แผนการจัดการเรียนรู้
ตำมมำตรฐำนกำรเรียนรูแ้ ละตัวชี้วดั กลุ่มสำระกำรเรียนรูว้ ิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
วริทายวยชิ าาศาสตร์ตำมหลักสูตรแกนกลำงกำรศึกษำข้นั พื้นฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง 2560)
ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3
นางสาวเมธนิ ยี ์ สรรเสรญิ
ตำแหน่ง ครูผู้ช่วย
กลุ่มสำระกำรเรยี นรู้วิทยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี
โรงเรยี นพนมศึกษา
สำนกั งำนเขตพื้นท่ีกำรศึกษำมธั ยมศึกษำสุรำษฎรธ์ ำนี ชุมพร
สำนกั งำนคณะกรรมกำรกำรศึกษำข้นั พ้ืนฐำน กระทรวงศึกษำธิกำร
แผนการจัดการเรยี นรู้
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว 23102
ระดบั ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 จำนวน 60 ช่ัวโมง / ภาคเรยี น
จำนวน 1.5 หนว่ ยการเรยี น ภาคเรียนท่ี 2 ปีการศึกษา 2564
การกำหนดการใช้แผนการจดั การเรียนรู้
รายการตรวจสอบและกล่ันกรอง การใช้แผนจดั การเรยี นรู้
ความคิดเห็น ความคิดเหน็
........................................................................................ ...................................................................................
........................................................................................ ...................................................................................
........................................................................................ ...................................................................................
........................................................................................ ...................................................................................
....................................................................................... ...................................................................................
ลงชอ่ื …………………………........... ลงช่อื ……………………...........
(นางสาวเบญวรรณ ทองเสน) (นางสาวณัฐิญา คาโส)
หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี หัวหน้ากลุ่มงานวชิ าการ
...............................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................
..............................................................................................................................................................................
ลงช่ือ…………………..............…..
(นางผกา สามารถ)
ผู้อำนวยการโรงเรยี นพนมศกึ ษา
คำนำ
แผนจัดการเรียนรู้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนการสอนเพราะ เป็นเอกสาร
หลักสูตร ที่ใช้ในการบริหารงานของครูผู้สอนให้ตรงตามนโยบายในการปฏิรูปการศึกษา กำหนดไว้ในแผน หลัก
คุณภาพการศึกษา สนองจุดประสงค์และคำอธิบายรายวิชาของหลักสูตร ในการบริหารงานวิชาการถือว่า “แผน
จัดการเรยี นรู้” เป็นเอกสารทางวิชาการทส่ี ำคญั ท่ีสุดของครู เพราะในแผนจัดการเรยี นรปู้ ระกอบดว้ ย
1.การกำหนดเวลาเรียน กำหนดการสอน กำหนดการสอบ
2.สาระสำคญั ของเนื้อหาวิชาที่เรียน
3.จดุ ประสงค์การเรียนรู้
4.กจิ กรรมการเรียนรู้
5.ส่อื และอุปกรณ์
6.การวดั ผลประเมนิ ผล
การจัดทำแผนจดั การเรียนรู้ ถือว่าเป็นการสร้างผลงานทางวิชาการ เป็นผลงานทีแ่ สดง ถึงความชำนาญ ใน
การสอนของครู เพราะครูใช้ศาสตร์ทุกสาขาอาชีพของครู เช่นการออกแบบการสอน การจัดการและการประเมินผล
ในการจัดทำแผนจัดการเรียนรู้นั้นจะทำให้เกิดความม่ันใจในการสอนสอนได้ตรงจุดประสงค์การเรียนรู้ เพ่ิม
ประสิทธิภาพการเรียนการสอนในรายวิชาท่ีรับผิดชอบสูงขึ้น ทั้งยังเป็นข้อมูลในการนิเทศติดตามตรวจสอบและ
ปรับปรุงการเรียนการสอนได้อย่างมีระบบและ ครบวงจร ยังผลให้คุณภาพการศึกษาโดยส่วนรวมพัฒนาพัฒนาไป
อยา่ งมที ศิ ทางบรรลุเป้าหมายของหลกั สตู ร
ลงชอื่ ………………….………..
(นางสาวเมธินีย์ สรรเสริญ)
ครูผ้สู อน
วเิ คราะห์หลกั สตู ร
โครงสรา้ งรายวชิ าวทิ ยาศาสตร์ (ว23102)
ระดับมธั ยมศกึ ษา ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 3 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หน่วยกิต
ท่ี ช่ือหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ดั สาระสำคัญ เวลา น้ำหนกั
1 หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 5 (ช่ัวโมง) คะแนน
(21)
ปฏกิ ริ ิยาเคมแี ละวสั ดุใน สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ (17)
ชวี ิตประจำวนั 3
บทที่ 1 ปฏกิ ริ ิยาเคมี ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร
3
2 บทที่ 1 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับโครงสร้างและแรงยึด
เหนี่ยวระหว่างอนุภาคหลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลง
สถานะของสสารการเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ิรยิ าเคมี
ว 2.1 ม.3/3 อธบิ ายการ - การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมหี รอื การ 1
เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี รวมถึงการ เปลยี่ นแปลงทางเคมีของสาร
จัดเรียงตัวใหมข่ องอะตอม เปน็ การเปล่ียนแปลงที่ทำใหเ้ กดิ
เม่อื เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมโี ดยใช้ สารใหม่ โดยสารที่เขา้ ทำปฏิกิริยา
แบบจำลองและสมการ เรียกว่า สารตั้งตน้ สารใหมท่ ี่
ข้อความ เกดิ ขนึ้ จากปฏิกิริยา เรียกว่า
ผลิตภัณฑ์ การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
สามารถเขยี นแทนได้ด้วยสมการ
ข้อความ
- การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี อะตอม
ของสารตัง้ ต้นจะมีการจัดเรยี ง
ตวั ใหม่ ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ซงึ่ มี
สมบตั แิ ตกต่างจากสารตง้ั ตน้ โดย
อะตอมแตล่ ะชนิดกอ่ นและหลัง
เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีมีจำนวนเท่ากนั
ว 2.1 ม.3/4 อธิบายกฎทรง - เม่อื เกิดปฏิกิรยิ าเคมี มวลรวม 2
มวล โดยใชห้ ลักฐานเชิง ของสารต้งั ตน้ เทา่ กบั มวลรวมของ
ประจักษ์ ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นไปตามกฎทรง
มวล
ท่ี ชอ่ื หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้วี ดั สาระสำคญั เวลา นำ้ หนัก
3 บทที่ 1 ปฏกิ ริ ยิ าเคมี (ชว่ั โมง) คะแนน
4 บทท่ี 1 ปฏิกริ ยิ าเคมี ว 2.1 ม.3/5 วิเคราะห์ - เมื่อเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี มกี ารถ่าย 2 3
ปฏกิ ิรยิ าดดู ความรอ้ นและ โอนความรอ้ นควบค่ไู ปกบั การ 3
ปฏกิ ริ ยิ าคายความรอ้ น จัดเรยี งตัวใหม่ของอะตอมของสาร
จากการเปลีย่ นแปลง ปฏกิ ิริยาที่มีการถา่ ยโอนความรอ้ น
พลงั งานความรอ้ นของ จากส่ิงแวดลอ้ ม เข้าสรู่ ะบบเปน็
ปฏกิ ิริยา ปฏกิ ิริยาดูดความรอ้ น ปฏิกริ ยิ าท่ี
มกี ารถา่ ยโอนความรอ้ นจากระบบ
ออกสู่สิ่งแวดล้อมเป็นปฏิกิรยิ า
คายความร้อน โดยใช้เครื่องมือที่
เหมาะสมในการวดั อณุ หภมู ิ เชน่
เทอรม์ อมเิ ตอรห์ ัววัดทีส่ ามารถ
ตรวจสอบการเปลีย่ นแปลงของ
อณุ หภูมไิ ดอ้ ยา่ งต่อเนอื่ ง
ว 2.1 ม.3/6 อธบิ ายปฏกิ ริ ยิ า - ปฏกิ ิรยิ าเคมีที่พบชวี ติ ประจำวัน 5
การเกิดสนิมของเหลก็ มหี ลายชนดิ เช่น ปฏกิ ิรยิ าการเผา
ปฏกิ ิรยิ าของกรดกับโลหะ ไหม้ การเกิดสนมิ ของเหล็ก
ปฏิกริ ิยาของกรดกบั เบส ปฏิกิริยาของกรดกับโลหะ
และปฏิกริ ยิ าของเบสกบั ปฏิกิรยิ าของกรดกับเบส ปฏกิ ิรยิ า
โลหะ โดยใช้หลักฐานเชงิ ของเบสกับโลหะ การเกิดฝนกรด
ประจักษ์ และอธบิ าย การสงั เคราะห์ดว้ ยแสง ปฏิกิรยิ า
ปฏิกิริยาการเผาไหม้ การเกิด เคมี สามารถเขียนแทนไดด้ ้วย
ฝนกรดการสังเคราะห์ดว้ ย สมการข้อความ ซึง่ แสดงช่อื ของ
แสง โดยใช้สารสนเทศ สารตงั้ ต้นและผลิตภณั ฑ์ เชน่
รวมทง้ั เขยี นสมการข้อความ เชื้อเพลงิ + ออกซเิ จน →
แสดงปฏกิ ริ ยิ าดงั กลา่ ว คารบ์ อนไดออกไซด์ + น้ำ
ปฏกิ ริ ิยาการเผาไหม้เป็นปฏิกิรยิ า
ระหว่างสารกับออกซเิ จน
ท่ี ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้วี ดั สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก
(ชัว่ โมง) คะแนน
สารทีเ่ กิดปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้
สว่ นใหญเ่ ป็นสารประกอบทม่ี ี
คาร์บอนและไฮโดรเจนเป็น
องค์ประกอบ ซงึ่ ถ้าเกดิ การ
เผาไหม้อยา่ งสมบรู ณ์ จะได้
ผลติ ภัณฑ์เป็น
คาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ
- การเกิดสนมิ ของเหลก็ เกิดจาก
ปฏิกิริยาเคมีระหว่างเหลก็ น้ำ
และออกซเิ จน ไดผ้ ลิตภัณฑเ์ ป็น
สนมิ ของเหลก็
- ปฏกิ ิรยิ าการเผาไหม้และการ
เกดิ สนมิ ของเหล็กเปน็ ปฏิกิริยา
ระหวา่ งสารต่าง ๆ กับออกซเิ จน
- ปฏิกริ ยิ าของกรดกบั โลหะ กรด
ทำปฏกิ ริ ยิ ากับโลหะไดห้ ลายชนิด
ได้ผลติ ภัณฑ์เปน็ เกลอื ของโลหะ
และแกส๊ ไฮโดรเจน
- ปฏิกริ ิยาของกรดกบั
สารประกอบคาร์บอเนตได้
ผลิตภัณฑเ์ ป็นแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ เกลอื ของ
โลหะ และน้ำ
- ปฏิกริ ิยาของกรดกบั เบส ได้
ผลิตภัณฑเ์ ปน็ เกลือของโลหะและ
น้ำ หรืออาจได้เพยี งเกลอื ของ
โลหะ
- ปฏิกริ ยิ าของเบสกับโลหะบาง
ชนดิ ได้ผลิตภัณฑเ์ ปน็ เกลือของ
เบสและแก๊สไฮโดรเจน
ท่ี ชอื่ หนว่ ยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนร้/ู ตัวชว้ี ดั สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
5 (ชว่ั โมง) คะแนน
6 บทท่ี 1 ปฏิกิรยิ าเคมี - การเกิดฝนกรด เป็นผลจาก 3
ปฏกิ ริ ิยาระหว่างน้ำฝนกบั ออกไซด์
ของไนโตรเจน ทำใหน้ ้ำฝนมสี มบตั ิ
เป็นกรด
- การสังเคราะหด์ ว้ ยแสงของพชื
เป็นปฏกิ ริ ยิ าระหว่างแกส๊
คารบ์ อนไดออกไซด์กบั น้ำ โดยมี
แสงชว่ ยในการเกิดปฏกิ ิริยา
ได้ผลิตภณั ฑ์เปน็ นำ้ ตาลกลูโคส
และแก๊สออกซิเจน
ว 2.1 ม.3/7 ระบปุ ระโยชน์ - ปฏกิ ริ ิยาเคมีที่พบในชีวิต 2
และโทษของปฏิกริ ยิ าเคมีทมี่ ี ประจำวันมีทงั้ ประโยชน์และโทษ
ตอ่ สิ่งมชี วี ิตและส่ิงแวดลอ้ ม ตอ่ สง่ิ มชี ีวิตและสิ่งแวดล้อม
และยกตวั อย่างวิธกี ารป้องกนั จึงตอ้ งระมัดระวงั ผลจากปฏกิ ริ ิยา
และแกป้ ัญหาทเ่ี กดิ จาก เคมี ตลอดจนร้จู กั วิธีป้องกนั และ
ปฏกิ ริ ิยาเคมที พ่ี บในชวี ิต แก้ปัญหาที่เกิดจากปฏกิ ริ ิยาเคมี
ประจำวัน จากการสบื คน้ ท่ีพบในชีวติ ประจำวัน
ข้อมูล - ความรู้เกย่ี วกบั ปฏกิ ิรยิ าเคมี
ว 2.1 ม.3/8 ออกแบบวธิ ี สามารถนำไปใช้ประโยชน์และ
แก้ปัญหาในชวี ติ ประจำวัน สามารถบรู ณาการกับคณิตศาสตร์
โดยใช้ความร้เู ก่ียวกับ เทคโนโลยี และวิศวกรรมศาสตร์
ปฏิกริ ิยาเคมโี ดยบรู ณาการ เพอ่ื ใชป้ รับปรงุ ผลิตภัณฑ์ใหม้ ี
วิทยาศาสตรค์ ณิตศาสตร์ คุณภาพตามต้องการหรอื อาจ
เทคโนโลยี และ สรา้ งนวัตกรรมเพื่อป้องกนั และ
วศิ วกรรมศาสตร์ แก้ปัญหาที่เกิดขนึ้ จากปฏกิ ริ ยิ า
เคมี โดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ
ปฏกิ ิรยิ าเคมี เชน่ การ
เปลยี่ นแปลงพลังงานความรอ้ น
อนั เนอ่ื งมาจากปฏิกิริยาเคมี
การเพม่ิ ปรมิ าณผลผลิต
ท่ี ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้ีวดั สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนกั
(ช่วั โมง) คะแนน
7 บทท่ี 2 วัสดใุ น
ชีวติ ประจำวัน ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัติทาง - พอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดุ 5 6
กายภาพและการใชป้ ระโยชน์ ผสม เปน็ วสั ดุที่ใชม้ ากใน
วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ ชีวติ ประจำวนั
เซรามิก และวสั ดุผสมโดยใช้ - พอลิเมอร์เป็นสารประกอบ
หลักฐานเชงิ ประจกั ษแ์ ละ โมเลกลุ ใหญท่ ีเ่ กดิ จากโมเลกุล
สารสนเทศ จำนวนมากรวมตวั กันทางเคมี
ว 2.1 ม.3/2 ตระหนักถงึ เช่น พลาสตกิ ยาง เส้นใย ซ่งึ เปน็
คุณค่าของการใช้วสั ดุประเภท พอลเิ มอร์ทมี่ สี มบัติแตกตา่ งกัน
พอลิเมอร์ เซรามกิ และวัสดุ โดยพลาสติกเป็นพอลเิ มอรท์ ่ีขึน้ รูป
ผสม โดยเสนอแนะแนว เปน็ รูปทรงต่างๆได้ ยางยืดหยุ่นได้
ทางการใชว้ ัสดอุ ย่างประหยัด สว่ นเสน้ ใยเป็นพอลเิ มอร์ท่ีสามารถ
และคมุ้ ค่า ดึงเปน็ เสน้ ยาวไดพ้ อลเิ มอรจ์ งึ ใช้
ประโยชน์ได้ตา่ งกนั
- เซรามิกเปน็ วัสดุท่ีผลิตจากดนิ
หนิ ทราย และแร่ธาตุตา่ ง ๆ และ
สว่ นมากจะเผาท่อี ุณหภูมสิ ูง
เพอ่ื ให้เน้ือสารที่แข็งแรง เซรามิก
สามารถทำเปน็ รูปทรงตา่ ง ๆ ได้
สมบตั ิท่ัวไปของเซรามกิ จะแข็ง
ทนตอ่ การสึกกรอ่ นและเปราะ
- วัสดุผสมเป็นวัสดทุ ีเ่ กิดจากวสั ดุ
ตั้งแต่ 2 ประเภทที่มีสมบัติ
แตกต่างกันมารวมตวั กนั เพื่อ
นำไปใชป้ ระโยชน์ได้มากขน้ึ เช่น
เส้อื กนั ฝนบางชนิดเปน็ วสั ดุผสม
ระหว่างผา้ กับยาง
- วสั ดบุ างชนิดสลายตัวยาก เช่น
พลาสติก การใชว้ สั ดอุ ย่าง
ฟมุ่ เฟอื ยและไม่ระมดั ระวงั อาจ
กอ่ ปัญหาตอ่ ส่ิงแวดลอ้ ม
ท่ี ช่ือหน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวช้วี ัด สาระสำคัญ เวลา นำ้ หนกั
8 หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6 (ชั่วโมง) คะแนน
สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ (21)
ไฟฟ้า (22)
ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปลยี่ นแปลงและ 5 6
9 บทที่ 1 วงจรไฟฟ้า
อยา่ งงา่ ย การถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสารและพลังงาน 6 6
10 บทท่ี 1 วงจรไฟฟา้ พลังงานในชีวิตประจำวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่
อยา่ งง่าย
เก่ยี วข้องกับเสยี ง แสง และคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า รวมทง้ั นำความร้ไู ป
ใช้ประโยชน์
ว 2.3 ม.3/1 วิเคราะห์ - เมือ่ ตอ่ วงจรไฟฟา้ ครบวงจรจะมี
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งความ กระแสไฟฟา้ ออกจากขวั้ บวกผ่าน
ต่างศักย์ กระแสไฟฟา้ และ วงจรไฟฟา้ ไปยังขัว้ ลบของ
ความต้านทาน และคำนวณ แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ ซงึ่ วดั ค่าได้
ปริมาณท่เี กี่ยวข้องโดยใช้ จากแอมมเิ ตอร์
สมการ V = IR จากหลักฐาน - คา่ ทีบ่ อกความแตกตา่ งของ
เชิงประจักษ์ พลงั งานไฟฟ้าต่อหนว่ ยประจุ
ว 2.3 ม.3/2 เขียนกราฟ ระหว่างจดุ 2 จดุ เรยี กว่า ความ
ความสัมพันธร์ ะหวา่ ง ต่างศักย์ ซ่ึงวดั ค่าไดจ้ ากโวลต์
กระแสไฟฟ้าและความตา่ ง มเิ ตอร์
ศักยไ์ ฟฟา้ - ขนาดของกระแสไฟฟ้ามีคา่ แปร
ว 2.3 ม.3/3 ใช้โวลต์มิเตอร์ ผันตรงกับความตา่ งศกั ยร์ ะหว่าง
แอมมเิ ตอร์ในการวัดปรมิ าณ ปลายทั้งสองของตวั นำ โดย
ทางไฟฟ้า อตั ราสว่ นระหว่างความตา่ งศักย์
และกระแสไฟฟ้ามคี า่ คงที่ เรียก
คา่ คงทีน่ ว้ี ่า ความตา้ นทาน
ว 2.3 ม.3/4 วิเคราะห์ความ - ในวงจรไฟฟ้าประกอบด้วย
ต่างศกั ย์ไฟฟา้ และ แหลง่ กำเนิดไฟฟา้ สายไฟฟ้าและ
กระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้าเมือ่ อุปกรณไ์ ฟฟา้ โดยอุปกรณ์ไฟฟ้า
ต่อตวั ตา้ นทานหลายตวั แบบ แตล่ ะช้นิ มคี วามต้านทานในการ
อนกุ รมและแบบขนานจาก ต่อตัวต้านทานหลายตวั มที ้ังต่อ
หลกั ฐานเชิงประจกั ษ์ แบบอนุกรมและแบบขนาน
ท่ี ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตวั ช้วี ัด สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
บทท่ี 1 วงจรไฟฟา้ (ช่วั โมง) คะแนน
อย่างงา่ ย ว 2.3 ม.3/5 เขยี นแผนภาพ - การต่อตวั ต้านทานหลายตัว
วงจรไฟฟ้าแสดงการต่อตวั แบบอนุกรมในวงจรไฟฟ้า ความ 8 6
12 บทท่ี 2 ไฟฟา้ ใน ต้านทานแบบอนุกรมและ ตา่ งศกั ย์ทคี่ ร่อมตัวต้านทานแตล่ ะ
ชีวติ ประจำวนั แบบขนาน ตัวมีค่าเท่ากบั ผลรวมของความ
ต่างศักยท์ ่คี ร่อมตวั ต้านทานแตล่ ะ
ว 2.3 ม.3/6 บรรยายการ ตัว โดยกระแสไฟฟ้าทผี่ า่ นตัว
ทำงานของชิ้นสว่ น ต้านทานแต่ละตวั มีค่าเท่ากัน
อเิ ลก็ ทรอนิกส์อยา่ งงา่ ยใน - การต่อตัวตา้ นทานหลายตัว
วงจรจากขอ้ มลู ที่รวบรวมได้ แบบขนานในวงจรไฟฟา้
ว 2.3 ม.3/7 เขียนแผนภาพ กระแสไฟฟ้าท่ีผ่านวงจรมคี า่
และต่อชน้ิ สว่ นอเิ ล็กทรอนิกส์ เทา่ กับผลรวมของกระแสไฟฟ้าที่
อย่างงา่ ยในวงจรไฟฟ้า ผา่ นตวั ต้านทานแต่ละตัว โดย
ความตา่ งศกั ย์ท่ีครอ่ มตวั ตา้ นทาน
แต่ละตวั มคี า่ เท่ากนั
- ชน้ิ สว่ นอเิ ล็กทรอนกิ สม์ ีหลาย
ชนิด เชน่ ตวั ต้านทาน ไดโอด
ทรานซสิ เตอร์ ตัวเกบ็ ประจุ โดย
ชิ้นสว่ นแต่ละชนดิ ทำหน้าท่ี
แตกต่างกนั เพือ่ ให้วงจรทำงานได้
ตามตอ้ งการ
- ตวั ต้านทานทำหน้าที่ควบคมุ
ปริมาณกระแสไฟฟา้ ใน
วงจรไฟฟา้ ไดโอดทำหนา้ ที่ให้
กระแสไฟฟ้าผ่านทางเดยี ว
ทรานซิสเตอรท์ ำหนา้ ทีเ่ ปน็ สวติ ช์
ปดิ หรอื เปดิ วงจรไฟฟา้ และ
ควบคมุ ปริมาณกระแสไฟฟา้ ตัว
เก็บประจทุ ำหนา้ ที่เก็บและคาย
ประจไุ ฟฟ้า
ท่ี ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู/้ ตวั ช้วี ดั สาระสำคญั เวลา น้ำหนกั
(ชวั่ โมง) คะแนน
13 บทที่ 2 ไฟฟ้าใน ว 2.3 ม.3/8 อธบิ ายและ - เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างงา่ ย
ชวี ติ ประจำวัน คำนวณพลังงานไฟฟา้ โดยใช้ ประกอบดว้ ยชน้ิ ส่วน 3 3
สมการ W = Pt รวมทง้ั อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์หลายชนิดท่ีทำงาน
คำนวณคา่ ไฟฟา้ ของ ร่วมกัน การต่อวงจร
เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ในบา้ น อเิ ล็กทรอนิกส์ โดยเลือกใช้
ว 2.3 ม.3/9 ตระหนกั ใน ช้ินส่วนอิเลก็ ทรอนิกส์ท่ีเหมาะสม
คณุ ค่าของการเลือกใช้ ตามหนา้ ที่ของช้นิ ส่วนนัน้ ๆ จะ
เครือ่ งใช้ไฟฟา้ โดยนำเสนอ สามารถทำให้วงจรไฟฟ้าทำงาน
วิธีการใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ อยา่ ง ได้ตามตอ้ งการ
ประหยัดและปลอดภัย - เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าจะมีคา่
กำลงั ไฟฟา้ และความต่างศักย์
กำกับไว้ กำลังไฟฟ้ามีหน่วยเป็น
วตั ต์ ความต่างศกั ย์มหี นว่ ยเป็น
โวลต์ ค่าไฟฟา้ สว่ นใหญ่คิดจาก
พลังงานไฟฟ้าที่ใช้ทงั้ หมด ซ่ึงหา
ไดจ้ ากผลคณู ของกำลงั ไฟฟ้าใน
หนว่ ยกโิ ลวตั ต์ กับเวลาในหนว่ ย
ชว่ั โมง พลังงานไฟฟ้ามีหน่วยเป็น
กโิ ลวตั ตช์ ่ัวโมง หรือหน่วย
- วงจรไฟฟา้ ในบา้ นมกี ารตอ่
เคร่อื งใชไ้ ฟฟา้ แบบขนาน เพ่ือให้
ความต่างศักยเ์ ท่ากัน การใช้
เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าในชีวิตประจำวนั
ตอ้ งเลอื กใชเ้ ครอื่ งใช้ไฟฟา้ ที่มี
ความตา่ งศักย์และกำลงั ไฟฟ้าให้
เหมาะกับการใชง้ าน และการใช้
เครื่องใช้ไฟฟา้ และอปุ กรณ์ไฟฟา้
ต้องใช้อยา่ งถูกต้อง ปลอดภัย
และประหยัด
ท่ี ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชว้ี ดั สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก
14 หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 (ช่วั โมง) คะแนน
สาระท่ี 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (12)
ระบบนิเวศและความ (9)
หลากหลายทางชวี ภาพ ว 1.1 เขา้ ใจความหลากหลายของระบบนเิ วศ ความสมั พนั ธ์ 3
2
บทที่ 1 ระบบนเิ วศ ระหว่างสิ่งไมม่ ชี วี ิตกับสง่ิ มีชีวิตและความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต 3
3
15 บทท่ี 1 ระบบนเิ วศ กับสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน
การเปลี่ยนแปลงแทนที่ในระบบนิเวศ ความหมายของประชากร
ปัญหาและผลกระทบที่มีต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
แนวทางในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหา
สง่ิ แวดล้อม รวมทง้ั นำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ว 1.1 ม.3/1 อธบิ าย - ระบบนเิ วศประกอบด้วย
ปฏสิ ัมพันธข์ ององค์ประกอบ องค์ประกอบทีม่ ีชีวิต เชน่ พืช
ของระบบนเิ วศทไี่ ดจ้ ากการ สัตว์ จุลนิ ทรีย์ และองค์ประกอบ
สำรวจ ที่ไม่มชี ีวติ เชน่ แสง น้ำ อณุ หภูมิ
แร่ธาตุ แกส๊ องค์ประกอบเหลา่ นี้
มปี ฏิสัมพนั ธก์ นั เชน่ พชื ตอ้ งการ
แสง นำ้ และแกส๊
คารบ์ อนไดออกไซดใ์ นการสร้าง
อาหาร สตั ว์ต้องการอาหาร และ
สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมในการ
ดำรงชวี ิต เช่น อุณหภูมิ ความช้นื
องค์ประกอบท้งั สองสว่ นน้ีจะตอ้ ง
มีความสัมพนั ธก์ นั อยา่ งเหมาะสม
ระบบนิเวศจึงจะสามารถคงอยู่
ตอ่ ไปได้
ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบ - สิง่ มีชีวติ กบั ส่งิ มชี ีวติ มี
ความสมั พันธ์ระหว่างสง่ิ มีชวี ิต ความสัมพนั ธก์ นั ในรปู แบบต่าง ๆ
กบั ส่ิงมชี ีวิตรปู แบบตา่ ง ๆ ใน เชน่ ภาวะพ่งึ พากนั ภาวะองิ
แหล่งทีอ่ ยู่เดยี วกันที่ไดจ้ าก อาศัย ภาวะเหย่อื กับผูล้ า่ ภาวะ
การสำรวจ ปรสิต
ท่ี ช่อื หนว่ ยการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นรู้/ตวั ช้ีวัด สาระสำคัญ เวลา น้ำหนัก
16 บทที่ 1 ระบบนเิ วศ (ช่วั โมง) คะแนน
- สงิ่ มชี วี ติ ชนดิ เดยี วกันที่อาศัยอยู่
4 6
รว่ มกันในแหลง่ ท่อี ยู่เดียวกัน
ในชว่ งเวลาเดียวกนั เรยี กว่า
ประชากร
- กล่มุ ส่ิงมชี ีวติ ประกอบดว้ ย
ประชากรของสง่ิ มชี ีวิตหลาย ๆ
ชนดิ อาศยั อยู่ร่วมกันในแหล่งที่
อยู่เดยี วกัน
ว 1.1 ม.3/3 สร้างแบบจำลอง - กลุ่มสงิ่ มีชวี ติ ในระบบนเิ วศแบง่
ในการอธบิ ายการถ่ายทอด ตามหนา้ ท่ไี ดเ้ ป็น 3 กลุ่ม ไดแ้ ก่
พลงั งานในสายใยอาหาร ผ้ผู ลิต ผู้บริโภค และผู้ยอ่ ยสลาย
ว 1.1 ม.3/4 อธิบาย สารอินทรยี ์ สงิ่ มีชวี ิตทง้ั 3 กลมุ่ น้ี
ความสัมพันธ์ของผูผ้ ลิต มคี วามสมั พนั ธก์ ัน ผูผ้ ลิตเป็น
ผูบ้ รโิ ภค และผยู้ ่อยสลาย ส่งิ มชี ีวติ ท่ีสรา้ งอาหารได้เอง โดย
สารอนิ ทรีย์ในระบบนเิ วศ กระบวนการสังเคราะหด์ ้วยแสง
ว 1.1 ม.3/5 อธบิ ายการ ผบู้ ริโภคเปน็ ส่งิ มชี ีวติ ท่ไี มส่ ามารถ
สะสมสารพษิ ในส่ิงมชี ีวิตในโซ่ สร้างอาหารไดเ้ อง และต้องกิน
อาหาร ผู้ผลิตหรือสิง่ มชี ีวิตอน่ื เปน็ อาหาร
ว 1.1 ม.3/6 ตระหนักถึง เม่อื ผู้ผลติ และผูบ้ ริโภคตายลง
ความสมั พันธ์ของสิง่ มีชวี ิต จะถกู ยอ่ ยโดยผูย้ อ่ ยสลาย
และสิ่งแวดลอ้ มในระบบนเิ วศ สารอนิ ทรยี ์ซึง่ จะเปลยี่ น
โดยไมท่ ำลายสมดุลของระบบ สารอินทรยี เ์ ป็นสารอนนิ ทรีย์
นเิ วศ กลับคืนสู่สิ่งแวดล้อม ทำให้เกิด
การหมุนเวยี นสารเป็นวัฏจักร
จำนวนผผู้ ลิต ผู้บริโภค และผู้
ยอ่ ยสลายสารอินทรยี จ์ ะต้องมี
ความเหมาะสม จึงทำใหก้ ล่มุ
สิ่งมีชีวติ อยไู่ ดอ้ ยา่ งสมดุล
- พลงั งานถูกถ่ายทอดจากผู้ผลติ
ไปยงั ผู้บริโภคลำดับต่าง ๆ
ท่ี ชื่อหนว่ ยการเรียนรู้ มาตรฐานการเรยี นร้/ู ตัวชวี้ ัด สาระสำคญั เวลา นำ้ หนกั
บทท่ี 1 ระบบนิเวศ (ชัว่ โมง) คะแนน
รวมทัง้ ผ้ยู ่อยสลายสารอนิ ทรีย์ใน
17 หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7 (6) (6)
ระบบนเิ วศและความ รูปแบบสายใยอาหารท่ี 6 6
หลากหลายทางชวี ภาพ
บทที่ 2 ความหลากหลาย ประกอบด้วย โซอ่ าหารหลายโซท่ ่ี
ทางชวี ภาพ
สมั พนั ธก์ ัน ในการถ่ายทอด
พลังงานในโซอ่ าหาร พลังงานท่ี
ถกู ถ่ายทอดไปจะลดลงเร่ือย ๆ
ตามลำดับของการบรโิ ภค
- การถา่ ยทอดพลังงานในระบบ
นิเวศ อาจทำให้มีสารพิษสะสม
อยู่ในส่งิ มีชวี ิตได้ จนอาจ
ก่อให้เกิดอันตรายตอ่ สิ่งมชี วี ิต
และทำลายสมดุลในระบบนิเวศ
ดงั นน้ั การดูแลรกั ษาระบบนิเวศ
ใหเ้ กดิ ความสมดุล และคงอยู่
ตลอดไปจงึ เปน็ สง่ิ สำคญั
สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ
ว 1.3 เขา้ ใจกระบวนการและความสำคัญของการถา่ ยทอด
ลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรมการเปลี่ยนแปลงทาง
พันธุกรรมที่มีผลต่อสิ่งมีชีวิต ความหลากหลายทางชีวภาพและ
วิวฒั นาการของสง่ิ มชี ีวติ รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ว 1.3 ม.3/9 เปรยี บเทยี บ - ความหลากหลายทางชีวภาพ
ความหลากหลายทางชีวภาพ มี 3 ระดบั ได้แก่ ความ
ในระดับชนดิ สง่ิ มชี วี ติ ในระบบ หลากหลายของระบบนิเวศ ความ
นิเวศตา่ ง ๆ หลากหลายของชนดิ สิง่ มีชีวติ
ว 1.3 ม.3/10 อธิบาย และความหลากหลายทาง
ความสำคัญของความ พันธกุ รรม ความหลากหลายทาง
หลากหลายทางชีวภาพทีม่ ตี ่อ ชวี ภาพน้มี คี วามสำคญั ต่อการ
การรักษาสมดลุ ของระบบ รกั ษาสมดุลของระบบนเิ วศ
นเิ วศและต่อมนุษย์ ระบบนิเวศท่มี ีความหลากหลาย
ทางชวี ภาพสงู จะรักษาสมดุลได้
ท่ี ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ช้วี ัด สาระสำคญั เวลา นำ้ หนัก
(ช่ัวโมง) คะแนน
ว 1.3 ม.3/11 แสดงความ ดกี ว่าระบบนิเวศท่ีมีความ
ตระหนักในคุณคา่ และ หลากหลายทางชวี ภาพต่ำกวา่
ความสำคญั ของความ นอกจากนคี้ วามหลากหลายทาง
หลากหลายทางชวี ภาพ โดยมี ชวี ภาพยังมคี วามสำคญั ตอ่ มนษุ ย์
สว่ นรว่ มในการดแู ลรกั ษา ในดา้ นตา่ ง ๆ เช่น ใชเ้ ป็นอาหาร
ความหลากหลายทางชวี ภาพ ยารกั ษาโรค วัตถุดิบใน
อุตสาหกรรมต่าง ๆ ดงั น้นั จงึ เปน็
หน้าท่ขี องทกุ คนในการดูแลรักษา
ความหลากหลายทางชีวภาพให้
คงอยู่
คะแนนเก็บระหว่างเรียน 54 60
คะแนนสอบกลางภาค 3 20
คะแนนสอบปลายภาค 3 20
รวมคะแนนทง้ั หมดตลอดภาคเรยี น 60 100
คำอธิบายรายวิชาพื้นฐาน
ว 23102 รายวชิ าพ้ืนฐาน วทิ ยาศาสตร์ กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ช้ันมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 60 ชั่วโมง จำนวน 1.5 หนว่ ยกิต
ศึกษา วิเคราะห์ สืบค้นข้อมูล และอธิบายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของระบบนิเวศ รูปแบบ
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิต สายใยอาหาร การสะสมสารพิษในโซ่อาหาร ความหลากหลายทางชีวภาพ
สมบัตทิ างกายภาพและการใชป้ ระโยชนจ์ ากวัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวัสดผุ สม การเกิดปฏิกิริยา
เคมี การเขยี นสมการขอ้ ความ กฎทรงมวล การเปลีย่ นแปลงพลังงานความรอ้ นของปฏิกริ ิยา ปฏิกิริยาเคมี
ในชีวิตประจําวัน ประโยชน์และโทษของปฏิกิริยาเคมีที่มีต่อสิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อม และแนวทางการ
แกป้ ญั หาทเี่ กดิ จากปฏิกริ ิยาเคมี
ศึกษา วเิ คราะห์ สบื ค้นขอ้ มูล และอธบิ ายการวดั ปริมาณทางไฟฟ้า ความสัมพนั ธ์ระหว่างความต่าง
ศักย์ไฟฟ้า กระแสไฟฟ้า และความต้านทานไฟฟ้า วงจรไฟฟ้าแบบอนุกรมและขนาน การทํางานของ
ช้ินส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์พน้ื ฐาน พลงั งานไฟฟ้าและกําลังไฟฟ้า ค่าไฟฟ้า การใช้เครอ่ื งใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด
และปลอดภยั
โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสืบเสาะหาความรู้ การสำรวจตรวจสอบ การพัฒนา
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 การสืบค้นข้อมูล บันทึก จัดกลุ่มข้อมูล
และการอภิปราย เพื่อให้เกิดความรู้ ความคิด ความเข้าใจ สามารถนำเสนอสื่อสารสิ่งที่เรียนรู้
มีความสามารถในการตัดสินใจ เห็นคุณค่าของการนำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวัน มีจิตวิทยาศาสตร์
คุณธรรมจริยธรรม และคา่ นิยมทเี่ หมาะสม
ตัวช้ีวัดรวม 26 ตวั ชี้วดั
ว 1.1 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3 ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6
ว 1.3 ม.3/9 ม.3/10 ม.3/11
ว 2.1 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3 ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8
ว 2.3 ม.3/1 ม.3/2 ม.3/3 ม.3/4 ม.3/5 ม.3/6 ม.3/7 ม.3/8 ม.3/9
โรงเรยี นพนมศกึ ษา
ตารางวิเคราะหผ์ ู้เรยี นดา้ นผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียน
วตั ถุประสงค์ 1. เพือ่ นำไปออกแบบการเรยี นรู้ ให้สอดคล้องกับความสามารถของนักเรยี น
2. เพอื่ เปน็ แนวทางในการแก้ไขปัญหาและพฒั นาผู้เรยี นดา้ นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
รายวิชาวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา รหัสวิชา ว 23102
ภาคเรยี นท่ี 2/2564 ชอ่ื ผู้สอน นางสาวเมธินีย์ สรรเสริญ
สรปุ ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นพื้นฐานทใ่ี ชใ้ นการเรียนวิชาน้ี
ระดบั คุณภาพของ GPA ของกลุ่ม จำนวนคน รอ้ ยละ
ผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น
ปรับปรงุ ต่ำกว่า 2.00
พอใช้ 2.00 – 2.50
ดี สงู กว่า 2.50
แนวทางการจัดกิจกรรม
ผลสัมฤทธิ์ ร้อยละ กจิ กรรมแกไ้ ขหรอื พัฒนา จำนวน เครื่องมอื /วธิ ีการประเมิน
ทางการเรียน
เดิม เป้าหมาย ในแผนการเรยี นรู้
ดี
1. กิจกรรมการเรียนการสอนดำเนิน 1. แบบฝึกหัดทา้ ยบท
ปรับปรุง
เช่นเดยี วกับนักเรียนกลุ่มอ่ืน ๆ ในช้นั เรียน 2. แบบบนั ทกึ การเก็บ
2. ใหน้ ักเรยี นกลมุ่ นเ้ี ปน็ ผดู้ ำเนนิ การเฉลย คะแนน
แบบฝึกหดั ตามสมควร 3. แบบบันทกึ หลังการ
3. ใหน้ ักเรยี นกลุ่มนี้เป็นผชู้ ่วยเหลือเพอื่ นใน สอน
ห้องเรยี น การทำแบบฝกึ ต่าง ๆ เปน็ ผูอ้ ธิบาย 4. แผนการจัดการเรียนรู้
(ผชู้ ่วยคร)ู สอนเพอ่ื นกลุ่มอ่อนท่ียังไม่เขา้ ใจ 5. ชนิ้ งาน
4. ให้แบบฝึกพเิ ศษเพม่ิ เติม
5. ทำช้ินงานเพิ่มเตมิ
1. กิจกรรมการเรียนการสอนดำเนนิ 1. แบบฝึกคูข่ นาน
เช่นเดยี วกบั นกั เรียนกล่มุ อ่ืน ๆ เพ่มิ เตมิ แบบ 2. แบบบนั ทกึ การเก็บ
ฝกึ คขู่ นาน คะแนน
2. ใหน้ ักเรยี นกลุ่มน้ีจบั คูป่ ระกบตวั ต่อตวั กบั 3. แบบบันทกึ หลงั การ
นกั เรียนกล่มุ เกง่ และปานกลาง สอน
3. จัดสอนซอ่ มเสริมในเนือ้ หาทีไ่ ม่ผ่านเกณฑ์ 4. แผนการจัดการเรยี นรู้
การประเมิน 5. ชน้ิ งาน
แบบวิเคราะห์นกั เรียนเปน็ รายบุคคล
เก่ยี วกับความถนัด / ความสนใจ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว 23102
ชัน้ มัธยมศกึ ษาป่ที ่ี 3 ห้อง 1
เลขท่ี ชือ่ -สกุล ระดบั ความถนัด / ความสนใจ หมายเหตุ
3210
1 เดก็ ชายกฤตณฐั แกว้ เจริญ
2 นายกฤตเิ ดช ดวงเกดิ ✓
3 นายจักรภัทร ฤทธกิ ลุ ✓
4 นายฑิตยพล ชเู พอื่ น ✓
5 นายณฐั พงศ์ สงเคราะห์
6 นายณัฐวุฒิ กล้าหาญ ✓
7 นายเดชอนันต์ ชูแฉลม้ ✓
8 นายธนาธิป กายะพนั ธ์ ✓
9 เด็กชายพงศกร สายรื่น ✓
10 เด็กชายพงษภัทร ศรพี งค์ ✓
11 เดก็ ชายพลากร กฎไทยสงค์ ✓
12 นายภทั รพงศ์ สม้ เมือง ✓
13 นายภาคภมู ิ ดวงแก้ววิเศษ ✓
14 เดก็ ชายรฐั ภูมิ คงใหญ่ ✓
15 นายสทุ ธิภทั ร ทองดอนยอด ✓
16 เดก็ ชายอนุศกั ดิ์ สังขท์ อง ✓
17 เดก็ ชายอัษฎาวธุ ปล้องนิราศ ✓
18 นางสาวกมลวลั ย์ สุขนติ ย์ ✓
19 เด็กหญงิ กรวกิ าร์ เขยี มวชั ระ ✓
20 เด็กหญงิ ขนิษฐา แก่นสาร ✓
21 เดก็ หญงิ จนั ทมิ าพร เจริญพร ✓
22 เดก็ หญงิ ชญาณี บวั บาน ✓
23 เด็กหญงิ ชนิสรา เทพบรุ ี ✓
✓
✓
เลขที่ ชอ่ื -สกุล ระดับความถนดั / ความสนใจ หมายเหตุ
3210
24 เด็กหญิงณฐั กานต์ ศรรี กั ษา
25 เด็กหญงิ ธนัญญา ศรรี กั ษา ✓
26 เด็กหญิงนชิ าภทั ร ชนู ้ยุ ✓
27 นางสาวพชั ราวดี รักบรรจง ✓
28 เดก็ หญิงพมิ พ์พสิ ชา จตั ตามาศ
29 นางสาวสุชานาถ ดษิ ฐอาย ✓
30 เดก็ หญิงสภุ าวดี ทองสัมฤทธ์ิ ✓
31 เดก็ หญงิ แสงดาว วิโรจน์ ✓
32 เด็กหญงิ หรัญญา บุญลึก ✓
33 นางสาวอารยา จินตพัฒน์
✓
✓
✓
หมายเหต*ุ ** ประเมนิ จากระดับผลการเรยี นรรู้ ายวิชาวิทยาศาสตร์พืน้ ฐาน
ระดับ 3 มีความถนดั / ความสนใจมากที่สุด
ระดบั 2 มคี วามถนดั / ความสนใจมาก
ระดบั 1 มีความถนดั / ความสนใจน้อย
ระดับ 0 ไม่มคี วามถนดั / ความสนใจเลย
แบบวิเคราะหน์ ักเรียนเปน็ รายบคุ คล
เก่ียวกับความถนดั / ความสนใจ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว 23102
ชน้ั มัธยมศกึ ษาปท่ี ่ี 3 หอ้ ง 2
เลขท่ี ชื่อ-สกลุ ระดับความถนัด / ความสนใจ หมายเหตุ
3210
1 เด็กชายกัณฑ์อเนก สาริพฒั น์ ✓
2 นายขจรยศ วรภมู ิ ✓
3 เดก็ ชายขจรยศ เหล่ารอด ✓
4 นายจริ วฒั น์ อักษรทพิ ย์ ✓
5 นายเจตพล สขุ อนุ่
6 นายฐติ ิวัฒน์ นำ้ พุ ✓
7 เดก็ ชายณรงคศ์ ักดิ์ รักสุข ✓
8 เด็กชายธนวฒั น์ บุญปล้อง ✓
9 เด็กชายนิพนธ์ ประหารภาพ ✓
10 เด็กชายปณวฒั น์ ทศราช ✓
11 นายพงศกร ทองดอนยอด ✓
12 เดก็ ชายพัชรพล เสนาะกรรณ์
13 นายยุทธพงค์ ช่างพดู ✓
14 นายรชั ตพงษ์ มากมลู ✓
15 นายวรากรณ์ ฉิมบา้ นดอน
16 นายวรทิ ธ์ิ ขลิบตรแี ก้ว ✓
17 นายศักดิ์ชยั สุขอ่นุ ✓
18 เดก็ ชายศิวกร แก้วคง
19 นายศภุ ณัฐ ทิพย์เดช ✓
20 นายสริ ภัทร สุวรรณรังษี ✓
21 นายอภิชาติ มีเพ็ญ
22 เดก็ ชายอาทิตย์ ปานปรเิ ยศ ✓
23 นางสาวกัญญาณัฐ บญุ ช่วย ✓
✓
✓
✓
✓
✓
เลขที่ ช่ือ-สกุล ระดบั ความถนดั / ความสนใจ หมายเหตุ
3210
24 เดก็ หญิงกลุ ปรยิ า ทดั ดอกไม้
25 เดก็ หญงิ เกวลิน ยวนกะเปา ✓
26 นางสาวจตุพร กลบั ศรี ✓
27 เดก็ หญิงฐิตมิ า นกขุม้
28 เด็กหญงิ ธนัชพร คงสะอาด ✓
29 เด็กหญิงนันทิกานต์ ศรวี ารนิ ทร์ ✓
30 เด็กหญงิ บวรรัตน์ สมเพช็ ร ✓
31 นางสาวภัทรนันท์ ศรชนะ
32 นางสาวสตุ าภัทร พลขนั ✓
33 เด็กหญิงสุภัสสร แซต่ นั ✓
34 นางสาวสภุ าวดี นาภรณ์ ✓
35 นางสาวอรปรียา อุดมศรี ✓
✓
✓
✓
หมายเหต*ุ ** ประเมนิ จากระดับผลการเรยี นรรู้ ายวิชาวทิ ยาศาสตรพ์ ้ืนฐาน
ระดับ 3 มีความถนดั / ความสนใจมากที่สุด
ระดับ 2 มีความถนดั / ความสนใจมาก
ระดับ 1 มคี วามถนัด / ความสนใจน้อย
ระดับ 0 ไมม่ คี วามถนดั / ความสนใจเลย
แบบวิเคราะห์นักเรียนเปน็ รายบุคคล
เก่ียวกับความถนัด / ความสนใจ รายวชิ าวิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว 23102
ชั้นมธั ยมศึกษาปี่ท่ี 3 ห้อง 3
เลขที่ ช่อื -สกุล ระดับความถนดั / ความสนใจ หมายเหตุ
3 210
1 เด็กชายกฤษฎา หนูดว้ ง
2 นายกิตติภพ เวชรินทร์ ✓
3 เดก็ ชายเจษฎาภรณ์ สมคลองศก ✓
4 เดก็ ชายชยั ณรงค์ กมุ ลา ✓
5 เด็กชายชยั วฒั น์ มดี ว้ ง ✓
6 เด็กชายณฐั ศกั ด์ิ จนั ทร์ลีเลด็ ✓
7 นายตรังค เรืองศรี
8 นายทศพร จินดาวงค์ ✓
9 เด็กชายธนภัทร ชาญบำรุง ✓
10 เดก็ ชายธีรศักด์ิ วังฉาย ✓
11 เดก็ ชายบัณฑติ บัวแก้ว ✓
12 นายปวรศิ ร์ ชูชาติ ✓
13 เดก็ ชายภาณุภกั ดิ์ พ่ึงผล
14 เดก็ ชายภูวิศ สิงห์ศรีดา ✓
15 นายรักษก์ วี จันทรเ์ มือง ✓
16 เด็กชายศตายุ ชูคงคา ✓
17 นายสิทธิเดช ทับแก้ว ✓
18 นายสทุ ธินนั ท์ ศรีสวสั ด์ิ ✓
19 เด็กชายอนนั ศักดิ์ ภูมิพทิ กั ษ์ ✓
20 นายอนพุ งศ์ พฒั นะ ✓
21 นางสาวกัลยา วงศ์สุบรรณ ✓
22 เด็กหญิงชญานศิ ทมิ เทศ
23 เดก็ หญิงฐานิตา ชว่ ยศรี ✓
✓
✓
✓
✓
เลขท่ี ชอ่ื -สกลุ ระดับความถนัด / ความสนใจ หมายเหตุ
3 210
24 นางสาวฐิตมิ า กุลทอง
25 นางสาวณัฐณิชา รักกะเปา ✓
26 นางสาวณัฐนนั แถนสมบัติ ✓
27 นางสาวธนดิ า วจิ ติ ร ✓
28 นางสาวปยิ าพชั ร หนมู ี ✓
29 เดก็ หญิงพิชญาภา มากแก้ว ✓
30 เดก็ หญิงศิรภสั สร คงเพชร ✓
31 นางสาวศริ ริ ัตน์ รักษบ์ รรจง ✓
32 เดก็ หญงิ ศิริวรรณ รม่ เมือง ✓
33 นางสาวโสรญา สุดเสัง ✓
34 นางสาวอมรรตั น์ มากดำ ✓
✓
หมายเหต*ุ ** ประเมนิ จากระดบั ผลการเรยี นรรู้ ายวิชาวิทยาศาสตร์พนื้ ฐาน
ระดบั 3 มคี วามถนัด / ความสนใจมากท่ีสุด
ระดับ 2 มคี วามถนัด / ความสนใจมาก
ระดบั 1 มีความถนดั / ความสนใจนอ้ ย
ระดบั 0 ไม่มีความถนัด / ความสนใจเลย
แบบวิเคราะหน์ กั เรียนเป็นรายบคุ คล
เกยี่ วกบั ความถนัด / ความสนใจ รายวิชาวทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว 23102
ชั้นมัธยมศึกษาปี่ท่ี 3 หอ้ ง 4
เลขที่ ช่อื -สกุล ระดับความถนดั / ความสนใจ หมายเหตุ
3 210
1 เดก็ ชายจตพุ ร มีมาก ✓
2 เดก็ ชายชลมั พล สงสุข ✓
3 เดก็ ชายณฐั พล พนั พิจติ ร์ ✓
4 เด็กชายธนภูมิ รกั เหล็ก ✓
5 นายพฒุ เิ มธ แกว้ ผง ✓
6 เดก็ ชายภัคพล หมานเหตุ ✓
7 นายภรู ณิ ัฐ อ้นเขาวงศ์ ✓
8 นายอภวิ ัฒน์ รตั นชัย ✓
9 เด็กหญงิ กัลยารัตน์ ศรีนยุ้ ✓
10 เดก็ หญงิ กาญจนาวรรณ ทมิ รตั น์ ✓
11 นางสาวจารกุ ญั ญ์ วเิ ชยี ร ✓
12 นางสาวชนิกานต์ เบญ็ จรัตน์ ✓
13 เด็กหญิงชลิดา สาคร ✓.
14 นางสาวโชติมา แสงทองยอ้ ย ✓
15 เดก็ หญิงญารนิ ทรด์ า เชย่ี วหมอน ✓
16 เดก็ หญงิ ณัฏฐณชิ า จันทรส์ งั ข์ ✓
17 เด็กหญิงดาราณี บูรพา ✓
18 เดก็ หญิงธัญรดี โสภาคย์ ✓
19 เดก็ หญงิ นภาพร นุ้ยย่อง ✓
20 เดก็ หญงิ นลนิ ทพิ ย์ วัชนะ ✓
21 เดก็ หญิงปณิตตรา สุดเส้ง ✓
22 นางสาวพรนภัส แสตมป์ ✓
23 นางสาวพรพชร พนั ธ์สุ ิน ✓
เลขที่ ชอื่ -สกุล ระดับความถนัด / ความสนใจ หมายเหตุ
3 210
24 นางสาวพทั ธ์ธีรา ทวี ✓
25 เดก็ หญิงพมิ พ์อักษพิ ร วนะกรรม ✓
26 เด็กหญิงพิมพศิ า เพชรา ✓
27 นางสาวฟา้ ใส นุชทรัพย์ ✓
28 เดก็ หญงิ รุง่ นภา เหล็กเนตร ✓
29 เดก็ หญิงวชิรญา นวลขาว ✓
30 นางสาววรรณพร ธาระมนต์ ✓
31 นางสาววราภรณ์ พูนจนั ทร์ ✓
32 เดก็ หญงิ สนธิยา สปุ นั ดี ✓
33 เดก็ หญงิ สริ ยากร สมคิด ✓
34 นางสาวสิริกัลยา ชาตรีทับ ✓
35 นางสาวสริ ิชนก ชว่ ยผล ✓
36 เดก็ หญิงสริ มิ า นวลละออง ✓
37 นางสาวโสภิตนภา วรรณเตม็ ✓
✓
38 เด็กหญงิ อภิญญา อนิ ธดิ า ✓
39 นางสาวอลสิ า ศริ ิ
40 เดก็ หญิงอญั ชสิ า ปรชี า ✓
41 เดก็ หญงิ อาลิษา ทองวเิ ศษ ✓
หมายเหตุ*** ประเมินจากระดับผลการเรียนรรู้ ายวิชาวทิ ยาศาสตรพ์ น้ื ฐาน
ระดับ 3 มีความถนดั / ความสนใจมากท่ีสดุ
ระดบั 2 มคี วามถนัด / ความสนใจมาก
ระดบั 1 มีความถนดั / ความสนใจนอ้ ย
ระดับ 0 ไมม่ คี วามถนัด / ความสนใจเลย
การวัดผลและประเมินผล
การวดั ผลการเรียนรู้
1. การวัดผลระหวา่ งเรียน 80 คะแนน
2. การวดั ผลกลางภาคเรยี น 10 คะแนน
3. การวัดผลปลายภาคเรยี น 10 คะแนน
4. รวมการวัดผลตลอดภาคเรียน 100 คะแนน
การประเมนิ ผลการเรียนรู้
เกณฑ์การตดั สนิ ผลการประเมินผล การเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้
ระดบั ผลการเรียน ความหมาย ช่วงคะแนนเปน็ ร้อยละ
4 ดีเยีย่ ม 80 – 100
3.5 ดีมาก 75 – 79
3 ดี 70 – 74
2.5 ค่อนขา้ งดี 65 – 69
2 น่าพอใช้ 60 – 64
1.5 พอใช้ 55 – 59
1 ผา่ น 50 – 54
0 0 – 49
ตำ่ กวา่ เกณฑ์
การประเมินการอ่าน คดิ วิเคราะหแ์ ละเขยี น และคณุ ลักษณะอันพึงประสงคน์ น้ั ใหร้ ะดับผลการ
ประเมนิ เป็น ดีเยยี่ ม ดี และผ่าน
ดีเย่ยี ม หมายถึง มีผลงานทแี่ สดงถึงความสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะหแ์ ละ เขยี นท่ีมีคณุ ภาพ
ดี หมายถงึ ดเี ลศิ อยู่เสมอ
ผ่าน หมายถึง มผี ลงานทแ่ี สดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะหแ์ ละเขียนที่มีคุณภาพ
เป็นทย่ี อมรบั
มผี ลงานที่แสดงถงึ ความสามารถในการอา่ น คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียนทม่ี ีคณุ ภาพ
เปน็ ทย่ี อมรับ แตย่ งั มขี อ้ บกพรอ่ งบาง ประการ
ไมผ่ า่ น หมายถงึ ไมม่ ผี ลงานท่แี สดงถึงความสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขยี น หรอื ถ้ามี
ผลงาน ผลงานน้นั ยงั มีขอ้ บกพร่องท่ีตอ้ งได้รับการปรับปรุงแกไ้ ขหลายประการ
แผนการจดั การเรียนรู้
หน่วยการเรียนรู้ที่ 5
ปฏกิ ริ ิยาเคมแี ละวสั ดใุ นชวี ิตประจำวัน
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 1
เรอ่ื ง การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี รหสั วิชา ว23102 เวลา 1 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 5 ชอ่ื หนว่ ยการเรยี นรู้ ปฏิกริ ยิ าเคมีและวสั ดุในชีวติ ประจำวนั รวม 17 ชั่วโมง
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นท่ี 2
สาระที่ 2 ชอื่ สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1
1. มาตรฐานการเรียนร้/ู ตวั ชี้วดั
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้าง
และแรงยึดเหนีย่ วระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสารการเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี
ตัวชีว้ ัด
ว 2.1 ม.3/3 อธบิ ายการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี รวมถึงการจดั เรยี งตวั ใหมข่ องอะตอมเม่ือเกิดปฏกิ ิริยาเคมโี ดย
ใชแ้ บบจำลองและสมการขอ้ ความ
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) การเกิดปฏิกริ ิยาเคมีหรอื การเปล่ียนแปลงทางเคมีของสาร เป็นการเปลี่ยนแปลงท่ที ำให้เกิดสารใหม่
โดยสารที่เขา้ ทำปฏิกริ ยิ า เรียกว่า สารตัง้ ตน้ สารใหมท่ ีเ่ กดิ ข้นึ จากปฏกิ ิรยิ า เรียกว่า ผลติ ภัณฑ์ การเกิดปฏิกิริยา
เคมสี ามารถเขียนแทนไดด้ ้วยสมการขอ้ ความ
2) การเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมของสารตั้งต้นจะมีการจัดเรียงตัวใหม่ ได้เป็นผลิตภัณฑ์ ซึ่งมีสมบัติ
แตกต่างจากสารตงั้ ตน้ โดยอะตอมแต่ละชนดิ กอ่ นและหลังเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมีมจี ำนวนเท่ากนั
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรียนอธบิ ายการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี และอธิบายการจดั เรยี งตัวใหม่ของ
1) ดา้ นความรู้ (K) อะตอมกอ่ นและหลงั การเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี โดยใช้แบบจำลองและสมการ
ข้อความได้
2) ดา้ นทักษะ (P) นักเรยี นใช้ทักษะการสังเกต โดยสังเกตสมบตั ขิ องสารและการเปล่ียนแปลง
3) ดา้ นเจตคติ (A) ที่เกดิ ข้นึ บนั ทึกสง่ิ ทสี่ งั เกตได้
นกั เรียนตระหนกั ถงึ ความสำคัญของการใชอ้ ุปกรณก์ ารทำกิจกรรมได้
4. คณุ ลกั ษณะผู้เรียน ซื่อสัตย์สุจริต มงุ่ มน่ั ในการทำงาน
4.1 คณุ ลกั ษณะที่พึงประสงค์ ใฝ่เรยี นรู้ มจี ติ สาธารณะ
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง
มวี นิ ัย รักความเป็นไทย
5. ด้านสมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
ความสามารถในการคดิ : นักเรียนสามารถวเิ คราะห์การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี และการจัดเรียงตวั ใหม่
ของอะตอมก่อนและหลงั การเกดิ ปฏกิ ิริยาเคมี โดยใชแ้ บบจำลองและสมการข้อความ
6. สาระการเรยี นรู้
การเปลี่ยนแปลงทางเคมีหรือการเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ ซึ่งมี
สมบัตแิ ตกต่างไปจากสารเดิม การเกิดปฏิกิรยิ าเคมีอาจสังเกตไดจ้ ากการเปลี่ยนสี กลิน่ หรอื อุณหภูมิ มฟี องแก็ส
หรอื ตะกอนเกดิ ขนึ้ ยกตัวอย่างการเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีในแคลเซยี มคารบ์ อเนต
แคลเซียมคาร์บอเนต (calcium carbonate หรื CaCO3) พบมากในหินปูน หินงอก หินย้อย
แคลเซียมคารบ์ อเนต สามารถนำมาใช้ประโยชน์ไดอ้ ย่างกว้างขวาง นอกจากนำมาใช้ในยาลดกรดแล้ว ยังใช้ผลิต
สารต่าง ๆ เช่น ปูนขาว ปนู ซีเมนต์ ปนู ยาแนวกระเบ้อื ง สารท่ีมแี คลเซยี มคารบ์ อเนตเปน็ องค์ประกอบ เมือ่ สัมผัส
กับสารที่มีสมบัติเป็นกรด แคลเซียมคาร์บอเนตจะกร่อนบางลงและเกิดฟองแก็สไม่มีสี การเปลี่ยนแปลงที่เกิด
จากแคลเซียมคาร์บอเนตสัมผัสกับกรด เป็นการเกิดปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) เพราะเป็นการ
เปลี่ยนแปลงที่มสี ารใหม่เกิดข้ึน การอธิบายปฏกิ ริ ยิ าเคมีที่เกิดขึ้นสามารถใชแ้ บบจำลองที่เป็นสมการข้อความ
(word equation) ซึ่งเขียนแสดงสารที่เข้าทำปฏิกิริยาหรือสารตั้งต้น (reactant) และสารใหม่ที่เกิดขึ้นหรือ
ผลิตภณั ฑ์ (product) เช่น สมการขอ้ ความได้ดังน้ี
กรดไฮโดรคลอริก + แคลเซียมคาร์บอเนต แคลเซยี มคลอไรด์ + นำ้ + แกส็ คารบ์ อนไดออกไซด์
สารต้งั ตน้ ผลติ ภณั ฑ์
จากสมการข้อความข้างต้นจะพบว่าสารตั้งตัน ได้แก่ กรดไฮโดรคลอริก (hydrochloric acid หรือ
HCl) และแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อสารตั้งต้นปฏิกิริยาเคมีกัน จะได้เป็นผลิตภัณฑ์ ได้แก่ แคลเซียมคลอไรด์
(calcium chloride หรือ CaCl2) น้ำ (H2O) และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon dioxide หรือ CO2)
นอกจากกรดจะทำปฏิกิริยากับแคลเซียมคาร์บอเนตแล้ว กรดยังทำปฏิกิริยากับสารประกอบคาร์บอเนตอื่น ๆ
เชน่ โซเดยี มคารบ์ อเนต (sodium carbonate หรือ Na2CO3) ไดอ้ ีกดว้ ย
และเมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมของสารตั้งต้นจะแยกตัวออกจากกัน แล้วจัดเรียงตัวใหม่ ได้
ผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถแสดงได้ด้วยแบบจำลอง ซึ่งอะตอมจะไม่สูญหายหรือเกิดใหม่ มีเพียงการจัดเรียงตัวใหม่
ดงั นัน้ อะตอมแต่ละชนิดกอ่ นและหลงั เกดิ ปฏิกิริยาเคมจี งึ มจี ำนวนเท่าเดมิ
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชวั่ โมง; 60นาที)
ข้ันที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียน เพื่อนำเข้าสู่หน่วยการเรียนรู้ที่ 5 เรื่อง ปฏิกิริยาเคมี
โดย ใหน้ ักเรยี นดภู าพนำหน่วย (หนังสือเรยี นรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั ม.3 เล่ม 2 สสวท.
หน้า 4) หรือครใู ชว้ ธิ ีการสาธิตโดยนำผ้าที่เปื้อนหมกึ สจี ุ่มลงไปในน้ำ เปรียบเทยี บกับการนำผ้าท่เี ปือ้ นหมกึ สีจุม่ ลง
ไปในนำ้ ยาซกั ผา้ ขาว แล้วสงั เกตการเปลย่ี นแปลงท่เี กดิ ขึน้ จากน้ันอภิปรายรว่ มกัน โดยใชป้ ระเด็นคำถามดังน้ี
- จากภาพ 5.1 เปน็ ภาพอะไร (ภาพน้ำยาซกั ผ้าขาว)
- รอยเปื้อนบนผ้าหายไปได้อย่างไร เกี่ยวข้องกับปฏิกิริยาเคมีหรือไม่ (นักเรียนตอบตามความ
เข้าใจของตนเอง)
2) ให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรูก้ อ่ นเรียน (หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ชน้ั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 5) จำนวน 6 ขอ้ ดงั นี้
- การเกิดสนิมของตะปูเหลก็ (คำตอบคือ การเปลย่ี นแปลงทางเคมี)
- การผสมนำ้ หวานสแี ดงกับน้ำ (คำตอบคือ การเปลย่ี นแปลงทางกายภาพ)
- การจุดไม้ขดี (คำตอบคอื การเปล่ียนแปลงทางเคมี)
- การหลอมเหลวของน้ำแขง็ (คำตอบคือ การเปลีย่ นแปลงทางกายภาพ)
- การผสมน้ำอัญชันกับมะนาว (คำตอบคอื การเปล่ยี นแปลงทางเคมี)
- การต้มน้ำ (คำตอบคอื การเปลยี่ นแปลงทางกายภาพ)
3) ครูตรวจสอบการทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าไม่ถูกต้องให้แก้ไขความเข้าใจ
คลาดเคล่อื นของนักเรียน เพื่อให้นกั เรยี นมีความรู้พนื้ ฐานท่ีถกู ต้องและเพยี งพอทจี่ ะเรียนเรือ่ งปฏิกิรยิ าเคมี และ
อภิปรายร่วมกัน เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า การเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ โดยอาจ
สังเกตได้จากการเปลี่ยนสี กลิ่น หรืออุณหภูมิ มีฟองแก๊สหรือมีตะกอนเกิดขึ้น และบางครั้งการเปลี่ยนแปลง
ดงั กลา่ วท่ีสังเกตเหน็ อาจไม่มีปฏิกิรยิ าเคมีเกิดขึน้ เช่น การเปลี่ยนสเี ม่ือผสมนำ้ หวานกับนำ้
ข้ันที่ 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (20 นาที)
4) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมที่ 5.1 การเกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นอย่างไร โดยใช้คำถามว่านักเรียน
คดิ วา่ เราสามารถใชแ้ บบจำลองอธิบายปฏิกิริยาเคมีทีเ่ กิดขน้ึ ได้อยา่ งไร (นักเรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง)
5) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หนา้ 6 และครูตรวจสอบความเขา้ ใจ
การอ่าน โดยใช้คำถามดงั ตอ่ ไปนี้
- กจิ กรรมนี้เก่ียวกบั เรอ่ื งอะไร (การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี)
- กจิ กรรมนมี้ จี ดุ ประสงค์อะไร (สังเกตและอธบิ ายการเกดิ ปฏิกิริยาเคมีโดยใช้แบบจำลอง)
- วธิ ดี ำเนินกจิ กรรมมีข้นั ตอนโดยสรุปอยา่ งไร (รินสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ลงในแคลเซียม
คาร์บอเนต แล้วสังเกตการเปลี่ยนแปลง จากนั้นสืบค้นข้อมูลและใช้แบบจำลองเพื่ออธิบายการเปลี่ยนแปลงที่
เกดิ ขนึ้ )
- ข้อควรระวังในการทำกิจกรรมมีอะไรบ้าง (ระวังการสัมผัสสารละลายกรดไฮโดรคลอริก
ในกรณีที่สัมผสั สารละลายดงั กล่าว ให้ปล่อยนำ้ ปริมาณมากไหลผา่ นบริเวณทสี่ ัมผัส)
- นกั เรยี นต้องสงั เกตหรือรวบรวมขอ้ มลู อะไรบา้ ง (สังเกตและบันทกึ ข้อมูลเกีย่ วกบั ลักษณะของ
สารทใี่ ช้ในกิจกรรมการเปลีย่ นแปลงทเ่ี กิดขึน้ เมอื่ รินสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ลงในแคลเซยี มคารบ์ อเนต และ
รวบรวมข้อมลู สารท่ีเกดิ ข้ึนทงั้ หมดจากการเปล่ยี นแปลง)
6) ขณะท่ีนักเรียนแตล่ ะกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกจิ กรรมของนักเรียนแต่ละกล่มุ
และใหค้ ำแนะนำ ถ้านกั เรียนมขี อ้ สงสยั ในประเดน็ ต่าง ๆ ทอ่ี าจเปน็ ปัญหา เชน่ วธิ กี ารรนิ สาร ควรรินช้า ๆ หรือ
รินสารละลายผ่านด้านในของหลอดทดลอง ไม่ควรรินลงบนแคลเซียมคาร์บอเนตโดยตรงเนื่องจากอาจกระเดน็
หรือเกิดฟองแก๊สขึ้นมาถึงปากหลอดทดลองได้ ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และข้อสงสัยที่พบจากการทำกจิ กรรม
ของนักเรยี นเพ่อื ใชเ้ ป็นข้อมูลประกอบการอภิปรายหลังจากการทำกิจกรรม
ขัน้ ที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (10 นาที)
7) นักเรียนบนั ทกึ การทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการคน้ คว้ากิจกรรมท่ี 5.1 การเกิดปฏิกิริยา
เคมีเป็นอย่างไร โดยสรุปผลของกิจกรรมและตอบคำถามท้ายกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า เม่ือ
ผสมแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารละลายกรดไฮโดรคลอริกจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ คือ
แคลเซียมคลอไรด์ นํ้า และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การเปลี่ยนแปลงดังกลา่ วเปน็ ผลจากการเกิดปฏิกริ ิยาเคมี
(chemical reaction) ซงึ่ สามารถใช้แบบจำลองในการอธิบายปฏิกิริยาทีเ่ กิดข้ึนได้
ข้ันท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที)
8) นกั เรียนเรยี นร้เู พิ่มเตมิ เกย่ี วกบั ปฏิกิรยิ าเคมี โดยใช้ประเดน็ คำถามเพ่ิมเติมดังนี้
- จากปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดไฮโดรคลอริกและแคลเซียมคาร์บอเนต สารใดเป็นสารตั้งต้น
และสารใดเป็นผลติ ภัณฑ์ (แนวคำตอบ กรดไฮโดรคลอรกิ และแคลเซียมคาร์บอเนตเปน็ สารตง้ั ต้น
สว่ นแคลเซยี มคลอไรด์ น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลิตภณั ฑ)์
- แผนภาพนเ้ี รียกวา่ อะไร
กรดไฮโดรคลอรกิ + แคลเซียมคาร์บอเนต → แคลเซยี มคลอไรด์ + น้ำ + แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
(แนวคำตอบ สมการขอ้ ความ)
9) ครูอาจยกตัวอย่างปฏิกิริยาเคมีอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ปฏิกิริยาการเผาถ่าน ซึ่งเป็นปฏิกิริยา
ระหวา่ งคาร์บอนและแก๊สออกซเิ จน ได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (คาร์บอนและแกส๊ ออกซิเจนเปน็ สารต้ังต้น สว่ น
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เป็นผลิตภัณฑ์) จากนั้นให้นักเรียนลองเขียนสมการข้อความจากปฏิกิริยาดังกล่าว
(คารบ์ อน + แกส๊ ออกซิเจน → แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด)์ แลว้ ให้นักเรียนตอบคำถามระหว่างเรียน
- สมการข้อความตอ่ ไปนี้ มสี ารใดบ้างเป็นสารตัง้ ต้น สารใดบา้ งเป็นผลิตภณั ฑ์
แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ + แคลเซยี มไฮดรอกไซด์ → แคลเซียมคาร์บอเนต + นำ้
(แนวคำตอบ แก๊สคารบ์ อนไดออกไซดแ์ ละแคลเซียมไฮดรอกไซดเ์ ป็นสารตง้ั ตน้ สว่ นแคลเซยี มคารบ์ อเนตและน้ำ
เปน็ ผลติ ภัณฑ์)
- การเกิดปฏิกิริยาเคมีระหวา่ งโซเดียมไฮโดรเจนคาร์บอเนตกับกรดไฮโดรคลอริกได้ผลิตภัณฑ์
เป็นโซเดียมคลอไรด์ แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ เขียนแทนด้วยสมการข้อความได้อย่างไร (แนวคำตอบ
โซเดียมไฮโดรเจนคารบ์ อเนต + กรดไฮโดรคลอริก → โซเดยี มคลอไรด์ + แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ + น้ำ)
10) ครูอธบิ ายเพ่มิ เติม โดยใชส้ อ่ื วดี ทิ ศั นเ์ ร่อื ง การจัดเรียงตวั ใหม่ของอะตอมเม่อื เกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี
(สืบค้นได้จาก ipst.me/10603) ซึ่งสามารถแสดงได้ด้วยแบบจำลองตัวอย่าง การจัดเรียงใหม่ของอะตอมใน
ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดไฮโดรคลอริกกับแคลเซียมคาร์บอเนต เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมจะไม่สูญหายหรือ
เกิดขึ้นใหม่ มเี พยี งการเรียงตวั กนั ใหม่ ดังนัน้ อะตอมแตล่ ะชนดิ กอ่ นและหลังเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี จงึ มีจำนวนเท่าเดิม
ขั้นที่ 5 ขน้ั ประเมิน (Evaluation) (10 นาที)
11) ครูและนักเรยี นอภิปรายผลการทำกจิ กรรม การเกิดปฏิกิรยิ าเคมี จะไดข้ อ้ สรปุ วา่
- การเกิดปฏิกิริยาเคมี สารที่ทำปฏิกิริยา เรียกว่า สารตั้งต้น (reactant) ส่วนสารใหม่ท่ี
เกิดขึ้นจากปฏิกิริยา เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (product) การอธิบายการเกิดปฏิกริ ิยาเคมีอาจใช้แบบจำลองที่เขียน
แสดงสารต้ังตน้ และผลติ ภัณฑ์ท่เี รียกว่า สมการข้อความ (word equation)
- การเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมแต่ละชนิดก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีมีจำนวนเท่ากัน
โดยอะตอมไมส่ ญู หายหรือเกดิ ขนึ้ ใหม่ แตม่ กี ารจดั เรียงตวั กนั ใหม่
12) ครูตรวจสอบการสง่ แบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมิน (Rubrics Score)
8. ส่ือการเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 อปุ กรณท์ ำกจิ กรรม: จำนวน 9 รำยกำร ดังแสดงแนบไวใ้ นใบกจิ กรรมที่ 5.1 การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
เปน็ อย่างไร
8.2 คลิปวีดิทัศน์: การจัดเรียงตัวใหมข่ องอะตอมเมื่อเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
8.3 ใบกิจกรรม: ใบกจิ กรรมท่ี 5.1 การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ป็นอย่างไร
8.4 แบบบันทกึ กิจกรรม: แบบบนั ทกึ การคน้ คว้ากิจกรรมท่ี 5.1 การเกิดปฏิกริ ยิ าเคมีเปน็ อย่างไร
8.5 แหล่งเรียนรู้: หนงั สือเรยี นรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปที ี่ 3
เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551
(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
9. การวัดและการประเมิน
ตัวช้วี ัด/ผลการเรียนรู้ วิธกี ารวัด เครื่องมือวัด เกณฑท์ ่ีใช้ในการประเมนิ
1. อธิบายการเกดิ ปฏิกริ ิยา - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามท้ายกิจกรรมที่ 5.1 - ไดไ้ ม่นอ้ ยกว่า 2 คะแนน
เคมี และอธิบายการจดั เรยี ง ทา้ ยกิจกรรมท่ี 5.1 การเกิดปฏกิ ิริยาเคมเี ป็น ระดับคุณภาพดี ถอื ว่า
ตวั ใหม่ของอะตอมกอ่ นและ อย่างไร จำนวน 4 ขอ้ ผ่านการประเมิน
หลงั การเกดิ ปฏิกิริยาเคมี ด้านความรู้
(ด้านความรู้: K)
2. การใชท้ ักษะการสังเกต - ตรวจการทำแบบ - แบบบันทึกการค้นควา้ - ได้ไมน่ ้อยกว่า 2 คะแนน
กจิ กรรมที่ 5.1 ระดับคุณภาพดี ถอื ว่า
โดยสังเกตสมบัตขิ อง บนั ทกึ การคน้ คว้า การเกดิ ปฏิกริ ิยาเคมี ผา่ นการประเมนิ
เปน็ อยา่ งไร ด้านกระบวนการ
สารและการเปลี่ยนแปลง กิจกรรมท่ี 5.1
ที่เกิดข้นึ บนั ทกึ ส่ิงท่ีสงั เกตได้
(ด้านกระบวนการ: P)
ตัวชวี้ ัด/ผลการเรียนรู้ วธิ ีการวดั เครื่องมอื วัด เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการประเมิน
3. ตระหนกั ถงึ ความสำคัญ - สงั เกตการใชง้ าน - เกณฑ์การประเมินการใช้ - ไดไ้ มน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
ของการใชอ้ ปุ กรณ์
การทำกิจกรรมได้ อุปกรณใ์ นกิจกรรม งานอุปกรณใ์ นกจิ กรรม ระดับคุณภาพดี ถือวา่
(ด้านเจตคติ: A) ของนกั เรยี น ของนักเรียน ผ่านการประเมนิ
ดา้ นเจตคติ
9.1 เกณฑ์การประเมนิ ผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมนิ คา่ นำ้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การให้คะแนนตอบ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 5.1 ถกู ต้อง จำนวน 3-4 ขอ้
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 5.1 ถูกต้อง จำนวน 2 ขอ้
กจิ กรรมท่ี 5.1 2 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 5.1 ถูกตอ้ ง จำนวน 1 ขอ้ หรอื ไม่ถกู ต้อง
1
การใหค้ ะแนนการบนั ทึก บันทึกผลจากการสงั เกตสมบตั ขิ องสารและการเปลีย่ นแปลงทเ่ี กดิ ข้ึน
แบบบนั ทึกการค้นคว้า 3 โดยอธบิ ายลงในแบบบันทกึ การคน้ คว้าไดช้ ดั เจน ถกู ต้อง ครบทกุ
กิจกรรมที่ 5.1 ประเดน็ สอดคลอ้ งกบั เนือ้ หาในกิจกรรม ลงในตารางบนั ทกึ ผล
การให้คะแนน บนั ทึกผลจากการสงั เกตสมบตั ขิ องสารและการเปล่ียนแปลงท่ีเกิดขน้ึ
การใช้งานอุปกรณ์ 2 โดยอธิบายลงในแบบบันทึกการคน้ ควา้ ไดถ้ ูกต้องในแต่ละประเด็น
ในกิจกรรม สอดคล้องกบั เน้อื หาในกิจกรรม แต่ยังมขี ้อผิดพลาดเล็กนอ้ ยทไ่ี มถ่ ูกต้อง
บนั ทึกผลจากการสังเกตสมบัติของสารและการเปลยี่ นแปลงที่เกิดขนึ้
1 โดยอธบิ ายลงในแบบบันทกึ การคน้ คว้าได้ไม่ถูกตอ้ ง มขี ้อผิดพลาดทำให้
ไม่สอดคล้องกับเนอื้ หาในกจิ กรรม
ใช้งานอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ถกู วิธี หยบิ เคล่ือนยา้ ยอปุ กรณ์
3 อยา่ งระมัดระวงั ไมห่ ยอกลอ้ หรือแกล้งเพอ่ื นขณะกำลงั ใชง้ านอุปกรณ์
และหลังการใช้งานอุปกรณ์มกี ารเก็บรักษาอยา่ งถูกวิธี
ใช้งานอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ถูกวิธี หยิบ เคล่ือนย้ายอปุ กรณ์
2 อยา่ งระมดั ระวงั ไม่หยอกล้อหรือแกล้งเพ่อื นขณะกำลงั ใช้งานอปุ กรณ์
แต่หลงั การใชง้ านอปุ กรณ์ไม่มกี ารเก็บรกั ษาอยา่ งถูกวธิ ี หรือไมเ่ กบ็
อุปกรณเ์ ข้าตู้เกบ็ อุปกรณ์ตามประเภทของอปุ กรณ์
ใชง้ านอุปกรณ์การทดลองในกิจกรรมได้ แต่ขณะหยบิ เคล่ือนยา้ ยอุปกรณ์
1 หรือกำลังใชง้ านอปุ กรณ์ จะหยอกลอ้ หรือแกล้งเพ่ือน อาจทำใหอ้ ุปกรณ์
เสียหายได้ และหลงั การใชง้ านอุปกรณไ์ ม่มกี ารเกบ็ รกั ษาอยา่ งถูกวธิ ี
9.2 ระดบั คุณภาพ หมายถงึ ดีมาก
หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉลย่ี 3.00 หมายถึง พอใช้
คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลยี่ 0.01 - 1.99
ดงั น้ัน นกั เรียนต้องได้คะแนนเฉล่ยี ทกุ ประเดน็ การประเมนิ ไมต่ ่ำกวา่ 2.00 แสดงระดบั
คุณภาพ ดี ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ในแผนการจดั การเรียนที่ 1
สอื่ การเรียนรแู้ ผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 1: ส่ือวีดิทัศน์
คลิปวีดที ศั น์: การจัดเรยี งตัวใหมข่ องอะตอมเมอื่ เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี
สื่อวีดิทัศน์เร่ือง การจัดเรียงตวั ใหม่ของอะตอมเมื่อเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี เมื่อเกิดปฏิกิริยาเคมี อะตอมของ
สารตั้งต้นจะแยกตัวออกจากกัน แล้วจัดเรียงใหม่ จะได้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งสามารถแสดงไดด้ ้วยแบบจำลองตัวอยา่ ง
การจดั เรยี งใหม่ของอะตอมในปฏิกิริยาเคมรี ะหว่างกรดไฮโดรคลอริกกับแคลเซียมคาร์บอเนต เม่ือเกิดปฏิกิริยา
เคมี อะตอมจะไม่สูญหายหรือเกิดขึ้นใหม่ มีเพียงการเรียงตัวกันใหม่ ดังนั้นอะตอมแต่ละชนิดก่อนและหลัง
เกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี จงึ มีจำนวนเท่าเดมิ
แหลง่ ท่มี า: เว็บไซตอ์ ้างองิ ipst.me/10603
เผยแพร่เมอื่ 30 สงิ หาคม พ.ศ. 2562
(เจ้าของผลงาน สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.))
ส่ือการเรยี นรแู้ ผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1: ใบกจิ กรรมที่ 5.1
ใบกิจกรรมท่ี 5.1 การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ปน็ อยา่ งไร
หนังสือเรยี นรำยวิชำพ้นื ฐำนวทิ ยำศำสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศึกษำปีท่ี 3 เลม่ 2 ตำมหลักสูตรแกนกลำง
กำรศึกษำขนั้ พน้ื ฐำน พุทธศักรำช 2551 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษำธิกำร หน้ำ 6
กิจกรรมที่ 5.1 การเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีเป็นอยา่ งไร?
จุดประสงค์ สังเกตและอธิบายการเกดิ ปฏิกิริยาเคมโี ดยใชแ้ บบจำลอง
วสั ดอุ ุปกรณ์ วสั ดทุ ใี่ ชต้ ่อกลมุ่
1. สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ หรอื สารละลาย 10 cm3
กรดเกลอื ความเข้มขน้ 0.6 โมลตอ่ ลิตร
2. บีกเกอรข์ นาด 50 cm3 1 ใบ
3. กระบอกตวงขนาด 10 cm3 1 ใบ
4. ชอ้ นตักสารเบอร์สอง 1 คัน
5. หลอดทดลองขนาดใหญ่ 1 หลอด
6. ทว่ี างหลอดทดลอง 1 อัน
7. แวน่ ตานริ ภยั เท่าจำนวนนักเรียนในกลมุ่
8. ถงุ มือยาง เท่าจำนวนนักเรยี นในกลมุ่
วสั ดทุ ีใ่ ช้ต่อห้อง
1. แคลเซยี มคาร์บอเนต 1 กระปกุ
วธิ ีดำเนินกิจกรรม 1. ตกั แคลเซียมคำร์บอเนตปรมิ ำณ 1 ช้อนเบอรส์ อง ลงในหลอดทดลองขนำดใหญ่
สงั เกตลกั ษณะสำรและบันทกึ ผล
2. รินสำรละลำยกรดไฮโดรคลอริกปรมิ ำตร 10 ลูกบำศก์เชนติเมตร ลงในบกี เกอร์
สังเกตลักษณะสำรและบันทกึ ผล
3. รินสำรละลำยกรดไฮโดรคลอริกลงในแคลเซยี มคำร์บอเนต เขยำ่ สังเกต
กำรเปลยี่ นแปลงและบนั ทกึ ผล
4. สบื ค้นสำรท่เี กดิ ขน้ึ ท้งั หมดจำกกำรเปลี่ยนแปลงและบันทึกผล
5 นำเสนอข้อมลู ท่ีได้จำกกำรทำกิจกรรมและกำรสืบคน โดยใช้แบบจำลองอธบิ ำย
กำรเปล่ียนแปลงที่เกดิ ข้ึน
กำรเตรยี มตัว กำรเตรียมสำรละลำยกรดไฮโดรคลอรกิ ควำมเขม้ ข้น 0.6 โมลต่อลิตร ปริมำตร
ล่วงหน้ำสำหรบั ครู 80 ลกู บำศกเ์ ซนติเมตร (สำหรบั 8 กลมุ่ ) เตรียมไดโ้ ดยรินน้ำประมำณ 40 ลกู บำศก์
เซนตเิ มตร ลงในภำชนะ จำกนน้ั รนิ สำรละลำยกรดไฮโดรคลอรกิ เข้มข้น 6 โมลตอ่ ลติ ร
ปริมำตร 8 ลูกบำศก์เซนตเิ มตร ใส่ในภำชนะ แล้วเตมิ น้ำจนมีปริมำตรรวมเป็น
80 ลกู บำศก์เซนตเิ มตร
กิจกรรมท่ี 5.1 การเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมเี ป็นอยา่ งไร?
ข้อควรระวัง • ครคู วรสวมหน้ำกำกขณะเตรียมสำรละลำยกรดไฮโดรคลอริก และควรเตรยี มใน
บรเิ วณทมี่ อี ำกำศถำ่ ยเท เนื่องจำกสำรละลำยกรดไฮโดรคลอริกควำมเข้มข้น
ขอ้ เสนอแนะใน 6 โมลต่อลิตร จะมีไอของกรดระเหยออกมำตลอดเวลำ
กำรทำกิจกรรม • หลกั กำรเตรยี มสำรละลำยกรด ตอ้ งเทกรดลงในภำชนะท่ีมีนำ้ ก่อนเสมอ
เพื่อควำมปลอดภยั
กำรรนิ สำรละลำยกรดไฮโดรคลอรกิ ลงในบีกเกอรท์ ม่ี ีแคลเซยี มคำร์บอเนต
ควรรนิ สำรละลำยชำ้ ๆ ผ่ำนด้ำนในของหลอดทดลอง ไมค่ วรรนิ สำรละลำยลงบน
แคลเซยี มคำรบ์ อเนตโดยตรง เนอ่ื งจำกสำรอำจกระเด็นหรอื เกดิ ฟองแก๊สข้ึนมำถงึ
ปำกหลอดทดลองได้
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. การเปล่ียนแปลงทเ่ี กดิ ขนึ้ เป็นการเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมหี รอื ไม่ ทราบไดอ้ ยา่ งไร
2. สารทไี่ ดจ้ ากการเปลี่ยนแปลงดังกลา่ วมสี ารใดบ้าง
3. ใชแ้ บบจำลองอธิบายการเปลี่ยนแปลงนี้ไดอ้ ยา่ งไร
4. จากกจิ กรรม สรปุ ได้ว่าอยา่ งไร
สือ่ การเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 1: แบบบันทึกกำรค้นคว้ำกิจกรรมท่ี 5.1
แบบบนั ทึกกำรค้นคว้ำกิจกรรมท่ี 5.1 การเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมเี ป็นอยา่ งไร
ชื่อ-นามสกุล..........................................................................................ชน้ั .................เลขที่...........กลมุ่ ท.่ี ...........
ตารางบันทึกผล ผลทส่ี งั เกตได้
สาร
แคลเซียมคาร์บอเนต ………………..……………………………………………………………
สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ ………………..……………………………………………………………
แคลเซียมคารบ์ อเนต + สารละลายกรดไฮโดรคลอริก ………………..……………………………………………………………
………………..……………………………………………………………
ผลจากการทำกิจกรรม
ผลการสืบค้น ผลการสร้างแบบจำลอง
………………..…………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………
………………..…………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………
………………..…………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………
………………..…………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………
………………..…………………………………………………………… ………………..……………………………………………………………
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้นึ เปน็ การเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีหรือไม่ ทราบไดอ้ ยา่ งไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. สารทไ่ี ด้จากการเปลีย่ นแปลงดงั กลา่ วมีสารใดบา้ ง
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ใชแ้ บบจำลองอธบิ ายการเปล่ยี นแปลงนไี้ ดอ้ ยา่ งไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. จากกจิ กรรม สรปุ ไดว้ า่ อย่างไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนบท้ายแผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 1: การใหค้ ะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบนั ทกึ การคน้ ควา้ กจิ กรรมท่ี 5.1 การเกิดปฏกิ ิริยาเคมีเปน็ อยา่ งไร
ตารางบันทึกผล ผลท่สี งั เกตได้
สาร
แคลเซียมคารบ์ อเนต ของแขง็ เปน็ ผง (หรือเปน็ เม็ด) สีขาว
สารละลายกรดไฮโดรคลอริก ของเหลว ใส ไมม่ ีสี
แคลเซยี มคารบ์ อเนต + สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ แคลเซียมคาร์บอเนตมขี นาดหรอื ปริมาณลดลง
จนหมดไป และมฟี องแก๊สเกิดข้นึ
ผลจากการทำกิจกรรม
ผลการสืบคน้ ผลการสร้างแบบจำลอง
สารที่เกิดข้นึ จากการรินสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ นักเรยี นสามารถสรา้ งแบบจำลองไดต้ ามความคดิ
ลงในแคลเซียมคาร์บอเนต คือ แคลเซยี มคลอไรด์ นำ้ ของตนเอง เชน่ อาจเขยี นรูปอนภุ าคเปน็ ทรงกลม
และแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ อาจเขียนเป็นสมการขอ้ ความหรอื สมการเคมี
ตวั อยา่ งคำตอบ เชน่
กรดไฮโดรคลอริก + แคลเซียมคารบ์ อเนต →
แคลเซยี มคลอไรด์ + น้ำ + แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
แนบทา้ ยแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 1: การให้คะแนนดา้ นความรู้ (K)
เฉลยใบกิจกรรมที่ 5.1 การเกิดปฏิกริ ิยาเคมีเป็นอย่างไร
เฉลยคำถามท้ายกิจกรรม
1. การเปล่ียนแปลงทีเ่ กดิ ขึน้ เป็นการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมหี รอื ไม่ ทราบได้อยา่ งไร
แนวคำตอบ การเปล่ียนแปลงทเี่ กดิ ขึ้นเป็นการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี สังเกตได้จากการเกิดฟองแกส๊ ซงึ่ เป็น
สารใหม่ที่เกิดขน้ึ
2. สารท่ไี ด้จากการเปล่ยี นแปลงดังกล่าวมสี ารใดบ้าง
แนวคำตอบ แคลเซียมคลอไรด์ น้ำ และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์
3. ใช้แบบจำลองอธบิ ายการเปลย่ี นแปลงน้ไี ดอ้ ย่างไร
แนวคำตอบ นักเรยี นอาจตอบได้หลากหลายตามแบบจำลองของนกั เรียน ตัวอย่างคำตอบ เช่น
ใช้สมการข้อความในการอธิบายการเปลีย่ นแปลง โดยเขียนชอื่ สารตัง้ ต้นไว้ทางดา้ นซา้ ยมอื จากนั้นเขยี น
ลกู ศรช้ไี ปที่ชื่อผลิตภณั ฑท์ างด้านขวามือ จะได้ดังน้ี
กรดไฮโดรคลอรกิ + แคลเซียมคารบ์ อเนต → แคลเซยี มคลอไรด์ + นำ้ + แก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์
4. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
แนวคำตอบ เมอื่ ผสมแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ จะมฟี องแก๊สเกดิ ขนึ้
การเปล่ียนแปลงดงั กลา่ วเป็นการเกิดปฏิกิรยิ าเคมี เนอื่ งจากเกิดฟองแก๊สซงึ่ เปน็ สารใหม่ โดยสารท่ีเขา้ ทำ
ปฏกิ ริ ยิ า ไดแ้ ก่ กรดไฮโดรคลอรกิ และแคลเซียมคาร์บอเนต สารทไี่ ด้จากปฏกิ ริ ยิ า ได้แก่ แคลเซียมคลอไรด์
น้ำ และแกส๊ คาร์บอนไดออกไซด์ ซ่ึงสามารถใช้แบบจำลองในการอธิบายปฏกิ ริ ยิ าทเ่ี กดิ ขึ้นได้
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 2
เรอ่ื ง มวลรวมของสารก่อนและหลงั เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี รหัสวชิ า ว23102 เวลา 1 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 5 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ปฏกิ ิริยาเคมแี ละวัสดใุ นชีวิตประจำวัน รวม 17 ชั่วโมง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นที่ 2
สาระท่ี 2 ชือ่ สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชีว้ ดั
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ิของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัตขิ องสสารกบั โครงสร้าง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารการเกิดสารละลาย
และการเกดิ ปฏิกิรยิ าเคมี
ตัวชว้ี ัด
ว 2.1 ม.3/4 อธิบายกฎทรงมวล โดยใช้หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) เม่ือเกิดปฏิกิรยิ าเคมี มวลรวมของสารตงั้ ตน้ เท่ากับมวลรวมของผลติ ภณั ฑ์ ซง่ึ เปน็ ไปตามกฎทรงมวล
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรยี นอธบิ ายกฎทรงมวลในปฏกิ ิริยาเคมีได้
1) ดา้ นความรู้ (K) นกั เรยี นใช้ทกั ษะการวดั โดยใชเ้ คร่ืองชัง่ วัดมวลและกระบอกตวง
2) ด้านทกั ษะ (P) วดั ปรมิ าตรของสารได้
นกั เรยี นตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของการใช้อุปกรณ์การทำกิจกรรมได้
3) ด้านเจตคติ (A)
4. คุณลักษณะผู้เรยี น ซือ่ สตั ยส์ ุจริต มุ่งม่นั ในการทำงาน
4.1 คณุ ลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ มีจติ สาธารณะ
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง
มีวนิ ัย รกั ความเป็นไทย
5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รยี น
ความสามารถในการสื่อสาร: นักเรียนสามารถใช้การสือ่ สาร เพ่อื นำเสนอข้อมูลที่ไดจ้ ากการสังเกต
เพ่ืออธบิ ายกฎทรงมวล
6. สาระการเรียนรู้
เมอ่ื เกดิ ปฏิกริ ยิ าคมี อะตอมของสารตั้งต้นจะมีการจดั เรยี งตัวใหมไ่ ดเ้ ป็นผลิตภัณฑ์ โดยไม่มีอะตอมใด
สูญหายใหม่ ดังนั้นมวลรวมของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาเคมีจะเท่ากับมวลรวมของสารหลังเกิดปฏิกิริยาเคมี
ซึ่งเป็นไปตาม กฎทรงมวล (law of conservation of mass) ในกรณีที่ผลิตภัณฑ์เป็นแก๊ส ซึ่งเก็บไว้ใน
ภาชนะท่ีปิดมดิ ชิด ดังภาพ ปฏิกิรยิ าเคมีระหว่างกรดไฮครอริกและแคลเซยี มคารบ์ อเนตในภาชนะปิด มวลรวม
ของสารก่อนเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี จะเท่ากับมวลรวมของสารหลังเกิดปฏิกิริยาเคมี แต่ถ้าทำปฏิกริ ยิ าเคมีในภาชนะ
เปิด ดังภาพ ปฏิกิริยาเคมีระหว่างกรดไฮครอริกและแคลเซียมคาร์บอเนตในภาชนะเปิด แก๊สที่เกิดขึ้นจะออก
สบู่ รรยกาศ ทำใหม้ วลรวมที่อ่านได้จากเคร่ืองชง่ั หลังเกิดปฏิกริ ิยาเคมีน้อยกว่ามวลรวมองสารก่อนเกิดปฏิกิริยา
เคมี ซ่งึ มวลท่หี ายไปเท่ากับมวลของแก๊สคารบ์ อนไดออกไซดท์ อี่ อกสบู่ รรยากาศน่ันเอง
ภาพแสดง ปฏกิ ริ ิยาเคมีระหวา่ งกรดไฮครอรกิ และแคลเซียมคารบ์ อเนตในภาชนะปิด
ภาพแสดง ปฏิกริ ยิ าเคมรี ะหวา่ งกรดไฮครอรกิ และแคลเซียมคารบ์ อเนตในภาชนะเปดิ
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ช่ัวโมง; 120นาที)
ขน้ั ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (15 นาที)
1) ครูกระตนุ้ ความสนใจของนักเรยี น ก่อนการทำกจิ กรรมตามการทดลองในเรื่อง มวลรวมของ
สารก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยให้นักเรียนดูแผนภาพแสดงสารตั้งต้นที่ใช้ในการทดลอง ประกอบด้วย
สารละลายโซเดียมคาร์บอเนต สารละลายแคลเซียมคลอไรด์ และสารละลายกรดไฮโดรคลอริก หรือครูใช้
วิธกี ารสาธิตสารละลายของจริงท่ีเตรียมไว้ เพือ่ พดู คุยถึงลักษณะทางกายภาพ ขอ้ คณุ สมบตั ิ และการนำไปใช้งาน
ของสารละลายแต่ละชนดิ
- โซเดยี มคาร์บอเนต หรือเรยี กวา่ โซดา แอช สูตรเคมี คือ Na2CO3 เปน็ สารประกอบเกลือของ
กรดคาร์บอนกิ มลี ักษณะเป็นผงสขี าว ไมม่ ีกลนิ่ สามารถดูดความชนื้ จากอากาศได้ดี ละลายได้ในน้ำ มีฤทธิ์เป็น
ด่างแก่เม่อื ละลายน้ำ ละลายไดเ้ ล็กน้อยในแอลกอฮอล์ พบในขเ้ี ถา้ ของพชื หลายชนิดและสาหร่ายทะเล (จงึ ได้ช่ือ
ว่า โซดา แอช เนื่องจาก แอช ในภาษาอังกฤษ หมายถึง ขี้เถ้า) เป็นสารเคมีทีใ่ ชใ้ นอุตสาหกรรมหลายชนดิ เช่น
แกว้ เซรามิก กระดาษ ผงซกั ฟอก สบู่ การแก้ไขนำ้ กระดา้ ง
- แคลเซียมคลอไรด์ (CaCl2) มีลักษณะเป็นผลึกสีขาว ใช้มากในงานอุตสาหกรรมทั่วไป
อตุ สาหกรรมอาหาร และอตุ สาหรรมการเกษตร เปน็ สารท่ดี ูดซบั ความชื้น และละลายได้ดีในนำ้ เมอื่ ละลายนำ้ จะ
เกดิ กรดไฮโดรคลอริก
- กรดไฮโดรคลอริก (HCl) หรือเรียกอีกชื่อ กรดเกลือ เป็นกรดที่มีใช้กันมากในอุตสาหกรรม
มีสถานะเป็นของเหลวที่มีค่าความเข้มข้นต่างๆ ใช้มากในการผลิตคลอไรด์ อุตสาหกรรมสี ชุบโลหะ ใช้ถลุงแร่
เพื่อผลิต ดีบุก และแทนทาลัม ใช้ในการปรับความเป็นกรด-ด่าง และทำความสะอาดผิวโลหะใช้ในโรงงาน
อุตสาหกรรมอนื่ ๆ
2) ครูเชอ่ื มโยงเข้าสกู่ ิจกรรมที่ 5.2 มวลรวมของสารก่อนและหลังเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีเป็นอย่างไร
โดยใชค้ ำถามวา่ คดิ ว่าการท่อี ะตอมของธาตุก่อนและหลงั เกิดปฏกิ ริ ิยาเคมมี ีจำนวนเท่าเดมิ จะทำใหม้ วลรวมของ
สารกอ่ นและหลงั เกดิ ปฏิกิรยิ าเคมีมีคา่ เทา่ เดมิ ด้วยหรือไม่ อย่างไร (นกั เรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)
ขัน้ ที่ 2 ขัน้ สำรวจและคน้ หา (Exploration) (60 นาที)
3) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พทุ ธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หนา้ 9 และครูตรวจสอบความเขา้ ใจ
การอา่ น โดยใช้คำถามดงั ต่อไปนี้
- กจิ กรรมน้เี กีย่ วกับเรอื่ งอะไร (มวลรวมของสารกอ่ นและหลังเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมี)
- กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (สังเกตและเปรียบเทียบมวลรวมของสารก่อนและหลัง
เกิดปฏิกริ ยิ าเคมี)
- วธิ ดี ำเนนิ กจิ กรรมมขี น้ั ตอนโดยสรปุ อยา่ งไร (ตอนท่ี 1 ทำกิจกรรมโดยชง่ั ภาชนะและอุปกรณ์
ท้งั หมดทีใ่ ชใ้ นกิจกรรม ช่งั มวลของสารละลายแคลเซยี มคลอไรด์และสารละลายโซเดียมคาร์บอเนตพรอ้ มภาชนะ
จากนนั้ รนิ สารละลายทง้ั สองผสมกนั สงั เกตการเปล่ียนแปลง ช่ังมวลของผลิตภณั ฑ์ทีเ่ กิดขึ้นพร้อมภาชนะทง้ั หมด
หามวลรวมของสารหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีเปรียบเทียบกับมวลรวมของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาเคมี ตอนที่ 2 ทำ
กจิ กรรมโดยออกแบบวิธีตรวจสอบผลการคาดคะเนมวลของสารก่อนและหลงั เกิดปฏิกิรยิ าเคมีระหว่างแคลเซียม
คารบ์ อเนตกับกรดไฮโดรคลอริก แลว้ ทำกิจกรรมตามท่ีออกแบบไว้)
- ข้อควรระวังในการทำกิจกรรมมีอะไรบ้าง (ระวังการสัมผัสสารละลายกรดไฮโดรคลอริก
ในกรณีที่สัมผัสสารละลายดังกล่าว ให้ปล่อยน้ำปริมาณมากไหลผ่านบริเวณที่สัมผัส สำหรับกิจกรรมตอนที่ 2
ควรใช้แคลเซียมคาร์บอเนตในปริมาณน้อย เพียง 1-2 เม็ด ในกรณีที่เป็นผงให้ใช้ปริมาณครึ่งช้อนเบอร์หนึ่ง
เนอื่ งจากการใช้สารในปริมาณมาก จะทำให้เกิดแก๊สในปริมาณมาก จนดันจกุ ยางที่ปดิ หลอดทดลองอยู่กระเด็น
ออกอย่างรวดเร็ว อาจเกดิ อนั ตรายตอ่ นกั เรียนได้)
- นักเรียนตอ้ งสงั เกตหรอื รวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (สังเกตและรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับ ลักษณะ
ของสารท่ีใช้ในกจิ กรรม มวลรวมของภาชนะ มวลรวมของสารก่อนเกิดปฏกิ ิริยา การเปลยี่ นแปลงท่ีเกิดข้ึน และ
มวลรวมของสารหลังเกดิ ปฏิกิริยา)
4) ขณะท่ีนักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกจิ กรรมของนักเรียนแต่ละกลมุ่
และให้คำแนะนำ ถา้ นกั เรียนมขี ้อสงสัยในประเด็นตา่ ง ๆ ท่ีอาจเปน็ ปญั หา เช่น การหามวลรวมของสารก่อนและ
หลังเกิดปฏิกิริยาเคมี ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และข้อสงสัยที่พบจากการทำกิจกรรมของนักเรียนเพื่อใช้เป็น
ข้อมลู ประกอบการอภปิ รายหลังจากการทำกิจกรรม
ข้ันท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (20 นาที)
5) นักเรยี นบนั ทกึ การทำกิจกรรมลงในแบบบนั ทกึ การคน้ คว้ากิจกรรมที่ 5.2 มวลรวมของสาร
กอ่ นและหลงั เกิดปฏิกิริยาเคมีเป็นอย่างไร ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรม และนำเสนอผลการทำกิจกรรม โดยครูและ
นกั เรียนรว่ มกนั อภิปรายโดยใชค้ ำถามดังนี้
ตอนท่ี 1 มวลรวมของสารก่อนและหลังเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมี
- ปฏกิ ิริยานีม้ แี กส๊ เข้ามาเกีย่ วขอ้ งหรอื ไม่ อยา่ งไร (ไมม่ แี ก๊สเข้ามาเกี่ยวข้อง)
- มวลรวมของสารก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีเท่ากันหรือไม่ เพราะเหตุใด (เท่ากัน เพราะ
สาร ตั้งต้นและผลติ ภัณฑ์ท้งั หมดยังอยใู่ นภาชนะ)
ตอนที่ 2 มวลรวมของสารกอ่ นและหลังเกิดปฏิกริ ยิ าเคมี เมอ่ื ผลติ ภัณฑท์ ่ไี ดเ้ ป็นแกส๊
- ปฏิกิริยานีม้ แี กส๊ เขา้ มาเกีย่ วขอ้ งหรอื ไม่ อย่างไร (มแี กส๊ เข้ามาเกีย่ วข้อง โดยแกส๊ ท่ีสังเกตเห็น
เป็นผลิตภัณฑท์ ี่เกดิ จากปฏิกิรยิ า)
- ถ้าปฏิกิริยามีแก๊สมาเกี่ยวข้อง นักเรียนจะออกแบบการทดลองอย่างไร เพื่อตรวจสอบมวล
รวมของสารก่อนและหลงั เกิดปฏิกิริยา (ออกแบบการทดลองโดยให้สารทำปฏกิ ิรยิ ากนั ในภาชนะทีป่ ิดมิดชิด โดย
ใช้จกุ ยางปิดหลอดทดลอง หรอื ใช้ลูกโป่งหุ้มทป่ี ากภาชนะ เพอื่ ปอ้ งกนั การเข้าหรอื ออกของแก๊สทเี่ กีย่ วขอ้ ง)
- มวลรวมของสารก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีเท่ากันหรือไม่ เพราะเหตุใด (เท่ากัน เพราะ
สารตัง้ ตน้ และผลติ ภณั ฑท์ ง้ั หมดยังอยใู่ นภาชนะ และไมม่ ีแก๊สเข้าหรือออกจากภาชนะ)
6) ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายสรุปผลของกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า
เมื่อผสมแคลเซียมคาร์บอเนตกับสารละลายกรดไฮโดรคลอริกจะมีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ คือ
แคลเซียมคลอไรด์ นํ้า และแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ การเปลี่ยนแปลงดังกลา่ วเป็นผลจากการเกิดปฏิกิริยาเคมี
(chemical reaction) ซึ่งสามารถใชแ้ บบจำลองในการอธิบายปฏิกิริยาทเ่ี กิดขน้ึ ได้
ขัน้ ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) (15 นาที)
7) นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับมวลรวมของสารก่อนและหลังเกิดปฏิกิริยาเคมี โดยอ่าน
เนื้อหาในหนงั สือเรียนหนา้ 10-11 และตอบคำถามระหว่างเรยี น โดยใช้ประเดน็ คำถามดงั น้ี
- นักเรียนคนหนึ่งตั้งน้ำปูนใสในภาชนะเปิด พบว่าเกิดตะกอนสีขาว เนื่องจากแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศลงไปทำปฏิกิริยากับนำ้ ปูนใส ได้ผลิตภัณฑ์เป็นแคลเซียมคารบ์ อเนตซึ่งไม่ละลาย
ในน้ำ เมือ่ นำไปช่ังพบวา่ มวลรวมทไ่ี ดห้ ลังจากนำ้ ปูนใสเกิดตะกอนสีขาวจะเพ่ิมขึน้ นกั เรียนคนนกี้ ล่าววา่ ปฏิกิริยา
ดงั กล่าวไม่เปน็ ไปตามกฎทรงมวล ขอ้ สรปุ ดงั กลา่ วถกู ต้องหรือไม่ อยา่ งไร (แนวคำตอบ ขอ้ สรุปดังกล่าวไม่ถูกต้อง
เนื่องจากปฏิกิริยานี้มสี ารตั้งต้นคือน้ำปูนใสและแก๊สคารบ์ อนไดออกไซด์ แต่มวลที่ชั่งก่อนเกิดปฏกิ ิรยิ าเคมเี ป็น
มวลของน้ำปูนใสเพียงชนิดเดียว ไม่ใชม่ วลรวมของสารตง้ั ตน้ ทัง้ หมดมวลที่ช่ังไดก้ ่อนเกดิ ปฏิกิริยาเคมีจึงมีค่าน้อย
กว่า ซึ่งถ้าออกแบบการทดลองให้สามารถชั่งมวลของแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ได้ มวลรวมของสารก่อนและ
หลงั เกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมีกจ็ ะมคี า่ เทา่ กัน)
- ในการเกิดปฏิกิริยาเคมี มวลรวมของสารหลังเกิดปฏิกิริยาเคมีอาจเพิ่มขึ้นหรือลดลง
เปน็ แนวคดิ ท่ีถูกตอ้ งหรือไม่ (แนวคำตอบทถ่ี กู ต้อง คือ มวลรวมของสารกอ่ นและหลงั เกดิ ปฏิกิริยาเคมีมีค่าเท่ากัน
ตามกฎทรงมวล)
ขน้ั ที่ 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) (10 นาที)
8) ครูและนกั เรียนอภิปรายผลการทำกิจกรรม มวลรวมของสารก่อนและหลงั เกิดปฏิกิริยาเคมี
จะได้ข้อสรุปว่า การเกิดปฏิกิริยาเคมีมวลรวมของสารก่อนเกิดปฏิกิริยาเคมี และมวลรวมของสารหลัง
เกิดปฏกิ ิรยิ าเคมีจะมคี า่ เท่ากัน ซึ่งเปน็ ไปตามกฎทรงมวล
9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. ส่ือการเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 อปุ กรณท์ ำกจิ กรรม: จำนวน 11 รำยกำร ดงั แสดงแนบไวใ้ นใบกิจกรรมที่ 5.2 มวลรวมของสาร
ก่อนและหลงั เกดิ ปฏิกิริยาเคมเี ปน็ อย่างไร
8.2 แผนภาพ: แสดง สารละลายโซเดยี มคาร์บอเนต สารละลายแคลเซียมคลอไรด์ และ
สารละลายกรดไฮโดรคลอรกิ
8.3 ใบกิจกรรม: ใบกิจกรรมท่ี 5.2 มวลรวมของสารกอ่ นและหลงั เกดิ ปฏกิ ิริยาเคมเี ป็นอยา่ งไร
8.4 แบบบันทกึ กิจกรรม: แบบบันทึกการค้นควา้ กิจกรรมที่ 5.2 มวลรวมของสารก่อนและหลังเกิด
ปฏกิ ิรยิ าเคมีเป็นอย่างไร
8.5 แหลง่ เรียนร:ู้ หนงั สอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศึกษา
ปที ี่ 3 เล่ม 2 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
9. การวดั และการประเมิน
ตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ วิธีการวัด เคร่อื งมอื วัด เกณฑ์ท่ีใช้ในการประเมนิ
1. อธิบายกฎทรงมวลใน - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 5.2 - ได้ไม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
ปฏกิ ิริยาเคมี ท้ายกิจกรรมที่ 5.2 มวลรวมของสารก่อนและ ระดบั คณุ ภาพดี ถือว่า
(ด้านความรู้: K) หลังเกิดปฏกิ ริ ิยาเคมีเป็น ผ่านการประเมิน
อยา่ งไร จำนวน 8 ขอ้ ดา้ นความรู้
2. การใชท้ กั ษะการวัด - ตรวจการทำแบบ - แบบบนั ทกึ การคน้ คว้า - ไดไ้ ม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
โดยใช้เครอ่ื งช่ังวดั มวลและ บันทกึ การคน้ ควา้ กจิ กรรมที่ 5.2 มวลรวม ระดบั คณุ ภาพดี ถือวา่
กระบอกตวงวดั ปรมิ าตรของ กิจกรรมท่ี 5.2 ของสารก่อนและหลงั ผ่านการประเมนิ
สารได้ (ด้านกระบวนการ: P) เกดิ ปฏิกริ ยิ าเคมีเป็น ด้านกระบวนการ
อย่างไร
3. ตระหนักถึงความสำคญั - สังเกตการใช้งาน - เกณฑก์ ารประเมนิ การใช้ - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน
ของการใช้อุปกรณ์ อปุ กรณ์ในกิจกรรม งานอปุ กรณ์ในกจิ กรรม ระดบั คณุ ภาพดี ถอื ว่า
การทำกจิ กรรมได้ ของนักเรยี น ของนกั เรียน ผา่ นการประเมิน
(ดา้ นเจตคติ: A) ดา้ นเจตคติ
9.1 เกณฑ์การประเมินผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมนิ คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 5.2 ถูกตอ้ ง จำนวน 7-8 ข้อ
คำถามทา้ ย 3 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 5.2 ถกู ต้อง จำนวน 4-6 ข้อ
กิจกรรมที่ 5.2 2 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมที่ 5.2 ถูกตอ้ ง จำนวน 1-3 ขอ้ หรอื ไม่ถกู ต้อง
1 บนั ทึกผลจากการวดั ปรมิ าตรของสารที่ได้จากการเปรยี บเทียบมวลรวม
การใหค้ ะแนนการบนั ทกึ ของสารกอ่ นและหลังเกิดปฏิกริ ิยาเคมี โดยบนั ทกึ ลงในตารางบนั ทกึ ผล
แบบบันทึกการค้นควา้ 3 และอธบิ ายลงในแบบบนั ทึกการค้นควา้ ไดช้ ัดเจน ถูกต้อง ครบทุก
ประเด็นสอดคล้องกบั เน้อื หาในกิจกรรม
กิจกรรมท่ี 5.1 2 บนั ทกึ ผลจากการวัดปรมิ าตรของสารทไี่ ด้จากการเปรียบเทยี บมวลรวม
ของสารก่อนและหลังเกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี โดยบนั ทกึ ลงในตารางบนั ทึกผล
1 และอธิบายลงในแบบบนั ทึกการคน้ คว้าได้ถูกต้อง แต่มีข้อผิดพลาดบ้าง
บนั ทึกผลจากการวัดปริมาตรของสารทไี่ ด้จากการเปรยี บเทียบมวลรวม
ของสารก่อนและหลงั เกดิ ปฏกิ ริ ยิ าเคมี โดยบนั ทึกลงในตารางบนั ทกึ ผลได้
แต่บันทกึ ลงในแบบบันทกึ การคน้ ควา้ ไม่ถูกต้อง มขี อ้ ผิดพลาด
ประเด็นการประเมิน คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การให้คะแนน ใชง้ านอปุ กรณ์การทดลองในกิจกรรมไดถ้ กู วิธี หยบิ เคลอ่ื นยา้ ยอุปกรณ์
การใชง้ านอปุ กรณ์ 3 อย่างระมดั ระวัง ไม่หยอกล้อหรือแกลง้ เพอ่ื นขณะกำลงั ใช้งานอปุ กรณ์
และหลังการใช้งานอปุ กรณม์ กี ารเก็บรักษาอย่างถูกวิธี
ในกจิ กรรม 2 ใช้งานอุปกรณ์การทดลองในกิจกรรมได้ถูกวิธี หยิบ เคล่อื นย้ายอปุ กรณ์
อย่างระมัดระวัง ไม่หยอกล้อหรือแกลง้ เพอ่ื นขณะกำลงั ใชง้ านอุปกรณ์
1 แตห่ ลังการใชง้ านอุปกรณไ์ ม่มีการเกบ็ รกั ษาอย่างถูกวิธี หรอื ไม่เก็บ
อปุ กรณ์เขา้ ตู้เก็บอุปกรณต์ ามประเภทของอุปกรณ์
ใชง้ านอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ แต่ขณะหยิบ เคล่ือนย้ายอปุ กรณ์
หรอื กำลงั ใชง้ านอุปกรณ์ จะหยอกล้อหรอื แกลง้ เพื่อน อาจทำให้อปุ กรณ์
เสียหายได้ และหลังการใชง้ านอุปกรณไ์ มม่ ีการเก็บรกั ษาอยา่ งถกู วธิ ี
9.2 ระดบั คุณภาพ หมายถงึ ดมี าก
หมายถงึ ดี
คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง พอใช้
คะแนนรวมเฉล่ยี 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลยี่ 0.01 - 1.99
ดงั น้นั นักเรียนต้องไดค้ ะแนนเฉล่ยี ทุกประเด็นการประเมนิ ไม่ต่ำกวา่ 2.00 แสดงระดับ
คณุ ภาพ ดี ถือว่าผา่ นเกณฑก์ ารประเมินในแผนการจัดการเรยี นที่ 2