จากภาพ จะเห็นว่าผู้ผลิตใช้พลังงานแสจากดวงอาทิตย์ในการสังเคราะห์ด้วยแสงเพื่อสร้างอาหารที่มี
พลงั งาน ซึง่ สะสมอยูใ่ นเนอื้ เยื่อต่าง ๆ ของผผู้ ลติ เม่อื ผู้บริโภคลำดบั ท่ี 1 กินผผู้ ลติ กจ็ ะได้รบั พลังงานบางส่วนจาก
ผู้ผลิตและนำพลังงานที่ได้รับบางส่วนไปสะสมในเนื้อเยื้อของตนเอง เพราะพลังงานส่วนใหญ่จะสูญเสียไปกับ
การทำกิจกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย เมื่อผู้บริโภคลำดับที่ 2 มากินผู้บริโภคลำดับที่ 1 และผู้บริโภคลำดับที่ 3
มากินผู้บริโภคลำดับที่ 2 ก็จะมีการนำพลังงานส่วนหนึ่งไปใช้ในกิจกรมของร่างกาย และเหลือพลังงานที่จะไป
สะสมในเน้อื เยอื่ ของผบู้ รโิ ภคเพียงส่วนหนงึ่ ทำให้ปริมาณพลังงานที่สะสมในเนอ้ื เย่อื ของผู้บริโภคแต่ละลำดับขั้น
ของการบรโิ ภคลดลงไปเร่ือย ๆ ดว้ ยเหตุนผ้ี ู้บรโิ ภคในแตล่ ะลำดับขัน้ จำเป็นต้องกินส่ิงมีชวี ติ ในลำดับขั้นที่ต่ำกว่า
เปน็ อาหารในปรมิ าณที่มากเพยี งพอจึงจะสามารถดำรงชวี ิตและทำกิจกรรมตา่ ง ๆ ได้
การใช้สารเคมีในกิจกรรมต่าง ๆ ของมนษุ ย์ เช่น การกำจัดศัตรูพืช การใช้สารเคมีในกระบวนการผลิต
ของอุตสาหกรรม การทำเหมืองแร่ สารเคมีเหล่านี้อาจเป็นสารพิษหรืออาจมีสารพิษเจือปนอยู่ ทำให้เกิดการ
ปนเปื้อนและการสะสมของสารพิษอยู่ในแหล่งน้ำ ดิน อากาศ รวมถึงสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในระบบนิเวศนั้น ๆ ด้วย
ขณะที่ส่ิงมชี วี ติ มีการกินต่อกนั เป็นทอด ๆ จะมีการถ่ายทอดพลังงานไปตามลำดับขั้นของการบรโิ ภค
ปรมิ าณสารพิษจะสะสมในสิ่งมชี วี ิตเพ่มิ ข้นึ ตามลำดับชน้ั ของการบริโภคเนอื่ งจากผู้บริโภคลำดับที่สูงกว่า
จะกินผู้ผลิตหรือบริโภคลำดับต่ำกว่าในปริมาณมาก เพื่อให้ได้รับพลังงานเพียงพอสำหรับการดำรงชีวิต
การสะสมสารพิษจะก่อให้เกดิ อนั ตรายของสงิ่ มีชวี ิต ถา้ สารพิษสะสมในส่ิงมีชวี ิตในปรมิ าณมากจนทำให้ส่ิงมีชีวิต
นัน้ ตายลง ซง่ึ ส่งผลกระทบต่อสง่ิ มีชีวิตชนดิ อ่นื ๆ ในระบบนิเวศและอาจทำใหร้ ะบบนิเวศเสียสมดุลได้
ในระบบนิเวศทม่ี กี ารใช้สารดีดีทีกำจดั ศัตรูพืชอย่าง
ต่อเนื่อง ทำให้มีสารดีดีทีปนเปื้อนในแหล่งน้ำและสะสมใน
สาหรา่ ยปรมิ าณหนง่ึ เม่ือสตั ว์ต่าง ๆ มกี ารกินกันเปน็ ทอด ๆ
ปริมาณสารดีดีทีจะสะสมในปลาขนาดเล็ก ปลาขนาดใหญ่
และนกมากขึ้นตามลำดับ โดยนกซึ่งเป็นผู้บริโภคลำดับ
สุดท้าย จะมีการสะสมสารดีดีทีมากที่สุด ดังภาพ ถ้ามีการ
สะสมสารดีดีทีในปลาขนาดเล็กของโซ่อาหารนี้ในปริมาณท่ี
เป็นอันตราย จนทำให้ปลาขนาดเล็กตายลงเป็นจำนวนมาก
อาจส่งผลให้ปลาขนาดใหญ่ขดแคลนอาหาร ทำให้ระบบ
นิเวศเสียสมดุลได้ นอกจากสารดีดีทีแล้ว ยังมีสารเคมีอีก
หลายชนิดที่เป็นอันตรายและสามารถสะสมได้ในสิ่งมีชีวิต
เช่น ตะกั่ว แคดเมียม ปรอท ดังนั้นการใช้สารต่าง ๆ ใน ภาพแสดง การสะสมสารพษิ ในส่ิงมชี วี ติ
ชีวิตประจำวัน ควรคำนึงถึงความปลอดภัยและผลกระทบที่ (ทม่ี า: หนงั สือเรียนรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์
อาจเกิดขึ้นกบั ระบบนเิ วศ เนือ่ งจากมนุษย์เปน็ ผ้บู ริโภคลำดับ และเทคโนโลยี ชัน้ ม.3 เล่ม 2 สสวท. หนา้ 174)
สูงในระบบนเิ วศจงึ มีโอกาสได้รบั สารพิษสะสมอยู่ในร่างกาย
ในปรมิ าณมาก
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชว่ั โมง; 120นาที)
ขน้ั ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engagement) (20 นาที)
1) ครูและนกั เรยี นสนทนารว่ มกัน เพือ่ กระตนุ้ ความสนใจของนกั เรียน โดยครูใช้คำถามนำไปสู่
การสนทนาว่า การใช้สารพิษตา่ ง ๆ ของมนษุ ย์ทส่ี ่งผลกระทบต่อสง่ิ มีชีวิตในระบบนเิ วศผ่านการกนิ กันเป็นทอด ๆ
2) ครใู ช้สอื่ คลิปวดี ิทัศน์ เร่อื ง พรี ะมิดพลงั งาน-ส่อื การเรยี นการสอน วิทยาศาสตร์ ม.3
https://www.youtube.com/watch?v=eAyYEFJeAkI เพ่อื ให้นักเรียนเรยี นรู้ในประเด็นดังน้ี
- พรี ะมดิ พลงั งาน คืออะไร มคี วามหมาย และประกอบไปด้วย
- รปู แบบพรี ะมดิ ทางนิเวศวทิ ยา หรอื พีระมิดพลังงาน (Ecological Pyramid)
- พีระมิดพลังงาน, พีระมิดจำนวนของสง่ิ มีชีวิต, พรี ะมดิ มวลชีวภาพ
- ลกั ษณะการถา่ ยทอดพลงั งานระหว่างส่งิ มีชีวติ ในระบบนเิ วศกฎ 10 เปอร์เซ็นต์
- ภาพการถ่ายทอดพลงั งานตามหลักของ ลนิ ดแ์ มน
- การถ่ายทอดสารพษิ ตกค้าง ในระบบโซ่อาหาร และสายใยอาหาร
ขัน้ ท่ี 2 ข้ันสำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาที)
3) ครูเชื่อมโยงเขา้ สกู่ จิ กรรมที่ 7.3 การสะสมสารพษิ ในสิ่งมีชวี ติ เกิดขน้ึ อย่างไร โดยใชค้ ำถาม
ว่า นกั เรยี นคดิ วา่ สารพิษท่สี ะสมอยู่ในร่างกายของสงิ่ มีชวี ิตจะถา่ ยทอดไปยงั ส่งิ มีชีวิตอนื่ ๆ ได้หรือไม่ อย่างไร
(นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง)
4) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หน้า 172-173 และครูตรวจสอบ
ความเข้าใจการอ่าน โดยใช้คำถามดังตอ่ ไปนี้
- กิจกรรมนีเ้ กยี่ วกบั เร่อื งอะไร (การสะสมสารพิษในโซ่อาหาร)
- กิจกรรมนีม้ จี ุดประสงคอ์ ะไร (แสดงบทบาทสมมตแิ ละอธบิ ายการสะสมสารพษิ ในโซ่อาหาร)
- วธิ ดี ำเนนิ กิจกรรมมขี ัน้ ตอนโดยสรปุ อย่างไร (อา่ นและศกึ ษารายละเอียดในสถานการณ์ แสดง
บทบาทสมมติตามวธิ ดี ำเนินกจิ กรรม สังเกต บนั ทึก และรวบรวมขอ้ มลู ของสารพษิ ในสง่ิ มชี ีวติ พรอ้ มท้ังอภิปราย
ผลจากกิจกรรม)
- นักเรยี นต้องสงั เกตหรือรวบรวมขอ้ มลู อะไรบ้าง (สังเกต บันทกึ และรวบรวมข้อมูลของ
ปรมิ าณสารพษิ ในส่ิงมชี วี ิตแตล่ ะตวั และคา่ เฉล่ียปรมิ าณสารพิษในสง่ิ มีชวี ติ ตามลำดบั ขัน้ ของการบริโภคในโซ่
อาหาร)
5) ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเร่ิมทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลมุ่
โดยเฉพาะในขัน้ ตอนของการทำกจิ กรรมบทบาทสมมติควรใหน้ กั เรยี นซกั ซอ้ มความเข้าใจในบทบาทของตนเอง
และให้นักเรียนบันทกึ ข้อมูลในลำดับขัน้ ของการบริโภคอย่างชัดเจนและหาค่าเฉลย่ี เพอ่ื ใช้ในการสรุปผลการทำ
กิจกรรมไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง
ขั้นท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (20 นาที)
6) นกั เรยี นบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทกึ การคน้ คว้ากิจกรรมที่ 7.3 การสะสมสารพิษ
ในสิ่งมีชีวิตเกดิ ขึ้นอย่างไร โดยสรุปผลกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า สารพิษจะสะสมในสิ่งมีชีวิต
เพิ่มขึ้นตามลำดับขั้นการบริโภค โดยจะพบค่าเฉลี่ยสารพิษในปลาซิวน้อยที่สุดและพบค่าเฉลี่ยสารพิษในนก
กระสามากที่สุด เนื่องจากผู้บริโภคลำดับที่สูงกว่าจะบริโภคผู้ผลิตหรือผู้บริโภคลำดับต่ำกว่าในปริมาณมาก
เพ่อื ให้ได้รบั พลงั งานเพยี งพอในการดำรงชีวิต ทำใหม้ โี อกาสได้รับสารพษิ สะสมมากกวา่ ผู้บรโิ ภคลำดบั ที่ตำ่ ลงไป
ข้นั ที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที)
7) นกั เรียนเรยี นรเู้ พิ่มเติมเนื้อหาหน้า 174 เกย่ี วกบั การสะสมสารพษิ ที่มกี ารปนเป้ือน ตกค้าง
และสะสมเพิ่มขึ้นในสิง่ มชี ีวิตในระบบนเิ วศ และตอบคำถามระหว่างเรยี นดงั น้ี
- เหตุใดผู้บริโภคลำดับที่สูงกว่าจึงมีปริมาณสารพิษสะสมในร่างกายมากกวา่ ผูบ้ ริโภคลำดับที่
ต่ำกว่า (แนวคำตอบ เนื่องจากผู้บริโภคลำดบั ที่สูงกว่ากนิ ผู้บริโภคที่ต่ำกวา่ ในจำนวนและปริมาณท่ีมาก ทำให้มี
โอกาสทีส่ ารพษิ สะสมในเนือ้ เยอื่ มากกวา่ )
- ปริมาณพลังงานที่ถ่ายทอดไปตามลำดับขั้นของการบริโภคแตกต่างจากปริมาณสารพิษที่
สะสมในโซ่อาหารหรือไม่ อย่างไร (แนวคำตอบ แตกต่าง เพราะในการถา่ ยทอดพลงั งาน พลังงานทไี่ ด้จะลดลงไป
เรอ่ื ย ๆ ตามลำดบั ขน้ั ของการบริโภค ในทางตรงกันขา้ ม สารพษิ จะสะสมเพมิ่ ขึ้นเรอื่ ย ๆ ในสงิ่ มีชีวิตท่ีมีลำดับข้ัน
การบรโิ ภคสูงกวา่ )
ขั้นที่ 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (20 นาที)
8) ครแู ละนักเรยี นอภิปรายผลการทำกจิ กรรม การสะสมสารพิษทมี่ ีการปนเปือ้ น ตกคา้ ง และสะสม
เพ่ิมขนึ้ ในส่ิงมชี วี ติ ในระบบนิเวศ จะได้ขอ้ สรุปวา่
- สารพิษจะสะสมในส่งิ มชี วี ติ เพ่ิมขน้ึ ตามลำดับขัน้ การบริโภค
- การสะสมสารพิษก่อให้เกิดอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและอาจทำให้ระบบนิเวศเสียสมดุลได้ ถ้า
สารพิษสะสมในสิ่งมีชวี ิตในปริมาณมาก แล้วทำให้สิง่ มีชีวิตนั้นตายลงจะสง่ ผลกระทบตอ่ สิ่งมีชีวิตชนิดอืน่ ๆ ใน
ระบบนิเวศน้ัน
9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. สอ่ื การเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้ 1) ถังพลาสติก 2) แก้วพลาสติกขนาดเลก็ 3) แก้วพลาสตกิ ขนาดกลาง
8.1 วัสดอุ ุปกรณ์: 4) แกว้ พลาสตกิ ขนาดใหญ่ 5) ลูกปัดสเี ขยี ว 6) ลูกปัดสแี ดง
พรี ะมดิ พลังงาน
8.2 คลปิ วดี ิทัศน์:
https://www.youtube.com/watch?v=eAyYEFJeAkI
8.3 ใบกิจกรรม: ใบกิจกรรมท่ี 7.3 การสะสมสารพิษในสิ่งมชี วี ิตเกิดข้นึ อย่างไร
8.4 แบบบนั ทึกกิจกรรม: แบบบนั ทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.3 การสะสมสารพษิ ในสง่ิ มชี วี ิตเกิดข้นึ อย่างไร
8.5 แหล่งเรยี นรู้: หนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีท่ี 3
เลม่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
9. การวัดและการประเมนิ วธิ ีการวดั เครื่องมือวดั เกณฑ์ที่ใชใ้ นการประเมิน
ตัวช้วี ัด/ผลการเรียนรู้ - ตรวจการตอบ
- คำถามท้ายกิจกรรมท่ี 7.3 - ไดไ้ มน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
1. อธบิ ายการสะสมสารพิษใน คำถามทา้ ย
สิง่ มชี วี ติ ในโซอ่ าหารได้ กจิ กรรมที่ 7.3 การสะสมสารพิษในสิง่ มีชวี ติ ระดบั คุณภาพดี ถอื วา่ ผ่าน
(ด้านความรู้: K)
เกดิ ขน้ึ อยา่ งไร การประเมนิ ดา้ นความรู้
จำนวน 4 ขอ้
2. การใช้ทกั ษะการตคี วามหมาย - ตรวจการทำแบบ - แบบบันทกึ การค้นคว้า - ไดไ้ ม่น้อยกว่า 2 คะแนน
ข้อมลู และลงข้อสรปุ โดยการ บนั ทกึ การค้นควา้
แปลความหมายขอ้ มูลจาก กิจกรรมท่ี 7.3 กิจกรรมท่ี 7.3 ระดับคณุ ภาพดี ถอื วา่ ผ่าน
แผนภาพและลงข้อสรุป
เกีย่ วกับการสะสมสารพิษใน การสะสมสารพิษใน การประเมนิ
โซอ่ าหาร(ด้านกระบวนการ: P)
3. ตระหนกั ถึงความสัมพนั ธ์ - ตรวจการทำแบบ สงิ่ มชี ีวิตเกิดขึน้ อยา่ งไร ดา้ นกระบวนการ
ของสิ่งมชี วี ติ และสิ่งแวดลอ้ ม บนั ทกึ การคน้ ควา้
ในระบบนิเวศโดยไม่ทำลาย กจิ กรรมที่ 7.3 - แบบบันทกึ การคน้ ควา้ - ไดไ้ มน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
สมดลุ ของระบบนิเวศ กิจกรรมที่ 7.3 ระดบั คณุ ภาพดี ถือวา่ ผ่าน
(ด้านเจตคติ: A) การสะสมสารพิษใน การประเมนิ
ส่ิงมีชวี ติ เกิดข้ึนอย่างไร ดา้ นกระบวนการ
9.1 เกณฑ์การประเมนิ ผลนกั เรียน เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics Score)
ประเด็นการประเมนิ ค่านำ้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การให้คะแนนตอบ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมที่ 7.3 ถูกตอ้ ง จำนวน 3-4 ขอ้
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 7.3 ถูกตอ้ ง จำนวน 2 ขอ้
กิจกรรมท่ี 7.3 2 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมที่ 7.3 ถกู ต้อง จำนวน 1 ขอ้ หรือไม่ถกู ตอ้ ง
1 บันทกึ ผลการทำกจิ กรรม โดยแปลความหมายข้อมูลจากแผนภาพและ
การใหค้ ะแนนการบันทกึ ลงขอ้ สรปุ เก่ยี วกบั การสะสมสารพิษในโซอ่ าหาร ได้อย่างถกู ตอ้ งและ
แบบบนั ทึกการคน้ คว้า 3 เหมาะสม สอดคลอ้ งกับเนื้อหาในกิจกรรม
กจิ กรรมที่ 7.3
2 บันทกึ ผลการทำกิจกรรม โดยแปลความหมายขอ้ มูลจากแผนภาพและ
ลงขอ้ สรปุ เก่ยี วกับการสะสมสารพษิ ในโซอ่ าหารได้ มีสอดคล้องกับเนื้อหา
บนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม โดยแปลความหมายขอ้ มูลจากแผนภาพและ
1 ลงขอ้ สรปุ เก่ียวกับการสะสมสารพิษในโซอ่ าหารได้ไม่เหมาะสม เกิด
ข้อผิดพลาด ไม่สอดคล้องกบั เน้ือหาในกจิ กรรม
ประเด็นการประเมิน ค่าน้ำหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนความ บนั ทกึ ผลการทำกิจกรรม โดยประเมนิ ความตระหนักถงึ ความสัมพันธ์
ตระหนกั ถงึ ความสมั พันธ์ 3 ของสิง่ มชี ีวติ และสิ่งแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไม่ทำลายสมดุลของ
ระบบนิเวศ จากการนำเสนอแนวทางการดแู ลรักษาระบบนิเวศให้คงอยู่
ของส่งิ มชี ีวิตและ 2 ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ ง มีการอ้างองิ ความรทู้ ีน่ ่าเช่ือถือ ชัดเจน ครบทุกประเดน็
สง่ิ แวดลอ้ มในระบบ บนั ทึกผลการทำกจิ กรรม โดยประเมินความตระหนักถงึ ความสมั พันธ์
นิเวศโดยไมท่ ำลาย 1 ของสิง่ มชี ีวติ และสิง่ แวดลอ้ มในระบบนเิ วศ โดยไม่ทำลายสมดุลของ
สมดลุ ของระบบนิเวศ ระบบนเิ วศ จากการนำเสนอแนวทางการดแู ลรกั ษาระบบนิเวศให้คงอยู่
ไดอ้ ยา่ งถกู ตอ้ ง ชดั เจน ครบทุกประเด็น
บันทึกผลการทำกจิ กรรม โดยประเมินความตระหนกั ถึงความสมั พันธ์ของ
สิ่งมีชวี ิตและสง่ิ แวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไม่ทำลายสมดุลของระบบ
นเิ วศ จากการนำเสนอแนวทางการดแู ลรกั ษาระบบนเิ วศใหค้ งอยู่ได้
9.2 ระดบั คณุ ภาพ หมายถึง ดมี าก
หมายถงึ ดี
คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถึง พอใช้
คะแนนรวมเฉล่ีย 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99
ดงั นั้น นักเรียนต้องไดค้ ะแนนเฉลยี่ ทกุ ประเด็นการประเมนิ ไมต่ ่ำกวา่ 2.00 แสดงระดบั
คณุ ภาพ ดี ถอื วา่ ผา่ นเกณฑ์การประเมินในแผนการจัดการเรยี นท่ี 27
ส่อื การเรยี นรแู้ ผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 27: สอ่ื วีดทิ ัศน์
คลปิ วดี ที ศั น์: พีระมดิ พลงั งาน
ส่ือวดี ิทัศน์เรือ่ ง พีระมดิ พลังงาน เรยี นรู้เร่อื งเกยี่ วกับ
- พีระมิดพลังงาน คอื อะไร มคี วามหมาย และประกอบไปด้วย
- รูปแบบพรี ะมดิ ทางนิเวศวทิ ยา หรือพรี ะมดิ พลังงาน (Ecological Pyramid)
- พีระมิดพลงั งาน, พีระมิดจำนวนของสงิ่ มีชวี ิต, พรี ะมิดมวลชวี ภาพ
- ลักษณะการถา่ ยทอดพลังงานระหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ ในระบบนิเวศกฎ 10 เปอรเ์ ซน็ ต์
- ภาพการถ่ายทอดพลงั งานตามหลกั ของ ลนิ ดแ์ มน
- การถา่ ยทอดสารพิษตกคา้ ง ในระบบโซ่อาหาร และสายใยอาหาร
สอื่ การเรยี นการสอน อิเลก็ ทรอนิกส์ วิชา วทิ ยาศาสตร์ ม.3 ชุดน้ี
เปน็ สือ่ การเรียนการสอนท่นี ำมาจากโครงการแท็บเลต็ พีซีเพ่อื การศึกษาไทย
(OTPC : One Tablet Per Child)
จัดทำโดยสำนกั งานเทคโนโลยีเพ่ือการเรียนการสอน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน
แหล่งที่มา: เวบ็ ไซต์อา้ งอิง
https://www.youtube.com/watch?v=aOFG-HPyvu8
เผยแพรเ่ มื่อ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2558
(ช่องYouTube: ครโู อ๋ สื่อการเรยี นการสอน)
ส่อื การเรยี นรู้แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 27: ใบกิจกรรมที่ 7.3
ใบกจิ กรรมท่ี 7.3 การสะสมสารพษิ ในสง่ิ มชี ีวิตเกดิ ข้ึนอย่างไร
หนังสอื เรียนรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 3 เล่ม 2 ตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หน้า 172
กจิ กรรมท่ี 7.3 การสะสมสารพิษในส่ิงมชี ีวติ เกิดขน้ึ อยา่ งไร?
จุดประสงค์
วสั ดุอุปกรณ์ แสดงบทบาทสมมตแิ ละอธิบายการสะสมสารพิษในโซ่อาหาร
สถานการณ์ท่ี วัสดุท่ีใช้ตอ่ กลุม่
กำหนด
1. ถังพลาสตกิ 1 ใบ
2. แก้วพลาสติกขนาดเลก็ 4 ใบ
3. แก้วพลาสติกขนาดกลาง 4 ใบ
4. แก้วพลาสติกขนาดใหญ่ 4 ใบ
5. ลูกปัดสเี ขยี ว 40 เมด็
6. ลูกปดั สแี ดง 40 เมด็
แมน่ ำ้ สายหนง่ึ มกี ารปนเปื้อนของสารดดี ีที (Dichlorodiphenyltrichloroethane, DDT)
ซึ่งเป็นสารพิษที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและเข้าไปสะสมอยู่ในเซลล์ของสาหร่ายที่อยู่ใน
แหล่งนำ้ สาหร่ายเป็นแหล่งอาหารท่สี ำคญั ของปลาซิว และปลาซวิ เปน็ อาหารของลูกปลาช่อน
นอกจากนี้ยังมีนกยางที่กินลูกปลาช่อนเป็นอาหารอาศัยอยู่ในแม่น้ำแห่งนี้ด้วย ให้นักเรียน
แสดงบทบทสมมติ เพ่ือจำลองการสะสมของสารดีดีที่ในส่งิ มีชีวิตของโซ่อาหารนี้ โดยใช้ข้อมูล
การบรโิ ภคดา้ นล่าง
ข้อมูลการบรโิ ภค
วิธดี ำเนินกิจกรรม 1. อ่านสถานการณ์และเขียนโซ่อาหารของส่ิงมีชีวติ แต่ละชนิดในแหล่งนำ้ น้ี
2. แสดงบทบาทสมมติ โดยใหน้ ักเรียน 4 คน เป็นปลาซิว 4 ตัว นักเรยี น 2 คน
เป็นลกู ปลาช่อน 2 ตวั และนกั เรยี นอีก 1 คน เป็นนกยาง 1 ตวั โดยกำหนดให้
- ลกู ปดั สเี ขียว แทน เชลล์สาหรา่ ยท่ีไม่มีสารดีดีที - แก้วพลาสตกิ ขนาดเลก็ แทน ปลาซิว
- ลกู ปัดสแี ดง แทน เชลล์สาหรา่ ยท่ีมีสารดีดีที - แก้วพลาสติกขนาดกลาง แทน ลกู ปลาชอ่ น
- แก้วพลาสติกขนาดใหญ่ แทน นกยาง
กิจกรรมท่ี 7.3 การสะสมสารพิษในสิ่งมีชีวติ เกิดขึ้นอย่างไร?
3. ทำกจิ กรรมตามขน้ั ตอน ดังต่อไปนี้
(1) นำลูกปัดสีเขียว 40 เม็ด และลูกปัดสีแดง
40 เมด็ เทรวมกันในถงั พลาสติก
(2) นักเรียนที่ได้รับบทบาทเป็นปลาซิวไปกิน
สาหร่าย 3 เชลล์ โดยสมุ่ หยบิ ลกู ปดั ออกมาจากถัง
พลาสติก 3 เม็ดใส่ลงในแก้วพลาสติกขนาดเล็ก
บันทึกจำนวนและสขี องลกู ปดั ท่หี ยิบได้
(3) นักเรียนที่ได้รับบทบาทเป็นลูกปลาช่อน
กินปลาซิว 2 ตัว โดยเทลูกปัดจากแก้วพลาสติก
ขนาดเล็ก 2 ใบ ลงในแก้วพลาสติกขนาดกลาง
บนั ทกึ จำนวนและสขี องลกู ปัดทไี่ ด้
(4) นกั เรยี นทไ่ี ดร้ บั บทบาทเปน็ นกยาง กินลูกปลา
ช่อน 2 ตัว โดยเทลูกปัดจากแก้วพลาสติกขนาด
กลาง 2 ใบลงในแก้วพลาสติกขนาดใหญ่ บันทึก ภาพลำดบั การบรโิ ภค
จำนวน และสีของลกู ปัดท่ไี ด้
(5) ทำซ้ำตามข้อ (1) - (4) ใหค้ รบ 3 รอบ
4. รวมรวมข้อมูล หาคา่ เฉลยี่ ปริมาณสารพิษท่สี ะสมในส่งิ มชี ีวิตต่อหน่งึ ตัวในแตล่ ะลำดบั
ขัน้ ของการบรีโภค และรว่ มกันอภปิ รายเกี่ยวกับการสะสมสารพษิ ของสงิ่ มีชีวิตในโซอ่ าหาร
จากการแสดงบทบาทสมมติ
การเตรยี มตัว ครเู ตรียมอุปกรณ์ไว้ให้เพียงพอกบั นกั เรียนแต่ละกลุ่ม ซึ่งแต่ละกลมุ่ ควรมอี ัตราสว่ นของ
ล่วงหน้าสำหรบั ครู แก้วขนาดเลก็ แกว้ ขนาดกลาง และแก้วขนาดใหญ่เป็น 4 : 2 : 1 เพือ่ ใหส้ ามารถบนั ทึกผล
และทำกิจกรรมได้อย่างสมบรู ณ์
ขอ้ เสนอแนะใน ครคู วรใหน้ ักเรียนกำหนดบทบาทของตนเองในกลุ่มใหเ้ รียบร้อยกอ่ นทำกจิ กรรม เน้นใหม้ ี
การทำกิจกรรม การบนั ทึกผลการทำกจิ กรรมทุกครง้ั และเปดิ โอกาสให้นกั เรยี นทำซำ้ และให้นกั เรียนร่วมกนั
ระดมความคดิ ออกแบบตารางบนั ทึกผลรว่ มกัน เพอ่ื นำข้อมูลไปใช้ในการอภิปราย
ส่ือการเรยี นร/ู้ • วีดทิ ศั น์เกีย่ วกับการสะสมสารพษิ ในโซ่อาหาร หรือ Biological magnification
แหล่งเรียนรู้ (https://www.youtube.com/watch?v=85I7oPWUuak)
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. โซอ่ าหารจากสถานการณน์ เี้ ปน็ อยา่ งไร และส่งิ มีชีวิตแต่ละชนดิ มบี ทบาทอยา่ งไร
2. สารพิษในระบบนเิ วศเริม่ ต้นสะสมอยใู่ นสง่ิ มชี ีวติ ชนิดใดเป็นลำดับแรก
3. ในลำดบั ของโซ่อาหาร ส่ิงมีชวี ติ ใดสะสมสารพิษมากท่ีสุด เพราะเหตใุ ด
4. จากกจิ กรรม สรปุ ได้วา่ อยา่ งไร
สื่อการเรยี นรู้แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 27: แบบบนั ทกึ การคน้ คว้ากจิ กรรมที่ 7.3
แบบบันทึกการค้นคว้ากจิ กรรมที่ 7.3 การสะสมสารพิษในสิง่ มีชวี ิตเกดิ ขึน้ อย่างไร
ชื่อ-นามสกลุ ..........................................................................................ชนั้ .................เลขที่...........กลุ่มท.่ี ...........
ผลการทำกจิ กรรม
โซอ่ าหารจากสถานการณ์ คือ
ตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม
สารพษิ สะสม จำนวนสารพิษต่อส่งิ มชี ีวติ หน่งึ ตัว ค่าเฉลี่ย
สารพิษสะสม
ในสิ่งมชี วี ิต รอบท่ี 1 รอบที่ 2 รอบท่ี 3
ปลาซิว
ค่าเฉลยี่ ในปลาซิว
ลูกปลาชอ่ น
คา่ เฉล่ียในลูกปลา
ชอ่ น
นกยาง
ค่าเฉลี่ยในนกยาง
คำถามท้ายกิจกรรม
1. โซ่อาหารจากสถานการณน์ เ้ี ปน็ อย่างไร และสิ่งมชี ีวิตแตล่ ะชนิดมบี ทบาทอยา่ งไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. สารพษิ ในระบบนเิ วศเร่มิ ตน้ สะสมอยใู่ นส่ิงมชี ีวติ ชนดิ ใดเป็นลำดับแรก
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. ในลำดับของโซอ่ าหาร ส่งิ มีชวี ิตใดสะสมสารพษิ มากท่ีสุด เพราะเหตุใด
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. จากกิจกรรม สรุปไดว้ ่าอย่างไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนบท้ายแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 27: การให้คะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบนั ทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.3 การสะสมสารพษิ ในส่งิ มีชวี ติ เกิดข้นึ อย่างไร
ผลการทำกิจกรรม
สาหร่าย โซ่อาหารจากสถานการณ์ คอื นกยาง
ปลาซิว ลูกปลาชอ่ น
ตารางบนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม
สารพษิ สะสม จำนวนสารพษิ ตอ่ สิ่งมชี ีวิตหนง่ึ ตัว คา่ เฉลีย่
ในสง่ิ มชี ีวติ สารพิษสะสม
รอบที่ 1 รอบท่ี 2 รอบที่ 3
ปลาซิว 1.5
คา่ เฉล่ยี ในปลาซวิ 2/1/3/0 1/1/0/2 3/2/2/1
3
ลกู ปลาชอ่ น 6 ÷ 4 = 1.5 4÷4=1 8÷4=2
4/2 1/3 3/5
ค่าเฉลย่ี ใน 6÷2=3 4÷2=2 8÷2=4 6
ลูกปลาช่อน
6 4 8
นกยาง 6÷1=6 4÷1=4 8÷1=8
ค่าเฉลย่ี ในนกยาง
แนบท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 27: การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
เฉลยใบกจิ กรรมที่ 7.3 การสะสมสารพษิ ในส่ิงมีชีวิตเกิดขน้ึ อย่างไร
เฉลยคำถามทา้ ยกิจกรรม
1. โซอ่ าหารจากสถานการณ์นีเ้ ป็นอยา่ งไร และส่ิงมชี วี ิตแต่ละชนิดมบี ทบาทอยา่ งไร
แนวคำตอบ โซอ่ าหารจากสถานการณ์ คอื
โดยท่ีสาหรา่ ยมบี ทบาทเป็นผู้ผลิต ปลาซิวเปน็ สิ่งมีชวี ิตกนิ พืช (ผบู้ รโิ ภคลำดบั ที่ 1) ลกู ปลาชอ่ นเป็น
สิ่งมีชวี ิตกนิ สตั ว์ (ผู้บรโิ ภคลำดับที่ 2) และนกยางเปน็ สิง่ มชี ีวติ กนิ สัตว์ (ผู้บรโิ ภคลำดับท่ี 3 หรอื ลำดับสุดท้าย
ของโซอ่ าหาร)
2. สารพิษในระบบนิเวศเริม่ ต้นสะสมอยู่ในสิ่งมชี วี ติ ชนดิ ใดเปน็ ลำดับแรก
แนวคำตอบ สาหรา่ ย
3. ในลำดบั ของโซอ่ าหาร สิ่งมชี ีวิตใดสะสมสารพิษมากท่สี ุด เพราะเหตใุ ด
แนวคำตอบ นกยางมสี ารพิษสะสมมากท่สี ุด เน่อื งจากเปน็ ผ้บู ริโภคลำดับสุดท้ายในโซ่อาหารนี้
ซ่งึ กนิ ลกู ปลาชอ่ นหลายตวั
4. จากกิจกรรม สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
แนวคำตอบ สารพษิ จะสะสมในสิง่ มีชวี ิตเพมิ่ ข้ึนตามลำดับขน้ั การบรโิ ภค เนือ่ งจากผู้บรโิ ภคลำดับท่ีสงู
กวา่ จะบริโภคผผู้ ลิต หรอื ผู้บรโิ ภคลำดบั ต่ำกวา่ ในปรมิ าณมาก เพื่อให้ได้รับพลังงานเพยี งพอในการดำรงชีวิต
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 28
เรอ่ื ง การอยู่รว่ มกันของสิง่ มชี ีวติ รหัสวชิ า ว23102 เวลา 1 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 7 ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวม 15 ชวั่ โมง
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 ภาคเรียนที่ 2
สาระที่ 1 ชอ่ื สาระ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1
1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชวี้ ดั
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ
ความสัมพันธ์ระหว่างสงิ่ มชี วี ิตกับสง่ิ มีชีวิตต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถา่ ยทอดพลังงาน การเปล่ยี นแปลงแทนที่ใน
ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทีม่ ีตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม แนวทาง
ในการอนุรกั ษ์ทรัพยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปญั หาสงิ่ แวดล้อม รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวช้วี ัด
ว 1.1 ม.3/2 อธบิ ายรปู แบบความสัมพันธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี วี ติ กับส่งิ มีชีวิตรปู แบบต่าง ๆในแหลง่ ทีอ่ ยู่
เดียวกันทไ่ี ด้จากการสำรวจ
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิงอาศัย ภาวะ
เหยอ่ื กบั ผู้ลา่ ภาวะปรสติ
2) สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันทอี่ าศัยอยรู่ ่วมกนั ในแหล่งทอ่ี ยู่เดียวกนั ในช่วงเวลาเดยี วกัน เรียกว่า ประชากร
3) กลุม่ ส่งิ มีชีวติ ประกอบดว้ ยประชากรของสิ่งมชี วี ติ หลาย ๆชนิด อาศัยอยรู่ ่วมกนั ในแหลง่ ทอ่ี ย่เู ดียวกัน
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ นกั เรยี นอธิบายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งส่งิ มีชีวิตในรปู แบบภาวะพึ่งพากัน
1) ด้านความรู้ (K) ภาวะอิงอาศยั ภาวะปรสติ และการล่าเหยอ่ื ได้
นกั เรียนใช้ทกั ษะการจำแนกประเภท โดยการจัดกล่มุ ส่ิงมีชีวิตตาม
2) ด้านทักษะ (P) ความสมั พนั ธท์ ่มี ีรปู แบบคลา้ ยคลึงกนั ไวด้ ้วยกันได้
นักเรยี นใหค้ วามรว่ มมือในการทำกิจกรรมรว่ มกบั ผู้อืน่ ได้
3) ด้านเจตคติ (A)
4. คณุ ลกั ษณะผู้เรียน อยู่อย่างพอเพียง ซือ่ สัตย์สจุ รติ ม่งุ มั่นในการทำงาน
4.1 คณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์ รักความเปน็ ไทย ใฝเ่ รียนรู้ มีจิตสาธารณะ
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
มีวนิ ยั
5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน
ความสามารถในการส่ือสาร: นักเรยี นสามารถสอ่ื สาร โดยการอภปิ รายร่วมกนั เกย่ี วกับความสมั พันธ์
กนั ระหว่างสงิ่ มชี วี ติ ในรปู แบบต่าง ๆ
ความสามารถในการคดิ : นกั เรยี นสามารถคดิ โดยการวเิ คราะหค์ วามสมั พนั ธ์ระหวา่ งสิง่ มีชีวิตใน
รปู แบบตา่ ง ๆ แล้วลงความเห็นเก่ยี วกบั รปู แบบความสมั พันธ์
6. สาระการเรยี นรู้
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกันในระบบนิเวศจะมีปฏิสัมพันธ์กันในลักษณะต่าง ๆ สิ่งมีชีวิตบางชนิดได้
ประโยชน์ บางชนิดเสียประโยชน์ และบางชนิดไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ การที่สิ่งมชี ีวิตสองชนิดมาอยูร่ ่วมกัน
โดยต่างฝา่ ยต่างไดป้ ระโยชนเ์ รยี กรูปแบบความสัมพนั ธน์ วี้ า่ ภาวะพ่ึงพากัน (mutualism) เช่น ปลาการ์ตูนกับ
ดอกไม้ทะเล โดยปลาการ์ตูนใช้ดอกไม้ทะเลเป็นที่อยู่อาศัย หลบภัย และวางไข่ ส่วนดอกไม้ทะเลอาศัยปลา
การ์ตนู ล่อสัตวน์ ้ำชนิดอ่นื ให้เข้ามาใกล้ดอกไมท้ ะเล เพ่ือดอกไมท้ ะเลจะไดจ้ ับสัตว์น้ำนน้ั ๆ เป็นอาหาร หรือกรณี
ของไลเคน ทีเ่ ป็นการอยู่รว่ มกนั ของราและสาหร่าย โดยราจะไดร้ ับสารอาหารจกสาหร่าย สว่ นสาหรา่ ยกจ็ ะได้รับ
ความชื้นจากรา
การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งได้รับประโยชน์ ส่วนอีกชนิดหนึ่งไม่ได้และไม่เสีย
ประโยชน์ เรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่า ภาวะอิงอาศัย (commensalism) ตัวอย่างเช่น ปลาเหาฉลามกับ
ปลาฉลาม โดยปลาเหาฉลามไดป้ ระโยชน์จากเศษอาหารที่ปลาฉลามกิน ส่วนปลาฉลามไม่ไดป้ ระโยชน์จากปลา
เหาฉลามแต่ก็ไม่เสียประโยชน์แต่อย่างใด หรือกรณีของกล้วยไม้ป่าที่เกาะอยู่บนลำตันของตันไม้ใหญ่ โดย
กล้วยไม้ป่าได้รับความชน้ื และท่ีอยูอ่ าศัยจากตน้ ไม้ใหญ่ ส่วนตน้ ไมใ้ หญ่ไมไ่ ด้รับประโยชน์จากกล้วยไม้ป่าแต่ก็ไม่
เสียประโยชน์เช่นเดียวกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันในลักษณะที่สิ่งมชี ีวติ ชนดิ หนึ่งได้ประโยชน์ แต่อีกชนิดหน่งึ
เสียประโยชน์ โดยสิ่งมีชวี ิตท่ีได้ประโยชน์ เรียกว่า ปรสิต (parasite) ต้องอาศัยอยู่กับสิง่ มีชวี ิตที่เสียประโยชน์
เรียกว่า ผู้ถูกอาศัย (host) ซึ่งส่วนมากสิง่ มีชีวิตที่เปน็ ผู้ถูกอาศัยจะไม่เสยี ชีวิตในทันที รูปแบบความสัมพันธ์น้ี
เรียกว่า ภาวะปรสิต (parasitism) ตัวอย่างเช่น เห็บบนตัวสนุ ัข โดยเห็บเปน็ ปรสิตได้ประโยชนจ์ กการกินเลือด
ของสนุ ขั เปน็ อาหาร ส่วนสุนัขเป็นผู้ถูกอาศยั เสยี ประโยชน์จากการสญู เสยี เลือดและอาจติดเช้ือโรคที่มาจากเห็บ
หรือในกรณีของกาฝากที่อาศัยอยู่บนต้นไม้ กาฝากเป็นปรสิตใช้รากเจาะลำตันของตันไม้เพื่อดูดน้ำและอาหาร
สว่ นตนั ไม้เปน็ ผถู้ ูกอาศยั เสยี ประโยชน์ โดยจะถกู แยง่ น้ำและอาหาร
สงิ่ มีชวี ิตบางชนดิ ท่ีอยู่ในแหล่งท่ีอยู่เดียวกันจะมีการกนิ กันเป็นอาหาร ซงึ่ ฝ่ายหนง่ึ จะได้ประโยชน์ ฝ่าย
หนงึ่ จะเสียประโยชน์ เรียกรูปแบบความสมั พันธ์น้ีวา่ การล่าเหย่ือ (predation) โดยสง่ิ มชี ีวิตที่ไดป้ ระโยชน์จาก
การกนิ สง่ิ มชี วี ิตอืน่ เป็นอาหารเรยี กว่า ผู้ลา่ (predator) ส่วนส่ิงมชี ีวติ ทเ่ี สียประโยชน์จากการถูกกินเป็นอาหาร
และเสียชีวิตลงเรียกว่า เหยื่อ (prey) เช่น สิงโตกัดควายปา่ งูกับกบ โดยสิงโตและงูเป็นผู้ล่า ส่วนควายป่าและ
กบเปน็ เหย่อื
ในธรรมชาติเมื่อผู้ล่าเพิ่มจำนวนมากขึ้นจะทำให้เหยื่อซึ่งเป็นอาหารมีจำนวนลดลง หากผู้ล่ากินเหย่ือ
ชนิดเดียวเป็นอาหารจะส่งผลให้ผู้ล่าขาดแคลนอาหารและเกดิ การแข่งขันเพือ่ แย่งอาหาระหว่างผูล้ ่าด้วยกนั เอง
ทำให้ผู้ล่ามีจำนวนลดลง ดังนั้นจำนวนของผู้ล่าและเหยื่อในระบบนิเวศหน่ึงจะมีการเปล่ียนแปลงเพื่อทำใหเ้ กดิ
ความสมดลุ ของจำนนประชากรทง้ั ผู้ล่าและเหย่อื ดงั ภาพ ซง่ึ เป็นกราฟแสดงความสัมพนั ธข์ องจำนวนประชากร
แมวปาลงิ ซ์กบั กระต่ายปา่ โดยแมวป่าลงิ ซ์เป็นผู้ล่า สว่ นกระตา่ ยปา่ เป็นเหยื่อ
ภาพแสดง กราฟแสดงความสัมพนั ธ์ของจำนวนประชากรแมวปาลิงซ์กบั กระต่ายปา่
(ที่มา: หนงั สือเรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 178)
จากภาพ จะเห็นได้วา่ ประชากรของแมวป่าลิงซ์มีความสมั พนั ธ์กับประชากรกระต่ายป่า เมือ่ กระต่ายป่า
มีจำนวนเพิ่มขึ้นแมวป่าลิงซ์ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ในทางตรงกันข้าม
เมื่อจำนวนกระต่ายป่าลดลงก็จะส่งผลให้จำนวนประชากรของแมวป่าลิงซ์ลดลงตามไปด้วย เพราะขาดแคลน
อาหาร นอกจากน้หี ากเกิดภาวะแห้งแลง้ เปน็ เวลานานหรือเกิดภัยพิบัติอืน่ ๆ เชน่ ไฟป่า นำ้ ทว่ ม ที่ทำให้จำนวน
ประขากรพืชของกระต่ายป่าลดลง อาจส่งผลให้จำนวนประชากรของกระต่ายป่าและแมวป่าลิงซ์ลดลงอย่าง
รวดเรว็ เช่นกัน
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชวั่ โมง; 60นาที)
ข้ันที่ 1 กระต้นุ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูและนักเรยี นสนทนารว่ มกนั เพื่อกระตุ้นความสนใจของนักเรียน โดยครูใช้คำถามนำไปสู่
การสนทนาว่า ความสัมพนั ธ์ของสง่ิ มีชวี ิตทีม่ กี ารกนิ กนั เป็นทอด ๆ เพอื่ เชอื่ มโยงไปยงั ความสมั พนั ธแ์ บบอื่น ๆ
2) ครูใช้ส่อื คลิปวดี ิทัศน์เรอื่ ง ปลาฉลามและเหาฉลาม สืบค้นขอ้ มลู ได้จาก
https://www.youtube.com/watch?v=Mxpa6gPIbLE เพือ่ ให้นักเรยี นเช่อื มโยงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ ง
สงิ่ มีชวี ิตสองชนดิ น้ี
ขนั้ ที่ 2 ขัน้ สำรวจและค้นหา (Exploration) (20 นาที)
3) ครูเชอ่ื มโยงเข้าสกู่ จิ กรรมท่ี 7.4 สงิ่ มีชวี ิตอยู่ร่วมกนั อยา่ งไร โดยใช้คำถามวา่ ในระบบนเิ วศ
หนง่ึ ๆ สงิ่ มีชวี ติ ที่อาศัยอยรู่ ่วมกัน นอกจากจะมปี ฏสิ มั พนั ธ์กนั ในด้านการกนิ ต่อกนั เป็นทอด ๆ แล้ว นกั เรยี นคิด
วา่ สิง่ มีชวี ติ จะมคี วามสัมพนั ธ์กันในรูปแบบใดอีกบ้าง และมปี ฏสิ ัมพันธ์ต่อกนั อยา่ งไร (นกั เรียนตอบตามความ
เขา้ ใจของตนเอง)
4) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หน้า 172 และครูตรวจสอบความ
เข้าใจการอ่าน โดยใช้คำถามดังตอ่ ไปน้ี
- กจิ กรรมนี้เกย่ี วกบั เรอื่ งอะไร (ปฏิสัมพนั ธ์ของส่งิ มีชีวิตทอ่ี ยรู่ ว่ มกนั )
- กจิ กรรมนม้ี ีจุดประสงค์อะไร (สืบค้นข้อมลู และอธบิ ายรปู แบบความสมั พันธร์ ะหวา่ งส่งิ มีชีวิต
กบั สงิ่ มีชีวิตทอี่ ย่รู ว่ มกัน)
- วิธดี ำเนนิ กิจกรรมมีขนั้ ตอนโดยสรปุ อย่างไร (อภิปรายและสืบค้นขอ้ มลู เพอื่ วเิ คราะห์
ความสัมพันธข์ องสิง่ มชี ีวติ แตล่ ะคู่ จำแนกคู่สิ่งมชี ีวิตตามเกณฑ์ และอภิปรายเกย่ี วกบั ความสมั พันธแ์ ตล่ ะ
ลกั ษณะ)
- นกั เรียนตอ้ งสงั เกตหรอื รวบรวมข้อมูลอะไรบา้ ง (รวบรวมขอ้ มูลจากการสืบค้นและการ
อภิปรายลกั ษณะความสัมพันธข์ องคู่สงิ่ มีชีวิตแตล่ ะคู่)
5) ให้นักเรยี นแต่ละกลุ่มเร่ิมทำกิจกรรม ครสู ังเกตการทำงานของนักเรียน ช่วยเหลือในการหา
คำตอบความสัมพันธ์แตล่ ะแบบเมอื่ นักเรียนมีขอ้ สงสัย เนน้ ให้นกั เรยี นสบื ค้นเพ่ิมเติม วิเคราะห์ และหาหลักฐาน
เพื่อสนบั สนุนแนวความคดิ เก่ยี วกบั ความสมั พนั ธข์ องสง่ิ มีชวี ิตในรูปแบบตา่ ง ๆ เพิ่มเติม
ขน้ั ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (10 นาที)
6) นักเรียนบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.4 สิ่งมีชีวิตอยู่
รว่ มกันอย่างไร โดยสรปุ ผลกิจกรรม เพ่ือใหไ้ ดข้ อ้ สรปุ จากกจิ กรรมว่า ในธรรมชาติสิ่งมีชวี ิตต่าง ๆ ทอี่ ยรู่ ่วมกันมี
ความสัมพนั ธ์กันในลักษณะต่าง ๆ สิ่งมชี วี ติ บางชนิดได้ประโยชน์ บางชนดิ เสียประโยชน์ และบางชนิดไม่ได้และ
ไมเ่ สียประโยชน์
ขัน้ ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที)
7) นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเนื้อหาหน้า 176-177 เกี่ยวกับรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่าง
สิ่งมชี ีวิตกบั สิง่ มชี ีวติ และใชค้ ำถามดังน้ี
- ความสัมพันธข์ องส่ิงมชี ีวิตแบบใดท่เี ป็นประโยชนต์ ่อระบบนเิ วศ เพราะเหตุใด (นักเรียนตอบ
ตามความเข้าใจและประสบการณ์เดมิ ครูพยายามกระตุ้นใหน้ ักเรียนตอบให้ครบทุกแบบ เช่น ภาวะปรสิตและ
การล่าเหย่อื จะชว่ ยควบคุมจำนวนประชากรของสิง่ มีชวี ิตบางชนิดให้มจี ำนวนเหมาะสมไม่มากหรอื น้อยเกินไปใน
ธรรมชาติ ภาวะอิงอาศัยและภาวะพ่งึ พากันสามารถทำใหป้ ระชากรของสง่ิ มีชวี ิตเพ่ิมจำนวนประชากรไดด้ ี ทำให้
เพิม่ แหล่งอาหารใหก้ บั สิ่งมีชีวิตท่ีบริโภคส่ิงมชี วี ติ เหล่านั้นเปน็ อาหาร)
- ยกตัวอย่างคสู่ ง่ิ มีชีวติ อื่น ๆ ที่มคี วามสมั พนั ธก์ นั ในรูปแบบตา่ ง ๆ (คำตอบข้นึ อยู่กับข้อมูลที่มา
จากการสบื ค้นหรือจากประสบการณ์เดมิ ของนกั เรยี น)
- ภาวะปรสิตกับการล่าเหยื่อเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ การล่าเหยื่อ คือ
การท่ีสง่ิ มชี วี ิตหน่งึ กนิ ส่งิ มีชีวติ หนง่ึ โดยตรง ซ่ึงทำใหส้ ่งิ มีชวี ิตท่ีเป็นเหย่ือตายลงส่วนภาวะปรสิต ส่ิงมีชีวิตท่ีเป็น
ปรสิตจะเบียดเบียนเอาอาหารหรือสารอาหารจากเจ้าบ้าน โดยไม่ได้ทำให้สิ่งมีชีวิตเจ้าบ้านตายลงในทันที
แต่ความสัมพันธ์ทั้งสองแบบก็เหมือนกันตรงที่สิ่งมีชีวิตหนึ่งได้ประโยชน์ขณะที่สิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่งเสีย
ประโยชน์)
ข้ันที่ 5 ข้นั ประเมนิ (Evaluation) (10 นาที)
8) ครูและนักเรียนอภิปรายผลการทำกิจกรรม ส่ิงมีชีวติ ท่อี ย่รู ่วมกนั จะมีปฏสิ ัมพันธ์กันใน
รูปแบบตา่ ง ๆ จะได้ขอ้ สรุปว่า
- ภาวะพึ่งพากัน เป็นภาวะที่สิ่งมีชีวิตสองชนิดมาอยู่ร่วมกันแล้ว สิ่งมีชีวิตทั้งสองชนิดมาอยู่
ร่วมกันจะได้ประโยชน์
- ภาวะองิ อาศัย เปน็ ภาวะทสี่ ิ่งมีชวี ิตสองชนิดมาอย่รู ว่ มกนั แลว้ ส่งิ มีชวี ติ หนึง่ ได้ประโยชน์ โดย
ทส่ี งิ่ มชี วี ติ หน่ึงไม่เสยี ประโยชน์และไมไ่ ด้ประโยชน์
- ภาวะปรสิต เป็นภาวะที่สง่ิ มชี ีวติ สองชนิดมาอยรู่ ่วมกนั แล้ว ส่งิ มีชวี ิตหนงึ่ ได้ประโยชน์ (ปรสติ )
สิง่ มชี วี ิตหนึ่งเสียประโยชน์ (ผูถ้ ูกอาศยั )
- การลา่ เหยื่อ เป็นภาวะทสี่ ่ิงมชี ีวิตสองชนิดมาอยู่รว่ มกันแลว้ สงิ่ มชี ีวิตหนงึ่ ไดป้ ระโยชน์ (ผู้ล่า)
สิ่งมชี วี ติ หนงึ่ เสียประโยชน์ (เหยื่อ)
9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. สอื่ การเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 คลปิ วีดิทศั น์: ความสัมพนั ธร์ ะหว่างปลาฉลามและเหาฉลาม
https://www.youtube.com/watch?v=Mxpa6gPIbLE
8.2 ใบกจิ กรรม: ใบกิจกรรมที่ 7.4 สิ่งมีชีวิตอยรู่ ว่ มกันอย่างไร
8.3 แบบบันทึกกจิ กรรม: แบบบันทึกการค้นควา้ กิจกรรมที่ 7.4 สง่ิ มีชีวติ อยู่ร่วมกนั อย่างไร
8.4 แหลง่ เรยี นร้:ู หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 3
เลม่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
9. การวดั และการประเมนิ
ตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวัด เครอ่ื งมอื วดั เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน
- คำถามท้ายกิจกรรมที่ 7 - ได้ไมน่ อ้ ยกวา่ 2 คะแนน
1. อธิบายความสัมพนั ธร์ ะหว่าง - ตรวจการตอบ
สง่ิ มีชีวติ อย่รู ว่ มกัน ระดบั คณุ ภาพดี ถอื วา่ ผ่าน
สิ่งมชี วี ติ ในรูปแบบภาวะ คำถามทา้ ย อย่างไร จำนวน 2 ขอ้ การประเมินดา้ นความรู้
พึ่งพากันภาวะอิงอาศัย กจิ กรรมที่ 7.4
ภาวะปรสติ และการล่าเหยือ่
(ด้านความรู้: K)
2. การใช้ทักษะการจำแนก - ตรวจการทำแบบ - แบบบันทกึ การคน้ คว้า - ได้ไม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
กิจกรรมท่ี 7.4
ประเภท โดยการจัดกลมุ่ บันทึกการคน้ คว้า สงิ่ มีชวี ติ อยู่รว่ มกนั ระดับคณุ ภาพดี ถอื ว่าผา่ น
สงิ่ มีชีวิตตามความสมั พันธ์ทีม่ ี กิจกรรมท่ี 7.4 อย่างไร การประเมิน
รปู แบบคลา้ ยคลึงกันไว้ดว้ ยกนั ด้านกระบวนการ
(ด้านกระบวนการ: P)
ตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ กี ารวดั เคร่ืองมือวัด เกณฑท์ ใี่ ช้ในการประเมิน
3. ให้ความรว่ มมอื ในการ - สังเกตความร่วมมือ - เกณฑ์การประเมนิ ความ - ไดไ้ ม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
ระดบั คุณภาพดี ถือวา่
ทำกิจกรรมรว่ มกบั ผู้อนื่ ได้ ในการทำกิจกรรม ร่วมมือในการทำ ผา่ นการประเมิน
ดา้ นเจตคติ
(ด้านเจตคติ: A) ของนกั เรยี น กิจกรรมรว่ มกับผ้อู ่นื
ของนกั เรียน
9.1 เกณฑก์ ารประเมนิ ผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมิน คา่ นำ้ หนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การให้คะแนนตอบ ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 7.4 ถกู ตอ้ ง จำนวน 2 ขอ้
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 7.4 ถูกตอ้ ง จำนวน 1 ข้อ
กจิ กรรมท่ี 7.4 2 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 7.4 ไมถ่ ูกต้อง
1
การใหค้ ะแนนการบันทกึ บันทกึ ผลการทำกจิ กรรม จากการจำแนกความสมั พนั ธ์ของสงิ่ มีชีวิตทม่ี ี
แบบบนั ทกึ การคน้ คว้า 3 รูปแบบเดยี วกนั ไว้ดว้ ยกนั ได้ถูกต้องตามเกณฑ์ทก่ี ำหนด เหมาะสมและ
กจิ กรรมที่ 7.4 สอดคล้องกับเนือ้ หาในกจิ กรรม
บนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม จากการจำแนกความสัมพนั ธข์ องสิง่ มีชวี ิตที่มี
2 รูปแบบเดยี วกันไวด้ ้วยกัน ไดถ้ ูกตอ้ งตามเกณฑท์ ีก่ ำหนด มีความ
สอดคลอ้ งกับเน้ือหาในกจิ กรรม
การให้คะแนนความ บนั ทึกผลการทำกิจกรรม จากการจำแนกความสมั พันธ์ของสิง่ มชี ีวิตทม่ี ี
รว่ มมือในการทำกจิ กรรม 1 รูปแบบเดยี วกันไวด้ ้วยกัน ไดถ้ ูกต้องตามเกณฑท์ ่กี ำหนด ไม่เหมาะสม
รว่ มกับผ้อู ่ืน เกิดขอ้ ผดิ พลาด ไม่สอดคล้องกับเนอื้ หาในกิจกรรม
3 ให้ความรว่ มมือในทำกิจกรรมรว่ มกบั ผอู้ ่ืนตลอดท้ังคาบเรยี น ไมก่ ่อ
ความวุ่นวายหรือปญั หาท่รี บกวนการเรยี นของผู้อน่ื เช่น พูดเสยี งดัง
โวยวาย ลุกเดนิ ไปมา หรือชวนผอู้ ืน่ คยุ เลน่ ขณะครทู ำการสอน
2 ใหค้ วามรว่ มมือในทำกิจกรรมร่วมกับผอู้ ื่นเปน็ บางครงั้ ในคาบเรยี น และ
กอ่ ความวุ่นวายหรอื ปญั หาท่ีรบกวนการเรียนของผูอ้ ื่น เชน่ พูดเสียงดัง
โวยวาย ลุกเดนิ ไปมา หรอื ชวนผู้อื่นคยุ เล่น ขณะครสู อน
1 ไม่ให้ความรว่ มมอื ในทำกิจกรรมร่วมกบั ผูอ้ ่ืน ทำใหเ้ กิดความวุ่นวายหรอื
ปญั หาที่รบกวนการเรยี นของผอู้ ื่น เช่น พูดเสยี งดังโวยวาย ลกุ เดนิ ไปมา
หรอื ชวนผอู้ ืน่ คยุ เลน่ ขณะครทู ำการสอน
9.2 ระดบั คณุ ภาพ
คะแนนรวมเฉลย่ี 3.00 หมายถงึ ดมี าก
คะแนนรวมเฉล่ยี 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉลยี่ 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้
ดงั น้นั นักเรยี นต้องได้คะแนนเฉลย่ี ทุกประเด็นการประเมิน ไม่ต่ำกว่า 2.00 แสดงระดับ
คุณภาพ ดี ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์การประเมนิ ในแผนการจัดการเรยี นท่ี 28
สอื่ การเรยี นรแู้ ผนการจัดการเรยี นรทู้ ่ี 28: สื่อวีดทิ ัศน์
คลปิ วดี ีทศั น์: พรี ะมดิ พลงั งาน
สอ่ื คลิปวีดีทัศน์เรอ่ื ง พีระมิดพลงั งาน อธิบายเก่ยี วกับ ปลาเหาฉลาม(Echeneis naucrates)
เหาฉลามชนดิ หนง่ึ แนบตัวเองกับปลาฉลามและสัตว์ทะเลอ่นื ๆ โดยใช้ครีบหลังแรกทม่ี วี วิ ฒั นาการมา
เป็นตวั ดูด ลาเหาฉลามได้รบั ท่ีนงั่ ฟรแี ละกนิ เศษอาหารทีเ่ หลือจากผู้ใหอ้ าศยั (โฮสต)์ ซงึ่ ยังไดร้ ับปอ้ งกันภยั
อีกดว้ ย นี่เรยี กวา่ ความสมั พนั ธแ์ บบภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเกอื้ กลู
แหล่งทม่ี า: เวบ็ ไซตอ์ ้างอิง
https://www.youtube.com/watch?v=Mxpa6gPIbLE
เผยแพร่เมอ่ื 18 กันยายน พ.ศ. 2555
(ช่องYouTube: Bubble Vision)
สอื่ การเรียนรแู้ ผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 28: ใบกิจกรรมท่ี 7.4
ใบกิจกรรมท่ี 7.4 ส่ิงมชี ีวิตอยูร่ ่วมกนั อย่างไร
หนงั สือเรียนรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หน้า 175
กิจกรรมที่ 7.4 สง่ิ มีชวี ิตอยรู่ ่วมกันอย่างไร?
จุดประสงค์
วสั ดุอปุ กรณ์ สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายรูปแบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสงิ่ มชี วี ิตกับสิ่งมชี วี ติ ทอ่ี ยู่รว่ มกนั
วิธีดำเนนิ กิจกรรม
-
1. อภิปรายความสมั พันธร์ ะหว่างส่งิ มชี ีวิตทีอ่ ยรู่ ่วมกันแต่ละคดู่ งั ต่อไปน้ี
• ควายกบั นกเอี้ยง • หมัดกับสนุ ัข
• กาฝากกับมะมว่ ง • ปลาเหาฉลามกับปลาฉลาม
• เสือโครงกบั กวางดาว • ปลาการ์ตนู กบั ดอกไม้ทะเล
• กลว้ ยไม้ปา่ กบั ยางนา • ตั๊กแตนตาข้าวกบั แมลงปอ
2. สบื คน้ ข้อมูลเพม่ิ เติม วิเคราะห์ความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่งิ มีชวี ติ แตล่ ะคู่ และรว่ มกัน
อภปิ รายวา่ ส่งิ มีชีวิตชนิดใดไดป้ ระโยชน์ สิ่งมีชีวิตใดเสยี ประโยชน์ หรอื ส่ิงมชี วี ติ ใดไม่ได้
และไม่เสยี ประโยชน์ บันทึกผลโดยทาเครอ่ื งหมายดงั น้ี
+ แทน สิ่งมชี ีวิตที่ได้ประโยชน์
- แทน สง่ิ มชี ีวติ ทเ่ี สยี ประโยชน์
0 แทน ส่งิ มีชีวติ ทไี่ มไ่ ด้และไม่เสยี ประโยชน์
3. จาแนกรปู แบบความสมั พนั ธ์ของสิง่ มีชีวติ ในข้อ 2 ออกเป็นกลมุ่ บนั ทึกผลและนาเสนอ
4. ร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับความสมั พันธ์ของสิง่ มชี วี ิตแตล่ ะกลุ่ม
คำถามท้ายกจิ กรรม
1. ลักษณะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งส่ิงมชี ีวติ ท่ีกำหนดใหม้ กี ี่กลุ่ม และส่งิ มีชีวติ แต่ละกล่มุ มีความสมั พนั ธ์กนั อย่างไร
2. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ า่ อย่างไร
สอื่ การเรียนรู้แผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 28: แบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.4
แบบบันทึกกำรคน้ ควำ้ กจิ กรรมที่ 7.4 สิ่งมชี ีวติ อยูร่ ่วมกันอยา่ งไร
ช่อื -นามสกลุ ..........................................................................................ชน้ั .................เลขท่ี...........กลมุ่ ท.่ี ...........
ตารางบนั ทึกผลการทำกิจกรรม
ค่สู ง่ิ มชี ีวิต สิ่งมีชีวิตตวั ที่ 1 ส่งิ มชี วี ิตตัวที่ 2 ลักษณะความสมั พนั ธ์
ววั กบั นกเอีย้ ง
กาฝากกับมะม่วง
เสอื โคร่งกบั กวางดาว
กลว้ ยไม้ปา่ กบั ต้นยางนา
หมัดกบั สนุ ขั
ปลาเหาฉลามกับปลาฉลาม
ปลาการ์ตนู กบั ดอกไมท้ ะเล
ตัก๊ แตนตำข้าวกับแมลงปอ
คำถามท้ายกจิ กรรม
1. ลักษณะความสัมพนั ธร์ ะหว่างส่งิ มีชีวติ ท่ีกำหนดให้มีก่ีกลุ่ม และส่งิ มีชวี ติ แต่ละกลุ่มมีความสัมพันธก์ ันอย่างไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. จากกจิ กรรม สรุปได้วา่ อยา่ งไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ลักษณะการอยู่รว่ มกนั ผลทเ่ี กิดขน้ึ กบั สงิ่ มชี ีวิตท้งั สองชนดิ
ภาวะพ่งึ พากนั การใหค้ ะแนนด้านกระบวนการ (P)
ภาวะองิ อาศัย
การลา่ เหยอ่ื
ภาวะปรสติ
แนบทา้ ยแผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 28:
แนวทางบนั ทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.4 ส่ิงมีชีวิตอยู่รว่ มกนั อยำ่ งไร
ตารางบนั ทกึ ผลการทำกิจกรรม
คู่สิ่งมีชวี ิต สิง่ มชี ีวิตตัวท่ี 1 สิง่ มีชีวิตตัวที่ 2 ลักษณะความสมั พันธ์
วัวกบั นกเอย้ี ง วัว + นกเอยี้ ง + (+ , +)
กาฝากกบั มะม่วง มะม่วง - (+ , -)
เสอื โคร่งกับกวางดาว กาฝาก + กวางดาว + (+ , +)
กล้วยไมป้ ่ากบั ต้นยางนา เสอื โคร่ง + ต้นยางนา 0 (+ , 0)
หมัดกบั สนุ ขั กลว้ ยไมป้ ่า + สุนขั - (+ , -)
ปลาเหาฉลามกบั ปลาฉลาม หมดั + ปลาฉลาม 0 (+ , 0)
ปลาการ์ตูนกับดอกไมท้ ะเล ปลาเหาฉลาม + (+ , +)
ตั๊กแตนตำขา้ วกับแมลงปอ ปลาการต์ นู + ดอกไมท้ ะเล + (+ , -)
ต๊กั แตนตำขา้ ว + แมลงปอ -
แนบทา้ ยแผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 28: การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
เฉลยใบกจิ กรรมท่ี 7.4 ส่ิงมชี ีวิตอย่รู ่วมกันอยำ่ งไร
เฉลยคำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ลักษณะความสัมพันธร์ ะหว่างสิง่ มีชีวิตท่ีกำหนดใหม้ กี ่ีกลุ่ม และสงิ่ มีชีวติ แต่ละกลมุ่ มีความสัมพนั ธ์กัน อยา่ งไร
แนวคำตอบ ความสัมพนั ธม์ ที ้ังหมด 3 แบบ ไดแ้ ก่
• แบบที่ 1 คอื ส่งิ มชี วี ิตหนงึ่ ทง้ั สองชนดิ ไดป้ ระโยชน์ (+ , +)
• แบบท่ี 2 คอื สิ่งมชี วี ิตหนง่ึ ได้ประโยชน์ และสิ่งมชี วี ิตหนึ่งไม่เสียหรือไดป้ ระโยชน์ (+ , 0)
• แบบท่ี 3 คอื สิ่งมีชวี ิตหนึ่งได้ประโยชน์ และสิง่ มีชีวิตหนึ่งเสยี ประโยชน์ (+ , -)
2. จากกจิ กรรม สรปุ ไดว้ า่ อย่างไร
แนวคำตอบ ความสมั พันธม์ ที ้งั หมด 4 แบบ โดยมรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้
ลักษณะการอยู่รว่ มกนั ผลท่ีเกดิ ข้นึ กับสง่ิ มชี วี ิตท้ังสองชนดิ
ภาวะพึ่งพากนั สง่ิ มีชวี ติ ท้ังสองชนิดได้ประโยชนท์ ้งั คู่ (+,+)
ภาวะองิ อาศัย สิง่ มชี วี ิตหนงึ่ ได้ประโยชน์ โดยท่สี ิง่ มีชวี ิตหนงึ่ ไม่เสียประโยชน์และไม่ไดป้ ระโยชน์ (+,0)
การล่าเหย่ือ สงิ่ มีชีวติ หนง่ึ ได้ประโยชน์ (ผู้ลา่ ) ส่งิ มชี ีวิตหนึง่ เสยี ประโยชน์ (เหยือ่ ) (+,-)
ภาวะปรสิต สิ่งมชี วี ติ หนึ่งไดป้ ระโยชน์ (ปรสิต) ส่งิ มชี ีวติ หนง่ึ เสียประโยชน์ (ผู้ถูกอาศยั ) (+,-)
แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 29
เรื่อง ความสัมพันธ์ของส่งิ มีชวี ติ ในระบบนเิ วศ รหสั วิชา ว23102 เวลา 2 ช่ัวโมง
หน่วยการเรียนรู้ที่ 7 ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวม 15 ชวั่ โมง
กลุ่มสาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรยี นที่ 2
สาระที่ 1 ชอ่ื สาระ วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วัด
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสงิ่ มีชวี ิตกบั สิ่งมีชีวติ ต่าง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลงั งาน การเปลีย่ นแปลงแทนที่ใน
ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทมี่ ีตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติและสงิ่ แวดล้อม แนวทาง
ในการอนรุ กั ษ์ทรพั ยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปัญหาส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ นำความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์
ตัวช้ีวัด
ว 1.1 ม.3/2 อธิบายรูปแบบความสมั พนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ มชี ีวติ กับสิง่ มีชีวิตรูปแบบตา่ ง ๆในแหลง่ ที่อยู่
เดยี วกนั ที่ไดจ้ ากการสำรวจ
2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
1) สิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตมีความสัมพันธ์กันในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ภาวะพึ่งพากัน ภาวะอิงอาศัย ภาวะ
เหยอ่ื กบั ผู้ล่า ภาวะปรสติ
2) สิ่งมชี ีวิตชนดิ เดียวกนั ทอี่ าศัยอยรู่ ่วมกนั ในแหลง่ ท่ีอยู่เดียวกัน ในช่วงเวลาเดียวกนั เรียกว่า ประชากร
3) กล่มุ สิ่งมีชีวิตประกอบด้วยประชากรของสิ่งมชี วี ิตหลาย ๆชนดิ อาศัยอยู่รว่ มกันในแหลง่ ท่ีอยเู่ ดียวกนั
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรียนวเิ คราะห์ความสัมพนั ธข์ องสง่ิ มีชวี ิตตา่ งชนดิ กนั ที่อยู่ร่วมกันแบบต่าง ๆ ได้
1) ดา้ นความรู้ (K) นกั เรียนใช้ทักษะการลงความเห็นจากขอ้ มลู โดยนำขอ้ มลู ที่ได้จากการสังเกต
2) ด้านทักษะ (P) ส่ิงมีชวี ิตมาเช่ือมโยง เพอื่ อธิบายเกีย่ วกบั รปู แบบความสมั พันธร์ ะหวา่ งสงิ่ มีชวี ติ
นักเรยี นใหค้ วามร่วมมือในการทำกจิ กรรมร่วมกบั ผอู้ น่ื ได้
3) ดา้ นเจตคติ (A)
4. คุณลกั ษณะผูเ้ รยี น อยู่อย่างพอเพียง ซอื่ สัตย์สจุ รติ มงุ่ ม่นั ในการทำงาน
4.1 คณุ ลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ รกั ความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มจี ติ สาธารณะ
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์
มวี นิ ัย
5. ด้านสมรรถนะสำคญั ของผู้เรยี น
ความสามารถในการสอ่ื สาร: นักเรยี นสามารถส่อื สาร โดยการอภิปรายร่วมกนั เกย่ี วกบั ความสมั พนั ธ์
กนั ระหว่างสงิ่ มชี วี ิตในรปู แบบต่าง ๆ
ความสามารถในการคิด: นักเรยี นสามารถคิด โดยการวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างส่งิ มีชีวติ ใน
รปู แบบตา่ ง ๆ แล้วลงความเห็นเกี่ยวกับรปู แบบความสัมพนั ธ์
6. สาระการเรยี นรู้
สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่อยู่ร่วมกันในระบบนิเวศจะมีปฏิสัมพันธ์กันในลักษณะต่าง ๆ สิ่งมีชีวิตบางชนิดได้
ประโยชน์ บางชนิดเสียประโยชน์ และบางชนิดไม่ได้และไม่เสียประโยชน์ การที่สิ่งมีชีวิตสองชนิดมาอย่รู ่วมกนั
โดยต่างฝา่ ยต่างไดป้ ระโยชน์เรยี กรูปแบบความสัมพันธ์น้ีว่า ภาวะพง่ึ พากนั (mutualism) เช่น ปลาการ์ตูนกับ
ดอกไม้ทะเล โดยปลาการ์ตูนใช้ดอกไม้ทะเลเป็นที่อยู่อาศัย หลบภัย และวางไข่ ส่วนดอกไม้ทะเลอาศัยปลา
การ์ตนู ลอ่ สัตวน์ ้ำชนิดอ่นื ให้เข้ามาใกล้ดอกไม้ทะเล เพื่อดอกไมท้ ะเลจะไดจ้ ับสตั วน์ ้ำนัน้ ๆ เป็นอาหาร หรือกรณี
ของไลเคน ทีเ่ ป็นการอยรู่ ว่ มกันของราและสาหร่าย โดยราจะได้รับสารอาหารจกสาหรา่ ย สว่ นสาหรา่ ยกจ็ ะได้รับ
ความชื้นจากรา
การอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตที่สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งได้รับประโยชน์ ส่วนอีกชนิดหนึ่งไม่ได้และไม่เสีย
ประโยชน์ เรียกรูปแบบความสัมพันธ์นี้ว่า ภาวะอิงอาศัย (commensalism) ตัวอย่างเช่น ปลาเหาฉลามกับ
ปลาฉลาม โดยปลาเหาฉลามได้ประโยชน์จากเศษอาหารที่ปลาฉลามกิน ส่วนปลาฉลามไม่ไดป้ ระโยชน์จากปลา
เหาฉลามแต่ก็ไม่เสียประโยชน์แต่อย่างใด หรือกรณีของกล้วยไม้ป่าที่เกาะอยู่บนลำตันของตันไม้ใหญ่ โดย
กลว้ ยไมป้ ่าได้รบั ความชน้ื และทีอ่ ย่อู าศัยจากต้นไม้ใหญ่ สว่ นต้นไมใ้ หญ่ไม่ไดร้ ับประโยชน์จากกล้วยไม้ป่าแต่ก็ไม่
เสียประโยชน์เช่นเดยี วกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างส่ิงมีชีวติ ที่อยูร่ ่วมกันในลักษณะที่สิง่ มีชีวิตชนิดหนึ่งได้ประโยชน์ แต่อีกชนิดหนง่ึ
เสียประโยชน์ โดยสิ่งมีชวี ิตท่ีได้ประโยชน์ เรียกว่า ปรสิต (parasite) ต้องอาศัยอยู่กับสิง่ มีชวี ิตท่ีเสียประโยชน์
เรียกว่า ผู้ถูกอาศัย (host) ซึ่งส่วนมากสิ่งมชี ีวิตท่ีเป็นผู้ถกู อาศัยจะไม่เสียชีวิตในทันที รูปแบบความสัมพันธ์น้ี
เรียกว่า ภาวะปรสิต (parasitism) ตัวอย่างเช่น เห็บบนตัวสุนัข โดยเหบ็ เปน็ ปรสติ ได้ประโยชน์จกการกินเลือด
ของสนุ ขั เปน็ อาหาร ส่วนสนุ ัขเปน็ ผู้ถกู อาศยั เสียประโยชน์จากการสูญเสยี เลอื ดและอาจติดเชื้อโรคท่ีมาจากเห็บ
หรือในกรณีของกาฝากที่อาศัยอยูบ่ นต้นไม้ กาฝากเป็นปรสิตใช้รากเจาะลำตันของตันไม้เพื่อดดู น้ำและอาหาร
สว่ นตนั ไมเ้ ปน็ ผถู้ ูกอาศยั เสยี ประโยชน์ โดยจะถกู แย่งนำ้ และอาหาร
สง่ิ มีชวี ิตบางชนดิ ท่ีอยู่ในแหล่งท่ีอยู่เดียวกนั จะมีการกนิ กันเปน็ อาหาร ซง่ึ ฝา่ ยหนง่ึ จะได้ประโยชน์ ฝ่าย
หนง่ึ จะเสียประโยชน์ เรยี กรปู แบบความสมั พันธน์ ี้ว่า การลา่ เหยอ่ื (predation) โดยสิง่ มชี ีวติ ที่ไดป้ ระโยชน์จาก
การกนิ ส่งิ มชี วี ิตอ่นื เป็นอาหารเรียกว่า ผลู้ า่ (predator) สว่ นส่งิ มชี วี ิตท่ีเสียประโยชน์จากการถูกกินเป็นอาหาร
และเสียชีวิตลงเรยี กว่า เหยื่อ (prey) เช่น สิงโตกัดควายปา่ งูกับกบ โดยสิงโตและงูเป็นผู้ล่า ส่วนควายป่าและ
กบเปน็ เหย่อื
ในธรรมชาติเมื่อผู้ล่าเพิ่มจำนวนมากขึ้นจะทำให้เหยื่อซึ่งเป็นอาหารมีจำนวนลดลง หากผู้ล่ากินเหยื่อ
ชนิดเดียวเป็นอาหารจะสง่ ผลให้ผู้ลา่ ขาดแคลนอาหารและเกดิ การแข่งขันเพื่อแย่งอาหาระหวา่ งผู้ล่าดว้ ยกนั เอง
ทำให้ผู้ล่ามีจำนวนลดลง ดังนั้นจำนวนของผู้ล่าและเหย่ือในระบบนิเวศหนึ่งจะมกี ารเปลี่ยนแปลงเพ่ือทำใหเ้ กดิ
ความสมดุลของจำนนประชากรท้งั ผู้ล่าและเหยอ่ื ดังภาพ ซ่งึ เป็นกราฟแสดงความสัมพนั ธ์ของจำนวนประชากร
แมวปาลงิ ซก์ ับกระตา่ ยปา่ โดยแมวปา่ ลิงซเ์ ปน็ ผู้ลา่ ส่วนกระตา่ ยปา่ เป็นเหยอื่
ภาพแสดง กราฟแสดงความสมั พนั ธ์ของจำนวนประชากรแมวปาลิงซ์กบั กระต่ายป่า
(ทม่ี า: หนังสอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันม.3 เลม่ 2 สสวท. หนา้ 178)
จากภาพ จะเหน็ ไดว้ ่า ประชากรของแมวป่าลงิ ซม์ ีความสมั พนั ธก์ บั ประชากรกระตา่ ยปา่ เมอ่ื กระตา่ ยป่า
มีจำนวนเพิ่มขึ้นแมวป่าลิงซ์ก็จะเพิ่มจำนวนขึ้นตามไปด้วย เพราะมีอาหารอุดมสมบูรณ์ ในทางตรงกันข้าม
เมื่อจำนวนกระต่ายป่าลดลงก็จะส่งผลให้จำนวนประชากรของแมวป่าลิงซ์ลดลงตามไปด้วย เพราะขาดแคลน
อาหาร นอกจากนีห้ ากเกดิ ภาวะแหง้ แล้งเปน็ เวลานานหรอื เกิดภัยพิบตั อิ ืน่ ๆ เช่น ไฟป่า นำ้ ทว่ ม ท่ีทำให้จำนวน
ประขากรพืชของกระต่ายป่าลดลง อาจส่งผลให้จำนวนประชากรของกระต่ายป่าและแมวป่าลิงซ์ลดลงอย่าง
รวดเร็วเช่นกัน
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใช้รปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชวั่ โมง; 120นาที)
ขน้ั ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูนำเสนอบัตรภาพจำนวน 2 ภาพ แลว้ ให้นกั เรียนวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ ดังน้ี
- ภาพท่ี 1 แสดงผีเส้อื ตอมดอกไม้ (ผีเส้อื กำลังชว่ ยผสมเกสรดอกไม้ สว่ นดอกไม้ให้
นำ้ หวานเปน็ อาหารแกผ่ ีเส้อื )
- ภาพที่ 2 แสดงไลเคนเกาะบนตน้ ไม้ (ไลเคนเป็นสงิ่ มชี ีวติ 2 ชนดิ อาศัยร่วมกนั
ระหวา่ ง ราและสาหร่าย ซึ่งจะขาดส่งิ ใดสิง่ หนึ่งไมไ่ ด้ ต้องอยู่รว่ มกัน)
ขั้นที่ 2 สำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาท)ี
2) ให้นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มรว่ มกนั อภปิ รายถงึ ความสมั พันธ์ของส่งิ มชี วี ิตในแตล่ ะรปู แบบและ
เตรยี มการนำเสนอ ตามหวั ขอ้ โดยการจบั ฉลากเลือกหวั ข้อดังนี้
- ภาวะไดป้ ระโยชน์รว่ มกนั (protocooperation)
- ภาวะพึ่งพากนั (mutualism)
- ภาวะเก้ือกูลหรอื องิ อาศัย (commensalism)
- ภาวะล่าเหยอ่ื (predation)
- ภาวะปรสติ (parasitism)
- ภาวะแขง่ ขัน (competition)
ขนั้ ท่ี 3 อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (40 นาที)
3) ครูให้ตัวแทนแต่ละกลุ่ม ออกมานำเสนอสรุปรูปแบบความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแต่ละ
ความสมั พนั ธ์ ให้เวลากลมุ่ ละ 5 นาที
ขน้ั ที่ 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaboration) (10 นาท)ี
4) ครอู ธิบายเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการอย่รู ว่ มกนั แบบภาวะเปน็ กลาง เป็นความสัมพนั ธข์ องสงิ่ มชี ีวิต
ทีไ่ ม่เก่ียวข้องกันแตอ่ าศัยในระบบนิเวศเดียวกัน จงึ ไม่มฝี ่ายใดได้รบั หรือเสยี ประโยชน์ เชน่ ไสเ้ ดอื นกับเสือ ผีเสื้อ
กบั ลงิ มดกับผึง้ เป็นต้น
ข้ันที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluation) (20 นาที)
5) นักเรยี นทำแบบฝกึ หัดทบทวน เรือ่ ง ความสัมพันธร์ ะหวา่ งส่ิงมชี วี ิต เพือ่ วเิ คราะห์
ความสัมพันธร์ ะหวา่ งสิง่ มชี วี ิตในแตล่ ะภาพทีโ่ จทย์กำหนด
8. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้ อปุ กรณ์เครื่องเขยี นและกระดาษนาเสนอ
8.1 วัสดอุ ุปกรณ์: แสดงผเี ส้อื ตอมดอกไม้ และไลเคนเกาะบนตน้ ไม้
8.2 แผนภาพ: แบบฝึกหัดทบทวนเรือ่ ง ความสัมพนั ธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ติ
8.3 แบบฝึกหัด: หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
8.4 แหล่งเรยี นรู:้ เล่ม 2 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
9. การวัดและการประเมนิ
ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ วธิ ีการวัด เครือ่ งมือวัด เกณฑ์ทใ่ี ชใ้ นการประเมนิ
- ได้ไม่นอ้ ยกว่า 2 คะแนน
1. วิเคราะห์ความสมั พนั ธข์ อง - ตรวจการทำแบบฝกึ หัด - แบบฝึกหัดทบทวน
ระดับคณุ ภาพดี ถอื วา่ ผา่ น
สง่ิ มชี วี ติ ต่างชนดิ กนั ทอ่ี ยู่ ทบทวนเรื่อง ความ เร่อื ง ความสัมพันธ์ การประเมินด้านความรู้
รว่ มกนั แบบตา่ ง ๆ สมั พนั ธร์ ะหว่างสิง่ มชี ีวติ ระหวา่ งส่งิ มีชีวิต - ไดไ้ มน่ ้อยกว่า 2 คะแนน
ระดับคณุ ภาพดี ถอื วา่ ผา่ น
(ดา้ นความรู้: K) การประเมนิ
ดา้ นกระบวนการ
2. การใช้ทักษะการลงความเห็น - ตรวจจากการนำเสนอ - แบบประเมินทักษะ
จากขอ้ มลู เพอื่ อธบิ ายเก่ียวกบั ข้อมูลรปู แบบ การสอื่ ความหมาย
รปู แบบความสัมพันธร์ ะหว่าง ความสัมพนั ธข์ อง ขอ้ มูล
สงิ่ มีชีวิต (ด้านกระบวนการ: P) ส่งิ มีชวี ติ เปน็ รายกลุ่ม
ตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมอื วดั เกณฑท์ ่ีใชใ้ นการประเมิน
3. ให้ความร่วมมอื ในการ - สงั เกตความร่วมมอื - เกณฑก์ ารประเมนิ ความ - ได้ไมน่ ้อยกว่า2 คะแนน
ในการทำกิจกรรม
ทำกจิ กรรมร่วมกบั ผู้อ่ืนได้ รว่ มมอื ในการทำ ระดับคุณภาพดี ถอื วา่
(ดา้ นเจตคติ: A) ของนกั เรยี น กิจกรรมรว่ มกับผู้อน่ื ผ่านการประเมิน
ของนักเรียน ด้านเจตคติ
9.1 เกณฑก์ ารประเมนิ ผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมิน ค่าน้ำหนกั แนวทางการให้คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ คะแนน
แบบฝกึ หัดทบทวน
3 ตอบคำถามในแบบฝกึ หดั ทบทวน ถูกต้อง จำนวน 7-9 ข้อ
การให้คะแนนการ
นำเสนอขอ้ มลู รายกลุ่ม 2 ตอบคำถามในแบบฝึกหัดทบทวน ถูกต้อง จำนวน 4-6 ขอ้
การให้คะแนนความ 1 ตอบคำถามในแบบฝึกหัดทบทวน ถกู ต้อง จำนวน 1-3 ขอ้ หรอื ไมถ่ ูกต้อง
รว่ มมือในการทำ
กิจกรรมรว่ มกับผอู้ น่ื 3 ผลงานมีรูปแบบนา่ สนใจ มีความสัมพนั ธ์กบั หวั ขอ้ ทีก่ ำหนด นำเสนอได้
ชดั เจน เข้าใจไดง้ ่าย
2 ผลงานมีรปู แบบนา่ สนใจ แต่มีความสัมพันธก์ บั หวั ขอ้ ท่ีกำหนดน้อย
นำเสนอได้ชัดเจน
1 ผลงานมีรปู แบบไม่น่าสนใจ มีความสมั พันธ์กับหัวขอ้ ทก่ี ำหนดนอ้ ย
ให้ความร่วมมอื ในทำกจิ กรรมร่วมกับผ้อู น่ื ตลอดท้ังคาบเรยี น ไมก่ อ่ ความ
3 วุน่ วายหรอื ปัญหาท่ีรบกวนการเรยี นของผู้อืน่ เช่น พดู เสยี งดังโวยวาย ลกุ
เดนิ ไปมา หรือชวนผอู้ นื่ คุยเล่น ขณะครูทำการสอน
ใหค้ วามรว่ มมอื ในทำกิจกรรมร่วมกบั ผ้อู ื่นเปน็ บางครงั้ ในคาบเรยี น และ
2 กอ่ ความวนุ่ วายหรอื ปญั หาท่ีรบกวนการเรยี นของผอู้ นื่ เช่น พูดเสียงดงั
โวยวาย ลกุ เดนิ ไปมา หรือชวนผอู้ นื่ คุยเลน่ ขณะครสู อน
ไม่ให้ความรว่ มมือในทำกิจกรรมร่วมกบั ผอู้ ื่น ทำให้เกดิ ความวุ่นวายหรอื
1 ปัญหาที่รบกวนการเรียนของผอู้ ่ืน เช่น พูดเสยี งดังโวยวาย ลุกเดนิ ไปมา
หรือ ชวนผู้อ่นื คยุ เลน่ ขณะครูทำการสอน
9.2 ระดบั คุณภาพ หมายถงึ ดีมาก
หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00
คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99 หมายถึง พอใช้
ดังน้ัน นกั เรยี นต้องได้คะแนนเฉล่ียทุกประเดน็ การประเมนิ ไมต่ ำ่ กวา่ 2.00 แสดงระดบั
คณุ ภาพ ดี ถอื ว่าผ่านเกณฑ์การประเมินในแผนการจัดการเรยี นที่ 29
สอ่ื การเรียนรแู้ ผนการจดั การเรยี นรูท้ ่ี 29: แผนภาพ
-
บตั รภาพแสดงผเี ส้ือตอมดอกไมแ้ ละไลเคนเกาะบนต้นไม้
ภาพ ผีเสอื้ ตอมดอกไม้
(อา้ งองิ จาก: https://sites.google.com/site/lokkhxngphise/phiseux-kab-dxkmi)
ภาพ ไลเคนเกาะบนตน้ ไม้
อ้างอิงจาก: http://www.sarakadee.com/2011/03/01/lychen/)
ส่อื การเรยี นรู้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 29: แบบฝกึ หดั ทบทวน
แบบฝกึ หดั ทบทวน เรือ่ ง ความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งมชี ีวิต
ชอ่ื -นามสกลุ ............................................................................ชนั้ ...............................เลขท.ี่ .............
โจทย์: ให้นกั เรียนเลอื กคำท่ีเปน็ รปู แบบของความสัมพนั ธร์ ะหว่างสิ่งมีชีวติ เติมลงไปใต้ภาพที่มีความหมาย
ตรงกันมากทสี่ ดุ เพียง 1 รปู แบบเทา่ นั้น
- Mutualism Commensalism
Protocooperation
Parasitism Competition Predation
-
-
-
ภาพท่ี 1: .......................... ภาพท่ี 2: .......................... ภาพท่ี 3: ..............................
-
-
-
ภาพท่ี 4: .......................... ภาพท่ี 5: .......................... ภาพที่ 6: ..........................
-
-
-
ภาพที่ 7: .......................... ภาพท่ี 8: .......................... ภาพที่ 9: ..........................
แนบท้ายแผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 29: การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
เฉลยใบงานเรอื่ ง ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสิง่ มีชวี ิต
ช่ือ-นามสกุล............................................................................ช้ัน...............................เลขท.่ี .............
โจทย์: ให้นักเรียนเลอื กคำที่เปน็ รูปแบบของความสัมพันธร์ ะหว่างสง่ิ มชี วี ติ เติมลงไปใต้ภาพทีม่ คี วามหมาย
ตรงกันมากท่ีสดุ เพียง 1 รูปแบบเทา่ น้ัน
- Mutualism Commensalism
Protocooperation
Parasitism Competition Predation
-
- ภาพที่ 2: commensalism ภาพที่ 3: Protocooperation
ภาพท่ี 1: Mutualism
-
-
-
ภาพที่ 4: Parasitism ภาพที่ 5: Predation ภาพท่ี 6: Competition
-
- ภาพท่ี 8: Commensalism ภาพที่ 9: Parasitism
-
ภาพที่ 7: Mutualism
แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 30
เร่อื ง เราจะดูแลรกั ษาระบบนเิ วศในทอ้ งถ่นิ ให้สมดุล รหัสวชิ า ว23102 เวลา 1 ชัว่ โมง
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7 ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวม 15 ช่ัวโมง
กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3 ภาคเรียนท่ี 2
สาระท่ี 1 ช่ือสาระ วทิ ยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1
1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชวี้ ดั
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ
ความสมั พันธ์ระหวา่ งส่ิงมชี วี ติ กบั สงิ่ มชี ีวติ ต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลยี่ นแปลงแทนที่ใน
ระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมีตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม แนวทาง
ในการอนรุ กั ษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแก้ไขปัญหาส่งิ แวดลอ้ ม รวมท้ังนำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวช้วี ัด
ว 1.1 ม.3/6 ตระหนกั ถึงความสมั พันธ์ของส่งิ มีชีวติ และส่ิงแวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไมท่ ำลายสมดุล
ของระบบนิเวศ
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) กลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหน้าที่ได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย
สารอินทรีย์ สิ่งมีชีวติ ทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีความสัมพันธก์ นั ผู้ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตที่สรา้ งอาหารได้เอง โดยกระบวนการ
สังเคราะหด์ ้วยแสง ผูบ้ ริโภคเปน็ สิ่งมชี ีวิตทไ่ี ม่สามารถสร้างอาหารได้เอง และตอ้ งกินผู้ผลิตหรือสิ่งมีชีวิตอื่นเป็น
อาหาร เมื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคตายลง จะถูกย่อยโดยผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ซึ่งจะเปลี่ยนสารอินทรีย์เป็นสาร
อนนิ ทรยี ก์ ลับคนื สู่ส่งิ แวดลอ้ ม ทำให้เกดิ การหมนุ เวยี นสารเป็นวัฏจักร จำนวนผู้ผลิต ผ้บู ริโภค และผู้ย่อยสลาย
สารอินทรยี ์จะต้องมคี วามเหมาะสม จงึ ทำให้กลมุ่ สิ่งมีชวี ติ อยไู่ ดอ้ ย่างสมดุล
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) ดา้ นความรู้ (K) นกั เรยี นอธิบายแนวทางการดแู ลรักษาระบบนิเวศในท้องถ่ินใหส้ มดลุ ได้
2) ด้านทกั ษะ (P) นักเรยี นใช้ทักษะด้านการสอ่ื สาร โดยการนำเสนอแนวทางการดูแลรักษา
ส่ิงแวดลอ้ มให้คงอยู่
3) ดา้ นเจตคติ (A) นักเรยี นตระหนักถึงความสมั พันธ์ของสิง่ มีชีวติ และสิง่ แวดลอ้ มในระบบนเิ วศ
โดยไม่ทำลายสมดุลของระบบนิเวศ
4. คุณลักษณะผ้เู รยี น
4.1 คุณลักษณะทพี่ งึ ประสงค์
รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสตั ยส์ ุจริต มงุ่ มัน่ ในการทำงาน
มวี นิ ัย รักความเป็นไทย ใฝ่เรียนรู้ มีจติ สาธารณะ
5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผ้เู รียน
ความสามารถในการสอ่ื สาร: นักเรียนสามารถสอ่ื สาร โดยการอภปิ รายร่วมกนั เก่ยี วกับความสัมพันธ์
กนั ระหว่างสิง่ มชี วี ิตในรูปแบบต่าง ๆ
6. สาระการเรยี นรู้
วิธกี ารรักษาสมดลุ ของระบบนิเวศ
ความสมดลุ ของระบบนิเวศ หมายถงึ สภาวะทีอ่ งค์ประกอบของระบบนิเวศทัง้ ปัจจยั ทางชีวภาพและทาง
กายภาพมีสัดส่วนที่เหมาะสม นั่นคือสิ่งแวดล้อมและสิ่งมีชวี ิต ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค ผู้ย่อยสลายสารอินทรียม์ ี
ความสมั พันธ์กนั ส่วนใหญ่มคี วามสัมพันธก์ ันแบบภาวะพึง่ พาอาศัยกนั โดยความสมดุลของระบบนิเวศจะคงอยู่
หากยงั มคี วามหลากหลายของส่ิงมชี วี ติ ภายในระบบ
กลไกการรักษาสมดุลของระบบนิเวศ
การรักษาสมดลุ ของการหมุนเวียนสารและการถ่ายทอดพลังงาน ทำใหเ้ กิดการแลกเปล่ียนพลังงานและ
สสารซ่ึงกันและกันการรกั ษาสมดุลของประชากรในส่งิ มีชวี ิต เปน็ การรกั ษาสมดุลของผู้ผลิต ผบู้ ริโภค และผู้ย่อย
สลายสารอนิ ทรยี ์ เกดิ การถ่ายทอดพลังงานไปตามโซ่อาหาร
การเสยี สมดลุ ของระบบนเิ วศ
โดยปกติแล้วระบบนเิ วศจะมีการแลกเปลี่ยนสสารและพลังงานตลอดเวลา ทำให้ระบบนิเวศสมดุล ซึ่ง
ปัจจัยท่ที ำใหร้ ะบบนเิ วศเสยี สมดุล ไดแ้ ก่
ปัจจัยที่เกิดจากธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม ไฟไหมป้ า่ แผน่ ดนิ ไหว ภูเขาไฟระเบดิ ซึ่งการสูญเสียสมดุลของ
ระบบนิเวศแบบนี้ ระบบนิเวศจะซ่อมแซมและสร้างระบบนิเวศใหมไ่ ดอ้ กี ครัง้
ปัจจัยที่เกดิ จากการกระทำของมนุษย์ เนอื่ งจากการเพ่ิมจำนวนประชากร ทำใหม้ ีการพฒั นาทั้งด้านการ
ดำรงชีวิต ด้านการเกษตร หรือด้านเทคโนโลยี ดังนั้นจึงต้องรุกล้ำพืน้ ที่ธรรมชาติ ตัดไม้ทำลายป่า หรือทำลาย
สิ่งแวดล้อม เพือ่ อำนวยความสะดวกสบายใหแ้ ก่มนษุ ย์
การรกั ษาสมดุลของระบบนเิ วศ
ใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างรู้คุณค่า ควบคุม ป้องกัน และแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม ไม่ทำลายแหล่ง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เช่น การท่องเที่ยวเชิง
อนุรักษ์ การทำเกษตรผสมผสาน การอุตสาหกรรมเชิงอนุรักษ์ การพัฒนาท้องถิ่นแบบยั่งยืนฟื้นฟูแหล่ง
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่เสื่อมโทรม สร้างจิตสำนึกในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ
สง่ิ แวดลอ้ มให้แกป่ ระชาชน
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ใช้รปู แบบการจดั การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชั่วโมง; 60นาที)
ขนั้ ที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูและนักเรยี นสนทนารว่ มกนั เพอ่ื กระตุ้นความสนใจของนักเรยี น โดยครูใช้ส่อื คลิปวดี ิทัศน์
เร่ือง ไฟป่าดอยสุเทพ ลุกลามหนกั สืบคน้ ได้จาก https://www.youtube.com/watch?v=s5Vlmrlairk
เพือ่ สนทนาถงึ ประเด็นปญั หาการทำลายระบบนิเวศท่เี กดิ ขึ้นในประเทศของเรา
ขั้นท่ี 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (20 นาที)
2) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมท้ายบท เราจะดูแลรักษาระบบนิเวศในท้องถ่ินได้อย่างไร โดยใช้
คำถามว่า แนวทางการดูแลรักษาระบบนเิ วศในท้องถนิ่ ทำได้อย่างไร (นกั เรียนตอบตามเข้าใจของนักเรียน)
3) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หน้า 180 และครูตรวจสอบความ
เข้าใจการอา่ น โดยใชค้ ำถามดังต่อไปน้ี
- กิจกรรมนเ้ี ก่ียวกบั เร่ืองอะไร (นำเสนอแนวทางการดูแลรกั ษาระบบนเิ วศในท้องถนิ่ ให้สมดุล)
- กิจกรรมน้ีมจี ุดประสงค์อะไร (นำเสนอแนวทาง/วธิ กี ารดูแลรกั ษาระบบนเิ วศในท้องถนิ่ ให้สมดุล)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านสถานการณ์และเขียนโซ่อาหารจาก
สถานการณ์ ระบุปัญหาของระบบนิเวศที่เกิดขึ้น ระดมความคิดและนำเสนอแนวทางในการแก้ปัญหา และ
อภปิ รายเก่ยี วกับปญั หาของระบบนิเวศในทอ้ งถนิ่ พร้อมท้งั นำเสนอแนวทางในการแกป้ ัญหา)
4) ขณะท่ีนักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลุ่ม
และให้คำแนะนำ ถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ ที่อาจเป็นปัญหา ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และ
ขอ้ สงสัยทพ่ี บจากการทำกจิ กรรมของนกั เรียนเพ่ือใช้เปน็ ข้อมูลประกอบการอภปิ รายหลังจากการทำกิจกรรม
ขั้นที่ 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (10 นาที)
5) นักเรยี นบนั ทึกการทำกจิ กรรมลงในแบบบันทกึ การค้นคว้ากจิ กรรมทา้ ยบท เราจะดูแลรักษา
ระบบนเิ วศในท้องถิน่ ได้อย่างไร โดยการตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของกจิ กรรม
ขน้ั ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที)
6) ให้นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเตมิ เก่ียวกบั แนวทางการดูแลรักษาระบบนิเวศในทอ้ งถิ่นและร่วมกัน
อภิปรายเกี่ยวกับสิ่งที่นักเรียนได้ออกแบบจากการทำกิจกรรมท้ายบท เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า แนวทางในการ
แก้ปัญหาข้นึ อยู่กบั สภาพปัญหา โดยระบแุ นวทางการดูแลรกั ษาระบบนิเวศในท้องถ่นิ แต่ละทอ้ งถิ่น เช่น ลดการ
ใช้สารเคมี ลดการรบกวนสิ่งแวดล้อมหรือใช้การควบคุมโดยชีววิธี ที่นำสิ่งมีชีวิตบางชนิดมาควบคุมการเพิ่ม
จำนวนประชากรของศตั รพู ืชได้
ข้ันท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (10 นาที)
7) นกั เรยี นตรวจสอบการทำแบบบนั ทึกการทำกจิ กรรมและส่งตามกำหนดท่วี างไว้
8) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้
8.1 คลปิ วีดิทัศน์: ไฟปา่ ดอยสเุ ทพ ลุกลามหนกั
https://www.youtube.com/watch?v=s5Vlmrlairk
8.2 ใบกจิ กรรม: ใบกิจกรรมทา้ ยบท เราจะดูแลรักษาระบบนิเวศในทอ้ งถ่ินไดอ้ ยา่ งไร
8.3 แบบบันทึกกจิ กรรม: แบบบันทึกการคน้ คว้ากจิ กรรมท้ายบท เราจะดูแลรักษาระบบนิเวศในท้องถนิ่
ไดอ้ ย่างไร
8.4 แหล่งเรยี นร้:ู หนงั สือเรียนรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 3
เล่ม 2 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ
9. การวดั และการประเมิน
ตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวดั เครื่องมอื วดั เกณฑ์ทใี่ ชใ้ นการประเมิน
1. อธิบายแนวทางการดแู ลรกั ษา - ตรวจการตอบ - คำถามท้ายกิจกรรม - ไดไ้ มน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
ระบบนเิ วศในท้องถิ่นใหส้ มดลุ คำถามทา้ ย ทา้ ยบท เราจะดูแลรักษา ระดับคณุ ภาพดี ถอื ว่าผ่าน
(ดา้ นความรู้: K) กิจกรรมทา้ ยบท ระบบนเิ วศในทอ้ งถน่ิ ได้ การประเมนิ ดา้ นความรู้
อย่างไร จำนวน 3 ข้อ
2. การใช้ทกั ษะการสอ่ื สาร โดย - ตรวจการทำแบบ - แบบบันทึกการคน้ ควา้ - ได้ไมน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
การนำเสนอแนวทางการดแู ล บันทึกการค้นควา้
รกั ษาสง่ิ แวดล้อมให้คงอยู่ กจิ กรรมทา้ ยบท กิจกรรมท้ายบท เราจะ ระดบั คณุ ภาพดี ถือวา่ ผา่ น
(ด้านกระบวนการ: P)
3. ตระหนักถงึ ความสัมพนั ธข์ อง - ตรวจการทำแบบ ดูแลรกั ษาระบบนเิ วศใน การประเมิน
สงิ่ มชี ีวติ และส่งิ แวดลอ้ มใน บันทึกการคน้ คว้า
ระบบนิเวศ โดยไมท่ ำลาย กจิ กรรมทา้ ยบท ทอ้ งถนิ่ ได้อยา่ งไร ดา้ นกระบวนการ
สมดุลของระบบนิเวศ
- แบบบันทึกการค้นควา้ - ไดไ้ มน่ อ้ ยกว่า 2 คะแนน
กจิ กรรมทา้ ยบท เราจะ ระดับคณุ ภาพดี ถือว่าผา่ น
ดแู ลรกั ษาระบบนเิ วศใน การประเมิน
ท้องถิน่ ได้อยา่ งไร ด้านกระบวนการ
9.1 เกณฑก์ ารประเมินผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมิน ค่านำ้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
คะแนน
การให้คะแนนตอบ ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท้ายบท ถูกต้อง จำนวน 3 ข้อ
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท้ายบท ถกู ตอ้ ง จำนวน 2 ข้อ
2
กจิ กรรมทา้ ยบท 1 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท้ายบท ถูกต้อง จำนวน 1 ข้อ หรอื ไม่ถูกตอ้ ง
ประเด็นการประเมิน คา่ นำ้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
การใหค้ ะแนนการบนั ทึก คะแนน
แบบบนั ทึกการคน้ คว้า บนั ทกึ ผลการทำกิจกรรม จากการนำเสนอแนวทางการดูแลรกั ษา
3 สิ่งแวดล้อมให้คงอยู่ เพอ่ื ให้ผู้อืน่ เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว ชัดเจน และ
กจิ กรรมท้ายบท 2 ถูกตอ้ ง และสอดคลอ้ งกับเนอ้ื หาในกิจกรรม
1 บนั ทึกผลการทำกิจกรรม จากการนำเสนอแนวทางการดูแลรกั ษา
การใหค้ ะแนนความ สงิ่ แวดลอ้ มให้คงอยู่ เพอื่ ใหผ้ ู้อน่ื เข้าใจได้ มคี วามสอดคล้องกับเน้ือหา
ตระหนักถึงความสมั พนั ธ์ 3 บันทึกผลการทำกิจกรรม จากการนำเสนอแนวทางการดูแลรักษา
สิ่งแวดลอ้ มให้คงอยู่ เพื่อให้ผ้อู ่ืนเข้าใจได้ไม่เหมาะสม เกดิ ข้อผดิ พลาด
ของสิ่งมีชวี ติ และ 2 ไม่สอดคล้องกับเนือ้ หาในกจิ กรรม
สิ่งแวดล้อมในระบบ บนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม โดยประเมนิ ความตระหนกั ถงึ ความสมั พันธ์
นิเวศโดยไม่ทำลาย 1 ของสิ่งมีชีวิตและส่งิ แวดลอ้ มในระบบนิเวศ โดยไม่ทำลายสมดุลของ
สมดลุ ของระบบนเิ วศ ระบบนเิ วศ จากการนำเสนอแนวทางการดแู ลรักษาระบบนเิ วศใหค้ งอยู่
ได้อย่างถูกตอ้ ง มกี ารอ้างอิงความรทู้ นี่ า่ เชื่อถือ ชัดเจน ครบทกุ ประเดน็
บันทึกผลการทำกจิ กรรม โดยประเมินความตระหนักถึงความสมั พันธ์
ของส่งิ มชี ีวิตและสิ่งแวดลอ้ มในระบบนเิ วศ โดยไม่ทำลายสมดุลของ
ระบบนิเวศ จากการนำเสนอแนวทางการดแู ลรักษาระบบนเิ วศใหค้ งอยู่
ได้อยา่ งถูกต้อง ชดั เจน ครบทกุ ประเด็น
บันทึกผลการทำกจิ กรรม โดยประเมนิ ความตระหนกั ถงึ ความสมั พนั ธ์ของ
ส่ิงมชี ีวติ และสง่ิ แวดล้อมในระบบนิเวศ โดยไมท่ ำลายสมดุลของระบบ
นิเวศ จากการนำเสนอแนวทางการดแู ลรกั ษาระบบนเิ วศใหค้ งอยู่ได้
9.2 ระดับคณุ ภาพ หมายถึง ดีมาก
หมายถงึ ดี
คะแนนรวมเฉลย่ี 3.00 หมายถงึ พอใช้
คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลีย่ 0.01 - 1.99
ดังนนั้ นักเรียนต้องไดค้ ะแนนเฉลย่ี ทุกประเด็นการประเมนิ ไม่ตำ่ กวา่ 2.00 แสดงระดบั
คณุ ภาพ ดี ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์การประเมินในแผนการจดั การเรียนท่ี 30
สอ่ื การเรยี นรูแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 30: ส่อื วีดทิ ัศน์
คลิปวดี ีทศั น์: ไฟป่าดอยสเุ ทพ ลุกลามหนัก
สื่อวีดทิ ศั น์เรอื่ ง ไฟป่าดอยสเุ ทพ ลกุ ลามหนกั อธิบายเกยี่ วกับสภาพปญั หาระบบนเิ วศทถ่ี ูกมนุษย์
ทำลาย เป็นสภาพไฟป่าในจังหวดั เชียงใหม่
แหล่งที่มา: เว็บไซตอ์ า้ งองิ
https://www.youtube.com/watch?v=s5Vlmrlairk
เผยแพร่เมือ่ 30 มนี าคม พ.ศ. 2563
(ชอ่ งYouTube: GMM25Thailand)
ส่อื การเรียนรู้แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 30: ใบกจิ กรรมท้ายบท
ใบกจิ กรรมทา้ ยบท เราจะดแู ลรกั ษาระบบนเิ วศในท้องถน่ิ ได้อยา่ งไร
หนงั สอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศกึ ษาปีท่ี 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หนา้ 180
กิจกรรมทา้ ยบท เราจะดูแลรักษาระบบนิเวศในทอ้ งถน่ิ ไดอ้ ย่างไร?
จดุ ประสงค์ นำเสนอแนวทางการดูแลรกั ษาระบบนเิ วศในท้องถน่ิ ใหส้ มดุล
วัสดอุ ุปกรณ์ -
สถานการณท์ ่ี
กาหนด พน้ื ท่ปี ลกู ข้าวในจังหวัดหน่งึ มีการใช้สารเคมีกาจดั ศตั รูพชื ตอ่ เนอ่ื งเป็นเวลานาน
ในชว่ งแรกของการปลกู ข้าวไดผ้ ลผลติ ข้าวเพิม่ ข้ึนและมคี าใช้จ่ายในการกาจัดศัตรพู ชื น้อย
วธิ ดี าเนินกิจกรรม ตอ่ มาไมน่ าน พบวา่ เกิดการระบาดของเพล้ยี กระโดดสนี ้าตาล นกั วชิ าการเกษตรพบว่า
สาเหตุของการระบาดของเพลีย้ กระโดดสีนา้ ตาล เกดิ จากการฉีดพ่นสารเคมีกาจัดศตั รพู ืช
ซึ่งส่งผลกระทบให้จานวนประชากรของศตั รูตามธรรมชาติของเพลยี้ กระโดดสีน้าตาล เช่น
มวนเขยี วดูดไข่ แมงมมุ สนุ ัขป่าลดลงเปน็ จานวนมาก เพราะขณะท่ีเกษตรกรฉีดพ่นสารเคมี
กาจัดศัตรูพชื เพลีย้ กระโดดสีน้าตาลและศัตรตู ามธรรมชาติจะถูกทาลาย แต่สารเคมีเหล่าน้ี
ไมส่ ามารถทาลายไขข่ องเพล้ยี กระโดดสีนา้ ตาลได้ ทาให้ตัวออ่ นทีพ่ กั ออกจากไขม่ โี อกาส
รอดชีวิต จึงสง่ ผลใหข้ ้าวเสียหายและไดผ้ ลผลติ ลดลง
1. อา่ นสถานการณ์และเขียนโซ่อาหารจากสถานการณ์
2. ระบปุ ัญหาของระบบนิเวศที่เกิดข้ึน บันทึกผล
3. ระดมความคิดและนาเสนอแนวทางในการแกป้ ัญหารปู แบบตา่ ง ๆ โดยใช้ความรูท้ าง
วทิ ยาศาสตร์
4. อภปิ รายเกยี่ วกับปัญหาของระบบนิเวศในท้องถ่นิ พรอ้ มทง้ั นาเสนอแนวทางใน
การแกป้ ญั หา
การเตรยี มตัว ครูควรเตรยี มขอ้ มูลเวบ็ ไซต์เกย่ี วกบั โครงการอนรุ ักษ์และรณรงคเ์ กย่ี วกบั สง่ิ แวดล้อมต่าง ๆ
ล่วงหน้าสาหรบั ครู ที่อยู่ในกระแสสงั คม เพือ่ ใหน้ ักเรียนใชเ้ ปน็ ตวั อย่างแนวทางในการรณรงค์หรอื เสนอ
แนวทางแกป้ ัญหา
สือ่ การเรียนรู้/ • World Wild Fund For Nature ประเทศไทย (http://www.wwf.or.th/)
แหลง่ เรยี นรู้ • กรีนพซี ประเทศไทย (https://www.greenpeace.org/thailand/)
• องคก์ ารบริหารจดั การกา๊ ซเรือนกระจก (http://www.tgo.or.th/)
คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ปญั หาของระบบนเิ วศจากสถานการณค์ ืออะไร และมสี าเหตุมาจากอะไร
2. แนวทางในการแก้ปัญหาทำได้อยา่ งไร
3. ในทอ้ งถน่ิ ของนกั เรียนประสบปญั หาเก่ยี วกบั ระบบนเิ วศหรอื ไม่ มแี นวทางในการแก้ไขปญั หาอยา่ งไร
สื่อการเรยี นร้แู ผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 30: แบบบนั ทึกการคน้ คว้ากิจกรรมทา้ ยบท
แบบบนั ทึกการคน้ ควา้ กิจกรรมทา้ ยบท เราจะดูแลรักษาระบบนเิ วศในทอ้ งถน่ิ ไดอ้ ย่างไร
ชอ่ื -นามสกุล..........................................................................................ชน้ั .................เลขท่ี...........กล่มุ ท.่ี ...........
บนั ทึกผลการสบื ค้น
แนบท้ายแผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 30: การใหค้ ะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบันทกึ การคน้ คว้ากจิ กรรมทา้ ยบท เราจะดูแลรักษาระบบนิเวศในทอ้ งถ่ินไดอ้ ยา่ งไร
บนั ทกึ ผลการสบื ค้น
นกั เรียนวเิ คราะหป์ ญั หาระบบนิเวศในทอ้ งถ่นิ โดยครูอาจจะใหน้ ักเรยี นหาขอ้ มูลเพิ่มเติม จากนนั้
ชว่ ยกันออกแบบแนวทางในการป้องกนั ดูแลรกั ษา ฟื้นฟูระบบนเิ วศของทอ้ งถิน่ หรอื อาจจะใช้ประเด็น
ปญั หาระบบนเิ วศอื่น ๆ ที่กว้างขึน้ เช่น การลักลอบค้าสัตวป์ ่า การตดั งาชา้ ง หรอื อ่ืน ๆ โดยชนิ้ งานของ
นักเรียนอาจจะเปน็ แนวทางในการแก้ปญั หาส่งิ แวดลอ้ ม โดยอยู่ในรปู แบบของโปสเตอรร์ ณรงค์ วดี ิทศั น์
หรือส่อื ประเภทอืน่ ๆ
แนบท้ายแผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 30: การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
เฉลยใบกิจกรรมท้ายบท เราจะดูแลรักษาระบบนิเวศในทอ้ งถิน่ ไดอ้ ยา่ งไร
เฉลยคำถามท้ายกิจกรรม
1. ปัญหาของระบบนิเวศจากสถานการณ์คืออะไร และมสี าเหตุมาจากอะไร
แนวคำตอบ สาเหตุเกดิ จากการกระทำของมนุษย์ คอื การใชส้ ารเคมีทางการเกษตร แลว้ ทำให้เกิด
ปญั หากบั ส่งิ แวดล้อม คือ การระบาดของเพล้ียกระโดดสีนำ้ ตาล
2. แนวทางในการแกป้ ัญหาทำไดอ้ ยา่ งไร
แนวคำตอบ ขน้ึ อย่กู ับคำตอบของนกั เรยี น เชน่ ลดการใชส้ ารเคมี ลดการรบกวนสิง่ แวดลอ้ มหรือใช้
การควบคุมโดยชีววิธี ที่นำสงิ่ มชี ีวติ บางชนิดมาควบคมุ การเพิ่มจำนวนประชากรของศตั รูพชื ได้
3. ในท้องถิ่นของนกั เรียนประสบปัญหาเก่ยี วกบั ระบบนเิ วศหรือไม่ มแี นวทางในการแก้ไขปัญหาอยา่ งไร
แนวคำตอบ ตอบตามข้อมูลและผลของการทำกจิ กรรมของนักเรียน เชน่ แม่น้ำมีขยะและเนา่ เสยี
นักเรียนจึงระดมความคดิ จัดกิจกรรมเก็บขยะในแม่น้ำ พรอ้ มท้งั ทำป้ายรณรงค์ไม่ให้มีการท้งิ ขยะลงแหลง่ น้ำ
แผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 31
เรื่อง ชนดิ ของสงิ่ มีชีวิตในแต่ละระบบนเิ วศ รหสั วิชา ว23102 เวลา 2 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7 ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวม 15 ชัว่ โมง
กลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 2
สาระท่ี 1 ชอ่ื สาระ วิทยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.3
1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชีว้ ดั
ว 1.3 เข้าใจกระบวนการและความสำคัญของการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรม สารพันธุกรรมการ
เปลย่ี นแปลงทางพนั ธกุ รรมทม่ี ีผลต่อส่งิ มีชีวติ ความหลากหลายทางชวี ภาพและววิ ฒั นาการของสง่ิ มีชีวติ รวมท้ัง
นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 1.3 ม.3/9 เปรยี บเทียบความหลากหลายทางชีวภาพในระดับชนดิ ส่งิ มชี วี ิตในระบบนิเวศต่าง ๆ
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) ความหลากหลายทางชีวภาพ มี 3 ระดับ ได้แก่ ความหลากหลายของระบบนิเวศ ความหลากหลาย
ของชนิดส่ิงมีชวี ิต และความหลากหลายทางพันธุกรรม ความหลากหลายทางชวี ภาพนีม้ ีความสำคญั ต่อการรักษา
สมดุลของระบบนิเวศ ระบบนเิ วศทมี่ คี วามหลากหลายทางชีวภาพสงู จะรกั ษาสมดุลได้ดกี ว่าระบบนิเวศที่มีความ
หลากหลายทางชีวภาพต่ำกว่า นอกจากนี้ความหลากหลายทางชีวภาพยังมีความสำคัญต่อมนุษย์ในด้านต่าง ๆ
เช่น ใช้เป็นอาหารยารักษาโรค วัตถุดิบในอุตสาหกรรมตา่ ง ๆ ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของทุกคนในการดูแลรักษา
ความหลากหลายทางชวี ภาพให้คงอยู่
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ นักเรียนเปรยี บเทยี บความหลากหลายทางชีวภาพในระบบนเิ วศได้
1) ด้านความรู้ (K) นกั เรยี นใช้ทกั ษะการสงั เกต โดยการสังเกตความหลากหลายของส่งิ มชี วี ิต
2) ด้านทกั ษะ (P) ทง้ั ชนดิ และจำนวนส่งิ มชี วี ิต
นักเรยี นมรี ะเบยี บวินัยในการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์
3) ดา้ นเจตคติ (A)
4. คุณลกั ษณะผเู้ รยี น
4.1 คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซื่อสัตยส์ จุ รติ ม่งุ มน่ั ในการทำงาน
มีวินยั รักความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้ มจี ติ สาธารณะ
5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
ความสามารถในการสือ่ สาร: นกั เรียนสามารถส่ือสาร โดยนำเสนอผลการสำรวจความหลากหลาย
ทางชีวภาพ ความสำคัญของความหลากหลายทางชีวภาพและแนวทางในการรักษาความหลากหลายทางชวี ภาพ
6. สาระการเรียนรู้
โลกของเรามีระบบนิเวศหลากหลาย เช่น ระบบนิเวศป่าไม้ ระบบนิเวศทะเลทราย ระบบนิเวศทะเล
ระบบนเิ วศแตล่ ะระบบนเิ วศมอี งค์ประกอบแตกต่างกัน เชน่ ระบบนิเวศปา่ ดิบเขาเป็นระบบนิเวศที่มีดินเป็นดิน
รว่ นปนทรายแป้ง มีความชน้ื สงู อากาศหนาวเย็นและมีฝนตกเป็นประจำ ส่วนระบบนเิ วศทะเลทรายทม่ี ีพ้ืนที่ส่วน
ใหญ่เปน็ ทราย อณุ หภูมิสงู มากในช่วงเวลากลางวนั และลดต่ำลงอย่างรวดเร็วในช่วงเวลากลางคืน ความข้ึนน้อย
และปริมาณน้ำฝนเฉลี่ยต่อปีน้อย ทำให้มีจำนวนชนิดของพืชที่พบในทะเลทรายมีน้อย ส่วนใหญ่จะเป็นพืชที่มี
การปรับตัวเพอื่ ลดการสญู เสียนำ้ ได้ดี เช่น กระบองเพชร ปาล์ม หญ้า การท่แี ต่ละระบบนิเวศมอี งค์ประกอบที่ไม่
มีชีวิตและองค์ประกอบที่มีชีวิตแตกต่างกัน ทำให้มีระบบนิเวศหลายแบบซึ่งแต่ละระบบนิเวศมีลักษณะเฉพาะ
และมคี วามแตกตา่ งไปจากระบบนเิ วศอนื่ ๆ เกิด ความหลากหลายของระบบนเิ วศ (ecosystem diversity)
ประเทศไทยมีระบบนิเวศที่หลากหลาย เช่น ป่าดิบเขา ป่าดิบขึ้น ป่าเบญจพรรณ ป่าชายเลน ทะเล
แม่นำ้ สว่ นประเทศซาอุดิอาระเบียมีระบบนิเวศสว่ นใหญ่เป็นทะเลทราย จึงทำใหจ้ ำนวนชนิดของสิ่งมีชีวิตท่ีพบ
ในประเทศไทยมีมากกว่าประเทศซาอุดิอาระเบีย ทั้งที่ประเทศไทยมีพื้นที่น้อยกว่าประเทศซาอุดิอาระเบียถึง
4 เท่า ตัวอย่างของสิ่งมีชีวิตที่พบในประเทศไทย เช่น ยางนา กวางป่า ชะนีมือขาว ปลาตีน ส่วนตัวอย่างของ
สิ่งมีชีวิตท่ีพบในประเทศซาอุดิอาระเบีย เช่น กระบองเพชร อูฐ งูหางกระด่ิง สุนัขจิ้งจอกแดง การที่สิ่งมีชีวติ มี
หลายชนิดชนิดนี้ทำให้เกิด ความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต (species diversity) จำนวนชนิดสิ่งมีชีวิตท่ี
พบในประเทศต่าง ๆ อาจเปลีย่ นแปลงได้ขน้ึ อยกู่ บั การสำรวจพบสิ่งมชี ีวิตชนิดใหม่และการสญู พนั ธขุ์ องสง่ิ มีชีวติ
นอกจากความหลากหลายของชนิดสิง่ มชี ีวิตแลว้ ในสงิ่ มีชวี ติ แตล่ ะชนิด กย็ งั สามารถพบความหลากหลาย
ได้เช่นกัน เนื่องจากสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม บางคร้ังอาจทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นมีหลายพันธ์ุ
ตัวอย่างเช่น สุนัขที่มีหลายพันธุ์ เช่น พันธุ์องิ ลิช บูลด็อก พันธุ์ลาบราดอร์ รีทรีฟเวอร์ พันธุบ์ าสเซต็ ฮาวด์ การ
เปลี่ยนแปลงทางพันธุกรมอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากการปรับปรุงพันธุ์โดยมนุษย์ ส่งผลให้เกิด
ความหลากหลายทางพันธกุ รรม (genetic diversity)
การที่สิ่งมีชวี ิตมหี ลายชนิดและในแต่ละชนิดมีหลายพันธุท์ ี่มีลักษณะทางพันธุกรรมต่างกัน อาศัยอยูใ่ น
ระบบนิเวศแบบต่าง ๆทั่วโลก ทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ (biodiversity) ซึ่งมี 3 ระดับ ได้แก่
ความหลากหลายของระบบนิเวศความหลากหลายของชนิดสิ่งมีชีวิต และความหลากหลายทางพันธุกรม
ซึ่งความหลากหลายทั้ง 3 ระดบั นี้มคี วามสมั พันธก์ นั และไม่สามารถแยกออกจกกันได้ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น
ในความหลากหลายระดับใดระดับหนึง่ จะสง่ ผลตอ่ ความหลากหลายระดับอ่ืนในระบบนิเวศด้วย
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ใชร้ ูปแบบการจัดการเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชั่วโมง; 120นาที)
ข้ันที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (20 นาที)
1) กระตุ้นความสนใจของนักเรียนเพื่อนำเข้าสู่บทที่ 2 ความหลากหลายทางชีวภาพ โดย
อภิปรายและตงั้ คำถามวา่ จากความสัมพันธ์ระหว่างสิง่ มีชวี ิตกบั ส่งิ ไม่มีชวี ิต และความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต
กับสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศที่มีสิ่งมีชีวติ หลายชนิด อยู่ร่วมกนั นักเรียนคิดว่าถ้าองคป์ ระกอบในระบบนเิ วศมีการ
เปลยี่ นแปลงจะมผี ลตอ่ ชนดิ และจำนวนชนิดของสงิ่ ชีวิตหรือความหลากหลายของสิ่งมีชีวติ อย่างไร
2) กระตุน้ ความสนใจของนักเรียนและเชือ่ มโยงเข้าสู่บทที่ 2 โดยให้นกั เรียนดวู ีดิทัศน์ หรือภาพ
พนื้ ท่ีบรเิ วณตา่ ง ๆ ทถี่ กู ทำลาย ทำให้เสอ่ื มโทรม หรอื เปล่ียนแปลงไปอย่างมาก เชน่ การเผาป่า การตัดไมท้ ำลาย
ป่า การบุกรุกโดยทำเป็นพืน้ ทีเ่ กษตรกรรม หรือใช้ภาพนำบทซึ่งเป็นภาพพื้นท่ีธรรมชาตทิ ีถ่ ูกบุกรกุ ทำลาย และ
ร่วมกันอภิปรายโดยใช้คำถามต่อไปน้ี
- นกั เรยี นคิดว่าเกดิ อะไรขึ้นกบั พ้ืนที่แห่งน้ี (นกั เรยี นตอบตามความเข้าใจของตนเอง)
- สาเหตุน่าจะเกดิ มาจากอะไร (นักเรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)
3) ใหน้ กั เรียนอา่ นเนอ้ื หานำบทและอภิปรายเพื่อให้ได้คำตอบทถ่ี ูกตอ้ งของคำถามอีกครง้ั ดังนี้
- นักเรียนคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับพื้นที่แห่งนี้ (พื้นที่แห่งนี้มีต้นไม้น้อยลง เพราะมนุษย์ตัดไม้
ทำลายปา่ เพือ่ นำไปใช้ประโยชนด์ ้านต่าง ๆ อาจจะทำให้สิง่ มีชวี ิตทอี่ าศยั อยู่ในป่าไม้ตอ้ งอพยพหรือตายไป และ
ทำใหพ้ นื้ ทเ่ี กดิ ความเสื่อมโทรมมากขึน้ )
- สาเหตนุ ่าจะเกิดมาจากอะไร (เกดิ จากกจิ กรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ทมี่ กี ารใชป้ ระโยชน์จากพ้ืนท่ี
เช่น การทำท่อี ยู่อาศยั การทำเกษตรกรรม)
4) ครูเปดิ ตวั อย่างคลปิ วดี ิทัศนเ์ กีย่ วกบั ความหลากหลายของสิง่ มชี วี ิตอ่ืน ๆ ตวั อย่างเช่น
คลิปวดี ิทศั น์นก https://www.youtube.com/watch?v=4rz3xdl2R7Q หรอื คลิปวีดิทัศน์ปลา
https://www.youtube.com/watch?v=ZlUpovIkvaA จากนน้ั ใหน้ ักเรยี นรว่ มกันอภิปราย โดยตั้งคำถาม
ในประเด็นดงั ต่อไปน้ี
- จากภาพคอื สิง่ มีชีวติ อะไรและมีก่ชี นิด (ผีเส้อื มี 9 ชนิด ใหน้ ักเรียนบอกวา่ มีชนิดใดบา้ ง โดย
ใชส้ ีหรอื ลายเป็นเกณฑ์)
- อุทยานแห่งชาติแกง่ กระจานมผี เี สือ้ กช่ี นดิ (มีผีเสอื้ มากกว่า 250 ชนิด)
- ในแหล่งทีม่ ีความหลากหลายของชนดิ สงิ่ มชี วี ิตมีขอ้ ดีอยา่ งไร (นกั เรียนตอบตามความคิดเหน็
ของตนเอง เช่น เป็นแหลง่ เรียนรู้และศึกษาธรรมชาต)ิ
5) ให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน (หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ช้นั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หนา้ 186) จำนวน 2 ขอ้ (เฉลยแนบทา้ ยแผนการจัดการเรยี นรู้)
6) ครูตรวจสอบการทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าไม่ถูกต้องให้แก้ไขความเข้าใจ
คลาดเคลอื่ นของนกั เรยี น ความรพู้ นื้ ฐานเรอ่ื ง ความหลากหลายทางชวี ภาพทถี่ ูกต้องและเพยี งพอที่จะเรยี นตอ่ ไป
ขั้นที่ 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาที)
7) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมที่ 7.5 ชนิดของสิ่งมีชีวิตในแต่ละระบบนิเวศแตกต่างกันอยา่ งไร
โดยใช้คำถามว่า ระบบนิเวศแตล่ ะระบบนิเวศจะประกอบด้วยองคป์ ระกอบท่ีไม่มชี ีวิตและองคป์ ระกอบท่มี ีชวี ิต
ถา้ องค์ประกอบทไ่ี ม่มีชีวิตของระบบนิเวศมคี วามแตกต่างกัน นกั เรียนคดิ วา่ ชนิดของส่งิ มชี วี ิตในระบบนเิ วศน้นั จะ
แตกตา่ งกันอย่างไรระบบนิเวศแตล่ ะระบบนเิ วศจะประกอบดว้ ยองค์ประกอบท่ีไม่มชี วี ิตและองคป์ ระกอบทีม่ ชี วี ติ
ถา้ องค์ประกอบท่ีไมม่ ีชวี ติ ของระบบนเิ วศมีความแตกตา่ งกัน นักเรียนคิดวา่ ชนิดของส่ิงมชี ีวติ ในระบบนิเวศน้ันจะ
แตกต่างกนั อยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)
8) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 187และครูตรวจสอบความ
เขา้ ใจการอา่ น โดยใช้คำถามดงั ต่อไปน้ี
- กิจกรรมนีเ้ กย่ี วกบั เรือ่ งอะไร (ชนิดของส่งิ มชี ีวติ ในแตล่ ะระบบนิเวศที่มีความแตกต่างกัน)
- กิจกรรมนีม้ จี ุดประสงค์อะไร (วิเคราะหข์ ้อมลู และเปรยี บเทยี บความหลากหลายทางชีวภาพ
ในระดบั ชนิดของส่งิ มชี วี ติ ในระบบนิเวศตา่ ง ๆ)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านสถานการณ์ข้อมูลเกี่ยวกับระบบนิเวศป่า
เบญจพรรณ ป่าเต็งรัง และป่าดิบเขา ร่วมกันอภิปรายชนิดของสิ่งมีชีวิตในแต่ละระบบนิเวศ เปรียบเทียบความ
หลากหลายของชนิดพืชในระบบนเิ วศต่าง ๆ)
- นักเรียนต้องสังเกตหรอื รวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (รวบรวมข้อมูลขององค์ประกอบที่ไม่มีชวี ติ
และส่ิงมชี ีวติ ความหลากหลายของชนดิ พชื ในแต่ละระบบนเิ วศ วิเคราะหค์ วามสัมพนั ธ์ระหว่างองคป์ ระกอบที่ไม่
มีชวี ติ และชนิดสงิ่ มชี วี ิตทพ่ี บในระบบนิเวศน้นั ๆ)
9) ขณะท่ีนักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมในการสำรวจ ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของ
นักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยครูสังเกตการทำงานของนักเรียน ให้ความช่วยเหลือเมื่อนักเรียนมีข้อสงสัย เช่น
การจัดการข้อมูลที่ให้มา โดยให้นักเรียนแยกข้อมูลขององค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต ข้อมูลของสิ่งมีชีวิต ความ
หลากหลายของชนดิ พชื ในแต่ละระบบนเิ วศ เป็นต้น และเน้นใหน้ กั เรียนอธบิ ายเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่าง
องคป์ ระกอบท่ีไมม่ ีชวี ติ กบั สง่ิ มชี วี ติ โดยสามารถสบื คน้ เพิ่มเติมเพ่อื หาข้อมูลของส่งิ มชี ีวติ ได้
ขัน้ ที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (20 นาที)
10) นักเรียนบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.5 ชนิดของ
สิง่ มชี ีวติ ในแตล่ ะระบบนเิ วศแตกตา่ งกนั อย่างไร โดยสรุปผลของกจิ กรรมและตอบคำถามทา้ ยกิจกรรม เพือ่ ให้ได้
ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า ระบบนิเวศป่าทั้ง 3 ระบบนิเวศมีองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตแตกต่างกัน ส่งผลทำให้พบ
สิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศป่าทั้ง 3 ระบบนิเวศแตกต่างกัน เมื่อเปรียบเทียบความหลากหลายของชนิดพืชที่พบใน
ระบบนิเวศทั้ง 3 ระบบนิเวศ พบว่าระบบนิเวศป่าดิบเขามีความหลากหลายของพืชมากที่สุด รองลงมาเป็น
ปา่ เบญจพรรณ และปา่ เตง็ รงั ตามลำดบั
ข้นั ท่ี 4 ข้นั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที)
11) นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมในหนังสือเรียนหน้า 188-189 ที่เกี่ยวกับระดับของความ
หลากหลายของระบบนิเวศ จากนนั้ รว่ มกนั ตอบคำถามระหวา่ งเรยี น ดังน้ี
- เพราะเหตุใดระบบนิเวศที่ต่างกันจึงพบชนิดของสิ่งมีชีวิตแตกต่างกัน (แนวคำตอบ ระบบ
นิเวศตา่ งกนั เป็นผลมาจากการมอี งคป์ ระกอบทไ่ี ม่มชี ีวิตแตกต่างกนั ซึ่งสง่ ผลต่อชนดิ สงิ่ มชี วี ิตทอี่ าศัยอยู่ในระบบ
นเิ วศน้ัน ๆ ต่างกนั ด้วย)
- จากภาพ 7.18 (หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ ม.3 เล่ม2 สสวท.
หน้า 189) ประเทศใดมีความหลากหลายของสิ่งมีชีวิตมากกว่ากัน เพราะเหตุใด (แนวคำตอบ ประเทศไทยมี
ความหลากหลายของสง่ิ มีชวี ติ มากกวา่ เพราะประเทศไทยมีจำนวนชนิดของส่งิ มชี วี ติ มากกวา่ )
- การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมส่งผลต่อความหลากหลายทางพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตได้
อย่างไร (แนวคำตอบ การเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมทำให้สิ่งมีชีวิตรุ่นลูกมีสารพันธุกรรมแตกต่างไปจาก
รุ่นพ่อแม่ ถึงแม้ว่าสารพันธุกรรมที่เปลี่ยนแปลงนั้นจะแสดงลักษณะออกมาหรือไม่ก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป
สารพันธกุ รรมทเ่ี ปลี่ยนแปลงไปน้นั จะทำใหเ้ กดิ สิง่ มีชีวติ ท่ีมีลักษณะแตกต่างกันไป จนทำให้เกดิ สงิ่ มชี วี ิตชนิดใหม่
ขึน้ มา)
ขัน้ ที่ 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (20 นาที)
12) ครูและนักเรยี นอภิปรายผลการทำกจิ กรรม ความหลากหลายทางชีวภาพในระดับต่าง ๆ
จะได้ข้อสรปุ วา่
- การที่สิ่งมีชีวิตมีหลายชนิดและในแต่ละชนิดมีหลายพันธุ์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมต่างกัน
อาศัยอยู่ในระบบนิเวศแบบต่าง ๆ ทั่วโลกทำให้มีความหลากหลายทางชีวภาพ ซึ่งมี 3 ระดับ ได้แก่ ความ
หลากหลายของระบบนเิ วศ ความหลากหลายของชนดิ ส่งิ มชี ีวิต และความหลากหลายทางพนั ธกุ รรม
- แต่ละระบบนิเวศมสี ิง่ มีชวี ติ หลายชนดิ เกิดเปน็ ความหลากหลายของชนิดส่งิ มีชีวิต
- สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม จนทำให้สิ่งมีชีวิตชนิดน้ันมีหลายพันธ์ุ
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือเกิดจากการที่มนุษย์ปรับปรุงพันธุ์ ส่งผลให้เกิด
ความหลากหลายทางพนั ธุกรรม
13) ครูตรวจสอบการสง่ แบบบนั ทึกการค้นคว้าของนักเรียนและใหค้ ะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. ส่อื การเรียนรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 คลปิ วดี ิทศั น์: -นก https://www.youtube.com/watch?v=4rz3xdl2R7Q
-ปลา https://www.youtube.com/watch?v=ZlUpovIkvaA
8.2 ใบกิจกรรม: ใบกจิ กรรมที่ 7.5 ชนดิ ของส่ิงมชี ีวิตในแตล่ ะระบบนเิ วศแตกต่างกนั อย่างไร
8.3 แบบบนั ทึกกิจกรรม: แบบบนั ทึกการคน้ คว้ากิจกรรมท่ี 7.5 ชนิดของสง่ิ มชี ีวติ ในแตล่ ะระบบนเิ วศ
แตกต่างกนั อย่างไร
8.4 แหลง่ เรยี นร:ู้ หนงั สอื เรียนรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 3
เลม่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
9. การวัดและการประเมิน
ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวดั เครอ่ื งมอื วัด เกณฑ์ท่ใี ชใ้ นการประเมิน
1. เปรยี บเทียบความหลากหลาย - ตรวจการตอบ - คำถามทา้ ยกิจกรรมที่ 7.5 - ได้ไมน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
ทางชีวภาพในระบบนิเวศ คำถามทา้ ย จำนวน 3 ขอ้ ระดับคุณภาพดี ถือวา่ ผา่ น
(ด้านความรู้: K) กจิ กรรมที่ 7.5 การประเมนิ ด้านความรู้
ตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ ีการวัด เครอ่ื งมือวดั เกณฑท์ ี่ใชใ้ นการประเมนิ
2. การใช้ทักษะการสังเกต - ตรวจการทำแบบ - แบบบนั ทึกการค้นคว้า - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน
โดยการสังเกตความ
หลากหลายของสิง่ มชี วี ิตทั้ง บนั ทึกการค้นคว้า กจิ กรรมท่ี 7.5 ระดับคุณภาพดี ถอื วา่ ผ่าน
ชนิดและจำนวนสง่ิ มชี ีวิต กจิ กรรมที่ 7.5 ชนดิ ของสง่ิ มีชวี ิตใน การประเมนิ
(ด้านกระบวนการ: P) แต่ละระบบนเิ วศ ด้านกระบวนการ
3. ระเบยี บวนิ ัยในการ - สังเกตการณ์ได้รับ แตกตา่ งกนั อย่างไร
มอบหมายบทบาท - เกณฑก์ ารประเมิน - ไดไ้ มน่ ้อยกว่า2 คะแนน
เรียนรทู้ างวิทยาศาสตร์ และภาระงาน ระเบียบวนิ ยั ในการ ระดับคุณภาพดี ถือว่าผ่าน
(ดา้ นเจตคติ: A) ภายในชนั้ เรียน เรยี นรู้ทางวทิ ยาศาสตร์ การประเมินด้านเจตคติ
9.1 เกณฑก์ ารประเมินผลนกั เรียน เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics Score)
ประเด็นการประเมนิ คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 7.5 ถูกต้อง จำนวน 3 ขอ้
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมที่ 7.5 ถกู ต้อง จำนวน 2 ข้อ
กิจกรรมที่ 7.5 2 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมที่ 7.5 ถูกตอ้ ง จำนวน 1 ขอ้ หรอื ไม่ถกู ต้อง
1 บันทึกผลการทำกิจกรรม จากการสงั เกต แล้วบันทกึ ขอ้ มูลความ
การให้คะแนนการบนั ทึก หลากหลายของสิง่ มชี วี ติ ทั้งชนิดและจำนวนส่งิ มชี ีวติ ไดค้ รบถว้ น
แบบบนั ทกึ การค้นคว้า 3 ถกู ต้องตามความเปน็ จรงิ สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หาในกจิ กรรม
บันทึกผลการทำกิจกรรม จากการสงั เกต แลว้ บนั ทกึ ข้อมูลความ
กจิ กรรมท่ี 7.5 2 หลากหลายของสิง่ มชี วี ติ ทงั้ ชนดิ และจำนวนสิง่ มีชีวิตได้ มคี วาม
สอดคล้องกบั เนอ้ื หาในกจิ กรรม
1 บันทึกผลการทำกจิ กรรม จากการสังเกต แล้วบนั ทกึ ข้อมลู ความ
หลากหลายของส่ิงมชี ีวิตทัง้ ชนิดและจำนวนส่งิ มีชีวติ ได้ไม่เหมาะสม
เกดิ ขอ้ ผดิ พลาด ไม่สอดคล้องกับเนือ้ หาในกิจกรรม