The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

รวมเรื่องเด่น ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี 60-62 ศาลปกครอง

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-12-06 02:14:41

รวมเรื่องเด่น ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี 60-62 ศาลปกครอง

รวมเรื่องเด่น ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี 60-62 ศาลปกครอง

รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๐๑

จนกว่าศาลจะมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเป็นอย่างอื่น และศาลปกครองสูงสุดก็มีคําสั่งยืนตามคําสั่ง
ของศาลปกครองชน้ั ตน้ ๘

อย่างไรก็ดี ก่อนที่นายสุรวัฒน์จะอุทธรณ์คําสั่ง ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐
มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ และนาํ มาฟ้องเป็นคดใี หม่น้นั ศาลปกครองขอนแกน่ ไดม้ ีคําพพิ ากษาในคดหี มายเลขดํา
ที่ ๔๓๕/๒๕๔๘ เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๗/๒๕๕๐ เมื่อวันท่ี ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ ให้เพิกถอน
คําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ที่ให้นายสุรวัฒน์
ต้องรับผิดเป็นเงิน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท โดยวินิจฉัยว่า การปฏิบัติหน้าท่ีของนายสุรวัฒน์มิได้เป็น
การกระทาํ ละเมิดทกี่ อ่ ให้เกิดความเสยี หายแก่นายทรงเกยี รติ เทศบาลนครขอนแก่นอุทธรณ์คําพิพากษา
ของศาลปกครองขอนแก่นต่อศาลปกครองสูงสุด เป็นคดีหมายเลขดําท่ี อ.๕๙๑/๒๕๕๐ และขณะท่ี
คดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองขอนแก่นได้มีคําพิพากษาในคดี
หมายเลขดําที่ ๕๙๖/๒๕๕๐ เป็นคดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๔/๒๕๕๔ เม่ือวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๔
ให้เพิกถอนคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐
ด้วยเหตผุ ลอยา่ งเดยี วกันกบั ในคดหี มายเลขแดงที่ ๑๘๗/๒๕๕๐ และคดถี ึงที่สุดเน่ืองจากเทศบาลนคร
ขอนแก่นมไิ ด้ยนื่ อทุ ธรณ์ภายในระยะเวลาทกี่ ฎหมายกาํ หนด

นายสุรวฒั นจ์ งึ มหี นงั สือ ลงวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ ขอส่งสําเนาเอกสารคําพิพากษา
ของศาลปกครองขอนแก่นคดีหมายเลขดําที่ ๕๙๖/๒๕๕๐ คดีหมายเลขแดงท่ี ๔๗๔/๒๕๕๔
ที่ศาลปกครองขอนแกน่ มคี าํ พิพากษาใหเ้ พิกถอนคําสั่งของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘
ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ท่ีส่ังให้นายสุรวัฒน์ชําระเงินจํานวน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท
และหนังสือรับรองคดีถึงที่สุด เพ่ือเป็นพยานหลักฐานในคดีต่อศาลปกครองสูงสุดในคดีหมายเลขดํา
ที่ อ.๕๙๑/๒๕๕๐ แต่ปรากฏว่าในคดีดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุดได้มีคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๒๕๗/๒๕๕๕ เม่ือวันที่ ๒๐ มิถนุ ายน ๒๕๕๕ กลับคําพิพากษาของศาลปกครองขอนแก่น เป็นให้
ยกฟ้องนายสุรวัฒน์ โดยวินิจฉัยว่า คําสั่งที่ให้นายสุรวัฒน์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินจํานวน
๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท นั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว และศาลปกครองขอนแก่นได้อ่านคําพิพากษา
ของศาลปกครองสูงสดุ ดังกลา่ วใหน้ ายสุรวฒั นฟ์ ังแล้วเมื่อวันท่ี ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕

ต่อมา นายสุรวัฒน์ได้ยื่นคําร้องเป็นหนังสือ ลงวันท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๖
ในคดีของศาลปกครองขอนแก่น หมายเลขแดงท่ี ๑๘๗/๒๕๕๐ ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดี
หรอื มีคาํ สงั่ ช้ขี าดคดีปกครองใหม่ ตามมาตรา ๗๕ แหง่ พระราชบัญญตั จิ ัดต้งั ศาลปกครองฯ โดยอา้ งว่า
เป็นกรณีท่ีศาลปกครองสูงสุดรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาดหรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทําให้
ขอ้ เท็จจรงิ ทฟ่ี งั เป็นยตุ แิ ล้วเปลยี่ นแปลงไปในสาระสําคัญ ซึ่งส่งผลให้คําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด
ท่ีให้ยกฟ้องของนายสุรวัฒน์ในคดีของศาลปกครองขอนแก่นหมายเลขแดงท่ี ๑๘๗/๒๕๕๐
คลาดเคล่ือนในสาระสําคัญทําให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม แต่ศาลปกครองขอนแก่นเห็นว่า
ศาลปกครองสูงสุดได้ใช้ดุลพินิจในการรับฟังข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ตลอดจนมีคําพิพากษา

๘ คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสดุ ที่ ๑๕/๒๕๕๕

๑๐๒ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ยกฟ้องนายสุรวัฒน์ในคดีดังกล่าวโดยชอบ มิใช่เป็นกรณีที่ศาลปกครองรับฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด
หรือมีพยานหลักฐานใหม่อันอาจทําให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นท่ียุติแล้วเปลี่ยนแปลงไปในสาระสําคัญ
หรือมีข้อบกพร่องสําคัญในกระบวนพิจารณาพิพากษาที่ทําให้ผลของคดีไม่มีความยุติธรรม ตามนัย
มาตรา ๗๕ วรรคหน่ึง (๑) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ในอันที่จะให้นายสุรวัฒน์
มีสิทธิยื่นคําขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคําส่ังช้ีขาดคดีปกครองใหม่ได้ จึงมีคําสั่ง
เม่ือวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๕๖ ไม่รับคําขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของนายสุรวัฒน์
นายสุรวัฒน์จึงได้อุทธรณ์คําสั่งไม่รับคําขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของศาลปกครองขอนแก่น
ต่อศาลปกครองสูงสุด เป็นคําร้องที่ ๙๐๐/๒๕๕๖ ซ่ึงต่อมาศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีคําสั่งกลับคําสั่ง
ของศาลปกครองช้ันต้น เป็นให้รับคําขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีใหม่ของนายสุรวัฒน์
ไวพ้ ิจารณา โดยวินิจฉยั ว่า๙ หนงั สือ ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ เป็นคําสั่งใหม่
ที่มีผลให้คําส่ังตามหนังสือ ที่ ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ที่ให้ผู้ฟ้องคดี
ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจํานวนเงิน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท ไม่มีผลบังคับใช้อีกต่อไป และเป็น
ข้อเท็จจริงท่ีอาจทําให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วในคดีหมายเลขดําท่ี อ.๕๙๑/๒๕๕๐ หมายเลขแดง
ที่ อ.๒๕๗/๒๕๕๕ น้ัน เปลย่ี นแปลงไปในสาระสําคัญ โดยข้อเท็จจริงในสว่ นนี้ยงั มไิ ด้มีการหยิบยกข้ึนมา
วินิจฉัย จึงเป็นกรณีที่ศาลฟังข้อเท็จจริงผิดพลาด เน่ืองจากศาลยังฟังว่าคําสั่งที่ ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓
ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ยังคงมีอยู่ ดังน้ัน หนังสือ ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐
มิถุนายน ๒๕๕๐ จึงเป็นข้อเท็จจริงอันอาจทําให้ข้อเท็จจริงที่ฟังเป็นยุติแล้วนั้นเปล่ียนแปลงไป
ในสาระสําคัญ อันเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีอาจขอให้ศาลปกครองพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคําส่ังชี้ขาด
คดีปกครองนั้นใหมไ่ ดต้ ามมาตรา ๗๕ วรรคหนึง่ แห่งพระราชบญั ญตั จิ ัดตั้งศาลปกครองฯ

หลังจากน้ัน ศาลปกครองขอนแก่นในคดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๗/๒๕๕๐ ก็ได้มีคําสั่ง
เมื่อวันท่ี ๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๘ ให้จําหน่ายคดีออกจากสารบบความเพราะเหตุแห่งการฟ้องคดี
หมดส้ิน๑๐ โดยวินิจฉัยว่า เม่ือผู้ถูกฟ้องคดีได้ออกคําส่ังใหม่ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
จํานวน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท ในมูลกรณีเดียวกันกับคดีน้ีแล้ว กรณีจึงถือได้ว่าคําส่ังเดิมท่ีให้ผู้ฟ้องคดี
ชําระเงิน จาํ นวน ๓๓,๕๕๐,๑๑๔.๓๔ บาท ที่เป็นมูลคดีน้ีได้ถูกคําส่ังใหม่ยกเลิกแล้วโดยปริยาย ต้ังแต่
วันท่ีคําสั่งใหม่มีผลใช้บังคับ จึงถือได้ว่าคําส่ังทางปกครองท่ีเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีน้ีได้หมดสิ้นแล้ว
ศาลจึงไม่จําต้องกําหนดคําบังคับเพื่อยุติความเดือดร้อนเสียหายของผู้ฟ้องคดี ตามมาตรา ๗๒
วรรคหน่ึง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ และไม่เป็นประโยชน์ท่ีจะพิจารณาคดี
อกี ต่อไป

๙ คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๘๓๒/๒๕๕๗
๑๐ จากการสืบค้นไม่พบว่าคู่กรณฝี ่ายใดได้ย่นื คํารอ้ งอุทธรณค์ าํ สง่ั จําหนา่ ยคดีของศาลปกครองขอนแก่น

รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๐๓

แผนผงั แสดงลําดับข้อเทจ็ จรงิ ตามลาํ ดบั เวลา
ในคดรี ะหวา่ งนายสุรวัฒน์ วภิ ษู ณะภัทร์ กบั เทศบาลนครขอนแกน่

คําสั่งท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลว. ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘
ใหช้ ดใช้เงิน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท
(คาํ สัง่ ตามข้อ ๑๗ วรรคหา้ )

ผลอทุ ธรณ์ ลว. ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๘

ฟ้องศาลปกครองขอนแกน่ คําสัง่ ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลว. ๒๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐
คดีหมายเลขดาํ ท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘ ใหช้ ดใชเ้ งนิ ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท
(คาํ ส่ังตามข้อ ๑๘ วรรคหนึง่ )
เมือ่ ๙ ธนั วาคม ๒๕๔๘
ผลอทุ ธรณ์ ลว. ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๐
ศาลปกครองขอนแกน่ พิพากษาเพิกถอนคาํ สัง่
คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๘๗/๒๕๕๐ ฟอ้ งศาลปกครองขอนแก่น
เมอ่ื ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ คดีหมายเลขดําท่ี ๕๙๖/๒๕๕๐

ย่นื อุทธรณต์ ่อศาลปกครองสงู สดุ เมอ่ื ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๕๐
คดีหมายเลขดําท่ี อ.๕๙๑/๒๕๕๐

ศาลปกครองขอนแก่นมีคาํ พิพากษาเพิกถอนคาํ สั่ง
คดีหมายเลขแดงท่ี ๔๗๔/๒๕๕๔

เมือ่ ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๕๔ (คดถี งึ ที่สุด-ไมอ่ ทุ ธรณ)์

ศาลปกครองสงู สดุ มีคําพพิ ากษากลับ เปน็ ให้ยกฟ้อง
คดีหมายเลขแดงท่ี อ.๒๕๗/๒๕๕๕
เมอ่ื ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕

ผู้ฟอ้ งคดยี ่นื ขอใหพ้ ิจารณาคดใี หม่

ศาลปกครองขอนแกน่ มคี ําสงั่ จาํ หนา่ ยคดี
เม่ือ ๑๘ สงิ หาคม ๒๕๕๘

๑๐๔ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

กรณีดังกล่าวข้างต้นเป็นกรณีท่ีผลของคําพิพากษาถึงท่ีสุดในศาลปกครองชั้นต้น
ตามคําพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น คดีหมายเลขแดงท่ี ๔๗๔/๒๕๕๔ ขัดกับผลของคําพิพากษา
ของศาลปกครองสูงสุด ตามคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๕๗/๒๕๕๕ ในคดีอุทธรณ์
คําพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น คดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๗/๒๕๕๐ ทั้งที่มูลกรณีของการออกคําสั่ง
เป็นข้อเทจ็ จรงิ จากการกระทําละเมิดกรณีเดียวกัน เพียงแต่คําสั่งซ่ึงเป็นวัตถุแห่งคดีที่ถูกนํามาฟ้องคดี
เปน็ คนละคาํ สัง่ กันเท่าน้นั กล่าวคือ ในคําพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น คดีหมายเลขดําที่ ๔๓๕/๒๕๔๘
คดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๗/๒๕๕๐ น้ัน คําส่ังที่ถูกนํามาฟ้องเป็นคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น
ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ แต่ในคําพิพากษาศาลปกครองขอนแก่น
คดีหมายเลขดําท่ี ๕๙๖/๒๕๕๐ คดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๔/๒๕๕๔ น้ัน คําส่ังท่ีถูกนํามาฟ้องเป็นคําส่ัง
ของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ซึ่งส่ังตามความเห็น
ของกระทรวงการคลงั

จากข้อเท็จจริงข้างต้น จึงมีประเด็นปัญหาที่น่าพิจารณาว่า เม่ือเทศบาลนคร
ขอนแก่นมีคําส่ัง ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ แล้ว ศาลปกครองขอนแก่น
จะสั่งจําหน่ายคดีหมายเลขดําท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘ ออกจากสารบบความได้หรือไม่ หรือหากคดีน้ี
นายสุรวัฒน์ไม่ได้นําคําสั่ง ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ มาฟ้องเป็นคดีใหม่
แต่ข้อเท็จจริงดังกล่าวได้ไปปรากฏต่อศาลปกครองขอนแก่นในคดีเดิม ศาลปกครองขอนแก่น
จะสามารถนําข้อเทจ็ จรงิ เกยี่ วกับความเหน็ ของกระทรวงการคลงั และคาํ ส่ังของเทศบาลนครขอนแกน่
ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ซึ่งเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นภายหลังฟ้องคดี
มาวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายได้หรือไม่ หรือหากนายสุรวัฒน์นําคําส่ัง ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘
ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ มาฟ้องคดีต่อศาล ศาลปกครองขอนแก่นจะส่ังรวมการพิจารณา
ของท้ังสองคดีเข้าด้วยกันได้หรือไม่ เพราะมูลความของท้ังสองคดีมีความเก่ียวเน่ืองใกล้ชิดกัน
และคู่กรณีก็ยังเป็นคนเดียวกันด้วย ซึ่งผลการศึกษาวิเคราะห์กรณีดังกล่าวอาจนําไปสู่การป้องกัน
มิให้เกิดปัญหาดังเช่นกรณีที่เกิดข้ึนน้ีอีกในอนาคต ท้ังน้ี ผู้เรียบเรียงขอนําเสนอข้อพิจารณา
เป็นรายประเดน็ ดังน้ี

๑. ศาลปกครองขอนแก่นจะส่ังจําหนา่ ยคดีหมายเลขดําท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘ ออกจาก
สารบบความได้หรือไม่

ก ร ณี มี ป ร ะ เ ด็ น ที่ จ ะ ต้ อ ง พิ จ า ร ณ า ว่ า คํ าสั่ ง เ ท ศ บ า ล น ค ร ข อ น แ ก่ น
ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ มีผลเป็นการเพิกถอนคําสั่งเทศบาลนคร
ขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ อันจะถือเป็นกรณีที่วัตถุแห่งคดี
หมดส้ินไปจนเป็นเหตใุ ห้คดีไม่มปี ระโยชน์ทีศ่ าลจะพิจารณาพิพากษาคดีต่อไป๑๑ หรือไม่

โดยที่การฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งท่ีให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั้น เป็นคดีพิพาท
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ วัตถุแห่งคดีในกรณีน้ีจึงได้แก่

๑๑ วรพจน์ วศิ รตุ พิชญ,์ วิธีพิจารณาคดปี กครองท่วั ไป (สาํ นักงานศาลปกครอง : ตุลาคม ๒๕๕๕), หน้า ๒.

รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๐๕

คําส่ังที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนนั่นเอง และเมื่อการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือเสียหาย
ใหแ้ ก่ผูฟ้ อ้ งคดีในกรณีนี้ คือ การเพิกถอนคําสั่งที่เป็นวัตถุแห่งคดีน้ัน ทั้งน้ี ตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง (๑)
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังน้ัน เหตุแห่งการฟ้องคดีลักษณะน้ีจะส้ินสุดลงก็ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริง
ปรากฏในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองว่า คําส่ังที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนท่ีถูกนํามาฟ้อง
ต่อศาล ถูกยกเลกิ เพิกถอน หรอื สิน้ ผลลงตามระยะเวลา หรอื สิ้นผลลงโดยปริยายแล้ว

สําหรับการออกคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังนั้น โดยปกติแล้ว
จะเป็นเพียงการแก้ไขเพ่ิมเติมตัวบุคคลท่ีต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน และจํานวนเงิน
ค่าสินไหมทดแทนที่ต้องชําระ ด้วยเหตุน้ี เดิมศาลปกครองสูงสุดจึงเห็นว่า การออกคําสั่ง
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังไม่ถือเป็นการยกเลิกเพิกถอนคําส่ังเดิมอันจะเป็นเหตุให้
เหตุแห่งการฟ้องคดีสิ้นสุดลงแต่อย่างใด ดังตัวอย่างคําสั่งของศาลปกครองสูงสุดท่ี ๖๖/๒๕๔๗
ในคดีที่นางอารยา วิชิตชลชัย ฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งของสํานักงาน
ศาลยตุ ธิ รรมทีส่ ่ังให้นางอารยาชดใช้คา่ สนิ ไหมทดแทน

คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๖๖/๒๕๔๗ ผฟู้ อ้ งคดกี ล่าวอ้างว่าคําสง่ั ของผู้ถกู ฟอ้ งคดี
ท่ี ๐๗๒/๒๕๔๕ ลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๔๕ ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนอันเกิดจาก
การกระทําโดยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง เป็นการฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายและขัดต่อ
บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กระบวนการมีคําส่ังและการพิจารณาอุทธรณ์
ของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทําโดยไม่มีอํานาจตามกฎหมาย และทางราชการไม่ได้รับความเสียหาย
ดังน้ี เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวหาว่าหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐกระทําการ
โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายโดยออกคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งผู้ฟ้องคดีเห็นว่า
เป็นการกระทําโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนคําสั่งดังกล่าว แม้ต่อมาผู้ถูกฟ้องคดีจะได้
มีคําสั่ง ท่ี ๘๕๓/๒๕๔๕ ลงวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๕ แต่คําส่ังดังกล่าวก็เป็นเพียงการเปลี่ยนแปลง
จํานวนค่าสินไหมทดแทนท่ีให้ชําระอันสืบเนื่องมาจากคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๐๗๒/๒๕๔๕
หาได้มีผลเป็นการยกเลิกคําส่ังที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้างว่าเป็นคําส่ังที่ไม่ชอบไม่ นอกจากน้ี ยังจะต้อง
พิจารณาต่อไปว่า คําสั่งและการกระทําของผู้ถูกฟ้องคดีไม่ชอบด้วยกฎหมายตามที่ผู้ฟ้องคดีกล่าวอ้าง
หรือไม่ ที่ศาลปกครองช้ันต้นเห็นว่า วัตถุแห่งการฟ้องคดีหมดสิ้นไป ศาลไม่จําต้องออกคําบังคับให้
ตามมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ และไม่เป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาคดีต่อไป
จึงมีคําส่ังให้จําหน่ายคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุดไม่เห็นพ้องด้วย จึงมีคําส่ังให้
ยกคําส่ังของศาลปกครองชั้นต้นท่ีให้จําหน่ายคดีนี้ออกจากสารบบความ และให้ศาลปกครองชั้นต้น
ดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาและพพิ ากษาต่อไปตามรปู คดี

หมายเหตุ คดีนี้ต่อมาผู้ฟ้องคดีได้เพิ่มเติมฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๘๕๓/๒๕๔๕ ด้วย ศาลปกครองช้ันต้นได้มีคําพิพากษายกคําฟ้อง
ของผู้ฟ้องคดี (คําพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีหมายเลขแดงท่ี ๖๕๐/๒๕๔๖) แต่ศาลปกครอง
สูงสุดพิพากษากลับคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นเป็นให้เพิกถอนทั้งคําสั่งที่ ๐๗๒/๒๕๔๕
และคาํ ส่งั ที่ ๘๕๓/๒๕๔๕ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๖๙๖/๒๕๕๕)

๑๐๖ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

อย่างไรก็ตาม ต่อมาศาลปกครองสูงสุดได้มีคําวินิจฉัยเกี่ยวกับผลของคําส่ังท่ีสอง
ที่ส่ังตามความเห็นของกระทรวงการคลังแตกต่างไปจากเดิม โดยเห็นว่าคําส่ังดังกล่าวเป็นการยกเลิก
คําส่ังท่ีหนึ่งไปโดยปริยาย ท้ังนี้ ตามคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๗๔๗/๒๕๕๔ ในคดีท่ีนายทวิช
ศรีธรรมยศ ฟ้องขอใหเ้ พกิ ถอนคาํ สง่ั ของเทศบาลนครสุราษฎร์ธานีท่สี ัง่ ใหน้ ายทวิชชดใช้ค่าสินไหมทดแทน

คาํ ส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๗๔๗/๒๕๕๔ คดนี ี้ขอ้ เทจ็ จรงิ รบั ฟังได้ว่า ผู้ถูกฟ้องคดี
ได้ออกคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ทางราชการในมูลกรณีเดียวกันรวม ๒ คําส่ัง
ได้แก่ คําส่ังท่ีหน่ึง คือ คําส่ังท่ี ๖๐๙/๒๕๔๕ ลงวันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๕ และคําส่ังที่ ๒๒๒/๒๕๔๖
ลงวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๔๖ (เพ่ิมเติม) ท่ีให้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุซึ่งมีผู้ฟ้องคดีรวมอยู่ด้วยรับผิด
ชดใช้เงินคืนแก่ผู้ถูกฟ้องคดี ๒.๕ ส่วน ใน ๑๐ ส่วน ของความเสียหายท้ังหมด คนละเท่า ๆ กัน
ในลักษณะลูกหน้ีร่วม เป็นเงิน ๙,๕๔๗,๗๙๐.๖๖ บาท คําสั่งที่สอง คือ คําส่ังที่ ๑๒๙๘/๒๕๕๒
ลงวนั ท่ี ๑๗ กันยายน ๒๕๕๒ ท่ใี ห้คณะกรรมการตรวจรับพัสดุซง่ึ มผี ฟู้ อ้ งคดรี วมอยู่ด้วยรับผิดชดใช้เงินคืน
แก่ผู้ถูกฟ้องคดีในอัตราร้อยละ ๒๕ ของความเสียหายจํานวน ๓๘,๑๙๑,๖๖๒.๖๓ บาท คิดเป็นเงิน
๙,๕๔๗,๙๑๕.๖๕ บาท โดยให้รับผิดเป็นเงินคนละ ๒,๓๘๖,๙๗๘.๙๑ บาท ซึ่งจะเห็นได้ว่า คําส่ัง
ดังกล่าวทั้งสองเป็นคําสั่งท่ีให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในมูลกรณีเดียวกันเป็นจํานวนเงิน
ทแ่ี ตกตา่ งกัน แม้วา่ คําสัง่ ทีส่ องระบวุ ่าเปน็ คาํ สัง่ ทแี่ ก้ไขเปลยี่ นแปลงคําส่งั ที่หน่ึง โดยมิไดร้ ะบุให้ยกเลิก
คําส่ังท่ีหน่ึง ก็ต้องถือว่าคําสั่งท่ีหนึ่งถูกคําสั่งที่สองยกเลิกโดยปริยายแล้วตั้งแต่วันท่ีคําส่ังที่สองมีผล
ใช้บังคับ ซ่ึงก็คือ วันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๒ การท่ีผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีเป็นคดีน้ีโดยมีคําขอให้
ศาลปกครองมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้เพิกถอนหรือแก้ไขคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๑๒๙๘/๒๕๕๒
ลงวันที่ ๑๗ กันยายน ๒๕๕๒ โดยให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้เงินน้อยกว่าเดิม จึงไม่เป็นการยื่นฟ้อง
ในเร่ืองเดยี วกันกับคดีเดิมซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองชั้นต้น เพื่อขอให้เพิกถอน
คําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ที่ ๖๐๙/๒๕๔๕ ลงวันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๕ และคําส่ังท่ี ๒๒๒/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๖ (เพ่ิมเติม) ตามคดีหมายเลขดําที่ ๒๐๘/๒๕๔๖ และศาลปกครองช้ันต้น
ได้มีคําพิพากษาแลว้ ขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดี
ยื่นฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีเป็นคดีน้ี จึงไม่เป็นการต้องห้ามตามความในข้อ ๓๖ (๑) แห่งระเบียบฯ ว่าด้วย
วิธีพิจารณาคดีปกครองฯ จึงมีคําส่ังกลับคําสั่งของศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคําฟ้องของผู้ฟ้องคดี
ไว้พิจารณา (คาํ ส่งั ศาลปกครองสงู สุดท่ี ๓๒๐/๒๕๕๕ วนิ ิจฉยั แนวทางเดยี วกนั )

อย่างไรกด็ ี ในคดที ่นี ายทวิชฟอ้ งขอให้เพิกถอนคําส่ังที่ ๖๐๙/๒๕๔๕ ลงวันท่ี ๒๒
สิงหาคม ๒๕๔๕ และคําส่ังที่ ๒๒๒/๒๕๔๖ ลงวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๔๖ (เพิ่มเติม) นั้น ก่อนหน้าท่ี
ศาลปกครองสูงสุดจะมีคําส่ังที่ ๗๔๗/๒๕๕๔ ดังกล่าวข้างต้น ศาลปกครองนครศรีธรรมราชได้พิพากษา
ให้เพิกถอนคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีบางส่วนไปแล้ว ตามคําพิพากษาศาลปกครองนครศรีธรรมราช
คดีหมายเลขแดงท่ี ๕๙-๖๗/๒๕๔๘ เม่ือวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๕๑ ซึ่งเทศบาลนครสุราษฎร์ธานี
ได้ย่ืนอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครองสูงสุดจึงได้มีคําสั่ง

รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๐๗

ให้จําหน่ายคดีออกจากสารบบความ ตามคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๘๒๓-๘๓๑/๒๕๕๗๑๒
โดยวินิจฉัยว่า คําส่ังทั้งสองเป็นคําสั่งที่ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในมูลกรณีเดียวกัน
เป็นจํานวนเงินท่ีแตกต่างกัน แม้ว่าคําส่ังท่ีสองระบุว่าเป็นคําส่ังท่ีแก้ไขเปล่ียนแปลงคําสั่งท่ีหน่ึง
โดยมิได้ระบุให้ยกเลิกคําส่ังที่หนึ่ง ก็ต้องถือว่าคําสั่งที่หนึ่งถูกคําสั่งที่สองยกเลิกโดยปริยายแล้วตั้งแต่
วันที่คําสั่งที่สองมีผลใช้บังคับ ซ่ึงก็คือวันท่ี ๑๗ กันยายน ๒๕๕๒ และศาลปกครองสูงสุดได้มีคําส่ัง
กลับคําสั่งของศาลปกครองช้ันต้น เป็นให้รับคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีที่ ๗ ไว้พิจารณาแล้ว ทั้งน้ี
ตามคําสั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ ๗๔๗/๒๕๕๔ ลงวนั ท่ี ๒๘ ธนั วาคม ๒๕๕๔ จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น
จึงเท่ากับว่าคําสั่งที่หน่ึงอันเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดีในคดีนี้ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว กรณีจึงไม่มีเหตุ
ท่ีศาลปกครองจะต้องกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนคําส่ังเทศบาลเมืองสุราษฎร์ธานี ที่ ๖๐๙/๒๕๔๕
ลงวันท่ี ๒๒ สิงหาคม ๒๕๔๕ และคําส่ังท่ี ๒๒๒/๒๕๔๖ ลงวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๔๖ (เพิ่มเติม)
ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ และไม่มีประโยชน์
ทจ่ี ะพิจารณาคดอี กี ตอ่ ไป

สว่ นคดที ี่นายทวิชฟอ้ งขอให้เพิกถอนคําส่งั ท่ี ๑๒๙๘/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๗ กันยายน
๒๕๕๒ นนั้ ตอ่ มา ศาลปกครองชั้นตน้ ได้มีคาํ พพิ ากษาใหเ้ พกิ ถอนคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี (คําพิพากษา
ศาลปกครองนครศรีธรรมราช คดีหมายเลขแดงที่ ๘๙/๒๕๕๓) และศาลปกครองสูงสุดได้มีคําพิพากษา
ยืนตามคําพิพากษาของศาลปกครองช้ันต้นให้เพิกถอนคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี ตามคําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๘๕๔/๒๕๕๙ โดยวินิจฉัยว่า การที่ผู้ถูกฟ้องคดีมีคําสั่งท่ี ๑๒๙๘/๒๕๕๒
ลงวันท่ี ๑๗ กันยายน ๒๕๕๒ เรียกให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เป็นเงินจํานวน
๒,๓๘๖,๙๗๘.๙๑ บาท เป็นการที่ผู้ถูกฟ้องคดีได้ออกคําสั่งเรียกค่าสินไหมทดแทนจากผู้ฟ้องคดี
เกินสิบปีนับแต่วันทําละเมิด สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายอันเกิดแต่มูลละเมิดจึงเป็นอันขาดอายุความ
ตามมาตรา ๔๔๘ วรรคหน่ึง แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์

ข้อสังเกต ด้วยความเคารพในคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ผู้เรียบเรียง
มีความเห็นต่างออกไปว่า คดีของนายทวิชดังกล่าวข้างต้นนี้ คําสั่งที่ ๖๐๙/๒๕๔๕ ลงวันที่ ๒๒
สิงหาคม ๒๕๔๕ และคําสั่งที่ ๒๒๒/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๕ มีนาคม ๒๕๔๖ (เพ่ิมเติม) นั้น เทศบาล
ได้ออกภายในอายุความตามกฎหมายแล้ว ซ่ึงผลในทางกฎหมาย คําสั่งน่าจะมีผลให้อายุความ
สะดุดหยุดลงตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ (๕) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ อันเป็นเหตุให้
ระยะเวลาที่ล่วงไปก่อนนั้นไม่นับเข้าในอายุความ และเม่ือเหตุที่ทําให้อายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุด
เวลาใด จึงให้เริ่มนบั อายุความใหม่ต้ังแต่เวลาน้ัน ทั้งน้ี ตามนัยมาตรา ๑๙๓/๑๕ แห่งประมวลกฎหมาย
เดียวกัน ดังน้ัน เมื่อต่อมาเทศบาลได้รับแจ้งผลการพิจารณาจากกระทรวงการคลังจึงได้มีคําสั่งให้
ชดใช้เงินอีกครั้ง คําสั่งท่ีออกในภายหลังย่อมเป็นการออกคําส่ังภายในกําหนดอายุความเช่นเดียวกัน
อันจะเป็นแนวทางการพิจารณาที่สอดคล้องกับข้อวินิจฉัยในคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี ๙๖๕/๒๕๕๙

๑๒ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๕๓๔/๒๕๖๑ วินิจฉยั แนวทางเดยี วกัน

๑๐๘ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ภายหลังจากที่มีคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๗๔๗/๒๕๕๔ และคําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๘๒๓-๘๓๑/๒๕๕๗ ท่ีวินิจฉัยว่า คําสั่งท่ีหนึ่งถูกคําสั่งท่ีสองยกเลิกโดยปริยาย
ศาลจึงชอบที่จะจําหน่ายคดีในส่วนที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังท่ีหนึ่งออกจากสารบบความได้
ในเวลาต่อมาก็ได้มีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดอีกหลายคดีท่ียืนยันแนวคําวินิจฉัยดังกล่าว๑๓
อาทิ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๖๘๔/๒๕๕๙ ที่ อ.๑๖๙๕/๒๕๕๙ ที่ อ.๑๗๓๗/๒๕๕๙
ท่ี อ.๕๖๑/๒๕๖๐ และท่ี อ.๕๓๔/๒๕๖๑ เปน็ ต้น

จากคําพิพากษาและคําสั่งของศาลปกครองสูงสุดข้างต้นจึงค่อนข้างชัดเจนว่า
แนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในปัจจุบันนั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าคําส่ังที่ออกตามข้อ ๑๗
วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจา้ หน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ถูกคําสงั่ ท่ีออกตามความเห็นของกระทรวงการคลังตามข้อ ๑๘ วรรคหนึ่ง
ของระเบียบฉบับเดียวกันยกเลิกไปโดยปริยาย ด้วยเหตุน้ี หากข้อเท็จจริงในคดีของนายสุรวัฒน์นี้
เกิดข้ึนในปัจจุบัน ศาลปกครองขอนแก่นจึงชอบที่จะส่ังจําหน่ายคดีหมายเลขดําท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘
ออกจากสารบบความได้ แต่โดยเหตุที่ตามข้อเท็จจริงในคดีน้ี ศาลปกครองขอนแก่นได้มีคําพิพากษา
ไปแล้วก่อนท่ีเทศบาลนครขอนแก่นจะมีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และเทศบาลนคร
ขอนแก่นได้อุทธรณ์คําพิพากษาของศาลปกครองขอนแก่นต่อศาลปกครองสูงสุด ดังน้ัน อํานาจ
ในการสั่งจําหน่ายคดีในกรณีน้ีจึงเป็นอํานาจของศาลปกครองสูงสุด อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา
ถ้อยคําของศาลปกครองสูงสุดในคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๘๓๒/๒๕๕๗ ที่มีคําสั่งกลับคําสั่งของ
ศาลปกครองชั้นต้น เป็นให้รับคําร้องขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคําส่ังช้ีขาดคดีปกครองใหม่
ไวพ้ จิ ารณา นั้น ศาลปกครองสูงสดุ ไดว้ นิ ิจฉัยไวต้ อนหน่งึ วา่ “... ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนคําแถลงขอส่งเอกสาร
เพิ่มเติมเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ อันเป็นการย่ืนภายหลังจากที่ศาลปกครองสูงสุดกําหนดวันส้ินสุด
การแสวงหาข้อเท็จจริง และภายหลังศาลปกครองสูงสุดกําหนดวันนั่งพิจารณาคดีคร้ังแรก...”
ซึง่ ขอ้ เทจ็ จริงดังกล่าวอาจมีผลให้ศาลปกครองสูงสุดไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขคําพิพากษาท่ีจัดทําไปแล้ว
ได้ทัน และเป็นผลให้ศาลปกครองสูงสุดมิได้มีคําสั่งจําหน่ายคดีดังกล่าวออกจากสารบบความ
ซึ่งข้อเท็จจริงดังกล่าวก็ทําให้เห็นว่า การพิจารณาว่าคําส่ังที่สองมีผลเป็นการเพิกถอนคําส่ังท่ีหนึ่ง
โดยปรยิ ายนนั้ อาจเกิดปญั หาในทางพจิ ารณาคดไี ด้ ไม่มากกน็ ้อย

๑๓ หมายเหตุของผู้จัดทํา ลงวันที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ล่าสุด คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๕๖/๒๔๖๒
ที่ คผ.๗๒/๒๕๖๒ และท่ี คผ.๑๑๖/๒๕๖๒ วินิจฉัยแตกต่างจากคําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี ๗๔๗/๒๕๕๔
และคําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๘๒๓-๘๓๑/๒๕๕๗ โดยวินิจฉัยวา่ คาํ สั่งทส่ี องเปน็ เพียงการแกไ้ ขคาํ สั่งทีห่ นง่ึ
เหตุแหง่ การฟ้องคดีท่ขี อให้เพกิ ถอนคาํ ส่ังท่ีหนึง่ จงึ ไม่สิ้นสุดลง

รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๐๙

๒. ศาลปกครองขอนแก่นจะสามารถนําข้อเท็จจริงเก่ียวกับความเห็น
ของกระทรวงการคลัง และคําสั่งของเทศบาลนครขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐
มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ มาพิจารณาในคดหี มายเลขดําที่ ๔๓๕/๒๕๔๘ ไดห้ รอื ไม่

การออกคําสั่งตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย
หลกั เกณฑก์ ารปฏิบัตเิ กี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ นั้น เป็นการออกคําส่ัง
ไปก่อนโดยไม่รอผลการตรวจสอบจากกระทรวงการคลัง ดังน้ัน ข้อเท็จจริงในส่วนของความเห็น
ของกระทรวงการคลังและคําส่ังของหน่วยงานของรัฐที่ส่ังตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
จึงเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดข้ึนภายหลังฟ้องคดี ซ่ึงผู้ฟ้องคดีย่อมไม่อาจยกข้อต่อสู้เกี่ยวกับความชอบ
ด้วยกฎหมายของการกระทําดังกล่าวไว้ในคําฟ้องได้ ดังนั้น โดยปกติแล้ว หากผู้ฟ้องคดีมิได้แก้ไข
เพ่ิมเติมคําฟ้องหรือย่ืนคําฟ้องเพิ่มเติมโดยมีคําขอให้เพิกถอนคําส่ังท่ีออกตามความเห็น
ของกระทรวงการคลังด้วย ศาลปกครองไม่น่าที่จะวินิจฉัยเก่ียวกับความชอบด้วยกฎหมายของความเห็น
ของกระทรวงการคลงั และคาํ สั่งของหน่วยงานของรฐั ท่ีสง่ั ตามความเห็นของกระทรวงการคลังได้

นอกจากน้ัน ยังปรากฏว่าในคําพิพากษาของศาลปกครองขอนแก่นในคดี
ระหว่างนายสุรวัฒน์ กับเทศบาลนครขอนแก่น คดีหมายเลขดําท่ี ๕๙๖/๒๕๕๐ คดีหมายเลขแดง
ท่ี ๔๗๔/๒๕๕๔ ก่อนที่ศาลจะวินิจฉัยถึงความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่ง ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘
ลงวันที่ ๒๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ นน้ั ศาลไดว้ ินจิ ฉัยถึงอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลกอ่ นวา่

“โดยท่ีในคดีหมายเลขดําที่ ๔๓๕/๒๕๔๘ คดีหมายเลขแดงท่ี ๑๘๗/๒๕๕๐
ผู้ฟ้องคดีได้ฟ้องผู้ถูกฟ้องคดีต่อศาลปกครองช้ันต้น เพื่อขอให้ศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําสั่งของ
ผถู้ กู ฟอ้ งคดี ที่ ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวนั ท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
จํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๖๖.๔๘ บาท ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาล กรมบัญชีกลางได้มีหนังสือ
แจ้งผลการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี โดยเห็นว่าผู้ฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนในกลุ่มผู้แก้ไขปัญหา เป็นเงินจํานวน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท ผู้ถูกฟ้องคดี
จึงออกคําส่ังตามหนังสือ ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนจํานวน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท อันเป็นการออกคําส่ังหลังวันนั่งพิจารณาคดี
ครั้งแรก ในคดีหมายเลขดําท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘ ซึ่งกําหนดในวันท่ี ๑๒ มิถุนายน ๒๕๕๐ ทั้งเม่ือศาลได้มี
คําพิพากษาในวันที่ ๒๘ มิถุนายน ๒๕๕๐ เพิกถอนคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดี ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓
ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ที่ให้ผู้ฟ้องคดีรับผิดเป็นเงินจํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีก็ยังคงดําเนินการให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจํานวน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท
ตามความเห็นของกรมบัญชีกลางอีก โดยเม่ือผู้ฟ้องคดีอุทธรณ์คําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีในวันที่ ๖
กรกฎาคม ๒๕๕๐ ผู้มีอํานาจวินิจฉัยอุทธรณ์ก็ได้วินิจฉัยยกอุทธรณ์ ในวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๐
อันแสดงให้เห็นว่าผู้ถูกฟ้องคดียังคงมุ่งประสงค์ที่จะให้คําส่ัง ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐
มิถุนายน ๒๕๕๐ มีผลอยู่ต่อไปและให้เป็นส่วนที่แยกต่างหากจากคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ดังนั้น กรณีจึงมีเหตุท่ีศาลจะต้องวินิจฉัย
ในเน้ือหาของคดีต่อไป โดยคดีมีประเด็นท่ีจะต้องวินิจฉัยว่า การท่ีผู้ถูกฟ้องคดีมีคําส่ังตามหนังสือ

๑๑๐ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ส่ังให้ผู้ฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจํานวน
๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท ใหแ้ ก่ผ้ถู กู ฟอ้ งคดเี ปน็ ไปโดยชอบดว้ ยกฎหมายหรอื ไม่”

จากคําพิพากษาของศาลปกครองขอนแก่นข้างต้น แสดงให้เห็นได้ว่า คําสั่ง
ท่ีออกไปก่อนโดยไม่รอความเห็นของกระทรวงการคลัง กับคําสั่งท่ีออกตามความเห็นของกระทรวง
การคลังสามารถพิจารณาแยกต่างหากจากกันได้ ประกอบกับการให้ความเห็นของกระทรวงการคลัง
ถือเป็นข้ันตอนหน่ึงในกระบวนการพิจารณาเพ่ือออกคําสั่งทางปกครอง ดังน้ัน ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
ความเห็นของกระทรวงการคลังและคําส่ังของหน่วยงานของรัฐที่ส่ังตามความเห็นของกระทรวง
การคลัง จึงถือได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงท่ีจําเป็นในการพิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่ง
ท่ีถูกนํามาฟ้องคดี ด้วยเหตุน้ี เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังแล้ว
เจ้าหน้าท่ีผู้ได้รับคําสั่งจึงควรท่ีจะดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการสําหรับการเยียวยาแก้ไข
ความเดอื ดรอ้ นหรือเสยี หายก่อนฟอ้ งคดใี หค้ รบถว้ น แล้วนําคําสง่ั ดงั กลา่ วมาฟ้องเป็นอีกคดีหน่ึง ท้ังนี้
เพื่อให้ศาลได้พิจารณากระบวนการในการดําเนินการเพ่ือออกคําสั่งเรียกให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ตงั้ แต่ต้นจนจบกระบวนการภายในของฝา่ ยปกครอง

อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบขอ้ เทจ็ จริงทป่ี รากฏในคําวนิ ิจฉยั ของศาลปกครอง
สูงสุดเกี่ยวกับคดีที่มีการฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งที่ออกไปก่อนตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบ
ดงั กลา่ ว พบวา่ มคี ดที ีศ่ าลปกครองชั้นตน้ ได้พิจารณาความชอบด้วยกฎหมายของคําสงั่ ท่ถี ูกนํามาฟ้องคดี
พร้อมท้ังความเห็นของกระทรวงการคลัง และคําส่ังท่ีส่ังตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ซึง่ ออกมาภายหลงั ฟอ้ งคดี โดยศาลปกครองชนั้ ต้นมิไดใ้ ห้ผู้ฟ้องคดีแก้ไขคําฟ้องหรือยื่นคําฟ้องเพ่ิมเติม
แต่อย่างใด ยกตัวอย่างเช่น ในคดีระหว่างนางสาวกฤติกา เลขะกุล (ผู้ฟ้องคดี) กับเทศบาลเมืองทุ่งสง
และนายกเทศมนตรีเมืองทุ่งสง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ และท่ี ๒ ตามลําดับ)๑๔ ซ่ึงผู้ฟ้องคดีขอให้ศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ ๒๕/๒๕๔๘ เรื่อง ให้เจ้าหน้าท่ี
ผู้กระทําละเมิดชดใช้เงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ลงวันท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๔๘
ในสว่ นท่เี กยี่ วกับผู้ฟ้องคดี ต่อมา ปรากฏข้อเท็จจริงในคําให้การของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองว่า ผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ได้มีคําสั่ง ที่ ๒๒๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙ ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
โดยผู้ฟ้องคดีไม่ได้แก้ไขเพ่ิมเติมคําฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ท่ี ๒๒๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙ แต่อย่างใด แต่ก็ปรากฏว่าในคําคัดค้านคําให้การ
ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีได้มีข้อกล่าวอ้างด้วยว่า คําส่ังผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ที่ ๒๒๓/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๒๒
มิถุนายน ๒๕๔๙ ไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ซ่ึงศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุด
ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับความชอบด้วยกฎหมายของท้ังคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ที่ ๒๕/๒๕๔๘ ลงวันท่ี ๑๕
กันยายน ๒๕๔๘ ท่ีเรียกให้ผู้ฟ้องคดี นางสวรัตน์ และพันเอก ชุมพล ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เป็นเงินคนละ ๗,๑๗๕,๖๕๐ บาท และคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ที่ ๒๒๓/๒๕๔๙
ลงวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙ ที่แก้ไขคําสั่งเดิมโดยเรียกให้ผู้ฟ้องคดี นางสวรัตน์ และพันเอก ชุมพล

๑๔ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๙๐๒/๒๕๕๕

รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๑๑

ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ เป็นเงินคนละ ๓,๙๓๖,๓๑๖.๖๗ บาท ตามความเห็น
ของกระทรวงการคลงั ซึ่งผู้เขียนเขา้ ใจว่า เหตุท่ศี าลมีคําวนิ จิ ฉัยถงึ ความชอบด้วยกฎหมายของผูถ้ ูกฟ้องคดี
ที่ ๑ ที่ ๒๒๓/๒๕๔๙ ลงวันท่ี ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๙ น่าจะด้วยเหตุถือว่า การท่ีผู้ฟ้องคดีได้มีข้อโต้แย้ง
คําสั่งดังกล่าวในคําคัดค้านคําให้การเป็นการแสดงความประสงค์โดยปริยายว่า ผู้ฟ้องคดีต้องการฟ้อง
เพิกถอนคาํ สงั่ นัน้ ดว้ ยเสมอื นหน่ึงเปน็ การแกไ้ ขเพิ่มเตมิ คําฟอ้ งโดยปริยายแล้ว๑๕

แตก่ ็ปรากฏว่า มีกรณีท่ีศาลปกครองชั้นต้นพิจารณาพิพากษาคดีในส่วนของคําสั่ง
ที่ออกตามความเห็นของกระทรวงการคลัง ซึ่งออกมาในระหว่างการพิจารณาคดีโดยที่ผู้ฟ้องคดี
มิไดข้ อแกไ้ ขเพิม่ เตมิ คาํ ฟ้องเขา้ มาด้วย ซง่ึ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เป็นกรณีท่ีศาลปกครองชั้นต้น
วินิจฉยั นอกฟ้องนอกประเด็น

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๕๕/๒๕๕๕ คดีน้ีผู้ฟ้องคดีท้ังสิบไม่ได้
ขอแก้ไขเพ่ิมเติมคําฟ้องหรือมีคําขอเก่ียวกับคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ท่ี ๑๗๕/๒๕๔๙ ลงวันท่ี ๕
เมษายน ๒๕๔๙ โดยข้อเท็จจริงในเร่ืองท่ีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้ออกคําสั่งที่ ๑๗๕/๒๕๔๙ ลงวันที่ ๕
เมษายน ๒๕๔๙ ตามมาตรา ๑๒ แหง่ พระราชบัญญัตคิ วามรับผดิ ทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
ประกอบกับข้อ ๑๘ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิด
ทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ให้ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบกับพวกรวม ๑๘ คน รับผิดชดใช้ค่าเสียหาย
ในกรณีดังกล่าวให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ภายใน ๔๕ วัน นับแต่วันถัดจากวันทราบคําส่ัง เพิ่งมาปรากฏ
ต่อศาลเน่ืองจากผูถ้ ูกฟ้องคดีที่ ๑ ยื่นคําแถลงต่อศาลในวันน่ังพิจารณาคดี ดังน้ัน คําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๑ ท่ี ๑๗๕/๒๕๔๙ ลงวันท่ี ๕ เมษายน ๒๕๔๙ จึงเป็นคําส่ังที่ไม่ได้มีการฟ้องโต้แย้งเกี่ยวกับ
ความชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อศาล ท่ีศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยในส่วนนี้ จึงเป็นการวินิจฉัย
นอกฟ้องนอกประเด็น อันเป็นกรณีปรากฏเหตุที่ศาลปกครองชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ
แห่งกฎหมายหรือระเบียบในส่วนท่ีว่าด้วยการทําคําพิพากษา ตามข้อ ๑๑๒ (๑) แห่งระเบียบฯ
วา่ ด้วยวิธีพจิ ารณาคดปี กครองฯ

ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงเห็นว่า กรณีที่ได้มีการฟ้องขอให้เพิกถอน
คําสั่งที่ออกตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติ
เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ น้ัน แม้ต่อมาจะปรากฏข้อเท็จจริง
ในระหว่างการพิจารณาคดีว่า หน่วยงานของรัฐผู้ถูกฟ้องคดีได้มีคําส่ังตามความเห็นของกระทรวง
การคลังแล้วก็ตาม ศาลปกครองน่าจะไม่สามารถที่จะวินิจฉัยถึงความชอบด้วยกฎหมายของคําส่ังนั้นได้
หากผู้ฟ้องคดีไม่ได้มีคําร้องขอแก้ไขเพ่ิมเติมคําฟ้องเพ่ือขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน

๑๕ หมายเหตุของผู้จัดทํา ลงวันท่ี ๓๐ ตุลาคม ๒๕๖๒ ภายหลังจากที่ได้เผยแพร่เอกสารเร่ืองนี้
ศาลปกครองสูงสุดได้มีคําวินิจฉัยในคําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๕๖/๒๕๖๒ ว่า “...ท่ีผู้ฟ้องคดีย่ืนคําคัดค้าน
คําให้การโดยมีคําขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งจังหวัดลําพูน ท่ี ๒๑๑๗/๒๕๖๐ ลงวันท่ี ๒๙
กันยายน ๒๕๖๐ ท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมคําส่ังจังหวัดลําพูน ท่ี ๑๙๔/๒๕๖๐ ลงวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ จึงไม่ใช่ประเด็น
หรือคําขอท่ีเพ่ิมข้ึนใหม่ต่างจากคําฟ้อง คําให้การ หรือท่ีศาลกําหนด ท่ีศาลต้องห้ามรับไว้พิจารณาตามข้อ ๔๘
วรรคสอง แห่งระเบียบฯ ว่าดว้ ยวิธีพจิ ารณาคดปี กครองฯ แต่อยา่ งใด...”

๑๑๒ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

คําส่ังท่ีออกมาภายหลังดังกล่าว ดังน้ัน ในคดีของนายสุรวัฒน์กับเทศบาลนครขอนแก่นท่ียกมาเป็น
อุทาหรณ์นี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า ศาลปกครองขอนแก่นไม่สามารถนําข้อเท็จจริงเกี่ยวกับความเห็น
ของกระทรวงการคลังและคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐
มิถุนายน ๒๕๕๐ มาพิจารณาในคดีหมายเลขดําที่ ๔๓๕/๒๕๔๘ ได้ และเมื่อได้กล่าวแล้วในหัวข้อท่ี ๑ ว่า
การออกคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังมีผลเป็นการยกเลิกเพิกถอนคําสั่งท่ีได้ออกไปก่อน
ตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบสาํ นกั นายกรฐั มนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิด
ทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยปริยาย ซ่ึงศาลปกครองขอนแก่นชอบท่ีจะส่ังจําหน่ายคดี
หมายเลขดําท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘ ออกจากสารบบความ ด้วยเหตุนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า การที่นายสุรวัฒน์
นําความเห็นของกระทรวงการคลังและคําสั่งท่ีออกตามความเห็นของกระทรวงการคลังไปฟ้อง
เปน็ อกี คดหี นึง่ โดยไม่ได้ขอแก้ไขเพม่ิ เติมคาํ ฟ้องมาในคดเี ดมิ จงึ เปน็ การดําเนินการที่เหมาะสมแล้ว

๓. เม่ือนายสุรวัฒน์นําคําสั่งของเทศบาลนครขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘
ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ มายื่นฟ้องต่อศาลปกครองขอนแก่นเป็นอีกคดีหน่ึง ศาลปกครอง
ขอนแก่นจะสง่ั รวมการพจิ ารณาของทง้ั สองคดเี ขา้ ด้วยกันได้หรอื ไม่

โดยท่ีแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่วินิจฉัยว่า คําสั่งท่ีสองมีผล
เป็นการเพิกถอนคําส่ังท่ีหนึ่งไปโดยปริยาย ดังนั้น ผลที่เกิดข้ึน ศาลปกครองช้ันต้นจะต้องมีคําสั่ง
จําหน่ายคดีท่ีฟ้องขอเพิกถอนคําส่ังที่หน่ึงออกจากสารบบความ ศาลปกครองขอนแก่นจึงย่อมไม่อาจ
อาศัยอํานาจตามข้อ ๗๙ วรรคหน่ึง แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ สั่งรวมคดีท้ังสอง
เข้าด้วยกันแล้วพิจารณาพิพากษารวมกันไปได้ ด้วยเหตุนี้ หากผู้ฟ้องคดียังคงเห็นว่าคําสั่งท่ีสองนั้น
ไม่ชอบ ก็ชอบท่ีจะยื่นฟ้องเป็นคดีใหม่เพ่ือขอเพิกถอนคําส่ังที่สองนั้นต่อไป ซึ่งในกรณีท่ีมีการฟ้อง
เป็นคดีใหม่ ผู้เขียนเห็นว่า ในการบริหารจัดการคดี หากได้มีการจ่ายคดีเข้าองค์คณะเดิมและตุลาการ
เจ้าของสํานวนคนเดิม อาจทําให้การดําเนินกระบวนพิจารณามีความรวดเร็วย่ิงข้ึน และในข้ันตอน
การแสวงหาข้อเท็จจริง ในชั้นการส่งคําฟ้องให้ผู้ถูกฟ้องคดีทําคําให้การ ซึ่งโดยปกติศาลมีอํานาจ
กําหนดประเด็นให้ผู้ถูกฟ้องคดีทําคําให้การได้ ศาลอาจจะต้ังประเด็นถามไปยังผู้ถูกฟ้องคดี
ว่าจะถือเอาคําให้การในคดีเดิมเป็นคําให้การในคดีใหม่นี้หรือไม่ เพ่ือเป็นแนวทางให้ผู้ถูกฟ้องคดี
ดําเนินการทําคําให้การ โดยอาจสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีส่งสําเนาคําให้การเดิมมาเป็นเอกสารประกอบด้วย
ก็ได้ ซึ่งน่าจะช่วยให้การทําคําให้การของผู้ถูกฟ้องคดีและการดําเนินกระบวนพิจารณาคดีของศาล
มีความรวดเรว็ ย่งิ ข้ึน

รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๑๓

๔. ปัญหาท่ีเกิดจากการท่ีศาลปกครองขอนแก่นไม่ได้จําหน่ายคดีหมายเลขดํา
ท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘ ออกจากสารบบความ

เมอื่ คําส่งั ของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม
๒๕๔๘ ทสี่ ั่งให้นายสรุ วฒั นช์ ดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เทศบาลเป็นเงินจํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท
และคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ที่ส่ังให้
นายสุรวัฒน์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เทศบาลเป็นเงินจํานวน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท
ต่างก็ถูกนํามาฟ้องต่อศาลปกครอง และหลังจากนั้น ศาลปกครองขอนแก่นก็ได้มีคําพิพากษา
ในคดีหมายเลขดําท่ี ๕๙๖/๒๕๕๐ ให้เพิกถอนคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘
ลงวันที่ ๒๐ มถิ นุ ายน ๒๕๕๐ เป็นคดหี มายเลขแดงที่ ๔๗๔/๒๕๕๔ ซึ่งคดีถึงที่สุดเนื่องจากไม่มีคู่กรณี
ฝ่ายใดยนื่ อุทธรณ์ และต่อมาศาลปกครองสูงสุดก็มีคําพิพากษาในคดีอุทธรณ์คําพิพากษาศาลปกครอง
ขอนแก่นคดหี มายเลขดาํ ที่ ๔๓๕/๒๕๔๘ คดีหมายเลขแดงที่ ๑๘๗/๒๕๕๐ ให้ยกฟอ้ งของนายสรุ วฒั น์
เนือ่ งจากเหน็ วา่ คําส่งั ของเทศบาลนครขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘
ชอบแล้ว เป็นคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๒๕๗/๒๕๕๕ ซ่ึงถ้าหากนายสุรวัฒน์ไม่ได้ยื่นคําร้อง
ขอให้ศาลพิจารณาพิพากษาคดีหรือมีคําสั่งช้ีขาดคดีปกครองใหม่ ย่อมส่งผลให้ผลของคําพิพากษา
ถงึ ท่สี ดุ ในศาลปกครองชั้นตน้ ขดั กับผลของคําพิพากษาถึงที่สดุ ในศาลปกครองสูงสุด และเกิดปัญหาว่า
คกู่ รณจี ะตอ้ งปฏิบตั ิตามคําพิพากษาฉบับใด

เก่ียวกับปัญหาในเรื่องคําพิพากษาหรือคําสั่งของศาลปกครองต่างชั้นกัน
ขัดหรือแย้งกันนั้น มาตรา ๗๔ วรรคหนึ่ง๑๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ บัญญัติว่า
“เมื่อมีคําพิพากษาหรือคําส่ังอันเป็นท่ีสุดของศาลปกครองต่างชั้นกันในประเด็นแห่งคดีอย่างเดียวกัน
ขดั หรอื แย้งกนั ใหถ้ อื ตามคาํ พพิ ากษาหรอื คําสัง่ ของศาลปกครองสูงสุด” ดังน้ัน ในกรณีของคําพิพากษา
ศาลปกครองขอนแก่น คดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๔/๒๕๕๔ และคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๒๕๗/๒๕๕๕ ซ่งึ มปี ระเดน็ แหง่ คดอี ยา่ งเดยี วกันว่า คาํ ส่งั ของเทศบาลนครขอนแก่นท่ีใหน้ ายสรุ วัฒน์
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เทศบาลชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ จึงน่าจะต้องถือตามคําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๕๗/๒๕๕๕ ท่ยี กฟ้องของนายสุรวัฒน์ และเม่ือคําสั่งของเทศบาลนครขอนแก่น
ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ถูกแก้ไขโดยคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น
ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ แล้ว ดังน้ัน จึงน่าจะถือว่าคําส่ังของเทศบาลนคร
ขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ซ่ึงถูกเพิกถอนโดยคําพิพากษา

๑๖ พระราชบญั ญตั ิจดั ต้งั ศาลปกครองและวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๗๔ เม่ือมีคําพิพากษาหรือคําสั่งอันเป็นที่สุดของศาลปกครองต่างชั้นกันในประเด็นแห่งคดี

อยา่ งเดียวกัน ขัดหรือแยง้ กันให้ถอื ตามคาํ พพิ ากษาหรือคาํ สง่ั ของศาลปกครองสูงสุด
ถ้าคําพิพากษาหรือคําสั่งอันเป็นท่ีสุดของศาลปกครองชั้นต้นด้วยกันมีการขัดหรือแย้งกันในประเด็น

แห่งคดีอย่างเดียวกัน คู่กรณีหรือบุคคลภายนอกผู้มีส่วนได้เสียจะยื่นคําร้องขอต่อศาลปกครองสูงสุดเพ่ือให้มีคําส่ัง
กําหนดวา่ จะให้ถอื ตามคาํ พพิ ากษาหรอื คําส่งั ใด คาํ สั่งของศาลปกครองสูงสดุ เช่นวา่ นใี้ หเ้ ป็นทส่ี ดุ

๑๑๔ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ศาลปกครองขอนแก่น คดีหมายเลขแดงท่ี ๔๗๔/๒๕๕๔ น้ัน เป็นคําสั่งท่ีชอบด้วยกฎหมายโดยผล
ของคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๕๗/๒๕๕๕ และเป็นเหตุให้เทศบาลนครขอนแก่นต้องใช้
มาตรการบังคับทางปกครองตามคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐
มิถุนายน ๒๕๕๐ ที่ส่ังให้นายสุรวัฒน์ชําระเงินจํานวน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท ซึ่งเป็นประโยชน์
ต่อนายสุรวัฒน์มากกว่า แต่น่ันก็เป็นเพียงความเห็นของผู้เขียนเท่าน้ัน เพราะเทศบาลนครขอนแก่น
อาจเห็นว่า คําพิพากษาของศาลปกครองขอนแก่น คดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๔/๒๕๕๔ กับคําพิพากษา
ของศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๕๗/๒๕๕๕ เป็นคนละคดีกัน เม่ือคําสั่งของเทศบาลนครขอนแก่น
ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ถูกเพิกถอนโดยคําพิพากษาศาลปกครอง
ขอนแก่น คดีหมายเลขแดงที่ ๔๗๔/๒๕๕๔ แล้ว จึงใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามคําส่ัง
ของเทศบาลนครขอนแก่น ท่ี ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ที่สั่งให้นายสุรวัฒน์
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เทศบาลเป็นเงินจํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท ซ่ึงคําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๒๕๗/๒๕๕๕ วนิ ิจฉัยแล้ววา่ เปน็ คาํ ส่ังทชี่ อบดว้ ยกฎหมาย กเ็ ป็นได้

๕. แนวทางป้องกันปัญหากรณีมีการฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งตามข้อ ๑๗
วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิด
ทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ แล้วต่อมาหน่วยงานของรัฐมีคําสั่งตามความเห็น
ของกระทรวงการคลงั ในระหวา่ งการพจิ ารณาคดี

ปัญหานี้เกิดจากการท่ีเจ้าหน้าท่ีที่ได้รับคําสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามข้อ ๑๗
วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้อุทธรณ์คําสั่งดังกล่าวและนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งน้ัน ซ่ึงเป็นไปตามมติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครอง
สงู สดุ คร้งั ที่ ๒๒/๒๕๔๖ ลงวนั ที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๔๖ ท้ัง ๆ ท่ีกระบวนการในการพิจารณาความรับผิด
ทางละเมดิ ยังไมค่ รบถว้ นบริบูรณ์ เนอ่ื งจากยังต้องรอความเห็นของกระทรวงการคลังก่อน แต่หน่วยงาน
ของรัฐจําเป็นต้องออกคําส่ังไปก่อนเพื่อไม่ให้พ้นอายุความสองปีนับจากวันท่ีผู้มีอํานาจแต่งตั้งวินิจฉัย
ส่ังการ และเมื่อคดีพิพาทเกี่ยวกับการฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ดังกล่าว ถือเป็น
คดีพิพาทเก่ียวกับการที่หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคําส่ังโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ซึ่งเป็นคดีที่อยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับเม่ือหน่วยงานของรัฐออกคําสั่งแล้ว เจ้าหน้าท่ี
ย่อมผูกพันตามคําสั่ง และหากไม่ชําระเงินคําสั่ง หน่วยงานของรัฐย่อมมีอํานาจใช้มาตรการบังคับ
ทางปกครองกับเจ้าหน้าที่ดังกล่าวได้ ศาลปกครองจึงชอบท่ีจะรับคําฟ้องคดีดังกล่าวไว้พิจารณา
พพิ ากษา และเมอื่ หนว่ ยงานของรัฐตน้ สังกดั ไดม้ ีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังตามข้อ ๑๘
ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหนา้ ที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึง่ คาํ ส่งั ดังกลา่ วก็ถือเป็นคําส่ังทางปกครองท่ีอาจถูกฟ้องขอให้เพิกถอนได้

รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๑๕

ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ เช่นเดียวกัน และไม่ถือเป็น
การฟ้องซอ้ นกับคดเี ดมิ (คาํ สงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ที่ ๗๔๗/๒๕๕๔)

โดยท่ีเมื่อแนวทางการพิจารณาคดีของศาลปกครองช้ันต้นในปัจจุบันคือ การมี
คําส่ังจําหน่ายคดีที่ฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังที่ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามข้อ ๑๗ วรรคห้า
ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ออกจากสารบบความ หากพบว่า มีการนําคําสั่งท่ีออกตามความเห็น
ของกระทรวงการคลงั มาฟ้องเปน็ อกี คดหี นึ่งต่อศาลปกครอง๑๗ ซง่ึ แนวทางนี้จะทําได้ก็ต่อเม่ือข้อเท็จจริง
ดังกล่าวได้ปรากฏข้ึนในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองช้ันต้น เพราะหากศาลปกครอง
ช้ันต้นได้มีคําพิพากษาไปแล้ว ศาลปกครองชั้นต้นย่อมไม่มีอํานาจที่จะสั่งจําหน่ายคดีดังกล่าว
ออกจากสารบบความอีกได้ แต่จะกลายเป็นอํานาจของศาลปกครองสูงสุดต่อไป โดยมีเงื่อนไขว่า
ข้อเท็จจริงดังกล่าวจะต้องปรากฏในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุดด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง
อาทิ ศาลปกครองสูงสุดมีคําสั่งให้คู่กรณีช้ีแจงข้อเท็จจริงเพ่ิมเติม หรือคู่กรณีย่ืนส่งเอกสารพยานหลักฐาน
ต่อศาลปกครองสูงสุดเพิ่มเติม เป็นต้น ซึ่งก็ดูจะเป็นการแก้ไขปัญหาท่ีปลายเหตุ รวมทั้งเสียเวลา
และค่าใช้จ่ายในการดําเนินคดีเพียงเพ่ือท่ีจะมีคําสั่งจําหน่ายคดีออกจากสารบบความ ดังน้ัน
แนวทางการป้องกันปัญหาในกรณีนี้ ผู้เขียนเห็นว่า เม่ือมีการฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังท่ีให้ชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์
การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งปรากฏข้อเท็จจริงจากเอกสาร
ท่ีคู่กรณียื่นต่อศาลหรือจากการแสวงหาข้อเท็จจริงเพิ่มเติมของศาลว่า ผู้มีอํานาจวินิจฉัยสั่งการ
ได้ส่งสํานวนให้กระทรวงการคลังเพื่อพิจารณาตรวจสอบแล้วก่อนจะมีคําส่ังดังกล่าว เช่นน้ี
ศาลปกครองควรมีคําส่ังให้รอการพิจารณาคดีเอาไว้ก่อนจนกว่ากระทรวงการคลังจะมีความเห็น
และหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดได้มีคําส่ังตามความเห็นของกระทรวงการคลัง รวมท้ังผู้ฟ้องคดี
ไดด้ าํ เนนิ การอุทธรณ์คําสง่ั ดงั กล่าวจนเสร็จสน้ิ การพจิ ารณาภายในของฝ่ายปกครองแล้ว

สําหรับอํานาจในการสั่งให้รอการพิจารณาคดีในกรณีนี้ แม้จะมิได้ถูกบัญญัติไว้
ในกฎหมายดังเช่นอํานาจในการสั่งให้รอการพิจารณาไปจนกว่าทายาท ผู้จัดการมรดก ผู้ปกครอง
ทรัพย์มรดก หรือผู้สืบสิทธิของคู่กรณีผู้ถึงแก่ความตาย จะมีคําขอเข้ามาแทนท่ีคู่กรณีผู้นั้น
ตามมาตรา ๕๓ วรรคหน่ึง๑๘ แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ หรืออํานาจในการส่ังให้รอ

๑๗ ดูคําสั่งศาลปกครองนครราชสีมา คดีหมายเลขแดงท่ี ๓๙๖/๒๕๕๖ และท่ี ๓๙๙/๒๕๕๖ คําส่ัง
ศาลปกครองพิษณุโลก คดีหมายเลขแดงที่ ๑๕๕/๒๕๕๘ ที่ ๑๕๖/๒๕๕๘ ท่ี ๑๖๖/๒๕๕๘ ที่ ๑๖๗/๒๕๕๘
และที่ ๑๗๐/๒๕๕๘ คาํ สงั่ ศาลปกครองอบุ ลราชธานี คดหี มายเลขแดงที่ ๒๖๔/๒๕๖๑ และที่ ๒๙๘/๒๕๖๑

๑๘ พระราชบญั ญัติจัดต้งั ศาลปกครองและวธิ พี จิ ารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๒
มาตรา ๕๓ ในกรณีท่ีคู่กรณีฝ่ายหนึ่งถึงแก่ความตายก่อนศาลปกครองพิพากษาคดี ให้ศาลปกครอง

รอการพิจารณาไปจนกว่าทายาท ผู้จัดการมรดก ผู้ปกครองทรัพย์มรดก หรือผู้สืบสิทธิของคู่กรณีผู้น้ันจะมีคําขอ
เข้ามาแทนที่คู่กรณีผู้ถึงแก่ความตาย หรือผู้มีส่วนได้เสียจะมีคําขอเข้ามา โดยมีคําขอเข้ามาเองหรือโดยท่ีศาล

๑๑๖ รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

การพิจารณาพิพากษาคดีที่มีหลายข้อหาหรือหลายประเด็นเกี่ยวพันกัน ตามข้อ ๔๑ วรรคหน่ึง
และวรรคสาม๑๙ แห่งระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ หรืออํานาจในการส่ังให้รอ
การพิจารณาคดีไว้ก่อนจนกว่าคู่กรณีท่ีฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลจะนํา
ค่าธรรมเนยี มศาลมาชําระภายในเวลาทศ่ี าลกาํ หนด ตามขอ้ ๔๑/๖ วรรคสอง๒๐ แห่งระเบียบเดียวกัน
ก็ตาม แต่อาํ นาจดงั กล่าวถอื เปน็ อาํ นาจท่วั ไปของศาลท่ีสามารถส่งั ได้เมือ่ เหน็ สมควร ทั้งน้ี เพอื่ ประโยชน์
ในการพิจารณาพิพากษาคดี ยกตัวอย่างเช่น ในคดีท่ีกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน
ฟ้องขอให้ศาลกําหนดคําบังคับให้ผู้รับจ้าง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ปฏิบัติการชําระหน้ีตามสัญญา
โดยทําการซ่อมแซมอุปกรณ์ตามสัญญาพิพาท หากไม่ดําเนินการ ให้ชดใช้ค่าเสียหาย แต่ระหว่าง
การพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นต้น ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้ย่ืนคําร้องขอให้ศาลทําการไต่สวน

หมายเรยี กให้เข้ามา เน่ืองจากคู่กรณีฝ่ายหนง่ึ ฝ่ายใดมีคําขอ คําขอเช่นว่าน้ีจะต้องยื่นภายในกําหนดหน่ึงปีนับแต่วันท่ี
คูก่ รณีผูน้ ้นั ถงึ แก่ความตาย

ถ้าไม่มีคําขอของบุคคลดังกล่าว หรือไม่มีคําขอของคู่กรณีฝ่ายหน่ึงฝ่ายใด ภายในเวลาท่ีกําหนด
ตามวรรคหนึง่ ศาลปกครองจะมคี ําส่ังจาํ หน่ายคดีนนั้ กไ็ ด้

๑๙-๒๐ ระเบียบของทปี่ ระชุมใหญต่ ลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ วา่ ด้วยวธิ พี จิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
ข้อ ๔๑ ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าคดีท่ีย่ืนฟ้องต่อศาลปกครองชั้นต้นมีหลายข้อหา ถ้าข้อหาหนึ่ง

ข้อหาใดเป็นเร่ืองท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองชั้นต้นน้ัน ไม่ว่าจะโดยเหตุท่ีข้อหาดังกล่าว
อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจของศาลปกครองชน้ั ต้นอ่ืน ศาลปกครองสูงสุด หรือศาลอ่ืนซึ่งมิใช่ศาลปกครอง ให้สั่งไม่รับ
ข้อหาท่ีไม่อยู่ในอํานาจหรือเขตอํานาจไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วนของข้อหาท่ีอยู่ในอํานาจ
และเขตอํานาจต่อไป แต่ในกรณีที่องค์คณะเห็นว่าข้อหาท่ีสั่งไม่รับไว้พิจารณาจะมีผลต่อการพิจารณาพิพากษาคดี
ของศาลปกครองช้ันต้นน้ัน องค์คณะอาจมีคําสั่งให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้จนกว่าข้อหาที่ส่ังไม่รับ
ไว้พจิ ารณาจะไดม้ กี ารพพิ ากษาหรือมคี ําส่งั ชขี้ าดคดโี ดยศาลท่มี อี าํ นาจหรือเขตอาํ นาจ และคดถี ึงที่สุดแล้ว

ฯลฯ ฯลฯ
ในกรณีท่ีคดีที่ย่ืนฟ้องต่อศาลปกครองช้ันต้นข้อหาใดมีหลายประเด็นเก่ียวพันกัน และปรากฏว่า
มีประเด็นท่ีจําเป็นต้องวินิจฉัยก่อนจึงจะวินิจฉัยประเด็นหลักแห่งคดีได้อยู่ในอํานาจของศาลปกครองสูงสุด
และประเดน็ ที่ต้องวินิจฉัยก่อนน้ันเป็นประเด็นที่ศาลปกครองช้ันต้นเห็นว่ากฎหรือคําสั่งทางปกครองใดน่าจะไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ให้ศาลปกครองช้ันต้นสั่งไม่รับประเด็นน้ันไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาในส่วน
ของประเด็นท่ีอยู่ในอํานาจต่อไป แต่ในกรณีท่ีองค์คณะเห็นว่าประเด็นท่ีสั่งไม่รับไว้พิจารณาจะมีผลต่อการพิจารณา
พิพากษาคดีของศาลปกครองช้ันต้น องค์คณะอาจมีคําส่ังให้รอการพิจารณาพิพากษาคดีไว้จนกว่าประเด็นท่ีสั่ง
ไมร่ บั ไว้พิจารณาจะไดม้ ีการพพิ ากษาหรอื มคี ําสงั่ ชขี้ าดคดโี ดยศาลปกครองสงู สุดแลว้
ข้อ ๔๑/๖ เมื่อศาลอนุญาตให้คู่กรณีใดฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล คู่กรณีนั้น
ไมต่ อ้ งเสียค่าธรรมเนียมศาลทไ่ี ดร้ ับยกเว้นในการดําเนนิ กระบวนพิจารณาในศาลน้ัน
ถ้าปรากฏต่อศาลว่าคู่กรณีที่ฟ้องหรืออุทธรณ์คดีโดยได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลมีทรัพย์สิน
เพียงพอจะเสียค่าธรรมเนียมศาลได้โดยมีอยู่แล้วในเวลาที่ย่ืนคําขอให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล หรือโดยสถานะ
ของคู่กรณีในขณะย่ืนคําขอ แม้ไม่ได้รับยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลก็ไม่ได้รับความเดือดร้อนเกินสมควร ให้ศาลรอ
การพิจารณาคดีไว้ก่อน และมีคําสั่งให้คู่กรณีน้ันนําค่าธรรมเนียมศาลมาชําระภายในเวลาท่ีศาลกําหนด หากไม่ชําระ
ภายในเวลาดังกล่าว ให้ศาลมคี าํ สง่ั จาํ หนา่ ยคดีออกจากสารบบความ

รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๑๗

เน่ืองจากภายหลังย่ืนฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีได้อนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ นําอุปกรณ์ตามสัญญาพิพาท
ไปแก้ไขซ่อมแซมตั้งแต่วันท่ี ๒๐ มีนาคม ๒๕๕๑ โดยผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ เสนอแผนงานว่าจะทํางาน
ให้แลว้ เสร็จภายในวันท่ี ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๕๑ หากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ทําการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ชํารุด
เสียหายให้อยู่ในสภาพใช้การได้ตามปกติแล้ว ผู้ฟ้องคดียินยอมถอนฟ้อง ศาลไต่สวนแล้ว ให้รอ
การพิจารณาคดีเพ่ือให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ทําการซ่อมแซมอุปกรณ์ที่ชํารุดบกพร่องให้แล้วเสร็จภายใน
เวลาที่กําหนด๒๑ เปน็ ตน้

อย่างไรก็ดี หากในคดที ี่ศาลปกครองช้ันต้นมีคําส่ังให้รอการพิจารณาคดีเอาไว้ก่อน
แต่หน่วยงานของรัฐที่ถูกฟ้องคดีกลับไปใช้มาตรการบังคับทางปกครองตามคําส่ังท่ีให้ชดใช้เงิน
ก็จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีได้ ดังนั้น กรณีที่มีการฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังท่ีให้ชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์
การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ นี้ ไม่ว่าผู้ฟ้องคดีจะมีคําขอ
หรือไม่ก็ตาม ศาลปกครองก็ควรมีคําสั่งให้ทุเลาการบังคับตามคําส่ังดังกล่าวตามข้อ ๗๑ วรรคสอง๒๒
แหง่ ระเบยี บฯ ว่าดว้ ยวธิ พี จิ ารณาคดปี กครองฯ ดว้ ย

หลังจากนั้น เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏแก่ศาลปกครองชั้นต้นท่ีพิจารณาพิพากษา
คดีน้ันว่า หน่วยงานของรัฐต้นสังกัดได้มีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังแล้ว ศาลปกครอง
ชั้นต้นจึงชอบที่จะมีคําสั่งให้จําหน่ายคดีออกจากสารบบความ เพื่อให้ผู้ฟ้องคดีนําคําสั่งท่ีออก
ตามความเห็นของกระทรวงการคลังไปฟ้องต่อศาลเป็นอีกคดีหนึ่งต่อไป อันจะเป็นการแก้ไขปัญหา
การพิจารณาคดีพิพาทเกี่ยวกับคําสั่งท่ีให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีนี้ได้ แต่ทั้งนี้การดําเนิน
กระบวนพิจารณาเช่นน้ี ก็อาจเกิดความเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีในกรณีท่ีผู้ฟ้องคดีมิได้อุทธรณ์คําสั่ง
ท่ีออกตามความเห็นของกระทรวงการคลัง หรือมิได้นําคําส่ังดังกล่าวมาฟ้องต่อศาลภายในกําหนด
ระยะเวลาการฟ้องคดี ด้วยเหตุน้ี เพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ผู้ฟ้องคดีเกินสมควร หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
ศาลปกครองไม่สามารถรับคดีท่ีฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังท่ีออกตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ไว้พิจารณาได้ ก็ควรให้ความเป็นธรรมต่อผู้ฟ้องคดีด้วยการพิจารณาพิพากษาคดีท่ีฟ้องขอให้เพิกถอน
คําส่ังที่ออกตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติ
เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ต่อไป โดยไม่จําต้องนําข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ
ความเห็นของกระทรวงการคลังและคําส่ังของหน่วยงานของรัฐที่ออกตามความเห็นของกระทรวง
การคลังมาใช้ในการพิจารณาพิพากษาคดี โดยเหตุว่า เมื่อศาลปกครองมีอํานาจท่ีจะรับคําฟ้อง
ท่ีขอให้เพิกถอนคําสั่งที่ออกตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบดังกล่าวไว้พิจารณาได้แล้ว ศาลปกครอง

๒๑ ดขู ้อเทจ็ จรงิ ในคําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๒๖๙/๒๕๕๗
๒๒ ระเบียบของท่ีประชุมใหญต่ ลุ าการในศาลปกครองสูงสดุ ว่าด้วยวธิ ีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓

ข้อ ๗๑ ฯลฯ ฯลฯ

ในกรณีท่ไี ม่มคี าํ ขอตามข้อ ๖๙ แต่ศาลเห็นว่ามีเหตุสมควรท่ีจะทุเลาการบังคับตามกฎ หรือคําสั่งทางปกครอง

ท่ีเป็นเหตุแห่งการฟ้องคดี ให้ศาลมีอํานาจส่ังทุเลาการบังคับตามกฎหรือคําสั่งทางปกครองนั้น โดยจะไต่สวนก่อน

หรอื ไม่กไ็ ด้

๑๑๘ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ก็ย่อมมีอํานาจท่ีจะวินิจฉัยได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทําละเมิดด้วยความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง
ในอันที่จะต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่หน่วยงานของรัฐหรือไม่ เพียงใด โดยไม่จําต้องพิจารณา
ความเหน็ ของกระทรวงการคลงั อกี นนั่ เอง

บทสรุปและขอ้ เสนอแนะ

คําสั่งให้ชดใช้เงินที่ออกไปก่อนโดยไม่รอความเห็นของกระทรวงการคลังตามข้อ ๑๗
วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ และคําส่ังให้ชดใช้เงินที่ออกตามความเห็นของกระทรวงการคลังตามข้อ ๑๘
ของระเบียบฉบับเดียวกัน ต่างก็เป็นคําสั่งทางปกครองท่ีอาจถูกฟ้องขอให้เพิกถอนต่อศาลปกครองได้
ตามนัยมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ประกอบกับมาตรา ๗๒
วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ทั้ง ๆ ที่คําส่ังท้ังสองออกโดยอาศัยมูลกรณีเกี่ยวกับ
การกระทําละเมิดกรณีเดียวกัน หากปล่อยให้มีการนําคําสั่งท้ังสองมาฟ้องเป็นคนละคดี โดยมิได้มีการ
บรหิ ารจดั การคดีทีเ่ หมาะสม อาจกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาการขัดหรือแย้งกันของคําพิพากษาท้ังในศาลปกครอง
ชั้นเดียวกันหรือต่างชั้นกันได้ ซ่ึงส่งผลให้เกิดปัญหาในการบังคับคดีต่อไป ดังนั้น เพ่ือเป็นการป้องกัน
ปัญหาดังกล่าว จึงควรให้คําสั่งทั้งสองได้รับการพิจารณาพิพากษาในคดีเดียวกัน ท้ังนี้ โดยการสั่งให้
รอการพิจารณาพิพากษาคดีท่ีฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังที่หนึ่งไว้ก่อน จนกว่าหน่วยงานของรัฐจะมี
คําส่ังตามความเห็นของกระทรวงการคลัง และผู้ฟ้องคดีได้ดําเนินการอุทธรณ์และนําคําสั่งดังกล่าว
ไปฟ้องเป็นอีกคดีหนึ่งภายในระยะเวลาการฟ้องคดีแล้ว เม่ือศาลปกครองได้มีคําสั่งให้รับคําฟ้องคดี
ในส่วนของคําสั่งที่ออกตามความเห็นของกระทรวงการคลังไว้พิจารณาแล้ว จึงมีคําส่ังจําหน่ายคดี
ในส่วนของคําส่ังที่ออกตามข้อ ๑๗ วรรคห้า ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์
การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ออกจากสารบบความ เช่นน้ี
จึงจะเป็นการปอ้ งกันปัญหาท่ยี กมาเป็นอุทาหรณน์ ไี้ ด้ และเปน็ การให้ความเปน็ ธรรมแก่คกู่ รณีในคดอี กี ด้วย

ความเหน็ เพิ่มเติมของผตู้ รวจ

โดยที่ภายหลังจากการหารือร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้เรียบเรียงเอกสารเรื่องน้ี
กบั ผตู้ รวจถึงข้อเสนอแนะแลว้ เจา้ หน้าที่ผเู้ รียบเรียงยังคงยืนยนั ความเหน็ เก่ียวกบั ข้อเสนอแนะของตน
ซึ่งผู้ตรวจพิจารณาแล้วเห็นว่าเป็นความเห็นท่ีเป็นเหตุเป็นผลอยู่ในตัว ผู้ตรวจจึงยังคงความเห็น
ของเจ้าหน้าที่ผู้เรียบเรียงช้ันต้นไว้ อย่างไรก็ตาม ผู้ตรวจมีความเห็นบางประการท่ีแตกต่างออกไป
จงึ ได้จัดใหม้ ีความเห็นเพ่ิมเติมของผู้ตรวจไวใ้ นเอกสารฉบับนดี้ ้วย ดังนี้

แนวทางการพจิ ารณาของศาลปกครองสูงสุดในปัจจุบัน เมื่อหน่วยงานของรัฐมีคําสั่ง
เรียกให้เจ้าหน้าที่ของรัฐชดใช้เงินโดยไม่รอความเห็นของกระทรวงการคลังแล้ว หากมีการฟ้องขอให้
ศาลเพิกถอนคําส่ังดังกล่าว และเป็นกรณีท่ีชอบด้วยเง่ือนไขการฟ้องคดี ศาลจะมีคําสั่งรับคําฟ้อง
ไว้พิจารณา แล้วดําเนินกระบวนพิจารณาจนกระทั่งมีคําพิพากษา แต่หากในระหว่างการพิจารณาคดี
ปรากฏข้อเท็จจริงต่อศาลว่า กระทรวงการคลังได้มีความเห็นในมูลละเมิดกรณีดังกล่าวแล้ว

รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๑๙

และหน่วยงานของรัฐได้ออกคําสั่งใหม่ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง โดยไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดี
ไดแ้ กไ้ ขเพิม่ เติมคําฟ้องขอให้ศาลมีคําวินิจฉัยถึงความชอบด้วยกฎหมายของคําส่ังท่ีออกตามความเห็น
ของกระทรวงการคลัง หรือตามคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีหรือตามข้อต่อสู้ของผู้ฟ้องคดีในชั้นการแสวงหา
ข้อเท็จจริงของศาลพอที่จะถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีประสงค์จะฟ้องโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายของคําสั่ง
ที่ออกตามความเห็นของกระทรวงการคลังดังกล่าว ศาลจะมีคําสั่งจําหน่ายคดีท่ีฟ้องคําส่ังแรก
ออกจากสารบบความ หากผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยกับคําส่ังของหน่วยงานของรัฐที่ออกตามความเห็น
ของกระทรวงการคลังดังกล่าว ก็สามารถนําคดีมาฟ้องเพ่ือขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอน
คําส่ังดงั กลา่ วได้ ทง้ั น้ี ภายใตเ้ งอ่ื นไขการฟอ้ งคดี

สําหรับกรณีท่ีปรากฏข้อเท็จจริงว่า มีการแก้ไขเพ่ิมเติมคําฟ้องโดยชัดแจ้งขอให้ศาล
มีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังของหน่วยงานของรัฐที่ออกตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
หรือตามคําฟ้องของผู้ฟ้องคดีหรือตามข้อต่อสู้ของผู้ฟ้องคดีในชั้นการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาล
พอท่ีจะถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีประสงค์จะฟ้องโต้แย้งความชอบด้วยกฎหมายของคําส่ังที่ออกตามความเห็น
ของกระทรวงการคลังดังกล่าว ศาลจะไม่จําหน่ายคดี หากแต่จะดําเนินกระบวนพิจารณาต่อไป
จนมีคําพิพากษาถึงความชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมายของคําสั่งของหน่วยงานของรัฐที่ออก
ตามความเห็นของกระทรวงการคลงั นนั้ ดว้ ย

จะเหน็ ได้ว่า ไม่ว่ากรณีจะเป็นประการใด สาระสําคัญของการพิจารณาจะต้องปรากฏ
ข้อเท็จจรงิ ตอ่ ศาลในระหวา่ งการดําเนินกระบวนพิจารณาวา่ หน่วยงานของรัฐได้มีคําสั่งตามความเห็น
ของกระทรวงการคลังแล้ว ซ่ึงปัญหาที่เกิดข้ึนตามกรณีศึกษานี้ เกิดจากการท่ีศาลไม่รู้ว่าในระหว่าง
การพิจารณาคดี หน่วยงานของรัฐได้มีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลังแล้ว เนื่องจาก
ไม่มีคู่กรณีฝ่ายใดหยิบยกข้อเท็จจริงดังกล่าวข้ึนแสดงต่อศาล ผู้ตรวจเห็นว่า เพ่ือเป็นการลดโอกาส
การเกิดปัญหาดังกล่าว ศาลอาจจะวางแนวทางปฏิบัติกรณีการฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งให้ชดใช้เงิน
กรณีท่ีหน่วยงานของรัฐออกคําสั่งก่อนท่ีกระทรวงการคลังจะมีความเห็นในเรื่องดังกล่าว โดยอย่างช้า
ในวันน่ังพิจารณาคดีคร้ังแรก ไม่ว่าจะเป็นศาลปกครองชั้นต้นหรือศาลปกครองสูงสุด ศาลควรมีคําส่ัง
ให้คู่กรณีชี้แจงข้อเท็จจริงต่อศาลว่า หน่วยงานของรัฐได้มีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
แล้วหรือไม่ อย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณา และหากมีการออกคําส่ังตามความเห็นของกระทรวง
การคลังแล้ว ผู้ฟ้องคดียังคงประสงค์จะฟ้องขอให้เพิกถอนคําสั่งของกระทรวงการคลังดังกล่าวหรือไม่
เพ่ือเป็นการอํานวยความยุติธรรมแก่คู่กรณีทุกฝ่าย เนื่องจากคําส่ังดังกล่าวย่อมมีที่มาจากฐาน
แหง่ ข้อกลา่ วหาว่ามีการกระทําละเมิดในมลู เดยี วกนั และคดจี ะได้เสรจ็ ไปในคราวเดียวกนั

ท้ังนี้ ในกรณีที่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า หน่วยงานของรัฐได้มีคําส่ังตามความเห็น
ของกระทรวงการคลังแล้ว แต่เร่ืองยังอยู่ระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์
ภายในกรอบระยะเวลาตามกฎหมาย ซึ่งโดยปกติแล้ว กรณีของคําสั่งหลังนี้ย่อมไม่อาจถือได้ว่า
ในขณะที่ข้อเท็จจริงดังกล่าวปรากฏต่อศาล ผู้ท่ีอยู่ภายใต้บังคับของคําสั่งเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีขอให้
เพิกถอนคําสั่งดังกล่าว เนื่องจากต้องถือว่าเป็นกรณีท่ียังไม่ดําเนินการเพื่อแก้ไขความเดือดร้อนหรือ
เสียหายตามข้ันตอนและวิธีการที่กฎหมายกําหนด อันไม่ชอบด้วยเงื่อนไขการฟ้องคดี ในกรณีเช่นนี้

๑๒๐ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

เพ่ือประโยชน์แห่งความยุติธรรม เน่ืองจากคําฟ้องมีมูลมาจากฐานแห่งการกระทําเดียวกัน เพ่ือไม่ให้
เกิดภาระแก่คู่กรณีท่ีอาจต้องมีการนําคดีมายื่นฟ้องคําสั่งใหม่เป็นอีกคดีหน่ึง และหน่วยงานของรัฐ
ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องคดีจะต้องมีภาระในการทําคําให้การ คําให้การเพ่ิมเติม หรือชี้แจงตามคําส่ังศาล
อันอาจเป็นไปในทํานองเดียวกันกับการดําเนินกระบวนพิจารณาในคดีแรก หากศาลจะถือหลักการ
โดยเคร่งครัดว่า คําส่ังหลังจะต้องชอบด้วยเงื่อนไขการฟ้องคดีในเร่ืองของการดําเนินการเพื่อแก้ไข
ความเดือดร้อนหรือเสียหายตามข้ันตอนและวิธีการที่กฎหมายกําหนดเสียก่อน จึงจะฟ้องต่อศาลได้
ศาลควรทจ่ี ะรอการพิจารณาคดไี วก้ ่อนเมอ่ื ได้รถู้ งึ ข้อเท็จจริงดังกล่าว ต่อเม่ือมผี ลการพิจารณาอุทธรณ์แล้ว
หรอื ผ้มู อี ํานาจในการพิจารณาอทุ ธรณ์มไิ ด้มีคาํ วนิ ิจฉยั อุทธรณ์ภายในระยะเวลาอันสมควร ศาลจึงจะเร่ิม
ดาํ เนนิ กระบวนพจิ ารณาตอ่ ไป

อย่างไรก็ตาม หากปรากฏว่าศาลใช้วิธีการจําหน่ายคดีเดิมออกจากสารบบความ
และผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนฟ้องเป็นคดีใหม่ เพ่ือให้การดําเนินกระบวนพิจารณาคดีใหม่เป็นไปโดยกระชับ
ศาลอาจกําหนดประเด็นถามไปยังผู้ถูกฟ้องคดีในชั้นการสั่งให้ทําคําให้การว่า ประสงค์จะให้การ
ทํานองเดียวกันกับการให้การในคดีเดิมหรือไม่ โดยให้ผู้ถูกฟ้องคดีส่งสําเนาคําให้การในคดีเดิม
มาเปน็ เอกสารประกอบคาํ ให้การด้วย ก็น่าท่ีจะทําให้การดําเนินกระบวนพิจารณาของศาลเป็นไปด้วย
ความรวดเร็วย่งิ ข้ึน

รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๒๑

เรอื่ งที่ ๘ กรณศี ึกษาเกยี่ วกับค่าสินไหมทดแทนสาํ หรบั ความเสียหายทางจติ ใจ

ค่าสินไหมทดแทน คือ การชดใช้ความเสียหายท่ีเกิดข้ึนแก่ผู้เสียหายเพ่ือเยียวยา
ให้ผู้เสียหายกลับคืนสู่สถานะเดิมเมื่อยังไม่มีการทําละเมิด ส่วนผู้กระทําผิดจะพึงต้องชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนเพียงใดนั้น ศาลจะเป็นผู้วินิจฉัยให้ตามสมควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรง
แห่งละเมิด โดยค่าสินไหมทดแทนได้แก่การคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายจะต้องเสียไปเพราะละเมิดหรือ
ใชร้ าคาทรพั ย์สินนัน้ รวมท้ังคา่ เสียหายอันจะพึงบังคับใช้เพ่ือความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อข้ึนน้ันด้วย
ทั้งน้ี ตามมาตรา ๔๓๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น เมื่อศาลเป็นผู้มีบทบาท
ในการกําหนดค่าสินไหมทดแทน ศาลสามารถจะกําหนดให้ได้โดยอาศัยพฤติการณ์และความร้ายแรง
แหง่ การกระทําละเมดิ ของผกู้ ระทาํ ละเมดิ และข้อเท็จจรงิ ที่เก่ียวขอ้ งเปน็ เกณฑใ์ นการพจิ ารณา

สําหรับค่าสินไหมทดแทนท่ีจะชดเชยให้สําหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทํา
ละเมิดน้ัน ย่อมมีทั้งค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายท่ีสามารถคํานวณนับเป็นตัวเงินได้
และค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายท่ีไม่สามารถคํานวณนับเป็นตัวเงินได้ เช่น การทําให้
ร่างกายพิการ การทําให้เจ็บปวดทุกข์ทรมาน หรือการสูญเสียอวัยวะ เป็นต้น ซึ่งแม้ว่าความเสียหาย
เหล่าน้ีจะไม่สามารถคํานวณออกมาเป็นจํานวนที่แน่นอนได้ แต่ก็จําต้องมีการชดใช้ให้กันเพ่ือเป็น
การทดแทนความเสียหายเช่นเดียวกับการชดใช้ค่าเสียหายสําหรับความเสียหายที่เป็นตัวเงิน เพียงแต่
อาจจะแตกต่างกันในด้านของผลท่ีเกิดขึ้นจากการเยียวยา กล่าวคือ สิ่งท่ีผู้เสียหายต้องสูญเสียไปน้ัน
ไม่ใช่เป็นทรัพย์สินเงินทองท่ีอาจจัดหาสิ่งท่ีมีค่าเท่าเทียมกันมาทดแทนได้ โดยการเยียวยาชดใช้ให้กัน
ก็จะเป็นเพียงการกําหนดมูลค่าของเงินข้ึนมาจํานวนหน่ึงเพ่ือทดแทนความเสียหายที่เกิดข้ึนเท่านั้น
แต่ไม่ได้หมายความว่าเงินจํานวนนี้จะมาทดแทนจนทําให้ความเสียหายน้ันหมดไปได้เสมอ กล่าวคือ
หากเงินน้ันสามารถทดแทนความเสียหายท่ีอยู่ในรูปตัวเงินก็อาจทําให้ความเสียหายท่ีเกิดขึ้นทั้งหมด
หมดไปหรือเสมือนหมดไปได้ แต่หากเงินน้ันมาทดแทนความเสียหายท่ีไม่ได้อยู่ในรูปแบบตัวเงิน
เช่น ความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ เงินน้ันก็อาจเพียงทําหน้าที่ในฐานะวัตถุกลางท่ีดีท่ีสุด
ท่ีผู้เสียหายพึงจะได้รับเพ่ือช่วยบรรเทาความเสียหายได้บ้างไม่มากก็น้อย แต่ไม่ได้หมายความว่า
ความเสียหายเหลา่ นั้นจะหมดไปจากการเยียวยาความเสียหายด้วยเงิน อย่างไรก็ตาม การชดเชยให้กัน
เป็นตัวเงินก็ถือได้ว่าเป็นวิธีการโดยทั่วไปท่ีเป็นท่ียอมรับและเป็นแนวทางที่ดีท่ีสุดเพราะยังไม่สามารถ
หาวธิ ีการอนื่ ทด่ี กี วา่ นไ้ี ดแ้ ลว้ ๑

 อมรรัตน์ กันไชย ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๑
ประจําวนั ที่ ๒๙ มิถนุ ายน ๒๕๖๑

๑ จักรินทร์ โกเมศ, ค่าเสียหายสําหรับความเสียหายทางจิตใจตามกฎหมายลักษณะละเมิด (วิทยานิพนธ์),
นิตศิ าสตรมหาบณั ฑติ สาขากฎหมายเอกชน คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๕๔, หนา้ ๑๑๘.

๑๒๒ รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ดว้ ยเหตุผลดงั กลา่ วข้างต้น ความเสยี หายทางจิตใจจงึ เป็นรปู แบบหนึ่งของความเสียหาย
อนั มใิ ช่ตวั เงิน ซ่งึ มีบทบัญญัติของกฎหมายรับรองไว้อย่างชัดเจนในมาตรา ๔๔๖ แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ ความว่า “ในกรณีทําให้เขาเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยก็ดี ในกรณีทําให้เขา
เสียเสรีภาพก็ดี ผู้ต้องเสียหายจะเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่
ตัวเงินด้วยอีกก็ได้” โดยนักกฎหมายส่วนใหญ่ต่างก็ยอมรับหรือรับรู้ถึงรูปแบบของความเสียหาย
ทางจติ ใจว่าเปน็ ความเสียหายอันมใิ ช่ตวั เงนิ รปู แบบหนึง่ ๒

ศาสตราจารย์ ดร.หยุด แสงอุทัย อธิบายไว้ว่า คําว่า “อันตรายแก่จิตใจ” เป็นการกระทํา
ให้เกิดผลต่อร่างกายของผู้เสียหายด้วยหรือไม่ก็ได้ เช่น ทําร้ายจนทําให้เขาปราศจากสติสัมปชัญญะ
หรือสลบไปเป็นเวลานานแม้จะไม่ปรากฏบาดแผล”

ศาสตราจารย์ จิตติ ติงศภัทิย์ อธิบายไว้ว่า “จิตใจเป็นส่วนท่ีเกิดแห่งความรู้สึก
ของตน ไม่มีรูปร่างอย่างหู ตา จมูก ลิ้น หรือกาย เป็นส่วนท่ีเกิดความสํานึก ความรู้สึก ความคิด
และอารมณ์นอกเหนอื ไปจากประสาทซ่งึ เป็นส่วนหน่ึงของร่างกายท่ีมีรูปร่าง บุคคลอาจเป็นอัมพาตไป
ในส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกาย แต่จิตใจคือส่วนที่เป็นความคิดยังเป็นปกติอยู่ก็ได้ จิตใจมิใช่อารมณ์
อันเป็นสิ่งที่กระทบจิตใจหรือเป็นอาการที่ปรากฏออกมา เช่น ความโกรธ ความรัก ความกลัว
ความอาย ความเสียใจ ความดีใจ อันเป็นความรู้สึกท่ีเกิดจากจิตใจอีกช้ันหนึ่ง การกระทําท่ีกระทบ
ถึงจิตใจซึ่งทําให้เกิดอาการของจิตใจเหล่าน้ีเป็นการกระทําต่อจิตใจทั้งส้ิน แต่การที่กระทบถึงจิตใจ
จะถึงเป็นการทําร้ายนั้นทําให้เสียหายทางจิตใจหรือไม่ คงต้องวินิจฉัยตามความคิดเห็นของวิญญูชน
ทว่ั ไป”

ศาสตราจารย์ ไพจติ ร ปุญญพนั ธ์ อธิบายไวว้ า่ “คา่ เสยี หายทางจิตใจเป็นความเสียหาย
ท่ีเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนได้ โดยในกฎหมายอาญาก็มีตัวบทกฎหมายปัจจุบันรับรองไว้ว่าอาจมี
การทาํ รา้ ยจนเปน็ เหตุให้เกิดอันตรายแก่จิตใจได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๙๕ มาตรา ๓๙๐
มาตรา ๓๙๑ ซึ่งสืบเน่ืองมาจากกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. ๑๒๗ เดิม และในมาตรา ๒๕๔ มาตรา ๔๒๐
หรอื มาตราอน่ื (ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ก็มิได้จํากัดว่าต้องเป็นความเสียหายที่มีรูปร่าง
หรือเป็นตัวเงินเท่าน้ัน แต่กว้างพอที่จะคลุมถึงความเสียหายทางจิตใจอันเป็นความเสียหายอันมิใช่
ตัวเงินด้วยตามมาตรา ๔๓๘ ที่ว่า ค่าสินไหมทดแทนจะใช้โดยสถานใด เพียงใด ฯลฯ อันควร
แก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดน้ัน ก็กว้างพอที่จะใช้แก่ความเสียหายทางจิตใจได้อยู่แล้ว
ที่ว่า “ความเสียหายอย่างใด ๆ อันได้ก่อให้เกิดขึ้นนั้นด้วย” ในวรรคสองก็ครอบคลุมถึงความเสียหาย
ทางจิตใจรวมอยู่ในคําว่า “อย่างใด ๆ” จึงไม่จํากัดว่าต้องถึงกับมีตัวบทกฎหมายให้เรียกค่าเสียหาย
ทางจติ ใจจงึ จะเรยี กได้”

๒ พรทิพย์ สุทธิอรรถศิลป์, ค่าเสียหายทางจิตใจ : ศึกษากฎหมายลักษณะละเมิดของศาลอังกฤษ
และเยอรมันเปรียบเทียบกับกฎหมายลักษณะละเมิดของไทย (ผลงานส่วนบุคคล), หลักสูตร “ผู้พิพากษาผู้บริหาร
ในศาลปกครองชั้นต้น” รุ่นที่ ๑๓ สถาบันพัฒนาข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม สํานักงานศาลยุติธรรม
พ.ศ. ๒๕๕๗, หน้า ๒๑.

รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๒๓

ศาสตราจารย์ ดร.วารี นาสกลุ อธิบายไว้ว่า คาํ วา่ “คา่ เสียหายทางจติ ใจ” นี้ เรยี กไมไ่ ด้
เพราะไม่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มักปรากฏเสมอในคําฟ้องของโจทก์
ซึ่งเป็นการเรียกร้องมาในรูปต่าง ๆ กัน เช่น ค่าเศร้าโศกเสียใจ ค่าโทมนัสอาลัย ค่าว้าเหว่ ค่าผิดหวัง
ค่าทกุ ข์ใจ การทก่ี ฎหมายไม่ได้บัญญตั ิใหม้ ีการเรียกค่าเสียหายเหล่านเี้ พราะตอ้ งการตดั ปัญหาความยุ่งยาก
ในการพิสูจน์ค่าเสียหายและอาจเป็นการให้ดุลยพินิจแก่ศาลมากเกินไปก็ได้ เพราะในทางปฏิบัติ
ไม่อาจหามาตรฐานได้ว่า “ค่าเสียหายทางจิตใจ” เหล่านั้นควรให้ได้เพียงใด และเพ่ือเป็นการตัดปัญหา
เหล่านี้ กฎหมายจึงไม่อนุญาตให้มีการเรียกร้องกันได้ แม้แนวคําพิพากษาเองก็ตีความหมาย
โดยเคร่งครัดว่าไม่อาจเรียกร้องกันได้... ว่ากันโดยทั่วไปแล้ว ใช่ว่าการบังคับให้จําเลยชดใช้ค่าเสียหาย
ทางจิตใจจะไม่เป็นการถูกต้องเสียเลยก็หาไม่ ในบางคร้ังกลับกลายเป็นทางออกหรืออุดช่องว่าง
ที่ไม่เป็นธรรมอย่างหนึง่

สาํ หรบั คาํ พิพากษาศาลฎกี าทผี่ ่านมา ความเสียหายทางจิตใจท่มี ีการชดเชยใหก้ นั นัน้
ต้องเป็นความเสียหายทางจิตใจท่ีมีลักษณะควบคู่ไปกับการบาดเจ็บทางร่างกาย หรือจะต้องมีเงื่อนไข
ของการบาดเจ็บทางร่างกายเป็นตัวบง่ ช้ีถงึ ความเสียหายทางจิตใจทเ่ี กดิ ขึน้ ๓

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๔๔๗/๒๕๒๓ ค่าเสียหายทางจิตใจท่ีโจทก์เกิดความตกใจ
หรือกระทบกระเทือนจิตใจน้ี ไม่มีบทกฎหมายบัญญัติให้เรียกร้องได้ อย่างไรก็ดี ตามคําฟ้องของโจทก์
ทบี่ รรยายวา่ ผลแหง่ การละเมิดทําให้โจทก์ตกใจเป็นอย่างมาก และการท่ีโจทก์ต้องสูญเสียแขนขวาไป
เป็นการกระทบกระเทือนจิตใจโจทก์เป็นอย่างยิ่ง โจทก์ขอคิดค่าเสียหายในส่วนน้ี ๖๐,๐๐๐ บาท นั้น
พอแปลความได้ว่าโจทกป์ ระสงค์เรียกร้องเอาค่าเสียหายเพราะเหตุที่โจทก์ต้องถูกตัดข้อมือขวาน่ันเอง
เป็นการเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงินซ่ึงโจทก์มีสิทธิ
เรียกร้องเอาได้ตามมาตรา ๔๔๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และศาลฎีกาเห็นว่า
ท่ีศาลล่างท้ังสองกําหนดค่าเสยี หายส่วนนี้ใหโ้ จทก์เปน็ เงิน ๓๐,๐๐๐ บาท นัน้ เหมาะสมแลว้

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๕๕๙๐/๒๕๓๕ จําเลยใช้มีดกรีดใบหน้าโจทก์ ๓ น้ิวคร่ึง
ลึก ๑ นิ้ว เมื่อบาดแผลหายแล้วมีแผลเป็น ทําให้โจทก์มีใบหน้าเสียโฉมอย่างติดตัว การที่โจทก์
เรียกร้องค่าสินไหมทดแทนในกรณีน้ีเป็นการเรียกค่าสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอันมิใช่ตัวเงิน
ตามมาตรา ๔๔๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ศาลกําหนดให้โดยพิเคราะห์
ถงึ พฤตกิ ารณ์และความรา้ ยแรงแหง่ ละเมดิ

คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๒๕๘๐/๒๕๔๔ โจทก์เป็นหญิงรับราชการเป็นอาจารย์
โดยตําแหน่งหน้าที่ต้องพบปะผู้คนจํานวนมาก แต่ต้องเสียบุคลิกภาพ ใบหน้าเสียโฉมเน่ืองจาก
หนงั ตาแหว่ง เหน็ ตาขาวมากกวา่ ปกติ ย่อมเป็นความทกุ ขท์ รมานทีโ่ จทกร์ ูส้ ึกไดอ้ ยตู่ ลอดเวลาตราบจน
ความเสยี โฉมดงั กลา่ วจะไดร้ บั การแก้ไข คา่ ทโ่ี จทก์ทนทุกข์ทรมานกับค่าที่โจทก์ต้องสูญเสียบุคลิกภาพ
ตัง้ แต่จาํ เลยผา่ ตดั โจทก์จนโจทก์ต้องได้รับการผ่าตัดแก้ไข ถือเป็นความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน
ตามมาตรา ๔๔๖ วรรคหนงึ่ แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์

๓ จักรนิ ทร์ โกเมศ, เรือ่ งเดิม, หนา้ ๒.

๑๒๔ รวมเรื่องเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

คาํ พิพากษาศาลฎีกาท่ี ๕๕๓/๒๕๕๒ เม่ือโจทกต์ ้องเสยี ความสามารถในการมองเห็น
เนื่องจากโจทก์เสียตาข้างซ้าย ทําให้ไม่สามารถมองเห็นภาพได้ละเอียดและกว้างเท่าคนปกติ ถือว่าเป็น
ค่าเสียหายอย่างอ่ืนอันมิใช่ตัวเงินตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา ๔๔๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณชิ ย์ ผทู้ ําละเมดิ จึงตอ้ งรบั ผิดชดใช้คา่ เสยี หายดังกล่าว หาใชต่ ้องกาํ หนดเป็นค่ารักษาพยาบาลไม่
และค่าเสียหายที่โจทก์ต้องเส่ือมสุขภาพอนามัย ต้องเสียโฉม ได้รับความเจ็บปวดทรมาน ถือเป็น
ค่าสนิ ไหมทดแทนเพอ่ื ความเสยี หายอยา่ งอื่นอนั มใิ ช่ตวั เงนิ โจทก์จงึ มสี ทิ ธิเรยี กได้

คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๖๐๙๒/๒๕๕๒ ค่าทนทุกข์ทรมานระหว่างเจ็บป่วย
ค่าเสียสมรรถภาพในการมองเห็น และค่าสูญเสียความสวยงาม ถือเป็นความเสียหายอย่างอ่ืน
อนั มิใชต่ ัวเงินซ่งึ โจทกม์ ีสทิ ธเิ รยี กไดโ้ ดยไม่ตอ้ งคาํ นึงว่าโจทกป์ ระกอบอาชพี ด้วยหรอื ไม่

หรือแม้โจทก์จะไม่ได้รับความบาดเจ็บทางร่างกายหรืออนามัย แต่หากศาลสามารถ
เชื่อมโยงความเสียหายทางจิตใจ เช่น ความตกใจกลัว ให้มีเง่ือนไขมาจากความเสียหายทางร่างกาย
หรอื อนามยั ได้แล้ว ศาลกอ็ าจกําหนดคา่ เสยี หายทางจติ ใจใหแ้ ก่โจทก์ได้

ต่อมา ศาลฎีกามีคําพิพากษาที่ ๔๕๗๑/๒๕๕๖ วินิจฉัยว่า ในคดีเดิมอันเป็นมูลเหตุ
ของคดีนี้ คือ คดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๑๐๒๗/๒๕๕๒ ของศาลชั้นต้น มีโจทก์คดีนี้เป็นผู้เสียหาย
ศาลในคดีดังกล่าวยังได้อนุญาตให้โจทก์คดีน้ีเป็นโจทก์ร่วมด้วย จึงฟังได้ว่าโจทก์คดีน้ีเป็นผู้เสียหาย
และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ตามคดีอาญาหมายเลขแดงดังกล่าวข้างต้นแล้วว่า จําเลยถืออาวุธปืนติดตัว
ออกมาบริเวณทางเดินเท้าสาธารณะซ่ึงอยู่ติดกับถนนสาธารณะหลังจากมีปากเสียงกับโจทก์
ประกอบกับจําเลยยังรับข้อเท็จจริงในคดีนี้อีกว่า จําเลยได้พูดขู่เข็ญโจทก์ว่า “มึงอยากตายหรือ”
การกระทําดังกล่าวนับว่าเป็นการกระทําโดยจงใจทําให้โจทก์เสียหาย เป็นการทําละเมิดต่อโจทก์
ตามมาตรา ๔๒๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แล้ว โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
แม้วา่ จาํ เลยจะมิได้ยิงอาวุธปืนดังกล่าวก็ตาม แต่การท่ีจําเลยใช้อาวุธปืนข่มขู่โจทก์เช่นนี้เป็นการทําให้
โจทก์เสียหายแก่ร่างกายและอนามัยของโจทกแ์ ล้ว เพราะเปน็ การทําใหโ้ จทก์ตกใจกลวั เป็นความเสยี หาย
เก่ียวกับความรู้สึกทางด้านจิตใจ ซ่ึงเป็นความเสียหายอย่างอ่ืนอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา ๔๔๖
แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ โจทก์มีสทิ ธิเรียกคา่ สนิ ไหมทดแทนในกรณดี งั กลา่ วนีไ้ ด้

แต่ในกรณีที่ความเสียหายทางร่างกายหรืออนามัยจากการกระทําละเมิดน้ัน
ไม่ได้เกิดกับโจทก์โดยตรง แต่เกิดกับบุคคลอื่นท่ีเป็นญาติหรือบุคคลอันเป็นท่ีรักหรือใกล้ชิดกับโจทก์
ทําให้โจทก์โศกเศร้าเสียใจ ว้าเหว่ หรือได้รับความกระทบกระเทือนจิตใจ กรณีเช่นนี้ศาลจะปฏิเสธ
การชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจให้แก่โจทก์มาโดยตลอด โดยให้เหตุผลแห่งคําวินิจฉัยว่า “ไม่มีกฎหมาย
บัญญัติให้เรียกร้องได้” (คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๑๗๔๒/๒๔๙๙) ซ่ึงเป็นบรรทัดฐานตลอดมา
ถึงการปฏิเสธการชดเชยให้ซ่ึงค่าเสียหายทางจิตใจสําหรับความเศร้าโศกเสียใจเน่ืองจากการท่ีญาติ
หรือบุคคลทีม่ คี วามใกล้ชิดกับตนได้รับบาดเจบ็ หรอื ถงึ แกค่ วามตาย

รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๒๕

คาํ พพิ ากษาศาลฎีกาที่ ๑๗๔๒/๒๔๙๙ จําเลยฆ่าบุตรโจทก์ถึงแก่ความตาย ย่อมถือว่า
จําเลยได้กระทําการละเมิดต่อโจทก์ ทําให้โจทก์ขาดผู้อุปการะเลี้ยงดูไปโดยมิต้องคํานึงว่าในปัจจุบัน
บุตรที่ตายจะได้กําลังอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ผู้เป็นมารดาอยู่หรือไม่ ส่วนค่าเสียหายจะเท่าใดศาลย่อม
กําหนดให้ตามสมควร ส่วนค่าเสียหายเพ่ือความวิปโยคโทมนัสนั้นเรียกไม่ได้ เพราะไม่มีกฎหมาย
บัญญัติใหเ้ รยี กร้องได้

คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๗๘๙/๒๕๐๒ สามีไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายทางจิตใจ
ที่เกิดความว้าเหว่เพราะสูญเสียภริยาผู้เคยปฏิบัติให้ชีวิตสามีมีความสุขจากผู้ที่ทําให้ภริยาของตน
ถงึ แก่ความตาย เพราะไม่มกี ฎหมายบัญญัติ

คําพิพากษาศาลฎีกาท่ี ๒๘๑๖/๒๕๒๘ คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ ๑๘ พฤษภาคม
๒๕๒๒ นายประมวล ใจสุข ได้ส่งโทรเลขถึงโจทก์ความว่า “อ๋อยถึงแก่งคอยแล้ว” แต่จําเลยที่ ๑
ซ่ึงเป็นพนักงานของการสื่อสารแห่งประเทศไทย ประจําที่ทําการไปรษณีย์โทรเลขสระบุรี จังหวัดสระบุรี
และมหี นา้ ท่ปี รุขอ้ ความโทรเลขเพ่อื สง่ ใหผ้ ู้รับ ไดป้ รุขอ้ ความโทรเลขเพือ่ สง่ ต่อไปยังโจทก์ด้วยข้อความว่า
“อ๋อยถึงแก่กรรมแล้ว” เมื่อโจทก์ได้รับโทรเลข โจทก์ตกใจและเศร้าโศกเสียใจ ได้จัดเตรียมพิธีการ
ทางศาสนา จ้างเหมารถยนต์ไปบอกข่าวแก่ญาติและเดินทางมารับศพท่ีอําเภอแก่งคอย เสียค่าใช้จ่าย
รวมเปน็ เงิน ๑๘,๐๐๐ บาท นับแต่ได้รับโทรเลขแล้ว โจทก์ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจมาก
ถงึ กบั ทําให้เจ็บป่วย เสียค่ารักษาพยาบาล สุขภาพจิตไม่เป็นปกติ อันเป็นความเสียหายทางด้านอนามัย
มิอาจคํานวณเป็นตัวเงินได้ ขอค่าเสียหายในส่วนนี้ ๑๐,๐๐๐ บาท ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่โจทก์
ได้รับความเศร้าโศกเสียใจเน่ืองจากได้รับโทรเลขท่ีจําเลยท่ี ๑ ปรุข้อความผิดเป็นว่าบุตรสาวโจทก์
ถึงแก่กรรมแล้วน้ัน ความเศร้าโศกเสียใจของโจทก์เป็นเพียงอารมณ์ท่ีเกิดขึ้นเม่ือทราบข่าวร้าย
ไมม่ ีบทกฎหมายใดทีบ่ ัญญัติให้สทิ ธโิ จทกเ์ รียกค่าเสยี หายในเร่อื งนไ้ี ด้

จากคําพิพากษาศาลฎีกาข้างต้นพอสรุปได้ว่า ศาลฎีกาจะให้ค่าเสียหายทางจิตใจ
ภายใตเ้ งื่อนไข ดงั นี้๔

(๑) ต้องมีความเสียหายทางร่างกายหรืออนามัยประกอบกับความเสียหายทางจิตใจ
หากเป็นเพียงความเสียหายทางจิตใจอย่างเดียว โดยไม่มีความเสียหายทางร่างกายหรืออนามัยเกิดขึ้น
หรือถอื ได้วา่ เกดิ ขึ้น ศาลฎกี าจะไม่กาํ หนดค่าเสยี หายทางจิตใจให้ และความเสยี หายทางจิตใจตอ้ งเป็น
ความเสียหายทางจิตใจในทางจิตเวชหรือเป็นความเสียหายทางจิตใจอย่างแท้จริง หากเป็นเพียง
ความเสยี หายทางอารมณ์ หรอื ความเศร้าโศกเสยี ใจ จะไมไ่ ด้รับการชดใช้คา่ สนิ ไหมทดแทน

(๒) ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงเท่าน้ัน หากเป็นผู้เสียหายโดยอ้อม กล่าวคือ
เป็นผู้ได้รับความเสียหายทางจิตใจเนื่องจากผู้เสียหายโดยตรงถูกกระทําละเมิด จะไม่ได้รับค่าเสียหาย
ทางจิตใจ

๔ พรทพิ ย์ สทุ ธอิ รรถศลิ ป,์ เร่ืองเดิม, หนา้ ๒๕.

๑๒๖ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ในส่วนของต่างประเทศน้ัน ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายทางจิตใจ
ของประเทศอังกฤษ๕ ศาลอังกฤษยอมให้มีการชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจสําหรับความเสียหาย
ทางจิตใจในรูปแบบของความเจ็บป่วยทางจิตใจหรือการเกิดข้ึนของโรคทางจิตเวช ซึ่งถือเป็น
รูปแบบหน่ึงของความเสียหายต่อบุคคล โดยอาศัยการพิจารณาเป็นกรณี ๆ ไป และอาศัยหลักฐาน
หรือการพิสูจน์ในทางการแพทย์เป็นสําคัญ ท้ังน้ี ไม่ว่าจะเป็นเป็นผู้เสียหายโดยตรง (primary victim)
หรือผู้เสียหายโดยอ้อม (secondary victim) และไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทําให้เกิดความเสียหาย
ต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินก็ตาม เพียงแต่มีเง่ือนไขและข้อจํากัดในการพิจารณาหลายประการ
เพ่ือป้องกันการที่ผู้เสียหายจะขอให้ชดใช้ค่าเสียหายจนเกินไป เช่น กรณีจะเป็นผู้เสียหายโดยอ้อมได้นั้น
ต้องเป็นผู้ท่ีมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิดกับผู้เสียหายโดยตรงที่ถูกกระทําละเมิด และต้องเป็นผู้ที่
อยู่ในเหตุการณ์หรือได้รู้ได้เห็นผู้เสียหายโดยตรงทันทีหลังการเกิดขึ้นของการกระทําละเมิด หรือเป็น
ผู้ประสบกับการเจ็บป่วยทางจิตใจจากการได้เห็นหรือได้ยินการเกิดข้ึนของเหตุการณ์การกระทําละเมิด
ด้วยตนเอง เป็นต้น

ในส่วนของการประเมินค่าเสียหายสําหรับความเสียหายทางจิตใจจากการเจ็บป่วย
ทางจิตใจ หรือการเกิดข้ึนของโรคทางจิตเวช ศาลจะใช้ดุลพินิจในการกําหนดจํานวนค่าเสียหาย
เพราะเป็นการยากท่ีจะประเมินจํานวนค่าเสียหายที่แน่นอน โดยศาลจะพิจารณาหลักฐานต่าง ๆ
ประกอบพฤติการณ์แห่งคดี เช่น ลักษณะแห่งความเสียหาย ระดับของความเจ็บปวดและทุกข์ทรมาน
ระยะเวลาในการรักษา หรือความสามารถของผู้เสียหายที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุขเพียงใด แต่กรณีที่
เป็นความเสียหายทางจิตใจรูปแบบอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าโศกเสียใจเน่ืองจากการสูญเสียบุคคล
อันเป็นที่รัก การถูกรบกวนทางจิตใจอย่างรุนแรง หรือความเสียหายทางอารมณ์นั้น โดยหลักท่ัวไปแล้ว
จะไม่มีการชดเชยให้กัน อย่างไรก็ดี ประเทศอังกฤษได้มีการบัญญัติกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่เรียกว่า
The Fatal Accident Act 1976 ไว้เพ่ือรับรองค่าเสียหายสําหรับความเศร้าโศกเสียใจเน่ืองจาก
การสูญเสียบุคคลอันเป็นท่ีรักไป โดยจํานวนค่าเสียหายที่จะมีการชดเชยให้กัน คือ ๑๐,๐๐๐ ปอนด์
ซงึ่ เปน็ จํานวนตายตัว ไมต่ อ้ งมกี ารประเมนิ ระดับของความเสียหายแต่อยา่ งใด

ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายทางจิตใจของประเทศเยอรมนี๖ ศาลเยอรมัน
ก็ยอมให้มีการชดใช้ค่าเสียหายทางจิตใจได้เฉพาะกรณีท่ีเป็นการเจ็บป่วยในทางจิตเวช โดยถือเป็น
รูปแบบหนึ่งของการกระทําให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพหรืออนามัยของบุคคลตามกฎหมาย
ลักษณะละเมิดของเยอรมัน (มาตรา ๘๒๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง) ท้ังนี้ โดยอาศัยการวินิจฉัย
ในทางการแพทยเ์ ป็นสาํ คญั โดยศาลเยอรมันมีหลักเกณฑ์ในการพจิ ารณาความเสียหายทางจิตใจ ดงั นี้

(๑) เป็นผู้ได้รับความเสียหายทางจิตใจอันเป็นผลโดยตรงจากเหตุการณ์ละเมิด
และอาจได้รบั ความเสยี หายทางรา่ งกายหรืออาจถูกทาํ ใหก้ ลวั วา่ จะเกิดภยันตรายแกต่ นเอง (ผู้เสียหาย
โดยตรง primary victim)

๕ จกั รินทร์ โกเมศ, เรื่องเดมิ , หน้า ๓๙-๖๑.
๖ จกั รนิ ทร์ โกเมศ, เร่ืองเดิม, หนา้ ๘๕-๘๙.

รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๒๗

(๒) เป็นผู้รับรู้หรือเห็นเหตุการณ์ละเมิดท่ีเกิดกับผู้อ่ืน โดยผู้รับรู้หรือเห็นเหตุการณ์
มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้ถูกกระทําละเมิดให้เสียหายต่อชีวิต ร่างกาย หรือจิตใจ แต่ไม่จําเป็น
ต้องเป็นบุคคลในครอบครัว อาจเป็นเพียงคู่หม้ันหรือชายหญิงที่อยู่กินกันโดยไม่จดทะเบียนสมรสก็ได้
(ผู้เสียหายโดยออ้ ม secondary victim)

(๓) หากเป็นกรณีความเสียหายทางจิตใจท่ีเกิดจากการละเมิดต่อทรัพย์สิน
ศาลจะพิจารณาค่าเสียหายโดยเครง่ ครัด

สําหรับความเสียหายทางจิตใจรูปแบบอ่ืน ๆ ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าโศกเสียใจ
จากการสูญเสยี บคุ คลอนั เป็นทร่ี ัก ความเสยี หายต่อการถกู รบกวนทางจติ ใจ หรอื ความเสียหายทางอารมณ์
กฎหมายลักษณะละเมิดของเยอรมันปฏิเสธที่จะชดใช้ให้ในทกุ กรณี

ค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายทางจิตใจของประเทศฝร่ังเศส๗ ในเรื่องของ
ความเสียหายทางจิตใจตามกฎหมายลักษณะละเมิดของฝร่ังเศส (มาตรา ๑๓๘๒ และมาตรา ๑๓๘๓
แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง) ซึ่งถือว่าเป็นความเสียหายทางศีลธรรมนั้น ทุกรูปแบบของความเสียหาย
ทางจิตใจ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับผู้เสียหายเอง หรือเกิดจากการตายหรือการได้รับบาดเจ็บของผู้อื่น
และไม่ว่าจะเป็นความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพอนามัย หรือทรัพย์สินก็ตาม กฎหมาย
ลักษณะละเมิดของฝร่ังเศสยินยอมที่จะชดใช้ให้ซึ่งค่าเสียหายสําหรับความเสียหายดังกล่าว
เพียงแต่ผู้เสียหายต้องแสดงให้เห็นว่าความเสียหายดังกล่าวเป็นผลโดยตรง และเป็นความเสียหาย
ที่แนน่ อนจากการกระทําของผู้กระทําละเมิด โดยความเสียหายดังกล่าวน้ีจะอยู่ในรูปแบบของความเจ็บป่วย
ทางจิตใจ หรืออาจอยู่ในรูปแบบของความเสียหายทางจิตใจอ่ืน ๆ ที่ไม่จําต้องมีเง่ือนไขในทางจิตเวช
อย่างความเศร้าโศกเสียใจจากการได้รับบาดเจ็บ หรือเสียชีวิตของบุคคลอันเป็นท่ีรัก โดยถือได้ว่า
เป็นความเสียหายต่อบุคคลท่ีเก่ียวข้องกับผู้เสียหาย เพียงแต่ผู้เสียหายต้องมีความสัมพันธ์อันใกล้ชิด
อย่างหน่ึงอย่างใดกับผู้เสียหายโดยตรง โดยไม่จําเป็นต้องเป็นความสัมพันธ์กันทางสายเลือด
หรือโดยการแต่งงานแต่อย่างใด จึงสรุปได้ว่า ในกฎหมายลักษณะละเมิดของฝรั่งเศสนั้น ไม่ว่าจะเป็น
ความเสียหายทางจิตใจในรูปแบบใด กฎหมายลักษณะละเมิดของฝร่ังเศสยินยอมท่ีจะชดใช้ให้
ซ่ึงค่าเสียหายท้ังหมด เพียงแต่มีเง่ือนไขว่า รูปแบบของความเสียหายดังกล่าวน้ีจะต้องเป็น
ความเสียหายท่เี ปน็ ผลโดยตรงและแน่นอนเท่าน้ัน

สําหรับในศาลปกครองไทยน้ัน แม้จะเป็นคดีพิพาทระหว่างหน่วยงานทางปกครอง
หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐกับเอกชน แต่การพิจารณาคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดตามมาตรา ๙
วรรคหน่งึ (๓) แหง่ พระราชบญั ญัตจิ ัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลปกครองก็ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ในเร่ืองละเมิดเช่นเดียวกัน ดังน้ัน หากการกระทําของหน่วยงานทางปกครอง
หรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐก่อให้เกิดความเสียหายต่อบุคคลอื่นไม่ว่าความเสียหายนั้นจะเป็นความเสียหาย
ที่สามารถคํานวณนับเป็นตัวเงินได้หรือความเสียหายที่ไม่สามารถคํานวณนับเป็นตัวเงินได้ หน่วยงาน
ทางปกครองหรือเจ้าหน้าทข่ี องรฐั ยอ่ มตอ้ งรบั ผดิ ชดใช้คา่ สินไหมทดแทนให้แกผ่ เู้ สยี หายเช่นเดยี วกัน

๗ จกั รินทร์ โกเมศ, เรื่องเดิม, หนา้ ๙๕-๙๖.

๑๒๘ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

สําหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินหรือค่าเสียหายทางจิตใจ
ท่ีมีเงื่อนไขของการบาดเจ็บทางร่างกายหรืออนามัยน้ัน ศาลปกครองอาศัยอํานาจตามมาตรา ๔๔๖
แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ กําหนดค่าสนิ ไหมทดแทนให้แก่ผเู้ สยี หายมาโดยตลอด

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๖๔๒/๒๕๕๗ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าได้รับความเสียหาย
จากการท่ีผู้ฟ้องคดีได้ขับข่ีรถจักรยานยนต์ชนกับท่อประปาซึ่งอยู่ระหว่างการปรับปรุงแนวท่อ
ของการประปาส่วนภูมิภาค (ผู้ถูกฟ้องคดีร่วมท่ี ๑) ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ผู้อํานวยการ
สํานักงานประปาเขต ๓ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ผู้ถูกฟ้องคดีร่วมที่ ๑ และผู้ถูกฟ้องคดีร่วมท่ี ๒ ร่วมกันชดใช้
ค่าเสียหาย ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏตามใบรับรองแพทย์ว่า ผู้ฟ้องคดีกระดูก
นวิ้ กอ้ ยมือขวาหัก มบี าดแผลถลอกตามร่างกายหลายแห่ง ตาซ้ายบวมชํ้า และเข้ารับการผ่าตัดใส่ลวด
ยดึ กระดกู นิ้วก้อยมือขวา ใช้เวลารักษากระดูกน้ิวก้อยจนกว่ากระดูกจะติดใช้ทํางานได้ นานอย่างน้อย
๖ สปั ดาห์ ประกอบกบั ผ้ฟู ้องคดไี ดช้ แี้ จงต่อศาลวา่ แพทย์แจ้งวา่ สภาพขอ้ นว้ิ พกิ ารไปแล้ว และการผ่าตัด
ไม่ทําให้น้ิวกลับสภาพดีเหมือนเดิม กรณีจึงฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีต้องใช้เวลาในการรักษาตัวเป็นเวลานาน
และสภาพนว้ิ กอ้ ยขวาของผ้ฟู ้องคดเี สียรปู ทรงไมอ่ าจกลบั ไปมีสภาพเดมิ ได้ ซงึ่ เปน็ ความเสียหายอย่างอ่ืน
ซึ่งมิใช่ตัวเงินที่ศาลมีอํานาจกําหนดค่าสินไหมทดแทนได้ตามมาตรา ๔๔๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ เม่ือพิเคราะห์ถึงความเสียหายของผู้ฟ้องคดีแล้ว เห็นควรกําหนดค่าสินไหมทดแทน
ในสว่ นนจ้ี าํ นวน ๕๐,๐๐๐ บาท

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๗/๒๕๕๘ ผฟู้ อ้ งคดฟี ้องว่า ได้รับความเสียหาย
จากก่ิงไม้ขนาดใหญ่ของต้นเป๋ือยที่ปลูกอยู่ข้างทางหลวงหักโค่นลงมาทับรถยนต์กระบะของผู้ฟ้องคดี
ทําให้ผู้ฟ้องคดีได้รับอันตรายต่อร่างกายและรถยนต์เสียหาย ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
ให้กรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับอันตรายแก่กาย ต้องป่วยเป็นอัมพาตคร่ึงล่าง ขาทั้งสองข้าง
อ่อนแรง ไม่สามารถเดินหรือช่วยเหลือตนเองได้ ต้องนั่งรถเข็น ระบบประสาทไม่สามารถควบคุม
ระบบขับถ่ายได้ เสียสมรรถภาพทางเพศอย่างส้ินเชิง ต้องมีผู้ดูแลช่วยเหลือตลอดเวลา และต้องรับ
การรักษาฟื้นฟูบําบัดอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถใช้ชีวิตได้เช่นคนปกติตามเดิม แพทย์ได้ลงความเห็นว่า
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้พิการประเภท ๓ ระดับ ๔ กรณีดังกล่าวเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับความทนทุกข์ทรมาน
ทางจติ ใจ ตอ้ งทนทุกขเวทนากลายเป็นคนพกิ ารไปตลอดชวี ิต ซึ่งเป็นผลโดยตรงจากการกระทําละเมิด
ของผู้ถกู ฟอ้ งคดีที่ ๑ ซ่ึงผฟู้ อ้ งคดสี ามารถเรียกร้องเอาความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินจากผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้
ตามมาตรา ๔๔๖ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เมื่อได้พิจารณาถึงพฤติการณ์
และความรา้ ยแรงแห่งการกระทาํ ละเมดิ ประกอบกับผลกระทบท่ผี ู้ฟ้องคดีได้รับ รวมถึงภาระค่าใช้จ่าย
ที่อาจได้รับสําหรับการดูแลรักษาอาการป่วยและค่าจ้างดูแลผู้ฟ้องคดีประกอบกันแล้ว จํานวนเงิน
ค่าเสียหายท่ีผู้ฟ้องคดีควรได้รับในกรณีน้ีควรเป็นจํานวนท่ีเพียงพอแก่การเยียวยาความเสียหาย
ทางจิตใจที่ผู้ฟ้องคดีได้รับ และเป็นการชดเชยผลกระทบทางด้านการเงินท่ีผู้ฟ้องคดีได้รับ
อันเนื่องมาจากความเจ็บป่วยในจํานวนท่ีเพียงพอสําหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการดํารงชีพอย่างเหมาะสม
ตามฐานานุรูปของผู้ฟ้องคดี ซึ่งศาลมีอํานาจวินิจฉัยให้ได้ตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรง

รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๒๙

แห่งการกระทําละเมิดตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ การท่ี
ศาลปกครองช้ันต้นกําหนดค่าเสียหายส่วนนี้เป็นเงินจํานวน ๕๐๐,๐๐๐ บาท นั้น เห็นว่าเหมาะสม
และเปน็ ธรรมแลว้

คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๙๔๕/๒๕๕๘ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ได้รับความเสียหาย
จากการท่ีกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดี) ไม่ดูแลตัดแต่งกิ่งของต้นไม้ เป็นเหตุให้กิ่งของต้นกระถิน
ซึง่ อยบู่ ริเวณไหลท่ างหักลงมาทบั ผู้ฟ้องคดแี ละบตุ รของผฟู้ อ้ งคดถี งึ แก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส
ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่ผู้ฟ้องคดีได้รับอุบัติเหตุ
ดังกล่าวทาํ ให้ผู้ฟ้องคดตี อ้ งตกเปน็ ผู้พกิ ารทางดา้ นรา่ งกายไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ต้องทนทุกขเวทนา
ไปตลอดชีวิต ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายดังกล่าวได้ตามมาตรา ๔๔๖ วรรคหน่ึง
แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ซงึ่ จาํ นวนเงินทผี่ ู้ฟ้องคดีเรียกร้องเป็นเงิน ๒๐๐,๐๐๐ บาท น้ัน
เหมาะสมแล้ว จึงกําหนดคา่ เสยี หายในสว่ นนีใ้ ห้ผฟู้ อ้ งคดีเป็นเงนิ ๒๐๐,๐๐๐ บาท

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๙๑๙/๒๕๕๙ ผู้ฟ้องคดีท้ังสิบสองได้รับ
ความเดือดร้อนเสียหายจากการที่ผู้ถูกฟ้องคดี (กรุงเทพมหานคร) ไม่ควบคุมดูแลอาคารท่ีเปิด
เป็นสถานบริการ ไม่ตรวจสอบสภาพอาคารโครงสร้างและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อเกิดเพลิงไหม้สถานบริการ
ทําให้ไม่สามารถหลบหนีออกจากอาคารได้ทัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจํานวนมาก
ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงินค่าขาดไร้อุปการะ
ค่าเสียหายทางจิตใจ และค่าปลงศพ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีท่ี ๗ ถึงผู้ฟ้องคดี
ที่ ๑๐ และผู้ฟ้องคดีท่ี ๑๒ ต้องทุพพลภาพ หน้าเสียโฉม และเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานเป็นเวลานาน
ซ่งึ กระทบตอ่ อาชีพการทํางาน เห็นควรกําหนดค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอย่างอื่นอันมิใช่ตัวเงิน
เป็นเงินจํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท ส่วนผู้ฟ้องคดีที่ ๑๑ ได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นต้องตัดแขนขวาและน้ิว
ต้องทุพพลภาพและพิการได้รับความเจ็บปวดและทุกข์ทรมานตลอดชีวิต และไม่สามารถประกอบ
การงานได้อีก เห็นควรกําหนดค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายอย่างอ่ืนอันมิใช่ตัวเงินเป็นเงิน
จํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท

หากเป็นค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายทางจิตใจซ่ึงไม่มีเงื่อนไข
ของการบาดเจ็บทางร่างกายหรืออนามัย เช่น ความเสียหายต่อขวัญกําลังใจอันเนื่องมาจากคําส่ัง
ให้ไปช่วยปฏิบัติราชการ หรือค่าเสียหายต่อศักดิ์ศรีอันเน่ืองมาจากการถูกยกเลิกการประกวดราคา
เป็นต้น ท่ีผ่านมาศาลปกครองมิได้กําหนดค่าเสียหายทางจิตใจจากความเสียหายลักษณะดังกล่าว
ให้แกผ่ ้ฟู อ้ งคดี

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๗๒/๒๕๕๐ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า เม่ือคร้ังท่ี
ผู้ฟ้องคดีรับราชการอยู่ ผู้ฟ้องคดีได้ใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลของมารดามาโดยตลอด ต่อมา
เมอ่ื ผูฟ้ อ้ งคดไี ด้ลาออกจากราชการแล้ว ผู้ฟอ้ งคดปี ระสงค์ที่จะใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลของมารดา
แตป่ รากฏวา่ เจา้ หนา้ ทีข่ องกรมสง่ เสริมการเกษตร (ผถู้ ูกฟอ้ งคด)ี มขี อ้ สงสยั วา่ เป็นมารดาของผ้ฟู ้องคดี
จริงหรือไม่ จึงให้ผู้ฟ้องคดีดําเนินการพิสูจน์ข้อเท็จจริงดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการดําเนินการ
ของเจ้าหน้าท่ีของผู้ถูกฟ้องคดีเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง

๑๓๐ รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน รวมทั้งขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายจากความทุกข์ใจ
ที่ไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลของมารดาได้ ค่าเสียหายจากการเสียชื่อเสียงและทางทํามาหาได้
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ค่าสินไหมทดแทน คือ การชดใช้ความเสียหายอันเกิดจากการกระทํา
ละเมิดโดยการคืนทรัพย์สินอันผู้เสียหายต้องเสียไปหรือใช้ราคาทรัพย์สินนั้น รวมทั้งค่าเสียหาย
อย่างอ่ืน ๆ เพ่ือให้ผู้เสียหายได้กลับคืนสู่ฐานะเดิมหรือใกล้เคียงกับฐานะเดิมเท่าท่ีจะสามารถทําได้
ท้ังการท่ีศาลกําหนดค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ถูกกระทําละเมิดก็เพื่อเป็นการเยียวยาหรือแก้ไข
ความเสียหายที่เกิดข้ึนแก่ผู้ถูกกระทําละเมิดเท่านั้น ไม่ได้ประสงค์จะลงโทษผู้กระทําละเมิด
การกําหนดค่าสินไหมทดแทนน้ันกฎหมายกําหนดให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และ
ความร้ายแรงแห่งละเมิดและค่าเสียหายที่มิใช่ตัวเงิน คือ ความเสียหายอันไม่อาจคํานวณเป็นเงินได้
และความเสียหายน้ันเป็นผลสืบเน่ืองมาจากการกระทําละเมิดต่อร่างกาย อนามัย หรือเสรีภาพ
แล้วก่อให้เกิดความเสียหายท่ีมิใช่ตัวเงินขึ้น ซึ่งผู้ถูกกระทําละเมิดเรียกให้ผู้กระทําละเมิดชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนในส่วนนี้ได้ สําหรับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายอันเกิดจากความทุกข์ใจ
เนื่องจากผู้ฟ้องคดีไม่สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลของมารดาได้นั้น ความทุกข์ใจเป็นความเสียหาย
ที่มิใช่ตัวเงิน การที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าผู้ถูกฟ้องคดีไม่ให้ผู้ฟ้องคดีใช้สิทธิเบิกค่ารักษาพยาบาลของมารดา
ผฟู้ ้องคดจี ึงเกิดความทุกข์ใจนั้น ความทุกข์ใจดังกล่าวเป็นเพียงอารมณ์ท่ีเกิดข้ึน ไม่ใช่ผลสืบเนื่องมาจาก
การท่ีเจ้าหน้าท่ีของผู้ถูกฟ้องคดีกระทําให้เกิดความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัยของผู้ฟ้องคดีหรือ
กระทําให้ผูฟ้ ้องคดีเสยี เสรีภาพแตอ่ ยา่ งใด ผฟู้ ้องคดีจึงไมอ่ าจเรียกใหผ้ ู้ถกู ฟอ้ งคดชี ดใชค้ า่ สินไหมทดแทน
ในส่วนนไี้ ด้

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๐๑/๒๕๕๓ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ซ้ือเอกสาร
ประกวดราคาจ้างเหมาโรงเรียนหรือหน่วยงานท่ีดําเนินการสอนคอมพิวเตอร์เพ่ือการศึกษาและ
วัสดุอุปกรณ์ท่ีเกี่ยวข้อง เมื่อถึงกําหนดวันย่ืนซองประกวดราคา ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นซองประกวดราคา
เพียงรายเดียว ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาได้เปิดซองและตรวจสอบคุณสมบัติ
ของผู้ฟ้องคดีแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีคุณสมบัติครบถ้วนถูกต้องตามเงื่อนไขในประกาศประกวดราคา
แต่ปรากฏต่อมาว่านายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) ได้ยกเลิกการประกวดราคา
ดังกล่าว เป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีได้รับความเสียหาย ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เม่ือการยื่นซองเสนอราคาของผู้ฟ้องคดีเป็นการยื่นโดยถูกต้อง
ตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๓๕
การที่รองนายกเทศมนตรีนครหาดใหญ่ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓) เรียกผู้ซ้ือเอกสารประกวดราคามาประชุม
เพ่ือช้ีแจงถึงการยกเลิกประกวดราคาโดยไม่ได้จัดทําประกาศยกเลิกการประกวดราคาและมิได้แจ้ง
เป็นหนังสือให้ผู้ซื้อเอกสารประกวดราคาทราบ จึงเป็นการดําเนินการที่ไม่เป็นไปตามข้อ ๔๐ ของระเบียบ
ดังกล่าว ถือไม่ได้ว่ามีการยกเลิกการประกวดราคาแล้ว อย่างไรก็ตาม เม่ือการประกวดราคาพิพาท
มผี ู้เสนอราคาเพียงรายเดยี ว แต่คณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาเห็นสมควรให้ดําเนินการ
ต่อไป กรณีจงึ เปน็ การล่วงพ้นเหตุที่จะยกเรื่องผู้เสนอราคาเพียงรายเดียวเพื่อยกเลิกการประกวดราคาได้
แต่เพ่ือให้การจัดสอนตามหลักสูตรเกิดประโยชน์ต่อผู้เรียนและเป็นการประหยัดงบประมาณค่าสอน

รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๓๑

ให้น้อยลง อีกทั้ง การให้หน่วยงานภายนอกจัดสอนต้องเพ่ิมภาระค่าใช้จ่ายในการดําเนินการสูงข้ึน
ทุกคร้ัง กรณีจึงมีเหตุจําเป็นเพื่อประโยชน์ของหน่วยงานบริหารส่วนท้องถ่ินที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒
มีอํานาจยกเลิกประกาศประกวดราคารายพิพาทได้ตามข้อ ๔๖ ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย
ว่าด้วยการพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถิ่นฯ อย่างไรก็ดี แม้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒
จะมีอํานาจยกเลิกการประกวดราคา แต่เมื่อการประกาศเชิญชวนเรียกประกวดราคาถือเป็นข้อเสนอ
ของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ เม่ือผู้ฟ้องคดียื่นซองเสนอราคาถูกต้องตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วย
การพัสดุของหน่วยการบริหารราชการส่วนท้องถ่ินฯ อันถือเป็นคําสนองข้อเสนอของผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๑ แล้ว ย่อมก่อให้เกิดสัญญาผูกพันระหว่างผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ กับผู้ฟ้องคดี การยกเลิก
การประกวดราคาโดยที่ผู้ฟ้องคดีไม่ได้กระทําความผิดจึงต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามมาตรา ๓๙๑
วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่
ผู้ฟ้องคดี แต่สําหรับค่าเสียหายทางจิตใจและศักดิ์ศรีความเป็นประชาชนท่ีควรได้รับการปฏิบัติ
อย่างเสมอภาคและเป็นธรรมท่ีผู้ฟ้องคดีร้องขอน้ัน เป็นค่าเสียหายทางจิตใจไม่อาจที่จะคํานวณ
ราคาใหไ้ ด้

คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๑๘๓/๒๕๕๗ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่า ได้รับความเสียหาย
จากการที่นายกเทศมนตรีนครสมุทรสาคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) มีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการ
งานพัสดุและทรัพย์สิน ฝ่ายการเงินและบัญชี กองการประปา สํานักงานเทศบาลนครสมุทรสาคร
เป็นการชั่วคราวมีกําหนด ๖ เดือน ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้เทศบาลนครสมุทรสาคร
(ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ชดใช้ค่าเสียหาย ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า สําหรับค่าเสียหายต่อช่ือเสียง
ท่ีผู้ฟ้องคดีร้องขอน้ัน เน่ืองจากคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ท่ีสั่งให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการ
มิใช่คําสั่งลงโทษ อีกทั้งตามคําสั่งก็มิได้ระบุเหตุแห่งการส่ังให้ไปช่วยปฏิบัติราชการว่าเป็นเพราะ
ผ้ฟู อ้ งคดปี ฏิบัติหน้าท่ีบกพรอ่ งอย่างใด จึงมิได้เป็นการกล่าวไขข่าวซ่ึงข้อความอันฝ่าฝืนต่อความเป็นจริง
การส่ังให้ไปช่วยปฏิบัติราชการช่ัวคราวเป็นระยะเวลาหนึ่ง และอยู่ในหน่วยงานเดียวกัน จึงมิได้เป็น
การทําให้ผู้ฟ้องคดีเสียชื่อเสียงเกียรติคุณท่ีจะเรียกค่าเสียหายได้ ส่วนค่าเสียหายต่อขวัญกําลังใจนั้น
เป็นค่าเสียหายอย่างอ่ืนอันมิใช่ตัวเงินตามมาตรา ๔๔๖ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ซึ่งต้องเป็นความเสียหายท่ีมีผลต่อสุขภาพ อนามัย และร่างกายอย่างปรากฏชัดเจนว่าเป็นผลจากการ
กระทําละเมิด แต่คําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีไปช่วยปฏิบัติราชการที่อ่ืนเป็นการช่ัวคราว แม้จะทําให้ผู้ฟ้องคดี
น้อยเนื้อต่ําใจและท้อถอยอยู่บ้าง ก็เป็นอารมณ์ความรู้สึกโดยท่ัวไปของมนุษย์ปุถุชน และอารมณ์
ความรู้สึกดังกล่าวก็จะลดน้อยและจางหายไปตามระยะเวลา โดยเฉพาะเม่ือนําคดีสู่ศาล และศาล
มีคําส่ังคุ้มครองช่ัวคราวจนผู้ถูกฟ้องคดีเพิกถอนคําสั่ง ความรู้สึกของผู้ฟ้องคดีย่อมดีข้ึน อารมณ์
ความรูส้ ึกของผู้ฟ้องคดใี นชว่ งเวลาดังกล่าวจึงไม่น่าจะถึงกับเป็นอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของผู้ฟ้องคดี
ศาลจึงไมก่ ําหนดค่าเสยี หายตอ่ ขวญั และกําลังใจให้

๑๓๒ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

รวมไปถึงกรณีที่ความเสียหายไม่ได้เกิดกับผู้ฟ้องคดีโดยตรง แต่เกิดกับบุคคลอื่น
ที่เป็นญาติหรือบุคคลอันเป็นที่รักหรือใกล้ชิดกับผู้ฟ้องคดี ทําให้ผู้ฟ้องคดีเศร้าโศกเสียใจ ว้าเหว่
หรือกระทบกระเทือนต่อจิตใจ กรณีเช่นน้ี ศาลปกครองก็ปฏิเสธที่จะกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจ
ให้แก่ผู้ฟ้องคดี โดยให้เหตุผลแห่งการวินิจฉัยว่า “ไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย” เช่นเดียวกับ
แนวคาํ พิพากษาศาลฎกี า

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๐๕/๒๕๕๘ ผู้ฟ้องคดีท้ังสองเป็นทายาท
ของผเู้ สียชวี ติ จากเหตุเพลงิ ไหม้สถานบริการ ฟ้องว่า กรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดี) ละเลยต่อหน้าที่
ตามท่กี ฎหมายกําหนดให้ตอ้ งปฏบิ ัตจิ ากการไมค่ วบคมุ ตรวจสอบอาคารสถานบริการพิพาทให้เป็นไปตาม
ขอ้ กาํ หนดตามพระราชบญั ญัตคิ วบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ เป็นเหตุใหเ้ กิดเพลิงไหม้ เมื่อมีผู้เข้าใช้บริการ
จํานวนมากทําให้ไม่สามารถหลบหนีออกจากอาคารได้ทัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและมีผู้บาดเจ็บ
จํานวนมาก ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ซึ่งรวมทั้ง
คา่ เสยี หายทางจติ ใจด้วย ศาลปกครองสงู สดุ วนิ จิ ฉัยว่า ความเสียหายของผู้ฟ้องคดีทั้งสองเป็นผลโดยตรง
จากการที่ผู้ถูกฟ้องคดีละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงต้องรับผิดต่อผู้ฟ้องคดีทั้งสองในผล
แห่งละเมิดที่เจ้าหน้าท่ีของตนได้กระทําในการปฏิบัติตามหน้าท่ี แต่สําหรับค่าเสียหายทางด้านจิตใจ
ท่ีผู้ฟ้องคดีท้ังสองมีคําขอเป็นเงินจํานวน ๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท น้ัน เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมาย
ใหเ้ รยี กรอ้ งได้ ศาลจงึ ไมอ่ าจกาํ หนดคา่ เสียหายดังกลา่ วให้ได้

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๙๑๙/๒๕๕๙ ผู้ฟ้องคดีทั้งสิบสองฟ้องว่าได้รับ
ความเดือดร้อนเสียหายจากการที่กรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดี) ไม่ควบคุมดูแลอาคารท่ีเปิด
เป็นสถานบริการ ไม่ตรวจสอบสภาพอาคารโครงสร้างและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อเกิดเพลิงไหม้สถานบริการ
ทําให้ผู้เข้าใช้บริการไม่สามารถหลบหนีออกจากอาคารได้ทัน เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ
จํานวนมาก ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลปกครอง
สูงสุดวินิจฉัยว่า สําหรับค่าเสียหายทางจิตใจที่ผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงผู้ฟ้องคดีท่ี ๖ ซ่ึงเป็นทายาทของ
ผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้อาคารดังกล่าวร้องขอ น้ัน เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งกฎหมายในมาตราใด
ให้เรียกร้องค่าเสียหายทางจิตใจได้ ศาลจึงไม่อาจกําหนดค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหายทางจิตใจ
จาํ นวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท ให้แกผ่ ู้ฟ้องคดที ่ี ๑ ถึงผ้ฟู ้องคดที ี่ ๖ ได้

นอกจากนั้น ในกรณีท่ีบุตรได้รับบาดเจ็บจากการกระทําละเมิดของหน่วยงาน
ทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ และได้รับความทุกขเวทนาจากความพิการทางร่างกาย
จนถึงแก่ความตายนั้น บิดามารดาก็ไม่อาจนําความทุกขเวทนาของบุตรมาฟ้องเรียกค่าเสียหาย
ทางจติ ใจแทนบุตรที่เสียชวี ิตไปแล้วได้

คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๙๔๕/๒๕๕๘ ผู้ฟ้องคดีฟ้องว่าได้รับความเสียหาย
จากการท่ีกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดี) ไม่ดูแลตัดแต่งก่ิงของต้นไม้เป็นเหตุให้กิ่งของต้นกระถิน
ซึ่งอยู่บริเวณไหล่ทางหักลงมาทับผู้ฟ้องคดีได้รับอันตรายสาหัสและบุตรของผู้ฟ้องคดีถึงแก่ความตาย
ขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ถูกฟ้องคดีต้องรับผิดชดใช้
ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี เมื่อความเสียหายได้เกิดข้ึนกับบุตรของผู้ฟ้องคดี และผู้ฟ้องคดี

รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๓๓

เปน็ บดิ าโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงมีสิทธิเรียกร้องให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าเสียหาย
อันได้แก่ ค่ารักษาพยาบาล ค่าจัดการศพ ค่าจัดงานศพ และค่าขาดไร้อุปการะจากการตายของบุตร
ตามมาตรา ๔๔๓ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้ ส่วนค่าเสียหายจากการที่บุตรของผู้ฟ้องคดี
ได้รับความทุกขเวทนานั้น เม่ือผู้ฟ้องคดีมิใช่ผู้ท่ีได้รับความเสียหายจากทุกขเวทนาที่เกิดกับบุตร
โดยตรง ซ่ึงสิทธิเรียกร้องอันนี้ไม่โอนกันได้ และไม่ตกสืบไปถึงทายาทตามมาตรา ๔๔๖ วรรคหนึ่ง
แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ จงึ ไม่อาจกาํ หนดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้แก่ผฟู้ ้องคดีได้

จากคําวินิจฉัยของศาลปกครองท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ศาลปกครองพิจารณา
กําหนดค่าสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายอันมิใช่ตัวเงินหรือค่าเสียหายทางจิตใจให้แก่ผู้เสียหาย
ภายใตเ้ งอื่ นไข ดังนี้

(๑) ต้องเป็นผเู้ สยี หายโดยตรง และผูเ้ สยี หายยงั ไมถ่ งึ แก่ความตายกอ่ นฟอ้ งคดี
(๒) ต้องมีความเสียหายทางร่างกายประกอบกับความเสียหายทางจิตใจด้วย
หากเป็นเพียงความเสียหายทางจิตใจอย่างเดียว ไม่มีความเสียหายทางร่างกายเกิดขึ้น ศาลปกครอง
ไม่กําหนดคา่ เสียหายทางจิตใจให้
อย่างไรก็ดี จากการศึกษาพบว่ามีอยู่คดีหน่ึง คือ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๗๐๓/๒๕๕๕ ท่ีศาลปกครองสูงสุดกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจให้แก่ผู้ฟ้องคดีอันเนื่องมาจาก
การสอบสวนทางวนิ ยั ล่าช้า ซ่ึงมไิ ดเ้ ป็นเหตทุ กี่ ่อให้เกิดความเสยี หายตอ่ ร่างกายหรอื อนามัยของผฟู้ อ้ งคดี
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๗๐๓/๒๕๕๕ ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการตํารวจ
ถูกกล่าวหาว่า กระทําความผิดอาญาในข้อหาร่วมกันบุกรุกเคหสถานในเวลากลางคืน ซึ่งผู้กํากับการ
สถานีตํารวจนครบาลคลองตันได้มีคําส่ังลงวันท่ี ๑๕ ตุลาคม ๒๕๔๕ แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน
ความผิดทางวินัย ต่อมา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตํารวจนครบาลได้มีคําส่ังลงวันที่ ๖ ธันวาคม
๒๕๔๕ ให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการไว้ก่อนเพื่อรอฟังผลการสอบสวนพิจารณา หลังจากนั้น
ศาลอาญากรุงเทพใต้พิพากษายกฟ้องผู้ฟ้องคดี และเม่ือคณะกรรมการสอบสวนได้ทําการสอบสวน
ทางวินัยผู้ฟ้องคดีแล้วเสร็จได้เสนอสํานวนการสอบสวนต่อผู้กํากับการสถานีตํารวจนครบาลคลองตัน
ต่อมา ผบู้ งั คับการกองบังคบั การตํารวจนครบาล ๕ ได้มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๗ ให้ผู้ฟ้องคดี
กลับเข้ารับราชการตามเดิม ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าการที่คณะกรรมการสอบสวนดําเนินการสอบสวนทางวินัย
ผู้ฟ้องคดีล่าช้าเกินสมควร เป็นการกระทําละเมิดต่อผู้ฟ้องคดีทําให้ผู้ฟ้องคดีขาดรายได้ อันได้แก่
เงินเดือน เงินเพ่ิมพิเศษสําหรับตําแหน่งผู้ปฏิบัติหน้าที่ด้านป้องกันปราบปราม เงินเพิ่มพิเศษสําหรับ
การปราบปรามผู้กระทําผิด เงินช่วยเหลือบุตร ขาดประโยชน์ในทางทํามาหาได้ และทําให้ผู้ฟ้องคดี
เสอ่ื มเสียตอ่ ชือ่ เสยี ง อนามัย จิตใจ เสียประวัติในการรับราชการ รวมทั้งเสียโอกาสในการเจริญก้าวหน้า
ในหน้าที่ราชการ การประกอบอาชีพ การเล่ือนขั้นเงินเดือน การเลื่อนตําแหน่ง และการได้รับ
เงินรางวัลประจําปีงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให้ผู้ถูกฟ้องคดีชดใช้
ค่าสินไหมทดแทน ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่คณะกรรมการสอบสวนได้ทําการสอบสวน
ผู้ฟ้องคดีโดยใช้ระยะเวลาในการสอบสวนทางวินัยรวมท้ังสิ้น ๑ ปี ๘ เดือน โดยไม่ปรากฏว่า
การสอบสวนวินัยผู้ฟ้องคดีมีข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายท่ียุ่งยากสลับซับซ้อน หรือมีเหตุผลจําเป็นอ่ืน

๑๓๔ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ที่ตอ้ งใชเ้ วลาสอบสวนนานถงึ ๑ ปี ๘ เดอื น เป็นการกระทาํ ละเมิดตอ่ ผู้ฟ้องคดี ผู้ถูกฟ้องคดีต้องรับผิด
ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดี สําหรับค่าเสียหายที่ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง
เกียรติประวัติในการรับราชการ ถูกดูหมิ่นและถูกรังเกียจจากสังคม และได้รับความเสียหายต่อจิตใจ
อนามัย น้ัน เห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีต้องรอและติดตามผลการสอบสวนย่อมสร้างความคับข้องใจ
และความทุกข์ใจให้กับผู้ฟ้องคดี ซึ่งเป็นความเสียหายทางจิตใจ แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้รับคําสั่งให้กลับ
เขา้ รบั ราชการแลว้ ก็ตาม แตก่ เ็ ป็นการดาํ เนนิ การตามรูปแบบข้ันตอนของกฎหมาย มิได้เป็นการเยียวยา
ความเสยี หายทางจติ ใจให้แก่ผ้ฟู ้องคดแี ตอ่ ยา่ งใด ผู้ฟอ้ งคดจี ึงพึงได้รับค่าเสียหายในส่วนน้ี เม่ือผู้ฟ้องคดี
มีคําขอในคําฟ้องที่ผู้ฟ้องคดีเส่ือมเสียช่ือเสียง อนามัย จิตใจ เสียประวัติในการรับราชการ เสียโอกาส
ในการเจริญก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ โดยขอรวมมากับค่าเสียหายจากการไม่ได้เลื่อนขั้นเงินเดือน
และเลื่อนตําแหน่งเป็นเงิน ๕๐,๐๐๐ บาท โดยไม่ได้ระบุให้ชัดเจนว่าเป็นค่าเสียหายทางจิตใจ
จํานวนเท่าใด แต่เม่ือคํานึงถึงพฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง
แหง่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ยแ์ ลว้ เหน็ ควรกําหนดค่าสนิ ไหมทดแทนความเสียหายทางจิตใจ
ใหผ้ ู้ฟอ้ งคดเี ป็นเงินจํานวน ๑๐,๐๐๐ บาท

นอกจากนี้ เมื่อเร็ว ๆ น้ี ศาลปกครองกลางได้มีคําพิพากษาศาลปกครองกลาง
คดีหมายเลขแดงท่ี ส.๕๙/๒๕๖๑ กําหนดค่าเสียหายสําหรับการสูญเสียความสุขจากการที่หน่วยงาน
ทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่ของรัฐละเลยต่อหน้าท่ีปล่อยให้มีการจัดต้ังตลาดโดยไม่ได้รับอนุญาต
ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรําคาญแก่ผู้ฟ้องคดี อันเป็นการกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจท่ีไม่มีเงื่อนไข
ของความเสียหายทางร่างกายหรืออนามัย ซึ่งเป็นกรณีที่น่าศึกษาเป็นอย่างยิ่ง แต่เนื่องจากคู่กรณี
ในคดีได้ย่ืนอุทธรณ์คําพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้นต่อศาลปกครองสูงสุด คดีจึงยังไม่ถึงท่ีสุด
ซึ่งน่าติดตามดูว่าศาลปกครองสูงสุดจะเห็นพ้องด้วยกับคําวินิจฉัยของศาลปกครองชั้นต้นหรือไม่
อยา่ งไร

(๓) เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือ
เจ้าหน้าท่ีของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมาย หรือจากการละเลยต่อหน้าท่ีตามที่กฎหมาย
กําหนดให้ตอ้ งปฏบิ ัตหิ รือปฏิบัตหิ น้าท่ีดังกล่าวล่าช้าเกินสมควร หากเป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทํา
ละเมิดของหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐอันเกิดจากกฎ คําส่ังทางปกครอง หรือคําสั่งอ่ืน
ศาลจะไมก่ ําหนดค่าเสียหายทางจิตใจให้ อย่างไรก็ดี จากการศึกษาพบว่ามีอยู่คดีหนึ่ง คือ คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๑๔/๒๕๕๓ ศาลปกครองสูงสุดกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจให้แก่ผู้ฟ้องคดี
อนั เนอ่ื งมาจากการมคี าํ สัง่ ย้ายผฟู้ อ้ งคดีโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๔๑๔/๒๕๕๓ ผู้ฟ้องคดีเป็นเจ้าพนักงานท่ีดิน
จังหวัดกาญจนบุรี (เจ้าหน้าท่ีบริหารงานท่ีดิน ๘) ได้รับคําส่ังของอธิบดีกรมที่ดิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑)
ให้ย้ายไปดํารงตําแหน่งนักวิชาการที่ดิน ๘ ส่วนคุ้มครองที่ดินของรัฐ สํานักจัดการท่ีดินของรัฐ
ผู้ฟ้องคดีเห็นว่าคําสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากเป็นการย้ายนอกฤดูกาลโดยไม่มีเหตุผล
ทําให้ผู้ฟ้องคดีเสียสิทธิในเงินประจําตําแหน่ง ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้กรมท่ีดิน
(ผ้ถู ูกฟอ้ งคดที ่ี ๒) รบั ผดิ ชดใช้ค่าสนิ ไหมทดแทน ทั้งนี้ เพ่ือเป็นการเยียวยาความเสียหายในเกียรติยศ

รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๓๕

และชื่อเสียง ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ในการดําเนินกระบวนพิจารณาและวินิจฉัยชี้ขาดข้อพิพาท
ในคดีปกครองนั้น ศาลปกครองต้องคํานึงถึงหลักความยุติธรรม การที่ศาลปกครองมีคําพิพากษา
ให้เพิกถอนคําส่ังทางปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ย่อมมีผลให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งได้รับความเดือดร้อน
เสียหายได้รับความพึงพอใจ แต่ก็เป็นความพึงพอใจในเชิงรูปแบบ ซึ่งหากคําส่ังทางปกครองที่ไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมายและถกู เพิกถอนนนั้ สง่ ผลเสียหายตอ่ เกียรตยิ ศและช่อื เสยี งซึง่ เปน็ ความเสียหายทางจิตใจ
ของผู้ฟ้องคดี การเยียวยาเพื่อให้เกิดความพึงพอใจในเชิงรูปแบบย่อมไม่เพียงพอ สมควรกําหนดให้มี
การชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพ่อื ชดเชยความเสียหายทางจิตใจทีเ่ กิดขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเยียวยา
จิตใจของผู้ได้รับความเสียหายเป็นประการสําคัญ ซ่ึงวิธีการเยียวจิตใจน้ันไม่มีวิธีการอ่ืนใดท่ีเหมาะสม
เท่ากับการให้ได้รับเงินค่าเสียหายที่จะจ่ายให้แก่ผู้ได้รับความเสียหายทางจิตใจ ดังน้ัน เมื่อคําสั่งย้าย
ตามคดีน้ีเป็นผลให้ผู้ฟ้องคดีไม่อาจดํารงตําแหน่งเจ้าพนักงานท่ีดินจังหวัดกาญจนบุรีจนถึงเกษียณ
อายุราชการ ทั้ง ๆ ที่เหลือระยะเวลารับราชการอีกเพียง ๗ เดือน แม้จะไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ได้มีการกล่าวหรือไขข่าวแพร่หลายถึงมูลเหตุที่มีคําส่ังย้ายผู้ฟ้องคดีโดยข้าราชการท่ีรับผิดชอบก็ตาม
แต่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นย่อมเป็นที่รู้กันในหมู่ข้าราชการกรมท่ีดินและข้าราชการจังหวัดกาญจนบุรี
ซึ่งอาจทําให้เข้าใจได้ว่าผู้ฟ้องคดีปฏิบัติงานไม่ถูกต้อง ไม่ชอบด้วยนโยบายของผู้บังคับบัญชา
อันมีผลกระทบต่อจิตใจของผู้ฟ้องคดี ซ่ึงเป็นความเสียหายทางจิตใจที่มิใช่เป็นเร่ืองที่ผู้ฟ้องคดี
คิดเอาเอง แม้ศาลจะมีคําพิพากษาให้เพิกถอนคําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ แล้วก็ตาม แต่ก็ไม่อาจ
เยียวยาความเสียหายทางจิตใจของผู้ฟ้องคดีกลับคืนมาเหมือนเดิม อีกท้ัง การชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ความเสียหายทางจิตใจมิได้มุ่งหมายให้จ่ายเงินชดเชยเป็นจํานวนมากจนสร้างความรํ่ารวยหรือ
ความพึงพอใจให้แก่ผู้ฟ้องคดี เพียงแต่มุ่งหมายเพ่ือสร้างความรู้สึกท่ีดีจากการท่ีทางราชการ
ให้การเยียวยาฟ้ืนฟูสภาพจิตใจของผู้ฟ้องคดี จึงเห็นควรกําหนดค่าสินไหมทดแทนในส่วนน้ีให้แก่
ผู้ฟ้องคดี ส่วนค่าสินไหมทดแทนจะมีจํานวนเท่าใดขึ้นอยู่กับดุลพินิจของศาลท่ีจะพิจารณากําหนด
ตามข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป ตามมาตรา ๔๓๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซ่ึงกรณีน้ี
เหน็ ควรกําหนดค่าสนิ ไหมทดแทนความเสียหายทางจติ ใจให้แก่ผ้ฟู อ้ งคดเี ป็นเงิน ๑๐,๐๐๐ บาท

บทสรปุ
จากการศึกษาแนวคําพิพากษาของศาลปกครองดังกล่าวข้างต้น อาจสรุปได้ว่า
แม้ส่วนใหญ่แล้วศาลปกครองจะมีคําวินิจฉัยเก่ียวกับการกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจท่ีเป็นไป
ในแนวทางเดียวกนั กบั คําพิพากษาของศาลยุติธรรม กล่าวคือ ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรง และต้องเป็น
ความเสียหายต่อร่างกายหรืออนามัย ซ่ึงต่างกับการกําหนดค่าเสียหายสําหรับความเสียหายทางจิตใจ
ในต่างประเทศท่ีรวมถึงผู้เสียหายโดยอ้อม และรวมถึงความเสียหายต่อทรัพย์สินด้วย เพียงแต่จะมี
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาความเสียหายแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศเท่านั้น อย่างไรก็ดี การที่
ศาลปกครองสูงสุดกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจให้แก่ผู้ฟ้องคดีอันเนื่องมาจากการสอบสวนทางวินัย
ล่าช้า ตามคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๗๐๓/๒๕๕๕ และการท่ีศาลปกครองสูงสุดกําหนด
ค่าเสียหายทางจิตใจให้แก่ผู้ฟ้องคดีอันเน่ืองมาจากการมีคําสั่งย้ายผู้ฟ้องคดี ตามคําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๑๔/๒๕๕๓ นั้น เป็นกรณีท่ีศาลปกครองสูงสุดกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจ

๑๓๖ รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ซึ่งมิได้มีเง่ือนไขของการบาดเจ็บทางร่างกายหรืออนามัยให้แก่ผู้ฟ้องคดี อันเป็นการแสดงให้เห็นได้ว่า
ศาลปกครองสูงสุดยังมีการยอมรับความเสียหายทางจิตใจในลักษณะดังกล่าวอยู่บ้าง ไม่มากก็น้อย
นอกจากน้ัน การกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจในคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดดังกล่าว ก็มิได้เป็น
ความเสียหายทางจติ ใจในรูปแบบของการเจบ็ ปว่ ยทางจิตใจ แต่เป็นความเสียหายทางจิตใจในรูปแบบ
ของความทุกข์ หรือความคับข้องใจ อันเป็นลักษณะของการกําหนดค่าเสียหายทางจิตใจในประเทศ
ฝรั่งเศสท่ียอมรับความเสียหายทางจิตใจในทุกรูปแบบ อย่างไรก็ดี จากการศึกษาคําพิพากษาของ
ศาลปกครองยังไมพ่ บกรณีที่ศาลกําหนดคา่ เสยี หายทางจิตใจใหแ้ ก่ผู้เสียหายโดยออ้ ม (ผู้ท่ีมีความสัมพันธ์
ใกล้ชิดกับผู้ถูกกระทําละเมิด และอยู่ในเหตุการณ์) และยังไม่พบกรณีท่ีศาลกําหนดค่าเสียหาย
จากความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ผู้ที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ซ่ึงเป็นกรณีท่ีน่าติดตามต่อไปว่า
ศาลปกครองสูงสุดจะมีการเปลี่ยนแปลงแนวคําวินิจฉัยในกรณีดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร ทั้งนี้ ในกรณี
ที่ศาลจะมีคําพิพากษากําหนดค่าเสียหายทางจิตใจให้แก่ผู้ฟ้องคดีน้ัน จากคําพิพากษาของศาลปกครอง
ท่ีผ่านมา จะเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีไม่จําต้องมีหลักฐานพิสูจน์ความเสียหายทางจิตใจ หรือผลการวินิจฉัย
ของแพทย์เก่ียวกับความบาดเจ็บทางจิตใจของผู้ฟ้องคดี มาแสดงต่อศาลแต่อย่างใด โดยศาลปกครอง
จะนําบทบัญญัติมาตรา ๔๓๘ วรรคหน่ึง แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาพิจารณา
ประกอบการใชด้ ุลพินจิ โดยจะคาํ นึงถึงพฤตกิ ารณ์และความรา้ ยแรงแหง่ ละเมดิ ในแตล่ ะคดเี ปน็ สาํ คญั

รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๓๗

คดพี พิ าทเกีย่ วกบั การเวนคนื อสังหาริมทรพั ย์

เรอ่ื งที่ ๙ กรณศี กึ ษา เรอื่ ง การขอใหเ้ วนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือตามมาตรา ๑๙
แหง่ พระราชบญั ญัตวิ า่ ดว้ ยการเวนคืนอสังหารมิ ทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐

การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์เป็นการใช้อํานาจรัฐบังคับซ้ืออสังหาริมทรัพย์ของบุคคล
เพื่อนําไปใช้ประโยชน์ในกิจการเพ่ือประโยชน์สาธารณะตามท่ีมีกฎหมายบัญญัติให้อํานาจ ท้ังนี้
ในส่วนของโรงเรือนหรือส่ิงปลูกสร้างท่ีอยู่ในท่ีดินที่ถูกเวนคืน โดยหลักการแล้วเจ้าหน้าที่เวนคืน
จะดาํ เนินการเวนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างที่อยู่ในที่ดินที่ถูกเวนคืนด้วย อย่างไรก็ตาม ในกรณีท่ีมี
การเวนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างแต่เพียงบางส่วน หากเจ้าของเห็นว่าภายหลังจากถูกเวนคืนแล้ว
โรงเรือนหรือส่งิ ปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือไม่สามารถใช้การต่อไปได้ เจ้าของก็มีสิทธิที่จะร้องขอให้เจ้าหน้าท่ี
เวนคืนส่วนที่เหลือซึ่งใช้การไม่ได้แล้วดังกล่าวได้ ตามนัยมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง๑ แห่งพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซึ่งปรากฏว่า มีการนําข้อพิพาทเก่ียวกับเร่ืองของ
การรอ้ งขอใหเ้ วนคืนโรงเรือนหรอื สงิ่ ปลูกสรา้ งเพิ่มมาฟอ้ งคดีต่อศาลปกครองจํานวนหน่ึง ซึ่งผู้เรียบเรียง
เห็นว่าเป็นเรื่องท่ีน่าสนใจและน่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เก่ียวข้อง จึงได้จัดทํารายงานการศึกษาฉบับนี้ขึ้น
โดยมุ่งท่ีจะศึกษาเฉพาะแนวทางการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดว่า ศาลมีหลักการและมีแนวทาง
ในการพิจารณาอย่างไร และโดยท่ีแนวทางในการพิจารณาวินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทลักษณะน้ี
การรับฟังข้อเท็จจริงของศาลเป็นสิ่งสําคัญ ดังน้ัน ในการสรุปสาระสําคัญของคําวินิจฉัยศาล
เพ่ือประกอบการจัดทํารายงานการศึกษาฉบับนี้ จึงมีความจําเป็นต้องสรุปรายละเอียดของข้อเท็จจริง
ท่ีศาลใช้ประกอบการวินิจฉัยโดยละเอียดพอสมควร เพ่ือให้ผู้อ่านสามารถมองเห็นภาพได้ชัดเจน
เป็นรูปธรรม นอกจากน้ี ผู้เรียบเรียงยังได้ตรวจสอบความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ตอบ

 วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้เรียบเรียง โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๑ ประจําวันที่ ๒๘ มิถุนายน
๒๕๖๑

๑ พระราชบัญญัติวา่ ด้วยการเวนคืนอสงั หาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
มาตรา ๑๙ ในกรณีท่ีต้องเวนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นแต่เพียงบางส่วน เจ้าของจะร้องขอ

ใหเ้ จ้าหนา้ ท่เี วนคืนสว่ นท่เี หลอื อยซู่ งึ่ ใชก้ ารไมไ่ ดแ้ ลว้ ดว้ ยกไ็ ด้
ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่ยอมเวนคืนตามคําร้องขอของเจ้าของ เจ้าของมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีผู้รักษาการ

ตามพระราชกฤษฎีกาที่ออกตามมาตรา ๖ หรือรัฐมนตรีผู้รักษาการตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
ฉบบั นัน้ ภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับแจ้งเป็นหนังสือจากเจ้าหน้าที่หรือผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่ ท้ังนี้
ให้รัฐมนตรีวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จส้ินภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับคําอุทธรณ์ มิฉะน้ันให้ถือว่ารัฐมนตรีวินิจฉัย
ให้เจ้าหนา้ ทีเ่ วนคนื ตามคาํ รอ้ งขอของเจ้าของ

คาํ วินิจฉยั ของรฐั มนตรีใหเ้ ปน็ ทส่ี ุด
ในการดาํ เนินการตามวรรคสอง ใหน้ าํ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๑ และมาตรา ๓๓ มาบงั คบั ใช้โดยอนโุ ลม

๑๓๘ รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ข้อหารือในประเด็นเก่ียวกับมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว และนํามาสรุปไว้ในรายงาน
การศกึ ษาฉบบั น้ดี ้วย เพือ่ ความสมบรู ณ์ครบถ้วน

ในเรอื่ งของส่งิ ปลกู สร้างท่ีถูกเวนคืนนี้ แม้ว่าในท้ายที่สุดแล้วศาลอาจจะมีคําวินิจฉัยว่า
เจ้าหน้าท่ีไม่จําต้องเวนคืนเพิ่มตามคําขอ แต่หากศาลเห็นว่าผลจากการเวนคืนทําให้เจ้าของเสียหาย
ศาลก็อาจกําหนดเงินค่าทดแทนความเสียหายให้ได้ ส่วนจะกําหนดเป็นเงินค่าทดแทนประเภทใด
และมีข้อพิจารณาอย่างไรนั้น ผู้เรียบเรียงจะได้จัดทํารายงานการศึกษาในโอกาสต่อไป เนื่องจาก
เป็นเรื่องที่มีรายละเอยี ดข้อพจิ ารณามากพอสมควร

สาํ หรบั ผลการศกึ ษาคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุดและความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกา
ในประเด็นพิพาทเกี่ยวกับเรื่องของการร้องขอให้เวนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างเพ่ิม มีประเด็น
และขอ้ พจิ ารณาทีน่ ่าสนใจ ดังน้ี

ผู้ฟ้องคดีตอ้ งเคยมีคาํ ขอใหเ้ จา้ หน้าทเ่ี วนคนื โรงเรอื นหรอื ส่ิงปลกู สรา้ งส่วนทเี่ หลอื
โดยลักษณะของข้อพิพาทเก่ียวกับการขอให้เวนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง
ส่วนที่เหลือน้ี โดยปกติจะเป็นการฟ้องคดีโต้แย้งคําส่ังปฏิเสธไม่เวนคืนตามคําขอ ซ่ึงข้อพิจารณา
ในประเด็นนี้แม้จะไม่มีความซับซ้อนมากนัก แต่จากการศึกษาพบว่ามีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด
ท่ีนา่ สนใจ จึงไดน้ าํ มาเป็นกรณศี ึกษา ดังนี้
คดีนี้ศาลปกครองชั้นต้นวินิจฉัยว่า การท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) ได้มีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดีเก่ียวกับการพิจารณาเงินค่าทดแทนตามอุทธรณ์
ของผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้ให้กรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) พิจารณาดําเนินการ
ตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมเงินค่าทดแทนระบบบําบัดน้ําเสียส่วนที่เหลือทั้งหมดตามขอ
และให้ผู้ฟ้องคดีรอรับการติดต่อจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ต่อไป กรณีดังกล่าวถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้ยื่น
คําขอแล้ว แต่อธิบดีกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) มิได้กระทําการตามที่กฎหมายบัญญัติ
ให้ต้องกระทําตามนัยมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๓๐ ระยะเวลานับแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๔๙ จนถึงวันที่ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕ ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดี
ทั้งสีม่ คี ําชีแ้ จงต่อศาล หรอื แมแ้ ตก่ ารสํารวจทรัพย์สินนอกเขตเวนคืน ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ และผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๒ ก็หาได้พิจารณากําหนดเงินค่าทดแทนให้แก่ผู้ฟ้องคดีตามคําขอไม่ จึงพิพากษากําหนด
เงนิ ค่าทดแทนส่วนนใ้ี หแ้ กผ่ ูฟ้ อ้ งคดี ซ่งึ การทางพิเศษแหง่ ประเทศไทย (ผู้ถกู ฟอ้ งคดีท่ี ๔) ได้อุทธรณว์ า่
ส่ิงปลูกสร้างพิพาทมีอยู่ในขณะเข้าทําการสํารวจ แต่ผู้ฟ้องคดีมิได้แจ้งเพ่ือขอกําหนดราคาเบ้ืองต้น
ผู้ฟ้องคดีกลับมีคําขอให้เวนคืนส่ิงปลูกสร้างพิพาทในช้ันอุทธรณ์ การที่ศาลปกครองช้ันต้นรับฟัง
ขอ้ เท็จจริงวา่ ผู้ฟอ้ งคดใี ช้สทิ ธอิ ุทธรณ์คา่ เสยี หายในสว่ นน้ี ถอื ไดว้ า่ ผูฟ้ ้องคดีได้ย่ืนคําขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี
กระทําการตามท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ตามนัยมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว
จึงเป็นคําวินิจฉัยท่ีคลาดเคลื่อน ไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย ศาลปกครองสูงสุด
วนิ ิจฉัยวา่ เมอ่ื ข้อเท็จจรงิ รบั ฟงั ได้วา่ ผู้ฟอ้ งคดใี ช้สิทธอิ ุทธรณข์ อค่าเสียหายในสว่ นน้ีตอ่ ผูถ้ กู ฟ้องคดีท่ี ๓
และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ เห็นว่าเป็นอํานาจของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ
เดียวกัน จึงสง่ เรอื่ งใหผ้ ูถ้ ูกฟอ้ งคดที ่ี ๒ พิจารณา นอกจากน้ี ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ ได้มีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดี

รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๓๙

เกี่ยวกับการพิจารณาเงินค่าทดแทนตามอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีว่า ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓ ได้ให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
พิจารณาดําเนินการตรวจสอบและให้ความเป็นธรรมเงินค่าทดแทนระบบบําบัดน้ําเสียส่วนที่เหลือ
ท้ังหมดตามขอ และให้ผู้ฟ้องคดีรอรับการติดต่อจากผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ต่อไป กรณีดังกล่าวถือได้ว่า
ผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนคําขอแล้ว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มิได้กระทําการตามท่ีกฎหมายบัญญัติให้ต้องกระทํา
ตามนัยมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
อุทธรณ์ของผถู้ กู ฟ้องคดที ่ี ๔ ฟงั ไม่ขึ้น๒

นอกจากน้ี ในกรณีที่ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้ยื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงคมนาคม (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ขอให้พิจารณาค่าทดแทนท่ีเป็นค่าร้ือถอนสิ่งปลูกสร้างเพ่ิมขึ้น
ท้ังท่ีอยู่ในแนวเขตเวนคืนและส่วนที่เหลือที่ใช้การไม่ได้ที่อยู่นอกแนวเขตเวนคืน และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑
ได้ส่งหนังสือดังกล่าวให้อธิบดีกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) ซ่ึงเป็นผู้มีอํานาจพิจารณาได้พิจารณา
ในส่วนของการเวนคืนส่ิงปลูกสร้างในส่วนท่ีเหลืออยู่ซ่ึงใช้การไม่ได้แล้ว ตามนัยมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ นั้น ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
ถือไดว้ า่ ผู้ฟ้องคดีไดม้ ีการร้องขอให้ผ้ถู ูกฟ้องคดีท่ี ๒ พิจารณาเวนคืนส่งิ ปลูกสรา้ งดงั กลา่ วแล้ว๓

ข้อสังเกต ผเู้ รยี บเรยี งมีความเห็นว่า คําพิพากษาและคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท้ังสองคดี
ข้างต้น ยังคงวินิจฉัยอยู่บนหลักการของการต้องมีคําขอต่อหน่วยงานทางทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐกอ่ นการย่นื ฟ้องคดี หากแตม่ คี วามซบั ซอ้ นของขอ้ เท็จจริงเพิ่มเติม คือ ศาลปกครองสูงสุดฟังได้ว่า
การย่ืนคําร้องขอของผู้ฟ้องคดีมีข้ึนในช้ันอุทธรณ์เงินค่าทดแทน แต่โดยท่ีพฤติการณ์ของหน่วยงาน
ทางปกครองและเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เก่ียวข้องแสดงถึงการยอมรับคําขอดังกล่าว ศาลปกครองสูงสุด
จงึ ฟังวา่ เปน็ กรณีท่ีผู้ฟอ้ งคดีไดใ้ ชส้ ิทธยิ น่ื คาํ ขอโดยชอบแล้ว

คดีพิพาทที่ผู้ฟ้องคดีขอให้มีการเวนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือ
เปน็ คดพี ิพาทประเภทใด และเปน็ คดีมที ุนทรพั ย์ทต่ี อ้ งเสยี ค่าธรรมเนียมศาลหรือไม่

การที่ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องโดยมีคําขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงคมนาคม อธิบดีกรมทางหลวงชนบท และกรมทางหลวงชนบท (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ถึงท่ี ๓
ตามลําดับ) จัดซ้ือหรือเวนคืนสิ่งปลูกสร้างบ้านพักอาศัยหน่ึงช้ันและส่ิงปลูกสร้างอื่นซึ่งต้ังอยู่บนที่ดิน
ท่ีถูกเวนคืน ซ่ึงผู้ฟ้องคดีอ้างว่า ผู้ฟ้องคดีประสงค์จะขอให้ศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังของผู้ถูกฟ้องคดี
ทง้ั สามท่ปี ฏเิ สธไมซ่ อื้ สงิ่ ปลกู สร้างสว่ นทเี่ หลอื กรณีจงึ เปน็ คดพี พิ าทเกยี่ วกับการท่ีหนว่ ยงานทางปกครอง
หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐออกคําสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ นั้น ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ความเสียหายท่ีแท้จริง
ของผ้ฟู ้องคดีเกดิ จากการทผ่ี ูถ้ ูกฟ้องคดีทั้งสามไม่จัดซื้อหรือเวนคืนสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือและไม่จ่าย
ค่าทดแทนส่ิงปลูกสร้าง ซ่ึงศาลจะต้องกําหนดคําบังคับให้ผู้ถูกฟ้องคดีท้ังสามจัดซื้อหรือเวนคืน
ส่งิ ปลกู สร้างส่วนท่เี หลือและจา่ ยเงินคา่ ทดแทนสิง่ ปลูกสร้างดังกล่าว จึงจะเยียวยาความเสียหายให้แก่

๒ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๑๘๘๒/๒๕๕๙
๓ คาํ ส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ที่ ๑๗๒/๒๕๔๙

๑๔๐ รวมเรื่องเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ผู้ฟ้องคดีได้ หากศาลกําหนดรูปคดีเป็นคดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าที่
ของรัฐออกคําสั่งทางปกครองโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายและกําหนดคําบังคับให้เพิกถอนคําส่ัง
ของผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสามที่ปฏิเสธไม่จัดซื้อหรือเวนคืนสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือตามมาตรา ๗๒
วรรคหนึ่ง (๑) แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว ย่อมไม่อาจเยียวยาความเสียหายให้แก่ผู้ฟ้องคดีได้
ท่ีศาลปกครองช้ันต้นวินิจฉัยว่าคดีนี้เป็นคดีพิพาทเกี่ยวกับความรับผิดอย่างอ่ืนของหน่วยงาน
ทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐอันเกิดจากการใช้อํานาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
จึงชอบแล้ว คดีนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ผู้ฟ้องคดีจะต้องกําหนดทุนทรัพย์ในคําขอท้ายฟ้องและ
เสยี ค่าธรรมเนียมศาลตามมาตรา ๔๕ วรรคหนงึ่ (๔) และวรรคส่ี แห่งพระราชบัญญตั เิ ดียวกนั ๔

นอกจากน้ี ในกรณีท่ีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดียื่นคําฟ้องโดยมีคําขอท้ายฟ้อง
ขอให้อธิบดีกรมทางหลวงและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ และท่ี ๒
ตามลําดับ) คิดราคาค่าทดแทนส่ิงปลูกสร้างทั้งหลังตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วย
การเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ศาลปกครองช้ันต้นได้ตรวจพิจารณาคําฟ้องแล้วมีคําสั่ง
ให้ผู้ฟ้องคดแี กไ้ ขเพมิ่ เตมิ คาํ ฟอ้ งให้ชดั เจนเกี่ยวกับจาํ นวนเงินค่าทดแทนพรอ้ มท้งั ชําระค่าธรรมเนียมศาล
ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมคําฟ้องตามคําสั่งศาล โดยมีคําขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองดําเนินการเวนคืนส่ิงปลูกสร้างส่วนที่เหลือท้ังหมด และให้จ่ายเงินค่าทดแทน
เปน็ เงนิ ๒,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผู้ฟ้องคดไี ด้ชําระค่าธรรมเนียมศาลครบถว้ นแล้ว น้นั ศาลปกครองสูงสุด
วินจิ ฉยั วา่ กรณตี ้องถอื วา่ คดีน้เี ป็นคดีพิพาทเก่ยี วกับความรบั ผิดอย่างอื่นของหน่วยงานทางปกครองหรือ
เจ้าหน้าทีข่ องรัฐอนั เกิดจากการใชอ้ ํานาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติ
จัดต้งั ศาลปกครองฯ๕

ในกรณที เ่ี จ้าหนา้ ทไ่ี ม่เวนคนื โรงเรอื นหรอื สงิ่ ปลกู สรา้ งเพ่มิ ตามคาํ ร้องขอ ผู้ขอมีสิทธิ
อทุ ธรณต์ อ่ รัฐมนตรีผ้รู ักษาการตามพระราชกฤษฎีกาท่อี อกตามมาตรา ๖ หรือรัฐมนตรีผู้รักษาการ
ตามพระราชบญั ญตั เิ วนคืนอสงั หาริมทรพั ย์ฉบับนนั้ ภายในหกสิบวนั นับแต่วนั ที่ไดร้ บั แจ้งเปน็ หนงั สอื
จากเจ้าหน้าทหี่ รือผู้ซ่งึ ไดร้ ับมอบหมายจากเจา้ หน้าท่ี

หากเจ้าหนา้ ทไี่ มเ่ วนคืนตามคําร้องขอของเจ้าของ เจ้าของมีสิทธิอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี
ผู้รักษาการตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตท่ีดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน หรือรัฐมนตรีผู้รักษาการ
ตามพระราชบัญญัติเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ฉบับนั้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับแจ้งเป็นหนังสือ
จากเจ้าหน้าท่ีหรือผู้ซ่ึงได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าท่ี ทั้งน้ี ตามมาตรา ๒๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ
วา่ ดว้ ยการเวนคนื อสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ เกยี่ วกับเร่ืองน้ี ถือเป็นกรณที ี่กฎหมายเฉพาะกําหนด
ขั้นตอนหรือวิธีการดําเนินการสําหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหายไว้เป็นการเฉพาะ ซ่ึงถือเป็น

๔ คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๐๘๔/๒๕๕๙ และคําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ ๑๐๘๕/๒๕๕๙ วินิจฉัย
ทํานองเดยี วกัน

๕ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๗๙๒/๒๕๖๐

รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๔๑

เง่ือนไขที่ต้องดําเนินการก่อนการฟ้องคดีตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองฯ

ในกรณีที่ผู้ขอย่ืนอุทธรณ์คําสั่งปฏิเสธไม่เวนคืนเพิ่มตามคําขอภายในกําหนด
หกสิบวนั นับแต่วนั ท่ีได้รับแจง้ คําสัง่ ปฏเิ สธ รัฐมนตรีจะปฏิเสธไม่รับพิจารณาอุทธรณ์กรณีดังกล่าว
โดยอา้ งเหตุพระราชกฤษฎกี ากาํ หนดเขตที่ดินในบริเวณทท่ี ่ีจะเวนคืนสนิ้ อายุแล้วหาไดไ้ ม่

คดีน้ีผู้ฟ้องคดีมีหนังสืออุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒)
ขอให้จ่ายเงินค่าร้ือถอนบ้านท้ังหลังภายใน ๖๐ วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งปฏิเสธ แต่ผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยไม่รับอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี โดยเห็นว่ากรณีของผู้ฟ้องคดีเป็นการจ่ายเงินค่าทดแทน
ในขั้นคณะกรรมการปรองดองภายหลงั จากท่ีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ท่ีจะเวนคืนฯ
พ.ศ. ๒๕๔๑ หมดอายุการใชบ้ งั คับแล้ว ผ้ฟู อ้ งคดจี ึงไมม่ ีสทิ ธอิ ทุ ธรณ์ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญตั ิ
วา่ ดว้ ยการเวนคืนอสงั หารมิ ทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ศาลปกครองสูงสดุ วินิจฉัยวา่ เมื่อกรณขี องผูฟ้ ้องคดี
เป็นการอทุ ธรณภ์ ายในหกสบิ วันนบั แตว่ นั ทไ่ี ด้รับหนงั สอื แจง้ ปฏเิ สธตามที่มาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ กําหนดไว้ ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ จึงชอบที่จะพิจารณา
อุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีต่อไป ทั้งน้ี เพราะการอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นการดําเนินการท่ีสืบเน่ืองจาก
การกําหนดเงินค่าทดแทนสิ่งปลูกสร้างของอธิบดีกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ท่ีดําเนินการไปแล้ว
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ จึงไม่อาจยกเอาการส้ินอายุการใช้บังคับของพระราชกฤษฎีกาเพ่ือที่จะไม่รับอุทธรณ์
ของผู้ฟ้องคดีได้ ดังน้ัน การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีคําส่ังไม่รับอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีโดยอ้างว่ากรณีของ
ผู้ฟ้องคดีเป็นการจ่ายเงินค่าทดแทนในขั้นคณะกรรมการปรองดองภายหลังจากท่ีพระราชกฤษฎีกา
กําหนดเขตท่ีดินในบริเวณที่ท่ีจะเวนคืนฯ พ.ศ. ๒๕๔๑ ส้ินอายุการใช้บังคับแล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีสิทธิ
อุทธรณ์ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
จึงเป็นการกระทําท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมาย๖

รัฐมนตรีต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จส้ินภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับ
คําอุทธรณ์ มิฉะนั้น กฎหมายให้ถือว่ารัฐมนตรีวินิจฉัยให้เจ้าหน้าท่ีเวนคืนตามคําร้องขอ
ของเจ้าของ

เกี่ยวกับการพิจารณาอุทธรณ์ในเรื่องน้ี บทบัญญัติมาตรา ๒๐ วรรคสอง
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ บัญญัติให้รัฐมนตรีวินิจฉัย
อุทธรณ์ให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันที่ได้รับคําอุทธรณ์ มิฉะน้ันให้ถือว่ารัฐมนตรีวินิจฉัย
ให้เจ้าหน้าท่ีเวนคืนตามคําร้องขอของเจ้าของ ซ่ึงมีคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยยืนยัน
ถงึ หลกั การนี้ โดยมสี าระสําคญั โดยสรุปดงั นี้

คดีนี้ผู้ฟ้องคดียื่นฟ้องคดีโดยมีคําขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้มีการเวนคืน
บ้านพักสองชั้นส่วนท่ีเหลือจากการเวนคืน ศาลปกครองชั้นต้นมีคําพิพากษายกฟ้อง ผู้ฟ้องคดี

๖ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๒๔/๒๕๕๖

๑๔๒ รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ย่นื อุทธรณโ์ ดยมสี าระสาํ คญั ประการหนง่ึ วา่ การทผ่ี ูฟ้ ้องคดีมีหนังสอื ร้องขอให้เวนคืนบ้านพักตึกสองช้ัน
สว่ นทีเ่ หลือจากการเวนคืนภายในระยะเวลาทีพ่ ระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ท่ีจะเวนคืนฯ
พ.ศ. ๒๕๔๑ มีผลใช้บังคับ และเมื่อเจ้าหน้าท่ีเวนคืนปฏิเสธไม่รับเวนคืน โดยผู้ฟ้องคดีได้ย่ืนอุทธรณ์
ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย๗ ภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับแจ้ง ถือว่าเป็นการอุทธรณ์
ทช่ี อบด้วยกฎหมายตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
แตร่ ัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไมไ่ ด้วนิ จิ ฉยั อทุ ธรณข์ องผ้ฟู อ้ งคดภี ายในเวลาท่ีกฎหมายกําหนด
ถือว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้รับเวนคืนตึกพิพาทของผู้ฟ้องคดีไว้แล้ว ซ่ึงกระทรวง
คมนาคม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม กรมทางหลวงชนบท และอธิบดีกรมทางหลวงชนบท
(ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ถึงที่ ๔ ตามลําดับ) มีคําแก้อุทธรณ์ในประเด็นนี้โดยสรุปว่า ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสี่เห็นว่า
บ้านพักตึกสองชั้นท่ีพิพาท ยังถือไม่ได้ว่าเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกา
กําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งเม่ือยังไม่มีอสังหาริมทรัพย์ที่จะต้องเวนคืน
จึงไม่มีอสังหาริมทรัพย์เหลือจากการเวนคืนตามท่ีผู้ฟ้องคดีร้องขอตามหนังสือฉบับลงวันท่ี ๒๗
กันยายน ๒๕๔๕ ดังนั้น เม่ือมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากหนังสือของผู้ฟ้องคดี ทําให้ทราบว่า
แนวเขตเวนคืนคลาดเคล่อื น โดยแนวเขตเวนคืนทถ่ี กู ต้องจะทําใหบ้ า้ นพกั ตกึ สองชน้ั ดังกล่าวถูกเวนคืน
เพิ่มข้ึน อันหมายความว่าจะต้องมีการกําหนดเงินค่าทดแทนให้ใหม่ จึงมีการตราพระราชกฤษฎีกา
กําหนดเขตท่ีดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนฯ พ.ศ. ๒๕๔๖ เพ่ือทําการสํารวจอสังหาริมทรัพย์ที่ยังสํารวจ
ไม่แล้วเสร็จให้แก่ผู้ถูกเวนคืนและผู้ฟ้องคดีใหม่ตามแนวเขตเวนคืนท่ีถูกต้อง รวมท้ังได้ดําเนินการ
แต่งตั้งคณะกรรมการกําหนดราคาเบื้องต้นฯ โดยคณะกรรมการกําหนดราคาเบื้องต้นฯ ได้ประชุม
และมีประกาศลงวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ กําหนดค่าทดแทนบ้านพักตึกสองช้ันดังกล่าวใหม่
ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้ทําสัญญาซื้อขายสิ่งปลูกสร้างเม่ือวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๔๗ และได้รับเงินค่าทดแทน
ดังกล่าวไปแล้ว ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือลงวันที่ ๔ เมษายน ๒๕๔๖ ร้องขอให้ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔
เวนคืนบา้ นพกั ตกึ สองช้ันส่วนที่เหลือจากการเวนคืนตามจํานวนท่ีถูกต้องแท้จริง และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔
ปฏิเสธคาํ ร้องของผูฟ้ อ้ งคดี ผ้ฟู อ้ งคดีจึงมีหนงั สอื ลงวันที่ ๑๕ กนั ยายน ๒๕๔๖ อุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๒ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ มีหนังสือลงวันท่ี ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ แจ้งผลการวินิจฉัยอุทธรณ์
ให้ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีทราบผลคําวินิจฉัยเม่ือวันท่ี ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๖ จึงถือได้ว่า
ผถู้ กู ฟอ้ งคดที ี่ ๒ ได้วนิ จิ ฉัยอุทธรณ์ของผูฟ้ ้องคดภี ายในหกสิบวัน ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติ
ว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยถูกต้องและชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลปกครองสูงสุด
วนิ ิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เม่ือผู้ฟ้องคดีเห็นว่าบ้านพักตึกสองชั้นบางส่วนอยู่ในแนวเขตที่จะเวนคืน
ผฟู้ อ้ งคดีจึงยนื่ หนงั สือลงวันที่ ๓ มถิ ุนายน ๒๕๔๕ ขอใหเ้ จา้ หนา้ ท่เี วนคืนบ้านพักตึกสองช้ันส่วนที่เหลือ
จากการเวนคืน ต่อมา รองอธิบดีกรมโยธาธิการซ่ึงได้รับมอบหมายจากเจ้าหน้าที่เวนคืนมีหนังสือ

๗ คดีน้ีภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดียื่นอุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยแล้วมีการตรา
พระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติปรับปรุง
กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ ใช้บังคับ ทําให้กิจการหรืออํานาจหน้าท่ีของรัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงมหาดไทยเป็นอาํ นาจหน้าท่ขี องรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม

รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๔๓

ลงวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๔๕ แจ้งปฏิเสธคําขอให้เวนคืนส่ิงปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือว่า อาคารส่วนท่ีเหลือ
จากการเวนคืนสามารถใช้ประโยชน์ได้ จึงแสดงให้เห็นว่าบ้านพักตึกสองชั้นของผู้ฟ้องคดีถูกเวนคืน
บางสว่ นจรงิ แตเ่ จา้ หนา้ ทีผ่ ทู้ าํ การสํารวจอสังหารมิ ทรัพย์ทจี่ ะต้องเวนคืนเข้าใจคลาดเคล่ือน ผู้ฟ้องคดี
ได้อุทธรณ์ต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเม่ือวันที่ ๒๗ กันยายน ๒๕๔๕ รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงมหาดไทยจึงต้องวินิจฉัยคําอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีให้เสร็จสิ้นภายในหกสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับ
คําอทุ ธรณ์ คอื ภายในวนั ท่ี ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ดังน้ัน เมือ่ ขอ้ เท็จจริงปรากฏว่า บ้านพักตึกสองชน้ั
ของผู้ฟ้องคดีบางส่วนอยู่ในแนวเขตท่ีจะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินในบริเวณที่
ท่ีจะเวนคนื ฯ พ.ศ. ๒๕๔๑ และผฟู้ อ้ งคดไี ด้ยนื่ คํารอ้ งขอใหเ้ วนคนื สง่ิ ปลูกสรา้ งสว่ นท่เี หลอื ตามข้ันตอน
ท่ีกฎหมายกําหนดแล้ว การท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไม่ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ภายในหกสิบวัน
นับแต่วันที่ได้รับคําอุทธรณ์ จึงมีผลให้เจ้าหน้าที่เวนคืนต้องเวนคืนบ้านพักตึกสองช้ันของผู้ฟ้องคดี
ส่วนที่เหลือจากการเวนคืนตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๓๐ แม้ต่อมาจะมีการตราพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดินในบริเวณท่ีที่จะเวนคืนฯ
พ.ศ. ๒๕๔๖ และมีการสํารวจแนวเขตเวนคืนอีกคร้ังหนึ่ง แต่เมื่อบ้านพักตึกสองช้ันของผู้ฟ้องคดี
อย่ใู นแนวเขตท่ีจะเวนคืนจริง เจ้าหนา้ ทเี่ วนคนื จะอา้ งผลการสํารวจคร้ังหลังเป็นเหตุเริ่มต้นการใช้สิทธิ
ของผู้ฟ้องคดีในการร้องขอให้เจ้าหน้าท่ีเวนคืนสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือหาได้ไม่ ส่วนการท่ีผู้ฟ้องคดี
มีหนังสือร้องขอต่อผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๔ ขอให้เวนคืนบ้านพักตึกสองช้ันส่วนท่ีเหลือจากการเวนคืน
อกี ครัง้ หน่งึ เม่ือวนั ท่ี ๔ เมษายน ๒๕๔๖ และผู้ถูกฟอ้ งคดีท่ี ๔ แจ้งปฏิเสธไม่ยอมเวนคืนตามคําร้องขอ
ของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๔๖ อุทธรณ์ต่อผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒
ในวันเดียวกัน และผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ได้มีคําวินิจฉัยยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี น้ัน การดําเนินการ
ของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ดังกล่าวไม่เป็นเหตุเปล่ียนแปลงต่อกรณีท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ไมไ่ ด้มีคําวินจิ ฉัยอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีให้เสร็จส้ินภายในเวลาท่ีกฎหมายกําหนดตามมาตรา ๑๙ วรรคหนึ่ง
แหง่ พระราชบญั ญตั ิว่าดว้ ยการเวนคนื อสงั หารมิ ทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ แต่อย่างใด กรณยี ังมีผลให้ต้องถือว่า
รัฐมนตรีวินิจฉัยให้เจ้าหน้าท่ีเวนคืนบ้านพักตึกสองชั้นส่วนท่ีเหลือจากการเวนคืนตามท่ีวินิจฉัยแล้ว
ข้างต้น ดังนั้น ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ จึงต้องเวนคืนบ้านพักตึกสองชั้นส่วนที่เหลือจากการเวนคืนตามท่ี
ผ้ฟู อ้ งคดรี ้องขอ โดยศาลไมจ่ าํ ตอ้ งวนิ จิ ฉัยว่า บ้านพักตึกสองช้ันส่วนท่ีเหลือจากการเวนคืนหลังดังกล่าว
ผ้ฟู ้องคดสี ามารถพกั อาศัยต่อไปได้โดยปกตสิ ุขหรอื ไมแ่ ตอ่ ยา่ งใด๘

หมายเหตุ คดีน้ีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ในระหว่างการดําเนินการเวนคืนได้มีการตรา
พระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ
ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ ใช้บังคับ ทําให้กิจการหรืออํานาจหน้าที่
ของหน่วยงานท่ีรับผิดชอบเกี่ยวกับการเวนคืนเดิมตามคดีน้ี ซึ่งประกอบไปด้วย กรมโยธาธิการ
อธิบดีกรมโยธาธิการ กระทรวงมหาดไทยและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โอนไปเป็นของ

๘ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๘๙๗/๒๕๕๕

๑๔๔ รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

กรมทางหลวงชนบท อธิบดีกรมทางหลวงชนบท กระทรวงคมนาคมและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง
คมนาคม

อํานาจของรัฐมนตรีในการพิจารณาอุทธรณ์คําขอให้เวนคืนโรงเรือนหรือ
ส่งิ ปลกู สร้างสว่ นท่เี หลอื ซง่ึ ใชก้ ารไม่ได้

กระทรวงคมนาคมเคยมีกรณีหารือไปยังสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาว่า
ในกรณีท่ีมีการร้องขอให้กรมทางหลวงเวนคืนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลือซึ่งใช้การไม่ได้ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ซ่ึงกรมทางหลวงพิจารณาแล้ว
เห็นควรให้จัดซ้ือสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือเพ่ิมเติมเพียงบางส่วน ผู้ยื่นคําขอไม่พอใจ จึงได้อุทธรณ์
ต่อรัฐมนตรีเพื่อขอให้เวนคืนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลือท้ังหมด ปรากฏว่า รัฐมนตรีวินิจฉัยว่าสมควร
ไม่เวนคืนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดตามคําขอของผู้อุทธรณ์ ซ่ึงหมายความถึงสิ่งปลูกสร้างบางส่วน
ที่กรมทางหลวงเห็นควรให้เวนคืนเพิ่มด้วย กรณีดังกล่าวถือเป็นการเพิกถอนคําส่ังกรมทางหลวง
ที่ให้เวนคืนส่วนที่เหลือบางส่วนหรือไม่ คณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองมีความเห็น
ในประเด็นนี้โดยสรุปว่า ในการพิจารณาอุทธรณ์ของรัฐมนตรี น้ัน พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ได้กําหนดหลักเกณฑ์หรือขอบเขตการพิจารณาอุทธรณ์ของผู้มีอํานาจ
พจิ ารณาอทุ ธรณ์ไวใ้ นมาตรา ๔๖๙ โดยให้มีอํานาจพิจารณาทบทวนคําส่ังของเจ้าหน้าท่ีได้ไม่ว่าจะเป็น
ปัญหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือความเหมาะสมของการทําคําสั่งทางปกครอง และอาจมีคําสั่ง
เพิกถอนคาํ สง่ั ทางปกครองเดิมหรอื เปล่ียนแปลงคําสัง่ น้นั ไปในทางใด ท้ังน้ี ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มภาระ
หรือลดภาระ หรือใช้ดุลพินิจแทนในเรื่องความเหมาะสมของการทําคําสั่งทางปกครองหรือมีข้อกําหนด
เป็นเง่ือนไขอย่างใดก็ได้ ดังน้ัน เมื่อรัฐมนตรีได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์แล้วเห็นชอบให้ยกคําอุทธรณ์
โดยไม่เวนคืนสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลือท้ังหมด คําวินิจฉัยอุทธรณ์ดังกล่าวจึงเป็นคําสั่งทางปกครอง
ที่มีผลเป็นการเพิกถอนคําสั่งกรมทางหลวงท่ีให้เวนคืนส่ิงปลูกสร้างเพิ่มบางส่วน ซึ่งกรมทางหลวง
จะตอ้ งปฏิบตั ใิ ห้เป็นไปตามคําวนิ จิ ฉัยอทุ ธรณ์ของรฐั มนตรีดังกลา่ ว๑๐

แนวทางในการพิจารณาคดีพิพาทที่ฟ้องขอให้มีการเวนคืนโรงเรือนหรือ
สง่ิ ปลกู สรา้ งสว่ นท่เี หลอื ซงึ่ ใช้การไมไ่ ด้ของศาลปกครองสงู สุด

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวางหลักการพิจารณาคดีพิพาทท่ีฟ้องขอให้มีการเวนคืน
โรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างส่วนที่เหลือซึ่งใช้การไม่ได้ว่า การจะวินิจฉัยปัญหาว่าอาคารส่วนท่ีเหลือ

๙ พระราชบัญญัติวธิ ปี ฏิบตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๔๖ ในการพิจารณาอุทธรณ์ ให้เจ้าหน้าท่ีพิจารณาทบทวนคําส่ังทางปกครองได้ไม่ว่าจะเป็น

ปัญหาข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย หรือความเหมาะสมของการทําคําส่ังทางปกครอง และอาจมีคําสั่งเพิกถอนคําส่ัง
ทางปกครองเดิมหรอื เปลยี่ นแปลงคําสั่งน้ันไปในทางใด ทัง้ นี้ ไมว่ า่ จะเป็นการเพม่ิ ภาระหรอื ลดภาระหรอื ใช้ดลุ พนิ ิจแทน
ในเรื่องความเหมาะสมของการทาํ คาํ สง่ั ทางปกครองหรอื มีข้อกาํ หนดเป็นเงื่อนไขอย่างไรก็ได้

๑๐ บันทึกคณะกรรมการวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง เร่ือง การพิจารณาอุทธรณ์ตามมาตรา ๑๙
แหง่ พระราชบญั ญตั ิวา่ ด้วยการเวนคนื อสงั หารมิ ทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ (เรือ่ งเสรจ็ ที่ ๑๑๒๗/๒๕๕๕)

รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๔๕

ตกอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้แล้วน้ัน จําต้องพิจารณาถึงข้อเท็จจริงสองส่วน ส่วนแรก คือ โครงสร้าง
ของอาคารส่วนที่เหลือจากการถูกเวนคืน ต้องปรากฏข้อเท็จจริงเป็นท่ีเชื่อได้ว่า การเวนคืนอาคาร
บางส่วน เม่ือรื้อถอนอาคารส่วนท่ีถูกเวนคืนออกไปแล้วดําเนินการซ่อมสร้างอาคารส่วนท่ีเหลือ
ใหใ้ ชก้ ารได้ตอ่ ไปน้ัน ลกั ษณะโครงสรา้ งและสภาพของอาคารส่วนที่เหลือสามารถต้ังอยู่เป็นอาคารถาวร
ได้เหมือนเดมิ ก่อนทอ่ี าคารบางสว่ นจะถูกเวนคนื ส่วนท่ีสอง คือ หากไม่มีปัญหาเรื่องโครงสร้างของอาคาร
กรณีต้องปรากฏข้อเท็จจริงด้วยว่า อาคารส่วนท่ีเหลือมีสภาพและลักษณะการใช้ประโยชน์ได้ไม่ต่าง
ไปจากเดมิ มากนกั

สําหรับข้อเท็จจริงที่ศาลจะรับฟังในเร่ืองนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้ให้แนวทางว่า
เจ้าหน้าท่ีเวนคืนอาจต้องจัดให้มีวิศวกรเข้าไปตรวจสอบอาคารแล้วทําความเห็นในเรื่องดังกล่าว
แล้วเสนอความเห็นต่อศาล โดยไม่อาจรับฟังเพียงข้อกล่าวอ้างหรือข้อต่อสู้ของคู่กรณีทั้งสองฝ่าย
โดยไมม่ ีพยานหลักฐานสนับสนุนข้ออ้างหรือข้อต่อสู้ ดังนั้น เม่ือข้อเท็จจริงในสํานวนคดีปรากฏแต่เพียง
ขอ้ กล่าวอา้ งของฝ่ายผู้ฟ้องคดีว่า เมื่อร้อื ถอนอาคารสว่ นท่ีถูกเวนคืนแล้ว จะกระทบโครงสร้างของอาคาร
สว่ นที่เหลือ และอาคารส่วนที่เหลือไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้ดังเดิม ส่วนฝ่ายเจ้าหน้าที่เวนคืนก็ต่อสู้ว่า
ไม่กระทบโครงสร้างของอาคาร และอาคารส่วนท่ีเหลือยังสามารถใช้ประโยชน์ได้ ศาลปกครองสูงสุด
จึงเห็นว่า กรณียังไม่อาจวินิจฉัยประเด็นแห่งคดีได้ว่า การที่เจ้าหน้าที่เวนคืนไม่ยอมเวนคืนโรงเรือน
สว่ นที่เหลือตามคํารอ้ งขอของผฟู้ ้องคดเี ปน็ การชอบด้วยกฎหมายหรอื ไม๑่ ๑

หมายเหตุ คดีน้ีศาลปกครองสูงสุดมีข้อวินิจฉัยเก่ียวกับประเด็นดังกล่าวข้างต้น
ในท้ายท่ีสุดว่า กรณีมีเหตุอันสมควรที่ศาลปกครองช้ันต้นจะต้องแสวงหาข้อเท็จจริงในเรื่องดังกล่าว
ให้ได้ข้อยุติก่อนจึงจะวินิจฉัยในประเด็นปัญหาว่าอาคารส่วนท่ีเหลืออยู่ตกอยู่ในสภาพใช้การไม่ได้แล้ว
และเป็นกรณีท่ีเข้าเงื่อนไขที่จะร้องขอให้เจ้าหน้าที่เวนคืนอาคารส่วนท่ีเหลืออยู่ตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้หรือไม่ กรณีจึงเป็นเร่ืองที่
ปรากฏเหตุที่ศาลปกครองช้ันต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบในส่วนท่ีว่าด้วย
การแสวงหาขอ้ เทจ็ จริง ตอ้ งดว้ ยขอ้ ๑๑๒ วรรคหนึ่ง (๒) แหง่ ระเบียบฯ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีปกครองฯ
นอกจากนี้ ในคดีเดียวกันน้ีในประเด็นพิจารณาอื่น ศาลปกครองสูงสุดยังเห็นว่าเป็นเรื่องท่ีปรากฏเหตุ
ที่ศาลปกครองชั้นต้นมิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายหรือระเบียบในส่วนที่ว่าด้วยการทํา
คําพิพากษาและคําสั่งตามข้อ ๑๑๒ วรรคหน่ึง (๑) แห่งระเบียบของท่ีประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครอง
สูงสุดฉบับเดียวกัน จึงมีเหตุอันสมควรที่จะส่งสํานวนคดีนี้คืนไปยังศาลปกครองช้ันต้น เพื่อให้
ศาลปกครองช้นั ตน้ แสวงหาข้อเทจ็ จริงเพ่ิมเติมและพิจารณาคดีแล้วมคี าํ พิพากษาหรือคาํ ส่งั ใหม่

๑๑ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๗๙๒/๒๕๖๐

๑๔๖ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ตัวอย่างคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ีวินิจฉัยว่า การท่ีเจ้าหน้าท่ีไม่เวนคืน
โรงเรอื นหรือสิง่ ปลกู สรา้ งส่วนทเี่ หลอื ชอบแลว้

คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีได้มีหนังสือถึงผู้อํานวยการสํานักงานทางหลวง
ที่ ๑๓ (ประจวบคีรีขันธ์) (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔) ซ่ึงเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืน ขอให้เวนคืนโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้าง
ส่วนทีเ่ หลืออยู่ตามนยั มาตรา ๑๙ แหง่ พระราชบญั ญตั ิว่าดว้ ยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐
แต่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๔ ได้มีหนังสือแจ้งผู้ฟ้องคดีว่า ไม่เวนคืนส่ิงปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือตามคําร้องขอ
ผู้ฟ้องคดีจึงมีหนงั สอื อุทธรณ์ผลการพิจารณาดังกล่าวต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม (ผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๒) ซ่ึงผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ว่า ไม่เวนคืนส่ิงปลูกสร้างส่วนที่เหลือท้ังหมดตามคําร้องขอ
แต่ให้จ่ายเงินค่าทดแทนอาคารส่วนท่ีเหลือเพ่ิมเติมจากเดิมอีก ๑ ช่วงเสา (๒.๙๐ เมตร) ผู้ฟ้องคดี
จึงนําคดีมาฟ้องขอให้ศาลมีคําพิพากษาให้มีการเวนคืนส่ิงปลูกสร้างส่วนที่เหลือของผู้ฟ้องคดีทั้งหมด
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อได้พิจารณาจากภาพถ่ายสิ่งปลูกสร้างประกอบกับแบบแปลน
ส่ิงปลูกสร้าง (แบบ ชส.๓-๒) ส่ิงปลูกสร้างของผู้ฟ้องคดีมีลักษณะเป็นอาคารปลูกสร้างติดต่อกัน
โดยส่วนทถ่ี ูกเวนคนื ได้แก่ (๑) กรณีสิง่ ปลกู สรา้ งทเี่ ป็นบา้ น ๒ ชน้ั ครง่ึ ตึกคร่ึงไม้ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า
ถกู เวนคนื ในสว่ นท่ีเป็นเพงิ หนา้ บา้ นเป็นแนวเฉียง ถูกเวนคืนขนาดกว้าง ๕.๗๐ เมตร ยาว ๖.๔๐ เมตร
ส่วนท่ีถูกเวนคืน คือ เพิงด้านหน้าบ้านและถูกเวนคืนเป็นแนวเฉียงมีระยะความลึกมากสุดประมาณ
๒.๓ เมตร ซ่ึงเป็นเพิงส่วนท่ีต่อเติม เมื่อพิจารณาสภาพพื้นท่ีแล้วเห็นว่า อาคารส่วนที่เหลือยังสามารถ
ใช้การได้ และเม่ือร้ือถอนจะไม่กระทบกับโครงสร้างของบ้านท่ีเป็นสองช้ัน สามารถปรับปรุงพื้นท่ี
ให้ใช้ประโยชน์ต่อไปได้ (๒) กรณีอาคารชั้นเดียวท่ีปลูกชิดกับบ้านสองช้ัน คร่ึงตึกคร่ึงไม้ แต่มีโครงสร้าง
คนละส่วน ขนาดกว้างประมาณ ๕ เมตร ยาวประมาณ ๑๑.๕๐ เมตร แบ่งพ้ืนที่ใช้สอยออกเป็น ๔ ช่วง
โดยถูกเวนคืนในส่วนของบริเวณด้านหน้าซึ่งใช้เป็นห้องนอน (หรือเป็นอาคารช่วงที่ ๑ ซ่ึงมีความยาว
๒.๗ เมตร) และถูกเวนคืนในแนวเฉียงมีระยะความลึกมากท่ีสุดประมาณ ๒.๗ เมตร หากร้ือถอน
อาคารชว่ งท่ีหนง่ึ แล้วยอ่ มไมก่ ระทบโครงสร้างหลกั ของอาคาร ส่งิ ปลูกสรา้ งดังกลา่ วยังคงมีส่วนที่เหลือ
ซ่ึงมีพ้ืนที่ประมาณ ๓ ใน ๔ ส่วน ของพ้ืนท่ีท้ังหมด โดยยังคงเหลือส่วนท่ีเป็นพื้นที่อเนกประสงค์
ห้องครัวและห้องนอน และสามารถปรับปรุงให้ใช้งานต่อไปได้ (๓) กรณีสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเป็นเล้าหมู
เป็นส่วนท่ีปลูกสร้างแยกออกมาจากตัวบ้านชั้นเดียว ขนาดกว้าง ๔.๕ เมตร ยาว ๒๑.๕๐ เมตร
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๕ ได้จ่ายเงินค่าทดแทนให้ทั้งในส่วนท่ีอยู่นอกเขตที่ดินของผู้ฟ้องคดี ส่วนถูกเขตทาง
และส่วนต่อเน่ือง ขนาดกว้าง ๔.๕ เมตร ยาว ๑๐.๑๐ เมตร ซึ่งเป็นพ้ืนท่ีประมาณคร่ึงหนึ่งของพ้ืนที่
อาคารท้ังหมด แต่สามารถรื้อถอนได้โดยไม่กระทบต่อโครงสร้างของตัวอาคารและสามารถปรับปรุง
สว่ นทเ่ี หลือให้เหมาะสมตอ่ การใช้งานต่อไปได้ กรณพี ื้นคอนกรีต มิไดเ้ ป็นสว่ นเชอ่ื มต่อกับอาคารชั้นเดียว
และบ้าน ๒ ช้ัน คร่ึงตึกครึ่งไม้ จึงไม่กระทบต่อโครงสร้าง ส่วนที่เหลือสามารถใช้การได้ ดังนั้น
การเวนคืนสิ่งปลูกสร้างเพียงบางส่วนในกรณีนี้ ไม่กระทบต่อโครงสร้างของบ้าน ๒ ช้ัน ครึ่งตึกครึ่งไม้
รวมท้ังอาคารช้ันเดียวที่ถูกเวนคืนในส่วนห้องนอนและห้องอเนกประสงค์บางส่วนนั้น ตัวอาคาร
ยังคงเหลือห้องน้ํา ห้องครัว พ้ืนท่ีอเนกประสงค์ที่สามารถปรับปรุงให้กลับมาใช้สอยได้ตามปกติ
โดยไมก่ ระทบต่อโครงสรา้ งหลกั ของอาคาร เห็นว่าส่ิงปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือของผู้ฟ้องคดียังคงสามารถ

รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๔๗

ใชก้ ารได้ กรณจี งึ ไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่ีจะต้องเวนคืนสิ่งปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือตามท่ีผู้ฟ้องคดีร้องขอ นอกจากนี้ การเวนคืน
เพ่ือขยายทางหลวงแผ่นดิน หมายเลข ๓๐๓๖ นี้ เปน็ การก่อสรา้ งถนนที่มีช่องจราจรข้างละ ๒๐ เมตร
รวมสองช่องจราจร ๔๐ เมตร แต่หลังจากเวนคืนแล้วได้มีการก่อสร้างถนนสองช่องจราจร ขนาดกว้าง
ข้างละ ๑๐ เมตร ซึ่งอยู่บริเวณก่ึงกลางของเขตทาง ทําให้เหลือบริเวณไหล่ทาง ซ่ึงจะไม่มีการก่อสร้าง
ถนนในส่วนที่เหลือ โดยกรมทางหลวง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๖) จะกันไว้เป็นระยะมองเห็น ดังน้ัน ที่ดิน
ของผู้ฟ้องคดีจึงมีช่วงระยะห่างจากแนวเขตถนนมิได้อยู่ชิดเขตทาง ซ่ึงการกําหนดเงินค่าทดแทน
อาคารสว่ นท่ีเหลือให้อีก ๒.๙๐ เมตร ย่อมทําให้ส่ิงปลูกสร้างสามารถปรับปรุงให้ห่างจากเขตทางมากขึ้น
โดยไม่ต้องรื้อถอนอาคารทั้งหลัง ดังนั้น การที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ไม่เวนคืนส่ิงปลูกสร้างส่วนที่เหลือ
จากการเวนคืนตามท่ีผ้ฟู อ้ งคดรี อ้ งขอจึงชอบดว้ ยกฎหมายแล้ว๑๒

ขอ้ สงั เกต
๑) ข้อเท็จจริงที่ศาลปกครองสูงสุดนํามาประกอบการพิจารณาในคดีนี้ ได้แก่
ภาพถา่ ยส่ิงปลูกสร้างประกอบกบั แบบแปลนสงิ่ ปลูกสรา้ ง
๒) เหตุผลสําคัญท่ีศาลปกครองสูงสุดนํามาใช้ในการพิจารณาวินิจฉัย คือ เมื่อร้ือถอน
สิ่งปลูกสร้างส่วนที่ถูกเวนคืนแล้ว ไม่กระทบต่อโครงสร้างหลักของตัวอาคาร และสามารถปรับปรุง
พื้นท่ีและอาคารส่วนที่เหลือให้ใช้ประโยชน์ต่อไปได้ ซ่ึงผู้เรียบเรียงเข้าใจว่า ในที่นี้น่าจะหมายถึง
อาคารส่วนที่เหลือมีสภาพและลักษณะการใช้ประโยชน์ได้ไม่ต่างไปจากเดิมมากนัก ตามแนวทาง
ท่ีศาลปกครองสงู สุดไดว้ นิ จิ ฉัยเปน็ หลักการไวใ้ นคําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๗๙๒/๒๕๖๐

ตัวอย่างคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่วินิจฉัยว่า การท่ีเจ้าหน้าที่ไม่เวนคืน
โรงเรือนหรอื สงิ่ ปลูกสร้างส่วนท่เี หลือเป็นการไมช่ อบ

กรณีศึกษาที่ ๑
คดีน้ีข้อเท็จจริงปรากฏว่า ส่ิงปลูกสร้างพิพาทในคดีนี้เป็นบ้านสองชั้นคร่ึงตึกคร่ึงไม้
ถูกเขตทางบางส่วน แขวงการทางนครราชสีมาท่ี ๑ ในฐานะผู้ได้รับมอบหมายจากกรมทางหลวง
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑) ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามหลักฐานการประมาณราคาของเจ้าหน้าท่ีโครงการ
จัดกรรมสิทธ์ิที่ดินที่ ๑ แล้วเห็นควรจ่ายค่ารื้อถอนให้ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เฉพาะบางส่วน โดยคิดคํานวณ
ค่าร้อื ถอนต่อเนื่องใหห้ นึ่งชว่ งเสาเปน็ จํานวน ๑๓๒,๔๕๘ บาท และคณะกรรมการกําหนดราคาเบ้ืองต้น
มมี ติให้จ่ายค่าทดแทนจํานวนดังกล่าวให้แก่ผู้ฟ้องคดี ต่อมา ผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีหนังสือขอให้ผู้ถูกฟ้องคดี
ที่ ๑ เวนคนื สิ่งปลูกสร้างที่เหลือท้ังหมด แขวงการทางนครราชสีมาที่ ๑ ได้ตรวจสอบแล้วมีความเห็นว่า
เม่ือทําการร้ือถอนโครงหลังคาท่ีคิดคํานวณค่าทดแทนให้แล้วบ้านจะเสียรูปทรง และได้ประมาณการ
ราคาค่าทดแทนส่ิงปลูกสร้างหรือบ้านของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ เฉพาะส่วนท่ีเหลือจากการถูกเวนคืนให้
แต่ผู้อํานวยการสํานักทางหลวงที่ ๘ (นครราชสีมา) ในฐานะผู้รับมอบอํานาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
พิจารณาแล้วได้ยกคําร้องโดยให้เหตุผลว่าส่ิงปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือนอกเขตทางหลวงยังสามารถ

๑๒ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๘๑๐/๒๕๕๙

๑๔๘ รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

ใช้อยู่อาศัยได้เช่นเดิมและได้แจ้งให้ผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ ทราบ ผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ ได้มีหนังสืออุทธรณ์ต่อรัฐมนตรี
วา่ การกระทรวงคมนาคม (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) ขอให้จ่ายค่ารื้อถอนส่ิงปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือจากการถูกเวนคืน
แต่ได้รับการวินิจฉัยยืนตามผลการพิจารณาของเจ้าหน้าท่ีเวนคืน ผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ จึงนําคดีมาฟ้อง
ขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสองจ่ายค่าทดแทนและค่ารื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง
หรือบ้านในส่วนที่ยังคงเหลือจากการถูกเวนคืน ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ในการพิจารณา
ส่ิงปลูกสร้างหรือโรงเรือนส่วนที่เหลือจากการถูกเวนคืนซ่ึงเป็นบ้านที่ใช้อยู่อาศัยว่าเข้าหลักเกณฑ์
ท่ีจะต้องเวนคืนตามมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์
พ.ศ. ๒๕๓๐ หรือไม่น้ัน เจ้าหน้าที่ผู้มีอํานาจในการพิจารณาคําร้องขอจะต้องทําการตรวจสอบสภาพ
ของส่ิงปลูกสร้างหรือบ้านท่ีถูกเวนคืนตามสภาพที่เป็นอยู่จริงว่า ภายหลังจากการถูกรื้อถอนบางส่วน
ไปแล้ว ส่วนท่ีเหลืออยู่ยังคงใช้การตามปกติอย่างเช่นบ้านที่ใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยโดยท่ัวไปได้หรือไม่
โดยในเบื้องต้นการพิจารณาถึงผลกระทบจากการร้ือถอนอาคารบางส่วนเฉพาะที่ถูกเวนคืนที่อาจ
มีผลกระทบต่อความม่ันคงแข็งแรงของโครงสร้างอาคารส่วนที่เหลืออยู่ อาจจําเป็นต้องอาศัย
ผลการตรวจวิเคราะห์ของช่างผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านหรือผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษทางด้าน
วิศวกรรมโยธาหรือการก่อสร้างอาคาร และแม้ว่าผลการตรวจพิเคราะห์ของผู้เชี่ยวชาญจะระบุว่า
การรื้อถอนบางส่วนไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารส่วนที่เหลืออยู่ แต่ผู้มีอํานาจจะต้องนํามา
พิจารณาประกอบกับข้อเท็จจริงในประเด็นอ่ืน ๆ อีกว่าอาคารส่วนท่ีเหลืออยู่จะยังคงสามารถใช้
เป็นบ้านท่ีใช้อยู่อาศัยตามปกติได้อีกต่อไปหรือไม่ ซึ่งจะต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป
โดยคํานึงถึงความเสียหายของผู้ถูกเวนคืนตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๔๐ รวมท้ังคํานึงถึงหลักเกณฑ์ซึ่งหน่วยงานที่เก่ียวข้องได้กําหนดขึ้นเพิ่มเติม
เพ่ือประกอบการพิจารณาอีกด้วย สําหรับในกรณีนี้ ข้อเท็จจริงในคดีน้ีปรากฏว่า ภายหลังจากได้รับ
หนังสือขอให้เวนคืนส่ิงปลูกสร้างหรือบ้านส่วนท่ีเหลือจากการถูกเวนคืน ผู้อํานวยการสํานักทางหลวง
ท่ี ๘ (นครราชสีมา) นายช่างโยธา ๖ โครงการจัดกรรมสิทธิ์ท่ีดินที่ ๑ สํานักทางหลวงท่ี ๘
(นครราชสีมา) ได้รับมอบหมายให้ตรวจสอบข้อเท็จจริงโดยทําการสํารวจและตรวจสอบข้อมูลสภาพบ้าน
ของผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ อย่างละเอียด ซ่ึงเจ้าหน้าท่ีดังกล่าวได้มีหนังสือรายงานผลการตรวจสํารวจดังกล่าว
โดยละเอียด โดยมีความเห็นว่า หากทําการรื้อถอนส่วนท่ีได้จ่ายค่าทดแทนจะทําให้โครงสร้าง
ของอาคารและโครงหลังคาส่วนที่เหลือเสียหายต่อเนื่องและเสียรูปทรงของบ้าน พ้ืนที่ท่ีเหลือ
ของตัวบ้านจะมีประโยชน์ใช้สอยลดน้อยลงไปจากเดิม ไม่อาจใช้การและอยู่อาศัยอย่างปกติสุข
ไดด้ ังเดิม เห็นควรให้ร้ือถอนส่ิงปลูกสร้างส่วนท่ีเหลือตามคําขอร้องขอ และผู้อํานวยการแขวงการทาง
นครราชสีมา ๑ ได้มีหนังสือรายงานต่อผู้อาํ นวยการสํานกั ทางหลวงท่ี ๘ (นครราชสีมา) ว่ากรณีเข้าเง่ือนไข
ตามมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. ๒๕๓๐ เนื่องจาก
โครงสร้างอาคารจะเสียหายต่อเน่ือง แต่ในการพิจารณาของผู้อํานวยการสํานักทางหลวงที่ ๘
(นครราชสีมา) ปรากฏวา่ ส่วนกฎหมายและกรรมสิทธ์ิท่ีดิน สํานักทางหลวงที่ ๘ ได้เสนอความเห็นว่า
บ้านของผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ เป็นบ้านสองช้ันคร่ึงตึกคร่ึงไม้ ถูกเขตทางบางส่วน โดยช้ันล่างถูกเขตทาง
เฉพาะฝาก่ออิฐฉาบปูน วัดจากศูนย์กลางทางถึงฝาก่ออิฐฉาบปูน ๑๙.๗๐ เมตร ระยะจากฝาก่ออิฐ

รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๑๔๙

ฉาบปูนถึงเสาหลักของบ้าน ๐.๘๐ เมตร ฝาถูกเขตทาง ๐.๓๐ เมตร ยังเหลือพื้นท่ี ๐.๕๐ เมตร
ซ่ึงสามารถร้ือย้ายหรือดัดแปลงได้ ส่วนช้ันบนเป็นฝาไม้เป็นส่วนที่ย่ืนจากเสาหลักของบ้านออกไป
๐.๘๐ เมตร ฝาไม้ถูกเขตทาง ๐.๓๐ เมตร ยังเหลือพ้ืนท่ี ๐.๕๐ เมตร สามารถร้ือย้ายหรือดัดแปลง
ให้พ้นเขตทางได้ ไม่ทําให้เกิดความเสียหายต่อเนื่องและไม่ทําให้เสียรูปทรง เสาหลักของตัวอาคาร
ด้านซ้ายและดา้ นขวาอย่หู า่ งจากศนู ยก์ ลางทาง ๒๐.๕๐ เมตร โครงสร้างหลักส่วนที่เหลืออยู่นอกเขตทาง
สามารถใช้การได้ และอยู่อาศัยได้อย่างปกติสุข จึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ท่ีจะเวนคืน ผู้อํานวยการ
สํานักทางหลวงท่ี ๘ (นครราชสีมา) ในฐานะผู้รับมอบอํานาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้เห็นชอบ
ตามความเห็นของส่วนกฎหมายและกรรมสิทธิ์ท่ีดิน กรณีจึงเห็นได้ว่า ข้อเท็จจริงและความเห็น
ตามรายงานของนายช่างโยธา ๖ โครงการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ ๑ สํานักทางหลวงท่ี ๘ (นครราชสีมา)
และผู้อํานวยการแขวงการทางนครราชสีมา ๑ ซึ่งเป็นช่างหรือผู้เช่ียวชาญท่ีได้ดําเนินการสํารวจ
และตรวจสอบสภาพของอาคารพิพาทด้วยตนเองตามสภาพที่เป็นอยู่จริง โดยพิจารณาและคํานึงถึง
ความมัน่ คงปลอดภัยของโครงสร้างอาคารภายหลังการร้ือถอน หรือการดัดแปลงอาคารหลังการร้ือถอน
ให้พน้ เขตทาง ประกอบกับการพิจารณาถึงประโยชน์ใช้สอยของตัวบ้านส่วนท่ีเหลือจากการถูกรื้อถอน
จึงเป็นข้อเท็จจริงที่น่าจะถูกต้องตามความเป็นจริง และเป็นความเห็นที่น่าเชื่อถือมากกว่าความเห็น
ของส่วนกฎหมายและกรรมสิทธ์ิที่ดิน สํานักทางหลวงท่ี ๘ (นครราชสีมา) ซ่ึงมิใช่ความเห็นของช่าง
หรือผเู้ ชย่ี วชาญที่ได้ไปตรวจสอบสภาพบ้านของผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ในสถานท่ีจริง อีกท้ัง การท่ีผู้อํานวยการ
สํานักทางหลวงท่ี ๘ (นครราชสีมา) ในฐานะผู้รับมอบอํานาจจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคําส่ังเห็นชอบ
ตามความเห็นของส่วนกฎหมายและกรรมสิทธ์ิท่ีดิน ก็มิได้ให้เหตุผลในทางวิชาการทางด้านวิศวกรรมโยธา
หรือด้านการก่อสร้างอาคารที่จะหักล้างความเห็นของนายช่างโยธาและผู้อํานวยการแขวงการทาง
นครราชสีมา ๑ รวมท้ังยังมิได้นําเอาข้อเท็จจริงเก่ียวกับสภาพภูมิประเทศและสิ่งแวดล้อมของบ้าน
ท่ีเหลืออยู่ซ่ึงจะต้องอยู่ติดกับเขตทางหลวง หรือประโยชน์ใช้สอยของอาคารที่เหลืออยู่ท่ีไม่อาจใช้
เป็นท่ีอยู่อาศัยได้ตามปกติอันเป็นความเสียหายของผู้ถูกเวนคืน มาประกอบการพิจารณาตามกฎหมาย
และหลักเกณฑ์ที่ผูถ้ ูกฟ้องคดที ่ี ๑ กาํ หนดไวแ้ ต่อย่างใด การพิจารณาของผู้อํานวยการสํานักทางหลวง
ที่ ๘ (นครราชสีมา) จึงไม่ชอบและไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ท่ีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้กําหนดเป็นเง่ือนไข
ในการใช้อํานาจไว้ในหนังสือมอบหมายของกรมทางหลวง ที่ คค ๐๖๑๔/๙๒๒๓ ลงวันที่ ๒๖
สิงหาคม ๒๕๔๖ อีกทั้งต่อมาภายหลัง เมื่อผู้ฟ้องคดีที่ ๑ ย่ืนคําร้องต่อเทศบาลตําบลหนองบัววง
ให้ตรวจสอบกรณีท่ีผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบ้านเฉพาะส่วนที่ถูกเขตทาง ๐.๓๐ เมตร
ปรากฏว่านายช่างโยธาของเทศบาลตําบลหนองบวั วงตรวจสอบแลว้ แจง้ วา่ ไม่สามารถร้ือถอนตามท่ี
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ส่ังการได้ เพราะชายคาบ้านจะเหลือเพียง ๕๐ เซนติเมตร ไม่เพียงพอท่ีจะกันฝน
ท่ีจะเข้าทางหน้าต่าง และจะกระทบกระเทือนต่อโครงสร้างส่วนอ่ืน ๆ ของบ้าน และนายกเทศมนตรี
ตําบลหนองบัววงในฐานะเจ้าพนักงานท้องถิ่นผู้มีอํานาจอนุญาตให้ก่อสร้างหรือรื้อถอนอาคาร
ตามพระราชบญั ญตั ิควบคมุ อาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ยังได้มหี นงั สือรับรองของเทศบาลตาํ บลหนองบวั วง
รบั รองว่าจากการตรวจสอบสภาพบ้านพิพาทตามคาํ รอ้ งขอของผูฟ้ อ้ งคดีที่ ๑ พบวา่ การขยับผนังบ้าน
เข้าไปชิดเสาช่วงแรกด้านหน้าและตัดชายคาออก ๓๐ เซนติเมตร จากเดิม ๘๐ เซนติเมตร คงเหลือ

๑๕๐ รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)

๕๐ เซนติเมตร ไม่สามารถกันแดดกันฝนได้ รวมทั้งการปิดเปิดประตูเข้าออกจะทําให้ยื่นลํ้าเข้าไป
ในเขตทางหลวงจึงจําเป็นต้องรื้อถอนทั้งหลัง จะรื้อถอนเพียงบางส่วนไม่ได้ และย่ิงไปกว่านั้น
ในช้ันการแสวงหาข้อเท็จจริงเพ่ิมเติมของศาลปกครองชั้นต้นปรากฏว่า นาย อ. นายช่างโยธา ๖
สํานักทางหลวงที่ ๘ (นครราชสีมา) ในฐานะตัวแทนของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ยังให้ถ้อยคํายอมรับว่า
การรื้อถอนอาคารพิพาทแม้จะทําการร้ือถอนฝาบ้านท่ีย่ืนเข้ามาในเขตทางระยะ ๓๐ เซนติเมตร
ก็จะทําให้ชายคาบ้านยังอยู่ในเขตทางเช่นเดิม จึงต้องร้ือฝาบ้านเข้าไป ๑.๓๐ เมตร จึงจะทําให้เหลือ
ชายคาบ้าน ๑ เมตร ซ่ึงจะทําให้ถูกเสาหลักและทําให้บ้านเสียรูปทรง กรณีจึงฟังข้อเท็จจริงเป็นท่ียุติว่า
สงิ่ ปลกู สรา้ งหรือบ้านของผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ ท่ีเหลือจากการถูกเวนคืนไม่อาจใช้การเป็นบ้านท่ีใช้อยู่อาศัยได้
ตามปกติอีกต่อไป และเป็นสิ่งปลูกสร้างซึ่งเข้าหลักเกณฑ์ท่ีจะต้องเวนคืนตามมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง
แหง่ พระราชบญั ญตั วิ า่ ดว้ ยการเวนคนื อสงั หาริมทรพั ย์ พ.ศ. ๒๕๓๐๑๓

ขอ้ สังเกต
๑) ขอ้ เทจ็ จริงทศี่ าลปกครองสูงสดุ นํามาประกอบการพจิ ารณาในคดีนี้ ไดแ้ ก่ ข้อเท็จจริง
และความเห็นตามรายงานของนายช่างโยธา ๖ โครงการจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินท่ี ๑ สํานักทางหลวงท่ี ๘
(นครราชสีมา) และผู้อํานวยการแขวงการทางนครราชสีมา ๑ ซ่ึงศาลปกครองสูงสุดเห็นว่าเป็นช่าง
หรือผู้เช่ียวชาญที่ได้ดําเนินการสํารวจและตรวจสอบสภาพของอาคารพิพาทด้วยตนเองตามสภาพ
ท่ีเป็นอยู่จริง จึงเป็นข้อเท็จจริงที่น่าจะถูกต้องตามความเป็นจริง และเป็นความเห็นท่ีน่าเชื่อถือ
ประกอบกับหนังสือรับรองของเทศบาลตําบลหนองบัววงรับรองว่าโดยสรุปว่า จากการตรวจสอบ
สภาพบ้านพิพาทตามคําร้องขอของผู้ฟ้องคดีท่ี ๑ พบว่า จําเป็นต้องรื้อถอนท้ังหลังจะรื้อถอน
เพยี งบางส่วนไมไ่ ด้
๒) เหตุผลสําคัญท่ีศาลปกครองสูงสุดนํามาใช้ในการพิจารณาวินิจฉัย คือ
ผลการตรวจวิเคราะห์ของช่างผู้เช่ียวชาญเฉพาะด้านหรือผู้มีความรู้ความสามารถพิเศษทางด้าน
วิศวกรรมโยธาหรือการก่อสร้างอาคาร โดยศาลวางหลักการพิจารณาคดีน้ีว่า แม้กรณีอาจจะฟังได้ว่า
การร้ือถอนบางส่วนไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างอาคารส่วนท่ีเหลืออยู่ แต่ก็ต้องพิจารณาประกอบกับ
ข้อเท็จจริงในประเด็นอื่น ๆ อีกว่าอาคารส่วนที่เหลืออยู่จะยังคงสามารถใช้เป็นบ้านท่ีใช้อยู่อาศัย
ตามปกติได้อีกต่อไปหรือไม่ ซ่ึงจะต้องพิจารณาตามข้อเท็จจริงเป็นกรณี ๆ ไป โดยคํานึงถึง
ความเสียหายของผู้ถูกเวนคืนตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช ๒๕๔๐ รวมท้ังคํานึงถึงหลักเกณฑ์ซ่ึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้กําหนดขึ้นเพิ่มเติม
เพื่อประกอบการพิจารณาอีกด้วย ซึ่งยังคงเห็นได้ว่าสอดคล้องตามแนวทางที่ศาลปกครองสูงสุด
ได้วินจิ ฉยั เป็นหลักการไว้ในคําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๗๙๒/๒๕๖๐

๑๓ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๔๐๗/๒๕๕๒


Click to View FlipBook Version