รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกรด็ คดี
(ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
กลุ่มวเิ คราะห์งานคดีปกครอง
สํานกั วจิ ยั และวิชาการ
จดั ทาํ โดย :
กล่มุ วิเคราะห์งานคดีปกครอง
สาํ นักวิจัยและวิชาการ
สาํ นกั งานศาลปกครอง
๑๒๐ หมู่ ๓ ถนนแจ้งวัฒนะ
แขวงทุง่ สองห้อง เขตหลักสี่
กรงุ เทพฯ ๑๐๒๑๐
โทรศัพท์ ๐ ๒๑๔๑ ๑๑๑๑
โทรศัพทส์ ายด่วน ๑๓๕๕
www.admincourt.go.th
คํานํา
“รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี” เป็นผลงานท่ีเกิดจากการรวบรวมเอกสาร
ทางวิชาการ “ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี” ซึ่งเผยแพร่ในระบบอินทราเน็ตของสํานักวิจัยและวิชาการ
สาํ นกั งานศาลปกครอง สาํ หรับตลุ าการศาลปกครอง พนักงานคดปี กครอง และเจ้าหน้าทศ่ี าลปกครอง
ได้ศึกษาและติดตามหัวข้อหรือประเด็นท่ีน่าสนใจจากคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในคดี
ประเภทต่าง ๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้มีการรวบรวมเผยแพร่มาแล้วในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ จํานวน ๒ เล่ม
ได้แก่ เล่ม ๑ และเล่ม ๒ (ฉบับที่ ๑ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔ ถึงฉบับที่ ๔๑ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕)
ก่อนทจ่ี ะยุตกิ ารจัดทาํ เน่อื งจากมีการปรับเปลีย่ นโครงสรา้ งและภารกิจของสํานักวิจยั และวิชาการ
อย่างไรก็ตาม โดยท่ีปรากฏว่ามีเสียงเรียกร้องจากผู้ท่ีได้ใช้ประโยชน์จากเอกสาร
ทางวิชาการ “ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี” ที่ต้องการให้มีการจัดทําเอกสารทางวิชาการดังกล่าวเพ่ือเผยแพร่
อีกคร้ังหน่ึง เนื่องจากเน้ือหาสาระมีความน่าสนใจ ทันสมัย และทําให้เห็นถึงแนวทางการพิจารณาคดี
ของศาลปกครองสูงสุดในคดีประเภทต่าง ๆ อันเป็นการอํานวยความสะดวกให้กับตุลาการ
ศาลปกครอง ผู้บริหารศาลปกครอง พนักงานคดีปกครอง ตลอดจนผู้ท่ีสนใจ สามารถค้นคว้าข้อมูล
เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าท่ีได้ สํานักวิจัยและวิชาการจึงได้ริเริ่มในการจัดทําเอกสาร
ทางวิชาการดงั กล่าวอกี ครงั้ ในช่วงปลายปี พ.ศ. ๒๕๖๐ และดําเนินการเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน จนบัดน้ี
มีเน้ือหาสาระที่น่าสนใจเป็นจํานวนพอสมควร สํานักวิจัยและวิชาการจึงได้คัดเลือก “ประเด็นเด็ด
เกร็ดคดี” ท่ีน่าสนใจและได้เผยแพร่แล้วในระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒ มารวมเล่ม
เป็น “รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)” โดยจัดหมวดหมู่
ตามประเภทคดีปกครองต่าง ๆ แบ่งเป็น ๑๑ ประเภทคดี จํานวน ๑๗ เรื่อง ท้ังน้ี ได้ทําการแก้ไข
เพม่ิ เติมเน้ือหาบางสว่ นใหส้ มบูรณแ์ ละทนั สมยั ย่ิงข้ึน เพือ่ ประโยชนต์ ่อการศกึ ษาคน้ คว้าของผทู้ สี่ นใจ
สํานักวิจัยและวิชาการหวังเป็นอย่างย่ิงว่า เอกสารทางวิชาการ “รวมเรื่องเด่น
ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)” นี้ จะเป็นประโยชน์ในการสนับสนุน
การปฏบิ ัตงิ านในกระบวนการยุตธิ รรมทางปกครองได้เป็นอย่างดีต่อไป
สาํ นักวิจยั และวิชาการ
มกราคม ๒๕๖๓
สารบญั
วธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง ๗ ขอบคณุ ภาพจาก https://www.scglogistics.co.th/blog/detail/๔
๑๘
- การสั่งคาํ ฟอ้ งท่ีมีหลายขอ้ หา ๔๑ การกระทําละเมิด
และบางขอ้ หาไม่อยู่ในอาํ นาจ
หรือเขตอาํ นาจของศาลนัน้
- การเสียค่าธรรมเนียมศาลในคดี
ร้องขอใหศ้ าลบงั คับตามคําชขี้ าด
ของอนญุ าโตตุลาการ
- การจัดหาลา่ มในคดีปกครอง
- ปญั หาการพจิ ารณาคดีพพิ าท ๙๗
เกยี่ วกับการฟอ้ งขอใหเ้ พกิ ถอน
คําสง่ั ทใ่ี หช้ ดใช้คา่ สินไหมทดแทน
- คา่ สนิ ไหมทดแทนสาํ หรบั ๑๒๑
ความเสยี หายทางจิตใจ
ขอบคุณภาพจาก www.busandtruckmedia.com/๓๙๕๒/
การคมนาคมและการขนส่ง
- การอนุญาตใหก้ อ่ สรา้ งสง่ิ ลว่ งลาํ้ ๔๙
ลําน้ํา
ทดี่ นิ
- คุณสมบตั ขิ องผ้มู สี ทิ ธิได้รบั ๖๖ ขอบคณุ ภาพจาก https://workpointnews.com/๒๐๑๙/๐๕/๓๐/๑economy/
การคัดเลอื กใหเ้ ขา้ ทาํ ประโยชน์ การเวนคนื อสงั หารมิ ทรพั ย์
ในเขตปฏริ ูปท่ีดินเพ่อื เกษตรกรรม - การขอใหเ้ วนคืนโรงเรือน ๑๓๗
หรอื สง่ิ ปลกู สรา้ งส่วนท่ีเหลือ
- การสน้ิ สิทธเิ ขา้ ทาํ ประโยชน์ ๗๙
ในเขตปฏริ ูปที่ดิน
- ขอ้ สังเกตเกีย่ วกบั กฎหมาย ๑๕๖
ว่าด้วยการเวนคนื และการได้มา
ซงึ่ อสงั หาริมทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
๖ รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ขอบคณุ ภาพจาก https://www.siamkane.com การบริหารงานบคุ คลภาครฐั
- คาํ สง่ั ให้ประจําส่วนราชการ ๓๒๙
การพัสดุ สทิ ธปิ ระโยชนแ์ ละสวสั ดิการ
- ขอ้ พิจารณากรณีขา้ ราชการ ๓๔๓
- การอุทธรณแ์ ละการร้องเรียน ๒๒๕
ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการจดั ซ้อื จัดจา้ ง นําหลักฐานการเชา่ ซ้ือหรือ
และการบรหิ ารพสั ดุภาครฐั ผ่อนชาํ ระเงนิ กเู้ พื่อชําระราคาบ้าน
มาเบกิ ค่าเชา่ บา้ นข้าราชการ
สัญญาทางปกครอง
ขอบคุณภาพจาก https://www.ocsc.go.th/
- สญั ญาทางปกครองที่น่าสนใจ ๒๔๕
ระหวา่ งปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐ วนิ ยั ข้าราชการ
- คณุ สมบตั แิ ละลกั ษณะตอ้ งหา้ ม ๓๖๒
- สทิ ธิฟอ้ งคดกี รณฟี ้องขอให้ ๒๗๗
ต่อสญั ญาจา้ งจากการถกู เลกิ จา้ ง ของบุคคลทีจ่ ะบรรจุเขา้ รบั ราชการ
ตามสญั ญา เป็นขา้ ราชการตาํ รวจ :
กรณผี ู้มีความประพฤติเส่ือมเสีย
หรือบกพรอ่ งในศีลธรรมอนั ดี
ขอบคณุ ภาพจาก https://tai.coj.go.th/th/content/page/index/id/56
อนญุ าโตตลุ าการ
- หลกั ความสงบเรียบร้อย ๓๐๔
หรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน
ในการตรวจสอบความชอบ
ดว้ ยกฎหมายของคําช้ีขาด
ของอนญุ าโตตลุ าการ
รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๗
คดีพิพาทเกย่ี วกับวธิ พี ิจารณาคดปี กครอง
เรอ่ื งที่ ๑ การส่ังคําฟ้องที่มีหลายข้อหาและบางข้อหาไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจ
ของศาลนน้ั
๑. การส่ังคําฟอ้ งที่มีหลายขอ้ หา : กฎหมายและคําวินิจฉัยของศาลปกครองสงู สดุ ทเี่ กี่ยวข้อง
ปกติแล้วการยื่นฟ้องคดีปกครองนั้น มีหลักการง่าย ๆ เกี่ยวกับเรื่องเขตอํานาจศาล
แต่เพียงว่า การฟ้องคดีปกครองท่ีอยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้น ก็ให้ย่ืนฟ้องต่อศาลปกครอง
ชัน้ ตน้ ท่ผี ้ฟู อ้ งคดมี ภี มู ลิ าํ เนาหรอื ทีม่ ลู คดีเกดิ ขึ้นในเขตศาลปกครองช้ันต้นนั้น สําหรับการฟ้องคดีปกครอง
ทอี่ ยู่ในเขตอาํ นาจของศาลปกครองสงู สุด กใ็ หย้ นื่ ต่อศาลปกครองสูงสุด ท้ังนี้ ตามมาตรา ๔๗ วรรคหน่ึง
และวรรคสอง แหง่ พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ประกอบกับข้อ ๒๙ วรรคหน่ึง แห่งระเบียบฯ
วา่ ด้วยวธิ พี ิจารณาคดปี กครองฯ
อย่างไรก็ดี กฎหมายก็ได้กําหนดมาตรการเพ่ืออํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน
ในกรณีที่มีการฟ้องคดีต่อศาลปกครองผิดศาลไว้ด้วย กล่าวคือ กรณีคดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครอง
ชั้นต้นน้ันอยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุดหรืออยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นอื่น
กรณีเช่นน้ี มาตรา ๔๗ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับข้อ ๓๙
วรรคหนึ่ง และข้อ ๔๐ วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดให้ส่งคําฟ้องนั้น
ไปให้ศาลปกครองท่ีมีเขตอํานาจเพื่อพิจารณา โดยให้องค์คณะเสนออธิบดีศาลปกครองชั้นต้น
เพื่อพิจารณาส่ังให้ส่งคําฟ้องน้ันไปยังประธานศาลปกครองสูงสุด หรือศาลปกครองช้ันต้นอื่น
ทมี่ ีเขตอํานาจ แล้วแตก่ รณี เพื่อพิจารณาดําเนินการ หากประธานศาลปกครองสูงสุดเห็นด้วยกับคําส่ัง
ดังกล่าวและศาลปกครองสูงสุดได้รับคําฟ้องไว้พิจารณาแล้ว หรือศาลปกครองช้ันต้นอ่ืนได้รับคําฟ้อง
ไว้พิจารณาแล้ว อธิบดีศาลปกครองชั้นต้นท่ีส่งคําฟ้องก็จะมีคําส่ังจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
โดยให้ถือว่ามีการฟ้องคดีนั้นต่อศาลปกครองสูงสุด หรือศาลปกครองชั้นต้นอื่น ตั้งแต่วันที่มีการยื่น
คาํ ฟ้องตอ่ ศาลปกครองชนั้ ต้นแหง่ แรก
สําหรับกรณีคดีท่ีอยู่ในอํานาจของศาลปกครองชั้นต้น แต่ผู้ฟ้องคดีนําไปยื่นฟ้อง
ต่อศาลปกครองสูงสุด น้ัน ระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ข้อ ๙๙ กําหนดให้องค์คณะ
เสนอประธานศาลปกครองสูงสุดพิจารณาส่ังให้ส่งคําฟ้องนั้นไปยังศาลปกครองช้ันต้นท่ีคดีน้ัน
อยู่ในเขตอํานาจ แล้วให้ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ โดยให้ถือว่า
มกี ารฟอ้ งคดนี ้ันต่อศาลปกครองชัน้ ตน้ ตั้งแตว่ นั ท่มี กี ารยืน่ คําฟ้องต่อศาลปกครองสงู สุด
ไชยรัตน์ แขวงโสภา ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๒
ประจําวนั ที่ ๕ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๒
๘ รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
จะเห็นได้ว่า วิธีปฏิบัติตามท่ีกําหนดไว้ในข้อ ๓๙ ข้อ ๔๐ และข้อ ๙๙ แห่งระเบียบ
ดังกล่าวข้างต้นนี้ มีผลต่อ “ระยะเวลาการฟ้องคดี” ด้วย ด้วยเหตุน้ี ศาลปกครองช้ันต้นที่รับคําฟ้อง
คดีที่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุดหรืออยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นอ่ืน
และศาลปกครองสูงสุดที่รับคําฟ้องคดีท่ีอยู่ในอํานาจของศาลปกครองช้ันต้น จึงพึงปฏิบัติตามวิธีการ
ทก่ี ําหนดไว้ในระเบยี บดังกลา่ วอย่างเครง่ ครดั ทงั้ นี้ เพ่ือเปน็ การอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชน
ฝ่ายผู้ฟ้องคดี เพราะหากศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุดท่ีรับคําฟ้องคดีน้ันไว้ แล้วแต่กรณี
มีคําส่ังไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา โดยไม่ส่งคําฟ้องน้ันไปยังศาลปกครองที่มีอํานาจหรือเขตอํานาจ
ก็อาจทําใหก้ ารนาํ คดีนัน้ ไปยืน่ ฟอ้ งใหม่ต่อศาลปกครองทถ่ี ูกต้องเปน็ อันตอ้ งพ้นระยะเวลาการฟ้องคดไี ด้๑
ซ่ึงกรณีเช่นนี้ ศาลปกครองสูงสุดเคยมีคําวินิจฉัยว่า การท่ีศาลปกครองชั้นต้นไม่ดําเนินการดังกล่าว
ถือเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบน้ีในส่วนท่ีว่าด้วยการทําคําพิพากษา
และคําส่งั ตามทีก่ าํ หนดไว้ในข้อ ๑๑๒ วรรคหนึง่ (๑) แห่งระเบียบฯ วา่ ดว้ ยวิธีพิจารณาคดปี กครองฯ
คาํ สัง่ ศาลปกครองสงู สดุ ที่ ๒๙๖/๒๕๕๖ เมื่อคดนี ้เี ปน็ คดีพพิ าทเกี่ยวกับการใชอ้ ํานาจ
ของคณะกรรมการการเลือกต้ังตามที่ได้รับมอบหมายตามมาตรา ๑๐ (๒) แห่งพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ศ. ๒๕๕๐ การใช้อํานาจของผู้ถูกฟ้องคดี
ดังกล่าวจึงเป็นการใช้อํานาจทางปกครองหรือดําเนินกิจการทางปกครองของคณะกรรมการ
การเลือกต้ังหรือกระทําการแทนคณะกรรมการการเลือกตั้ง กรณีจึงเป็นการฟ้องคดีตามมาตรา ๒๒
แห่งพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกต้ังฯ ซึ่งอยู่ในอํานาจ
พจิ ารณาพพิ ากษาของศาลปกครองสูงสุดตามมาตรา ๑๑ (๓) แหง่ พระราชบญั ญตั จิ ดั ตงั้ ศาลปกครองฯ
ชอบท่ศี าลปกครองชนั้ ต้นจะตอ้ งดาํ เนินการตามข้อ ๓๙ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ
การที่ศาลปกครองช้ันต้นมีคําส่ังไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาและให้จําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จึงเป็นการมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบน้ีในส่วนท่ีว่าด้วยการทําคําสั่ง
ตามขอ้ ๑๑๒ (๑) แหง่ ระเบียบดังกล่าว
อย่างไรก็ดี การใช้อํานาจส่งคําฟ้องของศาลปกครองช้ันต้นและศาลปกครองสูงสุด
ตามข้อ ๓๙ ข้อ ๔๐ และข้อ ๙๙ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ แล้วแต่กรณี นั้น
เปน็ การส่งคําฟ้อง “ท้ังคด”ี ไปยงั ศาลปกครองสงู สดุ หรือศาลปกครองช้ันตน้ ที่มีอํานาจหรือเขตอํานาจ
หากเป็นกรณีที่คําฟ้องท่ีย่ืนต่อศาลปกครองมีหลายข้อหา แล้วบางข้อหาไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจ
ของศาลปกครองท่ีรับคําฟ้องไว้น้ัน กรณีเช่นน้ีศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุดท่ีรับคําฟ้อง
ไม่อาจอาศัยอํานาจตามข้อ ๓๙ หรือข้อ ๔๐ หรือข้อ ๙๙ แล้วแต่กรณี ส่งคําฟ้องเพียงบางข้อหาน้ัน
ไปยงั ศาลปกครองที่มอี ํานาจหรือเขตอาํ นาจได้
๑ กรณีที่ฟ้องต่อศาลปกครองผิดศาลน้ัน ไม่มีผลทําให้ “ระยะเวลาการฟ้องคดีสะดุดหยุดอยู่” ตามข้อ ๓๑
แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ เน่ืองจากบทบัญญัติดังกล่าวใช้เฉพาะกรณีที่มีการฟ้องคดีปกครอง
ตอ่ ศาลอนื่ ซึ่งมิใชศ่ าลปกครอง จึงไมอ่ าจนํามาใชใ้ นกรณที ่มี กี ารฟ้องคดปี กครองตอ่ ศาลปกครองผดิ ศาล
รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๙
แล้วกรณีเช่นนี้ ศาลปกครองช้ันต้นหรือศาลปกครองสูงสุดท่ีรับคําฟ้องนั้นไว้
ต้องดาํ เนินการอยา่ งไร
สําหรับกรณีท่ีคําฟ้องท่ียื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา แล้วบางข้อหา
อย่ใู นอํานาจของศาลปกครองสูงสดุ หรอื อยู่ในเขตอาํ นาจของศาลปกครองช้ันต้นอน่ื นน้ั ศาลปกครอง
ช้ันต้นต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ในเร่ืองคดีที่ย่ืนฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา
หรอื หลายประเด็นเก่ียวพันกนั ท้ังน้ี ตามขอ้ ๔๑ วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ
โดยในกรณีคดีที่ย่ืนฟ้องต่อศาลปกครองช้ันต้นมีหลายข้อหา ถ้าข้อหาหนึ่งข้อหาใดเป็นเร่ืองท่ีไม่อยู่
ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นนั้น ไม่ว่าจะโดยเหตุท่ีข้อหาดังกล่าวอยู่ในอํานาจ
หรือเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นอื่น ศาลปกครองสูงสุด หรือศาลอ่ืนซึ่งมิใช่ศาลปกครอง
ข้อ ๔๑ วรรคหน่งึ แห่งระเบียบดังกล่าวกําหนดให้ศาลปกครองช้ันต้นซ่ึงรับคําฟ้องที่มีหลายข้อหาไว้น้ัน
มีคําส่ังไม่รับข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วน
ของข้อหาทอี่ ยูใ่ นอาํ นาจและเขตอํานาจตอ่ ไป
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๑๗/๒๕๕๘ ขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏตามคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีว่า
เหตุแห่งการฟ้องคดีสืบเน่ืองจากได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกากําหนดบริเวณท่ีดินป่ากรุงชิง
ป่าคลองเผียน และป่าเขานัน ในท้องท่ีตําบลเขาน้อย ตําบลฉลอง ตําบลเทพราช ตําบลเปล่ียน
อําเภอสิชล ตําบลกรุงชิง ตําบลนบพิตํา อําเภอนบพิตํา และตําบลตล่ิงชัน อําเภอท่าศาลา จังหวัด
นครศรีธรรมราช ให้เป็นอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๒ ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่าเป็นพระราชกฤษฎีกา
ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เน่ืองจากออกทับท่ีดินของผู้ฟ้องคดีท่ีได้ครอบครองทําประโยชน์มาก่อน
มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกาฯ พ.ศ. ๒๕๕๒ ขอให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว
กรณีจึงเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของพระราชกฤษฎีกาและกฎท่ีออกโดย
คณะรัฐมนตรีหรือโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ซึ่งอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลปกครองสูงสุดตามมาตรา ๑๑ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ผู้ฟ้องคดี
จึงตอ้ งนาํ ข้อหาดังกล่าวมายื่นฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดโดยตรงตามมาตรา ๑๐ ประกอบกับมาตรา ๑๑
แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว เมื่อการฟ้องขอให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกาเป็นเรื่องท่ีไม่อยู่ในอํานาจ
พิจารณาพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น แต่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
กรณีจงึ ต้องด้วยขอ้ ๔๑ แห่งระเบียบฯ วา่ ดว้ ยวธิ พี ิจารณาคดีปกครองฯ ที่กําหนดให้ศาลปกครองช้ันต้น
ส่ังไม่รับข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณา
ในส่วนของข้อหาท่ีอยู่ในอํานาจและเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นต่อไป ศาลปกครองช้ันต้น
จึงชอบท่ีจะมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องข้อหานี้ไว้พิจารณา สําหรับกรณีที่ผู้ฟ้องคดีฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขานัน ที่ ๖๘/๒๕๕๕ ลงวันที่ ๑๐ ตุลาคม ๒๕๕๕
เรื่อง ให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคลผู้กระทําความผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔
ทาํ ลาย หรือรือ้ ถอนสง่ิ ปลูกสรา้ ง หรอื สิ่งอื่นใดทผ่ี ดิ ไปจากสภาพเดิมออกไปให้พ้นอุทยานแห่งชาติเขานัน
หรือทําให้สิ่งน้ัน ๆ กลับคืนสู่สภาพเดิม นั้น เม่ือในคําส่ังฉบับดังกล่าวระบุให้บุคคลหรือกลุ่มบุคคล
ผู้กระทําผิดตามพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติฯ มีสิทธิอุทธรณ์คําสั่งน้ีต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติ
๑๐ รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
เขานันภายใน ๑๕ วัน นับแต่ได้รับแจ้งคําส่ังนี้ แต่ไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนอุทธรณ์คําส่ัง
ต่อหัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขานันก่อนนําคดีมาฟ้องต่อศาล จึงถือว่าผู้ฟ้องคดียังมิได้ดําเนินการ
ตามขน้ั ตอนหรือวธิ กี ารสาํ หรับการแกไ้ ขความเดือดรอ้ นหรอื เสียหายตามที่กฎหมายกําหนดก่อนนําคดี
มาฟ้องต่อศาล ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนคําส่ังดังกล่าวตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ศาลปกครองจึงไม่อาจรับคําฟ้องข้อหานี้ไว้พิจารณาได้
การที่ศาลปกครองช้ันต้นมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาและให้จําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
จึงชอบแล้ว
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คส.๑๕/๒๕๕๘ กรณีท่ีผู้ฟ้องคดีซ่ึงเป็นราษฎรอาศัยอยู่
ในพ้ืนท่ชี มุ ชนตําบลเนนิ มะปราง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพษิ ณโุ ลก และเป็นเจา้ ของกรรมสิทธิ์ที่ดิน
มโี ฉนดในพื้นท่ีดังกลา่ ว ฟ้องวา่ สํานกั งานการปฏริ ปู ท่ดี นิ จังหวัดพิษณุโลก (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑๔) ละเลย
ไม่แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีและประชาชนท่ีอาศัยอยู่ในบริเวณพิพาทได้ทราบถึงการประกาศพระราชกฤษฎีกา
กาํ หนดเขตทีด่ ินในท้องทตี่ ําบลวงั นกแอ่น ตาํ บลชัยนาม ตําบลดินทอง ตําบลท่าหมื่นราม ตําบลพันชาลี
อําเภอวังทอง และตําบลชมพู ตําบลเนินมะปราง ตําบลบ้านมุง ตําบลวังยาง ตําบลบ้านน้อยซุ้มข้ีเหล็ก
ตําบลวังโพรง อําเภอเนินมะปราง จังหวัดพิษณุโลก ให้เป็นเขตปฏิรูปที่ดิน พ.ศ. ๒๕๕๓ เป็นเหตุให้
ประชาชนต้องเสียสิทธิในการออกเอกสารแสดงสิทธิทํากินในที่ดินเขตปฏิรูปท่ีดิน นอกจากน้ี
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) ยังได้ออกอาชญาบัตรพิเศษให้แก่บริษัท ร.
เพ่ือทําการสํารวจแร่ในท้องที่อําเภอเนินมะปราง อันเป็นการทับซ้อนท่ีดินทํากินของประชาชนในเขต
ปฏิรูปท่ีดิน และเป็นการละเมิดสิทธิของผู้ฟ้องคดีและประชาชนท่ีจะเข้าใช้ท่ีดินในเขตปฏิรูปท่ีดินนั้น
ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑๔ ออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก. ให้แก่ประชาชน
ตามพระราชกฤษฎกี ากําหนดเขตที่ดนิ ฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ และขอใหเ้ พกิ ถอนอาชญาบัตรพิเศษท่ีผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๒ ออกให้แก่บริษัท ร. รวมท้ังขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ทรัพยากรธรรมชาติทุกชนิด
ในเขตปฏิรูปที่ดินตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตท่ีดินฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ ตกเป็นสิทธิของประชาชน
ภายใต้การปฏิรูปและบริหารจัดการโดยประชาชนตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยห้ามไม่ให้
บุคคลใดเข้าไปยุ่งเก่ียวหรือครอบครองทรัพยากรธรรมชาติในพื้นท่ีดังกล่าว น้ัน สําหรับคําฟ้อง
ของผู้ฟอ้ งคดใี นสว่ นทขี่ อให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑๔ ออกเอกสารสิทธิ ส.ป.ก.
ให้แก่ประชาชนตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ผู้ฟ้องคดีเป็นราษฎรที่อาศัยอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก ท้องท่ีดังกล่าวจึงเป็นถิ่นที่อยู่อันเป็นภูมิลําเนา
ของผู้ฟ้องคดี ประกอบกับคําฟ้องข้อหานี้เป็นการฟ้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑๔ ออกเอกสารสิทธิ
ส.ป.ก. ให้แก่ประชาชนตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินฯ พ.ศ. ๒๕๕๓ มูลคดีจึงเกิดข้ึนในเขต
ท้องที่จังหวัดพิษณุโลก ซึ่งอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองพิษณุโลกตามมาตรา ๔๗
และมาตรา ๙๔ วรรคหนึ่ง (๗) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับข้อ ๒๙
วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ และเมื่อคดีตามคําฟ้องของผู้ฟ้องคดี
ที่ย่ืนต่อศาลปกครองชั้นต้นมีสามข้อหา โดยข้อหานี้เป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลปกครองกลาง กรณีจึงต้องด้วยข้อ ๔๑ แห่งระเบียบเดียวกัน ที่กําหนดให้ศาลปกครองชั้นต้น
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๑
ส่ังไม่รับข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณา
ในส่วนของข้อหาท่ีอยู่ในอํานาจและเขตอํานาจต่อไป ดังนั้น การที่ศาลปกครองกลางมีคําสั่ง
ไมร่ ับคําฟ้องขอ้ หานไ้ี ว้พิจารณาจึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
จากคําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี ๑๗/๒๕๕๘ และที่ คส.๑๕/๒๕๕๘ ดังกล่าวข้างต้น๒
แสดงให้เห็นว่า กรณีท่ีคําฟ้องที่ยื่นต่อศาลปกครองช้ันต้นมีหลายข้อหา แล้วบางข้อหาอยู่ในอํานาจ
ของศาลปกครองสูงสุด หรืออยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นอื่น น้ัน ศาลปกครองชั้นต้น
ต้องปฏิบัติตามข้อ ๔๑ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ โดยมีคําส่ังไม่รับคําฟ้องข้อหา
ท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจไว้พิจารณาเท่านั้น หากศาลปกครองชั้นต้นดําเนินการเป็นอย่างอ่ืน
ถอื เปน็ การดําเนนิ กระบวนพจิ ารณาทไ่ี ม่ถูกต้อง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๑๘๘/๒๕๕๙ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า
เดิมศาลปกครองชั้นต้นได้มีคําสั่งรับคําฟ้องข้อหาที่ ๑ กรณีฟ้องขอให้เพิกถอนประกาศกระทรวง
อุตสาหกรรม ลงวันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๔ เฉพาะข้อ ๒.๓ ที่กําหนดให้บ้านโพนไพล ตําบลพังเทียม
อําเภอโนนไทย (ปัจจุบันเปล่ียนเป็นอําเภอพระทองคํา) จังหวัดนครราชสีมา เป็นท้องท่ีที่อนุญาต
ให้ตั้งโรงงานทําเกลือสินเธาว์และโรงงานสูบหรือนํานํ้าเกลือข้ึนมาจากใต้ดินไว้พิจารณา ต่อมา
ศาลปกครองชั้นต้นเห็นว่าข้อหาน้ีอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด จึงเพิกถอน
กระบวนพจิ ารณาเฉพาะสว่ นท่สี งั่ รบั คาํ ฟอ้ งข้อหาท่ี ๑ ไว้พิจารณา และมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องในข้อหาท่ี ๑
ตามขอ้ ๔๑ วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ และส่งสํานวนไปให้ศาลปกครอง
สูงสุดพจิ ารณาวินิจฉยั โดยเป็นการถือปฏิบตั ิตามข้อ ๓๙ วรรคหนึ่ง แหง่ ระเบียบเดียวกันน้ัน ย่อมเป็น
กรณีที่ศาลปกครองสูงสุดไม่อาจมีคําวินิจฉัยได้ เน่ืองจากเป็นกรณีที่ศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งไม่รับ
คําฟ้องบางข้อหาไว้พิจารณา มิใช่กรณีที่ศาลปกครองช้ันต้นมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาท้ังคดี
โดยศาลปกครองช้ันต้นชอบท่ีจะแจ้งคําส่ังดังกล่าวให้ผู้ฟ้องคดีทั้งย่ีสิบสองทราบเพื่อใช้สิทธิอุทธรณ์
คําส่ังไม่รับคําฟ้องบางข้อหาต่อศาลปกครองสูงสุดตามข้อ ๔๙/๑ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณา
คดีปกครองฯ แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหาท่ีอยู่ในอํานาจต่อไป สํานักงาน
ศาลปกครองสูงสุดจึงได้มีหนังสือส่งสํานวนคืนศาลปกครองชั้นต้น โดยท่ีศาลปกครองสูงสุดมิได้มี
คําวินิจฉัยในกรณีดังกล่าว แต่ปรากฏว่าศาลปกครองชั้นต้นได้มีคําสั่งเพิกถอนคําส่ังที่ไม่รับข้อหาที่ ๑
ไว้พิจารณา เป็นให้รับข้อหาดังกล่าวไว้พิจารณาต่อไป จึงเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ถูกต้อง
ซึ่งเมื่อคดีปรากฏเหตุที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบในส่วนท่ีว่าด้วยการทํา
คาํ พิพากษาและคําสั่ง ศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจสั่งยกคําพิพากษาหรือคําส่ังของศาลปกครองชั้นต้น
แล้วส่งสํานวนคดีคืนไปยังศาลปกครองช้ันต้น เพ่ือให้พิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ได้ตามข้อ ๑๑๒
วรรคหน่ึง (๑) อย่างไรก็ตาม การที่ศาลปกครองสูงสุดจะยกคําพิพากษาหรือคําส่ังของศาลปกครองช้ันต้น
๒ จากการสืบค้นในระบบงานคดี ไม่พบวา่ ผู้ฟ้องคดีตามคําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๑๗/๒๕๕๘ และผู้ฟ้องคดี
ตามคําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คส.๑๕/๒๕๕๘ ได้นําคําฟ้องในส่วนของข้อหาที่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุด
ไปยน่ื ฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดแต่อย่างใด
๑๒ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
แล้วส่งสํานวนคดีคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้นเพื่อให้พิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ โดยแจ้งคําสั่งไม่รับ
คําฟ้องข้อหาท่ี ๑ ไว้พิจารณาให้ผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสองทราบเพ่ือใช้สิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด
ย่อมไม่เป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดีทั้งยี่สิบสอง และคดีอาจล่าช้า เน่ืองจากเป็นกรณีท่ีศาลปกครองสูงสุด
เห็นว่า คําฟ้องในข้อหาท่ี ๑ อยู่ในเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้น
เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ศาลปกครองสูงสุดจึงมีอํานาจที่จะพิจารณาพิพากษาในคดีน้ี
ตามข้อ ๑๑๑ แหง่ ระเบียบฯ ว่าดว้ ยวธิ พี ิจารณาคดีปกครองฯ
ดังน้นั ในกรณีคดีที่ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา ถ้าข้อหาหนึ่งข้อหาใด
เปน็ เรอ่ื งท่ีไม่อย่ใู นอํานาจหรอื เขตอํานาจของศาลปกครองช้นั ตน้ น้ัน ศาลปกครองชั้นตน้ จึงต้องมีคําสั่ง
ไมร่ บั คาํ ฟ้องข้อหาน้ันไว้พิจารณาตามข้อ ๔๑ วรรคหน่ึง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ
ทั้งน้ี กเ็ พ่อื ใหผ้ ฟู้ ้องคดนี าํ ข้อหานน้ั ไปย่นื ฟ้องเป็นคดีใหมต่ ่อศาลท่ถี กู ต้องต่อไป
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๗๗/๒๕๖๑ ข้อเท็จจริงปรากฏตามคําฟ้อง
ของผู้ฟ้องคดีในข้อหาที่หนึ่งที่ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้เพิกถอนคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดี
ตามคําสัง่ กรมที่ดิน ที่ ๑๖๖๓/๒๕๕๙ ลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ เร่ือง ลงโทษภาคทัณฑ์ ท่ีให้ลงโทษ
ภาคทัณฑ์ผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๙ อุทธรณ์คําสั่งลงโทษ
ภาคทัณฑ์ต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ต่อมา ก.พ.ค. ได้มีคําวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์
ของผู้ฟ้องคดีตามหนังสือคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม ลับ ที่ นร ๑๐๑๐.๓.๑.๕/ล ๓๖๘
ลงวันท่ี ๑๔ มีนาคม ๒๕๖๐ แม้จะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงในชั้นนี้ว่าผู้ฟ้องคดีได้รับแจ้งคําวินิจฉัยอุทธรณ์
ของ ก.พ.ค. เมื่อใด แต่เม่ือผู้ฟ้องคดีนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นเม่ือวันท่ี ๑๓ มิถุนายน
๒๕๖๐ ขอใหศ้ าลมคี ําพพิ ากษาหรอื คาํ สง่ั เพกิ ถอนคาํ สง่ั ลงโทษภาคทัณฑข์ องผถู้ ูกฟ้องคดี อันเป็นเวลา
ภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้รับทราบผลการพิจารณาอุทธรณ์จาก ก.พ.ค. ซึ่งตามมาตรา ๑๑๖ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ บัญญัติให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองสูงสุด
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ทราบหรือถือว่าทราบคําวินิจฉัยของ ก.พ.ค. เมื่อผู้ฟ้องคดีทราบผล
การพิจารณาอุทธรณ์จาก ก.พ.ค. แล้ว จึงไม่อาจย่ืนฟ้องคดีต่อศาลปกครองช้ันต้นเพ่ือขอให้เพิกถอน
คําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีที่สั่งลงโทษภาคทัณฑ์ผู้ฟ้องคดีได้ กรณีจึงเป็นคดีพิพาทที่มีกฎหมายกําหนด
ให้อยู่ในอํานาจศาลปกครองสูงสุด อันอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
ตามมาตรา ๑๑ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ผู้ฟ้องคดีจึงต้องนําคดีในข้อหาดังกล่าว
มาย่ืนฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดโดยตรงตามมาตรา ๑๐ ประกอบกับมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติ
ดังกล่าว เม่ือข้อพิพาทดังกล่าวเป็นเรื่องท่ีไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
แต่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด กรณีจึงต้องด้วยข้อ ๔๑ วรรคหน่ึง
แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ท่ีกําหนดให้ศาลปกครองชั้นต้นส่ังไม่รับข้อหา
ที่ไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหา
ท่ีอยู่ในอํานาจและเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นต่อไป ดังนั้น ศาลปกครองชั้นต้นจึงชอบ
ที่จะมีคาํ ส่งั ไม่รับคาํ ฟอ้ งขอ้ หาทห่ี นึ่งทข่ี อให้ศาลมคี ําพพิ ากษาหรือคาํ สงั่ เพิกถอนคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดี
ตามคําส่ังกรมที่ดิน ท่ี ๑๖๖๓/๒๕๕๙ ลงวันท่ี ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๙ เร่ือง ลงโทษภาคทัณฑ์
รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๓
ไว้พิจารณาได้ ท้ังนี้ ย่อมไม่ตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีท่ีจะนําคดีในข้อหาที่หน่ึงมาฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด
ได้ใหม่ภายใต้เงื่อนไขในการฟ้องคดีตามท่ีกฎหมายกําหนดไว้๓ จึงมีคําส่ังยืนตามคําส่ังของศาลปกครอง
ช้นั ต้นท่มี ีคําสง่ั ไมร่ บั คําฟอ้ งของผู้ฟอ้ งคดีในส่วนของข้อหาทหี่ นงึ่ ไว้พิจารณา
สําหรับกรณีที่คําฟ้องท่ีย่ืนต่อศาลปกครองสูงสุดมีหลายข้อหา แล้วบางข้อหา
อยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้น ยกตัวอย่างเช่น กรณีฟ้องขอให้เพิกถอนพระราชกฤษฎีกา
หรือกฎท่ีออกโดยคณะรัฐมนตรีหรือโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และมีคําขอให้เพิกถอนกฎ
หรือคําส่ัง หรือขอให้กระทําการ ซึ่งอยู่ในอํานาจของศาลปกครองช้ันต้น หรือกรณีท่ีฟ้องขอให้
เพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของ ก.พ.ค. และมีคําขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นต้น กรณีเช่นนี้
แม้ศาลปกครองสูงสุดจะไม่สามารถอาศัยอํานาจตามข้อ ๙๙ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณา
คดีปกครองฯ ส่งคําฟ้องเพียงบางข้อหาที่ไม่อยู่ในอํานาจนั้นไปยังศาลปกครองชั้นต้นท่ีมีเขตอํานาจได้
ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดพบว่า ศาลปกครอง
สูงสุดได้อาศัยอํานาจตามข้อ ๘๐ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ซึ่งนํามาใช้บังคับ
โดยอนุโลมตามข้อ ๙๘ แห่งระเบียบเดียวกัน สั่งแยกข้อหาที่อยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้น
เป็นอีกคดีหน่ึง แล้วอาศัยอํานาจตามข้อ ๙๙ แห่งระเบียบดังกล่าว ส่งคําฟ้องข้อหาข้างต้นไปให้
ศาลปกครองช้ันต้นท่ีมีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๔๗ และมาตรา ๙๔
แหง่ พระราชบัญญตั จิ ดั ตั้งศาลปกครองฯ แลว้ ดําเนนิ กระบวนพจิ ารณาในส่วนของข้อหาท่ีอยู่ในอํานาจ
พิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดต่อไป (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๒๖/๒๕๕๗
ท่ี ฟ.๒๐/๒๕๖๐ รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําที่ ฟ.๖๐/๒๕๕๕ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟ.๘๘/๒๕๕๕ รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําท่ี ฟ.๖๑/๒๕๕๕ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟ.๘๙/๒๕๕๕ รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําท่ี ฟ.๕๓/๒๕๕๖ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟ.๑๐๒/๒๕๕๖ รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําที่ ฟ.๒๒/๒๕๕๗ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟ.๒๕/๒๕๕๗ รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําที่ ฟส.๗/๒๕๕๘ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟส.๔/๒๕๕๘ รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําท่ี ฟ.๑๑/๒๕๕๙ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟ.๒๖/๒๕๕๙ รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําท่ี ฟ.๒๒/๒๕๕๙ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟ.๑/๒๕๖๐ และรายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําท่ี ฟ.๒๔/๒๕๕๙ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ฟ.๒/๒๕๖๐)
อย่างไรก็ตาม หากข้อหาที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดน้ัน
เป็นข้อหาที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคําส่ังไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาโดยเหตุอื่นด้วย เช่น ผู้ฟ้องคดีนําคดี
มาฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดเม่ือพ้นกําหนดระยะเวลาการฟ้องคดี เป็นต้น จากการศึกษาคําวินิจฉัย
ของศาลปกครองสูงสุดพบว่า ศาลปกครองสูงสุดมีการดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหา
ท่ีอย่ใู นอาํ นาจของศาลปกครองช้ันต้น ๒ วิธี คือ
๓ จากการสืบค้นในระบบงานคดี ยังไม่พบว่าผู้ฟ้องคดีตามคําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๗๗/๒๕๖๑
ได้นําคาํ ฟอ้ งในสว่ นของขอ้ หาทอี่ ยู่ในอาํ นาจของศาลปกครองสงู สดุ ไปย่นื ฟ้องต่อศาลปกครองสงู สุดแตอ่ ย่างใด
๑๔ รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
วิธีท่ีหนึ่ง อาศัยอํานาจตามข้อ ๘๐ ประกอบกับข้อ ๙๘ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วย
วิธีพิจารณาคดีปกครองฯ แยกข้อหาท่ีอยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นเป็นอีกคดีหนึ่ง
แล้วอาศัยอํานาจตามข้อ ๙๙ แห่งระเบียบเดียวกัน ส่งคําฟ้องข้อหาดังกล่าวไปให้ศาลปกครองชั้นต้น
ที่มีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๔๗ และมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดตั้งศาลปกครองฯ ก่อนที่จะมีคําส่ังไม่รับคําฟ้องข้อหาที่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุด
ไวพ้ จิ ารณา (คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ ฟ.๒๒/๒๕๕๘ ที่ ฟส.๓/๒๕๕๘ และที่ ฟส.๘/๒๕๕๘)
วิธีท่ีสอง อาศัยอํานาจตามข้อ ๔๑ วรรคหน่ึง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณา
คดีปกครองฯ ซึ่งนํามาใช้บังคับโดยอนุโลมตามข้อ ๑๑๖๔ แห่งระเบียบเดียวกัน สั่งไม่รับคําฟ้อง
ในส่วนของข้อหาที่อยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นไว้พิจารณาเสียก่อน และมีคําส่ังไม่รับ
คําฟ้องข้อหาทีอ่ ยู่ในอํานาจของศาลปกครองสงู สดุ ไว้พจิ ารณา
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ฟ.๔๒/๒๕๕๙ สําหรับคําฟ้องข้อหาที่หน่ึงที่ขอให้
เพิกถอนมติของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ที่กําหนดให้มีการหักเงินเบิกลดเงินเดือนและเงินเบิกลดเงินเพิ่ม
การเลื่อนฐานะ (พ.ล.ฐ.) ตามบัญชีอัตราเงินเดือนข้าราชการตํารวจท้ายพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ นั้น แม้เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๑๑ (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลปกครองฯ แต่โดยที่เป็นการย่ืนคําฟ้องเมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาการฟ้องคดีตามมาตรา ๔๙
แหง่ พระราชบญั ญัติเดยี วกัน ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่อาจรับคําฟ้องข้อหานี้ไว้พิจารณาได้ ส่วนคําฟ้อง
ข้อหาท่ีสอง ท่ีผู้ฟ้องคดีท้ังสองกล่าวหาว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ กระทําการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ด้วยการหักเงินเบิกลดจากเงินเดือนของผู้ฟ้องคดีท้ังสองมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๑ จนถึงวันย่ืนฟ้องคดี
ทําให้ผู้ฟ้องคดีท้ังสองได้รับความเดือดร้อนเสียหาย อันเป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีท้ังสอง
และผู้ฟ้องคดีทั้งสองมีคําขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ คืนเงินเบิกลดที่ได้หักจากเงินเดือนตามจํานวนที่หัก
และคืนเงินเบิกลดเงินเพิ่มรายการเล่ือนฐานะ (พ.ล.ฐ.) ตามจํานวนที่ยังไม่คืนให้ พร้อมดอกเบี้ยอัตรา
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี โดยให้มีผลต้ังแต่วันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๑ ถึงวันท่ีย่ืนฟ้อง คําฟ้องในข้อหาน้ี
๔ หมายเหตุ หากพิจารณาตามข้อกฎหมายโดยเคร่งครัดแล้ว การนําวิธีพิจารณาคดีปกครองในศาลปกครอง
ช้ันต้นมาใช้บังคับกับคดีที่ฟ้องตรงต่อศาลปกครองสูงสุดโดยอนุโลมนั้น ศาลปกครองสูงสุดน่าจะต้องอาศัยอํานาจ
ตามข้อ ๙๘ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ส่วนข้อ ๑๑๖ แห่งระเบียบเดียวกัน เป็นบทบัญญัติ
ที่ใหน้ าํ วิธีพิจารณาคดปี กครองในศาลปกครองชนั้ ต้นมาใช้บังคับกับคดีท่ีอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําส่ังของศาลปกครอง
ชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุดโดยอนุโลม อย่างไรก็ดี จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดพบว่า มีกรณีที่
ศาลปกครองสูงสุดอาศัยอํานาจตามข้อ ๑๑๖ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ นําวิธีพิจารณา
คดีปกครองในศาลปกครองชัน้ ต้นมาใชบ้ ังคับกับคดีที่ฟ้องตรงต่อศาลปกครองสูงสุดโดยอนุโลมด้วย อาทิ การมีคําสั่ง
ไม่รับคําขอทุเลาการบังคับตามคําสั่งลงโทษทางวินัยตามข้อ ๗๐ ประกอบกับข้อ ๑๑๖ (คําส่ังระหว่างพิจารณา
ของศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขดําท่ี ฟบ.๑๕/๒๕๖๐ และคดีหมายเลขดําที่ ฟบ.๑๗/๒๕๖๐) การมีคําสั่ง
แยกคดีในส่วนของข้อหาที่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นเป็นอีกคดีหนึ่งตามข้อ ๘๐ ประกอบกับข้อ ๑๑๖
(รายงานกระบวนพิจารณา คดีหมายเลขดําที่ ฟส.๒/๒๕๕๘) และการวินิจฉัยประเด็นเกี่ยวพันกันที่ต้องวินิจฉัยก่อน
เพื่อให้ศาลสามารถวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีตามข้อ ๔๑ วรรคสอง ประกอบกับข้อ ๑๑๖ (คําพิพากษา
ศาลปกครองสงู สุดท่ี ฟ.๑๗/๒๕๖๐) เป็นต้น
รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๕
เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอ่ืนของหน่วยงานทางปกครอง
หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ซึ่งไม่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
ตามมาตรา ๑๑ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว แต่เป็นคดีพิพาทที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลปกครองชั้นต้นตามมาตรา ๑๐ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ศาลปกครองสูงสุดจึงไม่อาจรับ
คําฟ้องในข้อหาน้ีไว้พิจารณาได้ ตามข้อ ๔๑ วรรคหนึ่ง ประกอบกับข้อ ๑๑๖ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วย
วิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จึงมีคําส่ังไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณาและให้จําหน่ายคดีออกจากสารบบความ
(คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ฟ.๔๓/๒๕๔๙ ท่ี ฟ.๕๑/๒๕๔๙ ท่ี ฟ.๘/๒๕๕๐ ท่ี ฟ.๓๙/๒๕๕๐
และท่ี ฟ.๗/๒๕๕๔ วนิ ิจฉยั แนวทางเดยี วกนั )
๒. บทวิเคราะหแ์ ละข้อเสนอแนะ
จากท่ีกล่าวมาท้ังหมดจะเห็นได้ว่า การสั่งคําฟ้องท่ีมีหลายข้อหาและบางข้อหา
ไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลนั้น ศาลปกครองช้ันต้นและศาลปกครองสูงสุดมีการดําเนินการ
ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ การดําเนินกระบวนพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดในกรณีท่ีคําฟ้องท่ีย่ืน
ต่อศาลปกครองสูงสุดมีหลายข้อหา แล้วบางข้อหาอยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้น
โดยเฉพาะในกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดจะมีคําพิพากษาในส่วนของข้อหาท่ีอยู่ในอํานาจพิจารณา
พิพากษาของศาลปกครองสูงสุดต่อไป นั้น ศาลปกครองสูงสุดไม่จําต้องส่ังไม่รับคําฟ้องข้อหาท่ีอยู่
ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นแต่อย่างใด โดยศาลปกครองสูงสุดจะอาศัยอํานาจตามข้อ ๘๐
ประกอบกับข้อ ๙๘ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ แยกข้อหาที่อยู่ในเขตอํานาจ
ของศาลปกครองช้ันต้นเป็นอีกคดีหน่ึง แล้วอาศัยอํานาจตามข้อ ๙๙ แห่งระเบียบเดียวกัน ส่งคําฟ้อง
ข้อหาดังกล่าวไปให้ศาลปกครองชั้นต้นที่มีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาตามมาตรา ๑๐ มาตรา ๔๗
และมาตรา ๙๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ อันเป็นการอํานวยความยุติธรรมให้แก่
ประชาชนเป็นอย่างยิ่ง แต่สําหรับกรณีท่ีคําฟ้องที่ยื่นต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา
แล้วบางข้อหาอยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุด หรืออยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นอ่ืน น้ัน
ข้อ ๔๑ วรรคหน่ึง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า
ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าคดีท่ียื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา ถ้าข้อหาหนึ่งข้อหาใด
เป็นเร่ืองที่ไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นนั้นไม่ว่าจะโดยเหตุท่ีข้อหาดังกล่าว
อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นอ่ืน ศาลปกครองสูงสุด หรือศาลอื่นซ่ึงมิใช่
ศาลปกครอง ให้ศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งไม่รับข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจไว้พิจารณา
แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหาท่ีอยู่ในอํานาจและเขตอํานาจต่อไป ด้วยเหตุน้ี
ศาลปกครองชั้นต้นจึงไม่อาจอาศัยอํานาจตามข้อ ๘๐ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ
สั่งแยกข้อหาที่อยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุดเป็นอีกคดีหนึ่ง แล้วอาศัยข้อ ๓๙ วรรคหน่ึง
หรือข้อ ๔๐ วรรคหน่ึง แห่งระเบียบเดียวกัน ส่งคําฟ้องข้อหาดังกล่าวไปให้ศาลปกครองสูงสุด
๑๖ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
หรือศาลปกครองช้ันต้นอ่ืนพิจารณาพิพากษาได้ เพราะจะถือเป็นกรณีที่ศาลปกครองช้ันต้น
ดําเนินกระบวนพิจารณาที่ผดิ ระเบยี บ
ผลที่ตามมาจากการท่ีศาลปกครองชั้นต้นมีคําส่ังไม่รับข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจ
หรือเขตอํานาจ คือ ผู้ฟ้องคดีต้องนําคดีในส่วนของข้อหาที่ศาลมีคําส่ังไม่รับดังกล่าวไปย่ืนฟ้อง
เปน็ คดีใหมต่ อ่ ศาลปกครองสงู สุดทีม่ อี ํานาจ หรือตอ่ ศาลปกครองช้ันต้นอ่ืนที่มีเขตอํานาจ แล้วแต่กรณี
ต่อไป แต่จากคําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คบ.๑๗๗/๒๕๖๑ ท่ีได้วินิจฉัยไว้ในตอนท้ายของคําส่ังว่า
“ทั้งนี้ ย่อมไม่ตัดสิทธิผู้ฟ้องคดีท่ีจะนําคดีในข้อหาท่ีหนึ่งมาฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุดได้ใหม่ภายใต้
เง่ือนไขในการฟ้องคดีตามที่กฎหมายกําหนดไว้” จะเห็นได้ว่า ภายหลังจากท่ีศาลปกครองช้ันต้น
ซึ่งรับคําฟ้องที่มีหลายข้อหา มีคําสั่งไม่รับคําฟ้องข้อท่ีอยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุด หรืออยู่ใน
เขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นอื่นตามที่กําหนดไว้ในข้อ ๔๑ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณา
คดีปกครองฯ แล้ว หากมีการนําคดีในข้อหาท่ีสั่งไม่รับดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด
หรือศาลปกครองชั้นต้นอื่นท่ีมีเขตอํานาจ กรณีต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขแห่งการฟ้องคดีด้วย จึงมีกรณี
ท่ีน่าพิจารณาเก่ียวกับเร่ืองกําหนดระยะเวลาการฟ้องคดี ทั้งนี้ เน่ืองจากในกรณีนี้กฎหมายไม่ได้
กําหนดให้ระยะเวลาการฟ้องคดีสะดุดหยุดอยู่ไว้ ด้วยเหตุน้ี จึงอาจมีกรณีที่ในวันท่ีมีการย่ืนฟ้องคดี
ต่อศาลแห่งแรกเป็นกรณีท่ียังไม่พ้นกําหนดระยะเวลาการฟ้องคดี แต่เมื่อมีการนํามาฟ้องเป็นคดีใหม่
อาจเปน็ การยน่ื ฟ้องเม่ือพน้ กาํ หนดระยะเวลาการฟ้องคดแี ล้ว
เพื่อเป็นการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนสําหรับกรณีดังกล่าวในเบ้ืองต้น
หากการยื่นฟ้องคดีต่อศาลแห่งแรกเป็นกรณีที่ยังไม่พ้นกําหนดระยะเวลาการฟ้องคดี แต่เมื่อมีการ
นํามาฟ้องเป็นคดีใหม่ต่อศาลที่มีอํานาจหรือเขตอํานาจ ปรากฏว่าเป็นการย่ืนคําฟ้องเมื่อพ้นกําหนด
ระยะเวลาการฟ้องคดีแล้ว ผู้เรียบเรียงเห็นว่า กรณีน้ีน่าจะถือเป็นกรณีที่มี “เหตุจําเป็นอื่น” ท่ีศาล
จะใช้ดุลพินิจรับคําฟ้องไว้พิจารณาได้ แม้เป็นการย่ืนฟ้องเมื่อพ้นกําหนดระยะเวลาการฟ้องคดีแล้ว
โดยอาศัยอํานาจตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญัตจิ ัดตัง้ ศาลปกครองฯ
อย่างไรก็ดี การแก้ไขปัญหาด้วยวิธีการข้างต้นต้องอาศัยดุลพินิจของศาล ซึ่งไม่อาจ
เป็นหลักประกันความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนได้อย่างมั่นคงแน่นอนและชัดเจน ประกอบกับ
เมื่อการดําเนินกระบวนพิจารณาของศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดในกรณีท่ีคําฟ้อง
มหี ลายข้อหาและบางขอ้ หาไม่อยู่ในอํานาจหรอื เขตอํานาจของศาลทรี่ ับคาํ ฟอ้ งไว้ ยงั มคี วามลักล่ันกันอยู่
ยอ่ มจะทําใหเ้ กิดความสับสนแกป่ ระชาชนท่ีนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ผู้เรียบเรียงจึงมีข้อเสนอแนะ
ให้แก้ไขเพิ่มเติมข้อ ๔๑ วรรคหนึ่ง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ตามแนวทาง
ดังต่อไปนี้
ข้อ ๔๑ วรรคหนึ่ง ในปัจจุบัน “ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าคดีท่ีย่ืนฟ้อง
ต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา ถ้าข้อหาหน่ึงข้อหาใดเป็นเรื่องที่ไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจ
ของศาลปกครองช้ันต้นนั้น ไม่ว่าจะโดยเหตุที่ข้อหาดังกล่าวอยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจ
ของศาลปกครองช้ันต้นอ่ืน ศาลปกครองสูงสุด หรือศาลอ่ืนซึ่งมิใช่ศาลปกครอง ให้สั่งไม่รับข้อหา
ที่ไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหาท่ีอยู่
รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๗
ในอํานาจและเขตอํานาจต่อไป แต่ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าข้อหาที่สั่งไม่รับไว้พิจารณาจะมีผล
ต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองชั้นต้นน้ัน องค์คณะอาจมีคําส่ังให้รอการพิจารณา
พิพากษาคดีไว้จนกว่าข้อหาท่ีส่ังไม่รับไว้พิจารณาจะได้มีการพิพากษาหรือมีคําสั่งชี้ขาดคดีโดยศาล
ที่มีอาํ นาจหรอื เขตอาํ นาจ และคดถี ึงท่สี ุดแลว้ ”
มีข้อเสนอในการแกไ้ ขเป็นสองแนวทาง ดังน้ี
แนวทางทีห่ น่งึ เพ่ิมเตมิ ในตอนทา้ ยของข้อ ๔๑ วรรคหน่งึ ดงั น้ี
“... ทั้งน้ี ในกรณีที่องค์คณะมีคําส่ังไม่รับข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจ
เนื่องจากเป็นเร่ืองที่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นอื่นหรือศาลปกครองสูงสุด
ให้ถือว่ากําหนดระยะเวลาการฟ้องคดีสะดุดหยุดอยู่เท่าระยะเวลาตั้งแต่วันย่ืนคําฟ้องจนถึงวันที่
คดใี นส่วนของขอ้ หานั้นถงึ ทีส่ ดุ ”
สําหรับข้อเสนอแก้ไขในแนวทางท่ีหนึ่งน้ี จะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะในเร่ืองของ
ระยะเวลาการฟ้องคดี โดยไม่ได้แกไ้ ขปัญหาในเรื่องความแตกต่างกันของการดําเนินกระบวนพิจารณา
ในศาลปกครองช้ันต้นและศาลปกครองสูงสุด
แนวทางท่ีสอง ยกเลิกความในข้อ ๔๑ วรรคหน่งึ และให้ใช้ความตอ่ ไปน้แี ทน
“ในกรณีท่ีองค์คณะเห็นว่าคดีท่ียื่นฟ้องต่อศาลปกครองช้ันต้นมีหลายข้อหา
ถ้าข้อหาหนึ่งข้อหาใดเป็นเร่ืองท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองช้ันต้นน้ัน
แต่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นอื่น หรือศาลปกครองสูงสุด ให้ส่ังแยกข้อหา
ที่ไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจตามข้อ ๘๐ วรรคหน่ึง และดําเนินการส่งคําฟ้องข้อหาดังกล่าวไปยัง
ศาลปกครองชั้นต้นอื่นท่ีมีเขตอํานาจหรือศาลปกครองสูงสุดต่อไป ทั้งน้ี ตามข้อ ๓๙ หรือข้อ ๔๐
แล้วแต่กรณี โดยให้ถือว่ามีการฟ้องคดีนั้นต่อศาลปกครองสูงสุด หรือศาลปกครองชั้นต้นอ่ืน ตั้งแต่
วันท่ีมีการย่ืนคําฟ้องต่อศาลปกครองช้ันต้นแห่งแรก แต่หากข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจ
ของศาลปกครองชั้นต้นนั้น อยู่ในอํานาจของศาลอื่นซึ่งมิใช่ศาลปกครอง ให้สั่งไม่รับข้อหาน้ัน
ไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหาที่อยู่ในอํานาจและเขตอํานาจต่อไป
แต่ในกรณีท่ีองค์คณะเห็นว่าข้อหาที่ส่งคําฟ้องไปยังศาลปกครองช้ันต้นอ่ืนหรือศาลปกครองสูงสุด
หรือข้อหาท่ีส่ังไม่รับไว้พิจารณา จะมีผลต่อการพิจารณาพิพากษาคดีของศาลปกครองช้ันต้นนั้น
องค์คณะอาจมีคําสั่งให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้จนกว่าข้อหาดังกล่าวจะได้มีการพิพากษา
หรือมคี ําส่ังช้ขี าดคดโี ดยศาลทมี่ ีอํานาจหรือเขตอํานาจ และคดีถงึ ทีส่ ุดแลว้ ”
สําหรับข้อเสนอแก้ไขในแนวทางที่สองน้ี นอกจากจะเป็นการแก้ไขปัญหาในเรื่อง
ความแตกต่างกันของการดําเนินกระบวนพิจารณาในศาลปกครองช้ันต้นและศาลปกครองสูงสุด
และเป็นการอํานวยความยุติธรรมให้แก่ประชาชนผู้ฟ้องคดีแล้ว ยังจะช่วยลดภาระของประชาชน
ผฟู้ ้องคดที ่ีไมต่ ้องนําคดีไปยนื่ ฟอ้ งใหม่ตอ่ ศาลปกครองที่มอี าํ นาจหรือเขตอํานาจอกี ทางหนึง่ ดว้ ย
๑๘ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
เรอ่ื งที่ ๒ การเสียคา่ ธรรมเนยี มศาลในคดีรอ้ งขอใหศ้ าลบังคับตามคาํ ชขี้ าดของอนญุ าโตตุลาการ
(คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๑๗/๒๕๖๐)
๑. ขอ้ เท็จจรงิ และคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสดุ
ผู้ร้อง (สถาบันการพลศึกษา) ได้ทําสัญญาเลขท่ี ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๒๘ กันยายน
๒๕๔๗ จ้างผู้คัดค้านที่ ๑ (ห้างหุ้นส่วนจํากัด ก.) ให้ทํางานก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์จํานวน ๑ หลัง
ณ โรงเรียนกีฬาจังหวัดนครศรีธรรมราช วงเงินค่าจ้าง ๑๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท แบ่งจ่ายเป็น ๖ งวด
โดยธนาคารกสิกรไทย จํากัด (มหาชน) สาขาทุ่งสง ได้ออกหนังสือค้ําประกันการปฏิบัติตามสัญญา
ของผู้คัดค้านที่ ๑ วงเงินจํานวน ๕๕๐,๐๐๐ บาท ให้ไว้แก่ผู้ร้อง ท้ังนี้ สัญญาดังกล่าวกําหนดให้
ผู้คัดค้านที่ ๑ ต้องเร่ิมทํางานที่รับจ้างภายในวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๔๗ และให้เสร็จบริบูรณ์ภายใน
วันท่ี ๒๕ มิถุนายน ๒๕๔๘ และในกรณีท่ีมีข้อโต้แย้งเกิดขึ้นระหว่างคู่สัญญาเก่ียวกับข้อกําหนด
แห่งสัญญาหรือเกยี่ วกบั การปฏิบตั ิตามสญั ญาน้ี และค่สู ญั ญาไมส่ ามารถตกลงกันได้ ให้เสนอข้อโต้แย้ง
หรือข้อพิพาทน้ันต่ออนุญาโตตุลาการเพ่ือพิจารณาช้ีขาด ต่อมา คู่สัญญาได้มีการตกลงแก้ไข
สัญญาจ้างรวม ๔ ครั้ง โดยขยายเวลาส่งมอบงานออกไปเป็นภายในวันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๘
และในการแกไ้ ขสญั ญาครัง้ ท่ี ๓ มีการปรับลดขนาดความยาวของเสาเขม็ ทใี่ ชใ้ นงานกอ่ สรา้ งให้มีขนาด
ส้ันลงกว่าเดิม ผู้คัดค้านที่ ๑ จึงต้องคืนเงินค่าเสาเข็มจํานวน ๔๕๔,๒๔๓ บาท แก่ผู้ร้อง ซ่ึงผู้ร้อง
และผู้คัดค้านท่ี ๑ ได้ตกลงว่า เงินที่จะส่งคืนจํานวนดังกล่าว ให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ทํางานเพ่ิมเติม
ตามบันทึกข้อตกลงต่อท้ายสัญญา หลังจากน้ัน ผู้คัดค้านท่ี ๑ ได้ทํางานเพิ่มเติมแทนค่าเสาเข็ม
มมี ลู คา่ งานจาํ นวน ๗๕,๐๕๐ บาท และสง่ มอบงานใหแ้ กผ่ ู้รอ้ งจํานวน ๔ งวดงาน โดยได้รับเงินค่าจ้าง
ไปแล้วจํานวน ๖,๐๕๐,๐๐๐ บาท ต่อมา ผู้คัดค้านท่ี ๑ ได้มีหนังสือลงวันท่ี ๑๖ มกราคม ๒๕๔๙
แจง้ บอกเลกิ สัญญากับผู้ร้อง โดยให้เหตุผลว่าไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จ เน่ืองจากขาดสภาพคล่อง
ไม่มเี งินทนุ หมนุ เวียนในการทาํ งาน ผูร้ ้องจงึ ได้มหี นังสือลงวนั ที่ ๑๗ มกราคม ๒๕๔๙ แจง้ บอกเลิกสัญญา
กับผู้คัดค้านที่ ๑ และให้ผู้คัดค้านที่ ๑ ชําระค่าปรับจํานวน ๑,๖๑๗,๐๐๐ บาท กับคืนค่าเสาเข็ม
จํานวน ๓๗๙,๒๓๒ บาท จากน้ัน ธนาคารผู้ค้ําประกันได้นําเงินจํานวน ๕๕๐,๐๐๐ บาท มาชําระ
ให้แก่ผู้ร้อง จึงคงเหลือเงินท่ีผู้คัดค้านที่ ๑ ต้องชําระจํานวน ๑,๔๔๖,๒๓๒ บาท เม่ือผู้คัดค้านท้ังสอง
น่ิงเฉยมิได้นําเงินส่วนที่เหลือมาชําระต่อผู้ร้อง ผู้ร้องจึงได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ
ขอให้มีคําวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้คัดค้านท้ังสองร่วมกันหรือแทนกันชําระเงินจํานวน ๑,๕๕๔,๖๙๙ บาท
พร้อมดอกเบี้ยของต้นเงินจํานวน ๑,๔๔๖,๒๓๒ บาท คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําชี้ขาดให้ผู้คัดค้าน
ทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันรับผิดชําระค่าปรับให้แก่ผู้ร้องเป็นเงินจํานวน ๗๘๑,๐๐๐ บาท
พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินจํานวนดังกล่าวนับแต่วันท่ี ๑๗ พฤษภาคม
๒๕๔๙ เป็นต้นไปจนกว่าจะชําระเสร็จแก่ผู้ร้อง พร้อมทั้งให้ชําระค่าใช้จ่ายในช้ันอนุญาโตตุลาการ
ไชยรัตน์ แขวงโสภา ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๐
ประจาํ วนั ที่ ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๖๐
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๙
และค่าป่วยการอนุญาโตตุลาการท่ีผู้ร้องได้ทดรองจ่ายแทนผู้คัดค้านทั้งสอง พร้อมท้ังดอกเบ้ียในอัตรา
ร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ผู้ร้องได้ทดรองจ่ายแทนไปจนกว่าจะชําระเสร็จ
ผู้ร้องได้แจ้งให้ผู้คัดค้านทั้งสองชําระเงินตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ผู้คัดค้านท้ังสอง
เพิกเฉย ผู้ร้องจึงย่ืนคําร้องขอให้ศาลปกครองช้ันต้นมีคําพิพากษาหรือคําสั่งบังคับให้ผู้คัดค้านท้ังสอง
ชําระหนีต้ ามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตลุ าการเป็นเงนิ จํานวน ๗๙๗,๑๙๐ บาท แกผ่ ู้ร้อง
ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า คําวินิจฉัยชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ ไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาท
ต่อคณะอนุญาโตตุลาการ เป็นข้อพิพาทที่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได้ตามกฎหมาย
และการบังคับตามคําชี้ขาดดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในคดีน้ีจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ท่ีศาลจะมีคําพิพากษาให้บังคับ
ตามคําช้ีขาดได้ เมื่อคณะอนุญาโตตลุ าการได้ช้ขี าดใหผ้ คู้ ัดคา้ นทั้งสองรว่ มกันหรือแทนกันชําระค่าปรับ
จาํ นวน ๗๘๑,๐๐๐ บาท และให้ผู้คัดค้านท้ังสองร่วมกันหรือแทนกันชําระค่าใช้จ่ายชั้นอนุญาโตตุลาการ
สว่ นท่ผี ้รู อ้ งได้ทดรองจ่ายแทนผู้คัดค้านทั้งสอง โดยผู้ร้องได้ทดรองจ่ายแทนผู้คัดค้านทั้งสองไปจํานวน
๑๖,๑๙๐ บาท รวมคา่ ปรบั และเงินทดรองคา่ ใชจ้ า่ ยช้นั อนุญาโตตลุ าการเป็นเงนิ จาํ นวน ๗๙๗,๑๙๐ บาท
ผู้คัดค้านท้ังสองจึงต้องร่วมกันหรือแทนกันชําระเงินจํานวนดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง ส่วนเร่ืองดอกเบ้ีย
ผู้ร้องมิได้ขอให้ผู้คัดค้านทั้งสองชําระดอกเบ้ียของเงินต้นจํานวนดังกล่าว ศาลจึงไม่มีอํานาจพิพากษา
เกินคําขอ พิพากษาให้ผู้คัดค้านทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชําระเงินจํานวน ๗๙๗,๑๙๐ บาท ให้แก่
ผู้ร้อง โดยให้ชําระให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด และให้คืนค่าธรรมเนียมศาล
ทงั้ หมดจํานวน ๓,๙๘๖ บาท แกผ่ ู้รอ้ ง คาํ ขออ่นื นอกจากน้ี ใหย้ ก
ผู้ร้องไม่เห็นพ้องด้วยกับคําวินิจฉัยของศาลปกครองช้ันต้นในส่วนของดอกเบี้ย
ซ่ึงศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่าเป็นการเกินคําขอ ศาลจึงไม่มีอํานาจพิพากษา โดยผู้ร้องเห็นว่า คดีน้ี
เป็นคดีขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ เป็นคดีที่มีสภาพแตกต่างกับการฟ้อง
ขอให้ชําระหนี้ตามสัญญาหรือละเมิดท่ีศาลจําต้องพิพากษาตามคําขอของผู้ฟ้องคดี และพิพากษา
เกินคําขอของผู้ฟ้องคดีมิได้ แต่ในคดีขอให้บังคับตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้น
ศาลเพียงวินิจฉัยและพพิ ากษาใหบ้ ังคบั ตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเท่านั้น ส่วนในรายละเอียด
จะบังคับอย่างใด เป็นเงินเท่าใด ในเวลาที่จะมีการบังคับคดีสามารถตรวจสอบจากคําช้ีขาดได้อยู่แล้ว
หรอื เป็นเพียงรายละเอียดในการบังคับคดีเทา่ นั้น นอกจากน้ัน มาตรา ๔๕ วรรคส่ี แห่งพระราชบัญญัติ
จัดตั้งศาลปกครองฯ กําหนดให้คิดค่าธรรมเนียมศาลในคดีตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) หรือ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน แต่ในคดีขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการน้ัน เป็นคดี
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) ซ่ึงเป็นคดีพิพาทเก่ียวกับเรื่องท่ีมีกฎหมายกําหนดให้อยู่ในเขตอํานาจ
ศาลปกครอง เมื่อคดีน้ีมิใช่คดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) การนําตาราง ๑ ท้ายประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาใช้บังคับ จึงไม่ถูกต้องตามกฎหมาย ผู้ร้องจึงอุทธรณ์คําพิพากษา
ของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด ขอให้ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาแก้คําพิพากษา
๒๐ รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้บังคับให้เป็นไปตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และคืนเงิน
คา่ ธรรมเนียมศาลใหแ้ ก่ผรู้ ้อง
ศาลปกครองสูงสุดพิเคราะห์แล้วเห็นว่า แม้คดีน้ีผู้ร้องยื่นคําร้องต่อศาลปกครอง
ช้ันต้น โดยมีคําขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังบังคับให้ผู้คัดค้านท้ังสองชําระหน้ีตามคําช้ีขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการ เป็นเงินจํานวน ๗๙๗,๑๙๐ บาท โดยมิได้มีคําขอในส่วนของดอกเบี้ยด้วย
ก็ตาม แต่เม่ือพิจารณาถึงลักษณะของคดีท่ีพิพาทน้ี รวมถึงข้ออ้างของผู้ร้องที่ได้บรรยายไว้ในคําร้อง
และคาํ อทุ ธรณ์ แสดงใหเ้ หน็ ถึงความประสงค์ของผู้ร้องท่ีต้องการให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งบังคับ
ให้เป็นไปตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการทุกประการ ซึ่งต่อมาศาลปกครองชั้นต้นได้มี
คําพิพากษาให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวแล้ว กรณีย่อมมีผลทําให้
ผคู้ ัดค้านท้งั สองตอ้ งรับผดิ ตามคาํ ชข้ี าดของคณะอนญุ าโตตุลาการในทุกประการ ซึ่งรวมถึงความรับผิด
ในส่วนของดอกเบี้ยด้วย ดังน้ัน การพิพากษาบังคับตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการรวมถึง
ในส่วนของดอกเบี้ยน้ี จึงมิได้เป็นการพิพากษาเกินคําขอแต่อย่างใด ท่ีผู้ร้องอุทธรณ์ว่า คดีนี้เป็นคดี
ฟ้องเพื่อให้มีคําบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และการพิพากษาในส่วนของดอกเบี้ย
ไม่เป็นการพิพากษาเกินคําขอ นั้น ฟังข้ึน และเมื่อการฟ้องคดีเพื่อขอให้บังคับตามคําชี้ขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการนั้น เป็นการดําเนินการตามมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖)
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ คดีดังกล่าวจึงมิได้มีลักษณะเป็นการฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาล
มีคําพิพากษาให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน อันจะทําให้เป็นคดีท่ีมีทุนทรัพย์ตามท่ีบัญญัติไว้ใน
มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน อีกทั้งในชั้นพิจารณาของคณะ
อนุญาโตตุลาการนั้น คู่กรณีที่ยื่นคําร้องต่อคณะอนุญาโตตุลาการก็จําต้องชําระค่าใช้จ่ายในการ
พิจารณาคดีแล้วช้ันหน่ึง ดังน้ัน การที่กําหนดให้คู่กรณีต้องชําระค่าธรรมเนียมศาลในการฟ้องคดี
เพ่ือขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ นอกจากจะไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติ
ในมาตรา ๔๕ วรรคสี่ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ แล้ว ยังเป็นการสร้างภาระให้แก่
คู่กรณีท่ีนําคดีมาฟ้องศาลอีกด้วย ที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า คดีที่ฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามคําชี้ขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการซึ่งเปน็ ข้อพพิ าทในคดีน้ี ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล นั้น ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม
เมื่อคดีนี้ศาลปกครองได้วินิจฉัยให้ผู้ร้องชนะคดีแล้ว ศาลย่อมต้องส่ังให้คืนค่าธรรมเนียมศาลท้ังหมด
แก่ผู้ร้อง ท้ังน้ี ตามมาตรา ๗๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ พิพากษาแก้คําพิพากษา
ของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และคืนค่าธรรมเนียมศาล
ในชั้นอทุ ธรณท์ ง้ั หมดแกผ่ รู้ อ้ ง นอกจากท่แี ก้ให้เป็นไปตามคําพิพากษาศาลปกครองชัน้ ตน้
รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๑
๒. บทวเิ คราะห์
การดําเนินกระบวนวิธีพิจารณาคดีปกครองมีหลักการที่สําคัญประการหนึ่ง
คือ “เป็นวิธีพิจารณาท่ีเสียค่าใช้จ่ายน้อย”๑ ดังนั้น โดยหลักแล้ว การฟ้องคดีปกครองจึงไม่ต้อง
เสียค่าธรรมเนียมศาล อย่างไรก็ดี เนื่องจากการฟ้องคดีปกครองมีกรณีที่ขอให้ศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินด้วย ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้ผู้ที่ใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาล
ฟ้องเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินในจํานวนท่ีสูงเกินกว่าความเดือดร้อนเสียหายท่ีแท้จริง กฎหมาย
จึงมีการกําหนดให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์ โดยมาตรา ๔๕ วรรคส่ี แห่งพระราชบัญญัติ
จัดต้ังศาลปกครองฯ กําหนดให้ การฟ้องคดีขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สินอันสืบเนื่องจาก
คดตี ามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) ให้เสียค่าธรรมเนียมศาลตามทุนทรัพย์ในอัตราตามที่ระบุไว้
ในตาราง ๑ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง สําหรับคดีท่ีมีคําขอให้ปลดเปล้ืองทุกข์
อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งตาราง ๑ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เร่ือง ค่าธรรมเนียมศาล (ค่าขึ้นศาล) แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพง่ (ฉบับท่ี ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ได้กาํ หนดค่าธรรมเนียมศาล (คา่ ขึน้ ศาล) ไว้ดงั นี้
(๑) คดีที่มีคําขอให้ปลดเปล้ืองทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ ให้คิดค่าขึ้นศาล
ตามทนุ ทรพั ย์ดังต่อไปนี้
(ก) คําฟ้องนอกจากท่ีระบุไว้ใน (ข) และ (ค) ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าสิบล้านบาท
ให้เรียกในอัตราร้อยละ ๒ แต่ไม่เกินสองแสนบาท ส่วนท่ีเกินห้าสิบล้านบาทข้ึนไป ให้เรียกในอัตรา
รอ้ ยละ ๐.๑
(ข) คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศหรือ
คําร้องขอเพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในประเทศ ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าสิบล้านบาท ให้เรียก
ในอัตราร้อยละ ๐.๕ ของจํานวนที่ร้องขอให้ศาลบังคับแต่ไม่เกินห้าหมื่นบาท ส่วนท่ีเกินห้าสิบล้านบาท
ขน้ึ ไป ใหเ้ รยี กในอตั ราร้อยละ ๐.๑
คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศหรือ
คาํ ร้องขอเพิกถอนคาํ ชข้ี าดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ ทุนทรัพย์ไม่เกินห้าสิบล้านบาท ให้เรียก
ในอัตราร้อยละ ๑ ของจํานวนท่ีร้องขอให้ศาลบังคับแต่ไม่เกินหน่ึงแสนบาท ส่วนที่เกินห้าสิบล้านบาท
ข้นึ ไป ใหเ้ รียกในอตั ราร้อยละ ๐.๑
ฯลฯ ฯลฯ
๑ ประสาท พงษ์สุวรรณ์, คําอธิบายกฎหมายว่าด้วยคดีปกครองของไทย Droit du contentieux
administrative thailandais, กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๔๗, หน้า ๖.
๒๒ รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ด้วยเหตุนี้ ในการฟ้องคดีปกครองกรณีท่ีเป็นการฟ้องคดีเพื่อขอให้ส่ังให้ใช้เงิน
หรือส่งมอบทรัพย์อันสืบเน่ืองจากคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดหรือความรับผิดอย่างอื่น
ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับ
สัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๔) ท่ีมีคําขอให้สั่งให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน
ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) ผู้ฟ้องคดีจึงต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามท่ีกําหนดไว้ในมาตรา ๔๕
วรรคส่ี ประกอบกับตาราง ๑ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งข้างต้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า
องค์ประกอบของการฟ้องคดีปกครองท่ีผู้ฟ้องคดีต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๔๕ วรรคส่ี
มีเพียงสองประการ คือ
๑) เป็นการฟ้องคดพี ิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่ (๓) หรือ (๔) และ
๒) มีคําขอให้ใชเ้ งินหรอื สง่ มอบทรพั ยส์ นิ
ยกตัวอย่างเช่น คดีท่ีผู้เสียหายฟ้องขอให้หน่วยงานทางปกครองชดใช้เงินจากการท่ี
เจ้าหน้าที่ของรัฐในสังกัดกระทําละเมิด หรือคดีท่ีเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนฟ้องขอให้หน่วยงาน
ทางปกครองจา่ ยคา่ ทดแทนการเวนคนื ทีด่ นิ เพิม่ ข้ึน หรอื คดีท่หี น่วยงานทางปกครองผู้วา่ จ้างฟ้องขอให้
เอกชนผู้รับจ้างจ่ายเงินค่าปรับจากการไม่ปฏิบัติตามสัญญา หรือคดีที่เอกชนผู้รับจ้างฟ้องขอให้
หน่วยงานทางปกครองผู้วา่ จา้ งคนื หลักประกันการปฏิบตั ติ ามสัญญา เปน็ ต้น
ในทางกลับกัน ผลจากการที่กฎหมายบัญญัติดังกล่าว การฟ้องคดีปกครองซ่ึงเป็น
คดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) (๒) (๕) และ (๖) รวมถงึ คดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
หรือ (๔) ที่ผู้ฟ้องคดีมีคําขออย่างอื่นซึ่งมิใช่คําขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน ผู้ฟ้องคดี
จึงไมจ่ าํ ตอ้ งเสยี ค่าธรรมเนียมศาลแต่อยา่ งใด
ยกตัวอย่างเช่น คดีท่ีเจ้าของท่ีดินฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งของอธิบดีกรมที่ดิน
ทเ่ี พิกถอนโฉนดทีด่ ินหรือหนงั สือรบั รองการทําประโยชน์ หรือคดที ่ขี ้าราชการฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ัง
ท่ีเพิกถอนคําส่ังอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านหรือคําส่ังไม่เล่ือนข้ันเงินเดือน หรือคดีท่ีเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทําละเมิด หรือคดีที่เจ้าของที่ดิน
ฟ้องขอให้หน่วยงานทางปกครองรื้อถอนส่ิงสาธารณูปโภคท่ีก่อสร้างรุกลํ้าท่ีดินของตน หรือคดีที่
กรมเจา้ ท่าฟอ้ งขอใหผ้ ูท้ กี่ อ่ สรา้ งสงิ่ ล่วงลาํ้ ลาํ น้าํ โดยไมไ่ ด้รับอนญุ าตรอ้ื ถอนสง่ิ ล่วงล้าํ ลําน้ํานั้น เปน็ ต้น
มีกรณีปัญหาน่าพิจารณาว่า การฟ้องคดีโดยมี “คําขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการ” ในศาลปกครอง ตามคดีที่ได้นํามาเป็นกรณีศึกษาน้ี มีความสอดคล้อง
กับขอ้ กฎหมายท่กี ล่าวถึงข้างตน้ หรอื ไม่ อยา่ งไร
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๗/๒๕๖๐ มีคําวินิจฉัยในประเด็นเกี่ยวกับ
คา่ ธรรมเนียมศาลโดยสรปุ ว่า
- การฟ้องคดีเพื่อขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
เป็นการดําเนินการตามมาตรา ๔๑ (ท่ีถูกน่าจะเป็นมาตรา ๔๒) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งเป็นอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖)
แหง่ พระราชบญั ญตั ิจดั ตง้ั ศาลปกครองและวธิ ีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๓
- คดีดังกล่าวมิได้มีลักษณะเป็นการฟ้องคดีเพื่อขอให้ศาลมีคําพิพากษาให้ใช้เงิน
หรือสง่ มอบทรพั ย์สิน อันจะทําให้เปน็ คดที มี่ ีทุนทรพั ย์
ดังน้ัน คดีที่ฟ้องเพื่อขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการซ่ึงเป็น
ข้อพิพาทในคดนี ้ี จึงไม่ตอ้ งเสยี ค่าธรรมเนยี มศาล
ซง่ึ เมือ่ พจิ ารณาแลว้ ในเบ้ืองต้นเหน็ ไดว้ า่ คําวนิ จิ ฉัยดงั กลา่ วดูสมเหตุสมผล
อย่างไรก็ดี มีคําถามตามมาว่า แล้วเหตุใดท่ีผ่านมาคดีที่มีคําขอให้ศาลบังคับ
ตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจึงมีการเก็บค่าธรรมเนียมศาลมาตลอด ? กรณีจึงเป็นท่ีมา
ของการจัดทําบทวิเคราะห์คําพิพากษาฉบับนี้ข้ึน และเพื่อตอบคําถามของปัญหาดังกล่าวจึงต้อง
ย้อนกลับไปพิจารณาหลักเกณฑ์ของคดีท่ีต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๔๕ วรรคสี่ ข้างต้น
ดังน้ี
๒.๑ คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นคดีพาท
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่ อนมุ าตราใด ?
ปัญหาท่ีจะต้องพิจารณาเป็นประการแรก คือ การย่ืนคําร้องขอให้ศาลบังคับ
ตามคาํ ชี้ขาดของอนญุ าโตตลุ าการ เปน็ คดีพพิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) หรือ (๔) ไดห้ รือไม่ ?
“คําขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ” เป็นคําขอ
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งบัญญัติว่า
“เมื่อคู่พิพาทฝ่ายใดประสงค์จะให้มีการบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ ให้คู่พิพาท
ฝ่ายนั้นยื่นคําร้องต่อศาลที่มีเขตอํานาจภายในกําหนดเวลาสามปีนับแต่วันท่ีอาจบังคับตามคําชี้ขาดได้
เมื่อศาลได้รับคําร้องดังกล่าวให้รีบทําการไต่สวน และมีคําพิพากษาโดยพลัน” ซ่ึงถือได้ว่า เป็นกรณีที่
กฎหมายกําหนดให้คู่พิพาทฝ่ายท่ีประสงค์จะให้มีการบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ยื่นคําร้องต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจ ด้วยเหตุนี้ การยื่นคําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของ
อนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว จึงเป็น “คดีพิพาทเกี่ยวกับ
เรื่องที่มีกฎหมายกําหนดให้อยู่ในเขตอํานาจศาลปกครอง” ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๖)
แหง่ พระราชบญั ญตั ิจดั ตง้ั ศาลปกครองฯ
ก า ร พิ จ า ร ณ า ใ น ลั ก ษ ณ ะ ดั ง ก ล่ า ว ข้ า ง ต้ น เ ป็ น ก า ร พิ จ า ร ณ า ก ฎ ห ม า ย
ตามลายลักษณ์อักษร ซ่ึงก็มิได้เป็นการพิจารณาที่ผิดไปจากหลักเกณฑ์ในการตีความกฎหมาย
แต่อย่างใด อย่างไรก็ดี การตีความในลักษณะน้ีทําให้เกิดคําถามว่า “หากมาตรา ๙ วรรคหน่ึง
ไมม่ ี (๖) จะเปน็ อย่างไร ?”
เพ่ือตอบคําถามของปัญหาดังกล่าว คงต้องย้อนกลับไปพิจารณาก่อนว่า
มาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๖) บญั ญตั ิข้ึนมาเพ่ือรองรบั คดีในลักษณะใด ?
๒๔ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ดร.ประสาท พงษ์สุวรรณ์๒ และ รองศาสตราจารย์ ดร.โภคิน พลกุล๓ เห็นว่า
มาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) บัญญัติขึ้นมาสําหรับคดีท่ีกฎหมายกําหนดให้อยู่ในอํานาจของศาลปกครอง
โดยชัดแจ้ง เช่น มาตรา ๔๒ วรรคสอง๔ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือมาตรา ๗๐ วรรคสาม๕ แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่บัญญัติให้
ผู้ที่ไม่พอใจคําวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวย่ืนฟ้อง
ต่อศาลปกครองได้ภายในกาํ หนดหน่งึ เดือน
ท่านอําพน เจริญชีวินทร์๖ เห็นว่า การกําหนดของกฎหมายให้คดีพิพาท
ที่เกิดข้ึนอยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองน้ัน กฎหมายกําหนดไว้เป็น ๒ ลักษณะ คือ ๑) กฎหมาย
กําหนดไว้ชดั แจง้ คือ กรณีท่ีกฎหมายไดก้ าํ หนดว่า คดพี ิพาทเก่ียวกบั เรื่องทก่ี ฎหมายกําหนดไว้ใหย้ ่นื ฟ้อง
ต่อศาลปกครอง เช่น มาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือมาตรา ๗๐ วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ และ ๒) กฎหมาย
มิได้กําหนดไว้ชัดแจ้ง คือ กรณีท่ีกฎหมายกําหนดไว้ว่าเมื่อมีข้อพิพาทหรือข้อโต้แย้งเก่ียวกับการสั่งการ
ของเจ้าหน้าที่ในเรื่องที่กฎหมายกําหนดแล้ว ให้เสนอเรื่องต่อศาลเพ่ือวินิจฉัยช้ีขาดโดยมิได้ระบุว่า
เปน็ ศาลยุตธิ รรมหรอื ศาลปกครอง ซ่ึงการกาํ หนดของกฎหมายในลักษณะตาม ๒) นี้ ศาสตราจารยพ์ เิ ศษ
ดร.ชาญชัย แสวงศักด์ิ๗ เห็นว่า เมื่อศาลปกครองเปิดทําการแล้วได้มีการนําข้อพิพาท
ตามพระราชบัญญัติดังกล่าวไปฟ้องต่อศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๖) เช่น การฟ้อง
๒ เรอื่ งเดียวกัน, หน้า ๒๑.
๓ โภคิน พลกุล, สาระสําคัญของกฎหมายว่าด้วยศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, พิมพ์คร้ังที่ ๓,
กรงุ เทพฯ : ขมุ ทองอุตสาหกรรมและการพมิ พ,์ สิงหาคม ๒๕๔๖, หน้า ๔๙-๕๐.
๔ พระราชบญั ญตั ิการปฏิรูปทด่ี ินเพอ่ื เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๔๒ ฯลฯ ฯลฯ
หากผู้อุทธรณ์ไม่พอใจในคําวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ์ให้ยน่ื ฟ้องตอ่ ศาลปกครองได้ภายในกําหนดหนึ่งเดือน ในกรณีที่
ยังมไิ ดม้ กี ารตั้งศาลปกครองตามบทบญั ญตั ิแห่งรัฐธรรมนูญ มใิ ห้นาํ ข้อความดงั กลา่ วนม้ี าใช้บังคับ
๕ พระราชบัญญตั ิการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘
มาตรา ๗๐ ฯลฯ ฯลฯ
เม่อื คณะกรรมการบรหิ ารการผังเมอื งส่วนท้องถิ่น หรือคณะกรรมการอุทธรณ์ แล้วแต่กรณีได้มีคําวินิจฉัยแล้ว
หากผู้อุทธรณ์ไม่พอใจในคําวินิจฉัยอุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์ย่อมมีสิทธิยื่นฟ้องต่อศาลปกครองได้ภายในกําหนดหน่ึงเดือน
นับแต่วันท่ีได้ทราบคําวินิจฉัยน้ัน ในกรณีที่ยังมิได้มีการต้ังศาลปกครองตามรัฐธรรมนูญ มิให้นําความในวรรคนี้
มาใชบ้ งั คบั
๖ อําพน เจริญชีวินทร์, คําอธิบายการฟ้องและการดําเนินคดีในศาลปกครอง, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, กรุงเทพฯ :
นิติธรรม, กรกฎาคม ๒๕๕๐, หนา้ ๑๔๘-๑๕๒.
๗ ชาญชัย แสวงศักดิ์, คําอธิบายกฎหมายจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, พิมพ์ครั้งท่ี ๖,
กรุงเทพฯ : วญิ ญชู น, ตุลาคม ๒๕๕๐, หนา้ ๑๕๖.
รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๕
เร่อื งเงนิ ค่าทดแทนตามมาตรา ๒๖ วรรคหน่งึ ๘ แหง่ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่ีบัญญัติให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนที่ยังไม่พอใจในคําวินิจฉัยของรัฐมนตรี
หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกําหนดเวลา ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้
ภายในหน่ึงปี และกรณีการคัดค้านคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง๙
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ที่บัญญัติให้คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงอาจขอให้
เพิกถอนคาํ ชีข้ าดได้ โดยย่ืนคําร้องต่อศาลท่มี เี ขตอาํ นาจภายในเก้าสบิ วัน เปน็ ต้น
ในส่วนของคําวินิจฉัยของศาลปกครองนั้น จากการศึกษาพบว่า สําหรับ
คดีปกครองที่ไม่มีกฎหมายกําหนดให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองเป็นการเฉพาะ ศาลปกครองจะกําหนด
ประเภทของคดีพิพาทตามลักษณะของคดีน้ัน ๆ โดยมิได้กําหนดเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙
วรรคหน่ึง (๖) แต่อย่างใด เช่น การฟ้องเรื่องเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๒๖ วรรคหน่ึง๑๐
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ หรือตามมาตรา ๓๐ ทวิ
วรรคหนึ่ง๑๑ แห่งพระราชบัญญัติการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑ ศาลปกครอง
ก็กําหนดเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอื่นตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)๑๒ หรือการฟ้อง
๘ พระราชบญั ญัติวา่ ดว้ ยการเวนคืนอสังหารมิ ทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๕
หรือในกรณีที่รัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จส้ินภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดี
ต่อศาลไดภ้ ายในหน่ึงปนี บั แตว่ นั ทีไ่ ด้รับแจ้งคําวินจิ ฉัยของรัฐมนตรีหรอื นบั แต่วันท่ีพน้ กาํ หนดเวลาดังกล่าว แลว้ แตก่ รณี
ฯลฯ ฯลฯ
๙ พระราชบัญญตั ิอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๐ การคัดค้านคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอาจทําได้โดยการขอให้ศาลท่ีมีเขตอํานาจ
เพิกถอนคาํ ชี้ขาดตามท่บี ัญญัติไวใ้ นมาตรานี้
คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงอาจขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดได้ โดยยื่นคําร้องต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันได้รับสําเนาคําชี้ขาด หรือถ้าเป็นกรณีมีการขอให้คณะอนุญาโตตุลาการแก้ไขหรือตีความคําชี้ขาด หรือชี้ขาด
เพ่ิมเตมิ นับแต่วันทคี่ ณะอนุญาโตตุลาการได้แกไ้ ขหรือตีความคาํ ช้ีขาดหรอื ทําคําชขี้ าดเพ่มิ เติมแลว้
๑๐ พระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยการเวนคืนอสงั หาริมทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
มาตรา ๒๖ ในกรณีที่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนยังไม่พอใจในคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา ๒๕
หรือในกรณีท่ีรัฐมนตรีมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง ให้มีสิทธิฟ้องคดี
ตอ่ ศาลได้ภายในหน่งึ ปนี บั แต่วนั ทีไ่ ดร้ ับแจง้ คาํ วนิ ิจฉยั ของรัฐมนตรีหรอื นับแตว่ นั ท่พี น้ กาํ หนดเวลาดังกลา่ ว แล้วแต่กรณี
ฯลฯ ฯลฯ
๑๑ พระราชบญั ญัติการไฟฟ้าฝา่ ยผลิตแห่งประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๑๑
มาตรา ๓๐ ทวิ ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองทรัพย์สินหรือผู้ทรงสิทธิอื่นไม่พอใจในจํานวน
เงินค่าทดแทนท่ี กฟผ. กําหนด ไม่ว่าบุคคลน้ันจะรับหรือไม่รับเงินค่าทดแทนท่ี กฟผ. วางไว้หรือฝากไว้ให้มีสิทธิ
ฟ้องคดตี ่อศาลภายในหนงึ่ ปีนบั แตว่ ันท่ี กฟผ. ได้ดาํ เนินการตามมาตรา ๓๐ วรรคสาม แล้ว
ฯลฯ ฯลฯ
๑๒ ดูคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๒๒๔/๒๕๕๙ ท่ี อ.๑๒๖๑/๒๕๕๙ ที่ อ.๑๙๔๗/๒๕๕๙
และท่ี อ.๒๒/๒๕๖๐
๒๖ รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ขอใหเ้ พิกถอนคาํ วินิจฉัยของคณะกรรมการการเช่าที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมประจําจังหวัด (คชก.จังหวัด)
ตามมาตรา ๕๗ วรรคหนึ่ง๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔
ศาลปกครองก็กําหนดเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)๑๔ หรือคดีที่ คชก.ตําบล
หรือ คชก.จังหวัด ร้องขอให้ศาลบังคับการให้เป็นไปตามคําวินิจฉัยหรือคําสั่งตามมาตรา ๕๘
วรรคสอง๑๕ แห่งพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔ ศาลปกครองก็กําหนด
เปน็ คดพี พิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหนงึ่ (๕)๑๖ เป็นตน้
จะมีก็แต่เพียงการฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับกระบวนการอนุญาโตตุลาการเท่านั้น
ที่แนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองกําหนดให้เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๖)๑๗
มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการร้องขอบรรเทาทุกข์ช่ัวคราวขณะดําเนินการ
ทางอนุญาโตตุลาการ๑๘ คดีพิพาทเกี่ยวกับการร้องขอให้ศาลแต่งต้ังอนุญาโตตุลาการ๑๙ คดีพิพาท
เกี่ยวกับการร้องคัดค้านการแต่งต้ังอนุญาโตตุลาการ๒๐ คดีพิพาทเก่ียวกับการร้องขอให้เพิกถอน
คําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ๒๑ หรือคดีพิพาทเกี่ยวกับการร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการ๒๒ ท้ังที่คดีพิพาทเก่ียวกับกระบวนการอนุญาโตตุลาการก็เป็นกรณีท่ีกฎหมาย
กําหนดใหฟ้ ้องคดีตอ่ ศาลโดยมิได้ระบวุ ่าเป็นศาลยุตธิ รรมหรอื ศาลปกครองเช่นเดียวกัน
๑๓ พระราชบัญญัติการเช่าทีด่ นิ เพือ่ เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔
มาตรา ๕๗ ค่กู รณหี รือผมู้ สี ่วนไดเ้ สียในการเช่านาที่ไมพ่ อใจคําวินจิ ฉยั ของ คชก. จังหวัด มีสิทธิอุทธรณ์
ต่อศาลได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคําวินิจฉัยของ คชก. จังหวัด แต่จะต้องไม่เกินหกสิบวันนับแต่วันที่
คชก. จังหวัด มคี ําวนิ จิ ฉยั
ฯลฯ ฯลฯ
๑๔ ดูคําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๓๐/๒๕๔๖ ที่ อ.๑๒๙/๒๕๔๗ ที่ อ.๑๑๗/๒๕๔๘ ที่ อ.๖๖๒/๒๕๕๕
ท่ี อ.๙๒๗/๒๕๕๖ ที่ อ.๑๐๕๖/๒๕๕๘ และที่ อ.๒๑๒๕/๒๕๕๙
๑๕ พระราชบญั ญตั ิการเช่าทด่ี ินเพอื่ เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๒๔
มาตรา ๕๘ ฯลฯ ฯลฯ
เมื่อมีผู้ร้องขอต่อ คชก. ตําบล หรือ คชก. จังหวัด ให้บังคับการให้เป็นไปตามคําวินิจฉัยหรือคําสั่ง
ให้ คชก. ตําบล หรอื คชก. จังหวดั ซ่งึ ไดร้ บั การรอ้ งขอ มีอาํ นาจย่นื คาํ ร้องตอ่ ศาลตามวรรคหนึ่งได้ดว้ ย
๑๖ ดูคําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๘๒๖/๒๕๕๙
๑๗ ชาญชัย แสวงศักดิ์, คําอธิบายกฎหมายจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, พิมพ์คร้ังที่ ๙,
กรงุ เทพฯ : วญิ ญชู น, ตุลาคม ๒๕๕๘, หนา้ ๓๐๒-๓๐๓.
๑๘ ดูคําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ ค.๑/๒๕๕๐ ที่ ค.๒/๒๕๕๐ ท่ี ค.๓/๒๕๕๐ ท่ี ค.๑/๒๕๕๒ ที่ ค.๑/๒๕๕๔
ท่ี ค.๖/๒๕๕๔ และที่ ค.๒/๒๕๔๙
๑๙ ดูคาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ ๙๒๐/๒๕๔๘ ท่ี ๖๘๕/๒๕๕๐ และท่ี ๕๐๗/๒๕๕๒
๒๐ ดูคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ค.๗/๒๕๕๔ ที่ ค.๘/๒๕๕๔ ท่ี ค.๙/๒๕๕๔ ที่ ค.๑๐/๒๕๕๔ ท่ี ค.๑/๒๕๕๗
ที่ ค.๒/๒๕๕๗ ท่ี ค.๓/๒๕๕๗ ท่ี ค.๔/๒๕๕๗ ที่ ค.๖/๒๕๕๗ ท่ี ค.๗/๒๕๕๗ ที่ ค.๑/๒๕๕๙ และที่ ค.๔/๒๕๔๙
๒๑ ดูคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๐๑/๒๕๕๗ ที่ อ.๑๓๕/๒๕๕๙ ท่ี อ.๒๙๙/๒๕๕๙
และท่ี อ.๑๒๕๙-๑๒๖๐/๒๕๕๙
๒๒ ดูคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๔๙/๒๕๔๙ ที่ อ.๔๘๗/๒๕๕๗ ที่ อ.๑๑๒๗/๒๕๕๘
และที่ อ.๑๘๕๔-๑๘๕๕/๒๕๕๙
รวมเรือ่ งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๗
สําหรับกรณีท่ีกฎหมายกําหนดให้ฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ หรือตามมาตรา ๗๐
วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติการผังเมือง พ.ศ. ๒๕๑๘ นั้น จากการศึกษาแนวคําวินิจฉัย
ของศาลปกครองท่ีผ่านมายังไม่ปรากฏว่าเคยมีการฟ้องคดีต่อศาลตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าว
จึงยังไม่แน่ชัดว่าศาลปกครองจะกําหนดประเภทของคดีพิพาทดังกล่าวตามลักษณะของคดีท่ีได้มี
การนํามาฟ้องตอ่ ศาล หรอื จะกําหนดเป็นคดีพพิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่ (๖)
อย่างไรก็ดี จากแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองข้างต้นจะเห็นได้ว่า นอกจาก
การฟ้องคดีพิพาทเกี่ยวกับกระบวนการอนุญาโตตุลาการแล้ว ศาลปกครองมีแนวทางในการพิจารณา
ลักษณะของคดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) แตกต่างไปจากความเห็นของนักวิชาการ กล่าวคือ
หากเป็นคดีท่ีโดยเน้ือหาเป็น “คดีท่ีอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง” อยู่แล้ว
ตามอนุมาตราใดอนุมาตราหน่ึงของมาตรา ๙ แม้กฎหมายในเร่ืองนั้นจะกําหนดให้ฟ้องคดีต่อศาล
ศาลปกครองก็มิได้กําหนดเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๖) แต่อย่างใด แต่จะกําหนด
ประเภทคดตี ามลักษณะของคดพี ิพาทนน้ั ๆ
ทําให้เกิดคําถามตามมาว่า แล้วคําร้องขอให้บังคับตามคําชี้ขาดของ
อนุญาโตตุลาการ ซึ่งกฎหมายกําหนดให้คู่พิพาทฝ่ายที่ประสงค์จะให้มีการบังคับตามคําช้ีขาด
ของคณะอนญุ าโตตลุ าการย่นื คํารอ้ งต่อศาลท่มี เี ขตอาํ นาจน้นั ไม่อาจเป็น “คดีท่ีอยู่ในอํานาจพิจารณา
พิพากษาของศาลปกครอง” ตามมาตรา ๙ อนุมาตราใดอนุมาตราหนึ่ง นอกเหนือจากมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๖) หรืออยา่ งไร ?
สําหรับคําร้องขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น หากพิจารณา
เฉพาะคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ ผู้จัดทําเห็นว่า อาจถือได้ว่ากรณีนี้เป็นคดีท่ีโดยเน้ือหาแล้ว
ไม่ใช่ “คดีท่ีอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง” เน่ืองจากการวินิจฉัยข้อพิพาท
ของอนุญาโตตุลาการถือเป็นการใช้อํานาจกึ่งตุลาการ หาได้เป็นการใช้อํานาจทางปกครองแต่อย่างใด
ดังนั้น คดีที่ร้องขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจึง “ไม่ใช่คดีปกครอง” ท่ีจะอยู่
ในอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง
อย่างไรก็ดี หากย้อนไปดูมาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งกําหนดให้ศาลที่มีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทซึ่งได้เสนอต่อ
อนุญาโตตุลาการนั้น เป็นศาลที่มีเขตอํานาจตามพระราชบัญญัติน้ี ดังนั้น ในการพิจารณาว่าคําร้อง
ที่จะย่ืนต่อศาลตามกฎหมายอนุญาโตตุลาการจะต้องยื่นต่อศาลใด จึงมีข้อพิจารณาในเบื้องต้นก่อนว่า
ข้อพิพาทซึ่งได้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการน้ันเป็นข้อพิพาทท่ีอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลใด
หากเป็นข้อพิพาทท่ีอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ก็ต้องย่ืนคําร้องตามกฎหมาย
อนุญาโตตลุ าการต่อศาลยุติธรรม แตห่ ากเปน็ ขอ้ พพิ าททอี่ ยู่ในอํานาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง
กต็ อ้ งยืน่ คํารอ้ งดงั กล่าวต่อศาลปกครอง
๒๘ รวมเรือ่ งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
เมื่อพิจารณาจากสัญญาในคดีที่ยกมาเป็นกรณีศึกษาในบทวิเคราะห์ฉบับนี้
ซ่ึงเป็นสัญญาจ้างก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์ของสถาบันการพลศึกษา ถือเป็นสัญญาจ้างก่อสร้าง
สิ่งสาธารณูปโภคที่มีคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเป็นหน่วยงานทางปกครอง สัญญาดังกล่าวจึงเป็นสัญญา
ทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และเม่ือห้างหุ้นส่วนจํากัด ก.
ผู้รับจ้าง ไม่สามารถทํางานให้แล้วเสร็จตามสัญญาได้ สถาบันการพลศึกษาจึงบอกเลิกสัญญา
ริบหลักประกัน และเรียกให้ชดใช้เงินส่วนที่เหลือ แต่ผู้รับจ้างนิ่งเฉยมิได้นําเงินส่วนท่ีเหลือมาชําระ
สถาบันการพลศึกษาจึงได้เสนอข้อพิพาทต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการขอให้มีคําวินิจฉัยชี้ขาดให้
ผู้รับจ้างร่วมกันหรือแทนกันชําระเงินนั้นพร้อมดอกเบ้ียให้แก่สถาบันการพลศึกษา ข้อพิพาทดังกล่าว
จึงเป็นคดีพิพาทเก่ียวกับสัญญาทางปกครอง ซ่ึงอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ตามมาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๔) เมือ่ ต่อมาคณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําวินิจฉัยให้ผู้รับจ้างชําระเงินให้แก่
สถาบันการพลศึกษา แล้วผู้รับจ้างไม่ชําระ สถาบันการพลศึกษาจึงมายื่นคําร้องต่อศาลปกครอง
ซึ่งเป็นศาลที่มีเขตอํานาจพิจารณาพิพากษาข้อพิพาทซ่ึงได้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการนั้น ขอให้ศาล
บงั คับตามคําชข้ี าดของอนญุ าโตตุลาการ
ในกรณีนี้ หากไม่มีมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๖) จะเป็นอย่างไร ? ศาลปกครอง
จะไม่มีอํานาจรับคดีนี้ไว้พิจารณาพิพากษาหรือ กรณีเช่นน้ี การพิจารณาในประเด็นเกี่ยวกับอํานาจ
พจิ ารณาพพิ ากษาของศาล ศาลปกครองนา่ จะวินิจฉยั ว่า คดนี ี้เปน็ คดที อี่ ยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับ
มาตรา ๙ และมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ท้ังนี้
เน่ืองจากข้อพิพาทในคดีนี้เป็น “คดีปกครอง” อยู่แล้ว เพียงแต่มีเง่ือนไขที่จะต้องปฏิบัติตามสัญญา
อนญุ าโตตลุ าการกอ่ นเท่าน้ัน
แล้วการร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ ควรถูกมองเป็น
“คดีพิพาทเก่ียวกับคําวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ” ซึ่ง “ไม่ใช่คดีปกครอง” และจําต้องมีกฎหมาย
กําหนดให้อยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครอง หรือควรถูกมองเป็น “คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญา
ทางปกครอง” ซ่งึ เป็น “คดีท่อี ยใู่ นอํานาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง” อย่แู ลว้
ณ จุดนี้ ขอเก็บข้อสงสัยในเรื่องประเภทของคดีพิพาทไว้ก่อน แล้วไปพิจารณา
หลักเกณฑข์ องคดปี กครองทีต่ ้องเสยี ค่าธรรมเนียมศาลประการทสี่ องต่อไป
๒.๒ คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นคําขอ
ให้สัง่ ให้ใช้เงนิ หรือสง่ มอบทรัพย์สินหรือไม่ ?
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๗/๒๕๖๐ มีคําวินิจฉัยในประเด็นท่ีเป็น
การตอบคําถามตามหัวข้อนี้ว่า คําขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ “มิได้มีลักษณะ
เป็นการฟ้องคดีเพ่ือขอให้ศาลมีคําพิพากษาให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน อันจะทําให้เป็นคดีที่มี
ทุนทรัพย์ตามท่บี ญั ญัติไว้ในมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔)”
จึงเกดิ คําถามทน่ี ่าสนใจว่า “คดที ม่ี ีทนุ ทรัพย์” คือคดอี ยา่ งไร ?
รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๙
ศาสตราจารย์จติ ติ ติงศภัทิย์ ได้ให้การอธิบายไว้ในหมายเหตุท้ายคําพิพากษา
ฎีกาที่ ๘๑๒/๒๔๙๘ ว่า “ถ้าเรียกทรัพย์สินใดมาเป็นของโจทก์โดยไม่เป็นเจ้าของอยู่ในเวลาฟ้องแล้ว
เป็นคดีมีทุนทรัพย์ตามราคาทุนทรัพย์ท่ีเรียกร้อง ถ้าโจทก์เป็นเจ้าของทรัพย์อยู่แล้ว แต่ต้องเรียก
จากจําเลยเพราะเหตุใดก็ตาม เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์ เว้นแต่จําเลยต่อสู้กรรมสิทธิ์ เป็นการพิพาท
ในทรัพย์สิน จึงมที นุ ทรพั ย์ตามราคาในทรัพยส์ นิ ทพี่ ิพาท”
นอกจากนั้น ตามตาราง ๑ ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
ท่ียกมาข้างต้นของบทความน้ี จะเห็นได้ว่า คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ
ถือเปน็ “คดีท่ีมคี าํ ขอให้ปลดเปล้อื งทุกข์อันอาจคาํ นวณเปน็ ราคาเงนิ ได้” ซึง่ ท่านสมชัย ฑฆี าอตุ มากร
ได้ให้คําอธิบายไว้ว่า๒๓ “คดีที่มีคําขอให้ปลดเปล้ืองทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้ หมายถึง
คดที ี่มคี ําขอบงั คับตามคาํ ฟ้องเรียกร้องทรพั ยส์ ินหรือประโยชน์อย่างหน่ึงอย่างใดในทรัพย์สินซ่ึงตีราคา
เป็นเงินได้ เพ่ือให้ได้มาหรือเป็นประโยชน์ของโจทก์ ซึ่งต้องพิจารณาจากคําขอบังคับในคําฟ้อง
เปน็ สําคญั ”
จากคําอธิบายดังกล่าวข้างต้นจึงน่าจะพอกล่าวได้ว่า ในศาลยุติธรรมนั้น
การร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ เป็นการเรียกร้องทรัพย์สินหรือประโยชน์
อย่างหน่ึงอย่างใดในทรัพย์สินซึ่งตีราคาเป็นเงินได้ เพื่อให้ได้มาหรือเป็นประโยชน์ของโจทก์
โดยโจทก์ไม่ได้เป็นเจ้าของอยู่ในเวลาฟ้อง แต่ต้องเรียกจากจําเลยเพราะจําเลยไม่ปฏิบัติตามคําชี้ขาด
ของอนญุ าโตตุลาการ ดังนั้น คดีลักษณะน้ีในศาลยุติธรรมจึงถือเป็น “คดีท่ีมีคําขอให้ปลดเปล้ืองทุกข์
อันอาจคาํ นวณเปน็ ราคาเงนิ ได้” และเปน็ “คดีท่ีมที นุ ทรพั ย”์
แตห่ ากพิจารณาเนื้อหาในคําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๑๗/๒๕๖๐ แล้ว
จะเห็นได้ว่า คําว่า “คดีที่มีทุนทรัพย์” ตามคําพิพากษาดังกล่าวหมายถึง คดีพิพาทตามมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) ท่ีมีคําขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน ซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล
ตามมาตรา ๔๕ วรรคส่ี
จึงเกิดคําถามว่า คดีที่ผลของคดีจะทําให้ผู้ฟ้องคดีได้เงินหรือทรัพย์สิน
จากผู้ถูกฟ้องคดี แต่ไม่ใช่คดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) ที่มีคําขอให้ส่ังให้ใช้เงิน
หรือส่งมอบทรัพย์สิน ไม่ถือเป็น “คดีที่มีทุนทรัพย์” ใช่หรือไม่ ? เช่น คดีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ัง
ท่ีให้ผู้ฟ้องคดีเข้าพักในที่พักอาศัยของทางราชการอันเป็นผลให้ผู้ฟ้องคดีส้ินสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน
ซง่ึ หากศาลมคี ําพิพากษาให้เพกิ ถอนคาํ ส่ังพิพาท ย่อมมีผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีต้องจ่ายเงินค่าเช่าบ้านให้แก่
ผู้ฟ้องคดี๒๔ หรือคดีท่ีฟ้องว่าเจ้าพนักงานท่ีดินละเลยต่อหน้าท่ีในการออกโฉนดที่ดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ซ่ึงหากศาลพิพากษาว่าผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อหน้าที่ ย่อมมีผลให้ผู้ถูกฟ้องคดีต้องดําเนินการ
๒๓ สมชัย ฑีฆาอุตมากร, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๒ วิธีพิจารณาในศาลชั้นต้น,
กรุงเทพฯ : พลสยามปรน๊ิ ตง้ิ , ๒๕๕๔, หนา้ ๓๒๗.
๒๔ คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๖๐๘/๒๕๕๘
๓๐ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ออกโฉนดท่ีดินให้แก่ผู้ฟ้องคดี๒๕ เป็นต้น ซ่ึงจะเห็นได้ว่า ผลของคดีดังกล่าวเป็นผลให้ผู้ฟ้องคดีได้มา
ซึ่งเงินหรือทรัพย์สินอย่างหนึ่งอย่างใด อันมีลักษณะเป็น “คดีท่ีมีทุนทรัพย์” แต่คดีดังกล่าว
เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) และ (๒) ตามลําดับ มิได้เป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) แต่อย่างใด คดีดังกล่าวในศาลปกครองจึงไม่ถือเป็น “คดีที่มีทุนทรัพย์”
หรืออย่างไร
ฤาคําว่า “คดีที่มีทุนทรัพย์” ของศาลปกครองกับศาลยุติธรรม จะมิได้
มีความหมายอยา่ งเดยี วกัน ?
อย่างไรก็ดี เป็นท่ียอมรับกันว่า ศาลยุติธรรมกับศาลปกครองมีระบบ
วิธพี จิ ารณาท่ีแตกตา่ งกัน ดังน้นั การตคี วาม “ประเภทคด”ี ของแต่ละศาลกอ็ าจจะแตกต่างกันได้
กรณีมีปัญหาที่จะต้องพิจารณาต่อไปคือ คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาด
ของอนญุ าโตตลุ าการ เปน็ คําขอใหส้ ัง่ ให้ใช้เงินหรือสง่ มอบทรัพยส์ นิ หรอื ไม่ ?
หากพิจารณาจากถ้อยคําตามตัวอักษรโดยเคร่งครัด “คําร้องขอให้ศาลบังคับ
ตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ” ย่อมไม่ใช่ “คําขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน”
ซง่ึ การพิจารณาลกั ษณะนเี้ ป็นการพิจารณาจาก “คาํ ขอ” ของผฟู้ อ้ งคดีเป็นหลกั
แต่ในคดีนี้ หากพิจารณาจากวัตถุประสงค์ของผู้ร้องก็คือ ต้องการให้ผู้คัดค้าน
ชําระค่าปรับจากการผิดสัญญาให้แก่ผู้ร้อง ไม่ต่างอะไรกับการฟ้องคดีขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชําระค่าปรับ
จากการผิดสัญญาให้แก่ผู้ฟ้องคดี เพียงแต่มีการวินิจฉัยข้อพิพาทโดยคณะอนุญาโตตุลาการมาแล้ว
ช้ันหน่ึง อันเป็นการแบ่งเบาภาระของศาลในการทําคดีลง เหลือเพียงสิ่งท่ีศาลต้องวินิจฉัยตามท่ี
กําหนดไว้ในมาตรา ๔๓๒๖ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนั้น หากพิจารณา
๒๕ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๑๘๔๗/๒๕๕๙
๒๖ พระราชบญั ญตั ิอนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๓ ศาลมีอํานาจทําคําส่ังปฏิเสธไม่รับบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ไม่ว่าคําช้ขี าดนนั้ จะไดท้ าํ ขน้ึ ในประเทศใด ถ้าผซู้ งึ่ จะถกู บังคบั ตามคําชีข้ าดพิสจู นไ์ ด้วา่
(๑) คู่สัญญาตามสัญญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นผู้บกพร่องในเร่ืองความสามารถ
ตามกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั แกค่ ูส่ ญั ญาฝา่ ยน้นั
(๒) สัญญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายแห่งประเทศท่ีคู่สัญญาได้ตกลงกันไว้
หรอื ตามกฎหมายของประเทศที่ทําคาํ ชีข้ าดนัน้ ในกรณที ่ีไม่มขี ้อตกลงดังกลา่ ว
(๓) ไมม่ ีการแจ้งให้ผซู้ งึ่ จะถูกบังคับตามคําช้ีขาดรู้ล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งต้ังคณะอนุญาโตตุลาการ
หรือการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ หรือบุคคลดังกล่าวไม่สามารถเข้าต่อสู้คดีในช้ันอนุญาโตตุลาการได้
เพราะเหตปุ ระการอื่น
(๔) คําชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือคําช้ีขาดวินิจฉัย
เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ถ้าคําชี้ขาดท่ีวินิจฉัยเกินขอบเขตน้ัน
สามารถแยกออกได้จากคาํ ช้ขี าดสว่ นท่ีวนิ ิจฉัยในขอบเขตแลว้ ศาลอาจบงั คับตามคําชข้ี าดส่วนทว่ี นิ จิ ฉัยอยู่ในขอบเขต
แหง่ สัญญาอนุญาโตตลุ าการหรือข้อตกลงนน้ั ก็ได้
รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๑
ในลักษณะน้ี “คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ” ย่อมถือได้ว่าเป็น “คําขอ
ให้ส่งั ใหใ้ ช้เงนิ หรือสง่ มอบทรัพย์สิน”
ซึ่งการตีความคําขอในลักษณะนี้ ก็ไม่ใช่เร่ืองแปลกสําหรับการพิจารณาคดี
ของศาลปกครอง ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่มีการฟ้องขอให้เพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ไม่เพ่ิมค่าทดแทน
การเวนคืนให้แก่ผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองสูงสุดก็เคยวินิจฉัยว่า๒๗ เป็นการใช้สิทธิฟ้องเรียกร้องเงิน
คา่ ทดแทนท่ีดินที่ถูกเวนคืนซ่ึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) และต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล
ตามมาตรา ๔๕ วรรคสี่ หรือกรณีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งท่ีปฏิเสธไม่จัดซื้อหรือเวนคืนส่ิงปลูกสร้าง
ส่วนที่เหลือ ศาลปกครองสูงสุดก็เคยวินิจฉัยว่า๒๘ คําขอดังกล่าวเป็นการขอให้ศาลกําหนดคําบังคับ
ให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐจ่ายค่าทดแทน ซึ่งเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙
วรรคหนง่ึ (๓) และเปน็ คําขอตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง (๓) เปน็ ต้น
แตก่ ็ไมใ่ ช่ว่าศาลปกครองจะตีความคําขอของผู้ฟ้องคดีเสียทุกเรื่อง ยกตัวอย่าง
เชน่ กรณที ี่ฟอ้ งวา่ หน่วยงานทางปกครองมหี นงั สอื แจ้งผฟู้ ้องคดีว่า ไม่พิจารณาจา่ ยเงนิ ค่าสินไหมทดแทน
จากการกระทําละเมิดให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามท่ีผู้ฟ้องคดีร้องขอ ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
ให้หน่วยงานทางปกครองจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี น้ัน โดยปกติแล้วคดีลักษณะน้ีถือเป็น
การฟ้องขอให้หน่วยงานทางปกครองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทําละเมิด อันเป็นคดีพิพาท
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)๒๙ แต่หากเปลี่ยนคําขอของผู้ฟ้องคดีเป็นว่า “ขอให้หน่วยงานทางปกครอง
พิจารณาคําขอของผู้ฟ้องคดีใหม่” ซ่ึงหากแปลความคําขอของผู้ฟ้องคดี น่าจะถือได้ว่าเป็นการฟ้อง
ขอให้หน่วยงานทางปกครองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจากการกระทําละเมิด แต่ปรากฏว่าศาลปกครอง
สูงสดุ ได้วินิจฉยั ไว้วา่ ๓๐ คาํ ขอดงั กลา่ วเป็นการฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งท่ีปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหมทดแทน
ให้แก่ผู้ฟ้องคดี ซ่ึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) ทําให้เห็นได้ว่า ศาลปกครองสูงสุด
ในคดดี งั กล่าวพจิ ารณาคาํ ขอของผูฟ้ อ้ งคดีตามตวั อกั ษร
(๕) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ
มิได้เป็นไปตามท่ีคู่พิพาทได้ตกลงกันไว้ หรือมิได้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศท่ีทําคําช้ีขาดในกรณีที่คู่พิพาท
มไิ ดต้ กลงกนั ไว้ หรือ
(๖) คําชี้ขาดยังไม่มีผลผูกพัน หรือได้ถูกเพิกถอน หรือระงับใช้เสียโดยศาลท่ีมีเขตอํานาจหรือภายใต้
กฎหมายของประเทศที่ทําคําช้ีขาด เว้นแต่ในกรณีท่ียังอยู่ในระหว่างการขอให้ศาลที่มีเขตอํานาจทําการเพิกถอน
หรือระงับใช้ซึ่งคําชี้ขาด ศาลอาจเลื่อนการพิจารณาคดีที่ขอบังคับตามคําช้ีขาดไปได้ตามท่ีเห็นสมควร และถ้าคู่พิพาท
ฝา่ ยทีข่ อบังคบั ตามคําชี้ขาดร้องขอ ศาลอาจส่ังใหค้ ่พู ิพาทฝ่ายที่จะถกู บังคบั วางประกนั ที่เหมาะสมก่อนกไ็ ด้
๒๗ คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ ๙๐๐/๒๕๔๘
๒๘ คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๐๘๕/๒๕๔๙
๒๙ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๑๐/๒๕๕๓
๓๐ คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี ๘๗/๒๕๖๐ และที่ ๔๔๖/๒๕๖๐ และคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๔๒๖/๒๕๖๐
๓๒ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
จากแนวทางการพิจารณาท่ียังคงมีความแตกต่างกันดังกล่าว จึงทําให้เกิด
ข้อสงสัยว่า แล้วคําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการควรถูกพิจารณา
ตามตัวอักษรว่า “ไม่ใช่คําขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบทรัพย์สิน” หรือพิจารณาตามผลของคดี
ที่จะทําให้ผู้ร้องได้รับเงินหรือทรัพย์สินจากผู้คัดค้านว่า “เป็นคําขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบ
ทรัพยส์ นิ ” ซึง่ เปน็ การพจิ ารณาคํารอ้ งขอดังกล่าวในแนวทางเดียวกบั ของศาลยุตธิ รรมที่กาํ หนดให้เป็น
“คดีทม่ี คี ําขอใหป้ ลดเปลื้องทุกข์อนั อาจคํานวณเปน็ ราคาเงนิ ได้”
๒.๓ คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต้องเสีย
คา่ ธรรมเนียมศาลหรอื ไม่ ?
เมื่อนําข้อสงสัยที่ตั้งไว้ในข้อ ๒.๑ รวมกับข้อสงสัยในข้อ ๒.๒ จึงอาจแบ่ง
แนวทางการพิจารณาคําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้เป็นสองแนวทาง
ดังน้ี
แนวทางทห่ี นงึ่ หากศาลปกครองพจิ ารณาคดรี ้องขอใหศ้ าลบังคับตามคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการอยา่ งเครง่ ครดั โดยพิจารณาวา่ เปน็ คดพี ิพาทเกี่ยวกับคําวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ
ซึ่งมีกฎหมายกําหนดให้อยู่ในเขตอํานาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) และพิจารณา
คําร้องขอดังกล่าวตามตัวอักษร คําร้องขอดังกล่าวย่อมไม่ใช่การฟ้องคดีขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบ
ทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) หรือ (๔) ดังนั้น คดีร้องขอให้ศาลบังคับ
ตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่ถือเป็นคดีที่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๔๕ วรรคสี่
แต่อย่างใด ซ่ึงการพิจารณาในแนวทางนี้เป็นการพิจารณาท่ีสอดคล้องกับ “หลักการให้คู่กรณี
เสียค่าใช้จ่ายน้อย” อันเป็นหลักกฎหมายทั่วไปว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองท่ีศาลปกครอง
จะนํามาใช้ในกรณที ก่ี ฎหมายหรือระเบียบมไิ ด้กําหนดเร่ืองใดไว้โดยเฉพาะ ท้ังนี้ ตามข้อ ๕ วรรคสอง
แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ๓๑ ด้วยเหตุน้ี เม่ือการขอให้บังคับตามคําช้ีขาด
ของอนุญาโตตุลาการนั้นไม่มีกฎหมายหรือระเบียบกําหนดไว้โดยชัดแจ้งให้ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล
และเม่ือเป็นการขอให้บังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ จึงมิใช่กรณีที่ต้องป้องกันมิให้
มีการเรียกร้องเงินหรือทรัพย์สินในจํานวนที่สูงเกินกว่าความเดือดร้อนเสียหายที่แท้จริง อีกทั้ง
๓๑ ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่ศาลปกครองจะมีคําส่ังจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ เพื่อให้คู่สัญญา
ไปดําเนินการทางอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๑๔ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
ศาลปกครองต้องสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ฟ้องคดีด้วยตามข้อ ๕ วรรคสอง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณา
คดีปกครองฯ (คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี ๔๒/๒๕๕๒ ที่ ๑๖๙/๒๕๕๑ และท่ี ๘๐๐/๒๕๕๑) หรือกรณีท่ี
ศาลปกครองชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายหรือระเบียบจนเป็นเหตุให้ศาลปกครองสูงสุดต้องมีคําพิพากษายก
คําพิพากษาของศาลปกครองช้ันต้นแล้วส่งสํานวนคดีคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้นเพื่อให้พิพากษาหรือมีคําส่ังใหม่
ให้ถูกต้อง โดยศาลปกครองสูงสุดยังมิได้ทําการวินิจฉัยในเน้ือหาแห่งคดี ศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นควร
คืนค่าธรรมเนียมศาลท้ังหมดในช้ันอุทธรณ์ให้กับคู่กรณีโดยอาศัยอํานาจตามข้อ ๕ วรรคสอง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วย
วธิ ีพจิ ารณาคดปี กครองฯ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๕๐๔/๒๕๕๕)
รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๓
ยังเป็นประโยชน์กับคู่กรณีซ่ึงต้องชําระค่าใช้จ่ายในการพิจารณาช้ันอนุญาโตตุลาการมาแล้วชั้นหนึ่ง
อันเป็นการระงับข้อพิพาททางเลือกท่ีเป็นการลดภาระของศาลในการพิจารณาคดี คู่กรณีจึงไม่ควร
ท่ีจะต้องเสียค่าธรรมเนียมในการพิจารณาคดีเดียวกันให้แก่ศาลอีก ซึ่งการพิจารณาในแนวทางนี้
เป็นการพิจารณาที่เป็นไปตามคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๗/๒๕๖๐ ท่ีได้ยกมาเป็นกรณีศึกษา
ของบทวิเคราะหน์ ี้
แนวทางทีส่ อง หากศาลปกครองพิจารณาคดีร้องขอให้ศาลบังคับตามคําช้ีขาด
ของอนญุ าโตตลุ าการตามข้อพพิ าททเ่ี กดิ ข้นึ โดยพิจารณาวา่ เปน็ คดีพิพาทเก่ยี วกบั สัญญาทางปกครอง
ซึ่งอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๔) แห่งพระราชบัญญัติ
จัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับมาตรา ๙ และมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ และพิจารณาคําขอดังกล่าวตามผลของคดีที่ทําให้ผู้ร้องได้รับเงิน
หรือทรัพย์สินจากผู้คัดค้าน คําร้องขอดังกล่าวย่อมถือได้ว่าเป็นการฟ้องคดีขอให้ส่ังให้ใช้เงินหรือส่งมอบ
ทรัพย์สินอันสืบเนื่องจากคดีตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๔) ดังนั้น คดีร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการจึงถือเป็นคดีท่ีต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๔๕ วรรคสี่ ซึ่งการพิจารณา
ในแนวทางนี้เป็นการพิจารณาท่ีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในการกําหนดค่าข้ึนศาลของศาลยุติธรรม
ที่ได้กําหนดให้คดีร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็น “คดีที่มีคําขอให้
ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้” ซ่ึงต้องเสียค่าข้ึนศาลตามตาราง ๑ ท้ายประมวล
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตั้งแต่เร่ิมใช้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๘๓๒ ซ่ึงหากพิจารณาในแนวทางนี้ การท่ีศาลปกครองเก็บค่าธรรมเนียมศาลสําหรับ
คดีรอ้ งขอใหศ้ าลบงั คบั ตามคําชีข้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ ก็จะมิได้เป็นการกระทําท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย
หรอื ไมม่ ีกฎหมายให้อํานาจแตอ่ ยา่ งใด
๓๒ ประมวลกฎหมายวิธีพจิ ารณาความแพ่ง
ตาราง ๑ ค่าขนึ้ ศาลเมอ่ื ต้องเสยี เมอ่ื ย่ืนคําฟ้อง (ตามวเิ คราะหศ์ พั ท์ในมาตรา ๑ (๓))
๑. คดที มี่ คี ําขอให้ปลดเปลือ้ งทกุ ขอ์ ันอาจคาํ นวณเปน็ ราคาเงนิ ได้
ก. อัตราท่วั ไป
จํานวนทุนทรัพย์ท่ีเรียกร้องหรือราคาทรัพย์สินท่ีพิพาททั้งหมดตามท่ีปรากฏในคําฟ้องเดิม
หรอื คําฟ้องท่ีย่นื ภายหลัง ใหเ้ รียกรอ้ ยละสองครง่ึ
ข. อัตราพิเศษ
คําร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ ให้เรียกร้อยละ ๑ ของจํานวน
ทีอ่ นุญาโตตุลาการกาํ หนดใหใ้ นคําช้ีขาด แตม่ ใิ ห้เกนิ กว่า ๒,๐๐๐ บาท
ฯลฯ ฯลฯ
๓๔ รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
สําหรับในมุมมองของผู้จัดทําแล้ว ผู้จัดทําค่อนข้างเห็นด้วยกับแนวทางท่ีหนึ่ง
เพราะเป็นไปตามลักษณะของวิธีพิจารณาคดีของศาลปกครองมากกว่า อย่างไรก็ดี การท่ีศาลปกครอง
จะไม่เรียกเก็บค่าธรรมเนียมศาลในกรณีน้ีอาจส่งผลกระทบต่อศาลปกครองได้ ท้ังน้ี เน่ืองจากคู่กรณี
ในข้อพิพาทตามสัญญาอนุญาโตตุลาการไม่ได้มี “ผู้ร้อง” เพียงฝ่ายเดียว ฝ่ายท่ีไม่เห็นด้วยกับคําช้ีขาด
ของอนุญาโตตุลาการ หรือฝ่าย “ผู้คัดค้าน” ก็อาจร้องขอให้ศาลเพิกถอนคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการได้
ตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง๓๓ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ และเน่ืองจากคําร้อง
ดังกล่าวถือเป็น “คดีท่ีมีคําขอให้ปลดเปล้ืองทุกข์อันอาจคํานวณเป็นราคาเงินได้” ตามตาราง ๑
ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพ่ิมเติม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ ดังนั้น ที่ผ่านมาศาลปกครอง
จึงเก็บค่าธรรมเนียมศาลสําหรับคําร้องขอให้ศาลเพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการด้วย
แต่หากหลังจากน้ีศาลปกครองจะถือปฏิบัติตามแนวทางท่ีหนึ่ง “คดีร้องขอให้ศาลเพิกถอนคําช้ีขาด
ของอนุญาโตตุลาการ” ก็ต้องถือเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖) และไม่ใช่คดีที่ขอให้
สง่ั ใหใ้ ช้เงนิ หรอื สง่ มอบทรพั ยส์ นิ ดงั น้ัน ศาลจงึ ไม่สามารถเก็บค่าธรรมเนียมศาลสําหรับคดีประเภทนี้ได้
เชน่ เดียวกนั ซ่งึ จะสง่ ผลให้ผคู้ ัดคา้ นที่เคยลังเลว่าจะยื่นคําร้องต่อศาลดีหรือไม่ เนอื่ งจากเกรงวา่ จะต้อง
เสยี ค่าธรรมเนยี มศาล จะนําคดีขนึ้ สูศ่ าลมากขึ้น และจะสง่ ผลต่อปริมาณคดีของศาลในอนาคต
ในขณะที่หากศาลปฏิบัติตามแนวทางท่ีสอง กล่าวคือ เก็บค่าธรรมเนียมศาล
ในคดรี ้องขอใหศ้ าลบงั คับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ นอกจากจะเป็นการจํากัดคดีท่ีจะข้ึนสู่ศาลได้
สว่ นหนึ่งแลว้ ในกฎหมายวธิ พี จิ ารณาคดปี กครองยังกําหนดให้ศาลปกครองมคี ําสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาล
ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนตามส่วนของการชนะคดีได้ตามมาตรา ๗๒ วรรคหก แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองฯ เดิม หรือมาตรา ๗๒/๑๓๔ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับท่ี ๘) พ.ศ. ๒๕๕๙ ในปัจจุบัน ดังเช่นในคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๑๗/๒๕๖๐ ทีย่ กมาเป็นกรณศี กึ ษานี้ ทีว่ ินิจฉยั วา่ “... อยา่ งไรก็ตาม เมื่อคดนี ศี้ าลปกครองไดว้ นิ ิจฉยั
ใหผ้ ้รู ้องชนะคดีแลว้ ศาลย่อมต้องสง่ั ใหค้ นื ค่าธรรมเนยี มศาลทั้งหมดแก่ผรู้ อ้ ง ทั้งน้ี ตามมาตรา ๗๒/๑
แหง่ พระราชบญั ญัติจัดตงั้ ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ พิพากษาแก้คําพิพากษา
ของศาลปกครองชัน้ ต้น เป็นให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และคืนค่าธรรมเนียมศาล
ในชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดแก่ผู้ร้อง ...” ซึ่งอันที่จริงแล้ว ในคดีน้ีศาลปกครองสูงสุดจะไม่พิจารณาประเด็น
ที่ผู้ร้องอุทธรณ์ในเรื่องค่าธรรมเนียมศาลก็ได้ เนื่องจากผลของคดีทําให้ผู้ร้องได้รับค่าธรรมเนียมศาลคืน
ทั้งหมดอยู่แล้ว โดยอาจวินิจฉัยว่า “สําหรับประเด็นที่ผู้ร้องอุทธรณ์ว่า คดีที่ฟ้องเพื่อขอให้บังคับ
ตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการซึ่งเป็นข้อพิพาทในคดีนี้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาล ขอให้
๓๓ อา้ งแล้วในเชงิ อรรถท่ี ๙ หนา้ ๒๕
๓๔ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดย
พระราชบัญญตั จิ ัดตงั้ ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดปี กครอง (ฉบบั ที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๕๙
มาตรา ๗๒/๑ ในการพิพากษาคดี ให้ศาลปกครองมีคําส่ังคืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดหรือแต่บางส่วน
ตามส่วนของการชนะคดี
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๕
ศาลปกครองสูงสดุ คืนเงนิ คา่ ธรรมเนยี มศาลใหแ้ ก่ผู้รอ้ ง น้นั เมอ่ื คดนี ้ศี าลจะพพิ ากษาใหผ้ ้รู อ้ งชนะคดีแล้ว
ศาลย่อมจะต้องสั่งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลท้ังหมดแก่ผู้ร้องตามมาตรา ๗๒/๑ แห่งพระราชบัญญัติ
จัดตัง้ ศาลปกครองและวธิ พี ิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ศาลจึงไม่จําต้องวินิจฉัยในประเด็นน้ีอีก”
อย่างไรก็ดี ข้อด้อยของแนวทางท่ีสองคงมีอยู่เพียงกรณีท่ีศาลปกครองไม่บังคับตามคําชี้ขาดของ
อนญุ าโตตุลาการบางส่วนหรือท้ังหมด ซ่งึ จะเป็นผลให้ศาลปกครองสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้ผู้ร้องได้
เพียงบางส่วน หรอื ไม่คนื ค่าธรรมเนยี มศาลใหแ้ ก่ผ้รู ้องเลย
จากขอ้ พิจารณาท้ังสองแนวทางที่ไดก้ ล่าวไว้ขา้ งต้นจะเห็นไดว้ า่ ไม่ว่าแนวทางใด
ก็ถือได้ว่ามีเหตุผลทางกฎหมายรองรับ แต่แนวทางใดท่ีจะ “เหมาะสม” กับกระบวนพิจารณาคดี
ของศาลปกครองมากกว่ากันน้ัน นอกจากแนวทางนั้นจะเป็นไปตามหลักกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณา
คดีปกครองแล้ว คงต้องช่ังน้ําหนักประโยชน์ของคู่กรณี และผลกระทบหรืออุปสรรคที่อาจเกิด
แก่การบริหารงานของศาลปกครองประกอบด้วย ซ่ึงเม่ือพิจารณาแล้ว ผู้จัดทํายังคงมีความเห็น
ไปในแนวทางท่ีหนึ่ง ด้วยเหตุผลว่า แม้การไม่เก็บค่าธรรมเนียมศาลในคดีพิพาทเก่ียวกับคําวินิจฉัย
ของอนุญาโตตุลาการ จะส่งผลกระทบต่อปริมาณคดีของศาลปกครองเก่ียวกับคดีประเภทนี้
ท่ีจะมากขึ้นในอนาคต แต่จะเป็นประโยชน์ต่อคู่กรณีมากกว่าในอันที่จะไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม
ซํ้าซ้อน แม้หากศาลพิพากษาให้ผู้ร้องชนะคดี ศาลก็จะสั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้ผู้ร้องตามกฎหมาย
อยู่แล้ว แต่ผู้ร้องก็มีความลําบากท่ีจะต้องหาเงินมาชําระค่าธรรมเนียมศาล โดยเฉพาะกรณีท่ีผู้ร้อง
เป็นเอกชน ซ่งึ หากผรู้ อ้ งไม่สามารถที่จะชาํ ระค่าธรรมเนียมศาลใหค้ รบถว้ นได้ ศาลก็จะส่ังไม่รับคําร้อง
ของผู้ร้องไว้พิจารณาตามข้อ ๓๗ วรรคสอง๓๕ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ ทําให้
ผู้ร้องต้องเสียโอกาสท่ีจะขอให้ศาลมีคําบังคับให้ผู้คัดค้านปฏิบัติตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
และในทางกลับกันก็ทําให้ผู้คัดค้านต้องเสียโอกาสท่ีจะขอให้ศาลได้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมาย
ของคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการด้วย ในขณะท่ีหากพิจารณาทางฝ่ังของศาลแล้ว ในการพิจารณาว่า
จะบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการหรือไม่ มีส่ิงท่ีศาลต้องพิจารณาเพียงเท่าท่ีกําหนดไว้
ในมาตรา ๔๓๓๖ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ เท่าน้ัน และในการพิจารณาว่า
จะเพิกถอนคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการหรือไม่ ก็มีสิ่งท่ีศาลต้องพิจารณาเพียงเท่าที่กําหนดไว้
๓๕ ระเบียบของท่ปี ระชมุ ใหญต่ ลุ าการในศาลปกครองสงู สุด วา่ ด้วยวิธีพจิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
ขอ้ ๓๗ ฯลฯ ฯลฯ
ให้ตุลาการหัวหน้าคณะแต่งต้ังตุลาการในองค์คณะคนหน่ึงเป็นตุลาการเจ้าของสํานวน แล้วให้ตุลาการ
เจ้าของสํานวนตรวจคําฟ้อง ถ้าเห็นว่าเป็นคําฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนซึ่งผู้ฟ้องคดีอาจแก้ไขได้หรือผู้ฟ้องคดีชําระ
คา่ ธรรมเนียมศาลไมค่ รบถว้ น ให้ตุลาการเจา้ ของสํานวนมีคาํ ส่ังให้ผฟู้ ้องคดแี กไ้ ขหรอื ชาํ ระคา่ ธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วน
ภายในระยะเวลาท่ีกําหนด ถ้าไม่มีการแก้ไขหรือชําระค่าธรรมเนียมศาลให้ครบถ้วนภายในระยะเวลาท่ีกําหนด
หรือข้อที่ไม่สมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นกรณีท่ีไม่อาจแก้ไขให้ถูกต้องได้ หรือเป็นคดีท่ีไม่อยู่ในอํานาจของศาลปกครอง
ให้ตุลาการเจา้ ของสํานวนเสนอองค์คณะสัง่ ไม่รบั คาํ ฟอ้ งไวพ้ จิ ารณาและส่งั จาํ หนา่ ยคดีออกจากสารบบความ
๓๖ อ้างแล้วในเชงิ อรรถที่ ๒๖ หน้า ๓๐
๓๖ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ในมาตรา ๔๐ วรรคสาม๓๗ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน เท่านั้น อีกทั้งยังมีบทบัญญัติมาตรา ๔๕
วรรคหนึ่ง๓๘ ที่จํากัดสิทธิอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลอีกด้วย ดังน้ัน การไม่เก็บค่าธรรมเนียมศาล
สําหรับคดีพิพาทเก่ียวกับคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจึงไม่น่าจะมีผลกระทบต่อปริมาณคดี
ของศาลปกครองมากนัก และยังผดุงไว้ซึ่งความยุติธรรมให้แก่คู่กรณีในสัญญาอนุญาโตตุลาการ
อย่างเทา่ เทียมกนั อีกดว้ ย
๓๗ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๐ ฯลฯ ฯลฯ
ให้ศาลเพกิ ถอนคาํ ชข้ี าดได้ในกรณดี ังตอ่ ไปนี้
(๑) ค่พู ิพาทฝา่ ยทขี่ อใหเ้ พิกถอนคาํ ช้ีขาดสามารถพสิ จู นไ์ ด้วา่
(ก) คู่สัญญาตามสัญญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถ
ตามกฎหมายท่ีใชบ้ งั คบั แกค่ สู่ ญั ญาฝ่ายนัน้
(ข) สัญญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายแห่งประเทศท่ีคู่พิพาทได้ตกลงกันไว้
หรอื ตามกฎหมายไทยในกรณีท่ไี ม่มขี ้อตกลงดงั กลา่ ว
(ค) ไม่มีการแจ้งให้คู่พิพาทฝ่ายท่ีขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดรู้ล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งต้ัง
คณะอนุญาโตตุลาการหรือการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ หรือบุคคลดังกล่าวไม่สามารถเข้าต่อสู้คดี
ในชั้นอนุญาโตตลุ าการไดเ้ พราะเหตปุ ระการอน่ื
(ง) คําช้ีขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือคําช้ีขาดวินิจฉัย
เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ถ้าคําชี้ขาดที่วินิจฉัยเกินขอบเขตน้ัน
สามารถแยกออกได้จากคําชี้ขาดส่วนท่ีวินิจฉัยในขอบเขตแล้วศาลอาจเพิกถอนเฉพาะส่วนที่วินิจฉัยเกินขอบเขต
แหง่ สัญญาอนญุ าโตตุลาการหรือข้อตกลงนัน้ ก็ได้ หรอื
(จ) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ
มิได้เป็นไปตามท่ีคู่พิพาทได้ตกลงกันไว้ หรือในกรณีท่ีคู่พิพาทไม่ได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่นองค์ประกอบดังกล่าว
ไมช่ อบดว้ ยกฎหมายนี้
(๒) มีกรณปี รากฏตอ่ ศาลวา่
(ก) คาํ ช้ีขาดนัน้ เก่ียวกบั ข้อพิพาททไ่ี ม่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตลุ าการไดต้ ามกฎหมาย หรือ
(ข) การยอมรบั หรือการบังคบั ตามคาํ ชี้ขาดนน้ั จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
ของประชาชน
๓๘ พระราชบญั ญตั ิอนญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๕ หา้ มมิให้อทุ ธรณค์ ําสั่งหรือคําพิพากษาของศาลตามพระราชบญั ญตั นิ ้ี เวน้ แต่
(๑) การยอมรับหรือการบังคับตามคําชี้ขาดน้ันจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
ของประชาชน
(๒) คาํ ส่งั หรอื คาํ พพิ ากษาน้นั ฝา่ ฝืนตอ่ บทกฎหมายอนั เก่ยี วด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน
(๓) คาํ สง่ั หรอื คําพิพากษานน้ั ไมต่ รงกับคําชข้ี าดของคณะอนุญาโตตุลาการ
(๔) ผูพ้ ิพากษา หรือตลุ าการซ่ึงพิจารณาคดนี น้ั ได้ทาํ ความเหน็ แย้งไวใ้ นคําพิพากษา หรือ
(๕) เป็นคาํ สั่งเกย่ี วดว้ ยการใช้วิธีการช่ัวคราวเพอ่ื คมุ้ ครองประโยชนข์ องคู่พพิ าทตามมาตรา ๑๖
ฯลฯ ฯลฯ
รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๗
๓. ข้อเสนอแนะ
ตามทีไ่ ดก้ ล่าวแล้ววา่ ในคดีร้องขอให้ศาลบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการนั้น
ที่ผ่านมาศาลปกครองเก็บค่าธรรมเนียมศาลมาโดยตลอด แม้จะถือว่า “ถูกต้อง” ตามกฎหมายในขณะนั้น
แต่เมื่อขณะนี้มีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดท่ีวินิจฉัยแตกต่างไป ถึงแม้คําวินิจฉัยดังกล่าวจะมีผล
ผูกพันเฉพาะคู่กรณีในคดี แต่ก็ย่อมมีผลต่อการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับฟ้องของสํานักงาน
ศาลปกครองไม่มากก็น้อย ท้ังน้ี เน่ืองจากอาจจะมีคู่กรณีที่เคยนําคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
มาร้องต่อศาลและเสียค่าธรรมเนียมศาลไปแล้วโดยศาลมิได้สั่งคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ร้อง มาย่ืน
ขอคืนค่าธรรมเนียมศาลท่ีเสียไปนั้นต่อสํานักงานศาลปกครองฐานลาภมิควรได้๓๙ โดยอ้างว่าศาล
เก็บค่าธรรมเนยี มศาลโดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ รวมทั้งอาจมีคู่กรณีท่ีกําลังจะนําคําวินิจฉัย
ของอนุญาโตตลุ าการมารอ้ งตอ่ ศาล ไม่ยอมชาํ ระค่าธรรมเนยี มศาลโดยอ้างวา่ ไมม่ กี ฎหมายให้อํานาจศาล
เก็บค่าธรรมเนียมศาลจากผู้ร้อง ท้ังน้ี โดยอ้างคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๗/๒๕๖๐ ฉบับน้ี
ซ่ึงจะก่อให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรับฟ้องได้ ในที่นี้จึงเห็นว่า เพื่อให้เกิด
ความชัดเจนและเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป ควรให้มีการนําเร่ืองดังกล่าวเข้าหารือในท่ีประชุมใหญ่
ของตุลาการในศาลปกครองสูงสุดโดยเร็ว เพ่ือให้ท่ีประชุมใหญ่ฯ มีมติว่าการขอให้บังคับตามคําช้ีขาด
ของอนุญาโตตุลาการ รวมทั้งการขอให้เพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการในศาลปกครอง
ถือเป็นคดีท่ีจะต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลหรือไม่ อย่างไรก็ดี ในระหว่างท่ียังไม่มีมติที่ประชุมใหญ่ฯ
ในเร่ืองน้ีนั้น เห็นว่า ศาลปกครองควรเก็บค่าธรรมเนียมศาลสําหรับคดีร้องขอให้บังคับตามคําช้ีขาด
ของอนญุ าโตตลุ าการไปก่อน เพราะหากที่ประชุมใหญ่ฯ มีมติในทางเดียวกับคําพิพากษาศาลปกครอง
สูงสุดที่ อ.๑๗/๒๕๖๐ ว่า คดีร้องขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ เป็นคดีท่ีผู้ร้อง
ไม่จาํ ต้องชาํ ระคา่ ธรรมเนยี มศาล ศาลก็ยังสามารถคืนค่าธรรมเนียมศาลให้แก่ผู้ร้องในภายหลังได้อยู่แล้ว
จึงไมน่ ่าจะเป็นภาระแก่ผรู้ อ้ งเกนิ สมควร
๓๙ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
มาตรา ๔๐๖ บุคคลใดได้มาซึ่งทรัพย์ส่ิงใด เพราะการท่ีบุคคลอีกคนหนึ่งกระทําเพ่ือชําระหน้ีก็ดี
หรอื ไดม้ าดว้ ยประการอื่นก็ดี โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นทางให้บุคคลอีกคนหนึ่งน้ันเสียเปรียบไซร้
ท่านว่าบคุ คลน้นั จาํ ต้องคนื ทรพั ย์ให้แก่เขา อนึ่งการรับสภาพหน้ีสินว่ามีอยู่หรือหาไม่น้ัน ท่านก็ให้ถือว่าเป็นการกระทํา
เพ่อื ชําระหน้ดี ว้ ย
บทบญั ญัตอิ นั นี้ท่านใหใ้ ชบ้ งั คับตลอดถึงกรณีที่ได้ทรัพย์มา เพราะเหตุอย่างใดอย่างหน่ึงซึ่งมิได้มีได้เป็นข้ึน
หรือเปน็ เหตทุ ไี่ ดส้ น้ิ สุดไปเสยี กอ่ นแลว้ นนั้ ด้วย
๓๘ รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
หมายเหตขุ องผู้จัดทาํ ลงวันที่ ๓๐ ตลุ าคม ๒๕๖๒
อธบิ ดีศาลปกครองกลางไดม้ คี าํ แนะนําอธิบดีศาลปกครองกลาง เร่ือง ค่าธรรมเนียมศาล
ในคดีพพิ าทตามกฎหมายวา่ ด้วยอนุญาโตตลุ าการ ลงวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๐ โดยข้อ ๒ กําหนดว่า
“ในคดีพิพาทตามกฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการไม่ว่าเป็นการขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการหรือการขอให้บังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ นับเป็นคดีพิพาท
เก่ียวกับเรื่องที่กฎหมายกําหนดให้อยู่ในเขตอํานาจศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๖)
แห่งพระราชบญั ญัตจิ ัดตง้ั ศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ จึงไม่อยู่ในข้อยกเว้น
ให้เรียกเก็บค่าธรรมเนียมศาลได้ตามมาตรา ๔๕ วรรคส่ี แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ดังน้ัน
ศาลปกครองย่อมไม่อาจเรียกเก็บค่าธรรมเนียมศาลในคดีดังกล่าวได้” และข้อ ๓ กําหนดว่า
“คดีใดมีการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมศาลในคดีประเภทดังกล่าวไว้แล้ว ย่อมพิจารณาสั่งให้คืน
ค่าธรรมเนียมศาลได้ เพื่อให้สอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายต่อไป” ซ่ึงข้อเสนอแนะของผู้จัดทํา
สอดคล้องกับคําแนะนําของอธิบดีศาลปกครองกลางดังกล่าว ผู้จัดทําจึงไม่ได้แก้ไขเพ่ิมเติมเน้ือหา
ของเอกสารเรอื่ งน้แี ตอ่ ยา่ งใด
รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๙
บรรณานกุ รม
ชวิศ เหล่าปิยสกุล, รายงานการศึกษาการเสียค่าธรรมเนียมศาลในคดีขอให้บังคับตามคําช้ีขาด
ของอนญุ าโตตุลาการ, ๒๕๖๐ [ม.ป.ป.].
ชาญชัย แสวงศักดิ์, คาํ อธิบายกฎหมายจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, พิมพ์ครั้งท่ี ๖,
กรงุ เทพฯ : วญิ ญูชน, ตลุ าคม ๒๕๕๐.
ประสาท พงษ์สุวรรณ์, คําอธิบายกฎหมายว่าด้วยคดีปกครองของไทย Droit du contentieux
administrative thailandais, กุมภาพนั ธ์ ๒๕๔๗.
โภคิน พลกุล, สาระสําคัญของกฎหมายว่าด้วยศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง, พิมพ์ครั้งท่ี ๓,
กรงุ เทพฯ : ขุมทองอุตสาหกรรมและการพิมพ,์ สงิ หาคม ๒๕๔๖.
สมชัย ฑีฆาอุตมากร, ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ภาค ๒ วิธีพิจารณาในศาลช้ันต้น,
กรุงเทพฯ : พลสยามปริน๊ ต้ิง, ๒๕๕๔.
อาํ พน เจรญิ ชีวินทร์, คําอธบิ ายการฟ้องและการดําเนินคดีในศาลปกครอง, พิมพ์ครั้งท่ี ๔, กรุงเทพฯ :
นติ ิธรรม, กรกฎาคม ๒๕๕๐.
๔๐ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๑
เรื่องท่ี ๓ กรณีศกึ ษาเก่ียวกบั การจดั หาลา่ มในคดปี กครอง
ล่าม๑ หมายถึง ผู้แปลคําพูดจากภาษาหนึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งโดยทันที ซึ่งในบริบท
ของการพิจารณาคดีในศาลของประเทศไทยอาจกล่าวได้ว่า ล่าม หมายถึง บุคคลที่ทําหน้าท่ี
แปลถ้อยคําหรือข้อความจากภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศ หรือจากภาษาต่างประเทศ
เปน็ ภาษาไทยในการดาํ เนนิ คดี
เน่ืองจากคดีความท่ีเกิดข้ึนในปัจจุบันมีเป็นจํานวนมาก ไม่ว่าจะเป็นคดีอาญา
คดีแพ่ง หรือคดีปกครอง โดยผู้ที่เก่ียวข้องในคดีความเหล่าน้ัน ประกอบไปด้วยเจ้าหน้าที่
ในกระบวนการยุติธรรม โจทก์ จําเลย ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดี หรือพยาน ซึ่งอาจเป็นชาวไทย
หรือชาวต่างชาติก็ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ชาวต่างชาติได้เข้ามาในประเทศไทย
เป็นจํานวนมาก บางคนเดินทางมาท่องเที่ยวพักผ่อน ประกอบธุรกิจ หรือพักอาศัยเป็นการถาวร
ซ่ึงบุคคลเหล่านั้นอาจก่อเหตุกระทําความผิดทางอาญาในข้อหาต่าง ๆ ทั้งกระทําโดยเจตนา
หรอื ไม่เจตนา หรือเป็นการกระทําโดยประมาท หรืออาจมีข้อพิพาททางแพ่งท่ีไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้
หรือมีข้อพิพาททางปกครองกับเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือหน่วยงานทางปกครอง จนต้องนําคดีเข้าสู่
กระบวนการยุติธรรม ในกรณีน้ีหากคู่ความหรือบุคคลท่ีเก่ียวข้องเป็นบุคคลที่ไม่สามารถอ่าน
และเข้าใจภาษาไทยได้ก็จําเป็นท่ีจะต้องมีล่ามเพื่อทําหน้าท่ีแปลภาษาของบุคคลดังกล่าว
ให้เป็นภาษาไทยต่อศาล และแปลภาษาไทยให้เป็นภาษาที่บุคคลดังกล่าวสามารถเข้าใจได้
เพ่ือให้การดําเนินกระบวนพิจารณาคดีเป็นไปโดยถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม หากไม่มีบุคคลใด
มาทําหน้าท่ีเป็นล่ามก็จะทําให้เกิดข้อขัดข้องในการรับฟังคําเบิกความและพยานเอกสาร
ท่เี ป็นภาษาตา่ งประเทศ และไมเ่ ปน็ การคุ้มครองสิทธิของจําเลยให้เป็นไปตามหลักสากล ด้วยเหตุน้ี
ชาวต่างชาติท่ีไม่สามารถเข้าใจภาษาไทยได้จึงมีความจําเป็นท่ีจะต้องใช้ล่ามแปลเพื่อให้เกิด
ความเข้าใจถึงการดําเนินกระบวนพิจารณาและเป็นการรักษาผลประโยชน์ของตนเอง นอกจากน้ี
ผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีไม่ว่าจะเป็นคู่ความ ทนาย หรือผู้พิพากษา ก็ย่อมจําเป็นต้องใช้ล่ามเช่นกัน
เพ่ือให้การพิจารณาคดีเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมาย รวดเร็ว และเป็นธรรม อีกท้ังยังให้เกิด
ความเขา้ ใจในการเบิกความอกี ด้วย
หลักกฎหมายที่บัญญัติถึงสิทธิการมีล่ามของผู้ต้องหา กฎหมายที่บัญญัติ
ถึงสิทธิของการมีล่ามของผู้ต้องหาในคดีอาญาน้ันมีอยู่มากมาย ทั้งที่เป็นกฎหมายภายในประเทศ
และกฎหมายระหว่างประเทศ อันส่ือให้เห็นว่าทุกประเทศทั่วโลกได้ให้ความสําคัญแก่สิทธิดังกล่าว
อมรรัตน์ กันไชย ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๑
ประจําวันที่ ๓๑ ตลุ าคม ๒๕๖๑
๑ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ สืบค้นจาก https://www.royin.go.th/dictionary
เมื่อวันท่ี ๒๔ ตุลาคม ๒๕๖๑
๔๒ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
เพราะสิทธิการมีล่ามของผู้ต้องหาเป็นหลักประกันขั้นพ้ืนฐานในกระบวนการยุติธรรม เพ่ือให้ผู้ต้องหา
สามารถเข้าใจและสื่อสารกนั ได้อยา่ งถกู ต้อง โดยหลกั กฎหมายท่ีเกี่ยวขอ้ งมีดงั ตอ่ ไปนี้๒
๑. กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อ ๑๔.๓
ได้กําหนดไว้ว่า ในการพิจารณาคดีอาญาบุคคลทุกคนซ่ึงต้องหาว่ากระทําผิดย่อมมีสิทธิท่ีจะได้รับ
หลักประกันขั้นตํ่าดังต่อไปน้ีโดยเสมอภาค (ฉ) สิทธิท่ีจะได้รับความช่วยเหลือจากล่ามโดยไม่คิดมูลค่า
หากไม่สามารถเข้าใจหรือพูดภาษาท่ีใช้ในศาลได้ กติกาฉบับนี้แสดงให้เห็นว่าผู้คนในโลกนี้
มีหลากหลายกลุ่มเช้ือชาติ และแต่ละกลุ่มเชื้อชาติก็ย่อมมีภาษาเป็นของตนเอง อย่างไรก็ตาม
แม้จะเป็นประชาชนที่อยู่ในประเทศเดียวกันก็อาจใช้หลายภาษาในการติดต่อสื่อสารถึงกันได้
หรือในกรณีที่ประเทศนั้น ๆ มีภาษาราชการเพียงภาษาเดียว แต่ก็อาจมีภาษาอ่ืนที่ประชาชนทั่วไป
ยังคงใชส้ ่อื สารกันอยู่ ดงั น้ัน จงึ มีความจาํ เป็นที่จะต้องมีการบัญญัติถึงสทิ ธกิ ารมีล่ามไว้
๒. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๔๖ วรรคหน่ึง บัญญัติว่า
บรรดากระบวนพิจารณาเกี่ยวด้วยการพิจารณาและการชี้ขาดตัดสินคดีแพ่งท้ังหลายซึ่งศาลเป็นผู้ทํานั้น
ใหท้ าํ เป็นภาษาไทย วรรคสอง บญั ญตั วิ า่ บรรดาคําคู่ความและเอกสารหรือแผ่นกระดาษไม่ว่าอย่างใด ๆ
ท่คี ู่ความหรือศาลหรือเจา้ พนักงานศาลได้ทาํ ขึน้ ซึง่ ประกอบเปน็ สาํ นวนของคดนี นั้ ให้เขียนเป็นหนังสือไทย
และเขียนด้วยหมึกหรือดีดพิมพ์หรือตีพิมพ์ ถ้ามีผิดตกที่ใดห้ามมิให้ขูดลบออก แต่ให้ขีดฆ่าเสีย
แล้วเขียนลงใหม่ และผู้เขียนต้องลงชื่อไว้ที่ริมกระดาษ ถ้ามีข้อความตกเติมให้ผู้ตกเติมลงลายมือชื่อ
หรือลงชื่อย่อไว้เป็นสําคัญ วรรคสาม บัญญัติว่า ถ้าต้นฉบับเอกสารหรือแผ่นกระดาษไม่ว่าอย่างใด ๆ
ท่ีส่งต่อศาลได้ทําข้ึนเป็นภาษาต่างประเทศ ให้ศาลส่ังคู่ความฝ่ายท่ีส่งให้ทําคําแปลทั้งฉบับหรือ
เฉพาะแต่ส่วนสําคัญ โดยมีคํารับรองมาย่ืนเพื่อแนบไว้กับต้นฉบับ วรรคส่ี บัญญัติว่า ถ้าคู่ความฝ่ายใด
หรือบุคคลใดที่มาศาลไม่เข้าใจภาษาไทย หรือเป็นใบ้ หรือหูหนวก และอ่านเขียนหนังสือไม่ได้
ใหค้ คู่ วามฝา่ ยท่เี กี่ยวขอ้ งจดั หาลา่ ม
๓. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๓ วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า
การสอบสวน ไต่สวนมูลฟ้อง หรือพิจารณาให้ใช้ภาษาไทย แต่ถ้ามีความจําเป็นต้องแปลภาษาไทย
ท้องถ่ินหรือภาษาท้องถ่ินหรือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทย หรือต้องแปลภาษาไทยเป็นภาษาไทย
ท้องถิ่นหรือภาษาท้องถ่ินหรือภาษาต่างประเทศ ให้ใช้ล่ามแปล วรรคสอง บัญญัติว่า ในกรณีที่
ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จําเลย หรือพยานไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทยหรือสามารถพูดหรือเข้าใจ
เฉพาะภาษาไทยท้องถ่ินหรือภาษาถิ่น และไม่มีล่าม ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล
จัดหาล่ามให้โดยมิชักช้า วรรคสาม บัญญัติว่า ในกรณีที่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จําเลย หรือพยาน
ไม่สามารถพูดหรือได้ยิน หรือส่ือความหมายได้ และไม่มีล่ามภาษามือ ให้พนักงานสอบสวน
พนักงานอัยการ หรือศาลจัดหาล่ามภาษามือให้หรือจัดให้ถาม ตอบ หรือสื่อความหมายโดยวิธีอ่ืน
ที่เห็นสมควร วรรคสี่ บัญญัติว่า เม่ือมีล่ามแปลคําให้การ คําพยานหรืออ่ืน ๆ ล่ามต้องแปลให้ถูกต้อง
ล่ามต้องสาบานหรือปฏิญาณตนว่าจะทําหน้าท่ีโดยสุจริตใจ จะไม่เพิ่มเติมหรือตัดทอนส่ิงที่แปล
๒ การจัดหาล่ามแก่ผู้ต้องหาในคดีอาญา สืบค้นจาก https://www.slideshare.net/aihr/ss-9090705
เมือ่ วันท่ี ๒๔ ตลุ าคม ๒๕๖๑
รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๓
วรรคห้า บัญญัติว่า ให้ล่ามลงลายมือชื่อในคําแปลน้ัน วรรคหก บัญญัติว่า ให้พนักงานสอบสวน
พนักงานอัยการ หรือศาลสั่งจ่ายค่าป่วยการ ค่าพาหนะเดินทาง และค่าเช่าที่พักแก่ล่ามที่จัดหาให้
ตามมาตราน้ี ตามระเบียบที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงยุติธรรม
สํานักงานอัยการสูงสุด หรือสํานักงานศาลยุติธรรม แล้วแต่กรณี กําหนดโดยได้รับความเห็นชอบ
จากกระทรวงการคลงั
เนื่องจากการที่ประเทศไทยได้ภาคยานุวัติเป็นภาคีของกติการะหว่างประเทศ
ว่าด้วยสิทธิของพลเมืองและสิทธิทางการเมือง จึงทําให้ประเทศไทยมีการแก้ไขเพิ่มเติม
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเกี่ยวกับสิทธิการมีล่ามของผู้ต้องหา โดยบัญญัติไว้
ในมาตรา ๑๓ วรรคสี่ และวรรคห้า แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งบทบัญญัติ
ดังกล่าวน้ีส่งผลให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ และศาลมีหน้าท่ีต้องจัดหาล่ามให้แก่ผู้ต้องหา
ผู้เสียหาย หรือพยานที่ไม่สามารถพูด หรือเข้าใจภาษาไทยได้โดยมิชักช้า และรัฐจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ค่าใช้จ่ายการมีล่าม ซึ่งการมีล่ามนั้นไม่ได้จํากัดเฉพาะชั้นพิจารณาคดีในศาลเท่านั้น แต่ควรจัดหาล่าม
ในชัน้ สอบสวนด้วย
๔. ระเบียบคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการ
ในการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน พ.ศ. ๒๕๖๑ ข้อ ๒๕ วรรคสอง กําหนดว่า ถ้าบุคคล
หรือหน่วยงานท่ีเกี่ยวข้องฝ่ายใดจําเป็นต้องใช้ล่ามหรือส่ืออ่ืนเพ่ือให้สามารถเข้าใจหรือให้ถ้อยคําได้
ให้บุคคลหรือหน่วยงานดังกล่าวแจ้งถึงเหตุน้ันให้สํานักงานทราบล่วงหน้าก่อนถึงวันนัดเพ่ือจัดหาล่าม
หรือส่อื อน่ื ให้
สําหรับการจัดหาล่ามในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีของประเทศไทย น้ัน
เน่ืองจากคดีความที่เกิดขึ้นมีท้ังคดีอาญา คดีแพ่ง และคดีปกครอง ดังนั้น การจัดหาล่าม
ในการดาํ เนนิ คดใี นศาลจึงแยกพจิ ารณาได้ ดังนี้
การจัดหาล่ามในการดําเนินคดีทางแพ่งน้ัน มาตรา ๔๖ แห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพ่ง กําหนดให้คู่ความฝ่ายท่ีเก่ียวข้องเป็นผู้จัดหาล่าม โดยคู่ความสามารถจ้าง
บุคคลที่มีความสามารถในการเข้าใจภาษาต่างประเทศโดยค่าใช้จ่ายของคู่ความฝ่ายน้ันได้
ทั้งเมื่อไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามคุณสมบัติของล่ามไว้ ดังนั้น ทนายความของคู่ความก็สามารถ
เป็นล่ามให้แก่พยานของฝ่ายตนได้ แต่ต้องปฏิบัติตามข้ันตอนของกฎหมายเช่นเดียวกับล่ามท่ีมาจาก
บุคคลภายนอก เช่น คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๗๕๗/๒๕๔๕ ท่ีวินิจฉัยว่า แม้ ส. จะเป็นเพียง
เพอื่ นผเู้ สียหายซงึ่ อยใู่ นท่ีเกดิ เหตุและทางราชการมิไดร้ ับรองการเป็นล่ามก็ตาม แต่เม่ือไม่มีบทบัญญัติ
ในกฎหมายใดห้ามมิให้เป็นล่ามไว้ การเบิกความของผู้เสียหายซึ่งเป็นชาวต่างประเทศและไม่เข้าใจ
ภาษาไทยโดยมี ส. เป็นล่าม จึงชอบด้วยมาตรา ๔๖ วรรคส่ี แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความแพ่ง ประกอบกับมาตรา ๑๕ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา จึงเห็นได้ว่า
ในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่งนั้น หากคู่ความเป็นชาวต่างชาติและคู่ความประสงค์
ท่ีจะใช้ล่ามในการช่วยเหลือ คู่ความฝ่ายที่ประสงค์จะใช้ล่ามเป็นผู้จัดหาล่ามมาเอง ศาลไม่มีหน้าที่
ในการจัดหาล่ามใหแ้ กค่ ู่ความแต่อยา่ งใด
๔๔ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ส่วนการจัดหาล่ามในการดําเนินคดีอาญาน้ัน มาตรา ๑๓ แห่งประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความอาญา กําหนดว่า ในกรณีที่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จําเลย หรือพยานไม่สามารถพูด
หรือเข้าใจภาษาไทยและไม่มีล่าม หากในชั้นสอบสวนซ่ึงอยู่ในอํานาจหน้าท่ีของตํารวจ
หรือเจ้าพนักงานที่มีอํานาจสอบสวนและพนักงานอัยการ สํานักงานตํารวจแห่งชาติ สํานักงานอัยการสูงสุด
เป็นหน่วยงานท่ีจะต้องเข้ามาเกี่ยวข้องกับการจัดหาล่าม หากในชั้นไต่สวนมูลฟ้องและพิจารณา
ให้อยู่ในอํานาจหน้าท่ีของศาล สํานักงานศาลยุติธรรมจะต้องเป็นหน่วยงานท่ีเข้ามาเกี่ยวข้อง
กับการจัดหาล่าม อีกท้ัง การจัดหาล่ามต้องเกิดจากความจําเป็นเน่ืองจากผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จําเลย
หรือพยานไม่สามารถพูดหรือเข้าใจภาษาไทยได้ หากพูดและเข้าใจภาษาไทยก็ย่อมไม่มีความจําเป็น
ที่จะต้องจัดหาล่าม เช่น คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๘๕๗/๒๕๔๓ กรณีจําเลยเป็นคนต่างชาติ
ที่ถูกควบคุมตัวมาต้ังแต่ในชั้นสอบสวน ซ่ึงจําเลยสามารถพูดคุยกับผู้ต้องขังอื่นเป็นภาษาไทยได้
แสดงว่าจําเลยเข้าใจคําฟ้อง คําให้การรับสารภาพของจําเลยกับเรื่องที่จําเลยไม่ต้องการทนายความ
จึงเป็นไปตามความประสงค์อันแท้จริงของจําเลย จึงไม่มีเหตุจําเป็นต้องใช้ล่ามแต่อย่างใด
คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๓๕๑/๒๕๕๘ ศาลสอบถามจําเลยซ่ึงเป็นคนต่างด้าว เช้ือชาติและสัญชาติ
ต่างประเทศ จําเลยพูดและฟังภาษาไทยเข้าใจได้ดี แสดงว่าศาลได้สอบคําให้การจําเลยต่อหน้าศาล
และจําเลยเข้าใจคําฟ้องของโจทก์จึงให้การรับสารภาพ คําให้การรับสารภาพจึงเป็นไปตาม
ความประสงค์อนั แท้จรงิ ของจําเลย หาใชเ่ กดิ จากความไม่เข้าใจในภาษาไทยไม่ กรณีจงึ ไมม่ ีเหตุจําเป็น
จะตอ้ งใชล้ ่าม
อย่างไรก็ตาม ไม่เฉพาะแต่ผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จําเลย หรือพยานจะต้องเป็น
ชาวต่างชาติเท่านั้นที่จะต้องมีล่าม แม้เป็นคนไทยแต่หากพูดหรือเข้าใจเฉพาะภาษาไทยท้องถิ่นหรือ
ภาษาถิ่น เช่น ภาษายาวี ภาษาไทยล้ือ เจ้าพนักงานหรือศาลก็ต้องจัดหาล่ามให้ และแม้เป็นคนไทย
และเข้าใจภาษาไทยเป็นอย่างดี แต่เป็นใบ้ พูดไม่ได้ เจ้าพนักงานหรือศาลก็ต้องจัดหาล่ามภาษามือให้
แต่เฉพาะล่ามภาษามืออาจมีข้อยกเว้น หากไม่สามารถจัดหาล่ามได้ เจ้าพนักงานหรือศาลจะจัดให้
ถามตอบหรือสื่อความหมายโดยวิธีอื่นที่เห็นสมควรได้ เช่น การเขียนข้อความลงในกระดาษ เป็นต้น
คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๘๕๓๘/๒๕๕๕ มาตรา ๑๓ วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา บัญญัติว่า ในกรณีท่ีผู้เสียหาย ผู้ต้องหา จําเลย หรือพยานไม่สามารถพูดหรือเข้าใจ
ภาษาไทย หรือสามารถพูดหรือเข้าใจเฉพาะภาษาไทยท้องถิ่นหรือภาษาถ่ิน และไม่มีล่าม
ให้พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาลจัดหาล่ามให้โดยมิชักช้า จากบทบัญญัติดังกล่าว
บ่งชี้ว่า ผู้ทําหน้าท่ีล่ามจะเป็นบุคคลใดก็ได้ท่ีมีความสามารถในการเป็นล่าม แต่จะต้องมิใช่
พนักงานสอบสวนหรือพนักงานอัยการหรือศาลซ่ึงเป็นผู้ทําหน้าที่ในการสอบสวนหรือซักถามพยานน้ัน
เมอื่ ไดค้ วามว่าในการสอบสวน จ. และ ม. ผ้ทู ําการสอบสวน คือ รอ้ ยตํารวจตรี ค. ส่วนร้อยตํารวจโท ธ.
ทําหน้าท่ีเป็นล่าม และในการที่ จ. เบิกความต่อศาล ร้อยตํารวจโท ธ. ก็เป็นเพียงล่าม ดังนี้
ร้อยตํารวจโท ธ. จึงเป็นเพียงล่ามที่พนักงานสอบสวนและศาลเป็นผู้จัดหาให้แก่ จ. และ ม.
ตามกฎหมาย แมท้ นายจําเลยได้แถลงคดั ค้านเร่อื งท่รี อ้ ยตาํ รวจโท ธ. เปน็ ล่ามดังกล่าวในวันสบื พยานโจทก์
แต่ทนายจําเลยก็มิได้แสดงเหตุแห่งคําคัดค้านว่าร้อยตํารวจโท ธ. เป็นล่ามแปลไม่ถูกต้องอย่างไร
การท่ีรอ้ ยตาํ รวจโท ธ. ทําหนา้ ทเ่ี ปน็ ล่ามแปลในชัน้ สอบสวนจงึ ไม่ตอ้ งห้ามมิให้รับฟังถ้อยคําของพยาน
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๕
ท่ีแปลน้ันเป็นพยานหลักฐานแต่อย่างใด ส่วนการพิจารณาสืบพยานบุคคลปาก จ. ก่อนโจทก์ฟ้องคดี
ต่อศาลนั้น ปรากฏว่าร้อยตํารวจโท ธ. ผู้ทําหน้าที่เป็นล่ามได้สาบานตนก่อนแปลคําเบิกความของ จ.
ต่อศาลแล้ว การให้การและเบิกความของ จ. ซ่ึงเป็นชาวต่างประเทศและไม่เข้าใจภาษาไทยจึงเป็น
การชอบดว้ ยมาตรา ๑๓ วรรคส่ี แหง่ ประมวลกฎหมายวธิ พี จิ ารณาความอาญา
อีกทงั้ การจดั หาล่ามในการพจิ ารณาคดใี นศาลน้ัน กฎหมายมิไดบ้ ังคับวา่ หากคูค่ วาม
พยาน หรือบุคคลท่ีเก่ียวข้องในคดีเป็นชาวต่างชาติ ศาลจะต้องให้มีการแปลภาษาไทย
เป็นภาษาต่างประเทศ หรือภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยทุกครั้ง แต่เป็นดุลพินิจของศาล
ที่จะพิจารณาว่าสมควรจัดหาล่ามในการพิจารณาคดีหรือไม่ ดังคําวินิจฉัยของศาลฎีกาที่วินิจฉัยว่า
ตามมาตรา ๑๓ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มิได้บังคับว่าในการพิจารณาของศาล
ทุกคร้ังจะต้องแปลภาษาไทยเป็นภาษาต่างประเทศในกรณีที่จําเลยเป็นชาวต่างประเทศ การจะให้
มีล่ามแปลหรือไม่เป็นดุลพินิจของศาล แม้ในวันสอบคําให้การจําเลยศาลชั้นต้นจะมิได้จัดล่ามแปล
คําฟ้องเป็นภาษาอังกฤษให้แก่จําเลยซึ่งเป็นชาวออสเตรเลียฟัง แต่จําเลยยังมิได้ให้การในวันน้ัน
โดยได้แต่งตั้งทนายความและยื่นคําให้การต่อศาลในอีกหน่ึงเดือนต่อมาโดยมีลายมือช่ือของล่าม
ลงไว้ด้วย แสดงว่าจําเลยเข้าใจคําฟ้องที่ศาลได้อ่านให้ฟังในวันสอบคําให้การจําเลยแล้ว ทั้งต่อมา
ก็ปรากฏว่ามีล่ามแปลทุกคร้ังที่มีการพิจารณาคดี จึงไม่เป็นเหตุให้เพิกถอนและพิจารณาพิพากษาใหม่
(คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๕๒/๒๕๒๙) ประกอบกับกฎหมายไม่ได้ระบุคุณสมบัติของล่ามไว้ ฉะน้ัน
ล่ามจะเป็นใครก็ได้ไม่จําเป็นว่าจะต้องเป็นคนกลางท่ีไม่มีส่วนได้เสีย เจ้าพนักงานหรือศาลอาจให้
ผู้เสียหายคนอื่นเป็นล่ามให้ก็ได้ (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๗๖๐/๒๕๓๒) ทนายจําเลยเป็นล่าม
ให้จําเลยก็ได้ (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๗๕๖๗/๒๕๔๔) พนักงานสอบสวนคนอื่น ๆ ท่ีมิใช่ผู้สอบสวน
ปากคําพยานหรือผู้ต้องหาก็สามารถเป็นล่ามได้เช่นกัน (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๘๕๓๘/๒๕๕๕)
หากพนักงานสอบสวนไม่จัดหาล่ามให้ผู้ต้องหา ถ้อยคํารับสารภาพย่อมไม่อาจรับฟัง
เป็นพยานหลักฐานเพ่ือพิสูจน์ความผิดได้ตามมาตรา ๑๓๔/๔ แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณา
ความอาญา (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๓๙๓๙/๒๕๕๔) ในส่วนของผู้เสียหายหรือพยานอื่น ๆ
มีผลเพียงไม่อาจรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้เท่านั้น แต่ไม่มีผลทําให้การสอบสวนเสียไป
แต่ในช้ันพิจารณาของศาล หากไม่จัดหาล่ามให้ไม่ว่าจะเป็นผู้เสียหาย จําเลย หรือพยานอ่ืน ๆ
กระบวนพิจารณาย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ต้องดําเนินกระบวนพิจารณาใหม่ (คําพิพากษาศาลฎีกา
ท่ี ๑๐๔๔๙/๒๕๕๖)
จากคําพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในการดําเนินกระบวนพิจารณา
คดีอาญาน้ัน หากคู่ความเป็นชาวต่างชาติและมีความประสงค์ที่จะใช้ล่ามในการช่วยเหลือ
พนักงานสอบสวน พนักงานอัยการ หรือศาล มีหน้าที่ในการจัดหาล่ามให้แก่คู่ความโดยมิชักช้า
ดังนน้ั การจัดหาล่ามในการดําเนินคดอี าญาจึงแตกต่างกับการดําเนนิ คดแี พง่
สําหรับการดําเนินคดีปกครองน้ัน เนื่องจากข้อพิพาททางปกครองเป็นข้อพิพาท
ท่ีเกิดขึ้นระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ หรือระหว่างหน่วยงานของรัฐ
หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐด้วยกันเอง โดยศาลปกครองใช้ระบบการพิจารณาแบบไต่สวน ซ่ึงเป็นระบบ
๔๖ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ท่ีศาลมีบทบาทสําคัญในการแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน โดยศาลอาจแสวงหาข้อเท็จจริง
เพิ่มเติมด้วยการนัดไต่สวนคู่กรณี หรือเรียกพยานบุคคล พยานเอกสาร พยานผู้เชี่ยวชาญ
รวมทั้งการออกไปเดินเผชิญสืบ (การไปสืบเสาะหาข้อเท็จจริง ณ สถานท่ีเกิดเหตุ) เพ่ือให้ได้
ข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่จําเป็นต่อการพิจารณาพิพากษาคดีอย่างครบถ้วน ท้ังน้ี
ในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาลปกครองอาจมีกรณีจําเป็นท่ีต้องมีล่ามเพ่ือให้
ความชว่ ยเหลอื แกค่ กู่ รณี ซง่ึ ตามระเบยี บฯ ว่าดว้ ยวิธีพจิ ารณาคดีปกครองฯ ไดก้ าํ หนดในเรือ่ งของล่ามไว้
สองกรณีด้วยกัน กล่าวคือ ตามข้อ ๙ วรรคส่ี กําหนดว่า ในกรณีที่คู่กรณีหรือบุคคลที่มาศาลไม่เข้าใจ
ภาษาไทย หรือเป็นใบ้หรือหูหนวกและอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ ให้คู่กรณีฝ่ายท่ีเกี่ยวข้องจัดหาล่าม
และตามข้อ ๕๒ กําหนดว่า ในกรณีที่ศาลเห็นสมควรจะรับฟังถ้อยคําของบุคคลใดและเป็นกรณีท่ี
ต้องใช้ล่าม ให้ศาลจัดหาล่าม โดยให้ล่ามได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับการมาให้ถ้อยคําของพยาน
ผู้เชี่ยวชาญ จากระเบียบที่กําหนดดังกล่าว เห็นได้ว่า หากเป็นกรณีท่ีคู่กรณีหรือบุคคลที่มาศาล
ในขั้นตอนท่ีไม่ใช่การแสวงหาข้อเท็จจริงของศาล ระเบียบไม่ได้กําหนดให้ศาลต้องมีหน้าที่จัดหาล่ามให้
หากบุคคลดังกล่าวไม่เข้าใจภาษาไทย หรือเป็นใบ้ หรือหูหนวกและอ่านเขียนหนังสือไม่ได้
แต่กําหนดให้เป็นหน้าท่ีของคู่กรณีฝ่ายที่เก่ียวข้องที่จะจัดหาล่ามเอง ซึ่งมีลักษณะทํานองเดียวกันกับ
การดําเนินคดีแพ่งตามนัยมาตรา ๔๖ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
แต่หากเป็นการดําเนินการในช้ันการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาล ระเบียบกําหนดให้เป็นดุลพินิจ
ของศาลทีจ่ ะจดั หาลา่ มใหโ้ ดยคูก่ รณีฝา่ ยท่เี กีย่ วข้องไม่จําต้องจดั หาล่ามมาเอง ซงึ่ เปน็ กรณีท่ีแตกต่างจาก
การดาํ เนินคดีแพ่งทก่ี ลา่ วไปแลว้ แต่จะคล้ายคลึงกบั การดาํ เนนิ คดอี าญาตามนยั มาตรา ๑๓ วรรคหน่ึง
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่ เนื่องจาก
ในคดีปกครองไม่มีการไต่สวนมูลฟ้องดังเช่นในคดีอาญา หากแต่ศาลจะแสวงหาข้อเท็จจริงโดยอาศัย
พยานเอกสารเป็นหลัก อย่างไรก็ดี หากศาลมีความจําเป็นท่ีจะต้องไต่สวนคู่กรณีหรือพยานบุคคลอื่น
ก็สามารถกระทําได้ ระเบียบจึงกําหนดให้เป็นดุลพินิจศาล เฉพาะกรณีท่ีศาลเห็นสมควรจะรับฟังถ้อยคํา
ของบุคคลใดและเป็นกรณีทีต่ ้องใชล้ ่าม จึงให้ศาลจัดหาลา่ มให้
จากการศึกษา พบว่าศาลปกครองสูงสุดเคยมีคําวินิจฉัยเก่ียวกับการจัดหาล่ามไว้
ในคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๘๙/๒๕๖๑ มีสาระสําคัญโดยสรุปว่า คดีน้ีผู้ฟ้องคดี
เป็นคนอิตาลี ได้ยื่นฟ้องคณะกรรมการทันตแพทยสภา (ผู้ถูกฟ้องคดี) ว่า ผู้ฟ้องคดีเข้าทําการรักษา
คลองรากฟันกับทันตแพทย์ของกระทรวงสาธารณสุข แต่แพทย์ทําการรักษาผู้ฟ้องคดีไม่ดีเป็นเหตุให้
ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหายเจ็บปวดทุกข์ทรมานจากการรักษาดังกล่าว และมีการยักยอกสะพานฟัน
ของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ฟ้องคดีได้ยื่นเร่ืองร้องเรียนแพทย์ผู้ทําการรักษาต่อผู้ถูกฟ้องคดี แต่ผู้ถูกฟ้องคดี
ยกคําร้อง ผู้ฟ้องคดีจึงนําคดีมายื่นฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้น ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
ให้เพิกถอนคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีและให้แพทย์ผู้ทําการรักษาชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดี ต่อมา
ศาลปกครองช้ันต้นมีคําพิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดียื่นอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น
ต่อศาลปกครองสูงสุดโดยมีข้อกล่าวอ้างในอุทธรณ์ประการหน่ึงว่า ศาลปกครองช้ันต้นได้ส่งหมาย
แจ้งกําหนดนัดน่ังพิจารณาคดีคร้ังแรก โดยผู้ฟ้องคดีได้รับหมายโดยชอบแล้ว แต่ปรากฏว่าในวัน
รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๗
น่ังพิจารณาคดีคร้ังแรกผู้ฟ้องคดีไม่ได้ไปศาล เน่ืองจากผู้ฟ้องคดีได้เคยขอให้ศาลปกครองชั้นต้นจัดหา
ล่ามภาษาอิตาลีให้แก่ผู้ฟ้องคดี และเจ้าหน้าที่ของศาลได้ตอบตกลงท่ีจะจัดหาล่ามให้แก่ผู้ฟ้องคดี
แตต่ ่อมาภายหลงั เจ้าหนา้ ท่ีของศาลได้โทรศัพท์แจ้งผู้ฟ้องคดีว่าไม่มีกฎหมายกําหนดให้ศาลจัดหาล่ามให้
ซ่ึงการแจง้ ของเจ้าหน้าที่ดังกล่าวเป็นการแจ้งในระยะเวลากระชั้นชิด ทําให้ผู้ฟ้องคดีจัดหาล่ามเองไม่ทัน
ประกอบกับผ้ฟู อ้ งคดไี ด้มีหนังสอื ขอให้ศาลปกครองชั้นต้นเลื่อนการน่ังพิจารณาคดี แต่ศาลปกครองชั้นต้น
ก็ได้นั่งพิจารณาคดีนี้ไป เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีไม่มีโอกาสมาแถลงข้อเท็จจริงต่อศาล การปฏิบัติหน้าที่
ของเจ้าหน้าท่ีดังกล่าวจึงเป็นการปฏิบัติหน้าท่ีโดยมิชอบด้วยกฎหมาย และไม่ให้ความเป็นธรรม
แก่ผู้ฟ้องคดี ขอให้ศาลปกครองสูงสุดยกคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น และให้ดําเนิน
กระบวนพิจารณาใหม่โดยจัดหาล่ามให้แก่ผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ตามข้อ ๙ วรรคส่ี
แห่งระเบียบฯ ว่าดว้ ยวธิ ีพิจารณาคดีปกครองฯ กําหนดวา่ ในกรณีท่ีคู่กรณีหรือบุคคลท่ีมาศาลไม่เข้าใจ
ภาษาไทย หรือเป็นใบ้ หรือหูหนวก และอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ ให้คู่กรณีฝ่ายที่เกี่ยวข้องจัดหาล่าม
ข้อ ๕๒ กําหนดว่า ในกรณีที่ศาลเห็นสมควรจะรับฟังถ้อยคําของบุคคลใดและเป็นกรณีท่ีต้องใช้ล่าม
ให้ศาลจัดหาล่ามโดยให้ล่ามได้รับค่าตอบแทนเช่นเดียวกับการมาให้ถ้อยคําของพยานผู้เชี่ยวชาญ
ขอ้ ๖๒ วรรคสาม กําหนดว่า บรรดาคําฟ้องเพิ่มเติม คําให้การ คําคัดค้านคําให้การ คําให้การเพิ่มเติม
รวมทั้งพยานหลักฐานอ่ืน ๆ ที่ย่ืนต่อศาลหลังวันสิ้นสุดการแสวงหาข้อเท็จจริง ไม่ให้ศาลรับไว้
เป็นส่วนหน่ึงของสํานวนคดีและไม่ต้องส่งสําเนาให้คู่กรณีที่เก่ียวข้อง ข้อ ๘๔ วรรคหนึ่ง กําหนดว่า
ในวนั นง่ั พิจารณาคดีคร้ังแรก หากคู่กรณีประสงค์จะย่ืนคําแถลงเป็นหนังสือตามมาตรา ๕๙ วรรคสอง
ใหย้ ่นื ตอ่ ศาลกอ่ นวันนัง่ พิจารณาคดหี รอื อย่างช้าทส่ี ดุ ในระหว่างการนั่งพจิ ารณาคดี วรรคสอง กําหนดว่า
คําแถลงตามวรรคหนึ่งจะยกข้อเท็จจริงที่ไม่เคยยกขึ้นอ้างไว้แล้วไม่ได้ เว้นแต่เป็นข้อเท็จจริงที่เป็น
ประเด็นสําคัญในคดี ซ่ึงคู่กรณีผู้ยื่นสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีเหตุจําเป็นหรือพฤติการณ์พิเศษท่ีทําให้
ไม่อาจเสนอต่อศาลได้ก่อนหน้าน้ัน แต่ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ต่อเม่ือได้เปิดโอกาส
ให้คู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึงแสดงพยานหลักฐานเพ่ือยืนยันหรือหักล้างแล้ว วรรคสี่ กําหนดว่า
ในวันน่ังพิจารณาคดี คู่กรณีจะไม่มาศาลก็ได้ แต่ความในข้อน้ีไม่ตัดอํานาจศาลท่ีจะออกคําสั่งเรียกให้
คู่กรณี หน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลท่ีเกี่ยวข้อง มาให้ถ้อยคํา ให้ความเห็น
เปน็ หนงั สอื หรือสง่ เอกสาร หรือพยานหลกั ฐานใด ๆ ให้แกศ่ าล ขอ้ ๘๕ วรรคสาม กําหนดว่า ในกรณีที่
คู่กรณีฝ่ายใดไม่ย่ืนคําแถลงเป็นหนังสือ แต่มาอยู่ในศาลในวันน่ังพิจารณาคดีครั้งแรก คู่กรณีฝ่ายน้ัน
จะแถลงดว้ ยวาจาไดต้ อ่ เมอื่ ไดร้ บั อนุญาตจากศาล หรือศาลส่งั ใหแ้ ถลง ข้อ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง กําหนดว่า
อํานาจในการพิจารณาอุทธรณ์คําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองช้ันต้น โดยศาลปกครองสูงสุด
ให้รวมถึง (๑) เมื่อคดีปรากฏเหตุท่ีมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบนี้ในส่วนท่ี
ว่าด้วยการทําคําพิพากษาและคําสั่ง และศาลปกครองสูงสุดเห็นว่ามีเหตุอันสมควร ให้มีอํานาจสั่ง
ยกคําพิพากษาหรือคําส่ังของศาลปกครองช้ันต้นนั้น แล้วส่งสํานวนคดีคืนไปยังศาลปกครองชั้นต้น
เพื่อให้พิพากษาหรือมีคําสั่งใหม่ ในกรณีเช่นน้ีศาลปกครองช้ันต้นอาจประกอบด้วยตุลาการ
ศาลปกครองอน่ื นอกจากท่ีไดพ้ พิ ากษาหรือมีคําสงั่ มาแล้ว และคําพิพากษาหรือคําส่ังใหม่น้ีอาจวินิจฉัย
ชี้ขาดคดีเป็นอย่างอื่นนอกจากคําพิพากษาหรือคําส่ังที่ถูกยกได้ จากระเบียบดังกล่าวย่อมเห็นได้ว่า
๔๘ รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ในกรณีท่ีคู่กรณีไม่อาจดําเนินกระบวนพิจารณาได้เพราะไม่เข้าใจภาษา เป็นหน้าที่ของคู่กรณี
ฝ่ายท่เี กี่ยวข้องในการจดั หาล่ามตามท่ีกําหนดในข้อ ๙ วรรคสี่ แห่งระเบียบข้างต้น แต่หากเป็นกรณีที่
ศาลเห็นสมควรจะรับฟังถ้อยคําของบุคคลใดและต้องใช้ล่าม ย่อมเป็นหน้าที่ของศาลในการจัดหาล่าม
ตามข้อ ๕๒ สําหรับคดีนี้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าศาลปกครองชั้นต้นไม่จัดหาล่ามภาษาอิตาลีให้
ในวันน่ังพิจารณาคดีคร้ังแรก และไม่ได้เล่ือนการน่ังพิจารณาออกไปตามท่ีผู้ฟ้องคดีมีคําขอ
จึงเห็นได้ว่า ในกรณีท่ีผู้ฟ้องคดีไม่เข้าใจภาษาไทยย่อมเป็นหน้าที่ของผู้ฟ้องคดีท่ีจะต้องจัดหาล่าม
ตามท่ีกําหนดในระเบียบข้อ ๙ วรรคส่ี และไม่ใช่กรณีที่ศาลเห็นสมควรจะรับฟังถ้อยคําของบุคคลใด
อันเป็นหน้าทีข่ องศาลทจี่ ะจัดหาล่ามตามขอ้ ๕๒ แห่งระเบยี บฉบับเดียวกัน ศาลปกครองช้ันตน้ จงึ ไม่มี
หน้าทจี่ ัดหาลา่ มให้แก่ผู้ฟอ้ งคดี สําหรับกรณีท่ีผู้ฟ้องคดีขอให้ศาลปกครองช้ันต้นเล่ือนการน่ังพิจารณา
เพราะเหตุไม่มีล่ามน้ัน ข้อ ๘๔ แห่งระเบียบฉบับดังกล่าวกําหนดให้ในวันน่ังพิจารณาคดีแรกน้ัน
ผูฟ้ ้องคดจี ะมาศาลหรอื ไมม่ ากไ็ ด้ แต่ผฟู้ อ้ งคดีมีสทิ ธยิ ื่นคําแถลงเป็นหนังสือได้ หากไม่ยื่นจะมีสิทธิแถลง
ด้วยวาจาต่อเมื่อศาลอนุญาตเท่าน้ัน แต่ท้ังนี้ ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถอ้างข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน
ที่ไม่เคยยกข้ึนอ้างไว้แล้วได้ เว้นแต่เข้ายกเว้นตามกฎหมาย ดังน้ัน เมื่อการดําเนินกระบวนพิจารณา
ที่ผ่านมาของศาลปกครองชั้นต้นได้ดําเนินการเป็นภาษาไทยจนศาลได้มีคําสั่งกําหนดวันส้ินสุด
การแสวงหาข้อเท็จจริงแล้ว จึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีโอกาสอ้างข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่อศาล
โดยครบถ้วนแล้ว อีกท้ัง ในวันนั่งพิจารณาคดีครั้งแรกผู้ฟ้องคดีมีสิทธิย่ืนคําแถลงเป็นหนังสือ
โดยผรู้ ับมอบอํานาจได้ ดังนน้ั เม่อื ผู้ฟ้องคดีซ่ึงมีหน้าที่จัดหาล่ามไม่ได้จัดหาล่ามมาในวันน่ังพิจารณาคดี
ครั้งแรกจึงไม่มีเหตุที่ศาลจะอนุญาตให้เลื่อนการน่ังพิจารณาคดีคร้ังแรก การท่ีศาลปกครองชั้นต้น
ไม่จัดหาล่ามให้ผู้ฟ้องคดีในวันน่ังพิจารณาคดีคร้ังแรกและไม่เล่ือนการน่ังพิจารณาคดีครั้งแรก
จึงมิใช่การไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบท่ีศาลปกครองสูงสุดจะมีอํานาจ
ยกคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นแล้วส่งสํานวนให้ศาลปกครองช้ันต้นดําเนินการใหม่
ตามข้อ ๑๑๒ วรรคหน่ึง (๑) แหง่ ระเบยี บฯ วา่ ดว้ ยวธิ ีพจิ ารณาคดีปกครองฯ แตอ่ ย่างใด
จากกรณีศึกษาข้างต้น เป็นกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดมีคําวินิจฉัยอันเป็นการยืนยัน
หลักการว่า แม้คดีจะได้เข้าสู่กระบวนพิจารณาคดีของศาลแล้ว แต่หากในการดําเนินกระบวนพิจารณาคดี
ของศาลไม่ปรากฏกรณีที่ศาลเห็นสมควรว่าจะต้องรับฟังถ้อยคําของบุคคลใดที่เป็นกรณีต้องใช้ล่าม
อันได้แก่ บุคคลท่ีไม่เข้าใจภาษาไทย หรือเป็นใบ้หรือหูหนวกและอ่านเขียนหนังสือไม่ได้ ก็ไม่ใช่หน้าที่
ท่ีศาลจะต้องจัดหาล่ามให้แม้จะเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีที่คู่กรณีฝ่ายน้ันอยู่ต่อหน้าศาล
ดังเช่นในวันนัดนั่งพิจารณาคดีคร้ังแรก ซ่ึงในกรณีเช่นนี้ หากบุคคลดังกล่าว ต้องการให้มีล่าม
กต็ ้องดําเนินการจดั หาเอง
รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๙
คดพี พิ าทเก่ยี วกบั การคมนาคมและการขนส่ง
เร่อื งท่ี ๔ กรณศี กึ ษาเกย่ี วกบั การอนุญาตให้ก่อสร้างสงิ่ ลว่ งลา้ํ ลํานาํ้
กฎกระทรวง ฉบับท่ี ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านน้ําไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ได้ให้ความหมายของคําว่า “ล่วงลํ้าลํานํ้า” ไว้ว่า
หมายถึง ลว่ งลํ้าเข้าไปเหนอื นํ้า ในน้าํ และใตน้ ้ําของแม่นํ้า ลําคลอง บึง อ่างเก็บน้ํา ทะเลสาบ อันเป็น
ทางสัญจรของประชาชนหรือท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านนํ้าไทย
หรือบนชายหาดของทะเลดังกล่าว๑ ท้ังน้ี มาตรา ๑๑๗ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือ
ในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับท่ี ๑๔)
พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้บัญญัติมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดล่วงล้ําเข้าไปในบริเวณดังกล่าว
เว้นแตจ่ ะได้รบั อนญุ าตจากเจ้าท่า
ผู้มีสทิ ธิขออนุญาตกอ่ สรา้ งอาคารหรือสิง่ ล่วงลํ้าลาํ น้าํ
เมื่อพิจารณาข้อ ๒ ประกอบข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซ่ึงจะได้กล่าวถึง
โดยละเอียดต่อไป จะเห็นได้ว่า ผู้ที่สามารถย่ืนคําขอสร้างสิ่งล่วงล้ําลํานํ้าตามมาตรา ๑๑๗ วรรคหน่ึง
แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ได้น้ัน จะต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ิ
หรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองหรือเป็นผู้มีอํานาจหน้าท่ีดูแลรักษาท่ีดินท่ีติดต่อกับแม่น้ํา ลําคลอง บึง
อา่ งเก็บน้ํา ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเล
ภายในนา่ นนํา้ ไทยหรือบนชายหาดของทะเลดงั กลา่ ว
ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยว่า เอกชนผู้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารและ
สิ่งล่วงล้ําลํานํ้าจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์หรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินที่ติดต่อกับแม่นํ้า๒
กล่าวคือ ต้องมีโฉนดที่ดิน น.ส. ๓ น.ส. ๓ ก. หรือ ส.ค. ๑ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม หากพิจารณา
ถึงสภาพความเป็นจริงของการขออนุญาตปลูกสร้างส่ิงล่วงล้ําลํานํ้าตามพระราชบัญญัติการเดินเรือ
ในน่านนํ้าไทย พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๖ จะเห็นได้ว่า เอกชนที่จะเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดิน
ตามประมวลกฎหมายที่ดินท่ีติดต่อกับแม่นํ้า ลําคลอง บึง อ่างเก็บน้ํา ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจร
ของประชาชนหรือท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านน้ําไทยหรือบนชายหาด
อุมาภรณ์ สุนทรนันท ผู้เรียบเรียง (โดยนําข้อมูลเบ้ืองต้นของนางสาววิภาวี อุ่ยถาวร มาประกอบ) /
วริ ิยะ วัฒนสุชาติ ผูต้ รวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกรด็ คดี ๒๕๖๑ ประจาํ วนั ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑
๑ ข้อ ๑ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือ
ในนา่ นนาํ้ ไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖
๒ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๙๙/๒๕๕๒
๕๐ รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ของทะเลดังกล่าวนั้น มีจํานวนน้อย โดยส่วนมากที่ดินที่ติดต่อกับแม่น้ํา ทะเลหรือชายหาด ฯลฯ
จะเป็นที่สาธารณสมบัติของแผ่นดินอันอยู่ในความดูแลของรัฐเป็นส่วนมาก และโดยที่กิจกรรม
ในการจัดทําบริการหรือการประกอบธุรกิจของภาคเอกชนย่อมมีความต้องการที่จะใช้พื้นที่เพ่ือสร้าง
สิ่งล่วงลํ้าลําน้ําเพ่ือเอ้ือต่อการบริการหรือการจัดทําธุรกิจ ซึ่งเอกชนเหล่าน้ีย่อมจะต้องขอเช่าท่ีดิน
ที่ติดต่อกับแม่น้ําหรือทะเลจากเจ้าของท่ีดินท่ีมีกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครองท่ีมีท่ีดินติดต่อกับแม่นํ้า
หรือทะเลหรือขออนุญาตใช้ที่ดินจากเจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินสาธารณประโยชน์
ดังกล่าว ดังนั้น ผู้มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ จึงไม่ได้จํากัดอยู่ที่ผู้ที่ขออนุญาตจะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดิน
หรือเป็นผู้ครอบครองที่ดินตาม น.ส. ๓ น.ส. ๓ ก. หรือ ส.ค. ๑ เท่าน้ัน หากแต่ยังคงมีผลไปถึงบุคคล
ท่ีเช่าที่ดินท่ีติดต่อกับทะเลหรือชายหาดจากเจ้าของที่ดินที่มีกรรมสิทธ์ิหรือสิทธิครอบครองนั้น
ผู้เช่าก็ถือเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง หรือผู้ขออนุญาตสร้างสิ่งล่วงล้ําลํานํ้าได้ขออนุญาตใช้ท่ีดิน
จากผู้มีอํานาจหน้าที่ดูแลรักษาที่ดินท่ีติดต่อกับแม่น้ําลําคลองหรือทะเล ฯลฯ และผู้มีอํานาจหน้าที่
ดูแลรักษาที่ดินดังกล่าวได้อนุญาตตามที่กฎหมายกําหนด ผู้ขอใช้ที่ดินของรัฐดังกล่าวก็ย่อมเป็น
ผู้มสี ทิ ธิครอบครองอย่างถูกต้องตามกฎหมาย เช่น มีการขอใช้ท่ีดินตามข้อ ๗ (๒) ของระเบียบกระทรวง
มหาดไทย ว่าด้วยการดูแลรักษาท่ีดินอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๑๕ เป็นต้น
แต่มเี งือ่ นไขว่าในกรณขี อใชท้ ่สี าธารณสมบัติของแผ่นดิน จะต้องปรากฏว่าท่ีดินดังกล่าวได้ถูกถอนสภาพ
จากการเป็นที่สาธารณสมบัติของแผน่ ดนิ ตามมาตรา ๘ วรรคหน่งึ (๒) แห่งประมวลกฎหมายท่ีดินแล้ว
มิฉะนั้นจะไม่อาจถือได้ว่า เป็นผู้มีสิทธิครอบครองท่ีดินที่ติดต่อกับทะเลภายในน่านนํ้าไทยที่จะมีสิทธิ
ขออนุญาตสร้างสิ่งล่วงนํ้าลําน้ําได้ตามข้อ ๒ และข้อ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)
ออกตามความในพระราชบัญญัตกิ ารเดนิ เรือในนา่ นน้าํ ไทย พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๖๓
มีประเด็นปัญหาว่า ผู้เช่ามีสิทธิขออนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงลํ้าลําน้ําที่ต้ังอยู่ในแนวเขต
บนท่ีงอกริมตลิ่งของท่ีดินที่ตนเช่าหรือไม่ เกี่ยวกับเร่ืองนี้ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้ว่า
ท่ีงอกริมตลิ่งเป็นทรัพย์สินของเจ้าของที่ดินแปลงนั้น หาใช่เป็นของผู้เช่าแต่อย่างใด หากที่งอกริมตลิ่ง
มิได้อยู่ในเขตที่ตนเช่า ย่อมไม่ถือว่าผู้เช่ามีสิทธิครอบครอง ผู้เช่าจึงไม่อาจขออนุญาตสร้างส่ิงล่วงลํ้า
ลํานาํ้ บรเิ วณดังกลา่ วได้๔
ผู้ที่ประสงค์จะขออนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดล่วงลํ้าลําแม่นํ้าจะต้องย่ืน
คําขอตามแบบที่อธิบดีกรมเจ้าท่ากําหนด โดยระบุวัตถุประสงค์ในการใช้อาคารหรือสิ่งอ่ืนใด
ท่ขี ออนุญาต พร้อมแนบหลักฐานและเอกสารท่ีเกี่ยวขอ้ ง อันไดแ้ ก่๕
(๑) ภาพถ่ายสําเนาทะเบียนบ้าน และภาพถ่ายบัตรประจําตัวประชาชน
หรือภาพถา่ ยบตั รประจําตวั ข้าราชการ หรอื ภาพถ่ายบตั รแสดงฐานะอย่างอื่นท่ีออกโดยส่วนราชการ
๓ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๒๗๐/๒๕๕๓
๔ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๗๑/๒๕๕๓
๕ ข้อ ๒ ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือ
ในนา่ นนํ้าไทย พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๖