รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๐๑
ความในวรรคหนึ่ง วรรคสอง และวรรคสาม ให้ใช้บังคับกับการเช่าซึ่งได้ทําไว้ก่อน
วันท่ีพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๘ หรือพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีผลใช้บังคับ หรือ
ได้ทําขึ้นภายหลังโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ และการเช่านั้นยังมิได้ระงับไปในวันท่ีเจ้าหน้าท่ี
ไดเ้ ข้าครอบครองท่ดี ิน โรงเรือน หรอื สิ่งปลกู สรา้ งดังกล่าว
ในกรณีตามวรรคสองหรือวรรคสาม หากผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงหรือเจ้าของมีข้อโต้แย้ง
หรือไม่เห็นด้วยกับการกําหนดเงินค่าทดแทนดังกล่าว และคู่กรณีไม่อาจตกลงกันได้ หรือไม่สามารถ
จ่ายเงินค่าทดแทนได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด ให้เจ้าหน้าท่ีวางเงินค่าทดแทนทั้งหมดไว้โดยพลัน และมีหนังสือ
แจ้งใหค้ ูก่ รณที ราบเพอ่ื ดาํ เนนิ การตอ่ ไป ในการวางเงนิ ค่าทดแทนดงั กล่าวให้แจ้งให้ศาลหรือสํานักงาน
วางทรพั ย์ แลว้ แตก่ รณี ทราบถงึ การเช่าที่มสี ัญญาต่อกนั ดว้ ย
จากบทบัญญัติมาตรา ๔๑ อาจแบ่งการพิจารณาในเรื่องของการจ่าย
คา่ ทดแทนกรณที ่ีมกี ารเช่าที่ดนิ หรอื อสงั หาริมทรพั ย์ท่ตี ้ังอยบู่ นท่ีดนิ ทเ่ี วนคนื ไดด้ งั น้ี
(๑) กรณกี ารเชา่ ทด่ี นิ หรอื อสังหาริมทรัพยท์ ตี่ ั้งอยบู่ นท่ดี ินท่ีเวนคนื
ตามกฎหมายเดิม คือ มาตรา ๑๘ (๓) แห่งพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ กําหนดให้จ่ายให้เฉพาะการเช่าที่ต้องมีหลักฐาน
เป็นหนังสือ ซ่ึงได้ทําไว้ก่อนวันใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาท่ีออกตามมาตรา ๖ หรือได้ทําข้ึนภายหลัง
โดยได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าท่ี และการเช่านั้นยังมิได้ระงับไปในวันที่เจ้าหน้าท่ีหรือผู้ซึ่งได้รับ
มอบหมายจากเจ้าหน้าที่ได้เข้าครอบครองท่ีดิน โรงเรือน หรือส่ิงปลูกสร้างดังกล่าวเท่าน้ัน
แต่ตามมาตรา ๔๓ วรรคหนงึ่ ไม่วา่ จะเปน็ กรณที ี่หลักฐานเป็นหนงั สือหรือแม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
หากปรากฏข้อเท็จจริงว่าเป็นผู้เช่าท่ีดินหรืออสังหาริมทรัพย์ดังกล่าวจริง กฎหมายก็ให้เจ้าหน้าที่
จา่ ยเงนิ ค่าทดแทนใหแ้ กผ่ ู้เช่าหรือผเู้ ชา่ ช่วงแตล่ ะราย โดยแยกเปน็ ๒ กรณี ดังนี้
๑) กรณีผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงท่ีมีหลักฐานเป็นหนังสือ ให้จ่ายเป็น
คา่ ขนยา้ ย และค่าเสียหายอน่ื ที่ต้องออกจากอสงั หาริมทรัพย์
๒) กรณีผูเ้ ชา่ หรอื ผู้เชา่ ช่วงทไี่ มม่ หี ลักฐานเป็นหนังสือ ให้เฉพาะ
คา่ ขนย้าย
(๒) กรณีที่มีการเช่าที่ดินและผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงเป็นผู้ลงทุน
หรือก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์หรือมีข้อตกลงอ่ืนใดในลักษณะเดียวกัน หรือได้มีการชําระค่าเช่า
หรอื คา่ ตอบแทนล่วงหนา้
มาตรา ๔๓ วรรคสอง กําหนดให้เจ้าหน้าที่จ่ายเงินค่าทดแทน
เป็นค่าเสียสิทธิการเช่าจากการท่ีสัญญาเช่าต้องระงับก่อนกําหนด โดยคิดตามส่วนของระยะเวลาเช่า
ทีเ่ หลอื อยู่ นับแต่วันที่ตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ตามมาตรา ๒๕ จนถึงวันท่ีสัญญาเช่าส้ินสุดลง ทั้งน้ี
ใหห้ ักเงินค่าทดแทนทจ่ี า่ ยตามวรรคน้อี อกจากเงินค่าทดแทนทจี่ า่ ยใหแ้ กเ่ จ้าของด้วย หรือกล่าวอีกนัยหน่ึง
คือ ค่าเสียสิทธิการเช่าจากการที่สัญญาเช่าต้องระงับก่อนกําหนดน้ี ผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงที่เข้าเง่ือนไข
ตามมาตราน้เี ป็นผู้มสี ทิ ธิได้รบั เพยี งฝ่ายเดยี ว เจา้ ของหามีสิทธิไดร้ ับไม่
๒๐๒ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
(๓) กรณีที่เจ้าของโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์
ที่ตั้งอยู่บนที่ดิน มีสัญญากําหนดให้กรรมสิทธ์ิในโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งอยู่
บนท่ดี ินนน้ั ตกเป็นกรรมสทิ ธข์ิ องเจ้าของท่ดี นิ เมื่อครบระยะเวลาการเช่าทีด่ ิน
มาตรา ๔๓ วรรคสาม กําหนดให้เจ้าของท่ีดินมีสิทธิได้รับเงิน
ค่าทดแทนสาํ หรับโรงเรือนสง่ิ ปลกู สรา้ ง หรอื อสงั หาริมทรพั ย์ทีต่ งั้ อยู่บนทด่ี นิ
สําหรับผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วง คงมีสิทธิได้รับค่าเสียสิทธิในการใช้
ท่ีดินและโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์ท่ีตั้งอยู่บนท่ีดินนั้น โดยคํานวณตามส่วน
ของระยะเวลาเช่าที่เหลืออยู่ ค่าขนย้าย และค่าเสียหายอ่ืน ทั้งนี้ ให้หักค่าเสียสิทธิในการใช้ที่ดิน
ออกจากเงินค่าทดแทนที่เจ้าของได้รับ หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ค่าเสียสิทธิในการใช้ที่ดินนี้ ผู้เช่า
หรือผู้เช่าช่วงทเี่ ข้าเงือ่ นไขตามมาตรานี้เป็นผู้มีสิทธไิ ด้รบั เพยี งฝ่ายเดยี ว เจา้ ของหามสี ิทธิได้รบั ไม่
ทั้งน้ี ทั้งสามกรณีข้างต้น ให้ใช้บังคับกับการเช่าซ่ึงได้ทําไว้ก่อนวันท่ี
พระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๘ หรือพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์มีผลใช้บังคับ หรือได้ทําขึ้น
ภายหลังโดยได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าท่ี และการเช่าน้ันยังมิได้ระงับไปในวันท่ีเจ้าหน้าที่ได้เข้า
ครอบครองทีด่ ิน โรงเรอื น หรอื สง่ิ ปลกู สรา้ งดงั กลา่ ว ซง่ึ เป็นไปในทํานองเดียวกันกับหลักการที่กําหนด
ในมาตรา ๑๘ (๓) แหง่ พระราชบญั ญัตวิ ่าดว้ ยการเวนคืนอสังหารมิ ทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
กรณีท่ีผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงหรือเจ้าของมีข้อโต้แย้งหรือไม่เห็นด้วย
กับการกําหนดเงนิ ค่าทดแทน และคู่กรณไี ม่อาจตกลงกันได้ หรือไมส่ ามารถจา่ ยเงินค่าทดแทนได้
ในกรณีท่ีมีการเช่าท่ีดินและผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงเป็นผู้ลงทุน
หรือก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์หรือมีข้อตกลงอ่ืนใดในลักษณะเดียวกัน หรือได้มีการชําระค่าเช่า
หรือค่าตอบแทนล่วงหน้า หรือในกรณีที่เจ้าของโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์ท่ีตั้งอยู่
บนทีด่ นิ มสี ัญญากาํ หนดให้กรรมสิทธ์ใิ นโรงเรือน ส่ิงปลูกสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์ท่ีต้ังอยู่บนท่ีดินนั้น
ตกเปน็ กรรมสิทธ์ิของเจ้าของท่ีดินเมื่อครบระยะเวลาการเช่าที่ดิน หากผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงหรือเจ้าของ
มีข้อโต้แย้งหรือไม่เห็นด้วยกับการกําหนดเงินค่าทดแทนดังกล่าว และคู่กรณีไม่อาจตกลงกันได้
หรือไมส่ ามารถจ่ายเงนิ คา่ ทดแทนไดไ้ ม่ว่าด้วยเหตใุ ด มาตรา ๔๓ วรรคห้า กําหนดให้เจ้าหน้าที่วางเงิน
ค่าทดแทนท้ังหมดไว้โดยพลัน และมีหนังสือแจ้งให้คู่กรณีทราบเพ่ือดําเนินการต่อไป โดยในการวางเงิน
ค่าทดแทนดังกล่าวให้แจ้งให้ศาลหรือสํานักงานวางทรัพย์ แล้วแต่กรณี ทราบถึงการเช่าท่ีมีสัญญา
ต่อกันด้วย
๔.๑๖ การจ่ายค่าทดแทนกรณีที่มีการจํานอง บุริมสิทธิ หรือทรัพยสิทธิ
อยา่ งอื่นเหนอื อสังหารมิ ทรพั ย์ที่ต้องเวนคนื
บทกฎหมายท่เี กยี่ วข้อง ไดแ้ ก่ มาตรา ๔๓
มาตรา ๔๓ ภายใต้บังคับมาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒ ในกรณีที่มีการจํานอง
บุริมสิทธิ หรือทรัพยสิทธิอย่างอื่นเหนืออสังหาริมทรัพย์ที่ต้องเวนคืน ให้เจ้าหน้าท่ีมีหนังสือแจ้งให้
ผู้รบั จํานอง ผู้ทรงบุริมสิทธิ หรือผู้รับประโยชน์จากทรัพยสิทธิดังกล่าวตกลงกันเป็นหนังสือกับเจ้าของ
รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๐๓
อสงั หาริมทรัพย์เกี่ยวกับสิทธิของแต่ละฝ่ายในเงินค่าทดแทนภายในระยะเวลาท่ีเจ้าหน้าที่กําหนด และ
ให้เจ้าหนา้ ทจ่ี ่ายเงนิ ให้แก่คูก่ รณตี ามทต่ี กลงกัน เมอ่ื พ้นกาํ หนดเวลาดังกล่าวแล้ว ถ้าคู่กรณียังตกลงกันไม่ได้
ให้เจ้าหน้าท่ีวางเงินค่าทดแทนไว้โดยพลัน และมีหนังสือแจ้งให้คู่กรณีทราบเพ่ือดําเนินการต่อไป
ในการวางเงินค่าทดแทนดังกล่าวให้แจ้งให้ศาลหรือสํานักงานวางทรัพย์ แล้วแต่กรณี ทราบถึงการจํานอง
บรุ มิ สทิ ธิ หรอื ทรพั ยสทิ ธิท่ีมีอยู่เหนืออสังหารมิ ทรพั ยน์ ั้นด้วย
เมื่อเจ้าหน้าที่ได้จ่ายเงินหรือวางเงินค่าทดแทนตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้การจํานอง
บุริมสิทธิ หรือทรัพยสิทธิเช่นว่าน้ันเป็นอันส้ินสุดลง แต่ไม่ตัดสิทธิผู้รับจํานอง ผู้ทรงบุริมสิทธิ หรือ
ผู้รับประโยชน์จากทรัพยสิทธิ ที่จะใช้สิทธิในฐานะผู้รับจํานอง ผู้ทรงบุริมสิทธิ หรือผู้รับประโยชน์จาก
ทรัพยสทิ ธิไดต้ ่อไป
ในกรณีท่ีผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน โอนสิทธิการรับเงินค่าทดแทนนั้นให้แก่บุคคลอื่น
ถ้าผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนและผู้รับโอนทําหนังสือร่วมกันแจ้งให้เจ้าหน้าท่ีทราบก่อนที่เจ้าหน้าท่ี
จ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน ให้เจ้าหน้าท่ีจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่
ผู้รบั โอนได้ และใหถ้ อื ว่าผู้มีสทิ ธไิ ด้รบั เงนิ ค่าทดแทนไดร้ ับเงนิ ค่าทดแทนแล้ว
จากบทบญั ญตั ิมาตรา ๔๓ อาจสรุปสาระสําคญั ไดด้ งั น้ี
(๑) อาจกล่าวได้ว่า เป็นหน้าท่ีของเจ้าหน้าท่ีต้องตรวจสอบว่า
มีการจํานอง บุรมิ สิทธิ หรอื ทรพั ยสิทธิอย่างอืน่ เหนอื อสังหารมิ ทรัพยท์ ีต่ ้องเวนคืนหรือไม่
(๒) หากมีการจํานอง บุริมสิทธิ หรือทรัพยสิทธิอย่างอ่ืนเหนือ
อสงั หารมิ ทรัพยท์ ่ตี ้องเวนคนื เจ้าหน้าท่ตี ้องมีหนังสือแจ้งให้ผู้รับจํานอง ผู้ทรงบุริมสิทธิ หรือผู้รับประโยชน์
จากทรัพยสิทธิดังกล่าวตกลงกันเป็นหนังสือกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์เก่ียวกับสิทธิของแต่ละฝ่าย
ในเงินคา่ ทดแทนภายในระยะเวลาที่เจ้าหนา้ ท่กี ําหนด
(๓) ในกรณีที่ตกลงกันได้ ให้เจ้าหน้าท่ีจ่ายเงินให้แก่คู่กรณีตามท่ี
ตกลงกนั
(๔) ในกรณีท่ีตกลงกันไม่ได้ กฎหมายกําหนดให้เจ้าหน้าท่ีวางเงิน
ค่าทดแทนไว้โดยพลัน และมีหนังสือแจ้งให้คู่กรณีทราบเพื่อดําเนินการต่อไป ทั้งน้ี ในการวางเงิน
ค่าทดแทนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ต้องแจ้งให้ศาลหรือสํานักงานวางทรัพย์ แล้วแต่กรณี ทราบถึงการจํานอง
บุรมิ สทิ ธิ หรอื ทรัพยสทิ ธทิ ม่ี ีอยูเ่ หนืออสังหาริมทรัพย์นน้ั ดว้ ย
(๕) ผลของการจ่ายเงินหรือวางเงินตามบทกฎหมายน้ี มีผลให้
การจํานอง บุริมสิทธิ หรือทรัพยสิทธิเช่นว่าน้ันเป็นอันสิ้นสุดลง แต่ไม่ตัดสิทธิผู้รับจํานอง ผู้ทรงบุริมสิทธิ
หรือผู้รับประโยชน์จากทรัพยสิทธิ ท่ีจะใช้สิทธิในฐานะผู้รับจํานอง ผู้ทรงบุริมสิทธิ หรือผู้รับประโยชน์
จากทรพั ยสิทธิไดต้ อ่ ไป
(๖) ในกรณีท่ีผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน โอนสิทธิการรับเงิน
ค่าทดแทนน้ันให้แก่บุคคลอื่น ถ้าผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนและผู้รับโอนทําหนังสือร่วมกันแจ้งให้
เจ้าหน้าที่ทราบก่อนที่เจ้าหน้าท่ีจ่ายเงินให้กับผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน
๒๐๔ รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
กฎหมายกําหนดใหเ้ จ้าหนา้ ทจี่ ่ายเงินคา่ ทดแทนใหแ้ ก่ผรู้ ับโอนได้ และให้ถือว่าผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน
ไดร้ บั เงินคา่ ทดแทนแล้ว
๔.๑๗ การเกบ็ รกั ษาทรพั ย์สินจากการรือ้ ถอนโรงเรอื น ส่งิ ปลูกสรา้ ง หรือ
อสงั หาริมทรพั ยอ์ ื่นตามมาตรา ๓๙
บทกฎหมายท่ีเกีย่ วข้อง ไดแ้ ก่ มาตรา ๔๔
มาตรา ๔๔ ในการรื้อถอนโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์อื่นตามมาตรา ๓๙
ให้เจ้าหน้าที่มีอํานาจเก็บรักษาทรัพย์สินไว้ ณ สถานที่ใด ๆ โดยให้เจ้าของโรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรือ
อสังหาริมทรัพย์อ่ืนนั้นเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา แต่ถ้าทรัพย์สินเช่นว่าน้ันเป็นของเสียง่ายหรือ
ถ้าหน่วงช้าไว้จะเป็นการเส่ียงความเสียหาย หรือค่าใช้จ่ายจะเกินส่วนแห่งค่าของทรัพย์สินเช่นว่านั้น
ให้เจ้าหน้าท่ีมีอํานาจท่ีจะขายได้ทันที โดยวิธีการขายทอดตลาดหรือวิธีอื่นตามท่ีเห็นสมควร
แล้วเกบ็ เงนิ สทุ ธหิ ลงั จากหักค่าใช้จา่ ยไว้แทนได้
ในกรณีที่เจ้าของมิได้เรียกเอาทรัพย์สินหรือเงินท่ีเก็บไว้แทนน้ัน แล้วแต่กรณี
ภายในห้าปีนับแต่วันท่ีมีการร้ือถอนหรือขนย้าย ให้ทรัพย์สินหรือเงินดังกล่าวตกเป็นของแผ่นดิน
และให้นาํ ความในมาตรา ๓๙ วรรคสอง มาใชบ้ ังคบั กับทรพั ยส์ ินดงั กลา่ วด้วยโดยอนโุ ลม
บทบัญญัติมาตรา ๔๔ นี้ มีสาระสําคัญทํานองเดียวกันกับท่ีบัญญัติ
ในมาตรา ๑๔ แหง่ พระราชบญั ญัติว่าดว้ ยการเวนคนื อสงั หาริมทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
๔.๑๘ การแจ้งให้ไปรับเงินค่าทดแทนการเวนคืนและกรอบระยะเวลา
ในการจ่ายเงนิ หรือวางเงนิ คา่ ทดแทน
บทกฎหมายที่เก่ียวข้อง ได้แก่ มาตรา ๒๕ วรรคสอง มาตรา ๒๖
วรรคหนง่ึ และมาตรา ๔๕
มาตรา ๒๕ ฯลฯ ฯลฯ
หากเจ้าของตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีจัดทําสัญญาซื้อขาย
กับเจ้าของโดยเร็วตามแบบที่เจ้าหน้าที่กําหนด และให้พนักงานเจ้าหน้าที่จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่
เจ้าของภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวันนับแต่วันทําสัญญาซ้ือขาย ท้ังน้ี ให้ถือว่าได้มีการโอนกรรมสิทธ์ิ
ในอสงั หาริมทรพั ยด์ งั กลา่ วนบั แตว่ ันชาํ ระเงนิ
มาตรา ๒๖ ในการดําเนินการซ้ือขายตามมาตรา ๒๕ ให้นําความในมาตรา ๓๓
มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และสว่ นท่ี ๔ เงินค่าทดแทน มาใชบ้ งั คบั โดยอนโุ ลม
ฯลฯ ฯลฯ
รวมเร่อื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๐๕
มาตรา ๔๕ ในการจ่ายเงินค่าทดแทน ให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งให้ผู้มีสิทธิได้รับเงิน
คา่ ทดแทนตามมาตรา ๔๐ ทราบล่วงหน้าไมน่ ้อยกว่าสบิ ห้าวัน โดยแจ้งใหเ้ จ้าของนําหนังสือแสดงสิทธิ
ในที่ดินฉบับเจ้าของมาส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าที่ด้วย พร้อมท้ังแจ้งให้ทราบด้วยว่าหากเจ้าของไม่มารับเงิน
ภายในกําหนดเวลา เจา้ หน้าทจ่ี ะดาํ เนนิ การวางเงนิ ค่าทดแทน
การจ่ายเงินหรือวางเงินค่าทดแทนให้กระทําให้แล้วเสร็จภายในหนึ่งร้อยยี่สิบวัน
นบั แตว่ ันที่พระราชบัญญตั ิเวนคืนอสังหารมิ ทรัพย์นนั้ ใช้บงั คับ
จากบทบญั ญตั ดิ ังกลา่ วขา้ งต้น อาจสรุปสาระสาํ คญั ได้ดังน้ี
(๑) ในการจ่ายเงินค่าทดแทน ให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้งให้ผู้มีสิทธิ
ได้รับเงินค่าทดแทนทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า ๑๕ วัน โดยแจ้งให้เจ้าของนําหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน
ฉบับเจ้าของมาส่งมอบให้แก่เจ้าหน้าท่ีด้วย พร้อมทั้งแจ้งให้ทราบด้วยว่าหากเจ้าของไม่มารับเงินภายใน
กําหนดเวลา เจา้ หนา้ ที่จะดาํ เนินการวางเงนิ คา่ ทดแทน
(๒) การจ่ายเงนิ หรือวางเงินค่าทดแทนให้กระทําให้แล้วเสร็จภายใน
๑๒๐ วัน โดยในกรณีที่ตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กันได้ ให้นับแต่วันทําสัญญาซื้อขาย ส่วนในกรณี
ที่ตกลงซ้ือขายอสังหาริมทรัพย์กันไม่ได้และมีการออกพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์น้ัน
ในเวลาต่อมา ใหน้ บั แต่วันทพ่ี ระราชบญั ญตั ิเวนคนื อสงั หารมิ ทรพั ยน์ ้นั ใชบ้ งั คบั
๔.๑๙ วธิ กี ารวางเงินค่าทดแทนการเวนคืน
บทกฎหมายท่ีเก่ยี วข้อง ได้แก่ มาตรา ๔๖
มาตรา ๔๖ ในการวางเงินค่าทดแทนตามพระราชบัญญัตินี้ ให้กระทําโดยการนําเงิน
ไปวางต่อศาลหรือสํานักงานวางทรัพย์ หรือฝากไว้กับธนาคารออมสินในช่ือของผู้มีสิทธิได้รับเงิน
ค่าทดแทน โดยแยกฝากเป็นบัญชีเฉพาะราย ในการฝากดังกล่าวถ้ามีดอกเบ้ียหรือดอกผลใดเกิดขึ้น
เนื่องจากการฝากเงินน้ันให้ตกเป็นสิทธิแก่ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนน้ันด้วย เว้นแต่การวางเงิน
ตามมาตรา ๔๑ วรรคหา้ หรอื มาตรา ๔๓ จะนาํ ไปฝากไวก้ บั ธนาคารออมสินมิได้
เม่ือเจ้าหน้าที่วางเงินตามวรรคหน่ึงแล้ว ให้แจ้งให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนทราบ
ภายในสบิ หา้ วนั นบั แต่วันทวี่ างเงิน
การขอรับเงินฝากจากธนาคารออมสิน ให้ผู้ซ่ึงประสงค์จะขอรับเงินแจ้งให้เจ้าหน้าท่ี
ทราบล่วงหนา้ ไม่นอ้ ยกวา่ สิบห้าวนั เพื่อเจ้าหนา้ ทีจ่ ะได้ดาํ เนนิ การเบกิ จ่ายให้
หลกั เกณฑแ์ ละวิธกี ารในการนาํ เงนิ คา่ ทดแทนไปวางต่อศาลหรือสํานักงานวางทรัพย์
หรือฝากไว้กับธนาคารออมสนิ ให้เป็นไปตามทีก่ าํ หนดในกฎกระทรวง
๒๐๖ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
บทบัญญัติมาตรา ๔๖ มีสาระสําคัญคล้ายคลึงกับที่บัญญัติใน
มาตรา ๓๑ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ แต่ตามกฎหมายใหม่
มีสาระสาํ คญั เพม่ิ เตมิ บางประการ ดังน้ี
(๑) กําหนดโดยชัดแจ้งว่า การวางเงินตามมาตรา ๔๑ วรรคห้า
(ซ่ึงได้แก่ กรณีวางเงินเนื่องจากผู้เช่าหรือผู้เช่าช่วงหรือเจ้าของมีข้อโต้แย้งหรือไม่เห็นด้วยกับการกําหนด
เงินค่าทดแทน และคู่กรณีไม่อาจตกลงกันได้ หรือไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนได้) หรือมาตรา ๔๓
(ซ่ึงได้แก่ กรณที ผี่ ู้รบั จํานอง ผทู้ รงบรุ มิ สิทธิ หรือผู้รบั ประโยชนจ์ ากทรัพยสทิ ธิตกลงกันไม่ได้) จะนําไป
ฝากไว้กบั ธนาคารออมสินมิได้
(๒) กําหนดกระบวนการท่ีเป็นหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่เพ่ิมเติม คือ
เมื่อเจ้าหน้าที่วางเงินตามวรรคหนึ่งแล้ว ให้แจ้งให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนทราบภายใน ๑๕ วัน
นบั แต่วนั ที่วางเงิน
๔.๒๐ สิทธิการได้รับดอกเบ้ีย กรณีพนักงานเจ้าหน้าท่ีจ่ายเงินหรือ
วางเงนิ คา่ ทดแทนการเวนคืนช้ากวา่ ระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนด
บทกฎหมายท่เี กยี่ วขอ้ ง ไดแ้ ก่ มาตรา ๔๗
มาตรา ๔๗ ในกรณีท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของได้
ภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง หรือไม่สามารถวางเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๔๕
วรรคสอง โดยมิใช่ความผดิ ของผมู้ ีสทิ ธไิ ด้รบั เงนิ คา่ ทดแทน ให้ผมู้ ีสิทธิได้รบั เงนิ คา่ ทดแทน มีสิทธิไดร้ บั
ดอกเบ้ียในอัตราร้อยละเจ็ดคร่ึงต่อปีนับแต่วันที่ครบกําหนดต้องจ่ายจนถึงวันท่ีจ่ายเงินหรือวางเงิน
ค่าทดแทนเงินค่าดอกเบ้ียดังกล่าว เมื่อชําระแล้วให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด
ของเจา้ หน้าที่
บทบัญญัติมาตรา ๔๗ เป็นหลักการใหม่ท่ีไม่เคยมีการบัญญัติไว้ใน
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยเป็นบทบัญญัติกําหนดสิทธิของ
ผ้มู สี ิทธไิ ดร้ ับเงินคา่ ทดแทนทจี่ ะได้รบั ดอกเบ้ยี กรณที ่ีมกี ารจา่ ยเงนิ คา่ ทดแทนล่าช้าใน ๒ กรณี คอื
(๑) กรณีที่เจ้าของตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กับเจ้าหน้าที่
แล้วพนักงานเจ้าหน้าที่จ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของเม่ือพ้นกําหนด ๑๒๐ วัน นับแต่วันทําสัญญา
ซ้อื ขาย
(๒) กรณีท่ีตกลงซื้อขายอสังหาริมทรัพย์กันไม่ได้และมีการออก
พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์นั้นในเวลาต่อมา แล้วพนักงานเจ้าหน้าท่ีจ่ายเงินค่าทดแทน
ใหแ้ กเ่ จา้ ของเม่อื พ้นกาํ หนด ๑๒๐ วัน นับแต่วันท่พี ระราชบัญญตั ิเวนคนื อสังหาริมทรพั ยน์ นั้ ใช้บงั คับ
ทั้งนี้ ดอกเบ้ยี ในกรณนี ี้ กฎหมายกําหนดให้ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน
มสี ิทธไิ ดร้ บั ดอกเบย้ี ในอตั รารอ้ ยละเจ็ดคร่งึ ต่อปนี บั แตว่ นั ท่คี รบกาํ หนดต้องจา่ ยจนถงึ วนั ท่ีจา่ ยเงินหรือ
วางเงิน
รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๐๗
มีข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในกรณีที่มีการจ่ายดอกเบ้ียตามมาตราน้ี
กฎหมายกําหนดความรบั ผิดของเจ้าหน้าทีไ่ วด้ ว้ ยว่า เมื่อชําระดอกเบ้ียดังกล่าวแล้ว ให้ดําเนินการตาม
กฎหมายว่าด้วยความรบั ผดิ ทางละเมิดของเจ้าหนา้ ท่ี
๔.๒๑ การตกเปน็ ของแผน่ ดินของเงินคา่ ทดแทนท่ีวางไว้
บทกฎหมายทีเ่ ก่ยี วขอ้ ง ไดแ้ ก่ มาตรา ๔๘
มาตรา ๔๘ เงินค่าทดแทนท่ีวางไว้ ถ้าผู้มีสิทธิไม่ไปขอรับเงินภายในสิบปีนับแต่วันที่
มีหนังสอื แจง้ หรอื วันทปี่ ิดประกาศ ให้ตกเป็นของแผน่ ดิน
มาตรา ๔๖ น้ีมีสาระสําคัญทํานองเดียวกันกับท่ีกําหนดในมาตรา ๓๔
แหง่ พระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยการเวนคืนอสังหารมิ ทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
๔.๒๒ การอุทธรณ์เงินค่าทดแทน
บทกฎหมายที่เก่ียวข้อง ไดแ้ ก่ มาตรา ๒๖ มาตรา ๔๙
มาตรา ๒๖ ในการดําเนินการซ้ือขายตามมาตรา ๒๕ ให้นําความในมาตรา ๓๓
มาตรา ๓๔ มาตรา ๓๕ และส่วนท่ี ๔ เงนิ คา่ ทดแทน มาใช้บังคับโดยอนโุ ลม
ในกรณีท่ีเจ้าของตกลงซื้อขายตามมาตรา ๒๕ ให้เพิ่มเงินค่าทดแทนอีกร้อยละสอง
ของราคาอสงั หาริมทรพั ยเ์ บ้อื งต้นท่คี ณะกรรมการตามมาตรา ๑๙ กาํ หนด
การจ่ายเงินค่าทดแทนสําหรับท่ีดิน โรงเรือน สิ่งปลูกสร้าง หรืออสังหาริมทรัพย์อื่น
ไม่ตัดสทิ ธิในการอุทธรณต์ ามพระราชบญั ญตั ินี้
มาตรา ๔๙ ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๔๐ ผู้ใดไม่พอใจเงินค่าทดแทน
ท่ีกําหนดไว้ในสัญญาซื้อขายตามมาตรา ๒๕ และเงินค่าทดแทนเพ่ิมเติมตามมาตรา ๒๖ วรรคสอง
เงินค่าทดแทนท่ีได้รับหรือวางเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๒๘ วรรคสอง ให้มีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี
ภายในเก้าสิบวันนับแตว่ ันท่ไี ด้รบั เงนิ จากเจา้ หนา้ ทห่ี รอื รบั เงนิ ที่วางไว้ แลว้ แต่กรณี
การพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการข้ึนคณะหนึ่ง
ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางกฎหมาย และผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญในการตีราคาอสังหาริมทรัพย์
จํานวนไม่น้อยกว่าห้าคน เป็นผู้พิจารณาและเสนอความเห็นต่อรัฐมนตรีภายในหนึ่งร้อยแปดสิบวัน
นับแต่วันท่ีได้รับอุทธรณ์และให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จส้ินภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับ
ความเห็นจากคณะกรรมการดงั กล่าว
ในกรณีที่มีเหตุจําเป็น คณะกรรมการไม่สามารถดําเนินการให้แล้วเสร็จภายในกําหนด
ระยะเวลาตามวรรคสอง ให้คณะกรรมการเสนอรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาออกไปอีกก็ได้
แต่ต้องเสนอต่อรัฐมนตรีก่อนสิ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคสอง และรัฐมนตรีจะอนุญาตให้ขยาย
๒๐๘ รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
คร้ังเดียวหรือหลายครั้งก็ได้แต่เม่ือรวมเวลาที่ขยายแล้วต้องไม่เกินหนึ่งร้อยแปดสิบวันนับแต่
วนั ส้นิ กาํ หนดระยะเวลาตามวรรคสอง
ในการดําเนินการตามวรรคสอง รัฐมนตรีจะวางระเบียบกําหนดระยะเวลา
การปฏิบัตงิ านของพนกั งานเจา้ หน้าท่ีท่เี ก่ียวข้องในแตล่ ะขนั้ ตอนกไ็ ด้
เก่ียวกบั เรื่องของการอทุ ธรณ์เงินค่าทดแทน อาจสรุปสาระสําคัญได้
ดังนี้
(๑) ผู้มีสิทธิอุทธรณ์เงินค่าทดแทน ได้แก่ ผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน
ตามมาตรา ๔๐ ที่ไม่พอใจเงินค่าทดแทนที่กําหนดไว้ในสัญญาซื้อขายตามมาตรา ๒๕ และเงินค่าทดแทน
เพิ่มเติมตามมาตรา ๒๖ วรรคสอง เงินค่าทดแทนท่ไี ดร้ ับหรอื วางเงนิ ค่าทดแทนตามมาตรา ๒๘ วรรคสอง
ข้อสงั เกต
มีข้อสังเกตว่า ผู้มีสิทธิอุทธรณ์เงินค่าทดแทนตามกฎหมายใหม่น้ี
ไม่รวมถึงกรณีท่ีมีการตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะแตกต่างจากท่ีกําหนดในมาตรา ๒๕
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ในการนี้ จากการตรวจสอบเอกสาร
ผลการรับฟงั ความคดิ เหน็ และคาํ ชี้แจงรายประเดน็ ร่างพระราชบัญญตั วิ ่าดว้ ยการเวนคืนและการได้มา
ซ่ึงอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. .... พบว่าได้มีการชี้แจงเกี่ยวกับประเด็นน้ีไว้ว่า “ในช้ันการตราพระราชบัญญัติ
ไม่ว่าจะมีการตราพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินที่จะเวนคืนหรือไม่ กําหนดให้มีการระบุเงินค่าทดแทน
ไว้ในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ด้วย ซึ่งเป็นการกําหนดเงินค่าทดแทนไว้ในกฎหมาย
จึงไมส่ ามารถอุทธรณไ์ ด้ ทง้ั น้ี รัฐสภาจะเปน็ ผ้ตู รวจสอบว่าเงนิ คา่ ทดแทนเหมาะสมหรือไม”่ ๑๐
อย่างไรก็ดี จากการตรวจอ่านมาตรา ๒๙ ท่ีมีผลใช้บังคับ
เป็นกฎหมายแล้ว พบว่า กฎหมายไม่ได้บัญญัติเป็นลักษณะบังคับว่า ให้มีการระบุเงินค่าทดแทนไว้ใน
พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ด้วยดังคําช้ีแจงข้างต้น หากแต่ตามมาตรา ๒๙ วรรคสอง
บัญญัติว่า “ในพระราชบัญญัติตามวรรคหน่ึงจะกําหนดจํานวนเงินค่าทดแทนสําหรับอสังหาริมทรัพย์
ท่ีถูกเวนคืนไว้ด้วยก็ได้” จึงเห็นว่า เมื่อกฎหมายใช้คําว่า “ก็ได้” ย่อมหมายความว่ากฎหมายมิได้
บังคับให้ต้องมีการระบุเงินค่าทดแทนไว้ในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เสมอไป หากแต่
ใหเ้ ป็นดลุ พนิ ิจของฝา่ ยบริหารท่ีจะใหม้ กี ารระบุในพระราชบัญญัติเวนคนื อสงั หารมิ ทรัพย์หรอื ไม่
นอกจากนี้ มาตรา ๓๘ วรรคสาม ยังมีความตอนหน่ึงบัญญัติว่า
“การกําหนดเงินค่าทดแทนไว้ในพระราชบัญญัติตามมาตรา ๒๙ วรรคสอง และมาตรา ๓๐ หรือในกรณีที่
มิได้กําหนดเงินค่าทดแทนไว้ในพระราชบัญญัติ...” แสดงให้เห็นว่า กฎหมายบัญญัติรองรับให้การตรา
พระราชบญั ญัติเวนคนื อสงั หารมิ ทรพั ย์จะไมก่ าํ หนดเงินคา่ ทดแทนไวใ้ นพระราชบญั ญตั กิ ไ็ ด้
ด้วยเหตุนี้ หากมีกรณีท่ีพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
ไม่ได้ระบุจํานวนเงินค่าทดแทน จํานวนเงินค่าทดแทนท่ีจะมีการกําหนดในเวลาต่อมาย่อมไม่ได้เป็น
การกําหนดโดยฝ่ายนิติบัญญัติ หากจะเป็นการกําหนดโดยฝ่ายปกครอง ซ่ึงมีลักษณะเป็นคําสั่งทางปกครอง
๑๐ เร่ืองเดยี วกนั . หนา้ ๒๑.
รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๐๙
ดงั นัน้ เมือ่ พระราชบญั ญตั ิว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ไม่ได้บัญญัติ
ในเร่ืองการอุทธรณ์ในกรณีนไี้ วเ้ ปน็ การเฉพาะ เรื่องการอุทธรณ์ก็น่าที่จะต้องดําเนินการตามพระราชบัญญัติ
วธิ ีปฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ อย่างไรก็ตาม ในกรณีเช่นน้ีก็มีปัญหาต้องพิจารณาต่อไปว่า
หากผมู้ ีอํานาจพจิ ารณาอุทธรณ์หรือศาลได้มคี าํ วนิ จิ ฉยั อุทธรณ์หรอื คําพิพากษาให้เพ่ิมจํานวนเงินค่าทดแทน
ในเร่ืองของดอกเบ้ียจะมีข้อพิจารณาอย่างไร เน่ืองจากกรณีนี้ไม่อยู่ภายใต้บังคับของส่วนท่ี ๕ การอุทธรณ์
ทีก่ ําหนดให้ในกรณีทรี่ ัฐมนตรีหรือศาลวินิจฉัยให้จ่ายเงินค่าทดแทนเพิ่มขึน้ ใหเ้ จา้ ของมีสทิ ธไิ ด้รบั ดอกเบี้ย
ในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจําของธนาคารออมสินในจํานวนเงินที่เพิ่มข้ึน
ท้ังน้ี นับแต่วันท่ีจ่ายเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง หรือวันที่จ่ายหรือวางเงินค่าทดแทน
ตามมาตรา ๒๘ วรรคสอง จนถงึ วนั ทจ่ี า่ ยเงินคา่ ทดแทนท่เี พ่ิมข้นึ
(๒) กระบวนการในการพิจารณาอุทธรณ์เงินค่าทดแทน กฎหมาย
กําหนดให้รัฐมนตรีแต่งต้ังคณะกรรมการข้ึนคณะหนึ่งโดยมีองค์ประกอบตามกฎหมายเป็นผู้พิจารณา
และเสนอความเหน็ ต่อรัฐมนตรีภายใน ๑๘๐ วนั นับแต่วันทไ่ี ด้รับอุทธรณ์ และให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์
ใหเ้ สรจ็ สน้ิ ภายใน ๓๐ วัน นบั แตว่ ันท่ไี ด้รับความเหน็ จากคณะกรรมการดังกลา่ ว
ในกรณีมีเหตุจําเป็น คณะกรรมการไม่สามารถดําเนินการ
ให้แล้วเสร็จภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าวได้ กฎหมายกําหนดให้คณะกรรมการเสนอรัฐมนตรี
เพื่อพิจารณาขยายระยะเวลาออกไปอีกก็ได้ แต่ต้องเสนอต่อรัฐมนตรีก่อนสิ้นกําหนดระยะเวลาดังกล่าว
และรัฐมนตรีจะอนุญาตให้ขยายครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ แต่เมื่อรวมเวลาท่ีขยายแล้วต้องไม่เกิน
๑๘๐ วัน นับแต่วันส้ินกําหนดระยะเวลาตามวรรคสอง กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ รวมระยะเวลาท่ีขยายแล้ว
ตอ้ งไมเ่ กิน ๓๖๐ วัน
ข้อสังเกต
มีข้อสังเกตว่า กฎหมายกําหนดกรอบระยะเวลาการดําเนินการไว้
โดยมีบทกําหนดโทษกรณีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือรัฐมนตรีมิได้เสนอความเห็นหรือส่ังการ
ภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง หรือเจ้าหน้าท่ีท่ีเก่ียวข้องมิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลา
ตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม โดยเมื่อมีการชําระดอกเบ้ียเงินค่าทดแทนให้เจ้าของตามมาตรา ๕๐
วรรคสอง แล้ว มาตรา ๕๐ วรรคสี่ บัญญัติให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าท่ี ดังน้ัน ในการพิจารณาวันท่ีผู้มีอํานาจหน้าท่ีแต่ละคนเริ่มมีหน้าท่ีกระทําการใด ๆ
จึงมีความสําคัญต่อการนับระยะเวลาการดําเนินการของเจ้าหน้าท่ีแต่ละฝ่าย ซึ่งกฎหมายบัญญัติ
ใหอ้ าํ นาจรัฐมนตรีทจ่ี ะวางระเบยี บกําหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานของพนักงานเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง
ในแต่ละขั้นตอนก็ได้ ด้วยเหตุนี้ กําหนดระยะเวลาการปฏิบัติงานที่รัฐมนตรีจะกําหนดในระเบียบ
จึงเป็นสาระสําคัญที่ต้องนํามาประกอบการพิจารณาในการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดของ
เจา้ หนา้ ทใ่ี นกรณนี ี้
๒๑๐ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
๔.๒๓ การฟ้องคดีขอเพมิ่ เงนิ คา่ ทดแทน
บทกฎหมายท่เี กย่ี วขอ้ ง ได้แก่ มาตรา ๕๐ วรรคหนึง่
มาตรา ๕๐ ในกรณีที่เจ้าของไม่พอใจคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา ๔๙ หรือ
เมื่อพ้นกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แล้ว เจ้าของยังไม่ได้รับแจ้งคําวินิจฉัยของรัฐมนตรี
ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ได้รับแจ้งคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันท่ี
พ้นกาํ หนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แลว้ แตก่ รณี
ฯลฯ ฯลฯ
เก่ียวกับเร่ืองของการฟ้องคดีขอเพ่ิมเงินค่าทดแทนอาจสรุปสาระสําคัญ
ได้ดงั น้ี
(๑) สิทธิการฟ้องคดีเพื่อขอเงินค่าทดแทนเพ่ิมมีข้ึนเม่ือเจ้าของ
ทราบผลการพิจารณาอุทธรณ์เงินค่าทดแทนแล้วยังคงไม่พอใจคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีตามมาตรา ๔๙
หรอื เมอื่ พน้ กําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แล้ว เจ้าของยงั ไม่ได้รับแจง้ คําวนิ ิจฉยั ของรัฐมนตรี
ขอ้ สังเกต
กฎหมายกําหนดให้สิทธิการฟ้องคดีกรณีเม่ือพ้นกําหนดเวลา
ตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แล้วเจ้าของยังไม่ได้รับแจ้งคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีเป็นการเฉพาะ โดยไม่ได้
บัญญัติถึงกรณีท่ีรัฐมนตรีขยายระยะเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม ด้วย กรณีมีปัญหาน่าพิจารณาว่า
หากมีการขยายระยะเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม แล้ว และการวินิจฉัยอุทธรณ์ไม่แล้วเสร็จภายใน
ระยะเวลาที่ขยายออกไป วันท่ีเกิดสิทธิการฟ้องคดีเปลี่ยนเป็นวันครบกําหนดการขยายระยะเวลาหรือไม่
อย่างไร ซ่ึงมีข้อสังเกตเพ่ิมเติมว่า ในการขยายระยะเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม กฎหมายมิได้กําหนด
ให้แจ้งถึงการขยายระยะเวลาให้ผู้อุทธรณ์ทราบแต่ประการใด ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า ในเมื่อ
กฎหมายบัญญัติชัดแจ้งว่า ให้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลได้ภายในหน่ึงปีนับแต่วันท่ีได้รับแจ้งคําวินิจฉัย
ของรัฐมนตรหี รือนับแต่วันที่พ้นกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แล้วแต่กรณี ประกอบกับกฎหมาย
ไม่ได้กําหนดให้มีการแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบถึงกรณีท่ีรัฐมนตรีให้ขยายระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ์
จึงเห็นได้ว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ให้กําหนดระยะเวลาการฟ้องคดีให้เป็นไปตามที่บัญญัติโดยชัดแจ้ง
ในกฎหมาย คือ สิทธิการฟ้องคดีเร่ิมนับต้ังแต่วันท่ีได้รับแจ้งคําวินิจฉัยของรัฐมนตรีหรือนับแต่วันท่ี
พ้นกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แล้วแต่กรณี โดยผู้เขียนมีความเห็นเพิ่มเติมว่า การที่รัฐมนตรี
อนญุ าตให้มกี ารขยายระยะเวลาการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ออกไปตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม นั้น นา่ จะมีผล
เป็นเพียงเหตุให้เจ้าหน้าท่ีผู้เก่ียวข้องสามารถกล่าวอ้างเพื่อปฏิเสธความรับผิดทางละเมิดตามมาตรา ๕๐
วรรคสาม เทา่ นัน้
(๒) การฟ้องคดีต้องย่ืนฟ้องภายใน ๑ ปี นับแต่วันท่ีได้รับแจ้งคําวินิจฉัย
ของรัฐมนตรีหรอื นับแตว่ ันทพี่ ้นกาํ หนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แลว้ แตก่ รณี
รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๑๑
๔.๒๔ ดอกเบ้ียเงินคา่ ทดแทน
บทกฎหมายทเี่ กีย่ วข้อง ไดแ้ ก่ มาตรา ๕๐ วรรคสอง และวรรคสาม
มาตรา ๕๐ ฯลฯ ฯลฯ
ในกรณที ่ีรัฐมนตรีหรือศาลวินิจฉัยให้จ่ายเงินค่าทดแทนเพ่ิมขึ้น ให้เจ้าของมีสิทธิได้รับ
ดอกเบี้ยในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจําของธนาคารออมสินในจํานวนเงินที่เพ่ิมขึ้น
ท้ังน้ี นับแต่วันท่ีจ่ายเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง หรือวันท่ีจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทน
ตามมาตรา ๒๘ วรรคสอง จนถึงวันท่ีจ่ายเงินค่าทดแทนท่ีเพ่ิมขึ้น ในกรณีท่ีเจ้าของไม่มารับเงิน
ค่าทดแทนท่ีเพ่ิมขึ้นตามกําหนดเวลาท่ีได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าท่ี ให้เจ้าหน้าที่วางเงินนั้นตามมาตรา ๔๖
ในกรณเี ชน่ นน้ั การคาํ นวณดอกเบี้ยให้คดิ ถึงวนั ท่ีเจ้าหน้าที่กําหนดให้เจ้าของมารบั เงินคา่ ทดแทนนน้ั
ดอกเบี้ยที่ต้องชําระตามวรรคสอง ถ้าเป็นกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือ
รัฐมนตรีมิได้เสนอความเห็นหรือส่ังการภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง หรือเจ้าหน้าท่ี
ท่ีเกี่ยวข้องมิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม เมื่อชําระให้เจ้าของแล้ว
ใหด้ าํ เนนิ การตามกฎหมายว่าดว้ ยความรบั ผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ท่ี
ข้อสงั เกต
(๑) ในเรื่องของดอกเบ้ียเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๕๐ วรรคสอง
ทีก่ าํ หนดให้ในกรณีท่รี ัฐมนตรีหรอื ศาลวินิจฉัยใหจ้ า่ ยเงนิ คา่ ทดแทนเพม่ิ ขึน้ ใหเ้ จ้าของมสี ิทธไิ ด้รับดอกเบี้ย
ในอัตราสูงสุดของดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจําของธนาคารออมสินในจํานวนเงินที่เพิ่มข้ึน
ท้ังน้ี นับแต่วันท่ีจ่ายเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง หรือวันท่ีจ่ายหรือวางเงินค่าทดแทน
ตามมาตรา ๒๘ วรรคสอง น้ัน เป็นไปในทํานองเดียวกันกับที่กําหนดในมาตรา ๒๖ วรรคสาม
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ เพียงแต่ตามกฎหมายใหม่
มีความเพิม่ เติมตอนท้ายอกี วา่ “จนถงึ วนั ทจ่ี ่ายเงนิ ค่าทดแทนท่ีเพ่ิมข้ึน” ซ่ึงเดิมไม่มี แต่ก็ไม่น่าจะมีผล
เป็นการเปล่ียนแปลงแนวปฏิบัติตามกฎหมายเดิมแต่อย่างใด เนื่องจากแม้ความดังกล่าวจะไม่กําหนดไว้
แต่ในทางปฏิบัติการคิดดอกเบี้ยคงคํานวณถึงวันท่ีจ่ายเงินค่าทดแทนที่เพ่ิมขึ้นอยู่แล้ว การท่ีกฎหมายใหม่
เขยี นไว้ คงมีผลเป็นเพียงตอ้ งการใหม้ คี วามชดั เจนย่งิ ขน้ึ เท่านั้น
(๒) สําหรับความในมาตรา ๕๐ วรรคสาม ท่ีกําหนดให้ในกรณีท่ี
เจา้ ของไมม่ ารบั เงินค่าทดแทนที่เพิ่มขึ้นตามกําหนดเวลาท่ีได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ ให้เจ้าหน้าท่ีวางเงินนั้น
ตามมาตรา ๔๖ ในกรณีเช่นน้ัน การคํานวณดอกเบ้ียให้คิดถึงวันที่เจ้าหน้าท่ีกําหนดให้เจ้าของมารับ
เงินค่าทดแทนนั้น กรณีตามความในมาตรา ๕๐ วรรคสามนี้ เป็นเร่ืองท่ีกําหนดขึ้นใหม่ โดยเป็นการ
กําหนดวันสิ้นสุดการคิดดอกเบี้ยของเงินค่าทดแทนที่รัฐมนตรีหรือศาลวินิจฉัยให้จ่ายเงินค่าทดแทน
เพ่มิ ข้ึนในกรณที ี่เจา้ ของไมม่ ารับเงินคา่ ทดแทนทเ่ี พม่ิ ขน้ึ ดังกล่าวภายในระยะเวลาท่ีเจา้ หน้าทีก่ าํ หนด
๒๑๒ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
(๓) ในกรณีท่ีมีการจ่ายดอกเบี้ยตามมาตราน้ี กฎหมายกําหนด
ความรับผิดของเจ้าหน้าที่ไว้ด้วยว่า ถ้าเป็นกรณีท่ีคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือรัฐมนตรี
มไิ ด้เสนอความเห็นหรอื ส่ังการภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง หรอื เจา้ หนา้ ที่ทเ่ี กีย่ วข้อง
มิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม เมื่อชําระให้เจ้าของแล้วให้ดําเนินการ
ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที่
๕. การใชป้ ระโยชนใ์ นที่ดนิ ทไี่ ดจ้ ากการเวนคืน
บทกฎหมายที่เกีย่ วขอ้ ง ได้แก่ มาตรา ๕๑
มาตรา ๕๑ ท่ีดินท่ีดําเนินการให้ได้มาโดยวิธีการตามพระราชบัญญัตินี้ นอกจาก
การได้มาตามหมวด ๔ การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยวิธีการซื้อขาย เจ้าหน้าท่ีต้องเริ่มดําเนินการตาม
วัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนไม่ช้ากว่าห้าปีนับแต่วันพ้นกําหนดระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกา
ตามมาตรา ๘ (๒) หรือภายในระยะเวลาทก่ี ําหนดในพระราชบญั ญตั ิเวนคนื อสงั หาริมทรัพย์ แลว้ แต่กรณี
ในกรณีเป็นการเวนคืนเพ่ือประโยชน์ในการสร้างทาง ทางรถไฟ คลอง หรือกิจการ
สาธารณประโยชน์อ่ืนท่ีต้องใช้ที่ดินเป็นระยะทางยาวเกินสิบกิโลเมตร การเร่ิมดําเนินการโครงการ
ในสว่ นหนึง่ ส่วนใดแล้ว ใหถ้ อื ว่าได้มีการเร่ิมดําเนินการตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนตลอดเส้นทางแล้ว
สําหรับกรณีอื่นเมื่อได้เร่ิมดําเนินการและใช้ประโยชน์ในที่ดินเป็นส่วนใหญ่แล้ว ให้ถือว่าได้เริ่ม
ดําเนินการตามวรรคหนง่ึ แลว้
บทบัญญัติมาตรา ๕๑ วรรคหน่ึง เป็นการกําหนดหลักการข้ึนใหม่เก่ียวกับ
การใช้ประโยชน์ในที่ดินท่ีได้จากการเวนคืน โดยกําหนดเป็นหลักการว่า ท่ีดินท่ีดําเนินการให้ได้มา
โดยวิธีการตามพระราชบัญญัตินี้ นอกจากการได้มาโดยวิธีการซ้ือขายตามหมวด ๔ การได้มา
ซ่ึงอสังหาริมทรัพย์โดยวิธีการซ้ือขาย เจ้าหน้าท่ีต้องเริ่มดําเนินการตามวัตถุประสงค์ไม่ช้ากว่า ๕ ปี
นับแต่วันพ้นกําหนดระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตท่ีดินที่จะเวนคืน หรือภายใน
ระยะเวลาท่ีกําหนดในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ แล้วแต่กรณี ซ่ึงความในเร่ืองน้ี
จะมีส่วนเก่ียวข้องที่สําคัญกับการพิจารณาเรื่องการคืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท
ซงึ่ จะไดก้ ล่าวถงึ ต่อไป
ส่วนกรณีของความในมาตรา ๕๑ วรรคสอง จะเป็นการกําหนดกรณีท่ีให้ถือว่า
เป็นการเร่มิ ดําเนินการตามวรรคหนึ่งแล้ว
ข้อสงั เกต
กฎหมายไม่ได้กําหนดระยะเวลาอย่างช้าท่ีเจ้าหน้าที่ต้องเร่ิมดําเนินการตาม
วตั ถปุ ระสงค์ทต่ี อ้ งกําหนดในพระราชบญั ญัตเิ วนคนื อสงั หารมิ ทรัพยไ์ ว้
รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๑๓
๖. การคืนอสังหารมิ ทรัพยใ์ หเ้ จา้ ของเดิมหรอื ทายาท
บทกฎหมายท่ีเกี่ยวข้อง ได้แก่ มาตรา ๕๒ มาตรา ๕๓ มาตรา ๕๔ มาตรา ๕๕
มาตรา ๕๖ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๖๗
มาตรา ๕๒ การคืนอสังหาริมทรัพย์ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับกับอสังหาริมทรัพย์
ท่ไี ดจ้ ากการซื้อขายตามหมวด ๔ การได้มาซง่ึ อสังหาริมทรัพย์โดยวิธกี ารซื้อขาย
ความในวรรคหนึ่งให้นํามาใช้บังคับกับท่ีดินที่ได้จากการซ้ือขายตามมาตรา ๓๔ ด้วย
โดยอนุโลม เวน้ แตเ่ ปน็ กรณที ี่บญั ญัติไว้ตามมาตรา ๕๓
มาตรา ๕๓ ท่ีดินท่ีได้มาตามพระราชบัญญัติน้ี หากไม่ได้นําไปใช้ประโยชน์
ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนภายในระยะเวลาตามมาตรา ๕๑ หรือเหลือจากการใช้ประโยชน์
ให้เจ้าของเดิมหรือทายาทมีสิทธิขอคืนท่ีดินนั้น และในกรณีท่ีเจ้าของเดิมหรือทายาทมีท่ีดินที่มีการ
ซื้อขายตามมาตรา ๓๔ รวมเป็นแปลงเดียวกันกับที่ดินที่ขอคืน และเจ้าหน้าที่ยังมิได้นําท่ีดินน้ัน
ไปใช้ประโยชน์ ให้มสี ิทธขิ อคนื ท่ดี นิ ดังกล่าวไดด้ ว้ ย
การขอคืนตามวรรคหน่ึง เจ้าของเดิมหรือทายาทต้องย่ืนคําร้องขอคืนต่อเจ้าหน้าท่ี
ภายในสามปีนับแต่วันพน้ กาํ หนดเวลาตามมาตรา ๕๑ ตามแบบและวิธีการท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง
ในกรณีท่ีได้เริ่มดําเนินการตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ
ไม่ว่าด้วยเหตุใดจนพ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคหน่ึง มิให้ถือว่ายังไม่ได้นําไปใช้ประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง
ในกรณีเชน่ นน้ั ระยะเวลาตามวรรคสองให้นบั แตว่ ันท่กี ารดําเนินการแลว้ เสร็จ
ท่ีดินที่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนแล้ว หากในภายหลังหมดความจําเป็น
ในการใช้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว หรือเม่ือพ้นระยะเวลาตามวรรคสองแล้ว เจ้าของเดิมหรือทายาท
ไม่มีสทิ ธขิ อคืน
มาตรา ๕๔ เจ้าของเดิมหรือทายาทซ่ึงร้องขอคืนท่ีดิน ต้องคืนเงินค่าทดแทนในส่วน
ที่เกี่ยวกับทดี่ ินทเ่ี จา้ หน้าท่ีได้จา่ ยใหแ้ ก่ผู้มีสิทธิ รวมทั้งดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดคร่ึงต่อปีนับแต่วันท่ี
ได้รับเงินค่าทดแทนหรือนับแต่วันที่เจ้าหน้าที่วางเงินค่าทดแทนจนถึงวันท่ียื่นคําร้องขอคืน เว้นแต่
เจ้าของเดิมหรือทายาทจะพิสูจน์ได้ว่า เงินค่าทดแทนที่จะต้องคืนเมื่อรวมกับดอกเบ้ียแล้วจะสูงกว่าราคา
ในท้องตลาดของที่ดินท่ีขอคืน ในกรณีเช่นน้ัน ให้เจ้าของเดิมหรือทายาทคืนเงินเท่าที่ไม่เกินราคา
ในทอ้ งตลาดของทีด่ ินน้ัน ทั้งน้ี โดยใช้ราคา ณ วนั ทย่ี ื่นคําร้องขอคนื
มาตรา ๕๕ ภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับคําร้องขอคืนท่ีดินตามมาตรา ๕๓
ให้เจ้าหน้าท่ีแต่งตั้งคณะกรรมการข้ึนคณะหน่ึง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่เวนคืนเป็นประธานกรรมการ
ผู้แทนสํานักงบประมาณ ผู้แทนกรมธนารักษ์ ผู้แทนกรมท่ีดิน และผู้แทนสํานักงานการตรวจเงินแผ่นดิน
เป็นกรรมการ เพ่ือทําหน้าท่ีพิจารณาการคืนอสังหาริมทรัพย์ให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท โดยให้
๒๑๔ รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
คณะกรรมการพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในหน่ึงร้อยยี่สิบวันนับแต่วันท่ีได้รับแต่งต้ัง และให้เจ้าหน้าท่ี
แจง้ ผลการพจิ ารณาให้ผ้ยู ่นื คําร้องขอทราบภายในสบิ ห้าวันนับแตว่ ันที่คณะกรรมการมมี ติ
ในกรณีมีเหตุจําเป็นรัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาการพิจารณาของคณะกรรมการ
ตามวรรคหน่ึงออกไปอีกได้ไม่เกินหกสิบวัน และให้เจ้าหน้าที่แจ้งให้ผู้ยื่นคําร้องขอทราบการขยาย
ระยะเวลาด้วย
ในกรณีท่ีจะต้องคืนที่ดินให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท ให้เจ้าหน้าที่แจ้งให้เจ้าของเดิม
หรือทายาททราบถึงจํานวนเงินค่าทดแทนพร้อมด้วยดอกเบ้ียที่จะต้องคืนและแจ้งให้เจ้าของเดิมหรือ
ทายาทกําหนดวันขอรับโอนที่ดินและแจ้งให้เจ้าหน้าท่ีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน แต่ต้องไม่ช้ากว่า
หนงึ่ ร้อยแปดสบิ วนั นบั แต่วันท่ีได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ แต่ในกรณีมีเหตุจําเป็นเจ้าของเดิมหรือทายาท
จะขอขยายระยะเวลาหนึ่งร้อยแปดสบิ วันออกไปอีกกไ็ ด้ แตต่ ้องแจง้ ให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนครบกําหนดเวลา
และเม่อื รวมเวลาทีข่ อขยายแลว้ ต้องไมเ่ กนิ สามรอ้ ยหกสบิ วัน
การโอนท่ีดินคืนให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาทให้กระทําได้เม่ือเจ้าหน้าที่ได้รับเงิน
ค่าทดแทนและดอกเบ้ียแล้ว และให้เจ้าหน้าที่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและ
นิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน และได้รับการยกเว้นค่าอากรแสตมป์โดยให้ดําเนินการตามที่กําหนด
ในประมวลรัษฎากร ท้ังนี้ ในกรณีท่ีดินท่ีจะโอนน้ันตกเป็นท่ีราชพัสดุแล้ว ให้โอนได้โดยไม่ต้องดําเนินการ
ตามกฎหมายว่าด้วยท่รี าชพัสดุ
เจ้าของเดิมหรือทายาทผู้ใดไม่ไปรับโอนพร้อมทั้งชําระคืนเงินค่าทดแทนและดอกเบ้ีย
ตามวันเวลาที่ตนกําหนดหรือไม่แจ้งกําหนดวันขอรับโอนตามวรรคสาม ให้ถือว่าเจ้าของเดิมหรือทายาท
สละสิทธทิ ี่จะขอคืนทด่ี นิ น้ัน
มาตรา ๕๖ เจ้าของเดิมหรือทายาทซึ่งยื่นคําร้องขอคืนที่ดินผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัย
ของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๕ หรือในกรณีที่คณะกรรมการมิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลา
ตามมาตรา ๕๕ วรรคหน่ึง หรือระยะเวลาท่ีขยายตามมาตรา ๕๕ วรรคสอง ให้เจ้าของเดิมหรือทายาท
มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ภายในหน่ึงร้อยย่ีสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งตามมาตรา ๕๕
วรรคหนึง่ หรือนบั แตว่ ันที่พน้ กําหนดเวลาทีต่ ้องดาํ เนินการ แลว้ แตก่ รณี
มาตรา ๕๗ สทิ ธิการขอคนื อสงั หาริมทรัพย์เป็นสทิ ธิเฉพาะตวั จะโอนให้แกบ่ คุ คลอนื่ มิได้
มาตรา ๖๗ ให้นําหมวด ๒ การใช้ประโยชน์ในที่ดินที่ได้จากการเวนคืน และหมวด ๓
การคืนอสังหาริมทรัพย์ให้เจ้าของเดิมหรือทายาท มาใช้บังคับกับท่ีดินท่ีถูกเวนคืนนับแต่วันท่ีรัฐธรรมนูญ
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ ใช้บังคับจนถึงวันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับด้วย
โดยอนุโลม แต่ระยะเวลาห้าปีหรือระยะเวลาท่ีกําหนดในพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
ท่ีกําหนดไว้ในมาตรา ๕๑ และระยะเวลาสามปีตามมาตรา ๕๓ วรรคสอง เฉพาะกรณีท่ีเหลือจากการ
ใช้ประโยชน์ให้นบั แต่วนั ท่พี ระราชบญั ญัตนิ ี้ใชบ้ ังคับ
รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๑๕
ในอดีต พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
ไม่มีบทบัญญัติรองรับเร่ืองของการขอคืนอสังหาริมทรัพย์ที่ถูกเวนคืนท่ีมิได้ใช้ประโยชน์หรือท่ีเหลือ
จากการใช้ประโยชน์ของเจ้าของเดิมหรือทายาท ทําให้ไม่มีหลักเกณฑ์ที่แน่นอนในการพิจารณา
จึงเป็นเหตุให้เมื่อมีการฟ้องขอคืนท่ีดินในกรณีดังกล่าว ศาลต้องใช้ดุลพินิจวางหลักการในการพิจารณา
ซ่ึงในปัจจุบัน แนวคําวินิจฉัยของศาลในเร่ืองน้ียังอยู่ในช่วงของการพัฒนาหลักการในการพิจารณา
อย่างไรก็ตาม ปรากฏว่าในปัจจุบันพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๖๒ ได้มีการบัญญัติรองรับเรื่องของการคืนอสังหาริมทรัพย์ให้เจ้าของเดิมหรือทายาทไว้
ในหมวด ๓ ต้ังแต่มาตรา ๕๒ ถึงมาตรา ๕๗ เป็นผลทําให้เจ้าของท่ีดินเดิมหรือทายาทสามารถร้องขอ
ต่อฝา่ ยปกครองเพื่อขอคืนที่ดินได้ตามหลักเกณฑ์ท่ีกําหนด และฝ่ายปกครองสามารถคืนที่ดินดังกล่าวได้
ภายใต้เง่ือนไขตามกฎหมายโดยไม่จําต้องฟ้องคดีต่อศาลเสมอไป และแม้กรณีอาจจะได้มีการฟ้องคดี
ต่อศาล ศาลก็จะมีแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยคดีประเภทน้ีตามหลักเกณฑ์ท่ีกฎหมายกําหนด
ซ่งึ ในเรื่องของการคนื อสงั หารมิ ทรัพย์ใหเ้ จา้ ของเดิมหรือทายาทอาจสรุปสาระสําคัญของกฎหมายไดด้ งั นี้
(๑) การใช้บทบัญญัติเกี่ยวกับการคืนอสังหาริมทรัพย์ให้เจ้าของหรือทายาท
ตามหมวด ๓ แหง่ พระราชบัญญตั ิว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซ่ึงอสังหารมิ ทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
๑) การคืนอสังหาริมทรพั ยต์ ามพระราชบัญญัตินี้ไม่ใช้บังคับกับอสังหาริมทรัพย์
ทไ่ี ดจ้ ากการซอื้ ขายตามหมวด ๔ การไดม้ าซ่งึ อสังหารมิ ทรัพย์โดยวิธีการซื้อขาย และท่ดี นิ ทไ่ี ด้จากการ
ซื้อขายตามมาตรา ๓๔ (กรณีจัดซ้ือท่ีดินส่วนที่เหลือเพ่ิมเติมตามคําขอ) เว้นแต่ในกรณีท่ีเจ้าของเดิม
หรอื ทายาทมที ด่ี นิ ท่ีมีการซ้ือขายตามมาตรา ๓๔ รวมเป็นแปลงเดียวกันกับท่ีดินที่ขอคืน และเจ้าหน้าที่
ยงั มิได้นาํ ท่ดี ินนั้นไปใชป้ ระโยชน์ ให้มสี ิทธขิ อคืนทด่ี ินดงั กล่าวได้ด้วย (มาตรา ๕๒ ประกอบกับมาตรา ๕๓
วรรคหนึง่ )
๒) ให้นําหมวด ๓ การคืนอสังหาริมทรัพย์ให้เจ้าของเดิมหรือทายาท มาใช้บังคับ
กับท่ีดินท่ีถูกเวนคืนนับแต่วันท่ีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๒๑ ใช้บังคับจนถึง
วันก่อนวันที่พระราชบัญญัตินใี้ ช้บงั คับด้วย โดยอนุโลม (มาตรา ๖๗)
(๒) ผ้มู สี ิทธิขอคนื ทดี่ ิน
ไดแ้ ก่ เจ้าของเดมิ ของทดี่ ินแปลงที่ขอคนื หรือทายาท (มาตรา ๕๓ วรรคหนึง่ )
หมายเหตุ
สิทธิการขอคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นสิทธิเฉพาะตัวจะโอนให้แก่บุคคลอ่ืนมิได้
(มาตรา ๕๗)
(๓) ทีด่ ินทเ่ี จ้าของเดมิ หรือทายาทมสี ิทธขิ อคนื ทดี่ นิ
ได้แก่ ที่ดินที่ไม่ได้นําไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนภายใน
ระยะเวลาตามมาตรา ๕๑ หรอื เหลอื จากการใชป้ ระโยชน์ (มาตรา ๕๓ วรรคหนง่ึ )
๒๑๖ รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
หมายเหตุ
๑) ในกรณีที่ได้เริ่มดําเนินการตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนแล้ว
แต่ยังไม่แล้วเสร็จ ไม่ว่าด้วยเหตุใดจนพ้นกําหนดระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง กฎหมายมิให้ถือว่ายังไม่ได้
นําไปใช้ประโยชน์ตามวรรคหนึ่ง (มาตรา ๕๓ วรรคสาม)
๒) ที่ดินที่ได้ใช้ตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนแล้ว หากในภายหลัง
หมดความจําเป็นในการใช้ตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว หรือเม่ือพ้นระยะเวลาตามวรรคสองแล้ว
เจ้าของเดมิ หรือทายาทไม่มสี ิทธขิ อคนื (มาตรา ๕๓ วรรคส่)ี
(๔) กาํ หนดระยะเวลาในการขอคืนทดี่ นิ
๑) เจ้าของเดิมหรือทายาทต้องยื่นคําร้องขอคืนต่อเจ้าหน้าที่ภายใน ๓ ปี
นับแต่วันพ้นกําหนดระยะเวลาตามมาตรา ๕๑ ตามแบบและวิธีการท่ีกําหนดในกฎกระทรวง
(มาตรา ๕๓ วรรคสอง)
๒) ในกรณีที่ได้เร่ิมดําเนินการตามวัตถุประสงค์แห่งการเวนคืนแล้ว
แต่ยังไม่แลว้ เสร็จ ระยะเวลาการยืน่ คาํ ร้องให้นับแตว่ ันทกี่ ารดาํ เนินการแลว้ เสร็จ (มาตรา ๕๓ วรรคสี่)
๓) กรณีที่เป็นการเวนคืนก่อนการใช้บังคับพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน
และการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ ระยะเวลา ๕ ปี หรือระยะเวลาท่ีกําหนดในพระราชบัญญัติ
เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ที่กําหนดไว้ในมาตรา ๕๑ และระยะเวลา ๓ ปี ตามมาตรา ๕๓ วรรคสอง
เฉพาะกรณีที่เหลอื จากการใชป้ ระโยชน์ให้นับแต่วันทพ่ี ระราชบัญญัตนิ ใี้ ชบ้ ังคับ (มาตรา ๖๗)
(๕) การพจิ ารณาคํารอ้ งขอคนื ทดี่ ิน
มีกระบวนการดังนี้
๑) ภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับคําร้องขอคืนท่ีดิน เจ้าหน้าท่ีต้องแต่งตั้ง
คณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย เจ้าหน้าที่เวนคืนเป็นประธานกรรมการ ผู้แทนสํานักงบประมาณ
ผู้แทนกรมธนารกั ษ์ ผู้แทนกรมที่ดิน และผู้แทนสํานกั งานการตรวจเงินแผ่นดนิ เป็นกรรมการ เพ่อื ทาํ หนา้ ที่
พิจารณาการคนื อสงั หาริมทรพั ยใ์ ห้แก่เจ้าของเดิมหรอื ทายาท (มาตรา ๕๕ วรรคหนึ่ง)
๒) คณะกรรมการท่ีเจ้าหน้าท่ีแต่งตั้งต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน ๑๒๐ วัน
นับแต่วันที่ได้รับแต่งต้ัง ในกรณีมีเหตุจําเป็น รัฐมนตรีจะขยายระยะเวลาการพิจารณาของคณะกรรมการ
ออกไปอีกได้ไมเ่ กิน ๖๐ วนั ในการนี้ ใหเ้ จา้ หน้าที่แจง้ ใหผ้ ู้ย่ืนคาํ รอ้ งขอทราบการขยายระยะเวลาด้วย
และเม่ือคณะกรรมการมีมติแล้ว เจ้าหน้าท่ีจะเป็นผู้แจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ยื่นคําร้องขอทราบภายใน
๑๕ วนั นบั แต่วนั ท่ีคณะกรรมการมมี ติ (มาตรา ๕๕ วรรคหนึง่ และวรรคสอง)
(๖) การฟ้องคดีต่อศาลเพื่อขอคืนทดี่ ิน
เจ้าของเดิมหรือทายาทซึ่งยื่นคําร้องขอคืนที่ดินผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัย
ของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๕ หรือในกรณีท่ีคณะกรรมการมิได้ดําเนินการภายในกําหนดเวลา
ตามมาตรา ๕๕ วรรคหน่ึง หรือระยะเวลาท่ีขยายตามมาตรา ๕๕ วรรคสอง เจ้าของเดิมหรือทายาทมีสิทธิ
รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๑๗
ฟ้องคดีต่อศาลปกครองได้ภายใน ๑๒๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งตามมาตรา ๕๕ วรรคหน่ึง
หรอื นับแตว่ นั ที่พน้ กําหนดเวลาทตี่ ้องดําเนินการ แลว้ แตก่ รณี (มาตรา ๕๖)
ข้อสงั เกต
๑) การฟ้องคดีโต้แย้งคําวินิจฉัยของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๕
ไม่ตอ้ งอุทธรณ์กอ่ นการฟ้องคดี
๒) กฎหมายกําหนดให้การฟ้องคดีกรณีนี้ให้ยื่นฟ้องต่อ “ศาลปกครอง”
ซง่ึ แมก้ ฎหมายจะไม่กาํ หนดไว้ ตามรูปคดีกเ็ ป็นคดพี ิพาททางปกครองท่ีหากมีข้อพิพาทในประเด็นดังกล่าว
ก็ต้องยน่ื ฟอ้ งคดตี ่อศาลปกครองอยูแ่ ลว้
๓) การฟ้องคดีโต้แย้งการกําหนดจํานวนเงินค่าทดแทนที่ต้องคืนในกรณีที่
คณะกรรมการตามมาตรา ๕๕ วินิจฉัยให้คืนที่ดิน ซ่ึงจะกล่าวถึงในหัวข้อต่อไป ไม่อยู่ภายใต้บังคับ
มาตรา ๕๖
(๗) การคนื เงินคา่ ทดแทนทีร่ บั ไปในกรณที ่มี ีการคืนทด่ี ิน
๑) หลักการคิดจํานวนเงินค่าทดแทนท่ีต้องคืน ต้องใช้ราคาเงินค่าทดแทน
ตามที่ได้รับไปพร้อมดอกเบ้ียในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันท่ีได้รับเงินค่าทดแทนหรือนับแต่
วันที่เจ้าหน้าที่วางเงินคา่ ทดแทนจนถงึ วันที่ยื่นคําร้องขอคนื (มาตรา ๕๔)
๒) หากปรากฏว่า เจ้าของเดิมหรือทายาทจะพิสูจน์ได้ว่า เงินค่าทดแทน
ที่จะต้องคืนเม่ือรวมกับดอกเบี้ยแล้วจะสูงกว่าราคาในท้องตลาดของท่ีดินที่ขอคืน ให้เจ้าของเดิมหรือ
ทายาทคืนเงินเท่าที่ไม่เกินราคาในท้องตลาดของที่ดินนั้น ท้ังนี้ โดยใช้ราคา ณ วันท่ียื่นคําร้องขอคืน
(มาตรา ๕๔)
ขอ้ สงั เกต
ในกรณที ี่เจ้าของเดมิ หรอื ทายาทขอคนื เงินไม่เกินราคาในท้องตลาดของที่ดิน
ผู้ท่ีจะวินิจฉัยคําขอ กฎหมายไม่ได้กําหนดให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการตามมาตรา ๕๕ จึงน่าจะเป็น
อํานาจของเจ้าหน้าท่ี ซ่ึงคําวินิจฉัยดังกล่าวเป็นการดําเนินการโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา ๕๔
จึงเป็นคําสั่งทางปกครอง ดังนั้น หากเจ้าหน้าท่ีมีคําวินิจฉัยจํานวนเงินท่ีต้องคืนแตกต่างไปจากคําขอ
ของเจ้าของเดิมหรือทายาท เมื่อพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๖๒ ไม่ได้บัญญัติเรื่องการอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวไว้เป็นการเฉพาะ กรณีจึงต้องอุทธรณ์
ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง และหากผู้ยื่นคําขอยังไม่พอใจคําวินิจฉัยอุทธรณ์
ยอ่ มสามารถนาํ คดมี ายื่นฟอ้ งต่อศาลปกครองได้
๓) ในกรณีท่ีจะต้องคืนท่ีดินให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาท กฎหมายกําหนดให้
เจ้าหน้าท่ีแจ้งให้เจ้าของเดิมหรือทายาททราบถึงจํานวนเงินค่าทดแทนพร้อมด้วยดอกเบ้ียที่จะต้องคืน
และแจ้งให้เจ้าของเดิมหรือทายาทกําหนดวันขอรับโอนท่ีดินและแจ้งให้เจ้าหน้าท่ีทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า
๑๕ วัน แต่ต้องไม่ช้ากว่า ๑๘๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ แต่ในกรณีมีเหตุจําเป็น เจ้าของเดิม
หรือทายาทจะขอขยายระยะเวลาออกไปอีกก็ได้ แต่ต้องแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบก่อนครบกําหนดเวลา
และเมอ่ื รวมเวลาที่ขอขยายแลว้ ตอ้ งไมเ่ กนิ ๓๖๐ วัน (มาตรา ๕๕ วรรคสาม)
๒๑๘ รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
๔) เจ้าของเดิมหรือทายาทผู้ใดไม่ไปรับโอนพร้อมท้ังชําระคืนเงินค่าทดแทน
และดอกเบีย้ ตามวันเวลาทตี่ นกําหนดหรือไม่แจ้งกําหนดวันขอรับโอนตามวรรคสาม ให้ถือว่าเจ้าของเดิม
หรือทายาทสละสทิ ธทิ ่ีจะขอคนื ทีด่ นิ นั้น (มาตรา ๕๕ วรรคหา้ )
(๘) การโอนคนื ท่ดี ิน (มาตรา ๕๕ วรรคสี่)
๑) การโอนท่ีดินคืนให้แก่เจ้าของเดิมหรือทายาทให้กระทําได้เมื่อเจ้าหน้าท่ี
ได้รับเงนิ คา่ ทดแทนและดอกเบยี้ แลว้
๒) ให้เจ้าหน้าที่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม
ตามประมวลกฎหมายท่ีดิน และได้รับการยกเว้นค่าอากรแสตมป์โดยให้ดําเนินการตามท่ีกําหนด
ในประมวลรษั ฎากร
๓) ในกรณีท่ีดินท่ีจะโอนนั้นตกเป็นท่ีราชพัสดุแล้ว ให้โอนได้โดยไม่ต้อง
ดําเนนิ การตามกฎหมายวา่ ดว้ ยที่ราชพสั ดุ
๗. การไดม้ าซึง่ อสงั หาริมทรัพย์โดยวธิ ีการซ้อื ขาย
ในส่วนของหมวด ๔ การไดม้ าซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยวิธีการซ้ือขาย (มาตรา ๕๘-
มาตรา ๖๑) เป็นเรื่องท่ีไม่เคยกําหนดไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
โดยมีหลักการสําคัญว่า ในกรณีที่รัฐมีความจําเป็นต้องได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์เพื่อใช้ประโยชน์
อันเกี่ยวเนื่องกับกิจการของเจ้าหน้าที่ แต่กิจการนั้นมิใช่กิจการอันอาจเวนคืนได้ตามมาตรา ๗
ให้เจ้าหน้าที่มีอํานาจดําเนินการซ้ือขายอสังหาริมทรัพย์ตามวิธีการท่ีบัญญัติไว้ในหมวดน้ีได้ โดยมิต้อง
ปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ ท้ังน้ี การซื้อขายตามบทบัญญัติ
ในหมวดนี้เป็นเร่ืองของการซื้อขายโดยสมัครใจ ไม่ใช่การใช้อํานาจตามกฎหมายบังคับเอากับเจ้าของ
อสังหาริมทรัพย์ แต่เป็นบทบัญญัติที่ให้อํานาจเจ้าหน้าที่สามารถดําเนินการซ้ือขายโดยลดข้ันตอน
การปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ โดยกําหนดให้อสังหาริมทรัพย์
ที่จัดซื้อตกเป็นกรรมสิทธ์ิของเจ้าหน้าที่หรือกระทรวงการคลัง แล้วแต่กรณี และจะนําไปใช้เพื่อการใด
อันอยู่ในขอบวัตถุประสงค์หรือหน้าท่ีและอํานาจของเจ้าหน้าท่ี และภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย
จะโอนให้แก่หน่วยงานอื่นของรัฐก็ได้ ทั้งนี้ การซื้อขายตามวรรคหนึ่งให้ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียม
การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมตามประมวลกฎหมายที่ดิน และได้รับยกเว้นค่าอากรแสตมป์
โดยให้ดาํ เนินการตามทก่ี าํ หนดในประมวลรษั ฎากร ซงึ่ ในทน่ี ้จี ะไม่ขอกล่าวถึงรายละเอยี ด
ข้อสงั เกต
การซื้อขายที่จะดําเนินการตามหมวด ๔ การได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์โดยวิธีการ
ซอ้ื ขายน้ี จะดําเนินการไดเ้ ฉพาะกรณอี สงั หารมิ ทรัพย์อยู่ภายในแนวเขตตามพระราชกฤษฎีกากําหนด
เขตที่ดนิ ทจี่ ะเวนคืนเทา่ น้นั
รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๑๙
๘. การจดทะเบียนสิทธแิ ละนติ กิ รรม
บทกฎหมายท่เี กย่ี วข้อง ได้แก่ มาตรา ๖๒
มาตรา ๖๒ เมื่อกรรมสิทธ์ิในอสังหาริมทรัพย์ตกเป็นของเจ้าหน้าที่ตามมาตรา ๒๕
มาตรา ๓๑ มาตรา ๓๒ มาตรา ๓๔ หรือมาตรา ๕๙ วรรคสอง แลว้ แต่กรณี ให้เจ้าหน้าที่มีหนังสือแจ้ง
การได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์ พร้อมท้ังเอกสารหรือหลักฐานที่เกี่ยวข้อง ให้พนักงานเจ้าหน้าที่
ตามมาตรา ๗๑ แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน แก้ไขหลักฐานทางทะเบียนหรือดําเนินการโอนหรือ
ออกหนงั สอื แสดงสิทธิในทด่ี ินใหถ้ กู ตอ้ งตามที่พนกั งานเจ้าหนา้ ทีไ่ ด้รังวัดตามมาตรา ๑๕
เพ่ือประโยชน์ในการดําเนินการตามวรรคหน่ึง ให้ถือว่าหนังสือแจ้งของเจ้าหน้าท่ี
เป็นคําขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือเพ่ือให้ออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินตามประมวลกฎหมาย
ท่ีดิน
ในส่วนของหมวด ๕ การจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรม มาตรา ๖๒ กําหนดให้
เจ้าหน้าท่ีดําเนินการให้มีการแก้ไขหลักฐานทางทะเบียนหรือดําเนินการโอนหรือออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในที่ดินแต่เพียงฝ่ายเดียวได้โดยมีหนังสือแจ้งการได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์ พร้อมทั้งเอกสารหรือ
หลักฐานท่ีเก่ียวข้อง ให้พนักงานเจ้าหน้าท่ีตามมาตรา ๗๑ แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน โดยกฎหมาย
ให้ถือว่าหนังสือแจง้ ของเจ้าหน้าที่เป็นคําขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมหรือเพ่ือให้ออกหนังสือแสดงสิทธิ
ในที่ดินตามประมวลกฎหมายทด่ี นิ
๙. สทิ ธขิ องผูค้ รอบครองอสังหาริมทรพั ยใ์ นทดี่ นิ ท่ีไมม่ หี นงั สือแสดงสิทธิในที่ดนิ
บทกฎหมายทีเ่ กยี่ วขอ้ ง ได้แก่ มาตรา ๖๓
มาตรา ๖๓ ในกรณีที่ที่ดินไม่มีหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดิน ให้เจ้าหน้าที่แต่งต้ัง
คณะกรรมการขึ้นคณะหนึ่ง ประกอบด้วย นายอําเภอหรือผู้อํานวยการเขตแห่งท้องที่ท่ีท่ีดินน้ันตั้งอยู่
ผู้แทนกรมธนารักษ์ ผู้แทนกรมที่ดิน ผู้ใหญ่บ้านในท้องที่ที่ท่ีดินนั้นตั้งอยู่ และผู้แทนของเจ้าหน้าท่ี
เพ่ือดําเนินการสอบสวนให้ทราบถึงผู้มีสิทธิในท่ีดินดังกล่าว หากผลการสอบสวนปรากฏว่า ท่ีดินน้ัน
ไม่ใช่ท่ีดินของรัฐและทราบถึงผู้มีสิทธิในท่ีดินน้ัน ให้ดําเนินการเก่ียวกับอสังหาริมทรัพย์ตามท่ีกําหนดไว้
ในหมวด ๑ การไดม้ าซงึ่ อสงั หารมิ ทรพั ย์โดยการเวนคืน ต่อไป
หากผลการสอบสวนตามวรรคหน่ึงไม่ปรากฏว่าผู้ใดเป็นผู้มีสิทธิในที่ดินน้ัน
ใหค้ ณะกรรมการตามวรรคหนึ่งพจิ ารณาสั่งการตามที่เห็นสมควร และให้ปิดประกาศเพื่อให้ผู้มีส่วนได้เสีย
มีโอกาสคัดค้านเป็นเวลาเก้าสิบวัน ณ สถานท่ีตามมาตรา ๑๑ หากไม่มีผู้คัดค้านภายในระยะเวลาที่กําหนด
ใหน้ ําความในมาตรา ๑๗ (๓) และวรรคสอง มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม
ในกรณที ี่อสังหาริมทรัพย์อยู่ในท่ีดินของรัฐ หากเป็นผู้ครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย
ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๑๙ กําหนดเงินค่าทดแทนให้แก่บุคคลดังกล่าว แต่หากบุคคลดังกล่าว
ไมส่ ามารถแสดงได้วา่ ตนเปน็ ผูค้ รอบครองโดยชอบด้วยกฎหมาย ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๑๙ กําหนด
๒๒๐ รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
เงินค่าชดเชย เป็นค่าต้นไม้ยืนต้นและพืชล้มลุก ค่าร้ือย้ายโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง และค่าขนย้ายให้แก่
ผูค้ รอบครองทดี่ นิ ดงั กลา่ วตอ่ ไป แต่ต้องไมส่ ูงกวา่ ราคาทีก่ ําหนดตามมาตรา ๒๐
จากบทบัญญัติมาตรา ๖๓ แยกพจิ ารณาได้ ๓ กรณี ดังนี้
(๑) กรณีผลการสอบสวนปรากฏว่า ที่ดินนั้นไม่ใช่ที่ดินของรัฐและทราบถึงผู้มีสิทธิ
ในทด่ี ินนน้ั ใหด้ ําเนินการเกี่ยวกบั อสงั หารมิ ทรพั ยต์ ามท่กี าํ หนดไวใ้ นหมวด ๑ การไดม้ าซงึ่ อสังหาริมทรัพย์
โดยการเวนคืนตอ่ ไป
(๒) กรณีที่อสังหาริมทรัพย์อยู่ในท่ีดินของรัฐ หากเป็นผู้ครอบครองโดยชอบ
ดว้ ยกฎหมายให้คณะกรรมการตามมาตรา ๑๙ กําหนดเงนิ คา่ ทดแทนใหแ้ ก่บคุ คลดงั กล่าว
(๓) กรณีที่ผู้อยู่ในที่ดินของรัฐ ไม่สามารถแสดงได้ว่าตนเป็นผู้ครอบครอง
โดยชอบด้วยกฎหมาย ให้คณะกรรมการตามมาตรา ๑๙ กําหนดเงินค่าชดเชย เป็นค่าต้นไม้ยืนต้น
และพชื ล้มลุก ค่ารอ้ื ยา้ ยโรงเรือนและส่งิ ปลกู สรา้ ง และคา่ ขนยา้ ยใหแ้ ก่ผูค้ รอบครองทีด่ นิ ดงั กล่าวตอ่ ไป
๑๐. บทกําหนดโทษทางปกครองแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ท่ีไม่สามารถดําเนินการ
ตามกําหนดระยะเวลาได้
พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
มีบทกําหนดโทษทางปกครองแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ที่ไม่สามารถดําเนินการตามกําหนดระยะเวลาได้
ในกรณีดังต่อไปน้ี
(๑) กรณที ่ีเจ้าหน้าที่ดําเนินการสาํ รวจเพื่อให้ทราบถึงอสังหาริมทรัพย์ท่ีต้องได้มา
โดยแน่ชัดไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาการใช้บังคับพระราชกฤษฎีกาตามมาตรา ๘ (๒) และมิได้
มีการเสนอให้มีการตราพระราชกฤษฎีกาข้ึนใหม่ภายในกําหนดเวลา ถ้าเกิดความเสียหายแก่รัฐ
เปน็ จาํ นวนเท่าใด ให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าดว้ ยความรบั ผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ (มาตรา ๑๐
วรรคสาม)
(๒) กรณีท่ีพนักงานเจ้าหน้าที่ไม่สามารถจ่ายเงินค่าทดแทนให้แก่เจ้าของได้ภายใน
กําหนดเวลาตามมาตรา ๒๕ วรรคสอง หรือไม่สามารถวางเงินค่าทดแทนตามมาตรา ๔๕ วรรคสอง
โดยมิใช่ความผิดของผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน และได้มีการจ่ายดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดคร่ึงต่อปี
ให้แก่ผู้มีสิทธิรับเงินค่าทดแทนนับแต่วันที่ครบกําหนดต้องจ่ายจนถึงวันที่จ่ายเงินหรือวางเงิน
คา่ ทดแทนแลว้ ใหด้ าํ เนินการตามกฎหมายว่าด้วยความรบั ผิดทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ที่ (มาตรา ๔๗)
(๓) ดอกเบ้ียที่ต้องชําระเนื่องจากรัฐมนตรีหรือศาลวินิจฉัยให้จ่ายเงินค่าทดแทน
เพ่ิมขึ้น ถ้าเป็นกรณีที่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือรัฐมนตรีมิได้เสนอความเห็นหรือสั่งการ
ภายในกําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง หรือเจ้าหน้าท่ีท่ีเก่ียวข้องมิได้ดําเนินการภายใน
กําหนดเวลาตามมาตรา ๔๙ วรรคสาม เม่ือชําระให้เจ้าของแล้วให้ดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วย
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหนา้ ท่ี (มาตรา ๕๐ วรรคสาม)
รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๒๑
บทสรุป
จากท่ีกล่าวมาท้ังหมดจะเห็นได้ว่าพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มา
ซ่ึงอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ มีหลักการใหม่เพิ่มเติมไปจากท่ีเคยกําหนดไว้ในพระราชบัญญัติว่าด้วย
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์หลายเร่ือง ซ่ึงหากพิจารณาในภาพรวมเห็นได้ว่า กฎหมายน้ีมีบทบัญญัติ
ท่ีให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนผู้ถูกเวนคืนมากข้ึนกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของเงินค่าทดแทน
ท่ีน่าจะมีความเป็นธรรมมากขึ้น ได้รับเงินค่าทดแทนเร็วขึ้น อาจได้รับการชดเชยเป็นที่ดินในบริเวณ
ใกล้เคียงกับที่อยู่อาศัยเดิม อันถือได้ว่าเป็นมาตรการใหม่ท่ีจะช่วยลดความเดือดร้อนเสียหายจากการ
เวนคืนของผู้ถูกเวนคืน นอกจากน้ี ที่สําคัญอีกเรื่อง คือ การที่เจ้าของหรือทายาทมีสิทธิขอคืนท่ีดิน
ที่ถูกเวนคืนไปแล้วท่ีรัฐไม่ได้ใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืนหรือที่เหลือจากการใช้ประโยชน์
ตามวัตถุประสงค์ของการเวนคืน ซึ่งในอดีตแม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหลายฉบับจะได้บัญญัติ
รับรองสิทธิดังกล่าวไว้ และศาลปกครองก็ได้พิจารณาพิพากษาให้มีการคืนที่ดินในกรณีดังกล่าว
จํานวนหนึ่งโดยอาศัยบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยโดยตรง แต่ก็มิได้มีบทกฎหมาย
ระดับพระราชบัญญัติรองรับหรือกําหนดแนวทางในการพิจารณาในเร่ืองดังกล่าวไว้ ซ่ึงการท่ีกฎหมายใหม่
ไดบ้ ัญญตั ริ ับรองเก่ยี วกบั เรือ่ งนี้ไวแ้ สดงให้เห็นว่าฝ่ายนิติบัญญัติให้ความสําคัญเกี่ยวกับเร่ืองน้ี ซ่ึงจะทําให้
ศาลปกครองมกี รอบหรอื แนวทางในการพิจารณาเกย่ี วกับเรื่องของการขอคนื ที่ดินท่ชี ัดเจนย่ิงข้ึน
ในส่วนของประโยชน์ของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีเก่ียวข้อง
กฎหมายใหม่ก็มเี นือ้ หาใหมห่ ลายเรื่องท่ีน่าจะช่วยแก้ปัญหาในทางปฏิบัติของการเวนคืน ทําให้การได้มา
ซ่ึงอสังหาริมทรัพย์สําหรับใช้ในกิจการบริการสาธารณะในโครงการของรัฐมีความรวดเร็วย่ิงขึ้น
โดยลดข้นั ตอนในบางเรอื่ งลง และกําหนดมาตรการหรอื กลไกในการดาํ เนนิ การเวนคืนอสงั หารมิ ทรัพย์
ให้มีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการกําหนดให้มีการดําเนินการตามกฎหมายว่าด้วย
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ีในกรณีที่เจ้าหน้าท่ีผู้เกี่ยวข้องดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ล่าช้า
ในกระบวนการที่กฎหมายกําหนด ด้วยวัตถุประสงค์จะให้การดําเนินการเวนคืนเป็นไปด้วยความรวดเร็วนี้
ผู้เขียนเห็นว่า น่าจะก่อให้เกิดปัญหามากกว่า ท้ังในเร่ืองของขวัญและกําลังใจของผู้ปฏิบัติ รวมไปถึง
ประสิทธิภาพในการทํางาน เน่ืองจากกังวลท่ีจะถูกดําเนินการเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิด
กรณีอาจเกิดสภาวะปัดงานให้พ้นตัว สักแต่ว่าทํางานในหน้าท่ีให้แล้วเสร็จ หากผู้ถูกเวนคืนไม่พอใจ
ในจํานวนเงินค่าทดแทน ก็ให้ไปฟ้องคดีต่อศาล ซ่ึงเป็นสิ่งท่ีไม่ควรเกิดขึ้น อีกท้ัง ผู้เขียนยังเห็นว่า
การบัญญัติกฎหมายเช่นนี้ เป็นการเบ่ียงเบนไปจากเจตนารมณ์ด้ังเดิมของพระราชบัญญัติว่าด้วยความรับผิด
ทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ท่ีมุ่งจะคุ้มครองเจ้าหน้าท่ีจากความรับผิดทางละเมิดในกรณีท่ีได้
ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ดังหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าว ที่บัญญัติว่า “เหตุผลในการ
ประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับน้ี คือ การที่เจ้าหน้าท่ีดําเนินกิจการต่าง ๆ ของหน่วยงานของรัฐนั้น
หาได้เป็นไปเพื่อประโยชน์อันเป็นการเฉพาะตัวไม่ การปล่อยให้ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี
ในกรณีที่ปฏิบัติงานในหน้าท่ีและเกิดความเสียหายแก่เอกชนเป็นไปตามหลักกฎหมายเอกชน
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จึงเป็นการไม่เหมาะสมก่อให้เกิดความเข้าใจผิดว่า เจ้าหน้าท่ี
จะต้องรับผิดในการกระทําต่าง ๆ เป็นการเฉพาะตัวเสมอไป เม่ือการท่ีทําไปทําให้หน่วยงานของรัฐ
๒๒๒ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ต้องรบั ผิดต่อบุคคลภายนอกเพียงใดก็จะมีการฟ้องไล่เบ้ียเอาจากเจ้าหน้าท่ีเต็มจํานวนนั้น ท้ังท่ีบางกรณี
เกิดข้นึ โดยความไมต่ ั้งใจหรือความผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในการปฏิบัติหน้าท่ี นอกจากนั้น ยังมีการนําหลัก
เรื่องลูกหน้ีรว่ มในระบบกฎหมายแพ่งมาใชบ้ งั คับ ให้เจ้าหนา้ ทต่ี ้องร่วมรับผิดในการกระทําของเจ้าหน้าที่
ผู้อ่ืนด้วย ซ่ึงระบบน้ันมุ่งหมายแต่จะได้เงินครบโดยไม่คํานึงถึงความเป็นธรรมที่จะมีต่อแต่ละคน
กรณีเป็นการก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่เจ้าหน้าที่และยังเป็นการบ่ันทอนกําลังขวัญในการทํางาน
ของเจ้าหน้าที่ด้วย จนบางครั้งกลายเป็นปัญหาในการบริหารเพราะเจ้าหน้าท่ีไม่กล้าตัดสินใจ
ดําเนินงานเท่าที่ควร เพราะเกรงความรับผิดชอบท่ีจะเกิดแก่ตน อนึ่ง การให้คุณให้โทษแก่เจ้าหน้าท่ี
เพ่ือควบคุมการทํางานของเจ้าหน้าท่ียังมีวิธีการในการบริหารงานบุคคลและการดําเนินการทางวินัย
กํากับดูแลอีกส่วนหน่ึง อันเป็นหลักประกันมิให้เจ้าหน้าท่ีทําการใด ๆ โดยไม่รอบคอบอยู่แล้ว ดังน้ัน
จึงสมควรกําหนดให้เจ้าหน้าท่ีต้องรับผิดทางละเมิดในการปฏิบัติงานในหน้าท่ีเฉพาะเม่ือเป็นการจงใจ
กระทําเพื่อการเฉพาะตัว หรือจงใจให้เกิดความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงเท่านั้น
และใหแ้ บง่ แยกความรบั ผิดของแต่ละคนมิให้นําหลกั ลูกหน้รี ่วมมาใช้บังคับ ท้ังน้ี เพ่ือให้เกิดความเป็นธรรม
และเพ่ิมพนู ประสทิ ธิภาพในการปฏบิ ัติงานของรัฐ จึงจําเปน็ ตอ้ งตราพระราชบญั ญัตนิ ้ี”
โดยท่ีพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซ่ึงอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
มีรายละเอียดของเนื้อหาค่อนข้างมาก ซึ่งผลการศึกษาในเบื้องต้นของผู้เขียนพบว่า มีหลายเร่ือง
อาจมีปัญหาในทางปฏิบัติดังที่ได้นําเสนอไว้แล้ว และบางเรื่องดูเหมือนจะเป็นการบัญญัติกฎหมาย
ที่อาจมีลักษณะกระทบต่อสิทธิของผู้ถูกเวนคืน ซ่ึงเดิมเคยมีอยู่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืน
อสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ดังเช่นในเร่ืองของเงินค่าทดแทน ในกรณีที่มีการตราพระราชบัญญัติ
เวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไม่ว่าจะเป็นกรณีที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ระบุหรือไม่ระบุ
จํานวนเงนิ คา่ ทดแทนกต็ าม พระราชบัญญตั ิวา่ ดว้ ยการเวนคืนและการไดม้ าซง่ึ อสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
ก็ไม่ได้บัญญัติถึงสิทธิของผู้ที่ไม่พอใจจํานวนเงินค่าทดแทนไว้ทั้งการอุทธรณ์และการฟ้องคดีต่อศาล
ซ่ึงในกรณีที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ไม่ระบุจํานวนเงินค่าทดแทนไว้ ผู้มีสิทธิได้รับเงิน
ค่าทดแทนท่ีไม่พอใจจํานวนเงินค่าทดแทนน่าจะอุทธรณ์การกําหนดจํานวนเงินค่าทดแทนตามกฎหมาย
ว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองและสามารถฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามกฎหมายว่าด้วยการจัดตั้ง
ศาลปกครองได้ แต่ก็ยังมีข้อลักล่ันกับกรณีท่ีมีการตราพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตท่ีดินท่ีจะเวนคืน
ในกรณีหลังนี้ พระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มาซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒
กาํ หนดสิทธิการไดร้ บั ดอกเบยี้ ในอตั ราสงู สุดของดอกเบ้ยี เงนิ ฝากประเภทฝากประจําของธนาคารออมสิน
ในจํานวนเงินค่าทดแทนที่รัฐมนตรีหรือศาลวินิจฉัยให้เพิ่มขึ้นไว้ด้วย ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงกรณีท่ีมีการตรา
พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ นอกจากนี้ ในกรณีที่พระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
ระบุจํานวนเงินค่าทดแทน หากผู้มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนไม่พอใจจํานวนเงินค่าทดแทนท่ีกําหนดไว้
ในพระราชบัญญัติ ก็จะเป็นกรณีท่ีมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความชอบของกฎหมายระดับพระราชบัญญัติ
ซ่ึงไม่อยู่ในอํานาจการพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง ซ่ึงผู้เขียนเห็นว่า กรณีนี้ผู้มีสิทธิได้รับเงิน
ค่าทดแทนท่ีไม่พอใจจํานวนเงินค่าทดแทนน่าจะสามารถย่ืนคําร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า
มีกรณีท่ีตนถูกละเมิดสิทธิโดยมีการตราพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ในส่วนของการกําหนด
รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๒๓
เงนิ ค่าทดแทนท่เี ปน็ การกระทําท่ขี ดั หรอื แยง้ ต่อรฐั ธรรมนูญตามนัยมาตรา ๗ (๑๑)๑๑ แห่งพระราชบัญญัติ
ประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๖๑ ได้ โดยจะต้องยื่นคําร้อง
ต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเสียก่อน ตามมาตรา ๔๖๑๒ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน อย่างไรก็ดี เรื่องนี้
เปน็ เพยี งความเหน็ ส่วนตวั ของผู้เขยี น ซ่งึ คงตอ้ งรอดกู ารปฏิบัตใิ นเรื่องน้ีของหนว่ ยงานที่เกย่ี วขอ้ ตอ่ ไป
สําหรับการพิจารณาคดีของศาลปกครอง โดยเฉพาะอย่างย่ิงในเร่ืองของข้อพิพาท
เกี่ยวกับเงินค่าทดแทน แม้ในขณะนี้จะยังไม่มีการตรากฎหมายลําดับรองตามท่ีกฎหมายน้ีกําหนด
แต่หลักการสําคัญในการพิจารณาก็ได้มีการบัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติอยู่แล้ว ซึ่งสาระสําคัญส่วนใหญ่
ยังมีความใกล้เคียงกับที่มีการบัญญัติในพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า ขณะน้ีแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดเกี่ยวกับการกําหนดเงินค่าทดแทน
น่าจะยังคงใช้บรรทัดฐานเดิมได้ เพียงแต่อาจต้องปรับบทกฎหมายให้ตรงกับกฎหมายใหม่ อย่างไรก็ดี
เมื่อกฎหมายลําดับรองมีผลใช้บังคับแล้ว คงต้องพิจารณาตามกฎหมายลําดับรองในเรื่องน้ีด้วย
เนื่องจากอาจมีบทบญั ญัตทิ เ่ี ป็นการกําหนดกรอบการใชด้ ุลพินิจของศาล
นอกจากน้ี กรณีอาจมีปัญหาต้องพิจารณาเกี่ยวกับสิทธิการได้รับเงินค่าทดแทนว่า
ในกรณีทีต่ ามพระราชบัญญัติวา่ ดว้ ยการเวนคนื อสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ บุคคลท่ีได้รับผลกระทบ
จากการเวนคืนไม่มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน แต่ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนและการได้มา
ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๖๒ บัญญัติให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน เช่นนี้
หากปัจจุบัน คดียังอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล ศาลจะพิพากษาให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับเงิน
ค่าทดแทนหรือไม่ เช่น กรณีของผู้เช่าที่ดิน โรงเรือน หรือส่ิงปลูกสร้างอย่างอื่นในท่ีดินท่ีต้องเวนคืน
๑๑-๑๒ พระราชบญั ญตั ิประกอบรัฐธรรมนญู วา่ ด้วยวิธีพจิ ารณาของศาลรัฐธรรมนญู พ.ศ. ๒๕๖๑
มาตรา ๗ ให้ศาลมหี นา้ ท่แี ละอาํ นาจพจิ ารณาวินิจฉยั คดี ดงั ต่อไปน้ี
ฯลฯ ฯลฯ
(๑๑) คดีท่ีผู้ถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญคุ้มครองไว้ร้องขอว่าการกระทําน้ันขัดหรือแย้ง
ต่อรฐั ธรรมนญู
ฯลฯ ฯลฯ
มาตรา ๔๖ บุคคลซ่ึงถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรงและได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหาย
หรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงได้อันเน่ืองจากการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพน้ัน ย่อมมีสิทธิ
ยื่นคําร้องขอให้ศาลพิจารณาวินิจฉัยคดีตามมาตรา ๗ (๑๑) ได้ โดยจะต้องย่ืนคําร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเสียก่อน
ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันท่ีรู้หรือควรรู้ถึงการถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพดังกล่าว เว้นแต่การละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพนั้น
ยงั คงมอี ยกู่ ใ็ หย้ นื่ คาํ รอ้ งไดต้ ราบทก่ี ารละเมิดสทิ ธิหรือเสรีภาพน้ันยังคงมีอยู่ และให้นําความในมาตรา ๔๘ วรรคหน่ึง
และวรรคสอง มาใช้บังคับด้วยโดยอนุโลม โดยต้องยื่นคําร้องต่อศาลภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งความเห็น
ของผตู้ รวจการแผ่นดิน หรอื วันที่พ้นกาํ หนดเวลาที่ผตู้ รวจการแผน่ ดินไม่ย่นื คาํ ร้องต่อศาลตามมาตรา ๔๘ วรรคสอง
ภายใต้บังคับมาตรา ๔๒ การย่ืนคําร้องตามวรรคหน่ึง ต้องระบุการกระทําท่ีอ้างว่าเป็นการละเมิด
สิทธหิ รอื เสรีภาพของตนโดยตรงใหช้ ัดเจนวา่ เป็นการกระทาํ ใดและละเมิดต่อสิทธิหรือเสรภี าพของตนอย่างไร
ในกรณีท่ีศาลเห็นว่าคําร้องตามวรรคหนึ่งไม่เป็นสาระอันควรได้รับการวินิจฉัย ศาลจะไม่รับคําร้อง
ดงั กลา่ วไว้พิจารณากไ็ ด้ และถ้าศาลเห็นวา่ เปน็ กรณตี ้องหา้ มตามมาตรา ๔๗ ใหศ้ าลส่งั ไม่รับคํารอ้ งไวพ้ จิ ารณา
๒๒๔ รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ซึ่งตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ การเช่าน้ันต้องมีหลักฐาน
เป็นหนังสือ จึงจะมีสทิ ธิไดร้ ับเงินค่าทดแทน แต่ตามกฎหมายใหม่กําหนดให้แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
ก็มีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทน เพียงแต่มีสิทธิได้รับเฉพาะค่าขนย้ายเท่าน้ัน เช่นน้ีจะวินิจฉัยอย่างไร
ในกรณีนี้ ตามหลักการแล้วน่าจะต้องพิจารณาตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในขณะท่ีดําเนินการเวนคืน
ด้วยเหตุน้ี ในกรณีที่เป็นการเวนคืนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
ผู้เช่าท่ีไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือไม่น่าจะมีสิทธิได้รับเงินค่าทดแทนใด ๆ แม้ว่ารัฐธรรมนูญจะบัญญัติ
รับรองสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลก็ตาม การจะขยายความเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ถูกเวนคืน
โดยครอบคลุมไปถึงบุคคลดังกล่าวด้วยน่าจะเกิดผลกระทบมากกว่า ซ่ึงกรณีอาจจะเกิดปัญหา
ในทางงบประมาณในการดําเนินโครงการเวนคืน โดยงบประมาณท่ีต้องใช้อาจจะเกินไปกว่า
ทป่ี ระมาณการไว้
รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๒๕
คดพี พิ าทเกี่ยวกบั การพสั ดุ
เร่ืองท่ี ๑๑ การอุทธรณ์และการร้องเรียนตามกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหาร
พสั ดภุ าครฐั
ในอดีตที่ผ่านมา การจัดซื้อจัดจ้างหรือการพัสดุภาครัฐในประเทศไทยมีการกําหนด
หลักเกณฑ์และวิธีการจัดซ้ือจัดจ้างไว้ให้หน่วยงานของรัฐต้องปฏิบัติตาม โดยคณะรัฐมนตรีได้อาศัย
อํานาจบังคับบัญชามีมติให้ส่วนราชการในราชการส่วนกลางและราชการส่วนภูมิภาคปฏิบัติตาม
ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ ซึ่งมีผลใช้บังคับกับส่วนราชการเท่าน้ัน ไม่มีผลใช้บังคับ
กับผู้ประกอบการเอกชนโดยตรง ในส่วนของการจัดซื้อจัดจ้างขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในฐานะผู้กํากับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินก็ได้ออกระเบียบ
กระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการพัสดุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยอิงระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยการพัสดุ ในส่วนของรัฐวิสาหกิจ คณะกรรมการของรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งก็ได้ออกข้อบังคับ
ว่าด้วยการพัสดุข้ึนใช้บังคับกับแต่ละรัฐวิสาหกิจ โดยอิงระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ
เช่นเดียวกัน ซ่ึงระเบียบว่าด้วยการพัสดุดังกล่าวได้ใช้บังคับมานานแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๕
โดยมไิ ด้มีการแก้ไขปรับปรุงให้ทันสมัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล จนกระท่ังในปัจจุบันได้มีการตรา
พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ขึ้นใช้บังคับ๑ โดยมีเหตุผล
ในการประกาศใช้พระราชบัญญัติฉบับนี้ว่า “เพ่ือให้การดําเนินการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
มีกรอบการปฏิบัติงานที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยการกําหนดเกณฑ์มาตรฐานกลางเพื่อให้หน่วยงาน
ของรัฐทุกแห่งนําไปใช้เป็นหลักปฏิบัติ โดยมุ่งเน้นการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนให้มากที่สุด
เพ่ือให้เกิดความโปร่งใสและเปิดโอกาสให้มีการแข่งขันอย่างเป็นธรรม มีการดําเนินการจัดซ้ือจัดจ้าง
ท่ีคํานึงถึงวัตถุประสงค์ของการใช้งานเป็นสําคัญซึ่งจะก่อให้เกิดความคุ้มค่าในการใช้จ่ายเงิน
มีการวางแผนการดําเนินงานตามหลักธรรมาภิบาล มีการส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีส่วนร่วมในการ
ตรวจสอบการจัดซ้ือจัดจ้างภาครัฐซึ่งเป็นมาตรการหนึ่งเพื่อป้องกันปัญหาการทุจริตและประพฤติมิชอบ
ในการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ ประกอบกับมาตรการอ่ืน ๆ เช่น การจัดซ้ือจัดจ้างด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์
ซึ่งจะทําให้เกิดความโปร่งใสในการดําเนินการจัดซ้ือจัดจ้างภาครัฐ อันจะเป็นการสร้างความเชื่อมั่น
ให้กับสาธารณชนและก่อให้เกิดผลดีกับการจัดซ้ือจัดจ้างภาครัฐให้เป็นท่ียอมรับโดยทั่วไป จึงจําเป็นต้อง
ตราพระราชบัญญัติน้ี” ทั้งน้ี ได้มีการออกกฎกระทรวงตามพระราชบัญญัติดังกล่าวรวม ๗ ฉบับ
พิศารยา เลิศรัฐการ และธันวรัตน์ ธนพิทักษ์ ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่
ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๒ ประจําวนั ที่ ๑๕ ตลุ าคม ๒๕๖๒
๑ ชาญชัย แสวงศักด,ิ์ กฎหมายปกครองเกย่ี วกับการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ (พิมพ์คร้ังท่ี ๓),
กรงุ เทพ : วญิ ญชู น, ๒๕๖๑, หน้า ๕-๖.
๒๒๖ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และต่อมารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง
และการบริหารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ โดยมีผลใช้บงั คับต้ังแต่วนั ท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๖๐
พระราชบัญญัติการจัดซื้อจดั จา้ งและการบรหิ ารพสั ดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ มีขอบเขต
การบังคับใช้กับ “หน่วยงานของรัฐ”๒ ท้ังหมดท่ีใช้เงินงบประมาณแผ่นดินในการจัดซ้ือจัดจ้าง
ไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน รัฐวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยในกํากับของรัฐ
องค์การมหาชน หน่วยงานธุรการของรัฐสภา หน่วยธุรการของศาล หน่วยงานธุรการขององค์กรอิสระ
และหน่วยงานอื่นตามที่กําหนดในกฎกระทรวง โดยให้ยกเลิกบทบัญญัติเก่ียวกับการพัสดุในกฎหมาย
ระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ ข้อบัญญัติ และข้อกําหนดใด ๆ ของหน่วยงานของรัฐท่ีอยู่ภายใต้บังคับ
ของพระราชบัญญัตินี้ และโดยท่ีพระราชบัญญัติน้ี รวมท้ังกฎกระทรวงและระเบียบกระทรวงการคลัง
ได้กําหนดหลักเกณฑ์และกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างรวมถึงการบริหารพัสดุภาครัฐข้ึนใหม่ซึ่งมีสาระสําคัญ
แตกต่างไปจากหลักเกณฑ์เดิมเป็นอย่างมาก ประกอบกับการจัดซื้อจัดจ้างน้ันมีการดําเนินการ
หลายข้ันตอน และเก่ียวข้องกับกฎหมาย ระเบียบหลักเกณฑ์ต่าง ๆ หลายประการ หน่วยงานของรัฐ
จึงมีโอกาสในการใช้ดุลพินิจได้ในหลายกรณี ดังนั้น จึงอาจเกิดกรณีโต้แย้งอันเกิดจากการดําเนินการ
หรือการใช้ดุลพินิจดังกล่าวในกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างได้ง่าย พระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและ
การบรหิ ารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ จงึ มบี ทบัญญัติเกี่ยวกับการอุทธรณ์ไว้โดยเฉพาะ ซ่ึงแตกต่างจาก
ระเบยี บสาํ นักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุที่ผ่านมาท่ีไม่ได้กําหนดเร่ืองการอุทธรณ์ไว้ ซึ่งหากมีกรณี
การอุทธรณ์ผลการดําเนินการหรือการใช้ดุลพินิจของหน่วยงานของรัฐ หลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์
ก็จะเป็นไปตามทก่ี าํ หนดในพระราชบัญญตั ิวธิ ปี ฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙๓
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐
ไดก้ าํ หนดหลักเกณฑ์และวธิ ีการในการอทุ ธรณ์ไวใ้ นหมวด ๑๔ มาตรา ๑๑๔ ถงึ มาตรา ๑๑๙ ดังนี้
หมวด ๑๔
การอุทธรณ์
_________________
มาตรา ๑๑๔ ผู้ซึ่งได้ยื่นข้อเสนอเพ่ือทําการจัดซ้ือจัดจ้างพัสดุกับหน่วยงานของรัฐ
มีสิทธิอุทธรณ์เกี่ยวกับการจัดซ้ือจัดจ้างพัสดุ ในกรณีท่ีเห็นว่าหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑแ์ ละวิธีการทก่ี าํ หนดในพระราชบญั ญตั ิน้ี กฎกระทรวง ระเบยี บ หรือประกาศที่ออกตามความ
ในพระราชบัญญัตินี้ เป็นเหตุให้ตนไม่ได้รับการประกาศผลเป็นผู้ชนะหรือไม่ได้รับการคัดเลือก
เปน็ คู่สญั ญากับหนว่ ยงานของรัฐ
๒ มาตรา ๔ แหง่ พระราชบญั ญตั ิจดั ซื้อจดั จา้ งและการบรหิ ารพัสดุภาครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐
๓ หนังสือกระทรวงการคลัง ด่วนท่ีสุด ที่ กค (กวพ) ๐๔๒๑.๓/ว ๔๒๓ ลงวันท่ี ๒๙ ตุลาคม ๒๕๕๘ เร่ือง
ซักซ้อมแนวทางปฏิบัติในการพิจารณาอุทธรณ์ผลการพิจารณาผู้ชนะการเสนอราคาในการจัดหาพัสดุด้วยวิธี
ตลาดอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Market : e-market) และด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic
Bidding : e-bidding) กําหนดให้ขั้นตอนการพิจารณาอุทธรณ์คําสั่งทางปกครอง ให้ส่วนราชการถือปฏิบัติตามนัย
พระราชบัญญัติวธิ ีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๒๗
มาตรา ๑๑๕ ผู้มสี ทิ ธอิ ทุ ธรณจ์ ะยน่ื อทุ ธรณ์ในเรื่องดงั ต่อไปนีไ้ มไ่ ด้
(๑) การเลอื กใชว้ ธิ ีการจดั ซ้อื จัดจา้ งหรือเกณฑ์ที่ใช้ในการพิจารณาผลการจัดซื้อจัดจ้าง
ตามพระราชบญั ญัตินี้ของหนว่ ยงานของรัฐ
(๒) การยกเลิกการจดั ซือ้ จัดจ้างตามมาตรา ๖๗
(๓) การละเว้นการอ้างถึงพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศ
ที่ออกตามพระราชบัญญัติน้ีในส่วนที่เก่ียวข้องโดยตรงกับการจัดซื้อจัดจ้างในประกาศ เอกสาร
หรือหนังสือเชญิ ชวนของหน่วยงานของรัฐ
(๔) กรณอี ื่นตามทกี่ ําหนดในกฎกระทรวง
มาตรา ๑๑๖ การอทุ ธรณต์ อ้ งทําเป็นหนังสือลงลายมอื ชือ่ ผอู้ ุทธรณ์
ในหนังสืออุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง ต้องใช้ถ้อยคําสุภาพ และระบุข้อเท็จจริงและเหตุผล
อันเปน็ เหตุแหง่ การอทุ ธรณ์ใหช้ ดั เจน พรอ้ มแนบเอกสารหลกั ฐานที่เก่ยี วข้องไปดว้ ย
ในกรณีที่เห็นสมควร รัฐมนตรีอาจออกระเบียบกําหนดวิธีการอุทธรณ์เป็นอย่างอื่น
หรือรายละเอยี ดเกยี่ วกับการอุทธรณ์อน่ื ด้วยกไ็ ด้
มาตรา ๑๑๗ ใหผ้ ู้มีสทิ ธอิ ุทธรณย์ ืน่ อุทธรณ์ต่อหน่วยงานของรัฐน้ันภายในเจ็ดวันทําการ
นับแตว่ นั ประกาศผลการจัดซอ้ื จัดจ้างในระบบเครือข่ายสารสนเทศของกรมบัญชีกลาง
มาตรา ๑๑๘ ให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายใน
เจ็ดวันทําการนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์ ในกรณีท่ีเห็นด้วยกับอุทธรณ์ก็ให้ดําเนินการตามความเห็นน้ัน
ภายในกําหนดเวลาดงั กลา่ ว
ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน
ให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๑๙
ภายในสามวนั ทาํ การนับแต่วันท่คี รบกาํ หนดตามวรรคหน่งึ
มาตรา ๑๑๙ เมอ่ื ได้รับรายงานจากหน่วยงานของรัฐตามมาตรา ๑๑๘ ให้คณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ให้แล้วเสร็จภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับรายงานดังกล่าว
หากเร่ืองใดไม่อาจพิจารณาได้ทันในกําหนดน้ัน ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ขยายระยะเวลา
ออกไปได้ไม่เกินสองคร้ัง คร้ังละไม่เกินสิบห้าวันนับแต่วันที่ครบกําหนดเวลาดังกล่าว และแจ้งให้
ผอู้ ทุ ธรณ์และผูช้ นะการจัดซ้อื จดั จ้างหรือผไู้ ด้รบั การคดั เลือกทราบ
ในกรณีทค่ี ณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ฟังข้ึนและมีผลต่อการจัดซื้อ
จัดจ้างอย่างมีนัยสําคัญ ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์สั่งให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการให้มี
การจัดซื้อจัดจ้างใหม่หรือเร่ิมจากขั้นตอนใดตามท่ีเห็นสมควร ในกรณีท่ีคณะกรรมการพิจารณา
อุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ฟังไม่ข้ึนหรือไม่มีผลต่อการจัดซ้ือจัดจ้างอย่างมีนัยสําคัญ ให้แจ้งหน่วยงาน
ของรัฐเพือ่ ทําการจัดซื้อจดั จา้ งตอ่ ไป
การวินิจฉยั ของคณะกรรมการพิจารณาอทุ ธรณใ์ หเ้ ปน็ ทีส่ ุด
ในกรณีท่ีพ้นกําหนดระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่งแล้ว คณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ ให้ยุติเร่ือง และให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แจ้งผู้อุทธรณ์
และผู้ชนะการจัดซ้ือจัดจ้างหรือผู้ได้รับการคัดเลือกทราบ พร้อมกับแจ้งให้หน่วยงานของรัฐทําการ
จดั ซือ้ จัดจา้ งต่อไป
๒๒๘ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ผู้อุทธรณ์ผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ หรือการยุติเร่ือง
ตามวรรคส่ี และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ผู้นั้นมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาล
เพื่อเรียกให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าเสียหายได้ แต่การฟ้องคดีดังกล่าวไม่มีผลกระทบต่อการจัดซ้ือ
จัดจา้ งที่หนว่ ยงานของรฐั ได้ลงนามในสัญญาจดั ซ้อื จดั จา้ งน้ันแล้ว
จากบทบัญญัติดังกล่าวได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการอุทธรณ์ไว้เป็นการเฉพาะ
โดยมสี าระสาํ คญั ดงั ต่อไปนี้
๑. ผู้มสี ิทธอิ ทุ ธรณ์
ผู้ซึ่งได้ยื่นข้อเสนอเพ่ือทําการจัดซ้ือจัดจ้างพัสดุกับหน่วยงานของรัฐมีสิทธิ
อุทธรณ์เก่ียวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ ในกรณีท่ีเห็นว่าหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตาม
หลกั เกณฑแ์ ละวธิ กี ารทีก่ าํ หนดในพระราชบญั ญัติน้ี กฎกระทรวง ระเบยี บ หรือประกาศท่ีออกตามความ
ในพระราชบัญญัตินี้ เป็นเหตุให้ตนไม่ได้รับการประกาศผลเป็นผู้ชนะหรือไม่ได้รับการคัดเลือก
เป็นคสู่ ัญญากบั หนว่ ยงานของรัฐ (มาตรา ๑๑๔)
๒. เรอ่ื งทอ่ี ุทธรณ์ได้
เร่ืองที่อุทธรณ์ได้ ได้แก่ การสั่งรับหรือไม่รับคําเสนอขาย รับจ้าง แลกเปลี่ยน
ให้เช่า ซ้ือ เช่า หรือให้สิทธิประโยชน์ หรือการอนุมัติส่ังซ้ือ จ้าง แลกเปลี่ยน เช่า ขาย ให้เช่า หรือ
ให้สิทธิประโยชน์ตามพระราชบัญญัตินี้ และระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและ
การบรหิ ารพัสดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐
๓. เรอ่ื งทอ่ี ทุ ธรณ์ไม่ได้
เรื่องท่อี ุทธรณไ์ ม่ได้ (มาตรา ๑๑๕) ได้แก่
๑) การเลอื กใชว้ ิธีการจัดซ้อื จดั จ้างหรอื เกณฑ์ทใี่ ช้ในการพิจารณาผลการจัดซือ้ จดั จ้าง
๒) การยกเลิกการจัดซือ้ จัดจ้างตามมาตรา ๖๗๔ ซึ่งได้แก่กรณี ดังต่อไปน้ี
๔ ศาลปกครองกลางได้มีคําส่ัง คดีหมายเลขแดงที่ ๒๓๕๑/๒๕๖๐ วินิจฉัยว่า กรณีผู้ฟ้องคดีได้เข้าร่วม
เสนอราคาตามประกาศประกวดราคาซื้อเรือขุดอเนกประสงค์ ขนาด ๓๕๐ แรงม้า จํานวน ๑ ลํา วิธีประกาศ
เชิญชวนท่ัวไป โดยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) กับจังหวัดพะเยา แต่ต่อมาผู้ว่าราชการจังหวัด
พะเยา (ผถู้ ูกฟ้องคดีท่ี ๑) เห็นวา่ ประกาศประกวดราคาดังกล่าวอาจเป็นการกีดกันการเสนอราคาของผู้ประกอบการ
จงึ มีประกาศยกเลิกประกาศประกวดราคาข้างต้น อันเป็นการยกเลิกการจัดซ้ือจัดจ้างตามมาตรา ๖๗ วรรคหน่ึง (๓)
แห่งพระราชบญั ญัติการจัดซ้อื จัดจา้ งและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ซ่ึงมาตรา ๑๑๕ (๒) แห่งพระราชบัญญัติ
เดียวกัน บัญญัติห้ามผู้มีสิทธิอุทธรณ์ย่ืนอุทธรณ์ในเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประกาศยกเลิกประกาศ
ประกวดราคาที่พิพาทเป็นคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับข้อ ๑ (๓) ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๔๓) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งมาตรา ๔๔ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว บัญญัติให้คู่กรณี
อุทธรณ์คําสั่งทางปกครองดังกล่าวได้ ดังน้ัน การท่ีมาตรา ๑๑๕ (๒) แห่งพระราชบัญญัติการจัดซ้ือจัดจ้างและ
การบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ บัญญัติห้ามผู้มีสิทธิอุทธรณ์ย่ืนอุทธรณ์ในเร่ืองนี้ ย่อมเป็นการกําหนด
หลักเกณฑ์ท่ปี ระกนั ความเป็นธรรมหรือมีมาตรฐานในการปฏิบัติราชการต่ํากว่าหลักเกณฑ์ท่ีกําหนดในพระราชบัญญัติ
รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๒๙
๒.๑) หน่วยงานของรฐั ไม่ได้รบั การจดั สรรเงินงบประมาณที่จะใช้ในการจัดซ้ือ
จดั จ้างหรอื เงนิ งบประมาณที่ไดร้ บั การจัดสรรไมเ่ พยี งพอท่ีจะทําการจดั ซอ้ื จดั จา้ งนัน้ ตอ่ ไป
๒.๒) มีการกระทําที่เข้าลักษณะผู้ย่ืนข้อเสนอท่ีชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือ
ที่ได้รับการคัดเลือก มีผลประโยชน์ร่วมกัน หรือมีส่วนได้เสียกับผู้ยื่นข้อเสนอรายอ่ืน หรือขัดขวาง
การแข่งขันอย่างเป็นธรรม หรือสมยอมกันกับผู้ยื่นข้อเสนอรายอ่ืนหรือเจ้าหน้าที่ในการเสนอราคา
หรือส่อว่ากระทาํ การทุจรติ อ่นื ใดในการเสนอราคา ทงั้ นี้ ตามระเบียบท่รี ฐั มนตรกี ําหนด
๒.๓) การทําการจัดซ้ือจัดจ้างต่อไปอาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงาน
ของรฐั หรอื กระทบต่อประโยชนส์ าธารณะ
๒.๔) กรณีอน่ื ตามท่กี าํ หนดในกฎกระทรวง
เพื่อมิให้เรื่องท่ีอุทธรณ์เป็นปัญหาอุปสรรคทําให้การดําเนินการจัดซื้อ
จัดจ้างต้องล่าช้า อันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายแก่หน่วยงานของรัฐ จึงมีการออกกฎกระทรวง
กําหนดเร่ืองการจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐที่ใช้สิทธิอุทธรณ์ไม่ได้ พ.ศ. ๒๕๖๐๕ เพ่ือกําหนดให้
เรือ่ งทไี่ มค่ วรได้รบั การพจิ ารณาอทุ ธรณเ์ ปน็ เรอื่ งท่ีใช้สิทธอิ ุทธรณไ์ มไ่ ด้ อนั ได้แกเ่ รือ่ งดังตอ่ ไปน้ี
(๑) คุณสมบัติของผู้ย่ืนข้อเสนอรายอื่นที่เข้าร่วมการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ
ในคร้งั นั้น โดยวิธปี ระกาศเชญิ ชวนทั่วไป ด้วยวธิ ตี ลาดอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
(๒) ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐเปิดโอกาสให้มีการรับฟังความคิดเห็น
ร่างขอบเขตของงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุจากผู้ประกอบการก่อนจะทําการ
จัดซ้ือจัดจ้าง หากปรากฏว่าผู้ประกอบการซึ่งเป็นผู้ย่ืนข้อเสนอในการจัดซ้ือจัดจ้างในคร้ังนั้นมิได้วิจารณ์
หรือเสนอแนะร่างขอบเขตของงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุ ผู้ประกอบการซึ่งเป็น
ผู้ย่ืนข้อเสนอนั้นจะอุทธรณ์ในเรื่องขอบเขตของงานหรือรายละเอียดคุณลักษณะเฉพาะของพัสดุ
ของหน่วยงานของรัฐน้นั มิได้
๔. แบบอุทธรณ์
การอุทธรณ์ต้องทําเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้อุทธรณ์ โดยหนังสืออุทธรณ์
ต้องใช้ถ้อยคําสุภาพ ระบุข้อเท็จจริงและเหตุผลอันเป็นเหตุแห่งการอุทธรณ์ให้ชัดเจน พร้อมแนบ
เอกสารหลักฐานทเ่ี กยี่ วขอ้ ง (มาตรา ๑๑๖ วรรคหนงึ่ และวรรคสอง)
ในกรณีท่ีเห็นสมควร รัฐมนตรีอาจออกระเบียบกําหนดวิธีการอุทธรณ์เป็นอย่างอื่น
หรือกําหนดรายละเอียดเกยี่ วกับการอุทธรณอ์ ่นื ด้วยก็ได้ (มาตรา ๑๑๖ วรรคสาม)
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผู้ฟ้องคดีจึงยังมีสิทธิย่ืนอุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อผู้ออกคําส่ัง
ตามหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการที่กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ทั้งนี้
ตามมาตรา ๓ ประกอบกับมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน และเป็นขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไข
ความเดือดร้อนหรือเสียหายท่ีผู้ฟ้องคดีต้องดําเนินการให้เสร็จส้ินก่อนนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง (คดีถึงที่สุด
โดยไมม่ กี ารอุทธรณ์)
๕ ประกาศในราชกจิ จานเุ บกษา เล่ม ๑๓๔ ตอนที่ ๘๖ ก วันที่ ๒๓ สงิ หาคม ๒๕๖๐
๒๓๐ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
กรณีตามมาตรา ๑๑๖ วรรคสาม ดังกล่าวนี้ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
และข้อร้องเรียน โดยได้รับมอบหมายจากคณะกรรมการนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุ
ภาครฐั ไดม้ ีหนังสือ ด่วนที่สุด ที่ กค (กอร) ๐๔๐๕.๒/ว ๑๒๔ ลงวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๖๑ เรื่อง การกาํ หนด
แบบรายงานความเห็นอุทธรณ์ของหน่วยงานของรัฐ (อธ ๑) เพ่ือให้การพิจารณาอุทธรณ์เป็นไปด้วย
ความรอบคอบ รวดเร็ว เป็นธรรม และเป็นไปในแนวทางเดียวกัน ซ่ึงแบบรายงานความเห็นอุทธรณ์
ของหนว่ ยงานของรัฐดังกลา่ วประกอบดว้ ยสาระสําคัญ ดังตอ่ ไปน้ี
๑) ข้อกฎหมายที่ผู้อทุ ธรณโ์ ตแ้ ย้ง
๒) ขอ้ มูลทว่ั ไปเกีย่ วกบั หนว่ ยงานของรัฐผูด้ ําเนนิ การจดั ซอ้ื จดั จ้าง
๓) ขอ้ มูลการจัดซอ้ื จัดจ้าง
๔) ขอ้ มลู การอทุ ธรณ์
๕) การพิจารณาอทุ ธรณ์ของหน่วยงานของรฐั (พร้อมเหตผุ ลประกอบการพิจารณา)
นอกจากน้ี กรมบัญชีกลางในฐานะฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
และข้อร้องเรียนได้มีหนังสือ ด่วนท่ีสุด ที่ กค ๐๔๐๕.๒/๑๘๕ ลงวันท่ี ๑๑ เมษายน ๒๕๖๑ แจ้งแบบ
อุทธรณ์ผลการจัดซ้ือจัดจ้างของผู้อุทธรณ์ (อธ ๒) เพ่ือให้หน่วยงานของรัฐถือปฏิบัติต่อไป ท้ังน้ี
กรมบัญชีกลางได้แจ้งการปรับปรุงระบบจัดซ้ือจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ (e-GP) ในส่วนของข้ันตอน
“จัดทําและประกาศผู้ชนะการเสนอราคา” โดยกําหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องจัดทําแบบแจ้งผล
การจัดซ้ือจัดจ้างพร้อมระบุเหตุผลประกอบการพิจารณา และเมื่อหน่วยงานของรัฐประกาศผู้ชนะ
การเสนอราคาในเว็บไซต์ www.gprocurement.go.th แล้ว ระบบ e-GP จะแจ้งผลการจัดซื้อจัดจ้าง
ใหผ้ ยู้ ่ืนข้อเสนอทุกรายทราบผ่านทางจดหมายอิเล็กทรอนิกส์พร้อมแนบแบบ อธ ๒ เพ่ือให้ผู้ย่ืนข้อเสนอ
ทปี่ ระสงคจ์ ะอทุ ธรณ์ สามารถดาวน์โหลดแบบ อธ ๒ โดยระบุรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อนและยื่นอุทธรณ์
ต่อหนว่ ยงานของรฐั ต่อไป
หมายเหตุ ในเรอื่ งแบบอทุ ธรณน์ ้ี ศาลปกครองอุดรธานีได้มคี ําส่ังในคดหี มายเลขแดง
ท่ี ๓๑/๒๕๖๑๖ ว่า หนังสือที่ผู้ฟ้องคดีมีไปถึงนายอําเภอเมืองเลยในฐานะผู้ปฏิบัติราชการแทน
ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย เพื่อขอให้ชี้แจงรายละเอียด/ระเบียบ/กฎหมาย เป็นลายลักษณ์อักษร
เกี่ยวกับการประกาศให้ผู้เสนอราคารายอ่ืนเป็นผู้ชนะการเสนอราคาจ้างก่อสร้างโครงการก่อสร้าง
ลานวัฒนธรรม บริเวณหน้าอาคารพิพิธภัณฑ์เมืองเลย ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding)
ซึ่งมีเน้ือหาสาระแต่เพียงเป็นการสอบถามหรือให้หน่วยงานช้ีแจงเหตุผลการพิจารณาเลือกผู้ชนะ
การเสนอราคารายดังกล่าวเท่านั้น โดยไม่ปรากฏเหตุผลข้อโต้แย้งว่าหน่วยงาน (อําเภอเมืองเลย)
มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและ
การบริหารพัสดุภาครัฐ กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศท่ีออกตามความในกฎหมายว่าด้วย
การจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ จนเป็นเหตุทําให้ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับการประกาศผลเป็นผู้ชนะ
๖ คดถี ึงทีส่ ดุ โดยไม่มกี ารอุทธรณ์
รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๓๑
การเสนอราคาอย่างไร หนังสือดังกล่าวจึงไม่ใช่หนังสืออุทธรณ์คําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๑๑๖
ประกอบกบั มาตรา ๑๑๔ แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารจัดซื้อจัดจ้างและการบรหิ ารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐
๕. ระยะเวลาการยืน่ อุทธรณ์
ผู้มีสิทธิอุทธรณ์ต้องยื่นอุทธรณ์ต่อหน่วยงานของรัฐผู้ออกคําสั่งทางปกครอง
ในกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้างภายใน ๗ วันทําการ นับแต่วันประกาศผลการจัดซื้อจัดจ้างในระบบ
เครือขา่ ยสารสนเทศของกรมบญั ชีกลาง (มาตรา ๑๑๗)
๖. ผู้มีอํานาจพิจารณาและวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ์
มาตรา ๑๑๘ วรรคหนึ่ง กําหนดให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์
ใหแ้ ลว้ เสรจ็ ภายในเจ็ดวนั ทาํ การนบั แตว่ ันทไี่ ดร้ บั อุทธรณ์ ในกรณีทเ่ี หน็ ด้วยกับอุทธรณ์ก็ให้ดําเนินการ
ตามความเห็นน้ันภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ส่วนวรรคสอง กําหนดให้ในกรณีที่หน่วยงานของรัฐ
ไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนให้เร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยัง
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๑๙ ภายในสามวันทําการนับแต่วันที่ครบกําหนด
ตามวรรคหน่งึ
ดังน้ัน หัวหน้าหน่วยงานของรัฐผู้ออกคําส่ังทางปกครองดังกล่าวจึงเป็นผู้มีอํานาจ
พิจารณาและวินิจฉัยอทุ ธรณ์ในฐานะเจ้าหนา้ ทช่ี ั้นตน้ ผ้อู อกคําสง่ั ซึง่ ข้อ ๔ ของระเบียบกระทรวงการคลัง
ว่าดว้ ยการจดั ซ้อื จัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ กําหนดให้ “หัวหน้าหน่วยงานของรัฐ”
หมายถงึ ผู้ดํารงตาํ แหนง่ ในหนว่ ยงานของรฐั ดังตอ่ ไปน้ี
๑) ราชการส่วนกลาง หมายถึง อธิบดี หรือหัวหน้าส่วนราชการท่ีเรียกช่ืออย่างอื่น
และมฐี านะเป็นนติ ิบุคคล
๒) ราชการสว่ นภมู ภิ าค หมายถึง ผวู้ ่าราชการจังหวดั
๓) ราชการส่วนท้องถนิ่ หมายถงึ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด นายกเทศมนตรี
นายกองค์การบริหารส่วนตําบล ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกเมืองพัทยา หรือผู้ดํารงตําแหน่ง
ท่ีเรยี กชือ่ อยา่ งอนื่ ทีม่ ฐี านะเทียบเท่า
๔) รัฐวิสาหกิจ หมายถึง ผู้ว่าการ ผู้อํานวยการ กรรมการผู้จัดการใหญ่ หรือ
ผ้ดู ํารงตําแหน่งท่ีเรยี กชื่ออย่างอื่นทม่ี ฐี านะเทียบเทา่
๕) องค์การมหาชน หมายถึง ผู้อํานวยการ หรือผู้ดํารงตําแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่น
ท่มี ฐี านะเทยี บเท่า
๖) องค์กรอิสระ หมายถึง เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง เลขาธิการ
สาํ นักงานผตู้ รวจการแผน่ ดนิ เลขาธกิ ารคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ผู้ว่าการ
ตรวจเงนิ แผ่นดนิ เลขาธิการคณะกรรมการสทิ ธมิ นษุ ยชนแห่งชาติ
๗) องคก์ รตามรัฐธรรมนญู หมายถงึ อัยการสงู สุด
๘) หน่วยธุรการของศาล หมายถึง เลขาธิการสํานักงานศาลยุติธรรม เลขาธิการ
สาํ นกั งานศาลปกครอง เลขาธกิ ารสํานักงานศาลรัฐธรรมนูญ
๒๓๒ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
๙) มหาวิทยาลยั ในกํากับของรัฐ หมายถึง อธิการบดี
๑๐) หน่วยงานสังกัดรัฐสภาหรือในกํากับของรัฐสภา หมายถึง เลขาธิการวุฒิสภา
เลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร เลขาธกิ ารสถาบนั พระปกเกลา้ เลขาธกิ ารสาํ นกั งานสภาพฒั นาการเมือง
๑๑) หน่วยงานอิสระของรัฐ หมายถึง เลขาธิการ หรือผู้ดํารงตําแหน่งท่ีเรียกชื่อ
อยา่ งอ่ืนที่มฐี านะเทียบเท่า
๑๒) หน่วยงานอื่นตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง หมายถึง ผู้บริหารสูงสุดของ
หน่วยงานตามกฎหมายจัดต้ังหนว่ ยงานนนั้
ส่วนผู้มีอํานาจพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์เหนือข้ึนไป คือ คณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์ ซ่ึงตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ กําหนดให้ หมายถึง “คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณแ์ ละข้อรอ้ งเรยี น”
๗. ระยะเวลาในการพิจารณาและวินจิ ฉัยอุทธรณ์
ในการพจิ ารณาและวนิ จิ ฉยั อุทธรณ์ แบ่งออกเปน็ ๒ ลําดบั ชนั้ ไดแ้ ก่
๑) ช้นั การพิจารณาและวนิ จิ ฉยั อทุ ธรณ์ของหน่วยงานของรฐั
๑.๑) กรณีท่ีเห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ หน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาและ
วนิ ิจฉัยอุทธรณใ์ ห้แลว้ เสร็จภายใน ๗ วันทาํ การ นับแตว่ ันท่ีได้รบั อุทธรณ์ (มาตรา ๑๑๘ วรรคหนึง่ )
๑.๒) กรณีท่ีไม่เห็นด้วยกับคําอุทธรณ์ ไม่ว่าท้ังหมดหรือบางส่วน หน่วยงาน
ของรัฐต้องเร่งรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน ๓ วันทําการ
นบั แตว่ นั ที่ครบกาํ หนดตามข้อ ๑) (มาตรา ๑๑๘ วรรคสอง)
๒) ชน้ั การพจิ ารณาและวนิ ิจฉัยอทุ ธรณข์ องคณะกรรมการพิจารณาอทุ ธรณ์
๒.๑) เมื่อได้รับรายงานจากหน่วยงานของรัฐตามข้อ ๑) คณะกรรมการ
พจิ ารณาอทุ ธรณจ์ ะต้องพจิ ารณาอุทธรณใ์ ห้แล้วเสรจ็ ภายใน ๓๐ วัน นับแต่วนั ทไ่ี ด้รับรายงานดังกล่าว
(มาตรา ๑๑๙ วรรคหน่ึง)
๒.๒) กรณีที่คณะกรรมการพิจารณาอทุ ธรณไ์ มอ่ าจพจิ ารณาและวินจิ ฉยั อทุ ธรณ์
ได้ทันกําหนดเวลาตามข้อ ๒.๑) คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์สามารถขยายระยะเวลาออกไปได้
ไม่เกิน ๒ ครง้ั ครงั้ ละไมเ่ กิน ๑๕ วัน นบั แตว่ นั ท่คี รบกําหนดเวลาดงั กลา่ ว และจะต้องแจ้งให้ผู้อุทธรณ์
และผชู้ นะการจดั ซื้อจัดจ้างหรอื ผ้ไู ดร้ ับการคดั เลือกทราบ (มาตรา ๑๑๙ วรรคหน่ึง)
ท้ังน้ี กรณีท่ีพ้นกําหนดระยะเวลาพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ตามข้อ ๒) แล้ว
ยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะต้องยุติเรื่องและแจ้งให้ผู้อุทธรณ์และผู้ชนะ
การจดั ซ้ือจดั จา้ งหรอื ผไู้ ดร้ บั การคดั เลือกทราบ พร้อมกับแจ้งให้หนว่ ยงานของรัฐทาํ การจดั ซอื้ จัดจา้ งต่อไป
(มาตรา ๑๑๙ วรรคส่ี)
หมายเหตุ ในเร่ืองระยะเวลาพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์น้ี ศาลปกครองเชียงใหม่
ได้มีคําสั่งในคดีหมายเลขแดงที่ ๖๘/๒๕๖๑๗ ว่า การท่ีผู้อํานวยการโรงเรียนบ้านเจดีย์แม่ครัว
๗ คดีถึงทีส่ ุดโดยไมม่ ีการอุทธรณ์
รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๓๓
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑) ได้มีประกาศผู้ชนะการเสนอราคาประกวดราคาจ้างก่อสร้างอาคารอเนกประสงค์
แบบ สปช. ๒๐๕/๒๖ ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันท่ี ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๐ ผู้ฟ้องคดี
จึงมีหนังสืออุทธรณผ์ ลการประกวดราคาดังกลา่ ว ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้รับเมื่อวันท่ี ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐
จึงเป็นการย่ืนอุทธรณ์ภายในเจ็ดวันทําการตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและ
การบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงต้องดําเนินการตามมาตรา ๑๑๘
แห่งพระราชบัญญตั ิดังกล่าว โดยต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายในเจ็ดวันทําการนับแต่วันท่ีได้รับอุทธรณ์
หากไม่เห็นด้วยกับอุทธรณ์ต้องรายงานความเห็นพร้อมเหตุผลไปยังคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
ภายในสามวันทําการนับแต่วันครบกําหนดดังกล่าว และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ต้องพิจารณา
อุทธรณ์ให้แล้วเสร็จอย่างช้าท่ีสุดภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับรายงานข้างต้น หากคณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์มีคําวินิจฉัยหรือยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกําหนด ผู้ฟ้องคดีจึงจะมีสิทธิฟ้องคดี
ต่อศาลเพื่อเรียกให้หน่วยงานชดใช้ค่าเสียหายตามมาตรา ๑๑๙ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
ภายในหน่ึงปีนับแต่วันท่ีได้รับคําวินิจฉัยหรือพ้นกําหนดระยะเวลาการพิจารณาของคณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าว เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้ยื่นหนังสืออุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
เมื่อวันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๖๐ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงมีระยะเวลา
พจิ ารณาอทุ ธรณ์ของผ้ฟู อ้ งคดีอย่างเร็วท่ีสุดภายในเจ็ดสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับอุทธรณ์ แต่เม่ือนับระยะเวลา
ต้ังแต่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้รับหนังสืออุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีจนถึงวันที่ผู้ฟ้องคดีนําคดีมาฟ้องต่อศาล
เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ เป็นระยะเวลาเพียงหา้ สบิ สามวัน จึงยงั ไมพ่ ้นระยะเวลาการพิจารณา
อทุ ธรณต์ ามกฎหมาย อีกท้ังไม่ปรากฏว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
และมีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาอุทธรณ์ให้ผู้ฟ้องคดีทราบแต่อย่างใด กรณีจึงยังอยู่ในระยะเวลา
ดําเนินการของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามท่ีกฎหมายกําหนด จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีไม่ดําเนินการ
ตามขั้นตอนที่กฎหมายกําหนดก่อนนําคดีมาฟ้องต่อศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
จดั ตั้งศาลปกครองฯ๘
๘. ผลการพจิ ารณาและวนิ ิจฉยั อทุ ธรณ์
ผลการพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์ แบ่งออกเป็น ๒ กรณี (มาตรา ๑๑๙
วรรคสอง) ไดแ้ ก่
๑) กรณีคําอุทธรณ์ฟังข้ึน และมีผลต่อการจัดซ้ือจัดจ้างอย่างมีนัยสําคัญ
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะต้องสั่งให้หน่วยงานของรัฐดําเนินการให้มีการจัดซ้ือจัดจ้างใหม่
หรือเร่ิมจากขั้นตอนใดตามทีเ่ หน็ สมควร
๒) กรณีคําอุทธรณ์ฟังไม่ขึ้น หรือไม่มีผลต่อการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีนัยสําคัญ
คณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณ์จะตอ้ งแจง้ ให้หน่วยงานของรัฐทาํ การจัดซอ้ื จัดจ้างตอ่ ไป
๘ คาํ ส่งั ศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงท่ี ๒๓๕๑/๒๕๖๐ คําสั่งศาลปกครองนครราชสีมา คดีหมายเลขแดง
ท่ี ๑๐๓/๒๕๖๑ คําส่ังศาลปกครองเพชรบุรี คดีหมายเลขแดงที่ ๕๔/๒๕๖๑ คําส่ังศาลปกครองเพชรบุรี คดีหมายเลขแดง
ที่ ๑๔๕/๒๕๖๑ และคาํ ส่งั ศาลปกครองนครสวรรค์ คดีหมายเลขแดงท่ี ๖๕/๒๕๖๒ วินิจฉยั แนวทางเดยี วกนั
๒๓๔ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ทั้งน้ี การวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ให้เป็นที่สุด (มาตรา ๑๑๙
วรรคสาม)
ข้อสังเกต ในการพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์คําส่ังทางปกครองในกระบวนการ
จัดซื้อจัดจ้างน้ี เห็นว่า ผู้มีอํานาจพิจารณาและวินิจฉัยอุทธรณ์มีอํานาจพิจารณาทบทวนคําสั่ง
ทางปกครองดังกล่าวได้ไม่ว่าจะเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือความเหมาะสมของการ
ทําคําส่ังทางปกครอง และอาจมีคําสั่งเพิกถอนคําส่ังทางปกครองเดิมหรือเปล่ียนแปลงคําส่ังนั้น
ไปในทางใด ท้ังนี้ ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มภาระหรือลดภาระหรือใช้ดุลพินิจแทนในเร่ืองความเหมาะสม
ของการทําคําสั่งทางปกครองหรือมีข้อกําหนดเป็นเงื่อนไขอย่างไรก็ได้ ท้ังน้ี ตามมาตรา ๔๖
แหง่ พระราชบญั ญัติวธิ ปี ฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ดังนั้น ในกรณีท่ีคําอุทธรณ์ฟังขึ้นตามข้อ ๑) จึงอาจมีการแก้ไข เปล่ียนแปลง
หรอื ยกเลกิ คําส่ังทางปกครองในกระบวนการจดั ซอ้ื จัดจ้างได้ ดังตวั อย่างต่อไปน้ี
๑) สง่ั ใหค้ ณะกรรมการดําเนนิ การพจิ ารณาทบทวนคุณสมบตั ขิ องผู้อทุ ธรณ์ใหม่
๒) สัง่ ยกเลิกคาํ ส่งั ไมร่ บั พจิ ารณาราคาของผอู้ ทุ ธรณ์ และสง่ั ยกเลิกคําส่ังอนุมัติให้
จัดซอ้ื จัดจ้างกับผ้ยู ่นื ข้อเสนอรายทไ่ี ดร้ ับการคัดเลอื ก
๓) สั่งยกเลิกคําส่ังอนุมัติให้จัดซ้ือจัดจ้างกับผู้ย่ืนข้อเสนอรายท่ีได้รับการคัดเลือก
และสั่งใหค้ ณะกรรมการดําเนนิ การพจิ ารณาผลการจดั ซอ้ื จัดจา้ งใหม่ท้งั หมด
๔) สั่งยกเลิกประกาศจัดซ้ือจัดจ้าง
๙. สทิ ธิฟ้องคดีตอ่ ศาล
ผู้อุทธรณ์ผู้ใดไม่พอใจคําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์หรือการ
ยุติเรื่อง และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย ผู้น้ันมีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลเพื่อเรียกให้
หนว่ ยงานของรัฐชดใชค้ า่ เสียหายได้
ขอ้ สงั เกต เนอื่ งจากมาตรา ๑๑๔ บัญญัติว่า “ผู้ซ่ึงได้ยื่นข้อเสนอเพ่ือทําการจัดซ้ือ
จัดจา้ งพัสดกุ ับหนว่ ยงานของรัฐมีสิทธอิ ทุ ธรณเ์ กีย่ วกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ...” ดังนั้น หากผู้อุทธรณ์
มิใช่ผู้ยื่นข้อเสนอในการจัดซื้อจัดจ้างกับหน่วยงานของรัฐ ก็จะไม่ใช่บุคคลผู้มีสิทธิยื่นอุทธรณ์
หน่วยงานของรัฐและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงไม่จําเป็นต้องพิจารณาและวินิจฉัยคําอุทธรณ์
ดังกล่าว แต่ทั้งนี้ กรณีอาจถือเป็นการร้องเรียนตามข้อ ๒๒๐ ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย
การจดั ซอ้ื จัดจ้างและการบริหารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ ได้ ดงั จะได้อธิบายในลาํ ดับต่อไป
ดังน้ัน เมื่อผู้ย่ืนอุทธรณ์ไม่ใช่ผู้ย่ืนข้อเสนอท่ีจะมีสิทธิอุทธรณ์ตามท่ีกฎหมาย
บัญญัติรับรองไว้ จึงเห็นว่า หากผู้ยื่นอุทธรณ์ดังกล่าวไม่พอใจคําวินิจฉัยหรือการยุติเร่ืองของ
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ และนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้หน่วยงานของรัฐชดใช้
ค่าเสียหาย ก็จะไม่ใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้ง
ศาลปกครองฯ เน่ืองจากสิทธขิ องตนไมถ่ กู กระทบ
รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๓๕
อย่างไรก็ตาม มีตัวอย่างคดีท่ีศาลเห็นว่า การฟ้องคดีไม่ใช่เร่ืองที่ผู้อุทธรณ์
ไม่พอใจคําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้
ค่าเสียหายตามมาตรา ๑๑๙ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ แต่เป็นการฟ้องโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายของผลการคัดเลือกผู้เสนอราคา
โดยผู้มีส่วนได้เสียหรือประโยชน์เกี่ยวข้องในการจัดซ้ือจัดจ้างพัสดุกับหน่วยงานของรัฐ ปรากฏตาม
คาํ ส่งั ศาลปกครองสงู สดุ คดหี มายเลขแดงที่ ๔๔๓/๒๕๖๑ ดงั น้ี ประเด็นขอ้ หาเกีย่ วกับผลการคัดเลอื ก
ผู้เสนอราคา ซึ่งผู้ฟ้องคดีมีคําขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งยกเลิกประกาศผลการคัดเลือก
ตามประกาศประกวดราคาจ้างโครงการบริหารจัดการพ้ืนที่เกษตรกรรมแบบครบวงจร (Zoning)
กิจกรรมจัดหาแหล่งนํ้าบาดาลเพ่ือการเกษตร เพ่ือส่งเสริมและเพิ่มศักยภาพการผลิตด้านการเกษตร
ด้วยวิธีประกวดราคาอเิ ล็กทรอนิกส์ (e-bidding) และประกาศประกวดราคาโครงการเสริมสร้างสังคม
และพฒั นาคณุ ภาพชีวิต จังหวัดเลย กิจกรรมจัดหาแหล่งน้ําบาดาลให้กับหมู่บ้านขาดแคลนนํ้าสําหรับ
อุปโภคบริโภคเพื่อประชาชน ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) แม้พระราชบัญญัติ
การจัดซือ้ จดั จา้ งและการบรหิ ารพัสดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ มาตรา ๑๑๔ จะบัญญัติให้ ผู้ซ่ึงได้ยื่นข้อเสนอ
เพ่ือทําการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุกับหน่วยงานของรัฐมีสิทธิอุทธรณ์เก่ียวกับการจัดซื้อจัดจ้างพัสดุ ในกรณีท่ี
เห็นว่าหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในพระราชบัญญัติน้ี
กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศท่ีออกตามความในพระราชบัญญัติน้ี เป็นเหตุให้ตนไม่ได้รับการ
ประกาศผลเป็นผู้ชนะหรือไม่ได้รับการคัดเลือกเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐ และถึงแม้ผู้ฟ้องคดี
จะไม่ใช่ผู้ซ่ึงได้ยื่นข้อเสนอต่อสํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจังหวัดเลย (ผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๑) จึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ตามนัยมาตราดังกล่าวก็ตาม
แตก่ ารทผ่ี ู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีอาชีพเกี่ยวกับงานที่จัดจ้าง และได้มีหนังสือลงวันท่ี ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
และหนังสือลงวันท่ี ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ วิจารณ์และเสนอแนะแก้ไขเปลี่ยนแปลง TOR
ของทงั้ สองโครงการต่อผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ และผู้ว่าราชการจังหวัดเลย (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) โดยปรากฏว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองมิได้ดําเนินการแก้ไขใด ๆ จนกระทั่งต่อมาได้มีการออกประกาศขายเอกสาร
ประกวดราคาที่ประกอบไปด้วย TOR ฉบับเดิมท่ีผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วย จึงไม่ได้เข้าร่วมย่ืนข้อเสนอ
ย่อมถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีส่วนได้เสียหรือประโยชน์เก่ียวข้องกับการจัดซ้ือจัดจ้างของผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๑ ตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว โดยคําฟ้องนี้เป็นการฟ้องโต้แย้งเริ่มต้ังแต่ประเด็นท่ีว่า TOR ทั้งหมดของประกาศ
ประกวดราคาจ้างท้ังสองโครงการไม่ถูกต้อง ไม่โปร่งใส และไม่เป็นธรรม และต่อเนื่องมาจนถึง
ประเด็นที่ว่า ผู้มีคุณสมบัติตาม TOR ท่ีผู้ฟ้องคดีเห็นว่าไม่ถูกต้องน้ันได้เข้าร่วมเสนอราคาและได้รับ
การคัดเลือก ซ่ึงเป็นการไม่ถูกต้องเช่นกัน การฟ้องคดีในข้อหานี้จึงไม่ใช่เรื่องท่ีผู้อุทธรณ์ไม่พอใจ
คําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และเห็นว่าหน่วยงานของรัฐต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
ตามมาตรา ๑๑๙ วรรคห้า แห่งพระราชบญั ญตั ิการจดั ซอื้ จัดจ้างและการบริหารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐
ฟ้องคดีต่อศาลเพ่ือเรียกให้หน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าเสียหาย แต่เป็นการฟ้องโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมาย
ของผลการคัดเลือกผู้เสนอราคาโดยผู้มีส่วนได้เสียหรือประโยชน์เก่ียวข้องในการจัดซ้ือจัดจ้างพัสดุ
กบั หน่วยงานของรัฐ ผู้ฟอ้ งคดจี ึงเปน็ ผไู้ ดร้ ับความเดือดรอ้ นหรอื เสียหายโดยมิอาจหลกี เล่ียงได้จากการ
๒๓๖ รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
พิจารณาและประกาศผลการคัดเลือกผู้เสนอราคาทั้งสองโครงการดังกล่าว ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑)
แหง่ พระราชบัญญตั ิจัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
ศาลจงึ รับคาํ ฟอ้ งขอ้ หานไ้ี วพ้ ิจารณาได้
นอกจากนี้ มาตรา ๑๑๙ วรรคห้า บัญญัติว่า การฟ้องคดีดังกล่าวไม่มีผลกระทบ
ตอ่ การจดั ซอ้ื จัดจา้ งทหี่ น่วยงานของรัฐไดล้ งนามในสญั ญาจดั ซ้ือจัดจ้างนนั้ แล้ว
ข้อสังเกต แม้การฟ้องคดีจะไม่มีผลกระทบต่อการจัดซ้ือจัดจ้างที่หน่วยงาน
ของรัฐได้ลงนามในสัญญาจัดซ้ือจัดจ้างแล้วก็ตาม แต่ในช้ันของการอุทธรณ์น้ัน หากมีการอุทธรณ์
ต่อหน่วยงานของรัฐ จะมีผลเท่ากับเป็นการชะลอการลงนามในสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐน้ัน
กับผู้ชนะการจัดซื้อจัดจ้างหรือผู้ได้รับการคัดเลือก เนื่องจากมาตรา ๖๖ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
การจดั ซื้อจัดจ้างและการบรหิ ารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ กําหนดว่า
๑) การลงนามในสัญญาจัดซื้อจัดจ้างจะกระทําได้ต่อเม่ือล่วงพ้นระยะเวลาอุทธรณ์
และไม่มีผู้ใดอุทธรณต์ ามมาตรา ๑๑๗
๒) ในกรณีที่มีการอุทธรณ์ หน่วยงานของรัฐจะสามารถลงนามในสัญญาจัดซ้ือ
จดั จา้ งได้ก็ตอ่ เม่ือได้รับแจ้งจากคณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณว์ ่าให้ทาํ การจัดซือ้ จดั จา้ งตอ่ ไปได้
๓) ข้อยกเว้น หน่วยงานของรฐั สามารถลงนามในสัญญาจัดซือ้ จัดจ้างไดโ้ ดยไม่ตอ้ งรอ
ให้พ้นระยะเวลาอุทธรณ์ ในกรณีดงั น้ี
๓.๑) การจัดซื้อจัดจ้างที่มีความจําเป็นเร่งด่วนตามมาตรา ๕๖ (๑) (ค)๙
อันไดแ้ ก่ พสั ดทุ ่ตี อ้ งใช้อนั เนื่องมาจากเกิดเหตกุ ารณ์ที่ไม่อาจคาดหมายได้
๓.๒) การจัดซ้อื จัดจา้ งโดยวิธีเฉพาะเจาะจงตามมาตรา ๕๖ (๒) (ข)๑๐
๓.๓) การจัดซื้อจัดจ้างที่มีวงเงินเล็กน้อยตามท่ีกําหนดในกฎกระทรวง
ที่ออกตามมาตรา ๙๖ วรรคสอง๑๑
๙-๑๑ พระราชบัญญตั ิการจัดซือ้ จดั จ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๕๖ การจัดซือ้ จดั จ้างพัสดุ ให้หน่วยงานของรฐั เลอื กใชว้ ธิ ีประกาศเชญิ ชวนทัว่ ไปกอ่ น เวน้ แต่
(๑) กรณีดงั ต่อไปน้ี ใหใ้ ช้วธิ คี ัดเลอื ก
ฯลฯ ฯลฯ
(ค) มีความจําเป็นเร่งด่วนที่ต้องใช้พัสดุน้ันอันเนื่องมาจากเกิดเหตุการณ์ท่ีไม่อาจคาดหมายได้
ซึง่ หากใชว้ ธิ ีประกาศเชิญชวนท่ัวไปจะทําใหไ้ มท่ นั ต่อความต้องการใชพ้ สั ดุ
ฯลฯ ฯลฯ
(๒) กรณีดังต่อไปน้ี ให้ใชว้ ธิ เี ฉพาะเจาะจง
ฯลฯ ฯลฯ
(ข) การจัดซ้อื จดั จ้างพสั ดทุ ม่ี กี ารผลติ จาํ หนา่ ย ก่อสร้าง หรอื ใหบ้ รกิ ารท่วั ไป และมีวงเงินในการจัดซ้ือ
จดั จา้ งครง้ั หนึ่งไมเ่ กินวงเงนิ ตามทีก่ าํ หนดในกฎกระทรวง
ฯลฯ ฯลฯ
มาตรา ๙๖ หน่วยงานของรัฐอาจจัดทําข้อตกลงเป็นหนังสือโดยไม่ทําตามแบบสัญญาตามมาตรา ๙๓ ก็ได้
เฉพาะในกรณี ดงั ตอ่ ไปน้ี
ฯลฯ ฯลฯ
รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๓๗
ในกรณีที่การจัดซื้อจัดจ้างมีวงเงินเล็กน้อยตามที่กําหนดในกฎกระทรวง จะไม่ทําข้อตกลง
เป็นหนังสอื ไวต้ ่อกนั กไ็ ด้ แตต่ ้องมีหลกั ฐานในการจดั ซือ้ จัดจ้างนนั้
ฯลฯ ฯลฯ
๒๓๘ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
นอกจากพระราชบัญญัติการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐
จะได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการในการอุทธรณ์ไว้ในหมวด ๑๔ เป็นการเฉพาะแล้ว ตามระเบียบ
กระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ก็ได้กําหนด
เร่ืองการร้องเรียนไว้เป็นการเฉพาะเช่นเดียวกัน โดยได้กําหนดไว้ในหมวด ๑๐ ข้อ ๒๒๐ ถึงข้อ ๒๒๓
ดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้
หมวด ๑๐
การร้องเรยี น
____________________
ข้อ ๒๒๐ ผใู้ ดเห็นว่าหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัตใิ ห้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ท่ีกําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ กฎกระทรวง ระเบียบ
หรือประกาศท่ีออกตามความในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
มสี ิทธริ อ้ งเรียนไปยังหนว่ ยงานของรฐั นน้ั หรอื คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แล้วแตก่ รณีกไ็ ด้
การยื่นข้อร้องเรียนตามวรรคหน่ึง ต้องดําเนินการภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันท่ีรู้
หรือควรรู้ว่าหน่วยงานของรัฐนั้นมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กําหนดในกฎหมาย
วา่ ด้วยการจดั ซอ้ื จัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครฐั กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามความ
ในกฎหมายวา่ ด้วยการจดั ซอื้ จดั จา้ งและการบริหารพสั ดภุ าครฐั
ข้อ ๒๒๑ การร้องเรียนต้องทําเป็นหนังสือลงลายมือช่ือผู้ร้องเรียน ในกรณี
ผู้ร้องเรียนเป็นนิติบุคคลต้องลงลายมือชื่อของกรรมการซึ่งเป็นผู้มีอํานาจกระทําการแทนนิติบุคคล
และประทับตราของนติ บิ ุคคล (ถ้าม)ี
หนงั สือรอ้ งเรียนตามวรรคหน่ึง ต้องใช้ถ้อยคําสุภาพ และระบุข้อเท็จจริงและเหตุผล
อนั เป็นเหตุแหง่ การร้องเรียนใหช้ ัดเจน พรอ้ มแนบเอกสารหลกั ฐานท่เี ก่ียวข้องไปด้วย
ข้อ ๒๒๒ ในกรณีท่ีหน่วยงานของรัฐได้รับเรื่องร้องเรียนตามข้อ ๒๒๐ ให้หน่วยงาน
ของรัฐพิจารณาข้อร้องเรียนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วแจ้งผลให้ผู้ร้องเรียนทราบโดยไม่ชักช้า พร้อมท้ัง
แจง้ ใหค้ ณะกรรมการพจิ ารณาอุทธรณท์ ราบด้วย
ข้อ ๒๒๓ ในกรณีทคี่ ณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้รับเร่ืองร้องเรียนตามข้อ ๒๒๐
ให้คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาข้อร้องเรียนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว โดยให้ดําเนินการตาม
มาตรา ๔๓ วรรคส่ี แลว้ แจ้งผลให้ผรู้ อ้ งเรียนและหน่วยงานของรัฐทราบดว้ ย
คาํ วนิ จิ ฉัยของคณะกรรมการพจิ ารณาอุทธรณ์ ให้เป็นที่สุด
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณอ์ าจกาํ หนดรายละเอียดอื่นเพมิ่ เตมิ ได้ตามความจําเป็น
เพ่ือประโยชนใ์ นการดําเนนิ การ
รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๓๙
จากระเบียบดังกล่าวได้กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการร้องเรียนไว้เป็นการเฉพาะ
โดยมีสาระสาํ คญั ดังต่อไปน้ี
๑. ความหมายของการร้องเรยี น
ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ “การร้องเรยี น” เป็นกรณที ผ่ี ้ใู ดเหน็ วา่ หน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
และวิธีการที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ กฎกระทรวง
ระเบยี บ หรอื ประกาศที่ออกตามความในกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
จึงใช้สิทธิร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี (ข้อ ๒๒๐
วรรคหนงึ่ )
๒. ผู้มสี ทิ ธิรอ้ งเรียน
ตามข้อ ๒๒๐ วรรคหนึ่ง ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง
และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ ใช้ถ้อยคําว่า “ผู้ใด” ดังนั้น บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคล
ย่อมมีสิทธิในการร้องเรียนหน่วยงานของรัฐ หากเห็นว่าหน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศท่ีออกตามความในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและ
การบริหารพสั ดุภาครฐั โดยไมจ่ าํ กัดวา่ จะตอ้ งเปน็ ผยู้ ่นื ข้อเสนอในการจดั ซ้อื จัดจ้างดังเช่นกรณกี ารอุทธรณ์
ตามหมวด ๑๔ แห่งพระราชบัญญตั ิการจดั ซ้ือจดั จ้างและการบริหารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐
๓. แบบการรอ้ งเรียน
ตามข้อ ๒๒๑ ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและ
การบริหารพสั ดภุ าครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ กําหนดให้การร้องเรยี นมีรูปแบบ ดงั นี้
๑) ทาํ เปน็ หนงั สือ
๒) ลงลายมือชื่อผู้ร้องเรียน โดยกรณีผู้ร้องเรียนเป็นนิติบุคคล ต้องลงลายมือชื่อ
ของกรรมการซึ่งเปน็ ผ้มู อี าํ นาจกระทําการแทนนติ บิ ุคคลและประทับตราของนิติบคุ คล (ถา้ มี)
๓) ใชถ้ อ้ ยคาํ สภุ าพ
๔) ระบุข้อเท็จจริงและเหตุผลอันเป็นเหตุแห่งการอุทธรณ์ให้ชัดเจน พร้อมแนบ
เอกสารหลักฐานทีเ่ ก่ียวข้อง
๔. ระยะเวลาการยืน่ ข้อร้องเรียน
ตามข้อ ๒๒๐ วรรคสอง ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง
และการบริหารพสั ดภุ าครฐั พ.ศ. ๒๕๖๐ กาํ หนดให้ผูร้ ้องเรยี นตอ้ งยนื่ ข้อรอ้ งเรียนตอ่ หนว่ ยงานของรัฐ
หรอื คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันท่ีรู้หรือควรรู้ว่าหน่วยงาน
ของรัฐมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้าง
๒๔๐ รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และการบริหารพัสดุภาครัฐ กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศที่ออกตามความในกฎหมายว่าด้วย
การจดั ซือ้ จดั จ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
๕. ผ้มู อี ํานาจพิจารณาข้อรอ้ งเรยี น
ตามข้อ ๒๒๐ วรรคหน่ึง ของระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้าง
และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ กําหนดให้ผู้ร้องเรียนมีสิทธิร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐ
หรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ แล้วแต่กรณี ดังนั้น ผู้มีอํานาจพิจารณาข้อร้องเรียนจึงได้แก่
หัวหน้าหน่วยงานของรัฐและคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ซึ่งได้แก่ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
และข้อร้องเรยี น เช่นเดยี วกบั ผูม้ ีอาํ นาจพิจารณาและวินิจฉยั อุทธรณ์กรณกี ารอทุ ธรณ์
๖. ระยะเวลาในการพิจารณาข้อรอ้ งเรยี น
โดยท่ีผู้ร้องเรียนสามารถย่ืนข้อร้องเรียนได้ ๒ ช่องทาง ตามท่ีข้อ ๒๒๒ ของระเบียบ
กระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ กําหนดไว้
ระยะเวลาในการพจิ ารณาข้อร้องเรยี นจึงแบง่ ออกเปน็ ๒ กรณี ดงั นี้
๑) กรณีร้องเรียนต่อหน่วยงานของรัฐ หัวหน้าหน่วยงานของรัฐจะต้องพิจารณา
ข้อร้องเรียนให้แล้วเสร็จโดยเร็ว แล้วแจ้งผลให้ผู้ร้องเรียนทราบโดยไม่ชักช้า พร้อมทั้งแจ้งให้
คณะกรรมการพจิ ารณาอุทธรณท์ ราบดว้ ย
๒) กรณีร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จะต้องพจิ ารณาขอ้ ร้องเรียนใหแ้ ลว้ เสรจ็ โดยเรว็ แล้วแจ้งผลใหผ้ รู้ อ้ งเรยี นและหนว่ ยงานของรัฐทราบด้วย
หมายเหตุ ในเร่ืองระยะเวลาการพิจารณาข้อร้องเรียนให้แล้วเสร็จโดยเร็วนี้
ศาลปกครองสูงสุดได้มีคําส่ัง คดีหมายเลขแดงท่ี ๔๔๓/๒๕๖๑ วินิจฉัยวางแนวทางว่า โดยสภาพของเรื่อง
กฎหมายประสงค์จะให้มีการพิจารณาให้แล้วเสร็จโดยเร็ว กล่าวคือ จะต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน
ระยะเวลาก่อนที่จะเสร็จสิ้นกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้าง เพื่อท่ีจะสามารถส่ังการใด ๆ ตามกฎหมายได้
ดังน้ัน นบั จากวนั ที่ ๑ ธนั วาคม ๒๕๖๐ ท่ีผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนหนังสือร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
จนกระทั่งต่อมาในวนั ท่ี ๑๙ ธันวาคม ๒๕๖๐ ผู้ว่าราชการจังหวัดเลย (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) ได้ประกาศผู้ชนะ
การเสนอราคาของโครงการแล้ว แต่คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ยังคงไม่ได้แจ้งผลการพิจารณา
ขอ้ ร้องเรียนของผฟู้ ้องคดี กรณจี ึงถือว่าไม่ไดม้ ีการสั่งการภายในเวลาอันสมควร การทผี่ ้ฟู ้องคดีนําคดีนี้
มาฟ้องต่อศาลในวันท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๖๑ จึงถือได้ว่าเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีได้ดําเนินการตามข้ันตอน
และวิธีการสําหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหาย และมิได้มีการสั่งการภายในเวลาอันสมควร
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลจึงรับคําฟ้องของผู้ฟ้องคดี
ไวพ้ ิจารณาได้
๗. ผลการพจิ ารณาข้อรอ้ งเรยี น
ในการพิจารณาข้อร้องเรียน คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จะต้องดําเนินการ
ตามมาตรา ๔๓ วรรคส่ี แหง่ พระราชบญั ญัติการจดั ซือ้ จดั จา้ งและการบรหิ ารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐
กลา่ วคือ หากคณะกรรมการพจิ ารณาอทุ ธรณพ์ จิ ารณาขอ้ รอ้ งเรียนกรณีทผี่ ู้ร้องเรยี นเห็นว่า หน่วยงานของรัฐ
รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๔๑
มิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามแนวทางของพระราชบัญญัติการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
พ.ศ. ๒๕๖๐ กฎกระทรวง หรือระเบียบที่ออกตามความในพระราชบัญญัติดังกล่าว แล้วรับฟังได้ว่า
หน่วยงานของรัฐมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบดังกล่าวตามท่ีถูกร้องเรียน คณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์มีอํานาจส่ังระงับการจัดซ้ือจัดจ้างไว้ก่อนได้ เว้นแต่จะได้ลงนามในสัญญาจัดซ้ือ
จัดจ้างแล้ว โดยคําวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ให้เป็นท่ีสุด ทั้งน้ี คณะกรรมการ
พจิ ารณาอทุ ธรณ์อาจกําหนดรายละเอียดอ่ืนเพิ่มเติมได้ตามความจําเป็น เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการ
(ข้อ ๒๒๓)
นอกจากนี้ การร้องเรียนไม่มีผลเป็นการหยุดหรือชะลอกระบวนการในการจัดซื้อ
จัดจ้างดังเช่นกรณีการอุทธรณ์ ดังน้ัน หน่วยงานของรัฐจึงสามารถดําเนินกระบวนการจัดซ้ือจัดจ้าง
ต่อไปได้แมจ้ ะมกี ารร้องเรยี น รวมถึงการทําสัญญาหรอื ขอ้ ตกลงเป็นหนังสือด้วย๑๒
ข้อสังเกต ในเรื่องของการร้องเรียนนี้ แม้ตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วย
การจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐ จะไม่ได้กําหนดกรณีการให้สิทธิฟ้องคดีไว้
ดังเช่นกรณีการอุทธรณ์ก็ตาม แต่จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองพบว่า ผู้ร้องเรียน
ที่ไม่พอใจผลการพิจารณาข้อร้องเรียนของหน่วยงานของรัฐหรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์
สามารถนาํ คดมี าฟอ้ งต่อศาลเพื่อโต้แย้งกระบวนการจัดซอื้ จดั จ้างทเ่ี หน็ ว่าเปน็ การไมป่ ฏบิ ตั ใิ หเ้ ปน็ ไปตาม
หลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
กฎกระทรวง ระเบียบ หรือประกาศท่ีออกตามความในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและ
การบริหารพัสดุภาครัฐได้ และศาลปกครองเห็นว่า การร้องเรียนดังกล่าวเป็นขั้นตอนหรือวิธีการ
สําหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายตามที่กฎหมายกําหนดไว้ก่อนฟ้องคดีตามมาตรา ๔๒
วรรคสอง แหง่ พระราชบัญญตั ิจัดตั้งศาลปกครองฯ ดังนั้น ผู้ประสงค์จะนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง
จึงต้องดําเนินการร้องเรียนต่อหน่วยงานของรัฐผู้จัดให้มีการจัดซ้ือจัดจ้างน้ันหรือคณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณ์ภายในเวลาที่กฎหมายกําหนดก่อน ศาลจึงจะรับคําฟ้องไว้พิจารณา ดังตัวอย่างคดี
ตอ่ ไปน้ี
: คําส่ังศาลปกครองอุดรธานี คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๙/๒๕๖๑๑๓ กรณีผู้ฟ้องคดี
ซึ่งซื้อเอกสารประกวดราคาจ้างโครงการเสริมสร้างสังคมและพัฒนาคุณภาพชีวิต จังหวัดเลย
กิจกรรมจัดหาแหล่งนํ้าบาดาลให้กับหมู่บ้านขาดแคลนนํ้าสําหรับอุปโภคบริโภคเพ่ือประชาชน
ด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ (e-bidding) แต่มิได้ย่ืนเสนอราคา เน่ืองจากเห็นว่าสํานักงาน
ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อมจังหวัดเลย (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) และผู้ว่าราชการจังหวัดเลย
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) กําหนดเงื่อนไขในขอบเขตของงานโดยมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์
๑๒ สาํ นกั บรหิ ารทรัพยส์ นิ สํานักงานศาลยุติธรรม, คู่มือแนวทางการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คําสั่งทางปกครอง
หรอื ข้อร้องเรียน, ๒๕๖๑, หนา้ ๑๓.
๑๓ คดีน้ีมีอุทธรณ์ไปยังศาลปกครองสูงสุด ซ่ึงศาลปกครองสูงสุดได้มีคําวินิจฉัยแล้วเป็นคําสั่งศาลปกครอง
สงู สุด คดีหมายเลขแดงท่ี ๔๔๓/๒๕๖๑ ซ่ึงได้สรปุ ยอ่ คําส่ังของศาลปกครองสงู สดุ ดังกลา่ วไวใ้ นหวั ข้อทเ่ี กยี่ วขอ้ งแล้ว
๒๔๒ รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และวิธีการที่กําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ กฎกระทรวง
ระเบียบ หรือประกาศทอ่ี อกตามความในกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหารพัสดุภาครัฐ
ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนประกาศประกวดราคาท่ีพิพาท ให้แก้ไขเปล่ียนแปลงข้อกําหนดขอบเขตของงาน
และใหย้ กเลกิ ประกาศผชู้ นะการเสนอราคาโครงการดังกล่าว
แม้ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับหนังสือลงวันท่ี ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๐
ที่ผ้ถู กู ฟ้องคดที ี่ ๑ แจ้งผู้ฟ้องคดีว่าไม่ควรปรับปรุงร่างประกาศและร่างเอกสารจ้างฯ เมื่อใด แต่กรณีถือได้ว่า
วนั ท่ี ๗ ธนั วาคม ๒๕๖๐ ซ่งึ เปน็ วนั ที่ผู้ฟ้องคดีสามารถขอซ้อื เอกสารประกวดราคาฯ ได้เป็นวันสุดท้าย
เป็นวันท่ีผู้ฟ้องคดีรู้หรือควรรู้ว่าหน่วยงานของรัฐน้ันมิได้ปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ
ท่ีกําหนดในกฎหมายว่าด้วยการจัดซ้ือจัดจ้างฯ ผู้ฟ้องคดีจึงต้องร้องเรียนไปยังหน่วยงานของรัฐนั้น
หรือคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันดังกล่าว แต่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดี
ได้มีหนังสือร้องเรียนไปยังสํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ
(สํานกั งาน ป.ป.ท.) เมือ่ วันที่ ๘ ธันวาคม ๒๕๖๐ จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้ร้องเรียนต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒
ผู้ดําเนนิ การออกประกาศพิพาท หรือร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ ตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ก่อนย่ืนฟ้องคดีน้ี จึงเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมิได้ดําเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไข
ความเดือดรอ้ นหรอื เสยี หายตามท่ีกฎหมายกาํ หนดไว้ก่อนฟอ้ งคดี ผูฟ้ ้องคดีจงึ ไม่อาจฟ้องคดีต่อศาลได้
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง่ พระราชบญั ญตั ิจัดต้งั ศาลปกครองฯ๑๔
๑๔ ที่ผ่านมากรณีฟ้องขอให้เพิกถอนประกาศจัดซ้ือจัดจ้างนั้น ศาลปกครองสูงสุดมีแนวทางการวินิจฉัยว่า
ประกาศจัดซื้อจัดจ้างมีสถานะเป็นคําส่ังทางปกครองท่ัวไป ผู้ฟ้องคดีจึงสามารถยื่นฟ้องคดีต่อศาลได้โดยไม่ต้อง
ดาํ เนนิ การอทุ ธรณ์ก่อน เพียงแต่ศาลยังมีความเห็นแตกต่างกันบ้างในประเด็นว่า ผู้มีสิทธิฟ้องคดีดังกล่าวจะต้องเป็น
ผูย้ ืน่ ขอ้ เสนอเข้ามาในกระบวนการจดั ซอ้ื จดั จ้างแล้วหรือไม่ หรือเป็นเพียงผู้ซ้ือซองหรือเอกสารจัดซื้อจัดจ้างท่ีเห็นว่า
ประกาศจดั ซ้อื จดั จา้ งน่าจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็สามารถนําคดมี าฟ้องต่อศาลได้
รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๔๓
๒๔๔ รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
บรรณานกุ รม
ชาญชยั แสวงศกั ด.ิ์ กฎหมายปกครองเก่ยี วกบั การจัดซอ้ื จดั จา้ งและการบริหารพัสดุภาครัฐ. พิมพ์ครั้งที่ ๓.
กรุงเทพ : วญิ ญูชน. ๒๕๖๑.
สํานักบริหารทรัพย์สิน สํานักงานศาลยุติธรรม. คู่มือแนวทางการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์คําส่ัง
ทางปกครอง หรือขอ้ ร้องเรยี น. ๒๕๖๑.
รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๔๕
คดีพพิ าทเกย่ี วกบั สญั ญาทางปกครอง
เรื่องที่ ๑๒ คําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดและคําวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาล
เก่ียวกบั การเป็นสญั ญาทางปกครองที่น่าสนใจ ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕-๒๕๖๐
เดิม ผู้จัดทําได้เคยเขียนบทความส้ันเผยแพร่ในเอกสารรวมเร่ืองเด่น ประเด็นเด็ด
เกร็ดคดี ในประเด็น “ข้อพิจารณาเกี่ยวกับการเป็นสัญญาทางปกครอง”๑ ซ่ึงได้อธิบายเก่ียวกับ
ความหมายและองค์ประกอบของการเป็นสัญญาทางปกครองไปแล้วโดยสังเขป พร้อมกับได้ยกตัวอย่าง
คําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดและคําวินิจฉัยช้ีขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลท่ีน่าสนใจที่วินิจฉัย
ตั้งแต่ศาลปกครองเปิดทําการจนถึงต้นปี พ.ศ. ๒๕๕๕ ปรากฏว่า จนกระทั่งปัจจุบันมีคดีพิพาท
เก่ียวกับสัญญาทางปกครองเข้าสู่การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดอีกจํานวนมาก ดังน้ัน
ในบทความฉบับน้ี จึงจะขอยกตัวอย่างคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดและคําวินิจฉัยช้ีขาด
อํานาจหน้าท่ีระหว่างศาลที่น่าสนใจเพ่ิมเติม เพ่ือให้การติดตามแนวคําวินิจฉัยเก่ียวกับการเป็นสัญญา
ทางปกครองเป็นปัจจุบัน และเพ่ือให้เห็นถึงพัฒนาการการเป็นสัญญาทางปกครองได้อย่างชัดเจน
มากยิ่งขึ้น โดยขอบเขตการนําเสนอจะเป็นการรวบรวมคําวินิจฉัยระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จนถึง
พ.ศ. ๒๕๖๐ ซง่ึ เป็นชว่ งเวลาต่อจากท่ีไดน้ ําเสนอไปแล้วในบทความทีผ่ า่ นมา อยา่ งไรกต็ าม กอ่ นจะเขา้ สู่
เน้ือหาของคําวินิจฉัยดังกล่าว ผู้จัดทําจะขอยกเอานิยามการเป็นสัญญาทางปกครองตามพระราชบัญญัติ
จัดตั้งศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ และตามมติของท่ีประชุมใหญ่ตุลาการ
ในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ ๖/๒๕๔๔ เมื่อวันท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๔ มากล่าวถึงอีกครั้ง เพ่ือให้เห็นถึง
ขอบเขตของสัญญาทางปกครองไดช้ ัดเจนมากย่ิงขึน้ ในบทความน้ี
พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
ได้กําหนดให้คดีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองอยู่ในเขตอํานาจของศาลปกครองตามมาตรา ๙
วรรคหนึ่ง (๔) และได้นิยามความหมายของสัญญาทางปกครองไว้เป็นครั้งแรกในระบบกฎหมายไทย
ในมาตรา ๓ ว่า “สัญญาทางปกครอง หมายความรวมถึง สัญญาที่คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เป็นหน่วยงานทางปกครองหรือเป็นบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐ และมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน
สัญญาท่ีให้จัดทําบริการสาธารณะ หรือจัดให้มีสิ่งสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จาก
ทรัพยากรธรรมชาติ” จากนิยามดังกล่าว จะเห็นได้ว่า สัญญาที่จะเป็นสัญญาทางปกครองน้ัน
ประการแรก คู่สัญญาอย่างน้อยฝ่ายหนึ่งต้องเป็นฝ่ายปกครองหรือเป็นผู้ที่กระทําการแทน
สรวิศ เร่ิมสุกรี พัชรพล เตียวัฒนานนท์ และธันวรัตน์ ธนพิทักษ์ ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ
โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกรด็ คดี ๒๕๖๑ ประจาํ วันท่ี ๒๘ กมุ ภาพันธ์ ๒๕๖๑
๑ ศูนย์ศึกษาคดีปกครอง สํานักวิจัยและวิชาการ สํานักงานศาลปกครอง, รวมเรื่องเด่น ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี
(ฉบับท่ี ๑ เดือนพฤษภาคม ๒๕๕๔-ฉบับท่ี ๔๑ เดือนธันวาคม ๒๕๕๕) เลม่ ท่ี ๒ (๒๕๕๖), หน้า ๓๐-๓๙.
๒๔๖ รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ฝา่ ยปกครอง ประการที่สอง ตอ้ งเป็นสญั ญาสมั ปทาน สัญญาที่ให้จัดทําบริการสาธารณะ หรือจัดให้มี
ส่ิงสาธารณูปโภค หรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ส่วนสัญญาอ่ืน ๆ นอกเหนือจาก
ท่กี ล่าวมาจะไดแ้ ก่สัญญาในลักษณะใดบ้างนั้น กฎหมายเปิดโอกาสให้ศาลปกครองและคณะกรรมการ
วินิจฉัยช้ีขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลเป็นผู้วางแนวทางและวางหลักต่อไป ซึ่งต่อมา ท่ีประชุมใหญ่
ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ได้มีมติในการประชุม คร้ังที่ ๖/๒๕๔๔ วันท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๔
อธบิ ายความหมายของสญั ญาทางปกครองไว้ว่า “สัญญาใดจะเป็นสัญญาทางปกครองตามที่บัญญัติไว้
ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒ ได้น้ัน
ประการแรก คู่สัญญาอยา่ งนอ้ ยฝ่ายหนึง่ ตอ้ งเป็นหน่วยงานทางปกครองหรือบุคคลซึ่งได้รับมอบหมาย
ให้กระทําการแทนรัฐ ประการที่สอง สัญญาน้ันมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน สัญญาท่ีให้จัดทํา
บริการสาธารณะหรือจัดให้มีส่ิงสาธารณูปโภคหรือแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ
หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงานทางปกครองหรือบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐตกลงให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง
เข้าดําเนินการหรือเข้าร่วมดําเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือเป็นสัญญาท่ีมีข้อกําหนด
ในสัญญาซ่ึงมีลักษณะพิเศษท่ีแสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ ท้ังนี้ เพ่ือให้การใช้อํานาจทางปกครอง
หรือการดําเนินกิจการทางปกครอง ซึ่งก็คือการบริการสาธารณะบรรลุผล ดังน้ัน หากสัญญาใด
เป็นสัญญาท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือบุคคลซ่ึงกระทําการแทนรัฐมุ่งผูกพันตนกับคู่สัญญา
อีกฝ่ายหนึ่งด้วยใจสมัครบนพ้ืนฐานแห่งความเสมอภาค และมิได้มีลักษณะเช่นที่กล่าวมาแล้วข้างต้น
สัญญานั้นย่อมเป็นสัญญาทางแพ่ง” จะเห็นได้ว่า การกําหนดนิยามของสัญญาทางปกครอง
โดยที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดตอนท้ายที่ว่า “...หรือเป็นสัญญาที่หน่วยงาน
ทางปกครองหรือบุคคลซึ่งกระทําการแทนรัฐตกลงให้คู่สัญญาอีกฝ่ายหน่ึงเข้าดําเนินการหรือเข้าร่วม
ดําเนินการบริการสาธารณะโดยตรง หรือเป็นสัญญาที่มีข้อกําหนดในสัญญาซึ่งมีลักษณะพิเศษ
ท่ีแสดงถึงเอกสิทธิ์ของรัฐ ท้ังน้ี เพื่อให้การใช้อํานาจทางปกครองหรือการดําเนินกิจการทางปกครอง
ซ่ึงก็คือการบริการสาธารณะบรรลุผล...” เป็นการกําหนดความหมายอันมีลักษณะทั่วไปของสัญญา
ทางปกครองหรือลักษณะของสัญญาทางปกครองโดยสภาพ ด้วยการนําแนวคิดมาจากความหมาย
ของสัญญาทางปกครองของประเทศฝร่ังเศส๒ สําหรับคําวินิจฉัยของคณะกรรมการวินิจฉัยช้ีขาด
อํานาจหน้าท่ีระหว่างศาลนั้น ไม่ได้มีการวางหลักท่ัวไปดังเช่นมติของท่ีประชุมใหญ่ตุลาการ
ในศาลปกครองสูงสุด แต่จะเป็นการพิจารณาถึงลักษณะของสัญญาเป็นกรณี ๆ ไป ซึ่งต่อมาก็ได้มี
การวินิจฉัยว่า “สัญญาที่มีวัตถุแห่งสัญญาเก่ียวกับการจัดให้มีเครื่องมือหรืออุปกรณ์ที่สําคัญ
หรือจาํ เปน็ ตอ่ การจัดทาํ บรกิ ารสาธารณะให้บรรลุผล เป็นสัญญาทางปกครอง”
๒ โภคิน พลกุล, “สัญญาทางปกครองในกฎหมายไทย.” วารสารวิชาการศาลปกครอง ปีท่ี ๔ ฉบับท่ี ๑
มกราคม-เมษายน ๒๕๔๗, หน้า ๕๐-๕๒.
รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๔๗
จึงอาจกล่าวได้ว่า ในปัจจุบันสามารถแบ่งลักษณะของสัญญาทางปกครองได้เป็น
๓ ลักษณะด้วยกนั คอื
๑. สัญญาทางปกครองโดยผลของกฎหมาย ได้แก่ สัญญาทางปกครองตามบทนิยาม
ในมาตรา ๓ แห่งพระราชบญั ญัตจิ ัดตั้งศาลปกครองฯ
๒. สัญญาทางปกครองโดยสภาพ ได้แก่ สัญญาทางปกครองตามมติของที่ประชุมใหญ่
ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด คร้งั ท่ี ๖/๒๕๔๔ เมอื่ วันท่ี ๑๐ ตุลาคม ๒๕๔๔
๓. สญั ญาทางปกครองตามคาํ วนิ ิจฉัยชีข้ าดอาํ นาจหน้าที่ระหวา่ งศาล
๑. สัญญาทางปกครองโดยผลของกฎหมาย
ดังท่ีได้กล่าวไปแล้วว่า มาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ได้ยก
ตัวอย่างสัญญาทางปกครองไว้ ๔ ประเภท ได้แก่ สัญญาสัมปทาน สัญญาที่ให้จัดทําบริการสาธารณะ
สัญญาจัดให้มีส่ิงสาธารณูปโภค และสัญญาแสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งในระหว่าง
ปี พ.ศ. ๒๕๕๕ จนถึงปี พ.ศ. ๒๕๖๐ มีคําวินิจฉัยน่าสนใจท่ีเก่ียวข้องกับ ๔ ประเภทสัญญาน้ี
ดังตอ่ ไปน้ี
๑.๑ สญั ญาสมั ปทาน
ศาสตราจารย์ ดร.ประยูร กาญจนดุล ได้กล่าวถึงความหมายของ “สัมปทาน”
ไวว้ า่ “สัมปทานเป็นวิธีการท่ีฝ่ายปกครองมอบหมายให้เอกชนมีสิทธิจัดทําบริการสาธารณะอย่างหนึ่ง
อย่างใดภายในระยะเวลาท่ีกําหนดด้วยทุนและความเสี่ยงภัยของตนเองโดยฝ่ายปกครองไม่ได้จ่ายเงิน
ค่าจ้างให้แก่ผู้รับสัมปทาน แต่ให้ผลประโยชน์แก่ผู้รับสัมปทานเป็นการตอบแทนด้วยการให้สิทธิท่ีจะ
เรียกเก็บค่าบริการหรือค่าตอบแทนจากประชาชนผู้ใช้ประโยชน์ในกิจการนั้น”๓ ซึ่งสัญญาสัมปทาน
ในประเทศไทยสามารถแบ่งได้เป็น ๒ ประเภท คือ สัมปทานบริการสาธารณะ และสัมปทานการใช้
ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แต่หากพิจารณานิยามของสัมปทานตามความหมายนี้ สัญญา
สัมปทานตามบทนิยามในมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ น่าจะหมายถึงเฉพาะ
สัมปทานบริการสาธารณะเท่าน้ัน ส่วนสัมปทานการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติ แม้จะมีช่ือ
เรียกว่าเป็นสัญญาสัมปทาน แต่มีวัตถุประสงค์นอกเหนือจากการบริการสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ ในส่วนน้ี
จึงจะขอกล่าวถึงเฉพาะสาระสําคัญเก่ียวกับสัญญาสัมปทานบริการสาธารณะ ส่วนกรณีของสัญญา
แสวงประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาตจิ ะไดก้ ล่าวถงึ ในลําดบั ถดั ไป
“สัมปทานบริการสาธารณะ”๔ ได้แก่ การที่ฝ่ายปกครองมอบบริการสาธารณะ
อนั อยู่ในอาํ นาจหนา้ ท่ีของตนให้เอกชนเป็นผ้จู ดั ทํา โดยมลี ักษณะสําคญั ดงั ต่อไปน้ี
๓ ประยูร กาญจนดุล, คําบรรยายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (สํานักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๓๘), หน้า ๑๓๑.
๔ นันทวฒั น์ บรมานันท,์ สญั ญาทางปกครอง, พิมพ์ครัง้ ท่ี ๔, (กรุงเทพฯ : วิญญชู น, ๒๕๕๔), หน้า ๑๓๖.
๒๔๘ รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
(๑) สัมปทานบริการสาธารณะเป็นสัญญาทางปกครองท่ีฝ่ายปกครองตกลง
อนุญาตให้เอกชนจัดทําบริการสาธารณะอย่างใดอย่างหนึ่งได้ด้วยทุนของเอกชนน้ันเอง ตามข้อกําหนด
และเง่ือนไขทีฝ่ า่ ยปกครองกาํ หนดให้ปฏิบตั เิ พื่อประโยชน์สาธารณะ โดยความเกี่ยวพันระหว่างเอกชน
ผู้รับสัมปทานกับฝ่ายปกครองเป็นความเก่ียวพันตามสัญญา ดังน้ัน แม้ว่าผู้รับสัมปทานจะได้รับ
มอบหมายให้จัดทําบริการสาธารณะ แต่ก็ไม่มีฐานะเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐ คงมีฐานะเป็นเอกชน
อยู่ตามเดิม
(๒) ทรัพย์สินท่ีผู้รับสัมปทานนํามาใช้ในการจัดทําบริการสาธารณะถือเป็น
ทรัพย์สินของเอกชน จึงไม่ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษจากกฎหมายเหมือนกับทรัพย์สินของ
ทางราชการที่อนญุ าตใหผ้ ู้รบั สัมปทานใชใ้ นการจดั ทําบริการสาธารณะ
(๓) กิจการที่ฝ่ายปกครองให้สัมปทานแก่เอกชนไปจัดทํานั้น ยังคงถือว่าเป็น
บริการสาธารณะอยู่ ฝ่ายปกครองจึงมีอํานาจควบคุมอย่างเต็มที่ และฝ่ายปกครองย่อมจะกําหนด
เง่ือนไขในการเพิกถอนสัมปทานไว้เสมอเพื่อใช้บังคับในกรณีที่ผู้รับสัมปทานละเลยไม่ปฏิบัติการหรือ
ฝ่าฝืนข้อกําหนดข้ันมูลฐานของสัมปทาน และอาจวางข้อกําหนดอย่างอื่น ๆ เพื่อรักษาประโยชน์
สาธารณะไดอ้ ีกด้วย
(๔) บริการสาธารณะที่ฝ่ายปกครองให้เอกชนรับสัมปทานไปจัดทํานั้น จะต้อง
ไม่เป็นกิจการที่เก่ียวกับความม่ันคงหรือความปลอดภัยของประเทศ เช่น การรักษาความสงบภายใน
การป้องกันประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยตามกระบวนการยุติธรรม และตามธรรมดามักจะ
เป็นบริการสาธารณะในทางเศรษฐกิจอันเป็นสาธารณูปโภค เช่น การไฟฟ้า การประปา การเดินรถ
ประจาํ ทาง เปน็ ต้น
โดยคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดและคําวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหน้าที่
ระหว่างศาลทีว่ นิ จิ ฉยั เกยี่ วกับการเปน็ สญั ญาสัมปทานบริการสาธารณะที่นา่ สนใจ มีดังตอ่ ไปน้ี
- สัญญาให้ดําเนินการให้บริการวิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่า ระหว่าง
บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)๕ (ผู้ฟ้องคดี) กับบริษัท ท. (ผู้ถูกฟ้องคดี) เป็นสัญญาท่ี
ผู้ฟ้องคดีตกลงให้ผู้ถูกฟ้องคดีดําเนินการจัดให้มี ขยาย และดําเนินการให้บริการวิทยุคมนาคม
ระบบเซลลูล่าในพืน้ ทตี่ ่าง ๆ ได้ท่วั ประเทศตามทก่ี าํ หนดไว้ในสัญญา ตามทีไ่ ด้รบั อนุญาตจากผู้ฟ้องคดี
และภายใต้กํากับดูแลของผู้ฟ้องคดี โดยผู้ถูกฟ้องคดีต้องจัดหาเครื่องและอุปกรณ์ท้ังหมด ซึ่งเครื่อง
และอุปกรณ์ดังกล่าวจะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ฟ้องคดี ส่วนผู้ถูกฟ้องคดีจะมีรายได้จากการให้บริการ
๕ คดีนี้ บริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี) มีสถานะเป็นหน่วยงานทางปกครอง
เนื่องจากเป็นหน่วยงานท่ีได้รับมอบหมายให้ดําเนินกิจการทางปกครอง โดยศาลเห็นว่า เดิมผู้ฟ้องคดีมีช่ือเรียกว่า
การส่ือสารแห่งประเทศไทย แต่ต่อมาได้จดทะเบียนเปลี่ยนเป็นบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน)
ตามพระราชบัญญัตบิ ริษัทมหาชนจํากัด พ.ศ. ๒๕๓๕ มวี ัตถุประสงคท์ ่สี ําคัญในการประกอบกจิ การโทรคมนาคมและ
ใหบ้ รกิ ารทางด้านโทรคมนาคมทกุ ลกั ษณะ ประกอบกิจการกระจายเสียง กิจการดาวเทียมส่ือสาร และให้บริการต่าง ๆ
ที่เก่ียวกับการสื่อสาร ผู้ฟ้องคดีจึงมีสถานะเป็นหน่วยงานประเภทบริษัทมหาชนจํากัดท่ีได้รับมอบหมาย
ใหด้ ําเนินกจิ การทางปกครองซ่งึ เป็นหนว่ ยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบญั ญตั จิ ดั ตง้ั ศาลปกครองฯ
รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๒๔๙
วิทยุคมนาคมระบบเซลลูล่าจากผู้ใช้บริการ และจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีตลอด
อายุสัญญาเป็นรายปี คิดเป็นอัตราร้อยละของรายได้จากการให้บริการตามสัญญา ก่อนหักค่าใช้จ่าย
ค่าภาษี และค่าธรรมเนียมต่าง ๆ จากการให้บริการ สัญญาดังกล่าวจึงมีลักษณะเป็นสัญญาสัมปทาน
อันเป็นสัญญาทางปกครอง (คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ ๑๐๒/๒๕๕๖)
- สัญญาร่วมลงทุน๖จัดต้ังโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนําแสงตามเส้นทางรถไฟ
(Fibre Optic Cable Transmission System) ระหว่างบริษัท ค. (โจทก์) กับบริษัท ทีโอที จํากัด
(มหาชน) (จําเลย) มีสาระสําคัญเพื่อเป็นข่ายรองรับวงจรทางไกลรองรับการขยายหมายเลขโทรศัพท์
ประจําท่ีให้บริการโทรศัพท์แก่ประชาชน และเป็นข่ายสํารองฉุกเฉินของจําเลยตามภารกิจในการ
ให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรศัพท์ของจําเลย โครงข่ายเคเบิลใยแก้วนําแสงตามเส้นทางรถไฟจึงเป็น
อุปกรณ์ที่จาํ เป็นตอ่ การจดั ทาํ บรกิ ารสาธารณะด้านการส่ือสารโทรคมนาคมให้บรรลุผล อันเป็นสัญญา
ทางปกครอง๗ (คาํ วินิจฉัยชี้ขาดอาํ นาจหน้าท่ีระหว่างศาลที่ ๑๒๖/๒๕๕๖)
๖ “การร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน” หมายถึง การให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการของรัฐ (Public
Private Partnership หรือ PPP) โดยการอนุญาต หรือให้สัมปทาน หรือให้สิทธิแก่เอกชนดําเนินกิจการของรัฐ
ทัง้ ในกิจการเชิงพาณชิ ย์และสังคม ซง่ึ กิจการของรัฐดังกล่าวต้องเป็นกิจการของส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอ่ืน
ของรัฐ หรอื องค์กรปกครองสว่ นท้องถิ่นมีอาํ นาจหน้าท่ีตามกฎหมาย หรือกิจการดังกล่าวจะต้องให้ทรัพยากรธรรมชาติ
หรอื ทรพั ย์สินของส่วนราชการ รฐั วิสาหกิจ หนว่ ยงานอื่นของรัฐ หรือองคก์ รปกครองส่วนท้องถน่ิ
การดําเนินการในลักษณะของ PPP นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อลดภาระการลงทุนของภาครัฐ และเพิ่ม
ประสิทธิภาพการลงทุนและการบริหารจัดการ การถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยี รวมท้ังขยายขอบเขต
และเพ่ิมคุณภาพการให้บริการสาธารณะ ซ่ึงมีการดําเนินการได้ในหลายรูปแบบ เช่น การว่าจ้างเอกชน
(Management Contact) การให้เอกชนเช่าทรัพย์สินของรัฐไปดําเนินการ (Lease Contract, Build-Operate-
Own (BOO), Build-Operate-Transfer (BOT) หรือ Build-Transfer-Operate (BTO)) ภาครัฐร่วมมือกับเอกชน
ในลักษณะหุ้นส่วนเพื่อดําเนินกิจการ (Joint Venture) (สํานักงบประมาณของรัฐสภา สํานักงานเลขาธิการ
สภาผู้แทนราษฎร, การวิเคราะห์การร่วมทุนระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน (Public Private Partnership
หรือ PPP), พิมพค์ รั้งท่ี ๓, ๒๕๕๙, หนา้ ๕.)
๗ ผู้จัดทําเห็นว่า สัญญาน้ีเป็นสัญญาทางปกครองประเภทสัญญาสัมปทาน เนื่องจากมีข้อกําหนดในสัญญาว่า
สัญญามีกําหนด ๒๐ ปี โดยโจทก์เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการลงทุนท้ังหมด เป็นผู้จัดหาอุปกรณ์โครงข่าย
ทําการก่อสร้างและติดต้ัง รวมท้ังการให้บริการโครงข่าย และให้บรรดาเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจน
ทรัพย์สินอ่ืน ๆ ท่ีโจทก์ได้กระทําข้ึนหรือจัดหามาไว้สําหรับดําเนินการตามสัญญาตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจําเลยทันที
ท่ีติดตั้งเสร็จเรียบร้อยและทดสอบตรวจรับแล้ว และโจทก์มีหน้าที่บํารุงรักษาให้อยู่ในสภาพใช้การได้ดี
ตลอดระยะเวลา ๑๕ ปี โดยจําเลยตกลงแบ่งรายได้จากการให้บริการโครงข่ายเคเบิลใยแก้วให้แก่โจทก์เป็นรายปี
ตามอัตราสว่ นของรายได้ตามเง่อื นไขท่ีกําหนดในสัญญา จงึ เข้าลักษณะของการเป็นสัญญาสมั ปทานบริการสาธารณะ
ตามบทนิยามทีไ่ ดก้ ล่าวไว้ตอนต้น
นอกจากนี้ คณะกรรมการวินิจฉัยช้ีขาดอํานาจหน้าท่ีระหว่างศาลยังได้วินิจฉัยต่อไปว่า สัญญาที่จําเลย
ว่าจ้างโจทก์ทําการดูแลซ่อมบํารุงรักษาโครงข่ายเคเบิลใยแก้วนําแสง เคร่ืองมือ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ตลอดจน
ทรัพย์สินอื่น ๆ ในระยะเวลา ๕ ปีสุดท้าย ของสัญญาร่วมลงทุนดังกล่าว ซึ่งกําหนดให้โจทก์ต้องรับผิดชอบเก่ียวกับ
ค่าใช้จ่ายในการตรวจซ่อมบํารุงรักษา แก้ไขเปล่ียนแปลงที่จําเป็น ตลอดจนการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง ๆ
๒๕๐ รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
- สัญญาดําเนินการให้บริการโทรศัพท์/โทรศัพท์และโทรสารระหว่าง
ประเทศสาธารณะแบบใช้บัตร ระหว่างบริษัท กสท โทรคมนาคม จํากัด (มหาชน) (ผู้ฟ้องคดี)
กับบริษัท ล. (ผู้ถูกฟ้องคดี) มีข้อสัญญากําหนดให้ผู้ถูกฟ้องคดีมีหน้าท่ีนําบริการโทรศัพท์ระหว่าง
ประเทศของผู้ฟ้องคดีไปให้บริการผ่านเคร่ืองโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตรแก่ประชาชนเป็นบริการ
สาธารณะท่ัวประเทศ และจะต้องจัดหาและติดต้ังเคร่ืองและอุปกรณ์ในการให้บริการ รวมถึงจัดหา
เลขหมายโทรศัพท์ ช่องสัญญาณ คสู่ ายหรือข่ายเชอ่ื มโยงในการใหบ้ ริการ ท้ังน้ี เมื่อสัญญาดําเนินการ
ให้บริการฯ สิ้นสุดลง ผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องส่งมอบระบบให้บริการโทรศัพท์สาธารณะให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ดังน้ัน สัญญาดําเนินการให้บริการฯ ท่ีพิพาท จึงเป็นสัญญาที่มีสาระสําคัญเพื่อดําเนินการให้บริการ
ทางดา้ นโทรคมนาคมแก่ประชาชนตามภารกิจในการให้บริการเกี่ยวกับกิจการโทรคมนาคมของผู้ฟ้องคดี
ทั้งนี้ เพื่อให้การจัดทําบริการสาธารณะด้านโทรคมนาคมอันเป็นภารกิจหลักของผู้ฟ้องคดีบรรลุผล
อันเป็นสัญญาทางปกครอง (คาํ วนิ จิ ฉัยชีข้ าดอาํ นาจหนา้ ทร่ี ะหวา่ งศาลท่ี ๑๐๘/๒๕๕๗)๘
- สัญญาสัมปทานทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑ ถนนวิภาวดีรังสิต
ตอนดินแดง-ดอนเมือง ระหว่างกรมทางหลวงกับบริษัท ท. เป็นสัญญาทางปกครอง (คําพิพากษา
ศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๑๕๖๓/๒๕๕๙)๙
๑.๒ สญั ญาท่ใี หจ้ ดั ทาํ บริการสาธารณะ
สัญญาที่ให้จัดทําบริการสาธารณะเป็นสัญญาที่ฝ่ายปกครองได้ “มอบ”
การดําเนินการก่อสร้างหรือการดําเนินการจัดทําบริการสาธารณะให้แก่นิติบุคคลมหาชนอื่นหรือ
นิติบุคคลเอกชนเป็นผู้ดําเนินการแทนฝ่ายปกครอง โดยการมอบบริการสาธารณะให้จัดทําอยู่ภายใต้
เง่ือนไขท่ีสําคัญ ๒ ประการ คือ ประการแรก ผู้ท่ีสามารถมอบบริการสาธารณะให้ผู้อื่นไปจัดทําได้
ท่ีใช้ในการดูแลตรวจซ่อมบํารุงรักษาและทดแทนส่วนที่ชํารุดเสียหายเพื่อให้โครงข่ายเคเบิลใยแก้วนําแสงที่จําเลยใช้
ในการให้บริการโทรศัพท์แก่ประชาชนอยู่ในสภาพท่ีใช้การได้ดีเช่นเดียวกับสัญญาร่วมลงทุนฯ และมีข้อสัญญา
กําหนดให้นําข้อความตามสัญญาร่วมลงทุนฯ ในส่วนที่เก่ียวกับการดูแลตรวจซ่อมบํารุงรักษาโครงข่ายเคเบิลใยแก้ว
นําแสงมาบังคับใช้ จึงเป็นสัญญาที่เก่ียวเน่ืองกับสัญญาร่วมลงทุนฯ ซึ่งเป็นสัญญาหลัก สัญญาจ้างทําการดูแล
ซอ่ มบํารงุ รกั ษาโครงขา่ ยเคเบลิ ใยแก้วนาํ แสงน้ี จงึ เป็นสญั ญาทางปกครองดว้ ย
๘ คดนี ้ี คณะกรรมการวินิจฉัยช้ีขาดอํานาจหน้าที่ระหว่างศาลมิได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า สัญญาที่พิพาท
เป็นสัญญาทางปกครองประเภทใด ซึ่งผู้จัดทําพิจารณาแล้วเห็นว่าสัญญาพิพาทดังกล่าวเข้าลักษณะของการเป็น
สัญญาสัมปทาน
๙ คดีน้ี ศาลมิได้วินิจฉัยในประเด็นเก่ียวกับการเป็นสัญญาทางปกครองไว้โดยตรง หากแต่ได้พิจารณา
วินิจฉัยในเนื้อหาเลย ประกอบกับท่ีผ่านมาเคยมีคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๕๙๔/๒๕๕๓ วินิจฉัยเก่ียวกับการเป็น
สัญญาทางปกครองของสัญญาสัมปทานทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๓๑ ถนนวิภาวดีรังสิต ตอนดินแดง-ดอนเมือง ว่า
กรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ตกลงทําสัญญาให้บริษัท ท. ได้รับสัมปทานทางหลวงในทางหลวงแผ่นดินฯ
โดยให้บริษัทดังกล่าวมีสิทธิและหน้าท่ีท่ีจะลงทุน ออกแบบ ประกอบการ ตลอดจนการบํารุงรักษาทางหลวง
ที่ให้สัมปทาน โดยระบุรายละเอียดและหลักการตลอดจนวิธีการท่ีคู่สัญญาจะต้องปฏิบัติต่อกันระหว่างท่ีสัญญา
มีผลใช้บังคับ ดังนั้น ตามคดีน้ีจึงยังคงเห็นได้ว่า ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า สัญญาสัมปทานทางหลวงแผ่นดินฯ
ตามกรณีน้เี ปน็ สัญญาทางปกครอง