The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเรื่องเด่น ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี 60-62 ศาลปกครอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-12-06 02:14:41

รวมเรื่องเด่น ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี 60-62 ศาลปกครอง

รวมเรื่องเด่น ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี 60-62 ศาลปกครอง

รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๐๑

โดยใช้หลักเสรีภาพในการทําสัญญาของคู่สัญญาที่ศาลไม่อาจก้าวล่วงไปใช้ดุลพินิจแทนหน่วยงาน
ทางปกครองซึ่งเป็นคู่สัญญาฝ่ายหน่ึงได้ อย่างไรก็ตาม การท่ีศาลมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา
โดยไม่ได้เข้าไปตรวจสอบการใช้ดุลพินิจไม่ต่อสัญญาจ้างของหน่วยงานทางปกครองดังกล่าว
มีข้อน่าคิดว่า อาจเป็นช่องทางให้เกิดการกล่ันแกล้งพนักงานราชการท่ีเป็นลูกจ้างในหน่วยงาน
ทางปกครองได้หากมีพฤติกรรมที่ไม่สนองตอบนโยบายของผู้บริหารหน่วยงาน เน่ืองจากกรณี
ของพนักงานราชการนี้ โดยปกติจะมีข้อกําหนดในสัญญาว่า เม่ือครบกําหนดตามสัญญาจ้าง
หน่วยงานทางปกครองผู้วา่ จ้างจะตอ้ งประเมินผลการปฏิบตั ิงานของพนกั งานราชการดงั ท่ีกล่าวไปแล้ว
ในตอนตน้ ด้วยเหตนุ ี้ การทศี่ าลไม่เข้าไปตรวจสอบเลย จงึ อาจเปน็ การเออื้ ประโยชนต์ ่อการใช้อํานาจ
โดยบิดเบือนของหน่วยงานทางปกครองบางแห่งได้ โดยการประเมินให้พนักงานราชการไม่ผ่านเกณฑ์
ท่ีได้รับการพิจารณาใหต้ ่อสัญญาจ้าง ส่วนแนวทางตามกรณีข้อ ๔.๒ น้ัน วินิจฉัยแตกต่างไปจากกรณี
ข้อ ๔.๑ ในส่วนของการกําหนดคําบังคับ โดยศาลเห็นว่าสามารถกําหนดคําบังคับให้หน่วยงาน
ทางปกครองดําเนินการส่ังจ้างผู้ฟ้องคดีต่อไปได้ แม้จะครบกําหนดระยะเวลาตามสัญญาแล้วก็ตาม
ท้ังนี้ เนื่องจากศาลเห็นว่าหน่วยงานทางปกครองดําเนินการประเมินผลการปฏิบัติงานไม่ชอบ
ด้วยกฎหมายหรืออาจจะไม่ชอบด้วยกฎหมาย แต่การกําหนดคําบังคับให้หน่วยงานทางปกครอง
ดําเนินการต่อสัญญาจ้างกับผู้ฟ้องคดีหรือชดใช้ค่าตอบแทนรวมทั้งสิทธิประโยชน์อันพึงมีพึงได้
หากมีการตอ่ สัญญาจา้ งออกไปให้แกผ่ ู้ฟอ้ งคดดี ังกลา่ วน้ี มีขอ้ น่าพิจารณาว่า แม้จะเป็นการมุ่งคุ้มครอง
สิทธิของผู้ฟ้องคดี โดยจะเป็นมาตรการที่อาจช่วยลดการใช้อํานาจโดยบิดเบือนของหัวหน้าหน่วยงาน
ทางปกครอง แต่คําบังคับดังกล่าวเป็นไปตามหลักเสรีภาพในการทําสัญญาหรือไม่ เพราะเท่ากับ
เป็นการก้าวล่วงเข้าไปใช้ดุลพินิจแทนหน่วยงานทางปกครอง ซ่ึงผู้เรียบเรียงเห็นว่า โดยท่ีสัญญา
ประเภทน้ีเป็นสัญญาที่มีลักษณะพิเศษดังเช่นที่ศาลปกครองสูงสุดและคณะกรรมการวินิจฉัยชี้ขาด
อํานาจหน้าท่ีระหว่างศาลได้ให้เหตุผลไว้ ที่หน่วยงานทางปกครองยังคงมีอํานาจเหนือลูกจ้าง
ในหน่วยงานน้ัน แต่การมีอํานาจเหนือน้ีต้องอยู่บนเหตุผลของความเป็นเหตุเป็นผลอันเก่ียวเนื่อง
กับประโยชน์สาธารณะ ดังนั้น เมื่อเงื่อนไขตามสัญญาจ้างได้ระบุเร่ืองการประเมินผลการปฏิบัติงาน
อันนําไปสู่การพิจารณาต่อสัญญาในอนาคต การไม่ต่อสัญญาของหน่วยงานทางปกครองจึงต้อง
มีเหตุผลท่ียอมรับได้ ซ่ึงก็คือ ผลการประเมินการปฏิบัติงาน เมื่อผลการประเมินการปฏิบัติงาน
เป็นสาระสําคัญของการพิจารณาต่อหรือไม่ต่อสัญญาจ้าง การตรวจสอบความถูกต้องเหมาะสม
ของการประเมินโดยศาลจึงมีความจําเป็น อย่างไรก็ตาม มีข้อสังเกตว่าการกําหนดค่าเสียหาย
ของศาลตามกรณีน้ีมีลักษณะทํานองเดียวกันกับการกําหนดค่าเสียหายฐานละเมิด อีกทั้ง
ผลของการกําหนดค่าเสียหายดังกล่าวยังเสมือนเป็นการต่อสัญญาจ้างไปโดยปริยายด้วย ซึ่งในกรณี
เช่นนี้ หากมีความเสียหายเกิดข้ึนแก่หน่วยงานทางปกครอง เจ้าหน้าท่ีผู้เกี่ยวข้องอาจต้องรับผิด
ทางละเมิดได้ สําหรับแนวทางตามกรณีข้อ ๔.๓ น้ัน เป็นกรณีที่ศาลเห็นว่า การพิจารณาต่อสัญญาจ้าง
กับผู้ฟ้องคดีเป็นการบริหารกิจการของหน่วยงานทางปกครองโดยคํานึงถึงประโยชน์ของทางราชการ
และหลักเกณฑ์การต่อสัญญาจ้างที่กําหนดไว้ อันเป็นการปฏิบัติตามอํานาจหน้าท่ีที่กฎหมายกําหนด
จึงกําหนดประเภทคดีเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓)
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และเห็นว่าศาลสามารถกําหนดคําบังคับด้วยการส่ังให้

๓๐๒ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

หน่วยงานทางปกครองชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้หากการไม่ต่อสัญญาจ้างเป็นการใช้ดุลพินิจ
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและเกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี อันเป็นการกระทําละเมิดตามมาตรา ๔๒๐
แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สําหรับกรณีนี้ผู้เรียบเรียงเห็นว่า เม่ือนิติสัมพันธ์ระหว่าง
หน่วยงานทางปกครองกับผู้ฟ้องคดีเป็นไปตามสัญญาจ้าง แม้หน่วยงานทางปกครองจะต้องปฏิบัติ
ตามระเบยี บหรือข้อบังคับใด ๆ ในการพิจารณาต่อสัญญาจ้างกับผู้ฟ้องคดีก็ตาม แต่เมื่อโดยท่ัวไปแล้ว
สัญญาจ้างพนักงานราชการดังกล่าวเป็นสัญญามาตรฐานท่ีมีข้อกําหนดให้นําระเบียบหรือข้อบังคับ
ของทางราชการมาเป็นข้อกําหนดในสัญญาด้วย จึงเห็นว่า การท่ีหน่วยงานทางปกครองไม่ปฏิบัติ
ตามระเบียบหรือข้อบังคับในการพิจารณาต่อสัญญาจ้างดังกล่าว น่าจะต้องถือว่าเป็นข้อพิพาท
ตามสัญญา และเป็นกรณีมีข้อโต้แย้งเก่ียวกับสัญญาเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่กรณีการกระทําละเมิด
อันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมายหรือจากการออกคําส่ังทางปกครองแต่อย่างใด ส่วนแนวทาง
ตามกรณีข้อ ๔.๔ นั้น เป็นกรณีท่ีศาลเห็นว่า การพิจารณาต่อเวลาการปฏิบัติงานเป็นการพิจารณา
ใช้อํานาจตามกฎหมายซ่ึงสามารถแยกออกได้ต่างหากจากการพิจารณาสิทธิหน้าท่ีของคู่สัญญา
ตามทีก่ ําหนดในสัญญา

จากท่ีกล่าวข้างต้น เมื่อพิจารณาประกอบกับพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน
พ.ศ. ๒๕๔๑ ท่ีได้กําหนดหน้าท่ีของนายจ้างและสิทธิของลูกจ้างกรณีการเลิกจ้าง โดยอาศัยหลักการ
ตามอนุสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศ ฉบับท่ี ๑๕๘ (อนุสัญญา ILO) ไว้ โดยกําหนดให้
นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างซ่ึงเลิกจ้างในกรณีที่นายจ้างไม่ให้ลูกจ้างทํางานต่อไปและไม่จ่าย
ค่าจ้างให้ ไม่ว่าจะเป็นเพราะเหตุส้ินสุดสัญญาจ้างหรือเหตุอื่นใด และการที่ลูกจ้างไม่ได้ทํางาน
และไม่ได้รับค่าจ้างเพราะเหตุท่ีนายจ้างไม่สามารถดําเนินกิจการต่อไป โดยมีเจตนารมณ์ในการให้
ความคุ้มครองลูกจ้างซึ่งต้องถูกเลิกจ้างให้ได้รับค่าชดเชย ไม่ว่าจะเป็นกรณีนายจ้างเป็นฝ่ายให้ลูกจ้าง
ออกจากงาน นายจ้างเลิกกิจการ หรือลูกจ้างต้องออกจากงานเพราะสัญญาจ้างส้ินสุดลง ประกอบกับ
พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๔๙ ท่ีให้อํานาจ
ศาลแรงงานอาจสัง่ ใหน้ ายจา้ งรับลูกจ้างกลับเข้าทํางาน แต่หากศาลแรงงานเห็นว่า ลูกจ้างกับนายจ้าง
ไม่อาจทํางานร่วมกันต่อไปได้ ก็ให้ศาลแรงงานกําหนดจํานวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้แทน๒๖ แล้ว
มีความน่าสนใจว่า จะใช้หลักกฎหมายใดมาเป็นหลักในการพิจารณาเพื่อให้ผลของคําวินิจฉัย
เป็นไปเพ่ือมุ่งคุ้มครองประโยชน์ของคู่สัญญาทั้งสองฝ่าย ท้ังในเร่ืองการจัดทําบริการสาธารณะ
การบริหารราชการแผ่นดิน การแสวงหาประโยชน์ส่วนตนของเจ้าหน้าท่ี รวมถึงหลักการบริหารงาน
บุคคล ในขณะเดียวกันก็สามารถคุ้มครองประโยชน์ของพนักงานราชการหรือลูกจ้างของรัฐให้ได้รับ
ความเป็นธรรมมากท่ีสุด ซงึ่ ก็ตอ้ งติดตามแนวทางการพจิ ารณาของศาลปกครองต่อไป

๒๖ คําพิพากษาศาลฎกี าท่ี ๑๘๕๗๐/๒๕๕๗

รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๐๓

บรรณานกุ รม

ฉัตรชนก จินดาวงศ์. “ผู้เสียหายที่มีสิทธิฟ้องคดีปกครองเกี่ยวกับการคุ้มครองประโยชน์สาธารณะ”
วทิ ยานิพนธม์ หาบัณฑติ คณะนิติศาสตร์ปรดี ี พนมยงค์ มหาวิทยาลัยธรุ กิจบัณฑติ ย์”.

ศนันทก์ รณ์ โสตถพิ ันธ์.ุ คาํ อธิบายนติ ิกรรม-สัญญา. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๒๑. (กรงุ เทพฯ : วญิ ญชู น, ๒๕๖๐).
สํานักพัฒนาระบบจําแนกตําแหน่งและค่าตอบแทน สํานักงาน ก.พ.. คู่มือการบริหารระบบ

พนักงานราชการ. ๒๕๕๙. กลุ่มโรงพมิ พ์ สํานกั งานเลขาธิการ สาํ นักงาน ก.พ..

๓๐๔ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

คดพี พิ าทเกย่ี วกบั อนญุ าโตตลุ าการ

เรอ่ื งท่ี ๑๔ หลักความสงบเรียบรอ้ ยหรือศีลธรรมอันดขี องประชาชนในการตรวจสอบความชอบ
ดว้ ยกฎหมายของคาํ ช้ีขาดของอนญุ าโตตลุ าการ

การพิจารณาคดีในศาลน้ัน เมื่อศาลช้ันต้นมีคําพิพากษาแล้ว คู่ความฝ่ายที่ไม่พอใจ
ผลของคําพิพากษาอาจอุทธรณ์คําพิพากษาไปยังศาลสูงต่อไปได้ และศาลสูงก็มีอํานาจพิพากษายืน
ยก กลับ แก้ คําพิพากษาของศาลชั้นต้นได้ แต่สําหรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการน้ัน มีลักษณะ
แตกต่างออกไปจากการพิจารณาคดีในศาล เนื่องจากกระบวนการอนุญาโตตุลาการเป็นกระบวนการ
ระงับข้อพิพาทที่ต้ังข้ึนมาโดยความสมัครใจของคู่พิพาทเพ่ือระงับข้อพิพาทเฉพาะคดี ซึ่งเม่ือ
คณะอนุญาโตตุลาการช้ีขาดข้อพิพาทแล้ว กระบวนการอนุญาโตตุลาการจะยุติ ไม่สามารถอุทธรณ์
ได้อีกต่อไป และพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ซ่ึงเป็นกฎหมายท่ีใช้บังคับกับ
การอนุญาโตตุลาการในปัจจุบัน ก็มิได้บัญญัติให้คู่พิพาทสามารถอุทธรณ์คําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ
ไปยงั ศาลได้ดงั เช่นคําพิพากษาของศาล๑

๑. อาํ นาจศาลในการตรวจสอบคําช้ีขาดของอนญุ าโตตลุ าการ

โดยส่วนใหญ่แล้วการอนุญาโตตุลาการจะเป็นการระงับข้อพิพาทระหว่างเอกชน
ด้วยกันเองมากกว่ารัฐ และในการตกลงกันใช้การอนุญาโตตุลาการน้ัน คู่พิพาทจะเสนอข้อพิพาท
ต่อคณะอนุญาโตตุลาการที่เป็นเอกชน ซึ่งอนุญาโตตุลาการต้องปฏิบัติตามกฎหมายสารบัญญัติ
และวิธีสบัญญัติที่เลือกโดยคู่กรณี และผลของคําชี้ขาดจะมีผลผูกพันคู่พิพาทโดยเป็นท่ีสุดตามที่
ตกลงกันไว้ในการทําสัญญาอนุญาโตตุลาการ อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่ลูกหน้ีตามคําชี้ขาดไม่ยอม
ปฏิบัติการชําระหน้ีตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ หรือไม่เห็นด้วยกับคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ผลของคําชี้ขาดดังกล่าวจะสามารถดําเนินการบังคับได้โดยศาลที่มีเขตอํานาจเหนือคําชี้ขาดนั้น๒
ในการน้ี ศาลที่มีเขตอํานาจสามารถตรวจสอบคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการได้เม่ือมีการร้องขอให้
เพิกถอนคําชี้ขาดหรือร้องขอให้บังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ แต่ทั้งน้ี การตรวจสอบ

 ธันวรัตน์ ธนพิทักษ์ ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๑
ประจาํ วันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑

๑ ธวัชชัย สุวรรณพานิช, คําอธิบายพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕, (กรุงเทพฯ : นิติธรรม,
๒๕๕๗), หนา้ ๒๘๕.

๒ มาตรา ๙ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ บัญญัติว่า “ให้ศาลทรัพย์สินทางปัญญา
และการค้าระหว่างประเทศกลาง หรือศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศภาค หรือศาลที่มีการพิจารณา
ชั้นอนุญาโตตุลาการอยู่ในเขตศาล หรือศาลที่คู่พิพาทฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงมีภูมิลําเนาอยู่ในเขตศาล หรือศาลท่ีมีเขตอํานาจ
พิจารณาพิพากษาขอ้ พิพาทซึ่งไดเ้ สนอต่ออนญุ าโตตุลาการนน้ั เปน็ ศาลทม่ี เี ขตอาํ นาจตามพระราชบัญญตั ิน”ี้

รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๐๕

โดยศาลที่มีเขตอํานาจดังกล่าวต้องทําอย่างจํากัด เพราะคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นผลของ
สญั ญาหรอื เจตจํานงรว่ มกนั ของคกู่ รณี๓

๒. ความสัมพนั ธ์ระหว่างการเพกิ ถอนคาํ ชข้ี าดและการปฏเิ สธการบงั คับคําช้ขี าด

การทพี่ ระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ให้อํานาจศาลในการตรวจสอบ
คําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการท้ังในชั้นของการเพิกถอนคาํ ชข้ี าดและในชัน้ ของการบังคบั ตามคาํ ชี้ขาดน้ัน
มีที่มาจากอนุสญั ญานิวยอร์ก (New York Convention)๔ และกฎหมายต้นแบบ (Model Law)๕ โดย
อํานาจศาลในการตรวจสอบคาํ ชีข้ าดของอนญุ าโตตลุ าการดว้ ยการเพกิ ถอนคําช้ีขาดเป็นไปตามมาตรา
(๕) (๑) (e) ของอนุสัญญานิวยอร์ก ซ่ึงกําหนดเป็นหลักการว่า “ศาลอาจปฏิเสธการบังคับ
คําช้ีขาดต่างประเทศได้ หากผู้ถูกบังคับตามคําชี้ขาดพิสูจน์ได้ว่า คําช้ีขาดนั้นถูกเพิกถอนโดยศาล
ของประเทศที่ทําคําชี้ขาดหรือโดยกฎหมายของประเทศที่ทําคําช้ีขาด” กล่าวคือ หากคําช้ีขาดของ
อนุญาโตตุลาการใดถูกศาลของประเทศท่ีทําคําช้ีขาดเพิกถอนแล้ว คําช้ีขาดน้ันอาจไม่สามารถนําไปบังคับ
กับประเทศภาคสี มาชกิ อนื่ ๆ ตามอนุสัญญานวิ ยอร์กได้

อย่างไรกต็ าม แม้อนุสัญญานิวยอร์กจะบัญญัติให้อํานาจศาลประเทศที่ทําคําช้ีขาด
ในการเพิกถอนคําช้ีขาดได้ก็ตาม แต่ก็ไม่ได้บัญญัติเหตุที่ศาลสามารถเพิกถอนคําช้ีขาดไว้ดังเช่น
กรณีการบังคับตามคําช้ีขาด ส่งผลให้การเพิกถอนคําชี้ขาดเป็นไปตามกฎหมายของอนุญาโตตุลาการ
ของประเทศท่ีทําคําชี้ขาด ซึ่งอาจกําหนดเหตุแห่งการเพิกถอนไว้แตกต่างกันทําให้อํานาจการตรวจสอบ
ของศาลประเทศท่ีทําคําชี้ขาดอาจมีมากกว่าอํานาจของศาลประเทศท่ีบังคับตามคําช้ีขาด ส่งผลให้
การบังคับตามคําช้ีขาดต่างประเทศภายใต้กรอบอนุสัญญานิวยอร์กไม่มีประสิทธิภาพ ต่อมา เมื่อมีการ
ยกรา่ งกฎหมายตน้ แบบ ได้มีความพยายามทําให้อาํ นาจการตรวจสอบคาํ ชีข้ าดของประเทศที่ทําคําช้ีขาด
และประเทศที่บังคับตามคําช้ีขาดมีความใกล้เคียงกันมากท่ีสุด ด้วยการจํากัดเหตุแห่งการเพิกถอนไว้
ใหเ้ หมือนกับเหตทุ ่ศี าลอาจปฏิเสธการบงั คบั ตามคําช้ขี าดตา่ งประเทศตามมาตรา ๕ (๑) (e) ของอนุสัญญา
นิวยอร์ก ด้วยเหตุนี้ พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงได้กําหนดเหตุแห่งการเพิกถอน
ตามมาตรา ๔๐ ไว้ให้มีลักษณะใกล้เคียงกับเหตุแห่งการปฏิเสธการบังคับคําช้ีขาดตามมาตรา ๔๓
และมาตรา ๔๔๖

๓ เสาวนีย์ อัศวโรจน์, รายงานวิจัย เรื่อง แนวทางการตีความของศาลภายใต้หลักความสงบเรียบร้อย
และศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนตามพระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕, (๒๕๖๐), หน้า ๑๒.

๔ อนุสัญญาว่าด้วยการยอมรับนับถือและการใช้บังคับคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต่างประเทศ
ฉบับนครนิวยอร์ก ลงวันท่ี ๑๐ มิถุนายน ค.ศ. ๑๙๕๘ (พ.ศ. ๒๕๐๑) (The Convention on the Recognition and
Enforcement of Foreign Arbitration Awards, done at New York, 10 June 1958)

๕ กฎหมายต้นแบบเก่ียวกับอนุญาโตตุลาการพาณิชย์ระหว่างประเทศของคณะกรรมาธิการกฎหมาย
การค้าระหว่างประเทศขององค์การสหประชาชาติ (UNCITRAL Model Law on International Commercial
Arbitration)

๖ ธวชั ชยั สุวรรณพานชิ , อ้างแลว้ , หนา้ ๒๘๖-๒๘๗.

๓๐๖ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

๓. การเพิกถอนคาํ ช้ขี าดของอนญุ าโตตลุ าการ

การเพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นการตรวจสอบว่าคําช้ีขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการมีข้อบกพร่องประการหนึ่งประการใดตามท่ีกฎหมายกําหนดหรือไม่ โดยแต่เดิม
ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๓๐ นั้น ในกรณีท่ีคู่กรณีไม่พอใจคําช้ีขาดของ
คณะอนุญาโตตุลาการ สามารถดําเนินการได้เพียงประการเดียว คือ การไม่ปฏิบัติตามคําชี้ขาด
และให้คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งร้องขอต่อศาลเพื่อบังคับตามคําช้ีขาด และตนต้องคัดค้านคําชี้ขาดน้ัน
แต่ในปัจจุบันภายหลังจากพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มีผลใช้บังคับ มาตรา ๔๐
แห่งบทบัญญัติดังกล่าว กําหนดให้ “ในกรณีที่คู่กรณีไม่พอใจคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการนั้น
อาจย่ืนคาํ ร้องต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจเพ่ือขอให้เพิกถอนคําชี้ขาดได้” ซึ่งเป็นการบัญญัติตามมาตรา ๓๔
แห่งกฎหมายต้นแบบ และมีการใช้กันในกฎหมายของนานาประเทศ เน่ืองจากเป็นประโยชน์สําหรับ
คู่กรณีฝ่ายท่ีแพ้ตามคําช้ีขาดที่จะทําให้คําช้ีขาดน้ันใช้บังคับไม่ได้ หากมีเหตุบกพร่องตามท่ีกฎหมาย
กําหนด เพราะมิฉะน้ัน คู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งอาจนําคําช้ีขาดดังกล่าวไปบังคับในประเทศใดก็ได้
ท่ีเป็นภาคีอนุสัญญานิวยอร์ก ไม่ใช่เฉพาะแต่ในประเทศไทย อันจะทําความยุ่งยากให้แก่คู่กรณี
ฝ่ายท่ีแพ้เป็นอย่างมาก ซ่ึงหากสามารถดําเนินการเพิกถอนได้เพราะมีความผิดปกติและศาลส่ัง
เพกิ ถอนให้ กจ็ ะไม่มีคาํ ช้ขี าดทีค่ ูก่ รณอี กี ฝา่ ยหนึง่ จะนําไปบงั คบั ได๗้

๓.๑ ระยะเวลาในการย่นื คาํ ร้องขอให้เพกิ ถอนคาํ ช้ขี าด

คู่กรณีฝ่ายที่ไม่พอใจคําชี้ขาดต้องรีบย่ืนคําร้องต่อศาลที่มีเขตอํานาจ
ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันท่ีได้รับสําเนาคําชี้ขาดหรือนับแต่วันที่มีการแก้ไขหรือตีความหรือเพิ่มเติม
คําช้ีขาดน้ัน เพ่ือให้ศาลเพิกถอนคําชี้ขาดได้โดยอ้างเหตุท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ และหากคู่กรณีน้ัน
สามารถพิสูจน์ให้เห็นได้ตามท่ีกล่าวอ้างศาลก็จะเพิกถอนคําชี้ขาด ท้ังน้ี ตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง๘
แห่งพระราชบญั ญัติอนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕

จากการศึกษาพบคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดท่ีวินิจฉัยเก่ียวกับ
ระยะเวลาในการย่นื คาํ รอ้ งขอใหเ้ พิกถอนคาํ ชข้ี าดของอนญุ าโตตลุ าการที่น่าสนใจ ดังน้ี

๗ เสาวนีย์ อัศวโรจน์, ความรู้เบ้ืองต้นเกี่ยวกับการอนุญาโตตุลาการ, (สถาบันอนุญาโตตุลาการ : ๒๕๕๘),
หนา้ ๑๑.

๘ พระราชบญั ญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๐ การคัดค้านคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอาจทําได้โดยการขอให้ศาลท่ีมีเขตอํานาจ
เพกิ ถอนคําช้ขี าดตามที่บญั ญัติไว้ในมาตรานี้
คพู่ พิ าทฝ่ายใดฝ่ายหน่งึ อาจขอให้เพิกถอนคาํ ชี้ขาดได้ โดยยื่นคําร้องต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันได้รับสําเนาคําช้ีขาด หรือถ้าเป็นกรณีมีการขอให้คณะอนุญาโตตุลาการแก้ไขหรือตีความคําช้ีขาด หรือช้ีขาด
เพ่ิมเติม นบั แต่วนั ทคี่ ณะอนญุ าโตตุลาการไดแ้ กไ้ ขหรอื ตคี วามคาํ ช้ขี าดหรือทาํ คาํ ช้ีขาดเพิม่ เติมแล้ว

ฯลฯ ฯลฯ

รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๐๗

- กรณีผู้ฟ้องคดีท้ังแปดฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ยน่ื คาํ รอ้ งขอเพิกถอนคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ผู้เรียกร้อง กับผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๑ ผู้คัดค้าน ต่อศาลปกครองกลางภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสําเนาคําช้ีขาด นั้น เป็นกรณีท่ี
ผู้ฟ้องคดีท้ังแปดกล่าวอ้างว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ งดเว้นการกระทําตามอํานาจหน้าท่ีท่ีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
ต้องทําตามกฎหมายด้วยการไม่ย่ืนคําร้องขอเพิกถอนคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการภายในเก้าสิบวัน
นับแต่วันท่ีได้รับสําเนาคําชี้ขาดตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
เนื่องจากผู้ฟ้องคดีท้ังแปดเห็นว่าคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าวเป็นคําช้ีขาดที่ไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมาย เมอ่ื ข้อเท็จจริงปรากฏว่า อนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยข้อพิพาทท่ีเกิดข้ึนระหว่างผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๑ กับผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ เม่ือวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๔๗ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงมีระยะเวลาในการ
ย่ืนฟ้องต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจให้เพิกถอนคําช้ีขาดน้ันได้ภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่ได้รับสําเนา
คําช้ีขาด กล่าวคือ อย่างเร็วท่ีสุดในวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๗ การท่ีผู้ฟ้องคดีท้ังแปดนําคดีมาฟ้องต่อศาล
เม่ือวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๔๗ จึงเป็นการฟ้องคดีในขณะท่ียังไม่มีเหตุแห่งการฟ้องคดีว่าผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ มีกรณีของการงดเว้นการกระทําเกิดข้ึน ซ่ึงศาลไม่สามารถกําหนดคําบังคับได้ตามมาตรา ๗๒
วรรคหนึ่ง (๒) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ผู้ฟ้องคดีท้ังแปดจึงไม่ใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดี
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง่ พระราชบัญญตั ิดังกล่าว (คําสัง่ ศาลปกครองสงู สุดท่ี ๖๕๙/๒๕๔๘)

- เม่ือตามสัญญาผู้ถือหุ้นระหว่างผู้ร้องกับผู้คัดค้านและสัญญาดําเนินการ
ให้บริการบัตรโทรศัพท์ระหว่างประเทศ รวมทั้งสัญญาการเช่าใช้บริการให้เช่าวงจรเสียงในประเทศ
อันเป็นสญั ญาอปุ กรณ์ นน้ั คสู่ ัญญาได้ตกลงใหใ้ ชว้ ธิ กี ารอนุญาโตตลุ าการในการระงับข้อพพิ าท สญั ญา
อนุญาโตตุลาการดังกล่าวจึงมีผลผูกพันคู่สัญญาตามมาตรา ๑๕๙ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ ดังนั้น เมื่อผู้ร้องอ้างว่ามีข้อพิพาทตามสัญญาเกิดข้ึนและจะระงับข้อพิพาทโดยวิธีการ
อนุญาโตตุลาการ ผู้ร้องย่อมมีสิทธิย่ืนคําคัดค้านคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการโดยขอให้ศาล
ท่ีมีเขตอํานาจเพิกถอนคําช้ีขาดตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกันได้ เม่ือข้อเท็จจริง
ปรากฏว่า คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําช้ีขาดเม่ือวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ ผู้ร้องได้รับสําเนา
คําชีข้ าดดังกลา่ วเมอ่ื วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๔๘ และได้ย่ืนคําร้องขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดข้างต้นเมื่อวันท่ี
๒ มีนาคม ๒๕๔๙ จึงเป็นการยื่นคําร้องต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจภายในเก้าสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับสําเนา
คําช้ีขาดตามมาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ แล้ว (คําสั่งศาลปกครอง
สูงสุดที่ ๑๖/๒๕๕๐)

๙ พระราชบญั ญัตอิ นุญาโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๑๕ ในสัญญาระหว่างหน่วยงานของรัฐกับเอกชนไม่ว่าเป็นสัญญาทางปกครองหรือไม่ก็ตาม
คสู่ ัญญาอาจตกลงใหใ้ ชว้ ธิ ีการอนุญาโตตุลาการในการระงับขอ้ พิพาทได้ และให้สัญญาอนุญาโตตุลาการดังกล่าวมีผล
ผกู พนั คู่สัญญา

๓๐๘ รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

- คดีนผี้ ู้คัดค้านได้เสนอข้อพิพาทตามสัญญาจ้างก่อสร้างระบบบําบัดนํ้าเสีย
ต่อสถาบันอนุญาโตตุลาการ สํานักระงับข้อพิพาท ซึ่งคณะอนุญาโตตุลาการได้ช้ีขาดให้ผู้ร้องชําระ
คืนเงินค่าปรับพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้ร้องจึงยื่นคําร้องต่อศาลขอให้เพิกถอนคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการ ซ่ึงศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งรับคําร้องไว้พิจารณาโดยมีคําสั่งเรียกให้ผู้คัดค้าน
เข้ามาเป็นคู่กรณีโดยการร้องสอด และได้ดําเนินการแสวงหาข้อเท็จจริงโดยให้ผู้คัดค้านทําคําให้การ
แก้คําร้อง ต่อมา ผู้คัดค้านได้ยื่นคําให้การฉบับลงวันท่ี ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ โดยมีคําร้องแย้ง
และมีคําร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมลงวันท่ี ๔ ธันวาคม ๒๕๕๑ ขอให้ศาลปกครองช้ันต้นมีคําพิพากษาให้
เพิกถอนคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าว และให้ผู้ร้องชดใช้เงินแก่ผู้คัดค้าน คําร้องแย้ง
ของผคู้ ัดคา้ นขา้ งต้นจงึ เป็นคําฟอ้ งตามมาตรา ๓ แหง่ พระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ซึ่งผู้คัดค้าน
ต้องยื่นคําร้องภายในเก้าสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับสําเนาคําชี้ขาดตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้อํานวยการสํานัก
ระงบั ข้อพพิ าทได้มีหนงั สอื ลงวนั ท่ี ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ ส่งสาํ เนาคาํ ชีข้ าดมายังผู้คัดค้าน ปรากฏตาม
หลักฐานใบนําส่งสิ่งของทางไปรษณีย์ฝากส่งเมื่อวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ แม้ไม่ปรากฏว่าผู้คัดค้าน
ได้รับหนังสือฉบับดังกล่าวเมื่อใด แต่โดยที่มาตรา ๗๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติให้การแจ้งโดยวิธีส่งทางไปรษณีย์ตอบรับให้ถือว่าได้รับแจ้ง
เม่ือครบกําหนดเจ็ดวันนับแต่วันส่งสําหรับกรณีภายในประเทศ... จึงต้องถือว่าผู้คัดค้านได้รับหนังสือ
ฉบบั ดังกล่าวภายในวันท่ี ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เป็นอยา่ งช้า ดงั น้นั หากผ้คู ัดคา้ นประสงคจ์ ะโตแ้ ย้ง
คําวินิจฉัยของอนุญาโตตุลาการ ต้องยื่นคําร้องต่อศาลภายในวันท่ี ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๑ แต่โดยท่ี
วันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๑ เป็นวันหยุดราชการ ผู้คัดค้านจึงต้องยื่นคําร้องต่อศาลภายในวันท่ี ๑๓
สิงหาคม ๒๕๕๑ เมื่อผู้คัดค้านยื่นคําให้การหรือคําร้องแย้งคดีน้ีในวันท่ี ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๑
จึงเป็นการย่ืนคําร้องต่อศาลเม่ือพ้นเก้าสิบวันนับแต่วันได้รับสําเนาคําชี้ขาดตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕ (คําสัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี ๑๑๕/๒๕๕๗)

- การท่ีสํานักอนุญาโตตุลาการ สํานักงานศาลยุติธรรม ส่งสําเนาคําชี้ขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการให้แก่คู่พิพาท ไม่ใช่การส่งเอกสารในการดําเนินกระบวนพิจารณาในศาล
ตามมาตรา ๗ วรรคสอง๑๐ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ แต่เป็นการส่งเอกสาร
ตามความหมายในมาตรา ๗ วรรคหนงึ่ แหง่ พระราชบัญญัติดังกล่าว ซ่ึงถ้าได้ส่งไปยังสํานักทําการงาน

๑๐ พระราชบญั ญตั อิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๗ ในกรณีท่ีคู่สัญญามิได้ตกลงกันไว้เป็นอย่างอื่น การส่งเอกสารตามพระราชบัญญัตินี้ ถ้าได้ส่ง

ให้แก่บุคคลซึ่งระบุไว้ในเอกสารนั้นหรือได้ส่งไปยังสํานักทําการงาน ภูมิลําเนา หรือที่อยู่ทางไปรษณีย์ของบุคคล
ซง่ึ ระบไุ วใ้ นเอกสารนั้น หรือในกรณีที่ไม่ปรากฏที่อยู่ข้างต้นแม้ได้สืบหาตามสมควรแล้ว ถ้าได้ส่งไปยังสํานักทําการงาน
หรอื ภมู ิลาํ เนา หรอื ที่อย่ทู างไปรษณีย์แห่งสดุ ท้ายที่ทราบ โดยทางไปรษณีย์ลงทะเบียนหรือไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับ
ถ้าเป็นการส่งภายในประเทศ หรือโดยวิธีอื่นใดที่แสดงถึงความพยายามในการจัดส่ง ให้ถือว่าบุคคลซ่ึงระบุไว้
ในเอกสารน้นั ไดร้ บั เอกสารดงั กล่าวแลว้

บทบญั ญัตมิ าตรานีไ้ ม่ใชบ้ งั คบั กบั การส่งเอกสารในการดาํ เนนิ กระบวนพิจารณาในศาล

รวมเรื่องเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๐๙

ของคู่พิพาท ก็ให้ถือว่าคู่พิพาทได้รับเอกสารแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า สํานักอนุญาโตตุลาการ
สํานักงานศาลยุติธรรม ช้ีแจงว่า ตามหลักฐานใบตอบรับไปรษณีย์ สําเนาคําชี้ขาดของคณะ
อนุญาโตตุลาการได้ส่งถึงที่อยู่ของผู้ร้อง คือ ท่ีสํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปกครอง ๓ สํานักงาน
อยั การสูงสดุ ในวนั ที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ ซ่ึงข้อเท็จจริงในส่วนน้ีผู้ร้องก็รับว่าถูกต้อง เพียงแต่โต้แย้งว่า
ผู้รับมอบอํานาจของผู้ร้องไม่ได้รับเอกสารในวันดังกล่าว แต่มีผู้อื่นรับไว้แทน ข้อเท็จจริงในส่วนนี้
จึงรับฟังได้ว่า สําเนาคําช้ีขาดได้ส่งถึงที่อยู่ของผู้รับมอบอํานาจของผู้ร้องในวันท่ี ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘
โดยมีผู้รับไว้แทน ดังนั้น เม่ือสําเนาคําช้ีขาดได้ส่งถึงสํานักทําการงานของผู้รับมอบอํานาจของผู้ร้อง
ในวันท่ี ๒๑ สิงหาคม ๒๕๕๘ จึงถือว่าผู้ร้องได้รับสําเนาคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ในวันดังกล่าวตามมาตรา ๗ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ผู้ร้อง
จึงต้องย่ืนคําร้องต่อศาลปกครองชั้นต้นขอให้เพิกถอนคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการภายใน
เกา้ สบิ วนั นบั แตว่ ันได้รับสาํ เนาคําชี้ขาด คือ ภายในวันท่ี ๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ เมื่อผู้ร้องได้ย่ืนคําร้อง
ต่อศาลปกครองช้ันต้นในวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๘ จึงเป็นการย่ืนคําร้องเม่ือพ้นกําหนดเวลา
ย่ืนคําร้องตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ (คําส่ัง
ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๔๐๕/๒๕๖๐)

๓.๒ เหตแุ ห่งการเพิกถอนคําช้ีขาด

พระราชบัญญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ได้บัญญัติเหตุแห่งการเพิกถอน
คําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการไว้ในมาตรา ๔๐๑๑ ซ่ึงมีลักษณะเดียวกับเหตุแห่งการปฏิเสธไม่บังคับ

๑๑ พระราชบัญญตั อิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๐ การคัดค้านคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการอาจทําได้โดยการขอให้ศาลที่มีเขตอํานาจ

เพิกถอนคําชข้ี าดตามทบ่ี ญั ญัติไว้ในมาตราน้ี
ฯลฯ ฯลฯ

ให้ศาลเพกิ ถอนคําชี้ขาดไดใ้ นกรณดี งั ต่อไปน้ี
(๑) คพู่ พิ าทฝา่ ยที่ขอใหเ้ พกิ ถอนคําชี้ขาดสามารถพิสจู น์ไดว้ ่า

(ก) คู่สัญญาตามสัญญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหน่ึงเป็นผู้บกพร่องในเรื่องความสามารถ
ตามกฎหมายท่ใี ช้บงั คบั แก่คสู่ ญั ญาฝา่ ยนั้น

(ข) สัญญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายแห่งประเทศท่ีคู่พิพาทได้ตกลงกันไว้
หรือตามกฎหมายไทยในกรณที ีไ่ ม่มีข้อตกลงดังกล่าว

(ค) ไม่มีการแจ้งให้คู่พิพาทฝ่ายที่ขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดรู้ล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งต้ัง
คณะอนุญาโตตุลาการหรือการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ หรือบุคคลดังกล่าวไม่สามารถเข้าต่อสู้คดี
ในช้นั อนุญาโตตลุ าการไดเ้ พราะเหตุประการอนื่

(ง) คําชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซ่ึงไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือคําช้ีขาดวินิจฉัย
เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ถ้าคําช้ีขาดที่วินิจฉัยเกินขอบเขตน้ัน
สามารถแยกออกได้จากคําช้ีขาดส่วนท่ีวินิจฉัยในขอบเขตแล้วศาลอาจเพิกถอนเฉพาะส่วนท่ีวินิจฉัยเกินขอบเขต
แห่งสญั ญาอนญุ าโตตุลาการหรือขอ้ ตกลงนนั้ กไ็ ด้ หรือ

๓๑๐ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ตามคําช้ีขาดตามมาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ อันสอดคล้องกับกฎหมายต้นแบบ (Model Law)
มาตรา ๓๔ และมาตรา ๓๕ โดยมีเหตุสืบเน่ืองมาจากการท่ีอนุสัญญานิวยอร์ก มาตรา ๕(๑)(e)
ซ่ึงกําหนดว่า คําช้ีขาดที่ถูกเพิกถอนแล้วในประเทศที่ทําคําช้ีขาด หรือตามกฎหมายของประเทศ
ที่ทําคําชี้ขาด อาจไม่สามารถนํามาบังคับในประเทศภาคีสมาชิกอ่ืนได้ หรือกล่าวอีกนัยหน่ึงคือ
คําช้ีขาดที่ถูกเพิกถอนในประเทศที่ทําคําชี้ขาดแล้ว คําช้ีขาดนั้นอาจถูกปฏิเสธการบังคับคําช้ีขาด
ในประเทศอื่นได้ โดยอนสุ ัญญานวิ ยอร์กได้ใหอ้ าํ นาจแก่ศาล ๒ ประเทศ ในการตรวจสอบคําชี้ขาด คือ
ประเทศท่ีทําคําชี้ขาด และประเทศท่ีบังคับตามคําชี้ขาด แต่อํานาจตรวจสอบของศาลทั้ง ๒ ประเทศนั้น
มีความแตกตา่ งกนั กลา่ วคอื อนสุ ัญญานวิ ยอรก์ กาํ หนดเหตทุ ศี่ าลอาจปฏเิ สธการบงั คับตามคําช้ขี าดไว้
แตไ่ มไ่ ด้กาํ หนดเหตุแหง่ การเพกิ ถอนคาํ ชขี้ าด โดยใหเ้ ป็นไปตามกฎหมายของประเทศท่ที ําคําชขี้ าดน้ัน
ทําให้เกิดปัญหาการบงั คับใช้อนุสัญญานวิ ยอรก์ ๑๒

ด้วยเหตุนี้ เมื่อมีการยกร่างกฎหมายต้นแบบ จึงมีความพยายามที่จะทําให้
เหตุต่าง ๆ ท่ีศาลจะเพิกถอนคําช้ีขาดเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยยังคงมีแนวโน้มในการจํากัด
อํานาจศาลในการตรวจสอบคําช้ีขาดไม่ให้มีมากเกินไป แต่ก็มีความยุ่งยากในการพยายามหาความสมดุล
ระหว่างเจตนารมณ์ของคู่พิพาทที่ไม่ต้องการให้มีการระงับข้อพิพาทในศาล โดยเลือกเสนอข้อพิพาท
ต่ออนุญาโตตุลาการในการระงับข้อพิพาท และขณะเดียวกันยังคงให้ความสําคัญต่ออํานาจศาล
ในการตรวจสอบคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ แต่อํานาจในการตรวจสอบดังกล่าวต้องมีอย่างจํากัด
เพ่ือไม่ให้กระทบต่อเจตนารมณ์ของคู่พิพาท ซ่ึงในที่สุดกฎหมายต้นแบบได้นําเอาเหตุต่าง ๆ ซ่ึงเป็น
เหตุท่ีศาลอาจปฏิเสธไม่บังคับตามคําชี้ขาดตามอนุสัญญานิวยอร์ก มาตรา ๕ มาเป็นเหตุในการ
เพิกถอนคําช้ีขาด ทําให้กฎหมายต้นแบบ มาตรา ๓๔ ว่าด้วยเหตุเพิกถอนคําช้ีขาด และมาตรา ๓๖
ว่าด้วยเหตุแห่งการปฏิเสธการบังคับตามคําชี้ขาด เป็นเหตุเดียวกัน ซ่ึงมีข้อดี คือ ทําให้อํานาจ
ในการตรวจสอบของศาลท้งั ๒ ประเทศ มคี วามใกล้เคียงกนั มากขน้ึ

(จ) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ
มไิ ด้เปน็ ไปตามทีค่ ู่พพิ าทได้ตกลงกันไว้ หรือในกรณที ีค่ ู่พพิ าทไม่ไดต้ กลงกันไว้เปน็ อย่างอืน่ องค์ประกอบดงั กล่าวไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมายนี้

(๒) มกี รณปี รากฏต่อศาลว่า
(ก) คําชี้ขาดนัน้ เก่ยี วกบั ขอ้ พิพาทท่ีไมส่ ามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการไดต้ ามกฎหมาย หรอื
(ข) การยอมรับหรือการบังคับตามคําชี้ขาดน้ันจะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม

อนั ดีของประชาชน
ในการพิจารณาคําร้องให้เพิกถอนคําช้ีขาด ถ้าคู่พิพาทย่ืนคําร้องและศาลพิจารณาเห็นว่ามีเหตุผล

สมควร ศาลอาจเลื่อนการพิจารณาคดีออกไปตามท่ีเห็นสมควร เพ่ือให้คณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาอีกครั้งหนึ่ง
หรือดําเนินการอย่างใดอยา่ งหนง่ึ ที่คณะอนญุ าโตตลุ าการเหน็ สมควร เพ่ือให้เหตุแหง่ การเพิกถอนนัน้ หมดสนิ้ ไป

๑๒ ธวัชชยั สวุ รรณพานชิ , อา้ งแล้ว, หนา้ ๒๙๖-๒๙๗.

รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๑๑

เมื่อพิจารณามาตรา ๔๐ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
ซ่ึงกล่าวไว้แล้วว่ามีที่มาจากกฎหมายต้นแบบและอนุสัญญานิวยอร์ก จะเห็นได้ว่า ได้แบ่งเหตุ
แห่งการเพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการออกเป็น ๒ ประเภท คือ ๑) เหตุแห่งการเพิกถอน
คําช้ีขาดที่คู่กรณีฝ่ายท่ีขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดต้องพิสูจน์ และ ๒) เหตุแห่งการเพิกถอนคําชี้ขาด
ทีศ่ าลสามารถยกขน้ึ มาได้เอง ดงั นี้

๑) เหตแุ หง่ การเพกิ ถอนคาํ ช้ขี าดท่คี ู่กรณตี อ้ งพิสูจน์
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๐ วรรคสาม (๑)

บัญญตั เิ หตทุ ผ่ี ้รู อ้ งขอให้ศาลเพิกถอนคาํ ช้ขี าดตอ้ งพสิ ูจน์ ไดแ้ ก่เหตุดังต่อไปน้ี
(๑) ค่สู ัญญามคี วามสามารถบกพร่อง
ในกรณีที่คู่สัญญาอนุญาโตตุลาการทําสัญญาขึ้นทั้งท่ีเป็นผู้บกพร่อง

ความสามารถตามกฎหมายที่ใช้บังคับแก่คู่สัญญาฝ่ายน้ันแล้ว สัญญาอนุญาโตตุลาการย่อมไม่สมบูรณ์
และการต้ังอนุญาโตตุลาการย่อมใช้ไม่ได้ อันทําให้การทําคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการย่อมไม่สมบูรณ์
และคาํ ชี้ขาดใชบ้ ังคบั ไมไ่ ด้ไปด้วย

(๒) สัญญาอนญุ าโตตลุ าการไมม่ ีผลผกู พัน
ในกรณีท่ีไม่มีสัญญาอนุญาโตตุลาการเพราะคู่กรณีมิได้สัญญา

ให้ระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ หรือสัญญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
ของประเทศท่ีคู่กรณีได้ตกลงกันไว้ ซึ่งเป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันให้ใช้กฎหมายของประเทศหนึ่ง
ประเทศใดบังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือหากไม่มีข้อตกลงดังกล่าวก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ของประเทศทมี่ ีการทาํ คาํ ชี้ขาด และถา้ สญั ญาอนุญาโตตุลาการไมส่ มบรู ณต์ ามกฎหมายทใ่ี ช้บังคับแลว้
อนุญาโตตุลาการย่อมไม่มีอํานาจพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาท หากทําไปคําชี้ขาดก็ใช้บังคับไม่ได้
และศาลตอ้ งไมบ่ ังคบั ให้

(๓) วิธีพิจารณาในช้ันอนุญาโตตุลาการไม่ชอบ กล่าวคือ ไม่มีการแจ้งให้
ผู้ร้องขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดทราบถึงการแต่งตั้งคณะอนุญาโตตุลาการ หรือการพิจารณาของ
คณะอนุญาโตตุลาการ หรือผู้ร้องขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดไม่สามารถเข้าต่อสู้คดีในช้ันอนุญาโตตุลาการได้
ด้วยเหตอุ ่นื ๆ

(๔) อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยเกินอํานาจ กล่าวคือ คําช้ีขาดวินิจฉัย
ข้อพิพาทซึ่งไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอ
ขอ้ พิพาทต่ออนญุ าโตตลุ าการ๑๓

๑๓ ตวั อยา่ งคดีทน่ี า่ สนใจในกรณีน้ี ไดแ้ ก่
- เมื่อข้อพิพาทในคดีนี้เกิดจากการท่ีผู้คัดค้านซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามสัญญาจ้างก่อสร้างถนนคอนกรีต

เสริมเหลก็ ไมช่ ดใชค้ า่ เสียหายจากการท่ีองค์การบริหารส่วนตําบลขัวมุง (ผู้ร้อง) ซ่ึงเป็นผู้ว่าจ้างต้องจ้างผู้รับจ้างรายใหม่
เข้าทํางานเพื่อแก้ไขความชํารุดบกพร่องของถนนตามสัญญาโดยการร้ือถนนเส้นเดิมและก่อสร้างถนนขึ้นใหม่
ซ่ึงคณะอนุญาโตตุลาการกําหนดประเด็นว่า ผู้คัดค้านต้องรับผิดชอบต่อความชํารุดบกพร่องของงานตามสัญญา
หรือไม่ แต่คาํ วนิ จิ ฉยั ชีข้ าดกลับวินิจฉัยแตเ่ พียงว่า ความชํารดุ บกพรอ่ งดังกลา่ วเกดิ จากงานทีไ่ ม่ถูกตอ้ งตามมาตรฐาน

๓๑๒ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

(๕) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณา
ของอนุญาโตตุลาการไม่ชอบ กล่าวคือ กระบวนพิจารณามิได้เป็นไปตามข้อตกลงของคู่กรณี
หรอื ไม่ชอบดว้ ยกฎหมายหากไม่มีการตกลงกัน

แห่งหลกั วชิ าการและการทํางานท่ีไม่เรียบร้อย ผู้คัดค้านจึงไม่อาจปฏิเสธความรับผิดในความชํารุดบกพร่องของงานจ้าง
ดงั กล่าวได้ โดยไม่ไดว้ ินจิ ฉัยวา่ ผู้คัดค้านต้องรับผิดในความชํารุดบกพร่องของงานจ้างเป็นจํานวนเท่าใด หรือความชํารุด
บกพรอ่ งของถนนที่เกิดการหลุดร่อนของเม็ดทรายทําให้เกิดเม็ดทรายและฝุ่นถนน สามารถแก้ไขซ่อมแซมโดยวิธีการอ่ืน
ซ่ึงไม่ต้องร้ือและสร้างใหม่ได้หรือไม่ จึงเป็นกรณีที่คณะอนุญาโตตุลาการมีคําวินิจฉัยช้ีขาดไม่ครบถ้วนตามข้อโต้แย้ง
ในสัญญาและตามคําเสนอข้อพิพาทของผู้ร้อง อันถือเป็นคําวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทซ่ึงไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญา
อนุญาโตตุลาการหรือเกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๔๐
วรรคสาม (๑) (ง) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ สมควรท่ีศาลจะเพิกถอนคําชี้ขาดดังกล่าว
เพ่ือใหไ้ ดร้ ับการพจิ ารณาขอ้ เทจ็ จรงิ และพยานหลักฐานอกี คร้ังหนง่ึ (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๑๓๕/๒๕๕๙)

- การท่ีคณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยให้ผู้ร้องต้องชดใช้เงินให้แก่ผู้คัดค้าน โดยมีเหตุมาจาก
ตามข้อเรียกร้องของผู้ร้องได้มีคําขอให้คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดให้ผู้คัดค้านชดใช้ค่าเสียหายซึ่งรวมถึงค่าปรับ
ตามสัญญาจ้างก่อสร้างท่อระบายน้ํา พร้อมบ่อพักสองข้างทาง และทางเท้า คณะอนุญาโตตุลาการจึงชอบ
ที่จะวินิจฉัยเกี่ยวกับจํานวนค่าปรับได้ การท่ีคณะอนุญาโตตุลาการได้นําเงินค่าปรับไปหักกลบลบหนี้กับเงินค่าจ้าง
ในงานทผ่ี ูค้ ดั ค้านทาํ แลว้ เสรจ็ บางส่วนตามขอ้ เรียกรอ้ งแยง้ ของผู้คัดค้าน แล้ววินิจฉัยให้ผู้ร้องชําระเงินให้แก่ผู้คัดค้าน
จึงมิใช่การวินิจฉัยเกินขอบเขตข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทหรือเกินขอบเขตแห่งคําขอของคู่พิพาทแต่อย่างใด
ส่วนกรณีการเลือกกฎหมายท่ีจะนํามาใช้ในการวินิจฉัยข้อพิพาทนั้น เป็นเร่ืองที่คณะอนุญาโตตุลาการจะต้อง
พิจารณาจากเน้ือหาของประเด็นข้อพิพาทว่าเป็นเร่ืองใด แล้วจึงนํากฎหมายท่ีเกี่ยวข้องในเรื่องนั้นมาวินิจฉัยช้ีขาด
โดยในกรณที ส่ี ญั ญาอนญุ าโตตลุ าการมิไดก้ ําหนดถึงกฎหมายที่จะนํามาใช้บังคับกับข้อพิพาทเอาไว้ คณะอนุญาโตตุลาการ
มีอํานาจท่ีจะนําประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้ในการวินิจฉัยเก่ียวกับเงินค่าจ้างและค่าปรับตามสัญญาได้
เน่ืองจากเป็นการวินิจฉัยจากทางได้เสียของผู้ร้องตามสัญญา กรณีจึงเป็นคําช้ีขาดที่ไม่เกินขอบเขตแห่งสัญญา
แตอ่ ยา่ งใด (คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๖๓๘/๒๕๕๖ และที่ อ.๖๓๙/๒๕๕๖ วนิ จิ ฉยั แนวทางเดยี วกัน)

- การท่ีคณะอนุญาโตตุลาการพิจารณาเห็นว่า ผู้คัดค้านท้ังสองต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายที่เกิดจาก
การท่ีผู้ร้องว่าจ้างผู้รับจ้างรายใหม่ทํางานท่ีเหลือให้แล้วเสร็จ พร้อมค่าปรับตามสัญญาท่ีคิดเป็นร้อยละ ๐.๒๕
ของคา่ จ้าง ซึง่ เป็นอตั ราค่าปรับสูงสุดตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการ
ส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้แก่ผู้ร้อง แม้จะเป็นจํานวนเงินที่น้อยกว่าคําขอท้ายคําเสนอข้อพิพาทที่ผู้ร้องร้องขอก็ตาม
แตก่ ็ถือวา่ เปน็ การชีข้ าดตามข้อสัญญาและเปน็ ไปตามมาตรา ๓๔ แหง่ พระราชบญั ญตั อิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
และถอื ว่าเป็นการพจิ ารณาภายในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการ อีกทั้งไม่เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอ
ข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๑) (ง) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๑๘๓/๒๕๕๙)

รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๑๓

๒) เหตุแหง่ การเพิกถอนคําช้ีขาดท่ศี าลอาจยกขึน้ วนิ จิ ฉยั เองได้
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒)

ได้บัญญตั เิ หตุที่ศาลอาจยกขึน้ มาวนิ จิ ฉัยไดเ้ องเพื่อเพิกถอนคาํ ชข้ี าด ไดแ้ กเ่ หตุดังตอ่ ไปน้ี
(๑) ข้อพิพาทนั้นไม่สามารถระงับได้โดยการอนุญาโตตุลาการ๑๔

กล่าวคือ เป็นข้อพิพาทต้องห้ามมิให้เสนอต่ออนุญาโตตุลาการ ซ่ึงต้องเป็นไปตามกฎหมายของไทย
เทา่ นนั้

(๒) การยอมรับหรือบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจะเป็น
การขัดตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน

๔. การบังคับตามคําชขี้ าดของอนุญาโตตุลาการ

การยอมรับและบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการถือเป็นหัวใจสําคัญ
สําหรับกระบวนการอนุญาโตตุลาการ เพราะหากคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่สามารถบังคับ
ได้แล้ว การดําเนินการต่าง ๆ ในกระบวนการอนุญาโตตุลาการก็จะเสียเปล่า โดยแต่เดิมนั้น
การยอมรับและบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นไปตามกฎหมายของแต่ละประเทศ
จนเม่ือมีการนําการอนุญาโตตุลาการมาใช้สําหรับข้อพิพาททางการค้าระหว่างประเทศมากย่ิงขึ้น
การยอมรับและบังคับตามคําชี้ขาดจึงมีความสําคัญเพ่ิมมากข้ึนด้วย ต่อมา ได้มีอนุสัญญาท่ีสําคัญ
ฉบับหนึ่ง เรียกว่า “The Convention on the Execution of Foreign Arbitral 1927” โดยมีการลงนาม
กันท่ีกรุงเจนีวา อนุสัญญาฉบับน้ีนําไปสู่อนุสัญญาที่สําคัญต่อมาอีกฉบับหน่ึง คือ “The Convention
on the Recognition and Enforcement of Foreign Arbitral Awards 1 9 5 8 ” อนุสั ญ ญ า
ทั้ง ๒ ฉบับ เป็นเรื่องการยอมรับและบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ และถือได้ว่า
เป็นอนุสัญญาที่ทําให้กระบวนการอนุญาโตตุลาการการค้าระหว่างประเทศได้รับความน่าเชื่อถือ
อยา่ งแพร่หลาย๑๕

๑๔ ตวั อย่างคดที ี่น่าสนใจในกรณีนี้ ไดแ้ ก่
- การที่คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําช้ีขาดว่า ผู้คัดค้านใช้เวลาในการบอกเลิกสัญญา ๕๘ วัน นับเป็น

ระยะเวลาพอสมควร จึงชอบท่ีจะได้รับค่าปรับเป็นเวลา ๕๘ วัน ในอัตราวันละ ๖๑,๑๕๖ บาท คิดเป็นเงิน
๓,๕๔๗,๐๔๘ บาท ยอ่ มเปน็ กรณีท่ีคณะอนุญาโตตุลาการได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานและปรับข้อเท็จจริง
เข้ากับข้อกฎหมายแล้ว และโดยที่คณะอนุญาโตตุลาการจะหยิบยกพยานหลักฐานใดข้ึนวินิจฉัยภายใต้ข้อกฎหมาย
และสัญญาที่พิพาทกันย่อมกระทําได้โดยชอบ จึงไม่ถือเป็นกรณีท่ีปรากฏต่อศาลว่าคําชี้ขาดนั้นเกี่ยวกับข้อพิพาท
ทไี่ มส่ ามารถจะระงบั โดยการอนุญาโตตุลาการได้ (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๘๒๔/๒๕๕๖)

๑๕ ธวัชชัย สุวรรณพานชิ , อ้างแลว้ , หนา้ ๓๑๔.

๓๑๔ รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

สําหรบั ประเทศไทยนน้ั การยอมรับและบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ได้บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๑๑๖ จนถึงมาตรา ๔๔
โดยมสี าระสําคัญดงั นี้

๔.๑ ระยะเวลาในการยนื่ คาํ รอ้ งขอใหบ้ ังคับตามคาํ ช้ขี าด

แม้ว่าคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการจะมีผลเป็นที่สุดและผูกพันคู่กรณี
ให้ต้องปฏิบัติตาม แต่หากคู่กรณีฝ่ายใดซ่ึงตามปกติมักเป็นฝ่ายที่แพ้ตามคําชี้ขาดและต้องปฏิบัติตาม
คําช้ีขาด ไม่ยอมปฏิบัติตามคําชี้ขาดนั้น คู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึงจะบังคับตามคําช้ีขาดน้ันด้วยตนเอง
หรือให้อนุญาโตตุลาการซ่ึงหมดอํานาจและหน้าที่ไปแล้ว อีกท้ังยังเป็นเอกชน บังคับตามคําชี้ขาด
ดังกล่าวไม่ได้ เน่ืองจากการบังคับตามคําชี้ขาดดังกล่าวเป็นเร่ืองอํานาจรัฐเท่านั้น ดังน้ัน มาตรา ๔๒๑๗
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ จึงกําหนดให้คู่กรณีฝ่ายท่ีประสงค์จะบังคับตาม
คําชี้ขาดต้องย่ืนคําร้องต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจภายในกําหนดเวลาสามปีนับแต่วันท่ีได้ส่งสําเนาคําชี้ขาด
ถึงคู่กรณีตามกฎหมาย และศาลได้มีคําพิพากษาตามคําช้ีขาดนั้น โดยให้ศาลรีบทําการไต่สวนว่า
มีการทําคําช้ีขาดกันจริงและถูกต้องหรือไม่ และให้คู่กรณีฝ่ายท่ีจะถูกบังคับได้มีโอกาสคัดค้านว่า
คําช้ีขาดน้ันไม่ถูกต้องและตนมีสิทธิไม่ปฏิบัติตามคําช้ีขาดน้ัน โดยเสนอพยานหลักฐานประกอบ
คําคัดค้าน ซึ่งภายหลังจากไต่สวนโดยรับฟังพยานหลักฐานแล้ว หากคําคัดค้านฟังขึ้น ศาลก็ต้อง
ยกคําร้องขอหรือคําร้องโดยไม่บังคับตามคําชี้ขาดให้ แต่หากคําคัดค้านน้ันฟังไม่ขึ้น ศาลก็ต้อง
พพิ ากษาบังคับตามคาํ ชีข้ าดนนั้ ๑๘

๑๖-๑๗ พระราชบัญญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๑ ภายใต้บังคับมาตรา ๔๒ มาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ คําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ

ไมว่ ่าจะได้ทาํ ข้นึ ในประเทศใดให้ผูกพันคพู่ ิพาท และเมอื่ ไดม้ กี ารร้องขอต่อศาลที่มีเขตอาํ นาจยอ่ มบงั คับได้ตามคําช้ขี าดน้ัน
ในกรณีคาํ ช้ขี าดของคณะอนญุ าโตตุลาการกระทาํ ขึน้ ในต่างประเทศ ศาลทมี่ ีเขตอํานาจจะมีคําพิพากษา

บังคับตามคําช้ีขาดให้ต่อเมื่อเป็นคําชี้ขาดที่อยู่ในบังคับแห่งสนธิสัญญา อนุสัญญาหรือความตกลงระหว่างประเทศ
ซึง่ ประเทศไทยเปน็ ภาคี และให้มีผลบงั คับไดเ้ พยี งเทา่ ทป่ี ระเทศไทยยอมตนเขา้ ผูกพันเท่านั้น

มาตรา ๔๒ เม่ือคู่พิพาทฝ่ายใดประสงค์จะให้มีการบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ
ให้คู่พิพาทฝ่ายนั้นย่ืนคําร้องต่อศาลที่มีเขตอํานาจภายในกําหนดเวลาสามปีนับแต่วันท่ีอาจบังคับตามคําช้ีขาดได้
เม่อื ศาลได้รับคาํ รอ้ งดงั กล่าวให้รีบทาํ การไต่สวน และมคี ําพพิ ากษาโดยพลัน

ผ้รู อ้ งขอบังคบั ตามคําชี้ขาดของคณะอนญุ าโตตุลาการจะต้องมีเอกสารดงั ต่อไปน้ี มาแสดงต่อศาล
(๑) ต้นฉบับคาํ ช้ขี าด หรือสําเนาท่ีรบั รองถกู ต้อง
(๒) ต้นฉบบั สัญญาอนญุ าโตตุลาการ หรือสําเนาท่รี บั รองถูกต้อง
(๓) คําแปลเป็นภาษาไทยของคําช้ีขาดและสัญญาอนุญาโตตุลาการโดยมีผู้แปลซ่ึงได้สาบานตัวแล้ว
หรือปฏิญาณตนต่อหน้าศาลหรือต่อหน้าเจ้าพนักงานหรือบุคคลที่มีอํานาจในการรับคําสาบาน หรือปฏิญาณ
หรือรับรองโดยเจ้าหน้าที่ท่ีมีอํานาจในการรับรองคําแปล หรือผู้แทนทางการทูตหรือกงสุลไทยในประเทศที่มีการทํา
คําช้ีขาดหรือสญั ญาอนุญาโตตลุ าการน้นั
๑๘ เสาวนีย์ อศั วโรจน์, ความรู้เบือ้ งต้นเก่ียวกับการอนญุ าโตตุลาการ, หน้า ๑๒.

รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๑๕

คําวินจิ ฉัยของศาลปกครองสงู สดุ ที่วนิ จิ ฉยั เกยี่ วกบั ระยะเวลาในการยืน่ คําร้อง
ขอใหบ้ งั คับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการทน่ี า่ สนใจ มดี ังน้ี

- แม้บทบัญญัติมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ จะมิได้บัญญัติไว้เป็นการเฉพาะว่า วันท่ีอาจบังคับตามคําชี้ขาดได้นั้นหมายถึงวันใด
แต่เมื่อพิเคราะห์มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ที่บัญญัติว่า ศาลมีอํานาจทําคําส่ังปฏิเสธ
ไม่รับบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ว่าคําช้ีขาดนั้นจะได้ทําขึ้นประเทศใด ถ้าผู้ซึ่ง
จะถูกบังคับตามคําชี้ขาดพิสูจน์ได้ว่า (๑)... (๖) คําช้ีขาดยังไม่มีผลผูกพัน หรือได้ถูกเพิกถอน หรือระงับ
ใช้เสียโดยศาลที่มีเขตอํานาจหรือภายใต้กฎหมายของประเทศที่ทําคําช้ีขาด เว้นแต่ในกรณีท่ียังอยู่
ในระหว่างการขอให้ศาลท่ีมีเขตอํานาจทําการเพิกถอนหรือระงับใช้ซ่ึงคําช้ีขาด ศาลอาจเลื่อน
การพิจารณาคดีที่ขอบังคับตามคําชี้ขาดไปได้ตามที่เห็นสมควร และถ้าคู่พิพาทฝ่ายที่ขอบังคับตาม
คําชี้ขาดร้องขอ ศาลอาจสั่งให้คู่พิพาทฝ่ายท่ีจะถูกบังคับวางประกันท่ีเหมาะสมกันก็ได้ แสดงว่า
กรณีท่ีมีการร้องคัดค้านคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการต่อศาล คู่กรณีก็ยังร้องขอให้ศาลบังคับ
ตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการได้ เพียงแต่ศาลอาจใช้ดุลพินิจเลื่อนการพิจารณาคําร้องขอบังคับ
ดังกล่าวได้ตามท่ีเห็นสมควร ดังน้ัน วันที่มีคําช้ีขาดจึงเป็นวันท่ีอาจบังคับตามคําช้ีขาดได้
เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําชี้ขาดลงวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๑
ให้ผู้คัดค้านรับผิดชําระเงินพร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาให้แก่ผู้ร้อง หากผู้ร้องมีความประสงค์จะให้มี
การบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในส่วนของข้อพิพาทนี้ ผู้ร้องก็ชอบท่ีจะย่ืนคําร้อง
ต่อศาลท่ีมีเขตอํานาจภายในกําหนดเวลาสามปีนับแต่วันที่คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคําชี้ขาด
เมื่อผู้ร้องย่ืนคําร้องต่อศาลเพ่ือขอบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในวันท่ี ๒๖ กันยายน
๒๕๕๕ จึงเป็นการยื่นคําร้องเม่ือพ้นกําหนดเวลาสามปีนับแต่วันที่อาจบังคับตามคําช้ีขาดได้
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ท้ังน้ี แม้การย่ืนล่าช้า
ดังกล่าวจะสืบเน่ืองจากการท่ีผู้ร้องได้ย่ืนคําร้องต่อศาลเพ่ือขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดของคณะ
อนุญาโตตุลาการในส่วนที่เก่ียวกับความรับผิดในความชํารุดบกพร่องซ่ึงผู้ร้องไม่เห็นด้วยก็ตาม
แต่ระยะเวลาท่ีศาลพิจารณาคําคัดค้านของผู้ร้องก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็นระยะเวลาที่ผู้ร้องไม่อาจบังคับ
ตามคําช้ขี าดของอนุญาโตตุลาการได้ (คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๖๓/๒๕๕๖)

- จากบทบัญญัติมาตรา ๔๐ วรรคสอง มาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๔๓
วรรคหนึง่ (๖) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ จะเห็นได้ว่า กฎหมายได้กําหนดถึง
กรณีที่คู่พิพาทอาจขอให้เพิกถอนคําชี้ขาดหรือกรณีที่อาจขอให้มีการบังคับตามคําชี้ขาดได้ แล้วแต่กรณี
หลงั จากที่คณะอนุญาโตตุลาการได้มีคาํ ช้ีขาดแล้ว และในกรณีที่มีการขอให้บังคับตามคําชี้ขาดอยู่แล้ว
ทางหนง่ึ และมีการขอให้เพิกถอนคําช้ีขาดอยู่ด้วยอีกทางหน่ึง แยกออกเป็นสองทาง ในขณะเดียวกัน
กฎหมายกําหนดให้ศาลในคดีที่พิจารณาคําร้องขอให้บังคับตามคําชี้ขาดอาจเล่ือนการพิจารณาคดี
ท่ีขอให้บังคับตามคําช้ีขาดไปได้ตามที่เห็นสมควร ซ่ึงจะเห็นได้ว่า การที่กฎหมายกําหนดไว้เช่นนี้
เน่ืองมาจากโดยทั่วไปการดําเนินการต่าง ๆ ดังกล่าวจะเป็นกรณีท่ีคู่พิพาทต่างฝ่ายกันเป็นผู้ดําเนินการ
ยื่นคําร้องต่อศาลตามลักษณะของความสมประโยชน์ท่ีแต่ละฝ่ายได้รับจากคําชี้ขาดของคณะ

๓๑๖ รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

อนุญาโตตุลาการ โดยฝ่ายท่ีไม่เห็นด้วยก็จะย่ืนคําร้องขอให้ศาลเพิกถอนคําช้ีขาด ส่วนฝ่ายท่ีเห็นด้วย
ก็จะย่ืนคําร้องขอให้มีการบังคับตามคําชี้ขาด ดังนั้น หลักเกณฑ์ เง่ือนไข และระยะเวลาในการยื่น
คําร้องตามที่แยกบัญญัติไว้ในสองกรณี จึงเป็นเร่ืองที่โดยปกติคู่พิพาทต่างฝ่ายชอบที่จะปฏิบัติตามได้
โดยไม่มีข้อขัดข้องหรืออุปสรรคในการปฏิบัติตามกฎหมายแต่อย่างใด อย่างไรก็ดี หากเป็นกรณี
ท่ีคู่พิพาทฝ่ายหน่ึงฝ่ายใดแต่เพียงฝ่ายเดียวเป็นผู้ย่ืนคําร้องต่อศาล และเป็นกรณีที่คําช้ีขาดน้ันเอง
มีท้ังส่วนที่เป็นคุณและส่วนที่ไม่เป็นคุณแก่คู่พิพาทฝ่ายน้ัน คู่พิพาทฝ่ายน้ันย่อมพึงพิจารณาใช้สิทธิ
โต้แย้งคัดค้านคําชี้ขาดในส่วนที่ไม่เป็นคุณแก่ตนเสียก่อน มิใช่พิจารณาใช้สิทธิย่ืนคําร้องแยกกันไป
ทั้งสองทาง ต่อเมื่อภายหลังจากนั้นปรากฏผลว่า ศาลมีคําพิพากษายกคําร้องขอให้เพิกถอนคําช้ีขาด
อันเท่ากับว่าคําชี้ขาดน้ันท้ังในส่วนที่เป็นคุณและไม่เป็นคุณแก่ผู้ร้องเป็นคําชี้ขาดที่ชอบท้ังฉบับ ผู้ร้อง
ซ่ึงชอบท่ีจะได้รับผลตามคําช้ีขาดนั้นในส่วนท่ีเป็นคุณแก่ฝ่ายตนอยู่เสมอ จึงชอบที่จะขอให้ศาลบังคับ
รับรองตามสิทธิเช่นนั้นได้ โดยถือว่าวันท่ีศาลมีคําพิพากษาในคดีตามคําร้องขอให้เพิกถอนคําชี้ขาดน้ัน
เป็นวันท่ีอาจบังคับตามคําชี้ขาดได้ตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ศาลปกครองช้ันต้นได้มีคําพิพากษาในคดีตามคําร้องขอให้
เพิกถอนคําช้ขี าดเมอ่ื วันท่ี ๑๑ กนั ยายน ๒๕๕๗ โดยพิพากษายกคําร้อง วันดังกล่าวจึงเป็นวันท่ีอาจบังคับ
ตามคําช้ีขาดได้ การท่ีผู้ร้องย่ืนคําร้องต่อศาลขอให้มีการบังคับตามคําช้ีขาดในคดีนี้เม่ือวันท่ี ๒๖
ตุลาคม ๒๕๕๙ จึงเป็นการยื่นคําร้องภายในกําหนดเวลาสามปีนับแต่วันที่อาจบังคับตามคําชี้ขาดได้
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ฯ (คําสั่งศาลปกครอง
สงู สดุ ท่ี ๔๖๒/๒๕๖๐)๑๙

๔.๒ เหตทุ ่จี ะคดั ค้านและไม่บังคับตามคําช้ีขาด

ตามมาตรา ๔๓๒๐ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
กําหนดให้คู่กรณีฝ่ายท่ีไม่ประสงค์จะให้มีการบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการต้องอ้างเหตุ

๑๙ ตามคําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ ๔๖๓/๒๕๕๖ ศาลวินิจฉัยวางหลักว่า กรณีร้องขอให้บังคับตามคําช้ีขาด
ของอนุญาโตตุลาการ ในขณะท่ีมีการรอ้ งคัดค้านคาํ ช้ีขาดของอนุญาโตตลุ าการดงั กล่าวด้วย ถือว่าวันท่ีอนุญาโตตุลาการ
มคี าํ ชข้ี าดเปน็ วันทอ่ี าจบงั คับตามคําชี้ขาดได้ ทั้งน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ แตส่ าํ หรับกรณคี ําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี ๔๖๒/๒๕๖๐ ศาลวินิจฉัยวางหลักว่า วันที่ศาลมีคําพิพากษา
ในคดีตามคําร้องขอให้เพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ เป็นวันที่อาจบังคับตามคําช้ีขาดได้ตามนัยมาตรา ๔๒
วรรคหน่งึ แหง่ พระราชบัญญตั เิ ดียวกัน

๒๐ พระราชบัญญตั ิอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๓ ศาลมีอํานาจทําคําสั่งปฏิเสธไม่รับบังคับตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการไม่ว่า

คาํ ชขี้ าดนัน้ จะไดท้ าํ ขน้ึ ในประเทศใด ถา้ ผ้ซู ึ่งจะถูกบังคับตามคาํ ชขี้ าดพสิ จู น์ไดว้ า่
(๑) คู่สัญญาตามสัญญาอนุญาโตตุลาการฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นผู้บกพร่องในเร่ืองความสามารถ

ตามกฎหมายทใ่ี ชบ้ งั คบั แกค่ ู่สัญญาฝา่ ยนั้น
(๒) สัญญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันตามกฎหมายแห่งประเทศท่ีคู่สัญญาได้ตกลงกันไว้หรือ

ตามกฎหมายของประเทศทท่ี ําคาํ ชี้ขาดนั้น ในกรณที ีไ่ มม่ ขี อ้ ตกลงดงั กล่าว

รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๑๗

ท่ีศาลจะปฏิเสธไม่บังคับตามคําชี้ขาดขึ้นต่อสู้ แต่หากศาลพบข้อเท็จจริงตามที่มาตรา ๔๔๒๑
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน กําหนดไว้ ศาลอาจปฏิเสธไม่บังคับตามคําชี้ขาดได้โดยคู่กรณีที่คัดค้าน
คาํ ช้ขี าดไมจ่ ําตอ้ งกลา่ วอา้ ง ดังน้ี

๑) เหตทุ จ่ี ะคัดคา้ นและไมบ่ ังคับตามคําชีข้ าดท่ีคกู่ รณตี อ้ งพิสูจน์
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๓ บัญญัติ

เหตุท่ีคู่กรณีต้องยกข้ึนกล่าวอ้างเพ่ือคัดค้านในกรณีท่ีไม่ประสงค์จะให้มีการบังคับตามคําช้ีขาดไว้
ดังต่อไปน๒้ี ๒

(๑) ค่สู ัญญามคี วามสามารถบกพร่อง
ในกรณีที่คู่สัญญาอนุญาโตตุลาการทําสัญญาขึ้นทั้งท่ีเป็นผู้บกพร่อง

ความสามารถตามกฎหมายท่ีใช้บังคับแก่คู่สัญญาฝ่ายน้ันแล้ว สัญญาอนุญาโตตุลาการย่อมไม่สมบูรณ์
และการต้ังอนุญาโตตุลาการย่อมใช้ไม่ได้ อันทําให้การทําคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการย่อมไม่สมบูรณ์
และคําชขี้ าดใช้บังคับไม่ไดไ้ ปด้วย

(๒) สญั ญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพัน
ในกรณีที่ไม่มีสัญญาอนุญาโตตุลาการเพราะคู่กรณีมิได้สัญญา

ให้ระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ หรือสัญญาอนุญาโตตุลาการไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
ของประเทศที่คู่กรณีได้ตกลงกันไว้ ซึ่งเป็นกรณีที่คู่สัญญาตกลงกันให้ใช้กฎหมายของประเทศหน่ึง

(๓) ไม่มีการแจ้งให้ผู้ซึ่งจะถูกบังคับตามคําชี้ขาดรู้ล่วงหน้าโดยชอบถึงการแต่งตั้งคณะอนุญาโตตุลาการ
หรือการพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการ หรือบุคคลดังกล่าวไม่สามารถเข้าต่อสู้คดีในชั้นอนุญาโตตุลาการได้
เพราะเหตุประการอนื่

(๔) คําชี้ขาดวินิจฉัยข้อพิพาทซ่ึงไม่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือคําชี้ขาดวินิจฉัย
เกินขอบเขตแห่งข้อตกลงในการเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ แต่ถ้าคําช้ีขาดท่ีวินิจฉัยเกินขอบเขตนั้น
สามารถแยกออกได้จากคําชี้ขาดสว่ นท่วี นิ ิจฉยั ในขอบเขตแลว้ ศาลอาจบังคบั ตามคาํ ชีข้ าดสว่ นทว่ี นิ จิ ฉัยอยใู่ นขอบเขต
แหง่ สญั ญาอนญุ าโตตลุ าการหรอื ข้อตกลงนน้ั กไ็ ด้

(๕) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณาของคณะอนุญาโตตุลาการมิได้
เป็นไปตามที่คู่พิพาทได้ตกลงกันไว้ หรือมิได้เป็นไปตามกฎหมายของประเทศที่ทําคําช้ีขาดในกรณีท่ีคู่พิพาทมิได้
ตกลงกันไว้ หรอื

(๖) คําชี้ขาดยังไม่มีผลผูกพัน หรือได้ถูกเพิกถอน หรือระงับใช้เสียโดยศาลที่มีเขตอํานาจหรือภายใต้
กฎหมายของประเทศที่ทําคําช้ีขาด เว้นแต่ในกรณีที่ยังอยู่ในระหว่างการขอให้ศาลที่มีเขตอํานาจทําการเพิกถอน
หรือระงับใช้ซึ่งคําชี้ขาด ศาลอาจเลื่อนการพิจารณาคดีที่ขอบังคับตามคําชี้ขาดไปได้ตามท่ีเห็นสมควร และถ้าคู่พิพาท
ฝ่ายทีข่ อบังคบั ตามคาํ ชี้ขาดร้องขอ ศาลอาจสั่งใหค้ พู่ ิพาทฝ่ายท่ีจะถกู บังคับวางประกนั ที่เหมาะสมกอ่ นก็ได้

๒๑ พระราชบัญญตั อิ นญุ าโตตลุ าการ พ.ศ. ๒๕๔๕
มาตรา ๔๔ ศาลมีอํานาจทําคําสั่งปฏิเสธการขอบังคับตามคําชี้ขาดตามมาตรา ๔๓ ได้ ถ้าปรากฏ

ตอ่ ศาลว่าคําชีข้ าดนัน้ เกย่ี วกับข้อพิพาทที่ไม่สามารถจะระงับโดยการอนุญาโตตุลาการได้ตามกฎหมายหรือถ้าการบังคับ
ตามคาํ ชีข้ าดนัน้ จะเปน็ การขดั ต่อความสงบเรียบรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอันดีของประชาชน

๒๒ เสาวนีย์ อศั วโรจน์, ความรเู้ บื้องตน้ เกย่ี วกับการอนญุ าโตตุลาการ, หนา้ ๑๓-๑๔.

๓๑๘ รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ประเทศใดบังคับกับสัญญาอนุญาโตตุลาการ หรือหากไม่มีข้อตกลงดังกล่าวก็ต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ของประเทศทมี่ กี ารทาํ คําชี้ขาด และถ้าสัญญาอนญุ าโตตลุ าการไม่สมบรู ณต์ ามกฎหมายที่ใชบ้ ังคบั แลว้
อนุญาโตตุลาการย่อมไม่มีอํานาจพิจารณาชี้ขาดข้อพิพาท หากทําไปคําช้ีขาดก็ใช้บังคับไม่ได้
และศาลต้องไมบ่ งั คับให้

(๓) วิธพี ิจารณาในช้ันอนุญาโตตุลาการไมช่ อบ
คู่กรณีฝ่ายที่คัดค้านคําชี้ขาดสามารถอ้างเหตุและพิสูจน์ให้ได้ว่า

ตนไม่สามารถเข้าสู้คดีได้ เพราะไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าอย่างถูกต้อง เหมาะสม ถึงการท่ี
จะตอ้ งแตง่ ต้งั อนญุ าโตตุลาการ ทําให้ไม่สามารถแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการได้หรือไม่สามารถแต่งตั้งได้ดี
หรือไม่ได้รับการบอกกล่าวล่วงหน้าถึงกําหนดนัดในการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการอย่างถูกต้อง
เหมาะสม อันทําให้ไม่สามารถเข้าร่วมในการอนุญาโตตุลาการหรือไม่สามารถเตรียมตัวในการเข้าร่วม
กระบวนพจิ ารณาได้ดี หรือไมส่ ามารถตอ่ สู้คดีในชนั้ อนญุ าโตตุลาการเพราะเหตุอ่ืน

การบอกกลา่ วน้ีเปน็ เร่อื งที่สําคัญมาก และในศาลของหลายประเทศ
เห็นว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนระหว่างประเทศ หากมีการบอกกล่าว
ที่ไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม ก็เป็นเหตุที่ศาลจะไม่บังคับตามคําช้ีขาดได้ ท้ังนี้ การบอกกล่าวอาจอยู่
ในรูปแบบที่เป็นทางการหรือไม่เป็นทางการก็ได้ แต่ควรให้มีหลักฐานของการบอกกล่าว ไม่ควรบอกกล่าว
ทางโทรศัพท์ เพราะอาจไม่มีหลักฐานการบอกกล่าวที่เพียงพอ แต่ในศาลของหลายประเทศเห็นว่า
ไม่จําต้องใช้วิธีการส่งเอกสารตามกฎหมายของประเทศท่ีมีการขอให้บังคับตามคําช้ีขาด แต่ให้ใช้
วิธีการตามกฎหมายของประเทศที่มีการทําคําช้ีขาดก็ได้ นอกจากน้ัน ในหลายประเทศยังเห็นว่า
การบอกกล่าวนั้นไม่ได้หมายความเพียงว่าให้เวลาอันสมควร แต่ต้องบอกรายละเอียดอันจําเป็น
ที่จะทําให้คู่กรณีสามารถเตรียมตัวในการเข้าร่วมการพิจารณาได้ดีด้วย ถ้าบอกกล่าวโดยไม่มี
รายละเอียดก็เป็นเหตุที่ศาลจะไม่บังคับตามคําชี้ขาดได้ เช่น ไม่บอกว่าคู่กรณีกระทําผิดเรื่องใด
ใครเปน็ คู่กรณีอกี ฝา่ ยหนึง่ และอนุญาโตตลุ าการอีกฝ่ายหนง่ึ เป็นใคร เปน็ ตน้

(๔) อนญุ าโตตุลาการวนิ ิจฉยั เกินขอบอาํ นาจหรือไมม่ ีอาํ นาจ
ในกรณีท่ีอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยช้ีขาดเกินขอบเขตแห่งข้อตกลง

ในการเสนอข้อพิพาทต่ออนุญาโตตุลาการ ซ่ึงอาจเป็นกรณีที่อนุญาโตตุลาการช้ีขาดข้อพิพาทท่ีไม่ได้
ระบุไว้ในสัญญาอนุญาโตตุลาการหรือเป็นการชี้ขาดข้อพิพาทที่เกินไปกว่าที่เสนอให้อนุญาโตตุลาการ
พิจารณา ศาลกจ็ ะไมบ่ งั คับตามคาํ ช้ีขาดนั้น อยา่ งไรกต็ าม ในกรณที ่ีคาํ ชขี้ าดนน้ั สามารถแยกคําช้ีขาด
ส่วนที่อยู่ในขอบเขตออกจากส่วนที่อยู่นอกขอบเขตได้ ศาลก็อาจบังคับตามคําชี้ขาดในส่วนที่อยู่
ในขอบเขตแห่งข้อตกลงอนญุ าโตตุลาการได้

(๕) องค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือกระบวนพิจารณา
ของอนุญาโตตลุ าการไม่ชอบ

ศาลอาจปฏิเสธไม่บังคับตามคําชี้ขาดได้หากคู่กรณีฝ่ายท่ีคัดค้าน
อ้างเหตุความผิดปกติในกระบวนพิจารณาและสามารถพิสูจน์ได้ตามที่กล่าวอ้าง กล่าวคือ การแต่งตั้ง
หรือองค์ประกอบของคณะอนุญาโตตุลาการหรือผู้ช้ีขาดไม่ถูกต้องตามสัญญาอนุญาโตตุลาการ

รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๑๙

ของคู่กรณี หรือวิธีพิจารณาของอนุญาโตตุลาการมิได้เป็นไปตามที่คู่กรณีตกลงกันในสัญญา
อนุญาโตตุลาการหรือที่อ่ืน ๆ หากมีการตกลงกันถึงวิธีพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ หรือมิได้เป็นไปตาม
กฎหมายของประเทศที่ทําคําช้ีขาด ซึ่งก็คือประเทศท่ีมีการน่ังพิจารณาและชี้ขาด หากคู่กรณี
มไิ ด้ตกลงกันกําหนดวธิ พี จิ ารณาไว้

(๖) คําชข้ี าดยงั ไม่สมบรู ณ์
ในกรณีที่คําชี้ขาดยังไม่ผูกพันคู่กรณีโดยยังไม่ยุติซ่ึงเป็นไปตาม

กฎหมายของประเทศทมี่ ีการทาํ คาํ ชข้ี าดน้ัน เชน่ มีการอุทธรณ์คําช้ีขาดน้ันได้ในกฎหมายของประเทศ
ที่มีการทําคําชี้ขาด หรือได้ถูกเพิกถอนซ่ึงหมายรวมถึงการยกเลิกคําชี้ขาดโดยองค์กรท่ีมีอํานาจ
ในประเทศที่มีการทําคําชี้ขาด หรือถูกระงับใช้โดยเจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจ หรือการดําเนินการดังกล่าว
ทําตามกฎหมายของประเทศท่ีมีการทําคําช้ีขาดแล้ว และคู่กรณีฝ่ายที่คัดค้านอ้างเหตุดังกล่าว
และสามารถพิสูจน์ให้ศาลเห็นได้เช่นนั้น ศาลต้องปฏิเสธการบังคับตามคําชี้ขาดนั้น อย่างไรก็ตาม
ในกรณีของการเพิกถอนคําช้ีขาดนั้น ถ้าเพียงแต่มีการย่ืนเร่ืองขอให้เจ้าหน้าท่ีผู้มีอํานาจในประเทศ
ท่ีมีการทําคําช้ีขาดให้มีการเพิกถอนคําชี้ขาดน้ัน ศาลอาจเล่ือนการพิจารณาของศาลในการขอให้
บังคับตามคําช้ีขาดออกไปได้ และอาจให้คู่กรณีฝ่ายท่ีคัดค้านคําช้ีขาดหาประกันที่เหมาะสมก่อนก็ได้
หากค่กู รณีฝา่ ยท่ีขอให้บงั คบั ตามคาํ ชข้ี าดร้องขอเช่นนัน้

หมายเหตุ จะเห็นได้ว่า เหตุท่ีจะคัดค้านและไม่บังคับตามคําชี้ขาด
ซึ่งเป็นหน้าที่ของคู่กรณีท่ีต้องพิสูจน์ตามมาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ นี้ มีลักษณะเดียวกันกับเหตุแห่งการเพิกถอนคําช้ีขาดที่คู่กรณีต้องพิสูจน์ตามมาตรา ๔๐
วรรคสาม (๑) แห่งพระราชบญั ญัตดิ งั กลา่ ว

๒) เหตทุ จี่ ะคดั ค้านและไม่บังคบั ตามคําช้ขี าดท่ศี าลอาจยกข้ึนวินจิ ฉยั เองได้
พระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ มาตรา ๔๔ ได้บัญญัติ

เหตุท่ีศาลอาจปฏิเสธไม่บังคับตามคําชี้ขาดได้โดยคู่กรณีท่ีคัดค้านคําชี้ขาดไม่ต้องยกขึ้นกล่าวอ้างก็ได้
หากศาลพบข้อเท็จจรงิ ดังต่อไปน้ี

(๑) ข้อพิพาทนั้นไม่สามารถระงับได้โดยการอนุญาโตตุลาการ กล่าวคือ
เปน็ ขอ้ พพิ าทต้องหา้ มมใิ ห้เสนอต่ออนญุ าโตตุลาการ ซ่งึ ต้องเปน็ ไปตามกฎหมายของไทยเทา่ นั้น

(๒) การยอมรับหรือบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการจะเป็นการ
ขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน

๕. การนําหลักความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนมาใช้ในการ
เพกิ ถอนหรอื ปฏเิ สธการบงั คับตามคําชขี้ าดของอนญุ าโตตลุ าการ

จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดพบว่า เหตุท่ีศาลใช้ในการ
เพิกถอนคําชี้ขาดหรือปฏิเสธการบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการส่วนใหญ่แล้ว สืบเน่ืองจาก
คําชี้ขาดดังกล่าวขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน ท้ังนี้ ตามมาตรา ๔๐
วรรคสาม (๒) (ข) และมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ แต่โดยท่ี
พระราชบัญญัติดังกล่าวไม่ได้นิยามคําว่า “ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ไว้

๓๒๐ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

จึงยังไม่มีความชัดเจนว่าแนวความคิดในเรื่องความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ท่เี ป็นเหตใุ หศ้ าลเพิกถอนคําชี้ขาดหรือปฏิเสธการบงั คับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นอย่างไร
และศาลควรใช้หลักดังกล่าวโดยตีความอย่างกว้างหรือแคบมากน้อยเพียงใด และโดยที่
หลักความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนนี้เป็นหลักท่ีจําเป็นสําหรับรัฐใช้เพ่ือปกป้อง
ผลประโยชน์ของรัฐโดยส่วนรวม เพ่ือไม่ให้รัฐและประชาชนโดยรวมต้องเสียหายจากการกระทํา
ที่ไม่ถูกต้องและไม่เป็นธรรมที่เกิดข้ึนจากการกระทําของคู่กรณี ดังนั้น จึงเป็นความจําเป็นอย่างย่ิง
ที่จะต้องศึกษาถึงความหมายและขอบเขตการใช้หลักกฎหมายดังกล่าวในการตรวจสอบคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตลุ าการตามขอ้ พิพาทเกย่ี วกบั สัญญาทางปกครอง

๕.๑ ความหมายของความสงบเรยี บร้อยหรอื ศีลธรรมอันดขี องประชาชน

ความหมายของคําว่าความสงบเรียบร้อยของประชาชนมีความสําคัญมาก
โดยเฉพาะในกรณีของคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ เพราะมีส่วนท่ีทําให้คําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ได้รับการรับรองและบังคับตามหรือถูกปฏิเสธการบังคับหรือถูกเพิกถอนได้ เพราะการจะได้รับ
การรับรองคําชี้ขาดหรือไม่ยอมรับนั้นข้ึนอยู่กับแนวความคิดในเร่ืองความสงบเรียบร้อยของประชาชน
ว่าเป็นอย่างไร มีการตีความอย่างกว้างหรืออย่างแคบ เน่ืองจากหากตีความอย่างกว้างคําช้ีขาด
กอ็ าจขดั ต่อความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชนไดง้ า่ ยกว่าการตีความอย่างแคบ

ทั้งน้ี ศาสตราจารย์ ดร. เสาวนีย์ อัศวโรจน์ ได้ให้นิยามคําว่า “ความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ไว้ว่า หมายถึง มาตรฐานขั้นพื้นฐานของสภาวะ
ความเป็นอยู่ของประชาชนท่ีอยู่ร่วมกันในสังคม โดยมีความปลอดภัยในชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน
และในการดําเนินชีวิตโดยปรกติสุข ในเรื่องที่เก่ียวกับส่ิงท่ีจําเป็นและสําคัญในประเทศที่เกี่ยวด้วย
ผลประโยชน์ของมหาชนโดยทั่วไป เพ่ือความเป็นระเบียบเรียบร้อยของประเทศชาติและสังคม
เช่น กฎหมาย ศีลธรรม เศรษฐกิจ การเมือง ศาสนา และสังคมของประเทศ ซ่ึงเป็นเรื่องที่รัฐใช้
เพ่ือปกป้องผลประโยชน์สาธารณะของประเทศโดยส่วนรวมโดยผ่านทางศาล แต่ทั้งนี้ ก็ต้องใช้
หลักดังกล่าวด้วยความระมัดระวัง เพราะโดยสภาพแล้ว ความสงบเรียบร้อยของประชาชน
เป็นแนวความคิดท่ีมีพลวัต กล่าวคือ มีความเปล่ียนแปลงง่าย เคล่ือนไหว ไม่หยุดน่ิง มีพัฒนาการ
เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของสังคมท่ีเปลี่ยนแปลงไป รวมท้ังทางการเมือง วัฒนธรรม ศีลธรรม
เศรษฐกจิ และสงั คม๒๓

๒๓ เสาวนีย์ อัศวโรจน์, รายงานวิจัย เรื่อง แนวทางการตีความของศาลภายใต้หลักความสงบเรียบร้อย
และศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนตามพระราชบัญญัตอิ นญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕, หนา้ ๑๔.

รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๒๑

๕.๒ ประเภทของความสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน

หากแบ่งประเภทของความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ตามสาระของข้อพิพาทหรือวิธีพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ อาจแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทางด้านสารบัญญัติ และความสงบเรียบร้อย
หรอื ศีลธรรมอันดขี องประชาชนทางดา้ นวิธีสบญั ญตั ิ

๑) ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชนทางด้านสารบัญญัติ
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทางด้านสารบัญญัติ

หรือเน้ือหาสาระของข้อพิพาทท่ีทําการอนุญาโตตุลาการ เป็นการปรับกฎหมายกับเน้ือหาสาระของ
ข้อพิพาทที่ทําการอนุญาโตตุลาการ ปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายเรื่องใดที่จะทําการอนุญาโตตุลาการมิได้
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ต้องให้ศาลพิพากษา ไม่ใช่การช้ีขาด
โดยอนุญาโตตุลาการ ซึ่งจะมีความแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ เช่น กฎหมายเก่ียวกับครอบครัว
สถานะของบุคคล การแข่งขันทางการค้า กฎหมายล้มละลาย กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค กฎหมาย
ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตรา สัญญาที่ผดิ กฎหมาย นโยบายตา่ งประเทศ เปน็ ตน้

๒) ความสงบเรยี บร้อยหรือศลี ธรรมอนั ดีของประชาชนทางดา้ นวธิ สี บัญญตั ิ
ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทางด้านวิธีสบัญญัติ

เป็นเร่ืองเก่ียวกับวิธีการระงับข้อพิพาทหรือกระบวนการระงับข้อพิพาทโดยการอนุญาโตตุลาการ
เช่น การแต่งตั้งอนุญาโตตุลาการต้องเป็นไปโดยชอบและต้องได้รับการบอกกล่าวถึงการแต่งต้ัง
อนุญาโตตุลาการ การพิจารณาข้อพิพาทของอนุญาโตตุลาการต้องมีการปฏิบัติต่อคู่กรณีท้ังสองฝ่าย
อย่างเท่าเทียมกัน ต้องเปิดโอกาสให้ท้ังสองฝ่ายได้เข้าร่วมในการพิจารณาของอนุญาโตตุลาการ
โดยมีการบอกกล่าวกําหนดนัดพิจารณาโดยชอบ และได้มีโอกาสอย่างเต็มท่ีในการเสนอพยานหลักฐาน
เพ่ือประกอบข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ของตน และไม่มีความบกพร่องอย่างอื่น เช่น ต้องไม่มีการฝ่าฝืน
หลักความยุติธรรมตามธรรมชาติ ไม่มีการฉ้อฉลหรือการโกงเกิดข้ึนในกระบวนพิจารณา และไม่มี
การให้สนิ บนอนุญาโตตุลาการในการพจิ ารณาและทําคําช้ีขาดของอนญุ าโตตุลาการ เปน็ ต้น๒๔

๕.๓ หลักความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามแนว
คาํ วนิ จิ ฉยั ของศาลปกครองสงู สดุ

จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดพบว่า กรณีที่ศาล
มีคําวินิจฉัยว่าเป็นเรื่องเก่ียวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทั้งในด้าน
สารบญั ญัติและในดา้ นวธิ ีสบัญญัติ มดี ังตอ่ ไปน้ี

๑) สิทธิหน้าที่ของคู่กรณีท่ีเกี่ยวกับประโยชน์สาธารณะหรือประชาชน
โดยสว่ นรวม (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๔๘/๒๕๕๕)

๒๔ เสาวนีย์ อัศวโรจน์, รายงานวิจัย เร่ือง แนวทางการตีความของศาลภายใต้หลักความสงบเรียบร้อย
และศลี ธรรมอันดีของประชาชนตามพระราชบญั ญตั อิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕, หนา้ ๑๗-๑๘.

๓๒๒ รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

๒) บทบญั ญตั ิท่กี ระทบกระเทือนถึงความมัน่ คงของรัฐ เศรษฐกิจของประเทศ
หรอื กระทบตอ่ ความสงบสขุ ในสังคม (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๑๐๕๔-๑๐๕๕/๒๕๕๘)

๓) การดําเนินกระบวนพิจารณาโดยไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้ทราบถึง
การกําหนดประเด็นข้อพิพาทหรือไม่เปิดโอกาสให้คู่กรณีได้ทราบและโต้แย้งพยานหลักฐาน
(คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๒๔๘/๒๕๕๗ และท่ี อ.๗๑-๗๒/๒๕๕๖)

๔) การไม่ปฏิบัติตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงาน
หรือดําเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งเป็นบทกฎหมายเพื่อประโยชน์โดยรวมของ
ประเทศชาติ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๓๔๙/๒๕๔๙ และท่ี อ.๒๕๐๓/๒๕๕๒)

๕) มาตรา ๒๕ วรรคห้า แหง่ พระราชบญั ญตั กิ ารประกอบกิจการโทรคมนาคม
พ.ศ. ๒๕๔๔ ซ่ึงกําหนดให้การเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้หรือเช่ือมต่อโครงข่ายโทรคมนาคม
ตอ้ งเปน็ ไปอย่างสมเหตุสมผลและเป็นธรรม (คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๑๒๕๙/๒๕๕๙)

๖) ข้อตกลงมิให้นําคดีพิพาทเก่ียวกับสัญญาทางปกครองข้ึนสู่ศาล
อันกระทบตอ่ ประโยชนส์ าธารณะ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๒๕-๒๖/๒๕๕๙)

๗) การดําเนินงานตามสัญญาทางปกครองท่ีอาจกระทบต่อการจัดทํา
บริการสาธารณะหรือประโยชน์ส่วนรวมหรือเก่ียวกับความม่ันคงปลอดภัยของผู้ใช้บริการ
(คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๑๘๓/๒๕๕๙)

๘) คําช้ีขาดท่ีไม่มีมูลอันจะอ้างได้ตามกฎหมาย (คําพิพากษาศาลปกครอง
สงู สดุ ท่ี อ.๒๕-๒๖/๒๕๕๙)

๙) บทบัญญัติเกยี่ วกับการลดเบย้ี ปรับตามมาตรา ๓๘๓ แห่งประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณิชย์ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๐๘/๒๕๕๓)

๑๐) การพิพากษาเกินคําขอ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อ.๗๔๖-๗๔๗/๒๕๕๕)

๑๑) ปัญหาเรื่องอายุความในการใช้สิทธิเรียกร้อง (คําพิพากษาศาลปกครอง
สงู สดุ ที่ อ.๑๓๓/๒๕๖๐)

ส่วนกรณีดังต่อไปนี้ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่าไม่ใช่เร่ืองเก่ียวด้วย
ความสงบเรียบร้อยหรอื ศลี ธรรมอันดีของประชาชน

๑) การใช้ดุลพินิจในการชั่งน้ําหนักและรับฟังพยานหลักฐานของ
คณะอนุญาโตตลุ าการ (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๗๓๖/๒๕๕๕)

๒) เงินที่นํามาชําระหน้ีตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นเงินภาษี
ของประชาชน ไม่ใช่ประโยชน์ของส่วนรวมโดยตรง (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๘/๒๕๕๕
ที่ อ.๖๓๘/๒๕๕๖ และท่ี อ.๖๓๙/๒๕๕๖)

๓) การบังคับให้เป็นไปตามข้อตกลงในบันทึกเพิ่มเติมแนบท้ายสัญญา
ซ่ึงไมก่ ระทบตอ่ การจัดทาํ บรกิ ารสาธารณะ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๓๓๖/๒๕๕๗)

รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๒๓

๔) ข้อพิพาทเก่ียวกับหน้าที่ความรับผิดหรือการปฏิบัติตามสัญญา
ซึ่งมิใช่ข้อท่ีเก่ียวด้วยผลประโยชน์ของส่วนรวม (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๘/๒๕๕๕
และท่ี อ.๖๙๘-๖๙๙/๒๕๕๘)

๕.๔ แนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในการนําหลักความสงบเรียบร้อย
หรือศีลธรรมอันดีของประชาชนมาใช้วินิจฉัยเพื่อเพิกถอนคําชี้ขาดหรือปฏิเสธการบังคับ
ตามคาํ ชีข้ าดของอนุญาโตตุลาการ

จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดพบว่า มีคดีท่ีน่าสนใจท่ีศาล
ได้นําหลักกฎหมายอันเก่ียวด้วยความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนมาใช้ตรวจสอบ
ความชอบด้วยกฎหมายของคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ ดงั ตอ่ ไปน้ี

๑) กรณีท่ีศาลวินิจฉัยว่าคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อความสงบ
เรยี บร้อยหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน

- คําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการที่ช้ีขาดว่าคู่สัญญาปฏิบัติผิดข้อสัญญา
อันเป็นข้อสัญญาซ่ึงเกิดจากการแก้ไขเพิ่มเติมโดยไม่เป็นไปตามข้ันตอนท่ีกําหนดไว้ในมาตรา ๒๑
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานหรือดําเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. ๒๕๓๕
และคําช้ีขาดท่ีมีผลเป็นการแก้ไขสาระสําคัญของสัญญาในส่วนท่ีเก่ียวกับการจัดทําบริการสาธารณะ
ซ่ึงเป็นเรื่องที่อยู่ในขอบเขตอํานาจและความรับผิดชอบของรัฐ ถือเป็นกรณีท่ีปรากฏต่อศาลว่า
การยอมรับหรือการบังคับตามคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการดังกล่าว จะเป็นการขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ข) แห่งพระราชบัญญัติ
อนญุ าโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ (คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๓๔๙/๒๕๔๙)

- การท่ีคู่สัญญาฝ่ายเอกชนยกเอาเหตุท่ีฝ่ายปกครองผิดนัดไม่จ่าย
เงินค่าจ้างตามสัญญามาบอกเลิกสัญญา โดยทําให้การจัดทําบริการสาธารณะของฝ่ายปกครอง
ต้องหยุดชะงักไม่อาจกระทําได้ การที่คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยว่ากรณีท่ีฝ่ายปกครอง
ไม่จ่ายเงินค่าจ้างให้แก่เอกชนคู่สัญญาในกําหนดเวลา ถือว่าเป็นฝ่ายผิดนัดและผิดสัญญา เอกชน
คู่สัญญาจึงมีสิทธิบอกเลิกสัญญา และการท่ีเอกชนคู่สัญญาบอกเลิกสัญญากับฝ่ายปกครอง
เป็นการบอกเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นคําช้ีขาดที่ฝ่าฝืนต่อมาตรา ๓๔ วรรคส่ี
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งถือว่าคําชี้ขาดดังกล่าวไม่อยู่ในขอบเขต
ของสัญญาอนุญาโตตุลาการ และการยอมรับหรือบังคับตามคําช้ีขาดน้ันจะเป็นการขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๑) (ง) และ (๒) (ข)
แหง่ พระราชบญั ญตั เิ ดียวกนั (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๖๗๖/๒๕๕๔)

- แม้ผู้ร้องมีสิทธิปรับผู้คัดค้านโดยชอบตามสัญญา แต่เมื่อคณะ
อนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดให้ลดค่าปรับลงตามมาตรา ๓๘๓ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ ให้ผู้ร้องคืนค่าปรับบางส่วนให้แก่ผู้คัดค้าน ผู้คัดค้านจึงหามีสิทธิได้ดอกเบี้ย

๓๒๔ รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

จากเงินค่าปรับที่ได้รับคืนน้ันไม่ เพราะการท่ีผู้ร้องหักค่าปรับไว้เป็นการใช้สิทธิตามสัญญา การท่ี
คณะอนุญาโตตุลาการวินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้ร้องชําระดอกเบ้ียของต้นเงินค่าปรับที่ต้องคืนให้แก่ผู้คัดค้าน
จึงเป็นคําช้ีขาดให้ผู้ร้องชําระเงินในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยโดยไม่มีกฎหมายให้อํานาจท่ีจะช้ีขาดเช่นน้ันได้
การบังคับตามคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการในส่วนที่บังคับให้ชําระดอกเบี้ย จึงเป็นการขัดต่อ
ความสงบเรียบร้อยหรือศลี ธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ข) แห่งพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๑๘/๒๕๕๗)

- การมีข้อตกลงว่าจะไม่นําคดีขึ้นสู่ศาลมีผลเป็นการตัดอํานาจรัฐ
ที่จะเพิกถอนคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ เม่ือสัญญาในคดีนี้เป็นสัญญาให้จัดทําบริการสาธารณะด้านขนส่งสินค้า ข้อตกลงข้างต้น
ย่อมมีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ จึงเป็นข้อสัญญาท่ีขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
อนั ดขี องประชาชน ซ่ึงเป็นโมฆะ (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๒๕-๒๖/๒๕๕๙)

- เม่อื รฐั ธรรมนูญแหง่ ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐ มีเจตนารมณ์
ให้คลื่นความถี่ท่ีใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรส่ือสาร
ที่ใช้เพ่ือประโยชน์สาธารณะ ไม่ใช่ของบุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่ง การจัดสรร
คล่ืนความถี่ดังกล่าวจึงต้องคํานึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชน รวมทั้งการแข่งขันโดยเสรี
อย่างเป็นธรรม ประกอบกับพระราชบัญญัติการประกอบกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔
มีบทบัญญัติให้การเรียกเก็บค่าตอบแทนการใช้หรือเช่ือมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมต้องเป็นไปอย่าง
สมเหตุสมผลและเป็นธรรมต่อผู้รับใบอนุญาตที่มีโครงข่ายโทรคมนาคมกับผู้ขอใช้หรือเชื่อมต่อ
โครงข่ายโทรคมนาคม และต้องมีความเท่าเทียมกันในระหว่างผู้ขอใช้หรือผู้ขอเช่ือมต่อโครงข่าย
โทรคมนาคมทุกราย โดยคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เป็นผู้มีอํานาจกําหนด
โครงสร้างอัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการโทรคมนาคม รวมท้ังอัตราค่าเชื่อมต่อโครงข่าย
โทรคมนาคม ทั้งน้ี ตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติองค์กรจัดสรรคล่ืนความถ่ีและกํากับกิจการ
วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ การที่คณะอนุญาโตตุลาการ
มีคําช้ีขาดให้ผู้ร้องชําระค่าตอบแทนจากการนําบริการพิเศษมาใช้ผ่านโครงข่ายโทรคมนาคม
ของผู้คัดค้านโดยพิจารณาแบ่งผลประโยชน์ตอบแทนด้วยการคํานึงถึงความสุจริตยุติธรรม
และปกติประเพณีตามมาตรา ๓๖๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ โดยไม่ได้พิจารณาถึง
ความสมเหตุสมผลและเป็นธรรมต่อผู้รับใบอนุญาตและความเท่าเทียมกันระหว่างผู้ขอใช้หรือ
ขอเชื่อมต่อโครงข่ายโทรคมนาคมทุกราย จึงเป็นการพิจารณาท่ีไม่สอดคล้องกับบทบัญญัติ
ของรัฐธรรมนูญและบทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีใช้บังคับอยู่ในขณะที่มีคําชี้ขาด การยอมรับหรือ
บังคับตามคําชี้ขาดดังกล่าวจึงเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
(คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๒๕๙-๑๒๖๐/๒๕๕๙)

รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๒๕

๒) กรณีที่ศาลวินิจฉัยว่าคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการไม่ขัดต่อ
ความสงบเรียบรอ้ ยหรอื ศีลธรรมอนั ดขี องประชาชน

- กฎหมายว่าด้วยอนุญาโตตุลาการให้สิทธิคู่พิพาทกําหนดกระบวน
พิจารณาของอนุญาโตตุลาการเป็นการเฉพาะได้ แต่หากคู่พิพาทไม่ได้ตกลงกันไว้หรือไม่สามารถ
หาข้อสรปุ ร่วมกันได้ กใ็ หด้ ําเนินการตามวิธีการที่กฎหมายกําหนด ดังนั้น ในกรณีที่คู่พิพาทกําหนดให้
กระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการให้ถือตามข้อบังคับของสถาบันอนุญาโตตุลาการ จึงเป็นการท่ี
คู่พิพาทได้ตกลงเร่ืองการดําเนินกระบวนพิจารณาของอนุญาโตตุลาการไว้เป็นอย่างอื่น และเมื่อ
ข้อบังคับดังกล่าวกําหนดให้คณะอนุญาโตตุลาการมีอํานาจใช้ดุลพินิจดําเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ
ได้ตามท่ีเห็นสมควรตามหลักแห่งความยุติธรรม อันสอดคล้องกับบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วย
อนุญาโตตลุ าการ จึงเป็นการดําเนินกระบวนพิจารณาโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว และการยอมรับหรือ
การบังคับตามคําชี้ขาดของผู้คัดค้านที่ ๑ ดังกล่าว ไม่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
อันดีของประชาชนตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ข) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ (คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๒๗๖/๒๕๕๖)

- เม่ือคําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการเป็นการชี้ขาดข้อโต้แย้งหรือ
ข้อพิพาทท่ีเกี่ยวกับกําหนดเวลาแล้วเสร็จและสิทธิของผู้ว่าจ้างในการบอกเลิกสัญญาตามสัญญาจ้าง
และสิทธิในการเรียกค่าปรับของผู้ว่าจ้างอันเป็นการวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาทของคณะอนุญาโตตุลาการ
ที่อยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการ และไม่เข้าลักษณะกรณีใดกรณีหน่ึงตามมาตรา ๔๓
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ ท่ีศาลจะมีอํานาจทําคําสั่งปฏิเสธการขอบังคับ
ตามคําชี้ขาดดังกล่าวได้ อีกท้ังไม่ปรากฏว่าการบังคับตามคําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการข้างต้น
จะเป็นการฝ่าฝืนต่อบทกฎหมาย หรือกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของรัฐ เศรษฐกิจของประเทศ
หรือกระทบต่อความสงบสุขในสังคม กรณีจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
ของประชาชน (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๑๑๒๗/๒๕๕๘)

- คําวินิจฉัยของคณะอนุญาโตตุลาการท่ีชี้ขาดให้ผู้คัดค้านทั้งสองชดใช้
ค่าปรับและค่าเสียหายให้แก่ผู้ร้อง ถือเป็นดุลพินิจในการตัดสินของคณะอนุญาโตตุลาการ
หลังจากได้รับฟังช่ังน้ําหนักพยานหลักฐานท่ีผู้ร้องนําพยานมาเบิกความ นอกจากน้ี ประเด็นท่ี
คณะอนุญาโตตุลาการชี้ขาดคดีดังกล่าว ก็อยู่ในขอบเขตแห่งสัญญาอนุญาโตตุลาการท่ีคู่สัญญา
ได้ตกลงเลือกให้คณะอนุญาโตตุลาการเป็นผู้ช้ีขาด ทั้งคําชี้ขาดให้ผู้คัดค้านท้ังสองชดใช้เงินให้แก่ผู้ร้อง
ก็มิใช่เร่ืองเก่ียวกับการดําเนินงานตามสัญญาท่ีอาจกระทบต่อการจัดทําบริการสาธารณะหรือ
ประโยชน์ส่วนรวม หรือเกี่ยวกับความม่ันคงปลอดภัยของผู้ใช้บริการ จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
หรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชนตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม (๒) (ข) แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ แตอ่ ย่างใด (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๘๓/๒๕๕๙)

- เมื่อคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการเป็นเพียงประเด็นท่ีกระทบต่อสิทธิ
หน้าที่ของคู่สัญญาเท่านั้น การยอมรับหรือการบังคับตามคําช้ีขาดดังกล่าวจึงไม่เป็นการขัดต่อความสงบ
เรียบร้อยหรอื ศลี ธรรมอันดขี องประชาชน (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๑๔๒-๑๑๔๓/๒๕๖๐)

๓๒๖ รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

- เม่ือคณะอนุญาโตตุลาการได้กําหนดประเด็นข้อพิพาทว่า คู่พิพาท
ฝา่ ยใดเป็นฝ่ายผิดสัญญาและต้องรับผิดเพียงใด และต่อมาก็ได้วินิจฉัยตามประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวว่า
ผู้คัดค้านในฐานะผู้รับจ้างมิได้ดําเนินการตามสัญญา อันถือเป็นผู้ผิดสัญญา จึงต้องรับผิดต่อผู้ร้อง
เป็นค่าปรับพร้อมดอกเบ้ียตามสัญญา โดยไม่มีเหตุท่ีจะลดค่าปรับให้แก่ผู้คัดค้านแต่อย่างใด คําชี้ขาด
ของคณะอนุญาโตตุลาการดังกล่าวจึงอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการตามมาตรา ๔๓ (๔)
แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ และไม่มีเหตุที่ข้อพิพาทน้ีไม่สามารถจะระงับ
โดยการอนุญาโตตุลาการ หรือถ้ามีการบังคับตามคําช้ีขาดนี้จะเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือ
ศีลธรรมอันดีของประชาชนท่ีศาลจะทําคําส่ังปฏิเสธไม่รับบังคับตามคําชี้ขาดดังกล่าวตามมาตรา ๔๔
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน คําช้ีขาดของคณะอนุญาโตตุลาการข้างต้นจึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่ศาล
จะมีคําพพิ ากษาหรอื คําสั่งใหบ้ ังคับตามคําช้ขี าดได้ ในการน้ี ศาลไมอ่ าจพจิ ารณาลดค่าปรับซ่ึงมีลักษณะ
เป็นการแก้คําชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการท่ีอยู่ในขอบเขตของสัญญาอนุญาโตตุลาการได้
(คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๒๘๗/๒๕๖๐)

- เม่ือคณะอนุญาโตตุลาการได้ช้ีขาดว่า ผู้คัดค้านได้ทําการก่อสร้าง
ถูกต้องตามแบบในสัญญาแล้ว ผู้ร้องจึงต้องชําระเงินค่าจ้างแก่ผู้คัดค้านตามคําช้ีขาดดังกล่าว
ส่วนการงานท่ีผู้คัดค้านได้ทําไว้น้ัน แม้ผู้ร้องจะเห็นว่าอาจจะก่อให้เกิดอันตรายด้านความมั่นคงแข็งแรง
ของโครงสร้างอาคารที่จอดรถต่อผู้มาใช้บริการ ผู้ร้องก็ย่อมมีหน้าที่จะต้องดําเนินการใด ๆ เพ่ือความ
ปลอดภยั จากการใช้อาคารทจ่ี อดรถดงั กลา่ ว การทีผ่ ้รู ้องจะต้องยอมรบั เอาการงานที่ผู้คัดค้านได้ทําไปนั้น
หากจะมีผลต่อการจัดทําบริการสาธารณะของผู้ร้อง ผู้ร้องก็อาจหาตัวผู้รับผิดจากความบกพร่อง
ในการบริหารสัญญา การควบคุมงาน ให้ต้องรับผิดเพราะเหตุท่ีมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบ
ที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นว่า การที่คณะอนุญาโตตุลาการได้วินิจฉัยชี้ขาดให้ผู้ร้องต้องชําระเงินค่าจ้าง
ตามสัญญาแก่ผู้คัดค้านโดยปรับลดราคาค่าจ้างตามขนาดของเหล็กโครงสร้างพร้อมดอกเบ้ียในอัตรา
รอ้ ยละ ๗.๕ ตอ่ ปี จากตน้ เงนิ ทีป่ รับลดแลว้ นบั จากวนั ทไ่ี ดส้ ง่ มอบงานจนกว่าจะชําระเสร็จ การบังคับ
ตามคําชี้ขาดดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนตามมาตรา ๔๐
วรรคสาม (๒) (ข) แหง่ พระราชบัญญตั อิ นุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๔๔/๒๕๖๑)

บทสรุป

จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดท่ีตรวจสอบคําชี้ขาดของ
อนุญาโตตุลาการโดยอาศัยหลักความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน จะเห็นได้ว่า
โดยหลักแล้วศาลจะยอมรับหรือบังคับตามคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ โดยไม่เพิกถอนคําช้ีขาด
ดังกล่าว ทั้งนี้ ตามมาตรา ๔๑ และมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
เว้นแต่ในกรณที ปี่ รากฏชัดแจง้ วา่ คําชข้ี าดของอนุญาโตตุลาการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม
อนั ดขี องประชาชน ศาลจึงจะเพิกถอนคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ ทั้งนี้ ตามมาตรา ๔๐ วรรคสาม

รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๒๗

(๒) (ข) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว หรืออาจปฏิเสธการขอบังคับตามคําชี้ขาดนั้นตามมาตรา ๔๔
แหง่ พระราชบญั ญตั เิ ดยี วกนั

อย่างไรก็ตาม โดยท่ีในปัจจุบันยังไม่มีการกําหนดนิยามท่ีชัดเจนของคําว่า
“ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ศาลจึงพิจารณาข้อเท็จจริงในแต่ละคดีและ
พิพากษาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏเป็นรายกรณีไป แต่ทั้งนี้ ก็มีความพยายามในการกําหนด
ขอบเขตของหลักกฎหมายดังกล่าวในหลายคดี ท้ังที่เป็นความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของ
ประชาชนทางด้านสารบัญญัติ ซึ่งมุ่งไปท่ีบทบัญญัติแห่งกฎหมายท่ีเกี่ยวข้องกับประโยชน์สาธารณะ
หรือประชาชนโดยส่วนรวม บทบญั ญตั ิที่กระทบกระเทือนถึงความมนั่ คงของรฐั เศรษฐกิจของประเทศ
หรือกระทบต่อความสงบสุขในสังคม รวมถึงความม่ันคงปลอดภัยของผู้ใช้บริการ ดังปรากฏตาม
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๘/๒๕๕๕ ที่ อ.๑๐๕๔-๑๐๕๕/๒๕๕๘ ท่ี อ.๓๔๙/๒๕๔๙
ท่ี อ.๒๕๐๓/๒๕๕๒ ที่ อ.๒๕-๒๖/๒๕๕๙ และท่ี อ.๑๘๓/๒๕๕๙ เป็นต้น และที่เป็นความสงบ
เรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชนทางด้านวิธีสบัญญัติ เช่น ปัญหาเร่ืองอายุความในการ
ใช้สทิ ธิเรียกร้อง การพพิ ากษาเกินคําขอ ดังปรากฏตามคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๓๓/๒๕๖๐
และท่ี อ.๗๔๖-๗๔๗/๒๕๕๕ เป็นต้น ทําให้พอที่จะเห็นแนวทางการพิจารณาความหมายของคําว่า
“ความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน” ตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ
พ.ศ. ๒๕๔๕ วา่ มีความหมายและขอบเขตเพียงใด

อย่างไรก็ดี แม้บทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕
จะกําหนดไว้อย่างชัดเจนถึงกรณีที่ศาลจะมีอํานาจในการตรวจสอบคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ไม่ว่าจะเป็นกรณีตามมาตรา ๔๐ หรือกรณีตามมาตรา ๔๓ และมาตรา ๔๔ แห่งพระราชบัญญัติ
อนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕ แต่จากการศึกษาคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดโดยเฉพาะ
ในช่วงแรก ๆ พบว่า ศาลมักเข้าไปตรวจสอบคําช้ีขาดของอนุญาโตตุลาการ ซึ่งอาจรวมถึงการเข้าไป
ตรวจสอบการรับฟังและช่ังนํ้าหนักพยานหลักฐานของอนุญาโตตุลาการด้วยในบางกรณี ท้ังนี้
อาจเป็นเพราะโดยสภาพของข้อพิพาทเป็นเรื่องเกี่ยวกับสัญญาทางปกครองซึ่งเป็นข้อพิพาทระหว่างรัฐ
กับเอกชนที่มีผลกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ ทําให้ศาลจําเป็นต้องลงไปตรวจสอบว่าคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการมีแนวความคิดเบี่ยงเบนไปจากหลักที่มุ่งประโยชน์สาธารณะหรือประโยชน์
มหาชนหรือไม่ จากปัญหาดังกล่าวทําให้เกิดคําถามแก่ภาคเอกชนตามมาเช่นกันว่า จําเป็นหรือไม่
ที่จะต้องมีการอนุญาโตตุลาการในสัญญาทางปกครอง หากศาลเข้าไปตรวจสอบคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการโดยละเอียดซึ่งในบางกรณีรวมถึงดุลพินิจของอนุญาโตตุลาการด้วย อย่างไรก็ตาม
ปรากฏว่าคาํ วนิ ิจฉยั ของศาลปกครองสงู สุดในระยะหลัง ศาลมีความระมัดระวังในการเข้าไปตรวจสอบ
ดุลพินิจของคณะอนุญาโตตุลาการมากยิ่งขึ้น ดังจะเห็นได้จากคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๑๘๓/๒๕๕๙ ที่ อ.๑๒๘๗/๒๕๖๐ และที่ อ.๔๔/๒๕๖๑ เปน็ ต้น

๓๒๘ รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

บรรณานกุ รม

ธวัชชัย สุวรรณพานิช. คําอธิบายพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕. กรุงเทพฯ : นิติธรรม,
๒๕๕๗.

พัชรพล เตียวัฒนานนท์. รายงานการศึกษา เรื่อง คดีพิพาทเก่ียวกับการเพิกถอนคําชี้ขาด
ของอนุญาโตตุลาการท่ีน่าสนใจ : คดีโครงการทางด่วนสายบางนา-บางพลี-บางปะกง
(สายบางนา-ชลบรุ ี ในปจั จุบัน). ๒๕๖๑.

สรวิศ เริ่มสุกรี. รายงานการศึกษา เร่ือง เหตุในการเพิกถอนคําชี้ขาดของอนุญาโตตุลาการ
ในศาลยุติธรรม. ๒๕๖๑.

เสาวนีย์ อัศวโรจน์. รายงานวิจัย เร่ือง แนวทางการตีความของศาลภายใต้หลักความสงบเรียบร้อย
และศีลธรรมอันดีของประชาชนตามพระราชบัญญัติอนุญาโตตุลาการ พ.ศ. ๒๕๔๕.
๒๕๖๐.

______. ความรเู้ บือ้ งตน้ เกี่ยวกับการอนญุ าโตตลุ าการ. สถาบันอนุญาโตตุลาการ. ๒๕๕๘.

รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๒๙

คดีพพิ าทเก่ยี วกบั การบริหารงานบคุ คลภาครัฐ

เรือ่ งท่ี ๑๕ คดปี กครองเกี่ยวกบั การบรหิ ารงานบคุ คลภาครัฐ กรณคี าํ ส่งั ใหป้ ระจําสว่ นราชการ

บทนาํ

“ให้ข้าราชการพ้นจากตําแหน่ง... และให้ไปประจําส่วนราชการ...
โดยมีกําหนดเวลา... เดือน...” เป็นคําส่ังเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐกรณี “คําส่ัง
ให้ข้าราชการประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราว” โดยสํานักงาน ก.พ.๑ ได้ให้ความหมายไว้ว่า
“การประจําส่วนราชการ” หมายถึง การส่ังให้ข้าราชการพ้นจากตําแหน่งเดิมเป็นการชั่วคราว
เพ่ือไปประจํากระทรวง ทบวง กรม กอง หรือจังหวัด แล้วแต่กรณี โดยไม่ทําให้ขาดจากอัตรา
เงินเดอื นเดมิ และยังคงรบั เงนิ เดอื นตามอตั ราเดิม

คําสั่งให้ข้าราชการประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราว เป็นการออกคําส่ังเพ่ีอให้
รอกระบวนการหรือการดําเนินการอย่างหน่ึงอย่างใดเก่ียวกับข้าราชการผู้รับคําส่ัง โดยมีกําหนด
ระยะเวลาท่ีแน่นอน โดยท่ัวไปกําหนดไว้ไม่เกิน ๖ เดือน และอาจขยายเวลาได้ในกรณีที่มีเหตุผล
ความจําเป็นเป็นพิเศษ แต่เมื่อรวมกับกําหนดเวลาส่ังครั้งแรกต้องไม่เกิน ๑ ปี ๖ เดือน นับแต่วันท่ี
ถูกสั่งในคร้ังแรก๒ ซึ่งการออกคําสั่งในลักษณะน้ีทําให้ข้าราชการผู้รับคําส่ังเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับตน
เนื่องจากเป็นการลดบทบาทอํานาจหน้าท่ี เสื่อมเสียช่ือเสียง และเสียสิทธิประโยชน์บางประการ

 พจนีย์ แดนประเทือง ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๑
ประจาํ วันท่ี ๓๐ มนี าคม ๒๕๖๑

๑ สาํ นักงาน ก.พ. : ค่มู อื ปฏบิ ัติงานบุคคล วา่ ด้วยการแตง่ ตงั้ การประจําส่วนราชการ การให้ได้รับเงินเดือน
ในอัตรากําลังทดแทน การพักราชการ การให้ออกจากราชการไวก้ ่อน, ๒๕๔๘

๒ กฎ ก.พ. ว่าดว้ ยการส่งั ข้าราชการพลเรอื นสามัญใหป้ ระจาํ ส่วนราชการเป็นการชวั่ คราว พ.ศ. ๒๕๕๔
ข้อ ๔ การส่ังข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจํากระทรวง ประจํากรม หรือประจําจังหวัด แล้วแต่กรณี
ให้ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ สั่งได้เป็นเวลาไม่เกินหกเดือนนับแต่วันท่ีผู้นั้นถูกส่ัง เว้นแต่การสั่งตามข้อ ๒ (๗)
ใหส้ ่ังได้ไม่เกนิ กําหนดเวลาท่ไี ด้รับอนมุ ตั จิ าก ก.พ. แต่ต้องไมเ่ กินหกเดือนนบั แต่วันทีผ่ ู้น้นั ถูกสัง่
เมื่อมีการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดให้ประจํากระทรวง ประจํากรม หรือประจําจังหวัดแล้ว
และผู้มีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ เห็นว่ายังมีเหตุผลความจําเป็นเป็นพิเศษท่ีจะต้องให้ผู้น้ันประจํากระทรวง
ประจํากรม หรือประจําจังหวัด แล้วแต่กรณี ต่อไปเกินกําหนดเวลาตามวรรคหน่ึง ให้ขออนุมัติขยายเวลาต่อ อ.ก.พ.
กระทรวง หรือ ก.พ. แล้วแต่กรณีได้อีก แต่กําหนดเวลาท่ีขอขยายนั้น เมื่อรวมกับกําหนดเวลาตามวรรคหนึ่งแล้ว
ต้องไม่เกินหน่ึงปีหกเดือนนับแต่วันที่ผู้น้ันถูกสั่งให้ประจํากระทรวง ประจํากรม หรือประจําจังหวัด แล้วแต่กรณี
ท้งั นี้ ใหข้ อขยายเวลาก่อนวันครบกาํ หนดเวลาเดมิ ไม่น้อยกว่าสามสบิ วัน

ฯลฯ ฯลฯ

๓๓๐ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ท่ีเคยได้รับ เน่ืองจากคําส่ังให้ประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราวที่มีลักษณะเป็นคําส่ังทางปกครอง๓
ข้าราชการผู้ถูกส่ังให้ประจําส่วนราชการจึงอาจนํามาฟ้องเป็นคดีพิพาทต่อศาลปกครองได้ ผู้เขียน
จึงขอเสนอคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในคดีปกครองเก่ียวกับการบริหารงานบุคคลภาครัฐ
กรณีคําส่ังให้ประจําส่วนราชการของข้าราชการสังกัดหน่วยงานต่าง ๆ ท้ังนี้ เพ่ือให้เห็นถึงการ
พิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคําส่ังดังกล่าวที่ศาลปกครองสูงสุดได้วางเป็นแนวทาง
ไวใ้ นบทความฉบบั น้ี

๑. หลกั เกณฑ์และวิธีการออกคําสัง่ ให้ประจําสว่ นราชการ

การออกคําส่ังให้ประจําส่วนราชการนั้น ในปัจจุบันพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ มาตรา ๖๙๔ กําหนดให้ กรณีที่มีเหตุผลความจําเป็น ผู้บังคับบัญชา
ผู้มีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน มีอํานาจสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญ
ให้ประจําส่วนราชการเป็นการช่ัวคราวโดยให้พ้นจากตําแหน่งหน้าที่เดิมได้ตามที่กําหนดในกฎ ก.พ.
วา่ ด้วยการส่ังขา้ ราชการพลเรือนสามัญให้ประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราว พ.ศ. ๒๕๕๔ ส่วนกรณี
ข้าราชการประเภทอื่น ต้องพิจารณาตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยข้าราชการประเภทนั้น ๆ
ซ่ึงหลักเกณฑ์และวิธีการในการออกคําส่ังยังคงมีหลักการเดียวกับกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการ
พลเรอื นสามญั เช่น กรณขี า้ ราชการครูและบุคลากรทางการศกึ ษา เปน็ การออกคําสัง่ ตามมาตรา ๗๐๕
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับ
กฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการสั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจําส่วนราชการ
หรือสาํ นกั งานเขตพ้ืนทีก่ ารศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐๖ เป็นต้น

๓ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๐๖/๒๕๕๑
๔ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๖๙ ในกรณีท่ีมีเหตุผลความจําเป็น ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ มีอํานาจ
สง่ั ขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ใหป้ ระจาํ ส่วนราชการเปน็ การชั่วคราวโดยให้พ้นจากตําแหน่งหน้าที่เดิมได้ตามที่กําหนด
ในกฎ ก.พ.
การให้ได้รับเงินเดือน การแต่งต้ัง การเล่ือนเงินเดือน การดําเนินการทางวินัย และการออกจากราชการ
ของขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ตามวรรคหนึ่ง ใหเ้ ปน็ ไปตามทกี่ าํ หนดในกฎ ก.พ.
๕ พระราชบญั ญตั ิระเบียบขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๗๐ ในกรณีท่ีมีเหตุผลความจําเป็นหัวหน้าส่วนราชการหรือผู้อํานวยการสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษา มีอํานาจสั่งให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจําส่วนราชการ หรือสํานักงานเขตพ้ืนที่
การศึกษา แล้วแต่กรณี เป็นการชั่วคราว โดยให้พ้นจากตําแหน่งหน้าท่ีเดิมได้ ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกําหนด
ในกฎ ก.ค.ศ.
การให้ได้รับเงินเดือน การแต่งตั้ง การเลื่อนเงินเดือน การดําเนินการทางวินัยและการออกจากราชการ
ของขา้ ราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษาตามวรรคหนงึ่ ใหเ้ ป็นไปตามหลักเกณฑแ์ ละวิธีการทก่ี ําหนดในกฎ ก.ค.ศ.
๖ ราชกิจานเุ บกษา เลม่ ที่ ๑๒๔ ตอนท่ี ๑๐๑ ก หน้า ๓๕ วนั ท่ี ๒๙ ธนั วาคม ๒๕๕๐

รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๓๑

สําหรับคําสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญประจําส่วนราชการ ผู้มีอํานาจส่ังบรรจุ
มีอํานาจออกคําสั่งให้ประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราวโดยให้พ้นจากตําแหน่งหน้าท่ีเดิมได้
กรณีที่มเี หตผุ ลความจาํ เปน็ ดงั ตอ่ ไปน๗้ี

(๑) เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่า
กระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทําความผิดอาญา เว้นแต่
เป็นความผิดที่ได้กระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือกรณีที่ถูกฟ้องน้ัน พนักงานอัยการ
รับเป็นทนายแก้ต่างให้และถ้าให้ผู้น้ันคงอยู่ในตําแหน่งหน้าท่ีเดิมต่อไปจะเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวน
สอบสวน หรืออาจเกดิ ความเสยี หายแกร่ าชการ

(๒) เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทําหรือละเว้นกระทําการใด จนต้อง
คําพิพากษาถึงท่ีสุดว่าเป็นผู้กระทําความผิดอาญา และผู้มีอํานาจดังกล่าวพิจารณาเห็นว่าข้อเท็จจริง
ที่ปรากฏตามคําพิพากษาถึงท่ีสุดน้ันได้ความประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าการกระทําหรือละเว้นกระทําการ
นั้นเป็นความผิดวนิ ัยอย่างร้ายแรง

(๓) เม่ือขา้ ราชการพลเรือนสามัญละทิ้งหรือทอดท้ิงหน้าท่ีราชการ และผู้บังคับบัญชา
ได้ดําเนินการสืบสวนแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุผลอันสมควร และการละท้ิงหรือทอดทิ้งหน้าที่ราชการนั้น
เปน็ เหตใุ หเ้ สียหายแกร่ าชการอย่างรา้ ยแรง

(๔) เม่ือข้าราชการพลเรือนสามัญกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง และได้รับสารภาพ
เป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชา หรือให้ถ้อยคํารับสารภาพต่อผู้มีหน้าท่ีสืบสวนหรือคณะกรรมการ
สอบสวนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน และได้มีการบันทึกถ้อยคํารับสารภาพ
เปน็ หนังสอื

(๕) เม่ือข้าราชการพลเรือนสามัญมีกรณีถูกสอบสวนเพราะหย่อนความสามารถ
ในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าที่ราชการ บกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตําแหน่ง
หน้าที่ราชการ ถ้าให้ผู้นั้นอยู่ในราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการตามมาตรา ๑๑๐ (๖)๘
แห่งพระราชบญั ญัติระเบียบขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑

๗ ข้อ ๒ ของกฎ ก.พ. ว่าด้วยการสั่งข้าราชการพลเรือนสามัญให้ประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราว
พ.ศ. ๒๕๕๔

๘ พระราชบัญญตั ริ ะเบยี บข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑
มาตรา ๑๑๐ ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๗ มีอํานาจส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ

ออกจากราชการเพ่ือรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทนตามกฎหมายว่าด้วยบําเหน็จบํานาญข้าราชการได้ในกรณี
ดังต่อไปน้ี

ฯลฯ ฯลฯ
(๖) เม่ือข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดหย่อนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าที่ราชการบกพร่อง
ในหนา้ ทีร่ าชการ หรอื ประพฤติตนไมเ่ หมาะสมกบั ตําแหนง่ หน้าทรี่ าชการ ถ้าใหผ้ นู้ ั้นรบั ราชการต่อไปจะเป็นการเสียหาย
แก่ราชการ

ฯลฯ ฯลฯ

๓๓๒ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

(๖) เมื่อข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดํารงตําแหน่งใดมีกรณีถูกกล่าวหาหรือมีกรณี
เป็นที่สงสัยว่ามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมท่ีจะปฏิบัติหน้าที่ราชการในตําแหน่งน้ัน ซึ่งผู้บังคับบัญชา
ได้สืบสวนแล้วเห็นว่ากรณีมีมูล และถ้าให้ผู้น้ันคงอยู่ในตําแหน่งเดิมต่อไป อาจเกิดความเสียหาย
แกร่ าชการ

(๗) กรณีอ่ืนที่มีเหตุผลความจําเป็นพิเศษเพ่ือประโยชน์แก่ราชการโดยได้รับอนุมัติ
จาก ก.พ. โดยแสดงรายละเอียด คําช้ีแจงเหตุผลความจําเป็นพิเศษเพ่ือประโยชน์แก่ราชการ
และระยะเวลาที่จะสั่งให้ประจํา รวมทั้งหน้าที่และความรับผิดชอบในการปฏิบัติราชการที่จะมอบหมาย
แก่ผถู้ กู สัง่ ใหป้ ระจําส่วนราชการน้นั เสนอ ก.พ. พิจารณาดว้ ย

หมายเหตุ เดิม หลักเกณฑ์และวิธีการในการออกคําสั่งให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ประจําส่วนราชการเป็นการช่ัวคราว น้ัน กําหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๖๙ วรรคหน่ึง๙ ประกอบกับกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าด้วยการส่ังข้าราชการพลเรือนสามัญ
ให้ประจาํ กระทรวง ประจําทบวง ประจํากรม ประจํากอง หรือประจําจังหวัด นอกจากน้ี กรณียังต้อง
นํากฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๒ (พ.ศ. ๒๕๓๙) ออกตามความในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าด้วยกรณีหยอ่ นความสามารถในอนั ทจ่ี ะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ บกพร่องในหน้าท่ีราชการ
หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่ราชการ ท่ีปรากฏชัดแจ้ง และหนังสือสํานักงาน ก.พ.
ที่ นร ๐๗๐๙.๒/ว ๑๕ ลงวนั ท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๔๒ เร่ืองการขอขยายเวลาให้ข้าราชการพลเรือนสามัญ
ประจํากระทรวง ประจาํ ทบวง ประจํากรม ประจาํ กอง หรือประจําจังหวัด มาพิจารณาในการออกคําส่ัง
ให้ประจําสว่ นราชการดว้ ย

๒. การพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งให้ประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราว
จากคําวนิ จิ ฉัยของศาลปกครอง

คําส่ังให้ประจําส่วนราชการเป็นการช่ัวคราวที่มีลักษณะเป็นคําสั่งทางปกครอง๑๐
ตามนัยมาตรา ๕๑๑ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ข้าราชการ

๙ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๙ ในกรณีท่ีมีเหตุผลความจําเป็น ผู้มีอํานาจส่ังบรรจุตามมาตรา ๕๒ มีอํานาจส่ังข้าราชการพลเรือน
สามัญให้ประจํากระทรวง ประจําทบวง ประจํากรม ประจํากองหรือประจําจังหวัด แล้วแต่กรณี เป็นการช่ัวคราว
โดยใหพ้ น้ จากตาํ แหนง่ หนา้ ทเ่ี ดมิ ได้ตามหลักเกณฑ์และวธิ ีการทก่ี ําหนดในกฎ ก.พ.

ฯลฯ ฯลฯ
๑๐ อา้ งแล้ว, เชิงอรรถที่ ๓ หน้า ๓๓๐
๑๑ พระราชบัญญตั ิวิธปี ฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

มาตรา ๕ ในพระราชบญั ญตั ินี้
“คาํ สัง่ ทางปกครอง” หมายความวา่

รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๓๓

ผู้รับคําสั่งสามารถนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองได้ หากเห็นว่าคําส่ังน้ันไม่ชอบด้วยกฎหมายและ
ตนไดร้ บั ความเดือดร้อนเสียหายจากคําสั่งดังกล่าว ทั้งนี้ ต้องดําเนินการแก้ไขเยียวยาความเดือดร้อน
หรอื เสยี หายด้วยการรอ้ งทกุ ข์กอ่ นนาํ คดีมาฟอ้ งต่อศาล๑๒

สําหรับการพิจารณาว่าคําสั่งให้ข้าราชการประจําส่วนราชการเป็นการช่ัวคราว
ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่น้ัน ผู้เขียนได้แบ่งข้อพิจารณาตามแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด
ดงั ตอ่ ไปน้ี

๒.๑ ผู้มีอํานาจออกคําส่ัง การออกคําส่ังให้ข้าราชการพลเรือนสามัญประจํา
ส่วนราชการเป็นการช่ัวคราวน้ัน ผู้มีอํานาจในการออกคําส่ัง คือ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจสั่งบรรจุ
ตามกฎหมายว่าด้วยข้าราชการประเภทนั้น ๆ เช่น กรณีข้าราชการพลเรือนสามัญผู้มีอํานาจส่ังบรรจุ
ได้แก่ ผู้บังคับบัญชาตามมาตรา ๕๗๑๓ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑

(๑) การใชอ้ ํานาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าทีท่ ีม่ ผี ลเป็นการสรา้ งนติ สิ มั พนั ธข์ น้ึ ระหวา่ งบุคคลในอันทจ่ี ะกอ่
เปล่ียนแปลง โอน สงวน ระงับ หรือมีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหรือหน้าที่ของบุคคล ไม่ว่าจะเป็นการถาวร
หรือชั่วคราว เช่น การสั่งการ การอนุญาต การอนุมัติ การวินิจฉัยอุทธรณ์ การรับรอง และการรับจดทะเบียน
แต่ไมห่ มายความรวมถงึ การออกกฎ

(๒) การอ่นื ที่กําหนดในกฎกระทรวง
๑๒ ขา้ ราชการพลเรอื นสามญั ตามพระราชบญั ญัติระเบียบขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๕๑ ใช้สิทธิร้องทุกข์
ตามกฎ ก.พ.ค. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๕๑ ข้าราชการประเภทอ่ืน
ใช้สิทธิอุทธรณ์หรอื ร้องทกุ ขต์ ามกฎหมายวา่ ด้วยข้าราชการนั้น ๆ
๑๓ พระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บขา้ ราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๕๑

มาตรา ๕๗ การบรรจบุ ุคคลเขา้ รับราชการเป็นขา้ ราชการพลเรือนสามัญ และการแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่ง
ตามมาตรา ๕๓ มาตรา ๕๕ มาตรา ๕๖ มาตรา ๖๓ มาตรา ๖๔ มาตรา ๖๕ และมาตรา ๖๖ ให้ผู้มีอํานาจดังต่อไปน้ี
เปน็ ผ้สู ่ังบรรจแุ ละแตง่ ตั้ง

(๑) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูงตําแหน่งหัวหน้าส่วนราชการระดับ
กระทรวง หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมท่ีอยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการข้ึนตรงต่อ
นายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดนําเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อพิจารณาอนุมัติ
เมือ่ ไดร้ บั อนมุ ัติจากคณะรฐั มนตรีแลว้ ใหร้ ัฐมนตรเี จา้ สังกัดเป็นผู้ส่ังบรรจุ และให้นายกรัฐมนตรีนําความกราบบังคมทูล
เพ่ือทรงพระกรณุ าโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

(๒) การบรรจุและแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูงตําแหน่งรองหัวหน้าส่วนราชการ
ระดับกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการระดับกรม รองหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบ
การปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี หรือตําแหน่งอ่ืนท่ี ก.พ. กําหนด
เป็นตําแหน่งประเภทบริหารระดับสูง ให้ปลัดกระทรวงผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมท่ีอยู่
ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี
เสนอรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อนําเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาอนุมัติ เม่ือได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว
ให้ปลัดกระทรวงผู้บังคับบัญชา หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมดังกล่าวเป็นผู้สั่งบรรจุ และให้นายกรัฐมนตรี
นําความกราบบังคมทลู เพ่ือทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ต้งั

๓๓๔ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

กรณีผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘๑๔ ซึ่งมาตรา ๘ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว กําหนดให้

(๓) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทบริหารระดับต้น ให้ปลัดกระทรวงผู้บังคับบัญชา
หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี
หรือต่อรฐั มนตรี แล้วแต่กรณี เป็นผมู้ ีอาํ นาจส่ังบรรจแุ ละแตง่ ตงั้

(๔) การบรรจแุ ละแตง่ ตัง้ ใหด้ ํารงตําแหน่งประเภทอาํ นวยการ ประเภทวชิ าการ ระดบั ปฏิบตั ิการ ชํานาญการ
ชํานาญการพิเศษ และเช่ียวชาญ และประเภทท่ัวไปในสํานักงานรัฐมนตรี ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นผู้มีอํานาจ
สงั่ บรรจแุ ละแตง่ ตัง้

(๕) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับสูง ให้ปลัดกระทรวงผู้บังคับบัญชา
หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการข้ึนตรงต่อนายกรัฐมนตรี
หรอื ตอ่ รฐั มนตรี แลว้ แตก่ รณี เป็นผ้มู ีอํานาจส่ังบรรจุและแตง่ ต้ัง

(๖) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้น ให้อธิบดีผู้บังคับบัญชา
เป็นผู้มีอํานาจส่ังบรรจุและแต่งตั้งเมื่อได้รับความเห็นชอบจากปลัดกระทรวง ส่วนการบรรจุและแต่งต้ัง
ให้ดํารงตําแหน่งประเภทอํานวยการระดับต้นในส่วนราชการระดับกรมที่หัวหน้าส่วนราชการอยู่ในบังคับบัญชา
หรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการข้ึนตรงต่อนายกรัฐมนตรี หรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณีให้อธิบดีผู้บังคับบัญชา
เป็นผมู้ ีอาํ นาจสัง่ บรรจแุ ละแต่งต้ัง

(๗) การบรรจุและแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับทรงคุณวุฒิ ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัด
นาํ เสนอคณะรัฐมนตรีเพ่ือพิจารณาอนุมัติ เมื่อได้รับอนุมัติจากคณะรัฐมนตรีแล้ว ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดเป็นผู้ส่ังบรรจุ
และให้นายกรฐั มนตรีนําความกราบบังคมทลู เพ่อื ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ แตง่ ต้งั

(๘) การบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับเชี่ยวชาญ ให้ปลัดกระทรวง
หรือหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมท่ีอยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบการปฏิบัติราชการข้ึนตรงต่อนายกรัฐมนตรี
หรอื ตอ่ รฐั มนตรี แลว้ แตก่ รณี เปน็ ผู้มอี ํานาจสง่ั บรรจแุ ละแต่งตั้ง

(๙) การบรรจุและแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ และตําแหน่ง
ประเภททั่วไประดับทักษะพิเศษ ให้อธิบดีผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มีอํานาจสั่งบรรจุและแต่งตั้ง เม่ือได้รับความเห็นชอบ
จากปลัดกระทรวง ส่วนการบรรจุและแต่งตั้งให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการระดับชํานาญการพิเศษ และตําแหน่ง
ประเภทท่ัวไประดับทักษะพิเศษในส่วนราชการระดับกรมท่ีหัวหน้าส่วนราชการอยู่ในบังคับบัญชาหรือรับผิดชอบ
การปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี แล้วแต่กรณี ให้อธิบดีผู้บังคับบัญชา เป็นผู้มีอํานาจ
สัง่ บรรจแุ ละแต่งตง้ั

(๑๐) การบรรจุและแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่งประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ชํานาญการตําแหน่ง
ประเภทท่ัวไป ระดับปฏิบัติงาน ชํานาญงาน และอาวุโส ให้อธิบดีผู้บังคับบัญชา หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากอธิบดี
ผบู้ ังคบั บญั ชา เปน็ ผ้มู ีอํานาจสง่ั บรรจุและแตง่ ต้งั

(๑๑) การบรรจุและแต่งต้ังตามมาตรา ๕๓ และการย้ายตามมาตรา ๖๓ ให้ดํารงตําแหน่งตาม (๙)
ซ่ึงไม่ใช่ตําแหน่งประเภทท่ัวไป ระดับทักษะพิเศษ และตําแหน่งตาม (๑๐) ในราชการบริหารส่วนภูมิภาค
ใหผ้ ูว้ า่ ราชการจงั หวดั ผบู้ งั คบั บัญชา เปน็ ผู้มอี ํานาจส่ังบรรจแุ ละแตง่ ต้งั

ในการเสนอเพื่อแต่งต้ังข้าราชการพลเรือนสามัญให้ดํารงตําแหน่ง ให้รายงานความสมควรพร้อมท้ัง
เหตุผลตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารท่ี ก.พ. กําหนดไปดว้ ย

๑๔ ถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการกรุงเทพมหานครและบุคลากรกรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๕๔
ปัจจุบันผูม้ ีอาํ นาจบรรจแุ ต่งตั้ง ได้แก่ ผู้บังคับบญั ชาตามมาตรา ๕๒ มาตรา ๕๓ และมาตรา ๕๔ แลว้ แตก่ รณี

รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๓๕

นาํ กฎหมายว่าด้วยระเบยี บข้าราชการพลเรือนมาใช้บังคับแก่ข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญโดยอนุโลม
ดังนั้น การออกคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีประจํากองตามกฎ ก.พ. ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ว่าด้วยการส่ังข้าราชการพลเรือนสามัญ
ให้ประจํากระทรวง ประจําทบวง ประจํากรม ประจํากอง หรือประจําจังหวัด ผู้ที่จะมีอํานาจออกคําสั่ง
ดังกล่าวได้ จะต้องเป็นผู้มีอํานาจสั่งบรรจุตามมาตรา ๒๘ (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘๑๕ หรือกรณีผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล
ถูกตัง้ กรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง นายกเทศมนตรีในฐานะผู้บังคับบัญชาของพนักงานเทศบาล
จึงมีอํานาจออกคําสั่งให้ประจําองค์การบริหารส่วนตําบลเป็นการชั่วคราวได้โดยความเห็นชอบ
ของ ก.อบต. จังหวัด ท้ังน้ี ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัดชุมพร เร่ือง
หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตําบล๑๖ ในกรณีมีมูลว่า
ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัดผู้ดํารงตําแหน่งใดมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ
ในตําแหน่งน้ัน และผู้บังคับบัญชาได้ทําการสืบสวนโดยวิธีการตามที่เห็นเป็นการสมควรแล้วเห็นว่า
ถา้ ใหผ้ ูน้ ัน้ คงอยู่ในตาํ แหนง่ เดิมต่อไป อาจเกดิ ความเสียหายแกร่ าชการ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
ในฐานะผู้บังคับบัญชาข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีอํานาจส่ังให้ข้าราชการองค์การบริหาร
สว่ นจังหวดั ผนู้ ัน้ ไปประจําองคก์ ารบรหิ ารส่วนจงั หวดั เปน็ การชว่ั คราว โดยใหพ้ ้นจากตําแหน่งหน้าที่เดิมได้
เป็นเวลาไม่เกินหกเดือน โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด
และหากเห็นว่ายงั มีเหตุผลความจาํ เปน็ เปน็ พเิ ศษทจ่ี ะต้องสัง่ ให้ผูน้ ้นั ประจําองคก์ ารบริหารสว่ นจังหวัด
ต่อไปอีก นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดก็มีอํานาจขอความเห็นชอบต่อคณะกรรมการข้าราชการ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกินหนึ่งปีตามนัยมาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง๑๗
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับข้อ ๒๕๑ (๗)
ข้อ ๒๕๒ (๑) (๒) และข้อ ๒๕๓ วรรคหน่ึง และวรรคสอง ของประกาศคณะกรรมการข้าราชการ
องค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดอํานาจเจริญ เร่ือง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงาน
บคุ คลขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ลงวนั ที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๕๑๘

๑๕ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๙๗/๒๕๕๔
๑๖ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๑๐๖/๒๕๕๑
๑๗ พระราชบญั ญัตริ ะเบียบบริหารงานบุคคลส่วนทอ้ งถนิ่ พ.ศ. ๒๕๔๒

มาตรา ๑๕ การออกคําสั่งเกี่ยวกับการบรรจุและแต่งต้ัง การย้าย การโอน การรับโอน การเล่ือนระดับ
การเล่ือนข้ันเงินเดือน การสอบสวน การลงโทษทางวินัย การให้ออกจากราชการ การอุทธรณ์ และการร้องทุกข์
หรอื การอน่ื ใดทเี่ กีย่ วกบั การบริหารงานบุคคล ให้เปน็ อํานาจของนายกองค์การบรหิ ารสว่ นจังหวัด ท้ังนี้ ตามหลักเกณฑ์
ท่ีคณะกรรมการขา้ ราชการองคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวัดกําหนด แต่สาํ หรบั การออกคําส่ังแต่งตงั้ และการใหข้ ้าราชการ
องค์การบริหารส่วนจังหวัดพ้นจากตําแหน่ง ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหาร
ส่วนจังหวดั กอ่ น

ฯลฯ ฯลฯ
๑๘ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๙๑๘/๒๕๕๙ และที่ อ.๙๑๖/๒๕๖๐

๓๓๖ รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

นอกจากผู้ออกคําส่ังต้องเป็นผู้มีอํานาจตามกฎหมายแล้ว คําส่ังให้ประจํา
ส่วนราชการเป็นการชั่วคราวต้องไม่เกินระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนดด้วย เช่น กรณีผู้ฟ้องคดี
เป็นข้าราชการครูได้รับคําสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สํานักงานเขตพื้นที่การศึกษานครนายก
เป็นการชั่วคราว เป็นการออกคําส่ังให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไปประจําเขตพ้ืนที่
การศึกษาเป็นการช่ัวคราว ซ่ึงเป็นอํานาจหน้าที่ของผู้อํานวยการสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษา
ที่สามารถออกคําสั่งได้ตามมาตรา ๗๐ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ทั้งน้ี ตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกําหนดในกฎ ก.ค.ศ. แต่การสั่ง
ให้ประจําสํานักงานเขตพื้นท่ีการศึกษาดังกล่าว ผู้บังคับบัญชามีอํานาจสั่งได้เป็นเวลาไม่เกินหกเดือน
เท่านั้น หากจะสั่งไปประจําสํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาเกินกว่าหกเดือน จะต้องได้รับอนุมัติ
จาก ก.ค.ศ. ก่อน ด้วยเหตุนี้ การออกคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติงานเป็นเวลาประมาณแปดเดือน
โดยไม่ปรากฏว่าได้มีการเสนอขออนุมัติขยายระยะเวลาการออกคําส่ังดังกล่าวต่อ ก.ค.ศ. จึงเป็น
การออกคาํ ส่งั ที่เกินอํานาจและไม่ชอบดว้ ยกฎหมาย อันเปน็ การกระทาํ ละเมิดตอ่ ผ้ฟู ้องคดี๑๙

๒.๒ กระบวนการในการออกคําสั่ง การพิจารณาว่าคําส่ังให้ประจําส่วนราชการ
ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่น้ัน จะต้องพิจารณาด้วยว่า ผู้มีอํานาจออกคําสั่งได้ดําเนินการตามหลักเกณฑ์
และวิธีการทก่ี ฎหมายเฉพาะกําหนดไว้หรือไม่ หรือกรณีท่ีกฎหมายเฉพาะมิได้กําหนดไว้ การพิจารณา
เพื่อออกคําส่ังทางปกครองน้ันได้ดําเนินการภายใต้หลักการประกันความเป็นธรรมแก่ข้าราชการ
ผู้รบั คาํ สง่ั ตามกฎหมายวา่ ด้วยวธิ ปี ฏบิ ัติราชการทางปกครองหรอื ไม่

ศาลปกครองสูงสุดได้มีคําวินิจฉัยเกี่ยวกับการดําเนินการตามมาตรา ๓๐๒๐
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีผู้ฟ้องคดีซึ่งดํารงตําแหน่ง
ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบลฟ้องว่า คําสั่งให้ประจําองค์การบริหารส่วนตําบลเป็นการช่ัวคราว

๑๙ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๔๔๔/๒๕๕๘
๒๐ พระราชบญั ญัติวธิ ปี ฏิบัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙

มาตรา ๓๐ ในกรณีที่คําสั่งทางปกครองอาจกระทบถึงสิทธิของคู่กรณี เจ้าหน้าที่ต้องให้คู่กรณี มีโอกาส
ท่จี ะไดท้ ราบขอ้ เท็จจริงอย่างเพยี งพอและมโี อกาสไดโ้ ตแ้ ยง้ และแสดงพยานหลักฐานของตน

ความในวรรคหนง่ึ มิให้นํามาใชบ้ ังคบั ในกรณดี งั ต่อไปน้ี เวน้ แต่เจา้ หนา้ ทจ่ี ะเหน็ สมควรปฏบิ ตั เิ ปน็ อยา่ งอนื่
(๑) เม่ือมีความจาํ เป็นรีบด่วนหากปลอ่ ยให้เน่ินช้าไปจะก่อให้เกิดความเสียหายอย่างร้ายแรงแก่ผู้หนึ่งผู้ใด
หรือจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
(๒) เมื่อจะมีผลทําให้ระยะเวลาท่ีกฎหมายหรือกฎกําหนดไว้ในการทําคําส่ังทางปกครองต้องล่าช้า
ออกไป
(๓) เม่อื เปน็ ข้อเท็จจรงิ ท่คี ู่กรณนี นั้ เองได้ใหไ้ ว้ในคําขอ คาํ ใหก้ ารหรือคาํ แถลง
(๔) เม่อื โดยสภาพเหน็ ได้ชดั ในตวั ว่าการให้โอกาสดงั กล่าวไม่อาจกระทาํ ได้
(๕) เม่ือเป็นมาตรการบังคบั ทางปกครอง
(๖) กรณีอนื่ ตามท่ีกาํ หนดในกฎกระทรวง
ห้ามมิใหเ้ จ้าหนา้ ทใ่ี ห้โอกาสตามวรรคหน่งึ ถา้ จะก่อใหเ้ กิดผลเสยี หายอย่างร้ายแรงตอ่ ประโยชนส์ าธารณะ

รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๓๗

เป็นเวลา ๖ เดือน และคําสั่งขยายระยะเวลาการสั่งให้ประจําองค์การบริหารส่วนตําบลเป็นการชั่วคราว
ออกไปอีกเป็นระยะเวลา ๓ เดือน กรณีผู้ฟ้องคดีถูกต้ังกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงเป็นคําส่ัง
ที่ไม่ชอบนั้น คําส่ังดังกล่าวเป็นคําสั่งทางปกครองกรณีการส่ังพักงานตามมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๖)
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๒
(พ.ศ. ๒๕๔๐)ฯ จึงไม่จําต้องให้ผู้ฟ้องคดีมีโอกาสได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและมีโอกาส
ได้โต้แย้งและแสดงพยานหลักฐานของตน๒๑

อย่างไรก็ตาม ในคดีพิพาทเกี่ยวกับคําส่ังให้ประจําส่วนราชการ ได้มีคําพิพากษา
ของศาลปกครองสูงสุด๒๒ วินิจฉัยไว้แตกต่างจากคําวินิจฉัยข้างต้น โดยวินิจฉัยว่า ตาม (๑)
ของกฎกระทรวงฉบับที่ ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความในพระราชบัญญตั ิวิธปี ฏิบตั ิราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ กําหนดให้คําส่ังทางปกครอง คือ การบรรจุ การแต่งตั้ง การเลื่อนขั้นเงินเดือน การสั่งพักงาน
หรือส่ังให้ออกจากงานไว้ก่อน หรือการให้พ้นจากตําแหน่ง เป็นคําสั่งทางปกครองซ่ึงมิให้ใช้บังคับ
ตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว คําส่ังที่ให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพนักงานเทศบาล
ไปประจําสํานกั งานเลขานุการคณะกรรมการพนักงานเทศบาลจังหวัด มีกําหนด ๖ เดือน น้ัน เป็นคําส่ัง
ให้ไปประจําสํานักงานซ่ึงไม่ใช่หน่วยงานในสังกัดตามหนังสือสํานักงาน ก.ท. ท่ี มท ๐๘๐๙.๑/ว๑๔๒
ลงวันท่ี ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๖ กรณีเห็นว่าหากยังให้พนักงานเทศบาลผู้ใดปฏิบัติหน้าที่ต่อไปจะเกิด
ความเสียหายต่อราชการและเป็นอันตรายต่อพนักงานเทศบาลผู้น้ัน แม้หนังสือดังกล่าวจะมีนัย
เป็นการคุ้มครองประโยชน์ทางราชการ แต่มีจุดมุ่งหมายเป็นสําคัญให้คุ้มครองความปลอดภัย
ของพนักงานเทศบาลผู้นั้น คําส่ังดังกล่าวมิได้เป็นการบรรจุ หรือการย้าย หรือเล่ือนระดับให้ดํารง
ตําแหน่งในระดับสูงข้ึน หรือการอ่ืน อันมีลักษณะเป็นการดําเนินการแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่ง
ประจําท่ีได้มีการกําหนดขึ้นหรือรวมอยู่ในแผนอัตรากําลัง การส่ังให้ไปประจําในคดีน้ีจึงมิใช่เป็น
คําสั่งแต่งตั้งตาม (๑) ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๒ (พ.ศ. ๒๕๔๐)ฯ รวมถึงการพ้นจากตําแหน่ง
ตามกฎกระทรวงดังกล่าว นอกจากนี้ หากการออกคําส่ังดังกล่าวเป็นไปเพื่อคุ้มครองความปลอดภัย
ของผู้ได้รับคําส่ัง๒๓ ควรให้ผู้รับคําส่ังมีโอกาสท่ีจะได้ทราบข้อเท็จจริงอย่างเพียงพอและโต้แย้งรวมถึง
แสดงพยานหลักฐานได้ตามมาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ ดังน้ัน
การออกคําส่ังโดยไม่เปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีโต้แย้ง จึงเป็นการดําเนินการโดยไม่ถูกต้องตามรูปแบบ
ขัน้ ตอน หรือวธิ กี ารอนั เป็นสาระสาํ คญั ตามทกี่ ฎหมายกําหนดไว้ คําสงั่ ดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย
(คดีนี้ภายหลังจากฟ้องคดีแล้วผู้บังคับบัญชาได้มีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติหน้าที่ในตําแหน่งเดิม

๒๑ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๕๙๗/๒๕๕๔
๒๒ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๑๕๓/๒๕๕๕
๒๓ หมายเหตุผู้เขียน ; มีข้อสังเกตว่า การที่ศาลปกครองสูงสุดมีข้อวินิจฉัยในส่วนนี้ อาจสืบเนื่องมาจาก
การกล่าวอ้างในคําอุทธรณ์ของผู้ถูกฟ้องคดีท่ีว่า คําส่ังพิพาทมีข้ึนเน่ืองมาจากประสงค์จะลดความขัดแย้ง
เพ่ือประโยชน์ของการบริหารราชการเป็นสําคัญ อีกท้ัง ผู้ฟ้องคดีมีความขัดแย้งกับนายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) และผู้บริหารของเทศบาลจนถึงขั้นมีการฟ้องร้องกันต่อศาล จึงเห็นว่าผู้ฟ้องคดีอาจไม่ได้รับ
ความเปน็ ธรรมและความปลอดภัยแกช่ วี ติ

๓๓๘ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

และผู้ฟ้องคดีพอใจ เหตุแห่งการฟ้องคดีในส่วนท่ีขอให้เพิกถอนคําส่ังจึงหมดสิ้นไป ศาลไม่จําต้อง
ออกคาํ บังคบั โดยการเพกิ ถอนคําสง่ั ดังกลา่ วอีก)

นอกจากน้ี ยังมีกรณีที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเกี่ยวกับการสืบสวนข้อเท็จจริง
กรณีข้าราชการถูกร้องเรียนกล่าวหาก่อนออกคําส่ังให้ประจําส่วนราชการว่า การสืบสวนข้อเท็จจริง
หมายถึง การแสวงหาข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพ่ือให้ทราบรายละเอียดแห่งการกระทําใด ๆ
หรอื เพอ่ื ใหท้ ราบข้อเทจ็ จริงในเร่อื งใด ๆ ตามท่ปี ระสงค์ สําหรับการสืบสวนข้อเท็จจริงในกระบวนการ
การบริหารงานบุคคลของส่วนราชการ หนว่ ยงานหรอื องคก์ รตา่ ง ๆ ของรัฐก็เช่นเดียวกัน เมื่อมีข้อกล่าวหา
ต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใดหรือมีเหตุหรือกรณีมีข้อสงสัยในพฤติการณ์ของบุคคลหน่ึงบุคคลใด
ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาจะพิจารณาดําเนินการใด ๆ ต่อไปตามอํานาจหน้าที่หรือตามที่กฎหมายกําหนด
ย่อมจะต้องให้มีการสืบสวนข้อเท็จจริงในเร่ืองนั้น ๆ ก่อนในเบ้ืองต้น เพื่อให้ทราบข้อมูลข้อเท็จจริง
อย่างเพียงพอว่ากรณีน้ันมีข้อเท็จจริงอย่างไรหรือมีมูลหรือไม่ เพียงใด และถือเป็นอํานาจดุลพินิจ
ของผู้บังคับบัญชาท่ีจะเลือกใช้วิธีการสืบสวนตามท่ีเห็นสมควรเพ่ือให้ได้ข้อเท็จจริงในเรื่องน้ัน ๆ
โดยไม่จําต้องให้บุคคลผู้ถูกสืบสวนทราบก็ได้ ด้วยเหตุน้ี เม่ือขณะที่ผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่ง
ผู้อํานวยการกองแผนและงบประมาณ สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด มีกรณีเป็นที่สงสัยว่า
มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการในตําแหน่งถูกร้องเรียนกล่าวหาเกี่ยวกับพฤติกรรม
ในการปฏิบัติงาน และนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดในฐานะผู้บังคับบัญชาได้เสนอรายงาน
พฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีไปยังคณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด เพื่อขอความเห็นชอบ
ในการออกคําสั่งให้ประจําส่วนราชการในองค์การบริหารส่วนจังหวัดน้ัน นายกองค์การบริหาร
ส่วนจังหวัดย่อมได้ทําการสืบสวนพฤติกรรมการปฏิบัติหน้าท่ีของผู้ฟ้องคดีมาแล้ว และหรือ
ย่อมได้ทราบถึงพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวอยู่แล้วในการทํางานร่วมกันและในฐานะ
ผู้บังคับบัญชา ทั้งในช้ันการพิจารณาอุทธรณ์ของคณะอนุกรรมการพิจารณาอุทธรณ์และร้องทุกข์
ข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้ฟ้องคดีก็มิได้โต้แย้งหรือแสดงข้อเท็จจริงหรือพยานหลักฐาน
เพื่อหักล้างข้อกล่าวหาแต่อย่างใด ดังน้ัน เม่ือได้มีการดําเนินการตามข้ันตอนเพื่อมีคําสั่ง
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ ประกอบกับประกาศ
คณะกรรมการข้าราชการองค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดอํานาจเจริญ เรื่อง หลักเกณฑ์และ
เงื่อนไขเกยี่ วกับการบริหารงานบคุ คลขององคก์ ารบรหิ ารสว่ นจงั หวดั ลงวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๔๕ แล้ว
กระบวนการพิจารณาเพื่อมีคําสั่งดังกล่าวจึงเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย๒๔ และแม้การสืบสวน
ข้อเท็จจริงจะไม่ใช่การดําเนินการทางวินัย แต่ก็เป็นส่วนหน่ึงของการดําเนินการเพื่อให้ได้
ข้อเท็จจริงว่า กรณีผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นพนักงานเทศบาลสามัญมีมูลความผิดตามท่ีสํานักงาน
คณะกรรมการป้องกนั และปราบปรามการทุจริตแหง่ ชาตสิ ง่ เรื่องร้องเรียนผู้ฟ้องคดีว่า กระทําความผิด
ฐานทจุ รติ ตอ่ หน้าท่ี กระทาํ ความผิดต่อตําแหนง่ หน้าท่ีราชการ หรือกระทําความผิดต่อตําแหน่งหน้าท่ี
ในการยุติธรรม ซึ่งผู้ฟ้องคดีในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชามีอํานาจให้คุณและให้โทษต่อข้าราชการ

๒๔ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๙๑๘/๒๕๕๙

รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๓๙

ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาที่ต้องเป็นพยานในเร่ืองที่ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหา ดังน้ัน หากผู้ฟ้องคดีอยู่ใน
ตําแหน่งหน้าท่ีอาจเป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงได้ รวมทั้ง
อาจสร้างความขัดแย้งให้เกิดแก่พนักงานเทศบาลในสังกัดกองสาธารณสุขและส่ิงแวดล้อม จึงมีเหตุ
เพียงพอที่จะสั่งให้ผู้ฟ้องคดีประจําเทศบาลได้ ไม่จําต้องถึงขนาดรับฟังข้อเท็จจริงเสร็จสิ้นว่า
มีมูลความผิดจึงจะเป็นเหตุให้สั่งประจําเทศบาลได้แต่อย่างใด เม่ือนายกเทศมนตรีได้ดําเนินการ
เพ่อื มีคาํ ส่งั ให้ผฟู้ ้องคดีประจําเทศบาลตามอํานาจหน้าที่และเป็นไปตามขั้นตอนและวิธีการที่กฎหมาย
กําหนดตามประกาศคณะกรรมการพนกั งานเทศบาลจังหวัดอาํ นาจเจรญิ เรอ่ื ง หลักเกณฑแ์ ละเง่ือนไข
เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของเทศบาล ลงวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ แล้ว คําส่ังดังกล่าว
จึงชอบดว้ ยกฎหมาย๒๕

๒.๓ ดุลพินิจในการออกคําส่ัง การที่ผู้บังคับบัญชาจะออกคําส่ังให้ข้าราชการ
ประจําส่วนราชการได้นั้น จะต้องปรากฏว่ามีเหตุผลความจําเป็นในการออกคําส่ังตามหลักเกณฑ์
ท่ีกฎหมายกาํ หนด

การออกคําส่ังให้ข้าราชการประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราวน้ัน มักมีเหตุ
มาจากพฤติการณ์ของข้าราชการผู้รับคําสั่ง หากข้าราชการผู้ใดมีพฤติการณ์อันเป็นเหตุตามท่ี
กฎหมายกําหนดไว้ ผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจย่อมใช้ดุลพินิจออกคําสั่งให้ประจําส่วนราชการได้ เช่น
กรณีผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนตําบลถูกต้ังกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง
ฐานละท้ิงหน้าทรี่ าชการเป็นเหตุให้ทางราชการเสียหายอย่างร้ายแรง นายกองค์การบริหารส่วนตําบล
(ในฐานะผู้บังคับบัญชาของข้าราชการและพนักงานส่วนตําบล) จึงมีอํานาจออกคําสั่งให้
ผู้ฟ้องคดีประจําองค์การบริหารส่วนตําบลเป็นการชั่วคราวด้วยเหตุดังกล่าวได้ โดยความเห็นชอบ
ของ ก.อบต. จังหวัด ท้ังน้ี ตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตําบลจังหวัดชุมพร
เรื่อง หลักเกณฑ์และเง่ือนไขเก่ียวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหารส่วนตําบล๒๖ หรือกรณี
ถูกกล่าวหาว่ามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมที่จะปฏิบัติหน้าท่ีราชการในการดํารงตําแหน่งนั้น เช่น
ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการกรุงเทพมหานครซึ่งเป็นข้าราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ
กรุงเทพมหานคร พ.ศ. ๒๕๒๘ ถูกส่ังให้ประจํากอง กรณีสงสัยว่ามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมท่ีจะปฏิบัติ
หน้าท่ตี ามกฎ ก.พ. ฉบับท่ี ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๐)ฯ๒๗

เมื่อปรากฏว่าข้าราชการผู้ใดมีเหตุที่อาจถูกส่ังให้ประจําส่วนราชการเป็นการ
ชว่ั คราว ผมู้ อี าํ นาจออกคําสั่งต้องคํานึงถึงความจําเป็นในการออกคําส่ังน้ันด้วยว่า มีความจําเป็นท่ีต้อง
ออกคําส่ังให้ขา้ ราชการผูน้ น้ั ประจาํ สว่ นราชการเป็นการชวั่ คราวหรอื ไม่

๒๕ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๘๒๓/๒๕๖๐
๒๖ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๐๖/๒๕๕๑
๒๗ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๙๗/๒๕๕๔

๓๔๐ รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

กรณขี า้ ราชการถูกดาํ เนินการทางวนิ ยั อยา่ งร้ายแรง สําหรับการที่จะมีคําสั่งให้
ผูถ้ กู ตัง้ กรรมการสอบสวนทางวนิ ัยอย่างร้ายแรงไปปฏิบตั ิหน้าทีร่ าชการเป็นการช่วั คราวในหน่วยงานใดนั้น
จะต้องพิจารณาในเรื่องที่ถูกแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยเป็นเร่ือง ๆ ไป ว่า กรณีจะเป็น
อุปสรรคต่อการสืบสวน การสอบสวน หรืออาจเกิดความเสียหายแก่ราชการหรือไม่ ซ่ึงเป็นดุลพินิจ
ของผู้บังคับบัญชาจะมีคําสั่งตามความเหมาะสมและจําเป็น๒๘ เช่น กรณีผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่ง
ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบลได้รับคําสั่งให้ประจําส่วนราชการเป็นการช่ัวคราว มีกําหนดเวลาหกเดือน
เน่ืองจากถูกตั้งกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรง ซ่ึงคณะกรรมการสอบสวนวินัยยังดําเนินการ
สอบสวนไม่แล้วเสร็จ และเป็นกรณีท่ียังไม่มีผู้ดํารงตําแหน่งนายกองค์การบริหารส่วนตําบล
ถ้าให้ผู้ฟ้องคดีกลับเข้าทําหน้าที่ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบล ผู้ฟ้องคดีก็จะต้องทําหน้าที่
นายกองค์การบริหารส่วนตําบลด้วยตามมาตรา ๖๔ วรรคห้า๒๙ แห่งพระราชบัญญัติสภาตําบล
และองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ซ่ึงอาจมีผลกระทบต่อการดําเนินการทางวินัยที่ตน
มีส่วนได้เสีย การขยายระยะเวลาการสั่งให้ผู้ฟ้องคดีประจําองค์การบริหารส่วนตําบลก่อนวัน
ครบกําหนดเดมิ นอ้ ยกวา่ สามสิบวัน จึงถือได้ว่ามีเหตุผลความจําเป็นพิเศษตามประกาศคณะกรรมการ
พนักงานส่วนตําบล เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลขององค์การบริหาร
สว่ นตําบล๓๐ หรอื กรณนี ายกองคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวัดในฐานะผู้บังคบั บัญชาขา้ ราชการองค์การบริหาร
ส่วนจังหวัด ได้มีคําสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง กรณีท่ีมีการร้องเรียนว่าผู้ฟ้องคดี
ซึ่งดํารงตําแหน่งปลัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดปฏิบัติหน้าท่ีโดยทุจริตและประพฤติมิชอบ
แม้ผลการสอบข้อเท็จจริงจะไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้ทุจริตในการจัดซื้อจัดจ้าง แต่พฤติการณ์ของ
ผู้ฟ้องคดีเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ และจงใจไม่ปฏิบัติ
ตามกฎหมาย ระเบียบของทางราชการ และอยู่ระหว่างการแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ผู้ฟ้องคดี นอกจากน้ีในการปฏิบัติหน้าที่ผู้ฟ้องคดียังมีความขัดแย้งกับนายกองค์การบริหาร
สว่ นจังหวัดปทุมธานี ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งที่ส่ังโดยชอบตามอํานาจหน้าที่ ถือว่าผู้บังคับบัญชาได้ทําการ
สืบสวนแล้วเห็นว่ากรณีมีมูล และถ้าให้ผู้น้ันคงอยู่ในตําแหน่งเดิมต่อไปอาจเกิดความเสียหาย
แก่ราชการได้ ซ่ึงถือว่ามีเหตุผลความจําเป็นตามข้อ ๒๕๑ (๗) ของประกาศคณะกรรมการข้าราชการ
องค์การบริหารส่วนจังหวัด จังหวัดปทุมธานี เร่ือง หลักเกณฑ์และเง่ือนไขเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล

๒๘ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๙๓๖/๒๕๕๙
๒๙ พระราชบัญญัติสภาตําบลและองค์การบริหารส่วนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๗ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดย

พระราชบัญญตั สิ ภาตําบลและองค์การบรหิ ารส่วนตาํ บล (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๔๖

มาตรา ๖๔ ฯลฯ ฯลฯ

ในระหว่างที่ไม่มีคณะผู้บริหาร ให้ปลัดองค์การบริหารส่วนตําบลทําหน้าท่ีของนายกองค์การบริหาร

ส่วนตําบลเท่าทีจ่ ําเปน็ ไดเ้ ป็นการชั่วคราว จนกวา่ คณะผู้บรหิ ารที่แตง่ ตงั้ ขึ้นใหมจ่ ะเขา้ รับหนา้ ท่ี

ฯลฯ ฯลฯ
๓๐ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๐๖/๒๕๕๑

รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๔๑

ขององค์การบริหารส่วนจังหวัด ลงวันท่ี ๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๕๓๑ หรือกรณีผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่ง
ผู้บริหารสถานศึกษาย่อมมีอิทธิพลหรือมีส่วนได้เสียต่อข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ในสังกัดโรงเรียน ในฐานะเป็นผู้บังคับบัญชาของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
และมีอํานาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการดังกล่าวในเร่ืองความดีความชอบ ซึ่งย่อมเป็นเหตุให้
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไม่กล้าให้ถ้อยคําต่อคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย
ตามความเป็นจริง และผ้ฟู ้องคดอี าจเข้าไปยุ่งเก่ยี วกับพยานหลักฐานทส่ี าํ คญั ในเร่ืองที่ทําการสอบสวน
การที่ผู้บังคับบัญชาใช้ดุลพินิจพิจารณาแล้วเห็นว่า มีเหตุผลความจําเป็นและเป็นไปตามเง่ือนไข
ท่ีกําหนดในกฎ ก.ค.ศ. จึงมีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีไปประจําสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา
เป็นการช่ัวคราวเพ่ือความสะดวกในการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงตามนัยมาตรา ๗๐
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับข้อ ๑ (๑)
ของกฎ ก.ค.ศ. ว่าด้วยการส่ังให้ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจําส่วนราชการ
หรือสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ. ๒๕๕๐ จึงเป็นการออกคําสั่งที่เหมาะสมและจําเป็นแก่กรณี
อันเป็นการใชด้ ลุ พนิ จิ โดยชอบดว้ ยกฎหมายแลว้ ๓๒

กรณีอ่ืนท่ีมีเหตุผลความจําเป็นพิเศษเพ่ือประโยชน์แก่ราชการ เช่น การที่
ข้าราชการถูกสั่งให้ประจํากอง กรณีสงสัยว่ามีพฤติการณ์ไม่เหมาะสมท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีตามกฎ ก.พ.
ฉบับที่ ๑๕ (พ.ศ. ๒๕๔๐)ฯ ได้ นั้น จะตอ้ งเปน็ กรณีที่ข้าราชการผู้นั้นถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่า
มีพฤตกิ ารณท์ ่ีไม่เหมาะสมท่จี ะปฏบิ ัติหนา้ ที่ราชการในตาํ แหน่งนนั้ ซงึ่ ผ้บู งั คบั บัญชาพจิ ารณาแลว้ เห็นว่า
กรณีมีมูล และถ้าผู้นนั้ คงอย่ใู นตําแหนง่ เดมิ ตอ่ ไปอาจกอ่ ใหเ้ กิดความเสียหายแก่ราชการ๓๓

๓. บทสรปุ

จากหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายและแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครอง
สูงสุดดังท่ีกล่าวมาข้างต้น กรณีย่อมเห็นได้ว่า คําสั่งให้ประจําส่วนราชการเป็นการช่ัวคราวเป็นคําสั่ง
ทางปกครองท่ีมีกําหนดระยะเวลาส้ินสุดท่ีแน่นอน กล่าวคือ ในการออกคําส่ังครั้งแรกต้องมีกําหนด
ระยะเวลาไม่เกินหกเดือน โดยอาจออกคําสั่งให้ประจําส่วนราชการน้อยกว่าหกเดือนก็ได้ แต่จะกําหนด
เกินกว่าน้ันไม่ได้ หากจะมีการส่ังเกินหกเดือนต้องดําเนินการขอขยายระยะเวลาก่อนครบกําหนด
ระยะเวลาส้ินสุดในการออกคําสั่งคร้ังแรก และการขยายระยะเวลาในการส่ังให้ข้าราชการประจํา
ส่วนราชการนั้น ระยะเวลารวมกันแล้วต้องไม่เกินหนึ่งปีหกเดือน ซึ่งการออกคําสั่งดังกล่าว นอกจาก
ผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจบรรจุแต่งต้ังต้องดําเนินการตามหลักเกณฑ์ ขั้นตอนและวิธีการท่ีกฎหมาย
กําหนดไว้แล้ว ผู้เขียนมีความเห็นว่า เน่ืองจากคําส่ังให้ประจําส่วนราชการเป็นการชั่วคราวน้ันเป็นคําสั่ง
ทางปกครองที่มีผลกระทบต่อสิทธิบางประการของผู้รับคําส่ัง จึงสมควรท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอํานาจ

๓๑ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๙๑๖/๒๕๖๐
๓๒ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๙๓๖/๒๕๕๙
๓๓ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๕๙๗/๒๕๕๔

๓๔๒ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ออกคําสั่งจะให้โอกาสได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานเพื่อเป็นการประกันความเป็นธรรมให้ข้าราชการผู้น้ัน
ตามนัยมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ท้ังน้ี
การท่ีจะใช้ดุลพินิจออกคําสั่งให้ข้าราชการผู้ใดประจําส่วนราชการใดเป็นการช่ัวคราวนั้น ผู้มีอํานาจ
จะต้องพิจารณาถึงเหตุผลความจําเป็นในการออกคําส่ัง โดยพิจารณาว่าข้าราชการผู้นั้นมีกรณีถูกกล่าวหา
หรือมีกรณีเป็นท่ีสงสัยว่ากระทําความผิดวินัยอย่างร้ายแรงหรือไม่ หรือมีเหตุอื่นใดตามที่กฎหมาย
กําหนดหรือไม่ และหากข้าราชการผู้นั้นคงอยู่ในตําแหน่งหน้าท่ีเดิมต่อไปจะเป็นอุปสรรคต่อการ
สอบสวนหรือไม่ หรืออาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการหรือไม่ รวมถึงเหตุผลความจําเป็น
ในการขยายระยะเวลาให้ประจําส่วนราชการก็ต้องพิจารณาเช่นเดียวกัน เมื่อได้พิจารณาเงื่อนไข
ดังกล่าวแล้วเห็นว่ามีเหตุผลความจําเป็นในการออกคําสั่ง ผู้บังคับบัญชาจึงจะมีอํานาจออกคําสั่ง
ให้ข้าราชการผู้น้ันประจําส่วนราชการเป็นการช่ัวคราว หรือขยายระยะเวลาการประจําส่วนราชการ
แลว้ แตก่ รณีได้

รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๔๓

คดพี พิ าทเก่ยี วกับสทิ ธปิ ระโยชน์และสวสั ดกิ ารของขา้ ราชการและเจ้าหนา้ ทข่ี องรฐั

เรื่องที่ ๑๖ กรณศี กึ ษา เร่ือง ข้อพิจารณากรณีข้าราชการนําหลักฐานการเช่าซ้ือหรือผ่อนชําระ
เงินกู้เพือ่ ชาํ ระราคาบ้านมาเบิกคา่ เช่าบ้านข้าราชการ

“ค่าเช่าบ้านข้าราชการ” เป็นสวัสดิการประเภทหนึ่งของข้าราชการ มีเจตนารมณ์
ในการให้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ข้าราชการผู้ท่ีได้รับความเดือดร้อนในเรื่อง
ท่อี ยอู่ าศัยซงึ่ มสี าเหตุมาจากทางราชการ๑ โดยการออกคาํ ส่งั ใหข้ ้าราชการเดินทางไปประจําสํานักงาน
ในต่างท้องท่ี แต่เน่ืองจากสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการคมนาคมท่ีเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา
รวมถึงความไม่ชัดเจนของกฎหมายที่จะนํามาปรับใช้กับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน
ของข้าราชการในหลาย ๆ กรณี ทําให้ต้องอาศัยการตอบข้อหารือของกรมบัญชีกลาง จนถึงต้องมี
การยกเลิกกฎหมายเพื่อให้สอดคล้องกับสภาวการณ์และข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา ส่งผลให้
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มีการตราพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการมาแล้วถึง ๔ ฉบับ ได้แก่
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยระเบียบค่าเช่าบ้านข้าราชการ พุทธศักราช ๒๔๘๓ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่า
บ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๒ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ และที่ใช้บังคับอยู่
ในปัจจุบัน คอื พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงก็ได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติมในส่วน
ของหลกั เกณฑ์ในการใช้สทิ ธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการไปแล้วถึง ๒ คร้ัง ได้แก่ ตามพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐๒ ที่แก้ไขหลักเกณฑ์เพื่อมุ่งช่วยเหลือข้าราชการ

 วศินี ใจแจ่ม ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๑
ประจาํ วนั ท่ี ๒๘ กนั ยายน ๒๕๖๑

๑ ดูหมายเหตุทา้ ยพระราชกฤษฎีกาคา่ เชา่ บา้ นขา้ ราชการ (ฉบบั ท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๔๑
๒ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๗ ข้าราชการผู้ใดได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องที่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน
ขา้ ราชการเทา่ ที่ตอ้ งจ่ายจรงิ ตามที่สมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูงไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตรา
คา่ เชา่ บ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎกี าคา่ เชา่ บ้านข้าราชการน้ี ทั้งน้ี เวน้ แต่ผู้นั้น
(๑) ทางราชการไดจ้ ัดทพี่ กั อาศยั ให้ตามหลกั เกณฑ์ทีก่ ระทรวงการคลงั กําหนด
(๒) มีเคหสถานอันเป็นกรรมสิทธ์ิของตนเองหรือคู่สมรสในท้องท่ีท่ีไปประจําสํานักงานใหม่ โดยไม่มีหน้ี
คา้ งชาํ ระกบั สถาบนั การเงนิ
(๓) ได้รบั คาํ สง่ั ให้เดินทางไปประจาํ สาํ นกั งานใหม่ในต่างท้องท่ีตามคาํ รอ้ งขอของตนเอง
ความในวรรคหน่ึง ให้ใช้บังคับแก่ข้าราชการผู้ได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจําสํานักงานในต่างท้องท่ี
ท่เี ปน็ ท้องท่ีทเี่ ริม่ รับราชการคร้งั แรกหรอื ทอ้ งทที่ ีก่ ลบั เขา้ รบั ราชการใหม่ดว้ ย
ขา้ ราชการผู้ใดไดร้ บั เงนิ เดอื นไมต่ รงกับที่กาํ หนดในบญั ชีอัตราคา่ เช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกาน้ี
ให้ได้รบั ค่าเชา่ บา้ นขา้ ราชการตามส่วนของเงนิ เดือนโดยคํานวณตามวิธกี ารท่ีกระทรวงการคลังกําหนด

๓๔๔ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ซึ่งได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจําสํานักงานใหม่ในท้องท่ีท่ีเริ่มรับราชการครั้งแรกหรือท้องที่
ท่ีกลับเข้ารับราชการใหม่ให้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ๓ และพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖๔ ท่ีเพิ่มเติมหลักเกณฑ์ให้มีความชัดเจนว่า กรณีเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ที่ไม่ใช่ข้าราชการตามกฎหมายนี้โอนมาเป็นข้าราชการตามกฎหมายน้ี ให้ถือว่าการบรรจุและแต่งต้ัง
ผู้โอนมาเป็นข้าราชการในท้องท่ีใดถือว่าเป็นการบรรจุและแต่งต้ังในท้องที่ที่เริ่มรับราชการครั้งแรก
ตามพระราชกฤษฎีกาน้ี และไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ ซ่ึงผลจากการเพิ่มเติมหลักเกณฑ์น้ี
ทําให้ข้าราชการตามกฎหมายอื่นท่ีจะโอนมาเป็นข้าราชการตามกฎหมายน้ีภายหลังพระราชกฤษฎีกา
ฉบับนี้ใช้บงั คบั ไมม่ สี ทิ ธไิ ด้รับคา่ เชา่ บา้ นขา้ ราชการ โดยไม่สามารถแปลความเป็นอย่างอื่นได้๕

จากสถานการณ์ความไม่ชัดเจนของกฎหมายท่ีจะนํามาปรับใช้กับข้อเท็จจริง
ท่ีเกิดขึ้น โดยเฉพาะกรณีท่ีข้าราชการซ่ึงมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการนําหลักฐานการชําระ
ค่าเช่าซ้ือหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้าน ซ่ึงมีการให้สิทธินี้แก่ข้าราชการ
มาต้ังแต่พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗๖ ต่อเนื่องมาจนถึงพระราชกฤษฎีกา

๓ กรณีท่ีข้าราชการซึ่งได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจําสํานักงานใหม่ในท้องท่ีที่เริ่มรับราชการครั้งแรก
หรือท้องที่ท่ีกลับเข้ารับราชการใหม่น้ัน ไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการมาต้ังแต่พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยระเบียบ
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พุทธศักราช ๒๔๘๓ แม้พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๒ จะให้สิทธิแก่
ผู้ซ่ึงทางราชการแต่งตั้งให้กลับไปรับราชการประจําในท้องที่ที่ผู้น้ันเร่ิมเข้ารับราชการครั้งแรกหรือท้องท่ีที่ผู้นั้นกลับเข้า
รับราชการใหม่ หลังจากได้รับแต่งต้ังให้ไปรับราชการประจําในท้องที่อ่ืนเป็นระยะเวลาห้าปีติดต่อกัน แต่ก็ถูก
ยกเลกิ ไปโดยพระราชกฤษฎกี าค่าเชา่ บา้ นข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ เน่ืองจากเห็นว่าไม่เป็นธรรมแก่ข้าราชการท่ียังคง
รับราชการอยู่ในท้องที่ท่ีเริ่มเข้ารับราชการ โดยได้เช่าบ้านอยู่จริง แต่ไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน และข้อยกเว้นดังกล่าว
ก็ได้ถูกนํามากําหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ก่อนท่ีจะมีการแก้ไขโดยพระราชกฤษฎีกา
คา่ เชา่ บา้ นข้าราชการ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ ด้วย

๔ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖

มาตรา ๗/๑ ในกรณีท่ีเจ้าหน้าที่ของรัฐซ่ึงไม่ใช่ข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกาน้ีโอนมาเป็นข้าราชการ
ไม่ว่าครั้งใดก็ตาม การบรรจุและแต่งตั้งผู้โอนมาเป็นข้าราชการนั้นในท้องท่ีใด ให้ถือว่าเป็นการบรรจุและแต่งตั้ง
ในท้องที่ท่ีเร่ิมรับราชการครั้งแรกตามพระราชกฤษฎีกานี้ และไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ จนกว่าจะได้รับ
คาํ สั่งให้เดินทางไปประจาํ สาํ นกั งานในตา่ งทอ้ งทตี่ ามมาตรา ๗

๕ ก่อนทจี่ ะมีการแกไ้ ขเพ่มิ เติมในเร่ืองนี้ กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือตอบข้อหารือ ฉบับลงวันท่ี ๑๔ มีนาคม
๒๕๕๖ ฉบับลงวันท่ี ๒๘ มีนาคม ๒๕๕๖ และฉบับลงวันท่ี ๒ เมษายน ๒๕๕๖ ว่า ข้าราชการส่วนท้องถิ่นท่ีโอนมา
เป็นขา้ ราชการพลเรอื นมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ ซ่ึงศาลปกครองก็มีคําวินิจฉัยในแนวทางเดียวกับความเห็น
ของกรมบญั ชกี ลาง ทงั้ น้ี ตามคาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๒๐๖๑/๒๕๕๙

๖ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ (ฉบับที่ ๘) พ.ศ. ๒๕๔๕

มาตรา ๑๖ ในกรณที ข่ี ้าราชการซงึ่ มีสิทธิไดร้ บั ค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกานี้ ได้เช่าซื้อบ้าน
หรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านที่ค้างชําระอยู่ในท้องที่ท่ีไปประจําสํานักงานใหม่ เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย
และไดอ้ าศัยอยจู่ รงิ ในบ้านนนั้ ใหข้ า้ ราชการผูน้ ัน้ มสี ทิ ธนิ ําหลกั ฐานการชาํ ระคา่ เช่าซือ้ หรือค่าผอ่ นชาํ ระเงินกู้ดังกล่าว

รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๔๕

ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗๗ แต่การนําหลักฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้
เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านนั้น แตกต่างจากการเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการในกรณีปกติ
ค่อนข้างมาก ก่อให้เกิดปัญหามากในทางปฏิบัติ ยกตัวอย่างเช่น กรณีท่ีข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับ
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ ต่อมา ทางราชการได้จัดที่พักอาศัยให้ตามหลักเกณฑ์ท่ีกระทรวงการคลังกําหนด
กรณเี ชน่ น้ี หากขา้ ราชการผู้น้นั ปฏิเสธท่จี ะเขา้ พกั อาศยั ก็จะไม่มสี ิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อไป

มาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ไม่เกินจํานวนเงินที่กําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกาน้ี
ตามเง่ือนไขดังต่อไปน้ี

(๑) ตนเอง และสามีหรือภริยา ได้ทําการผ่อนชําระค่าเช่าซ้ือ หรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้าน
อยเู่ พยี งหลงั เดยี วในทอ้ งที่นน้ั

(๒) จะต้องเป็นการผ่อนชําระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้กับสถาบันการเงิน หรือกับรัฐวิสาหกิจ
หรือสหกรณ์ที่ดําเนินกิจการเก่ียวกับการเคหะ ท้ังน้ี ตามที่กระทรวงการคลังกําหนด หรือเป็นการผ่อนชําระเงินกู้
กับกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยกองทุนบําเหน็จบํานาญข้าราชการ และสัญญาเช่าซ้ือ
หรอื สญั ญาเงนิ กู้ จะต้องได้รับความเหน็ ชอบตามระเบยี บท่กี ระทรวงการคลงั กําหนด

(๓) จะต้องไม่เคยใช้สิทธินําหลักฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้สําหรับบ้านหลังหนึ่งหลังใด
ในทอ้ งทน่ี ้นั มาแล้ว เวน้ แต่จะเปน็ กรณที ่ไี ด้รับแต่งตั้งให้กลับไปรับราชการในท้องที่นั้นอีก และเป็นการใช้สิทธินําหลักฐาน
การชําระคา่ เช่าซ้ือหรอื ค่าผ่อนชําระเงนิ กตู้ ามทีไ่ ด้เคยใช้สทิ ธิมาแล้ว

๗ พระราชกฤษฎีกาค่าเชา่ บา้ นขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๑๗ ในกรณีที่ข้าราชการซึ่งมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกาน้ีได้เช่าซื้อ

หรือผ่อนชาํ ระเงินกเู้ พ่อื ชําระราคาบ้านทคี่ า้ งชําระอยูใ่ นท้องท่ที ่ไี ปประจําสํานักงานใหม่ เพ่ือใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้
อาศัยอยูจ่ รงิ ในบา้ นนนั้ ให้ขา้ ราชการผูน้ น้ั มีสทิ ธนิ ําหลกั ฐานการชําระค่าเชา่ ซอ้ื หรอื ค่าผอ่ นชําระเงินกู้ดังกล่าวมาเบิก
ค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ไม่เกินจํานวนเงินท่ีกําหนดไว้ตามบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการท้ายพระราชกฤษฎีกาน้ี
ตามเง่อื นไข ดังต่อไปน้ี

(๑) ตนเอง หรือคู่สมรส ได้ทําการผ่อนชําระค่าเช่าซ้ือหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านในท้องท่ีนั้น
จะเบิกจ่ายได้เฉพาะบ้านหลังแรกน้ัน เว้นแต่บ้านหลังที่เคยใช้สิทธิถูกทําลายหรือเสียหายเนื่องจากภัยพิบัติ
จนไมส่ ามารถพักอาศัยอยูไ่ ด้

(๒) หากเช่าซ้ือหรือกู้เงินเพื่อชําระราคาบ้านร่วมกับบุคคลอ่ืนซึ่งไม่ใช่คู่สมรสและมีกรรมสิทธิ์รวมกับ
บุคคลอื่นในบ้านนนั้ จะเบกิ จ่ายคา่ เช่าซื้อหรอื ค่าผ่อนชาํ ระเงินกูไ้ ด้ตามสดั ส่วนแหง่ กรรมสิทธิส์ าํ หรบั บา้ นหลงั ดังกลา่ ว

(๓) จะต้องเป็นการผ่อนชําระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านกับสถาบันการเงิน
และสัญญาเช่าซอื้ หรอื สัญญาเงนิ ก้จู ะตอ้ งเปน็ ไปตามหลักเกณฑแ์ ละวธิ ีการท่ีกระทรวงการคลังกําหนด

(๔) จะตอ้ งไม่เคยใช้สิทธินําหลักฐานการชําระค่าเช่าซ้ือหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้สําหรับบ้านหลังหนึ่งหลังใด
ในท้องที่น้ันมาแล้ว เว้นแต่เป็นกรณีที่ได้รับแต่งต้ังให้กลับไปรับราชการในท้องท่ีที่เคยใช้สิทธิน้ันอีก และเป็นการ
ใชส้ ิทธินําหลกั ฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรอื ค่าผอ่ นชาํ ระเงินกตู้ ามทไี่ ด้เคยใชส้ ทิ ธมิ าแลว้ หรอื ขณะที่ย้ายมารับราชการ
ในท้องทน่ี ั้นบ้านท่ีเคยใชส้ ทิ ธไิ ด้โอนกรรมสิทธิไ์ ปแล้ว

(๕) หากเงินกู้เพื่อชาํ ระราคาบ้านสงู กวา่ ราคาบ้าน ใหน้ ําคา่ ผอ่ นชาํ ระเงินกู้มาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้
โดยให้คํานวณตามหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการทก่ี ระทรวงการคลังกาํ หนด

ให้นําบทบัญญัติมาตรา ๙ ถึงมาตรา ๑๔ มาใช้บังคับกับการเช่าซ้ือหรือการผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระ
ราคาบา้ นโดยอนโุ ลม

๓๔๖ รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

เนื่องจากเข้าข้อยกเว้นตามมาตรา ๗ (๑) แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗
ประกอบกับหนังสือกระทรวงการคลัง ท่ี กค ๐๔๐๙.๕/ว๒ ลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๐
เร่ือง หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐
เม่ือนําหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาปรับใช้กับกรณีท่ีข้าราชการผู้น้ันใช้สิทธินําหลักฐานการชําระค่าเช่าซ้ือ
หรอื คา่ ผอ่ นชําระเงนิ กูเ้ พอ่ื ชําระราคาบา้ นมาเบิกค่าเช่าบ้าน แล้วต่อมาทางราชการได้จัดท่ีพักอาศัยให้
หากข้าราชการผู้น้ันปฏิเสธที่จะเข้าพักอาศัย หน่วยงานของรัฐต้นสังกัดจะถือว่าข้าราชการผู้น้ัน
หมดสิทธิที่จะได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อไป ซึ่งในมุมมองของศาลปกครองเห็นว่า การแปลความเช่นนี้
เป็นการไม่เป็นธรรมแก่ข้าราชการผู้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าซื้อ จึงเห็นว่าคําสั่งปฏิเสธดังกล่าวไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย อย่างไรก็ดี อาจพิจารณาได้ว่า กรณีปัญหาท่ีเกิดขึ้นนั้นก็เป็นผลมาจากความไม่ชัดเจน
ของกฎหมาย เน่ืองจากกฎหมายไม่ได้บัญญัติถึงกรณีดังกล่าวไว้โดยเฉพาะ เจ้าหน้าท่ีของรัฐผู้มีอํานาจ
จึงเห็นว่าเป็นกรณีที่ไม่อาจอนุมัติให้เบิกจ่ายได้ ซ่ึงหากอนุมัติไป ตนอาจต้องรับผิดตามกฎหมาย
นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่แต่ละคนอาจมีมุมมองในเรื่องของความเหมาะสมท่ีแตกต่างกันไปในเรื่อง
ของการให้น้ําหนักระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคลของข้าราชการผู้จะใช้สิทธิกับประโยชน์ของทางราชการ
ในเรื่องของการใช้จ่ายงบประมาณ ซึ่งหากกฎหมายได้มีการกําหนดในเร่ืองน้ีให้ชัดเจน ปัญหานี้
น่าจะไมเ่ กดิ ขน้ึ

จากการศึกษา พบวา่ ยังมอี ีกหลายกรณที ีห่ น่วยงานต้นสังกัดงดเบิกค่าเช่าบ้านให้แก่
ข้าราชการทีน่ ําหลกั ฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้าน
เป็นผลให้ข้าราชการเหล่าน้ันต้องนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง ซึ่งมีอยู่มากพอสมควร ผู้เรียบเรียง
จึงได้จัดทําเอกสารฉบับน้ีขึ้น ในลักษณะของการแบ่งหมวดหมู่ตามลักษณะของเหตุอันเป็นมูลพิพาท
และสรุปสาระสาํ คัญของคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด เพ่ือเป็นกรณีศึกษาสําหรับช่วยอํานวยความสะดวก
ในการศึกษาคน้ ควา้ ของผปู้ ฏบิ ตั งิ านทีเ่ ก่ียวขอ้ ง

(๑) กรณีหนว่ ยงานทางปกครองจดั หาบ้านพกั อาศัยของทางราชการให้

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๘๖/๒๕๔๘ ในกรณีท่ีข้าราชการพลเรือน
สามัญได้รับอนุมัติให้ใช้สิทธินําหลักฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้าน
มาเบกิ ค่าเช่าบ้านขา้ ราชการตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาคา่ เชา่ บ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗
แต่ต่อมาผู้บังคับบัญชามีคําสั่งให้ข้าราชการคนดังกล่าวเข้าพักอาศัยในบ้านพักของทางราชการที่ว่างลง
และให้ข้าราชการผู้นั้นงดเบิกค่าเช่าบ้านด้วยเหตุผลว่าทางราชการได้จัดท่ีพักอาศัยให้แล้วนั้น
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า กรณีท่ีข้าราชการได้ใช้สิทธิในการนําหลักฐานการชําระค่าเช่าซ้ือ
หรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านซึ่งข้าราชการผู้น้ันใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยมาเบิกค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการอันเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗
อย่กู ่อนทที่ างราชการจะจัดทพ่ี ักอาศัยใหน้ ัน้ แมต้ ่อมาจะมีบ้านพักของทางราชการว่างลง ทางราชการ
ก็ไม่จําเป็นต้องจัดท่ีพักอาศัยให้ข้าราชการผู้น้ันอยู่อีก และเป็นกรณีที่ไม่อาจอ้างเหตุว่าทางราชการ

รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๔๗

ได้จัดที่พักอาศัยให้อยู่แล้วตามมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง (๑)๘ แห่งพระราชกฤษฎีกาเดียวกัน มาตัดสิทธิ
ในการเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการของข้าราชการดังกล่าวได้ เนื่องจากบทบัญญัติในมาตรา ๗
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ อยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติมาตรา ๑๖
ดังน้ัน การท่ีทางราชการมีคําส่ังให้ข้าราชการผู้ท่ีได้รับอนุมัติให้ใช้สิทธิตามมาตรา ๑๖ อยู่ก่อน
และยังคงมีสิทธิอยู่ตามกฎหมาย เข้าพักอาศัยในบ้านพักของทางราชการที่ว่างลงและให้งดใช้สิทธิ
ในการเบิกค่าเช่าบ้านโดยอาศัยเหตุตามมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง (๑) ข้างต้น จึงเป็นคําส่ังท่ีไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ทั้งน้ี แม้ว่าจะเป็นการออกคําส่ังตามแนวทางปฏิบัติของกรมบัญชีกลางตามหนังสือ
กรมบัญชีกลาง ที่ กค ๐๕๒๖.๕/๒๙๑๓ ลงวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๔๒ ท่ีกําหนดให้หัวหน้าส่วนราชการ
ต้องใช้ดุลพินิจจัดให้ข้าราชการที่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านไม่ว่าจะเป็นผู้ที่กําลังใช้สิทธิอยู่หรือไม่ก็ตาม
ให้เข้าพักอาศัยในบ้านพักของทางราชการเมื่อบ้านพักของทางราชการว่างลง และหากข้าราชการดังกล่าว
ไม่เข้าพัก ถือว่าสละสิทธิในบ้านพักข้าราชการท่ีจัดให้โดยไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ
อีกต่อไปก็ตาม แนวปฏิบัติดังกล่าวถูกต้องเฉพาะในกรณีที่ข้าราชการผู้เบิกค่าเช่าบ้านอยู่เดิม
ได้เช่าบ้านผู้อื่นอยู่อาศัย แต่ไม่ถูกต้องสําหรับกรณีที่ข้าราชการได้ใช้สิทธินําหลักฐานการชําระ
ค่าเช่าซ้ือหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้าน เพราะเป็นการกําหนด
แนวทางปฏิบตั ใิ นการตดั สิทธขิ องขา้ ราชการซ่ึงไมส่ อดคลอ้ งกบั บทบญั ญัติมาตรา ๑๖ และเจตนารมณ์
ของพระราชกฤษฎกี าขา้ งตน้ ท่ีประสงคจ์ ะผ่อนผนั ใหข้ ้าราชการมีสิทธิดังกล่าว (คําพิพากษาศาลปกครอง
สูงสุดท่ี อ.๙๔/๒๕๔๘ ที่ อ.๓๕/๒๕๔๙ ที่ อ.๘๔/๒๕๔๙ ท่ี อ.๙๙/๒๕๔๙ และที่ อ.๗๑/๒๕๕๔
วนิ ิจฉยั แนวทางเดียวกนั )

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๑๙๗/๒๕๔๙ ในกรณีทขี่ า้ ราชการรัฐสภาสามัญ
ซ่ึงขณะรับราชการที่หน่วยงานเดิมได้รับอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการกรณีผ่อนชําระเงินกู้
เพื่อชําระราคาบ้านได้ ต่อมา ข้าราชการผู้น้ันได้โอนมารับราชการท่ีสํานักงานเลขาธิการวุฒิสภา
และขอใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านในลักษณะผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านตามมาตรา ๑๖

๘ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบา้ นขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗
มาตรา ๗ ภายใต้บังคับมาตรา ๑๖ และมาตรา ๑๗ ข้าราชการผู้ใดได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจํา

สาํ นกั งานในต่างทอ้ งที่ มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการเท่าที่ต้องจ่ายจริงตามท่ีสมควรแก่สภาพแห่งบ้าน แต่อย่างสูง
ไมเ่ กินจํานวนเงนิ ที่กําหนดไวต้ ามบญั ชีอัตราคา่ เชา่ บ้านข้าราชการทา้ ยพระราชกฤษฎกี าน้ี ทัง้ น้ี เว้นแต่ผนู้ น้ั

(๑) ทางราชการได้จัดท่พี ักอาศยั ให้อยแู่ ล้ว
(๒) มีเคหสถานของตนเอง หรือของสามีหรือภริยาที่พออาศัยอยู่ร่วมกันได้ในท้องท่ีที่ไปประจํา
สาํ นักงานใหม่
(๓) ได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจําสํานักงานใหม่ในท้องท่ีท่ีเร่ิมรับราชการครั้งแรก หรือท้องที่ที่กลับ
เข้ารบั ราชการใหม่
(๔) ไดร้ ับคาํ สง่ั ใหเ้ ดินทางไปประจาํ สํานักงานใหมต่ ามคํารอ้ งขอของตนเอง
(๕) เปน็ ข้าราชการวสิ ามญั
ข้าราชการผู้ใดได้รับเงินเดือนไม่ตรงกับอัตราเงินเดือนในบัญชีอัตราค่าเช่าบ้านข้าราชการ
ท้ายพระราชกฤษฎกี านี้ ใหไ้ ดร้ บั ค่าเช่าบา้ นตามสว่ นของเงนิ เดอื นโดยคํานวณตามวิธีการท่ีกระทรวงการคลังกําหนด

๓๔๘ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ แต่ผู้บังคับบัญชาไม่อนุมัติเน่ืองจากเห็นว่า
ทางราชการได้จัดท่ีพักอาศัยให้อยู่แล้วนั้น ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า บทบัญญัติมาตรา ๑๖
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ได้ขยายสิทธิในการเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ
ตามมาตรา ๗ ออกไป โดยให้ขยายรวมไปถึงการเช่าซื้อหรือการผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้าน
ที่ค้างชําระดว้ ย อันเป็นวตั ถปุ ระสงค์ที่ต้องการช่วยข้าราชการให้มีบ้านเป็นของตนเอง ซ่ึงวัตถุประสงค์
ดงั กลา่ วจะบรรลุผลได้ ทางราชการจะต้องรับภาระหรือเล็งเห็นว่าจะต้องผูกพันท่ีจะต้องให้ข้าราชการ
ผู้น้ันใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชําระค่าเช่าซ้ือหรือผ่อนหนี้เงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านจนกว่าจะชําระ
ค่าเช่าซ้ือหรือผ่อนหนี้เงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านนั้นหมด ดังน้ัน เมื่อข้าราชการผู้นั้นได้รับอนุมัติ
ให้ใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อนํามาผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านจากหน่วยงานเดิมมาตลอด
ต่อมา เมื่อโอนมารับราชการที่สํานักงานเลขาธิการวุฒิสภาซึ่งอยู่ในท้องท่ีเดียวกันกับหน่วยงานเดิม
สทิ ธใิ นการเบิกค่าเช่าบ้านของข้าราชการผู้นั้นจึงยังคงเป็นเช่นเดิมตามหลักเกณฑ์ของพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ผู้บังคับบัญชาไม่จําต้องจัดให้ข้าราชการผู้น้ันเข้าพักอาศัย
ในบ้านพักของทางราชการทว่ี ่าง เนื่องจากไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของกระทรวงการคลังตามหนังสือ
กระทรวงการคลัง ท่ี กค ๐๕๑๔/๑๗๔๔๑ ลงวันท่ี ๔ เมษายน ๒๕๒๙ ที่กําหนดไว้ว่า ในกรณีท่ี
ส่วนราชการได้จัดให้ข้าราชการพักอาศัยในบ้านพักของทางราชการแล้ว ทําให้ข้าราชการที่มีสิทธิ
เบิกค่าเช่าบ้านซึ่งย้ายมาใหม่ไม่สามารถเข้าอาศัยในบ้านพักของทางราชการได้ เมื่อข้าราชการผู้น้ัน
ได้เช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านอยู่ในท้องที่ที่ต้ังสํานักงานเพ่ือใช้เป็นที่อยู่อาศัย
และได้อาศัยอยู่จริงในบ้านน้ัน ข้าราชการผู้นั้นย่อมมีสิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระค่าเช่าซื้อบ้าน
หรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๓๕๓/๒๕๕๐ และที่ อ.๗๒/๒๕๕๕ วนิ จิ ฉัยแนวทางเดยี วกัน)

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๓๑/๒๕๕๗ เดิมผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่ง
บรรณารักษ์ ๕ เป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านและได้รับอนุมัติให้เบิกเงินค่าเช่าบ้านมาโดยตลอด
และเม่ือผู้ฟ้องคดีดํารงตําแหน่งบรรณารักษ์ ๖ว ผู้ฟ้องคดีได้รับอนุมัติให้นําหลักฐานการผ่อนชําระ
เงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้าน ภายหลังผู้ฟ้องคดีได้รับการแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่ง
เป็นบรรณารักษ์ ๗ว และบ้านพักของทางราชการว่างลง ผู้อํานวยการสํานักงานส่งเสริมการศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยจังหวัดฉะเชิงเทรา (ผู้อํานวยการศูนย์การศึกษานอกโรงเรียน
จังหวัดฉะเชงิ เทรา เดิม) (ผู้ถูกฟ้องคดี) จึงมีคําส่ังจัดให้ผู้ฟ้องคดีเข้าพักอาศัยในบ้านพักของทางราชการ
ผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คําส่ังดังกล่าว ผู้ถูกฟ้องคดีจึงได้หารือไปยังผู้อํานวยการสํานักบริหารงานการศึกษา
นอกโรงเรียน และได้รับแจ้งว่ากรณีของผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการระดับ ๗ ไม่สามารถอ้างสิทธิ
ตามข้อ ๓ (๓) ของหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๐ เพราะสิทธิดังกล่าวใช้สําหรับข้าราชการระดับ ๖ ลงมาเท่าน้ัน การท่ีส่วนราชการได้จัดให้
ข้าราชการระดับ ๗ เข้าพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการ ข้าราชการผู้นั้นต้องเข้าพักอาศัย แม้ว่า
จะอยู่ระหว่างการใช้สิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านก็ตาม
ผู้ถูกฟ้องคดีจึงยืนยันให้ผู้ฟ้องคดีเข้าอยู่อาศัยในบ้านพักของทางราชการ และให้งดการเบิกจ่าย

รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๔๙

ค่าเช่าบ้านให้แก่ผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า หลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัด
ข้าราชการเข้าพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ ข้อ ๓ (๑) ท่ีกําหนดว่า เมื่อผู้มีอํานาจ
จดั ท่ีพักของแตล่ ะส่วนราชการไดจ้ ดั ทพี่ กั ให้แกข่ า้ ราชการผ้ดู ํารงตาํ แหน่งระดบั ๗ ขนึ้ ไป หรือตําแหน่ง
ทเี่ ทียบเท่า... เข้าพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการแล้ว ข้าราชการผู้น้ันจะต้องเข้าพักอาศัยไม่ว่าจะเป็น
ผ้มู ีสทิ ธิได้รบั ค่าเชา่ บา้ นหรอื ไม่นัน้ เปน็ การบังคบั ให้ข้าราชการระดับ ๗ เข้าพักในบ้านพักของทางราชการ
ไม่ว่าจะเป็นผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านหรือไม่ โดยไม่คํานึงถึงว่ากําลังเช่าซ้ือหรือผ่อนชําระราคาบ้าน
ท่ีอยู่อาศัยหรือไม่ ซึ่งไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗
กรณีจึงน่าจะหมายถึงการที่ทางราชการมีบ้านพักสามารถจัดให้ข้าราชการท่ีเริ่มรับราชการหรือ
เพิ่งย้ายมารับราชการในท้องที่นั้นพักอาศัยได้ ไม่ใช่กรณีที่มีบ้านพักว่างในภายหลังต้องบังคับให้
ข้าราชการท่ีเช่าซื้อบ้านหรือกู้เงินซ้ือบ้านเพื่ออยู่อาศัยโดยได้รับอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านต้องย้ายออก
จากบ้านท่เี ชา่ ซื้อ เพอ่ื เข้าอยู่ในบา้ นพกั ทางราชการและไม่สามารถเบิกค่าเช่าบ้านต่อไป จึงควรตีความว่า
กรณขี ้าราชการระดบั ๗ เช่าซื้อบ้านหรือกู้เงินซื้อบ้านก็ไม่ต้องให้ข้าราชการคนนั้นกลับเข้าพักในบ้านพัก
ของทางราชการเช่นเดียวกับข้าราชการระดับ ๖ จึงจะสอดคล้องกันและไม่เกิดการเลือกปฏิบัติ
อย่างกรณีของผูฟ้ อ้ งคดี ประกอบกับหลกั เกณฑแ์ ละวธิ ปี ฏบิ ัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในท่ีพัก
ของทางราชการ พ.ศ. ๒๕๕๐ เป็นเพียงการวางแนวทางปฏิบัติให้แก่ส่วนราชการในการพิจารณา
จัดขา้ ราชการเขา้ พักอาศัยในทพี่ ักของทางราชการเทา่ น้นั ข้อกําหนดตามหลักเกณฑด์ ังกลา่ วจึงไม่มีผล
เป็นการตัดสิทธิการเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการของผู้ฟ้องคดีท่ีมีอยู่ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ดังนน้ั ผ้ฟู ้องคดจี ึงยงั เปน็ ผูม้ ีสทิ ธิได้รับค่าเช่าบ้านเพ่ือชําระเงินกู้ที่ค้างชําระได้
ตามมาตรา ๗ ประกอบกบั มาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบ้านขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๖๐๘/๒๕๕๘ กรณีท่ีผู้ฟ้องคดีเริ่มรับราชการ
ครั้งแรกท่ีจังหวัดนครราชสีมา และย้ายมาปฏิบัติราชการที่จังหวัดเพชรบูรณ์เมื่อ พ.ศ. ๒๕๔๔
โดยทางราชการไม่ได้จัดที่พักอาศัยให้ ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ
ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน พ.ศ. ๒๕๒๗ และยังคงใช้สิทธิต่อเนื่องตามมาตรา ๗
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน พ.ศ. ๒๕๔๗ ต่อมา ผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินและปลูกสร้างอาคารเพื่อใช้
เป็นท่ีอยู่อาศัย และได้ใช้สิทธินําหลักฐานค่าผ่อนชําระมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ และใช้สิทธิต่อเนื่องตามมาตรา ๑๗
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ต่อมา เมื่อสรรพากรพื้นท่ีเพชรบูรณ์
(ผู้ถูกฟ้องคดี) ได้ก่อสร้างอาคารชุดพักอาศัยให้แก่ข้าราชการ จึงมีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีเข้าพักอาศัย
ในอาคารชุดดังกล่าวและระงับการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านข้าราชการ น้ัน ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
เมื่อผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นผู้มีสิทธิและใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการอยู่แล้วตามมาตรา ๗ ประกอบกับ
มาตรา ๑๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ก่อนที่จะมีการสร้างท่ีพัก
ของทางราชการขึ้นมาในภายหลัง ดังนั้น การท่ีผู้ถูกฟ้องคดีมีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีต้องย้ายออก
จากบ้านของตนท่ีผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านอยู่น้ันไปเข้าพักอาศัยในอาคารที่ทางราชการ
จัดให้เป็นท่ีพักอาศัยแก่ข้าราชการที่เดือดร้อนเร่ืองท่ีอยู่อาศัย เม่ือผู้ฟ้องคดีไม่เข้าพักอาศัยในที่พัก

๓๕๐ รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ท่ีทางราชการจัดให้ดังกล่าว โดยผู้ถูกฟ้องคดีถือเป็นเหตุในการเพิกถอนคําสั่งอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการแก่ผู้ฟ้องคดี และระงับการเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านของผู้ฟ้องคดี คําส่ังดังกล่าวของผู้ถูกฟ้องคดี
จึงไมช่ อบด้วยเจตนารมณข์ องกฎหมายว่าดว้ ยค่าเช่าบา้ นข้าราชการ ที่ต้องการจะช่วยเหลือข้าราชการ
ผู้ได้รับความเดือดร้อนเรื่องท่ีอยู่อาศัยอันเน่ืองมาจากทางราชการเป็นเหตุ และเมื่อข้าราชการผู้นั้น
ได้ดําเนินการกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินเพ่ือผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านท่ีต้องชําระไปแล้ว
ตามสิทธิในพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยได้รับอนุมัติจากผู้มีอํานาจ
โดยชอบแล้ว แต่ภายหลังกลับมาเพิกถอนคําสั่งท่ีอนุมัตินั้นโดยอาศัยเหตุแต่เพียงว่าทางราชการ
ได้สร้างที่พักราชการข้ึนมาในภายหลัง ย่อมเป็นการทําให้ข้าราชการต้องเดือดร้อนเพ่ิมข้ึนอย่างมาก
การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีเข้าพักอาศัยในอาคารชุดพักอาศัยของทางราชการท่ีสร้างข้ึนมา
ภายหลงั และมีคาํ สัง่ ยกอุทธรณข์ องผู้ฟ้องคดี รวมทง้ั มีคาํ สั่งให้ระงับการเบิกค่าเช่าบ้านให้แก่ผู้ฟ้องคดี
ต้ังแตเ่ ดือนกันยายน ๒๕๕๑ เป็นต้นมา จงึ เปน็ การกระทําทไี่ ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๖๗/๒๕๖๐ ผู้ฟ้องคดีบรรจุเข้ารับราชการ
ครั้งแรกท่ีสํานักงานการประถมศึกษาอําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๓๗ ได้รับคาํ ส่ังให้โอนย้ายมาดาํ รงตําแหน่งท่สี ถาบนั พัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากร
ทางการศึกษา (สถาบนั พัฒนาผบู้ ริหารการศึกษา เดิม) โดยสํานักงานตั้งอยู่ท่ีอําเภอสามพราน จังหวัด
นครปฐม และไดร้ ับอนมุ ัตใิ ห้เบิกค่าเชา่ บ้าน ผูฟ้ ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามมาตรา ๗
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ หลังจากน้ัน ผู้ฟ้องคดีได้ทําสัญญากู้เงิน
กับธนาคารเพอ่ื ซอ้ื เป็นของตนเองในทอ้ งทด่ี งั กล่าว และได้รบั อนมุ ัตจิ ากผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ให้นําหลักฐาน
การชาํ ระคา่ เชา่ ซ้อื หรือค่าผอ่ นชําระเงนิ กู้เพอื่ ชําระราคาบ้านมาเบกิ ค่าเชา่ บา้ นข้าราชการได้ตั้งแตว่ ันที่ ๑
พฤษภาคม ๒๕๔๗ จึงเป็นการใช้สิทธินําหลักฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระ
ราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการโดยชอบตามมาตรา ๗ ประกอบกับมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกา
ดังกล่าว ภายหลังผู้อํานวยการสถาบันพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา (ผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๑) มีคําสั่งใหผ้ ้ฟู อ้ งคดีเขา้ อยอู่ าศัยในท่ีพักที่วา่ งลง และให้ผูฟ้ ้องคดีงดเบิกค่าเช่าซื้อบ้านต้ังแต่วันที่ ๑
เมษายน ๒๕๕๕ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อสถาบันพัฒนาครูฯ ไม่ได้จัดท่ีพักอาศัยให้
และผู้ฟ้องคดีไม่มีเคหสถานของตนเองในท้องที่ที่ผู้ฟ้องคดีได้รับคําส่ังให้โอนย้ายมาดํารงตําแหน่ง
ผู้ฟ้องคดีจึงเช่าบ้านเพื่ออยู่อาศัยในระหว่างปฏิบัติราชการ ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการตามมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ จากน้ันผู้ฟ้องคดี
ได้ทําสัญญากู้เงินกับธนาคารอาคารสงเคราะห์เพ่ือซื้อบ้านเป็นของตนเองในท้องที่อําเภอสามพราน
และได้รับอนุมัติจากผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ให้นําหลักฐานการชําระค่าเช่าซ้ือหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้
เพ่ือชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ จึงเป็นการใช้สิทธิโดยชอบตามพระราชกฤษฎีกา
ดังกล่าว และได้รับการรับรองสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ การท่ี
ผูถ้ กู ฟ้องคดที ี่ ๑ จัดท่ีพักของทางราชการทีว่ ่างลงให้แกผ่ ู้ฟ้องคดไี ด้ในภายหลัง และมีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดี
เข้าอย่อู าศัยในท่พี กั ดงั กล่าว โดยใหผ้ ฟู้ ้องคดีงดเบิกค่าเช่าซอื้ บา้ น คําส่ังดังกล่าวย่อมเป็นการสร้างภาระ
และสร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้ฟ้องคดีจนเกินสมควร อันไม่ใช่ความประสงค์ของกฎหมายว่าด้วย


Click to View FlipBook Version