวา่ งร่องเพาะเพื่อใชเ้ ป็นทางเดินประมาณ 40 เซนติเมตร จากนั้นก็ทำการหว่าน
เมล็ดสักในตอนต้นฤดูฝนในอัตราประมาณกิโลกรัมละ 5 ตารางเมตร หรือตารางเมตรละ
400 เมลด็ กลบเมล็ดดว้ ยดนิ รว่ นขา้ งร่องเพาะ เมลด็ ทหี่ วา่ นจะเริ่มงอกเปน็ ต้นกล้าภายใน 2 –
3 สัปดาห์ และทยอยงอกไปเรื่อยๆ จนถึง 3 เดือน ในพื้นที่ 1 ตารางเมตรอาจจะมีกล้าสัก
งอกข้ึนมา 60-80 ตน้ กลา้ ทง่ี อกขึ้นมาทหี ลังจะไม่เจรญิ เตบิ โตเท่าทค่ี วร เพราะถกู ตน้ กล้าท่ีมี
อายุมากกวา่ บดบังแสงสว่าง จงึ บอบบาง อ่อนแอ และมีขนาดเล็กเกินกวา่ ทจี่ ะนำไปปลูกได้
เมื่อต้นกล้ามีอายุได้ 1 ปี หรือต้นฤดูฝนของปีถัดมาก็จะทำการถอนและตัดแต่งกล้า
สักให้กลายเป็น “เหง้าสัก” เพื่อใช้ปลูก โดยการตัดรากด้านข้างออกและตัดส่วนของลำตน้
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 199
ให้มีตาเหนือระดับดินอยู่ราว 2 – 3 ตา จากนั้นก็ทำการตัดรากแก้วให้มีความยาวของเหง้า
รวมทงั้ สิ้นประมาณ 20 เซนติเมตร
ขนาดของเหงา้ สักท่เี หมาะสมสำหรับนำไปปลูกควรมีเส้นผ่านศนู ย์กลางที่ระดับผิวดิน
ประมาณ 1.2 เซนติเมตร ยาว 20 เซนติเมตร พนื้ ที่รอ่ งเพาะ 1 ตารางเมตรสามารถผลิตเหงา้
ซงึ่ มขี นาดโตพร้อมทีจ่ ะนำไปปลกู เม่อื มีอายคุ รบ 1 ปี ไดป้ ระมาณ 35 ต้น สว่ นต้นกลา้ ทเี่ หลอื
อีกจำนวนไม่น้อยยังมีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะนำไปปลูกไดก้ ็อาจจะปล่อยทิง้ ไว้ในร่องเพาะให้
เป็นกล้าค้างปีเพื่อกลับมาถอนในปีถัดไป หรืออาจจะถอนและตัดแต่งเป็นเหง้าขนาดเล็ก
นำไปชำลงในถงุ พลาสติก (containerized seedling) เลีย้ งไวใ้ นเรือนเพาะชำเพอ่ื นำไปปลูก
ในรปู ของตน้ กลา้ ในเวลาต่อมาก็ได้
จากการที่มีกล้าสักถึงตารางเมตรละ
80 ต้น แต่มีเหง้าซึ่งโตถึงขนาดที่จะนำไป
ปลูกได้เพียง 35 ต้น เพราะต้นกล้าที่เหลือมี
ขนาดเล็กเกินไปนั้น ทำให้เกิดการจัดการ
กล้าสักในร่องเพาะด้วยการใช้มีดคมๆ ตัด
ยอดกล้าสักขนาดใหญ่ในร่องเพาะให้สูงจาก
พื้นดินประมาณ 30 เซนติเมตร เพื่อชลอการเจริญเติบโตของต้นกล้าขนาดใหญ่ที่งอกขึ้นมา
ก่อน และเร่งการเจริญเติบโตของต้นกล้าขนาดเล็กซึ่งงอกขึ้นมาทีหลังด้วยการเปิดโอกาสให้
ต้นกล้าขนาดเล็กได้รับแสงสว่างมากขึ้น สักเป็นไม้ที่ต้องการแสงสว่างเต็มที่ไม่ว่าจะเป็นไม้
ขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กก็ตาม เมื่อกล้าสักต้นเล็กๆ ซึ่งถูกบดบังได้รับแสงสวา่ งมากขึ้นก็จะ
เจรญิ เติบโตเรว็ ขน้ึ ทำใหไ้ ด้เหงา้ สกั ท่ีโตถงึ ขนาดท่ีจะนำไปปลกู ได้เพมิ่ ตามขึ้นมาด้วย
ศูนย์ผลิตกลา้ สักแม่เมาะ จังหวัดลำปาง ขององค์การอุตสาหกรรมปา่ ไม้ (อ.อ.ป.) ซ่ึง
ผลิตกล้าและเหง้าสักคุณภาพสูงปีละหลายล้านต้น เพื่อส่งให้แก่สวนสัก อ.อ.ป. ทั่วประเทศ
และจำหน่ายให้แก่เอกชนผู้สนใจปลูกสักทั่วๆ ไป ได้ทำการถอนกล้าและตัดแต่งเหง้าสักใน
หน้าหนาว ราวๆ ปลายเดือนธันวาคมถึงต้นเดือนกุมภาพันธ์ เพราะในช่วงเวลาดงั กล่าวสวน
ป่ามีกิจกรรมไม่มากนัก คนงานมีเวลาว่างจากภาคเกษตรกรรมและสวนป่าพอสมควร จึงได้
ตัดแต่งเหง้า แล้วรวมเข้าด้วยกันเป็นมัดๆ มัดละ 50 เหง้า แยกตามขนาดเล็ก กลาง ใหญ่
เกบ็ รักษาไว้ในหลุมทรายซง่ึ สะอาด แห้ง เยน็ (อณุ หภมู ิไม่เกนิ 30 องศาเซลเซยี ส) และอยู่ใน
รม่ ราว 3 – 5 เดือนจงึ นำออกจำหนา่ ยหรอื ปลกู ในตน้ ฤดฝู นถดั มา
200 รวมเร่ืองสวนป่า
เหง้าสักท่ีดีจะต้องมีลกั ษณะตรง เป็นรากแก้วเด่ียวๆ ไม่แตกงา่ ม มีขนาดความโต
ประมาณ 1.2 เซนติเมตร แต่นั่นเป็นเพียงลักษณะของเหง้าอันถึงประสงค์ในทางสัณฐาน
วิทยาเท่านั้น เหง้าสักที่มีคุณภาพดีและพึงประสงค์จริงๆ จะต้องมาจากเ มล็ดที่มี
หลักประกนั ทางพันธกุ รรม คือได้เมล็ดมาจากสวนผลิตเมล็ดพนั ธไุ์ ม้สักเทา่ น้ัน
นอกจากจะขยายพันธุ์ด้วยวิธีอาศัยเพศซึ่งเริ่มต้นด้วยการเพาะเมล็ดแล้ว ไม้สักยัง
สามารถขยายพันธุ์ด้วยวิธีไม่อาศัย
เพศโดยการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและ
การตัดยอดปกั ชำได้อกี ดว้ ย
“การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ”
เป็นการขยายพันธุ์พืชที่นำเอา
ชิ้นส่วนของพืช เช่น ยอดอ่อนและ
เมล็ดมาเลี้ยงในอาหารสังเคราะห์
อันประกอบด้วยแร่ธาตุ น้ำตาล
ไวตามิน และสารควบคุมการเจรญิ
เติบโต ภายใต้สภาพปลอดเชือ้ จุลินทรีย์ รวมทั้งตอ้ งมีการควบคุมสภาพแวดล้อม โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งคอื อณุ หภมู ิ ความชนื้ และแสงสวา่ ง ใหเ้ อือ้ อำนวยตอ่ การต้ังตัวและการเจริญเติบโต
ของพืชตน้ ใหม่ซึง่ เยาว์วยั และออ่ นแอ ข้อดีของการขยายพนั ธพุ์ ืชด้วยการเพาะเล้ียงเนื้อเย่ือก็
คอื การคงไว้ซ่ึงลกั ษณะทางพันธุกรรมของต้นแมท่ กุ ประการ
หากต้นแม่มลี กั ษณะดี ตน้ ลูกที่เกดิ ข้ึนใหมก่ จ็ ะดตี ามไปดว้ ย แตถ่ ้าต้นแมม่ ลี ักษณะ
อนั ไม่พึงประสงค์ กจ็ ะถา่ ยทอดลักษณะเลวทรามนัน้ ๆ ไปยังตน้ ลกู ทกุ ประการด้วยเชน่ กัน
ข้อดีอีกประการหนึ่งก็คอื เหมาะสำหรับใช้ในการผลิตกล้าไม้จำนวนมาก แต่ข้อเสียที่
สำคญั ก็คือคา่ ใชจ้ ่ายสงู และผ้ผู ลติ ต้องมปี ระสบการณส์ งู พอสมควร
สำหรับการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้สักนั้นได้เริ่มขึ้นโดย ดร. อภิชาติ ขาวสอาด
นักวชิ าการป่าไมป้ ระจำศูนย์บำรงุ พันธไ์ุ ม้สกั กรมป่าไม้ เมือ่ ประมาณยส่ี ิบกวา่ ปมี าแล้ว ใน
ปัจจุบันหน่วยงานหลักที่ทำการผลิตกล้าสักโดยวิธีนี้ได้แก่ สถานีวนวัฒนวิจัยงาว อำเภองาว
จังหวัดลำปาง สถานีวนวัฒนวิจัยแม่กา อำเภอแม่กา จังหวัดพะเยา สวนสักแม่เมาะ อ.อ.ป.
อำเภอแม่เมาะ จังหวัดลำปาง และศูนย์เพาะชำกล้าไม้จังหวัดเชียงใหม่ กิ่งอำเภอแม่ออน
จงั หวดั เชียงใหม่ โดยท้งั หมดนยิ มใช้เนือ้ เยื่อจากยอดออ่ นมาเพาะเลย้ี ง
บุญวงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 201
เพื่อเป็นหลกั ประกันด้านคุณภาพทางพันธุกรรม ยอดอ่อนเหล่านี้จะต้องได้มาจากแม่
ไม้ที่มีลักษณะดี เป็น plus tree หรือ elite tree อาจจะโดยการตัดกิ่งเส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณ 1 นิ้วจากแม่ไม้ มาปักชำในกะบะทราย หรือนำตาจากแม่ไม้มาติดบนเหง้า แล้ว
เลย้ี งไว้จนแตกยอดอ่อน จากนน้ั จึงตัดเอายอดออ่ นไปเพาะเลี้ยงเนอื้ เย่ือในสูตรอาหารเพื่อให้
ไดม้ าซง่ึ ตน้ กลา้ ทจี่ ะนำไปปลกู ตอ่ ไป
แต่การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้สักกว่าจะชักนำให้แตกยอด เกิดราก และพัฒนาเป็นต้น
กล้าพร้อมทีจ่ ะยา้ ยออกจากขวดไปเพาะชำไว้ในภาชนะเพาะชำและเลีย้ งจนโตพอท่จี ะนำไป
ปลูกเป็นสวนป่าได้ต้องใช้เวลานานและต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไม้สักจึง
นิยมใช้กับการขยายพนั ธุ์เพื่อผลิตต้นกล้าสำหรบั นำไปขยายพันธุโ์ ดยการตัดยอดปกั ชำตอ่ ไป
อีกทอดหนึ่ง นั่นคือ นำกล้าที่ได้จากการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อไปเลี้ยงไว้ในกระถางหรือ
ถุงพลาสติกหรือปลูกลงดิน ดูแลรักษาอย่างดี เพื่อเป็นแหล่งผลิตกิ่งหรือยอดสำหรับ
การปักชำต่อไป
“การปักชำ” หรือการตัดกิ่งปักชำหรือการตัดยอดปักชำเพื่อผลิตกล้าไม้สักเพ่ิง
กระทำกันอย่างจริงจงั เมอื่ ประมาณสิบกว่าปมี านีเ้ อง หนึง่ ในผู้ริเรม่ิ การผลติ กล้าสักโดยวิธีปัก
ชำคอื คณุ ปรีชา เฉลมิ พิชยั อดตี หวั หนา้ ศูนย์เพาะชำกล้าไมเ้ ชียงใหม่ (แม่ออน) ซงึ่ ได้ทำการ
ผลติ กลา้ สักด้วยวธิ ีการปักชำโดยใชฮ้ อร์โมน IBA และ NAA ในระดับความเขม้ ขน้ 200 ppm
มีดินและขี้เถ้าแกลบในอัตราส่วน 1:1 เป็นวัสดุปักชำ ทั้งนี้ โดยมี คุณผานิตย์ นาขยัน และ
คณุ ดอกอ้อ ต๊ะมุกดา เปน็ กำลังสำคัญในการปฏิบตั ิงานภาคสนาม ซ่งึ ทงั้ ค่ยู ังคงทำหนา้ ทีผ่ ลติ
กลา้ สกั โดยการเพาะเลี้ยงเน้ือเย่ือและการปักชำอยู่ท่ีแม่ออน แม้ว่าคุณปรีชาจะย้ายออกจาก
แมอ่ อนไปปฏิบัตริ าชการทอ่ี นื่ หลายปแี ลว้ ก็ตาม
การปักชำกล้าสักเริ่มด้วยการตัดยอดสักจากต้นกล้าซึ่งขยายพันธุ์ มาจากการ
เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและเลี้ยงไว้ในเรือนเพาะ
ชำดังกล่าวแล้ว โดยเลือกยอดที่ค่อนข้าง
แกร่งไม่อ้วนและอวบน้ำมากเกินไป ตัดให้
ยาวราว 3 – 5 เซนติเมตร ตัดปลายใบออก
ราวครึ่งหนึ่ง จุ่มฮอร์โมนแล้วปักชำลงในร่อง
เพาะซึง่ มีระบบนำ้ คอยสเปรย์เปน็ ระยะๆ อยู่
ตลอดเวลา หรือจะใช้แผ่นพลาสติกใสคลุม
202 รวมเรือ่ งสวนปา่
ร่องเพาะเพื่อเพิ่มความชื้นและอุณหภูมิให้สูงขึ้นก็ได้ เพราะความชื้นและอุณหภูมิคือปัจจัย
สำคญั ในการแตกรากและยอดของตน้ กลา้
ยอดที่ปักชำจะเริ่มแตกรากภายใน 2 สัปดาห์ จากนั้นก็ย้ายต้นกล้าจากร่องเพาะลง
ถุงพลาสตกิ หรือถาดเพาะชำซงึ่ มดี ินและแกลบดิบในอัตราสว่ น 1:1 เปน็ วสั ดเุ พาะชำต้นละถงุ
เลี้ยงไว้ในเรือนเพาะชำประมาณ 3 – 4 เดือน ก็จะได้ต้นกล้าที่สูงประมาณ 40 – 70
เซนตเิ มตร ซ่ึงพร้อมทีจ่ ะนำออกไปปลูกในสวนป่าได้ คณุ ผานิตยแ์ ละคณุ ดอกออ้ เลา่ ให้ฟังว่า
จากประสบการณท์ ที่ ำงานมานานพอสมควร ทำให้การผลิตกลา้ สักโดยวิธนี ้ปี ระสบผลสำเร็จ
ได้ต้นกลา้ ซ่งึ ใชป้ ลกู ไดร้ าวร้อยละ 90
แต่กล้าสักที่ได้จะมีคุณภาพทางพันธุกรรมสูงหรือไม่ขึ้นอยู่กับการคัดเลือกแม่ไม้ใน
ตอนแรกเปน็ สำคัญ แม่ไม้ซ่ึงเติบโตดีในพนื้ ทน่ี ีอ้ าจจะเจรญิ เติบโตช้าในอีกพน้ื ที่หน่ึงก็ได้ เช่น
จากการศึกษาวิจยั เก่ียวกับการเจริญเติบโตของไม้สักที่ขยายพนั ธ์ุโดยการปกั ชำเม่ืออายุได้ 5 ปี
ของคุณประสิทธิ์ เพียรอนุรักษ์ แห่งสถานีวนวัฒนวิจัยแม่กา พบว่าไม้สักที่เจริญเติบโตได้ดี
ที่สุดสามอันดับแรกที่ทองผาภูมิ (กาญจนบุรี) ได้แก่ เบอร์ 336 35 และ 267 ส่วนที่
กำแพงเพชรได้แก่เบอร์ 305 329 และ 245 ในขณะที่ที่สงขลาเบอร์ 130 38 และ 159
เจริญเตบิ โตได้ดีท่ีสุด
แสดงให้เห็นถึงความผันแปรทางพันธุกรรมของไม้สักในแต่ละพื้นที่ปลูก ดังน้ัน
การศึกษาวจิ ัยดา้ นการปรบั ปรุงบำรุงพนั ธไุ์ ม้สกั ในแต่ละพ้ืนท่ปี ลกู จงึ เปน็ สิ่งจำเปน็ อย่างย่งิ
หากประเทศไทยไมต่ ้องการให้ลา้ หลงั พม่า อินเดีย และอินโดนีเซยี ในเร่อื ง “ความ
เพิม่ พูนรายปีเฉล่ียของไมส้ ัก” กถ็ งึ เวลาแลว้ ท่ีรัฐบาลไทยจะต้องทุ่มเทกำลังคนและกำลัง
งบประมาณเพือ่ การศกึ ษาวิจยั ทางด้านนีอ้ ยา่ งจริงๆ จังๆ ต้ังแต่บดั นี้
38 ไม้กระถนิ เงิน
หากไม่ลองก็คงไม่รู้
ในระหว่างวันที่ 3 – 11 กุมภาพันธ์ 2550 ผมพร้อมด้วย ดร. พิสุทธิ์ วิจารณ์สรณ์
และดร. ฉันทนา สุวรรณธาดา ได้เดินทางไปราชอาณาจักรเลโซโทอีกครั้งหนึ่งเพื่อทำการ
ปลูกพรรณไม้ปา่ และพืชเกษตรในรปู แบบการเกษตรแบบผสมผสานตามพระราชประสงค์ใน
การจัดสร้างแปลงสาธติ ของสมเด็จพระราชาธิบดเี ลตซที ่ี 3 และสมเดจ็ พระราชินีมาเซเนต
โมฮาโต เซเอโซ แห่งเลโซโท
ดังที่ได้เคยกล่าวภายหลังการเดินทางไปเลโซโทครั้งแรกเมื่อวันที่ 3 – 10 กันยายน
2549 แล้วว่า เลโซโทเป็นประเทศเล็กๆ อยู่กลางประเทศแอฟริกาใต้ มีเนื้อที่เพียง 18.972
ล้านไร่ มีประชากรประมาณ 2.4 ล้านคน มีกรุงมาเซรูเป็นเมืองหลวง ภูมิประเทศส่วนใหญ่
เป็นภูเขา จนได้ชื่อว่าเป็นราชอาณาจักรแห่งขุนเขา มีพื้นท่ีทำกินทีเ่ หมาะสำหรับการเกษตร
เพียงร้อยละ 13 เท่านั้น และด้วยความสูงจากระดับน้ำทะเลของประเทศระหว่าง 1,400 –
3,400 เมตร จงึ ทำใหเ้ ลโซโทมอี ากาศหนาวเยน็ สบายตลอดทั้งปี
สำหรับพรรณไม้ป่าที่โครงการจัดสร้างแปลงสาธิตการเกษตรแบบผสมผสานได้เลือก
ปลูกในครั้งนี้ได้แก่ ไม้ป๊อบล่า (Populus simonii) ไม้สนเรเดียต้า (Pinus radiata) ไม้สน
คันนิงฮาเมีย (Casuarina cunninghamiana) ไผ่ขน (Phyllostachys pubescens) ไผ่
หวานอ่างขาง (Dendrocalamus latiflorus) ไผ่หยก (Bambusa oldhami) และไผ่มากนิ
หน่อย (Phyllostachys makinoi) รวมทั้งไผ่เหลี่ยมและไผ่ดำซึ่งเป็นไผ่ประดับปลูกสำหรบั
ตกแต่งสถานท่ี โดยไม้ไผท่ ั้งหมดได้นำเหง้า (Rhizomes) ไปจากประเทศไทย ส่วนกล้าไมป้ ่า
ทางโครงการฯ ได้จัดซื้อภายใต้คำแนะนำและการประสานงานของ Mr. Nchemo Maile
รองปลดั กระทรวงป่าไมแ้ ละการฟนื้ ฟทู ด่ี ิน (Ministry of Forestry and Land Reclamation)
ทั้งนี้ โดยปลูกไม้ Casuarina cunninghamiana ซึ่งเป็นไม้สกุลเดียวกับสนทะเลและสน
ประดพิ ทั ธ์ เป็นแนวกนั ลมรอบพืน้ ท่ีโครงการฯ เนื้อที่ประมาณ 30 ไร่ ซ่งึ เปน็ ท่ีดนิ ของสมเด็จ
พิมพค์ ร้งั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (68) : 27 - 29 (พ.ศ. 2550)
204 รวมเร่อื งสวนปา่
พระราชินีฯ ตั้งอยู่ที่เมือง Matsieng ห่างจากนครหลวง Maseru ลงไปทางตะวันออกเฉียงใต้
ประมาณ 50 กโิ ลเมตร
ด้วยข้อจำกัดด้านความเหมาะสมทางนิเวศวิทยา ขนาดของพื้นที่โครงการฯ และ
เป้าหมายการใช้ประโยชนข์ องโครงการฯ จึงไม่ไดป้ ลกู ไม้กระถนิ เงนิ ซึง่ เปน็ ไมท้ ีน่ า่ สนใจมาก
ชนิดหนึ่ง ผมจึงได้ตัดกิ่งมาทดลองปักชำ และขอเมล็ดจาก Mr. Nchemo Maile เพื่อนำไป
ทดลองปลูกที่สวนป่าสาธิต สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง มูลนิธิโครงการหลวง ในท้องที่
อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เพราะคิดว่าไม้ชนิดนี้น่าจะขึ้นได้ดีที่อ่างขาง เนื่องจากมีสภาพ
แวดล้อมทางภูมิอากาศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุณหภูมิใกล้เคียงกันมาก กล่าวคือ พื้นที่ที่มีไม้
กระถินเงินขึ้นอยู่ตามธรรมชาติในเลโซโทนั้นเป็นเขตพื้นที่ต่ำ (lowland) มีความสูงจาก
ระดบั นำ้ ทะเล 1,400 - 1,800 เมตร อุณหภมู ิสงู สดุ ในฤดูรอ้ น (เดอื นมกราคม) ประมาณ 25
- 29 องศาเซลเซยี ส อุณหภูมติ ่ำสดุ ในฤดูหนาว (เดอื นกรกฎาคม) ประมาณลบ 2.5 ถงึ - 1.5
องศาเซลเซียส ปรมิ าณน้ำฝนประมาณปลี ะ 750 มิลลเิ มตร
“ไม้กระถินเงนิ ” ในทน่ี ผี้ มแปลตรงๆ มาจากคำว่า ‘Silver Wattle’ ซึง่ เป็นชื่อสามัญ
ในภาษาอังกฤษ คำว่า ‘Wattle’ ในภาษาอังกฤษนั้นใช้เรียกชื่อไม้จำพวกไม้กระถินณรงค์
กระถินเทพา ซงึ่ เปน็ ไมใ้ นสกุล Acacia (อะเคเซยี ) ส่วน “Silver” ท่แี ปลว่าเงนิ นัน้ ก็เพราะว่า
ดา้ นหลังใบเป็นสเี งนิ เม่อื มลี มพดั ผา่ นกิง่ ใบกจ็ ะโบกพลิว้ ไสวเหน็ เป็นสีเงินแตไ่ กล
ไม้กระถินเงินมชี ่ือวทิ ยาศาสตรว์ ่า Acacia dealbata Link. เป็นไม้ในวงศ์ Mimosaceae
(Mimosoideae) หรือวงศ์ Leguminosae ซง่ึ เปน็ พชื ตระกูลถว่ั มชี ่ือพ้องคือ Acacia decurrens
dealbata (Link.) F. Muell. มีลกั ษณะใกล้เคยี งกบั Acacia mearnsii (กระถนิ ดำ-Black Wattle)
และ Acacia decurrens
ไม้กระถินเงิน หรือ Silver Wattle ซึ่งในยุโรปตอนใต้เรียกว่า Mimosa Tree มีถ่ิน
กำเนดิ เดิมอยใู่ นภาคตะวนั ออกเฉียงใต้ของทวปี ออสเตรเลีย ซ่ึงส่วนใหญ่อย่ใู นระดับความสูง
ระหวา่ ง 350 – 1,000 เมตร ชว่ งเส้นรงุ้ 29 – 43 องศาใต้ อันเป็นตอนเหนอื ของรฐั นิวเซาท์-
เวลส์ ทางตะวันตกตอนกลางๆ ของรัฐวคิ ตอเรยี และในระดบั ความสูง 50 – 500 เมตรเหนือ
ระดับน้ำทะเลของรัฐทัสมาเนีย อากาศค่อนข้างเย็นถึงกึ่งร้อนชื้น อุณหภูมิสูงสุดเฉลี่ยของ
เดือนที่ร้อนที่สุดอยู่ระหว่าง 20 – 28 องศาเซลเซียส อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ยของเดือนที่หนาว
ท่สี ดุ เกอื บๆ 0 องศาเซลเซียส มีนำ้ ค้างแข็งราว 20 – 80 ครง้ั ตอ่ ปี ปรมิ าณน้ำฝนเฉลี่ยอยู่ใน
บญุ วงศ์ ไทยอุตส่าห์ 205
ระหว่าง 600 – 1,000 มิลลิเมตรต่อปี แต่บางปีฝนอาจจะตกสูงถึง 1,500 มิลลิเมตรก็ได้
และมีจำนวนวนั ทฝี่ นตกระหว่าง 85 – 170 วนั ต่อปี
ส่วนเรอ่ื งภูมิประเทศในถน่ิ กำเนดิ เดมิ (ออสเตรเลยี ) นั้นปรากฏวา่ ไม้กระถินเงินขึ้นได้
ดีทั้งในที่ราบสูง ซึ่งดินตื้นและหุบเขาลึกซึ่งดินลึก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามริมลำธารซึ่งดินมี
ความชุ่มชื้นสูง วัตถุต้นกำเนิดดินเป็นได้ทั้งหินแกรนิตและหินทราย แต่ไม้กระถินเงิน
เจริญเติบโตได้ดีในที่ดินลกึ และมีความอุดมสมบูรณ์สงู หากเป็นดินที่ค่อนข้างเหนยี วหรือดนิ
เหนียวปนกรวดจะตอ้ งระบายน้ำได้ดจี ึงเหมาะกับไม้กระถนิ เงนิ
จากข้อมูลของสภาพแวดล้อมในถิ่นกำเนิดเดิมของไม้กระถินเงินในออสเตรเลีย
รวมทั้งสภาพแวดล้อมที่มีไม้กระถินเงินขึ้นอยู่ในประเทศเลโซโท ซึ่งผมเพิ่งไปพบเห็นมา
ผนวกกับประสบการณ์การทำงานทางวิชาการกับมูลนิธิโครงการหลวงที่ดอยอ่างขางมา
ยาวนานเกือบ 30 ปี ทำให้คิดว่าไม้กระถินเงินน่าจะเจริญเติบโตได้ดีที่ดอยอ่างขาง เพราะ
อุณหภูมิสูงสุดในหน้าร้อนและอุณหภูมิต่ำสดุ ในหน้าหนาวใกล้เคียงกันมาก ปริมาณน้ำฝนท่ี
ดอยอ่างขาง (ประมาณ 1,800 มิลลิเมตรต่อปี) สูงกว่าพอสมควร ซึ่งน่าจะเป็นผลดี เพราะ
ตามหลักการปลูกไม้ต่างถิ่น (tree introduction) การนำพรรณไม้จากถิ่นที่ฝนตกน้อยไป
ปลูกในถิ่นที่ฝนตกมาก จะประสบความสำเร็จสูงกว่าการนำพรรณไม้จากถิ่นที่ฝนตกมากไป
ปลูกในถิ่นที่ฝนตกน้อย รวมทั้งจำนวนครั้งที่เกิดน้ำค้างแข็งในรอบปีที่ดอยอ่างขางน้อยกว่า
ที่เลโซโท และถิ่นกำเนิดเดิมของไม้กระถินเงินในออสเตรเลียก็น่าจะเป็นผลดีกับการนำไม้
ชนิดนี้มาทดลองปลกู ที่ดอยอ่างขางด้วยเชน่ กัน เพราะการนำไม้จากที่หนาวไปปลูกในท่ีรอ้ น
โอกาสจะประสบผลสำเร็จสูงกว่าการนำไม้จาก
เขตรอ้ นไปปลูกในเขตหนาว
ขนาดของไม้กระถินเงินค่อนข้างจะผัน
แปรมาก คือมีทั้งไม้พุ่มขนาดใหญ่และไม้ยืนต้น
ขนาดกลาง โดยมีความสูง 6 – 15 เมตร แต่ไม้
กระถินเงินในรัฐวิคตอเรียและทัสมาเนียของ
ประเทศออสเตรเลียอาจจะมีความสูงตั้งแต่ 25
ถึง 28 เมตรก็ได้ ซึ่งตรงกับที่ชาวบ้านและ
นักวิชาการป่าไม้ในเลโซโทเล่าให้ฟังว่า กระถิน
เงินเป็นไม้สูงใหญ่ขนาดสองคนโอบ แต่ที่ผมไมไ่ ด้
206 รวมเรื่องสวนป่า
พบเห็นไม้กระถินเงินขนาดสูงใหญ่ในเลโซโท อาจเป็นเพราะเหตุผลสองประการ อันได้แก่
ผมเดินทางไปเพียงบางส่วนคือเฉพาะเขตพื้นที่ต่ำทางภาคตะวันตกของเลโซโทเท่านั้น และ
อาจเป็นเพราะต้นกระถินเงินขนาดใหญ่
ถูกโค่นล้มนำไปใช้ประโยชน์ เพราะ
ชาวบ้านบอกว่าไม้ชนิดนี้ใช้ภายใน
อาคาร เช่น ทำตู้ เตียงได้ดี และนิยม
นำไปใช้ทำฟืน ภายหลังการตัดฟันไม้
กระถนิ เงนิ สามารถแตกหน่อ (coppice)
ได้ดีมาก ผมจึงไดพ้ บเห็นหนอ่ ที่แตกจาก
ตอทั้งขนาดใหญ่และขนาดเล็กภายหลัง
การตัดฟัน 3 – 5 ครั้งอยู่ทั่วไปเกือบทุก
พน้ื ทที่ ไ่ี ม้ชนิดนี้ขนึ้ อยู่
แม้กระถินเงินจะเป็นไม้พื้นเมืองของออสเตรเลียก็ตาม แต่ก็ได้นำไปปลูกในยุโรป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุโรปใต้อย่างกว้างขวางมาช้านานจนกลายเป็นป่าธรรมชาติไปแล้ว ตาม
หลักวิชาการป่าไม้ การที่จะถือว่าไม้ต่างถิ่น (exotic trees) มีสภาพเป็นป่าธรรมชาติ
(naturalization) ได้ก็ต่อเมื่อไม้ต่างถิ่นนั้นๆ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของ
พื้นที่ปลูกได้ดี มีการสืบตอ่ พันธุต์ ามธรรมชาติ ซึ่งรวมระยะเวลาการนำเข้าไปปลูกในต่างถน่ิ
ต้องไม่น้อยกว่า 250 ปี อันแสดงให้เห็นว่าได้มีการนำไม้กระถินเงินจากออสเตรเลียเข้าไป
ปลูกในยโุ รปอย่างนอ้ ยราวๆ 300 ปีมาแล้ว และเนอื่ งจากเลโซโทเคยเปน็ เมอื งข้ึนของอังกฤษ
(ได้เอกราชเมื่อปี พ.ศ. 2509) ผมจึงเข้าใจว่าไม้กระถินเงินในเลโซโทที่เห็นอยู่ทุกวันนี้น่าจะ
นำเข้าไปจากอังกฤษมากกว่าจากออสเตรเลยี อันเปน็ ถน่ิ กำเนดิ เดิม
แม้แทบจะไม่มเี อกสารทางวิชาการระบุวา่ กระถินเงินเหมาะสำหรบั ใช้ทำฟนื เผาถ่าน
แตช่ าวบ้านในประเทศเลโซโทและบางส่วนของประเทศอนิ เดยี นิยมใช้กิง่ และลำต้นทเ่ี กิดจาก
การตัดให้แตกหน่อ (coppice system) ของไม้ชนิดนีไ้ ปใช้เป็นเช้ือเพลิงกันมาก อาจจะเป็น
เพราะความหนกั ของเนอื้ ไมซ้ ึ่งมคี วามหนาแน่นสูงถึง 670 กิโลกรัมต่อลูกบาศกเ์ มตรกไ็ ด้
เนื้อไม้กระถินเงินมีคุณสมบัติในการติดกาวและให้เยื่อกระดาษที่ดี รัฐทัสมาเนียและ
วิคตอเรีย ในประเทศออสเตรเลีย จึงใช้ไม้ชนิดนี้ผลิตเยื่อกระดาษ นอกจากนี้ยังได้ใช้ไม้
กระถินเงนิ ทำตูเ้ สอ้ื ผา้ ส้นรองเทา้ สตรี และฉนวนกันความร้อน ฯลฯ อกี ด้วย
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 207
ไม้กระถินเงินมีดอกเป็นช่อสีเหลืองคล้าย
กระถินณรงค์ เมื่อนำไปปรุงให้สุกแล้วสามารถ
รับประทานได้ หรือจะนำไปย้อมสีก็จะให้สีเหลือง
ในขณะที่ฝักให้สีย้อมผ้าสีเขียว เปลือกมีสารแทน-
นินราว 19 เปอร์เซ็นต์ ยางที่ไหลออกจากลำต้นตาม
ธรรมชาติก็สามารถรับประทานหรือเคี้ยวแทนหมาก
ฝรัง่ ได้
ในเมือง Grasse และเมืองอุตสาหกรรม
น้ำหอมทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส ได้ปลูกไม้
กระถินเงินเพื่ออุตสาหกรรมน้ำหอมกันมาก เพราะ
ดอกไม้กระถินเงินให้กลิ่นหอมที่ต้องการ โดยดอก 180 – 200 กิโลกรัมให้หัวน้ำหอม
ประมาณ 0.18 – 0.20 กโิ ลกรัม
นอกจากนี้กระถนิ เงนิ ยังเหมาะสำหรับใชเ้ ป็นพชื อาหารสตั ว์และเล้ียงผึ้ง ประกอบกับ
การท่ีด้านหลังใบมีสเี งิน ดอกสีเหลือง และเรือนรากที่แขง็ แรง ลำต้นสามารถงอกขึ้นมาจาก
รากได้ หลายๆ ประเทศทั้งในยุโรป แอฟริกา ศรีลังกา และจีน จึงนิยมปลูกไม้ชนิดนี้เป็นไม้
ประดับ ไมใ้ นแนวป้องกนั ลม และไมป้ ้องกนั การพงั ทลายของดนิ
ผมจึงสนใจนำไมก้ ระถินเงินมาทดลองปลูกทีส่ ถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เพราะถา้
ไม่ลองกค็ งไม่รู้ว่าจะปลูกไดห้ รือเปล่า?
39 แผนแม่บท
การสง่ เสรมิ ปลูกไม้เศรษฐกิจ
นโยบายป่าไมแ้ ห่งชาติ พุทธศักราช 2528 ข้อที่ 12 ไดร้ ะบุ “ใหม้ กี ารพัฒนาด้านป่าไม้
โดยส่งเสริมการปลูกป่าภาคเอกชนและภาครัฐ เพื่อใช้ภายในประเทศ เพื่อประโยชน์ใน
การอุตสาหกรรม และสนับสนุนให้มีการส่งออกไปขายต่างประเทศ ส่งเสริมการปลูกป่า
ชุมชน ส่งเสริมการปลูกป่าในพื้นดินของรัฐ และการปลูกป่าตามหัวไร่ปลายนา หรือการ
ปลูกปา่ รายย่อย เพื่อประโยชน์ใช้สอยในครัวเรอื น”
ในหว้ งเวลาทผ่ี ่านมา รฐั บาลโดยกรมปา่ ไมไ้ ด้พยายามสง่ เสรมิ สนบั สนุน และผลักดัน
ในรปู แบบต่างๆ อยา่ งตอ่ เนื่องในอนั ทีจ่ ะทำให้นโยบายที่เกี่ยวกับการปลูกป่าภาคเอกชนเกิด
เป็นรูปธรรมขึ้นมา อันจะนำไปสู่การมีพื้นที่ป่าเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่าร้อยละ 15 ของพื้นท่ี
ประเทศหรอื ประมาณ 48 ล้านไร่ ซ่งึ เป็นเปา้ หมายหลกั ของนโยบายป่าไม้แห่งชาตดิ งั กล่าว
แต่ 22 ปีผ่านไปแล้ว ความพยายามของรัฐบาลก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะประสบ
ผลสำเรจ็ พ้นื ทีป่ ่าเศรษฐกิจ 48 ล้านไร่ยังเป็นไดเ้ พียงความฝันเท่านน้ั
บางตัวอย่างของความพยายามได้แก่ การจัดทำแผนหลักการปลูกสร้างสวนป่าในปี
พ.ศ. 2532 ซึ่งรฐั บาลไดว้ างแผน 30 ปี ไว้ว่า ระหวา่ งปี พ.ศ. 2534 - 2563 ประเทศไทยตอ้ ง
ปลูกปา่ เศรษฐกิจให้ได้ 38.50 ล้านไร่ โดยร้อยละ 30 (11.55 ล้านไร)่ ปลูกโดยภาครัฐ (กรม
ปา่ ไม้ องค์การอตุ สาหกรรมป่าไม้ ทหาร และบรษิ ัทไม้อดั ไทยจำกัด) และร้อยละ 70 (26.95
ลา้ นไร่) ปลูกโดยภาคเอกชน (สวนป่าเศรษฐกิจและสวนปา่ ชุมชน)
ในระหว่างปี พ.ศ. 2537 - 2545 รัฐบาลไดด้ ำเนินโครงการส่งเสริมใหร้ าษฎรนำท่ดี นิ
ซึ่งครอบครองอยู่มาปลูกไม้เศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ โดยการให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ ให้การ
สนับสนุนปัจจัยในการผลิต เช่น กล้าไม้และปุ๋ย ให้การสนับสนุนด้านการเงินในอัตราไร่ละ
3,000 บาท เป็นเวลา 5 ปี เพื่อปลูกและบำรุงรักษาสวนป่า และสนับสนุนให้เกษตรกร
รวมกลมุ่ กันจดั ต้ังเปน็ สหกรณส์ วนปา่ ในระดบั จงั หวดั ขน้ึ มา
พิมพ์ครัง้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (69) : 28 - 30 (พ.ศ. 2550)
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 209
รวมทั้งลา่ สดุ ในปี พ.ศ. 2548 กรมปา่ ไม้ได้มอบหมายให้ศูนย์วิจัยป่าไม้ คณะวนศาสตร์
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จัดทำ โครงการแผนแมบ่ ทการส่งเสริมปลกู ไม้เศรษฐกิจระดับ
จังหวัด” ขึ้น เพ่ือใช้เป็นกรอบและแนวทางการบริหารจัดการไม้เศรษฐกิจให้มีประสทิ ธภิ าพ
ทั้งนี้ โดยมี ดร. มณฑล จำเริญพฤกษ์ หัวหน้าภาควิชาวนวัฒนวิทยา เป็นหัวหน้าคณะที่
ปรึกษาและผู้จัดการโครงการ ทีมงานที่ปรึกษาประกอบด้วย ดร. วุฒิพล หัวเมืองแก้ว
(เศรษฐศาสตร์ป่าไม้) ดร. พยัติพล ณรงคะชวนะ (ระบบฐานข้อมูลภูมิศาสตร์ในทางป่าไม)้
ดร. สคาร ทีจันทึก (การปลูกป่าและระบบวนวัฒนวิทยา) และนายสุรินทร์ อ้นพรหม
(การสง่ เสริมป่าไม)้ โดยใชเ้ วลาท้งั สน้ิ 160 วัน
ไม้เศรษฐกิจที่อยู่ในกรอบการ
ส่งเสรมิ ของโครงการฯ มีทั้งไมท้ ี่มีรอบ
การตัดฟันสั้นเพื่ออุตสาหกรรมชิ้นไม้
สับ และไม้ที่มีรอบตัดฟันยาวเพ่ือ
อุตสาหกรรมไม้แปรรูป รวมทั้งไม้เพ่ือ
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน
ทั้งน้ี เพื่อเพม่ิ มลู คา่ การส่งออก ลดการ
นำเข้าไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ และเพื่อ
เพ่มิ รายไดท้ ย่ี ง่ั ยืนมั่นคงให้แก่ชมุ ชนทอ้ งถ่ิน นน่ั คือ ใชก้ ารปลกู ไม้เศรษฐกจิ เปน็ เครือ่ งมือใน
การพฒั นาชนบทอยา่ งยัง่ ยืน นน่ั เอง
สาระสำคัญของโครงการฯ ประกอบด้วยการประเมินความต้องการไม้เพื่อใช้สอย
ภายในประเทศ ชนดิ ของไม้ทคี่ วรสง่ เสรมิ และยทุ ธศาสตร์การส่งเสริมปลูกไมเ้ ศรษฐกิจ
จากรายงานสรุปสำหรับผู้บริหาร โครงการจัดทำแผนแม่บทการส่งเสริมปลูกไม้
เศรษฐกิจระดับจังหวัด ทำให้ทราบว่า ความต้องการไม้เพื่ออุตสาหกรรมหลัก 4 กลุ่ม อัน
ไดแ้ ก่ อตุ สาหกรรมเยื่อและกระดาษ อตุ สาหกรรมเฟอรน์ ิเจอร์และชิ้นส่วน อุตสาหกรรมการ
ก่อสร้าง และอุตสาหกรรมไม้อัดและไม้บาง รวมทั้งสิ้นประมาณปีละ 21.96 ล้านลูกบาศก์
เมตร (ลบ.ม.) ทั้งนี้ยังไม่รวมอุตสาหกรรมไม้แปรรูปซึ่งต้องการไม้ประมาณปีละ 5.73 ล้าน
ลบ.ม. เพราะไม้แปรรูปส่วนใหญเ่ ป็นเสมือนวัตถดุ ิบของอตุ สาหกรรมการใชป้ ระโยชนไ์ มต้ า่ งๆ
ดงั กลา่ วข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยง่ิ อตุ สาหกรรมเฟอร์นเิ จอร์และอตุ สาหกรรมการก่อสร้าง
จากตัวเลขข้างต้นจะเห็นได้ว่า อุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษต้องการใช้ไม้เป็น
วัตถุดิบถึงปีละ 10,488,022 ลบ.ม. หรือร้อยละ 47.8 ของความต้องการไม้ของประเทศ ซ่ึง
210 รวมเร่อื งสวนปา่
ไม้ที่ต้องการส่วนใหญ่ คือ ไม้ยูคาลิปตัส โดยซื้อขายกันในราคาประมาณตันละ 1,000 บาท
นั่นคือ ความต้องการไม้ยูคาลิปตัสสำหรับอุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษได้ก่อให้เกิดมูลค่า
ของไม้จากสวนปา่ ถงึ ปลี ะ 10,488 ลา้ นบาท หรอื หากจะมองในแงข่ องกำลังผลิตที่เฉลี่ยไร่ละ
12 ตัน ณ อายุการตัดฟัน 4 ปี ก็จะพบความจริงว่าปัจจุบันนี้ประเทศไทยต้องการพื้นท่ี
สวนป่ายคู าลิปตสั เพ่ืออตุ สาหกรรมเยื่อและกระดาษไมน่ อ้ ยกวา่ 3.50 ล้านไร่
อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และ
ช้ินส่วนส่วนใหญ่ใชไ้ มแ้ ปรรูปซึง่ คิดเปน็ ไม้
ท่อนปีละ 6,282,151 ลบ.ม. หรือร้อยละ
28.6 ของปริมาณความต้องการไม้ของ
ประเทศ โดยไม้ทตี่ ้องการส่วนใหญเ่ ป็นไม้
ยางพารา (รอ้ ยละ 98.7) ภายในประเทศ
รปู แบบการใช้ไมข้ องอตุ สาหกรรม
ก่อสร้างก็คล้ายคลึงกับอุตสาหกรรม
เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน คือใช้ไม้แปรรูป
แต่ต่างกันตรงท่ีว่าไม้แปรรูปเพื่ออุตสาห-
กรรมก่อสร้างนั้นสว่ นใหญ่ (รอ้ ยละ 92.8)
เปน็ ไม้แปรรูปท่ีนำเข้ามาจากตา่ งประเทศ
โดยความต้องการไม้เพื่ออุตสาหกรรมก่อสร้างคิดเปน็ ไมท้ อ่ นมีทั้งสิ้นปีละ 4,283,086 ลบ.ม.
หรือร้อยละ 19.5 ของความต้องการไม้ของประเทศ ในการนี้ ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ
ประมาณปลี ะ 3.97 ล้าน ลบ.ม. ซึง่ ส่วนใหญเ่ ป็นไมใ้ นวงศ์ไม้ยาง
ส่วนอุตสาหกรรมไม้อัดและไม้บางซึ่งใช้ไม้ท่อนเป็นหลัก มีความต้องการปีละ
909,799 ลบ.ม. หรือร้อยละ 4.1 ของความต้องการไม้ของประเทศ โดยไม้ที่ต้องการ
สว่ นใหญ่ คือ ร้อยละ 93.6 เปน็ ไม้ยางพารา รองลงมาคือ รอ้ ยละ 5.8 เป็นไมย้ ูคาลปิ ตัส และ
ร้อยละ 0.6 เป็นไม้ทอ่ นนำเขา้ จากตา่ งประเทศ
ในจำนวนปริมาตรไม้ท่อนที่ประเทศไทยต้องการปีละ 21,963,058 ลบ.ม. น้ัน
จากการวิเคราะหโ์ ดยทีมงานของ ดร. มณฑล จำเริญพฤกษ์ พอจะแยกตามชนิดไมไ้ ดว้ า่ เปน็
ไม้ยูคาลิปตัสร้อยละ 48.2 ไม้ยางพาราร้อยละ 28.2 ไม้เนื้อแข็งชนิดต่างๆ ซึ่งนำเข้าจาก
ตา่ งประเทศรอ้ ยละ 23.2 และไมส้ กั รอ้ ยละ 0.3
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 211
จากข้อมลู ความตอ้ งการไม้ดังกล่าว คณะที่ปรึกษาฯ ได้กำหนดชนิดและกลุ่มไม้ท่ีควร
ส่งเสริมไว้ 4 ชนิด 5 กลุ่ม อันได้แก่ ไม้สัก ไม้ยูคาลิปตัส ไม้กระถินเทพา และไม้ยางพารา
โดยไม้กล่มุ ท่ี 1 ไดแ้ ก่ สะเดา มะคา่ โมง ประดู่ พะยูง ชิงชนั แดง นนทรีปา่ ไม้กลุ่มท่ี 2 ได้แก่
ยางนา ตะเคียนทอง ไม้กลุ่มที่ 3 ได้แก่ หลุมพอ สะเดาเทียม ไม้กลุ่มที่ 4 ได้แก่
สนประดพิ ทั ธ์ สนทะเล และไม้กลุ่มท่ี 5 ได้แก่ สนสองใบ สนสามใบ สนคาริเบีย
ไม้ที่มีอายุการตัดฟันสั้นถึงปานกลางที่มีความมั่นคงด้านการตลาดและคุ้มค่าต่อการ
ลงทนุ ควรแก่การสง่ เสริมในขณะน้ีมี 4 ชนดิ คอื ยคู าลปิ ตสั กระถินเทพา ยางพารา และสัก
ปัจจัยด้านสภาพแวดล้อมในการเลือกชนิดไม้ปลูกที่สำคัญๆ มี 3 ประการ คือ
ความช้นื อุณหภมู ิ และคณุ สมบัติของดิน
ไม้สกั ควรปลูกในพ้ืนท่ีดนิ ดี มีความช้ืนสงู หรือค่อนข้างสงู
ไมย้ างพารา ควรปลกู ในพ้นื ทดี่ นิ ดี มคี วามช้ืนสูงมากหรือสูง
ไม้กระถนิ เทพา ควรปลูกในพนื้ ท่ดี นิ ดี มีความช้นื สูงมากหรือสูง เช่นเดยี วกบั ไมย้ างพารา
ไม้ยคู าลิปตสั ควรปลูกในพ้นื ท่ดี ินดี มคี วามชื้นค่อนข้างสงู หรือปานกลาง
พื้นที่ดินดี มีความชื้นสูงมาก เหมาะสำหรับปลูกไม้กลุม่ ที่ 2 และไมก้ ลุ่มที่ 3 ส่วนพื้น
ที่ดินดี มีความชื้นค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับปลูกไม้กลุ่มที่ 1 แต่ถ้าดินไม่ดี มีความช้ืน
ค่อนข้างต่ำ ควรใช้ปลูกไม้กลุ่มท่ี 4 ในขณะที่ปัจจัยสำคัญในการเลือกปลูกไม้กลุ่มที่ 5 นั้น
จะตอ้ งเปน็ พืน้ ที่สงู
ทั้งหมดนี้จะเห็นได้ว่า ไม้ป่าที่ควรค่าแก่การส่งเสริมทุกชนิดต้องการดินดี มี
ความชืน้ สูง
ทั้งนี้คณะที่ปรึกษาฯ ได้ใช้ข้อมูลความชื้น อุณหภูมิ และคุณสมบัติของดิน มาจัดทำ
แผนที่เขตสมรรถนะที่ดินไมเ้ ศรษฐกิจของประเทศไทย โดยแบ่งเขตสมรรถนะทีด่ ินสำหรบั
ปลกู ไมเ้ ศรษฐกิจท่วั ประเทศออกเปน็ 8 ระดับ ซ่งึ เม่ือดูจากแผนทน่ี ้ีแล้วเกษตรกรจะทราบได้
โดยคร่าวๆ ทันทีว่าที่ดินของตนที่ใดควรจะปลูกไม้เศรษฐกิจชนิดใดหรือไม้กลุ่มใดจึงจะ
เหมาะสมทสี่ ดุ
เพื่อให้แผนแม่บทการส่งเสริมปลูกไม้เศรษฐกิจระดับจังหวัดเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นมา
คณะที่ปรกึ ษาฯ ไดเ้ สนอใหม้ กี ารจดั ต้งั “องคก์ รไมเ้ ศรษฐกิจ” “บรษิ ัทส่งเสริมไม้เศรษฐกิจ”
และ “กองทุนไม้เศรษฐกิจ” ขึ้นมาเพื่อเป็นกลไกหลักในการดำเนินงาน โดยปรับบทบาท
212 รวมเรอื่ งสวนป่า
ของกรมป่าไม้จากที่เคยเป็นผู้ดำเนินการส่งเสริมมาเป็นผู้กำหนดนโยบาย ควบคุมการ
ดำเนินงาน และติดตามและประเมินผล ทั้งนี้โดยกำหนดระยะเวลาของโครงการไว้ 10 ปี
ส่งเสริมให้มีการปลูกไม้เศรษฐกิจในพื้นท่ีเขตส่งเสรมิ ตามชัน้ สมรรถนะที่ดินไม้เศรษฐกิจปีละ
1.5 ลา้ นไร่ รวมเน้อื ท่ีโครงการฯ 15 ลา้ นไร่
ใชง้ บประมาณตลอดโครงการฯ ประมาณ 170,131 ล้านบาท
แม้ดูเหมือนจะเป็นยอดเงินจำนวนมหาศาล แต่เฉลี่ย 10 ปี แล้วต้องการงบประมาณ
เพียงปีละ 17,013 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับการสูญเสียเงินตราเพื่อนำเข้าไม้จาก
ตา่ งประเทศแลว้ การทุ่มเทงบประมาณใหก้ ับโครงการส่งเสริมการปลกู ไมเ้ ศรษฐกิจ นอกจาก
จะคุ้มทุนทางด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังได้กำไรทั้งทางด้านสังคมและด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง
มิอาจจะประเมนิ คา่ เปน็ ตวั เงินไดอ้ กี ดว้ ย
เรื่องนี้เมื่อมีแผนแม่บทแล้วก็ขึ้นอยู่กับว่ารัฐบาลจะจริงจังหรือจะกล้าตัดสินใจ
ดำเนินการไหม หรือจะปล่อย “นิ่ง” ทิ้งไว้ให้เฉาตายไปเหมือนกับนโยบายและแผนแม่บท
ต่างๆ ของไทย รวมทั้งนโยบายป่าไม้แห่งชาติ แผนแม่บทการป่าไม้ของไทย และแผน
หลกั การปลูกสร้างสวนป่า 2532 ซ่งึ จนถึงทุกวันนีก้ ็ยังไม่มคี วามคืบหน้าใดๆ ท้งั สนิ้
40 ระบบวนเกษตร
ทีม่ ีจำปาป่าเปน็ ไมป้ ระธาน
ทน่ี ครศรธี รรมราช
ในบรรดา 14 จังหวัดของภาคใต้ นครศรีธรรมราชเป็นจังหวัดที่มีเนื้อที่มากทีส่ ุดเปน็
ลำดับที่สองรองจากสุราษฎร์ธานี (12,891.5 ตารางกิโลเมตร) คือ มีเนื้อที่ 9,942.5 ตาราง
กิโลเมตร ซึ่งมากกว่าเนื้อที่ของกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี
สมุทรปราการ สมุทรสาคร นครปฐม และนครนายก) รวมกัน (9,880.1 ตารางกิโลเมตร)
เล็กน้อย แต่มีจำนวนประชากรในปี พ.ศ. 2547 มากที่สุดคือ ประมาณ 1.500 ล้านคน
รองลงมาคือจงั หวัดสงขลา (1.282 ล้านคน) และสรุ าษฎร์ธานี (0.938 ลา้ นคน)
นครศรีธรรมราช นอกจากจะมีชื่อเสียงทั้งในทางศาสนา ขนบธรรมเนียม ประเพณี
วัฒนธรรม และการเมืองแล้ว ด้วยทำเลที่ตั้งทางภมู ิศาสตร์ ซงึ่ ภูมปิ ระเทศมที ง้ั เทอื กเขา ที่ราบ
และชายฝั่งทะเล รวมทั้งข้อได้เปรียบทางภูมิอากาศที่มีปริมาณน้ำฝนถึงปีละเกือบ 3,000
มิลลิเมตร ตกกระจายแทบทุกเดือนตลอดทั้งปี ผนวกกับภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มี “ปราชญ์
ชาวบา้ น” อย่มู ากมายในหลายๆ สาขาวิชาชีพ จึงทำให้นครศรีธรรมราชมรี ะบบการเกษตรที่
ก้าวหน้ากวา่ หลายๆ จังหวัดในประเทศไทย นั่นคือ “ระบบวนเกษตร”
ระบบวนเกษตรเปน็ รูปแบบการใชป้ ระโยชน์ท่ีดนิ หรอื ระบบการทำฟาร์มรูปแบบหน่ึง
ซ่งึ มี ปา่ ไมห้ รือไมป้ า่ เปน็ องคป์ ระกอบหลกั มีพืชเกษตร และ/หรือปศสุ ตั ว์ – พชื อาหารสัตว์
เป็นองค์ประกอบรอง รวมทั้งอาจจะมีการประมง การเลี้ยงผึ้ง ฯลฯ แทรกเข้ามาเป็น
องค์ประกอบเสริมอีกส่วนหนึ่งก็ได้ แต่ทุกรูปแบบจะต้องมีป่าไม้เป็นองค์ประกอบหลักอยู่
ดว้ ยเสมอ
ได้มีผูจ้ ำแนกระบบวนเกษตรออกเป็นรปู แบบต่างๆ 3 รูปแบบ ตามองค์ประกอบของ
ระบบ อนั ไดแ้ ก่
พมิ พค์ ร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (70) : 28 - 30 (พ.ศ. 2550)
214 รวมเรอื่ งสวนปา่
1. ระบบปา่ ไม้เกษตร (Agrisilviculture system) คือระบบวนเกษตรทีป่ ลกู พรรณไม้ป่า
ร่วมกับพืชเกษตรชนดิ ตา่ งๆ ซึ่งมีให้เห็นอยู่ทั่วไปในทุกภาคของประเทศ เช่น การปลูกไม้สกั
ร่วมกับข้าวไร่ในภาคเหนือ การปลูกไม้ยูคาลิปตัสร่วมกับมันสำปะหลังในภาคตะวันออก
เฉียงเหนือ การปลูกไม้ยางพาราร่วมกับสัปปะรด หรือการปลูกกาแฟในสวนสะเดาช้างใน
ภาคใต้ และการปลูกไมย้ ูคาลปิ ตัสบนคันนาในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉยี งเหนอื
2. ระบบปา่ ไม้ปศุสัตว์ (Silvopastoral system) คือระบบวนเกษตรทีผ่ สมผสานกนั
ระหว่างไมป้ ่าและปศุสัตว์และ/หรือพืชอาหารสัตว์ แม้จะไม่แพร่หลายเหมือนระบบแรก แต่
วนเกษตรระบบนี้ก็พอมีตัวอย่างให้เห็นบ้างพอสมควร เช่น การเลี้ยงวัวในสวนกระถินเทพา
และสวนยางพาราที่กาญจนบุรีและประจวบคีรีขันธ์ การเลี้ยงวัวในสวนยูคาลิปตัสในภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือ การปลูกถั่วฮามาต้า และการปลูกหญ้ากินนี ซึ่งเป็นพืชอาหารสัตว์ใน
สวนป่า และการปลูกกระถินในสวนป่าเพื่อตัดก่ิงอ่อนพรอ้ มทั้งยอดและใบเปน็ อาหารสัตว์ท่ี
ราชบรุ ี และกาญจนบรุ ี
พชื เกษตร ไมป้ ่า ปศสุ ัตว์/พืชอาหารสตั ว์
ระบบป่าไมเ้ กษตร ระบบป่าไมเ้ กษตร ระบบป่าไม้ปศสุ ัตว์
ปศสุ ัตว์
รูปแบบหลกั ๆ ของระบบวนเกษตร
3. ระบบป่าไม้เกษตรปศุสัตว์ (Agrosilvopastoral system) คือระบบวนเกษตรท่ี
นำเอาองค์ประกอบทั้งสามมารวมกัน อาจจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันหรือต่างเวลาแต่
ตอ่ เน่อื งกันก็ได้ เชน่ การปลกู มันปะหลังในสวนยคู าลิปตสั เมอ่ื ยคู าลิปตสั อายุ 2 – 3 ปี ซ่ึงมี
ร่มเงาจนไม่สามารถปลูกมันสำปะหลังได้แล้ว ก็จัดให้มีหญ้าอาหารสัตว์เกิดขึ้นแล้วปลอ่ ยวัว
เขา้ ไปกนิ หญา้ ซง่ึ ตอนน้นั ยคู าลิปตสั โตพอทจ่ี ะพน้ จากการทำลายของววั ได้แล้ว
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 215
นอกจากสามระบบหลกั ดังกล่าวแลว้ ยังมีการทำวนเกษตรในรูปแบบอืน่ ๆ ซ่งึ มีชอ่ื เรียก
แตกต่างกันไปตามองค์ประกอบของแต่ละระบบ อาทิ ระบบป่าไม้ประมง (Silvofishery
system) เช่น การปลูกไม้โกงกางรอบบ่อกุ้งที่บางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และระบบการ
เลีย้ งผึง้ ในสวนปา่ (Apisilviculture) เช่น การเล้ยี งผง้ึ ในสวนป่าทีพ่ ิษณุโลก เปน็ ต้น
แต่วนเกษตรในรูปแบบของระบบป่าไม้เกษตร ที่ผมรู้สึกชื่นชมมากที่สุดเท่าที่ได้ไป
เห็นมารปู แบบหนงึ่ ก็คือ การปลกู ไม้จำปาป่าร่วมกับไม้ผลยนื ต้นที่นครศรีธรรมราช เพราะ
พืชควบหรือพืชที่ปลูกร่วมกันทั้งคู่ต่างก็เป็นไม้ต้นหรือไม้ยืนต้น ไม่ใช่ไม้ยืนต้นกับพืชล้มลุก
ตา่ งกันตรงทีช่ นดิ หน่ึงเป็นไม้ป่า ในขณะนอี้ ีกชนิดหนงึ่ เปน็ พืชเกษตรคือไม้ผลเทา่ นน้ั
เมื่อปลายปี 2549 และต้นปี 2550 ผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมการปลูกไม้จำปาป่าใน
ระบบวนเกษตรทอ่ี ำเภอพรมครี ีและอำเภอเมอื ง จงั หวดั นครศรธี รรมราชสองครง้ั ภายใตก้ าร
แนะนำและอำนวยความสะดวกของคุณโอภาส นวลมังสอ (โทร : 089-873-2823)
นักวิชาการป่าไม้แห่งสำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 5 (สำนักงานป่าไม้เขตนครศรีธรรมราช)
รู้สกึ ประทับใจในความพยายามและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ ของเกษตรกรชาวนครศรีธรรมราชเป็น
อย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การ
ปลูกไม้จำปาป่าควบไม้ผลยืนต้น
ของ คุณคะนอง นราพงศ์ (โทร :
075-377-573) และคุณไชยรัตน์
ชัยรักษ์ (โทร : 086-279-3530) ที่
ตำบลกำแพงเซา อำเภอเมือง
จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งริเร่ิม
โดยนายเลียบ ชัยรักษ์ ขณะที่ยัง
รับราชการเปน็ ครใู หญ่ โรงเรียนวัดชัน ตำบลกำแพงเซา ปัจจบุ ันอายุ 90 ปเี ศษแล้ว
คุณคะนองและคณุ ไชยรตั น์ เป็นเกษตรกรผมู้ ีอันจะกิน มีฐานะคอ่ นขา้ งดี มีหวั กา้ วหนา้
นำเอาประสบการณ์ที่ได้จากการสังเกต เรียนรู้จากธรรมชาติมาปรับประยุกต์เข้ากับข่าวสาร
วิชาการเกษตรสมัยใหม่ ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ทั้งที่ประสบผลสำเร็จและที่เคย
ล้มเหลวให้กับเพื่อนเกษตรกรที่มาดูงานโดยไมป่ ิดบัง จนกล่าวได้ว่าสวนของเกษตรกรทั้งสอง
รายนเี้ ป็นเสมือน “ศนู ย์การเรยี นรู้ระบบวนเกษตร” ของภาคใตท้ ีม่ ไี ม้ป่าและไมผ้ ลยืนต้นเป็น
องคป์ ระกอบหลกั
216 รวมเรือ่ งสวนปา่
นอกจากจำปาป่าแล้ว พรรณไม้ป่าที่สวนของคุณคะนองและคุณไชยรัตน์ยังมีไม้สัก
ไมม้ ะฮอกกานี และไม้สะเดาช้าง แต่จำปาป่ามีปรมิ าณมากท่สี ุด ส่วนพชื ควบท่ีโดดเด่นมากๆ
ได้แก่ มังคุด ลองกอง เงาะ และระกำ นอกจากนี้ยังมีผักหวาน มะเขือ มะละกอ ข่า หมุย
รวมทั้งพรกิ ไทยและพลู ซงึ่ ปลกู โดยใชต้ น้ จำปาปา่ เปน็ คา้ ง ยิ่งไปกว่านนั้ เกษตรกรหัวก้าวหน้า
ท้ังสองยังเล้ยี งหมูและไกไ่ วเ้ ปน็ จำนวนมากอีกดว้ ย
เรยี กไดว้ ่าเป็นระบบวนเกษตรทีส่ มบูรณ์แบบกันเลยทีเดียว
แต่ทผ่ี มท่งึ และใหค้ วามสนใจมากเป็นพิเศษก็คือ การปลูกจำปาป่ารว่ มกับไมผ้ ลยนื ตน้
เพราะเป็นระบบวนเกษตรท่ีหาดไู ดไ้ มง่ ่ายนัก ไมเ่ หมอื นกบั การปลูกไมส้ กั ควบกบั ขา้ วไร่ หรือ
การปลูกไม้ยคู าลปิ ตสั แทรกในไรม่ ันสำปะหลัง ซึ่งพบเห็นกนั ทว่ั ๆ ไป
พดู ถงึ จำปาป่า ซึง่ มีช่อื วทิ ยาศาสตร์วา่ Michelia champaca เปน็ ไม้ในวงศ์แมกโนเลีย
(Magnoliacea) ในเมืองไทยมชี ่ือเรียกหลายอย่างแตกตา่ งกันไปตามแตล่ ะทอ้ งถ่ิน เช่น จำปา
จำปาทอง จำปาเขา และจำปากอ สว่ นชื่อสามญั ในภาษาองั กฤษกม็ หี ลากหลาย เชน่ Champ,
Champa, Champaca, Champaka, Champak, Orange champaka, Champakam ฯลฯ
จำปาป่า เป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ไม่
ผลัดใบ ลำต้นตรง เปลา เปลือกหนา เป็นไม้
พ้นื เมอื งของอนิ เดีย เนปาล บงั คลาเทศ พมา่
ไทย รวมท้งั แหลมมลายูและอนิ โดนีเซีย เป็น
ไม้ในป่าดิบชื้น ขึ้นอยู่ทั่วไปในบริเวณเชิงเขา
และหุบเขาทด่ี นิ ดี ลกึ มคี วามชื้นสงู แต่นำ้ ไม่
ท่วมขัง ดินต้องระบายน้ำได้ดี ขึ้นได้ตั้งแต่
อุณหภูมิ 0 – 47 องศาเซลเซียส ปริมาณ
น้ำฝนตั้งแต่ 2,000 – 5,000 มิลลิเมตรต่อปี
ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม จำปาป่า
อาจจะสงู ถึง 40 เมตร วัดเส้นรอบวงที่ระดบั
อกไดถ้ งึ 3.70 เมตร
กล่าวได้ว่า จำปาป่า เป็นไม้อเนกประสงค์หรือไม้สารพัดประโยชน์ เพราะทุกส่วน
สามารถนำไปใชป้ ระโยชน์ในทางตรงได้ เนอ้ื ไมม้ ีค่าความถว่ งจำเพาะ 0.53 กระพ้สี ีขาว แก่น
สีนำ้ ตาลอมเหลือง แข็งแรง ทนทาน เส้ยี นตรง ไสกบตกแตง่ ผ่งึ อบง่าย เหมาะสำหรบั ใช้งาน
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 217
ภายในอาคาร เช่น ใช้ตกแต่งภายใน ทำบานประตู หน้าต่าง ทำเฟอร์นิเจอร์ กล่องอัญมณี
กล่องชา ใช้ในงานแกะสลัก ใช้ทำดินสอ ไม้อัด ไม้บาง รวมทั้งใช้ทำโลงศพชั้นดี และใช้สอย
ทวั่ ๆ ไป
ยิ่งไปกว่านั้น แทบทุกส่วนของไม้จำปาป่าต่างก็มีคุณค่าทางสมุนไพรพื้นบ้าน เช่น
เปลือก ใช้เป็นยาสมานแผล แก้คอแห้ง กระพ้ี ใช้ถอนพิษผิดสำแดง แก่น ใช้บำรุงโลหิต
บำรุงประจำเดือนสตรี ใบ ใช้แก้โรคเส้นประสาทพิการ ยาง ใช้แก้ริดสีดวงพลวก ดอก ใช้
เป็นยาบำรุงธาตุ บำรุงโลหิต บำรุงประสาท บำรุงหัวใจ แก้ปวดศรีษะ แก้ไข้ อ่อนเพลีย ผล
ใช้ขับปัสสาวะ แก้คลื่นเหียน และเมล็ด ใช้บำรุงธาตุ แก้คลื่นเหียนอาเจียน และใช้ขับ
ปสั สาวะ
เกษตรกรผู้สนใจจะปลูกไม้จำปาป่า สามารถติดต่อขอรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณโอภาส คุณไชยรตั น์ และคุณคะนอง ตามเบอรโ์ ทรศพั ท์ท่ีใหไ้ ว้ขา้ งตน้
แต่ตอ้ งไม่ลืมวา่ จำปาปา่ เปน็ ไม้ในปา่ ดบิ ชืน้ พื้นทีป่ ลูกตอ้ งมฝี นตกชุก ดินลึก ดินดี ท่ี
สำคัญคือน้ำต้องไม่ท่วมขัง หากมีน้ำทว่ มขังใบจะร่วง แห้งและยืนต้นตาย แม้จะมีอายุถึง
3 – 5 ปีแล้วก็ตาม กล้าที่ปลูกอาจจะเก็บหามาจากกล้าที่งอกขึ้นเองตามธรรมชาติใต้โคน
แม่ไม้ หรือหาซื้อซึ่งมีขายทั่วไปในราคาต้นละประมาณ 10 บาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับขนาดของ
ต้นกลา้ หรอื จะเกบ็ เมล็ดมาเพาะเลย้ี งกล้าไวป้ ลูกหรือจำหนา่ ยเองก็ได้
เมล็ดไม้จำปาป่ามีน้ำมัน มีอายุ
หรือความมีชีวิตของเมล็ดค่อนข้างส้ัน
ดังนั้นเมื่อเก็บเมล็ดไดแ้ ล้วต้องนำไปเพาะ
ทนั ที อย่าเกบ็ รกั ษาไวน้ านวนั เพราะจะทำ
ให้อัตราการงอกลดลงอย่างรวดเร็ว ปกติ
เมลด็ ไม้จำปาปา่ 1 กโิ ลกรมั มีจำนวนเมลด็
ประมาณ 15,000 เมล็ด มีอัตราการงอก
80 – 90 เปอร์เซ็นต์ ควรนำเมล็ดไปแช่น้ำก่อนนำไปเพาะ 24 ชั่วโมง การเพาะเมล็ดควร
เพาะในกระบะทราย เมล็ดจะเร่ิมงอกหลังเพาะราว 2 สัปดาห์ เมื่อตน้ กลา้ ทีง่ อกขึน้ มาอายไุ ด้
3 – 6 สัปดาห์ก็ย้ายจากกระบะทรายลงถุงพลาสติก เลี้ยงไว้ราว 4 – 6 เดือน คือมีความสูง
ประมาณ 30 – 60 เซนติเมตรก็นำไปปลูกได้ ไม่ควรใช้กล้าค้างปีที่มีขนาดใหญ่เกินไปปลูก
เพราะระบบรากจะมว้ นงออยใู่ นถุงพลาสตกิ ทำให้เจริญเตบิ โตช้า
218 รวมเร่อื งสวนป่า
คุณโอภาส นวลมังสอ ได้แนะนำไว้ในหนังสือ “การปลูกไม้จำปาป่า ท้องที่จังหวดั
นครศรธี รรมราช” ว่าควรปลูกจำปาปา่ แทรกในสวนยางพาราหรอื สวนไมผ้ ลยืนต้นไร่ละ 8 –
25 ต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมของพื้นที่และวัตถุประสงค์ของเจ้าของสวนเป็นสำคัญ
แตถ่ ้าปลกู เปน็ สวนปา่ เชงิ เด่ยี ว ควรใชร้ ะยะปลูก 4 x 4 เมตร หรือไร่ละ 100 ต้น แล้วทำการ
ตดั สางขยายระยะออกครงึ่ หนง่ึ ในทุกๆ 10 ปี กจ็ ะทำใหม้ ตี ้นไมเ้ หลืออยู่ 25 ต้นต่อไร่ เมื่อถึง
อายุการตัดฟันซึ่งกำหนดไว้ที่ 30 ปี ไม้จำปาป่าอายุ 10 ปีที่นครศรีธรรมราชอาจจะมีเส้น
รอบวงท่รี ะดับอกถงึ 150 เซนติเมตร และมคี วามสงู ถึง 30 เมตร ซงึ่ จัดว่าเป็นไมท้ ่ีโตเร็วมาก
ราคาเหมาซ้อื ขายกันตน้ ละประมาณหนงึ่ หมนื่ บาท แตถ่ ้าปล่อยไว้จนมขี นาดเส้นรอบวง 200
เซนตเิ มตรข้นึ ไป ราคาซ้อื ขายอาจจะสูงถึงต้นละสามหมื่นบาทก็ได้
เกษตรกรชาวสวนไมผ้ ลยนื ต้นแถบภาคตะวันออกและภาคใต้ซ่ึงดินดี มีฝนตกชุก แต่
น้ำไมท่ ่วมขัง หากจะลองเอาไม้จำปาปา่ ปลูกแทรกเข้าไปไร่ละ 5 – 10 ต้น ตามหลกั การของ
ระบบวนเกษตรก็คงจะก่อให้เกิดรายได้เสริมในบั้นปลายอย่างเป็นกอบเป็นกำได้ไม่น้อยเลย
ทเี ดียว
41 ปา่ ชาวบา้ น-
อาหารจากป่า
“ป่าชาวบ้าน-อาหารจากป่า” ที่กล่าวถึงนี้เป็นคนละเรื่อง แต่ผมกำลังจะผูกให้เป็น
เรอื่ งเดยี วกัน
“ป่าชาวบ้าน” ในที่นี้หมายถึง “โครงการป่าชาวบ้านในพระบรมราชูปถัมภ์ของ
สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี”
“โครงการป่าชาวบ้านฯ” เป็นเสมือนหนึ่งงานส่งเสริมด้านป่าไม้ของ “มูลนิธิ
โครงการหลวง” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปลูกป่าและการใช้ประโยชน์ไม้จากป่าปลูกของ
เกษตรกรบนพืน้ ทสี่ ูง
ในปี พ.ศ. 2525 โครงการหลวง โดย คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ร่วมกับ ภาควิชาวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน และสถาบันวิจัยป่าไม้แห่ง
ไตห้ วนั ได้เริม่ งานวจิ ยั ดา้ นการทดสอบชนดิ พนั ธุ์ ดว้ ยการนำพรรณไมช้ นิดตา่ งๆ รวมทั้งไมไ้ ผ่
จากไต้หวันมาทดลองปลูกที่สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ โดยมี
วัตถุประสงค์หลักเพื่อต้องการทราบว่า มีพรรณไมอ้ ะไรบ้างที่เหมาะสำหรับนำไปปลูกที่ดอย
อ่างขาง ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 1,500 เมตร และอากาศหนาวเย็น ทั้งนี้ โดยมี
Prof. Pao-cheng Kuo เปน็ หัวหน้าคณะวิจยั ฝา่ ยไต้หวนั และ ดร. บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ เปน็
หวั หน้าฝ่ายไทย โดยใช้ระยะเวลาการวจิ ัยรวม 12 ปี แบ่งออกเป็น 3 ระยะๆ ละ 4 ปี
ผลการวิจัยกึ่งสาธิตพบว่าพรรณไม้ต่างถิ่นหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดีที่ดอยอ่างขาง
อาทิ กระถินดอย (Acacia confusa) เมเปิ้ลหอม (Liquidambar formosana) การบูร
(Cinnamomum camphora) จนั ทรท์ องเทศ (Fraxinus griffithii) เพาโลวเ์ นีย (Paulownia
taiwaniana) สนหนาม (Cunninghamia lanceolata) ไผ่หวานอ่างขาง (Dendrocalamus
latiflorus) ไผ่หยก (Bambusa oldhamii) ไผ่มากินหน่อย (Phyllostachys makinoi)
พมิ พค์ ร้งั แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (71) : 28 – 30; 7 (72) : 28- 30 (พ.ศ. 2550)
220 รวมเรอ่ื งสวนป่า
ไผ่แบมบูซอยเดส (Phyllostachys bambusoides) และไผล่ ิโต (Phyllostachys lithophila)
รวมทงั้ ไผห่ ก (Dendrocalamus hamiltonii) ซ่ึงเปน็ ไผพ่ ันธ์พุ น้ื เมืองของไทย
ที่พูดว่า “วจิ ยั กึ่งสาธติ ” กเ็ พราะวา่ งานวจิ ยั ดังกลา่ วเป็นงานวิจยั ครบวงจร ระยะยาว
เริ่มตั้งแต่ศึกษาหาชนดิ พันธุ์ไม้ที่เหมาะสมมาปลูก จัดการสวนป่าอย่างประณีตตามหลักวิชา
วนวัฒนวทิ ยา ไปจนถงึ การใช้ประโยชนไ์ ม้จากป่าปลกู และผลประโยชนท์ างออ้ มท่ีไดจ้ ากการ
ปลกู สรา้ งสวนปา่ แห่งน้ีซง่ึ มีเนื้อท่ปี ระมาณ 800 ไร่ และต่อมากเ็ รียกขานกันวา่ “สวนป่าสาธิต
สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง” ซึ่งนอกจากจะใช้เป็นสถานที่ศึกษาวิจัยทางด้านการปลูกสร้าง
สวนป่าอย่างครบวงจรแล้ว สวนป่าสาธิตสถานีเกษตรหลวงอ่างขางยังเป็นท่ีศึกษาดูงานและ
ฝกึ งานของนักศกึ ษาและผู้สนใจทวั่ ไปทงั้ ที่เปน็ คนไทยและชาวตา่ งประเทศ
ภายในบริเวณสวนป่าสาธิต สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง 800 ไร่ มีเส้นทางเดินศึกษา
ธรรมชาติของป่าปลูกระยะทางยาวร่วม 10 กิโลเมตร และมี “ศูนย์สาธิตการใช้ไม้สมพร
สหวัฒน์” ซึ่ง “คุณสมพร สหวัฒน์” แห่งวนชัยกรุ๊ป ได้จัดสร้างขึ้นและมอบให้เป็นสมบัติ
ของสถานเี กษตรหลวงอ่างขาง เมอื่ ตน้ ปี พ.ศ. 2547
สวนป่าสาธิต สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง เปิดให้ประชาชนผู้สนใจทั่วไปเข้าชมและ
พักผ่อนหย่อนใจได้ฟรีทุกวัน สนใจโปรดติดต่อ คุณสมชาย เขียวแดง (081-783-0427)
ผู้อำนวยการสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง และคุณขจร สุริยะ (089-951-4245) หัวหน้าสวนปา่
สาธติ สถานเี กษตรหลวงอ่างขาง
ผลที่ได้จากการศึกษาวิจัยจากสวนป่าสาธิต สถานีเกษตรหลวงอ่างขาง มูลนิธิ
โครงการหลวงก็นำไปส่งเสริม ถ่ายทอดสู่เกษตรกรซึ่งเป็นสมาชิกของศูนย์/สถานีพัฒนา
เกษตรหลวงของมูลนิธิโครงการหลวง ซึ่งมีอยู่ 37 แห่ง ไม่รวมอ่างขาง ในท้องที่ 5 จังหวัด
ภาคเหนือ อันได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน พะเยา และแม่ฮ่องสอน ผ่านทางโครงการ
ป่าชาวบ้านฯ ดังกลา่ วแลว้
นน่ั คอื เร่ืองทหี่ นง่ึ – ป่าชาวบา้ น สว่ นเร่อื งทีส่ องคือ อาหารจากปา่
เมื่อวันที่ 19 เมษายน 2550 ผมได้รับเชิญจาก คุณเธียรชัย อารยางกูร ผู้เชี่ยวชาญ
สถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) ให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง “อาหาร
จากป่า” ให้แก่นักวิจัย “โครงการวิจัยแบบมีสว่ นร่วมในการฟื้นฟูความอุดมสมบูรณ์ของ
สภาพป่ารอบชุมชนบนพื้นที่สูงสำหรับใช้ประโยชน์ด้านแหล่งอาหาร ยา สมุนไพร และ
พลังงาน” ณ โครงการพฒั นาตามพระราชดำริ จงั หวัดแม่ฮ่องสอน
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 221
อาหารจากปา่ เป็นเร่อื งธรรมดาๆ สำหรบั ชุมชนชนบทท่อี ยูใ่ กลป้ า่ ซึ่งวิถชี ีวิตประจำวนั
ต้องเกยี่ วพนั พึง่ พาป่าไมท้ ้ังทางตรงและทางอ้อม แต่เป็นเร่อื งไม่ธรรมดาสำหรับคนในเมอื งและ
นักวิชาการจำนวนไมน่ ้อย
เมื่อพูดถึงอาหารจากป่าก็ต้องเริ่มด้วยประเภทของป่า พูดถึงความหลากหลายทาง
ชวี ภาพของสงั คมพืชในป่า และที่สำคัญคอื ภมู ิปญั ญาทอ้ งถน่ิ ในการบริโภคอาหารจากป่า
ป่าคือพื้นที่ผืนใหญ่ซึ่งปกคลุมด้วยไม้ต้นหรือไม้ยืนต้น (trees) และพืชพื้นล่าง
(undergrowth) อาจจะเป็นป่าธรรมชาติ (natural forest) หรือป่าปลูก/สวนป่า (man-
made forest) ก็ได้ โดยปกติป่าธรรมชาติจะมีความหลากหลายทางชีวภาพสูงกว่าป่าปลูก
แต่ในพื้นที่ป่าเสื่อมโทรมซึ่งป่าไม้เดิมถูกแผ้วถางกลายเป็นไร่ร้างอย่างดอยอ่างขางในอดีต
หรือพื้นที่ที่ไม่เคยเป็นป่ามาก่อนอย่างทุ่งนาชานกรุงเทพมหานครที่เห็นอยู่ในปัจจุบัน การ
ปลูกเพื่อสร้างป่าขึน้ มาใหมก่ ็เป็นสิง่ จำเป็น แม้จะมีความหลากหลายทางชีวภาพน้อยกว่าปา่
ธรรมชาติก็ตาม เพราะอย่างน้อยกเ็ ป็นการสร้างพ้ืนทีส่ ีเขียวอย่างยั่งยืนขึ้นมาโดยมีไมย้ ืนตน้
เป็นองคป์ ระกอบหลัก
ป่าที่ปลูกสร้างขึ้นมาจะเป็นสวนป่าเศรษฐกิจ (production plantation) สวนป่า
นันทนาการ (amenity plantation) หรอื สวนป่าป้องกันภัย (protection plantation) หรอื
เปน็ ท้งั สามอยา่ งในเวลาเดียวกันกไ็ ด้ ดงั ท่ี พระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หัวทรงเรียกว่า “ป่า 3
อยา่ ง ประโยชน์ 4 อยา่ ง” ทงั้ นี้ ข้ึนอยกู่ ับวตั ถปุ ระสงคข์ องเจ้าของหรือผปู้ ลูกเป็นสำคัญ
ส่วนป่าธรรมชาตินั้นเป็นป่าที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มนุษย์อาจจะเข้าไป
ช่วยเหลือเพื่อส่งเสริมการสืบต่อพันธุ์ การงอกของเมล็ด การตั้งตัวหรือการเจริญเติบโตของ
ต้นกล้าให้ประสบผลสำเร็จมากยิ่งขึ้นก็ได้ เช่น การเตรียมพื้นที่เพื่อรองรับการร่วงหล่นของ
เมล็ด แตต่ อ้ งไม่ใช่การนำเมล็ดไปหว่านลงในพื้นท่นี ้ันๆ
ความหลากหลายทางชวี ภาพหรือพืชพรรณตา่ งๆ ก็แตกต่างกันไปตามประเภทของปา่
ซึ่งแบ่งออกกว้างๆ ได้ 2 ประเภท คือป่าผลัดใบ (deciduous forest) และป่าไม่ผลัดใบ
(evergreen forest) โดยปา่ ท้ังสองประเภทสามารถแยกยอ่ ยออกไดด้ งั นี้
1. ป่าชายเลน (mangrove forest) มีเฉพาะในเขตร้อนและกึ่งร้อนเท่านั้น เกิดขึ้น
บนดินเลนตามแนวชายฝั่งทะเลซึ่งน้ำทะเลท่วมถึง พรรณไม้ส่วนใหญ่เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ชนิด
ไม้ทสี่ ำคญั ที่สุดคอื ไม้โกงกาง คนสว่ นใหญจ่ ึงเรยี กปา่ ชายเลนอีกอยา่ งหน่งึ ว่า “ป่าโกงกาง”
222 รวมเรือ่ งสวนปา่
2. ปา่ ชายหาด (beach forest) เปน็ ปา่ ท่ปี ระกอบไปดว้ ยพรรณไมไ้ ม่ผลดั ใบ เกดิ อยู่
บนดินทราย กรวด หรือโขดหิน ตามแนวชายฝั่งทะเลที่น้ำทะเลท่วมไม่ถึง หากน้ำทะเลทว่ ม
ขังนานพอสมควร พรรณไม้ป่าชายหาดจะตายดังกรณีที่เกิดขึ้นกับต้นหว้าและป่าชายหาด
ตามแนวชายฝั่งทะเลอันดามันซึ่งได้รับผลกระทบอย่างมากจากคลื่นยักษ์สึนามิเมื่อวันที่ 26
ธนั วาคม 2547 เนอื่ งจากปา่ ชายหาดเปน็ สงั คมพืชท่ีเกิดขึ้นบนเนนิ ทรายชายฝ่งั ทะเล จึงเรียก
อกี อยา่ งหนึ่งวา่ “ปา่ เนนิ ทราย” (dune forest)
3. ป่าดิบชื้น (tropical rain forest) อาจเรียกว่า “ป่าดงดิบ” ก็ได้ เพราะเป็นป่าที่
รกทึบ สูงใหญ่ ประกอบด้วยพรรณไม้ไม่ผลัดใบ เกิดขึ้นในบริเวณที่มีฝนตกชุกตั้งแต่ 2,000
มิลลเิ มตรต่อปีขึน้ ไป และในปีหน่ึงๆ อาจมชี ่วงเวลาทฝ่ี นตกยาวนานกวา่ 8 เดือน จงึ ทำให้ท้ัง
ดินและบรรยากาศมีความชื้นสูง ดินมีความอุดมสมบูรณ์สูง จึงทำให้มีพืชพรรณและความ
หลากหลายทางชีวภาพสูงตามไปด้วย สว่ นใหญ่อยู่ในภาคใต้ตัง้ แต่จังหวัดชมุ พรลงไป
4. ป่าดิบแล้ง (dry evergreen forest) เปน็ ปา่ ทีม่ ีทงั้ ไมผ้ ลดั ใบและไม้ไม่ผลัดใบข้ึนอยู่
ร่วมกันในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน มีช่วงความแห้งแล้งราว 3 – 4 เดือน และมีฝนตกประมาณ
1,600 – 2,000 มลิ ลิเมตรต่อปี พบอย่ทู ั่วไปท้งั ในทร่ี าบและเนนิ เขาซง่ึ ดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์
และอยสู่ งู จากระดับนำ้ ทะเลไมม่ ากนกั ท้ังในภาคเหนือและภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนือ
5. ป่าเบญจพรรณ (mixed deciduous forest) เป็นป่าที่ขึ้นอยู่ในระดับความสูง
จากระดบั น้ำทะเลเฉลี่ยปานกลางตั้งแต่ 50 – 800 เมตร ปริมาณน้ำฝนเฉล่ียรายปีประมาณ
1,200 – 1,600 มิลลิเมตร และมีช่วงเวลาที่ขาดฝนหรือฝนทิ้งช่วงอย่างน้อยปีละ 4 เดือน
พรรณไม้เด่นในป่าเบญจพรรณได้แก่ ไม้สัก ประดู่ แดง และไม้มะค่า หากมีไม้สักขึ้นอยู่
หนาแน่นบางคนเรียกป่าประเภทนี้ว่า “ป่าสัก” แต่ป่าเบญจพรรณอาจจะไม่มีไม้สักขึ้นอยู่
เลยกไ็ ด้ มมี ากในภาคเหนอื
6. ป่าเต็งรัง (dry dipterocarp forest) เป็นป่าซึ่งประกอบด้วยพรรณไม้ที่ผลัดใบ ซึ่ง
ชนิดที่สำคัญๆ ได้แก่ ไม้เต็ง ไม้รัง ไม้เหียง และไม้พลวง พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
และบางส่วนของภาคเหนือซึ่งดินเป็นดินลูกรัง มีความอุดมสมบูรณ์ตำ่ ดนิ ตืน้ ความช้ืนท้ังใน
ดินและในบรรยากาศต่ำ เพราะฝนตกน้อย คือมีปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยรายปีประมาณ 900 –
1,200 มิลลิเมตร ความสูงจากระดับน้ำทะเลที่ป่าเต็งรงั สว่ นใหญ่ขึ้นอยู่นั้นอยู่ระหว่าง 50 –
1,000 เมตร แต่อาจจะพบป่าเตง็ รังบนภูเขาสูงในภาคเหนือขนึ้ ปะปนกบั ไมส้ นเขากไ็ ด้
7. ป่าดิบเขา (hill evergreen forest) เป็นป่าที่ขึ้นบนพื้นที่สูง ซึ่งปกติจะสูงกว่า
1,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลเฉลี่ยปานกลาง สภาพภูมิอากาศเด่นของป่าประเภทนี้คือ
บุญวงศ์ ไทยอุตส่าห์ 223
อากาศหนาวเย็น มีมากบนพื้นที่สูงหรือภูเขาสูงในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
พรรณไม้เดน่ ไดแ้ กพ่ รรณไมใ้ นวงศ์ไม้ก่อ
8. ป่าสนเขา (pine forest) โดยปกติจะขึ้นอยู่ในพื้นที่สูงซึ่งมีอากาศหนาวเย็น
เช่นเดียวกับป่าดิบเขา แต่ก็ปรากฏว่ามีป่าสนเขาอยู่ในพ้ืนที่ต่ำในท้องที่จังหวัดเพชรบุรีและ
จงั หวดั ศรสี ะเกษ ซง่ึ มคี วามสูงจากระดับนำ้ ทะเลเฉล่ียปานกลางเพยี ง 120 – 150 เมตร ดิน
ในป่าประเภทนี้ระบายน้ำดี มีฤทธิ์ค่อนข้างเป็นกรด คือค่า pH ค่อนข้างต่ำ พรรณไม้สำคัญ
ได้แก่ ไม้สนสองใบและไม้สนสามใบ โดยมีไม้ในวงศ์ไม้ก่อเป็นองค์ประกอบรอง รวมทั้งบาง
พ้ืนทอี่ าจจะพบไม้สนเขาขึ้นปะปนอยู่กับไมใ้ นป่าเต็งรงั ก็ได้
9. ป่าพรุ (swamp forest) ป่าประเภทนี้มใี ห้เห็นต้ังแต่ระดับน้ำทะเลจากใต้สดุ คือ
ป่าพรโุ ตะ๊ แดงในจงั หวัดนราธิวาส จนถึงยอดเขาเหนือสดุ ของประเทศ คือ ปา่ พรุบนยอดดอย
อินทนนท์ จังหวัดเชียงใหม่ พรรณไม้ที่ขึ้นอยู่เป็นไม้ไม่ผลัดใบ ดินมีความชื้นสูงเพราะมีน้ำ
ท่วมขัง และมฤี ทธเิ์ ปน็ กรดจัด อนั เป็นผลมาจากการสะสมของเศษซากพชื ทีส่ ลายตวั ช้าหรอื ผุ
สลายไดน้ ้อยมาก เพราะน้ำท่วมขังหรอื อากาศหนาวเยน็
นนั่ คือประเภทตา่ งๆ ของป่าไมใ้ นประเทศไทย
ความหลากหลายทางชวี ภาพ ความอุดมสมบูรณ์ของดนิ และสงั คมพชื ความหนาแนน่
ของหมู่ไม้ รวมทั้งจำนวนชั้นของเรือนยอด และความสูงของพืชพรรณที่ขึ้นอยู่ร่วมกันก็
แตกต่างกันไปตามประเภทของป่า ป่าดงดิบมีความหลากหลายของพืชพรรณมากที่สุด ป่า
เตง็ รังมคี วามอุดมสมบรู ณ์ของดนิ และหม่ไู มน้ อ้ ยทส่ี ุด
ความหลากหลายของอาหารจากปา่ ก็แตกตา่ งกนั ไปตามแตล่ ะประเภทของปา่ ดว้ ย
การที่ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศเล็กๆ แต่มีสังคมพืชแตกต่างกันหลายชนิดและมี
ความหลากหลายทางชีวภาพสูงต่างไปจากกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียโดยสิ้นเชิงนั้น เป็น
เพราะข้อได้เปรียบของทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ซึ่งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร อากาศร้อนชื้น ไม่
หนาวหรือเย็นจัดเกินไป ฝนตกชุก ความสูงของพื้นที่มีตั้งแต่ระดับน้ำทะเลจนถึงภูเขาสูง
2,565 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลางที่ยอดดอยอินทนนท์ และความยาวของประเทศ
ตั้งแต่เสน้ รงุ้ ที่ 5 องศาเหนือในจังหวัดยะลา จนถงึ 21 องศาเหนือในจังหวัดเชยี งราย
การอย่รู ว่ มกันของหมู่ไมป้ ่าในสังคมพืชหนงึ่ ๆ นนั้ มีความสลับซบั ซ้อนแตกต่างกัน ป่า
บางประเภทมีเรือนยอดปกคลุมผิวดินค่อนข้างแน่นทึบจนแทบจะไม่มีช่องว่างระหว่างเรือน
ยอดอยู่เลย และมีถึง 3 – 4 ชั้นเรือนยอด ในขณะที่ป่าบางประเภทเรือนยอดค่อนข้างโปรง่
224 รวมเรอ่ื งสวนปา่
ไม่แน่นทึบ และมีเพียง 1 – 2 ชั้นเรือนยอดเท่านั้น การเขียนภาพด้านข้างและภาพด้านบน
ของหมู่ไม้ในปา่ หรือที่นกั นิเวศวทิ ยาปา่ ไม้เรยี กว่า stand profile จะช่วยให้มองเห็นจำนวน
ชั้นและอัตราการปกคลุมของเรือนยอดได้ง่ายขึ้น เช่น ป่าเบญจพรรณมี 3 - 4 ชั้นเรือนยอด
และมีเรอื นยอดปกคลมุ พน้ื ดนิ ประมาณร้อยละ 70 ในขณะท่ปี ่าเต็งรังมเี พยี ง 2 ชน้ั เรือนยอด
และมีเรือนยอดปกคลุมพื้นดินเพยี งประมาณรอ้ ยละ 60 เทา่ น้ัน โดยในทกุ ช้ันเรอื นยอดต่างก็
มีพืชปา่ กนิ ได้หรอื อาหารจากปา่ ชนดิ ต่างๆ มากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ออกไป
แม้ตามพจนานุกรมจะระบุว่า อาหารหมายถึงสารอาหารที่คนหรือสัตว์กินหรือด่ืม
หรือพืชดูดเข้าไป เพื่อดำรงชีวิตหรือเพื่อการเจริญเติบโตก็ตาม แต่ในที่นี้อาหารจากป่า
หมายถึงสว่ นของพชื ท่ีคน โดยเฉพาะอย่างยงิ่ คือชาวบา้ นหรือชุมชนท้องถ่ินนำมาบริโภค
ตามวฒั นธรรมการบรโิ ภคของท้องถิน่ หรือตามภูมปิ ัญญาชาวบ้าน
สงั คมพืชท่หี ลากหลายทำให้มอี าหารจากพชื ป่านานาชนิด ท้งั จากไม้ยืนต้นขนาดใหญ่
ไมย้ ืนต้นขนาดกลาง ไม้พุ่ม ไม้เลอื้ ย/ไม้เถา พชื ล้มลกุ รวมทงั้ พชื ผวิ ดินและใตด้ ิน
อาหารจากไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ (trees) ซึ่งเปน็ ช้ัน
บนสุดของเรือนยอดในสังคมพืชมีทั้งส่วนที่เป็นใบ ดอก
และผล ที่รู้จักกันดีและนิยมบริโภคได้แก่ สะตอ สะเดา
เหรียง ขนุน มะแขว่น มะกอกป่า หว้า กระบก ทำมัง
สมอไทย ติ้วขาว และมะมุด ฯลฯ
อาหารจากไม้ยืนต้นขนาดกลางซึ่งอยู่ในชั้นเรือน
ยอดรองลงมาทีบ่ ริโภคกนั อย่างแพร่หลาย ได้แก่ แคบ้าน
ยอบ้าน ขี้เหล็ก เพกา มะรุม ชะมวง ตะลิงปลิง
มะขามปอ้ ม มะตูม และทองหลาง ฯลฯ
ในชั้นเรือนยอดรองลงมาอีกซึ่งเป็น
สังคมพืชจำพวกไม้พุ่ม (shrubs) นั้น ส่วนที่
นำมาบริโภคเป็นอาหารส่วนใหญ่ได้มาจาก
ยอด เชน่ ผักหวาน ผกั เหมียง ยอดหมุย กุ่ม
นำ้ กระถิน เสม็ด ชะอม และมันปู ฯลฯ แต่
ที่บริโภคส่วนของผลก็มี เช่น มะแว้งต้น
มะอกึ มะเขอื พวง กระเจี๊ยบแดง และกาแฟ
ฯลฯ
บญุ วงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 225
ส่วนไม้เลื้อย ไม้เถา (climbers) ซึ่งเป็นพืชผักที่นิยมบริโภคใบหรอื ยอดออ่ นเปน็ ส่วน
ใหญ่ ได้แก่ เถาย่านาง ผักเชียงดา ผักปลัง ผักไห่ ยอดตำลึง ส้มป่อย ดีปลี มะแว้งเครือ
กระพงั โหม มะระ และอญั ชนั ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีพืชผักล้มลุกซึ่งเป็นสังคม
พืชชั้นล่างของป่าที่นิยมบริโภคเป็นอาหารอีก
หลายชนิด เชน่ ผกั กูด ผกั หนาม ผักโขม ผกั เสีย้ น
กล้วย บัวบก ฯลฯ ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงพืชป่าอีก
หลายชนิดที่ใช้หน่อและ/หรือหวั เป็นอาหาร เช่น
บุก ขมิ้นชัน กลอย ขิง ข่า กระทือ กระวาน บัว
หิมะ เผอื ก ออกดิบ และเห็ดชนดิ ต่างๆ รวมทั้งหนอ่ จากหวายและไมไ้ ผ่นานาชนิด
พืชผักซึ่งเป็นอาหารจากป่าเหล่านี้ สำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้ เรียกว่า
“พืชผักพื้นบ้าน-อาหารชุมชน” และได้จัดทำโครงการ “ป่าพื้นบ้าน - อาหารชุมชน” ข้ึน
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2542 โดยได้ส่งเสริมให้มีการปลูกป่าในลักษณะ “แหล่งรวมไม้กินได้” หรือ
“Food Bank” ข้นึ มา
ป่าพื้นบ้าน - อาหารชุมชน ตามความหมายของกรมป่าไม้นั้นหมายถึงบริเวณที่มี
พืชผักพื้นบ้านชนิดต่างๆ ขึ้นอยู่ ทั้งที่เป็นพืชชั้นสูงซึ่งมีท่อลำเลียง เช่น ไม้ยืนต้น ไม้พุ่ม
ไม้เถา พืชล้มลุก และพืชชั้นต่ำจำพวกเห็ดที่สามารถนำมาบริโภคเป็นอาหารและใช้สอยใน
รูปแบบอนื่ ไดด้ ว้ ย
กรมป่าไม้ โดยสำนักจัดการป่าชุมชนได้ให้ความสนใจกับ “ป่าพื้นบ้าน - อาหาร
ชุมชน” มานานพอสมควรแล้ว ได้มีการจัดทำโครงการ Food Bank ขึ้นในท้องที่จังหวัด
ต่างๆ หลายแห่ง รวมทั้งได้ศึกษาวิจัยและจัดพิมพ์เอกสารทางวิชาการเกี่ยวกับการจัดสร้าง
ปา่ พื้นบ้านให้เป็นแหล่งอาหารของชมุ ชนในรปู ของ “ระบบวนเกษตร” ไว้หลายเลม่ อาทิ
ปี พ.ศ. 2542 ได้จัดพมิ พ์หนงั สอื “ป่าพ้ืนบ้าน – อาหารชมุ ชน” ขนาดความหนา 96
หน้า โดยรวบรวมลักษณะทางพฤกษศาสตร์ ลักษณะทางนิเวศวิทยา และประโยชน์ของพืช
กินได้ไว้ 88 ชนิด
ปี พ.ศ. 2546 สำนักงานป่าไม้จังหวัดอุดรธานี ได้จัดพิมพ์หนังสือ “เทคนิคในการ
สร้างธนาคารอาหารของชุมชน” ขนาดความหนา 118 หน้า โดยได้กล่าวถึงความเป็นมา
ของพชื ผักพื้นบา้ นอาหารจากป่า บทบาทของพชื ผกั พน้ื บา้ นทั้งในแง่ของอาหารและยารักษา
226 รวมเรอื่ งสวนป่า
โรค เทคนิคในการจัดสรา้ งธนาคารอาหาร (Food Bank) ของชุมชนใหม้ ีบริโภคไดต้ ลอดทั้งปี
รวมทั้งได้รวบรวมพรรณพืชที่เป็นอาหารและยารักษาโรคไว้ถึง 239 ชนิด โดยแต่ละชนิดได้
ระบลุ กั ษณะพืชพรรณ สว่ นท่ีใชเ้ ป็นอาหาร ฤดูกาลที่เก็บเก่ยี วมาบรโิ ภค และสภาพแวดล้อม
ทเ่ี หมาะสมในการปลกู
ปี พ.ศ. 2547 - 2549 ส่วนพัฒนาวนศาสตร์ชุมชน สำนักจัดการป่าชุมชน กรมป่าไม้
ได้จัดพิมพ์หนังสือ “ชนิดพันธุ์ไม้ที่ใช้ในการส่งเสริมระบบวนเกษตร” ขึ้นมาปีละ 1 เล่ม
รวม 3 ปี จำนวน 3 เล่ม แต่ละเล่มได้ให้รายละเอียดด้านต่างๆ ของพันธุ์ไม้ที่ควรนำมาปลกู
ในระบบวนเกษตร ทั้งลักษณะทางพฤกษศาสตร์ของไม้แต่ละชนิด สภาพแวดล้อมทาง
นิเวศวิทยาที่ต้องการ วิธีการขยายพันธุ์ การปลูกและการดูแลรกั ษา ประโยชน์และคุณคา่ ทาง
โภชนาการ โดยเลม่ แรก (2547) หนา 204 หน้า มพี รรณพืช 47 ชนิด เล่มท่ีสอง (2548) หนา
161 หนา้ มพี ืชพรรณ 36 ชนดิ และเลม่ ทีส่ าม (2549) หนา 174 หน้า มีพรรณพชื 34 ชนิด
หนงั สอื ทง้ั ห้าเล่มท่ีกล่าวมานี้มคี ณุ ค่าทางวชิ าการสำหรบั ผสู้ นใจเรื่องของไม้เศรษฐกิจ
ป่าพื้นบ้าน และอาหารชุมชนเป็นอย่างมาก ควรค่าแก่การที่กรมป่าไม้จะต้องสนับสนุนให้มี
การศึกษาวิจยั ชนดิ ใหมๆ่ และรวบรวมตีพมิ พ์เผยแพรต่ ่อไปอกี
ความจริงกรมป่าไม้ไม่ใช่หน่วยงานแรกที่รวบรวมเรื่องพืชผักจากป่า เพราะในปี พ.ศ.
2478 สายปัญญาสมาคม โดย หม่อมหลวงติ๋ว ชลมารคพิจารณ์ ได้รวบรวมพืชผักกินได้ของ
คนไทยไวถ้ งึ 261 ชนิด โดยแยกเปน็ ประเภททกี่ ินใบและยอด เชน่ ยอดผกั กระเฉด ใบชะมวง
ใบจิก ฯลฯ ประเภทกินดอก เช่น สะเดา หัวปลี ดอกขจร ฯลฯ ประเภทกินหัวและราก เช่น
กลอย เผือก มันมอื เสือ ฯลฯ และประเภทกินผล เช่น สะตอ ตะลงิ ปลงิ มะระข้ีนก ฯลฯ
ในปี พ.ศ. 2530 กองพฤกษศาสตร์และวัชพืช กรมวิชาการเกษตร ได้รวบรวม
รายชื่อพืชผักป่าอาหารพ้ืนบ้านในภมู ิภาคต่างๆ ไว้ ปรากฏว่าภาคใตม้ ีความหลากหลายของ
ชนิดพันธุ์มากที่สุด คือ 158 ชนิด รองลงมาคือภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (130 ชนิด) และ
ภาคเหนือ (120 ชนิด)
ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 สำนกั งานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ โดยคณะอนกุ รรมการ
ประสานงานวิจัยและพัฒนาทรัพยากรป่าไม้และไม้โตเร็วอเนกประสงค์ ได้จัดพิมพ์หนังสือ
“ไม้อเนกประสงค์กินได้” ขนาดความหนา 486 หน้า โดยได้รวบรวมรายชื่อพรรณไม้ทั้งท่ี
เป็นไม้ยืนต้นและไม้พุ่ม รวมทั้งปาล์ม ไผ่ และหวาย ที่ชาวบ้านในชนบทนำมาบริโภค รวม
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 227
204 ชนดิ โดยแต่ละชนิดไดก้ ล่าวถงึ ลกั ษณะทางวนวฒั นวิทยา สว่ นทน่ี ำมาใชเ้ ปน็ อาหารและ
คณุ ค่าทางโภชนาการ
ในระดบั ชาวบ้านโดยภูมปิ ัญญาท้องถิ่น ชุมชนชนบททราบดีวา่ ผกั พื้นบ้านเป็นพืช
สมุนไพร เป็นผักอนามัย ในขณะที่นักวิชาการโดยการค้นคว้าศึกษาวิจยั ก็ทราบดีเช่นกัน
ว่าผักพื้นบ้านอุดมสมบูรณ์ไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สารเส้นใย สารผัก วิตามิน และ
สารอาหารนานาชนิด
ตารางข้างล่างนี้พอจะยกตัวอย่างมาเพื่อแสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางอาหารของพืชผัก
พื้นบ้านทช่ี ุมชนชนบทนยิ มบริโภคเปน็ อาหารกนั อย่างแพร่หลาย
คณุ ค่าทางอาหารของพืชผกั พ้ืนบา้ นท่ชี ุมชนชนบทนยิ มบริโภค
สารอาหาร ผกั เชียง ขี้เหล็ก มะขามป้อม ผกั หวานบ้าน สมอไทย
พลังงาน, ดา ดอก ใบออ่ น ผลสด แช่อ่มิ
-
กโิ ลแคลอรี 80 138 58 222 - 53
โปรตีน,
5.4 - - 0.7 0.5 6.8 1.2
กรัม
คาร์โบไฮเดรต, 8.6 - - 14.3 59.8 10.2 8.2
กรัม 1.5 - - 0.5 0.6 0.9 1.7
ไขมนั ,
- 4.3 11.9 2.4 1.0 --
กรัม
เส้นใย, 78 13 156 29 39 225 18
กรัม 98 4 190 21 18 70 18
แคลเซยี ม,
2.3 1.6 - 0.5 1.2 3.4 -
มิลลิกรมั
ฟอสฟอรัส, 984 - 1,197 100 - - 500
มิลลิกรมั 0.12 0.11 0.04 0.03 0.02 0.1 0
เหล็ก,
0.35 - 0.69 0.04 0.09 0.7 0.01
มลิ ลิกรัม
วิตามินเอ, 153 484 11 276 3 136 116
ไมโครกรัม
วิตามินบี 1,
มลิ ลกิ รมั
วิตามินบี 2,
มลิ ลิกรัม
วิตามินซี,
มิลลกิ รัม
228 รวมเรื่องสวนป่า
ด้วยเหตุนี้เอง หลายองค์กร/หนว่ ยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมูลนิธิโครงการหลวง โดย
โครงการปา่ ชาวบา้ น ในพระบรมราชปู ถมั ภข์ องสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม
ราชกุมารี และสถาบันวิจัยและพัฒนาพื้นที่สูง (องค์การมหาชน) จึงได้หันมาสนใจกับ
การศึกษา วิจัย และปลูกสวนป่าพื้นบ้านเพื่อเป็นแหล่งอาหารสำหรับชุมชนชนบทกันอย่าง
กวา้ งขวางกวา่ ในอดีต
ป่าชาวบ้านตามแนวนโยบายของโครงการป่าชาวบ้านฯ นัน้ เปน็ การส่งเสรมิ ให้ชุมชน
บนพื้นที่สูงปลูกป่าและใช้ประโยชน์จากป่าปลูกในรูปแบบต่างๆ ทั้งในรูปของสวนป่าผสม
และสวนป่าตามระบบวนเกษตร การปลูกพชื ผกั พนื้ บ้านแทรกเขา้ ไปในแปลงป่าชาวบ้านของ
เกษตรกรโดยเกษตรกร จึงเปน็ หนทางทีจ่ ะทำใหเ้ กษตรกรเจ้าของป่าชาวบา้ นได้รับประโยชน์
ทง้ั พชื อาหาร พืชสมนุ ไพร และไมใ้ ชส้ อยในรูปแบบตา่ งๆ
เหนือสิ่งอื่นใดคือ การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติบนที่สูงตามแนวพระราชดำรัส
ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเน้นให้ “ปลูกป่าสามอย่าง เพื่อประโยชน์
สีอ่ ย่าง”
42 พะยูง ชิงชนั
ไมค้ ่แู ฝดราคาแพง
ระยะนี้มีข่าวการจับกุมผู้ลักลอบขนไม้ (เถื่อน) พะยูง ชิงชัน จากไทย - ลาวไปยัง
ประเทศจีนกนั บ่อยมาก อันแสดงให้เห็นถึงระดับความต้องการเนื้อไม้และราคาที่ล่อใจให้ทำ
ผิดกฎหมายบ้านเมอื งกนั อยเู่ ป็นประจำ
แม้ “สถติ กิ ารปา่ ไม้ของประเทศไทย” ของกรมป่าไม้จะไมร่ ะบปุ ริมาณและมูลคา่ การ
นำเข้าไมพ้ ะยงู ก็ตาม แตห่ นงั สือดังกล่าวได้ระบวุ ่าประเทศไทยได้นำเขา้ ไม้ชิงชันทั้งในรูปของ
ไม้ทอ่ นและไม้แปรรูปตอ่ เนือ่ งติดตอ่ กันมาหลายปีแลว้
แม้มูลค่าการนำเขา้ ไม้ชิงชันจะไม่สูง แต่ราคาไม้ชิงชันแปรรูปต่อลูกบาศก์ ในการ
นำเข้ามาสู่ประเทศไทยนั้น สูงมากทีเดียว อาจกล่าวว่าเป็นไม้ที่มีราคาแพงมากที่สุดชนิด
หนงึ่ ก็ได้ นนั่ คอื ราคานำเข้าไมช้ งิ ชนั แปรรปู ในปี พ.ศ. 2545 สูงถงึ ลกู บาศกเ์ มตรละ 49,518
บาท และปี พ.ศ. 2546 ลูกบาศก์เมตรละ 46,905 บาท
ไม้พะยูงก็คงมีราคาไม่ต่างไปจากไม้ชิงชันมากนัก เพราะทั้งสองชนิดต่างก็เป็นไม้
คู่แฝดที่มีราคาแพง น่าลงทุนปลูกไม่น้อย แม้จะเป็นไม้ที่มีอายุรอบหมุนเวียนในการตัดฟัน
ยาวพอๆ กบั หรอื มากกว่าไมส้ กั ไม้แดง และไม้ประดู่กต็ าม
หลายคนคงคิดว่าพะยูงและชิงชันเป็นไม้ชนิดเดียวกัน เพราะมักจะได้ยินหรือพูดว่า
“ไม้พะยงู ชิงชัน” ยิ่งไปกวา่ นัน้ บางคนยังเรียกว่าไม้ “พะยงุ ” ท้งั ๆ ทช่ี ื่อทถี่ ูกตอ้ งคอื “พะยูง”
ไมใ่ ช่ “พะยงุ ”
พะยูงเปน็ หน่ึงในเกา้ ชนิดไมม้ งคลทใ่ี ช้ในพิธวี างศิลาฤกษ์ เพ่อื หมายถงึ การพยุงฐานะให้
ดีขึ้น ส่วนไม้มงคลที่เหลืออีกแปดชนิดได้แก่ ราชพฤกษ์ (Cassia fistula) ชัยพฤกษ์ (Cassia
javanica) ขนุน (Artocarpus heterophyllus) ทองหลางลาย (Erythrina variegata) ไผ่สีสุก
(Bambusa blumeana) ทรงบาดาล (Cassia surattensis) สัก (Tectona grandis) และ
กันเกรา (Fagraea fragrans)
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (73) : 33 – 35 (พ.ศ. 2550)
230 รวมเรอ่ื งสวนปา่
พะยงู เป็นไม้ประจำจังหวัดหนองบวั ลำภู สว่ นชิงชันเปน็ ไม้ประจำจังหวดั หนองคาย
ทั้งพะยูงและชิงชนั ต่างก็เป็นไม้ในวงศ์ไมป้ ระดู่ (Leguminosae) อนุวงศ์ Papilionoideae
ซึ่งเปน็ พชื ตระกูลถวั่
โดยไม้พะยงู มีชือ่ วทิ ยาศาสตรว์ ่า Dalbergia cochinchinensis มชี อื่ สามัญท่ีใช้เรียก
ขานกันในแต่ละท้องถนิ่ หลายช่ือ เช่น ไม้กระยง กระยูง (เขมร-สุรินทร)์ ขะยงุ (อุบลราชธาน)ี
ประดู่ลาย (ชลบุรี) พะยูงไหม (สระบุรี) ประดู่เสน (ตราด) ประดู่ตม (จันทบรุ ี) และมีชื่อทาง
การคา้ ในภาษาอังกฤษวา่ Siamese rosewood หรอื Thailand rosewood
ส่วนชิงชันนั้นมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Dalbergia oliveri มีชื่อพื้นเมืองหลายชื่อเช่นกนั
อาทิ ประดู่ชิงชัน ดู่สะแตน เก็ดแดง อีเม็ง กะซิบ พยุงแกลบ และหมากพลูตั๊กแตน เป็นต้น
และมีชอื่ ทางการค้าในภาษาอังกฤษวา่ Burma rosewood
ไมใ้ นสกุลไมช้ ิงชัน (Dalbergia) มีอยดู่ ว้ ยกันทั้งสิน้ ประมาณ 80 ชนดิ ในประเทศไทย
มีประมาณ 30 ชนิด แต่ที่จัดเป็นไม้หวงห้ามมีเพียง 3 ชนิดเท่านั้น ได้แก่ ไม้พะยูง ไม้ชิงชนั
และไมก้ ระพ้เี ขาควาย (Dalbergia cultrata)
ทั้งพะยูงและชิงชันต่างก็เป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ในประเทศไทย ลาว พม่า กัมพูชา
และเวียดนาม ในช่วงเส้นรุ้งระหว่าง 10 -
22 องศาเหนือ ซึ่งมีปริมาณนำ้ ฝนเฉลี่ยอยู่
ระหว่าง 1,200 - 1,650 มิลลิเมตรต่อปี
อุณหภูมิเฉลี่ยรายปี 20 - 32 องศา
เซลเซียส และอุณหภูมิต่ำสุด 10 องศา
เซลเซียส แต่เนื่องจากเป็นไม้ที่มีเนื้อไม้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือแก่น เนื้อละเอียด
สวยงาม แข็งแรง ทนทาน และชักเงาได้ดี
เป็นที่รู้จักแพร่หลายกันทั่วโลก จึงมีการ
นำไปปลูกในหลายๆ ประเทศ
ทั้งพะยูงและชิงชันมีลักษณะทั่วๆ
ลักษณะเปลือกของลำต้นไม้พะยงู ไปใกล้เคียงกันมาก เป็นไม้ขนาดกลางถึง
ใหญ่ เมื่อโตเต็มท่ีอาจสูงถงึ 25 - 30 เมตร
เส้นผ่านศูนย์กลางเพียงอก 60 - 120
บญุ วงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 231
เซนติเมตร และมีอายุยืนยาวมาก ปลายใบไม้พะยูงแหลม ส่วนปลายใบไม้ชิงชันนั้นทู่หรือ
หยกั เว้าเล็กนอ้ ย ด้านทอ้ งใบมสี ีจางกวา่ ด้านหลงั ใบ ดอกไมพ้ ะยูงสีขาว สว่ นดอกไม้ชิงชันมีสี
ขาวอมม่วง ในธรรมชาติแล้วทั้งสองชนิดจะพบกระจายอยู่ในป่าเบญจพรรณและป่าดิบแล้ง
แทบทุกภาคของประเทศ ยกเว้นภาคใต้ ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร ดิน
ระบายนำ้ ได้ดี อาจขึ้นรว่ มกับไม้สัก ไม้ประดู่ หรือไม้ไผ่กไ็ ด้ ไม้พะยูงต้องการดินท่ีมีความชุ่ม
ชื้นสูงกว่าไม้ชิงชัน ดังนั้นจึงพบว่ามีไม้ชิงชันขึ้นอยู่บนดินลูกรังในป่าเต็งรังบางแห่ง เพราะ
ไมช้ งิ ชนั ทนแลง้ ไดด้ ีกว่าไม้พะยงู แตท่ ัง้ คู่ตา่ งก็มรี ะบบรากทีล่ กึ และสามารถตรึงไนโตรเจน
จากบรรยากาศไดเ้ พราะเปน็ พชื ตระกูลถ่ัว
เนื่องจากพะยูงและชิงชันเป็นไม้ที่มีความหนาแน่นสูง (ประมาณ 1,000 กิโลกรัมต่อ
ลูกบาศก์เมตร) สีสันลวดลายสวยงามจึงนิยมใช้ทำเฟอร์นิเจอร์ชั้นดี ใช้ตกแต่งภายใน ใช้ทำ
ไม้พื้น ตัวถังรถ แกะสลัก รวมทั้งมีอายุการใช้งานยาวนานมาก จึงทำให้มีราคาแพง เพราะ
เป็นไม้โตช้า มีอายุการตัดฟันยาว จึงยังไม่มีการปลูกกันอย่างแพร่หลายเท่าที่ควร ไม่ว่าจะ
โดยภาครัฐหรือภาคเอกชน ทั้งๆ ที่เป็นไม้น่าปลูกชนิดหนึ่งเหมือนกัน เพราะราคาดี
ตลาดโลกมีความต้องการสงู กอ่ นการปิดป่าในปี พ.ศ. 2532 ประเทศไทยเคยทำไมพ้ ะยูงออก
จากป่าธรรมชาติบ้าง และที่ทำออกมากที่สุดคือในปี พ.ศ. 2530 ก็มีปริมาตรเพียง 662
ลูกบาศก์เมตรเท่าน้ัน
จงึ เป็นการสมควรอยา่ งยง่ิ ที่หนว่ ยงานภาครฐั ทั้งกรมป่าไมแ้ ละองคก์ ารอุตสาหกรรม
ป่าไม้จะต้องทำการศึกษาอย่างจริงจัง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการปรับปรุงบำรุงพันธ์ุ
เพื่อให้ได้ส่วนของช่วงลำต้น (clearbole)
ตรงเปลาสูงยาวยิ่งขึ้นกว่าไม้พะยูง ชิงชันที่
พบเห็นในป่าธรรมชาติซึ่งมักจะมีลำต้นคด
งอ กิ่งใหญ่ ช่วงลำต้นสั้น รวมทั้งเพื่อให้
ต้นไม้มีอัตราการเจริญเติบโตเร็วขึ้นและมี
อายกุ ารตดั ฟันส้ันลง
องคก์ ารอุตสาหกรรมป่าไมม้ ีสวนป่าไม้
พะยูง ชิงชัน อยู่ท่ีสวนป่าท่ากุ่ม จังหวัด
ตราด และสวนป่าคลองตะเกรา จังหวัด
232 รวมเรือ่ งสวนป่า
ฉะเชิงเทรา เนื้อที่ประมาณ 400 ไร่ อายุเกือบ 30 ปี มีความเพิ่มพนู ทางเส้นรอบวงที่ระดบั
อกประมาณ 2.8 เซนติเมตรต่อปี แต่ความยาวของช่วงลำต้นหรือความสูงที่จะใช้เป็นสินค้า
ไดน้ น้ั มีเพยี ง 4 - 5 เมตรเท่านัน้
ทั้งพะยูงและชิงชันต่างก็สามารถขยายพันธุ์ได้ทั้งวิธีอาศัยเพศ (reproductive
propagation) คือจากเมลด็ และวิธีไมอ่ าศัยเพศ (vegetative propagation) เชน่ การตอน
ติดตา ต่อกิ่ง รวมทั้งการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ แต่วิธีที่ใช้กันมากในขณะนี้ก็คือการเพาะเมล็ด
เพ่อื ผลิตต้นกล้าสำหรับใช้ปลกู
เมล็ดอยู่ในฝกั ๆ ละ 2 - 4 เมลด็ เมล็ดทเ่ี ก็บรกั ษาไว้ถูกวิธสี ามารถมชี ีวติ อยูไ่ ด้ถึง 3 ปี
มีอัตราการงอกประมาณร้อยละ 75 เพื่อเร่งอัตราการงอกของเมล็ด ควรนำเมล็ดไปแช่ใน
น้ำเย็น 24 ชั่วโมง หรือน้ำอุ่น 6 ชั่วโมง หรือกรดกำมะถัน 1 นาที แล้วนำไปเพาะในกระบะ
ทราย เมล็ดจะงอกภายใน 7 - 10 วัน หลังจากน้ันก็ย้ายต้นกล้าลงถุงพลาสติก แล้วเลี้ยงตน้
กล้าไว้จนมีอายุประมาณ 6 เดือนก็นำออกไปปลูกได้ นั่นคือ ต้นกล้าที่ใช้ปลูกควรมคี วามสงู
ราวๆ 30 - 40 เซนติเมตร ในช่วงการเลี้ยงต้นกล้าไว้ในเรือนเพาะชำนัน้ ต้องระวังอย่ารดนำ้
จนช้นื แฉะเกินไป เพราะจะทำให้เกดิ โรคเน่าคอดิน (damping-off) ขึน้ มาได้
ไม้ทั้งสองชนิดนี้สามารถปลูกได้ท้ัง
โดยการใช้ต้นกล้าที่เลี้ยงไว้ในถุงพลาสติก
(containerized seedling) กล้าเปลือยราก
(bared root seedling) และเหง้า (stump)
ซึ่งตัดแต่งมาจากกล้าเปลือยราก จากการ
ทดลองของกรมป่าไม้พบว่ากล้าไม้พะยูงใน
ถุงพลาสติกมีอตั ราการรอดตายภายหลงั การ
ปลูกหนึ่งปี สูงกว่าเหง้า และกล้าเปลือยราก
โดยมีอัตราการรอดตายร้อยละ 84.50,
80.50 และ 66.25 ตามลำดับ นั่นแสดงว่า
ไม้พะยูงสามารถปลูกโดยใช้เหง้าอายุ 6 -
12 เดอื นไดเ้ ชน่ เดียวกบั ไมส้ กั
เนื่องจากโดยธรรมชาติแลว้ ไม้พะยูง ชิงชัน ขึ้นอยู่ในป่าเบญจพรรณ ป่าดิบแล้ง และ
ป่าเต็งรัง ที่ดินมีการระบายน้ำดี น้ำไม่ท่วมขัง ความสูงจากระดับน้ำทะเลไม่เกิน 500 เมตร
บญุ วงศ์ ไทยอุตสา่ ห์ 233
การเลือกพื้นที่ปลูกก็ควรจะต้องสอดคล้องกับสภาพแวดล้อมในถิ่นกำเนิดเดิมพอสมควร
ระยะปลกู ท่เี หมาะสำหรับการปลูกเชงิ เดี่ยว (monoculture) คอื 2 x 2 เมตร หรอื 400 ต้น
ต่อไร่ เพื่อบีบให้ลำต้นตรงเปลาและมกี ารลิดกิง่ ตามธรรมชาติ แต่ถ้าปลูกในระบบวนเกษตร
(agroforestry system) หรือปลูกผสมกับไม้ชนิดอื่น (multi-species plantation) ก็ควร
จะขยายระยะปลูกให้ห่างออกไปเป็น 4 x 4 เมตร หรือ 2 x 8 เมตร หรือ 100 ต้นต่อไร่ พืช
เกษตรที่ปลูกควบก็ควรจะพจิ ารณาจากสภาพแวดล้อมของพนื้ ท่แี ละความตอ้ งการของตลาด
เป็นสำคัญ ส่วนพรรณไม้ป่าที่จะเลือกเข้ามาปลูกแทรกก็ต้องยึดเอาชนิดพรรณที่ขึ้นอยู่
รว่ มกนั ในธรรมชาติเปน็ หลัก เช่น ไม้สกั แดง ประดู่ มะคา่ โมง และไม้ไผ่ เป็นต้น
การเตรียมพื้นที่ปลูกให้ประณีตด้วยการไถพรวน และขุดหลุมให้ใหญ่ขนาด 30 x 30
x 30 เซนตเิ มตร รวมท้ังรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอก ปุย๋ หมกั หรอื ปุ๋ยเคมี ก็จะช่วยให้ต้นกล้าต้ัง
ตวั ไดเ้ รว็ ขนึ้
มาตรการการดแู ลรักษาสวนปา่ ไม้พะยงู ชิงชันทส่ี ำคัญคือการกำจัดวชั พืช เพราะไม้คู่น้ี
โตช้า จึงต้องให้ความสำคัญกับปัญหาของวัชพืชมากเป็นพิเศษ โดยควรถางวัชพืชอย่างน้อย
ปีละ 3 - 4 ครั้ง วัชพืชส่วนใหญ่เป็นพืชตระกูลหญ้า เป็นพืชอาหารสัตว์ เมื่อต้นไม้ที่ปลูกยัง
เล็ก มีอายุ 1 - 5 ปี ควรระวังไม่ให้สัตว์เล้ียงเข้ามาแทะเล็มหญ้าในสวนป่า เพราะแพะ วัว
ควาย ชอบกินยอดอ่อนของไม้ชิงชัน นอกจากนี้การกำจัดวัชพืชก็ยังเป็นการช่วยลดปริมาณ
เชื้อเพลิงไปด้วยในตัว แม้พะยูง ชิงชันจะเป็นไม้ที่ทนต่อไฟป่ามากพอสมควร แต่ถ้าไฟไหม้
รนุ แรงและเปน็ ไฟเรอื นยอด (crown fire) ต้นไมท้ ป่ี ลูกไว้กอ็ าจตายได้ หรอื อย่างน้อยก็ทำให้
ชะงักการเจริญเติบโตและกระทบตอ่ รปู ทรงของลำตน้ ได้
เมื่อต้นพะยูง ชิงชัน ในสวนป่าโตขึ้นก็จะมีการแก่งแย่งแสงสว่างในทางเรือนยอด
รวมทั้งน้ำและธาตุอาหารพืชในทางเรือนราก การตัดสางขยายระยะจึงเป็นสิ่งจำเป็น
เช่นเดียวกับไม้สัก โดยตลอดช่วงอายุขัยก่อนการตัดฟันครั้งสุดท้ายน่าจะต้องมีการตัดสาง
ขยายระยะ 3 - 4 ครั้ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับระยะปลูกในตอนแรกและอัตราการเจริญเติบโตของ
ต้นไม้เปน็ ส่ิงสำคัญ ไม้ขนาดเล็กที่ได้จากการตดั สางขยายระยะสามารถนำไปใช้ประโยชนไ์ ด้
ตามความเหมาะสม เช่น ใช้แกะสลัก ทำของที่ระลึก ตกแต่งภายในอาคาร ทำของเด็กเล่น
ทำดา้ มเคร่อื งมือ และไม้ใช้สอยทัว่ ๆ ไป รวมท้งั ใชท้ ำเฟอรน์ ิเจอรข์ นาดเล็ก
การตัดสางขยายระยะช่วยให้ต้นไม้ที่เหลืออยู่เจริญเติบโตเร็วขึ้น แต่ภายหลังการ
ตัดสางขยายระยะได้ไม่นาน ต้นไม้อาจแตกกิ่งก้านตามลำต้นมากขึ้นก็ได้ ประกอบกับพะยูง
234 รวมเรอ่ื งสวนป่า
ชงิ ชัน เป็นไมท้ ีม่ ีลำตน้ คดงอ ก่งิ กา้ นใหญ่ ชว่ งลำต้นส้นั การลดิ กง่ิ จงึ เป็นมาตรการการจัดการ
สวนป่าไม้ชนิดนี้ทตี่ อ้ งกระทำอกี อยา่ งหนึง่ เช่นเดยี วกับการตัดสางขยายระยะ โดยต้องค่อยๆ
ลิดกิ่งให้มีลำต้นตรงเปลา ปราศจากกิ่งก้านสูงขึ้นไปจากพื้นดินราวๆ 8 - 10 เมตร กิ่งก้านที่
ได้จากการลดิ กิ่งกส็ ามารถนำไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้เชน่ กัน
พะยูง ชิงชัน เป็นไมท้ ่ีแตกหน่อภายหลงั การตัดฟนั ได้ดเี ช่นเดยี วกับไม้สกั ไมแ้ ดง และ
ไม้ยูคาลิปตัส ดังนั้นระบบการตัดให้แตกหน่อ (coppice system) จึงสามารถนำมาใช้กับ
สวนป่าไม้พะยงู ชงิ ชัน ได้เชน่ เดยี วกบั สวนยคู าลปิ ตสั และสวนสักซ่งึ คอ่ นข้างจะคุ้นเคยกันอยู่
พอสมควร
แม้ไม้พะยูงและไมช้ ิงชันจะโตช้า แต่เนื้อไม้มีราคาแพงมาก ประกอบกบั สามารถปลกู
ได้ดีแม้ในดินที่ตื้น น้ำไม่ท่วมขัง และมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำอย่างดินในป่าเต็งรัง ดังน้ัน
เกษตรกรผมู้ ีที่ดนิ เขา้ ขา่ ยดังกล่าวกน็ ่าจะปลูกไม้พะยูง ไม้ชิงชนั แทรกไวใ้ นสวนป่า และตาม
หวั ไรป่ ลายนาท้งิ ๆ ไว้บา้ ง เพราะนอกจากจะเปน็ การสร้างมูลคา่ เพ่มิ ใหแ้ กท่ ีด่ นิ แล้ว ยงั เป็น
การสรา้ งมรดกไวใ้ ห้ลูกหลานอีกทางหนงึ่ ด้วย
43 ปา่ เศรษฐกิจ
กบั การพัฒนาประเทศไทย
องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ (อ.อ.ป.) ได้จัดให้มีการเสวนาเรื่อง “ป่าเศรษฐกิจกับ
การพัฒนาประเทศไทย” ขึ้นที่ห้องประชุมสง่าสรรพศรี คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2550 อันเป็นหนึ่งในหลายๆ กิจกรรมทางวิชาการที่
อ.อ.ป. จัดข้ึนเนือ่ งในวาระครบรอบ 60 ปี ของการสถาปนาองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ และ
72 ปี ของคณะวนศาสตร์ หรือ 5 รอบ ของ อ.อ.ป. และ 6 รอบของการศกึ ษาวิชาการปา่ ไม้
ในประเทศไทย
ผมได้รับเชิญให้เป็นผ้ดู ำเนินรายการการเสวนาดังกลา่ ว
อ.อ.ป. ได้รับการจัดตั้งเป็นหน่วยงานหนึ่งของกรมป่าไม้ เมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ.
2490 โดยปรับเปลี่ยนชื่อและสถานภาพมาจาก “กองทำไม้” ซึ่งจัดตั้งเป็นหน่วยงานกลาง
สังกัดกรมป่าไม้ ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2476 เก้าปีตอ่ มา คือ เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2499 ก็
ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และโอนไปสังกัด
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เมอ่ื วันที่ 26 สงิ หาคม พ.ศ. 2546
ปจั จุบันมนี ายมนูญศกั ดิ์ ตันตวิ วิ ัฒน์ เป็นผอู้ ำนวยการ
อ.อ.ป. ได้กำหนด วิสัยทัศน์ ว่า เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาป่าเศรษฐกิจให้มี
ศักยภาพ เปน็ ฐานในการพัฒนาประเทศอย่างยง่ั ยนื ตามแนวทางเศรษฐกจิ พอเพยี ง
สว่ นพนั ธกจิ ของ อ.อ.ป. น้ันมีทัง้ ทางดา้ นธรุ กิจและดา้ นบริการสงั คม
โดยพันธกิจดา้ นธุรกิจ อ.อ.ป. เนน้ (1) พฒั นาทดี่ นิ สวนป่า โดยอนุรกั ษ์และพัฒนาให้
เปน็ สวนปา่ เศรษฐกจิ อยา่ งยงั่ ยนื (2) สง่ เสรมิ การปลูกไม้เศรษฐกจิ ภาคเอกชน ชุมชนท้องถ่ิน
อยา่ งครบวงจร (3) สง่ เสริมและสนับสนุนธรุ กิจอุตสาหกรรมไม้เพื่อสรา้ งมูลค่าเพิ่มและธุรกิจ
บริการที่มีป่าไม้เป็นพื้นฐานให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐาน (4) พัฒนาระบบและ
พมิ พ์ครงั้ แรกในนิตยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (74) : 33 – 35 (พ.ศ. 2550)
236 รวมเรือ่ งสวนป่า
สร้างกลไกการตลาดไมเ้ ศรษฐกิจอย่าง
เป็นธรรม (5) สนับสนุนการวิจัยและ
พัฒนาเกี่ยวกับการปลูกและการใช้
ประโยชน์ไม้เศรษฐกิจเพื่อให้การปลูก
ไม้เศรษฐกิจได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
และยั่งยืน (6) พัฒนาสินทรัพย์เพ่ือ
สนับสนุนกิจการ อ.อ.ป. และ (7)
อนุรักษ์ บริบาล รักษาช้างเลี้ยงของ
ไทยด้วยการกอ่ ตั้ง “สถาบนั คชบาลแห่งชาติ”
ส่วนพันธกิจทางด้านการบริการสังคมนั้น อ.อ.ป. มุ่งไปที่ (1) การพัฒนาชุมชน
ท้องถิ่นโดยใช้สวนป่าเป็นฐานในการดำเนินการช่วยเหลือ สร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่
เกษตรกรรอบเขตสวนป่าตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง และ (2) การอนุรักษ์และฟื้นฟู
ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสงิ่ แวดล้อมโดยประชาชนมีส่วนร่วม
ทั้งนี้ โดยมีเป้าประสงค์หลัก 3 ประการ คือ (1) ดำเนินธุรกิจโดยไม่มุ่งผลกำไรสูงสดุ
และชว่ ยพฒั นาคุณภาพชวี ติ ชุมชนทอ้ งถ่ิน (2) พัฒนาการจัดการพ้นื ท่ีสวนป่าเพ่ือเป็นฐานใน
การพัฒนาธุรกิจ อ.อ.ป. บนพื้นฐานทรัพยากรป่าไม้ และ (3) ส่งเสริมการปลูกไม้เศรษฐกิจ
ภาคเอกชนและชุมชนทอ้ งถ่ินเพือ่ เป็นฐานในการพฒั นาเศรษฐกจิ พอเพียงของชมุ ชนทอ้ งถ่นิ
จะเห็นได้ว่า อ.อ.ป. เป็นรัฐวิสาหกิจที่มุ่งใช้ป่าเศรษฐกิจเป็นฐานในการพัฒนา
ประเทศ
ภายหลังการยกเลิกสัมปทานการทำไม้เมื่อวันที่ 17 มกราคม 2532 ป่าเศรษฐกิจ
ที่วา่ น้กี ็คือสวนป่าเศรษฐกิจ นั่นเอง
ปัจจุบัน อ.อ.ป. มีเนื้อที่สวนป่าอยู่ในความรบั ผิดชอบประมาณ 1.3 ล้านไร่ มีต้นไม้กว่า
หนึ่งร้อยล้านต้น ชนิดไม้สำคัญสามอันดับแรกในสวนป่าของ อ.อ.ป. คือ ไม้สัก ไม้ยูคาลิปตัส
และไมย้ างพารา
จากสวนป่า 6 สวนแรกที่ ศาสตราจารย์ ดร. อำนวย คอวนิช และศาสตราจารย์
ดร. สอาด บญุ เกดิ ไดใ้ ห้กำเนดิ ขน้ึ เมื่อส่สี บิ ปที แ่ี ลว้ ตามพระราชกระแสรับสง่ั แก่ นายวิบูลย์
ธรรมบุตร อดีตผอู้ ำนวยการ อ.อ.ป. ที่บรเิ วณน้ำตกแมส่ า จังหวัดเชยี งใหม่ เมอื่ ปี พ.ศ. 2507
ท่วี ่า :
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 237
“อ.อ.ป. ควรจะไดช้ ่วยกรมปา่ ไมป้ ลกู สรา้ งสวนปา่ ข้ึนอกี ทางหน่งึ ”
ปัจจุบนั สวนป่าเหลา่ น้ีให้ประโยชนท์ ั้งทางอ้อมแกป่ ระเทศชาติและประโยชน์ทางตรง
แก่ อ.อ.ป.
ประโยชน์ทางออ้ มท่พี ดู ถงึ กันมากในทุกวันนี้ก็คอื ตน้ ไมช้ ว่ ยคลายปัญหาโลกร้อนด้วย
การดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ส่วนประโยชน์
ทางตรงที่เด่นชัดคือเนื้อไม้และน้ำยางพารา แต่ที่
มองข้ามไม่ได้ก็คือธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงนิเวศใน
สวนปา่ ซง่ึ ปัจจุบนั น้ี (พ.ศ. 2550) อ.อ.ป. มีบ้านพกั
อ ิ ง ธ ร ร ม ช า ต ิ ก ล า ง ส ว น ป ่ า พ ร ้ อ ม ร อ ง ร ั บ ก ลุ่ ม
นกั ทอ่ งเท่ยี วหลายแหง่ อาทิ
ช้างไทยรสี อร์ท จงั หวดั ลำปาง
สวนป่าแมแ่ จ่ม จงั หวดั เชียงใหม่
ปา่ สนวัดจันทร์ จงั หวัดเชียงใหม่
สวนป่าเขากระยาง จงั หวัดพิษณุโลก
สวนป่าทองผาภมู ิ จังหวดั กาญจนบุรี
ผมอาจจะพูดถึง อ.อ.ป. ยาวเกินไปหน่อย แต่อาจจะยังน้อยไปด้วยซ้ำหากจะขอขยาย
ความต่อไปว่า ผมเป็น “นักเรียนทุน อ.อ.ป.” กล่าวคือ ผมได้รับทุน อ.อ.ป. ให้ไปศึกษาต่อขั้น
ปริญญาเอกท่ีมหาวิทยาลยั แคลิฟอร์เนีย (เบอร์คเลย่ )์ สหรัฐอเมริกา ในชว่ งปี พ.ศ. 2519 - 2524
หากจะถือโอกาสน้ขี อบคุณ อ.อ.ป. ใน “วาระ 60 ปี” ขององคก์ รแหง่ น้ีอีกครั้งหนึ่งก็
คงไม่ถอื กนั นะครบั
กลับมาเรื่องป่าเศรษฐกิจกับการพัฒนาประเทศไทย ซึ่งในการเสวนาครั้งนี้มีผู้ร่วม
เสวนา 5 คน อันได้แก่ นางประเสริฐสุข จามรมาน ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการ
สิ่งแวดล้อมแห่งชาติ สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
นางสาวลดาวัลย์ คำภา ผู้อำนวยการสำนักวางแผนทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม
วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
นายสุทิน พรชัยสุรีย์ กรรมการผู้จัดการบริษัทเขามหาชัยพาราวู้ด จำกัด ในฐานะอุปนายก
238 รวมเร่ืองสวนปา่
สมาคมธุรกิจไม้ยางพาราไทย และประธานกลุม่ โรงเลือ่ ยและโรงอบไม้ นายธวัช นกขุนทอง
ผู้จัดการส่วนส่งเสริมและจัดหา บริษัทสยามฟอเรสทรี จำกัด และ ดร. นิคม แหลมสัก
ผ้อู ำนวยการศูนยว์ จิ ัยปา่ ไม้ คณะวนศาสตร์
ทั้งนี้ คุณประเสริฐสุข จามรมาน เน้นเกี่ยวกับกระแสสิ่งแวดล้อมโลก ภาวะโลกร้อน
และผลกระทบต่อประเทศไทย คุณลดาวัลย์ คำภา พูดถึงภาพรวมของโอกาสในการใช้
ป่าเศรษฐกจิ เปน็ เครือ่ งมือในการพัฒนาประเทศ เพื่อส่งลกู ตอ่ ให้คุณสทุ ิน พรชัยสุรยี ์ เน้นใน
ส่วนที่เกี่ยวกับไม้ยางพารา คุณธวัช นกขุนทอง เน้นไม้ยูคาลิปตัส และ ดร. นิคม แหลมสัก
เน้นในสว่ นท่เี กี่ยวกับไม้สักมากเป็นพิเศษ
ที่ประชุมเสวนามีความเห็นว่า ทำเลที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยอยู่ในจุดท่ี
เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของต้นไม้ แสงแดด ปริมาณและการกระจายของน้ำฝนรวมท้งั
ทักษะในการผลิตของคนไทย และระบบโลจิสติกส์ เป็นข้อได้เปรียบเชิงแข่งขันอย่างยั่งยืน
ของไทย แต่การพัฒนาประเทศโดยอาศัยภาคเศรษฐกิจหลักเป็นตัวขับเคลื่อนได้ก่อให้เกิด
ปัญหาส่ิงแวดล้อมนานาประการ จนทำให้ความสามารถในการแข่งขนั ลดลงเร่อื ยๆ
ในขณะที่กระแสโลกกำลังต้องการไม้จากป่าปลูกและประเทศไทยมีข้อได้เปรียบ
ทางด้านนี้ ประกอบกับประเทศไทยจำเป็นต้องเพิ่มพื้นที่ป่าไม้เพื่อเสริมสร้างความมั่นคง
ใหก้ ับระบบนเิ วศ และให้เปน็ ไปตามนโยบายปา่ ไมแ้ ห่งชาติ พ.ศ. 2528 สวนป่าเศรษฐกิจจึง
เปน็ คำตอบท่เี หมาะสมทส่ี ดุ สำหรบั ประเทศไทยในวนั นี้
ประเทศไทยมีทั้งนำเข้าและส่งออก
ไม้ท่อน ไม้แปรรูป และผลิตภัณฑ์ไม้ ใน
ภาพรวมไม้ที่นำเข้ามากได้แก่ไม้สัก ไม้สน
และไม้ตระกูลไม้ยาง เช่น ไม้เต็ง ยางนา
ตะเคียน และกระบาก ในขณะทไี่ ม้ท่ีส่งออก
กว่าร้อยละ 80 เป็นไม้ยางพารา ส่วนไม้สัก
มีมูลค่าการส่งออกเพยี งรอ้ ยละ 6 เทา่ นัน้
ในปี พ.ศ. 2549 ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์ไม้มลู ค่า 118,437 ล้านบาท ส่วนการ
นำเข้าไม้ท่อน ไม้แปรรูป ผลิตภัณฑ์ไม้ เยื่อกระดาษ และกระดาษ ในปี พ.ศ. 2547 นั้นมี
มูลค่ารวม 68,411 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นการนำเข้าเยื่อกระดาษเส้นใยยาวซึ่งประเทศ
ไทยผลติ เองไมไ่ ดค้ ิดเป็นมลู คา่ 10,708 ล้านบาท
บุญวงศ์ ไทยอตุ ส่าห์ 239
ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 10 (พ.ศ. 2550 - 2554) ได้
กำหนดยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไว้ 5 ยุทธศาสตร์ โดยยุทธศาสตร์ที่ 4 นั้นเป็น
ยทุ ธศาสตรก์ ารพฒั นาบนฐานความหลากหลายทางชวี ภาพและการสร้างความมน่ั คงของ
ฐานทรัพยากรและสง่ิ แวดล้อม ซ่งึ เปน็ เรื่องท่เี กีย่ วกับปา่ ไมโ้ ดยตรง
โดยยุทธศาสตร์ที่ 4 ของแผนพัฒนาฯ ฉบับที่ 10 มีเป้าหมายใน (1) การรักษาความ
อดุ มสมบูรณข์ องทรพั ยากรธรรมชาติ (2) การตอบสนองความต้องการและความจำเป็นในการ
ดำรงชีวิต และ (3) การวางรากฐานด้านปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไปสู่การพัฒนาบนฐานความ
หลากหลายทางชีวภาพ ทั้งนี้ โดยได้กำหนดกรอบแนวทางการพัฒนาไว้ 3 ประการ อันได้แก่
(1) การรักษาฐานทรัพยากรและความสมดุลของระบบนิเวศ (2) การสร้างสภาพแวดล้อมที่ดี
เพ่ือยกระดับคุณภาพชีวิตและการพฒั นาทีย่ ่ังยนื และ (3) การพัฒนาคุณค่าความหลากหลาย
ทางชีวภาพและภมู ปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ
แผนพฒั นาฯ ฉบับท่ี 10 จงึ น่าจะเป็นทง้ั จดุ แข็งและโอกาสของปา่ เศรษฐกจิ ในการ
พัฒนาประเทศไทย
อ.อ.ป. และผปู้ ลูกปา่ ภาคเอกชนพรอ้ มทจ่ี ะฉกฉวยโอกาสนแ้ี ลว้ หรอื ยงั ?
หากไม่ลองกค็ งไมร่ ู้
44 คดิ จะปลกู ยูคา
ในภาคอีสาน ควรอ่านเรอื่ งนี้
เมื่อวันที่ 5 - 6 กันยายน 2550 ผมได้รับเชิญจาก ดร. มะลิวัลย์ ธนะสมบัติ หัวหนา้
โครงการ “การอบรมเชิงปฏิบัติการการขยายพันธุ์ ระบบการปลูก การจัดการ และการใช้
ประโยชน์ไม้ยูคาลิปตัสในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ให้ไปเป็นวิทยากรบรรยายเรื่อง
“การปลูกและการจัดการสวนไม้ยูคาลิปตัสในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” ที่ศูนย์พัฒนา
ท่ดี ินร้อยเอด็ อำเภอสวุ รรณภมู ิ จังหวดั รอ้ ยเอ็ด
ดร. มะลิวัลย์ ธนะสมบัติ เป็นนักวิจัย ทำหน้าที่หัวหน้าหน่วยปฏิบัติการเทคโนโลยี
ชวี ภาพเพือ่ อตุ สาหกรรม สถาบันคน้ คว้าและพัฒนาการเกษตรและผลิตผลทางการเกษตร
หรอื KAPI แหง่ มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์ ไดจ้ ดั หลักสูตรการฝึกอบรมดงั กลา่ วรว่ มกบั กรม
พัฒนาท่ีดิน เพ่ือใหเ้ กษตรกรผปู้ ลกู ไม้ยูคาลปิ ตสั ในท้องท่จี ังหวัดร้อยเอด็ ชัยภูมิ มหาสารคาม
ขอนแก่น และนครราชสีมา ได้มีความรู้ความเข้าใจทางวิชาการของไม้เศรษฐกิจชนิดนี้ดี
ยง่ิ ขน้ึ
เรื่องที่ผมจะเขียนต่อไปนี้ไม่เกี่ยวกับเรื่องท่ีไปบรรยายที่สุวรรณภูมิมากนัก จะ
เชือ่ มโยงกันบา้ งกต็ รงท่มี คี ำหลักสองคำคอื “ยคู าลิปตสั ” และ “ภาคตะวันออกเฉยี งเหนือ”
ร่วมกนั เท่านั้นเอง
เพราะแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมเขียนเรื่องนี้มาจากวิทยานิพนธ์เรื่อง “ศักยภาพทาง
กายภาพของพื้นท่ีสำหรับการปลูกไม้ยูคาลปิ ตสั ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง” ของ
“นายวรวิทย์ อินศวร” นิสิตปริญญาโทสาขาวนวัฒนวิทยา คณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัย
เกษตรศาสตร์ ซึ่งมี ดร. จงรัก วัชรินทร์รัตน์ ดร. มณฑล จำเริญพฤกษ์ และ ดร. วันชัย
อรณุ ประภารัตน์ เปน็ คณะกรรมการทปี่ รกึ ษา
พิมพ์คร้ังแรกในนติ ยสารไมล่ องไมร่ ู้ 7 (75) : 36 – 39 (พ.ศ. 2550)
บุญวงศ์ ไทยอตุ สา่ ห์ 241
คุณวรวิทย์ อินศวร ได้ใช้ฐานข้อมูลในการจำแนกกลุ่มชุดดินจากกรมพัฒนาที่ดิน
ฐานข้อมูลพ้ืนที่ป่าไม้จากกรมป่าไม้ ข้อมูลภูมิอากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา และแผนที่
ภูมิประเทศมาตราส่วน 1 : 250,000 เป็นฐานในการวางแผนก่อนการสำรวจภาคสนามเพอื่
เก็บตัวอย่างดิน 3 ระดับความลึก ในช่วง 0 - 60 เซนติเมตร และการเจริญเติบโตของต้นไม้
ยูคาลิปตสั อายุ 1 - 8 ปี ในพื้นทเ่ี ป้าหมาย
พื้นที่เป้าหมายที่ว่านี้คือ พื้นที่ซึ่งอยู่นอกเขตป่าอนรุ ักษ์ (อุทยานแห่งชาติ เขตรักษา
พันธุ์สตั ว์ปา่ และพ้นื ท่ีล่มุ น้ำชน้ั 1) ความลาดชันไม่เกิน 35 เปอรเ์ ซน็ ต์ และเป็นกลมุ่ ชดุ ดิน
ในที่ดอน (upland soil series group) ในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื ตอนล่าง
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (อีสาน) ตอนล่าง ประกอบด้วยจังหวัดต่าง ๆ 8 จังหวัด
ไดแ้ ก่ ชัยภมู ิ นครราชสีมา บรุ รี ัมย์ สุรนิ ทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร อำนาจเจรญิ และอุบลราชธานี
มเี นอ้ื ที่รวม 52.726 ล้านไร่ ประชากร (พ.ศ. 2549) จำนวน 10,726,054 ลา้ นคน
ปัญหาหลัก 4 - 5 ประการของภาคอีสานในภาพรวมก็คือ ประชากรหนาแน่น ป่าไม้
ถูกทำลายมาก ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ความแห้งแล้งต่อเนื่องยาวนาน และผลผลิต
ทางการเกษตรตกตำ่ อันสง่ ผลต่อไปยงั ความยากจนของประชากร
ประเทศไทยมพี ืน้ ทีน่ าข้าวทว่ั ประเทศ 66.272 ลา้ นไร่ ครึ่งหนง่ึ (33.690 ล้านไร่) อยู่
ในภาคอีสาน ร้อยละ 97.61 ของพื้นที่นาในภาคอีสานเป็นนาปีคือนาที่ต้องอาศัยน้ำฝน ให้
ผลผลิตขา้ วเพียง 303 กโิ ลกรัมต่อไร่ ในขณะทผี่ ลผลิตเฉล่ยี ของข้าวนาปใี นพน้ื ท่ภี าคกลางสูง
ถึง 535 กิโลกรัมต่อไร่ ส่วนพื้นที่ข้าวนาปรังซึ่งมีระบบชลประทานนั้นก็มีเพียงร้อยละ 2.39
โดยให้ผลผลติ ข้าวเพียง 504 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่เท่าน้ัน ในขณะทีผ่ ลผลติ ขา้ วนาปรงั ท้ังประเทศสูง
ถึง 680 กิโลกรมั ตอ่ ไร่
นค่ี ือคำตอบว่าทำไมชาวนาในภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื จงึ ยากจน
หนึ่งในหลากหลายหนทางแก้ปัญหาความยากจนคือการสร้างโอกาสในการทำงาน
ด้วยการเปลี่ยนการทำนาปีที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก ๆ เป็นนาปรัง แต่การปรับเปลี่ยน
ดังกล่าวรัฐต้องใช้งบประมาณเพื่อการชลประทานสูงมาก ถามว่ารัฐพร้อมที่จะทุ่มเท
งบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อพัฒนาระบบชลประทานในภาคอีสานแลว้ หรือยัง ?
อกี แนวทางหน่งึ ซึ่งรฐั แทบจะไม่ต้องลงทนุ เกษตรกรสามารถช่วยเหลือตวั เองได้ ก็คือ
การปรบั เปลย่ี นรูปแบบการใช้ประโยชน์ท่ดี นิ จากการทำนาปมี าปลูกไมโ้ ตเร็ว หรอื จะปลกู