กจิ กรรมท่ี 5.8 พอลิเมอร์ เซรามกิ และโลหะ มีสมบัตอิ ยา่ งไร?
การเตรยี มตัว เตรยี มตัวอยำ่ งวัสดุ เชน่ ยำงรดั ของ ลูกโป่ง ขวดเพต็ (polyethylene terephthalate
ล่วงหนา้ สาหรับ หรือ PET) ถุงพลำสติกชนิดถุงเยน็ (polyethylene หรอื PE) และชนิดถุงร้อน
ครู (polypropylene หรอื PP) ถ้ำวัสดุมีขนำดใหญ่ ให้ตดั วัสดุใหม้ ีขนำดประมำณ
2 เซนติเมตร x 5 เซนตเิ มตร สำหรับชำมเมลำมนี ชอ้ นกระเบอ้ื ง แผน่ กระเบื้องดินเผำ
ขอ้ ควรระวัง อำจเลอื กใชข้ องใช้ทีท่ ำจำกวัสดดุ งั กลำ่ วทีม่ ีขนำดใกล้เคียงกนั หรือใช้เศษวสั ดุทท่ี ำให้แตก
โดยวิธีกำรตัดหรอื ทบุ วัสดุ และเพือ่ ปอ้ งกนั กำรกระเดน็ ของวัสดุ ควรกระทำในบรเิ วณ
ข้อเสนอแนะใน ท่ีมลี กั ษณะเป็นหลุม
การทากจิ กรรม • เตือนนกั เรียนให้ใชค้ วำมระมัดระวงั และสวมแวน่ ตำนริ ภัยขณะทดสอบควำมแขง็ ของวัสดุ
โดยกำรทบุ ดว้ ยคอ้ น
ส่อื การเรยี นรู/้ • ให้นกั เรียนใชค้ วำมระมัดระวงั อนั ตรำยจำกวัสดุทีแ่ ตกหลังกำรทบุ ซึ่งอำจมีควำม
แหลง่ เรยี นรู้ แหลมคม เม่อื ทำกิจกรรมแลว้ ใหห้ อ่ วสั ดทุ ี่แหลมคมดว้ ยกระดำษหนำ ๆ กอ่ นทงิ้
ในกำรทดสอบควำมเหนยี วหรือควำมเปรำะของวัสดปุ ระเภทเซรำมกิ ควรเลอื กวสั ดุ
ประเภทเซรำมกิ เช่น เศษกระถำงดนิ เผำ เศษกระเบอื้ งชนดิ บำง เพ่อื ให้เห็นกำร
เปลย่ี นแปลงชัดเจน เมอ่ื ทดสอบควำมเหนยี วหรอื ควำมเปรำะ และครคู วรสำธติ ใหด้ ทู ้ัง
ช้นั เรยี นแลว้ ใช้ผลกำรทำกิจกรรมรว่ มกัน โดยไมจ่ ำเปน็ ต้องใหน้ กั เรียนทำทกุ กลมุ่
เพ่ือเป็นกำรใชว้ สั ดุอย่ำงประหยัด ปลอดภัย และป้องกันอันตรำยท่ีอำจเกิดขึ้น
• สถำบันพลำสตกิ . https://thaiplastics.org/
• กำรไฟฟำ้ ฝำ่ ยผลติ แห่งประเทศไทย : รู้ไวใ้ ชว่ ำ่ ไฟฟำ้ ใกลต้ วั “กำรใชไ้ ฟฟ้ำอย่ำง
ปลอดภัย”https://www.egat.co.th/index.php?option=com_content&view=artic
le&id=2507:art20180508-01&catid=49&Itemid=251
คำถามท้ายกิจกรรม
1. พอลิเมอร์ เซรามิก และโลหะทีน่ ำมาทดสอบมอี ะไรบ้าง
2. พอลเิ มอร์ เซรามิก และโลหะท่ีนำมาทดสอบมีสมบตั อิ ยา่ งไร ทราบได้อยา่ งไร
3. พอลเิ มอร์ เซรามกิ และโลหะทีน่ ำมาทดสอบมสี มบัตเิ หมอื นและตา่ งกนั อย่างไร
4. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
สอ่ื การเรยี นรแู้ ผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 9: แบบบันทึกกำรคน้ คว้ำกจิ กรรมท่ี 5.8
แบบบันทึกการค้นควา้ กิจกรรมที่ 5.8 พอลเิ มอร์ เซรามิก และโลหะ มีสมบัติอยา่ งไร
ชือ่ -นามสกลุ ..........................................................................................ชน้ั .................เลขท่ี...........กล่มุ ท.่ี ...........
ผลการทำกจิ กรรม
ชนิดของวสั ดุ เมื่อต่อกบั วงจรไฟฟ้า เมอื่ ทุบด้วยค้อนยาง เมือ่ นำไปตม้
อย่างงา่ ย ในนำ้ เดอื ด
พอลิเมอร์
- ยางรดั ของ
- ลกู โป่ง
- ขวดเพต็
- ชามเมลามนี
- ถุงพลาสติก (ถุงร้อน)
- ถุงพลาสติก (ถุงเย็น)
- ถ้วยนำ้
- ถงุ ซปิ
- พลาสติกห่ออาหาร
- เส้นด้าย
เซรามิก
ช้อนกระเบื้อง
แผน่ กระเบ้ืองดินเผา
อิฐมอญ
โลหะ
แผน่ สังกะสี
แผน่ อะลูมิเนยี ม
แผน่ ทองแดง
ตะปเู หลก็
แนบท้ายแผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 9: การใหค้ ะแนนด้านกระบวนการ (P)
แนวทางบันทกึ การคน้ ควา้ กจิ กรรมท่ี 5.8 พอลิเมอร์ เซรามกิ และโลหะ มสี มบตั ิอยา่ งไร
ผลการทำกจิ กรรม
ชนิดของวสั ดุ เมือ่ ต่อกบั วงจรไฟฟ้า เมอ่ื ทุบดว้ ยคอ้ นยาง เมื่อนำไปต้ม
อยา่ งงา่ ย ในนำ้ เดือด
พอลิเมอร์
- ยางรัดของ หลอดไฟฟ้าไม่สว่าง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ไมเ่ ปล่ียนแปลงรปู ร่าง
- ลูกโป่ง หลอดไฟฟา้ ไมส่ ว่าง ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่เปลย่ี นแปลงรปู ร่าง
- ขวดเพ็ต หลอดไฟฟา้ ไม่สวา่ ง ไมเ่ ปลยี่ นแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงรูปรา่ ง
- ชามเมลามนี หลอดไฟฟา้ ไมส่ วา่ ง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ไม่เปลย่ี นแปลงรปู ร่าง
- ถงุ พลาสตกิ (ถงุ ร้อน) หลอดไฟฟา้ ไมส่ วา่ ง ไม่เปลี่ยนแปลง ไมเ่ ปล่ยี นแปลงรูปรา่ ง
- ถงุ พลาสตกิ (ถงุ เยน็ ) หลอดไฟฟ้าไมส่ ว่าง ไมเ่ ปล่ียนแปลง ไมเ่ ปลี่ยนแปลงรปู ร่าง
- ถว้ ยนำ้ หลอดไฟฟา้ ไม่สว่าง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง
- ถุงซปิ หลอดไฟฟ้าไมส่ ว่าง ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ชิ้นวัสดโุ คง้ งอ
หลอดไฟฟา้ ไม่สวา่ ง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ช้ินวัสดุบิดงอ
- พลาสติกหอ่ อาหาร วัสดบุ ิดงอและ
หลอดไฟฟ้าไม่สวา่ ง ไมเ่ ปลย่ี นแปลง จับเป็นก้อน
- เส้นด้าย ไม่เปลี่ยนแปลงรูปรา่ ง
เซรามิก หลอดไฟฟา้ ไมส่ วา่ ง
ชอ้ นกระเบื้อง หลอดไฟฟา้ ไมส่ ว่าง แตกเปน็ ช้ินเลก็ ไมเ่ ปล่ยี นแปลงรูปร่าง
แผน่ กระเบอ้ื งดินเผา หลอดไฟฟา้ ไมส่ วา่ ง แตกเป็นชนิ้ เลก็ ไม่เปลยี่ นแปลงรปู ร่าง
อิฐมอญ แตกเป็นชิ้นเลก็ ไมเ่ ปลี่ยนแปลงรูปรา่ ง
โลหะ หลอดไฟฟา้ สว่าง
แผ่นสังกะสี หลอดไฟฟ้าสว่าง ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ไม่เปลี่ยนแปลงรปู ร่าง
แผน่ อะลมู เิ นียม หลอดไฟฟ้าสว่าง ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ไม่เปลยี่ นแปลงรปู ร่าง
แผ่นทองแดง หลอดไฟฟา้ สวา่ ง ไมเ่ ปลี่ยนแปลง ไมเ่ ปลย่ี นแปลงรูปร่าง
ตะปเู หล็ก ไมเ่ ปลย่ี นแปลง ไมเ่ ปลีย่ นแปลงรปู ร่าง
แนบทา้ ยแผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 9: การให้คะแนนดา้ นความรู้ (K)
เฉลยใบกิจกรรมท่ี 5.8 พอลิเมอร์ เซรามิก และโลหะ มสี มบัติอย่างไร
เฉลยคำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. พอลเิ มอร์ เซรามกิ และโลหะที่นำมาทดสอบมอี ะไรบ้าง
แนวคำตอบ คำตอบข้ึนอย่กู ับตวั อยา่ งท่เี ลอื กมาศึกษา เช่น
- พอลิเมอร์ทนี่ ำมาทดสอบ ไดแ้ ก่ ยางรดั ของ ถงุ พลาสตกิ ชนิดใช้บรรจุของร้อน
- เซรามิกที่นำมาทดสอบ ได้แก่ ชามกระเบอื้ ง กระเบื้องดินเผา
- โลหะท่ีนำมาทดสอบ ได้แก่ แผน่ สงั กะสี ม้งุ ลวด
2. พอลเิ มอร์ เซรามกิ และโลหะท่นี ำมาทดสอบมีสมบัตอิ ย่างไร ทราบได้อยา่ งไร
แนวคำตอบ พอลเิ มอรแ์ ละเซรามิกที่นำมาทดสอบ ไม่นำไฟฟา้ ทราบไดจ้ ากเมอื่ นำชนิ้ วสั ดไุ ปต่อเข้าใน
วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยแล้ว หลอดไฟฟ้าไม่สวา่ ง ส่วนโลหะทุกชนิดที่นำมาทดสอบนำไฟฟ้าได้ เม่อื นำช้ินวสั ดุไปต่อ
เข้าในวงจรไฟฟ้าอย่างง่ายแล้วทำใหห้ ลอดไฟฟ้าสวา่ ง
เซรามิกแขง็ แตเ่ ปราะ ทราบไดจ้ ากเมอ่ื ทุบดว้ ยค้อนแล้วแตกเปน็ ชนิ้ สว่ นพอลิเมอรแ์ ละโลหะ เมอ่ื ทุบด้วย
ค้อนแลว้ วสั ดุไมแ่ ตกเป็นช้นิ
พอลเิ มอรบ์ างชนิด เชน่ พลาสติกห่ออาหาร ถุงพลาสติก (ถงุ เย็น) ไม่ทนความรอ้ น ทราบได้จาก เมอ่ื นำไป
ตม้ วสั ดุจะเปลย่ี นแปลงรปู รา่ ง ส่วนเซรามิก โลหะ ทนความร้อน เพราะเมอ่ื นำไปต้ม วสั ดจุ ะไม่เปลี่ยนแปลงรปู รา่ ง
3. พอลิเมอร์ เซรามิก และโลหะทนี่ ำมาทดสอบมสี มบัติเหมอื นและตา่ งกนั อย่างไร
แนวคำตอบ พอลเิ มอร์ เซรามิก และโลหะที่นำมาศกึ ษามสี มบัติเหมอื นและต่างกนั ดงั น้ี
- พอลิเมอรแ์ ละเซรามกิ ไมน่ ำไฟฟา้ ส่วนโลหะนำไฟฟ้า
- พอลเิ มอรบ์ างชนดิ เชน่ พลาสติกห่ออาหาร ถุงพลาสตกิ (ถงุ เย็น) ไม่ทนความรอ้ น ในขณะที่
พอลิเมอรอ์ ื่น เชน่ ยางรดั ของ เสน้ ดา้ ย ถ้วยเมลามีน ทนความรอ้ น ส่วนเซรามกิ และโลหะทนความรอ้ นได้ดี
- พอลิเมอร์และโลหะเหนียว ไมแ่ ตกเปน็ ชิน้ เม่ือทบุ ด้วยคอ้ น แต่เซรามกิ เปราะ เม่อื ทบุ แลว้
แตกเป็นช้นิ เลก็
4. จากกิจกรรม สรุปได้ว่าอย่างไร
แนวคำตอบ พอลิเมอร์ เซรามิก และโลหะมีสมบัติบางอยา่ งเหมือนกัน และมสี มบตั บิ างอยา่ งต่างกนั
พอลเิ มอรแ์ ละเซรามกิ ไมน่ ำไฟฟ้า สังเกตได้จากเม่ือนำไปตอ่ กับวงจรไฟฟา้ อย่างง่ายแล้ว หลอดไฟฟ้าไมส่ ว่าง
ในขณะทีโ่ ลหะนำไฟฟา้ เซรามกิ และโลหะทนตอ่ ความร้อน เม่ือนำไปให้ความรอ้ นโดยการต้มในน้ำเดือด
จะไมเ่ ปลย่ี นรปู รา่ ง แตพ่ อลิเมอรบ์ างชนดิ เปลยี่ นแปลงรูปรา่ งเมอ่ื นำไปใหค้ วามร้อนโดยการตม้ ในน้ำเดอื ด
แนบท้ายแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 9: เฉลยกจิ กรรมทบทวนความร้กู ่อนเรียน
เฉลยกจิ กรรมทบทวนความรู้กอ่ นเรียน จำนวน 5 ข้อ
หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นม.3 เล่ม2 สสวท. หน้า39
เขียนเครื่องหมาย ลอ้ มรอบขอ้ ท่ีถูกต้อง
ข้อใดไมใ่ ชว่ ัสดุ
ก. ยาง ข. ไม้ ค. เหล็ก ง. เกา้ อ้ี
เลอื กตวั อักษรหนา้ วธิ กี ารทดสอบแลว้ เติมลงในช่องว่างหน้าสมบตั ิทางกายภาพทีก่ ำหนดให้
ค ความแข็ง ก. นำวสั ดุที่แขวนไวผ้ ูกกับถงุ ทราย จากนัน้ นำถงุ ทรายออก
ง การนำไฟฟา้ เปรยี บเทยี บความยาวของวสั ดุกอ่ นผกู ขณะผกู และ
ข การนำความรอ้ น หลงั จากนำถุงทรายออก
ก สภาพยืดหยุน่
ข. ตดิ กอ้ นดินน้ำมันไว้ทปี่ ลายวสั ดดุ ้านหนึ่งแลว้ ให้
ความรอ้ นทป่ี ลายอีกด้านหนงึ่ ของวัสดุ สังเกตการ
เปล่ียนแปลงของก้อนดินน้ำมนั
ค. ใช้ตะปูหรือเขม็ หมดุ ขีดลงบนวสั ดุ สังเกตรอยท่ีปรากฏ
บนผิววสั ดุ
ง. นำไปต่อกบั วงจรไฟฟา้ อย่างง่ายทีม่ หี ลอดไฟฟ้า
สงั เกตความสวา่ งของหลอดไฟฟ้า
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 10
เรอ่ื ง สมบัตขิ องวัสดผุ สม รหัสวิชา ว23102 เวลา 1 ชว่ั โมง
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 5 ชื่อหนว่ ยการเรยี นรู้ ปฏิกิรยิ าเคมีและวสั ดุในชวี ติ ประจำวนั รวม 17 ชัว่ โมง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 3 ภาคเรยี นท่ี 2
สาระท่ี 2 ช่อื สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1
1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้วี ดั
ว 2.1 เข้าใจสมบตั ขิ องสสาร องคป์ ระกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหว่างสมบตั ิของสสารกบั โครงสร้าง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนุภาค หลักและธรรมชาติของการเปลีย่ นแปลงสถานะของสสารการเกิดสารละลาย
และการเกดิ ปฏิกิริยาเคมี
ตัวชว้ี ัด
ว 2.1 ม.3/1 ระบุสมบัตทิ างกายภาพและการใช้ประโยชน์วสั ดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก และวัสดุผสม
โดยใช้หลักฐานเชงิ ประจกั ษแ์ ละสารสนเทศ
2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
1) วัสดุผสมเป็นวัสดุที่เกิดจากวัสดุตั้งแต่ 2 ประเภทที่มีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกัน เพื่อนำไปใช้
ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น เสื้อกันฝนบางชนิดเป็นวัสดุผสมระหว่างผ้ากับยาง คอนกรีตเสริมเหล็กเป็นวัสดุผสม
ระหว่างคอนกรีตกับเหล็ก
2) วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น พลาสติก การใช้วัสดุอย่างฟุ่มเฟือยและไม่ระมัดระวังอาจก่อปัญหา
ต่อส่ิงแวดล้อม
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1) ด้านความรู้ (K) นกั เรยี นระบสุ มบตั ิทางกายภาพบางประการของวสั ดผุ สมได้
2) ด้านทกั ษะ (P) นักเรียนใช้ทักษะการตีความหมายขอ้ มูลและลงข้อสรุป โดยนำข้อมูลจาก
การสืบคน้ มาแปลความหมายเพื่อสรปุ ความหมายและสมบตั บิ างประการ
ของวสั ดุผสม
3) ด้านเจตคติ (A) นักเรยี นมรี ะเบียบวนิ ัยในการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์
4. คณุ ลกั ษณะผเู้ รียน
4.1 คุณลักษณะทีพ่ ึงประสงค์
รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซอื่ สตั ยส์ จุ รติ มุ่งมัน่ ในการทำงาน
มวี ินัย รักความเป็นไทย ใฝ่เรยี นรู้ มีจิตสาธารณะ
5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
ความสามารถในการส่ือสาร: นกั เรียนสามารถส่ือสาร โดยการนำเสนอผลการสืบคน้ ขอ้ มลู เก่ียวกับ
ความหมาย สมบัติและตัวอย่าง วัสดุผสม
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี: นักเรยี นสามารถใช้เทคโนโลยี โดยสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับ
ความหมายสมบัติและตวั อยา่ ง วัสดุผสมบนอนิ เทอร์เนต็
6. สาระการเรียนรู้
การทำวัสดุผสมหรือวัสดุคอมโพสิต (composites) เปน็ การนำวัสดุต่างชนิดที่มีสมบัติต่างกันมาผสม
กัน ไดเ้ ปน็ วสั ดใุ หม่ทีม่ ีสมบัติดกี ว่าวัสดุตง้ั ตนั แตล่ ะชนิด เช่น ผ้าคอมโพสิต พลาสติกเสรมิ ใยแก้ว คอนกรีตเสริม
เหล็ก ยางเรเดียล เป็นต้น ทำให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากข้ึน วัสดุผสมประกอบด้วยวัสดุชนิดหนึ่งเป็น
วสั ดุเน้ือหลกั (matrix) และวสั ดอุ กี ชนิดหนง่ึ กระจายตวั เปน็ ตัวเสริมแรง (reinforcement) ให้กับวัสดเุ นือ้ หลกั
ผ้าคอมโพสิต (composite fabric) เป็นวัสดุผสมชนิดหนึ่ง ผ้าคอมโพสิตบางชนิดใช้เส้นใย เช่น
เส้นใยพอลเิ อสเทอร์ เปน็ วัสดเุ น้อื หลัก เสน้ ใยพอลเิ อสเทอร์มีสมบัตอิ อ่ นนุม่ สวมใส่สบาย แตม่ ขี อ้ จำกัดคือไม่กัน
น้ำและระบายอากาศไม่ดี จึงนำพลาสติกชนิดพอลิยูรีเทน (polyurethane) ซึ่งมีสมบัติกันน้ำ มาเสริมแรง
ระหว่างชั้นเส้นใยพอลิเอสเทอร์ ดังนั้นผ้าคอมโพสิตนี้นิยมนำมาใช้ผลิตเครื่องนุ่งห่มที่มีสมบัติกันน้ำ กันรังสี
กันความร้อน ในขณะเดียวกันก็สามารถระบายไอน้ำและอากาศได้ดี เมื่อสวมใส่แล้วไมร่ ้อน ไม่อับขึ้น เช่น ชุด
กนั ฝน ชุดดำน้ำ ชุดสกี
พลาสติกเสริมใยแก้วหรือไฟเบอร์กลาส (fiberglass) ประกอบด้วยพลาสติกเป็นวัสดุเนื้อหลักที่มี
ข้อจำกัดความแข็งแรง จึงใช้เส้นใยแก้วซึ่งเป็นเซรามิก ทำหน้าที่เสริมแรง เพิ่มความแข็งแรงและทนตอ่ การกดั
กร่อนให้แก่พลาสติก นิยมนำมาใช้ทำผลิตภณั ฑท์ ี่ตอ้ งการความแขง็ แรงแต่มีน้ำหนักเบา ไม่นำความร้อน ไม่ดูด
ซมึ นำ้ เชน่ ถังนำ้ เกา้ อตี้ กแตง่ สนาม หลงั คาพลาสติกเสรมิ ใยแกว้ ในรถยนต์ เครอื่ งเลน่ กลางแจ้ง เรอื และเจต็ สกี
คอนกรีตเสริมเหล็กเป็นวัสดุผสมซึ่งมีคอนกรีตเปน็ วสั ดุเนื้อหลักที่รับแรงอัดได้สงู แต่แตกหักง่ายเมื่อ
ถูกกระทำด้วยแรงตึง จึงมีการนำเหล็กเส้น ซึ่งเป็นโลหะที่มีความเหนียว สามารถทนแรงดึงสูงมาทำหน้าที่
เสริมแรงให้แก่คอนกรตี คอนกรีตเสรมิ เหลก็ นยิ มนำมาใชใ้ นงานกอ่ สร้างเพอ่ื ความแข็งแรงของโครงสรา้ ง เช่น พน้ื
อาคาร เสารองรับ อาคาร สะพาน เป็นตน้
ยางเรเดียลท่ีใช้ในรถยนตท์ ่ัวไปเปน็ วสั ดผุ สมซง่ึ มยี างเป็นวัสดุเนอื้ หลกั เสรมิ แรงด้วยผ้าใบทท่ี ำจากพอ
พอลเิ อสเทอร์ ซึง่ เปน็ พอลิเมอรท์ ใี่ ช้เสรมิ หนา้ ยางและหุ้มเส้นลวดซึ่งเปน็ โลหะ ยางรถยนต์ทค่ี นทว่ั ไปต้องการเมื่อ
ใช้งานบนถนนที่ขรุขระ ผู้โดยสารจะไม่ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากพื้นถนนมากในขณะเดียวกัน จะต้องรับแรง
กระแทกได้ดี ทนต่อความร้อน เมื่อใช้งานบนถนนที่มีความร้อนสูงในเวลากลางวันเปน็ เวลานาน โดยยางต้องไม่
เปล่ยี นแปลงสภาพ ทนต่อการฉีกขาด เมื่อถูกของแขง็ ทีแ่ หลมคมตำจะไม่เกิดความเสยี หายมาก จะเหน็ ได้ว่ายาง
ธรรมชาติเพยี งชนดิ เดยี วไม่สามารถนำมาใช้ผลิตยางรถยนต์ท่ีมีสมบตั ิเช่นนี้ได้ เนือ่ งจากยางธรรมชาตไิ ม่คงสภาพ
ไมเ่ หมาะสมกบั สภาพการทำงานในที่ทมี่ อี ณุ หภมู ิสูงเปน็ เวลานาน และฉีกขาดไดง้ า่ ย จงึ ต้องปรบั ปรุงคุณภาพโดย
การเติมสารอ่ืนลงในยางธรรมชาตแิ ละใช้วัสดุอ่นื ๆ มาประกอบเพ่ือผลิตยางรถยนต์ใหม้ ีสมบตั ิตามต้องการ เช่น
แข็งแรงและทนทานมากขึ้น
พอลเิ มอร์ เชรามกิ โลหะ และวัสดุผมมีสมบตั ิที่หลากหลาย ทำให้มนุษยส์ ามารถนำวัสดุเหล่าน้ีไปใช้
ทำอุปกรณ์เครื่องใช้หลายชนิด ในขณะเดียวกัน ความรู้ด้านวัสดุก็พัฒนาต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง มีการวิจัยและ
พัฒนาสมบัติของวัสดุที่ตอบสนองความตอ้ งการของมนุษย์หลายประการ เช่น มีน้ำหนักลดลง แข็งแรงมากขนึ้
รวมทง้ั สามารถย่อยสลายไดต้ ามธรรมชาตเิ พื่อลดปัญหาสิ่งแวดลอ้ ม
นักวิทยาศาสตรพ์ ยายามคิดค้นวสั ดุชนิดใหม่ ๆ เพื่อแก้ปัญหาและตอบสนองความต้องการใช้งานใน
ด้านต่าง ๆ การพัฒนานวัตกรรมด้านวัสดุเป็นพื้นฐานสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีด้านอื่น ๆ เช่น
เทคโนโลยีเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ เทคโนโลยีการสื่อสารและอวกาศ ในขณะเดียวกัน การนำวัสดุทีพ่ ัฒนาขึน้ ไปใช้
ประโยชนใ์ นกิจกรรมต่าง ๆ ของมนุษย์ก็อาจกอ่ ใหเ้ กิดผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์เชน่ กัน เนื่องจากวัสดุที่คิดดนั
ขึ้นใหม่นี้ส่วนใหญ่คงทน มีอายุการใช้งานยาวนาน ย่อยสลายได้ยกในธรรมชาติ จึงเกิดปัญหาในการกำจัด
ซึง่ ก่อให้เกดิ ผลกระทบต่อสงิ่ มีชีวิตและสิ่งแวดลอ้ ม ดังน้นั เราจึงควรร่วมกันป้องกันและแก้ไขผลกระทบดังกล่าว
โดยวิธีต่าง ๆ เช่น ใช้วัสดุเท่าที่จำเป็น ใช้วัสดุที่ใช้ซ้ำได้มากว่าหนึ่งครั้ง ลดการใช้วัสดุที่ย่อยสลายได้ยากใน
ธรรมชาติ ใช้วัสดทุ ่ยี ่อยสลายได้ง่าย
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ูปแบบการจัดการเรียนการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ช่ัวโมง; 60นาที)
ขัน้ ที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูกระต้นุ ความสนใจของนักเรียน เพอื่ นำเข้าสเู่ ร่ือง สมบตั ขิ องวสั ดุผสม โดยยกตวั อยา่ งวัสดุ
ผสม แล้วใหน้ กั เรยี นตอบคำถามว่า วสั ดุผสมทย่ี กตวั อยา่ ง เกิดจากการผสมของวสั ดุใด ดังน้ี
- ผา้ คอมโพสติ (เส้นใยพอลิเอสเทอร์และพลาสติกชนดิ พอลยิ รู เี ทน)
- พลาสติกเสริมใยแก้วหรือไฟเบอรก์ ลาส (พลาสติกและเสน้ ใยแก้วซึ่งเปน็ เซรามิก)
- คอนกรตี เสรมิ เหลก็ (คอนกรตี และเหล็กเสน้ )
- ยางเรเดยี ล (ยางและผ้าใบทีท่ ำจากพอพอลิเอสเทอร์)
2) ครูเชอื่ มโยงเข้าสกู่ ิจกรรมที่ 5.9 สมบัติของวัสดุผสม โดยใช้คำถามว่า นกั เรียนรู้จักวัสดุผสม
อะไรบ้าง วัสดุผสมที่ได้จะมีสมบัติดกี ว่าวัสดุแต่ละชนดิ ที่นำมาผสมกันหรอื ไม่ อย่างไร (นักเรียนตอบตามความ
เข้าใจของตนเอง)
ขั้นท่ี 2 ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration) (20 นาที)
3) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 46 และครูตรวจสอบความ
เขา้ ใจการอ่าน โดยใชค้ ำถามดงั ต่อไปน้ี
- กจิ กรรมนเ้ี กี่ยวกับเร่อื งอะไร (สมบัตขิ องวัสดผุ สม)
- กจิ กรรมนม้ี จี ุดประสงค์อะไร (สบื ค้นข้อมลู และอธิบายสมบัติและประโยชนข์ องคอนกรีตเสริม
เหลก็ และพลาสติกเสรมิ ใยแก้ว)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (สืบค้นข้อมูล อภิปราย และนำเสนอข้อมูล
เก่ียวกบั องค์ประกอบสมบัติ และประโยชน์ของคอนกรตี เสริมเหล็กและพลาสติกเสรมิ ใยแก้ว)
- นักเรยี นต้องสงั เกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (รวบรวมข้อมูลเก่ียวกับองค์ประกอบ สมบัติ
และประโยชน์ของคอนกรีตเสริมเหล็กและพลาสติกเสรมิ ใยแกว้ จากแหล่งขอ้ มูลตา่ ง ๆ)
4) ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุ่มทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลมุ่
และให้คำแนะนำ ถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ ที่อาจเป็นปัญหา เช่น การสืบค้นข้อมูลการเปรียบ
เทียบข้อมูลจากหลาย ๆ แหล่ง และเลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหาและ
ขอ้ สงสยั ที่พบจากการทำกจิ กรรมของนกั เรยี นเพอ่ื ใชเ้ ปน็ ขอ้ มูลประกอบการอภปิ รายหลงั จากการทำกิจกรรม
ข้นั ที่ 3 ขั้นอธิบายและลงข้อสรปุ (Explanation) (10 นาที)
5) นักเรียนบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมที่ 5.9 สมบัติของวัสดุ
ผสม โดยสรุปผลของกิจกรรมและตอบคำถามท้ายกิจกรรม เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า วัสดุผสม เช่น
คอนกรตี เสรมิ เหล็ก พลาสติกเสริมใยแกว้ ได้จากการนำวสั ดุหลายชนดิ ที่มีสมบัติแตกต่างกันมาผสมกันเป็นวัสดุ
ใหม่ท่ีมีสมบัติดกี ว่าวสั ดุเดิม และตรงตามความต้องการในการนำไปใช้ประโยชน์
ขัน้ ที่ 4 ข้ันขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที)
6) นักเรียนเรียนรู้เพ่ิมเติมเกีย่ วกับ วัสดุผสม โดยอ่านเน้ือหาในหนงั สือเรียนหน้า 47-48 และ
ตอบคำถามระหวา่ งเรียน จากน้นั ร่วมกันอภปิ รายเปรยี บเทยี บองคป์ ระกอบ ประโยชน์ และสมบัตขิ องวสั ดุผสมที่
ต่างจากวสั ดเุ ดิมโดยใช้ประเด็นคำถามดงั น้ี
- ยางรถยนต์มอี งคป์ ระกอบ สมบัติ และการใชป้ ระโยชนเ์ หมอื นหรอื แตกตา่ งจากยางธรรมชาติ
อย่างไร (แนวคำตอบ ยางรถยนต์ประกอบดว้ ยยางธรรมชาติ พอลเิ อสเทอร์ เสน้ ลวดโลหะ ยางรถยนต์มสี มบัตริ ับ
แรงกระแทกได้ดี ต้านทานต่อการฉีกขาดสูง ทนต่อความร้อน เมื่อเทียบกับยางธรรมชาติซึ่งเป็นพอลิเมอร์จาก
ธรรมชาติที่ประกอบด้วยมอนอเมอร์ของไอโซพรีนต่อกันเป็นสายยาว มีสภาพยืดหยุ่นสูง เป็นฉนวนไฟฟ้าและ
ฉนวนความรอ้ น แต่ฉีกขาดงา่ ย เสอ่ื มสภาพไดง้ า่ ยที่ความรอ้ นสูง ยางธรรมชาตินิยมนำมาใชท้ ำถุงมือยางลูกโป่ง
วสั ดกุ นั กระแทก รองเทา้ )
ขั้นท่ี 5 ขน้ั ประเมิน (Evaluation) (10 นาที)
7) ครแู ละนักเรียนอภิปรายผลการทำกจิ กรรม วัสดุผสม จะได้ข้อสรปุ วา่
ซึ่งสิ่งที่ได้เรียนรู้จากบทเรยี นน้ีคือ วัสดุรอบตัว ได้แก่ พอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุ
ผสม ซึ่งแต่ละชนิดมีสมบัติทางกายภาพต่างกัน จึงนำไปใช้ประโยชน์ต่างกัน พอลิเมอร์จัดกลุ่มได้เปน็ พลาสติก
ยาง เส้นใย ทง้ั สามกลุ่มเปน็ ฉนวนไฟฟ้าและฉนวนความร้อนเหมอื นกัน แตม่ สี มบัตดิ า้ นความเหนียว และการทน
ความร้อนต่างกนั สำหรบั เซรามกิ มสี มบัตแิ ขง็ แต่เปราะ ทนตอ่ การสกึ กร่อน เป็นฉนวนความรอ้ นและฉนวนไฟฟ้า
โลหะมีสมบัติแข็งและเหนียว สามารถตีให้เป็นแผ่นหรือยืดเปน็ เส้นได้ นำไฟฟ้าและนำความรอ้ นได้ดี ส่วนวัสดุ
ผสมเกดิ จากการนำวสั ดตุ า่ งชนิดกันมาประกอบกนั เพอ่ื ใหไ้ ดว้ สั ดุใหม่ท่มี ีสมบตั ติ ามต้องการและดกี ว่าวัสดุตัง้ ต้น
8) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมิน (Rubrics Score)
8. สื่อการเรียนรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 อปุ กรณท์ ำกจิ กรรม: อปุ กรณ์ทใ่ี ช้ในการสืบค้น เชน่ โทรศพั ท์เคลือ่ นท่ี คอมพิวเตอร์ทีเ่ ช่อื มต่อ
อนิ เทอร์เนต็
8.2 ใบกจิ กรรม: ใบกิจกรรมท่ี 5.9 วสั ดุผสมมสี มบัตเิ ปน็ อยา่ งไร
8.3 แบบบันทกึ กิจกรรม: แบบบนั ทกึ การคน้ ควา้ กิจกรรมท่ี 5.9 วสั ดุผสมมีสมบตั ิเป็นอย่างไร
8.4 แหล่งเรยี นรู้: หนงั สอื เรยี นรายวิชาพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศึกษาปที ่ี 3
เลม่ 2 ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธิการ
9. การวัดและการประเมนิ
ตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ ีการวัด เครือ่ งมอื วดั เกณฑท์ ใี่ ช้ในการประเมนิ
1. ระบสุ มบัตทิ างกายภาพบาง - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามท้ายกิจกรรมท่ี 5.9 - ได้ไมน่ อ้ ยกว่า 2 คะแนน
ประการของวสั ดุผสมได้ ท้ายกจิ กรรมที่ 5.9 วสั ดุผสมมีสมบัตเิ ป็น ระดบั คุณภาพดี ถือว่าผ่าน
(ด้านความรู้: K) อยา่ งไร จำนวน 6 ขอ้ การประเมินดา้ นความรู้
2. การใช้ทกั ษะตีความหมาย - ตรวจการทำแบบ - แบบบนั ทึกการคน้ คว้า - ได้ไม่นอ้ ยกวา่ 2 คะแนน
ขอ้ มูลและลงข้อสรปุ บันทกึ การค้นควา้ กจิ กรรมที่ 5.9 ระดบั คุณภาพดี ถือวา่
ความหมายและสมบัติ กิจกรรมที่ 5.9 วสั ดุผสมมีสมบัตเิ ปน็ ผา่ นการประเมนิ
บางประการของวัสดผุ สม อยา่ งไร ด้านกระบวนการ
(ดา้ นกระบวนการ: P)
3. ระเบียบวินัยในการ - สงั เกตการณ์ได้รับ - เกณฑก์ ารประเมินระเบียบ - ได้ไมน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
เรยี นรทู้ างวิทยาศาสตร์ มอบหมายบทบาท วินัยในการ เรยี นรูท้ าง ระดับคณุ ภาพดี ถอื ว่า
(ด้านเจตคติ: A) และภาระงานภายใน วทิ ยาศาสตร์ ผา่ นการประเมิน
ชนั้ เรียน ด้านเจตคติ
9.1 เกณฑก์ ารประเมินผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมนิ (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมนิ คา่ น้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมที่ 5.9 ถกู ตอ้ ง จำนวน 5-6 ขอ้
คำถามทา้ ย 3 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมที่ 5.9 ถกู ต้อง จำนวน 3-4 ข้อ
2
กจิ กรรมที่ 5.9 1 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 5.9 ถกู ตอ้ ง จำนวน 1-2 ข้อ หรือ ไมถ่ ูกต้อง
การให้คะแนนการบันทึก บันทกึ ผลลงในตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม โดยตคี วามหมายขอ้ มูล
แบบบนั ทึกการค้นคว้า และลงข้อสรุปจากการผลการลงขอ้ สรปุ ความหมายและสมบตั บิ าง
3 ประการของวัสดุผสมได้ถูกต้อง ครบถว้ น ตามความเป็นจรงิ โดยไม่เพม่ิ
กจิ กรรมท่ี 5.9 ความคดิ เหน็ ส่วนตัว ลงในแบบบนั ทึกการค้นควา้ ครบทุกประเดน็
สอดคลอ้ งกับเน้ือหาในกจิ กรรม
บันทึกผลลงในตารางบนั ทึกผลการทำกจิ กรรม โดยตคี วามหมายขอ้ มูล
2 และลงขอ้ สรุปจากการผลการลงขอ้ สรปุ ความหมายและสมบตั บิ าง
ประการของวัสดุผสมได้ ตามความเปน็ จรงิ ลงในแบบบนั ทึกการค้นคว้า
แตย่ ังมีขอ้ ผิดพลาด
บนั ทกึ ผลลงในตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม โดยตีความหมายข้อมูล
1 และลงขอ้ สรปุ จากการผลการลงข้อสรปุ ความหมายและสมบัติบาง
ประการของวัสดุผสมได้ ไมถ่ กู ตอ้ ง มขี ้อผดิ พลาดทต่ี อ้ งแก้ไขปรับปรุง
การให้คะแนนพฤตกิ รรม 3 ปฏบิ ัติหน้าท่ีท่ไี ดร้ บั มอบหมาย ภายในชัน้ เรียนได้อยา่ งดี ไม่เกิดปญั หา
ระเบยี บวนิ ยั ในการ
สง่ ภาระงานทไ่ี ดร้ บั ตรงตอ่ เวลา และงานมีความสมบรู ณ์ เรยี บรอ้ ย
เรยี นรทู้ างวิทยาศาสตร์
2 ปฏบิ ัตหิ นา้ ท่ีที่ได้รบั มอบหมาย ภายในชน้ั เรยี นไดแ้ ตเ่ กดิ ปญั หา จงึ มกี าร
ปรบั ปรงุ แก้ไข และส่งภาระงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายตรงตอ่ เวลา หรือ
ชา้ กว่ากำหนดเวลาไมน่ าน
1 ปฏิบตั ิหน้าท่ีท่ไี ด้รับมอบหมาย ภายในชัน้ เรยี นไดแ้ ตเ่ กดิ ปัญหา แล้วแกไ้ ข
ไมไ่ ด้ สง่ ผลกระทบตอ่ การสง่ ภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายตรง ทำใหเ้ กิด
ปญั หา สง่ ชา้ กวา่ กำหนดเวลาออกไป
9.2 ระดับคณุ ภาพ
คะแนนรวมเฉล่ีย 3.00 หมายถึง ดีมาก
คะแนนรวมเฉลี่ย 2.00 - 2.99 หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉล่ีย 0.01 - 1.99 หมายถงึ พอใช้
ดงั นัน้ นกั เรียนตอ้ งได้คะแนนเฉล่ียทุกประเดน็ การประเมนิ ไม่ต่ำกว่า 2.00 แสดงระดบั
คณุ ภาพ ดี ถอื ว่าผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ในแผนการจัดการเรยี นท่ี 10
สอ่ื การเรียนร้แู ผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 10: ใบกิจกรรมที่ 5.9
ใบกิจกรรมท่ี 5.9 วัสดุผสมมีสมบัติเป็นอยา่ งไร
หนงั สือเรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หน้า 46
กจิ กรรมที่ 5.9 วัสดผุ สมมีสมบตั ิเปน็ อย่างไร?
จดุ ประสงค์ สืบค้นข้อมูลและอธบิ ายสมบตั ิและประโยชน์ของคอนกรีตเสริมเหล็กและพลาสติกเสรมิ ใยแกว้
วสั ดอุ ุปกรณ์ อุปกรณท์ ีใ่ ช้ในการสืบคน้ เชน่ โทรศพั ท์เคลอ่ื นที่ คอมพวิ เตอรท์ ี่เชอ่ื มต่ออนิ เทอร์เน็ต
วธิ ีดาเนนิ 1. สืบคน้ ขอ้ มูลเกย่ี วกับองคป์ ระกอบ สมบัติ และประโยชน์ของคอนกรตี เสรมิ เหล็กและ
กิจกรรม พลาสติกเสรมิ ใยแกว้ บันทกึ ผล
2. รว่ มกันอภปิ รายและนาเสนอข้อมลู เกยี่ วกับสมบตั ิและประโยชนข์ องคอนกรีต
เสรมิ เหล็กและพลาสติกเสรมิ ใยแกว้
สอ่ื การเรยี นรู้/ • แหลง่ การเรียนร้อู ื่น ๆ เชน่
แหล่งเรียนรู้ ภาณุวฒั น์ จ้อยกลดั และ สุนติ ิ สุภาพ. คอนกรตี เสรมิ เหล็ก : จากแหล่งกาเนิดสู่สยาม
ประเทศ http://eitprblog.blogspot.com/2014/04/blog-post_17.html
CPAC Concrete Academy. ความร้คู อนกรีต https://www.cpacacademy.com/
วัสดุผสม
http://ie.eng.cmu.ac.th/IE2014/elearnings/2014_08/23/%E0%
B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88
%2014%20Composite%20material.pdf
วัสดผุ สม คลงั ข้อมูลงานวิจัยมหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยรี าชมงคลธัญบรุ ี
http://www.research.rmutt.ac.th/?tag=%E0%B8%A7%E0%B8
%B1%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B8%B8%E0%B8%9C%E
0%B8%AA%E0%B8%A1
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. คอนกรตี เสริมเหลก็ ประกอบด้วยวัสดชุ นดิ ใดบา้ งและวสั ดุน้นั มีสมบัติอย่างไร
2. เพราะเหตใุ ดจงึ ต้องนำเส้นลวดเหลก็ มาเสริมคอนกรตี
3. พลาสติกเสรมิ ใยแก้วประกอบด้วยวสั ดชุ นดิ ใดบา้ งและวสั ดนุ ้ันมีสมบตั ิอยา่ งไร
4. เพราะเหตุใดจงึ ต้องใชใ้ ยแก้วมาเสริมพลาสติก
5. การนำวสั ดุหลายชนิดมาผสมกนั เป็นวัสดุใหม่มีวตั ถปุ ระสงค์เพอื่ อะไร
6. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ า่ อยา่ งไร
สื่อการเรียนรแู้ ผนการจัดการเรยี นรูท้ ่ี 10: แบบบันทึกการคน้ คว้ากิจกรรมท่ี 5.9
แบบบันทกึ การคน้ คว้ากิจกรรมที่ 5.9 วัสดุผสมมสี มบัติเปน็ อยา่ งไร
ชอื่ -นามสกลุ ..........................................................................................ชน้ั .................เลขท่ี...........กลมุ่ ท.ี่ ...........
บนั ทึกผลการทำกิจกรรม
สมบตั แิ ละประโยชน์ ตวั อยา่ งวสั ดุผสม
คอนกรีตเสรมิ เหลก็ พลาสตกิ เสริมใยแกว้
ส่วนประกอบของวสั ดุ
คุณสมบตั ิเด่นของวสั ดุ
การนำไปใช้ประโยชน์
รปู ภาพแสดงวัสดุ
แนบทา้ ยแผนการจัดการเรยี นร้ทู ่ี 10: การให้คะแนนด้านกระบวนการ (P)
แนวทางบันทึกการค้นคว้ากจิ กรรมที่ 5.9 วัสดุผสมมีสมบตั เิ ปน็ อย่างไร
บนั ทกึ ผลการทำกจิ กรรม
สมบัตแิ ละประโยชน์ ตวั อย่างวัสดุผสม
คอนกรีตเสริมเหลก็ พลาสตกิ เสรมิ ใยแกว้
คอนกรตี ประกอบดว้ ยปูนซเี มนต์ หิน ประกอบดว้ ยวัสดุ 2 ชนิด คือ พลาสติก
สว่ นประกอบของวสั ดุ ทราย น้ำ โดยคอนกรตี เสรมิ เหลก็ เป็น และเส้นใยแก้ว มารวมกนั โดย
วัสดผุ สมทม่ี ีคอนกรตี เป็นวัสดุหลกั ท่ีวัสดุทงั้ สองชนดิ ยงั คงสมบัตทิ าง
และมเี ส้นลวดเหล็กเป็นวัสดุเสริมแรง กายภาพและสมบัติทางเคมีเหมือนเดิม
ทนทานตอ่ สภาพแวดลอ้ ม รับแรงอัดไดด้ ี มีนำ้ หนักเบาเหมือนพลาสตกิ แต่สมบตั ิ
คณุ สมบตั เิ ดน่ ของวสั ดุ ชว่ ยเพิม่ ประสทิ ธิภาพการรบั นำ้ หนัก บางประการท่ีดีเหมือนแกว้ คือมคี วาม
แขง็ แรงมากขึ้น ทนความรอ้ น ทนต่อ
การกดั กรอ่ น
คอนกรตี เสริมเหล็ก จะมเี ส้นลวดเหล็ก ในพลาสติกเสรมิ ใยแกว้ มีพลาสติก เชน่
เปน็ วัสดุเสรมิ แรง และมีคอนกรตี เป็นวสั ดุ พอลเิ อสเทอร์เป็นวัสดหุ ลกั และมีเส้นใย
ท่รี บั แรงอดั ไดส้ ูง ในขณะที่เส้นลวดเหล็กมี แกว้ ซึ่งเปน็ เส้นใยของแกว้ ทีป่ ่นั ให้
หลักการทำงาน ความสามารถในการรบั แรงดงึ สูง เมอื่ นำ ละเอยี ดเป็นเส้นบาง ทำหน้าท่ีเปน็ วัสดุ
ของวสั ดุ เหลก็ มาใชง้ านรว่ มกบั คอนกรตี จะเกิดการ เสริมแรง นอกจากเสน้ ใยแก้วแลว้ ยงั
ถ่ายเทแรงระหว่างคอนกรตี และเหลก็ อาจใช้เส้นใยคาร์บอนเป็นวัสดุเสริมแรง
ทำให้ความสามารถในการรบั แรงของ ได้ด้วย
คอนกรตี เสริมเหลก็ สงู กว่าคอนกรีต
และเสน้ ลวดเหล็ก
นิยมใชค้ อนกรีตเสรมิ เหลก็ เป็นโครงสรา้ ง ประโยชนไ์ ดอ้ ย่างหลากหลาย เช่น
การนำไปใชป้ ระโยชน์ ของอาคารส่วนตา่ ง ๆ เช่น ตอม่อ งานโครงสร้าง งานตกแตง่ อตุ สาหกรรม
เสา คาน สะพาน พืน้ สนามบนิ ดา้ นเคมี ยานพาหนะ
รปู ภาพแสดงวัสดุ
แนบทา้ ยแผนการจดั การเรียนรู้ที่ 10: การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
เฉลยใบกิจกรรมที่ 5.9 วสั ดผุ สมมีสมบตั ิเป็นอยา่ งไร
เฉลยคำถามท้ายกจิ กรรม
1. คอนกรตี เสรมิ เหลก็ ประกอบด้วยวสั ดุชนดิ ใดบ้างและวสั ดุนั้นมีสมบตั ิอย่างไร
แนวคำตอบ คอนกรีตเสริมเหล็กประกอบด้วยปูนซเี มนต์ หิน ทราย น้ำ และลวดเหล็กปูนซีเมนตไ์ ด้
จากการนำแคลเซยี มคารบ์ อเนตจากหินปนู ผสมกับหินดนิ ดานหรือดนิ เหนยี วแลว้ นำไปเผาทีอ่ ุณหภูมิ 1400 ถึง
1600 องศาเซลเซยี ส จากนนั้ นำไปบดกับยิปซมั่ เพอ่ื เพมิ่ ความแข็งแรงจนกลายเปน็ ปนู ซีเมนต์ ซึ่งมีลักษณะเป็น
ผงร่วนไมเ่ กาะกนั จึงไมท่ นตอ่ แรงอัดและแรงดงึ หนิ เปน็ ของแขง็ ที่ประกอบดว้ ยแร่ชนิดเดยี วหรือหลายชนิด
รวมตวั กันอยเู่ ป็นก้อนวัตถุ แขง็ แรง ความสามารถในการทนตอ่ แรงอดั และแรงดึงต่างกัน ข้นึ อยูก่ บั ชนิดของ
หนิ ทราย เปน็ เศษหนิ เศษแร่ขนาดเลก็ ท่ีแตกออกมาจากหนิ ท่ีมขี นาดใหญ่ มลี กั ษณะซยุ รว่ น ไมย่ ึดเกาะกนั
ลวดเหล็ก เป็นเหล็กท่ีดงึ ให้เป็นเส้นยาว แขง็ แรง เหนียว ไมเ่ ปราะแตกง่าย
2. เพราะเหตใุ ดจงึ ตอ้ งนำเส้นลวดเหล็กมาเสรมิ คอนกรตี
แนวคำตอบ คอนกรตี มีความแขง็ แรง รับแรงอดั ได้ดี แต่รบั แรงดึงได้นอ้ ย การนำเส้นลวดเหล็กมาเสริม
คอนกรตี ทำให้คอนกรีตเสรมิ เหลก็ สามารถรับแรงอดั และแรงดึงไดม้ ากขึ้น
3. พลาสติกเสรมิ ใยแกว้ ประกอบดว้ ยวัสดุชนดิ ใดบา้ งและวัสดนุ ั้นมสี มบตั อิ ยา่ งไร
แนวคำตอบ พลาสติกเสรมิ ใยแก้วประกอบด้วยพลาสติกและเสน้ ใยแก้ว
- พลาสตกิ เป็นพอลิเมอร์ มีน้ำหนกั เบา ไมน่ ำไฟฟา้ และไม่นำความร้อน ไมด่ ูดซึมน้ำ และ
สามารถนำมาข้นึ รปู เปน็ รปู ทรงตา่ ง ๆ ไดง้ ่าย
- เส้นใยแก้วเป็นเซรามิก มีสมบตั ิแข็งแตเ่ ปราะแตกง่าย ไม่นำไฟฟา้ และไมน่ ำความร้อน
4. เพราะเหตุใดจึงตอ้ งใชใ้ ยแกว้ มาเสริมพลาสติก
แนวคำตอบ เพราะการใชใ้ ยแก้วเสรมิ พลาสตกิ ชว่ ยทำให้วัสดมุ ีความแข็งแรงมากขึ้น แตม่ ีนำ้ หนกั
น้อยกวา่ ใยแกว้ ซง่ึ เป็นเซรามกิ มคี วามตา้ นทานการกัดกรอ่ นสูงขนึ้
5. การนำวัสดุหลายชนดิ มาผสมกนั เป็นวสั ดใุ หม่มีวัตถปุ ระสงคเ์ พือ่ อะไร
แนวคำตอบ การนำวัสดหุ ลายชนดิ มาผสมกนั เป็นวัสดุใหม่มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อให้ได้วสั ดุใหม่ทม่ี ีสมบัติ
ตรงตามความต้องการ และดกี ว่าวัสดุเดิม
6. จากกิจกรรม สรปุ ไดว้ า่ อยา่ งไร
แนวคำตอบ วัสดุผสม เช่น คอนกรตี เสริมเหลก็ พลาสตกิ เสริมใยแกว้ ได้จากการนำวัสดุหลายชนดิ
ทีม่ สี มบัติแตกต่างกันมาผสมกันเปน็ วสั ดใุ หม่ท่ีมีสมบัตดิ กี วา่ วัสดุเดิม และตรงตามความต้องการในการนำไปใชป้ ระโยชน์
แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 11
เร่ือง การใชว้ ัสดใุ นชวี ติ ประจำวนั อย่างไรใหป้ ระหยดั รหัสวชิ า ว23102 เวลา 2 ชวั่ โมง
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 5 ชอื่ หน่วยการเรยี นรู้ ปฏิกริ ิยาเคมีและวสั ดุในชวี ติ ประจำวนั รวม 17 ชั่วโมง
กลมุ่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ี่ 3 ภาคเรียนที่ 2
สาระที่ 2 ชือ่ สาระ วทิ ยาศาสตร์กายภาพ มาตรฐาน ว 2.1
1. มาตรฐานการเรียนร/ู้ ตัวชี้วดั
ว 2.1 เขา้ ใจสมบตั ขิ องสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสมบตั ขิ องสสารกับโครงสร้าง
และแรงยึดเหนี่ยวระหว่างอนภุ าค หลักและธรรมชาติของการเปลี่ยนแปลงสถานะของสสารการเกิดสารละลาย
และการเกิดปฏิกิริยาเคมี
ตัวชว้ี ัด
ว 2.1 ม.3/2 ตระหนักถึงคุณคา่ ของการใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก และวสั ดผุ สม โดยเสนอแนะ
แนวทางการใช้วัสดอุ ย่างประหยัดและคมุ้ ค่า
2. สาระสำคัญ/ความคิดรวบยอด
1) วัสดุผสมเป็นวัสดุที่เกิดจากวัสดุตั้งแต่ 2 ประเภทที่มีสมบัติแตกต่างกันมารวมตัวกัน เพื่อนำไปใช้
ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น เสื้อกันฝนบางชนิดเป็นวัสดุผสมระหว่างผ้ากับยาง คอนกรีตเสริมเหล็กเป็นวัสดุผสม
ระหว่างคอนกรีตกับเหล็ก
2) วัสดุบางชนิดสลายตัวยาก เช่น พลาสติก การใช้วัสดุอย่างฟุ่มเฟอื ยและไม่ระมัดระวังอาจก่อปัญหา
ต่อสงิ่ แวดลอ้ ม
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นกั เรยี นระบแุ นวทางการใช้วัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และ
1) ด้านความรู้ (K) วสั ดผุ สมอยา่ งประหยัดและคมุ้ ค่า
นกั เรียนใช้ทกั ษะด้านการสื่อสาร โดยนำเสนอผลการสืบคน้ ขอ้ มลู เกีย่ วกบั
2) ดา้ นทกั ษะ (P) การใช้วัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ โลหะ และวสั ดุผสมในชีวติ ประจำวนั
นักเรยี นตระหนกั ถึงคณุ ค่าของการใช้วสั ดุในชีวติ ประจำวันจากการเสนอแนะ
3) ด้านเจตคติ (A) แนวทางการใชว้ สั ดผุ สมอย่างประหยัดและคมุ้ ค่า
4. คณุ ลกั ษณะผูเ้ รียน
4.1 คณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค์
รักชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง ซ่อื สัตย์สจุ รติ มงุ่ ม่นั ในการทำงาน
มวี ินัย รกั ความเปน็ ไทย ใฝเ่ รียนรู้ มจี ิตสาธารณะ
5. ด้านสมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน
ความสามารถในการสอ่ื สาร: นักเรียนสามารถสอ่ื สาร โดยการนำเสนอผลการสบื ค้นขอ้ มูลเกีย่ วกับ
ความหมาย สมบัตแิ ละตัวอยา่ งวัสดุผสม,
ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี: นักเรียนสามารถใช้เทคโนโลยี โดยสืบค้นข้อมลู เกย่ี วกบั
ความหมายสมบัติและตัวอย่างวสั ดผุ สมบนอินเทอร์เนต็
6. สาระการเรยี นรู้
พอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมเป็นวัสดุที่มีสมบัติทางกายภาพแตกต่างกัน จึงนำมาใช้
ประโยชน์ในชวี ติ ประจำวันไดอ้ ยา่ งหลากหลายตามสมบตั ิของวสั ดุแต่ละชนิด พอลเิ มอรเ์ ปน็ สารประกอบโมเลกุล
ใหญ่ที่เกิดจากสารที่มีโมเลกุลขนาดเล็กซ้ำ ๆ กันจำนวนมากมายึดเหนี่ยวกัน มีทั้งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติและ
สังเคราะห์ขึ้น พอลิเมอร์ส่วนใหญ่ไม่นำไฟฟ้า มีความเหนียวและความยืดหยุ่นแตกต่างกัน บางชนิดเกิด
การเปลี่ยนแปลงเมื่อได้รับความร้อนสามารถนำมาขึ้นรูปเป็นผลิตภัณฑ์รูปทรงต่าง ๆ ได้ง่าย โดยใช้พลังงาน
ความร้อนน้อยกวา่ เซรามกิ และโลหะ พอลเิ มอร์มีสมบัติเหมาะสมต่อการใชง้ านในหลากหลายรูปแบบ จงึ เป็นวสั ดุ
ที่นำมาใช้ในชีวิตประจำวันอยา่ งแพร่หลาย เซรามิกที่ใช้งานท่ัวไปเป็นวัสดทุ ีผ่ ลิตจากดิน หิน ทราย และแร่ธาตุ
ต่าง ๆ จากธรรมชาติ ที่ผ่านการขึ้นรปู แล้วนำไปเผาที่อุณหภูมสิ ูง ทำให้โครงสร้างและสมบัตเิ ปลี่ยนไปจากเดิม
เซรามิกสว่ นใหญแ่ ขง็ แต่เปราะ ทนตอ่ การสึกกรอ่ นไดส้ ูง มจี ดุ หลอมเหลวสงู เป็นฉนวนความร้อนและฉนวนไฟฟ้า
ทนความรอ้ นได้ดี เม่อื ไดร้ ับความรอ้ นแล้วไมเ่ ปลี่ยนแปลงรูปร่าง โลหะสว่ นใหญ่มีสมบัติแข็ง เหนยี ว สามารถตีให้
เป็นแผ่นหรือยืดเป็นเส้นได้ สามารถนำความร้อนและนำไฟฟ้าได้ดีกว่าพอลิเมอรแ์ ละเซรามิก มีจุดหลอมเหลว
และจุดเดือดสงู วัสดผุ สมหรือวสั ดุคอมโพสติ เกิดจากการนำวัสดุต่างชนิดทมี่ ีสมบัตติ ่างกนั มาผสมได้เป็นวัสดุใหม่
ที่มีสมบัติดีกว่าวัสดุตั้งต้นแต่ละชนิด ทำให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น วัสดุบางชนิดย่อยสลายตาม
ธรรมชาตไิ ด้ยาก ดังนน้ั จึงควรใช้วสั ดุเท่าทจ่ี ำเปน็ หรอื ใชง้ านอยา่ งคมุ้ คา่ โดยลดการใชว้ ัสดทุ ีย่ อ่ ยสลายไดย้ ากและ
เลือกใช้วสั ดุท่ียอ่ ยสลายได้ง่ายและเปน็ มติ รตอ่ ส่ิงแวดล้อม
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ใช้รปู แบบการจัดการเรยี นการสอนแบบสบื เสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ชั่วโมง; 120นาที)
ขน้ั ที่ 1 กระตุน้ ความสนใจ (Engagement) (20 นาที)
1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียน เพื่อนำเข้าสู่กิจกรรมท้ายบท ใช้วัสดุในชีวิตประจำวัน
อยา่ งไรให้ประหยัดและคมุ้ คา่ โดยใหต้ ั้งประเดน็ คำถามทบทวนการเรียนดงั น้ี
- วสั ดุท่นี ำมาใชท้ ำของใชใ้ นชีวติ ประจำวันได้แก่อะไรบ้าง แต่ละชนิดมีสมบัติอยา่ งไร
(แนวคำตอบ วสั ดทุ ่ีนำมาใช้ทำของใชใ้ นชวี ิตประจำวนั ไดแ้ ก่ พอลเิ มอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสม พอลิเมอร์
มีสมบัติหลากหลาย และเหมาะสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ พอลิเมอร์ส่วนใหญ่ไม่นำไฟฟ้า ไม่นำ
ความรอ้ น บางชนิดมสี ภาพยืดหยนุ่ สูง บางชนิดไดร้ บั ความรอ้ นแล้วเปลีย่ นแปลง พอลเิ มอรส์ ามารถนำมาข้ึนรูป
เปน็ ผลิตภัณฑร์ ปู ทรงต่าง ๆ ได้งา่ ย เซรามกิ แขง็ แต่เปราะ ทนต่อการสกึ กร่อน ไม่นำความรอ้ น ไม่นำไฟฟ้า โลหะ
มสี มบตั แิ ข็งและเหนียว สามารถตีใหเ้ ป็นแผน่ หรือยดื เปน็ เสน้ ได้ นำไฟฟ้าและนำความรอ้ นได้ดี สว่ นวัสดผุ สมเกิด
จากการนำวสั ดตุ า่ งชนิดกันมาประกอบกนั เพ่ือใหม้ ีสมบัตติ ามตอ้ งการซ่งึ ดกี วา่ วัสดุตง้ั ตน้ )
ขั้นที่ 2 ขน้ั สำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาที)
2) ครูเช่อื มโยงเขา้ สู่กจิ กรรมทา้ ยบท ใชว้ ัสดใุ นชีวิตประจำวันอย่างไรให้ประหยัดและคุ้มคา่ โดย
ใช้คำถามว่า นักเรียนจะนำความรู้เกี่ยวกับผลกระทบของการใช้วัสดุในชีวิตประจำวนั มาเลือกและใช้วัสดอุ ย่าง
ประหยัดและคุม้ คา่ ไดอ้ ยา่ งไร (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง)
3) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 51 และครูตรวจสอบความ
เข้าใจการอ่าน โดยใช้คำถามดงั ต่อไปนี้
- กิจกรรมนเ้ี ก่ยี วกับเรือ่ งอะไร (แนวทางการใช้วสั ดอุ ยา่ งประหยดั และคุม้ คา่ )
- กจิ กรรมนี้มจี ุดประสงค์อะไร (ระบเุ หตุผลในการเลอื กใช้วัสดอุ ย่างประหยัดและคุ้มค่า)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (สืบค้นข้อมูลการใช้วัสดุประเภทพอลิเมอร์
เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมในชีวิตประจำวัน โดยบันทึกลงในตารางบันทึกข้อมูลประเภทของวัสดุ ตัวอย่าง
ส่งิ ของเครื่องใช้ และระบเุ หตผุ ลที่เลือกนำวสั ดุนั้นมาใช้งาน)
- ข้อควรระวังในการทำกิจกรรมมอี ะไรบ้าง (การเลือกใชข้ อ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มูลทเี่ ชื่อถือได้)
- นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมขอ้ มูลอะไรบ้าง (ระบุเหตุผลที่สอดคล้องกับการเลือกใชง้ าน
วสั ดุใหส้ อดคล้องกบั ความคุม้ ค่าและประหยัด)
4) ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุม่ ทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนักเรียนแต่ละกลมุ่
และให้คำแนะนำ ถ้านักเรียนมีข้อสงสัยในประเด็นต่าง ๆ ที่อาจเป็นปัญหา ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และข้อ
สงสยั ทพ่ี บจากการทำกจิ กรรมของนกั เรยี นเพอื่ ใช้เป็นข้อมลู ประกอบการอภิปรายหลังจากการทำกิจกรรม
ขนั้ ที่ 3 ขนั้ อธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (20 นาที)
5) นักเรียนบันทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทึกการค้นคว้ากิจกรรมท้ายบท ใช้วัสดุใน
ชีวิตประจำวนั อย่างไรให้ประหยัดและคมุ้ คา่ โดยการตอบคำถามท้ายกิจกรรม และร่วมกันสรุปผลของกจิ กรรม
ขนั้ ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที)
6) นักเรียนเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ การเลือกใช้วัสดุในชีวิตประจำวนั อย่างไรให้ประหยัดและ
คมุ้ ค่า และตอบคำถามระหวา่ งเรยี น จากน้ันร่วมกันอภปิ รายร่วมกัน ในประเดน็ คำถามดังนี้
- ปฏกิ ริ ิยาเคมีมคี วามสำคญั อย่างไร (แนวคำตอบ ปฏิกริ ิยาเคมที ำให้เกิดสารใหม่ท่ีมีสมบัติต่าง
จากเดิม ซึ่งผลิตภัณฑ์ของบางปฏิกิริยาเคมีสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันและอุตสาหกรรมได้
ปฏกิ ริ ยิ าเคมบี างชนดิ ใหค้ วามร้อนซึ่งสามารถนำไปใช้ในอตุ สาหกรรมและในครวั เรอื น ปฏิกริ ยิ าเคมีบางชนดิ สรา้ ง
อาหารให้แกส่ ง่ิ มชี วี ติ )
- พอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมมีสมบัติอย่างไร และสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้
อย่างไร (แนวคำตอบ พอลิเมอร์สว่ นใหญไ่ ม่นำไฟฟ้า ไมน่ ำความร้อน บางชนิดมสี ภาพยดื หยุน่ สูง บางชนิดได้รับ
ความรอ้ นแลว้ เปล่ยี นแปลง พอลิเมอรส์ ามารถนำมาขนึ้ รูปเปน็ ผลิตภัณฑร์ ปู ทรงต่าง ๆ ได้งา่ ย และมีสมบัติเหมาะ
สำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ จึงเปน็ วัสดุทน่ี ำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างแพร่หลาย เชน่ บรรจุภัณฑ์
ต่าง ๆ
เซรามิกมีสมบัติแข็งแต่เปราะ ทนต่อการสึกกร่อน ไม่นำไฟฟ้า ไม่นำความร้อน นิยมนำมาทำภาชนะ
บรรจุอาหาร เครอ่ื งดมื่ เคร่อื งประดบั ตกแตง่ บา้ น
โลหะมีสมบัติแข็งและเหนียว สามารถตีให้เป็นแผ่นหรือยืดเป็นเส้นได้ นำไฟฟ้าและนำความร้อนได้ดี
นิยมนำโลหะมาทำเครือ่ งใชท้ ที่ นความรอ้ น นำความร้อนและนำไฟฟ้าได้ดี เช่น ภาชนะหงุ ตม้ ตัวนำไฟฟ้า
ส่วนวสั ดผุ สมเกิดจากการนำวัสดุต่างชนิดกันมาประกอบกนั เพ่อื ให้มีสมบัตติ ามต้องการซ่งึ ดีกว่าวัสดุตั้ง
ตน้ เชน่ ยางรถยนตเ์ ป็นวสั ดุผสมท่ีประกอบด้วยยางธรรมชาติ พอลเิ อสเทอร์ เสน้ ลวดโลหะ ทำให้มีสมบัติดีกว่า
ยางธรรมชาติ สามารถรับแรงกระแทกไดด้ ี ต้านทานตอ่ การฉกี ขาด และทนต่อความร้อน)
7) ครูและนักเรียนร่วมกันสรุปผล เพื่อให้ได้ข้อสรุปจากกิจกรรมว่า การใช้วัสดุประเภท
พอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมอย่างประหยัดและคุ้มค่า ทำได้โดยใช้วัสดุต่าง ๆ เท่าที่จำเปน็ ซ่อมแซม
ดูแลรักษาผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ให้ใช้งานได้นาน เพื่อจะได้ไม่ต้องผลิตเพิ่มขึ้นอีก นำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ คัดแยกวัสดุ
เพือ่ นำกลบั ไปผลิตใหม่ และงดใชผ้ ลติ ภณั ฑบ์ างประเภทที่เป็นพษิ หรอื ไมย่ อ่ ยสลายในธรรมชาติ
ขน้ั ที่ 5 ขัน้ ประเมิน (Evaluation) (20 นาที)
8) นกั เรยี นตรวจสอบการทำแบบบนั ทึกการค้นควา้ และสง่ ตามกำหนดทีว่ างไว้
9) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมิน (Rubrics Score)
8. ส่ือการเรยี นรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 อปุ กรณท์ ำกจิ กรรม: อปุ กรณ์ท่ใี ช้ในการสบื ค้น เช่น โทรศัพทเ์ คล่ือนท่ี คอมพวิ เตอรท์ ่เี ชื่อมตอ่
อินเทอร์เน็ต
8.2 ใบกิจกรรม: ใบกจิ กรรมท้ายบท ใช้วัสดุในชวี ติ ประจาวันอยา่ งไรใหป้ ระหยัดและค้มุ ค่า
8.3 แบบบันทึกกจิ กรรม: แบบบันทึกการค้นคว้ากจิ กรรมท้ายบท ใช้วัสดุในชวี ติ ประจาวันอยา่ งไรให้
ประหยดั และคมุ้ ค่า
8.4 แหลง่ เรยี นร:ู้ - หนงั สือเรียนรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชัน้ มัธยมศึกษาปีที่ 3
เล่ม 2 ตามหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ
- คณะพลงั งานสิง่ แวดลอ้ มและวสั ดุ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยพี ระจอม
เกล้าธนบรุ ี. กลุ่มวิจัยการผลิตและขน้ึ รูปพอลเิ มอร.์
http://www.kmutt.ac.th/p-prof/?page_id=740&lang=th
- ศลุ ีพร แสงกระจา่ ง, ปัทมา พลอยสวา่ ง และปริณดา พรหมหติ าธร.
(2556) ผลกระทบของพลาสตกิ ตอ่ สขุ ภาพและส่งิ แวดล้อม. พิษวิทยา
ไทย, 28(1), 39-50.
http://www.thaitox.org/media/upload/file/Journal/2013-1/04aricle.pdf
- สมาคมพัฒนาคณุ ภาพสิ่งแวดลอ้ ม. ร้รู อบเรอ่ื งพลาสตกิ : จากตน้ กำเนิด
สู่การจดั การ. http://adeq.or.th/knowlage-about-plastic-01/
- ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวสั ดุแห่งชาต.ิ พลาสตกิ ยอ่ ยสลายได้
https://www.mtec.or.th/bio-plastic/index.html
9. การวัดและการประเมิน
ตวั ชีว้ ัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวัด เครือ่ งมอื วัด เกณฑ์ท่ใี ช้ในการประเมิน
1. ระบแุ นวทางการใช้วัสดุ - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามทา้ ยกิจกรรมท้ายบท - ได้ไมน่ อ้ ยกว่า 2 คะแนน
ประเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ ทา้ ยกิจกรรมทา้ ยบท ใชว้ ัสดุในชีวติ ประจาวัน ระดบั คุณภาพดี ถอื ว่า
โลหะ และวสั ดุผสมอย่าง อย่างไรใหป้ ระหยัดและ ผา่ นการประเมนิ
ประหยดั และคุม้ คา่ คมุ้ ค่า ด้านความรู้
(ดา้ นความรู้: K)
2. การใชท้ กั ษะส่ือสาร โดย - ตรวจการทำแบบ - แบบบนั ทึกการค้นคว้า - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน
นำเสนอผลการสืบค้นขอ้ มลู บันทกึ การค้นคว้า กิจกรรมทา้ ยบท ระดบั คณุ ภาพดี ถอื วา่
เกี่ยวกบั การใช้วสั ดุประเภท กจิ กรรมท้ายบท ใชว้ สั ดุในชวี ติ ประจาวนั ผา่ นการประเมนิ
พอลิเมอร์ เซรามิก โลหะและ อย่างไรให้ประหยัดและ ดา้ นกระบวนการ
วสั ดุผสมในชีวิตประจำวัน คุ้มคา่
(ดา้ นกระบวนการ: P)
3. ตระหนักถึงคณุ คา่ ของการ - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามท้ายกิจกรรมทา้ ยบท - ได้ไม่น้อยกว่า 2 คะแนน
ใช้วัสดผุ สมจากการ ท้ายกจิ กรรมทา้ ยบท ใช้วสั ดุในชีวติ ประจาวนั ระดับคณุ ภาพดี ถอื ว่า
เสนอแนะแนวทางการใช้ อยา่ งไรใหป้ ระหยดั และ ผ่านการประเมนิ
วัสดุผสมอย่างประหยัดและ คมุ้ คา่ ด้านเจตคติ
คมุ้ ค่า (ด้านเจตคติ: A)
9.1 เกณฑ์การประเมินผลนักเรยี น เกณฑก์ ารประเมนิ (Rubrics Score)
ประเด็นการประเมิน คา่ นำ้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การให้คะแนนตอบ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมทา้ ยบท โดยระบุตวั อย่างวัสดุ แนวทางการใช้
คำถามท้าย 3 งาน และเหตผุ ลในการเลือกใชว้ สั ดุ ที่แสดงเห็นการตระหนกั ถึงคุณคา่
ของการใช้วสั ดผุ สมจากการเสนอแนะแนวทางการใช้วัสดุผสมอย่าง
กิจกรรมท้ายบท ประหยดั และคมุ้ คา่ ได้ชัดเจน ถูกตอ้ ง
ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท้ายบท โดยระบตุ วั อยา่ งวัสดุ แนวทางการใช้
2 งาน และเหตผุ ลในการเลอื กใช้วัสดุ ที่แสดงเหน็ การตระหนกั ถงึ คุณค่า
ของการใช้วสั ดุผสมจากการเสนอแนะแนวทางการใช้วสั ดุผสมอยา่ ง
ประหยดั และคมุ้ คา่ ได้ แตม่ ีขอ้ ผดิ พลาด
ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท้ายบท โดยระบตุ ัวอยา่ งวสั ดุ แนวทางการใช้
1 งาน และเหตผุ ลในการเลือกใช้วสั ดุ ทีแต่ไม่สอดคล้องกับการตระหนัก
ถงึ คณุ ค่าของการใช้วัสดุผสมจากการเสนอแนะแนวทางการใช้วัสดุ
ผสมอยา่ งประหยดั และค้มุ คา่
การใหค้ ะแนนการบันทกึ บันทึกผลลงในตารางบนั ทกึ ผลการทำกิจกรรม โดยนำเสนอผลการ
แบบบนั ทกึ การคน้ ควา้
3 สืบค้นข้อมูลเกยี่ วกบั การใช้วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และ
กจิ กรรมท้ายบท วัสดผุ สมในชวี ิตประจำวนั ไดถ้ กู ตอ้ ง ครบถว้ น ลงในแบบบันทกึ การ
ค้นคว้า ครบทกุ ประเดน็ สอดคลอ้ งกับเน้อื หาในกิจกรรม
บันทึกผลลงในตารางบนั ทึกผลการทำกจิ กรรม โดยนำเสนอผลการ
2 สืบคน้ ขอ้ มูลเกย่ี วกบั การใช้วัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก โลหะ และ
วสั ดผุ สมในชีวิตประจำวันได้ ตามความเปน็ จรงิ ลงในแบบบันทึก
การค้นคว้า แตย่ งั มขี อ้ ผิดพลาด
บันทกึ ผลลงในตารางบันทกึ ผลการทำกจิ กรรม โดยนำเสนอผลการ
1 สืบคน้ ข้อมลู เกีย่ วกับการใชว้ ัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ
และวัสดุผสมในชีวติ ประจำวนั ได้ ไม่ถูกต้อง มขี อ้ ผิดพลาดท่ีต้องแกไ้ ข
ปรับปรุง
ประเดน็ การประเมิน ค่านำ้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนการให้ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมทา้ ยบท โดยระบตุ ัวอย่างวัสดุ แนวทางการใช้
เหตุผลการตระหนกั ถงึ 3 งาน และเหตุผลในการเลอื กใช้วสั ดุ ท่ีแสดงเหน็ การตระหนกั ถึงคุณค่า
คณุ ค่าของการใช้วัสดุใน ของการใชว้ สั ดผุ สมจากการเสนอแนะแนวทางการใช้วัสดุผสมอย่าง
2 ประหยัดและคมุ้ ค่า ไดช้ ัดเจน ถูกตอ้ ง
ชีวิตประจำวนั ตอบคำถามท้ายกิจกรรมทา้ ยบท โดยระบุตัวอย่างวัสดุ แนวทางการใช้
1 งาน และเหตผุ ลในการเลือกใชว้ สั ดุ ทแ่ี สดงเหน็ การตระหนักถงึ คุณค่า
ของการใช้วสั ดุผสมจากการเสนอแนะแนวทางการใช้วสั ดุผสมอยา่ ง
ประหยัดและคุ้มคา่ ได้ แตม่ ีข้อผดิ พลาด
ตอบคำถามท้ายกิจกรรมทา้ ยบท โดยระบตุ วั อย่างวัสดุ แนวทางการใช้
งาน และเหตุผลในการเลือกใช้วสั ดุ ทีแตไ่ มส่ อดคลอ้ งกบั การตระหนัก
ถึงคุณคา่ ของการใช้วสั ดุผสมจากการเสนอแนะแนวทางการใช้วสั ดุ
ผสมอย่างประหยดั และคมุ้ คา่
9.2 ระดับคุณภาพ หมายถงึ ดีมาก
หมายถงึ ดี
คะแนนรวมเฉลย่ี 3.00 หมายถงึ พอใช้
คะแนนรวมเฉลย่ี 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉล่ยี 0.01 - 1.99
ดังนน้ั นักเรียนต้องไดค้ ะแนนเฉล่ยี ทกุ ประเด็นการประเมิน ไม่ตำ่ กว่า 2.00 แสดงระดับ
คุณภาพ ดี ถอื วา่ ผ่านเกณฑก์ ารประเมนิ ในแผนการจัดการเรยี นที่ 11
สือ่ การเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11: ใบกิจกรรมท้ายบท
ใบกิจกรรมทา้ ยบท ใชว้ สั ดุในชวี ิตประจาวันอยา่ งไรให้ประหยดั และคุ้มคา่
หนงั สอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เลม่ 2 ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร หน้า 51
กจิ กรรมท้ายบท ใชว้ สั ดใุ นชีวิตประจำวันอย่างไรใหป้ ระหยดั และค้มุ คา่ ?
จุดประสงค์ นำเสนอแนวทางการใช้วัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมอย่าง
วัสดุอุปกรณ์ ประหยัดและคุ้มค่า
วิธีดาเนนิ กิจกรรม อุปกรณ์ทใี่ ช้ในการสบื ค้น เชน่ โทรศัพท์เคลอ่ื นท่ี คอมพวิ เตอร์ทเ่ี ชอื่ มตอ่ อนิ เทอรเ์ น็ต
สือ่ การเรียนรู้/ 1. สารวจและระบสุ งิ่ ของเครื่องใชใ้ นบา้ นที่ทาจากวัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก
แหล่งเรียนรู้ โลหะ และวสั ดุผสมอยา่ งละ 2 ชนิ้
2. รวบรวมข้อมลู และอภปิ รายเหตุผลท่นี าวสั ดุเหล่านัน้ มาทาเครอ่ื งใชแ้ ต่ละชนดิ
บนั ทึกผล
3. อภิปรายและนาเสนอแนวทางในการใช้พอลิเมอร์ เซรามกิ โลหะ และวสั ดุผสม
อยา่ งประหยัดและคมุ้ ค่า
คณะพลังงานส่ิงแวดล้อมและวัสดุ มหาวทิ ยาลยั เทคโนโลยีพระจอม
เกลา้ ธนบุรี. กลมุ่ วจิ ยั การผลิตและขึ้นรปู พอลเิ มอร์.
http://www.kmutt.ac.th/p-prof/?page_id=740&lang=th
ศุลีพร แสงกระจ่าง, ปทั มา พลอยสว่าง และปรณิ ดา พรหมหิตาธร.
(2556) ผลกระทบของพลาสติกต่อสขุ ภาพและส่ิงแวดล้อม. พษิ วทิ ยา
ไทย, 28(1), 39-50.
http://www.thaitox.org/media/upload/file/Journal/2013-1/04aricle.pdf
สมาคมพัฒนาคุณภาพสิ่งแวดล้อม. รู้รอบเร่ืองพลาสติก : จากต้นกาเนิด
ส่กู ารจดั การ. http://adeq.or.th/knowlage-about-plastic-01/
ศูนยเ์ ทคโนโลยีโลหะและวสั ดุแห่งชาติ. พลาสติกย่อยสลายได้
https://www.mtec.or.th/bio-plastic/index.html
คำถามท้ายกจิ กรรม
1. การใช้วสั ดุประเภทพอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดผุ สมอย่างประหยัดและคุ้มคา่ ทำไดอ้ ยา่ งไร
สือ่ การเรยี นรู้แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 11: แบบบันทกึ การค้นคว้ากิจกรรมทา้ ยบท
แบบบันทกึ การคน้ คว้ากิจกรรมท้ายบท ใช้วัสดุในชีวติ ประจาวันอย่างไรใหป้ ระหยัดและคุ้มค่า
ช่อื -นามสกุล..........................................................................................ชน้ั .................เลขท่ี...........กลุ่มท.ี่ ...........
ตาราง ประเภทของวัสดุ ตัวอย่างสงิ่ ของเครื่องใช้ และเหตุผลทน่ี ำวสั ดุมาทำเครือ่ งใช้
ประเภทของวสั ดุ ตัวอยา่ งสิง่ ของ เหตุผลท่ีนำวสั ดมุ าทำเครื่องใช้นนั้
พอลเิ มอร์ เคร่ืองใช้ภายในบ้าน
เซรามิก
โลหะ หลอดกาแฟ ...................................................................................................
วสั ดุผสม
...................................................................................................
รองเทา้ ยาง ...................................................................................................
...................................................................................................
กระเบ้อื งปพู น้ื ...................................................................................................
...................................................................................................
ถ้วยกระเบื้อง ...................................................................................................
...................................................................................................
ฟอยล์ห่ออาหาร ...................................................................................................
...................................................................................................
กอ๊ กน้ำ ...................................................................................................
...................................................................................................
เก้าอีส้ นามท่ีทำจาก ...................................................................................................
พลาสตกิ เสริมใยแกว้ ...................................................................................................
เสอื้ กันฝนท่ีทำจาก ...................................................................................................
ผา้ คอมโพสิต ...................................................................................................
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. การใช้วัสดุประเภทพอลเิ มอร์ เซรามิก โลหะ และวสั ดุผสมอยา่ งประหยัดและคุ้มค่า ทำได้อย่างไร
ตอบ ………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………
..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนบท้ายแผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 11: การให้คะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบันทึกการคน้ คว้ากจิ กรรมท้ายบท ใชว้ ัสดุในชวี ิตประจาวันอย่างไรใหป้ ระหยดั และคุม้ ค่า
ตาราง ประเภทของวสั ดุ ตัวอยา่ งสงิ่ ของเครื่องใช้ และเหตุผลที่นำวัสดุมาทำเครื่องใช้
นักเรยี นอาจสบื คน้ ขอ้ มูลการใช้วสั ดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ โลหะ และวัสดุผสมในชีวติ ประจำวัน
โดยจัดทำตารางบนั ทึกข้อมูลประเภทของวสั ดุ ตวั อย่างสงิ่ ของเคร่ืองใช้ และเหตุผลท่นี ำวสั ดมุ าทำเครือ่ งใชน้ ้ัน
ดังตัวอยา่ ง
ประเภทของวัสดุ ตัวอย่างส่งิ ของ เหตุผลทีน่ ำวัสดมุ าทำเครือ่ งใช้นน้ั
พอลเิ มอร์ เครื่องใชภ้ ายในบ้าน
เซรามิก หลอดกาแฟ ขน้ึ รปู เป็นรูปทรงตา่ ง ๆ ได้ง่ายตาม
โลหะ
วสั ดผุ สม ความต้องการ ปอ้ งกนั การซมึ ผ่านของสารได้
รองเทา้ ยาง ยดื หยุ่นได้ดี สามารถคืนตวั เบาแตแ่ ขง็ แรง
ดดู ซบั แรงกระแทกได้ดี
กระเบ้ืองปพู นื้ แขง็ ทนตอ่ การสกึ กรอ่ น ทนความร้อน
ไม่ยดื หยุ่น
ถว้ ยกระเบื้อง ทนความรอ้ นได้ดี ไม่นำไฟฟา้ ทนตอ่ การสกึ กรอ่ น
ฟอยล์ห่ออาหาร ทำใหเ้ ป็นแผน่ และทำเป็นรูปรา่ งตา่ ง ๆ ได้
นำความรอ้ น และทนความร้อนไดด้ ี
กอ๊ กน้ำ แขง็ เหนยี ว ทนต่อการสึกกรอ่ น
มจี ุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง
เก้าอสี้ นามท่ีทำจาก แขง็ แรงแตน่ ำ้ หนักเบา ไมด่ ดู ซึมน้ำ ทำเป็น
พลาสตกิ เสริมใยแกว้ รปู รา่ งต่าง ๆ ได้ตามตอ้ งการ
เสือ้ กันฝนท่ีทำจาก อ่อนนุ่ม ทนทาน ไมข่ าดง่าย กนั น้ำแต่ระบาย
ผ้าคอมโพสิต ไอน้ำได้ ทำใหไ้ ม่อบั ชื้น ไม่รอ้ น
หมายเหตุ: การนำเสนอขอ้ มลู เก่ยี วกบั แนวทางการใชพ้ อลเิ มอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมอย่างประหยดั
และคมุ้ คา่ ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น วีดิทัศน์ การแสดงข้อมลู โดยใชภ้ าพ (infographic) ภาพเคล่ือนไหว
หรือนำเสนอผา่ นส่อื ออนไลน์ตา่ ง ๆ
นอกจากน้ี นักเรียนอาจสบื ค้นข้อมูลและนำเสนอเกีย่ วกับวสั ดชุ นิดใหม่ เช่น พลาสติกยอ่ ยสลายไดท้ ่ี
ผลิตจากวัสดธุ รรมชาติ เชน่ แป้ง เซลลโู ลส เคซนี ซึง่ สามารถนำไปใช้งานได้อย่างแพรห่ ลาย เชน่
ใช้ในทางการแพทย์ การเกษตร อุตสาหกรรมอาหาร
แนบทา้ ยแผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 11: การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
เฉลยใบกจิ กรรมทา้ ยบท ใช้วัสดุในชวี ิตประจาวันอย่างไรใหป้ ระหยดั และคุ้มค่า
เฉลยคำถามท้ายกิจกรรม
1. การใช้วัสดปุ ระเภทพอลิเมอร์ เซรามิก โลหะ และวัสดุผสมอย่างประหยดั และคุ้มคา่ ทำได้อยา่ งไร
แนวคำตอบ การใช้วัสดปุ ระเภทพอลเิ มอร์ เซรามกิ โลหะ และวัสดุผสมอย่างประหยัดและคุม้ ค่า ทำได้
โดยใช้วสั ดุต่าง ๆ เท่าท่ีจำเป็น ซ่อมแซมดแู ลรกั ษาผลิตภณั ฑต์ ่าง ๆ ให้ใช้งานได้นาน เพอ่ื จะได้ไมต่ อ้ งผลิตเพิม่ ข้นึ
อกี นำวสั ดกุ ลบั มาใชซ้ ำ้ คดั แยกวัสดเุ พอื่ นำกลบั ไปผลติ ใหม่ และงดใช้ผลิตภัณฑ์บางประเภทที่เป็นพิษหรือไม่
ย่อยสลายในธรรมชาติ
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 6
ไฟฟา้
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 12
เรอ่ื ง กระแสไฟฟา้ รหัสวิชา ว23102 เวลา 1 ชวั่ โมง
รวม 22 ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 6 ชื่อหน่วยการเรียนรู้ ไฟฟา้ ช้นั มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรยี นที่ 2
มาตรฐาน ว 2.3
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาระที่ 2 ชื่อสาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชีว้ ดั
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
สสารและพลงั งาน พลังงานในชีวติ ประจำวนั ธรรมชาติของคลน่ื ปรากฏการณท์ ี่เกยี่ วขอ้ งกับเสียง แสง และคลื่น
แม่เหล็กไฟฟา้ รวมทัง้ นำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ตัวช้ีวัด
ว 2.3 ม.3/3 ใชโ้ วลต์มิเตอร์ แอมมเิ ตอรใ์ นการวัดปรมิ าณทางไฟฟา้
2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
1) เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าออกจากขั้วบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของ
แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ซึง่ วัดคา่ ไดจ้ ากแอมมเิ ตอร์
3. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ นักเรียนอธิบายวธิ ีการวดั คา่ กระแสไฟฟา้ โดยใช้แอมมิเตอร์ได้
1) ด้านความรู้ (K) นกั เรยี นใชท้ ักษะการวัด โดยใช้แอมมิเตอร์วดั คา่ กระแสไฟฟ้า
2) ด้านทักษะ (P) พรอ้ มระบหุ น่วยของการวัดได้
นักเรยี นตระหนักถงึ ความสำคัญของการใชอ้ ุปกรณก์ ารทำกิจกรรมได้
3) ด้านเจตคติ (A)
4. คณุ ลักษณะผ้เู รยี น ซื่อสัตยส์ จุ ริต มงุ่ มน่ั ในการทำงาน
4.1 คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค์ ใฝเ่ รียนรู้ มีจิตสาธารณะ
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง
มีวินยั รักความเปน็ ไทย
5. ดา้ นสมรรถนะสำคัญของผเู้ รียน
ความสามารถในการคิด: นักเรยี นสามารถคิด โดยการวิเคราะหแ์ ละแปลความหมายข้อมลู คา่
กระแสไฟฟ้าท่ีได้จากเครอื่ งมอื วดั
ความสามารถในการสอื่ สาร: นักเรยี นสามารถส่ือสาร โดยนำเสนอขอ้ มลู ทีไ่ ดจ้ ากการวัด
ค่ากระแสไฟฟ้า ลงในตารางบนั ทึกผล
6. สาระการเรยี นรู้
วงจรไฟฟา้ อย่างประกอบดว้ ยแหล่งกำเนิดไฟฟา้ สายไฟฟ้า และอุปกรณ์ไฟฟ้า เม่ือต้องการใหอ้ ุปกรณ์
ไฟฟ้าทำงาน ต้องต่ออปุ กรณ์ไฟฟ้าเข้ากับแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งมีความต่างศักย์ไฟฟา้ ระหว่างขั้วบวกและขั้วลบ
จากน้ันเมือ่ กดสวติ ช์จะมีประจไุ ฟฟ้าเคล่ือนที่ทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น โดยกระแสไฟฟา้ จะเคลื่อนท่ีจากข้ัวบวก
ซึ่งมีศักย์ไฟฟ้าสูงกว่าผ่านอุปกรณ์ไฟฟ้า แล้วกลับเข้ามายังขั้วลบซึ่งมีศักย์ไฟฟ้าต่ำกว่าจนครบวงจร ขณะท่ี
กระแสไฟฟ้าเคลอ่ื นท่ีพลงั งานจากแหลง่ กำเนิดไฟฟ้าจะสง่ ผ่านสายไฟฟ้าไปยังอุปกรณไ์ ฟฟ้า ทำให้อุปกรณ์ไฟฟ้า
ทำงานได้ โดยเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานอื่น เช่น พลังงานแสง ดังภาพ นอกจากนั้นพลังงานไฟฟ้ายัง
เปลีย่ นเป็นพลงั งานเสยี ง พลงั งานความรอ้ น พลังงานกลได้อีกด้วย
ภาพแสดง การทำงานของวงจรไฟฟา้ ในไฟฉาย
อา้ งองิ จาก: หนังสอื เรียนรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธิการ หนา้ 65
กระแสไฟฟ้า (electric current) คือ ปริมาณประจุไฟฟ้าที่เคลื่อนที่ผ่านพื้นที่หน้าตัดของตัวนำ
ไฟฟ้าในหนึ่งหน่วยเวลา โดยเคลื่อนที่จากจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูงไปยงั จดุ ที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ กระแสไฟฟ้าแทนด้วย
สญั ลักษณ์ I มหี นว่ ยเปน็ แอมแปร์ (ampere : A)
การวัดค่ากระแสไฟฟ้าในวงจรจะใช้เครื่องมือที่เรียกว่า แอมมิเตอร์
(ammeter) การนำแอมมิเตอร์ไปใช้ทำได้ โดยต่อแอมมิเตอร์แทรกเข้าไปใน
วงจรแบบเรยี งกันไป ณ จุดที่ต้องการวดั ค่ากระแสไฟฟ้า ซึ่งต้องต่อขัว้ บวกและ
ขั้วลบของแอมมิเตอรให้ถูกต้อง โดยต่อข้ัวบวกของแอมมิเตอร์เข้าทางขั้วบวก
ของถา่ นไฟฉาย ซงึ่ เป็นจดุ ที่มีศักย์ไฟฟ้าสงู และตอ่ ขั้วลบของแอมมิเตอร์เข้าทาง
ขั้วลบของถ่านไฟฉาย ซึ่งเป็นจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ขั้วบวกของแอมมิเตอร์มี
หลายขั้ว ซึ่งแต่ละขั้วจะรองรับกระแสไพฟสูงสุดที่ต่างกัน เช่น 2 100 500
มิลลิแอมแปร์ และ 5 แอมแปร์ ต้องเลือกข้ัวบวกให้เหมาะสม เพื่อให้อ่านค่าได้ ภาพแสดง แอมมเิ ตอร์
ถกู ต้องแมน่ ยำ และไม่เกิดความเสยี หายแก่แอมมเิ ตอร์
ถา้ ต้องการทราบค่าของกระแสไฟฟ้าในวงจรไฟฟา้ สามารถวดั ค่ากระแสไฟฟ้าได้โดยต่อแอมมิเตอร์
แทรกเขา้ ไปในวงจร ณ ตำแหนง่ ที่ต้องการวดั การต่อแอมมเิ ตอร์ต้องพิจารณาขั้วให้ถูกต้อง โดยต่อข้ัวบวกของ
แอมมิเตอร์เข้าทางขั้วบวกของถ่านไฟฉาย ซึ่งเป็นจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง และต่อขั้วลบของแอมมิเตอร์เข้าทาง
ข้วั ลบของถา่ นไฟฉายซึ่งเปน็ จุดที่มศี ักยไ์ ฟฟา้ ตำ่
ถ้าต่อสลับขั้วกันเข็มของแอมมิเตอร์จะเบนไปในทิศทางตรงกันขา้ ม
ซึ่งอาจทำให้แอมมิเตอร์เสียหายได้ นอกจากนี้ในการเริ่มต้นวัดแต่ละคร้ัง
ต้องเลือกใช้ขั้วบวกที่รองรับกระแสไฟฟ้าสูงที่สุดก่อน เนื่องจากเราไม่ทราบว่า
ค่ากระแสไฟฟ้าในวงจรมีค่าเป็นเท่าใด ถ้าเริ่มต้นวัดโดยใช้ขั้วบวกที่รองรับ
กระแสไฟฟ้าสูงสุดที่มีขนาดน้อยกว่าค่ากระแสไฟฟ้าในวงจร อาจทำให้
แอมมิเตอร์เสียหายได้ แต่ถ้าวัดแล้วพบว่าเข็มไม่เบนหรือเบนเพียงเล็กน้อย
ให้เปลี่ยนขั้วบวกให้มีค่าน้อยลงทีละระดับจนสามารถอ่านค่าได้ละเอียดข้ึน ภาพแสดง การตอ่ แอมมเิ ตอร์
เพื่อวัดค่ากระแสไฟฟา้
ค่ากระแสไฟฟ้าทีว่ ัดไดม้ หี น่วยเป็นแอมแปร์
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ใช้รูปแบบการจดั การเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (1 ชว่ั โมง; 60นาที)
ข้ันที่ 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (10 นาที)
1) ครูกระตุ้นความสนใจของนักเรียน เพื่อนำเข้าสู่หน่วยการเรียนรู้ที่ 6 เรื่อง ไฟฟ้า โดยให้
นักเรียนดภู าพนำหนว่ ย (หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้ันม.3 เล่ม 2 สสวท.หน้า 60)
จากนั้นอภปิ รายรว่ มกนั โดยใชป้ ระเดน็ คำถามดงั นี้
- จากภาพ นกั เรยี นสงั เกตเห็นอะไร (นักเรยี นตอบตามความคิดของตนเอง เช่น สังเกตเห็นช่าง
ไฟฟา้ กำลงั ซ่อมแซมอุปกรณ์อิเล็กทรอนกิ ส์หรืออปุ กรณไ์ ฟฟา้ )
- นักเรียนคิดว่าภายในสมาร์ตโฟนประกอบด้วยอะไรบ้าง (นักเรียนตอบตามความคิดของ
ตนเอง เชน่ หน้าจอ กล้องถา่ ยรูป ลำโพง วงจรไฟฟ้า)
2) เชื่อมโยงเข้าสูบ่ ทที่ 1 วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย โดยให้นักเรยี นสังเกตภาพนำบท (หนังสือเรียน
รายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นม.3 เล่ม 2 สสวท. หน้า 62) พร้อมทั้งให้นักเรียนอ่านเนื้อหา
นำบท และรว่ มอภปิ รายเกยี่ วกบั การพัฒนาความรู้ความเขา้ ใจเร่ืองไฟฟ้า โดยใช้คำถามตอ่ ไปนี้
- การคน้ พบความรเู้ รอ่ื งไฟฟ้ามีมาตงั้ แต่เมื่อใด (ตั้งแต่ยุคกรีกโบราณ)
- นักวิทยาศาสตร์แต่ละคนได้ค้นพบความรู้เกีย่ วกับไฟฟ้านกั เรยี นรู้หรือไมว่ ่านักวิทยาศาสตร์
เหล่านั้นไดแ้ ก่ใครบ้าง และสิ่งที่ค้นพบคืออะไร (ทาลีสค้นพบผลของไฟฟ้าสถิต เบนจามิน แฟรงคลิน พิสูจน์วา่
ประจุไฟฟ้ามีอยู่จริง ไมเคิล ฟาราเดย์ อธิบายการเหนี่ยวนำไฟฟ้าดว้ ยสนามแมเ่ หลก็ ทำให้เกิดการสร้างไดนาโม
ทอมัส แอลวา เอดิสัน คดิ คน้ หลอดไฟฟ้าไดส้ ำเร็จ)
3) ใหน้ ักเรียนสังเกตภาพนำเรอื่ ง ครูกระตุ้นความสนใจโดยใชค้ ำถามดังนี้
- นักเรียนเคยเห็นปรากฏการณ์ในภาพนี้หรือไม่ ปรากฏการณ์นี้คืออะไร (นักเรียนตอบตาม
ความเข้าใจของตนเอง เชน่ ปรากฏการณฟ์ ้าแลบ ฟา้ ผา่ )
- นักเรียนคดิ ว่าปรากฏการณน์ เ้ี กิดข้ึนได้อย่างไร (นกั เรียนตอบตามความเข้าใจของตนเอง เช่น
เกิดจากการปลอ่ ยพลงั งานไฟฟา้ ทสี่ ะสมในเมฆ)
4) ให้นักเรียนทำกจิ กรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน (หนังสือเรียนรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ชั้นม.3 เลม่ 2 สสวท. หน้า 64) จำนวน 5 ขอ้ (เฉลยแนบท้ายแผนการจัดการเรยี นรู้)
5) ครูตรวจสอบการทำกิจกรรมทบทวนความรู้ก่อนเรียน ถ้าไม่ถูกต้องให้แก้ไขความเข้าใจ
คลาดเคลื่อนของนักเรียน ความรู้พื้นฐานเร่ืองส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้าท่ีถูกต้องและเพยี งพอท่ีจะเรียนเร่ือง
ปริมาณทางไฟฟ้าตอ่ ไป
ข้ันท่ี 2 ข้ันสำรวจและค้นหา (Exploration) (20 นาที)
6) ให้นักเรยี นอา่ นเนอื้ หาเกยี่ วกับวงจรไฟฟ้าอย่างงา่ ย นิยามของกระแสไฟฟ้าและการวัด
กระแสไฟฟา้ ในหนงั สอื เรียนหน้า 65-66 ครใู ช้คำถามเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียน ดงั นี้
- ส่วนประกอบของวงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยมอี ะไรบา้ ง (แหล่งกำเนิดไฟฟา้ สายไฟฟ้า และอปุ กรณ์
ไฟฟ้า)
- กระแสไฟฟ้าเกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร (กระแสไฟฟ้าเกดิ จากการเคลื่อนทีข่ องประจไุ ฟฟา้ ผา่ น
พ้นื ที่หนา้ ตดั ของตวั นำไฟฟ้า จากจุดทมี่ ีศักยไ์ ฟฟา้ สงู ไปยังจดุ ท่มี ศี ักยไ์ ฟฟา้ ต่ำ)
- กระแสไฟฟา้ คืออะไร (กระแสไฟฟ้าคือปริมาณประจุไฟฟา้ ทเ่ี คลื่อนท่ใี นตวั นำไฟฟ้าใน
หนึ่งหน่วยเวลา)
- อุปกรณ์ที่ใช้วัดกระแสไฟฟา้ คืออะไร ใช้งานอยา่ งไร (อุปกรณท์ ่ใี ชว้ ัดกระแสไฟฟา้ คอื
แอมมิเตอร์ ใช้งานโดยการต่อสายไฟฟ้าเขา้ กบั ขวั้ ของแอมมิเตอร์ แล้วนำแอมมเิ ตอร์ไปตอ่ แทรกในวงจร ณ
จดุ ทตี่ ้องการวดั ให้ขัว้ บวกของแอมมิเตอรต์ อ่ เข้าทางขว้ั บวกของถ่านไฟฉาย และข้ัวลบของแอมมิเตอร์ตอ่
เขา้ ทางข้วั ลบของถา่ นไฟฉาย)
7) ครูเช่ือมโยงเขา้ สกู่ จิ กรรมที่ 6.1 ใชแ้ อมมเิ ตอรว์ ดั กระแสไฟฟ้าได้อยา่ งไร โดยใชค้ ำถามว่า ใน
การใช้แอมมิเตอร์วัดค่ากระแสไฟฟ้าควรเลือกขั้วบวกให้เหมาะสมเพื่อให้อ่านค่าได้ถูกต้องแม่นยำและไม่เกิด
ความเสียหายแก่แอมมิเตอรไ์ ดอ้ ยา่ งไร (นักเรียนตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)
8) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 67 และครูตรวจสอบความ
เข้าใจการอ่าน โดยใช้คำถามดงั ต่อไปน้ี
- กจิ กรรมนเ้ี กีย่ วกับเร่ืองอะไร (การใชแ้ อมมเิ ตอรว์ ัดกระแสไฟฟ้า)
- กิจกรรมน้ีมีจุดประสงค์อะไร (วดั ค่ากระแสไฟฟา้ ด้วยแอมมิเตอร์พร้อมระบหุ นว่ ย)
- วธิ ีดำเนนิ กจิ กรรมมีข้ันตอนโดยสรปุ อย่างไร (ตอ่ วงจรไฟฟ้า นำแอมมิเตอร์ตอ่ แทรกเข้าไปใน
วงจรไฟฟ้า แลว้ วดั ค่ากระแสไฟฟา้ )
- ขอ้ ควรระวังในการทำกิจกรรมมอี ะไรบ้าง (ไม่นำแอมมเิ ตอรต์ อ่ กับถ่านไฟฉายโดยตรง เพราะ
จะทำให้แอมมิเตอรเ์ สียหายได)้
- นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (นักเรียนต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ
หลอดไฟฟ้า ค่าของกระแสไฟฟ้า และสงั เกตข้ัวบวกของแอมมเิ ตอรท์ ่นี กั เรยี นเลอื กซึ่งทำให้อ่านค่าไดช้ ัดเจน)
9) ครูควรตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้แอมมิเตอร์ การเลือกขั้วบวกที่
รองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดและการอา่ นคา่ บนหนา้ ปดั ก่อนปฏบิ ัตจิ ริง
10) ขณะท่ีนักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ทำกิจกรรม ครเู ดินสงั เกตการทำกิจกรรมของนกั เรยี นแต่ละกลุ่ม
และให้คำแนะนำ หากนักเรียนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการต่อวงจรไฟฟ้า การเปลี่ยนขั้วบวกของแอมมิเตอร์ และ
การอ่านค่ากระแสไฟฟ้าบนหน้าปัดของแอมมิเตอร์ ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และข้อสงสัยที่พบจากการทำ
กิจกรรมของนกั เรียนเพอื่ ใช้เปน็ ขอ้ มลู ประกอบการอภิปรายหลังจากการทำกจิ กรรม
ขั้นท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรุป (Explanation) (10 นาที)
11) นักเรยี นบนั ทึกการทำกิจกรรมลงในแบบบันทกึ การค้นควา้ กิจกรรมท่ี 6.1 ใช้แอมมเิ ตอร์วัด
กระแสไฟฟา้ ได้อย่างไร โดยสรุปผลของกจิ กรรมและตอบคำถามทา้ ยกิจกรรม เพอ่ื ให้ได้ข้อสรุปจากกจิ กรรมว่า
แอมมิเตอร์เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดกระแสไฟฟ้าในวงจร โดยการต่อแทรกเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของวงจร ณ จุดที่
ต้องการวัดคา่ กระแสไฟฟ้า โดยให้ต่อขัว้ บวกของแอมมิเตอร์เข้าทางขั้วบวกของแหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ ซึง่ เป็นจุดทีม่ ี
ศักย์ไฟฟ้าสูงและต่อขั้วลบของแอมมิเตอร์เข้าทางขั้วลบของแห ล่งกำเนิดไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ
ค่ากระแสไฟฟ้าที่วดั ได้มีหน่วยเป็นแอมแปร์ การเปลี่ยนขั้วบวกที่รองรับกระแสไฟฟ้าสงู สดุ ของแอมมิเตอรต์ ้อง
เร่มิ จากค่าท่ีสูงทีส่ ุดกอ่ นแล้วจึงลดลงมาทค่ี ่าต่ำกวา่ จนอา่ นคา่ กระแสไฟฟา้ ได้ละเอยี ดขึน้
ขนั้ ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้ (Elaboration) (10 นาที)
12) นกั เรียนเรยี นรู้เพิม่ เติมในหนงั สอื เรียนหนา้ 68-70 จากนั้นรว่ มกนั อภปิ รายเกี่ยวกับการวัด
คา่ กระแสไฟฟา้ ด้วยแอมมิเตอร์ โดยใชป้ ระเดน็ คำถามเพ่ิมเตมิ ดังนี้
- เพราะเหตุใดการใช้แอมมิเตอร์วัดค่ากระแสไฟฟ้าจึงต้องเริ่มจากใช้ขั้วบวกที่รองรับ
กระแสไฟฟ้าที่มีค่าสูงสุดก่อนเสมอ (แนวคำตอบ เพราะเราไม่ทราบค่าของกระแสไฟฟ้าในวงจร ถ้าเริ่มต้นจาก
ขว้ั บวกทรี่ องรับกระแสไฟฟา้ สงู สุดทมี่ คี า่ ตำ่ กว่ากระแสไฟฟา้ จรงิ ในวงจร จะทำใหแ้ อมมิเตอร์เสยี หายได)้
- ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้าคอื อะไร (คอื ความแตกตา่ งของพลงั งานไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุดต่อหน่วย
ประจ)ุ
- อุปกรณ์ที่ใช้วัดความต่างศักย์ไฟฟ้าคืออะไร ใช้งานอย่างไร (อุปกรณ์ที่ใช้วัดความต่าง
ศักย์ไฟฟา้ คอื โวลต์มิเตอร์ ใช้งานโดยการต่อสายไฟฟา้ เข้ากบั ขัว้ ของโวลต์มิเตอร์ แล้วนำโวลต์มิเตอร์ไปต่อคร่อม
ระหวา่ งจุดสองจุดทตี่ ้องการวดั ให้ข้วั บวกของโวลตม์ ิเตอร์ตอ่ เข้าทางขวั้ บวกของถ่านไฟฉาย และขั้วลบของโวลต์
มเิ ตอร์ตอ่ เข้าทางข้วั ลบของถา่ นไฟฉาย)
ข้ันท่ี 5 ขนั้ ประเมิน (Evaluation) (10 นาที)
13) ครูและนักเรียนอภิปรายผลการทำกิจกรรม ใชแ้ อมมเิ ตอร์วดั กระแสไฟฟา้ ได้อยา่ งไร
จะได้ข้อสรุปว่า เมื่อต่อวงจรไฟฟ้าครบวงจรจะมีกระแสไฟฟ้าออกจากขั้วบวกผ่านวงจรไฟฟ้าไปยังขั้วลบของ
แหล่งกำเนดิ ไฟฟา้ ซึง่ วัดคา่ ไดจ้ ากแอมมิเตอร์
14) ครูตรวจสอบการส่งแบบบันทกึ การค้นควา้ ของนักเรียนและใหค้ ะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมิน (Rubrics Score)
8. สื่อการเรยี นรู้/แหล่งเรียนรู้
8.1 อุปกรณท์ ำกจิ กรรม: 1) ถา่ นไฟฉายขนาด 1.5 V 2) กระบะถา่ นแบบ 4 ก้อน 3) สายไฟฟา้
4) หลอดไฟฟ้าขนาด 6 V พรอ้ มฐาน 5) สวิตชแ์ บบโยก 6) แอมมเิ ตอร์
8.2 ใบกจิ กรรม: ใบกิจกรรมที่ 6.1 ใชแ้ อมมเิ ตอร์วัดกระแสไฟฟ้าได้อย่างไร
8.3 แบบบนั ทึกกจิ กรรม: แบบบันทกึ การคน้ ควา้ กิจกรรมท่ี 6.1 ใช้แอมมิเตอรว์ ัดกระแสไฟฟา้ ได้อยา่ งไร
8.4 แหลง่ เรยี นร:ู้ หนงั สอื เรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3
เลม่ 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธกิ าร
9. การวัดและการประเมนิ
ตวั ช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้ วิธีการวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑท์ ใ่ี ชใ้ นการประเมิน
1. อธบิ ายวิธีการวดั คา่ - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 6.1 - ได้ไมน่ ้อยกวา่ 2 คะแนน
กระแสไฟฟา้ โดยใช้
แอมมเิ ตอรไ์ ด้ ทา้ ยกจิ กรรมท่ี 6.1 ใชแ้ อมมิเตอรว์ ัด ระดบั คณุ ภาพดี ถอื ว่า
(ดา้ นความรู้: K) กระแสไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งไร ผา่ นการประเมนิ
2. การใช้ทักษะการวดั - ตรวจการทำแบบ จำนวน 3 ข้อ ด้านความรู้
โดยใชแ้ อมมิเตอร์วดั ค่า บันทึกการคน้ ควา้ - แบบบนั ทกึ การค้นคว้า - ได้ไม่นอ้ ยกวา่ 2 คะแนน
กระแสไฟฟา้ พรอ้ มระบุ กิจกรรมที่ 6.1 กจิ กรรมที่ 6.1 ระดบั คุณภาพดี ถอื ว่า
หน่วยของการวัดได้ ใชแ้ อมมิเตอรว์ ัด ผ่านการประเมนิ
(ดา้ นกระบวนการ: P) กระแสไฟฟ้าได้อยา่ งไร ดา้ นกระบวนการ
3. ตระหนกั ถึงความสำคัญ
ของการใช้อปุ กรณ์ - สงั เกตการใชง้ าน - เกณฑก์ ารประเมนิ การใช้ - ไดไ้ ม่นอ้ ยกว่า 2 คะแนน
การทำกจิ กรรมได้ อปุ กรณใ์ นกิจกรรม งานอุปกรณใ์ นกิจกรรม ระดบั คณุ ภาพดี ถือว่า
(ดา้ นเจตคติ: A) ของนักเรยี น ของนักเรียน ผ่านการประเมิน
ดา้ นเจตคติ
9.1 เกณฑ์การประเมินผลนกั เรียน เกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics Score)
ประเด็นการประเมิน คา่ น้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
คะแนน
การให้คะแนนตอบ ตอบคำถามท้ายกิจกรรมที่ 6.1 ถูกต้อง จำนวน 3 ขอ้
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมที่ 6.1 ถูกตอ้ ง จำนวน 2 ขอ้
กิจกรรมที่ 6.1 2 ตอบคำถามท้ายกิจกรรมท่ี 6.1 ถูกต้อง จำนวน 1 ขอ้ หรือ ไมถ่ กู ตอ้ ง
1
ประเดน็ การประเมิน คา่ น้ำหนัก แนวทางการให้คะแนน
การให้คะแนนการบนั ทกึ คะแนน
แบบบันทกึ การค้นควา้ บันทึกผลการทำกจิ กรรมการวดั จากการใชแ้ อมมิเตอร์วดั
3 ค่าความกระแสไฟฟ้า พร้อมระบหุ นว่ ยของการวดั ได้อยา่ งถกู ตอ้ ง
กิจกรรมท่ี 6.1 2 ครบทกุ ประเดน็ สอดคล้องกบั เนอื้ หาในกิจกรรม
1 บันทกึ ผลการทำกิจกรรมการวดั จากการใช้แอมมิเตอรว์ ดั
การใหค้ ะแนน 3 ค่าความกระแสไฟฟา้ พร้อมระบุหน่วยของการวดั ไดถ้ กู ต้อง
การใชง้ านอุปกรณ์ แตม่ ีขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น ทไี่ ม่สอดคลอ้ งกับเนอ้ื หาในกจิ กรรม
2 บันทกึ ผลการทำกิจกรรมการวัด จากการใชแ้ อมมิเตอร์วดั
ในกจิ กรรม คา่ ความกระแสไฟฟา้ พรอ้ มระบุหนว่ ยของการวัดได้ไม่ถกู ตอ้ ง
1 มขี อ้ ผดิ พลาด ทไี่ ม่สอดคลอ้ งกบั เน้ือหาในกจิ กรรม
ใชง้ านอุปกรณก์ ารทดลองในกจิ กรรมได้ถูกวธิ ี หยิบ เคลื่อนย้าย
อปุ กรณ์อย่างระมัดระวงั ไม่หยอกลอ้ หรอื แกลง้ เพอื่ นขณะกำลงั ใช้
งานอปุ กรณ์ และหลงั การใชง้ านอปุ กรณม์ ีการเกบ็ รักษาอยา่ งถกู วธิ ี
ใช้งานอปุ กรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ถูกวิธี หยิบ เคล่ือนย้าย
อปุ กรณ์อยา่ งระมัดระวงั ไม่หยอกลอ้ หรือแกล้งเพอ่ื นขณะกำลังใช้
งานอุปกรณ์ แตห่ ลังการใช้งานอปุ กรณไ์ มม่ กี ารเกบ็ รักษาอยา่ งถูกวิธี
หรือไม่เก็บอปุ กรณ์เข้าตเู้ กบ็ อุปกรณต์ ามประเภทของอุปกรณ์
ใชง้ านอุปกรณก์ ารทดลองในกิจกรรมได้ แตข่ ณะหยิบ เคลื่อนย้าย
อุปกรณ์หรือกำลงั ใชง้ านอุปกรณ์ จะหยอกลอ้ หรือแกลง้ เพ่ือน
อาจทำให้อปุ กรณ์เสยี หายได้ และหลงั การใช้งานอุปกรณไ์ มม่ ี
การเก็บรักษาอยา่ งถูกวธิ ี
9.2 ระดับคณุ ภาพ หมายถึง ดมี าก
หมายถึง ดี
คะแนนรวมเฉลย่ี 3.00 หมายถึง พอใช้
คะแนนรวมเฉลย่ี 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลี่ย 0.01 - 1.99
ดังนนั้ นกั เรยี นต้องไดค้ ะแนนเฉล่ียทุกประเดน็ การประเมนิ ไมต่ ำ่ กวา่ 2.00 แสดงระดบั
คุณภาพ ดี ถือวา่ ผ่านเกณฑ์การประเมนิ ในแผนการจัดการเรยี นท่ี 12
สอ่ื การเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 12: ใบกจิ กรรมที่ 6.1
ใบกจิ กรรมที่ 6.1 ใช้แอมมิเตอรว์ ดั กระแสไฟฟา้ ได้อยา่ งไร
หนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมธั ยมศกึ ษาปีที่ 3 เลม่ 2 ตามหลักสตู รแกนกลาง
การศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธกิ าร หนา้ 67
กจิ กรรมที่ 6.1 ใชแ้ อมมิเตอรว์ ัดกระแสไฟฟา้ ไดอ้ ย่างไร?
จดุ ประสงค์
วัสดุอปุ กรณ์ วัดคา่ กระแสไฟฟา้ ดว้ ยแอมมิเตอร์พรอ้ มระบุหนว่ ย
วิธดี ำเนินกจิ กรรม วสั ดุทีใ่ ชต้ อ่ กลุ่ม
1. ถ่านไฟฉายขนาด 1.5 V 2 ก้อน
2. กระบะถา่ นแบบ 4 กอ้ น 1 อัน
3. สายไฟฟ้า 4 เสน้
4. หลอดไฟฟา้ ขนาด 6 V พรอ้ มฐาน 1 ชุด
5. สวิตช์แบบโยก 1 อนั
6. แอมมิเตอร์ 1 เครื่อง
1. ต่อวงจรไฟฟ้าที่ประกอบดว้ ยถ่านไฟฉาย 2 ก้อน
สวิตช์ สายไฟฟ้าและหลอดไฟฟ้า ดังภาพ กดสวิตช์
ลงให้วงจรปดิ เพื่อทดสอบว่ามีกระแสไฟฟ้าในวงจร
หรือไม่ โดยสังเกตจากการเปลี่ยนแปลงของหลอด
ไฟฟ้า จากน้ันยกสวติ ชข์ น้ึ ใหว้ งจรเปดิ ภาพการจดั อุปกรณใ์ นกิจกรรม
2. ต่อแอมมิเตอร์แทรกเข้าในวงจรไฟฟ้าโดยให้
สายไฟฟ้าที่ต่อกับขั้วลบของถ่านไฟฉายต่อเข้ากับ
ขั้วลบของแอมมิเตอร์ อีกเส้นหนึ่งต่อขั้วบวกของ
แอมมิเตอร์ที่รองรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดเข้ากับ
อุปกรณไ์ ฟฟา้ ทตี่ อ่ จากข้ัวบวกของถ่านไฟฉาย
ดังภาพ ภาพการจัดอุปกรณใ์ นกจิ กรรม
3. กดสวิตช์ลงเพอ่ื ให้วงจรปิด อา่ นค่าของกระแสไฟฟา้ บนแอมมเิ ตอร์ บนั ทึกผลแลว้
ยกสวิตซข์ นึ้
4. เปลยี่ นข้ัวบวกของแอมมิเตอร์ โดยเปล่ียนขั้วบวกท่ีรองรบั กระแสไฟฟา้ สงู สุดลดลง
มาทคี่ า่ ตา่ กว่าจนอา่ นคา่ ของกระแสไฟฟา้ บนแอมมิเตอร์ได้ละเอยี ดขึ้น บนั ทกึ ผลแลว้
ยกสวติ ช์ข้นึ นาเสนอวิธีการและผลการวัดกระแสไฟฟา้
กจิ กรรมที่ 6.1 ใชแ้ อมมิเตอรว์ ดั กระแสไฟฟ้าได้อยา่ งไร?
กำรเตรียมตัว • ครคู วรตรวจสอบคุณภาพของอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยูใ่ นสภาพพรอ้ มใชง้ าน
ลว่ งหน้ำสำหรับครู • ครูควรฝกึ การใช้และการอา่ นคา่ จากแอมมิเตอร์จนเกดิ ความชานาญ
ข้อควรระวัง • ไม่นาแอมมิเตอร์ตอ่ กบั ถ่านไฟฉายโดยตรง เนื่องจากแอมมเิ ตอร์เปน็ อุปกรณ์ทมี่ ี
ความตา้ นทานนอ้ ย การตอ่ แอมมเิ ตอรก์ ับถา่ นไฟฉายจะทาใหก้ ระแสไฟฟ้า
ปรมิ าณมาก เคล่อื นท่ีผ่านแอมมิเตอร์ ซง่ึ อาจทาใหแ้ อมมิเตอรเ์ สียหายได้
• การต่อขั้วของแอมมเิ ตอร์ให้ต่อขั้วบวกของแอมมิเตอร์เข้าทางขั้วบวกของถ่านไฟฉาย
ซง่ึ เปน็ จดุ ท่มี ีศักย์ไฟฟ้าสงู และต่อขัว้ ลบของแอมมิเตอร์เขา้ ทางขวั้ ลบของถา่ นไฟฉาย
ซ่งึ เป็นจดุ ทม่ี ีศักยไ์ ฟฟ้าต่ากวา่
• กอ่ นกดสวิตช์ควรตอ่ อปุ กรณไ์ ฟฟา้ ให้ครบวงจร
• การต่อขั้วบวกทีร่ องรับกระแสไฟฟา้ สงู สุดใหเ้ ร่มิ ทขี่ วั้ บวกทีม่ คี า่ สูงสดุ ก่อน ดังภาพ
จากภาพเรม่ิ ตน้ ทีข่ ว้ั บวกที่มีค่า 5A
ขอ้ เสนอแนะใน ภำพขวั้ บวกและขวั้ ลบของแอมมเิ ตอร์
กำรทำกจิ กรรม • ครคู วรตรวจสอบความเข้าใจของนกั เรียนในการตอ่ แอมมิเตอร์ การเลือกขวั้ บวกท่ี
รองรับกระแสไฟฟ้าสงู สุด การอ่านคา่ บนหนา้ ปดั ก่อนปฏิบัติจรงิ
• หากไม่มีแอมมเิ ตอรส์ ามารถใช้มลั ตมิ ิเตอร์แทนได้ โดยปรบั สเกลไปในยา่ นวัด
กระแสไฟฟา้
คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ถ้าต้องการวัดค่ากระแสไฟฟา้ จะตอ้ งต่อแอมมเิ ตอรเ์ ขา้ ไปในวงจรไฟฟา้ อย่างไร
2. เพราะเหตุใดจึงตอ้ งเปลยี่ นขว้ั บวกท่รี องรับกระแสไฟฟา้ สูงสดุ ของแอมมเิ ตอร์จากคา่ กระแสไฟฟ้าสงู สุด
ลดลงมายังค่าท่ีตำ่ กวา่
3. จากกจิ กรรม สรุปไดว้ า่ อยา่ งไร
สอ่ื การเรยี นรู้แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 12: แบบบันทึกการค้นควา้ กจิ กรรมที่ 6.1
แบบบนั ทกึ กำรค้นคว้ำกิจกรรมที่ 6.1 ใชแ้ อมมเิ ตอรว์ ัดกระแสไฟฟา้ ได้อยา่ งไร
ชือ่ -นามสกุล..........................................................................................ชน้ั .................เลขท่ี...........กล่มุ ท.ี่ ...........
ตารางบันทึกผลการทำกจิ กรรม
ตารางแสดง ค่ากระแสไฟฟา้ ทีว่ ัดไดจ้ ากแอมมิเตอรเ์ มื่อตอ่ กับข้ัวบวกทร่ี องรบั กระแสไฟฟา้ สงู สดุ ต่างกัน
ขว้ั บวกทร่ี องรบั กระแสไฟฟ้าสงู สดุ กระแสไฟฟ้า
5 A ………………..……………………………………………………………
500 mA ………………..……………………………………………………………
หมายเหตุ : ข้วั บวกทีเ่ ลือกข้ึนอยกู่ บั แอมมเิ ตอร์ท่ใี ช้ อาจแตกตา่ งกนั ไปตามรูปแบบของแอมมิเตอรแ์ ต่ละรุ่น
คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. ถา้ ต้องการวดั ค่ากระแสไฟฟ้าจะตอ้ งตอ่ แอมมิเตอรเ์ ข้าไปในวงจรไฟฟา้ อย่างไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. เพราะเหตุใดจึงตอ้ งเปลย่ี นขวั้ บวกทร่ี องรบั กระแสไฟฟา้ สูงสดุ ของแอมมเิ ตอร์จากคา่ กระแสไฟฟา้ สูงสุด
ลดลงมายงั ค่าท่ีตำ่ กวา่
ตอบ ………………..……………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. จากกจิ กรรม สรปุ ได้ว่าอย่างไร
ตอบ ………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………..………………………………………………………………………………………………………………………………………………
แนบท้ายแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 12: การให้คะแนนดา้ นกระบวนการ (P)
แนวทางบนั ทกึ การค้นคว้ากิจกรรมที่ 6.1 ใชแ้ อมมเิ ตอร์วดั กระแสไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งไร
ตารางบนั ทกึ ผลการทำกิจกรรม
ตารางแสดง คา่ กระแสไฟฟา้ ท่ีวดั ได้จากแอมมิเตอรเ์ มือ่ ตอ่ กบั ข้ัวบวกทรี่ องรับกระแสไฟฟ้าสูงสุดตา่ งกัน
ขวั้ บวกทีร่ องรับกระแสไฟฟา้ สูงสดุ กระแสไฟฟา้
5A ………………..…………………0.3 A………………………………
………………..…290 mA หรือ 0.29 A…………………………
500 mA
หมายเหตุ : ขัว้ บวกที่เลอื กขึน้ อยู่กบั แอมมิเตอร์ที่ใช้ อาจแตกต่างกันไปตามรปู แบบของแอมมเิ ตอรแ์ ต่ละร่นุ
แนบท้ายแผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 12: การให้คะแนนด้านความรู้ (K)
เฉลยใบกจิ กรรมท่ี 6.1 ใช้แอมมิเตอรว์ ัดกระแสไฟฟา้ ได้อยา่ งไร
เฉลยคำถามท้ายกิจกรรม
1. ถ้าตอ้ งการวัดคา่ กระแสไฟฟ้าจะตอ้ งตอ่ แอมมเิ ตอรเ์ ขา้ ไปในวงจรไฟฟ้าอยา่ งไร
แนวคำตอบ การวัดค่ากระแสไฟฟา้ ทำไดโ้ ดยตอ่ แอมมเิ ตอร์แทรกเข้าไปเป็นส่วนหนงึ่ ของวงจร ณ ตำแหนง่
ท่ีตอ้ งการวดั คา่ กระแสไฟฟา้ โดยตอ่ ข้วั บวกท่ีรองรบั กระแสไฟฟา้ สูงสดุ ของแอมมเิ ตอร์เขา้ ทางข้ัวบวกของถา่ นไฟฉาย
ซ่งึ เปน็ จดุ ทม่ี ศี ักยไ์ ฟฟ้าสูงและตอ่ ขว้ั ลบของแอมมิเตอรเ์ ข้าทางขัว้ ลบของถ่านไฟฉายซึ่งเป็นจดุ ที่มีศกั ย์ไฟฟ้าต่ำ
2. เพราะเหตใุ ดจึงต้องเปลี่ยนข้วั บวกที่รองรบั กระแสไฟฟา้ สูงสุดของแอมมิเตอรจ์ ากคา่ กระแสไฟฟ้าสูงสดุ
ลดลงมายังคา่ ท่ีต่ำกว่า
แนวคำตอบ เพราะจะทำให้อา่ นคา่ ไดล้ ะเอยี ดขน้ึ กว่าเดิม และเนื่องจากเราไม่ทราบคา่ ของกระแสไฟฟ้า
ในวงจร ถา้ เรมิ่ ตน้ จากข้วั บวกทีร่ องรบั กระแสไฟฟา้ สูงสดุ ที่มีคา่ ต่ำกวา่ กระแสไฟฟา้ จรงิ ในวงจร จะทำให้
แอมมิเตอร์เสียหายได้
3. จากกิจกรรม สรุปไดว้ ่าอย่างไร
แนวคำตอบ แอมมิเตอรเ์ ปน็ เครื่องมอื ท่ีใชว้ ัดกระแสไฟฟ้าในวงจร โดยการตอ่ แทรกเขา้ ไปเปน็ ส่วนหนึ่ง
ของวงจร ณ จดุ ท่ตี อ้ งการวดั ค่ากระแสไฟฟา้ โดยใหต้ ่อขวั้ บวกของแอมมิเตอร์เข้าทางขัว้ บวกของแหลง่ กำเนดิ
ไฟฟา้ ซึ่งเป็นจุดท่มี ศี กั ยไ์ ฟฟ้าสงู และต่อขัว้ ลบของแอมมเิ ตอร์เขา้ ทางขั้วลบของแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้าซึ่งเป็นจุดทีม่ ี
ศกั ย์ไฟฟ้าตำ่ ค่ากระแสไฟฟา้ ทวี่ ัดไดม้ ีหนว่ ยเป็นแอมแปร์ การเปลยี่ นขั้วบวกทีร่ องรบั กระแสไฟฟ้าสงู สุดของ
แอมมเิ ตอร์ต้องเร่มิ จากค่าท่ีสงู ท่ีสุดก่อนแลว้ จงึ ลดลงมาที่คา่ ต่ำกว่าจนอา่ นค่ากระแสไฟฟ้าได้ละเอยี ดขนึ้
แนบท้ายแผนการจัดการเรียนรูท้ ่ี 12: เฉลยกจิ กรรมทบทวนความรู้กอ่ นเรียน
เฉลยกิจกรรมทบทวนความรู้กอ่ นเรียน จำนวน 5 ข้อ
หนังสอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชนั้ ม.3 เล่ม2 สสวท. หนา้ 64-65
จากภาพ นำตวั เลขหน้าอุปกรณไ์ ฟฟา้ ในวงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ยเติมใหต้ รงกบั หน้าทีข่ องอปุ กรณ์นั้น ๆ
ใหถ้ กู ต้อง
1. ถา่ นไฟฉาย ………….2.............เปดิ หรือปิดวงจรไฟฟ้า
2. สวติ ซ์ ………….1.............เป็นแหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้า
3. สายไฟฟา้ ………….4.............เปลยี่ นพลงั งานไฟฟ้าเป็นพลงั งานแสง
4. หลอดไฟฟ้า………….3.............เช่อื มตอ่ ระหว่างแหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า
และอปุ กรณไ์ ฟฟา้
เขียนเครอ่ื งหมาย ล้อมรอบขอ้ ท่ถี ูกตอ้ งทีส่ ดุ เพียงขอ้ เดียว
จากภาพ ตอ้ งตอ่ ถ่านไฟฉายอยา่ งไร หลอดไฟฟ้าจึงสวา่ ง
แนบท้ายแผนการจัดการเรยี นรู้ที่ 12: VDO ปฏบิ ัตกิ ารทางวิทยาศาสตรส์ ำหรับครผู ู้สอน
อา้ งองิ จาก https://ipst.me/9876
เวบ็ ไซต์คลังความรู้ SciMath สถาบนั สง่ เสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
กระทรวงศกึ ษาธกิ าร เผยแพร่เมื่อ : วันท่ี 27กุมภาพันธ์ 2562
สาธติ การทดลองเรือ่ ง การใช้งานแอมมเิ ตอร์ทำไดอ้ ยา่ งไร
ตัวอยา่ งการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เพอ่ื ใหน้ กั เรยี นหาคำตอบวา่ การใช้งาน
แอมมเิ ตอรท์ ำได้อยา่ งไร โดยใหน้ กั เรยี นใชแ้ อมมิเตอรว์ ัดค่ากระแสไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า เหมาะสำหรับนกั เรียน
ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น
ลิขสิทธ์ิ สถาบนั ส่งเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.)
ผูแ้ ต่ง หรือ เจ้าของผลงาน สาขาวิทยาศาสตร์ภาคบังคบั
สาขาวชิ า/กลุม่ สาระวิชา วิทยาศาสตรท์ ่วั ไป
ระดบั ช้นั ม.3
กลุม่ เป้าหมาย ครู
แผนการจัดการเรียนร้ทู ่ี 13
เรอ่ื ง ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ รหัสวิชา ว23102 เวลา 2 ชว่ั โมง
รวม 22 ช่ัวโมง
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 6 ช่ือหน่วยการเรยี นรู้ ไฟฟ้า ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ่ี 3 ภาคเรียนที่ 2
มาตรฐาน ว 2.3
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
สาระท่ี 2 ช่อื สาระ วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ
1. มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตัวช้ีวดั
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
สสารและพลงั งาน พลังงานในชีวิตประจำวนั ธรรมชาตขิ องคล่ืน ปรากฏการณ์ทีเ่ กี่ยวข้องกบั เสียง แสง และคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้า รวมท้งั นำความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 2.3 ม.3/3 ใชโ้ วลตม์ ิเตอร์ แอมมเิ ตอรใ์ นการวดั ปรมิ าณทางไฟฟ้า
2. สาระสำคญั /ความคดิ รวบยอด
1) คา่ ทบี่ อกความแตกต่างของพลงั งานไฟฟา้ ตอ่ หน่วยประจรุ ะหวา่ งจุด 2 จดุ เรยี กวา่ ความตา่ งศกั ย์
ซ่งึ วดั ค่าได้จากโวลต์มิเตอร์
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้ นักเรยี นอธิบายวิธีการวดั คา่ ความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยใช้โวลต์มิเตอร์ได้
1) ด้านความรู้ (K) นักเรยี นใชท้ ักษะการวัด โดยใชโ้ วลตม์ เิ ตอร์วดั ค่าความต่างศกั ย์ไฟฟา้
2) ดา้ นทักษะ (P) พร้อมระบุหน่วยของการวดั ได้
นักเรยี นตระหนกั ถึงความสำคัญของการใชอ้ ุปกรณ์การทำกิจกรรมได้
3) ดา้ นเจตคติ (A)
4. คณุ ลักษณะผเู้ รียน ซือ่ สัตย์สจุ ริต ม่งุ ม่นั ในการทำงาน
4.1 คุณลกั ษณะที่พงึ ประสงค์ ใฝ่เรียนรู้ มีจติ สาธารณะ
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง
มีวินัย รักความเปน็ ไทย
5. ด้านสมรรถนะสำคญั ของผ้เู รียน
ความสามารถในการคิด: นักเรียนสามารถคดิ โดยการวเิ คราะหแ์ ละแปลความหมายขอ้ มูลคา่
ความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้าทไี่ ด้จากเคร่ืองมอื วดั
ความสามารถในการส่อื สาร: นกั เรยี นสามารถส่อื สาร โดยนำเสนอขอ้ มูลทีไ่ ดจ้ ากการวดั
ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ ลงในตารางบันทกึ ผล
6. สาระการเรยี นรู้
ศกั ยไ์ ฟฟ้าเปน็ คา่ ของพลังงานที่มีอยู่ในประจุไฟฟ้า ซ่งึ จะ
มีผลต่อการเคลื่อนทข่ี องกระแสไฟฟ้า เม่อื ต่ออุปกรณไ์ ฟฟา้ 2 จุดที่
มีศักย์ไฟฟ้าแตกต่างกนั จะทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าเคล่ือนที่จากจุดท่ี
มีศักย์ไฟฟ้าสูงผา่ นอุปกรณ์ไฟฟา้ ไปยังจุดที่มีศกั ย์ไฟฟา้ ต่ำกว่า โดย
เปล่ยี นพลังงานไฟฟ้าเปน็ พลงั งานอน่ื เช่น พลังงานแสง เรียกความ
แตกต่างระหว่าง 2 จุดว่า ความต่างศักย์ไฟฟ้า (voltage) โดย
ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ เปน็ ความแตกต่างของพลังงานระหวา่ งจุด 2 จุด
ต่อหน่วยประจุ แทนด้วยสัญลกั ษณ์ V มีหน่วยเป็นโวลต์ (volt : V)
ดังภาพ
ภาพแสดง ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ ระหว่างจุด A และจุด B
อ้างอิงจาก: หนังสอื เรยี นรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 เลม่ 2 ตามหลกั สูตร
แกนกลางการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศกึ ษาธิการ หน้า 69
การวัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าจะใช้โวลต์มิเตอร์ (voltmeter) ภาพแสดง โวลตม์ เิ ตอร์
การต่อโวลต์มิเตอร์ต้องต่อคร่อมระหว่างจุดสองจุดที่ต้องการวัดค่าความต่าง
ศกั ยไ์ ฟฟา้ ซึ่งตอ้ งต่อข้ัวบวกและขวั้ ลบใหถ้ กู ตอ้ ง โดยตอ่ ข้ัวบวกของโวลต์มิเตอร์
เข้าทางขั้วบวกของถ่านไฟฉาย ซึ่งเป็นจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าสูง และต่อขั้วลบของ
โวลต์มิเตอร์เข้าทางขั้วลบของถ่านไฟฉาย ซึ่งเป็นจุดที่มีศักย์ไฟฟ้าต่ำ ขั้วบวก
ของโวลต์มิเตอร์มีหลายขั้ว ซ่ึงแต่ละขั้วจะรองรับความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงสุดที่
ต่างกัน เช่น 3 15 30 300 โวลต์ เราจะต้องเลือกขั้วบวกให้เหมาะสม เพื่อให้
อา่ นคา่ ไดถ้ ูกตอ้ งแมน่ ยำและไม่เกดิ ความเสยี หายแก่โวลตม์ ิเตอร์
โดยการศึกษาวธิ ีการใช้เครือ่ งมือวดั ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ และวธิ ตี ่อเครื่องมอื วัดความต่างศักยไ์ ฟฟา้ ใน
วงจรจากการทำกจิ กรรม การวดั ค่ากระแสไฟฟ้าและความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า โดยมขี นั้ ตอนการตอ่ วงจรดังนี้
ภาพแสดง: การวดั ความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยใชโ้ วลต์มเิ ตอร์
(ที่มา: https://coggle.it/diagram/WKQYsvHuhQABTP8/t.)
การวดั คา่ ความต่างศักย์ไฟฟา้ ทำได้โดยต่อโวลตม์ ิเตอร์คร่อมระหว่างจุดสองจดุ ที่ต้องการวดั การต่อ
โวลต์มิเตอรต์ ้องพจิ ารณาขัว้ ให้ถูกต้อง โดยต่อข้ัวบวกของโวลต์มเิ ตอร์เขา้ ทางด้านขั้วบวกของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า
ซงึ่ เป็นจดุ ท่มี ีศกั ยไ์ ฟฟ้าสูง และตอ่ ขั้วลบของโวลต์มิเตอร์เข้าทางด้านขั้วลบของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าซ่ึงเป็นจุดท่ีมี
ศักย์ไฟฟ้าต่ำ ถ้าต่อสลับขั้วกัน เข็มของโวลต์มิเตอร์จะเบนไปในทิศทางตรงกันข้าม ซึ่งอาจทำให้โวลต์มิเตอร์
เสียหายได้ การเลือกใช้ขั้วบวกที่เหมาะสมในการวัดต้องใช้ขั้วบวกที่มีค่าสูงกว่าและใกล้เคียงกับค่าความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า โดยทั่วไปเรามักจะทราบค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าของแหล่งกำเนิดไฟฟ้า
ทำใหเ้ ราสามารถเลอื กขว้ั บวกที่เหมาะสมได้ แตใ่ นกรณีท่ไี มท่ ราบใหเ้ ลอื กใช้ขัว้ บวกทีร่ องรบั ความตา่ งศักย์ไฟฟ้า
ที่มีค่าสูงสุด เพราะถ้าเริ่มต้นวัดโดยใช้ขั้วบวกที่มีค่าน้อยกว่าค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าในวงจร อาจทำให้โวลต์
มเิ ตอรเ์ สยี หายได้ แต่ถ้าวดั แลว้ พบวา่ เขม็ เบนเพียงเล็กนอ้ ย ให้ลดขว้ั บวกลงจนสามารถอา่ นคา่ ได้
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ใชร้ ปู แบบการจัดการเรียนการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (Inquiry Cycles: 5Es) (2 ช่วั โมง; 120นาที)
ข้นั ท่ี 1 กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) (20 นาที)
1) ครูกระต้นุ ความสนใจของนักเรียน ครูสนทนาร่วมกบั นักเรียนโดยใช้คำถามกระตุ้นความคิด
ว่า วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายที่เราจะสามารถทำให้หลอดไฟ1ดวงติดได้ ต้องประกอบไปด้วยอุปกรณ์ส่วนใดบ้าง
(ประกอบด้วย 3 ส่วน คอื แหลง่ กำเนิดไฟฟ้า ตัวกลาง และหลอดไฟ)
2) นักเรียนเรียนรู้การใช้สถานการณ์จำลอง ชุดเครื่องมือต่อวงจรไฟฟ้า โดยใช้โปรแกรม
ออนไลน์ ตาม link ดังนี้ https://phet.colorado.edu/sims/html/circuit-construction-kit-dc/latest/
circuit-construction-kit-dc_th.html เพือ่ ใหน้ ักเรียนทดลองการใช้เคร่ืองมือวัดค่ากระแสไฟฟ้าและความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าได้
ขั้นที่ 2 ขั้นสำรวจและค้นหา (Exploration) (40 นาที)
3) ครูเชอ่ื มโยงเข้าส่กู จิ กรรมที่ 6.2 ใชโ้ วลต์มิเตอร์วดั ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าได้อย่างไร โดยใช้
คำถามว่า ในการใช้โวลตม์ เิ ตอรว์ ัดค่าความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้า จะเลือกข้ัวบวกให้เหมาะสมเพื่อให้อ่านคา่ ไดถ้ กู ตอ้ ง
แม่นยำและไม่เกดิ ความเสียหายแกโ่ วลตม์ ิเตอรไ์ ดอ้ ยา่ งไร (นกั เรยี นตอบตามความเขา้ ใจของตนเอง)
4) นักเรียนอ่านชื่อกิจกรรม จุดประสงค์ และวิธีดำเนินกิจกรรม ตามหนังสือเรียนรายวิชา
พื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เล่ม 2 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท. กระทรวงศึกษาธิการ หน้า 71 และครูตรวจสอบความ
เข้าใจการอา่ น โดยใช้คำถามดังตอ่ ไปน้ี
ตอนท่ี 1 ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ ระหวา่ งข้วั ของแหล่งกำเนดิ ไฟฟา้
- กจิ กรรมนี้เกีย่ วกับเรอ่ื งอะไร (การวดั ความตา่ งศักย์ไฟฟา้ ระหว่างขว้ั ของแหล่งกำเนิดไฟฟา้ )
- กิจกรรมนมี้ จี ดุ ประสงค์อะไร (วัดค่าความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ ระหวา่ งข้วั ของแหลง่ กำเนิดไฟฟ้าด้วย
โวลตม์ เิ ตอร์พร้อมระบหุ น่วย)
- วิธีดำเนินกิจกรรมมีขั้นตอนโดยสรุปอย่างไร (ใช้โวลต์มิเตอร์วัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าของ
ถ่านไฟฉาย 1.5 โวลตแ์ ละแบตเตอรี่ 9 โวลต์ เปรยี บเทยี บค่าทวี่ ดั ไดก้ บั คา่ ที่ระบุบนแหล่งกำเนดิ ไฟฟ้า)
- นักเรยี นต้องสังเกตหรอื รวบรวมข้อมูลอะไรบา้ ง (นักเรียนต้องสังเกตและบันทึกค่าความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าที่อา่ นไดจ้ ากโวลตม์ เิ ตอร์และค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าท่ีระบบุ นแหลง่ กำเนดิ ไฟฟา้ )
5) ครูควรตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนเกี่ยวกับการใช้แอมมิเตอร์ การเลือกขั้วบวกที่
รองรบั กระแสไฟฟา้ สงู สดุ และการอ่านคา่ บนหน้าปัดก่อนปฏบิ ตั จิ รงิ
6) นักเรยี นดำเนินการต่อในตอนท่ี 2 ความต่างศกั ย์ไฟฟ้าระหวา่ งจดุ สองจุดในวงจรไฟฟา้
- กิจกรรมนเี้ กีย่ วกับเร่อื งอะไร (การวดั ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุดในวงจรไฟฟา้ )
- กิจกรรมนมี้ จี ดุ ประสงคอ์ ะไร (วดั ค่าความต่างศกั ย์ไฟฟ้าระหว่างจุดสองจุดในวงจรไฟฟ้าด้วย
โวลตม์ ิเตอร์พร้อมระบหุ นว่ ย)
- วิธดี ำเนินกิจกรรมมีขนั้ ตอนโดยสรุปอยา่ งไร (ตอ่ วงจรไฟฟา้ อย่างง่าย จากนั้นนำโวลต์มิเตอร์
ต่อครอ่ มหลอดไฟฟา้ ในวงจร แล้ววัดคา่ ความต่างศักยไ์ ฟฟ้า)
- นักเรียนต้องสังเกตหรือรวบรวมข้อมูลอะไรบ้าง (นักเรียนต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงของ
หลอดไฟฟา้ คา่ ของความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ท่อี า่ นไดจ้ ากโวลต์มเิ ตอร์)
7) ครคู วรตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนเก่ยี วกบั การต่อวงจรไฟฟ้า การเปล่ียนข้ัวบวกของ
โวลตม์ ิเตอร์ และการอา่ นคา่ ความตา่ งศักยไ์ ฟฟา้ บนหนา้ ปดั ของโวลต์มิเตอร์
8) ขณะที่นักเรียนแต่ละกลุม่ ทำกิจกรรม ครูเดินสังเกตการทำกิจกรรมของนกั เรียนแต่ละกลมุ่
และให้คำแนะนำ หากนักเรียนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการใช้โวลต์มิเตอร์ การเลือกขั้วบวกที่รองรับความต่าง
ศักย์ไฟฟ้าสูงสุด และการอ่านค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าบนหน้าปัดก่อนปฏิบัตจิ ริง ซึ่งครูควรรวบรวมปัญหา และ
ขอ้ สงสยั ทพ่ี บจากการทำกิจกรรมของนักเรยี นเพือ่ ใชเ้ ป็นข้อมลู ประกอบการอภปิ รายหลงั จากการทำกจิ กรรม
ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ (Explanation) (20 นาที)
9) นกั เรยี นบนั ทกึ การทำกจิ กรรมลงในแบบบนั ทกึ การค้นคว้ากิจกรรมที่ 6.2 ใชโ้ วลต์มิเตอร์วัด
ความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้าได้อย่างไร โดยสรุปผลและตอบคำถามท้ายกจิ กรรม เพื่อใหไ้ ด้ข้อสรปุ จากกิจกรรมวา่
ตอนท่ี 1 ความต่างศักยไ์ ฟฟา้ ระหว่างขว้ั ของแหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า
- การวัดความต่างศักย์ไฟฟ้าด้วยโวลต์มิเตอร์ ต้องพิจารณาขั้วให้ถูกต้องโดยต่อขั้วบวกของ
แหล่งกำเนิดไฟฟ้าเข้ากับขั้วบวกของโวลต์มิเตอร์ และต่อขั้วลบของแหล่งกำเนิดไฟฟ้าเข้ากับขั้วลบของโวลต์
มิเตอร์ และต้องเลือกใช้ขั้วบวกที่รองรับความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงสุดที่มากกว่าและใกล้เคียงกับค่าที่ระบุ
บนแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้มีหน่วยเป็นโวลต์ และจะมีค่าใกล้เคียงกับค่าที่ระบุ
บนแหลง่ กำเนดิ ไฟฟ้า
ตอนท่ี 2 ความต่างศักยไ์ ฟฟ้าระหว่างจุดสองจุดในวงจรไฟฟ้า
- การวัดความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าดว้ ยโวลตม์ ิเตอรต์ อ้ งพจิ ารณาข้ัวใหถ้ ูกตอ้ ง และตอ้ งเลอื กใช้ขัว้ บวก
ที่มีคา่ ความตา่ งศกั ย์ไฟฟา้ มากกว่าคา่ ท่ีระบุบนแหลง่ จา่ ยไฟฟ้าคา่ ความต่างศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้มีหนว่ ยเป็นโวลต์
ข้ันท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้ (Elaboration) (20 นาที)
10) นกั เรียนเรยี นรเู้ พิม่ เตมิ ในหนังสอื เรยี นหนา้ 73 จากนนั้ รว่ มกันอภปิ รายเก่ยี วกับการวัดคา่
ความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าด้วยโวลตม์ เิ ตอร์ และใช้คำถามระหวา่ งเรียนเพอ่ื ตรวจสอบความเขา้ ใจ
- ถ้านำโวลต์มิเตอร์วัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าโดยต่อขั้วของโวลต์มิเตอร์ท่ีตำแหน่งเดียวกันใน
วงจรไฟฟ้าดังภาพ คา่ ความตา่ งศักย์ไฟฟ้าทว่ี ดั ได้จะเปน็ เท่าใด เพราะเหตใุ ด
(แนวคำตอบ ค่าความต่างศักย์ไฟฟ้าที่วัดได้จะเป็นศูนย์ เนื่องจากวัดที่ตำแหน่งเดียวกัน
ศักย์ไฟฟ้าเทา่ กัน จึงไม่มคี วามแตกตา่ งของศักยไ์ ฟฟ้า)
11) ครูอธิบายเพม่ิ เตมิ โดยใชส้ ือ่ วีดทิ ศั น์เรือ่ ง แบบจำลองกระแสไฟฟ้าและความตา่ งศักยไ์ ฟฟ้า
ในวงจรไฟฟ้า (สืบค้นได้จาก ipst.me/10652) ซึ่งสามารถแสดงได้ด้วยแบบจำลองตัวอย่าง ลักษณะของ
กระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟา้ ทเี่ กิดข้นึ ในวงจรผา่ นแบบจำลอง
ข้นั ท่ี 5 ขั้นประเมิน (Evaluation) (20 นาที)
12) ครูและนกั เรยี นอภิปรายผลการทำกิจกรรม การใชโ้ วลต์มเิ ตอรว์ ัดความต่างศักย์ไฟฟ้าจาก
กิจกรรมที่ 6.2 ทั้ง 2 ตอน จะได้ข้อสรุปว่า โวลต์มิเตอร์เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า โดยการ
ตอ่ คร่อมตำแหน่งทีต่ ้องการวัดค่าความต่างศักย์ไฟฟ้า ซ่งึ ตอ้ งต่อขัว้ ของโวลตม์ ิเตอร์ให้ถกู ต้อง และเลือกขั้วบวก
ที่ รองรับความต่างศักย์ไฟฟ้าสูงสุดใหเ้ หมาะสม ค่าความต่างศกั ยไ์ ฟฟา้ ทวี่ ดั ไดม้ หี น่วยเป็นโวลต์
13) ครูตรวจสอบการสง่ แบบบันทึกการค้นคว้าของนักเรียนและให้คะแนนประเมินตามเกณฑ์
การประเมิน (Rubrics Score)
8. สื่อการเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้
8.1 อุปกรณท์ ำกิจกรรม: 1) ถ่านไฟฉายขนาด 1.5 V 2) กระบะถา่ นแบบ 4 กอ้ น
3) แบตเตอร่ีขนาด 9 V 4) สายไฟฟา้ 5) หลอดไฟฟา้ ขนาด 6 V พร้อมฐาน
6) สวติ ช์แบบโยก 7) โวลตม์ เิ ตอร์
8.2 คลปิ วีดีทศั น์: แบบจำลองกระแสไฟฟ้าและความต่างศกั ย์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า
8.3 สถานการณ์จำลอง: โปรแกรมออนไลน์ เรื่อง ชดุ เครอื่ งมือต่อวงจรไฟฟา้
(https://phet.colorado.edu/sims/html/circuit-construction-kit-
dc/latest/circuit-construction-kit-dc_th.html)
8.4 ใบกจิ กรรม: ใบกจิ กรรมท่ี 6.2 ใช้โวลต์มิเตอร์วดั ความต่างศกั ย์ไฟฟ้าไดอ้ ยา่ งไร
8.5 แบบบนั ทึกกิจกรรม: แบบบันทกึ การคน้ คว้ากิจกรรมท่ี 6.2 ใช้โวลต์มเิ ตอร์วัดความต่างศกั ยไ์ ฟฟ้าไดอ้ ยา่ งไร
8.6 แหล่งเรียนรู้: หนังสือเรยี นรายวชิ าพื้นฐานวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี 3 เลม่ 2
ตามหลักสตู รแกนกลางฯ พทุ ธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สสวท.
9. การวดั และการประเมิน
ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวดั เคร่ืองมือวดั เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมิน
1. อธิบายวิธกี ารวัดคา่ - ตรวจการตอบคำถาม - คำถามท้ายกิจกรรมท่ี 6.2 - ไดไ้ ม่น้อยกวา่ 2 คะแนน
ความตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้
โดยใชโ้ วลต์มิเตอร์ได้ ท้ายกจิ กรรมที่ 6.2 ใชโ้ วลตม์ ิเตอร์วดั ความ ระดบั คุณภาพดี ถือว่า
(ด้านความรู้: K) ตา่ งศกั ยไ์ ฟฟา้ ได้อยา่ งไร ผา่ นการประเมิน
2. การใชท้ กั ษะการวดั - ตรวจการทำแบบ จำนวน 4 ขอ้ ดา้ นความรู้
โดยใชโ้ วลต์มเิ ตอรว์ ัดค่า บันทกึ การค้นคว้า - แบบบนั ทึกการคน้ ควา้ - ไดไ้ มน่ อ้ ยกวา่ 2 คะแนน
ความต่างศักย์ไฟฟ้าพร้อม กิจกรรมที่ 6.2 กิจกรรมท่ี 6.2 ระดับคณุ ภาพดี ถือว่า
ระบหุ น่วยของการวดั ได้ ใชโ้ วลต์มิเตอรว์ ัดความ ผา่ นการประเมิน
(ด้านกระบวนการ: P) ตา่ งศักย์ไฟฟา้ ไดอ้ ย่างไร ด้านกระบวนการ
3. ตระหนักถึงความสำคญั
ของการใช้อปุ กรณ์ - สังเกตการใช้งาน - เกณฑก์ ารประเมินการใช้ - ได้ไมน่ ้อยกว่า 2 คะแนน
การทำกจิ กรรมได้ อุปกรณใ์ นกจิ กรรม งานอปุ กรณ์ในกจิ กรรม ระดบั คุณภาพดี ถือวา่
(ด้านเจตคติ: A) ของนักเรยี น ของนกั เรียน ผา่ นการประเมิน
ด้านเจตคติ
9.1 เกณฑก์ ารประเมนิ ผลนักเรยี น เกณฑ์การประเมิน (Rubrics Score)
ประเดน็ การประเมนิ คา่ น้ำหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
คะแนน
การใหค้ ะแนนตอบ ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 6.2 ถกู ตอ้ ง จำนวน 3-4 ขอ้
คำถามท้าย 3 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมที่ 6.2 ถูกต้อง จำนวน 2 ข้อ
กิจกรรมท่ี 6.2 2 ตอบคำถามทา้ ยกิจกรรมท่ี 6.2 ถกู ต้อง จำนวน 1 ข้อ หรือไม่ถูกตอ้ ง
1 บันทึกผลการทำกจิ กรรมการวดั จากการใช้โวลต์มิเตอร์วัด
การให้คะแนนการบันทึก คา่ ความต่างศักย์ไฟฟ้า พรอ้ มระบหุ น่วยของการวดั ได้อย่างถูกตอ้ ง
แบบบนั ทึกการค้นคว้า 3 ครบทุกประเด็น สอดคลอ้ งกับเนื้อหาในกิจกรรม
บันทึกผลการทำกิจกรรมการวดั จากการใช้โวลต์มเิ ตอรว์ ัด
กิจกรรมที่ 6.2 2 ค่าความตา่ งศกั ย์ไฟฟ้า พรอ้ มระบุหน่วยของการวดั ไดถ้ ูกต้อง
แตม่ ขี อ้ ผดิ พลาดบางส่วน ท่ีไม่สอดคล้องกบั เนอื้ หาในกิจกรรม
1 บันทกึ ผลการทำกจิ กรรมการวดั จากการใช้โวลต์มเิ ตอรว์ ัด
คา่ ความตา่ งศักย์ไฟฟ้า พร้อมระบหุ นว่ ยของการวดั ได้ไม่ถกู ตอ้ ง
มขี อ้ ผิดพลาด ทไ่ี ม่สอดคล้องกบั เน้ือหาในกิจกรรม
ประเด็นการประเมิน ค่านำ้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
คะแนน
การให้คะแนน ใช้งานอปุ กรณก์ ารทดลองในกจิ กรรมได้ถูกวธิ ี หยิบ เคล่ือนยา้ ย
การใช้งานอุปกรณ์ 3 อุปกรณ์อยา่ งระมดั ระวงั ไมห่ ยอกลอ้ หรอื แกล้งเพอ่ื นขณะกำลังใช้
งานอปุ กรณ์ และหลังการใชง้ านอุปกรณ์มีการเกบ็ รักษาอยา่ งถูกวิธี
ในกจิ กรรม 2 ใช้งานอุปกรณ์การทดลองในกิจกรรมไดถ้ ูกวิธี หยบิ เคล่ือนย้าย
อปุ กรณ์อย่างระมดั ระวงั ไม่หยอกล้อหรือแกลง้ เพอ่ื นขณะกำลังใช้
1 งานอปุ กรณ์ แต่หลังการใช้งานอุปกรณไ์ มม่ ีการเก็บรกั ษาอยา่ งถกู วธิ ี
หรือไม่เก็บอุปกรณเ์ ขา้ ตู้เกบ็ อุปกรณ์ตามประเภทของอุปกรณ์
ใช้งานอปุ กรณ์การทดลองในกิจกรรมได้ แตข่ ณะหยิบ เคลอื่ นยา้ ย
อปุ กรณห์ รอื กำลังใชง้ านอุปกรณ์ จะหยอกลอ้ หรอื แกล้งเพ่ือน
อาจทำใหอ้ ปุ กรณเ์ สยี หายได้ และหลังการใชง้ านอุปกรณไ์ มม่ ี
การเกบ็ รักษาอยา่ งถกู วิธี
9.2 ระดบั คุณภาพ หมายถงึ ดมี าก
หมายถงึ ดี
คะแนนรวมเฉล่ีย 3.00 หมายถงึ พอใช้
คะแนนรวมเฉลีย่ 2.00 - 2.99
คะแนนรวมเฉลยี่ 0.01 - 1.99
ดงั นั้น นักเรยี นต้องได้คะแนนเฉลย่ี ทกุ ประเดน็ การประเมนิ ไมต่ ่ำกวา่ 2.00 แสดงระดบั
คณุ ภาพ ดี ถอื วา่ ผา่ นเกณฑก์ ารประเมินในแผนการจดั การเรยี นท่ี 13
ส่ือการเรียนรแู้ ผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 13: สื่อวีดทิ ัศน์
คลปิ วีดที ศั น:์ แบบจำลองกระแสไฟฟา้ และความตา่ งศักย์ไฟฟา้ ในวงจรไฟฟ้า
สื่อวีดิทัศน์เรื่อง แบบจำลองกระแสไฟฟ้าและความต่างศักย์ไฟฟ้าในวงจรไฟฟ้า เป็นสื่อประกอบการ
จัดการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ที่จะช่วยให้นักเรียนเข้าใจลักษณะของ
กระแสไฟฟา้ และความต่างศักย์ไฟฟ้าทเี่ กดิ ข้ึนในวงจรผ่านแบบจำลอง
แหลง่ ที่มา: เว็บไซตอ์ ้างอิง ipst.me/10652
เผยแพร่เม่อื 2 กันยายน พ.ศ. 2562
(เจา้ ของผลงาน สถาบันส่งเสริมการสอนวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี (สสวท.))