0.4
0.5
0.6
0.7
คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. วงจรไฟฟา้ ที่ไม่มีทรานซสิ เตอรแ์ ละวงจรไฟฟ้าทมี่ ที รานซสิ เตอรใ์ นวธิ กี ารดำเนินกิจกรรมขอ้ 2 มีผลให้
ไดโอดเปลง่ แสงมีการเปลี่ยนแปลงแตกตา่ งกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. เมอื่ ตอ่ ตวั ตา้ นทานคงที่ 20 กโิ ลโอห์มเข้าในวงจรไฟฟ้าและตอ่ เขา้ ท่ีขาเบสของทรานซิสเตอร์ มผี ลตอ่
ไดโอดเปล่งแสงหรือไม่ อย่างไร ทำไมจงึ เป็นเช่นนัน้
ตอบ ………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. การปรับตัวต้านทานแปรคา่ ได้มีผลตอ่ คา่ ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ ครอ่ มขาเบสและขาอิมติ เตอร์ และมีผลต่อ
การเปลง่ แสงของไดโอดเปลง่ แสงอยา่ งไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. กจิ กรรม สรุปได้ว่าอย่างไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนบทา้ ยแผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 23: การใหค้ ะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบนั ทึกการคน้ ควา้ กจิ กรรมที่ 6.10 ทรานซสิ เตอรม์ หี น้าทอ่ี ะไร
ตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม
ตารางแสดง การเปลย่ี นแปลงของไดโอดเปล่งแสงในวงจรไฟฟา้
การต่อวงจรไฟฟา้ การเปลย่ี นแปลงของไดโอดเปลง่ แสง
……………………………สวา่ ง……………………….
…………………………ไม่สวา่ ง……………………….
……………………………สวา่ ง……………………….
ตารางแสดง การเปลย่ี นแปลงของไดโอดเปลง่ แสงในวงจรไฟฟา้ เมือ่ ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ คร่อมระหวา่ งขาเบสและ
ขาอมิ ติ เตอร์ของทรานซสิ เตอร์เพม่ิ ข้ึน
ความต่างศักย์ระหว่าง การเปลี่ยนแปลงของ หมายเหตุ
ขาเบสเทยี บกบั สายรว่ ม (V) ไดโอดเปล่งแสง
0 ไม่สว่าง
0.1 ไมส่ วา่ ง
0.2 ไม่สวา่ ง
0.3 ไม่สว่าง
0.4 ไมส่ ว่าง ไดโอดเปล่งแสงเร่มิ สวา่ งที่ 0.65 V
0.5 ไม่สว่าง หมุนปุ่มปรับค่าสุดสเกลวดั ได้ 0.74 V
0.6 ไมส่ ว่าง
0.7 สวา่ งมาก ไดโอดเปล่งแสงยงั คงสวา่ งมาก
การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
แนบท้ายแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 23:
เฉลยใบกิจกรรมท่ี 6.10 ทรานซสิ เตอร์มหี นา้ ทอี่ ะไร
เฉลยคำถามท้ายกิจกรรม
1. วงจรไฟฟ้าท่ีไม่มีทรานซสิ เตอร์และวงจรไฟฟ้าทีม่ ีทรานซสิ เตอรใ์ นวธิ กี ารดำเนินกิจกรรมขอ้ 2 มีผลให้
ไดโอดเปลง่ แสงมกี ารเปลย่ี นแปลงแตกต่างกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร
แนวคำตอบ การเปล่ยี นแปลงของไดโอดเปลง่ แสงในวงจรท้งั สองแตกต่างกัน โดย วงจรไฟฟา้ ทไ่ี ม่มี
ทรานซสิ เตอร์หรือวงจรท่ีไม่ได้ต่อทรานซสิ เตอร์ตามวธิ กี ารดำเนินกจิ กรรมในขอ้ 1 ไดโอดเปล่งแสงจะสวา่ ง เพราะ
มีกระแสไฟฟ้าเคล่ือนท่ีครบวงจร ส่วนวงจรไฟฟ้าทีม่ ีทรานซสิ เตอร์ในวธิ กี ารดำเนินกจิ กรรมข้อ 2 ไดโอดเปล่งแสง
จะไม่สวา่ ง แสดงว่าไม่มกี ระแสไฟฟา้ ในวงจร น่นั คอื ทรานซิสเตอรไ์ ม่ยอมให้กระแสไฟฟ้าเคลื่อนท่ี
2. เมอ่ื ต่อตวั ตา้ นทานคงท่ี 20 กิโลโอหม์ เขา้ ในวงจรไฟฟา้ และต่อเข้าท่ีขาเบสของทรานซสิ เตอร์ มผี ลตอ่
ไดโอดเปลง่ แสงหรือไม่ อย่างไร ทำไมจงึ เปน็ เช่นนัน้
แนวคำตอบ เมอื่ ตอ่ ตัวตา้ นทานคงที่ 20 กิโลโอห์มเข้าในวงจรไฟฟา้ และต่อเขา้ ท่ขี าเบสของทรานซสิ เตอร์
ทำใหไ้ ดโอดเปลง่ แสงมีการเปลี่ยนแปลง โดยพบว่าไดโอดเปลง่ แสงจะสว่าง แสดงวา่ มกี ระแสไฟฟ้าในวงจร น่ันคอื
ทรานซสิ เตอร์ยอมให้กระแสไฟฟา้ เคลื่อนท่ีครบวงจรเมือ่ มกี ารป้อนกระแสไฟฟา้ เข้ากับขาเบสของทรานซิสเตอร์
ครบวงจร
3. การปรับตัวต้านทานแปรค่าได้มีผลตอ่ ค่าความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ ครอ่ มขาเบสและขาอิมิตเตอร์ และมีผลต่อ
การเปล่งแสงของไดโอดเปลง่ แสงอยา่ งไร
แนวคำตอบ เม่ือหมุนปุ่มปรับค่าของตวั ต้านทานแปรคา่ ได้มีผลตอ่ ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ ครอ่ มขาเบสและ
ขาอิมติ เตอรแ์ ละมีผลต่อการเปล่งแสงของไดโอดเปลง่ แสง โดยเมอื่ ความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าครอ่ มขาเบสและขา
อิมิตเตอร์มีคา่ ประมาณ 0.65 โวลต์ ทรานซสิ เตอร์จะยอมให้กระแสไฟฟา้ เคลอ่ื นท่ีครบวงจร สังเกตจาก
ไดโอดเปล่งแสงเริม่ สว่าง
4. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
แนวคำตอบ ทรานซิสเตอร์ควบคมุ การปิดหรอื เปิดวงจรไฟฟา้ ได้ โดยเมือ่ ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ คร่อม
ขาเบสและขาอมิ ติ เตอรข์ องทรานซสิ เตอรม์ ีค่านอ้ ยกว่า 0.65 โวลต์ วงจรไฟฟา้ จะเปดิ ไม่มีกระแสไฟฟ้าในวงจร
แตถ่ ้าความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ เท่ากบั หรือมากกวา่ 0.65 โวลต์ ทรานซสิ เตอร์จะทำให้วงจรไฟฟ้าปดิ มีกระแสไฟฟ้า
ในวงจรน้ัน
แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 24
เรอ่ื ง ออกแบบ Smart Farming รหัสวิชา ว23102 เวลา 2 ชว่ั โมง
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 6 ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ ไฟฟา้
กลุม่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวม 22 ช่ัวโมง
สาระที่ 2 ชื่อสาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2
มาตรฐาน ว 2.3
1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชวี้ ัด
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
สสารและพลังงาน พลังงานในชีวติ ประจำวัน ธรรมชาตขิ องคลนื่ ปรากฏการณท์ ี่เกยี่ วขอ้ งกับเสยี ง แสง และคล่ืน
แมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมทั้งนำความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 2.3 ม.3/7 เขยี นแผนภาพและตอ่ ชน้ิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนิกสอ์ ยา่ งง่ายในวงจรไฟฟ้า
2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
1) เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยชน้ิ สว่ นอิเล็กทรอนิกส์หลายชนิดที่ทำงานร่วมกัน การต่อวงจร
อิเล็กทรอนิกส์ โดยเลือกใช้ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เหมาะสมตามหน้าที่ของชิ้นส่วนนั้น ๆ จะสามารถทำให้
วงจรไฟฟา้ ทำงานไดต้ ามต้องการ
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ นักเรยี นบรรยายวิธกี ารเขยี นแผนภาพการต่อชนิ้ สว่ นอิเล็กทรอนกิ สอ์ ย่างงา่ ย
1) ดา้ นความรู้ (K) ในวงจรไฟฟ้า
นักเรียนใช้ทักษะการสรา้ งแบบจำลอง โดยการเขียนแผนภาพและ
2) ด้านทกั ษะ (P) ต่อชิ้นส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกสอ์ ยา่ งงา่ ยในวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย
นกั เรยี นตระหนักถึงความสำคัญของการใชอ้ ุปกรณ์การทำกิจกรรมได้
3) ดา้ นเจตคติ (A)
4. คณุ ลักษณะผูเ้ รยี น ซ่ือสัตยส์ จุ ริต มุ่งม่นั ในการทำงาน
4.1 คณุ ลักษณะท่พี ึงประสงค์ ใฝเ่ รยี นรู้ มีจติ สาธารณะ
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง
มวี ินยั รกั ความเปน็ ไทย
5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
ความสามารถในการสอ่ื สาร: นักเรียนสามารถส่อื สาร โดยการนำเสนอขอ้ มลู จากการสงั เกต การ
ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมการสืบคน้ ขอ้ มูล และการอภปิ ราย มาอธิบายเก่ยี วกบั หน้าท่ีของชิ้นสว่ นอิเล็กทรอนกิ ส์แตล่ ะชนิด
ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี: นักเรียนสามารถใช้เทคโนโลยี โดยการใช้โปรแกรมสำเร็จรูปใน
การจำลองการต่อวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์เสมือนจรงิ
6. สาระการเรยี นรู้
การออกแบบวงจรไฟฟา้ ให้ทำงานไดต้ ามตอ้ งการในบางครงั้ จำเป็นต้องใช้ชนิ้ ส่วนอเิ ล็กทรอนิกส์หลายช้ิน
พร้อมกนั จึงมกี ารประดิษฐ์วงจรรวม (integrated circuit) หรือเรียกว่า ไอซี (IC) ซ่ึงภายในจะมีวงจรหรือส่วน
ของวงจรขนาดเล็กที่รวบรวมชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เช่น ทรานซิสเตอร์ ไดโอด ตัวต้านทานลงบนชิพ
(chip) ที่สร้างจากซิลิกอน โดยไอซีหน่ึงๆ อาจมีวงจรที่ประกอบด้วยขึ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพียงไม่กี่ชิ้นส่วนไป
จนถึงหลายร้อยขึ้นส่วนแต่ใช้พื้นที่น้อย เราจึงนำไอซีมาต่อในวงจรไฟฟ้าของเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ได้ เช่น
วีดิโอเกมส์ สมาร์ตโฟน คอมพวิ เตอร์
จากการเรียนรู้ที่ผ่านมาจะพบว่า ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีหลายชนิด เช่น ตัวต้านทาน ไดโอด
ตัวเก็บประจุ ทรานซิสเตอร์ โดยชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์แต่ละชนิดทำหน้าที่แตกต่างกัน บางชนิดมีข้ัว บางชนิด
ไม่มขี ้วั ดังนน้ั การตอ่ วงจรไฟฟา้ เพ่อื ใชง้ านต้องเลอื กใช้ชิน้ สว่ นอิเลก็ ทรอนิกส์ใหเ้ หมาะสมตามหน้าที่ของชิ้นส่วน
นั้น ๆ และต้องตอ่ วงจรให้ถกู ตอ้ งจงึ จะสามารถทำให้วงจรไฟฟ้าทำงานไดต้ ามตอ้ งการ
ตวั อยา่ งวงจรไฟฟา้
วงจรที่ใช้ทรานซิสเตอร์หนึ่งตัวร่วมกับ LDR โดยมี LDR ทำหน้าท่ี
วงจรสวติ ชท์ ำงานด้วยแสง เสมือนเซ็นเซอร์แสงและไดโอดเปล่งแสงเป็นส่วนแสดงผล ซึ่งในภาวะแสง
ปกติ LDR จะมีค่าความต้านทานไฟฟา้ นอ้ ยมากทำใหท้ รานซิสเตอรไ์ ม่ทำงาน
จนกระทง่ั ภาวะแสงนอ้ ยจนมดื LDR จะมีค่าความตา้ นทานไฟฟา้ สงู ขึ้น จึงทำ
ให้ศักย์ไฟฟ้าที่ขาเบสสูงไปด้วย เมื่อศักย์ไฟฟ้าที่ขาเบสสูงเพียงพอ
โดยประมาณ 0.65 ถึง 0.75 โวลต์ จะมีกระแสไฟฟ้าปริมาณที่เหมาะสม
ภาพวงจรสวิตซท์ ำงานดว้ ยแสง เคลื่อนท่ีผ่านขาเบส ทำให้ทรานซิสเตอร์ทำงาน นั่นคือมีกระแสไฟฟ้า
เคลื่อนที่ผ่านไดโอดเปล่งแสง ทำให้ไดโอดเปล่งแสงสว่าง วงจรสวติ ช์ทำงาน
ดว้ ยแสงสามารถนำไปใช้งาน เช่น เครอ่ื งวดั ความสว่างของแสง
วงจรตรวจสอบความชื้น วงจรท่ีใชท้ รานซสิ เตอร์หนึ่งตัว เพ่ือควบคมุ การทำงานของวงจรไฟฟ้า
โดยมีไดโอดเปล่งแสงเป็นส่วนแสดงผล และใช้เส้นลวดตัวนำเป็นส่วนรับ
ความชื้น ซึ่งในภาวะความชื้นมากจะทำให้วงจรปิด กระแสไฟฟ้าเคลื่อนท่ี
ครบวงจรจึงทำให้มีกระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านขาเบสในปริมาณที่เหมาะสม
ส่งผลให้ทรานซิสเตอร์ทำงาน นั่นคือมีกระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่าน
ไดโอดเปลง่ แสง ทำใหไ้ ดโอดเปล่งแสงสวา่ ง วงจรตรวจสอบความชื้นสามารถ
ภาพวงจรตรวจสอบความชนื้ นำไปใชง้ าน เช่น เคร่ืองวัดความขน้ึ ในดิน
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ช่วั โมง; 120นาที)
ข้ันท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (20 นาที)
1) ครูและนักเรียนสนทนารว่ มกนั เพ่อื กระตุน้ ความสนใจของนักเรียน โดยครูใชส้ ื่อคลิปวีดิทัศน์
เรื่อง ตัวอยา่ งการต่อวงจรไฟฟา้ ของวงจรตง้ั เวลาอย่างงา่ ย สบื คน้ ไดจ้ าก https://youtu.be/4t7Fm9yKG-g
และ ตวั อย่างการต่อวงจรไฟฟ้าของวงจรไฟกะพริบอยา่ งง่าย สบื ค้นได้จาก https://youtu.be/GK3cb85k8S0
เพ่อื ใหน้ กั เรียนเรียนรู้ตวั อยา่ งการต่อวงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย
ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาที)
2) ครูเชื่อมโยงเข้าสู่กิจกรรมท้ายบท Smart Farming ทำได้อย่างไร โดยใช้คำถามว่า การ
วางแผนสร้างช้นิ งาน โดยประยุกต์ใช้ความรู้เรอ่ื งการต่อวงจรไฟฟา้ และหนา้ ที่ของชน้ิ ส่วนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์น้ัน ควร
ประกอบไปด้วยอปุ กรณ์อะไรบา้ ง (นกั เรียนตอบตามเขา้ ใจของนกั เรยี น)
3) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธิการ หน้า 142 และครูตรวจสอบความ
เขา้ ใจการอา่ น โดยใชค้ ำถามดงั ตอ่ ไปนี้
- กิจกรรมนี้เก่ยี วกับเรื่องอะไร (ออกแบบชิน้ งานโดยประยุกตใ์ ช้ความรเู้ รือ่ งการตอ่ วงจรไฟฟ้า
และหน้าท่ขี องชิน้ ส่วนอเิ ล็กทรอนกิ ส์)
- กิจกรรมนม้ี จี ุดประสงคอ์ ะไร (สรา้ งชิน้ งานโดยประยกุ ตใ์ ช้ความรเู้ ร่อื งการตอ่ วงจรไฟฟา้ และ
หน้าท่ขี องชิน้ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เพ่อื แก้ปัญหาในสถานการณท์ ่ีกำหนด)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (อ่านสถานการณ์ที่กำหนดให้ ระบุปัญหาและ
ความต้องการที่พบในสถานการณ์ รวบรวมข้อมูลและสืบค้นแนวคดิ เกยี่ วกบั หนา้ ท่ีของชิน้ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์และ
การต่อวงจรไฟฟ้าออกแบบช้นิ งาน วางแผนการทำงาน ต่อวงจรไฟฟ้า และสร้างชน้ิ งานตามที่ออกแบบไว้
จากนัน้ ทดสอบการทำงานและวเิ คราะหป์ ัญหาและนำเสนอวธิ ีการปรับปรงุ แก้ไขชนิ้ งาน)
4) ขณะที่นักเรียนแตล่ ะกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลมุ่
และให้คำแนะนำ ถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ ที่อาจเป็นปัญหา ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และ
ข้อสงสัยท่ีพบจากการทำกจิ กรรมของนกั เรยี นเพือ่ ใชเ้ ป็นข้อมลู ประกอบการอภปิ รายหลงั จากการทำกิจกรรม
ขน้ั ที่ 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ (Explanation) (20 นาที)
5) นักเรียนบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมท้ายบท Smart
Farming ทำได้อย่างไร โดยการตอบคำถามท้ายกจิ กรรม และร่วมกันสรปุ ผลของกิจกรรม
ข้ันที่ 4 ขั้นขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที)
6) ใหน้ ักเรียนเรยี นรู้เพม่ิ เติมเกย่ี วกับการตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย และร่วมกันอภิปรายเก่ียวกับส่ิงที่
นักเรียนได้ออกแบบจากการทำกิจกรรมท้ายบท เพื่อให้ได้ข้อสรุปว่า ในการต่อวงจรไฟฟ้าต้องเลือกใช้ชิ้นส่วน
อิเลก็ ทรอนกิ สใ์ ห้เหมาะสมตามหน้าที่ของชน้ิ ส่วนน้ันและต่อวงจรไฟฟา้ ใหถ้ ูกตอ้ ง วงจรไฟฟ้าจึงทำงานได้ตามต้องการ
เช่น การนำความรู้เกี่ยวกับช้นิ สว่ นอิเล็กทรอนิกส์และวงจรไฟฟ้ามาใช้สร้างเครื่องวดั แสงอัตโนมัติ คือ
ตัวต้านทานแปรค่าตามแสงมาใช้เป็นส่วนรบั ความเข้มแสง ไดโอดเปล่งแสงเปน็ ส่วนแสดงผล ทรานซิสเตอร์เป็น
สวิตช์อัตโนมัติ และตัวต้านทานคงที่ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า เมื่อภาวะแสงน้อยจนมืด
ไดโอดเปล่งแสงจะสว่างเพื่อเตือนว่าบริเวณนั้นมีความสว่างของแสงน้อย เนื่องจากที่ภาวะแสงน้อยจนมืด
ตัวต้านทานแปรค่าตามแสงจะมีค่าความต้านทานไฟฟ้าสูงขึ้นจนส่งผลต่อค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าของขาเบส
เทียบกับสายร่วมมีค่าระหว่าง 0.65-0.75 โวลต์ ทรานซิสเตอร์จึงยอมให้กระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่าน
ขาคอลเลก็ เตอรไ์ ปยังขาอิมติ เตอรไ์ ด้ครบวงจร ไดโอดเปล่งแสงจึงสวา่ งเตือน
7) นักเรียนเรียนรู้การใช้สถานการณ์จำลอง สื่ออินเตอร์แอ็กทีฟซิมูเลชัน ตอนการต่อชิ้นส่วน
อิเล็กทรอนิกส์ โดยใช้โปรแกรมออนไลน์ ตาม link ดังน้ี http://ipst.me/10655 เพื่อช่วยให้นักเรียนสามารถ
เข้าใจเกี่ยวกับการทำงานของชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในวงจรไฟฟ้า เช่น วงจรสวิตช์ทำงานด้วยแสง วงจร
ตรวจสอบความชน้ื วงจรตง้ั เวลาอย่างง่าย และวงจรไฟกระพรบิ อย่างง่าย โดยสามารถสร้างวงจรไฟฟ้าจำลอง
ข้นั ที่ 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (20 นาที)
8) นกั เรียนตรวจสอบการทำแบบบนั ทกึ การทำกิจกรรมและส่งตามกำหนดทว่ี างไว้
9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. ส่ือการเรยี นรู้/แหล่งเรียนรู้
8.1 อุปกรณท์ ำกิจกรรม: จานวน 20 รายการ ดังแสดงแนบไว้ในใบกิจกรรมท้ายบท
8.2 คลิปวดี ิทศั น์: - ตัวอย่างการตอ่ วงจรไฟฟา้ ของวงจรต้งั เวลาอย่างง่าย สืบคน้ ได้จาก:
https://youtu.be/4t7Fm9yKG-g
- ตวั อย่างการต่อวงจรไฟฟ้าของวงจรไฟกะพริบอยา่ งงา่ ย สบื ค้นไดจ้ าก:
https://youtu.be/GK3cb85k8S0
8.3 สถานการณ์จาลอง: ส่อื อินเตอรแ์ อก็ ทฟี ซมิ ูเลชนั ตอนการตอ่ ชิน้ สว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์
8.4 ใบกิจกรรม: ใบกจิ กรรมทา้ ยบท Smart Farming ทาได้อยา่ งไร
8.5 แบบบันทกึ กิจกรรม: แบบบันทกึ การค้นควา้ กจิ กรรมท้ายบท Smart Farming ทาได้อย่างไร
8.6 แหลง่ เรยี นรู้: หนงั สือเรียนรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3
เล่ม 2 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551
(ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร
9. การวัดและการประเมนิ
ตัวช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้ วิธีการวดั เครือ่ งมือวดั เกณฑ์ท่ใี ช้ในการประเมนิ
- ไดไ้ ม่นอ้ ยกวา่ 2 คะแนน
1. บรรยายวธิ กี ารเขียน - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามท้ายกิจกรรม
ระดบั คณุ ภาพดี ถือว่า
แผนภาพการตอ่ ชิน้ ส่วน ท้ายกิจกรรมทา้ ยบท ท้ายบท Smart Farming ผ่านการประเมนิ
ด้านความรู้
อิเลก็ ทรอนกิ ส์อย่างงา่ ยใน ทาได้อยา่ งไร
- ได้ไมน่ อ้ ยกว่า 2 คะแนน
วงจรไฟฟา้ (ด้านความรู้: K) จำนวน 2 ข้อ ระดับคณุ ภาพดี ถือว่า
ผ่านการประเมิน
2. การใช้ทกั ษะการสร้าง - ตรวจการทำแบบ - แบบบนั ทกึ การค้นคว้า ด้านกระบวนการ
แบบจำลอง โดยการเขียน บนั ทึกการค้นควา้ กิจกรรมท้ายบท - ได้ไม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
ระดับคุณภาพดี ถอื ว่า
แผนภาพวงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ย กจิ กรรมท้ายบท Smart Farming ทาได้ ผา่ นการประเมนิ
ด้านเจตคติ
(ดา้ นกระบวนการ: P) อยา่ งไร
3. ตระหนกั ถงึ ความสำคญั - สงั เกตการใชง้ าน - เกณฑ์การประเมนิ การใช้
ของการใช้อุปกรณ์ อปุ กรณใ์ นกจิ กรรม งานอุปกรณ์ในกจิ กรรม
การทำกิจกรรมได้ ของนักเรยี น ของนกั เรียน
(ด้านเจตคติ: A)
9.1 เกณฑ์การประเมินผลนกั เรยี น เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมนิ ค่าน้ำหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมทา้ ยบท ถูกต้อง จำนวน 2 ข้อ
คำถามทา้ ย 3 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมทา้ ยบท ถูกตอ้ ง จำนวน 1 ขอ้
2 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมทา้ ยบท ไม่ถกู ต้อง
กจิ กรรมท้ายบท 1 บนั ทกึ ผลการทำกิจกรรม จากการสร้างแบบจำลอง โดยออกแบบวิธีการ
การให้คะแนนการบนั ทึก สร้างเครอื่ งมอื อิเล็กทรอนกิ สอ์ ยา่ งง่ายในวงจรไฟฟ้าได้ถูกตอ้ ง และ
แบบบนั ทกึ การคน้ ควา้ 3 สอดคลอ้ งตามประเดน็ คำถามในแบบบนั ทกึ การค้นคว้า
บันทึกผลการทำกจิ กรรม จากการสร้างแบบจำลอง โดยออกแบบวธิ ีการ
กจิ กรรมท้ายบท 2 สร้างเครื่องมอื อิเลก็ ทรอนกิ สอ์ ย่างง่ายในวงจรไฟฟา้ ไดแ้ ตไ่ ม่สอดคลอ้ ง
ตามประเด็นคำถามในแบบบันทึกการค้นคว้า
1 บนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม จากการสรา้ งแบบจำลอง โดยออกแบบวธิ กี าร
สรา้ งเครอ่ื งมืออิเล็กทรอนิกส์อย่างงา่ ยในวงจรไฟฟา้ ได้ไมถ่ ูกตอ้ ง และไม่
สอดคล้องตามประเด็นคำถามในแบบบนั ทึกการค้นคว้า
ประเด็นการประเมิน คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การให้คะแนน ใชง้ านอปุ กรณก์ ารทดลองในกจิ กรรมได้ถูกวิธี หยบิ เคลื่อนยา้ ยอุปกรณ์
การใชง้ านอปุ กรณ์ 3 อย่างระมดั ระวงั ไม่หยอกลอ้ หรือแกลง้ เพ่ือนขณะกำลังใช้งานอปุ กรณ์
และหลังการใช้งานอุปกรณม์ กี ารเกบ็ รักษาอยา่ งถูกวิธี
ในกจิ กรรม 2 ใช้งานอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ถูกวธิ ี หยบิ เคลอื่ นย้ายอุปกรณ์
อย่างระมัดระวัง ไมห่ ยอกล้อหรือแกลง้ เพอ่ื นขณะกำลังใชง้ านอปุ กรณ์
1 แต่หลงั การใช้งานอปุ กรณไ์ ม่มีการเกบ็ รักษาอยา่ งถกู วธิ ี หรือไม่เกบ็
อปุ กรณเ์ ข้าตู้เก็บอุปกรณต์ ามประเภทของอุปกรณ์
ใชง้ านอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ แต่ขณะหยบิ เคลือ่ นยา้ ยอปุ กรณ์
หรอื กำลงั ใช้งานอุปกรณ์ จะหยอกลอ้ หรอื แกล้งเพื่อน อาจทำให้อปุ กรณ์
เสียหายได้ และหลงั การใช้งานอปุ กรณ์ไม่มีการเก็บรกั ษาอย่างถูกวธิ ี
9.2 ระดบั คุณภาพ
คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถงึ ดมี าก
คะแนนรวมเฉล่ยี 2.00 - 2.99 หมายถงึ ดี
คะแนนรวมเฉลยี่ 0.01 - 1.99 หมายถงึ พอใช้
ดงั น้นั นักเรียนต้องไดค้ ะแนนเฉล่ียทกุ ประเด็นการประเมิน ไมต่ ำ่ กว่า 2.00 แสดงระดบั
คณุ ภาพ ดี ถือว่าผา่ นเกณฑก์ ารประเมินในแผนการจดั การเรยี นท่ี 24
สอ่ื การเรียนร้แู ผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 24: ส่ือวีดทิ ัศน์
คลปิ วีดีทัศน์: ตัวอย่างการต่อวงจรไฟฟ้าของวงจรต้ังเวลาอยา่ งงา่ ย
สื่อวีดิทศั นเ์ รอื่ ง ตวั อยา่ งการต่อวงจรไฟฟ้าของวงจรตงั้ เวลาอย่างงา่ ย อธิบายเก่ยี วกบั การตอ่ วงจร
ช้นิ สว่ นอเิ ล็กทรอนิกส์อยา่ งง่ายในวงจรตัง้ เวลาอยา่ งง่าย
แหลง่ ที่มา: เวบ็ ไซต์อ้างอิง
https://youtu.be/4t7Fm9yKG-g
เผยแพร่เมอื่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562
(ช่องYouTube: Compulsory Science IPST)
สอ่ื การเรียนรแู้ ผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 24: ส่ือวีดิทัศน์
คลิปวีดีทัศน์: ตวั อย่างการตอ่ วงจรไฟฟา้ ของวงจรไฟกะพริบอยา่ งง่าย
สื่อวีดิทัศน์เรื่อง ตัวอย่างการต่อวงจรไฟฟ้าของวงจรไฟกะพริบอย่างง่าย อธิบายเกี่ยวกับการต่อวงจร
ช้นิ ส่วนอิเลก็ ทรอนิกสอ์ ย่างงา่ ยในวงจรไฟกะพริบอย่างง่าย
แหล่งท่มี า: เว็บไซตอ์ ้างองิ
https://youtu.be/GK3cb85k8S0
เผยแพรเ่ มอ่ื 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562
(ช่องYouTube: Compulsory Science IPST)
สือ่ การเรยี นรู้แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 24: สือ่ อนิ เตอร์แอ็กทฟี ซมิ ูเลชัน
สื่ออินเตอรแ์ อก็ ทฟี ซมิ ูเลชัน ตอน การต่อชิ้นส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์
ส่ืออนิ เตอรแ์ อ็กทีฟซิมเู ลชนั ตอน การต่อชน้ิ ส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์ เป็นส่อื ประกอบการจดั การเรียนการ
สอนวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับมัธยมศกึ ษาตอนตน้ ทจ่ี ะชว่ ยใหน้ กั เรยี นเข้าใจเก่ียวกับการทำงานของช้ินส่วน
อิเลก็ ทรอนิกส์ในวงจรไฟฟ้า เช่น วงจรสวิตชท์ ำงานด้วยแสง วงจรตรวจสอบความชื้น วงจรตง้ั เวลาอย่างง่าย
และวงจรไฟกระพรบิ อยา่ งง่าย โดยสามารถสรา้ งวงจรไฟฟา้ จำลอง
แหล่งท่ีมา: เว็บไซตอ์ า้ งองิ http://ipst.me/10655
เผยแพร่เมอ่ื 2 กนั ยายน พ.ศ. 2562
(เจา้ ของผลงาน สถาบันสง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.))
สื่อการเรียนรูแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 24: ใบกิจกรรมท้ายบท
ใบกิจกรรมทา้ ยบท Smart Farming ทำได้อย่างไร
หนังสอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลาง
การศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หนา้ 142
กิจกรรมท้ายบท Smart Farming ทำไดอ้ ยา่ งไร?
จดุ ประสงค์ สร้างชน้ิ งานโดยประยุกตใ์ ชค้ วามรเู้ รื่องการตอ่ วงจรไฟฟา้ และหนา้ ท่ีของชนิ้ ส่วน
อิเลก็ ทรอนิกส์ เพอื่ แก้ปญั หาในสถานการณ์ทกี่ ำหนด
วัสดอุ ุปกรณ์ วสั ดุทใ่ี ช้ต่อกลุ่ม
1. ทรานซิสเตอร์ชนดิ NPN เบอร์ BC547 5 อัน
2. ตัวเกบ็ ประจขุ นาด 100 μF 3 อัน
3. ตวั ตา้ นทานคงที่ขนาด 220 Ω 2 อัน
4. ตัวตา้ นทานคงทข่ี นาด 330 Ω 4 อัน
5. ตัวต้านทานคงที่ขนาด 680 Ω 2 อัน
6. ตวั ตา้ นทานคงทข่ี นาด 1 kΩ 1 อัน
7. ตวั ต้านทานคงทข่ี นาด 4.7 kΩ 1 อัน
8. ตัวตา้ นทานคงที่ขนาด 10 kΩ 3 อัน
9. ตัวตา้ นทานคงทขี่ นาด 20 kΩ 1 อัน
10. ตวั ตา้ นทานคงทีข่ นาด 100 kΩ 2 อัน
11. ตวั ตา้ นทานแปรค่าตามแสง 1 อัน
12. ไดโอดเปลง่ แสงสีแดง 1 อัน
13. ไดโอดเปลง่ แสงสีเขยี ว 1 อัน
14. สายไฟฟ้า 1 มว้ น
15. ถ่ายไฟฉายขนาด 1.5 V 2 กอ้ น
16. แบตเตอร่ขี นาด 9 V 1 ก้อน
17. กระบะถ่านแบบ 2 ก้อน 1 อัน
18. สวติ ชก์ ดตดิ ปลอ่ ยดับ 1 อัน
19. เบรดบอรด์ 4 อัน
สถานการณ์ที่ แหล่งท่องเทีย่ วเชิงเกษตรแห่งหนึ่งมุ่งเน้นการทอ่ งเทยี่ วควบคไู่ ปกบั การเรียนรู้
กาหนดให้ ดา้ นการเกษตรและวิถกี ารดารงชวี ิตภายใต้ทรัพยากรท่ีมีอยู่ แต่เนื่องจากพ้ืนที่เกษตร
มีพืชจานวนมาก เช่น ข้าว พืชดอก พืชสวนผลไม้ พืชผักสวนครัวและพืชสมุนไพร
ทาใหเ้ กษตรกรประสบปัญหาในการดูแล เช่น รดน้าไม่ตรงเวลา รดน้าปริมาณมากไป
หรอื น้อยเกินไป ซ่ึงพืชบางชนดิ ตอ้ งการความชนื้ ในดินและความเข้มแสงไมเ่ ท่ากนั
กจิ กรรมท้ายบท Smart Farming ทำได้อยา่ งไร?
สถานการณ์ที่ จึงทาให้ผลผลิตด้อยคุณภาพและได้ปริมาณน้อย เกษตรกรจึงต้องการอุปกรณ์
กาหนดให้ บางอย่างมาช่วยควบคุมการรดน้า การตรวจสอบความชื้นและความเข้มแสง
นอกจากน้เี กษตรกรยังตอ้ งการอปุ กรณท์ ี่ชว่ ยทาใหก้ ารนาเสนอข้อมูลเกีย่ วกับพันธุ์พืช
และการทาการเกษตรให้แก่นักท่องเที่ยวให้มีความน่าสนใจด้วยให้นักเรียนสร้าง
ชน้ิ งาน เพอื่ ช่วยเกษตรกรในสถานที่ทอ่ งเท่ียวเชงิ เกษตรแหง่ น้ี โดยประยุกต์ใช้ความรู้
เรอ่ื งการต่อวงจรไฟฟ้าและหน้าทขี่ องชน้ิ ส่วนอเิ ลก็ ทรอนิกส์
วิธดี าเนินกิจกรรม 1. อ่านสถานการณ์ทีก่ าหนดให้ ระบปุ ญั หาและความต้องการท่พี บในสถานการณ์
จากนั้นตดั สินใจเลอื กความต้องการ
2 รวบรวมข้อมูลและสบื คน้ แนวคิดเกย่ี วกบั หนา้ ท่ีของชนิ้ สว่ นอิเล็กทรอนิกส์และ
การตอ่ วงจรไฟฟ้า วางแผนการทางานตอ่ วงจรไฟฟา้ และสร้างช้นิ งานทอ่ี อกแบบไว้
4. ทดสอบการทางานของวงจรไฟฟา้ และการใชง้ านของชนิ้ งานน้ัน แล้วบนั ทกึ ผล
5.วิเคราะหป์ ัญหาและนาเสนอวธิ ีการปรับปรุงแก้ไขชิ้นงานท่สี ร้างขน้ึ โดยประยุกตใ์ ช้
ความรเู้ กี่ยวกบั การตอ่ วงจรไฟฟ้าและหน้าทขี่ องช้นิ สว่ นอิเลก็ ทรอนกิ ส์
การเตรียมตัว • ครูควรปอกสายไฟฟา้ ให้พร้อมใช้งาน ในกรณีทตี่ ่อวงจรไฟฟา้ บนเบรดบอรด์
ล่วงหนา้ สาหรับครู • ครคู วรตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้าและชน้ิ สว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ สใ์ ห้อยู่ในสภาพพรอ้ มใชง้ าน
• ครคู วรศึกษาวงจรไฟฟา้ จากตวั อย่างวงจรไฟฟา้ และควรทดลองตอ่ วงจรไฟฟา้
เพอื่ ตรวจสอบว่าวงจรไฟฟ้าที่ใช้ในกจิ กรรมตอ่ อย่างไรและวงจรไฟฟ้าทางานได้หรือไม่
ขอ้ ควรระวัง • เน่ืองจากขาของทรานซสิ เตอร์อยชู่ ิดกนั ครคู วรย้าเตอื นใหน้ ักเรยี นระวงั ไมใ่ หล้ วด
ตวั นาของสายไฟฟา้ ทต่ี อ่ กับขาของทรานซสิ เตอรแ์ ตะกัน เพราะจะเกิดไฟฟา้ ลัดวงจร
• ครูควรยา้ เตอื นนักเรยี นไมค่ วรดดั ขาของทรานซสิ เตอร์ เนอ่ื งจากหักง่าย
ขอ้ เสนอแนะใน ก่อนตอ่ ช้นิ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์ท่ีมขี ้วั ในวงจรไฟฟา้ ครูควรแนะนาใหน้ กั เรยี นสังเกต
การทากจิ กรรม และวิเคราะหข์ ัว้ ของชน้ิ ส่วนอิเล็กทรอนิกสเ์ พอ่ื ให้การตอ่ วงจรไฟฟา้ ถกู ต้อง
สื่อการเรียนรู้/ • ตวั อย่างการต่อวงจรไฟฟ้าของวงจรตั้งเวลาอย่างงา่ ย
แหลง่ เรยี นรู้ https://youtu.be/4t7Fm9yKG-g
• ตวั อยา่ งการตอ่ วงจรไฟฟ้าของวงจรไฟกะพริบอย่างง่าย
https://youtu.be/GK3cb85k8S0
คำถามท้ายกจิ กรรม
1. ในการสรา้ งช้ินงานไดน้ ำความรเู้ ก่ียวกบั ชิ้นสว่ นอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์และวงจรไฟฟ้ามาใช้อยา่ งไรบา้ ง
2. จากการทดสอบช้นิ งานทีส่ ร้างขน้ึ ปัญหาท่พี บคืออะไร และนำความรเู้ ก่ียวกบั ช้ินส่วนอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์และ
วงจรไฟฟ้ามาใช้ในการปรบั ปรุงแกไ้ ขชน้ิ งานอยา่ งไร
สื่อการเรยี นรูแ้ ผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 24: แบบบนั ทึกการคน้ ควา้ กิจกรรมท้ายบท
แบบบนั ทกึ การคน้ ควา้ กิจกรรมทา้ ยบท Smart Farming ทำได้อยา่ งไร
ชื่อ-นามสกุล..........................................................................................ชนั้ .................เลขท่ี...........กลุม่ ท.่ี ...........
บนั ทึกการทำกจิ กรรม
- แนวคิด: - หลกั การ:
- วสั ดแุ ละอปุ กรณ์: ชือ่ เครื่องมือ
.......................................
- วิธีการทำเครอ่ื งมือ:
ผลการทำกิจกรรม
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ในการสรา้ งชนิ้ งานได้นำความรูเ้ กย่ี วกบั ช้ินสว่ นอิเล็กทรอนกิ ส์และวงจรไฟฟา้ มาใชอ้ ย่างไรบ้าง
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. จากการทดสอบชิ้นงานท่สี ร้างข้ึน ปัญหาที่พบคอื อะไร และนำความรู้เกี่ยวกบั ช้นิ ส่วนอิเลก็ ทรอนกิ ส์และ
วงจรไฟฟา้ มาใช้ในการปรบั ปรุงแกไ้ ขชน้ิ งานอยา่ งไร
ตอบ ………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนบท้ายแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 24: การให้คะแนนด้านกระบวนการ (P)
แนวทางบนั ทึกการค้นควา้ กจิ กรรมท้ายบท Smart Farming ทำได้อย่างไร
บันทกึ การทำกจิ กรรม
- แนวคิด: - หลกั การ:
ถา้ แสงในบรเิ วณที่ต้องการวดั เปน็ แสง ในเครือ่ งวดั แสงอัตโนมตั ิจะใช้ตัว
ที่มคี วามเขม้ แสงน้อย ใหเ้ คร่ืองวัดแสง
อัตโนมตั ทิ ำงานโดยใหไ้ ดโอดเปลง่ แสง ต้านทานแปรค่าตามแสง (LDR) เป็น
สวา่ ง เซ็นเซอร์ เนอ่ื งจากความตา้ นทานไฟฟา้
ของ LDR จะขึ้นอย่กู ับความเข้มแสง โดย
ถา้ แสงมีความเข้มน้อย ความต้านทานไฟฟา้
ของ LDR จะมีค่ามาก กระแสไฟฟ้าจะมีค่า
นอ้ ย ทำให้ความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าท่ขี าเบสมี
ความเหมาะสมและทรานซสิ เตอร์ทำงานได้
ชื่อเครือ่ งมอื
- วสั ดุและอปุ กรณ์: เครอื่ งวัดแสงอัตโนมัติ
1. ทรานซสิ เตอร์ชนิด NPN เบอร์ BC547 - วิธกี ารทำเครื่องมือ:
1. นำวงจรสวติ ช์ทำงานด้วยแสงมา
2. ตัวตา้ นทานคงที่ 220 Ω 1 kΩ และ ออกแบบเครื่องวดั แสงอตั โนมัติ
2. ตอ่ วงจรไฟฟา้ ตามทีอ่ อกแบบไว้
10 kΩ 3. ทดสอบว่าวงจรไฟฟ้าทำงานไดห้ รือไม่
3. ตวั ต้านทานแปรค่าตามแสง โดยใชม้ อื บังแสงที่ตกกระทบ LDR
4. ไดโอดเปล่งแสง 4. ประกอบวงจรไฟฟ้าในกล่องกระดาษ
5. ถ่านไฟฉาย 1.5 V พร้อมกระบะถา่ น เพ่ือทำเป็นเคร่อื งวดั แสงอัตโนมัติ
6. สายไฟฟา้ 5. ประเมินวา่ เคร่อื งวัดแสงอตั โนมัตสิ ามารถ
7. เบรดบอรด์ ใช้งานไดต้ ามความตอ้ งการหรือไม่ โดยวาง
8. วสั ดุอน่ื ๆ ตามที่ออกแบบ เช่น เครอื่ งวัดแสงอตั โนมตั ิไว้บรเิ วณท่ตี ้องการวัด
กลอ่ งกระดาษ แสงหรอื ใช้มือบงั แสงท่ตี กกระทบ LDR
ผลการทำกิจกรรม
เครื่องวัดแสงอัตโนมตั ทิ ำงานเม่ือภาวะแสงนอ้ ยจนมืด ไดโอดเปล่งแสงจะสว่างเพ่อื เตอื นว่าบริเวณน้นั มี
ความสวา่ งของแสงน้อย เนอื่ งจากที่ภาวะแสงนอ้ ยจนมืด ตัวตา้ นทานแปรคา่ ตามแสง (LDR) จะมีค่าความตา้ นทาน
ไฟฟา้ สงู ส่งผลตอ่ ค่าความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ของขาเบสเทียบกบั สายร่วมมีค่าเหมาะสม ( 0.65-0.75 โวลต)์
ทรานซิสเตอร์จึงทำให้วงจรไฟฟา้ ปดิ อตั โนมัติและทำใหก้ ระแสไฟฟา้ เคลอ่ื นท่ผี า่ นขาคอลเล็กเตอรไ์ ปยังขา
อิมิตเตอรไ์ ด้ครบวงจร
แนบท้ายแผนการจดั การเรยี นร้ทู ี่ 24: การให้คะแนนดา้ นความรู้ (K)
เฉลยใบกจิ กรรมท้ายบท Smart Farming ทำไดอ้ ยา่ งไร
เฉลยคำถามท้ายกิจกรรม
1. ในการสร้างชิ้นงานไดน้ ำความรู้เกีย่ วกบั ชน้ิ ส่วนอิเล็กทรอนกิ สแ์ ละวงจรไฟฟ้ามาใช้อยา่ งไรบา้ ง
แนวคำตอบ นำความรเู้ กย่ี วกับชน้ิ สว่ นอิเล็กทรอนกิ ส์และวงจรไฟฟ้ามาใช้สร้างเครอื่ งวัดแสงอัตโนมัติ
คอื ตัวตา้ นทานแปรคา่ ตามแสงมาใช้เป็นสว่ นรับความเข้มแสง ไดโอดเปล่งแสงเป็นสว่ นแสดงผล ทรานซสิ เตอร์
เป็นสวิตช์อัตโนมัติ และตัวต้านทานคงที่ควบคุมปริมาณกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า เมื่อภาวะแสงน้อยจนมืด
ไดโอดเปล่งแสงจะสว่างเพื่อเตือนว่าบริเวณนั้นมีความสว่างของแสงน้อย เนื่องจากที่ภาวะแสงน้อยจนมืด
ตัวต้านทานแปรค่าตามแสงจะมีค่าความต้านทานไฟฟ้าสูงขึ้นจนส่งผลต่อค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าของขาเบส
เทียบกับสายร่วมมีค่าระหว่าง 0.65-0.75 โวลต์ ทรานซิสเตอร์จึงยอมให้กระแสไฟฟ้าเคลื่อนที่ผ่านขา
คอลเล็กเตอร์ไปยังขาอมิ ติ เตอร์ได้ครบวงจร ไดโอดเปลง่ แสงจึงสวา่ งเตือน
2. จากการทดสอบชนิ้ งานทีส่ รา้ งขึ้น ปญั หาท่ีพบคอื อะไร และนำความรูเ้ ก่ยี วกับช้ินสว่ นอิเลก็ ทรอนิกสแ์ ละ
วงจรไฟฟ้ามาใชใ้ นการปรบั ปรุงแก้ไขชิ้นงานอยา่ งไร
แนวคำตอบ ผลการทดสอบอาจพบปัญหา เช่น วงจรไฟฟ้าไม่ทำงานเนื่องจากใช้จุดสำหรับต่อร่วม
ของขา ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์บนเบรดบอร์ดผิดตำแหน่ง ปรับปรุงแก้ไขโดยตรวจสอบขั้วของชิ้นส่วน
อิเลก็ ทรอนกิ ส์ และจุดท่ีใชต้ ่อร่วมของขาชนิ้ ส่วนอิเลก็ ทรอนิกสบ์ นเบรดบอร์ดให้ถูกตอ้ ง สอดคล้องกับแผนภาพ
ของวงจรไฟฟา้
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 7
ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 25
เร่ือง องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในทอ้ งถิน่ รหัสวิชา ว23102 เวลา 2 ชั่วโมง
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 7 ชอ่ื หนว่ ยการเรียนรู้ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวม 15 ช่ัวโมง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรียนท่ี 2
สาระที่ 1 ชือ่ สาระ วทิ ยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1
1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชวี้ ัด
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสง่ิ มีชีวิตกับสิ่งมชี ีวติ ต่าง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลีย่ นแปลงแทนท่ีใน
ระบบนเิ วศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบทมี่ ีตอ่ ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล้อม แนวทาง
ในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปัญหาสงิ่ แวดล้อม รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชว้ี ัด
ว 1.1 ม.3/1 อธิบายปฏิสมั พนั ธข์ ององค์ประกอบของระบบนิเวศที่ไดจ้ ากการสำรวจ
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) ระบบนิเวศประกอบด้วยองค์ประกอบที่มชี ีวิต เช่น พืช สัตว์ จุลินทรีย์ และองค์ประกอบท่ีไมม่ ีชวี ติ
เช่น แสง น้ำ อุณหภูมิ แร่ธาตุ แก๊ส องค์ประกอบเหล่านี้มีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น พืชต้องการแสง น้ำ และแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์ในการสรา้ งอาหาร สัตว์ตอ้ งการอาหาร และสภาพแวดล้อมทเี่ หมาะสมในการดำรงชีวิต เช่น
อุณหภมู ิ ความชนื้ องคป์ ระกอบทง้ั สองสว่ นนีจ้ ะตอ้ งมคี วามสมั พนั ธ์กันอย่างเหมาะสม ระบบนิเวศจงึ จะสามารถ
คงอยู่ต่อไปได้
3. จุดประสงค์การเรียนรู้ นกั เรยี นระบุองค์ประกอบทมี่ ีชีวติ และองคป์ ระกอบท่ไี มม่ ีชีวิตในระบบนเิ วศได้
1) ดา้ นความรู้ (K) นักเรียนใช้ทักษะการวดั โดยเลอื กและใชเ้ คร่ืองมือเพอื่ วดั ปริมาณของ
2) ดา้ นทักษะ (P) องคป์ ระกอบท่ไี มม่ ีชีวิตในระบบนิเวศได้
นกั เรียนตระหนกั ถงึ ความสำคญั ของการใช้อุปกรณก์ ารทำกิจกรรมได้
3) ด้านเจตคติ (A)
4. คณุ ลักษณะผูเ้ รยี น ซื่อสัตย์สจุ ริต มงุ่ มนั่ ในการทำงาน
4.1 คุณลกั ษณะทีพ่ ึงประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ มีจิตสาธารณะ
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง
มีวินยั รักความเปน็ ไทย
5. ด้านสมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รยี น
ความสามารถในการคดิ : นักเรียนสามารถคดิ โดยการนำขอ้ มลู ทีไ่ ด้จากการสังเกตมาวิเคราะห์และ
เช่อื มโยงความสมั พันธร์ ะหวา่ งองค์ประกอบของระบบนเิ วศ
ความสามารถในการสื่อสาร: นักเรียนสามารถสอ่ื สาร โดยการนำเสนอผลการศกึ ษาเพือ่ อธบิ าย
ปฏิสมั พนั ธข์ ององค์ประกอบของระบบนเิ วศ
6. สาระการเรยี นรู้
องค์ประกอบในสภาพแวดล้อมแต่ละบริเวณ เช่น สนามหญ้า สระน้ำ จะพบชนิดและปริมาณของ
สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตแตกต่างกันไป สิ่งมีชีวิตที่พบ เช่น สัตว์ พืช จุลินทรีย์ จัดเป็นองค์ประกอบที่มีชีวิต
(biotic component) และสิ่งไม่มีชีวิต เช่น แสง อากาศ น้ำ ดิน ธาตุอาหาร จัดเป็นองค์ประกอบที่ไม่มีชีวิต
(abiotic component) โดยท่อี งค์ประกอบจะมีปฏิสัมพนั ธ์กนั เชน่ ส่ิงมีชวี ิตตอ้ งการนำ้ เพ่อื ใช้ในกิจกรรมต่าง
ๆ ของร่างกาย สิ่งมีชีวิตใช้แก๊สออกซิเจนในการหายใจ พืชและสาหร่ายใช้แก็สคาร์บอนไดออกไซด์และแสงใน
การสงั เคราะหด์ ว้ ยแสงเพ่ือสรา้ งอาหาร และปลอ่ ยแกส๊ ออกซเิ จนออกสูอ่ กาศ พชื และส่งิ มีชีวิตบางชนิดใช้ดินเป็น
ทอี่ ยู่และแหล่งแร่ธาตุอาหาร ถ้าองค์ประกอบทไ่ี มม่ ชี ีวิตมกี ารเปลยี่ นแปลงไปองค์ประกอบที่มีชีวติ อาจต้องมีการ
ปรับตัวเพอื่ ใหส้ ามารถดำรงชีวติ และอยู่รอดต่อไปไดใ้ นสภาพแวดล้อมนน้ั ๆ
ในบริวณหนึ่ง ๆ จะพบสิ่งมีชีวิตหลายชนิดที่แตกต่างกัน เช่น พืช สัตว์ เห็ดรา แบคทีเรีย บริเวณท่ี
สง่ิ มชี ีวิตเหล่านอี้ าศยั อยู่ เรียกว่า แหลง่ ทีอ่ ยู่ (habitat) เชน่ สระน้ำ สนามหญา้ ขอนไม้ ในแต่ละแหลง่ ทีอ่ ยซู่ ง่ึ มี
สภาพแวดล้อมแตกตา่ งกันจะพบสิง่ มชี ีวิตต่างชนิดกัน สิ่งมีชีวิตชนิดเดยี วกนั ทีอ่ าศัยอยู่ในแหลง่ ทีอ่ ยู่เดียวกนั ใน
ช่วงเวลาหนึ่ง เรียกวา่ ประชากร (population) ประชากรของสิ่งมีชีวิตหลาย ๆ ชนิดที่อาศัยอยูใ่ นแหลง่ ท่อี ยู่
เดียวกันและมีความสัมพนั ธ์กันเรียกว่า กลุ่มสิ่งมีชีวิต (community) เราเรียกระบบทีม่ ีสิ่งมชี ีวิตต่าง ๆ อาศัย
ในแหล่งที่อยู่เดียวกันที่มีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีปฏิสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมว่า ระบบนิเวศ
(ecosystem) ในท้องถิ่นของเราอาจจะพบระบบนิเวศท่ีมีขนาดเล็ก เช่น ระบบนิเวศตน้ ไม้ ระบบนิเวศสวนผัก
ระบบนิเวศขอนไม้ จนถึงระบบนิเวศขนาดใหญ่ เช่น ระบบนิเวศทะเล ระบบนิเวศป่าไม้ ขนาดของระบบนิเวศ
สามารถเปลีย่ นแปลงได้ข้ึนอยูก่ ับการกำหนดขอบเขตระบบนิเวศของผศู้ ึกษา
ดังนั้นระบบนิเวศหมายถึงความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตในแหล่งที่อยู่อาศัย ณ ที่ใดที่หนึ่ง ความสัมพันธ์
มี 2 ลักษณะ คือ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งไม่มีชีวิต และระหว่างสิ่งมีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตด้วยกันเอง
โดยมกี ารถา่ ยทอดพลงั งานและสารอาหารในบรเิ วณนัน้ ๆ สูส่ ่ิงแวดล้อม
ระบบนิเวศจงึ ประกอบด้วยสิง่ มีชวี ิตนานาชนิดและรูปแบบต่างกัน ไม่วา่ จะเปน็ พชื สัตว์ จุลินทรีย์ที่อยู่
รวมกันบริเวณใดบริเวณหนึ่ง โดยสิ่งมีชีวิตเหล่านั้นสามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาวะแวดล้อมรอบ ๆ ตัวได้
การปรบั ตัวเปล่ยี นแปลงบางอย่างของส่งิ มีชีวิตอาจเกิดขึ้นภายในหนึง่ ชั่วอายุหรือยาวนานหลายชวั่ อายุ โดยผ่าน
การคัดเลือกตามธรรมชาติ ตามกระบวนการววิ ัฒนาการ คณุ สมบตั แิ ละความสามารถของสิ่งมีชีวติ ส่ิงมชี ีวิตและ
สภาวะแวดล้อมต่างก็มีบทบาทร่วมกัน และมีปฏิกิริยาต่อกันและกันอย่างซับซ้อนในระบบนิเวศที่สมดุล
โครงสร้างและคุณสมบัติของระบบนเิ วศเป็นสิ่งสำคัญทีช่ ่วยให้สิ่งมีชีวิตต่าง ๆ รวมทั้งมนุษย์อยู่ร่วมกันได้อยา่ ง
สมดุล เมื่อความเจริญและอารยธรรมของมนุษย์ได้มาถึงจุดสุดยอดและเริ่มเสื่อมลงเพราะมนุษย์เริ่มทำลาย
สิ่งมีชีวิตชนิดอื่นที่เคยช่วยเหลือสนับสนุนตนเองมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นด้านอาหารอยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม
ยารักษาโรค หรือการแสวงหาความสุขและความบันเทิงบนความทุกข์ยากของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ จนทำให้เกิดการ
เสยี สมดุลของระบบนิเวศ ซงึ่ นำไปสูค่ วามเสียหายอยา่ งใหญ่หลวงของสรรพสง่ิ ท้ังมวล
การที่สิ่งมีชีวิตชนิดต่าง ๆ ถูกทำลายสูญหายไปจากโลก จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเร่งให้อัตราการสญู
พันธ์ของส่ิงมชี ีวิตนานาชนิดท่ีเหลอื อยูเ่ พิ่มมากขึ้นเป็นทวคี ูณ อันเนือ่ งมาจากการเสยี ดุลของระบบนเิ วศน้นั เอง
อัตราการสูญพันธุ์อาจแตกต่างกันไปในแต่ละระบบนิเวศ จะมีทางเป็นไปได้มากน้อยเพียงใดหรือไม่ที่มนุษย์
จะนำเอาความร้ทู างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยมี าใชใ้ นการปรบั ปรงุ หาส่ิงมชี ีวิตชนิดอื่นมาทดแทนสิ่งมีชีวิตที่สูญ
พันธไุ์ ป ท้งั นี้เพราะการสูญเสียแหลง่ สะสมความแปรผนั ทางพันธกุ รรม อนั ถอื ว่าเป็นขมุ ทรัพย์ล้ำค่าของประชากร
สง่ิ มีชีวติ นน้ั จะเป็นการสง่ เสริมให้มกี ารทำลายความหลากหลายทางชวี ภาพของระบบนิเวศน้นั ๆ มากขึน้
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ใชร้ ูปแบบการจัดการเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ช่วั โมง; 120นาที)
ข้ันท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (20 นาที)
1) กระตนุ้ ความสนใจของนกั เรียนเพื่อนำเข้าสู่หน่วยการเรียนรู้ท่ี 7 เรื่องระบบนิเวศและความ
หลากหลายทางชีวภาพ โดยให้สื่อวีดิทัศน์เกี่ยวกับสภาพธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิต
หลากหลาย สบื คน้ ไดจ้ าก: https://www.youtube.com/watch?v=dkPLIw9aZwY โดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้
- แนวปะการังมีสิ่งมีชีวิตอะไรอยู่บ้าง (นักเรียนตอบตามที่สังเกตได้ เช่น ปลาสิงโต ปลาชนิด
ต่าง ๆ ท่อี าศัยอย่ใู นแนวปะการงั )
- จากวดี ทิ ศั น์นกั เรียนสงั เกตวา่ มีส่งิ มชี ีวิตอะไรบา้ ง (นกั เรียนตอบตามท่ีสังเกตได)้
2) ให้นักเรียนอ่านเนื้อหานำหน่วย (หนังสอื เรยี นรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช้นั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หนา้ 156-157) แลว้ รว่ มกันอภปิ รายโดยใช้คำถามต่อไปน้ี
- ปะการงั มีความสมั พนั ธก์ บั สิ่งมีชีวิตในแนวปะการงั อย่างไร (นกั เรียนตอบตามที่สังเกตได้ เช่น
ปะการังเป็นทอ่ี ยู่อาศัยและแหล่งอาหารของสัตวน์ ้ำหลายชนดิ )
- หากแนวปะการังถูกทำลายจะส่งผลอย่างไร (สิ่งมีชวี ติ ในแนวปะการงั จะไม่มที ่อี ย่อู าศยั และ
ขาดแหล่งอาหารหรืออน่ื ๆ ตามความคิดและเหตุผลของนกั เรยี น)
3) ครแู ละนักเรียนร่วมกนั อภิปรายเพิ่มเติมวา่ แนวปะการังเป็นตวั อย่างของระบบนเิ วศทาง
ทะเลแบบหน่ึง ประกอบไปดว้ ยส่งิ มชี ีวิตที่มีความหลากหลาย ซึ่งนักเรียนจะไดเ้ รียนร้เู รอื่ งของระบบนิเวศและ
ความหลากหลายทางชวี ภาพ จากหนว่ ยการเรียนรู้น้ี จากนัน้ ให้นกั เรยี นอ่านคำถามนำหนว่ ย องคป์ ระกอบของ
หนว่ ยและร่วมกนั อภปิ ราย เพ่ือให้นกั เรียนทราบวา่ จะต้องเรียนรเู้ ร่อื งอะไรบา้ งในหน่วยนี้
4) เชื่อมโยงเข้าสู่บทที่ 1 ระบบนิเวศ โดยให้นักเรียนสังเกตภาพนำบท (หนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ ม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 158) พรอ้ มท้งั ให้นกั เรยี นอา่ นเน้อื หา นำ
บท โดยใชค้ ำถามตอ่ ไปน้ี
- องค์ประกอบในแต่ละภาพมีอะไรบ้าง (นักเรียนตอบตามที่สังเกตได้ เช่น มีสิ่งมีชีวิตและไมม่ ี
ชวี ติ อาศยั อยรู่ ว่ มกัน)
- สิ่งเหล่านี้มีความสัมพนั ธ์กันอย่างไร (นักเรียนตอบตามที่สังเกตได้ เช่น ปลากินสาหร่ายเป็น
อาหาร)
5) ให้นักเรียนสังเกตภาพนำเรื่องที่ 1 องค์ประกอบของระบบนิเวศ (หนังสือเรียนรายวิชา
พน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 159) ครูกระตนุ้ ความสนใจโดยใช้คำถามดงั น้ี
- ในนาข้าวมสี งิ่ มีชวี ิตอะไรบา้ ง (มีส่งิ มชี วี ิตหลายชนิด เช่น ตน้ ข้าว แมลง ปูนา และสิ่งมชี ีวิตอนื่ )
- ในนาข้าวมีสิ่งไม่มีชีวติ อะไรบา้ ง (มีสงิ่ ไม่มชี ีวิตหลายอย่าง เช่น แสง ดิน น้ำ อากาศ)
- สิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิตมีความสัมพันธ์กันหรือไม่ อย่างไร (ตอบตามความเข้าใจและ
ประสบการณ์เดิมของนกั เรียนแตค่ รูควรบันทึกคำตอบไวอ้ ภิปรายในตอนทา้ ยของบทเรยี น)
6) ให้นักเรียนทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน (หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ชน้ั ม.3 เล่ม2 สสวท. หน้า 159) จำนวน 3 ข้อ
เขียนเคร่อื งหมาย ✓หนา้ ข้อความที่ถูกต้อง และเขียนเครือ่ งหมาย X หน้าขอ้ ความทไ่ี มถ่ กู ต้อง
- สง่ิ มีชวี ิตแบง่ ออกเป็น 2 กล่มุ คือ กลมุ่ พืชและกลุม่ สตั ว์ (เฉลย)
- ส่งิ มชี วี ติ กบั สิ่งไมม่ ชี ีวิตในบริเวณเดียวกนั มคี วามสมั พนั ธ์กนั (เฉลย)
- สิง่ มีชีวติ มีการปรับตวั ด้านโครงสรา้ งและลกั ษณะให้เหมาะสมกับแหลง่ ทอ่ี ยู่ (เฉลย)
7) ครูตรวจสอบการทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าไม่ถูกต้องให้แก้ไขความเข้าใจ
คลาดเคลื่อนของนักเรียน ความรู้พื้นฐานเรื่อง ระบบนิเวศและองค์ประกอบของระบบนิเวศที่ถูกต้องและ
เพียงพอทีจ่ ะเรียนต่อไป
ขนั้ ท่ี 2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาที)
8) ครูเช่ือมโยงเขา้ ส่กู ิจกรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มมีปฏสิ มั พนั ธก์ ันอย่างไร
โดยใช้คำถามวา่ นักเรยี นคดิ วา่ สภาพแวดลอ้ มในท้องถน่ิ ของนกั เรียนมีองคป์ ระกอบอะไรบ้าง และองค์ประกอบ
เหล่าน้ันมีปฏสิ มั พนั ธก์ นั อยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)
9) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 160 และครูตรวจสอบความ
เขา้ ใจการอา่ น โดยใช้คำถามดังต่อไปน้ี
- กจิ กรรมนเี้ กย่ี วกบั เรือ่ งอะไร (ปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งองคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถน่ิ )
- กิจกรรมนี้มีจุดประสงค์อะไร (สำรวจและอธิบายปฏิสัมพันธ์ขององค์ประกอบของ
สภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถ่นิ )
- วิธีดำเนินกิจกรรมมขี ั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (ระดมความคิด เลือกและกำหนดพื้นที่ สำรวจ
พื้นที่ด้วยวิธีการต่าง ๆ สังเกตและบันทึกสภาพแวดล้อมทางกายภาพและทางชีวภาพ สืบค้นข้อมูล วิเคราะห์
และอภิปรายเกย่ี วกบั ปฏสิ มั พนั ธข์ ององคป์ ระกอบทพี่ บในบรเิ วณท่สี ำรวจ)
- ข้อควรระวงั ในการทำกิจกรรมมีอะไรบ้าง (การเก็บข้อมลู ของสตั ว์ที่เปน็ อนั ตราย เช่น แมลง
บางชนิด งู หรือสัตว์มีพิษ ควรหลีกเลี่ยง แต่หากนักเรียนสนใจศึกษาอาจใช้วิธีการถ่ายภาพหรือวาดแผนแทน
การสัมผัสโดยตรง รวมทั้งคำนึงถึงความปลอดภัยในการสำรวจ เช่น ระวังการพลัดตกลงไปในแหล่งน้ำ
ระวงั ความเสยี หายที่เกดิ จากการใชอ้ ปุ กรณ์และเคร่ืองมอื สำรวจ)
- นักเรยี นต้องสงั เกตหรือรวบรวมขอ้ มูลอะไรบ้าง (เกบ็ และรวบรวมข้อมูลส่ิงมีชวี ิต เช่น จำนวน
และชนิดของสัตว์และพืช ขอ้ มูลขององค์ประกอบทีไ่ ม่มชี ีวติ เชน่ แสง ค่า pH ของนำ้ รวมทั้งสังเกตปฏิสัมพันธ์
ระหว่างองคป์ ระกอบที่พบในบรเิ วณทส่ี ำรวจ ซงึ่ สามารถสังเกตได้ เช่น พฤตกิ รรม การเคล่ือนท่ี การกนิ อาหาร)
10) ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรมในการสำรวจ ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของ
นักเรียนแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะการสำรวจในบริเวณต่าง ๆ ครูควบคุมนักเรียนให้สำรวจตามพื้นท่ีและขอบเขตท่ี
กำหนดไว้ตอนตน้ และให้คำแนะนำเมื่อนักเรียนมคี ำถาม หรือมีข้อสงสัย เช่น การใช้เครื่องมอื ชื่อของส่งิ มีชวี ติ
การบันทึกจำนวน เป็นต้น ซ่ึงครูควรรวบรวมปัญหา และข้อสงสัยที่พบจากการทำกิจกรรมของนักเรยี นเพื่อใช้
เปน็ ขอ้ มูลประกอบการอภิปรายหลังจากการทำกิจกรรม
ขั้นท่ี 3 ขัน้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (20 นาที)
11) นักเรียนบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 7.1 องค์ประกอบ
ของสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร โดยสรุปผลของกิจกรรมและตอบคำถามท้ายกิจกรรม
เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันจะพบชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิตและ
สิ่งไม่มีชีวิตต่างกัน ในสภาพแวดล้อมเดียวกันสิ่งมีชีวิตที่อยู่ร่วมกันจะมีปฏิสัมพันธ์กัน เช่น กินกันเป็นอาหาร
นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตยังมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งไม่มีชีวิตด้วย เช่น พืชใช้แสงและน้ำในการสร้างอาหาร กิ้งก่านอน
อาบแดดเพื่อเพม่ิ อณุ หภมู ิในรา่ งกาย เป็นต้น
ขน้ั ท่ี 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที)
12) นักเรียนเรียนร้เู พ่มิ เติมในหนงั สือเรียนหน้า 162-163 ทีเ่ กยี่ วกับองค์ประกอบท่ีมีชีวิตและ
องค์ประกอบท่ีไม่มีชวี ิตในระบบนิเวศ ทีเ่ กี่ยวกับความหมายของแหลง่ ท่ีอยู่ ประชากร กลุม่ ส่ิงมีชีวิต และระบบ
นิเวศ จากนน้ั รว่ มกันตอบคำถามระหว่างเรียน ดงั นี้
- ยกตัวอย่างสภาพแวดล้อม ระบุสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต พร้อมทั้งอธิบายปฏิสัมพันธ์ของ
สิง่ มชี วี ิตและสิง่ ไมม่ ชี วี ติ ทพ่ี บในแหล่งท่ีอยู่นนั้ (แนวคำตอบ คำตอบขึ้นอยกู่ บั ประสบการณ์เดิมของนกั เรียน เช่น
ในแปลงผักบุ้ง สามารถพบสิ่งมีชีวิต ได้แก่ ผักบุ้ง หญ้า ตั๊กแตน ด้วงเต่าทอง หนอน สิ่งไม่มีชีวิต ได้แก่ ดิน น้ำ
อากาศ แสงแดด โดยผักบุ้งใช้แสง นำ้ อากาศในการสังเคราะห์ด้วยแสงเพอ่ื การเจรญิ เติบโต หนอนและต๊ักแตน
กินผักบงุ้ และน้ำเปน็ อาหาร)
- บรเิ วณทีส่ งิ่ มีชีวิตอาศยั อยูเ่ รียกว่าอะไร (แหล่งทอ่ี ยู่)
- คำว่าประชากรกับกลุ่มสิ่งมชี ีวิตเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แตกต่างกัน ประชากร คือ
สิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกันที่อาศัยอยู่ในแหล่งที่อยู่เดียวกันในช่วงเวลาหนึ่ง ส่วนกลุ่มสิ่งมีชีวิต คือ ประชากรของ
สิ่งมชี วี ติ หลาย ๆ ชนิดท่ีอาศยั อยู่ในแหล่งทอ่ี ยู่เดยี วกนั และมคี วามสมั พันธ์กนั )
- ระบบนิเวศคืออะไร เรากำหนดขอบเขตของระบบนิเวศอย่างไร (ระบบนเิ วศ คือ ระบบท่ีกลุ่ม
สิ่งมีชีวิตอาศัยในแหล่งที่อยู่เดียวกัน มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน และมีความสัมพันธ์กับแหล่งที่อยู่นั้น การ
กำหนดขอบเขตของระบบนเิ วศขึ้นอยกู่ ับผู้ที่ศกึ ษาเป็นผูก้ ำหนด)
13) ครอู ธบิ ายเพ่ิมเติม โดยใช้สอื่ วีดิทัศน์เรือ่ ง ความสมั พันธ์ระหว่างแหล่งที่อยู่ ประชากรและ
กลุ่มสิ่งมชี วี ติ (สบื คน้ ได้จาก ipst.me/10606) ซึง่ อธิบายเกี่ยวขอ้ งกับคำนิยามและความหมายของคำว่าแหล่งที่
อยู่ ประชากรและกล่มุ ส่ิงมชี ีวติ
ข้ันท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ (Evaluation) (20 นาที)
14) ครูและนักเรียนอภิปรายผลการทำกิจกรรม องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อม จะไดข้ ้อสรปุ วา่
- ในสภาพแวดล้อมแต่ละบริเวณจะพบชนิดและปริมาณของสิ่งมีชีวิต ซึ่งเป็นองค์ประกอบทีม่ ี
ชีวติ และองคป์ ระกอบท่ีไมม่ ีชีวติ โดยทอี่ งคป์ ระกอบตา่ ง ๆ จะมปี ฏสิ มั พันธ์กัน
- แหล่งที่อยู่ คอื บริเวณทส่ี ่ิงมีชวี ิตเหลา่ นีอ้ าศยั อยู่
- ประชากร คอื สงิ่ มชี ีวติ ชนดิ เดยี วกนั ท่ีอาศัยอยู่ในแหลง่ ทีอ่ ย่เู ดยี วกันในชว่ งเวลาหนง่ึ
- กลุ่มสิง่ มชี ีวิต คือ ประชากรของสง่ิ มีชีวติ หลาย ๆ ชนดิ ทอี่ าศัยอยใู่ นแหลง่ ที่อยู่เดียวกันและมี
ความสมั พนั ธก์ ัน
- ระบบนิเวศ คอื ระบบทีก่ ลุ่มสงิ่ มชี วี ติ อาศัยในแหล่งท่ีอยู่เดยี วกัน มีความสมั พันธ์ซง่ึ กันและกัน
และมคี วามสมั พนั ธ์กับแหล่งที่อยู่นัน้ ซึ่งการกำหนดขอบเขตของระบบนิเวศขน้ึ อยู่กบั ผู้ท่ศี กึ ษาเป็นผูก้ ำหนด
15) ครูตรวจสอบการส่งแบบบนั ทึกการค้นคว้าของนักเรียนและใหค้ ะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 อปุ กรณท์ ำกจิ กรรม: จำนวน 15 รำยกำร ดังแสดงแนบไว้ในใบกจิ กรรมท่ี 7.1
8.2 คลิปวีดิทศั น์: - สภำพธรรมชำติต่ำง ๆ ท่มี ีสภำพแวดลอ้ มและสง่ิ มชี ีวิตหลำกหลำย
https://www.youtube.com/watch?v=dkPLIw9aZwY
- ควำมสัมพันธ์ระหวำ่ งแหลง่ ท่อี ยู่ ประชำกรและกล่มุ ส่งิ มชี ีวติ
https://www.ipst.me/10606
8.3 ใบกจิ กรรม: ใบกจิ กรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถ่นิ มปี ฏิสัมพนั ธก์ นั อยา่ งไร
8.4 แบบบนั ทกึ กิจกรรม: แบบบันทกึ การค้นควา้ กิจกรรมที่ 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมในทอ้ งถนิ่
มปี ฏิสมั พนั ธ์กันอยา่ งไร
8.5 แหลง่ เรยี นร้:ู หนงั สอื เรยี นรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ มธั ยมศึกษาปีที่ 3
เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธิการ
9. การวัดและการประเมิน
ตวั ช้วี ัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวดั เครือ่ งมือวัด เกณฑท์ ี่ใช้ในการประเมิน
1. ระบุองค์ประกอบที่มีชีวติ - ตรวจการตอบ - คำถามท้ายกิจกรรมที่ 7.1 - ไดไ้ ม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
และองค์ประกอบที่ไม่มชี ีวติ คำถามทา้ ย จำนวน 5 ขอ้ ระดบั คุณภาพดี ถอื วา่ ผ่าน
ในระบบนเิ วศ (ดา้ นความรู้: K) กจิ กรรมท่ี 7.1 การประเมินด้านความรู้
2. การใช้ทกั ษะการวดั โดย - ตรวจการทำแบบ - แบบบันทกึ การคน้ คว้า - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน
เลอื กและใชเ้ ครอ่ื งมือเพือ่ วดั บนั ทกึ การคน้ ควา้ กิจกรรมท่ี 7.1 ระดับคุณภาพดี ถือว่าผา่ น
ปรมิ าณขององคป์ ระกอบที่ กิจกรรมที่ 7.1 องค์ประกอบของสภาพ การประเมนิ
ไม่มีชวี ิตในระบบนเิ วศได้(ดา้ น แวดล้อมในทอ้ งถิ่นมี ดา้ นกระบวนการ
กระบวนการ: P) ปฏสิ ัมพันธ์กนั อย่างไร
3. ตระหนักถึงความสำคัญ - สังเกตการใชง้ าน - เกณฑ์การประเมนิ การใช้ - ไดไ้ ม่นอ้ ยกว่า 2 คะแนน
ของการใช้อปุ กรณ์ อปุ กรณใ์ นกจิ กรรม งานอุปกรณ์ในกจิ กรรม ระดบั คณุ ภาพดี ถอื ว่าผา่ น
การทำกจิ กรรมได้ ของนักเรยี น ของนกั เรียน การประเมนิ
(ดา้ นเจตคติ: A) ด้านเจตคติ
9.1 เกณฑ์การประเมินผลนกั เรียน เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมนิ คา่ นำ้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
คะแนน
การให้คะแนนตอบ ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 7.1 ถูกตอ้ ง จำนวน 4-5 ขอ้
คำถามทา้ ย 3 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 7.1 ถูกตอ้ ง จำนวน 2-3 ขอ้
กิจกรรมที่ 7.1 2 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 7.1 ถกู ต้อง จำนวน 1 ข้อ หรือไม่ถกู ต้อง
1
การให้คะแนนการบนั ทกึ บนั ทึกผลการทำกจิ กรรมการวดั จากการเลือกและใช้เครอ่ื งมอื ตา่ ง ๆ
แบบบนั ทึกการคน้ คว้า
3 เช่น ใช้เทอรม์ อมเิ ตอรว์ ดั อุณหภมู ิของอากาศ นำ้ และดนิ ใชเ้ ครอื่ งวัด
กิจกรรมท่ี 7.1 ความเปน็ กรด-เบส วดั ความเปน็ กรด-เบส ใช้ลกั ซ์มิเตอร์วดั ความเขม้ ของ
แสงไดอ้ ยา่ งถูกต้องและเหมาะสม สอดคล้องกับเนื้อหาในกิจกรรม
บนั ทึกผลการทำกิจกรรมการวดั จากการเลือกและใชเ้ ครอ่ื งมือตา่ ง ๆ
2 เชน่ ใช้เทอร์มอมิเตอรว์ ัดอุณหภูมิของอากาศ นำ้ และดิน ใชเ้ ครื่องวัด
ความเปน็ กรด-เบส วัดความเปน็ กรด-เบส ใชล้ ักซ์มิเตอร์วัดความเขม้
ของแสงได้ มคี วามสอดคล้องกบั เน้ือหาในกจิ กรรม
บันทึกผลการทำกจิ กรรมการวดั จากการเลอื กและใช้เคร่อื งมือต่าง ๆ
1 เช่น ใช้เทอรม์ อมิเตอรว์ ัดอณุ หภมู ิของอากาศ นำ้ และดนิ ใชเ้ คร่อื งวดั
ความเปน็ กรด-เบส วดั ความเป็นกรด-เบส ใชล้ กั ซ์มเิ ตอรว์ ัดความเขม้ ของ
แสงได้ไม่เหมาะสม เกิดขอ้ ผดิ พลาด ไม่สอดคล้องกับเนื้อหาในกิจกรรม
ประเด็นการประเมิน คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การให้คะแนน ใชง้ านอปุ กรณก์ ารทดลองในกจิ กรรมได้ถูกวิธี หยบิ เคลื่อนยา้ ยอุปกรณ์
การใชง้ านอปุ กรณ์ 3 อย่างระมดั ระวงั ไม่หยอกลอ้ หรือแกลง้ เพ่ือนขณะกำลังใช้งานอปุ กรณ์
และหลังการใช้งานอุปกรณม์ กี ารเกบ็ รักษาอยา่ งถูกวธิ ี
ในกจิ กรรม 2 ใช้งานอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ถูกวธิ ี หยบิ เคลอื่ นย้ายอปุ กรณ์
อย่างระมัดระวัง ไมห่ ยอกล้อหรือแกลง้ เพอ่ื นขณะกำลังใช้งานอุปกรณ์
1 แต่หลงั การใช้งานอปุ กรณไ์ ม่มีการเกบ็ รักษาอยา่ งถกู วธิ ี หรือไม่เกบ็
อปุ กรณเ์ ข้าตู้เก็บอุปกรณต์ ามประเภทของอุปกรณ์
ใชง้ านอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ แต่ขณะหยบิ เคลือ่ นยา้ ยอปุ กรณ์
หรอื กำลงั ใช้งานอุปกรณ์ จะหยอกลอ้ หรอื แกล้งเพื่อน อาจทำใหอ้ ุปกรณ์
เสียหายได้ และหลงั การใช้งานอปุ กรณ์ไม่มีการเก็บรกั ษาอย่างถูกวธิ ี
9.2 ระดบั คุณภาพ หมายถงึ ดมี าก
หมายถงึ ดี
คะแนนรวมเฉลี่ย 3.00 หมายถงึ พอใช้
คะแนนรวมเฉล่ยี 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลยี่ 0.01 - 1.99
ดงั น้นั นักเรียนต้องไดค้ ะแนนเฉล่ียทกุ ประเด็นการประเมิน ไมต่ ำ่ กว่า 2.00 แสดงระดบั
คณุ ภาพ ดี ถือว่าผา่ นเกณฑก์ ารประเมินในแผนการจดั การเรยี นท่ี 25
สอื่ การเรยี นรู้แผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 25: ส่ือวีดิทัศน์
คลปิ วดี ที ัศน์: สภาพธรรมชาตติ า่ ง ๆ ทม่ี ีสภาพแวดล้อมและสิง่ มชี วี ิตหลากหลาย
สื่อวีดิทัศน์เรื่อง สภาพธรรมชาติต่าง ๆ ที่มีสภาพแวดล้อมและสิ่งมีชีวิตหลากหลาย อธิบายเกี่ยวกับ
ความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบทมี่ ชี ีวิตและองคป์ ระกอบท่ไี มม่ ชี ีวติ ในระบบนเิ วศ
แหลง่ ที่มา: เว็บไซตอ์ า้ งอิง
https://www.youtube.com/watch?v=dkPLIw9aZwY
เผยแพร่เมอ่ื 19 กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. 2562
(ชอ่ งYouTube: ADVEXON TV)
สือ่ การเรียนรูแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 25: สื่อวีดิทัศน์
คลิปวีดีทัศน์: ความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งแหลง่ ทีอ่ ยู่ ประชากรและกล่มุ สิ่งมีชีวิต
สื่อวีดิทัศน์เรื่อง ความสัมพันธ์ระหว่างแหล่งที่อยู่ ประชากรและกลุ่มสิ่งมีชีวิต อธิบายเกี่ยวข้องกับ
คำนิยามและความหมายของคำวา่ แหลง่ ทีอ่ ยู่ ประชากรและกลมุ่ สิ่งมีชีวิต
แหล่งที่มา: เว็บไซตอ์ า้ งองิ ipst.me/10606
เผยแพรเ่ มอ่ื 30 สงิ หาคม พ.ศ. 2562
(เจา้ ของผลงาน สถาบนั สง่ เสรมิ การสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.))
ส่อื การเรียนร้แู ผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 25: ใบกิจกรรมที่ 7.1
ใบกิจกรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถิน่ มีปฏิสมั พนั ธ์กันอยา่ งไร
หนังสอื เรยี นรำยวิชำพ้ืนฐำนวทิ ยำศำสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ มธั ยมศึกษำปีท่ี 3 เลม่ 2 ตำมหลักสตู รแกนกลำง
กำรศึกษำข้นั พ้ืนฐำน พทุ ธศักรำช 2551 (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษำธกิ ำร หน้ำ 160
กจิ กรรมที่ 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถิ่นมีปฏสิ ัมพนั ธ์กันอย่างไร?
จุดประสงค์ สำรวจและอธบิ ายความสมั พันธข์ ององค์ประกอบของสภาพแวดลอ้ มในท้องถนิ่
วสั ดอุ ปุ กรณ์ วสั ดทุ ีใ่ ชต้ ่อกล่มุ
1. เทอรม์ อมเิ ตอร์ 1 อัน
2. แท่งแกว้ คน 2 อัน
3. กระดำษยนู ิเวอรซ์ ัลอนิ ดิเคเตอร์ 2 แผ่น
4. กระจกนำฬกิ ำ 1 ใบ
5. ปำกคีบ 1 อัน
6. พูก่ ัน 1 ดำ้ ม
7. ถงุ พลำสติก 3 ใบ
8. บีกเกอร์หรือแกว้ พลำสติกใส 3 ใบ
9. เขม็ ทิศ 1 อัน
10. อปุ กรณบ์ นั ทึกภำพ 1 ชดุ
11. แวน่ ขยำยหรือกล้องจลุ ทรรศนใ์ ชแ้ สง 1 อัน
12. เซคคดิ ิสก์ (Secchi disc) 1 ชดุ
13. ลักซ์มเิ ตอร์ (Lux meter) 1 ชุด
14. ชอ้ นปลูก 1 อัน
15. น้ำกลนั่ 1 ขวด
วิธีดำเนิน 1.เลอื กบรเิ วณท่ีจะสำรวจในท้องถนิ่ หรือบริเวณโรงเรยี น เช่น บริเวณสระนำ้
กจิ กรรม สวนธรรมชำติ สวนหย่อม หลงั อำคำรเรยี น โดยไม่ซ้ำกนั ในแต่ละกลุ่ม
2. กำหนดขอบเขตของบรเิ วณที่สำรวจ
3. สังเกตและบันทึกสภำพแวดล้อมทำงกำยภำพของบริเวณที่สำรวจ เช่น ลกั ษณะภูมิศำสตร์
ลักษณะดิน แหล่งนำ้ สภำพอำกำศ ส่ิงปนเปือ้ นในสภำพแวดล้อม จำกน้ันวำดแผนผงั ของ
บรเิ วณทีจ่ ะศกึ ษำ โดยระบมุ ำตรำสว่ น รำยละเอียดของบริเวณโดยรอบ และระบุทิศให้ถูกตอ้ ง
4. เกบ็ และรวบรวมข้อมูลของสภำพแวดล้อมในบรเิ วณทส่ี ำรวจ เช่น อุณหภมู ิ
ควำมเปน็ กรด-เบส (pH) ควำมโปร่งใสของนำ้ ควำมสว่ำง โดยมวี ธิ ีกำรดงั น้ี
กจิ กรรมท่ี 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดล้อมในทอ้ งถ่ินมีปฏสิ มั พนั ธ์กันอยา่ งไร?
การวัดอุณหภูมิ
• บริเวณแหลง่ น้ำ วัดอณุ หภมู ิท่ีผิวน้ำ โดยจุ่มเทอรม์ อมเิ ตอรล์ งในน้ำลกึ ประมาณ 5 เซนตเิ มตร
บนั ทึกผล
• บรเิ วณพืน้ ดิน วดั อุณหภูมิท่ผี วิ ดิน โดยเสียบเทอรม์ อมิเตอรล์ งในดินลกึ ประมาณ 5 เชนติเมตร
บนั ทึกผล
การวัดความเปน็ กรด-เบส (pH)
• บริเวณแหลง่ น้ำ วัด pH ของน้ำโดยเก็บตัวอย่างน้ำทผี่ ิวน้ำ แลว้ ใช้แท่งแกว้ จุ่มลงในตวั อย่างน้ำ
มาแตะลงบนกระดาษยูนิเวอร์ซัลอนิ ดิเคเตอร์ทีว่ างอยบู่ นกระจกนาฬิกา เทยี บสีกบั สีมาตรฐาน
ทต่ี ิดอยูบ่ นกล่อง บันทกึ ค่า pH ทีอ่ า่ นได้
• บริเวณพน้ื ดิน วัด pH ของดนิ โดยนำดนิ จากระดบั ผิวดนิ ปรมิ าณ 10 กรมั ใสล่ งในแกว้
พลาสติกใส แล้วเติมนำ้ กลน่ั 10 ลกู บาศกเ์ ซนติเมตรใชแ้ ท่งแกว้ คนให้เข้ากัน ตงั้ ทิ้งไว้ 10 นาที
หรอื จนกว่าจะตกตะกอน แล้วใช้แทง่ แกว้ จมุ่ ส่วนที่เปน็ ของเหลวมาแตะลงบนกระดาษ
ยูนิเวอร์ซลั อินดิเคเตอร์ท่ีวางอยู่บนกระจกนาฬิกา เทียบสกี ับสีมาตรฐาน บนั ทึกคา่ pH
ทอี่ า่ นได้
การวดั ความโปร่งใสของนำ้
• บรเิ วณแหลง่ นำ้ สามารถวัดความลึกที่แสงส่องผ่านลง
ไปในนำ้ โดยใช้เซคคิดิสก์ ซ่ึงมีวธิ ีใชด้ งั นี้
(1) ทำเครื่องหมายบนเส้นเชือกที่ผูกติดกับเซคคิดิสก์
เพื่อบอกระดับความลึกของน้ำ หย่อนเซคคิดิสก์ ลงใน
แหล่งน้ำจนถึงระยะที่เริ่มมองไม่เห็นเซคคิดิสก์ แล้ว
บันทึกค่าความลึกของระดับน้ำจากเคร่ืองหมายที่ทำไว้
บนเชอื ก ภาพเซคคิดสิ ก์
(2) หย่อนเซคคิดิสก์ลงไปในน้ำอีกเล็กน้อย แล้วดึง
เซคคิดิสก์ขึ้นช้า ๆ จนเริ่มมองเห็นเซคคิดิสก์อีกคร้ัง
แล้วบันทึกค่าความลึกของระดับน้ำจากเครื่องหมายท่ี
ทำไวบ้ นเชอื ก
(3) หาค่าความลึกที่แสงส่องผ่านลงน้ำได้ โดยหา
ค่าเฉลี่ยความลึกของระดับน้ำจากข้อ (1) และ (2) ภาพลักซม์ ิเตอร์
บนั ทกึ ผล
การวัดความสวา่ ง
• บริเวณพ้นื ทบ่ี นบก วดั ความสวา่ งโดยใช้ลกั ซม์ เิ ตอร์ ซ่งึ มีหนว่ ยเปน็ ลักซ์ (Lux)
กิจกรรมท่ี 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถิน่ มปี ฏสิ ัมพันธ์กนั อยา่ งไร?
5. เกบ็ และรวบรวมข้อมลู ของส่งิ มีชวี ติ ในบริเวณที่สำรวจ เชน่ ขอ้ มลู ทัว่ ไปของส่ิงมีชีวติ
การตอบสนองตอ่ สิ่งเรา้ ของส่ิงมชี ีวิต โดยมีวิธกี ารดังนี้
ขอ้ มลู ทัว่ ไปของส่งิ มชี ีวิต
• ระบชุ ื่อของสงิ่ มีชวี ิต รปู ร่าง ลักษณะ จำนวน แหล่งทีพ่ บ เวลาทพี่ บ ในกรณีที่ตอ้ งการ
ศึกษาสงิ่ มชี ีวิตบางชนิดเพิ่มเตมิ ถ้าบรเิ วณทส่ี ำรวจเปน็ พน้ื ท่ีบนบกใหเ้ ก็บตวั อยา่ งส่งิ มชี ีวิต
นนั้ ใส่ถุงพลาสติก แต่ถ้าบรเิ วณที่สำรวจเป็นแหลง่ น้ำให้เก็บตวั อยา่ งน้ำใสแ่ ก้วพลาสติก
จากน้ันนำตัวอยา่ งมาศึกษาโดยใช้แวน่ ขยายหรือกลอ้ งจุลทรรศนใ์ ช้แสง
• บนั ทกึ ภาพน่ิงหรือภาพเคล่อื นไหวของสงิ่ มชี ีวิตท่ีพบ โดยใชอ้ ปุ กรณบ์ ันทึกภาพและอาจ
นำวัตถอุ ้างองิ ทีร่ ูข้ นาด เช่น เหรยี ญ หรือไม้บรรทัดวางไวข้ ้างสงิ่ มชี วี ติ เพ่ือใช้เปรียบเทยี บ
ขนาดของส่งิ มีชีวิตกบั วตั ถุอา้ งองิ
การตอบสนองตอ่ ส่ิงเร้าของส่งิ มชี วี ติ
• สงั เกตการตอบสนองต่อสงิ่ เรา้ ของพืชและสัตว์ เชน่ การหบุ ของใบไมยราบเม่อื ถูกสมั ผสั
การหุบและบานของดอกไม้ การบินตอมดอกไม้ของแมลง การหาอาหารของสตั ว์
6. วเิ คราะหข์ อ้ มูลจากการสำรวจและอภิปรายปฏิสมั พันธ์ระหว่างส่งิ มีชีวติ กบั สง่ิ มชี ีวิต
และส่งิ มชี ีวิตกบั สงิ่ ไมม่ ีชีวิตในบริเวณทสี่ ำรวจ
7. สืบคน้ ข้อมูลเพ่ิมเติมเกย่ี วกับปฏิสมั พนั ธ์ของสง่ิ ตา่ ง ๆ ที่สำรวจพบและนำเสนอ
ผลการทำกจิ กรรม
กำรเตรยี มตัว ครูควรสำรวจพนื้ ทีท่ ีจ่ ะใชท้ ำกิจกรรมกอ่ นจัดกจิ กรรม เพ่ือใหท้ รำบข้อมูลที่จำเปน็ สำหรบั
ลว่ งหนำ้ สำหรับครู กำรเตรยี มอปุ กรณ์และกำรอภิปรำยผล เชน่ สภำพพ้นื ท่ี ชนดิ ของส่งิ มชี ีวติ เป็นต้น
ขอ้ ควรระวัง ครูควรกำหนดข้อตกลงกับนักเรียนกอ่ นทจ่ี ะเร่มิ ตน้ กำรสำรวจ และควรแจ้งให้นกั เรียนระวงั
สัตวม์ ีพษิ และควำมปลอดภยั ในกำรสำรวจ เช่น กำรใชอ้ ุปกรณ์ กำรลงพนื้ ทเ่ี กบ็ น้ำตัวอย่ำง
ข้อเสนอแนะใน ครูควรพิจำรณำเลือกพนื้ ท่ีสำรวจที่มีควำมแตกต่ำงกันท้งั ทำงกำยภำพ เชน่ แหลง่ น้ำ สนำม
กำรทำกจิ กรรม หญำ้ ต้นไม้ใหญ่ และทำงชวี ภำพ เช่น มสี ิง่ มชี วี ติ แตกตำ่ งกนั เพื่อให้นักเรยี นเก็บข้อมลู ได้
หลำกหลำยและนำมำใช้อภิปรำยเก่ยี วกบั ปฏิสมั พันธข์ ององค์ประกอบของระบบนิเวศ
คำถามท้ายกจิ กรรม
1. ในบริเวณทส่ี ำรวจ พบสิง่ มีชวี ิตชนิดใดมากที่สุด และส่งิ มีชีวิตชนดิ ใดนอ้ ยทสี่ ุด เพราะเหตใุ ด
2. สง่ิ มีชีวิตทพ่ี บในบริเวณท่ีสำรวจมคี วามสัมพันธก์ นั หรือไม่ อยา่ งไร
3. ชนิดและปรมิ าณของสิ่งมชี ีวติ และสง่ิ ไม่มชี ีวิตในแตล่ ะบริเวณ เหมอื นหรอื แตกตา่ งกนั อยา่ งไร เพราะเหตุใด
4. ส่งิ ไมม่ ีชีวิตท่ีพบในแต่ละบรเิ วณมีผลทำให้ชนดิ ของสิง่ มีชีวิตมคี วามแตกตา่ งกันหรือไม่ อยา่ งไร
5. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ ่าอย่างไร
ส่อื การเรยี นรแู้ ผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 25: แบบบันทึกกำรค้นควำ้ กิจกรรมท่ี 7.1
แบบบันทกึ กำรค้นคว้ำกิจกรรมท่ี 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในทอ้ งถิน่ มีปฏิสมั พันธก์ นั อยา่ งไร
ชือ่ -นามสกลุ ..........................................................................................ชนั้ .................เลขท่ี...........กลุ่มท.ี่ ...........
บนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม
บริเวณทีเ่ ลอื กสำรวจ คอื ............................................................................................................................
สง่ิ ทพ่ี บในสภาพแวดล้อมทางกายภาพของบริเวณท่ีสำรวจ ได้แก่ ...........................................................
.......................................................................................................................................................................
แผนผังบริเวณท่สี ำรวจ
ข้อมลู สภาพแวดลอ้ มในบรเิ วณที่สำรวจ
- อณุ หภูมิท่ีวัดได้ คอื .............................................. - ความเปน็ กรด-เบส (pH) ท่ีวัดได้ คอื ............................
- ความโปร่งใสของนำ้ ที่วดั ได้ คือ ............................ - ความสว่างที่วัดได้ คอื ....................................................
ตารางบนั ทกึ ขอ้ มูลสง่ิ มชี ีวิตทพี่ บในบริเวณทสี่ ำรวจ
รายการ สิ่งมชี วี ิต จำนวน
บนั ทึกข้อมูลเพิม่ เตมิ จากการสำรวจ
.......................................................................................................................................................................
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนบท้ายแผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 25: การใหค้ ะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบันทกึ การคน้ ควา้ กจิ กรรมที่ 7.1 องคป์ ระกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถ่ินมีปฏสิ ัมพนั ธ์กันอยา่ งไร
บันทกึ ผลการทำกิจกรรม (ตวั อยา่ งการบันทกึ ผลระบบนเิ วศสนามหญา้ )
บรเิ วณท่เี ลอื กสำรวจ คือ ...................สนามหญา้ อาคารเรียน 1......................
สง่ิ ท่พี บในสภาพแวดลอ้ มทางกายภาพของบริเวณทส่ี ำรวจ ได้แก่ ........ดนิ ค่อนข้างแห้ง..............
...........เนื่องจากบรเิ วณทส่ี ำรวจโดนแสงแดดส่องตลอดทงั้ วัน............................................................
แผนผงั บรเิ วณที่สำรวจ
กำหนดขอบเขตทส่ี ำรวจ ขนาดพื้นท่ี 100 ตารางเมตร บรเิ วณท่ีสำรวจ (ในกรอบสีเ่ หล่ียมสแี ดง)
ขอ้ มูลสภาพแวดล้อมในบริเวณทส่ี ำรวจ
- อณุ หภมู ิท่ีวดั ได้ คอื ......... 33 องศาเซลเซียส......... - ความเป็นกรด-เบส (pH) ท่ีวดั ได้ คอื ........... 6.8.........
- ความโปร่งใสของน้ำท่ีวัดได้ คือ .............-............. - ความสวา่ งทวี่ ัดได้ คือ ............... 1,100 ลกั ซ์.............
ตารางบันทึกข้อมลู ส่ิงมชี ีวิตทพี่ บในบริเวณทส่ี ำรวจ
รายการ ส่ิงมชี วี ิต จำนวน
ประมาณ 50 ตวั
1 มด ไมร่ ้ชู นดิ ประมาณ 300 ต้น
2 ตน้ ตน้ หน่ึงมผี ล 3 ผล
2 หญา้ อีกตน้ ไมม่ ีผล
3 ต้นมะเขือ 3 ตัว
4 ต๊กั แตน
บนั ทกึ ขอ้ มลู เพิม่ เติมจากการสำรวจ
รายละเอียดเพมิ่ เติม พบมดจำนวน 50 ตัว ขนซากใบไม้ขนาดเลก็ และซากแมลงชนดิ หนึง่ (ไมท่ ราบชนิด)
พบรังมดอยู่ใต้ตน้ มะเขอื ตก๊ั แตนอาศยอยบู่ นใบหญ้า ดินบรเิ วณใต้ต้นมะเขือมลี กั ษณะชน้ื กว่าดินท่ีอยู่ส่วนอน่ื ๆ
บริเวณพื้นที่สำรวจฝงั่ ชดิ กับอาคาร (เปน็ ทีร่ ่มไมโ่ ดนแดด) มีตน้ หญ้าขึ้นจำนวนนอ้ ย บางจดุ ไมพ่ บต้นหญ้า
สว่ นบริเวณท่ีไดร้ ับแสงแดดตลอดวันจะมหี ญา้ จำนวนมากกวา่
แนบทา้ ยแผนการจดั การเรยี นรูท้ ี่ 25: การให้คะแนนดา้ นความรู้ (K)
เฉลยใบกิจกรรมท่ี 7.1 องค์ประกอบของสภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถน่ิ มปี ฏิสมั พนั ธ์กนั อยา่ งไร
เฉลยคำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ในบรเิ วณท่สี ำรวจ พบส่งิ มชี วี ติ ชนิดใดมากท่ีสดุ และส่ิงมชี ีวิตชนิดใดน้อยทส่ี ุด เพราะเหตใุ ด
แนวคำตอบ ตอบตามขอ้ มูลทนี่ ักเรียนสำรวจได้ โดยใหน้ กั เรียนแสดงหลักฐานสนบั สนนุ ข้อมูล
จำนวนของชนดิ ส่งิ มชี วี ิตแตล่ ะชนิด เชน่ ตารางบันทกึ ผล ภาพถ่าย ภาพวาด
2. ส่ิงมีชีวิตทีพ่ บในบรเิ วณทสี่ ำรวจมีความสัมพันธก์ ันหรือไม่ อยา่ งไร
แนวคำตอบ ตอบตามความคิดเห็นและข้อสรุปของกล่มุ ซึ่งครูสามารถนำอภิปรายร่วมกนั ถึงปฏิสมั พนั ธ์
ขององคป์ ระกอบในระบบนิเวศนนั้ ๆ เชน่ มดขดุ ดินเพ่ือสร้างรงั และกนิ ต๊กั แตนตวั เล็ก ๆ เป็นอาหาร หรอื
ปลาอาศัยอยูใ่ นนำ้ กินสาหรา่ ยเป็นอาหาร สว่ นสาหร่ายมกั ขึน้ ริมตล่ิงเพราะต้องอาศยั แสงแดด ในการสังเคราะห์
ดว้ ยแสง จงึ ไม่สามารถเจรญิ เติบโตในบรเิ วณนำ้ ลึกได้
3. ชนดิ และปริมาณของส่ิงมีชีวติ และส่ิงไมม่ ีชีวิตในแต่ละบริเวณ เหมือนหรือแตกตา่ งกนั อย่างไร เพราะเหตุใด
แนวคำตอบ คำตอบขนึ้ อยกู่ บั ข้อมูล หากสำรวจในบรเิ วณใกล้เคียงกนั มีความเปน็ ไปได้วา่ ขอ้ มูล อาจจะ
มีความคล้ายคลึงกัน แต่ถ้านักเรียนสำรวจในบริเวณที่แตกต่างกันก็อาจจะมีความแตกต่างกันทั้งสิ่งมีชีวิตและ
ส่งิ ไมม่ ชี วี ติ ส่วนสาเหตทุ ่ีแตกตา่ งกนั เพราะในแต่ละบริเวณจะมีส่ิงไมม่ ีชีวิตท่ีแตกตา่ งกัน ทำให้สิ่งมีชีวิตที่อาศัย
แตกต่างกนั เชน่ บริเวณทม่ี หี ญา้ ขึน้ เป็นจำนวนมากและมีรม่ เงา มกั พบแมลงมากกว่าบริเวณท่ีไม่มีหญ้าและไม่มี
ร่มเงา เน่ืองจากแมลงกินหญา้ เป็นอาหารและใช้เป็นแหล่งท่ีอยู่เพราะอุณหภูมิไม่สงู จนเกินไป ส่วนบริเวณที่ไม่มี
หญ้าขึน้ และมแี สงแดดสอ่ งถึงมากกว่าบริเวณอื่น จะพบแมลงได้น้อยมากเพราะไม่มีอาหาร อุณหภมู ิสูงมาก และ
ความชน้ื ตำ่ ทำให้ไมเ่ หมาะสมต่อการดำรงชีวิต อกี ท้งั ยงั ไมม่ ีทีห่ ลบภัยจากผลู้ า่ เช่น นกทกี่ นิ แมลงเป็นอาหาร
4. สงิ่ ไม่มีชวี ิตที่พบในแต่ละบรเิ วณมีผลทำใหช้ นดิ ของสง่ิ มีชวี ิตมคี วามแตกตา่ งกนั หรือไม่ อยา่ งไร
แนวคำตอบ ความแตกต่างของสิ่งไม่มีชีวิต เช่น แสง น้ำ อากาศ ในแต่ละบริเวณ ส่งผลให้สิ่งมีชีวิต
ที่อาศัยอยู่ในแตล่ ะบริเวณนั้นแตกต่างกัน เนื่องจากสิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดมีความต้องการพื้นฐานในการดำรงชวี ิต
ที่แตกต่าง เช่น พืชบางชนิดเจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่ชุ่มน้ำ ดังนั้นในบริเวณที่ใกล้แหล่งน้ำก็จะพบพืชชนิดนี้
มากกว่าบริเวณทีแ่ หง้ แล้ง พืชบางชนดิ ต้องการแสงมาก พืชบางชนิดตอ้ งการแสงปานกลาง สัตว์บางชนิดอาศยั
อยใู่ นโพรงไม้ สัตวบ์ างชนดิ อาศัยอยู่ในดิน
5. จากกิจกรรม สรปุ ได้วา่ อย่างไร
แนวคำตอบ ในสภาพแวดลอ้ มแต่ละบริเวณจะพบชนิดและปริมาณของสิง่ มีชวี ิตและสง่ิ ไม่มีชีวิตต่างกัน
เราสามารถพบสง่ิ มีชวี ิต ได้แก่ พชื สตั ว์ เปน็ องค์ประกอบท่มี ีชีวติ และส่ิงไมม่ ีชีวติ เช่น แสงแดด อากาศ น้ำ ดนิ
อุณหภมู ิ ทเี่ ปน็ องค์ประกอบที่ไม่มีชีวิตแตกต่างกันออกไปในแต่ละระบบนิเวศ เพราะองค์ประกอบดังกลา่ วจะมี
ปฏิสัมพันธต์ อ่ กัน ดังนัน้ เมื่อองค์ประกอบใดเปล่ียนไปยอ่ มส่งผลกระทบต่อการเปลย่ี นขององค์ประกอบอ่นื ๆ
เช่น บรเิ วณท่ดี ินมคี วามชนื้ สงู จะพบกบอาศยั อยู่ แต่ถา้ ดินบรเิ วณนนั้ ไม่ไดร้ บั นำ้ ต่อเนอื่ งและดินแหง้ ลงเร่อื ย ๆ
จะส่งผลให้กบไมส่ ามารถดำรงชวี ิตอยไู่ ด้ จำเป็นต้องอพยพไปบริเวณอืน่ เปน็ ตน้
แผนการจดั การเรียนรู้ที่ 26
เรอ่ื ง สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหาร รหัสวิชา ว23102 เวลา 1 ชั่วโมง
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 7 ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ ระบบนเิ วศและความหลากหลายทางชีวภาพ รวม 15 ชวั่ โมง
กลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2
สาระที่ 1 ชือ่ สาระ วิทยาศาสตร์ชีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้วี ดั
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ
ความสมั พนั ธ์ระหวา่ งส่ิงมชี ีวิตกบั ส่งิ มีชวี ติ ตา่ ง ๆ ในระบบนิเวศ การถ่ายทอดพลังงาน การเปลย่ี นแปลงแทนที่ใน
ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปัญหาและผลกระทบท่ีมตี ่อทรัพยากรธรรมชาตแิ ละส่งิ แวดลอ้ ม แนวทาง
ในการอนุรักษท์ รัพยากรธรรมชาติและการแกไ้ ขปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวช้ีวัด
ว 1.1 ม.3/3 สรา้ งแบบจำลองในการอธบิ ายการถ่ายทอดพลงั งานในสายใยอาหาร
ว 1.1 ม.3/4 อธิบายความสัมพันธ์ของผ้ผู ลติ ผู้บรโิ ภค และผ้ยู อ่ ยสลายสารอนิ ทรยี ์ในระบบนิเวศ
2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
1) กลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งตามหน้าที่ได้เป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ ผู้ผลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย
สารอินทรีย์ สิ่งมีชีวิตทั้ง 3 กลุ่มนี้ มีความสัมพันธ์กัน ผู้ผลิตเป็นสิ่งมีชีวิตที่สร้างอาหารได้เอง โดยกระบวนการ
สงั เคราะหด์ ว้ ยแสง ผู้บรโิ ภคเปน็ สง่ิ มีชีวิตที่ไม่สามารถสรา้ งอาหารได้เอง และต้องกนิ ผผู้ ลิตหรือสิ่งมีชีวิตอ่ืนเป็น
อาหาร เมื่อผู้ผลิตและผู้บริโภคตายลง จะถูกย่อยโดยผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ซึ่งจะเปลี่ยนสารอินทรีย์เป็นสาร
อนนิ ทรยี ก์ ลบั คืนสู่สงิ่ แวดลอ้ ม ทำให้เกดิ การหมนุ เวียนสารเปน็ วฏั จักร จำนวนผผู้ ลิต ผู้บริโภค และผู้ย่อยสลาย
สารอนิ ทรีย์จะตอ้ งมีความเหมาะสม จึงทำใหก้ ลุ่มสงิ่ มชี ีวติ อยูไ่ ด้อย่างสมดุล
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
1) ดา้ นความรู้ (K) นกั เรยี นอธิบายความสัมพนั ธ์ของผ้ผู ลติ และผู้บริโภคได้
2) ด้านทักษะ (P) นกั เรียนใช้ทักษะการสร้างแบบจำลอง โดยการนำขอ้ มลู มาสรา้ งแบบจำลอง
สายใยอาหาร
3) ด้านเจตคติ (A) นักเรยี นมคี วามมุง่ ม่นั และรับผดิ ชอบในการทำงาน
4. คุณลักษณะผเู้ รียน
4.1 คุณลักษณะทพี่ ึงประสงค์
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซอื่ สตั ย์สจุ ริต มุ่งม่ันในการทำงาน
มีวินยั รักความเป็นไทย ใฝเ่ รยี นรู้ มีจิตสาธารณะ
5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผเู้ รยี น
ความสามารถในการสื่อสาร: นกั เรยี นสามารถสอื่ สาร โดยการนำเสนอและอธิบายสายใยอาหาร
บทบาทของผ้ผู ลติ ผบู้ ริโภคและผยู้ ่อยสลายสารอินทรีย์
6. สาระการเรยี นรู้
สิ่งมชี วี ิตในระบบนิเวศต้องการอาหารเพ่ือการดำรงชวี ิต บางชนดิ มบี ทบาทในการสร้างอาหารบางชนิด
กินสิ่งมีชีวิตอื่นเป็นอาหาร และบางชนิดเป็นผู้ย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิต สิ่งมีชีวิตที่สามารถสร้างอาหารได้เอง
โดยใช้กระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง สิ่งมีชีวิตกลุ่มนี้มีบทบาทเป็น ผู้ผลิต (producer) ได้แก่ พืช สาหร่าย
และแบคทีเรียบางชนิด สิ่งมชี ีวิตบางชนิดไม่สามารถสร้างอาหารได้เอง ต้องกนิ สิง่ มชี วี ิตอืน่ เป็นอาหาร ส่ิงมีชีวิต
กลุ่มนี้มีบทบาทเปน็ ผู้บริโภค (consumer) เช่น มนุษย์ สัตว์ต่าง ๆ ถ้าพิจารณาอาหารที่ผู้บริโภคกินสามารถ
แบ่งกลุ่มผู้บริโภคได้เป็นผู้บริโภคที่กินพืชเป็นอาหาร เรียกว่า สิ่งมีชีวิตกินพืช (herbivore) เช่น วัว ช้าง
ผู้บรโิ ภคทก่ี ินสตั วเ์ ป็นอาหาร เรียกวา่ สิง่ มีชวี ิตกนิ สัตว์ (carnivore) เชน่ เสือดาว สงิ โต และผู้บริโภคที่กินท้ัง
พืชและสัตว์เปน็ อาหาร เรยี กวา่ สิง่ มีชีวิตกินพชื และสัตว์ (omnivore) เชน่ ไก่ มนษุ ย์ นอกจากนี้ยังมีสิ่งมีชีวิต
บางชนิดทีก่ นิ เฉพาะซากส่ิงมีชีวติ เช่น แรง้ เรียกสง่ิ มชี ีวิตพวกนว้ี ่า สัตว์กินซาก (scavenger)
เม่อื สง่ิ มชี ีวติ ตายลง จะมีส่ิงมีชีวติ อีกกลมุ่ หนึ่งทม่ี บี ทบาทเป็น ผูย้ ่อยสลายสารอินทรีย์ (decomposer)
เช่น เห็ดรา แบคทีเรีย ซึ่งดำรงชีวิตโดยผลิตเอนไซม์ออกมาย่อยสลายซากสิ่งมีชีวิตให้เป็นสารอาหารที่มีขนาด
โมเลกุลเล็กลง แล้วดูดซึมสารอาหารไปใช้เพียงบางส่วน ส่วนที่เหลือจะอยู่ในสิ่งแวดล้อม ซึ่งผู้ผลิตสามารถ
นำไปใชใ้ นการดำรงชีวติ ต่อไป
ผู้ย่อยสลายสารอินทรยี เ์ ป็นสิ่งมีชวี ิตท่ีมบี ทบาทสำคัญในการทำใหเ้ กดิ การหมนุ เวยี นของสารเป็นวัฏจักร
ได้ เช่น วัฏจักรคาร์บอน จากภาพพืชใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์จากบรรยากาศในกระบวนการสังเคราะห์
ด้วยแสง เพ่อื สร้างสารประกอบอินทรียซ์ ่ึงมีคาร์บอนเป็นองค์ประกอบ เช่น คาร์โบไฮเดรต ไขมัน โปรตีน เก็บไว้
ในสว่ นตา่ ง ๆ ของพชื เมอ่ื สง่ิ มชี ีวิตอืน่ มากนิ พืช สารประกอบอินทรีย์ทคี่ าร์บอนนจ้ี ะถูกถา่ ยทอดไปตามลำดับข้ัน
ของการบริโภค หลังจากสิ่งมีชีวิตตายลง บางส่วนจะถูกย่อยสลายโดยผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ ส่วนที่ ไม่ถูก
ย่อยสลายจะทับถมกันเป็นเวลานาน ภาวะที่เหมาะสมและเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ เช่น ถ่านหิน
ปิโตรเลียม การหายใจของสิ่งมีชีวิต และการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงซากตึกดำบรรพ์ ทำให้เกิดแก๊ส
คาร์บอนไดออกไซด์กลับคืนสู่บรรยากาศ ซึ่งพืชจะนำไปใช้ในการสังเคราะห์ด้วยแสง จึงเกิดการหมุนเวียน
ต่อเนื่องเป็นวัฏจักร นอกจากวัฏจักรคาร์บอนแล้ว ยังมีวัฏจักรสารที่สำคัญอีกหลายวัฏจักร เช่น วัฏจักรน้ำ
วัฏจกั รไนโตรเจน วฏั จักรฟอสฟอรัส
การที่สิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดมีบทบาทแตกต่างกัน ทำให้เกิดการถ่ายทอดพลังงานที่อยู่ในอาหารไปตาม
ลำดับโดยการกินกันเป็นทอด ๆ เรียกว่า โซ่อาหาร (food chain) โดยทั่วไปโซ่อาหารประกอบด้วยผูผ้ ลติ และ
ผู้บริโภคลำดับต่าง ๆ ดังภาพ จะเห็นว่าในโซ่อาหารนี้มีหญ้าเป็นผู้ผลิต มีต๊ักแตน ก และงู เป็นผู้บริโภค โดย
ต๊ักแตนกินหญ้า ตั๊กแตนจัดเป็นผู้บริโภคลำดับที่ 1 กบกินตั๊กแตน กบจัดเป็นผู้บริโภคลำดับที่ 2 ส่วนงูกินกบ
งูจัดเป็นผู้บรโิ ภคลำดบั ที่ 3 หรอื ผ้บู ริโภค ลำดบั สุดทา้ ยของโซ่อาหารนี้
ภาพแสดง โซ่อาหาร
(ท่มี า: หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชัน้ ม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 167)
ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิ่งมีชีวิตในโซ่อาหารเปน็ ความสัมพนั ธใ์ นด้านการถ่ายทอดพลงั งาน โดยการกินกัน
เป็นทอดๆ ไม่ซับซ้อน แต่ในธรรมชาติอาจมีผู้ผลิตมากกว่าหน่งึ ชนิดและมีผู้บริโภคที่สามารถบริโภคพืชและสัตว์
อ่ืน ๆ ได้หลายชนิด เชน่ กบกินตกั๊ แตน แมลงปอ และแมลงหว่ี ในขณะเดียวกนั ผู้บริโภคชนดิ หนง่ึ อาจเป็นอาหาร
ของผู้บริโภคได้หลายชนิด เช่น กบเป็นอาหารของแมว งู และนกอินทรี ดังภาพ 78 ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวติ
ในการถา่ ยทอดพลงั งานโซอ่ าหารหลายสายที่สัมพนั ธ์ซบั ซ้อนน้ี เรียกวา่ สายใยอาหาร (food web)
ภาพแสดง สายใยอาหาร
(ท่ีมา: หนังสอื เรียนรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 168)
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ใช้รูปแบบการจดั การเรยี นการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ช่วั โมง; 60นาที)
ขั้นท่ี 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรยี น โดยให้ดูภาพนำเรื่อง เรียน (หนังสอื เรยี นรายวิชาพ้นื ฐาน
วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันม.3 เล่ม2 สสวท. หน้า 164) และอา่ นเน้อื หานำเร่ืองทเ่ี ก่ียวกบั ความสัมพันธข์ องผ้งึ
กับดอกไม้ และครูยกตัวอยา่ ง นกกกกินลกู ไทร https://www.youtube.com/watch?v=aOFG-HPyvu8
ปลาอาศยั ในดงสาหร่าย หรืออ่นื ๆ จากนน้ั ให้นกั เรียนร่วมกนั อภิปราย โดยใชค้ ำถามดังตอ่ ไปนี้
- ผง้ึ กับดอกไมม้ ปี ฏสิ ัมพันธ์กันอย่างไร (ผึ้งกินน้ำหวานจากดอกไม้ ขณะเดยี วกนั ผึ้งชว่ ยถา่ ยเรณู
ใหด้ อกไม)้
- นักเรียนรู้จักความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ อีกหรือไม่อย่างไร (นักเรียนตอบตามความ
คดิ เหน็ และประสบการณ์เดิม เช่น เป็ดกบั หอยเชอร)ี
2) ให้นกั เรียนอ่านเนอื้ หา เกรด็ นา่ รู้ และตอบคำถามระหว่างเรยี น ในหนงั สือเรียนหน้า 165-166
ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกับบทบาทของสิ่งมีชวี ิตในระบบนเิ วศและการหมุนเวียนของสาร และใชค้ ำถามเพ่มิ เตมิ ดงั น้ี
- ผู้ผลิตตา่ งจากผู้บริโภคอยา่ งไร (ผ้ผู ลิตสร้างอาหารไดเ้ องจากกระบวนการสงั เคราะหด์ ้วยแสง
ส่วนผู้บริโภคสร้างอาหารเองไม่ได้ ต้องกนิ สง่ิ มชี วี ติ อ่ืนเป็นอาหาร)
- ถา้ พจิ ารณาตามอาหารทีก่ ิน เราสามารถแบง่ ผบู้ รโิ ภคได้ก่กี ลุ่ม อะไรบ้าง (สามารถแบ่งผูบ้ รโิ ภค
ออกเป็น สง่ิ มีชวี ิตกินพืช สิง่ มีชวี ติ กินสัตว์ สิ่งมีชวี ิตกนิ พชื และสตั ว์ และสตั วก์ ินซาก)
- ถา้ ระบบนเิ วศไมม่ ีผ้ยู ่อยสลายสารอินทรยี จ์ ะเกิดอะไรขึ้น (ซากพืชซากสัตวท์ ีท่ ับถมจะไมถ่ ูกยอ่ ย
สลายและไมเ่ กิดการหมุนเวยี นของสารต่าง ๆ ในระบบนิเวศ)
ข้นั ท่ี 2 ข้นั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (20 นาที)
3) ครูเชื่อมโยงเขา้ สู่กิจกรรมที่ 7.2 สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหารไดอ้ ยา่ งไร โดยใช้คำถามว่า
ในสภาพธรรมชาตกิ ารกนิ กันเป็นทอด ๆ อยใู่ นรปู ของสายใยอาหารซ่งึ ประกอบด้วยโซอ่ าหารหลายสายท่ีสมั พันธ์
กัน นักเรยี นคดิ ว่าสายใยอาหารในธรรมชาตเิ หมือนกันหรือไม่ และจะเขียนสายใยอาหารไดอ้ ย่างไร (นักเรยี น
ตอบตามความเข้าใจของตนเอง)
4) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 169 และครูตรวจสอบความ
เขา้ ใจการอ่าน โดยใชค้ ำถามดงั ตอ่ ไปนี้
- กจิ กรรมน้เี กี่ยวกับเรอ่ื งอะไร (การสรา้ งแบบจำลองสายใยอาหารจากส่งิ มีชวี ิตท่ีกำหนดให้)
- กจิ กรรมนีม้ จี ดุ ประสงคอ์ ะไร (สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหาร และอธิบายความสัมพันธข์ อง
ผผู้ ลิตและผู้บริโภคในสายใยอาหาร)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (เลือกระบบนิเวศ 1 ระบบนิเวศ สืบค้นข้อมูล
เกี่ยวกับอาหารของสิ่งมชี ีวิต วิเคราะห์และสร้างแบบจำลองโซ่อาหารและสายใยอาหาร นำเสนอและอภิปราย
เก่ยี วกบั สายใยอาหารที่สร้างขึ้น)
- นักเรียนตอ้ งสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (นักเรียนสังเกต สืบค้น และรวบรวมข้อมูล
เกยี่ วกบั ลักษณะสง่ิ มชี ีวิตและอาหารของส่ิงมีชีวติ แต่ละชนดิ ในระบบนิเวศท่เี ลอื ก)
5) ให้นักเรียนแต่ละกลุม่ เร่ิมทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลมุ่
โดยพยายามให้นกั เรียนสร้างโซ่อาหาร แสดงความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชวี ิตในระบบนเิ วศ ในด้านการถ่ายทอด
พลังงานโดยการกนิ กันเปน็ ทอด ๆ จากน้นั เชอ่ื มโยงแต่ละโซอ่ าหาร โดยสรา้ งเป็นแบบจำลองสายใยอาหาร ซ่ึงมี
ตวั อยา่ งแนวทางดังต่อไปน้ี
- การสร้างโซอ่ าหารใหเ้ ริ่มต้นจากผผู้ ลติ ไปยงั ผบู้ รโิ ภคลำดับตา่ ง ๆ ถดั ไปทลี ะลำดบั
- เมื่อไดโ้ ซ่อาหารครบทุกโซ่อาหารแลว้ จากนั้นพจิ ารณาโซ่อาหารที่ยาวที่สุดมาใช้เป็นหลักใน
การสรา้ งแบบจำลองสายใยอาหาร
- สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหาร โดยนำสว่ นของโซอ่ าหารท่ีมสี งิ่ มีชวี ติ ซ้ำกันมาทบั ซอ้ นกัน
ขนั้ ท่ี 3 ขัน้ อธบิ ายและลงข้อสรุป (Explanation) (10 นาที)
6) นกั เรียนบนั ทึกการทำกจิ กรรมลงในแบบบันทึกการคน้ คว้ากิจกรรมที่ 7.2 สรา้ งแบบจำลอง
สายใยอาหารไดอ้ ยา่ งไร โดยสรปุ ผลของกิจกรรมและตอบคำถามทา้ ยกิจกรรม เพ่อื ใหไ้ ด้ข้อสรปุ จากกิจกรรมว่า
ในระบบนเิ วศหนึ่ง ๆ จะมีสิ่งมชี ีวิตหลายชนิดท่ีมีความสัมพันธ์กันในด้านการถ่ายทอดพลังงานในรูปของสายใย
อาหาร ซ่งึ ประกอบดว้ ยโซ่อาหารหลายโซอ่ าหารสมั พันธ์กนั ในธรรมชาตสิ ายใยอาหารจะมีความซบั ซ้อนแตกต่าง
กันไปขึน้ อยู่กบั จำนวนชนดิ ของสงิ่ มชี วี ิตทอ่ี ย่ใู นระบบนิเวศนัน้
ขั้นท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที)
7) นักเรยี นเรียนรู้เพมิ่ เตมิ เนือ้ หาเก่ยี วกบั การถ่ายทอดพลงั งานระหวา่ งสงิ่ มีชีวิตในระบบนิเวศท่ี
มีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละลำดับขั้นของการบริโภค และตอบคำถามระหว่างเรียนในหนังสือเรียนหน้า
170-171 จากนนั้ อภปิ รายร่วมกนั เพ่ือให้ไดข้ ้อสรปุ วา่
- จากโซ่อาหารนี้ ปรมิ าณพลงั งานจากสาหรา่ ยทถี่ ่ายทอดไปยงั ผู้บรโิ ภคลำดบั ต่าง ๆ เปล่ียนไป
อย่างไร
(แนวคำตอบ พลงั งานที่ถา่ ยทอดไปจะลดลงไปตามลำดับขน้ั ของการบริโภค โดยผู้ผลิต
(สาหรา่ ย) จะมีพลังงานสะสมในเนอ้ื เยอื่ มากท่สี ุด ปลาซวิ ได้รับพลงั งานสะสมในเนื้อเยอ่ื จากผผู้ ลติ มากท่สี ุด
ในขณะทน่ี กยางได้รบั พลงั งานสะสมในเนอ้ื เยื่อจากผูผ้ ลิตน้อยทส่ี ุด)
ข้นั ที่ 5 ข้นั ประเมิน (Evaluation) (10 นาที)
8) ครูและนักเรียนอภปิ รายผลการทำกจิ กรรม แบบจำลองสายใยอาหาร จะได้ขอ้ สรุปวา่
- การถ่ายทอดพลังงานระหว่างส่ิงมีชีวติ ทีอ่ ยูใ่ นระบบนิเวศ ปริมาณพลังงานในผู้ผลติ จะมีมาก
ทส่ี ดุ และลดลงไปเร่ือย ๆ ตามลำดับขน้ั ของการบริโภค
- การถ่ายทอดพลังงานลดลงไปตามลำดับขั้นของการบริโภค เพราะผู้บรโิ ภคกนิ ผู้ผลิตได้เพยี ง
บางส่วน ซึ่งส่วนที่กินได้นั้นผู้บริโภคจะนำไปใช้ในการเจริญเติบโตและเผาผลาญเพื่อผลิตพลังงานสำหรับใช้ใน
การทำกจิ กรรมต่าง ๆ ของร่างกาย
- ผู้บริโภคในโซ่อาหารจำเป็นต้องกินสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ในปริมาณที่มากเพียงพอจึงจะสามารถ
ดำรงชีวิตและทำกิจกรรมตา่ ง ๆ ได้ เนอื่ งจากระหวา่ งทีม่ ีการถา่ ยทอดพลงั งานตามลำดบั ข้นั ของการบรโิ ภคมีการ
สญู เสยี พลังงานไปในปรมิ าณมากด
9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมนิ (Rubrics Score)
8. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 คลิปวีดิทัศน์: นกกกกนิ ลูกไทร
https://www.youtube.com/watch?v=aOFG-HPyvu8
8.2 ใบกจิ กรรม: ใบกิจกรรมที่ 7.2 สร้างแบบจำลองสายใยอาหารได้อย่างไร
8.3 แบบบนั ทึกกิจกรรม: แบบบันทกึ การคน้ ควา้ กิจกรรมท่ี 7.2 สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหารได้อย่างไร
8.4 แหลง่ เรยี นร:ู้ หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ 3
เลม่ 2 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธิการ
9. การวดั และการประเมิน
ตัวช้ีวัด/ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เครื่องมือวัด เกณฑ์ทีใ่ ชใ้ นการประเมิน
1. อธบิ ายความสมั พนั ธข์ อง - ตรวจการตอบ - คำถามท้ายกิจกรรมที่ 7.2 - ไดไ้ มน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
ผูผ้ ลติ และผ้บู รโิ ภคได้ คำถามท้าย สรา้ งแบบจำลองสายใย ระดบั คุณภาพดี ถือว่าผ่าน
(ดา้ นความรู้: K) กจิ กรรมท่ี 7.2 อาหาร จำนวน 4 ขอ้ การประเมนิ ด้านความรู้
2. การใช้ทกั ษะการสร้าง - ตรวจการทำแบบ - แบบบันทกึ การคน้ ควา้ - ไดไ้ ม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
แบบจำลอง โดยการนำข้อมลู บนั ทกึ การคน้ คว้า กิจกรรมที่ 7.1 ระดับคุณภาพดี ถอื ว่าผา่ น
มาสร้างแบบจำลองสายใย กิจกรรมที่ 7.2 สรา้ งแบบจำลองสายใย การประเมนิ
อาหาร (ดา้ นกระบวนการ: P) อาหาร ดา้ นกระบวนการ
ตวั ชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมือวัด เกณฑท์ ใ่ี ช้ในการประเมนิ
3. ความมุง่ มนั่ ในการ - สังเกตพฤตกิ รรม - เกณฑ์การประเมินความ - ไดไ้ มน่ ้อยกว่า2 คะแนน
ของนกั เรียนระหว่าง มงุ่ ม่ันและความ
ทำงานและความรบั ผิดชอบ และหลงั การจดั รับผิดชอบในการทำ ระดับคณุ ภาพดี ถอื วา่
(ด้านเจตคติ: A) กิจกรรมการเรยี นรู้ กจิ กรรมการเรยี นรู้ ผา่ นการประเมิน
ด้านเจตคติ
9.1 เกณฑก์ ารประเมนิ ผลนกั เรียน เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics Score)
ประเด็นการประเมนิ คา่ น้ำหนกั แนวทางการให้คะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 7.2 ถูกต้อง จำนวน 4 ข้อ
คำถามทา้ ย 3 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมที่ 7.2 ถูกตอ้ ง จำนวน 2-3 ข้อ
กิจกรรมที่ 7.2 2 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมที่ 7.2 ถกู ต้อง จำนวน 1 ข้อ หรอื ไม่ถูกตอ้ ง
1
การให้คะแนนการบนั ทึก บนั ทึกผลการทำกจิ กรรมการออกแบบ จากการสรา้ งแบบจำลองที่แสดง
แบบบันทึกการคน้ ควา้ 3 ใหเ้ ห็นถึงแนวคดิ ทถี่ ูกต้องเก่ยี วกับสายใยอาหารกับการถา่ ยทอดพลงั งาน
กิจกรรมที่ 7.2 ไดอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม สอดคลอ้ งกบั เนอ้ื หาในกจิ กรรม
การใหค้ ะแนนพฤติกรรม บันทกึ ผลการทำกิจกรรมการออกแบบ จากการสรา้ งแบบจำลองที่
ความมุง่ มัน่ และความ 2 แสดงใหเ้ ห็นถงึ แนวคดิ ท่ีถูกต้องเก่ยี วกบั สายใยอาหารกับการถ่ายทอด
รบั ผดิ ชอบในการทำ
กิจกรรมการเรยี นรู้ พลังงานได้ มคี วามสอดคล้องกบั เนอ้ื หาในกจิ กรรม
บนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรมการออกแบบ จากการสร้างแบบจำลองท่แี สดง
1 ให้เหน็ ถึงแนวคดิ ทถ่ี กู ตอ้ งเกย่ี วกับสายใยอาหารกับการถ่ายทอดพลงั งาน
ได้ไม่เหมาะสม เกิดข้อผิดพลาด ไม่สอดคล้องกับเนอ้ื หาในกจิ กรรม
3 1) นกั เรยี นมคี วามสนใจและม่งุ มั่นในการทำกจิ กรรม ใหค้ วามรว่ มมือ
และปฏบิ ัติตามข้นั ตอนการเรียนรู้เป็นอยา่ งดี
2) นกั เรียนมีความรับผดิ ชอบทำงานทไ่ี ด้รับมอบหมายไดต้ รงเวลาที่
กำหนดเปน็ อยา่ งดี
2 1) นักเรยี นสนใจและม่งุ มั่นในการทำกจิ กรรมเป็นบางครัง้ และมกี ารคุย
กนั เลน่ ขณะการเรยี นรู้ แตไ่ ม่กระทบผู้อ่ืน
2) นกั เรียนมีความรบั ผดิ ชอบทำงานทไี่ ด้รบั มอบหมายตรงตามเวลาที่
กำหนด แต่เกดิ ปัญหาระหวา่ งการทำงาน
1 1) นกั เรียนขาดความมงุ่ ม่นั และไมส่ นใจในการเรยี น มพี ฤติกรรมชอบคยุ
ชอบเลน่ หรือนอนหลบั ขณะการเรียนการสอน
2) นักเรยี นขาดความรบั ผิดชอบในงานที่ได้รับมอบหมายไม่ตรงตาม
กำหนดเวลาที่ตกลงไว้
9.2 ระดับคณุ ภาพ หมายถึง ดมี าก
หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉลย่ี 3.00 หมายถึง พอใช้
คะแนนรวมเฉลย่ี 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99
ดังนนั้ นกั เรยี นต้องไดค้ ะแนนเฉล่ียทุกประเดน็ การประเมนิ ไมต่ ำ่ กวา่ 2.00 แสดงระดบั
คุณภาพ ดี ถือวา่ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ในแผนการจัดการเรยี นท่ี 26
ส่ือการเรียนรูแ้ ผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 26: สือ่ วีดิทัศน์
คลปิ วีดที ศั น์: นกกกกินลูกไทร
ส่อื วีดิทัศน์เรอื่ ง นกกกกินลูกไทร เป็นนกกก หรือ นกกาฮัง (Great Hornbill) Buceros bicornis
Linnaeus, 1758 กนิ ลกู ไทรทีอ่ ุทยานแห่งชาตแิ ก่งกระจาน จ.เพชรบุรี วนั ที่ 23 กุมภาพนั ธ์ 2557อธบิ าย
เกยี่ วกบั การบทบาทของสิง่ มีชีวติ ในระบบนิเวศ
แหลง่ ท่มี า: เวบ็ ไซตอ์ ้างอิง
https://www.youtube.com/watch?v=aOFG-HPyvu8
เผยแพรเ่ มอ่ื 1 พฤศจกิ ายน พ.ศ. 2557
(ช่องYouTube: Paladej Srisuk)
สื่อการเรียนรแู้ ผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 26: ใบกิจกรรมท่ี 7.2
ใบกจิ กรรมที่ 7.2 สร้างแบบจำลองสายใยอาหารไดอ้ ย่างไร
หนงั สือเรียนรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี 3 เลม่ 2 ตามหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 169
กจิ กรรมที่ 7.2 สร้างแบบจำลองสายใยอาหารได้อย่างไร?
จดุ ประสงค์ สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหาร และอธบิ ายความสัมพันธ์ของผู้ผลิตและผู้บริโภค
วสั ดุอปุ กรณ์
วธิ ดี ำเนนิ กิจกรรม -
1. เลอื กระบบนิเวศ 1 ระบบนิเวศ จากทกี่ ำหนดให้ในตาราง
ตาราง ชนดิ ของสง่ิ มชี ีวติ ในระบบนิเวศ 3 ระบบนิเวศ
ระบบนเิ วศ
นาข้าว ป่าชายเลน แหลง่ น้ำจืด
ข้าว ห่งิ หอ้ ย ปลาดุก
หอยเชอรี่ ปูแสม ปลานลิ
ต๊กั แตน ตน้ แสม หอยขม
นกกระจอก ลิงแสม สาหร่าย
งูเหลือม นกปากห่าง นกกระสา
หญ้า หอย ปลาซอ่ น
เปด็ ปลาตนี ตะไครน่ ้ำ
ส่อื การเรียนรู้/ 2. สบื คน้ ข้อมูลเกย่ี วกบั อาหารของสง่ิ มชี ีวติ แตล่ ะชนิดในระบบนเิ วศ บนั ทึกผล
แหลง่ เรยี นรู้ 3. เขยี นโซ่อาหารในระบบนิเวศใหไ้ ดม้ ากท่ีสดุ
4. นำโซ่อาหารจากข้อ 3 มาเขยี นเปน็ สายใยอาหาร และนำเสนอความสัมพนั ธข์ องสง่ิ มชี ีวติ
ในสายใยอาหาร
• เกม Food Web (เกมทีใ่ ช้ความเขา้ ใจเร่ืองสายใยอาหารในการเลน่ )
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. ในระบบนเิ วศที่นกั เรยี นเลอื ก มโี ซ่อาหารกีโ่ ซ่อาหาร อะไรบ้าง
2. นักเรยี นสามารถนำโซ่อาหารทั้งหมดมาสรา้ งเปน็ สายใยอาหารได้อยา่ งไร
3. จากสายใยอาหาร สิง่ มีชวี ติ ชนิดใดบา้ งที่เปน็ อาหารของสิง่ มชี วี ติ อืน่ หลายชนิด และส่ิงมชี ีวิตใดบ้าง
ที่กนิ ส่งิ มชี ีวิตอื่นหลายชนดิ เป็นอาหาร
4. จากกจิ กรรม สรุปได้ว่าอยา่ งไร
ส่อื การเรยี นรู้แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 26: แบบบนั ทกึ การค้นคว้ากจิ กรรมท่ี 7.2
แบบบันทกึ การค้นควา้ กิจกรรมท่ี 7.1 สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหารไดอ้ ยา่ งไร
ชื่อ-นามสกลุ ..........................................................................................ชนั้ .................เลขที่...........กลมุ่ ท.่ี ...........
บันทกึ ผลการทำกิจกรรม
ตารางแสดง อาหารของสิ่งมีชีวติ แต่ละชนิดในระบบนเิ วศ
ช่ือสิง่ มชี ีวิต อาหารท่บี รโิ ภค
ต้นหญ้า
ต้นขา้ ว
ตกั๊ แตน
นกกระจอก
เปด็
หอยเชอรี
งเู หลอื ม
บันทึกโซ่อาหารและสายใยอาหาร
โซ่อาหารของระบบนเิ วศ..................................
สายใยของระบบนเิ วศ..................................
แนบท้ายแผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 26: การให้คะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบนั ทกึ การค้นควา้ กจิ กรรมที่ 7.2 สรา้ งแบบจาลองสายใยอาหารไดอ้ ย่างไร
บันทกึ ผลการทำกจิ กรรม
ตารางแสดง อาหารของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนดิ ในระบบนเิ วศ
ช่ือสิ่งมีชีวิต อาหารท่ีบริโภค
ตน้ หญ้า -
ตน้ ขา้ ว -
ตก๊ั แตน
นกกระจอก ต้นหญา้ ต้นขา้ ว
ตน้ ข้าว ตก๊ั แตน
เปด็
หอยเชอรี หอยเชอรี
งเู หลือม ต้นหญ้า ต้นขา้ ว
หอยเชอรี นกกระจอก เป็ด
บนั ทกึ โซ่อาหารและสายใยอาหาร
โซอ่ าหารของระบบนเิ วศ.........นาขา้ ว.........
สายใยของระบบนเิ วศ.........นาขา้ ว.........
แนบท้ายแผนการจดั การเรยี นรทู้ ่ี 26: การให้คะแนนดา้ นความรู้ (K)
เฉลยใบกจิ กรรมที่ 7.2 สรา้ งแบบจาลองสายใยอาหารได้อยา่ งไร
เฉลยคำถามท้ายกิจกรรม
1. ในระบบนเิ วศท่ีนักเรยี นเลอื ก มโี ซอ่ าหารกโี่ ซ่อาหาร อะไรบ้าง
แนวคำตอบ ตามผลการทำกิจกรรมของนกั เรยี น
2. นักเรยี นสามารถนำโซอ่ าหารท้ังหมดมาสร้างเปน็ สายใยอาหารได้อย่างไร
แนวคำตอบ ในการสร้างแบบจำลองสายใยอาหารได้หลายวิธี ยกตัวอย่างเช่น สร้างแบบจำลองโซ่
อาหารโดยเริ่มจากผู้ผลิตไปถึงผู้บริโภคลำดับสุดท้ายให้ครบถ้วน จากนั้นโซ่อาหารที่มีสิ่งมีชีวิตเหมือนกันมา
ซ้อนทับกัน ซ่ึงจะทำใหเ้ กิดเปน็ แบบจำลองสายใยอาหาร หรือนักเรยี นอาจจะใช้วิธีลำดบั ส่งิ มีชวี ติ โดยเร่ิมต้นจาก
ผู้ผลิตและเรียงต่อกันไปเรื่อย ๆ สิ่งมีชีวิตชนิดใดถกู บริโภค หรือบริโภคสิ่งมีชีวิตอืน่ มากกว่าหนึ่งชนดิ กท็ ำลกู ศร
แยกออกไปเร่ือย ๆ จนครบส่ิงมีชีวิตทุกชนดิ ในระบบนเิ วศน้นั
3. จากสายใยอาหาร สิง่ มีชวี ติ ชนดิ ใดบา้ งทเ่ี ป็นอาหารของสิ่งมีชีวิตอ่ืนหลายชนดิ และสงิ่ มีชีวิตใดบา้ งทก่ี นิ
สิ่งมชี วี ิตอืน่ หลายชนดิ เป็นอาหาร
แนวคำตอบ ตอบตามผลการทำกิจกรรมของนกั เรียน
4. จากกิจกรรม สรปุ ได้ว่าอยา่ งไร
แนวคำตอบ ในระบบนิเวศจะมีสง่ิ มีชีวิตหลายชนดิ ที่มีความสัมพนั ธ์กันในดา้ นการถ่ายทอดพลังงาน
ในรปู ของสายใยอาหาร ซ่ึงประกอบดว้ ยโซ่อาหารหลายโซ่อาหารสมั พันธ์กัน ในธรรมชาติสายใยอาหารจะมี
ความซบั ซ้อนแตกตา่ งกันไปขึน้ อยู่กบั ชนิดของส่ิงมชี ีวิตท่ีอยู่ในระบบนิเวศนน้ั
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 27
เร่ือง สรา้ งแบบจำลองสายใยอาหาร รหสั วิชา ว23102 เวลา 2 ช่วั โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 7 ช่อื หน่วยการเรยี นรู้ ระบบนิเวศและความหลากหลายทางชวี ภาพ รวม 15 ชวั่ โมง
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2
สาระท่ี 1 ชอ่ื สาระ วทิ ยาศาสตรช์ ีวภาพ มาตรฐาน ว 1.1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวชี้วดั
ว 1.1 เข้าใจความหลากหลายของระบบนิเวศ ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งไม่มีชีวิตกับสิ่งมีชีวิตและ
ความสมั พันธ์ระหว่างสงิ่ มีชวี ติ กบั สิง่ มชี ีวติ ตา่ ง ๆ ในระบบนเิ วศ การถ่ายทอดพลงั งาน การเปล่ียนแปลงแทนที่ใน
ระบบนิเวศ ความหมายของประชากร ปญั หาและผลกระทบท่ีมีตอ่ ทรพั ยากรธรรมชาติและสิง่ แวดล้อม แนวทาง
ในการอนรุ ักษท์ รัพยากรธรรมชาตแิ ละการแกไ้ ขปญั หาส่ิงแวดล้อม รวมทงั้ นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชวี้ ัด
ว 1.1 ม.3/5 อธิบายการสะสมสารพษิ ในสิง่ มชี ีวติ ในโซอ่ าหาร
ว 1.1 ม.3/6 ตระหนักถึงความสัมพนั ธข์ องส่ิงมีชวี ติ และสง่ิ แวดล้อมในระบบนเิ วศ โดยไม่ทำลายสมดุล
ของระบบนเิ วศ
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) พลังงานถกู ถา่ ยทอดจากผู้ผลิตไปยังผู้บรโิ ภคลำดับตา่ ง ๆ รวมทั้งผู้ยอ่ ยสลายสารอินทรีย์ในรูปแบบ
สายใยอาหารที่ประกอบด้วย โซ่อาหารหลายโซ่ที่สัมพันธ์กัน ในการถ่ายทอดพลังงานในโซ่อาหาร พลังงานท่ี
ถกู ถ่ายทอดไปจะลดลงเร่อื ย ๆ ตามลำดบั ของการบรโิ ภค
2) การถ่ายทอดพลังงานในระบบนิเวศ อาจทำให้มีสารพิษสะสมอยู่ในสิ่งมีชีวิตได้ จนอาจก่อให้เกิด
อันตรายต่อสิ่งมีชีวิต และทำลายสมดุลในระบบนิเวศ ดังนั้นการดูแลรักษาระบบนิเวศให้เกิดความสมดุล และ
คงอย่ตู ลอดไปจึงเป็นสง่ิ สำคญั
3. จุดประสงค์การเรียนรู้ นกั เรียนอธบิ ายการสะสมสารพิษในสงิ่ มชี ีวิตในโซ่อาหารได้
1) ดา้ นความรู้ (K) นกั เรียนใช้ทักษะการตคี วามหมายขอ้ มูลและลงข้อสรปุ โดยการแปล
2) ด้านทกั ษะ (P) ความหมายข้อมูลจากแผนภาพและลงข้อสรปุ เกยี่ วกบั การสะสมสารพษิ
ในโซอ่ าหาร
3) ดา้ นเจตคติ (A) นกั เรียนตระหนกั ถึงความสัมพนั ธข์ องสิ่งมชี ีวิตและส่งิ แวดล้อมในระบบนิเวศ
โดยไมท่ ำลายสมดุลของระบบนเิ วศ
4. คุณลกั ษณะผูเ้ รยี น ซื่อสตั ยส์ จุ ริต มุ่งมัน่ ในการทำงาน
4.1 คุณลกั ษณะที่พึงประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ มีจติ สาธารณะ
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง
มวี นิ ัย รกั ความเปน็ ไทย
5. ดา้ นสมรรถนะสำคญั ของผูเ้ รียน
ความสามารถในการสือ่ สาร: นกั เรียนสามารถส่ือสาร โดยการนำเสนอแนวทางการดแู ลรักษา
สง่ิ แวดลอ้ มให้คงอยู่
6. สาระการเรยี นรู้
ระบบนเิ วศหนึ่ง ๆ จะมีสิง่ มีชวี ิตหลายชนิดที่มีความสัมพนั ธก์ ันในด้านการถ่ายทอดพลังงานโดยการกิน
กันเป็นทอดๆ ในรูปของสายใยอาหาร ซึ่งประกอบด้วยโซอ่ าหารหลายโซอ่ าหารสัมพนั ธ์กัน ในธรรมชาติสายใย
อาหารจะมีความซบั ซอ้ นแตกตา่ งกันไปข้ึนอยกู่ บั ชนิดและจำนวนชนิดของสิง่ มีชีวิตท่ีอยู่ในระบบนิเวศ
ในการถา่ ยทอดพลังงานระหวา่ งสิ่งมีชีวิตทอี่ ยู่ในระบบนิเวศ พลงั งานจากผ้ผู ลิตท่ีถา่ ยทอดไปยังผู้บริโภค
ลำดับถัดไปและจะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามลำดับขั้นของการบริโภค เนื่องจากผู้บริโภคกินผู้ผลิตได้เพียงบางส่วน
เช่น วัวกินหญ้าได้เพียงส่วนของลำต้นและใบ แต่ไม่สามารถกินส่วนของรากได้ ส่วนท่ีกินได้นั้นผู้บริโภคจะ
นำไปใช้ในการเจริญเติบโตและเผาผลาญเพ่ือผลิตพลังงานสำหรับใช้ในการทำกิกรรมต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น
การเคลอื่ นไหว การทำงานของอวยั วะตา่ ง ๆ และพลังงานอกี สว่ นหนึง่ จะสญู เสียไปในรปู ของความรอ้ น ดังภาพ
ภาพแสดง การถ่ายทอดพลงั งานในลำดบั ข้ันตอนการบริโภค
(ทม่ี า: หนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ม.3 เล่ม 2 สสวท. หน้า 170)