รวมเรือ่ งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๕๑
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ และไม่อาจถือได้ว่าเป็นการจัดสรรที่พักให้แก่ข้าราชการผู้ได้รับความเดือดร้อน
ในเรื่องที่อยู่อาศัยตามหลักเกณฑ์และวิธีปฏิบัติในการจัดข้าราชการเข้าพักอาศัยในท่ีพักของทางราชการ
พ.ศ. ๒๕๕๑ การท่ีผู้ฟ้องคดีปฏิเสธเข้าพักอาศัยในท่ีพักที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จัดให้ จึงไม่มีผลทําให้สิทธิ
ในการนําหลักฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการของผ้ฟู อ้ งคดีส้ินสุดลง
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๙๐-๑๙๑/๒๕๖๐ กรณีผู้ฟ้องคดี
เป็นข้าราชการพลเรือนสามัญ ปฏิบัติราชการในท้องที่จังหวัดศรีสะเกษ และได้รับอนุมัติให้เบิก
ค่าเช่าซอ้ื บ้านตามมาตรา ๑๗ แหง่ พระราชกฤษฎกี าค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ต่อมา ผู้ฟ้องคดี
ได้รับแต่งต้ังให้ไปปฏิบัติราชการในท้องท่ีจังหวัดอุบลราชธานี ซ่ึงผู้ฟ้องคดีมีหนังสือขอนําหลักฐาน
การผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านมาใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน แต่หน่วยงานต้นสังกัดมีคําส่ังไม่ให้
ผู้ฟ้องคดีนําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านในท้องท่ีเดิมมาใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน
เน่ืองจากทางราชการได้จัดบ้านพักให้ผู้ฟ้องคดีแล้ว ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เม่ือผู้ฟ้องคดี
เป็นผู้ท่ีมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านตามมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๗ และได้รับอนุมัติให้ใช้สิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านไปใช้สิทธิ
เบิกค่าเช่าบ้านตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวต่อเนื่องมาโดยตลอด คําส่ังแต่งต้ัง
ให้ผู้ฟ้องคดีไปปฏิบัติราชการในท้องท่ีจังหวัดอุบลราชธานีจึงไม่มีผลเป็นการระงับสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน
อันเป็นสิทธิต่อเนื่องของผู้ฟ้องคดีตามมาตรา ๗ วรรคหน่ึง แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๗ และเมือ่ ผฟู้ อ้ งคดยี ังคงเป็นผู้มีสทิ ธิไดร้ บั เงินค่าเช่าบ้านอยู่เช่นเดิม ผู้ฟ้องคดีจึงย่อมมีสิทธิ
ทจ่ี ะนาํ หลกั ฐานการชาํ ระค่าผ่อนชาํ ระเงนิ กเู้ พ่ือชําระราคาบ้านในท้องที่เดิมมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ
ในท้องท่ีใหม่ได้ตามมาตรา ๑๗ และมาตรา ๑๘๙ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๗
(๒) กรณมี ไิ ดอ้ าศัยอยู่จริงในบา้ นทเ่ี ชา่ ซือ้
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๒๘/๒๕๔๗ ในคดีที่ข้าราชการพลเรือน
สามัญซง่ึ ใชส้ ิทธิเบกิ คา่ เช่าบา้ นขา้ ราชการในท้องทจี่ งั หวัดลพบุรีตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่าบ้านขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ขอยา้ ยมาช่วยราชการประจาํ ท่กี รุงเทพมหานครต้งั แตป่ ี พ.ศ. ๒๕๓๗
โดยตําแหน่งและเงินเดือนยังคงอยู่ที่หน่วยงานเดิมและย่ืนหลักฐานขอเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อนํามา
ผ่อนชําระค่าเช่าซื้อบ้านที่ซื้อไว้ท่ีจังหวัดลพบุรีและได้รับอนุมัติเร่ือยมา ต่อมา ผู้บังคับบัญชามีคําสั่ง
งดการเบิกค่าเช่าบ้านดังกล่าวเน่ืองจากเห็นว่าข้าราชการผู้น้ันและบุคคลในครอบครัวมิได้อาศัยอยู่
๙ พระราชกฤษฎกี าคา่ เชา่ บา้ นข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๑๘ ขา้ ราชการซึง่ ไดใ้ ช้สทิ ธนิ ําหลกั ฐานการชําระคา่ เช่าซือ้ หรอื ค่าผอ่ นชาํ ระเงินกู้เพอื่ ชาํ ระราคาบ้าน
มาเบิกคา่ เชา่ บ้านข้าราชการตามมารา ๑๗ และต่อมาได้รับการแต่งตั้งให้ไปรับราชการในท้องที่อ่ืนซึ่งตนมีสิทธิได้รับ
คา่ เช่าบา้ นข้าราชการตามพระราชกฤษฎกี าน้ี ให้ขา้ ราชการผ้นู ัน้ มสี ิทธนิ ําหลกั ฐานการชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระ
เงนิ กู้เพอ่ื ชําระราคาบ้านในทอ้ งท่เี ดมิ มาเบิกคา่ เชา่ บ้านข้าราชการในทอ้ งท่ใี หมไ่ ด้
๓๕๒ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ในบ้านท่ีเช่าซ้ือจริง ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ความในมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ท่ีกําหนดว่า บ้านท่ีเช่าซื้อน้ันจะต้องใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริง
ในบา้ นนัน้ มไิ ด้มีความหมายเพียงให้ข้าราชการผูน้ ัน้ จะต้องอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าวเป็นประจําตลอดไป
ขา้ ราชการผูน้ ้ันเพยี งแต่ยงั มกี ารอยู่อาศัยในบา้ นนั้นบ้างโดยมิได้โอนกรรมสิทธิ์ไปยังผู้ใดและผู้อยู่อาศัย
อาจเปน็ ขา้ ราชการผนู้ นั้ เองหรือบคุ คลอื่นท่ไี ดร้ บั อนุญาตจากข้าราชการดังกล่าวให้อยู่อาศัยในบ้านนั้น
ก็ได้ ประกอบกับการไปปฏิบัติราชการในท้องที่ใหม่ของข้าราชการข้างต้นมีระยะทางห่างประมาณ
๑๕๕ กิโลเมตร จึงเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะฟังได้ว่าข้าราชการข้างต้นมีความจําเป็นท่ีไม่สามารถ
จะอยู่อาศัยในบ้านน้ันได้ตลอดไป และข้าราชการผู้นั้นยังคงมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อนํามาผ่อนชําระ
ค่าเช่าซ้ือต่อไป แม้จะได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจําสํานักงานใหม่ตามคําร้องขอของตนเอง
ตามมาตรา ๕๑๐ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไข
เพิ่มเตมิ โดยพระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบา้ นขา้ ราชการ (ฉบบั ที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๑
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๑๑/๒๕๔๙ ในคดีท่ีข้าราชการครูซ่ึงได้รับ
อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการกรณีผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้าน ต่อมา ผู้บังคับบัญชา
มีคําส่ังให้งดเบิกจ่ายค่าเช่าบ้าน เนื่องจากเห็นว่าใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านโดยไม่ได้อาศัยอยู่จริง แต่ข้าราชการ
ผู้ใช้สิทธิเบิกยืนยันว่าได้อาศัยอยู่จริงในบ้านหลังดังกล่าวและไปมาระหว่างบ้านของตนกับบ้าน
ของมารดาเน่ืองจากต้องดูแลมารดาซ่งึ ชราภาพและปว่ ย ศาลปกครองสูงสดุ วินิจฉัยว่า เมื่อพิจารณา
บทบัญญัติตามมาตรา ๑๖ วรรคหน่ึง แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗
เห็นได้ว่า มีเจตนารมณ์แต่เพียงว่า ข้าราชการผู้นั้นจะต้องเช่าซ้ือหรือซ้ือบ้านมาเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย
ไม่ใช่เช่าซื้อหรือซื้อบ้านมาเพื่อใช้ประโยชน์อย่างอ่ืน และต้องได้เข้าอาศัยอยู่จริงในบ้านน้ันด้วย
ในกรณีท่ียังไม่ได้ย้ายไปอยู่ในท้องที่อื่นตามมาตรา ๑๗ และมาตรา ๑๖ กําหนดเงื่อนไขไว้แต่เพียง
การได้อาศัยอยู่จริงในบ้านน้ันโดยไม่ได้มีข้อจํากัดว่าข้าราชการผู้นั้นจะต้องใช้บ้านเป็นที่อยู่อาศัย
แต่เพียงอย่างเดยี ว จะใช้บา้ นทําประโยชน์อย่างอน่ื ไม่ได้เลย และการ “อาศัยอยู่จริง” น้ัน มาตรา ๑๖
ก็ไม่ได้จํากัดว่าจะต้องอยู่ในบ้านหลังน้ันทุกวันและตลอดเวลา กรณีจึงขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงท่ีจะต้อง
พิจารณาเป็นรายกรณีไปโดยคํานึงถึงสภาพความเป็นจริงและมนุษยธรรม ดังน้ัน เมื่อข้าราชการ
๑๐ พระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบา้ นข้าราชการ (ฉบับท่ี ๖) พ.ศ. ๒๕๔๑ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๔๑
มาตรา ๕ สิทธิท่ีจะเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการของข้าราชการซ่ึงได้รับคําส่ังให้เดินทางไปประจํา
สํานักงานใหม่ตามคําร้องขอของตนเองที่มีอยู่ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ก่อนวันท่ี
พระราชกฤษฎีกาน้ีใช้บังคับ ให้ยังคงมีอยู่ต่อไปจนกว่าจะหมดสิทธิตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ ซึง่ แก้ไขเพมิ่ เติมโดยพระราชกฤษฎีกาน้ี
สิทธิที่จะเบิกคา่ เช่าบา้ นขา้ ราชการของข้าราชการซึ่งตอ้ งไปปฏบิ ตั ิราชการประจําสํานักงานในต่างท้องท่ี
เนื่องจากสํานักงานที่ปฏิบัติราชการประจําอยู่เดิมได้ย้ายสถานที่ทําการไปตั้งในท้องที่ใหม่ใกล้เคียงกับท้องท่ี
ที่ตั้งสํานักงานเดิมตามหลักเกณฑ์ท่ีกระทรวงการคลังกําหนดที่มีอยู่ตามพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ ก่อนวันท่ีพระราชกฤษฎกี าน้ใี ช้บังคับให้เปน็ อนั สน้ิ สดุ
รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๕๓
ข้างตน้ ได้ซื้อบ้านหลังดังกล่าวมาโดยมเี จตนาทีจ่ ะใช้เปน็ ท่อี ยูอ่ าศยั เปน็ ของตนเองและไดเ้ ขา้ อาศัยอยู่จริง
แต่ได้เดินทางไปมาระหว่างบ้านของตนกับบ้านมารดาเพ่ือดูแลมารดาซึ่งชราและเจ็บป่วย กรณีจึงถือได้ว่า
ข้าราชการผนู้ น้ั อาศยั อยู่ในบ้านหลังดงั กล่าวจรงิ
(๓) กรณเี ช่าซือ้ หรอื ผอ่ นชําระราคาบ้านนอกเขตท้องที่ท่ปี ฏบิ ัตริ าชการ
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๕๓/๒๕๕๒ ผู้ฟ้องคดีรับราชการครั้งแรก
ท่ีสํานักงานสรรพากรพื้นท่ีเลย (สํานักงานสรรพากรจังหวัดเลย เดิม) ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้รับคําส่ัง
ให้ย้ายไปปฏิบัติราชการในท้องท่ีอําเภอเมืองบุรีรัมย์ จังหวัดบุรีรัมย์ โดยผู้ฟ้องคดีได้รับอนุมัติให้เบิก
ค่าเช่าบ้านข้าราชการซึ่งต้ังอยู่ในอําเภอประโคนชัย จังหวัดบุรีรัมย์ มาโดยตลอด ต่อมา ผู้ฟ้องคดี
ได้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์เพ่ือปลูกสร้างบ้านสําหรับอยู่อาศัยในท้องท่ีอําเภอประโคนชัย
จังหวัดบุรีรัมย์ และนําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ
แต่สรรพากรพื้นที่บุรีรัมย์ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑) ไม่อนุมัติโดยเห็นว่าบ้านที่ปลูกสร้างไม่ได้ตั้งอยู่ในท้องที่
ที่ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติราชการประจํา และไม่เป็นไปตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ผู้ฟ้องคดีไม่เห็นด้วยจึงอุทธรณ์คําส่ังดังกล่าว แต่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ยืนยัน
ตามคําสั่งเดิมพร้อมกับมีหนังสือหารือไปยังสรรพากรภาค ๙ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) ซึ่งผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒
มีหนังสือตอบข้อหารือว่า กรณีการใช้สิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิก
ค่าเช่าบ้านข้าราชการของผู้ฟ้องคดีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ในกรณีที่ข้าราชการผู้ได้รับคําสั่งให้เดินทางไปประจําสํานักงาน
ในต่างท้องที่และได้เช่าบ้านของบุคคลอื่นเพ่ือพักอาศัยอยู่จริงในต่างท้องที่กับท้องท่ีท่ีสํานักงานใหม่
ตงั้ อยู่ และไดร้ บั สิทธิให้เบิกคา่ เชา่ บา้ นข้าราชการสาํ หรบั บ้านเช่าที่ต้ังอยู่ต่างท้องท่ีดังกล่าวมาโดยตลอด
จากนั้นข้าราชการผู้น้ันได้เปล่ียนจากการเช่าบ้านเป็นเช่าซื้อหรือกู้เงินเพื่อชําระราคาบ้านเพื่อให้มี
บ้านอยู่อาศัยเป็นของตนเองในท้องที่ที่เช่าบ้านซึ่งตนเคยได้รับสิทธิให้เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ
มาโดยตลอด หากต้องถูกตัดสิทธิไม่ให้นําหลักฐานการชําระค่าเช่าซ้ือหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระ
ราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ อันเป็นผลให้สิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการของข้าราชการผู้น้ัน
ต้องสิ้นสุดลงโดยการตีความจากคํานิยามคําว่า “ท้องที่” ตามมาตรา ๔ ประกอบกับมาตรา ๑๗
แหง่ พระราชกฤษฎีกาคา่ เชา่ บ้านขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ย่อมทําให้เกิดความไม่เป็นธรรมต่อข้าราชการ
คนดังกลา่ ว และไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย อีกทั้ง การท่ีทางราชการต้องจ่ายเงินค่าเช่าซ้ือ
หรอื ค่าผ่อนชาํ ระเงินกเู้ พื่อชําระราคาบ้านให้ขา้ ราชการทม่ี ีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการน้ีไม่แตกต่างไป
จากการท่ีทางราชการต้องจ่ายเป็นค่าเช่าบ้านให้ข้าราชการผู้น้ันในการเช่าบ้านของบุคคลอ่ืนอยู่อาศัย
เพราะทางราชการมไิ ดต้ ้องเสยี หายหรือตอ้ งเสียงบประมาณเพ่ิมมากขนึ้ แตอ่ ย่างใด เมือ่ ผูฟ้ ้องคดีมีสิทธิ
เบิกค่าเช่าบ้านตามกฎหมายและได้รับอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านสําหรับบ้านเช่าที่ต้ังอยู่ในอําเภอ
ประโคนชัยมาตลอด ย่อมมสี ทิ ธินาํ หลักฐานการผ่อนชาํ ระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านสําหรับบ้านท่ีต้ังอยู่
ในทอ้ งทด่ี ังกลา่ วมาเบิกคา่ เชา่ บ้านข้าราชการได้นบั แต่วนั ท่ีได้เข้าพกั อาศยั อย่จู รงิ
๓๕๔ รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๕๘๗/๒๕๕๙ ผู้ฟอ้ งคดีรบั ราชการครั้งแรก
ที่จังหวัดนครนายก ต่อมา โอนมารับราชการ สังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี กรุงเทพมหานคร
ซึ่งผู้ฟ้องคดีได้รับอนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการสําหรับบ้านเช่าเลขที่ ๑๓๐/๘๖ ในเขต
กรุงเทพมหานคร หลังจากนั้น ผู้ฟ้องคดีได้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อซ้ือท่ีดิน
พร้อมสิ่งปลูกสร้างเลขท่ี ๑๓๙/๘๒ ในเขตจังหวัดนนทบุรี เพ่ืออยู่อาศัยเป็นของตนเอง และผู้ฟ้องคดี
นําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้มาใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ อธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี
(ผู้ถูกฟ้องคดี) มีคําส่ังไม่อนุมัติให้เบิกค่าเช่าบ้าน เน่ืองจากเป็นการเช่าซ้ือบ้านนอกเขตพื้นที่
รับราชการประจํา ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีรับราชการในเขตท้องที่จังหวัดนครนายก
และได้โอนย้ายมาปฏิบัติราชการในท้องท่ีกรุงเทพมหานคร ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้อยู่ในหลักเกณฑ์ที่มีสิทธิ
เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการสําหรับบ้านเช่าท่ีตั้งอยู่ในท้องที่ท่ีสํานักงานตั้งอยู่ ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้กู้เงิน
จากธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อซื้อท่ีดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างท่ีจังหวัดนนทบุรี และได้นําหลักฐานการ
ผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านที่ตนเองใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยมาเบิกค่าเช่าบ้าน ซ่ึงจังหวัดนนทบุรี
เป็นจังหวัดท่ีมีเขตติดต่อกับกรุงเทพมหานครด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกเฉียงเหนือจึงเป็นท้องที่
ใกล้เคียงกับท้องที่ท่ีต้ังสํานักงานของผู้ถูกฟ้องคดีตามบัญชีรายช่ือท้องที่ใกล้เคียงกรณีกรุงเทพมหานคร
กับจังหวัดใกล้เคียงท้ายระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการเก่ียวกับการเบิกจ่ายเงิน
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๙ และการเดินทางไม่เป็นปัญหาอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ
และไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า ผู้ฟ้องคดีไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการด้วยเง่ือนไขอื่น ๆ ผู้ฟ้องคดี
จึงมีสิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านที่ซ้ือมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้นับแต่
วนั ทไ่ี ดเ้ ขา้ พกั อาศยั อยู่จริงตามมาตรา ๑๗ แหง่ พระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบา้ นข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗
หมายเหตุ กรณีข้าราชการซ้ือบ้านนอกท้องท่ีท่ีต้ังของสํานักงานที่รับราชการอยู่
แม้โดยสภาพพื้นที่จริงของทั้งสองแห่งอยู่ใกล้กันมาก แต่ตามบัญชีรายช่ือท้องที่ใกล้เคียงท้ายระเบียบ
กระทรวงการคลังวา่ ด้วยหลกั เกณฑแ์ ละวิธีการเก่ียวกับการเบิกจ่ายเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๙
ไมไ่ ด้กาํ หนดรวมสองทอ้ งทไ่ี ว้เช่นเดียวกบั กรณีนนทบรุ ีกับกรงุ เทพมหานคร ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัย
ไว้ใน คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๓๗/๒๕๔๗ ว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีซ้ือบ้านและเบิกค่าเช่าบ้าน
นอกท้องที่อันเป็นที่ตั้งสํานักงานใหม่ท่ีผู้ฟ้องคดีได้รับคําส่ังให้มารับราชการประจําและกระทรวงการคลัง
ไม่ได้ประกาศให้อําเภอเมืองเชียงใหม่และอําเภอสารภีรวมเป็นท้องท่ีเดียวกัน การท่ีผู้ฟ้องคดีนําหลักฐาน
การผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านท่ีตั้งอยู่นอกท้องท่ีที่ไปประจําสํานักงานใหม่มาเบิกค่าเช่าบ้าน
จากทางราชการ จึงไม่ชอบด้วยมาตรา ๑๖ ประกอบกับมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ ส่วนมติคณะรัฐมนตรีท่ีเห็นชอบให้ปรับปรุงพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการโดยมีหลักการให้การเช่าซื้อบ้านหรือกู้เงินเพ่ือซื้อบ้านนอกท้องท่ีที่รับราชการประจําสามารถ
นําหลักฐานมาเบิกค่าเช่าบ้านได้ ไม่อาจนํามาใช้บังคับแทนพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ และผู้ฟ้องคดีไม่อาจอ้างความเชื่อของตนว่าเป็นไปโดยสุจริตได้ การท่ีผู้บังคับบัญชามีคําสั่ง
ให้ผูฟ้ ้องคดีส่งคืนเงินคา่ เช่าบ้านทเี่ บกิ ไป จงึ เป็นคําส่ังทีช่ อบด้วยกฎหมาย (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๔๖/๒๕๔๙ วินิจฉัยทํานองเดียวกัน) กรณีจึงเห็นได้ว่าเป็นปัญหาที่ข้อกฎหมายไม่เปิดช่อง
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๕๕
ให้ข้าราชการมีสิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านท่ีตั้งอยู่นอกท้องท่ีที่ไปประจํา
สาํ นักงานใหม่มาเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการได้ทั้งท่ีทตี่ ัง้ อยู่ใกลก้ ัน
(๔) กรณีการนําหลักฐานการกู้ยืมเงินเพื่อซื้อบ้านพร้อมท่ีดินและหลักฐาน
การกยู้ ืมเงนิ เพอ่ื ต่อเตมิ ซ่อมแซมบา้ นมาขอเบิกค่าเชา่ บ้าน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๒๐๘/๒๕๕๔ ผู้ฟ้องคดีรับราชการ
ในตําแหน่งนักพัฒนาทรัพยากรบุคคล ๘ว สํานักงานเขตพ้ืนท่ีการศึกษาประถมศึกษาชุมพร เขต ๑
(สํานักงานการประถมศึกษาจังหวัดชุมพร (เดิม)) (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ได้เช่าบ้านและได้รับอนุมัติให้ใช้
สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน ต่อมา ผู้ฟ้องคดีซื้อบ้านพร้อมท่ีดินในราคา ๒๕๐,๐๐๐ บาท โดยได้ทําสัญญา
กู้เงินจากธนาคาร จํานวน ๒๒๕,๐๐๐ บาท เพ่ือชําระราคาบ้านพร้อมท่ีดิน แต่เน่ืองจากบ้าน
หลังดังกล่าวชํารุดทรุดโทรมไม่สามารถใช้พักอาศัยได้ ผู้ฟ้องคดีจึงกู้เงินจากธนาคารอีกเป็นสัญญา
กู้เงินฉบับที่ ๒ จํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อต่อเติมและซ่อมแซมบ้าน ต่อมา ผู้ฟ้องคดีได้ทําบันทึก
ขอเปลี่ยนการเบิกเงินค่าเช่าบ้านเป็นค่าผ่อนชําระเงินกู้จํานวน ๔๒๕,๐๐๐ บาท ในอัตราเดือนละ
๓,๕๐๐ บาท ตามสิทธิ โดยผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ อนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีเบิกค่าเช่าบ้านได้เฉพาะการกู้เงิน
ตามสัญญากู้เงินฉบับที่ ๑ จํานวน ๒๒๕,๐๐๐ บาท ส่วนหน้ีเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับที่ ๒
จํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท น้ัน กรมบัญชีกลาง (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) ได้มีหนังสือตอบข้อหารือของสํานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐานว่า ข้าราชการท่ีจะมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการตามมาตรา ๑๖
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ จะต้องเป็นกรณีท่ีมีหนี้ต้องชําระราคาบ้าน
เพ่ือให้ได้มาซ่ึงกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังดังกล่าว สําหรับหนี้ท่ีเกิดจากการต่อเติมและซ่อมแซมบ้าน
ถือเป็นหนี้ที่เกิดข้ึนภายหลังซึ่งมิใช่เป็นภาระผูกพันในการเช่าซ้ือหรือชําระราคาบ้าน จึงไม่อาจ
นําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้กรณีดังกล่าวมาใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้ ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ จึงไม่อนุมัติ
ให้ผู้ฟ้องคดีนําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้ตามสัญญากู้เงินฉบับที่ ๒ มาใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า โดยท่ีมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ มีเจตนารมณ์ที่จะช่วยเหลือข้าราชการที่มีรายได้น้อยให้มีเคหสถานของตนเอง ในกรณีที่
ข้าราชการซึ่งได้เช่าซื้อบ้านหรือผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านที่ค้างชําระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจํา
สํานักงานใหม่เพ่ือใช้เป็นที่อยู่อาศัยและได้อาศัยอยู่จริงในบ้านนั้น ซึ่งจะได้รับการช่วยเหลือ
เฉพาะในส่วนท่ีเป็นราคาที่ดินและบ้านท่ีเช่าซื้อหรือกู้เงินเพ่ือซ้ือเท่าน้ัน ส่วนเงินท่ีใช้ในการต่อเติม
หรือซ่อมแซมเป็นส่วนท่ีแยกต่างหากจากราคาบ้านท่ีเช่าหรือซ้ือ แม้ได้ทําการต่อเติมหรือซ่อมแซม
ก่อนเข้าอยู่อาศัยจริงก็มิได้อยู่ในข่ายจะได้รับการช่วยเหลือ การที่ผู้ฟ้องคดีซื้อที่ดินพร้อมบ้าน
ซึ่งบ้านหลังดังกล่าวมีสภาพทรุดโทรมไม่สามารถใช้พักอาศัยได้ และได้ไปจดทะเบียนการซื้อขายที่ดิน
พร้อมบ้านหลังดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ถือว่าผู้ฟ้องคดีได้กรรมสิทธิ์ในท่ีดินพร้อมบ้าน
หลังดังกล่าวนับแต่เวลาน้ัน ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้ฉบับท่ี ๑ กับธนาคาร
จํานวน ๒๒๕,๐๐๐ บาท เพ่ือซ้ือที่ดินพร้อมบ้าน มาเบิกเงินค่าเช่าบ้านข้าราชการได้ แต่การที่ผู้ฟ้องคดี
ทําสัญญากู้ยืมเงินฉบับท่ี ๒ กับธนาคารจํานวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท เพื่อต่อเติมและซ่อมแซมบ้านถือว่า
๓๕๖ รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
มใิ ช่กรณีทอี่ ยู่ในเจตนารมณ์ของพระราชกฤษฎีกาฉบับดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีจะนําหลักฐานการผ่อนชําระ
เงินกู้เพื่อต่อเติมและซ่อมแซมบ้านมาขอเบิกเงินค่าเช่าบ้านไม่ได้ เป็นคนละกรณีกับบ้านที่ยังสร้าง
ไม่เสร็จซึ่งถือว่ายังไม่มีสภาพเป็นบ้าน ผู้ก่อสร้างที่มีหน้ีเกิดขึ้นจากการดําเนินการดังกล่าว ถือเป็นหนี้
เพ่ือการก่อสร้างให้เป็นบ้านท่ีสมบูรณ์ก่อนเข้าอยู่อาศัย ข้าราชการดังกล่าวก็มีสิทธินําค่าเช่าซ้ือ
หรือเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยมาขอเบิกค่าเช่าบ้านได้ แต่บ้านที่สร้างเสร็จแล้วย่อมมีสภาพเป็นบ้าน
หรือเคหสถานมาก่อนหากเพียงแต่มีสภาพทรุดโทรม เจ้าของบ้านมีภาระท่ีจะต้องดําเนินการ
ด้วยตนเอง การมีหนจ้ี ากการซ่อมแซมหรอื ตอ่ เติมจงึ ไม่สามารถนํามาใช้สิทธิขอเบิกคา่ เชา่ บ้านได้
(๕) กรณีกู้ยืมเงินมาเพื่อซ้ือบ้านพร้อมท่ีดิน แต่บ้านมีสภาพชํารุดไม่สามารถ
อยู่อาศัยได้ จึงกู้ยืมเงินเพ่ิมเติมเพ่ือร้ือถอนบ้านเดิมแล้วปลูกสร้างบ้านใหม่ หลังจากน้ัน
จงึ นําหลกั ฐานการก้ยู มื เงนิ เพือ่ ซ้ือบ้านพร้อมทด่ี ินมาเป็นหลักฐานการขอเบิกค่าเช่าบา้ น
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๓๙/๒๕๕๓ ผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการ
เริ่มรับราชการในตําแหน่งพยาบาลวิชาชีพ ๓ อําเภอศรีสงคราม จังหวัดนครพนม ต่อมา กระทรวง
สาธารณสุขมีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีย้ายมาปฏิบัติราชการประจําท่ีโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า จังหวัดนนทบุรี
โดยผู้ฟ้องคดีได้เช่าบ้านอยู่อาศัย และใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านมาโดยตลอด ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๓
พฤษภาคม ๒๕๔๕ ผู้ฟ้องคดีได้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ จํานวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท เพ่ือซ้ือ
ท่ีดินพร้อมบ้าน ซึ่งเป็นบ้านท่ีปลูกสร้างมานาน สภาพชํารุดทรุดโทรม ไม่สามารถเข้าพักอาศัยอยู่ได้
ผู้ฟ้องคดีจึงได้ร้ือถอนบ้านหลังดังกล่าวเพื่อปลูกสร้างบ้านหลังใหม่บนท่ีดินแปลงเดิม โดยกู้เงินจํานวน
๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท จากธนาคารอาคารสงเคราะห์ และได้เข้าอยู่อาศัยในบ้านหลังดังกล่าวจริงต้ังแต่
วันท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๖ และได้ขอใช้สทิ ธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อผ่อนชําระเงินกู้จํานวน ๘๐๐,๐๐๐ บาท
กับธนาคารอาคารสงเคราะห์แต่ผู้อํานวยการโรงพยาบาลพระนั่งเกล้า (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ไม่อนุมัติ
ให้ผู้ฟ้องคดีเบิกค่าเช่าบ้านตามความเห็นของกรมบัญชีกลาง ซ่ึงตอบข้อหารือว่าผู้ฟ้องคดีไม่มีสิทธิ
เบิกค่าเช่าบ้านหลังดังกล่าว เน่ืองจากได้รื้อถอนบ้านหลังแรกแล้วปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ถือว่า
สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านที่เกิดจากบ้านหลังแรกได้ส้ินสุดลง ผู้ฟ้องคดีได้อุทธรณ์คําสั่งดังกล่าว แต่ได้รับ
การยืนยันตามความเห็นเดิม ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน
ข้าราชการตามมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ การที่ผู้ฟ้องคดี
ได้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์เพ่ือซื้อท่ีดินพร้อมบ้าน แต่ไม่สามารถเข้าพักอาศัยได้เน่ืองจาก
บ้านหลังดังกล่าวมีสภาพทรุดโทรมยากแก่การซ่อมแซม จึงได้กู้เงินจากธนาคารเดียวกันอีกคร้ังหน่ึง
เพื่อรื้อบ้านหลังเดิมแล้วปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ซึ่งต้ังอยู่บนที่ดินแปลงเดียวกันโดยไม่เคยใช้สิทธิ
นําหลกั ฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการมาก่อนแต่อย่างใด
กรณีของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการใช้สิทธิการผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านเพียงหลังเดียว
ในท้องท่ีที่ตนมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ และใช้เป็นที่อยู่อาศัยและอาศัยอยู่จริงในบ้านดังกล่าว
จึงต้องด้วยหลักเกณฑ์และเงื่อนไขตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ แล้ว ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีสิทธินําหลักฐานการผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านมาเบิก
รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๕๗
ค่าเช่าบ้านจากทางราชการได้ ดังน้ัน คําสั่งของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ที่ไม่อนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีนําหลักฐาน
การผ่อนชําระเงนิ กเู้ พอ่ื ชาํ ระราคาบ้านมาเบกิ คา่ เช่าบ้านขา้ ราชการจึงเป็นคาํ สง่ั ทีไ่ ม่ชอบด้วยกฎหมาย
(๖) กรณีขา้ ราชการสว่ นท้องถ่นิ โอนมาเปน็ ขา้ ราชการพลเรอื น
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๖๔/๒๕๕๐ ผู้ฟ้องคดีเป็นพนักงานเทศบาล
โอนมาเป็นข้าราชการครู สังกัดมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา (ผู้ถูกฟ้องคดี) และได้รับอนุมัติ
ใหน้ ําหลักฐานการชําระค่าเช่าซ้ือหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ
ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีมีคําส่ังเพิกถอนคําสั่งการอนุมัติเบิกจ่ายค่าเช่าบ้านข้าราชการของผู้ฟ้องคดี
และให้ผูฟ้ อ้ งคดคี ืนเงินในส่วนท่ีเบิกจ่ายไปแล้วใหแ้ ก่ทางราชการ เนื่องจากเห็นว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ที่โอน
มาจากพนักงานเทศบาลซึ่งไม่ใช่ข้าราชการตามมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เดิมผู้ฟ้องคดีรับราชการเป็นพนักงานส่วนท้องถ่ิน สังกัด
เทศบาลเมืองสุรินทร์ เทศบาลตําบลปากช่อง และเทศบาลนครนครราชสีมา ตามลําดับ ซ่ึงเทศบาล
ถือเป็นราชการส่วนท้องถ่ินตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ต่อมา
ผู้ฟ้องคดีได้โอนมารับราชการเป็นข้าราชการครู ในสังกัดผู้ถูกฟ้องคดีซึ่งอยู่ในสังกัดสํานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษา อันเป็นราชการส่วนกลางของกระทรวงศึกษาธิการ โดยมีหัวหน้า
ส่วนราชการข้ึนตรงต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการ
กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. ๒๕๔๖ จึงเป็นราชการส่วนกลางตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ดังน้ัน ผู้ฟ้องคดีจึงมีสถานภาพเป็นข้าราชการครูตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ ซ่ึงเป็นข้าราชการประเภทหนึ่งตามมาตรา ๔ แห่งพระราชกฤษฎีกา
ค่าเชา่ บ้านขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ และโดยที่บทบญั ญัติของพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว มิได้กําหนดว่า
ข้าราชการผู้ขอใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน จะต้องเริ่มรับราชการคร้ังแรกโดยมีสถานภาพเป็นข้าราชการ
จํากัดเฉพาะใน ๘ ประเภทตามบทบัญญัติดังกล่าวเท่าน้ัน จึงจะมีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านได้๑๑ ประกอบกับ
พระราชกฤษฎีกาฉบับน้ีมีเจตนารมณ์เพ่ือช่วยเหลือข้าราชการท่ีได้รับความเดือดร้อนในเรื่องที่อยู่อาศัย
อันเน่ืองมาจากทางราชการเป็นเหตุ อีกท้ังสิทธิและสวัสดิการที่ได้รับจากทางราชการของข้าราชการ
ไม่ว่าจะสังกัดส่วนราชการใดควรมีความเท่าเทียมกัน ดังนั้น เม่ือผู้ฟ้องคดีเริ่มรับราชการในสังกัด
เทศบาลเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จึงถือได้ว่าท้องที่ดังกล่าวเป็นท้องท่ีท่ีผู้ฟ้องคดีเริ่มรับราชการ
คร้งั แรกตามความหมายในมาตรา ๔ ประกอบกับมาตรา ๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๒๗ นอกจากนี้ การโอนย้ายสังกัดของผู้ฟ้องคดีไม่ทําให้สถานภาพความเป็นข้าราชการ
๑๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๕๖ ได้มีการแก้ไขพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ กําหนดให้
เจา้ หนา้ ที่ของรัฐซ่ึงไม่ใช่ข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกาน้ี เม่ือโอนมาเป็นข้าราชการตามพระราชกฤษฎีกาน้ี การบรรจุ
และแตง่ ต้ังผู้โอนมาเปน็ ข้าราชการนน้ั ในทอ้ งทใี่ ด ให้ถือว่าเปน็ การบรรจุและแต่งตัง้ ในท้องท่ีท่ีเร่ิมรับราชการคร้ังแรก
ตามพระราชกฤษฎีกาน้ี และไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ ท้ังน้ี ตามมาตรา ๗/๑ แห่งพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ (ฉบับท่ี ๔)
พ.ศ. ๒๕๕๖ ซึง่ ไดก้ ล่าวไว้แลว้ ในตอนตน้ ของบทความฉบบั น้ี
๓๕๘ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ของผู้ฟอ้ งคดหี มดสิน้ ลงหรอื เปล่ียนแปลงไปแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากเจตนารมณ์ของมาตรา ๕๐๑๒
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓ ซ่ึงบทบัญญัติดังกล่าวยอมรับให้ถือเวลาทํางาน
ในขณะที่ผู้น้ันมีสถานภาพเป็นพนักงานเทศบาล เป็นเวลาราชการของข้าราชการครูตามกฎหมาย
วา่ ด้วยระเบยี บขา้ ราชการครู และปัจจบุ ันก็มีการรบั รองหลกั การดงั กลา่ วไวใ้ นมาตรา ๕๘ วรรคสาม๑๓
แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗ การท่ีมาตรา ๔
แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ กําหนดให้ข้าราชการ ๘ ประเภท มีสิทธิ
เบิกค่าเช่าบ้านได้ จึงมีนัยว่า ในระหว่างท่ีผู้ฟ้องคดียังรับราชการเป็นพนักงานเทศบาลอยู่ในราชการ
ส่วนท้องถิ่น ผู้ฟ้องคดีย่อมไม่มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว แต่อาจเป็นผู้มีสิทธิ
เบิกค่าเช่าบา้ นตามระเบียบกระทรวงมหาดไทย วา่ ดว้ ยค่าเช่าบ้านของข้าราชการส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ๒๕๒๘
แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีได้รับคําสั่งให้โอนมารับราชการในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี จึงต้องถือว่าผู้ฟ้องคดี
ได้รับคําสงั่ ใหเ้ ดินทางมาประจําสํานักงานในต่างท้องท่ีตามมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗ และเมื่อท้องที่อําเภอเมืองนครราชสีมาเป็นคนละท้องท่ีกับท้องที่
อําเภอเมืองสุรินทร์ ซึ่งเป็นท้องที่ที่ผู้ฟ้องคดีเริ่มรับราชการครั้งแรก ผู้ฟ้องคดีย่อมเป็นผู้มีสิทธิได้รับ
ค่าเชา่ บา้ นขา้ ราชการ โดยไมเ่ ขา้ ขอ้ ยกเวน้ ตามมาตรา ๗ วรรคหนงึ่ (๓) แหง่ พระราชกฤษฎกี าเดียวกัน
เม่ือผู้ฟ้องคดีไม่มีเหตุต้องห้ามท่ีไม่ให้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านตามมาตรา ๗ วรรคหน่ึง (๑) ถึง (๕)
แห่งพระราชกฤษฎกี าข้างต้น ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นข้าราชการผู้มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน และมีสิทธินําหลักฐาน
การชําระค่าเช่าซื้อหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านท่ีค้างชําระอยู่มาเบิกค่าเช่าบ้านได้
ตามมาตรา ๑๖ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบา้ นขา้ ราชการ พ.ศ. ๒๕๒๗
๑๒ พระราชบัญญตั ริ ะเบียบข้าราชการครู พ.ศ. ๒๕๒๓
มาตรา ๕๐ การโอนพนักงานเทศบาล หรือข้าราชการซ่ึงมิใช่ข้าราชการครูตามพระราชบัญญัตินี้
และมิใชพ่ นักงานเทศบาลหรือขา้ ราชการซึง่ อยู่ในระหวา่ งทดลองปฏิบัติหนา้ ที่ ขา้ ราชการการเมือง หรือข้าราชการวิสามัญ
มาบรรจุเป็นข้าราชการครู อาจกระทําได้ถ้าผู้น้ันสมัครใจและหน่วยงานทางการศึกษาที่จะรับโอนยินยอม
โดยทําความตกลงกับเจ้าสังกัดแล้วเสนอเรื่องให้ ก.ค. พิจารณาอนุมัติ ในการน้ีให้ ก.ค. พิจารณาโดยคํานึงถึง
ประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับ ทั้งน้ี จะบรรจุและแต่งต้ังให้ดํารงตําแหน่งซึ่งได้รับเงินเดือนในระดับใด และให้
ได้รับเงินเดือนเท่าใด ให้ ก.ค. เป็นผู้พิจารณากําหนด แต่เงินเดือนท่ีจะให้ได้รับจะต้องไม่สูงกว่าข้าราชการครูซึ่งมีคุณวุฒิ
ความสามารถ และความชํานาญงานทัดเทยี มกัน
เพ่ือประโยชน์ในการนับเวลาราชการ ให้ถือเวลาทํางานหรือเวลาราชการของผู้ซึ่งโอนตามวรรคหน่ึง
ในขณะทีเ่ ปน็ พนกั งานเทศบาล หรือขา้ ราชการ เปน็ เวลาราชการของข้าราชการครูตามพระราชบญั ญตั ินดี้ ว้ ย
๑๓ พระราชบญั ญตั ิระเบียบข้าราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๕๘ ฯลฯ ฯลฯ
เพื่อประโยชน์ในการนับเวลาราชการ ให้ถือเวลาราชการหรือเวลาทํางานของผู้ที่โอนตามมาตราน้ี
ในขณะที่เป็นพนักงานส่วนท้องถิ่นตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหารงานบุคคลส่วนท้องถ่ินหรือข้าราชการอ่ืน
เปน็ เวลาราชการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาตามพระราชบญั ญตั ิน้ี
รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๕๙
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๔๒๙/๒๕๕๔ ผู้ฟ้องคดีรับราชการครั้งแรก
เป็นข้าราชการส่วนท้องถ่ิน สังกัดสุขาภิบาลนํ้าจืด จังหวัดระนอง และย้ายไปรับราชการที่เทศบาล
ตําบลบางกระดี อาํ เภอเมอื งปทมุ ธานี จังหวัดปทุมธานี ต่อมา ได้โอนมารับราชการในสังกัดกรมส่งเสริม
การปกครองท้องถิ่น และได้ปฏิบัติหน้าท่ีที่สํานักงานท้องถ่ินจังหวัดชุมพร อําเภอเมืองชุมพร จังหวัด
ชุมพร ผู้ฟ้องคดีได้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อปลูกสร้างบ้านในท้องที่อําเภอเมืองชุมพร
จังหวัดชุมพร และย่ืนคําขอรับเงินค่าเช่าบ้านเพ่ือผ่อนชําระเงินกู้ อธิบดีกรมส่งเสริมการปกครอง
ท้องถ่ิน (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑) พิจารณาแล้วไม่อนุมัติให้ผู้ฟ้องคดีเบิกค่าเช่าบ้าน เน่ืองจากผู้ฟ้องคดี
เป็นข้าราชการท่ีโอนมาจากราชการส่วนท้องถ่ิน จึงถือว่าเป็นข้าราชการพลเรือนท่ีรับราชการครั้งแรก
ตามมาตรา ๗ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงไม่มีสิทธิ
เบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีเริ่มรับราชการคร้ังแรกเป็นข้าราชการ
ส่วนท้องถ่ินในท้องท่ีสุขาภิบาลน้ําจืด อําเภอกระบุรี จังหวัดระนอง และย้ายไปรับราชการในท้องท่ี
เทศบาลตําบลบางกะดี อําเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี อันเป็นราชการส่วนท้องถิ่น
ตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ต่อมา ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ มีคําส่ัง
รับโอนผู้ฟ้องคดีมารับราชการในสังกัดกรมส่งเสริมการปกครองท้องถ่ิน และมีคําสั่งมอบหมาย
ใหผ้ ฟู้ ้องคดปี ฏิบัติหนา้ ทที่ ี่สาํ นกั งานท้องถิ่นจังหวัดชุมพร อําเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร เป็นการโอน
มารับราชการจากราชการส่วนท้องถ่ินมาเป็นราชการส่วนกลางตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหาร
ราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ และมีสถานภาพเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญตามพระราชบัญญัติ
ระเบยี บขา้ ราชการพลเรือน พ.ศ. ๒๕๓๕ ท้ังสถานภาพของความเป็นข้าราชการมีความต่อเนื่องกันไป
ในการโอนย้ายไม่ว่าจากราชการส่วนกลางหรือราชการส่วนท้องถิ่นตามมาตรา ๖๑๑๔ แห่งพระราชบัญญัติ
ดังกล่าว ดังนั้น จึงต้องถือว่าการรับราชการของผู้ฟ้องคดีในการโอนย้ายจากเทศบาลตําบลบางกะดี
ซง่ึ เป็นราชการสว่ นทอ้ งถิ่นมาปฏิบัติราชการท่ีกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นซึ่งเป็นราชการส่วนกลาง
มีความต่อเน่ืองกัน และถือว่าผู้ฟ้องคดีเริ่มรับราชการครั้งแรกในท้องท่ีจังหวัดระนอง เมื่อผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ได้มีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าท่ีท่ีสํานักงานท้องถ่ินจังหวัดชุมพร อําเภอเมืองชุมพร จังหวัด
ชุมพร ซ่ึงเป็นคนละท้องที่กับท้องท่ีที่ผู้ฟ้องคดีเริ่มรับราชการคร้ังแรก ประกอบกับเป็นการโอน
ตามความประสงค์ของส่วนราชการ ไม่ได้เกิดจากคําร้องขอของตนเอง ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้มีสิทธิได้รับ
ค่าเช่าบ้านข้าราชการตามมาตรา ๗ ประกอบกับมาตรา ๔๑๕ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้าน
๑๔ พระราชบัญญัตริ ะเบียบข้าราชการพลเรอื น พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๖๑ ฯลฯ ฯลฯ
เพอ่ื ประโยชนใ์ นการนับเวลาราชการ ให้ถือเวลาราชการหรือเวลาทํางานของผู้ที่รับโอนมาตามมาตราน้ี
ในขณะท่ีเป็นขา้ ราชการ พนกั งานเทศบาล หรือพนักงานส่วนท้องถิ่นอ่ืนน้ันเป็นเวลาราชการของข้าราชการพลเรือน
สามญั ตามพระราชบญั ญตั นิ ด้ี ้วย
๑๕ พระราชกฤษฎกี าคา่ เช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๔ ในพระราชกฤษฎีกานี้
๓๖๐ รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ และเมื่อผู้ฟ้องคดีได้กู้เงินจากธนาคารอาคารสงเคราะห์เพ่ือปลูกสร้างบ้าน
ในท้องท่ีอําเภอเมืองชุมพร จังหวัดชุมพร ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธินําหลักฐานค่าผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระ
ราคาบ้านที่ค้างชําระอยู่ในท้องที่ที่ไปประจําสํานักงานใหม่มาขอเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้
ตามมาตรา ๗ ประกอบกับมาตรา ๔ และมาตรา ๑๗ แห่งพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
พ.ศ. ๒๕๔๗
บทสรุป
จากกฎหมายค่าเช่าบ้านข้าราชการและคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดท่ีกล่าวมา
ข้างต้นสรุปได้ว่า โดยหลักแล้วข้าราชการที่จะมีสิทธินําหลักฐานการเช่าซื้อบ้านหรือผ่อนชําระเงินกู้
เพ่ือชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านได้น้ัน ข้าราชการผู้น้ันจะต้องมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ
ตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกําหนดก่อน กล่าวคือ ต้องไม่เข้าข้อยกเว้นที่จะไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน
ตามที่กฎหมายกําหนด แต่โดยที่การเช่าซื้อบ้านหรือการกู้เงินเพื่อชําระราคาบ้านนั้น มีลักษณะ
ที่แตกต่างจากการเช่าบ้านของผู้อื่นตามปกติ เนื่องจากผู้ท่ีเช่าซ้ือบ้านหรือกู้เงินเพื่อชําระราคาบ้าน
คือผู้ท่ีต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง ด้วยเหตุนี้ การท่ีกฎหมายกําหนดให้ข้าราชการสามารถ
นําหลักฐานการเช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านที่ค้างชําระมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการได้
ศาลปกครองสูงสดุ จงึ เห็นวา่ กฎหมายดงั กล่าวมีเจตนารมณห์ รอื มีวตั ถุประสงค์ที่ต้องการช่วยข้าราชการ
ให้มีบา้ นเปน็ ของตนเอง ซง่ึ วัตถุประสงค์ดังกล่าวจะบรรลุผลได้ ทางราชการจะต้องรับภาระหรือเล็งเห็นว่า
จะต้องผูกพันท่ีจะต้องให้ข้าราชการผู้นั้นใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านเพื่อชําระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนหน้ีเงินกู้
เพ่ือชําระราคาบ้านจนกว่าจะชําระค่าเช่าซื้อหรือผ่อนหนี้เงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านนั้นหมด ดังนั้น
เมื่อข้าราชการซ่ึงเป็นผู้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการตามกฎหมายว่าด้วยค่าเช่าบ้านข้าราชการแล้ว
โดยสมบูรณ์ ได้เช่าซ้ือบ้านหรือผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านท่ีค้างชําระ โดยขอใช้สิทธิ
นําหลักฐานการชําระค่าเช่าซ้ือหรือค่าผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการ
แล้วหน่วยงานต้นสังกัดได้อนุมัติให้เบิกได้โดยชอบแล้ว แต่ต่อมา หน่วยงานต้นสังกัดกลับมีคําสั่ง
ระงบั สทิ ธิเบิกค่าเชา่ บา้ นโดยอาศยั ขอ้ ยกเว้นของการเช่าบา้ นในกรณปี กติ เช่น ได้จัดท่ีพักอาศัยให้แล้ว
หรือข้าราชการไม่ได้อาศัยอยู่จริงในบ้านที่เช่าซ้ือ หรือมีเคหสถานเป็นของตนเองแม้ยังอยู่ระหว่าง
การผ่อนชําระราคาบ้าน หรือบ้านท่ีเช่าซื้ออยู่นอกเขตท้องท่ีท่ีปฏิบัติราชการ เป็นต้น อันเป็นการเพ่ิม
ภาระหนี้ให้กับข้าราชการผนู้ น้ั จึงเป็นการขัดต่อเจตนารมณ์ของพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
“ข้าราชการ” หมายความว่า ข้าราชการพลเรือนตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน
ข้าราชการฝ่ายตุลาการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม ข้าราชการฝ่ายอัยการ
ตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายอัยการ ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัยตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ข้าราชการพลเรือนในมหาวิทยาลัย ข้าราชการฝ่ายรัฐสภาตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการฝ่ายรัฐสภา
ข้าราชการตํารวจตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการตํารวจ ข้าราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ข้าราชการทหาร และข้าราชการครตู ามกฎหมายว่าดว้ ยระเบียบข้าราชการครู
ฯลฯ ฯลฯ
รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๖๑
กรณีเช่นน้ี ศาลปกครองสูงสุดจะมีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังดังกล่าว เว้นแต่เป็นกรณีท่ี
นอกเหนือไปจากที่กฎหมายกําหนดโดยชัดเจน เช่น กรณีกู้เงินเพ่ือซ่อมแซมบ้าน ศาลปกครองสูงสุด
จงึ จะมีคําพพิ ากษายกฟ้อง
นอกจากนี้ สําหรับกรณีของข้าราชการส่วนท้องถ่ินโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือน
ซึ่งเดิมไม่มีข้อยกเว้นในการใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน ซ่ึงศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เมื่อข้าราชการ
ดังกล่าวโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนแล้ว สิทธิการนําหลักฐานการเช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้
เพอ่ื ชาํ ระราคาบ้านท่ีคา้ งชาํ ระมาเบิกคา่ เชา่ บา้ นขา้ ราชการยังคงมีอยู่ แต่ปัจจุบันได้มีการแก้ไขกฎหมาย
โดยกาํ หนดใหเ้ ปน็ กรณีที่ไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการ ท้ังนี้ ตามมาตรา ๗/๑ แห่งพระราชกฤษฎีกา
ค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ
(ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๕๖ จึงมีข้อต้องพิจารณาว่า การท่ีมีการแก้ไขข้อกฎหมายดังกล่าวจะมีผลให้
การพิจารณาถึงสิทธิการนําหลักฐานการเช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพื่อชําระราคาบ้านท่ีค้างชําระ
มาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการต่อเนื่องจากเดิมเปลี่ยนแปลงไปหรือไม่ เนื่องจากอาจพิจารณาได้ว่า
เมือ่ กฎหมายกําหนดให้ข้าราชการสว่ นทอ้ งถิ่นท่ีโอนมาเป็นข้าราชการพลเรือนไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้าน
เนื่องจากกฎหมายท่ีแก้ไขเพ่ิมเติมใหม่กําหนดให้ถือว่าการบรรจุและแต่งต้ังผู้โอนมาเป็นข้าราชการ
ในท้องท่ีใดให้ถือว่าเป็นการบรรจุและแต่งตั้งในท้องที่ท่ีเร่ิมรับราชการคร้ังแรกตามกฎหมายน้ี ดังน้ัน
เมื่อเป็นข้าราชการท่ีไม่มีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านข้าราชการแล้ว กรณีก็ย่อมไม่เป็นผู้มีสิทธินําหลักฐาน
การเช่าซื้อหรือผ่อนชําระเงินกู้เพ่ือชําระราคาบ้านที่ค้างชําระมาเบิกค่าเช่าบ้านข้าราชการเช่นกัน
เน่ืองจากข้าราชการพลเรือนที่จะมีสิทธิเช่นน้ีได้ก็ต้องมีสิทธิได้รับค่าเช่าบ้านก่อนเช่นกัน ท้ังนี้
ตามนัยมาตรา ๑๗ พระราชกฤษฎีกาค่าเช่าบ้านข้าราชการ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงก็คงต้องรอดูคําวินิจฉัย
ของศาลปกครองสูงสุดในเรือ่ งนก้ี ันตอ่ ไป
๓๖๒ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
คดีพพิ าทเกีย่ วกับวินัยขา้ ราชการ
เรือ่ งท่ี ๑๗ คณุ สมบตั ิและลกั ษณะตอ้ งห้ามของบุคคลที่จะบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการ
ตํารวจ : กรณผี ู้มีความประพฤติเสื่อมเสยี หรือบกพร่องในศลี ธรรมอันดี
ในการบรรจุบุคคลเข้ารับราชการไม่ว่าจะเป็นข้าราชการประเภทใด จะมีกฎหมาย
กําหนดคุณสมบัติของบุคคลที่มีสิทธิท่ีจะได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการไว้ รวมถึงมีการกําหนด
ลักษณะต้องห้ามของบุคคลท่ีจะบรรจุเข้ารับราชการไว้ด้วย ข้าราชการตํารวจก็เช่นกัน เก่ียวกับ
คุณสมบัติของบุคคลที่มีสิทธิเข้ารับการบรรจุเป็นข้าราชการตํารวจ ในปัจจุบันพระราชบัญญัติตํารวจ
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้บญั ญัตไิ วใ้ นมาตรา ๔๘ วา่
“ผูท้ ีจ่ ะไดร้ บั การบรรจเุ ข้ารบั ราชการเปน็ ข้าราชการตํารวจ ต้องมีคุณสมบัติและไม่มี
ลักษณะตอ้ งหา้ มดงั ต่อไปน้ี
(๑) มสี ัญชาตไิ ทยโดยการเกดิ
(๒) มีอายไุ ม่ตํ่ากวา่ สิบแปดปีบริบรู ณ์
(๓) เป็นผู้เลื่อมใสในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์
ทรงเป็นประมขุ
(๔) ไม่เป็นข้าราชการการเมือง ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง สมาชิกสภาท้องถ่ิน
หรือผู้บริหารท้องถ่นิ
(๕) ไมเ่ ป็นผูด้ าํ รงตาํ แหนง่ ใด ๆ ในพรรคการเมือง
(๖) มีคุณสมบตั แิ ละไมม่ ลี กั ษณะต้องหา้ มอ่ืนตามท่กี ําหนดในกฎ ก.ตร.”
ในการน้ี ได้มีการออกกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ขึ้น ซึ่งต่อมาได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติมโดยกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ สําหรับรายงานการศึกษา
ฉบบั นม้ี ีวัตถุประสงค์มุ่งศึกษาพฤติการณ์ท่ีเข้าลักษณะต้องห้ามตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒)๑ ของกฎ ก.ตร.
วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้เรียบเรียง (อาศัยข้อมูลเบื้องต้นของกานต์ชิตา ชิตานนท์ และวศินี ใจแจ่ม
มาประกอบ) โดยเผยแพร่ในประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๒ ประจาํ วนั ท่ี ๖ ธนั วาคม ๒๕๖๒
๑ กฎ ก.ตร. วา่ ดว้ ยคณุ สมบตั แิ ละลกั ษณะตอ้ งห้ามของการเปน็ ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗
ข้อ ๒ การบรรจุบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจ ผู้ที่จะได้รับการบรรจุนอกจากต้องมีคุณสมบัติ
และไม่มีลักษณะต้องห้าม ตามมาตรา ๔๘ (๑) ถึง (๕) แล้ว จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามอื่น
ตามมาตรา ๔๘ (๖) ดังตอ่ ไปนี้
(๑) ไม่เป็นผู้อยู่ในระหว่างถูกสั่งพักราชการ หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามพระราชบัญญัติน้ี
หรือกฎหมายอ่นื
(๒) ไมเ่ ปน็ ผู้ประพฤติเสอ่ื มเสียหรอื บกพรอ่ งในศลี ธรรมอันดี
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๖๓
ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่ีกําหนดว่า
“ต้องไม่เป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี” โดยจะทําการศึกษาจากแนวคําวินิจฉัย
(๓) ไมเ่ ป็นบคุ คลล้มละลาย
(๔) ไมเ่ ปน็ ผูเ้ คยต้องรบั โทษจาํ คกุ โดยคําพพิ ากษาถึงทส่ี ดุ ใหจ้ าํ คกุ เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดท่ีกระทํา
โดยประมาทหรอื ความผิดลหุโทษ
(๕) ไมเ่ ป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออก หรือปลดออก หรอื ไล่ออกจากรฐั วสิ าหกิจหรอื หน่วยงานอ่ืนของรัฐ
(๖) ไม่เป็นผู้เคยถูกลงโทษให้ออกหรือปลดออก เพราะกระทําผิดวินัย ตามพระราชบัญญัติน้ีหรือ
กฎหมายอน่ื
(๗) ไม่เปน็ ผู้เคยถกู ลงโทษไล่ออกเพราะกระทําผดิ วนิ ัยตามพระราชบญั ญัตนิ หี้ รอื กฎหมายอน่ื
(๘) ไม่เปน็ ผู้เคยกระทาํ การทุจรติ ในการสอบเข้ารับราชการ
(๙) ในกรณที เ่ี ปน็ ชาย
(ก) ถ้าเป็นผมู้ ีภมู ลิ าํ เนาอยู่ในเขตทีใ่ ช้กฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหารต้องลงบัญชีทหารกองเกิน
ตามกฎหมายน้ันแลว้
(ข) ร่างกายต้องสูงไม่น้อยกว่าหนึ่งร้อยหกสิบเซนติเมตร และรอบอกต้องไม่น้อยกว่าเจ็ดสิบเจ็ด
เซนตเิ มตร
ในกรณีท่เี ป็นหญงิ รา่ งกายตอ้ งสูงไมน่ ้อยกวา่ หน่งึ ร้อยหา้ สบิ เซนตเิ มตร
(๑๐) มีอายุไม่เกินสามสิบห้าปีบริบูรณ์ ในกรณีมีการเปิดรับสมัครคัดเลือกหรือสอบแข่งขัน ให้นับอายุ
สามสิบหา้ ปีบรบิ ูรณ์ ถึงวนั ปดิ รบั สมคั ร ยกเว้นผูส้ มคั รกลบั เข้ารบั ราชการ หรือโอนมารับราชการตาํ รวจ
(๑๑) ไม่เปน็ ผ้มู สี ายตาผดิ ปกติ ตรวจแบบเสนลเลน (ปกติ ๖/๖)
(๑๒) ไมเ่ ป็นผู้มตี าบอดสี
(๑๓) ไม่เป็นผู้มีแผลเป็น ไผ ปาน รอยสัก หูด หรือซีสต์ ที่ส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ซ่ึงมีขนาดใหญ่
หรอื มากจนแลดูนา่ เกลียด
(๑๔) ไมเ่ ป็นโรคหรืออาการใด ท่ีไม่ควรเปน็ ขา้ ราชการตํารวจตามบญั ชแี นบทา้ ย
ผู้ที่ขาดคุณสมบัติตามข้อ ๒ (๒) หรือข้อ ๒ (๔) ก.ตร. อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้
ส่วนผู้ท่ีขาดคุณสมบัติตามข้อ ๒ (๕) หรือข้อ ๒ (๖) ถ้าผู้นั้นได้ออกจากงานหรือออกจากราชการไปเกินสองปีแล้ว
หรอื ผูท้ ข่ี าดคณุ สมบัตติ ามขอ้ ๒ (๗) ถา้ ผ้นู ้ันออกจากงานหรอื ออกจากราชการเกนิ สามปีแล้ว และมิใช่กรณีออกจากงาน
หรือออกจากราชการเพราะกระทําผิดในกรณีทุจริตต่อหน้าท่ี ก.ตร. อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้
มติ ก.ตร. ในการประชมุ ยกเว้นเชน่ น้ีต้องเป็นเอกฉันท์ การลงมติใหก้ ระทําโดยลบั
ในกรณีที่หน่วยงานใดมีความจําเป็นต้องรับสมัครบุคคลที่มีอายุเกินสามสิบห้าปีขึ้นไป ให้เสนอสํานักงาน
ตาํ รวจแห่งชาติพิจารณาอนุมตั ิ พร้อมทั้งเหตุผลและความจาํ เปน็ เป็นราย ๆ ไป
ผู้ซึง่ ขาดคุณสมบตั ิตามข้อ ๒ (๑๑) (๑๒) (๑๓) หรือ (๑๔) ถา้ เปน็ การรับสมคั ร เพอื่ บรรจุเป็นข้าราชการตํารวจ
ในตําแหน่งที่ปฏิบัติหน้าท่ีซ่ึงต้องใช้คุณวุฒิเฉพาะ หรือต้องใช้ความรู้ความชํานาญในทางวิชาการเป็นพิเศษ เช่น
ผปู้ ฏบิ ัตหิ นา้ ที่ทางดา้ นการแพทย์ นักดนตรี ช่าง เจ้าหน้าที่การเงิน เจ้าหน้าท่ีเก็บกู้วัตถุระเบิด และอื่น ๆ ก็ให้แพทย์
ตรวจไปตามระเบียบ หากเห็นว่าการขาดคุณสมบัตินั้น ไม่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าท่ี ก็ให้เสนอสํานักงาน
ตาํ รวจแหง่ ชาตพิ จิ ารณาอนุมตั ยิ กเว้นเปน็ กรณีพิเศษเฉพาะเป็นราย ๆ ไป
ถ้าเป็นการรับสมัครเพ่ือบรรจุข้าราชการตํารวจซ่ึงออกจากราชการไปแล้วกลับเข้ารับราชการ
เป็นขา้ ราชการตาํ รวจ ให้ยกเว้นการขาดคุณสมบตั ติ ามขอ้ ๒ (๙) (ข) (๑๑) (๑๒) และ (๑๓) ใหเ้ ป็นกรณีพเิ ศษทุกรายไป
๓๖๔ รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ของศาลปกครองสูงสุดซึ่งมีการนําคดีมาย่ืนฟ้องต่อศาลปกครองจํานวนพอสมควร โดยคดีท่ีนํามา
เป็นกรณีศึกษาในรายงานฉบับน้ีมีทั้งกรณีท่ีวัตถุแห่งคดีเป็นประกาศรายช่ือผู้สอบแข่งขันได้ ท่ีไม่มี
รายชื่อของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ เนื่องจากมีการตรวจสอบและผู้มีอํานาจพิจารณาเห็นว่า
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ
ตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ และวัตถุแห่งคดีท่ีเป็นคําสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๙๘๒
แหง่ พระราชบัญญตั ติ าํ รวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ในกรณีที่ผู้ฟ้องคดีได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการ
ตํารวจแล้ว แต่ต่อมาได้มีการตรวจสอบพบในภายหลังว่า ผู้ฟ้องคดีมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๔๘
โดยผู้มีอํานาจเห็นว่าบุคคลดังกล่าวเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
ตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. วา่ ดว้ ยคุณสมบตั ิและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการ
ตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงผลของคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดมีทั้งกรณีที่พิพากษายกฟ้องและให้
เพกิ ถอนคาํ สง่ั ท้งั น้ี รายงานการศึกษาฉบบั น้จี ะศึกษาแนวทางการพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดว่า
มีหลักการในการพิจารณาอย่างไร และพฤติการณ์เช่นใดที่มีแนวโน้มท่ีศาลปกครองสูงสุดจะเห็นว่า
เป็นการประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ซ่ึงรายงานจะแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน
ในส่วนทีห่ น่ึง จะเป็นการประมวลหลักการสาํ คัญทศี่ าลปกครองสูงสุดใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาคดี
ในส่วนท่ีสอง จะเป็นกรณีศึกษาเก่ียวกับพฤติการณ์ที่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยถึงการเป็นหรือไม่เป็น
ผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีท่ีจะเข้าลักษณะต้องห้ามการบรรจุเป็นข้าราชการ
ตํารวจตามนัยมาตรา ๘๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับข้อ ๒
วรรคหนึ่ง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ
พ.ศ. ๒๕๔๗ โดยจะแยกตามลักษณะของพฤติกรรม และในส่วนท่ีสาม จะเป็นบทสรุป ทั้งน้ี
ผลการศกึ ษามีรายละเอยี ดดังนี้
๑. หลกั การสาํ คัญที่ศาลปกครองสงู สุดใชเ้ ปน็ แนวทางในการพิจารณา
๑.๑ ศาลมีอํานาจในการตรวจดุลพินิจวินิจฉัยของฝ่ายปกครองว่า
ฝ่ายปกครองได้ใช้ดุลพินิจโดยอาศัยข้อเท็จจริงท่ีถูกต้อง และเป็นข้อเท็จจริงท่ีมีอยู่จริง
ในขณะใช้ดุลพินิจ และการใช้ดุลพินิจนั้นมิได้เป็นการเลือกปฏิบัติหรือเป็นการใช้ดุลพินิจ
โดยไม่เปน็ ธรรมหรอื ไม่
๒ พระราชบัญญัติตาํ รวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
มาตรา ๙๘ ผู้ใดได้รับบรรจุเข้าเป็นข้าราชการตํารวจ หากภายหลังปรากฏว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะ
ต้องห้ามตามมาตรา ๔๘ หรือขาดคุณสมบัติเฉพาะสําหรับตําแหน่งตามมาตรา ๔๕ ตั้งแต่ก่อนได้รับการบรรจุ
ให้ผู้มีอํานาจตามมาตรา ๗๒ ส่ังให้ออกจากราชการ แต่ทั้งน้ีไม่กระทบกระเทือนถึงการใดท่ีผู้นั้นได้ปฏิบัติ
ไปตามอํานาจหน้าที่และการรับเงินเดือนหรือผลประโยชน์อื่นใดท่ีได้รับจากทางราชการก่อนมีคําส่ังให้ออกน้ัน
และถ้าการเข้ารับราชการเป็นไปโดยสุจริตแล้ว ให้ถือว่าเป็นการส่ังให้ออกเพื่อรับบําเหน็จบํานาญเหตุทดแทน
ตามกฎหมายวา่ ด้วยบําเหน็จบาํ นาญขา้ ราชการ
รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๖๕
แม้ว่าในการพจิ ารณาว่า พฤตกิ ารณ์ใดจะถือว่าผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติ
เส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี จะเป็นเร่ืองท่ีฝ่ายปกครองมีอํานาจดุลพินิจในการวินิจฉัย
ถึงพฤติการณ์นั้น ๆ แต่ศาลก็มีอํานาจที่จะตรวจสอบถึงความชอบของการใช้ดุลพินิจเช่นว่าน้ัน
ของฝา่ ยปกครองได้ ดังทศี่ าลปกครองสูงสุดได้วางแนวทางการพิจารณาไว้ในคดีนี้
พระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๔๘ บัญญัติว่า
ผู้ท่ีจะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้าม
ดังต่อไปน้ี... (๖) มคี ุณสมบัตแิ ละไม่มีลักษณะต้องห้ามอ่ืนตามท่ีกําหนดในกฎ ก.ตร. และตาม กฎ ก.ตร.
ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งออกโดยอาศัย
อํานาจตามมาตรา ๔๘ (๖) ข้างต้น ได้กําหนดในเร่ืองดังกล่าวไว้ในข้อ ๒ วรรคหน่ึง ว่า การบรรจุ
บุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจ ผู้ที่จะได้รับการบรรจุนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มี
ลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๔๘ (๑) ถึง (๕) แล้ว จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามอ่ืน
ตามมาตรา ๔๘ (๖) ดังต่อไปนี้... (๒) ไม่เป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
จากบทกฎหมายข้างต้นเห็นได้ว่า เป็นบทกฎหมายท่ีให้อํานาจเจ้าหน้าที่ท่ีจะใช้ดุลพินิจวินิจฉัยว่า
พฤติการณ์เช่นไรจึงจะถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย ผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค ๑
(ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) และคณะกรรมการดําเนินการรับสมัครและคัดเลือกบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิ
ประกาศนียบัตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพหรือเทียบเท่า เพ่ือบรรจุ
เปน็ นกั เรยี นนายสิบตํารวจ พ.ศ. ๒๕๕๗ (ผู้ถูกฟอ้ งคดีที่ ๓) ซึง่ เปน็ เจ้าหนา้ ทร่ี บั ผิดชอบในการดําเนินการ
รบั สมัครและคดั เลือกในครงั้ น้ี จึงเป็นเจา้ หน้าท่ที ี่มดี ลุ พินจิ ในการวนิ ิจฉยั ว่าผูส้ มัครคนใดมคี วามประพฤติ
เสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี โดยหลักในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยในเรื่องนี้ ศาลสามารถ
ตรวจสอบได้ว่าเจ้าหน้าที่ได้ใช้ดุลพินิจโดยอาศัยข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง และเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริง
ในขณะใช้ดุลพินิจ และการใชด้ ุลพินิจนัน้ มไิ ดเ้ ปน็ การเลือกปฏบิ ตั หิ รือเปน็ การใชด้ ลุ พินิจโดยไม่เป็นธรรม
เม่ือตามพยานหลักฐานสํานวนคดีน้ีฟังได้ว่า ผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติซึ่งเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
ในสํานักงานตํารวจแหง่ ชาตไิ ด้กําหนดแนวทางและหลกั เกณฑใ์ นการใช้ดุลพินิจที่จะวินิจฉัยว่า กรณีใด
จะถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีไว้ในระเบียบสํานักงานตํารวจ
แห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง
ในศลี ธรรมอนั ดี พ.ศ. ๒๕๕๗ ศาลจงึ สามารถตรวจสอบได้ต่อไปว่า ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ และผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๓ ได้ใช้ดุลพินิจพิจารณาวินิจฉัยภายในกรอบแนวทางและหลักเกณฑ์ตามระเบียบดังกล่าว
ด้วยหรือไม่ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๙๒/๒๕๖๑ และท่ี อบ.๒/๒๕๖๒ วินิจฉัย
แนวทางเดยี วกัน)
๑.๒ ลักษณะต้องห้ามตามที่กฎหมายกําหนดใช้กับตัวผู้สมัครสอบ
เป็นการเฉพาะราย ไม่ครอบคลุมไปถงึ คุณสมบตั ิของบิดามารดาของผสู้ มัครสอบดว้ ย
เคยมีกรณีท่ีผู้สมัครสอบเข้ารับราชการตํารวจ ผลการตรวจสอบประวัติ
พบวา่ เปน็ ผ้มู ีความประพฤตเิ รยี บรอ้ ย ไมม่ คี วามประพฤตใิ นทางเสอื่ มเสีย แต่บดิ ามารดาของผู้สมคั รสอบ
๓๖๖ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ดังกล่าวมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องและค้ายาเสพติดให้โทษ (ยาบ้า) มาโดยตลอด ๓-๔ ปี มีฐานะรํ่ารวย
ผิดปกติ ผู้มีอํานาจในการพิจารณาจึงไม่รับผู้สมัครสอบคนดังกล่าวเข้าศึกษาในโรงเรียนพลตํารวจ
เพราะเหตุขาดคุณสมบัติตามมาตรา ๔๑ (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตํารวจ
พ.ศ. ๒๕๒๑ คอื เปน็ ผู้บกพร่องในศลี ธรรมอันดี บิดาของผู้สมัครสอบจึงนําคดีมาฟ้อง ซึ่งศาลปกครอง
สูงสดุ มคี ําวินจิ ฉัยดงั น้ี
การกําหนดคุณสมบัติท่ัวไปตามมาตรา ๔๑ (๗) แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ ใช้กับตัวผู้สมัครสอบเป็นการเฉพาะราย กรณีจึงไม่ครอบคลุม
ไปถึงคุณสมบัติของบิดามารดาของผู้สมัครสอบด้วย นอกจากน้ี มาตรา ๔๓ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ ที่กําหนดให้ ก.ตร. มีอํานาจออกระเบียบ กําหนดหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไขเกี่ยวกับการคัดเลือกและการสอบแข่งขันเป็นข้าราชการตํารวจ ก็ปรากฏว่า ก.ตร.
ได้ออกระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยวิธีการคัดเลือกและการสอบแข่งขันข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑
ซึง่ มเี นื้อหาเกย่ี วกบั วธิ กี ารคัดเลือก กําหนดรายละเอยี ดวธิ กี ารสอบแข่งขัน และหลักสูตรการสอบแข่งขัน
เท่าน้ัน ไม่ได้กําหนดให้มีการตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคลอื่นนอกเหนือจากตัวผู้สมัครสอบอีก
แต่อย่างใด การที่บุคคลใดจะขาดคุณสมบัติของผู้ท่ีจะได้รับการคัดเลือก หรือผู้ที่จะสอบแข่งขัน
เป็นข้าราชการตํารวจประการใดน้ัน จะต้องเป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยระเบียบ
ข้าราชการตํารวจ ดังนั้น การสั่งการของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) ตามนัยหนังสือ
ที่ ๐๐๒๗.๑๑๒/๑๒๙๗๓ ลงวนั ท่ี ๗ ธนั วาคม ๒๕๔๒ ที่กําหนดใหม้ ีการตรวจสอบประวัตขิ องบดิ ามารดา
และพี่น้องสายเลือดเดียวกันหรือผู้ปกครอง จึงขัดกับบทบัญญัติมาตรา ๔๑ แห่งพระราชบัญญัติ
ระเบียบข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ การท่ีผู้ฟ้องคดีและภริยาจะมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการค้า
ยาเสพตดิ จรงิ หรอื ไม่กต็ าม เปน็ เร่อื งความประพฤติของผู้ฟ้องคดีและภริยาเท่านั้น ไม่อาจถือได้ว่าบุตร
ของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้บกพร่องต่อศีลธรรมอันดีเน่ืองมาจากการกระทําของบุคคลอ่ืน เมื่อข้อเท็จจริง
จากผลการตรวจสอบประวัติคดีอาญาและสืบความประพฤติ โดยเจ้าหน้าท่ีของผู้ถูกฟ้องคดีพบว่า
บุตรผู้ฟ้องคดีมีความประพฤติเรียบร้อย ไม่เก่ียวข้องกับยาเสพติด และไม่มีความประพฤติในทางเส่ือมเสีย
บุตรของผู้ฟ้องคดีจึงไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามตามนัยมาตรา ๔๑ (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ เม่ือบุตรของผู้ฟ้องคดีผ่านการทดสอบทุกข้ันตอนโดยถูกต้อง จึงชอบ
ท่ีจะได้รับการคัดเลือกเข้าศึกษาในหลักสูตรนักเรียนพลตํารวจของสนามสอบโรงเรียนตํารวจภูธร ๔
(กลุ่มท่ี ๑) การที่กองบัญชาการศึกษาในฐานะผู้ได้รับมอบหมายจากผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓ มีประกาศ
ตดั สิทธบิ ตุ รผูฟ้ ้องคดีไม่ใหผ้ า่ นการสอบคัดเลอื กเข้าเปน็ นักเรยี นพลตํารวจ ประจําปี ๒๕๔๕ เพราะถือว่า
เป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีตามมาตรา ๔๑ (๗) แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตํารวจ
พ.ศ. ๒๕๒๑ เปน็ การออกคําส่งั นอกเหนืออํานาจหน้าทแ่ี ละไมถ่ กู ตอ้ ง จงึ เปน็ คาํ สง่ั ทไี่ ม่ชอบดว้ ยกฎหมาย
(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๕๐/๒๕๔๖)
หมายเหตุ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๕๐/๒๕๔๖ นี้ แม้จะเป็น
กรณีที่วินิจฉัยตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ ซึ่งยกเลิกไปแล้ว แต่โดยท่ี
หลักการสําคัญตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ท่ีใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันในเรื่องนี้
รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๖๗
ยังคงเป็นไปตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๒๑ ดังน้ัน คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดฉบับน้ี จึงยังคงใช้เป็นแนวทางการปฏิบัติตามพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้
๑.๓ การวินิจฉัยว่าบุคคลใดเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรม
อันดี อันจะทําให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม
ของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) หรือไม่น้ัน ย่อมต้องพิจารณา
จากคณุ สมบตั ิและประวตั ขิ องผนู้ นั้ ทปี่ รากฏในวันสมัครเข้ารับราชการตาํ รวจ
กรณีคดีที่นํามาเป็นกรณีศึกษานี้ ศาลปกครองสูงสุดได้นําพฤติการณ์
ภายหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาถึงท่ีสุดของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานีว่า
กระทําความผิดอาญามาพิจารณาประกอบด้วย แล้ววินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีไม่เป็นผู้มีความประพฤติ
เส่อื มเสยี หรอื บกพรอ่ งในศีลธรรมอันดี ดงั มรี ายละเอยี ดดังน้ี
แม้พฤติการณแ์ ละการกระทําของผูฟ้ ้องคดีตามคาํ พิพากษาของศาลเยาวชน
และครอบครัวจงั หวดั อบุ ลราชธานีจะรบั ฟังโดยปราศจากข้อสงสัยว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทําผิดฐานร่วมกัน
ทําร้ายร่างกายผู้อ่นื จริง แต่การวินิจฉัยวา่ ผู้ฟ้องคดเี ป็นผปู้ ระพฤติเสือ่ มเสยี หรอื บกพร่องในศีลธรรมอันดี
อันจะทําให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๒ วรรคหนึ่ง (๒) หรือไม่นั้น ย่อมต้องพิจารณาจากคุณสมบัติ
และประวัติของผู้ฟ้องคดีที่ปรากฏในวันสมัครเข้ารับราชการตํารวจ เม่ือได้วินิจฉัยไปแล้วว่า
แม้ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานีจะวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีกระทําผิดอาญาฐานร่วมกัน
ทําร้ายร่างกายผู้อื่นในขณะท่ีมีอายุ ๑๗ ปี แต่เมื่อผู้ฟ้องคดีแสดงให้เห็นถึงความมุ่งม่ันที่จะกลับตัว
เป็นพลเมืองดี ต้ังใจศึกษาเล่าเรียนจนสําเร็จการศึกษา และสามารถสอบผ่านการคัดเลือกเข้าเป็น
ข้าราชการตํารวจได้ การวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีไม่เป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
จึงเป็นการวินิจฉัยในขณะที่มีข้อเท็จจริงประกอบการพิจารณาครบถ้วนแล้ว (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๖๐๕/๒๕๖๐)
๑.๔ พระราชบัญญัติล้างมลทินไม่มีผลลบล้างการกระทําที่เข้าลักษณะ
ต้องหา้ มในการรบั ราชการตาํ รวจ
มีคดีจํานวนหน่ึงท่ีผู้ฟ้องคดีอ้างว่าตนได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติ
ล้างมลทนิ โดยใหเ้ หตผุ ลวา่ พระราชบญั ญัติล้างมลทนิ บญั ญัตใิ หล้ ้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณี
ความผิดต่าง ๆ ซ่ึงได้กระทําก่อนหรือในวันที่กําหนดในพระราชบัญญัติดังกล่าวและได้พ้นโทษไปแล้ว
ก่อนหรือในวันท่ีพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ
ซ่ึงศาลปกครองสูงสดุ ล้วนมีคาํ วนิ จิ ฉยั ไปในแนวทางเดยี วกัน ดังนี้
๓๖๘ รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
แม้ผู้ฟ้องคดีจะได้รับการล้างมลทินในความผิดอาญา โดยถือว่าผู้ฟ้องคดี
มิได้เคยถูกลงโทษในความผิดในคดีอาญา แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้ฟ้องคดีไม่เคยกระทําความผิด
หรือได้รับการลบล้างการกระทําความผิดดังกล่าวแต่อย่างใด การกระทําท่ีเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดี
ถูกลงโทษในทางอาญาดังกล่าวจึงยังคงมีอยู่ ดังน้ัน แม้กฎหมายจะถือว่าผู้ฟ้องคดีไม่เคยถูกลงโทษ
ในความผิดในคดีอาญาแล้วก็ตาม แต่ก็หาทําให้ความเป็นผู้มีคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้าม
ในการรับราชการตํารวจตามนัยข้อ ๒ วรรคหนึ่ง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะ
ต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ของผู้ฟ้องคดีหมดส้ินไปไม่ (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๐๙๙/๒๕๕๙ ที่ อบ.๑๘/๒๕๖๐ ที่ อบ.๓๒/๒๕๖๐ ท่ี อบ.๕๔/๒๕๖๐
ท่ี อ.๗๓/๒๕๖๑ ท่ี อบ.๓๘/๒๕๖๑ ที่ อบ.๗๖/๒๕๖๑ และที่ อบ.๘๐/๒๕๖๑ วินิจฉัยแนวทาง
เดียวกัน)
หมายเหตุ
แนวทางการวินิจฉยั ของศาลปกครองสูงสุดข้างต้นเป็นไปในแนวทางเดียวกัน
กบั ทศ่ี าลฎีกาได้เคยวนิ ิจฉยั ไว้ ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้๓
พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๔ ที่บัญญัติให้ล้างมลทิน
ให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซ่ึงได้กระทําก่อนหรือในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐
และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ซ่ึงพระราชบัญญัติฉบับน้ีใช้บังคับ
โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดน้ัน ๆ มีผลเพียงให้ถือว่าจําเลยไม่เคยถูกลงโทษ
จําคุกเท่าน้ัน มิได้มีผลถึงกับให้ถือว่าความประพฤติของจําเลยท่ีเป็นเหตุให้ต้องรับโทษจําคุกนั้น
ถูกล้างไปด้วย (คําพิพากษาศาลฎกี าท่ี ๘๑๒๙/๒๕๕๓)
การที่จําเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
และจําเลยยังมีและพาอาวุธปืนพร้อมท้ังเครื่องกระสุนปืนติดตัวไปในท่ีเกิดเหตุ ซ่ึงเป็นเมืองหมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะ นับว่าเป็นการกระทําที่ไม่เคารพยําเกรงต่อกฎหมาย ก่อให้เกิดผลกระทบ
ต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเร่ืองร้ายแรงท้ังจําเลยเคยต้องคําพิพากษา
ของศาลชั้นต้นให้จําคุกอีก ๗ คดี ซ่ึงมีท้ังรอการลงโทษและไม่รอการลงโทษ แสดงว่าจําเลยมีลักษณะ
เป็นผู้กระทําความผิดติดนิสัย ไม่สํานึกหรือเกรงกลัวต่อโทษที่กําหนดไว้ในกฎหมาย แม้ในระหว่าง
การพิจารณาของศาลฎีกาจะมีพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ มาตรา ๔ ที่บัญญัติให้ล้างมลทิน
ให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทําก่อนหรือในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐
และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันท่ีพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้นั้น
มิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ ก็ตาม แต่มีผลเพียงให้ถือว่าจําเลยไม่เคยถูกลงโทษจําคุก
๓ คาํ พิพากษาศาลฎกี าทีน่ าํ มาเปน็ ตัวอยา่ งน้ี สบื คน้ จาก ระบบสืบค้นคําพิพากษา คําสั่งคําร้องและคําวินิจฉัย
ศาลฎกี า http://deka.supremecourt.or.th/
รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๖๙
เท่านั้น มิได้มีผลถึงกับให้ถือว่าความประพฤติหรือการกระทําอันเป็นเหตุให้จําเลยถูกลงโทษจําคุก
ถูกลบล้างไปด้วย ประกอบกับศาลฎีกาได้พิเคราะห์พฤติการณ์แห่งคดีนี้แล้ว กรณียังไม่มีเหตุสมควร
ทจี่ ะรอการลงโทษจําคกุ ใหแ้ ก่จําเลย (คําพิพากษาศาลฎีกาที่ ๑๕๗๑/๒๕๕๑)
แม้จําเลยจะได้รับประโยชน์ตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาส
ท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙
ซึง่ ให้ถือวา่ ผ้นู ั้นมิเคยถูกลงโทษในกรณีความผดิ นน้ั ๆ ก็มีผลเพียงให้ถอื ว่าผู้ต้องโทษไม่เคยถูกลงโทษจําคุก
เท่าน้ัน มิได้มีผลถึงกับให้ถือว่าความประพฤติหรือการกระทําอันเป็นเหตุให้บุคคลนั้นถูกลงโทษจําคุก
ถูกลบล้างไปด้วย ศาลล่างทั้งสองจึงนําข้อเท็จจริงท่ีว่าจําเลยเคยกระทําความผิดมาก่อนตามท่ีปรากฏ
ในรายงานการสืบเสาะและพินิจมาประกอบการใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจําคุกให้แก่จําเลยได้
(คาํ พิพากษาศาลฎีกาที่ ๓๙๘๑/๒๕๕๐)
บทบัญญัติมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙
ให้ล้างมลทินแก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซ่ึงได้กระทําก่อนหรือในวันท่ี ๙ มิถุนายน
๒๕๓๙ และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันท่ีพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับหรือซ่ึงได้พ้นโทษไปโดยผล
แห่งพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ. ๒๕๓๙ ให้ถือว่าผู้น้ันมิได้เคยถูกลงโทษในกรณี
ความผิดน้ัน ๆ มีผลเพียงให้ถือว่าผู้ต้องโทษไม่เคยถูกลงโทษจําคุกเท่านั้น มิได้มีผลถึงกับให้ถือว่า
ความประพฤติหรือการกระทําอันเป็นเหตุให้บุคคลน้ันถูกลงโทษจําคุกถูกลบล้างไปด้วย
ศาลจึงนําข้อเท็จจริงท่ีว่าจําเลยท่ี ๑ เคยกระทําความผิดมาก่อนในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ใหโ้ ทษตามที่ปรากฏในรายงานการสบื เสาะและพนิ ิจ มาประกอบการใช้ดุลพินิจไม่รอการลงโทษจําคุก
จําเลยท่ี ๑ ได้ (คําพิพากษาศาลฎกี าท่ี ๔๘๓/๒๕๔๓)
พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๓๐ มาตรา ๕ ตอนท้ายท่ีระบุว่า
โดยให้ถือว่าผู้นั้นมิได้เคยถูกลงโทษหรือลงทัณฑ์ทางวินัยในกรณีน้ัน ๆ ย่อมหมายความเพียงว่า
ผู้ที่ถูกลงโทษทางวินัยไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยเท่าน้ันส่วนความประพฤติหรือการกระทําท่ีเป็นเหตุ
ให้บุคคลน้ันถูกลงโทษทางวินัยหาได้ถูกลบล้างไปด้วยไม่ เพราะความประพฤติหรือการกระทํา
ที่เกิดข้ึนแล้วไม่อาจล้างมลทินให้หมดไปได้ กรมที่ดินมีคําส่ังลงโทษโจทก์ทางวินัยให้ปลดออก
จากราชการฐานไม่ตัง้ ใจปฏิบัติหน้าท่ีปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบเพ่ือให้ตนเองได้ประโยชน์ที่มิควรได้
เป็นการทุจริตต่อหน้าที่และรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงมีพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๓๐
มีผลเพียงให้ถือว่าโจทก์ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยให้ปลดออกจากราชการเท่าน้ัน แต่การกระทํา
หรอื ความประพฤตขิ องโจทก์ท่ีไม่ต้ังใจปฏิบัติหน้าทหี่ รอื อ่ืน ๆ ไมไ่ ดร้ ับการล้างมลทินและเป็นการกระทํา
ท่ีเป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติตามพระราชบัญญัติช่างรังวัดเอกชน พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๙ (๗) ที่ว่า
ไมเ่ ป็นผ้มู ีความประพฤติเส่อื มเสยี (คาํ พิพากษาศาลฎกี าที่ ๖๙๔/๒๕๓๙)
๓๗๐ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
นอกจากน้ี คณะกรรมการกฤษฎีกาก็ได้มีการให้ความเห็นในกรณีนี้
ไปในแนวทางเดียวกนั เชน่ กนั ดงั ตวั อย่างกรณที นี่ า่ สนใจต่อไปนี้
คณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เห็นว่า๔ การล้างมลทินมีผล
เป็นการล้างมลทินเฉพาะโทษท่ีผู้ต้องโทษได้รับเท่านั้น มิได้มีผลเป็นการลบล้างการกระทําความผิด
อันเป็นเหตุให้ถูกลงโทษนั้นด้วย ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติในมาตรา ๓๕ ประกอบกับมาตรา ๔๖
แห่งพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
มีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ ที่บัญญัติให้ล้างมลทินผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ
ซ่ึงได้กระทําก่อนหรือในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันที่
พระราชบัญญัติน้ีใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้น้ันมิได้เคยถูกลงโทษในกรณีความผิดนั้น ๆ โดยที่มิได้มี
บทบัญญัติใดที่กําหนดให้ลบล้างพฤติกรรมการกระทําความผิดด้วย เมื่อปรากฏว่า นาย ส. ถูกศาล
พิพากษาว่ากระทําความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกต้ัง ให้ลงโทษปรับและจําคุก ๖ เดือน
โดยโทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี นาย ส. จึงไม่ได้รับประโยชน์จากพระราชบัญญัติล้างมลทิน
ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา
๔ บันทึกสํานักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ือง คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ใหญ่บ้าน
ตามมาตรา ๑๒ (๑๑) และ (๑๕) แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ และการล้างมลทิน
ตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา
๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐ (เรื่องเสร็จที่ ๗๗/๒๕๕๒) อน่ึง นอกจากความเห็นตามเรื่องเสร็จน้ีแล้ว คณะกรรมการ
กฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย คณะท่ี ๕) ได้เคยมีความเห็นไว้ในบันทึก เร่ือง การล้างมลทินตามพระราชบัญญัติ
ล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี
พ.ศ. ๒๕๓๙ และการออกจากตําแหน่งกํานันและผู้ใหญ่บ้านตามพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องท่ี
พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ (เร่ืองเสร็จที่ ๖๕๗/๒๕๔๑) โดยมีความเห็นในทํานองเดียวกันว่า บุคคลท่ีศาลพิพากษา
ให้ลงโทษจําคุกและได้รับการล้างมลทินตามพระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร
มหาภูมิพลอดุลยเดชทรงครองราชสมบัติ ครบ ๕๐ ปี พ.ศ. ๒๕๓๙ เป็นการลบล้างเฉาะความผิดที่กระทํา
และโทษท่ไี ด้รบั เทา่ นัน้ โดยพฤตกิ รรมไม่ได้ถกู ลบลา้ งไปด้วย
๕-๖ พระราชบัญญัติล้างมลทินในวโรกาสท่ีพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชมีพระชนมพรรษา
๘๐ พรรษา พ.ศ. ๒๕๕๐
มาตรา ๓ ในพระราชบญั ญตั ินี้
“ผู้ต้องโทษ” หมายความว่า ผู้ต้องคําพิพากษาหรือคําส่ังของศาลให้ลงโทษหรือให้กักกันและให้หมายความ
รวมถึงผถู้ ูกลงโทษโดยคําสงั่ ท่ชี อบด้วยกฎหมายซ่งึ มผี ลเชน่ เดียวกับการถูกลงโทษ โดยคําพพิ ากษาหรือคาํ ส่ังของศาล
ฯลฯ ฯลฯ
มาตรา ๔ ให้ล้างมลทินให้แก่บรรดาผู้ต้องโทษในกรณีความผิดต่าง ๆ ซึ่งได้กระทําก่อนหรือในวันที่ ๕
ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๐ และได้พ้นโทษไปแล้วก่อนหรือในวันท่ีพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ โดยให้ถือว่าผู้น้ันมิได้
เคยถกู ลงโทษในกรณีความผิดน้นั ๆ
รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๗๑
พ.ศ. ๒๕๕๐ และเป็นผู้ขาดคุณสมบัติและมีลักษณะต้องห้ามการเป็นผู้ใหญ่บ้านตามมาตรา ๑๒ (๑๑)๗
แห่งพระราชบญั ญตั ิลักษณะปกครองทอ้ งท่ี พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๗
๑.๕ การนําประวัติการกระทําความผิดของบุคคลออกจากสารบบทะเบียน
ประวัติอาชญากร มีผลทางกฎหมายเพียงว่าไม่อาจบวกโทษหรือเพิ่มโทษผู้กระทําผิดน้ัน
ตามกฎหมายได้เท่านั้น หาได้ก่อให้เกิดผลทางกฎหมายถึงขนาดลบล้างการกระทําผู้กระทําผิด
แตอ่ ย่างใด
แม้จะได้ความว่าต่อมากองทะเบียนประวัติอาชญากร สํานักงาน
ตํารวจแห่งชาติ ได้นําข้อมูลประวัติการกระทําความผิดของผู้ฟ้องคดีกรณีต้องหาคดีอาญา
ของสถานีตํารวจภูธรบ้านลาด กระทําผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘
ออกจากสารบบทะเบียนประวัติอาชญากรตามคําร้องขอของผู้ฟ้องคดีแล้วก็ตาม แต่การนําประวัติ
การกระทําความผิดของบุคคลออกจากสารบบทะเบียนประวัติอาชญากร น้ัน มีผลทางกฎหมาย
เพียงว่าไม่อาจบวกโทษหรือเพ่ิมโทษผู้กระทําผิดน้ันตามกฎหมายได้เท่าน้ัน หาได้ก่อให้เกิดผล
ทางกฎหมายถึงขนาดลบล้างการกระทําของผู้ฟ้องคดีกับพวกท่ีร่วมกันเล่นการพนันไฮโลว์
จนถกู ดาํ เนินคดีและถูกลงโทษทางอาญาด้วยไม่ เพราะเร่ืองความประพฤติหรือการกระทําท่ีเกิดขึ้นแล้ว
ไม่อาจถูกลบล้างให้หมดไปได้ ผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค ๗ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑) จึงอาจนําประวัติ
การกระทําผิดของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวมาใช้ในการพิจารณาวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีลักษณะต้องห้าม
ของการเป็นขา้ ราชการตํารวจหรือไม่ ได้โดยชอบ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๓๙/๒๕๕๙)
๑.๖ หลักการพิจารณาว่าการกระทําเช่นไรถือเป็นการประพฤติเส่ือมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอนั ดี อันเขา้ ลักษณะตอ้ งห้ามของการเปน็ ข้าราชการตาํ รวจ
จากการศึกษาคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดพบว่า สามารถสรุปหลักการ
สําคัญที่ศาลใช้เป็นแนวทางในการพิจารณาว่าการกระทําเช่นไรถือเป็นการประพฤติเส่ือมเสีย
หรือบกพรอ่ งในศลี ธรรมอันดี อันเข้าลักษณะตอ้ งหา้ มของการเปน็ ขา้ ราชการตํารวจได้ ดงั นี้
๗ พระราชบัญญตั ลิ กั ษณะปกครองท้องท่ี พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๗
มาตรา ๑๒ ผู้ท่ีจะได้รับเลือกเปน็ ผู้ใหญ่บ้านตอ้ งมีคุณสมบัตแิ ละไม่มลี กั ษณะต้องห้ามดงั ต่อไปน้ี
ฯลฯ ฯลฯ
(๑๑) ไม่เป็นผู้เคยต้องคําพิพากษาถึงท่ีสุดว่ากระทําผิดเก่ียวกับกฎหมายว่าด้วยป่าไม้ กฎหมายว่าด้วย
ป่าสงวนแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วยการสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า กฎหมายว่าด้วยอุทยานแห่งชาติ กฎหมายว่าด้วย
ศลุ กากร กฎหมายวา่ ด้วยอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน ในฐานความผิด
เกี่ยวกับอาวุธปืน เคร่ืองกระสุนปืน หรือวัตถุระเบิดที่นายทะเบียนไม่อาจออกใบอนุญาตให้ได้ กฎหมายว่าด้วยท่ีดิน
ในฐานความผิดเก่ียวกับท่ีสาธารณประโยชน์ กฎหมายว่าด้วยยาเสพติด กฎหมายว่าด้วยการเลือกต้ัง และกฎหมาย
ว่าดว้ ยการพนัน ในฐานความผดิ เปน็ เจา้ มือหรือเจ้าสํานัก
ฯลฯ ฯลฯ
๓๗๒ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
กฎหมายให้อํานาจฝ่ายปกครองที่จะใช้ดุลพินิจในการที่จะวินิจฉัยว่า
การกระทําใดจะถือเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี โดยจะต้องคํานึงถึง
ขอ้ เทจ็ จรงิ แล้วแตก่ รณีเฉพาะรายเปน็ กรณีราย ๆ ไป ดงั ที่ศาลปกครองสูงสดุ ได้วินิจฉัยไวว้ า่
ตามมาตรา ๔๘ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
บัญญัติให้ผู้ที่จะได้รับการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ
ต้องห้ามอ่ืนตามท่ีกําหนดในกฎ ก.ตร. ซึ่งตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ บัญญัติให้การบรรจุบุคคล
เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจ ผู้ที่จะได้รับการบรรจุนอกจากต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะ
ต้องห้ามตามมาตรา ๔๘ (๑) ถึง (๕) แล้ว จะต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามโดยไม่เป็น
ผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี และข้อ ๒ วรรคสอง ของ กฎ ก.ตร. ฉบับดังกล่าว
กําหนดว่า ผู้ท่ีขาดคุณสมบัติในข้อ ๒ วรรคหนึ่ง (๒) ก.ตร. อาจพิจารณายกเว้นให้เข้ารับราชการได้
จากบทกฎหมายข้างต้นเห็นได้ว่า บทกฎหมายดังกล่าวไม่ได้กําหนดว่าการกระทําเช่นไรถือเป็น
การประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี จึงเป็นการให้อํานาจฝ่ายปกครองที่จะใช้ดุลพินิจ
ในการที่จะวินิจฉัยว่าการกระทําใดจะถือเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
ฝ่ายปกครองจึงมีดุลพินิจในการพิจารณาวินิจฉัยว่า การกระทําใดจะถือเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ทั้งนี้ จะต้องคํานึงถึงข้อเท็จจริงแล้วแต่กรณีเฉพาะรายไป
(คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๓๕๘/๒๕๕๒ ท่ี อ.๒/๒๕๕๕ ที่ อ.๙๔๖/๒๕๕๖ ที่ อ.๕๑๔/๒๕๕๗
ท่ี อ.๖๘๔/๒๕๕๗ ที่ อ.๗๖๙/๒๕๕๗ และที่ อ.๘๖๙/๒๕๖๑ วนิ จิ ฉัยแนวทางเดยี วกัน)
ในการใช้ดุลพินิจดังกล่าว ฝ่ายปกครองจะต้องพิจารณาให้สอดคล้อง
กับกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ บรรทัดฐานของสังคม (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อ.๖๐๘/๒๕๕๖ และที่ อ.๑๓๑๘/๒๕๕๙ วินิจฉัยแนวทางเดียวกัน) ต้องพิจารณาพฤติการณ์
ที่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของการเป็นข้าราชการตํารวจ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อ.๒๐๙๙/๒๕๕๙) โดยข้าราชการตํารวจควรเป็นผู้ที่มีความประพฤติอยู่ในกรอบของศีลธรรม
และต้องยึดถือประพฤติปฏิบัติตนในการปฏิบัติหน้าที่เพ่ือธํารงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิ
ของข้าราชการตํารวจและวิชาชีพตํารวจด้วย (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๗๒/๒๕๕๗)
นอกจากน้ี ยังต้องพิจารณาโดยคํานึงถึงมาตรฐานการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตํารวจ
(คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อบ.๔๘/๒๕๕๙) คํานงึ ถงึ ภารกิจของขา้ ราชการตํารวจ พฤติกรรม
ของบุคคลดังกล่าว ประกอบกับความรู้สึกนึกคิดของวิญญูชนที่ประสบพบเห็นพฤติกรรมของบุคคล
ดังกล่าวเป็นสําคัญ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๓๙/๒๕๕๙ ท่ี อบ.๑๘/๒๕๖๐
และที่ อบ.๓๗/๒๕๖๑ วินิจฉัยแนวทางเดียวกัน) คํานึงถึงเกียรติของข้าราชการ ความรังเกียจ
ของสังคมและความหมายของศีลธรรมในหลักพระพุทธศาสนาประกอบ (คําพิพากษาศาลปกครอง
สงู สดุ ที่ อบ.๕/๒๕๖๐)
รวมเรื่องเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๗๓
เมื่อข้าราชการตํารวจเป็นเจ้าพนักงานท่ีมีอํานาจหน้าท่ีในการบังคับใช้
กฎหมายเพื่อป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดทางอาญา รักษาความสงบเรียบร้อย
และความปลอดภัยของประชาชน และเปน็ เจา้ หน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมช้ันต้น ข้าราชการตํารวจ
จึงมีความจําเป็นต้องใช้บุคลากรที่มีประวัติซ่ึงแสดงถึงการเป็นผู้ประพฤติตนอยู่ภายใต้กฎหมาย
และศีลธรรมอันดี ท้ังน้ี เพ่ือสร้างความเชื่อมั่นและศรัทธาแก่ประชาชนว่า ข้าราชการตํารวจผู้น้ัน
จะสามารถพิทักษ์กฎหมายที่ตนมีอํานาจหน้าท่ีในการบังคับใช้ไว้ได้ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อบ.๔/๒๕๖๑ ที่ อบ.๓๕/๒๕๖๑ ท่ี อบ.๓๘/๒๕๖๑ และที่ อบ.๘๐/๒๕๖๑ วินิจฉัยแนวทาง
เดียวกัน) เมื่อข้าราชการตํารวจเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐมีอํานาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย เพ่ือป้องกัน
และปราบปรามการกระทําผิดทางอาญาและนําตัวผู้กระทําผิดมาลงโทษ รักษาความสงบเรียบร้อย
ของสังคมและความปลอดภัยของประชาชน และเป็นเจ้าหน้าท่ีชั้นต้นในกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญา ผู้ที่จะได้รับการคัดเลือกเพ่ือบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชตํารวจจึงควรต้อง
มีประวัติและความประพฤติท่ีดีมีความเหมาะสมท่ีสุดกับตําแหน่งหน้าท่ีราชการ คุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของบุคคลท่ีจะเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจจึงต้องเข้มงวดและต้องมี
ลกั ษณะพิเศษมากกวา่ คุณสมบัติและลักษณะตอ้ งหา้ มของบคุ คลทีจ่ ะเข้ารับราชการในหน่วยงานอื่น ๆ
การพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจกรณีไม่เป็นผู้ประพฤติ
เส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี จึงต้องพิจารณาจากข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เป็นกรณี ๆ ไป
โดยคํานึงถึงเกียรติของข้าราชการ ความรังเกียจของสังคม ตลอดจนความสอดรับกับภารกิจ
และวัตถุประสงค์ของหน่วยงานหรือความเหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่ท่ีจะรับเข้าทํางานเป็นสําคัญ
(คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อบ.๖๐/๒๕๖๒)
การใช้ดุลพินิจในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครเข้ารับราชการ
เป็นตํารวจต้องพิจารณาความประพฤติของบุคคลดังกล่าวต้ังแต่ในอดีตท่ีผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
ประกอบกัน การพิจารณาเพียงประวัติการถูกดําเนินคดีอาญาของบุคคลดังกล่าวเพียงอย่างเดียว
โดยมิได้พิจารณาถึงเหตุแห่งการกระทําความผิดของบุคคลดังกล่าวหรือความประพฤติประการอื่น
หรือพฤติการณ์ในการกลับตัวเป็นคนดีของบุคคลดังกล่าวประกอบด้วย ย่อมถือเป็นการใช้ดุลพินิจ
ที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๑๔๖๕/๒๕๕๙)
๑.๗ คําสั่งแต่งต้ังยศและบรรจุแต่งต้ังผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการตํารวจ
ชัน้ ประทวนเป็นคําส่ังทางปกครองท่มี ีลักษณะเป็นการใหป้ ระโยชน์แก่ผู้ฟ้องคดี การเพิกถอนคําสั่ง
ทางปกครองดังกล่าวจึงต้องกระทําภายใน ๙๐ วัน นับแต่ได้รู้ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคําสั่ง
ทางปกครองน้ันตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙
คําสั่งกองบญั ชาการตาํ รวจนครบาล ที่ ๓๙๖/๒๕๕๒ ลงวนั ท่ี ๒๕ กันยายน
๒๕๕๒ ท่ีแต่งตั้งยศผู้ฟ้องคดีเป็นสิบตํารวจตรีและบรรจุแต่งตั้งผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการตํารวจ
ช้ันประทวน ตําแหน่งผู้บังคับหมู่ กองร้อยที่ ๒ กองบังคับการอารักขา ๑ กองบังคับการอารักขา
๓๗๔ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และควบคุมฝงู ชน กองบัญชาการตํารวจนครบาล เปน็ คาํ สั่งทางปกครองทมี่ ีลกั ษณะเป็นการให้ประโยชน์
แก่ผู้ฟ้องคดี การเพิกถอนคําส่ังทางปกครองดังกล่าวจึงต้องกระทําภายใน ๙๐ วัน นับแต่ได้รู้ถึงเหตุ
ทจ่ี ะให้เพิกถอนคําส่ังทางปกครองนั้นตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง๘ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าคณะกรรมการดําเนินการสอบแข่งขันได้มีหนังสือ
ลับ ด่วนท่ีสุด ท่ี ๐๐๓๔.๕๓๔/๑๐๑๖ ลงวันที่ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๕๒ แจ้งข้อมูลประวัติการกระทําผิด
ของผู้ฟ้องคดีให้ผู้บัญชาการตํารวจนครบาล (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ทราบ และกองบังคับการอํานวยการ
กองบัญชาการตํารวจนครบาล ได้ลงทะเบียนรับหนังสือดังกล่าวไว้เม่ือวันที่ ๕ มกราคม ๒๕๕๓ น้ัน
วันดังกล่าวเป็นเพียงวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับแจ้งข้อมูลประวัติการกระทําผิดของผู้ฟ้องคดี
ในเบ้ืองต้นเท่าน้ัน ยังไม่ได้ระบุว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ขาดคุณสมบัติท่ีจะได้รับการบรรจุแต่งตั้ง
เป็นข้าราชการตํารวจหรือไม่ และผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ยังต้องดําเนินการสอบสวนข้อเท็จจริงก่อนว่า
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติการกระทําผิดตามที่ได้รับแจ้งหรือไม่ และหากปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีกระทําผิด
การกระทําดังกล่าวจะถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติที่จะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นข้าราชการตํารวจ
ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ หรือไม่ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นท่ียุติอันเป็นประโยชน์ต่อผู้ฟ้องคดี
ตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสอบสวนข้อเท็จจริง พ.ศ. ๒๕๔๗ และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ดังนั้น วันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๕๓
ทีผ่ ูถ้ กู ฟ้องคดที ่ี ๑ ได้รับแจง้ ขอ้ มูลประวตั ิการกระทําผิดของผู้ฟ้องคดี จึงยังไม่ถือเป็นวันที่ผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๑ ได้รู้ถึงเหตุที่จะเพิกถอนของคําส่ังกองบัญชาการตํารวจนครบาล ที่ ๓๙๖/๒๕๕๒ ลงวันที่ ๒๕
กันยายน ๒๕๕๒ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคําส่ังตามหนังสือ ด่วนท่ีสุด
ที่ ๐๐๑๕.๑๑๒/๒๑ ลงวนั ที่ ๗ มกราคม ๒๕๕๓ เร่ือง การพิจารณาคุณสมบัติของผู้สมัครสอบแข่งขัน
บคุ คลภายนอกผมู้ ีวฒุ ปิ รญิ ญาตรี ที่กองบัญชาการตํารวจนครบาลได้มีคําส่ังบรรจุแต่งต้ังข้าราชการตํารวจ
ช้ันประทวนประจําปี พ.ศ. ๒๕๕๒ ให้กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน หน่วยงานต้นสังกัด
ท่ีผู้ฟ้องคดีได้รับการบรรจุแต่งต้ัง ดําเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสอบสวน
ข้อเท็จจริง พ.ศ.๒๕๔๗ เพ่ือประกอบการพิจารณาว่าผู้ฟ้องคดีขาดคุณสมบัติต้องส่ังให้ออกจากราชการ
ตามมาตรา ๙๘ แหง่ พระราชบญั ญัตติ ํารวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือไม่ อย่างไร ต่อมา ผู้บังคับการ
กองบังคับการอารักขาและควบคุมฝูงชน ได้มีหนังสือ ที่ ๐๐๑๕.(อคฝ.)๑๘/๔๘๒๓ ลงวันท่ี ๒๑
กรกฎาคม ๒๕๕๓ เรื่อง รายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงคุณสมบัติของผู้สมัครสอบแข่งขัน
๘ พระราชบญั ญัติวิธีปฏิบตั ิราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๔๙ เจ้าหน้าท่ีหรือผู้บังคับบัญชาของเจ้าหน้าที่อาจเพิกถอนคําสั่งทางปกครองได้ตามหลักเกณฑ์
ในมาตรา ๕๑ มาตรา ๕๒ และมาตรา ๕๓ ไม่ว่าจะพ้นขั้นตอนการกําหนดให้อุทธรณ์หรือให้โต้แย้งตามกฎหมายนี้
หรือกฎหมายอนื่ มาแล้วหรือไม่
การเพิกถอนคําสั่งทางปกครองท่ีมีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์ต้องกระทําภายในเก้าสิบวันนับแต่ได้รู้
ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคําส่ังทางปกครองน้ัน เว้นแต่คําสั่งทางปกครองจะได้ทําข้ึนเพราะการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ
หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งหรือการข่มขู่หรือการชักจูงใจโดยการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด
ทม่ี ชิ อบด้วยกฎหมาย
รวมเรอ่ื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๗๕
บุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรี เพื่อบรรจุแต่งต้ังเป็นข้าราชการตํารวจชั้นประทวน พ.ศ. ๒๕๕๒
ต่อคณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ผ่านฝ่ายอํานวยการ ๑ กองบังคับการ
อํานวยการ กองบัญชาการตํารวจนครบาล ว่า ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องหาคดีอาญา ข้อหาเล่นการพนัน
ทายผลฟุตบอล พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต ถือเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดีตามกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๒(๒) จึงถือเป็นผู้ขาดคุณสมบัติการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจ
เห็นควรให้ออกจากราชการ โดยกองบังคับการอํานวยการ กองบัญชาการตํารวจนครบาล ได้ลงทะเบียน
รับรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงไว้เม่ือวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ผู้ถกู ฟ้องคดีที่ ๑ ได้รับทราบรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงดังกล่าวในวันใด กรณีจึงถือว่าวันที่ ๒๒
กรกฎาคม ๒๕๕๓ ที่กองบังคับการอํานวยการ กองบัญชาการตํารวจนครบาล ได้ลงทะเบียน
รับรายงานผลการสืบสวนข้อเท็จจริงเป็นวันอย่างช้าท่ีสุดที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑ ได้รู้ถึงเหตุที่จะเพิกถอน
ของคําสั่งกองบัญชาการตํารวจนครบาล ที่ ๓๙๖/๒๕๕๒ ลงวันท่ี ๒๕ กันยายน ๒๕๕๒ ที่แต่งต้ัง
ยศผู้ฟ้องคดีเป็นสิบตํารวจตรีและบรรจุแต่งต้ังผู้ฟ้องคดีเป็นข้าราชการตํารวจช้ันประทวน ดังน้ัน
การท่ีผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ ได้มีคําสั่งกองบัญชาการตํารวจนครบาล ท่ี ๓๗๑/๒๕๕๓ ให้ผู้ฟ้องคดี
ออกจากราชการ เม่ือวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๕๓ จึงเป็นการดําเนินการเพิกถอนคําสั่งทางปกครอง
ท่ีมีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์ภายใน ๙๐ วัน นับแต่วันที่ได้รู้ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคําส่ัง
ทางปกครองดังกล่าวตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๓๕/๒๕๖๑)
๒. กรณีศึกษาเก่ียวกับพฤติการณ์ท่ีศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยถึงการเป็น
หรือไม่เป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีที่จะเข้าลักษณะต้องห้าม
การบรรจุเป็นข้าราชการตํารวจตามนัยมาตรา ๘๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะ
ต้องห้ามของการเป็นขา้ ราชการตาํ รวจ พ.ศ. ๒๕๔๗๙
๒.๑ พฤตกิ รรมเก่ยี วข้องกับยาเสพติด
จากการศึกษาพบว่า กรณีที่ผู้สมัครเข้ารับราชการตํารวจมีประวัติเก่ียวข้อง
กับยาเสพติด ในระยะแรกของการพิจารณาคดีของศาลปกครองสูงสุด มีแนวคําวินิจฉัยท่ีเป็นคุณ
กับผทู้ ี่มีประวัตเิ กี่ยวข้องกับยาเสพติดอยู่จํานวนหนึ่ง โดยศาลปกครองสูงสุดจะอาศัยมติคณะรัฐมนตรี
๙ ตัวอย่างคําพิพากษาท่ีนํามาเป็นกรณีศึกษาต่อไปนี้ ในกรณีที่กล่าวถึงว่าเป็นพฤติการณ์ท่ีถือว่าเป็น
หรือไม่เป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี หมายถึง เป็นพฤติการณ์ที่ถือว่าเป็นหรือไม่เป็น
ผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีที่จะเข้าลักษณะต้องห้ามการบรรจุเป็นข้าราชการตํารวจ
ตามนัยมาตรา ๘๔ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒)
ของกฎ ก.ตร. ว่าดว้ ยคุณสมบตั ิและลักษณะต้องหา้ มของการเป็นข้าราชการตาํ รวจ พ.ศ. ๒๕๔๗
๓๗๖ รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ที่เก่ียวข้องเป็นเหตุผลประกอบในการพิจารณาวินิจฉัยคดี ได้แก่ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันท่ี ๕
สิงหาคม ๒๕๔๖ เร่ือง การให้โอกาสผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดเข้าทํางาน
หรือรับการศึกษาต่อในหน่วยงานภาครัฐ๑๐ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
เรื่อง การปรับปรุงมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับเรื่อง การให้โอกาสผู้ติดเชื้อเอดส์ คนพิการและผู้เสพ/
ผู้ตดิ ยาเสพตดิ ซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด เขา้ ทํางานหรือรับการศกึ ษาต่อในหนว่ ยงานภาครัฐ๑๑
โดยในกลุ่มคดีที่ศาลวินิจฉัยในทางท่ีเป็นแก่ผู้มีประวัติเก่ียวข้องกับยาเสพติด
โดยอาศัยมติคณะรัฐมนตรีข้างต้นน้ี ศาลปกครองสูงสุดเห็นว่า มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวแม้ไม่ใช่
กฎหมาย แต่ก็เป็นการกําหนดแนวทางการใช้ดุลพินิจของผู้มีอํานาจเพ่ือให้การใช้ดุลพินิจ
ในเร่ืองน้ีเป็นไปในแนวทางเดียวกันและมิให้มีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง
อย่างไม่เท่าเทียมกัน และเมื่อพิจารณาถึงเน้ือหาของมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว เห็นได้ว่ามีเน้ือหา
เปน็ การใหโ้ อกาสเฉพาะผทู้ เ่ี คยเปน็ ผเู้ สพเทา่ น้ัน ไม่รวมถงึ ผ้ผู ลิต หรอื ผคู้ ้า ประการสาํ คัญได้กาํ หนดว่า
ผู้ท่ีเคยเสพน้ันต้องพ้นจากสภาพการใช้ยาและมีหนังสือรับรองจากแพทย์หรือได้ผ่านการบําบัดรักษา
ของทางราชการหรือสถานบําบัดที่ได้รับการรับรองจากทางราชการด้วยแล้ว โดยมีวัตถุประสงค์
เพ่ือเปิดโอกาสให้บุคคลเหล่านั้นได้เข้าทํางานหรือศึกษาต่อในหน่วยงานภาครัฐ มติคณะรัฐมนตรี
และหนังสือฉบับดังกล่าวจึงมีเหตุผลท่ียอมรับได้ และถือเป็นแนวทางในการใช้ดุลพินิจวินิจฉัย
คุณสมบัติของผู้สมัครเข้ารับราชการตํารวจกรณีที่ผู้นั้นเคยเป็นผู้เสพยาเสพติดมาก่อน ว่าจะถือเป็น
ผปู้ ระพฤตเิ ส่ือมเสยี หรอื บกพรอ่ งในศีลธรรมอันดหี รอื ไม่ แต่ท้งั นตี้ อ้ งคํานึงถึงข้อเท็จจริงในแตล่ ะรายดว้ ย
ซ่งึ ในกรณที ่ีขอ้ เทจ็ จรงิ ปรากฏวา่ ในขณะท่ีผู้ฟ้องคดีกระทําความผิดนั้น ผู้ฟ้องคดียังเป็นเยาวชนมีอายุ
เพียง ๑๕ ปี ซ่ึงศาลจังหวัดศรีสะเกษได้วินิจฉัยว่า ขณะกระทําความผิดผู้ฟ้องคดีอายุไม่เกิน ๑๗ ปี
จึงไม่ต้องรับโทษ ให้ว่ากล่าวตักเตือนแล้วปล่อยตัวออกไป จากคําพิพากษาดังกล่าวแสดงว่าศาล
๑๐ มติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๖ ในส่วนท่ีมีสาระสําคัญว่า ผู้ใดท่ีเคยมีประวัติการเสพ
หรอื ติดยาเสพติด และไดพ้ ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดโดยได้รับการรับรองจากแพทย์ หรือโดยผ่านการบําบัดรักษา
ของทางราชการหรือสถานบําบัดท่ีได้รับการรับรองจากทางราชการ ให้ถือว่าผู้น้ันเป็นผู้มีโอกาสในการทํางาน
หรือเข้ารับการศึกษาเช่นบุคคลทั่วไป โดยหน่วยราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ จะปฏิเสธการรับผู้นั้น
เข้าทํางานหรือศึกษาต่อ โดยอ้างเหตุว่าเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นท่ีรังเกียจของสังคมมิได้ อนึ่ง ต่อมา
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๔๙ ให้แจ้งเวียนมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๕ สิงหาคม ๒๕๖๔
อีกครั้งหนึ่ง เน่ืองจากปรากฏว่ามีส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และหน่วยงานของรัฐบางแห่งไม่ได้ถือปฏิบัติตามมติ
คณะรัฐมนตรีดังกล่าว และต่อมามติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๕ สิงหาคม ๒๕๔๖ และมติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๕
กันยายน ๒๕๔๙ ไดถ้ ูกยกเลิกโดยมติคณะรัฐมนตรี เมอื่ วนั ที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐
๑๑ มตคิ ณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ในส่วนที่มีสาระสําคัญว่า ให้ผู้ติดเช้ือเอดส์ คนพิการ
ผทู้ เี่ คยมปี ระวตั กิ ารเสพหรือตดิ ยาเสพติด ซึง่ พน้ สภาพจากการใช้ยาเสพติด หรือได้ผ่านการบําบัดรักษาของทางราชการ
หรือสภาบําบัดรักษาท่ีได้รับการรับรองจากทางราชการ โดยได้รับการรับรองจากแพทย์หรือสถานบําบัดนั้น ๆ
ท่ีสามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้ มีสิทธิที่จะสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพ่ือบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง
รวมท้ังเข้ารับการศึกษา และการรับทุนการศึกษาได้ ดังเช่นบุคคลท่ัว ๆ ไป โดยให้ดําเนินการด้วยความเสมอภาค
ตามระบบคุณธรรม รวมถึงการพิจารณาตาํ แหนง่ งานให้เหมาะสม
รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๗๗
มิได้ตัดสินลงโทษผู้ฟ้องคดี และการกระทําความผิดของบุคคลผู้มีอายุ ๑๕ ปี เฉกเช่นผู้ฟ้องคดีจะอ้าง
เพื่อเพิ่มโทษใดไม่ได้ตามมาตรา ๙๔ แห่งประมวลกฎหมายอาญา อีกทั้ง แพทย์จากสถาบันธัญญารักษ์
ได้ออกหนังสือเมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม ๒๕๔๘ รับรองผลการตรวจพิสูจน์ว่าได้ตรวจพิสูจน์ผู้ฟ้องคดีแล้ว
ไม่พบสารเสพติดและวัตถุออกฤทธ์ิที่ขอตรวจ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้พ้นจากสภาพการใช้
ยาเสพติดแล้ว กรณีจึงถือได้ว่าขณะพิจารณาคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดีน้ัน ผู้ฟ้องคดีไม่ได้เป็น
ผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี เพ่ือเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องคดีสามารถ
เข้าทํางานในหนว่ ยงานทางราชการได้ ดังนั้น การท่ีสํานักงานตํารวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ใช้ดุลพินิจ
วินิจฉัยว่า การที่ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาว่าได้กระทําผิดตามพระราชกําหนดป้องกันการใช้
สารระเหย พ.ศ. ๒๕๓๓ ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีนั้น
จงึ เป็นการใชด้ ุลพินจิ ไปโดยยังไม่ได้พิจารณาถึงมติคณะรัฐมนตรีและข้อเท็จจริงท่ีเป็นกรณีเฉพาะเร่ือง
เฉพาะรายของผู้ฟ้องคดี เป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบ การที่ผู้ถูกฟ้องคดีโดยกองบัญชาการศึกษา
มีคําสั่งไม่ให้ผู้ฟ้องคดีผ่านการคัดเลือกด้วยวิธีสอบเข้าเป็นนักเรียนพลตํารวจ ประจําปี ๒๕๔๘
ตามประกาศกองบัญชาการศึกษา ลงวันท่ี ๑๙ มีนาคม ๒๕๔๘ จึงเป็นการไม่ชอบ (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๓๕๘/๒๕๕๒ ท่ี อ.๒/๒๕๕๕๑๒ และท่ี อ.๕๑๔/๒๕๕๗๑๓ วินิจฉัยแนวทาง
เดยี วกัน)
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง แนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในกรณีนี้
เรมิ่ เปลยี่ นแปลงไป โดยศาลปกครองสูงสุดให้เหตุผลว่า แม้จะปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีมีมติเม่ือวันที่ ๕
สิงหาคม ๒๕๔๖ และเม่ือวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ให้สิทธิและโอกาสแก่ผู้เสพหรือติดยาเสพติด
ซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดเข้ารับราชการ โดยให้ถือว่าเป็นเพียงผู้ป่วยที่จะต้องได้รับสิทธิ
และโอกาสในการสมัครสอบแข่งขันเข้ารับราชการเช่นเดียวกับบุคคลท่ัวไป แต่เม่ือมติคณะรัฐมนตรี
เช่นว่านั้นมิได้มีผลเป็นการแก้ไข เปลี่ยนแปลง หรือยกเว้นหลักเกณฑ์ของกฎหมายเก่ียวกับคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ เพียงแต่กําหนดเป็นแนวทางในการพิจารณา
โดยไม่ให้ถือว่าการเสพหรือติดยาเสพติดเป็นการกระทําท่ีเส่ือมเสียเพื่อมิให้ผู้น้ันขาดคุณสมบัติ
ในการเข้ารับราชการ ซ่ึงเป็นแนวทางปฏิบัติที่แตกต่างจากแนวทางการปฏิบัติท่ีผู้บัญชาการ
กองบัญชาการศึกษา (ผู้ถูกฟ้องคดี) ถือปฏิบัติโดยชอบมาแต่เดิม และแตกต่างกับบรรทัดฐาน
๑๒ คดีนผ้ี ้ฟู ้องคดมี ปี ระวัติต้องคําพิพากษาศาลจังหวัดลําปางแผนกคดีเยาวชนและครอบครัว ว่ามีความผิด
ตามมาตรา ๔ มาตรา ๗ มาตรา ๘ มาตรา ๕๗ และมาตรา ๙๑ แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒
(กรณยี าเสพติดประเภท ๑ (ยาบา้ ) โดยขณะเกดิ เหตุ ผ้ฟู ้องคดีอายุ ๑๖ ปเี ศษ
๑๓ คดีนี้ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง โดยในคดีดังกล่าวพฤติการณ์
แห่งคดีฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีมีเมทแอมเฟตามีน จํานวน ๙ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงพิพากษาว่า
ผู้ฟ้องคดีมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๖๗
โดยขณะเกดิ เหตุ ผ้ฟู อ้ งคดีอายุ ๑๗ ปเี ศษ
๓๗๘ รวมเรื่องเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ของสงั คมในเรอ่ื งน๑้ี ๔ มตคิ ณะรัฐมนตรดี ังกลา่ วจึงมีผลเป็นเพียงแนวทางให้ผู้ถูกฟ้องคดีปฏิบัติในฐานะ
ท่ีเป็นคําส่ังของผู้บังคับบัญชาซ่ึงส่ังการผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทราบถึงแนวทางท่ีควรจะปฏิบัติในเรื่องใด
เร่ืองหน่ึงเป็นการภายในเท่านั้น หามีผลเป็นการจํากัดดุลพินิจของผู้ถูกฟ้องคดีว่าจะต้องวินิจฉัยว่า
การเสพหรือติดยาเสพติดไม่ถือเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียทุกกรณีไม่ ผู้ถูกฟ้องคดีจึงยังคงมีอํานาจ
ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยเก่ียวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ
เป็นการเฉพาะราย แม้ผู้น้ันจะมีประวัติเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติดตามมติคณะรัฐมนตรีตามท่ี
ผู้ฟอ้ งคดีกลา่ วอ้าง เพราะเหตวุ า่ หากผูถ้ กู ฟ้องคดมี ไิ ดป้ ฏิบตั ิตามมตคิ ณะรัฐมนตรดี งั กล่าว ก็เป็นเรื่องท่ี
คณะรัฐมนตรีจะว่ากล่าวเอากับผู้ถูกฟ้องคดีในเร่ืองการกระทําท่ีขัดต่อคําสั่งของผู้บังคับบัญชาเท่านั้น
หามีผลถึงความชอบด้วยกฎหมายของการใช้ดุลพินิจวินิจฉัยของผู้ถูกฟ้องคดีตามข้อเท็จจริงในคดีเร่ืองนี้
แต่อย่างใดไม่ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๖๐๘/๒๕๕๖ และที่ อ.๘๖๙/๒๕๖๑ วินิจฉัย
แนวทางเดียวกนั )
แม้จะมมี ตคิ ณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ เร่ือง การปรับปรุง
มติคณะรัฐมนตรีเก่ียวกับเร่ืองการให้โอกาสผู้ติดเชื้อเอดส์ คนพิการ และผู้เสพ/ผู้ติดยาเสพติด
ซ่ึงพน้ สภาพจากการใช้ยาเสพติด เข้าทาํ งาน หรอื รบั การศกึ ษาตอ่ ในหน่วยงานภาครัฐ แต่ส่วนราชการ
หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจจะถูกผูกพันตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวโดยรับสมัครสอบแข่งขัน
หรือคัดเลือกผู้ที่เคยมีประวัติการเสพหรือติดยาเสพติดเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง
แค่ไหน เพียงใด ย่อมข้ึนอยู่กับภารกิจในตําแหน่งงานที่ผู้นั้นสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพ่ือบรรจุ
เป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างด้วย หาใช่ว่าจะต้องถูกผูกพันตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว
ให้ต้องรับสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกผู้น้ันอย่างเคร่งครัด โดยมิพักต้องคํานึงถึงภารกิจในตําแหน่ง
งานที่ผู้น้ันสมัครสอบแข่งขัน หรือคัดเลือกเพ่ือบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างแต่อย่างใดไม่
(คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๓๔/๒๕๕๙)
แม้มาตรา ๗๗ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
จะได้บัญญัติให้ข้าราชการตํารวจต้องถือและปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี นอกเหนือจากกฎหมาย
และระเบียบของทางราชการดว้ ยกต็ าม แต่การถือและปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต้องเป็นไป
อย่างมีเหตุผล และท่ีสําคัญก็คือจะขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติหรือข้าราชการ
ตํารวจต้องปฏิบัตินั้นหาได้ไม่ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ที่เห็นชอบ
การวางหลักเกณฑ์การให้โอกาสแก่ผู้ติดยาเสพติดซึ่งพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติดแล้วได้เข้าทํางาน
ในหน่วยงานภาครัฐ โดยให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติ ดังน้ี ในกรณีของผู้ท่ีเคยมีประวัติการเสพ
หรือติดยาเสพติดและได้พ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด โดยได้รับการรับรองจากแพทย์หรือโดยผ่าน
การบําบัดรักษาของทางราชการหรือสถานบําบัดท่ีได้รับการรับรองจากทางราชการ ให้ถือว่าเป็น
๑๔ ในส่วนของบรรทัดฐานของสังคมนี้ ศาลปกครองสูงสุดอธิบายในตอนต้นของคดีที่นํามาเป็นกรณีศึกษาว่า
“...เมือ่ พจิ ารณาถงึ ปัญหายาเสพติด กเ็ ห็นว่าเป็นภัยร้ายแรงของสังคม แม้เด็กหรือเยาวชนต่างก็ทราบว่าการเสพยาเสพติด
เป็นพฤติการณ์หรือการกระทําที่ไม่ถูกต้อง ควรหลีกเลี่ยงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว เพราะเป็นการกระทําท่ีสังคมไม่ยอมรับ
ขดั ตอ่ บรรทดั ฐานของสังคม และทาํ ใหผ้ ูเ้ สพหรือตดิ ยาเสพติดเสื่อมเสียช่อื เสยี งและสญู เสียความนา่ เชื่อถอื ...”
รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๗๙
ผู้มีโอกาสในการทํางานเช่นบุคคลทั่วไป โดยหน่วยงานราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ
จะปฏิเสธการรับผู้นั้นให้เข้าทํางานโดยอ้างเหตุว่าเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีจนเป็นท่ีรังเกียจ
ของสังคมมิได้ นั้น จึงมีลักษณะเป็นแต่เพียงนโยบายที่ได้กําหนดข้ึนเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐถือปฏิบัติ
ในการให้โอกาสแก่คนที่เคยเป็นผู้เสพหรือติดยาเสพติดให้โทษและพ้นจากสภาพการใช้ยาเสพติด
ให้โทษแล้วเพ่ือให้อยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างปกติสุข โดยให้โอกาสได้เข้าทํางานในหน่วยงานภาครัฐ
ซึ่งหน่วยงานภาครัฐบางแห่งอาจพิจารณารับบุคคลท่ีมีประวัติการเสพหรือติดยาเสพติดท่ีได้รับ
การบําบัดรักษาแล้วเข้าทํางานตามนโยบายของคณะรัฐมนตรีดังกล่าวก็ได้ ซ่ึงเป็นเพียงแนวนโยบาย
เท่านั้น แต่ยังคงต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซ่ึงมีสภาพบังคับ
เปน็ กฎหมาย (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๓๒/๒๕๕๙)
มติคณะรัฐมนตรี เม่ือวันท่ี ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๐ ผูกพันให้ส่วนราชการ
หน่วยงานของรฐั และรฐั วิสาหกิจ ในการใหโ้ อกาสแกผ่ ู้เสพหรือผู้ติดยาเสพติด ซึ่งพ้นสภาพจากการใช้
ยาเสพตดิ แล้วเข้าทาํ งานหรอื รบั การศกึ ษาตอ่ ในหนว่ ยงานภาครฐั แตม่ ิไดร้ วมถงึ ผูท้ ่ีเคยถกู ดําเนนิ คดีอาญา
ในข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๑ (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้
รับอนุญาตด้วย และส่วนราชการ หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจ จะผูกพันตามมติคณะรัฐมนตรี
ดังกล่าว โดยรับสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกผู้ท่ีเคยมีประวัติการเสพหรือติดยาเสพติดเพ่ือบรรจุ
เป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างเพียงใด ย่อมขึ้นอยู่กับภารกิจในตําแหน่งงานที่ผู้น้ันสมัครสอบ
แข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้างด้วย และเมื่อข้าราชการตํารวจ
จะตอ้ งเปน็ ผ้บู งั คับใชก้ ฎหมาย ต้องสมั ผัสกับประชาชนโดยตรง มเี กยี รติเป็นท่ีน่าเชื่อถือของประชาชน
หากข้าราชการตํารวจมีความประพฤติไม่เหมาะสม ย่อมก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในทางลบแก่องค์กรได้
(คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๓๘/๒๕๖๑ และที่ อบ.๕๑/๒๕๖๑ วินิจฉัยแนวทาง
เดียวกัน)
ตัวอย่างคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่วินิจฉัยว่าผู้ท่ีมีพฤติการณ์
เก่ียวข้องกับยาเสพติดเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นลักษณะต้องห้าม
ของการบรรจุแต่งต้ังเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจตามหลักเกณฑ์ของมาตรา ๔๘ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบข้อ ๒ (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะตอ้ งห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่า มีความผิด
ฐานเสพยาเสพติด และถูกจับพร้อมกับนาย ส. ซึ่งกระทําความผิดท้ังจําหน่ายและมีไว้เพื่อจําหน่าย
ซึ่งยาเสพติดจนศาลพิพากษาจําคุกนาย ส. ถึง ๑๐ ปี ๖ เดือน ส่วนผู้ฟ้องคดีถูกจําคุก ๖ เดือน
แม้ขณะกระทําผิดผู้ฟ้องคดีจะมีอายุประมาณ ๑๙ ปี แต่ก็อยู่ในช่วงอายุท่ีพึงจะมีวุฒิภาวะแล้ว
สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี รวมทั้งย่อมคาดหมายได้ถึงปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดข้ึนได้
จากการเสพยาเสพติด กรณีจึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีพฤติการณ์และการกระทําท่ีเสื่อมเสีย
จากเรอ่ื งดังกล่าวแลว้ (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๖๐๘/๒๕๕๖)
๓๘๐ รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาข้อหามียาเสพติด
ให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) ไว้ในครอบครองเพ่ือจําหน่ายและจําหน่าย ซึ่งข้าราชการตํารวจนั้น
จะต้องเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ต้องสัมผัสกับประชาชนโดยตรง มีเกียรติยศเป็นที่น่าเช่ือถือ
ของประชาชน หากข้าราชการตํารวจมีความประพฤติไม่เหมาะสม ย่อมสร้างผลกระทบต่อประชาชน
และสังคมและก่อให้เกิดภาพลักษณ์ในทางลบแก่องค์กรได้ ดังนั้น ข้าราชการตํารวจจะต้องเป็นผู้ท่ีมี
ความประพฤติดี ปฏิบัติดีอยู่ในศีลธรรม โดยเฉพาะเรื่องของยาเสพติด ซึ่งถือเป็นเร่ืองร้ายแรงอย่างย่ิง
และเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ทุกภาคส่วนให้ความร่วมมือในการแก้ไข โดยเฉพาะผู้ฟ้องคดี
ท่ีสมัครสอบในตําแหน่งด้านการป้องกันปราบปราม ซ่ึงจะต้องมีหน้าท่ีในการป้องกันปราบปราม
อาชญากรรมและความผิดเก่ียวกับอบายมุขโดยตรง ผู้ที่จะเป็นข้าราชการตํารวจจะต้องไม่เป็น
ผู้มีประวัติด่างพร้อย และต้องเป็นผู้ท่ีมีความเพียบพร้อมในเรื่องคุณสมบัติ ดังนั้น การท่ีผู้ฟ้องคดี
กระทําผิดอาญาดังกล่าว จึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีประวัติที่มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอนั ดี (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๖๘๔/๒๕๕๗)
โดยที่การเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจ เป็นอาชีพที่มีอํานาจหน้าท่ี
โดยตรงในการปราบปรามและจับกุมผู้กระทําความผิดตามกฎหมาย การที่ผู้ฟ้องคดีเคยมีประวัติ
ถูกดาํ เนนิ คดีในข้อหามีวตั ถุออกฤทธ์ิตอ่ จิตและประสาท ประเภท ๔ (อัลปราโซแลม) ไว้ในครอบครอง
โดยผิดกฎหมาย และผู้ฟ้องคดีรับสารภาพว่าได้กระทําความผิดดังกล่าวจริงตามฟ้อง และศาลจังหวัด
เบตงพิพากษาให้ลงโทษปรับผู้ฟ้องคดีเป็นเงินจํานวน ๒,๐๐๐ บาท แม้จะไม่ปรากฏข้อเท็จจริง
หรือพฤติการณ์อื่นใดของผู้ฟ้องคดีที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีวัตถุออกฤทธ์ิต่อจิตและประสาท
ประเภท ๔ (อัลปราโซแลม) ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาตดังกล่าว เป็นไปเพ่ือประโยชน์
ในทางการค้า หรือใช้ในการมอมเมาผู้อ่ืนเพ่ือประโยชน์ในการล่วงละเมิดทางเพศ หรือกระทําการอ่ืนใด
ในทางอาชญากรรมก็ตาม แต่เม่ือได้คํานึงถึงเกียรติของข้าราชการตํารวจ ความรังเกียจของสังคม
ขอ้ เท็จจรงิ และพฤติการณข์ องผฟู้ อ้ งคดีดังกล่าวก็เพียงพอที่วิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่าผู้ฟ้องคดี
เป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ
ของการเป็นข้าราชการตํารวจ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๑๑/๒๕๕๘)
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่า กระทําความผิด
เกี่ยวกับยาเสพติดให้โทษ โดยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพ่ือจําหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
แม้พฤติการณ์การกระทําผิดของผู้ฟ้องคดีจะเกิดขึ้นในขณะท่ีผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๑๗ ปี ซึ่งอาจจะเกิดจาก
การขาดความย้ังคิดของบุคคลในภาวะเช่นนั้นก็ตาม ก็ไม่อาจทําให้ประวัติหรือความประพฤติที่เส่ือมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีกลับคืนเป็นบุคคลที่ไม่เคยมีประวัติหรือไม่เคยมีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีได้ จึงต้องถือว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดี (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๘๘/๒๕๕๙)
เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๓
พนักงานอัยการได้ย่ืนฟ้องผู้ฟ้องคดีเป็นจําเลยต่อศาลแขวงพระนครเหนือฐานเสพยาเสพติดให้โทษ
ประเภทที่ ๕ (กัญชา) โดยไม่ได้รับอนุญาต โดยบรรยายฟ้องว่า เมื่อวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๔๓
รวมเร่อื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๘๑
เวลากลางคืนหลังเท่ียง จําเลยได้เสพกัญชา อันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๕ ตามประกาศ
กระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ ๑๓๕ (พ.ศ. ๒๕๓๙) เร่ือง ระบุช่ือและประเภทยาเสพติดให้โทษ
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ จําเลยให้การรับสารภาพ ศาลแขวงพระนครเหนือ
พิจารณาแล้วพิพากษาว่า จําเลยมีความผิดตามฟ้อง รับสารภาพลดโทษให้ก่ึงหน่ึง จําคุก ๑ เดือน
ปรับ ๑,๕๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอไว้มีกําหนด ๑ ปี และคดีถึงท่ีสุดต้ังแต่วันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๔๓
เม่ือผู้ฟ้องคดีสมัครและสอบแข่งขันบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรี เพื่อบรรจุและแต่งตั้ง
เป็นข้าราชการตํารวจชั้นประทวน พ.ศ. ๒๕๕๓ ในสายงานป้องกันปราบปราม (ปป.๑) ข้อพิจารณา
เกี่ยวกับภารกิจของข้าราชการตํารวจและประวัติของผู้ฟ้องคดีที่เคยกระทําความผิดและถูกลงโทษ
ทางอาญาข้างต้น ย่อมเป็นการเพียงพอท่ีวิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติ
เสอื่ มเสียหรอื บกพรอ่ งในศลี ธรรมอนั ดี (คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อบ.๒๙/๒๕๕๙)
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ามีความผิด
ฐานเสพยาเสพติดในขณะที่มีอายุ ๑๙ ปี ๒ เดือน เมื่อผู้ฟ้องคดีมีอายุมากกว่า ๑๘ ปี แสดงให้เห็นว่า
ผู้ฟ้องคดีล่วงพ้นวัยเด็กและเยาวชน แต่อยู่ในช่วงอายุท่ีพึงต้องมีวุฒิภาวะ สามารถแยกแยะผิดชอบช่ัวดี
และสามารถเล็งเห็นถึงผลกระทบท่ีอาจเกิดขึ้นได้จากการเสพยาเสพติด อีกท้ัง ผู้ที่จะเข้าศึกษา
เป็นนักเรียนนายสิบตํารวจจะต้องเป็นผู้ท่ีมีความประพฤติดี ปฏิบัติดีอยู่ในศีลธรรม โดยเฉพาะ
เร่ืองของยาเสพติดซ่ึงถือเป็นเร่ืองร้ายแรงอย่างยิ่ง และเป็นนโยบายสําคัญของรัฐบาลที่ทุกภาคส่วน
ให้ความร่วมมือในการแก้ไข โดยเฉพาะผู้ฟ้องคดีซ่ึงสมัครสอบเพื่อบรรจุเป็นนักเรียนนายสิบตํารวจ
สายป้องกันปราบปราม ย่อมต้องมีโอกาสปฏิบัติหน้าท่ีในการป้องกันปราบปรามอาชญากรรม
และความผิดเกี่ยวกับอบายมุขโดยตรง ผู้ท่ีจะเป็นข้าราชการตํารวจจะต้องไม่เป็นผู้มีประวัติด่างพร้อย
และต้องเป็นผู้ท่ีมีความเพียบพร้อมในเรื่องคุณสมบัติ ดังนั้น การที่ผู้ฟ้องคดีเคยถูกเจ้าหน้าท่ีตํารวจ
จับกุมในข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (ยาบ้า) จึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีประวัติท่ีมีความประพฤติ
เสอื่ มเสยี หรือบกพรอ่ งในศลี ธรรมอันดี (คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อบ.๓๒/๒๕๕๙)
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ามีความผิด
ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน (ยาบ้า) แม้ผู้ฟ้องคดีจะอ้างว่าขณะกระทําผิดผู้ฟ้องคดีจะมีอายุประมาณ
๑๘ ปีเศษ ก็ตาม แต่ก็อยู่ในช่วงอายุที่พึงจะมีวุฒิภาวะแล้ว สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี รวมทั้ง
ย่อมคาดหมายได้ถึงปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดข้ึนได้จากการเสพยาเสพติด ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดี
เป็นผู้มีพฤติการณ์และการกระทําท่ีเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีจากเรื่องดังกล่าว
(คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๘๖๙/๒๕๖๑)
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิด
ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๖๗
ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑ (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
ในขณะท่ีมีอายุ ๑๙ ปี แม้จะยังเป็นเยาวชน แต่ก็เป็นวัยท่ีรู้จักแยกแยะได้แล้วว่า อะไรดี อะไรช่ัว
อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา รวมท้ังย่อมคาดหมายได้ถึงปัญหาและผลกระทบ
ทีอ่ าจเกิดข้ึนจากการเสพยาเสพติด กรณีจึงไม่ใช่การกระทําโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ข้อพิจารณาเก่ียวกับ
๓๘๒ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ภารกิจของข้าราชการตํารวจและประวัติของผู้ฟ้องคดีที่เคยกระทําความผิดและถูกลงโทษทางอาญา
ข้างต้น ย่อมเป็นการเพียงพอท่ีวิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศลี ธรรมอันดี (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ.๓๘/๒๕๖๑)
ผู้ฟ้องคดีมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิด
ฐานมียาเสพติดให้โทษประเภทท่ี ๑ (เมทแอมเฟตามีน) จํานวน ๑ เม็ด ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้
รับอนุญาต กรณีเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. ๒๕๒๒ มาตรา ๑๕ วรรคหนึ่ง
และมาตรา ๖๗ ทั้งยังได้ความว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทําความผิดทางอาญาดังกล่าวในขณะท่ีมีอายุ ๑๗ ปี
แม้จะยงั เปน็ เยาวชนแต่ก็เปน็ วัยทร่ี ู้จกั แยกแยะได้แลว้ ว่า อะไรดอี ะไรชว่ั อะไรถกู อะไรผิด อะไรควรทํา
อะไรไม่ควรทํา รวมท้ังย่อมคาดหมายได้ถึงปัญหาและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากการเสพยาเสพติด
ผู้ฟ้องคดีจึงไม่อาจอ้างได้ว่า ผู้ฟ้องคดีมียาเสพติดให้โทษประเภทที่ ๑ (เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครอง
เพ่ือใช้ทดลองเสพด้วยความอยากรู้เท่าน้ัน เมื่อพิจารณาภารกิจของข้าราชการตํารวจและประวัติ
ของผู้ฟ้องคดีที่เคยกระทําความผิดและถูกลงโทษทางอาญาข้างต้น ย่อมเป็นการเพียงพอที่วิญญูชน
จะลงความเห็นได้แล้ววา่ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๕๑/๒๕๖๒)
อน่ึง แม้ในกรณีท่ีศาลในคดีอาญามีคําพิพากษายกฟ้อง เนื่องจาก
พยานหลักฐานท่ีโจทก์นําสืบในคดีดังกล่าวยังมีความสงสัยตามสมควรว่า ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นจําเลย
ในคดีดังกล่าวจะเป็นคนร้ายท่ีร่วมกระทําความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ จึงยกประโยชน์
แห่งความสงสัยนั้นให้จําเลย แต่ศาลปกครองสูงสุดสามารถพิจารณาพยานหลักฐานอ่ืนเพิ่มเติม
โดยละเอียด และหากจากข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ศาลปกครองสูงสุดเช่ือว่าผู้ฟ้องคดีมีส่วนเก่ียวข้อง
กับการกระทําความผิด ศาลปกครองสูงสุดอาจพิจารณาว่าการตัดสิทธิของผู้ฟ้องคดีไม่ให้เป็น
ผ้สู อบแข่งขนั ไดด้ ว้ ยเหตผุ ลดงั กลา่ ว เป็นการกระทําท่ีชอบแลว้ ดังตัวอย่างคดีต่อไปนี้
ผู้ฟ้องคดีเคยมีประวัติกระทําผิด ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษประเภท ๑
(เมทแอมเฟตามีน) ไว้ในครอบครองเพ่ือจําหน่ายโดยผิดกฎหมาย และฐานร่วมกันมีอาวุธปืน
ไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียน และถูกฟ้องต่อศาลจังหวัดสงขลา ซ่ึงศาลจังหวัด
สงขลามีคาํ พพิ ากษายกฟอ้ ง เมอ่ื พิจารณาจากพยานหลักฐานท่ีปรากฏตามคําพพิ ากษาของศาลจังหวัด
สงขลา และเอกสารในสํานวนคดีแล้ว แม้ว่าศาลจังหวัดสงขลาจะพิพากษาถึงท่ีสุดให้ยกฟ้อง แต่การที่
ศาลพิพากษายกฟ้องมิใช่เป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นผู้กระทําผิดแต่เหตุแห่งการยกฟ้องเป็นเร่ือง
ยกประโยชน์แห่งความสงสัย จึงยังไม่อาจเชื่อได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์กระทําความผิดอาญา
ตามข้อกล่าวหาจริง แต่เม่ือได้พิจารณากรณีของผู้ฟ้องคดีจากพฤติการณ์อันเป็นเหตุแห่งการจับกุม
เพ่ือดําเนินคดีที่ระบุผลการตรวจค้นบ้านเช่าของผู้ฟ้องคดีว่า พบยาเสพติดและอาวุธปืนของกลาง
อยู่ภายในบ้านเช่าท่ีเกิดเหตุ ประกอบกับการที่ผู้ฟ้องคดีได้ให้การในคดีอาญาว่า ผู้ฟ้องคดีได้ร้องขอ
ความเป็นธรรมต่อผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลาว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางน้ันเป็นของนาย ธ.
หรือนาย ล. ซ่ึงพักอาศัยอยู่ท่ีบ้านที่เกิดเหตุด้วย และยังให้การด้วยว่านาย ธ. ได้ออกจากห้องก่อนที่
เจา้ พนักงานตํารวจจะเข้าไปตรวจค้น อีกท้ังยังมีบัตรประจําตัวประชาชนและสมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร
รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๘๓
ของนาย ธ. สนบั สนุนว่า ในห้องท่ีเกิดเหตุมีนาย ธ. พักอาศัยรวมอยู่ด้วย และผู้ฟ้องคดีก็มิได้ปฏิเสธว่า
ยาเสพติดของกลางไม่ได้มีหรือซุกซ่อนอยู่ในบ้านท่ีเกิดเหตุ เม่ือผู้ฟ้องคดีให้การว่ายาเสพติดของกลาง
เป็นของนาย ธ. ซึ่งพักอาศัยอยู่ภายในบ้านเช่าหลังเดียวกันกับผู้ฟ้องคดี ย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดี
คบค้าสมาคมกับบคุ คลผู้มีพฤติการณ์จําหน่ายยาเสพติด ผู้ฟ้องคดีย่อมรู้เห็นในพฤติการณ์อันเสื่อมเสีย
ของนาย ธ. อีกทั้ง ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๒๒ ปี ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ย่อมต้องรู้ผิดชอบชั่วดีได้
โดยสํานึกของตนเอง แต่ผู้ฟ้องคดีกลับคบค้าสมาคมกับผู้ท่ีเกี่ยวข้องกับยาเสพติดท่ีมีพฤติการณ์
เข้าข่ายการจําหน่ายยาเสพติด ดังน้ัน การท่ีคณะกรรมการพิจารณาคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม
ของการเป็นข้าราชการตํารวจ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑) ได้มีการดําเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กําหนด
ในระเบียบสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีเป็นผู้ประพฤติ
เสอ่ื มเสยี หรือบกพร่องในศีลธรรมอนั ดี พ.ศ. ๒๕๕๗ อย่างรอบคอบและรัดกมุ ในรูปของคณะกรรมการ
โดยได้พิจารณาจากข้อเท็จจริงในสํานวนคดีท้ังหมด ซึ่งรวมถึงผลการพิจารณาพิพากษาของศาล
จังหวัดสงขลามาประกอบการพิจารณาด้วยแล้ว พิจารณาข้อเท็จจริงแวดล้อมทั้งหมดแล้วเห็นว่า
ผู้ฟ้องคดีคบค้าสมาคมกับบุคคลผู้มีพฤติการณ์จําหน่ายยาเสพติด ผู้ฟ้องคดีย่อมรู้เห็นในพฤติการณ์
อันเสื่อมเสียของบุคคลดังกล่าว อีกทั้ง ขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๒๒ ปี ซ่ึงบรรลุนิติภาวะแล้ว
ย่อมต้องรู้ผิดชอบช่ัวดีได้โดยสํานึกของตนเอง และฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี จึงเป็นการใช้ดุลพินิจท่ีอยู่ในขอบเขตอํานาจของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑
ในการคัดเลือกบุคคลภายนอกเพ่ือบรรจุเป็นนักเรียนนายสิบตํารวจแล้ว และเมื่อการมีดุลพินิจ
ดังกล่าวไม่ปรากฏว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่สุจริตหรือมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติ รวมท้ังยังเป็น
การใช้ดุลพินิจท่ีมุ่งจะให้ได้บุคคลท่ีเหมาะสมในการทําหน้าท่ีข้าราชการตํารวจตามขอบเขตและ
วัตถุประสงค์ของหน่วยงานและเหมาะสมกับตําแหน่งหน้าที่ท่ีจะรับเข้าทํางาน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจ
โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๖๐/๒๕๖๒)
แม้ในคดีอาญา ศาลจังหวัดระยองจะมีคําพิพากษายกฟ้องในคดีที่ผู้ฟ้องคดี
ถูกฟ้องเป็นจําเลยในความผิดต่อพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ เพราะมีเหตุแห่งความสงสัยว่า
จําเลยท่ี ๑ และผู้ฟ้องคดี (จําเลยที่ ๒) กระทําผิดตามฟ้องหรือไม่ตามมาตรา ๒๒๗ แห่งประมวลกฎหมาย
วธิ ีพจิ ารณาความอาญา แตก่ ารที่ศาลยกฟ้องในคดดี งั กลา่ วก็หามผี ลผูกพันการใชด้ ลุ พินจิ ของผูบ้ ญั ชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๒ (ผู้ถูกฟ้องคดี) ในการพิจารณาว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดีหรือไม่ เพราะการพิจารณาคดีอาญา และกระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติและลักษณะ
ตอ้ งหา้ มของบุคคลทส่ี มัครเขา้ รบั ราชการเป็นขา้ ราชการตาํ รวจเปน็ คนละส่วนกัน ซงึ่ หากมีข้อเท็จจริงอ่ืน
ปรากฏ ผถู้ ูกฟอ้ งคดชี อบที่จะนําขอ้ เท็จจริงดังกลา่ วมาประกอบการพิจารณาในการตรวจสอบคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของผู้สมัครได้ ซ่ึงข้อเท็จจริงในคดีอาญาดังกล่าว เม่ือศาลจังหวัดระยอง
พเิ คราะห์พยานหลักฐานโจทกแ์ ละจาํ เลยทงั้ สองแล้ว ข้อเท็จจรงิ รับฟงั ในเบื้องต้นได้ว่าวันเวลาเกิดเหตุ
เจา้ พนกั งานตํารวจจับกมุ จําเลยที่ ๑ ผูฟ้ อ้ งคดี (จาํ เลยท่ี ๒) นาย ว. และนาย ส. ได้พร้อมเมทแอมเฟตามีน
จาํ นวน ๕ เมด็ ธนบัตรฉบับละ ๑๐๐ บาท จํานวน ๑๐ ฉบับ ที่ใช้ในการล่อซื้อ และเมื่อเจ้าพนกั งานตํารวจ
ขอตรวจค้นตัวชายท่ีอยู่ในรถได้แก่จําเลยท่ี ๑ ผู้ฟ้องคดี (จําเลยที่ ๒) นาย ว. และนาย ส. ไม่พบ
๓๘๔ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
สิ่งของผิดกฎหมาย แต่เม่ือตรวจกระเป๋าสตางค์ของผู้ฟ้องคดี (จําเลยที่ ๒) พบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อ
อย่ใู นกระเปา๋ ของผูฟ้ อ้ งคดี (จําเลยที่ ๒) และข้อเท็จจริงยังปรากฏต่อไปจากคําเบิกความของผู้ฟ้องคดี
ในคดีดังกล่าวว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นเพ่ือนนาย ส. สมัยเรียนชั้นมัธยม ซึ่งนาย ส. ได้รับโทษในคดีอาญา
หมายเลขแดงที่ ๖๐๒/๒๕๔๙ นาย ว. ได้รับโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงท่ี ๔๐๔๘/๒๕๔๗
จากพฤติการณ์ในคดีดังกล่าว ย่อมมีนํ้าหนักให้พอฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีส่วนเก่ียวข้องกับยาเสพติด
ดังน้ัน การท่ีคณะอนุกรรมการดําเนินการสอบแข่งขันบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรีเพื่อบรรจุ
และแตง่ ตัง้ เปน็ ขา้ ราชการตาํ รวจช้ันประทวน พ.ศ. ๒๕๕๔ ตามคําสั่งตํารวจภูธรภาค ๒ ที่ ๑๖๖/๒๕๕๔
ซ่ึงผู้ถูกฟ้องคดีแต่งต้ังข้ึนพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับยาเสพติด
จึงถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี จึงเป็นการใช้ดุลพินิจท่ีชอบ
ด้วยกฎหมายแล้ว (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๒/๒๕๖๒)
๒.๒ พฤติกรรมเกย่ี วข้องกับการพนนั
จากการศึกษาพบว่าแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในเรื่องนี้
มีท้ังกรณีท่ีศาลเห็นว่าพฤติการณ์ยังไม่อาจถือได้ว่ามีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรม
อันดีและกรณีที่ถือได้ว่ามีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีแล้ว ซ่ึงเม่ือพิจารณา
เหตุผลของข้อวินิจฉัยของศาลแล้ว เห็นว่า เป็นกรณีท่ีศาลมีแนวทางในการใช้ดุลพินิจที่แตกต่างกัน
ดังนี้
แนวทางที่หน่ึง ศาลปกครองสูงสุดค่อนข้างจะให้น้ําหนักกับการคํานึงถึงอายุ
และพฤติการณ์ของผู้กระทําว่า ขณะกระทําผิด ผู้กระทําบรรลุนิติภาวะแล้วหรือไม่ หรือมีพฤติกรรม
ที่กระทําความผิดซํ้าหรือไม่ หากไม่ ศาลปกครองสูงสุดมีแนวโน้มท่ีจะวินิจฉัยว่า ยังไม่อาจถือได้ว่า
มีความประพฤตเิ สอ่ื มเสยี หรือบกพร่องในศีลธรรมอนั ดี ดังตัวอย่างคดีตอ่ ไปนี้
แม้การเล่นการพนันถือว่าเป็นอบายมุขอย่างหน่ึงท่ีผิดต่อหลักศีลธรรมหรือ
ข้อห้ามที่สังคมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ควรทําอย่างยิ่งก็ตาม แต่การพิจารณาว่าผู้ใดกระทํา
การอันถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีต้องคํานึงถึงข้อเท็จจริง
เป็นกรณีไป เมอื่ กรณีของผฟู้ ้องคดซี ่ึงกระทําความผิดคดีอาญาการพนันฟตุ บอลในขณะที่เป็นนักศึกษา
อายุได้ ๑๙ ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ซึ่งยังถือว่าเป็นวัยรุ่น ทําไปด้วยความคึกคะนอง ขาดการยั้งคิด
ไมค่ าํ นึงถึงโทษและผลเสียที่จะเกิดกับอนาคตของตนเพราะยังขาดวุฒิภาวะ ดังนั้น จะถือว่าผู้ฟ้องคดี
เป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีมิได้ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อ.๑๗๒/๒๕๕๗)
แม้การเล่นการพนันถือว่าเป็นอบายมุขอย่างหน่ึงที่ผิดต่อหลักศีลธรรม
หรือข้อห้าม ท่ีสังคมเห็นว่าเป็นสิ่งท่ีไม่ถูกต้องหรือไม่ควรทําอย่างย่ิงก็ตาม แต่การพิจารณาว่าผู้ใด
กระทําการอันถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีหรือไม่ ต้องคํานึงถึง
ข้อเท็จจริงเป็นกรณีไป ซ่ึงเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีได้กระทําความผิดอาญา
ในข้อหาเล่นการพนันทายผลฟุตบอลในขณะท่ีเป็นนักศึกษาอายุเพียง ๑๘ ปี ยังไม่บรรลุนิติภาวะ
รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๘๕
ถือว่าเป็นเยาวชนยังไม่มีวุฒิภาวะและความรู้สึกผิดชอบช่ัวดีเพียงพอ ขาดการยั้งคิด ทั้งยังเป็น
การกระทําผิดครั้งแรกและเพียงคร้ังเดียว ก่อนหน้าน้ันหรือหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่า
ผู้ฟ้องคดีได้เคยกระทําความผิดเกี่ยวกับการเล่นการพนันอีกเลย และการกระทําความผิดเก่ียวกับ
การพนันของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทําในขณะที่ยังไม่ได้รับการบรรจุแต่งต้ังให้เป็นข้าราชการตํารวจ
การกระทําดังกล่าวจึงไม่อาจทําให้เป็นที่เสื่อมเสียเกียรติของการเป็นข้าราชการตํารวจได้ ต่อมา
เม่ือได้รับการบรรจุแต่งต้ังเป็นข้าราชการตํารวจเป็นเวลา ๑ ปีเศษ ก็ได้รับการรับรองความประพฤติ
เรยี บร้อยจากผบู้ งั คบั บญั ชา และจากการสืบประวัติผู้ฟ้องคดีของสถานีตํารวจภูธรหาดใหญ่ท่ีผู้ฟ้องคดี
มีภูมลิ ําเนาก็ไม่มีประวัติว่าผู้ฟ้องคดีได้เก่ียวข้องกับการกระทําความผิดเก่ียวกับการพนันหรือมีประวัติ
เก่ียวกับความประพฤติในทางเสื่อมเสียอีกแต่อย่างใด จึงไม่อาจกล่าวได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีพฤติการณ์
ที่ทําให้ขาดความน่าเชื่อถือหรือขาดความไว้วางใจ หรือเป็นที่รังเกียจของสังคมอันที่จะถือได้ว่าเป็น
ผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย และไม่อาจถือได้ว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดีอันจะทําให้เส่ือมเสียต่อเกียรติของข้าราชการตํารวจและภาพลักษณ์ของสํานักงาน
ตาํ รวจแหง่ ชาติ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๑๐๑๗/๒๕๕๙)
หมายเหตุ
คดีน้ีมีความเห็นแย้งโดยสรุปว่า เป็นท่ียอมรับโดยทั่วไปว่าการเล่นการพนัน
เป็นการฝ่าฝืนหลักของศีลธรรม อีกท้ังมีบทบัญญัติกฎหมายพิจารณาไว้อย่างชัดเจนว่าเป็นการกระทํา
ความผิดทางอาญา จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีประพฤติบกพร่องในศีลธรรมและเมื่อพิจารณาถึงเกียรติ
ของข้าราชการตํารวจแล้วเห็นว่า บุคคลที่จะได้รับการคัดเลือกเป็นข้าราชตํารวจน้ัน นอกจากต้องมี
ความรู้ความสามารถแล้วยังต้องมีประวัติความประพฤติดีโดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือสงสัย
ของบคุ คลท่ัวไป เนอื่ งจากขา้ ราชการตาํ รวจมีบทบาทหน้าท่ีในการจับกมุ นําตวั บคุ คลที่กระทาํ ความผิด
เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และยังมีอํานาจในช้ันต้นที่วินิจฉัยว่าบุคคลใดกระทําผิดกฎหมายหรือไม่
ดังน้ัน อํานาจจับกุมหรือไม่จับกุมผู้กระทําผิดกฎหมายหรืออํานาจปล่อยตัวผู้กระทําผิดกฎหมาย
หรืออํานาจเปรียบเทียบปรับเป็นอํานาจดุลพินิจของข้าราชการตํารวจ หากข้าราชการตํารวจพบเห็น
บุคคลใดกระทําผิดกฎหมายแล้วไม่จับกุมหรือไม่ดําเนินการตามอํานาจหน้าที่ คดีย่อมไม่ข้ึนสู่ศาล
จึงอาจกล่าวได้ว่าข้าราชการตํารวจเปรียบเสมือนต้นนํ้าของสายงานในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น
ข้าราชการตํารวจจึงต้องมีความประพฤติดี ไม่มีประวัติด่างพร้อย ซึ่งหากกระบวนการสอบคัดเลือก
เข้ารับราชการตํารวจปล่อยให้มีการคัดเลือกบุคคลที่มีประวัติกระทําผิดกฎหมายอาญาเข้ารับราชการ
ตํารวจแล้ว ย่อมส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ความเช่ือถือในวิชาชีพตํารวจ
และความรังเกยี จของสังคม ซึ่งหากมีประวัติความผิดดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีสามารถประกอบอาชีพอย่างอ่ืนได้
หาจําต้องประกอบอาชีพเป็นตํารวจไม่ และข้อห้ามในเรื่องบุคคลท่ีจะเข้ารับราชการตํารวจต้องไม่มี
ประวัติความประพฤติเสื่อมเสีย หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ซึ่งการลักลอบเล่นการพนันทายผล
ฟุตบอลก็เป็นกรอบบรรทัดฐานท่ีคณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) ยึดถือกันมา
โดยตลอดเพื่อสร้างความเชื่อถือและไว้วางใจต่อสาธารณชน อาศัยเหตุดังท่ีได้วินิจฉัยแล้วจึงเห็นว่า
๓๘๖ รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ซึ่งถือว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ
และมลี ักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตาํ รวจ
ผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงพระนครเหนือว่ากระทํา
ความผิดฐานร่วมเล่นการพนันทายผลฟุตบอลพนันเอาทรัพย์สินโดยไม่ได้รับอนุญาต พิพากษาลงโทษ
ปรบั ผฟู้ ้องคดีเปน็ เงิน ๖๓๐ บาท ขณะเกดิ เหตเุ มอ่ื ปี พ.ศ. ๒๕๔๔ ผู้ฟ้องคดีมีอายุประมาณ ๒๓ ปีเศษ
ยงั เป็นนกั ศกึ ษา และกระทําไปด้วยความคึกคะนองขาดความย้ังคิด และมิได้เข้าไปเล่นในบ่อนการพนัน
หรือเป็นเจ้ามือรับกินรับใช้จนเป็นอาชีพ เป็นที่รังเกียจของสังคม หรือมีพฤติการณ์กระทําช่ัวร้าย
ทั้งผู้ฟ้องคดีกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ มิได้มีพฤติการณ์
ท่ีมุ่งประสงค์จะให้เกิดความสูญเสียหรือกระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตหรือทรัพย์สินของบุคคลอ่ืน
หรอื ทําใหเ้ กดิ ความทุกขท์ รมานต่อสภาพร่างกายหรอื จติ ใจ นอกจากน้ี แม้การเล่นการพนันจะถือเป็น
อบายมุขอย่างหน่ึงที่ผิดต่อหลักศีลธรรมหรือข้อห้ามท่ีสังคมเห็นว่าเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ควรทํา
อย่างหน่ึงก็ตาม แต่การพนันบางประเภทก็เป็นส่ิงท่ีทําให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ ซึ่งมาตรา ๔
วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติการพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ บัญญัติว่า การเล่นอันระบุไว้ในบัญชี ข
ท้ายพระราชบัญญตั ิน้ี หรอื การเลน่ อันมีลกั ษณะคลา้ ยกัน หรือการเล่นอื่นใดซึ่งรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าท่ี
ได้ออกกฎกระทรวงระบเุ พ่ิมเติมไว้ จะจดั ใหม้ ขี ึ้นเพอ่ื เป็นทางนํามาซึ่งผลประโยชน์แก่ผู้จัดโดยทางตรง
หรือทางอ้อมได้เม่ือรัฐมนตรีหรือเจ้าหน้าท่ีผู้ออกใบอนุญาตเห็นสมควรและออกใบอนุญาตให้
หรอื มีกฎกระทรวงอนญุ าตใหจ้ ดั ขึ้นโดยไม่ต้องมีใบอนุญาต เช่น การจําหน่ายสลากกินแบ่งของรัฐบาล
หรือการเปิดบ่อนการพนันท่ีได้รับอนุญาต ดังนั้น การที่จะพิจารณาว่าผู้ใดกระทําการอันถือว่าเป็น
ผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี จึงต้องคํานึงถึงข้อเท็จจริงเป็นกรณี
เฉพาะรายไป และการท่ีผู้ฟ้องคดีกระทําความผิดฐานร่วมเล่นการพนันทายผลฟุตบอลพนัน
เอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยศาลลงโทษปรับเท่าน้ัน มิใช่ลงโทษจําคุกและไม่ปรากฏว่า
ในช่วงระยะเวลาต้ังแต่วันท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๔๔ ซึ่งเป็นวันท่ีศาลแขวงพระนครเหนือมีคําพิพากษา
ลงโทษผู้ฟ้องคดีจนถึงวันท่ี ๒๕ กันยายน ๒๕๕๒ ซึ่งเป็นวันที่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ มีคําส่ังบรรจุแต่งต้ัง
ผู้ฟ้องคดีเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจช้ันประทวนในสังกัดกองบังคับการอารักขาและควบคุม
ฝูงชนก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ฟ้องคดีได้ถูกจับกุมฐานกระทําความผิดตามพระราชบัญญัติการพนัน
พุทธศักราช ๒๔๗๘ และการกระทาํ ผิดอาญาใด ๆ อีกแต่อย่างใด พฤติการณ์จึงไม่อาจถือได้ว่าผู้ฟ้องคดี
เป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีอันจะทําให้เป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการเข้าเป็น
ข้าราชการตํารวจตามข้อ ๒ (๒) ของ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับมาตรา ๔๘ แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ (คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๗๒๘/๒๕๖๑)
ขอ้ สังเกต
คําพิพากษาคดีน้ีเห็นได้ว่า ศาลปกครองสูงสุดมีมุมมองไปในทางที่เห็นว่า
แม้การเล่นการพนันจะถือเป็นอบายมุขอย่างหนึ่งท่ีผิดต่อหลักศีลธรรมหรือข้อห้ามที่สังคมเห็นว่า
เป็นสิ่งท่ีไม่ถูกต้องหรือไม่ควรทําอย่างหนึ่งก็ตาม แต่การเล่นการพนันไม่ใช่สิ่งท่ีผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง
รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๘๗
หากแต่มีการพนันบางประเภทสามารถขออนุญาตเล่นโดยถูกกฎหมายได้ ดังน้ัน จึงน่าจะเป็นเหตุ
ให้คําพิพากษาของศาลในคดีนี้วินิจฉัยไปในทางท่ีเป็นคุณแก่ผู้ฟ้องคดี แม้ว่าในขณะท่ีกระทําความผิด
ผูฟ้ อ้ งคดจี ะบรรลุนติ ิภาวะแล้ว
แนวทางที่สอง ศาลปกครองสูงสุดจะค่อนข้างให้นํ้าหนักไปในทางจริยธรรม
ของข้าราชการตํารวจ โดยเห็นว่า ข้าราชการตํารวจเปรียบเสมือนต้นนํ้าของสายงานในกระบวนการ
ยุติธรรม ดังน้ัน ข้าราชการตํารวจจึงต้องมีความประพฤติดีมีจริยธรรมที่เหมาะสมกับวิชาชีพตํารวจ
ซึ่งเป็นวิชาชีพที่มีความสําคัญในกระบวนการยุติธรรม เป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นที่เชื่อถือไว้วางใจ
จากประชาชน ผู้ท่ีมีพฤติการณ์กระทําความผิดเล่นการพนันโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงเป็นพฤติการณ์
ท่ีกระทบต่อเกียรติของข้าราชการตํารวจและหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี เป็นที่รังเกียจของสังคม
ถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อย่างไรก็ตาม สําหรับอายุ
ของผู้กระทําความผิดศาลก็นํามาประกอบการพิจารณาเช่นกัน โดยมีอยู่คดีหนึ่งมีการกระทําความผิด
ในขณะอายุ ๑๗ ปี ซง่ึ ยงั ไม่บรรลุนติ ิภาวะ แตศ่ าลปกครองสูงสุดก็เห็นว่าเป็นวัยที่รู้จักแยกแยะได้แล้วว่า
อะไรดีอะไรช่ัว อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา สําหรับตัวอย่างคําพิพากษาท่ีวินิจฉัย
ตามแนวทางท่ีสองมดี ังน้ี
การพนันทายผลฟุตบอล
บุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็นข้าราชการตํารวจน้ัน นอกจากต้องมีความรู้
ความสามารถแลว้ ยงั ต้องมีประวัติความประพฤติโดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือสงสัยของบุคคลท่ัวไป
เนื่องจากข้าราชการตํารวจมีหน้าที่ในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิดทางอาญา รวมทั้งจับกุม
นําตัวบุคคลท่ีกระทําความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและยังมีอํานาจในช้ันท่ีวินิจฉัยว่าบุคคลใด
กระทําผิดกฎหมายหรือไม่ จึงอาจกล่าวได้ว่าข้าราชการตํารวจเปรียบเสมือนต้นน้ําของสายงาน
ในกระบวนการยุติธรรม ดังนั้น ข้าราชการตํารวจจึงต้องมีความประพฤติดีมีจริยธรรมท่ีเหมาะสม
กับวิชาชีพตํารวจซึ่งเป็นวิชาชีพท่ีมีความสําคัญในกระบวนการยุติธรรม เป็นแบบอย่างท่ีดีและเป็น
ท่ีเช่ือถือไว้วางใจจากประชาชน อีกท้ัง การลักลอบเล่นการพนัน (ทายผลฟุตบอล) คณะกรรมการ
ข้าราชการตํารวจ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) ก็ได้วางบรรทัดฐานโดยพิจารณาว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติ
ในการรับราชการเป็นข้าราชการตํารวจ กรณีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
มาโดยตลอดเพื่อสร้างความเช่ือถือและไว้วางใจต่อสาธารณชน อาศัยเหตุดังท่ีได้วินิจฉัยแล้วจึงเห็นว่า
การท่ีข้าราชการตํารวจมีประวัติต้องโทษคดีอาญาในข้อหาเล่นการพนัน (ทายผลฟุตบอล) จึงกระทบ
ต่อเกียรติของข้าราชการตํารวจและเป็นที่รังเกียจของสังคม ถือว่าเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี สําหรับกรณีของผู้ฟ้องคดีตามคดีน้ี แม้จะกระทําความผิดในข้อหา
เล่นการพนัน (ทายผลฟุตบอล) ในขณะที่เป็นนักศึกษา แต่ก็มีอายุได้ ๒๕ ปี ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว
ยอ่ มตอ้ งมวี ฒุ ภิ าวะ และร้ถู ึงผิดชอบช่ัวดี โดยคาดหมายถึงโทษและผลเสียท่ีจะเกิดข้ึนจากการลักลอบ
เล่นการพนัน (ทายผลฟุตบอล) กรณีถือมิได้ว่ายังเป็นวัยรุ่น ซ่ึงอาจจะทําไปด้วยความคึกคะนอง
๓๘๘ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ขาดการยั้งคิด เมื่อผู้ฟ้องคดีเคยถูกดําเนินคดีอาญาในข้อหาเล่นการพนัน (ทายผลฟุตบอล) และศาล
ในคดีอาญาพิพากษาลงโทษปรับเป็นเงิน ๑,๐๐๐ บาท ผู้ฟ้องคดีจึงเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพรอ่ งในศีลธรรมอันดี (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๔๖๔/๒๕๕๙)
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิด
ตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. ๒๔๗๘ มาตรา ๔ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕
แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๔๘๕ มาตรา ๒ มาตรา ๓ และมาตรา ๔ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๔๙๐
มาตรา ๓ (ฉบับที่ ๗) พ.ศ. ๒๕๐๔ มาตรา ๓ โดยเล่นการพนันทายผลฟุตบอล ลงโทษปรับ ๑,๐๐๐ บาท
ซง่ึ ในขณะท่ีผู้ฟ้องคดีกระทําความผิดมีอายุ ๑๘ ปีเศษ เป็นวัยที่รู้จักแยกแยะได้แล้วว่า อะไรดีอะไรชั่ว
อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทําอะไรไม่ควรทํา เม่ือพิจารณาเกี่ยวกับภารกิจของข้าราชการตํารวจ
และประวัติของผู้ฟ้องคดีท่ีเคยกระทําความผิดและถูกลงโทษทางอาญาดังกล่าว ย่อมเป็นการเพียงพอ
ที่วิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อบ.๓๒/๒๕๖๐)
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิด
ฐานลักลอบเล่นการพนันทายผลฟุตบอล พนันเอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม ๒ ครั้ง
โดยศาลพิพากษาลงโทษปรับท้ังสองครั้ง ทั้งยังปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทําความผิดทางอาญา
ดังกล่าวในขณะท่ีมีอายุ ๒๑ ปี และอายุ ๒๙ ปี ซ่ึงเป็นผู้ท่ีบรรลุนิติภาวะแล้ว โดยในการกระทํา
ความผิดในคร้ังท่ี ๒ คือ เมื่อวันท่ี ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ นั้น ยังเป็นช่วงระยะเวลาก่อนหน้า
ท่ีกองบัญชาการศึกษาจะได้ประกาศรับสมัครและสอบแข่งขันบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิปริญญาตรี
เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นข้าราชการตํารวจช้ันประทวน พ.ศ. ๒๕๕๒ คือ ระหว่างวันท่ี ๑ ถึงวันท่ี ๑๖
กรกฎาคม ๒๕๕๒ เพียงไม่นาน แสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดียังมีพฤติกรรมในการเล่นพนันอยู่ อีกทั้ง
ผู้ฟ้องคดียังจบการศึกษาในระดับปริญญาตรีสาขานิติศาสตร์ ด้วยวิสัยของวิญญูชนเช่นผู้ฟ้องคดี
ย่อมรู้จักแยกแยะได้แล้วว่า อะไรดี อะไรชั่ว อะไรถูก อะไรผิดอะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา
กรณีจึงไม่ใช่การกระทําโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ โดยข้อพิจารณาเก่ียวกับภารกิจของข้าราชการตํารวจ
และประวัติของผู้ฟ้องคดีท่ีเคยกระทําความผิดและถูกลงโทษทางอาญาข้างต้น ย่อมเป็นการเพียงพอ
ท่ีวิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อบ.๓๕/๒๕๖๑)
การพนนั ไฮโลว์
ผู้ฟ้องคดีเคยถูกจับกุมและดําเนินคดีอาญาในข้อหาร่วมกันเล่นการพนัน
ไฮโลว์เอาทรัพย์สินกันโดยไม่ได้รับอนุญาต และศาลในคดีอาญาได้มีคําพิพากษาถึงท่ีสุดว่าผู้ฟ้องคดี
มีความผิดตามมาตรา ๔ มาตรา ๕ มาตรา ๑๐ มาตรา ๑๒ และมาตรา ๑๕ แห่งพระราชบัญญัติ
การพนัน พุทธศักราช ๒๔๗๘ ลงโทษปรับเป็นเงิน ๗๐๐ บาท ท้ังยังได้ความว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทํา
ความผิดดังกล่าวในขณะที่มีอายุ ๑๗ ปี ซ่ึงเป็นวัยท่ีรู้จักแยกแยะได้แล้วว่าอะไรดีอะไรช่ัว อะไรถูก
อะไรผิด อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา ข้อพิจารณาเก่ียวกับภารกิจของข้าราชการตํารวจและประวัติ
รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๘๙
ของผู้ฟ้องคดีที่เคยกระทําความผิดและถูกลงโทษทางอาญาข้างต้น ย่อมเป็นการเพียงพอท่ีวิญญูชน
จะลงความเหน็ ได้แล้ววา่ ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี (คําพิพากษา
ศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๓๙/๒๕๕๙ และท่ี อบ.๔/๒๕๖๑ วินิจฉยั แนวทางเดียวกัน)
เม่ือผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่า กระทําผิดข้อหา
เล่นการพนันไฮโลว์โดยผิดกฎหมาย และเป็นการพนันประเภท ก ตามกฎหมายว่าด้วยการพนัน
ซ่ึงห้ามมิให้มีการเล่นและถูกลงโทษปรับ ๑,๐๐๐ บาท แม้โทษปรับเป็นโทษท่ีเบาท่ีสุด
แต่เป็นการยืนยันว่าผู้ฟ้องคดีมีความประพฤติปฏิบัติตนในทางเสียหายแก่ตนเองที่ต้องรักษากาย
วาจาใจให้อยู่ในกรอบของความถูกต้อง โดยเฉพาะเม่ือผู้ฟ้องคดีอ้างว่า มีความใฝ่ฝันอยากรับราชการ
ตํารวจ ผู้ฟ้องคดีย่อมต้องระมัดระวังไม่เข้าไปข้องแวะกับการกระทําอันได้ชื่อว่าเสื่อมเสียแก่ตนเอง
เพ่ือให้ความฝันเป็นจริง แต่ผู้ฟ้องคดีหาได้ระมัดระวังตนไม่ แม้ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าตนไม่ได้ร่วมเล่น
การพนันแตเ่ ขา้ ไปอยู่ในวงการพนันจริงโดยมิไดต้ ่อสูแ้ สดงความบริสุทธข์ิ องตนในกระบวนการยุติธรรม
ทุกข้ันตอนแต่อย่างใด ท้ังท่ีตั้งความหวังอยากเข้ารับราชการตํารวจและขณะเกิดเหตุผู้ฟ้องคดีมีอายุ
๒๑ ปี และกาํ ลังศกึ ษาอย่คู ณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยรามคําแหง ย่อมมีสติพึงระลึกได้ว่าการรับสารภาพ
ทั้งที่ไม่ได้กระทําความผิดจักส่งผลต่อความมุ่งหวังของผู้ฟ้องคดีอย่างไร สําหรับกรณีท่ีผู้ฟ้องคดีอ้างว่า
การเล่นการพนันเป็นความผิดเล็กน้อยและมิได้เล่นเป็นอาจิณนั้น เห็นว่า อบายมุขทุกประเภท
ล้วนเป็นเหตุแห่งการสั่งสมความประพฤติในทางลบแก่ผู้ประพฤติอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ ดังนั้น
ไมว่ า่ จะเป็นความผิดเลก็ นอ้ ยหรอื อกุ ฉกรรจ์ไมท่ ําเสียเลยยอ่ มพาตวั พน้ ภัย รวมท้ังการเลน่ การพนันนั้น
แม้คร้ังเดียวก็ไม่ควรเข้าไปเก่ียวข้อง เน่ืองเพราะผู้เข้าไปเก่ียวข้องกับอบายมุขอาจถูกสันนิษฐานว่า
เป็นผู้ท่ียังหมกมุ่นอยู่ในทางเส่ือมเสีย อันตรงข้ามกับนโยบายของผู้บัญชาการตํารวจภูธรภาค ๘
(ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) และผู้บัญชาการตํารวจแห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓) ท่ีต้องการคัดเลือกบุคคล
ผู้เข้ารับราชการตํารวจจากผู้ท่ีมีความประพฤติไม่เส่ือมเสียและมีศีลธรรมอันดี ทั้งน้ี เพ่ือสรรหา
คนท่ีมีคุณสมบัติพร้อมที่สุดเท่าที่จะทําได้มาปฏิบัติภารกิจรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน
ของประชาชน จึงเห็นว่า การท่ีผู้ฟ้องคดีถูกศาลพิพากษาลงโทษในข้อหาเล่นการพนันไฮโลว์
กรณีดังกล่าวเข้าลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจตามนัยมาตรา ๔๘ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบข้อ ๒ (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อ.๗๓/๒๕๖๑)
การพนนั ไพ่รัมมี่
ในประมวลระเบียบการตํารวจไม่เก่ียวกับคดี ประเภทบุคคล ลักษณะท่ี ๓
การรับสมัคร บทท่ี ๑ หลักท่ัวไปว่าด้วยการรับสมัครบุคคลเข้ารับราชการตํารวจ ได้กําหนดไว้
ในข้อ ๑๐ ว่า กรณีอย่างไรจะถือว่าเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีตามพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการตํารวจแห่งชาติ น้ัน ให้พิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เป็นราย ๆ ไป โดยคํานึงถึงเกียรติ
ของข้าราชการ ความรังเกียจของสังคมและความหมายของศีลธรรมในหลักพระพุทธศาสนาประกอบ
ซ่งึ การพนนั เปน็ อบายมขุ ๖ เป็นทางแห่งความเส่ือม เปน็ ขอ้ หา้ มในทางศาสนาทห่ี ้ามบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้อง
๓๙๐ รวมเรื่องเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และทรัพย์ท่ีได้จากการพนันมิใช่ทรัพย์ที่ได้มาจากการทํามาหากินตามสัมมาอาชีวะ หากเล่นเสีย
ย่อมอยากไดท้ รัพยค์ นื และมีจิตใจหมกมุ่นในการพนัน และอาจนําไปสู่การกระทําความผิดทางด้านอื่น
ตามมามากมาย เช่น ความผิดฐานลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ ทําร้ายร่างกาย ฆ่าผู้อ่ืน ประกอบกับ
ความผิดเกยี่ วกบั การลักลอบเลน่ การพนันเป็นความผิดทางอาญา เม่ือไดค้ ํานึงถึงเกียรติของข้าราชการ
ตํารวจและความรังเกียจของสังคม เห็นว่า บุคคลที่จะได้รับคัดเลือกเป็นข้าราชการตํารวจ นอกจาก
ตอ้ งมีความรู้ความสามารถแล้วยังต้องมีประวัติความประพฤติโดยปราศจากข้อเคลือบแคลงหรือสงสัย
ของบุคคลท่ัวไป เนื่องจากข้าราชการตํารวจมีหน้าท่ีในการป้องกันและปราบปรามผู้กระทําผิด
ทางอาญา รวมทั้งจับกุมนําตัวบุคคลที่กระทําความผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและยังมีอํานาจ
ในช้ันท่ีวินิจฉัยว่าบุคคลใดกระทําผิดกฎหมายหรือไม่ จึงอาจกล่าวได้ว่าข้าราชการตํารวจเปรียบเสมือน
ต้นนํ้าของสายงานในกระบวนการยุติธรรม ดังน้ัน ข้าราชการตํารวจจึงต้องมีความประพฤติดี
มีจริยธรรมที่เหมาะสมกับวิชาชีพตํารวจ ซึ่งเป็นวิชาชีพที่มีความสําคัญในกระบวนการยุติธรรม
เป็นแบบอย่างท่ีดีและเป็นที่เช่ือถือไว้วางใจจากประชาชน อีกทั้ง การลักลอบเล่นการพนันไพ่รัมมี่
คณะกรรมการข้าราชการตํารวจ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) ก็ได้วางบรรทัดฐานโดยพิจารณาว่าเป็น
ผู้ขาดคุณสมบัติในการรับราชการเป็นข้าราชการตํารวจกรณีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดีมาโดยตลอด เพ่ือสร้างความเชื่อถือและไว้วางใจต่อสาธารณชน กรณีจึงเห็นว่า
การท่ีข้าราชการตํารวจมีประวัติต้องโทษคดีอาญาในข้อหาเล่นการพนันไพ่รัมม่ี จึงกระทบต่อเกียรติ
ของข้าราชการตํารวจและเป็นที่รังเกียจของสังคม ถือว่าเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศลี ธรรมอนั ดี เม่อื ขอ้ เท็จจริงปรากฏว่า ก่อนท่ีผู้ฟ้องคดีจะได้รับการบรรจุและแต่งต้ังเข้ารับราชการ
ตํารวจชั้นประทวน ผู้ฟ้องคดีได้ถูกศาลในคดีอาญาพิพากษาว่ากระทําความผิดอาญาฐานลักลอบ
เลน่ การพนนั ไพ่รัมมี่พนนั เอาทรพั ย์สนิ กนั โดยไมไ่ ด้รับอนุญาต ลงโทษปรับ ๘๐๐ บาท ผ้ฟู ้องคดีจึงเป็น
ผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีตามนัยข้อ ๒ (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อบ.๗๖/๒๕๖๑)
๒.๓ พฤติกรรมเกี่ยวกับการมีอาวุธปืนและเคร่ืองกระสุนปืนไว้ในครอบครอง
โดยไมไ่ ด้รับอนุญาต และพกพาอาวธุ ปนื ไปในเมือง หมูบ่ ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ไดร้ ับอนญุ าต
จากการศึกษาพบว่า โดยหลักการแล้ว พฤติกรรมเก่ียวกับการมีอาวุธปืน
และเคร่ืองกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตนี้ ศาลปกครองสูงสุดมีแนวโน้มท่ีจะวินิจฉัยไปในแนวทาง
เดียวกันว่า ผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี โดยให้เหตุผลว่า
การกระทําดังกล่าวเป็นการกระทําท่ีละเมิดต่อกฎหมายอาญา ซ่ึงบัญญัติให้การกระทําเช่นน้ัน
เป็นความผิดไว้โดยชัดแจ้ง โดยไม่ต้องคํานึงว่าจะใช้อาวุธปืนดังกล่าวกระทําความผิดอ่ืนใดหรือไม่
เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้บุคคลใดใช้อาวุธปืนซ่ึงเป็นอาวุธท่ีร้ายแรง ก่ออันตรายต่อบุคคล
หรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้ ซ่ึงเป็นบรรทัดฐานท่ีวิญญูชนท่ัวไปควรปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด การกระทํา
รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๙๑
ความผิดดังกล่าวย่อมเป็นความประพฤติผิดบรรทัดฐานทั่วไปของสังคม ดังตัวอย่างคําวินิจฉัย
ของศาลปกครองสูงสดุ ดงั ต่อไปน้ี
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิด
ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืน
ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติ
อาวุธปืน เคร่ืองกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗
มาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง มาตรา ๘ ทวิ วรรคหนึ่ง และมาตรา ๗๒ ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมาย
อาญา มาตรา ๓๗๑ พิพากษาให้รอกําหนดโทษ ๒ ปี และคุมประพฤติทุก ๓ เดือน ขณะกระทํา
ความผิดผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๑๖ ปี เห็นว่า การท่ีบุคคลกระทําความผิดอาญา ข้อหามีอาวุธปืนและ
เครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต แม้จะไม่ต้องรับโทษอาญาแต่ก็แสดงให้เห็นว่าผู้กระทํา
ความผิดดังกล่าวดําเนินชีวิตในลักษณะที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและบุคคลอื่น ซ่ึงวิญญูชนทั่วไป
ท่ีประพฤติตนในกรอบของกฎหมายและศีลธรรมย่อมไม่มีความประพฤติเช่นน้ัน จึงเห็นว่าการกระทํา
ความผิดกฎหมายอาญาดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีประวัติท่ีมีความประพฤติเส่ือมเสีย
ประกอบกับการสอบแข่งขันเข้าเป็นนักเรียนนายสิบตํารวจเป็นตําแหน่งท่ีมีหน้าที่ในการรักษา
ความสงบเรียบร้อยแก่บ้านเมืองและประชาชน บุคคลท่ีมีประวัติความประพฤติเส่ือมเสียดังกล่าว
ย่อมไม่เหมาะสมท่ีจะปฏิบัติหน้าที่น้ี การท่ีคณะกรรมการดําเนินการสอบแข่งขันและผู้ถูกฟ้องคดี
ตัดสิทธิผู้ฟ้องคดี โดยเห็นว่าเป็นผู้ขาดคุณสมบัติเนื่องจากมีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดีจึงเป็นการใช้ดุลพินิจภายใต้หลักเกณฑ์ที่กําหนดและเหมาะสมแล้ว (คําพิพากษา
ศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๔๘๒/๒๕๕๖)
ผู้ฟ้องคดีเคยมีประวัติกระทําความผิดเกี่ยวกับอาวุธปืน ๒ คดี คดีแรก
ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดอาญา ข้อหามีอาวุธปืนและพกพาอาวุธปืน ขณะมีอายุ ๑๖ ปี
โดยศาลในคดีอาญามคี าํ พพิ ากษาว่า ผู้ฟ้องคดีมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน
วตั ถุระเบดิ ดอกไม้เพลิง และสิง่ เทยี มอาวุธปนื พ.ศ. ๒๔๙๐ ให้ลงโทษจําคุก ๕ เดือน ปรับ ๑,๕๐๐ บาท
โทษจําคุกให้รอการลงโทษผู้ฟ้องคดีไว้ มีกําหนด ๑ ปี คุมประพฤติ ๑ ปี คดีที่สอง ผู้ฟ้องคดี
ถูกกล่าวหาว่ากระทําความผิดอาญา ข้อหามีเครื่องกระสุนปืนในความครอบครอง ขณะมีอายุ ๒๐ ปี
เป็นคดีอาญาที่ ๑๖๙๐/๑๕๔๗ ซึ่งยังไม่ทราบผลของคดี โดยที่การเข้ารับราชการเป็นข้าราชการ
ตํารวจ เป็นอาชีพที่มีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการปราบปรามและจับกุมผู้กระทําผิดตามกฎหมาย
เป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่มีลักษณะพิเศษ มีอํานาจหน้าที่รับผิดชอบในการบังคับใช้กฎหมาย การรักษา
ความสงบเรียบร้อยของสังคม ในการปฏิบัติหน้าที่ของข้าราชการตํารวจมีทั้งกฎหมายและอาวุธปืน
อยู่ในความครอบครอง งานของข้าราชการตํารวจจึงมีความจําเป็นต้องใช้บุคลากร ท่ีมีประวัติซึ่งแสดงถึง
ความประพฤติและการปฏิบัติตนท่ีอยู่ภายใต้กฎหมายและบรรทัดฐานของสังคมอย่างเคร่งครัด ทั้งนี้
เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและความเคารพศรัทธาแก่ประชาชนว่า ข้าราชการตํารวจนั้นจะสามารถพิทักษ์
กฎหมายและผดุงความยตุ ธิ รรมไวไ้ ด้ เมือ่ พิจารณาจากขอ้ หาและพฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีที่เคยมีประวัติ
๓๙๒ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ถูกดําเนินคดีในข้อหาเก่ียวกับอาวุธปืนตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เคร่ืองกระสุนปืน วัตถุระเบิด
ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. ๒๔๙๐ การกระทําดังกล่าวเป็นการกระทําที่ละเมิด
ตอ่ กฎหมายอาญา ซงึ่ บญั ญัติให้การกระทําเช่นนั้นเป็นความผิดไว้โดยชัดแจ้ง โดยไม่ต้องคํานึงว่าจะใช้
อาวุธปืนดังกล่าวกระทําความผิดอ่ืนใดหรือไม่ เพื่อเป็นการป้องปรามมิให้บุคคลใดใช้อาวุธปืนซึ่งเป็น
อาวุธที่ร้ายแรงก่ออันตรายต่อบุคคลหรือทรัพย์สินของผู้อื่นได้ ซ่ึงเป็นบรรทัดฐานท่ีวิญญูชนท่ัวไป
ควรปฏิบัติตามโดยเคร่งครัด การกระทําความผิดดังกล่าวย่อมเป็นความประพฤติผิดบรรทัดฐานท่ัวไป
ของสังคม เมื่อคํานึงถึงเกียรติของข้าราชการตํารวจ ความรังเกียจของสังคม ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์
ของผู้ฟ้องคดีดังกล่าวก็เพียงพอที่วิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ขาดคุณสมบัติของการเป็นข้าราชการ
ตํารวจ อน่ึง แม้ขณะกระทําความผิดผู้ฟ้องคดีจะเป็นผู้เยาว์ แต่ก็อยู่ในวัยท่ีพึงจะมีวุฒิภาวะเพียงพอ
ท่ีจะแยกแยะผิดชอบชั่วดี รวมทั้งคาดหมายได้ถึงผลของการกระทําที่เป็นความผิดทางกฎหมายอาญา
ได้แล้ว และแม้ภายหลังท่ีผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาศาลในคดีอาญาแล้ว ผู้ฟ้องคดีไม่มีความประพฤติ
เสื่อมเสียและตั้งใจศึกษาจนสําเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีก็ตาม แต่ก็ไม่อาจที่จะนํามาลบล้าง
ประวัติความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ขา้ ราชการตํารวจตามทีก่ ฎหมายบญั ญตั ิไวไ้ ด้ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อบ.๕/๒๕๖๐)
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาในคดีอาญาว่ากระทําความผิดในข้อหา
มีอาวธุ ปืนไว้ในครอบครองโดยไมไ่ ด้รบั อนุญาต และพาอาวุธปืนไปในเมอื ง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะ
โดยไม่มีเหตุอันควร ลงโทษจําคุก ๓ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษ
มกี าํ หนด ๒ ปี แม้ในขณะท่ีผู้ฟ้องคดีกระทําความผิดดังกล่าวผู้ฟ้องคดียังเป็นเยาวชนมีอายุ ๑๖ ปีเศษ
ก็ตาม แต่ก็เป็นวัยท่ีพอจะรู้ผิดชอบ รู้ว่าส่ิงใดควรประพฤติปฏิบัติหรือไม่ควรประพฤติปฏิบัติ
และควรรู้ว่าการกระทําใดเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมาย การท่ีผู้ฟ้องคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง
โดยไม่ไดร้ บั อนญุ าต และการพาอาวุธปนื ไปในเมือง หมู่บ้าน ทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันควร ผู้ฟ้องคดี
ย่อมทราบดีว่าการกระทําดังกล่าวไม่ควรกระทําและเป็นการกระทําท่ีผิดกฎหมาย วิญญูชนทั่วไป
ก็ย่อมทราบดีว่าไม่พึงกระทํา เม่ือพิจารณาประกอบกับการท่ีข้าราชการตํารวจเป็นเจ้าพนักงาน
ท่ีมีอํานาจหน้าที่โดยตรงในการป้องกันและปราบปรามการกระทําความผิดทางอาญา ใช้กฎหมาย
ในการอํานวยความยุตธิ รรม และปกปอ้ งดแู ลความปลอดภัยในชวี ติ และทรัพย์สนิ ของประชาชน การที่
ผู้ฟ้องคดีมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพาอาวุธปืนไปในร้านอาหารโดยไม่มี
เหตุอันควรเป็นการกระทําที่ผิดกฎหมาย จนเป็นเหตุให้ถูกจับกุมดําเนินคดี และถูกลงโทษ
จากการกระทําดังกล่าว จึงถือได้ว่าการกระทําของผู้ฟ้องคดีเป็นกรณีที่ผู้ฟ้องคดีประพฤติเสื่อมเสีย
หรอื บกพร่องในศีลธรรมอันดี (คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อบ.๑๘/๒๕๖๐)
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิดในข้อหา
มีอาวุธปืนไม่มีเครื่องหมายทะเบียน และพาอาวุธปืนไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่มี
เหตุอันควร ลงโทษจําคุก ๙ เดือน และปรับ ๑๐,๐๐๐ บาท โทษจําคุกให้รอการลงโทษ มีกําหนด ๒ ปี
แมว้ า่ ขณะกระทําความผิด ผู้ฟ้องคดีจะยังเป็นผู้เยาว์โดยมีอายุ ๑๘ ปีเศษ ก็ตาม แต่ก็อยู่ในวัยที่พึงจะมี
รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๙๓
วุฒิภาวะเพียงพอท่ีจะแยกแยะผิดชอบช่ัวดี รวมท้ังคาดหมายได้ถึงผลของการกระทําที่เป็นความผิด
ทางกฎหมายอาญาได้แล้ว จึงถือว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ.๑๘/๒๕๔๐ และที่ อบ.๘๐/๒๕๖๑ วินิจฉัยแนวทาง
เดียวกัน)
อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มศาลปกครองสูงสุดจะเห็นว่า พฤติกรรมเกี่ยวกับ
การมีอาวุธปืนและเคร่ืองกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืน
ไปในเมือง หมู่บ้าน หรือทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดไว้โดยชัดแจ้ง โดยไม่ต้อง
คาํ นึงวา่ จะใช้อาวุธปืนดงั กล่าวกระทาํ ความผิดอืน่ ใดหรือไม่ ผู้กระทําความผิดจึงถือว่ามีความประพฤติ
เสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี แต่ก็มีคดีหนึ่งที่ศาลปกครองสูงสุดพิจารณาจากพฤติการณ์
ที่เกิดข้ึนโดยละเอียด แล้ววินิจฉัยว่าการกระทําของผู้ฟ้องคดีมิอาจถือได้ว่าโดยปกตินิสัยของผู้ฟ้องคดี
เปน็ ผมู้ ีความประพฤตเิ สอ่ื มเสยี หรอื บกพรอ่ งตอ่ ศีลธรรมอันดี โดยมรี ายละเอยี ดโดยสรปุ ดังน้ี
ขณะผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๑๘ ปี ๔ เดือน และกําลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ ๖ ของโรงเรียนประจําจังหวัดกาญจนบุรี ได้ถูกกลุ่มนักเรียนท่ีอ้างว่าคุมโรงเรียนอยู่รุมทําร้าย
ในวันเดียวกันถึง ๓ ครั้ง ทําให้ผู้ฟ้องคดีรู้สึกกลัว เม่ือเรียนจบคาบเรียนสุดท้ายจึงรีบกลับบ้าน
ในระหว่างท่ีผู้ฟ้องคดียืนรอรถประจําทางอยู่ ได้มีกลุ่มนักเรียนที่มีเรื่องพิพาทกับผู้ฟ้องคดี
ขับรถจักรยานยนต์มาพร้อมกับนักเรียนโรงเรียนอ่ืนประมาณ ๗ ถึง ๘ คัน และเข้ารุมทําร้ายผู้ฟ้องคดี
รวมทั้งบุคคลที่ยืนรอรถประจําทางอยู่ กลุ่มนักเรียนดังกล่าวคนหน่ึงจะใช้ขวานส้ันฟันผู้ฟ้องคดี
ผู้ฟ้องคดีจึงได้ใช้อาวุธปืนท่ีนักเรียนท่ีรู้จักกันเพียงผิวเผินส่งให้ในขณะน้ันยิงป้องกันตัวไป ๑ ครั้ง
ถูกคนที่จะใช้ขวานฟันผู้ฟ้องคดีถึงแก่ความตาย ต่อมา พนักงานอัยการจังหวัดกาญจนบุรีมีคําส่ังไม่ฟ้อง
ในข้อหาฆ่าผู้อ่ืนโดยเจตนา เน่ืองจากเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย และสั่งฟ้องในข้อหา
มีอาวุธปืนไม่มีทะเบียนและพกพาอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต น้ัน แม้ข้อเท็จจริงจะฟังเป็นยุติว่า
ศาลในคดีอาญาได้มีคําพิพากษาให้ลงโทษจําคุกผู้ฟ้องคดี ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้
รับอนุญาต โดยโทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี แต่โดยที่ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีได้กระทําความผิด
ผู้ฟ้องคดียังเป็นผู้เยาว์มีอายุเพียง ๑๘ ปี ๔ เดือน วุฒิภาวะและความรู้สึกผิดชอบย่อมย่อหย่อน
กว่าผู้บรรลุนิติภาวะโดยทั่วไป ทั้งยังเป็นการกระทําผิดคร้ังแรกและครั้งเดียว ก่อนหน้าน้ัน
หรือหลังจากนั้นก็ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ฟ้องคดีได้เคยกระทําความผิดเก่ียวกับอาวุธปืนอีกเลย
และผู้ฟ้องคดีได้สํานึกผิดต่อการกระทําแล้ว โดยต้ังใจศึกษาเล่าเรียนทําความดีให้แก่สังคม
จึงควรต้องให้โอกาสแก่ผู้ฟ้องคดีในการประพฤติตนให้เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นกําลังสําคัญ
ในการประกอบอาชพี โดยสุจริตเพือ่ เล้ียงดูครอบครัวของตนได้ นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์
ทเี่ กิดขน้ึ เป็นเหตุการณท์ ่สี บื เนื่องมาจากการท่ผี ู้ฟอ้ งคดเี ปน็ ฝา่ ยถูกทาํ รา้ ยก่อน จึงย่อมต้องป้องกันชีวิต
ของตนโดยไม่มีทางเลือก เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย จึงยังมิอาจถือได้ว่าโดยปกตินิสัย
ของผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องต่อศีลธรรมอันดี อันจะทําให้เส่ือมเสีย
ต่อเกียรติของข้าราชการตํารวจและภาพลักษณ์ของสํานักงานตํารวจแห่งชาติได้ อีกทั้ง กฎ ก.ตร.
ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๒
๓๙๔ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
วรรคสอง กําหนดว่า ผู้ท่ีขาดคุณสมบัติตามข้อ ๒ (๒) หรือข้อ ๒ (๔) ก.ตร. อาจพิจารณายกเว้น
ให้เข้ารับราชการได้ ... จากบทบัญญัติดังกล่าวเห็นได้ชัดว่า กรณีที่เป็นผู้เคยประพฤติเส่ือมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี และกรณีเป็นผู้เคยต้องรับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงท่ีสุดให้จําคุก
เว้นแต่เป็นโทษสําหรับความผิดท่ีกระทําโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ ผู้ที่มีลักษณะต้องห้าม
ทั้ง ๒ กรณี น้ัน อาจพิจารณาบรรจุเข้ารับเป็นข้าราชการตํารวจได้ หาก ก.ตร. พิจารณายกเว้น
ให้เข้ารับราชการ จึงไม่ใช่ข้อห้ามโดยเด็ดขาด แต่เป็นการใช้ดุลพินิจท่ีต้องคํานึงถึงข้อเท็จจริง
เป็นกรณีไป การใช้ดุลพินิจของคณะกรรมการผู้มีอํานาจพิจารณาคัดเลือกบุคคลภายนอก ผู้มีวุฒิ
ปริญญาตรีเพื่อบรรจุและแต่งต้ังเป็นข้าราชการตํารวจช้ันประทวน พ.ศ. ๒๕๕๔ สายป้องกัน
และปราบปราม (ปป.๑) ตาํ รวจภธู รภาค ๗ (ผ้ถู ูกฟ้องคดีที่ ๑) ในการพิจารณาคุณสมบัติของผู้ฟ้องคดี
จึงต้องพิจารณาความประพฤติของผู้ฟ้องคดีต้ังแต่ในอดีตที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันประกอบกัน การท่ี
ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๑ พิจารณาเพียงประวัติการถูกดําเนินคดีอาญาของผู้ฟ้องคดีเพียงอย่างเดียว โดยมิได้
พิจารณาถึงเหตุแห่งการกระทําความผิดของผู้ฟ้องคดีหรือความประพฤติประการอ่ืนหรือพฤติการณ์
ในการกลบั ตวั เป็นคนดีของผู้ฟอ้ งคดีมาประกอบด้วย จึงเป็นการใช้ดุลพินิจที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์
ของกฎหมาย (คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๔๖๕/๒๕๕๙)
หมายเหตุ
คดีนี้มีความเห็นแย้ง โดยตุลาการเสียงข้างน้อยเห็นว่า การพิจารณาว่า
กรณีอย่างไรถือว่าเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีนั้น ในกรณีน้ีต้องคํานึงถึง
อํานาจหน้าท่ีของข้าราชการตํารวจซ่ึงอาจแตกต่างจากข้าราชการอ่ืนและต้องคํานึงถึงความเชื่อม่ัน
ของสังคมต่อวิชาชีพตํารวจ รวมท้ังพฤติการณ์ การกระทํา ความประพฤติตลอดจนหลักศีลธรรม
ประกอบด้วย การเป็นข้าราชการตํารวจถือเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีมีลักษณะงานพิเศษ มีอํานาจหน้าที่
และความรบั ผิดชอบในฐานะเป็นผรู้ กั ษากฎหมาย รกั ษาความสงบเรียบร้อยของสงั คม และเป็นเจา้ หน้าท่ี
ในกระบวนการยุติธรรมข้ันต้น การบรรจุและแต่งตั้งให้เข้ารับราชการตํารวจจึงมีความจําเป็นต้องใช้
บุคลากรที่มีประวัติท่ีดี เป็นผู้ประพฤติและปฏิบัติตนอยู่ภายใต้กฎหมายและบรรทัดฐานของสังคม
เพ่ือสร้างความเชื่อม่ัน เชื่อถือ และความศรัทธาของประชาชนว่าข้าราชการตํารวจผู้น้ันจะปฏิบัติตน
โดยยึดม่ันในคุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณของวิชาชีพเพื่อสามารถบังคับใช้กฎหมายและผดุง
ความยุติธรรมไว้ได้อย่างไม่มีข้อเคลือบแคลงสงสัย เมื่อผู้ฟ้องคดีเคยมีประวัติกระทําความผิดอาญา
ฐานมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและฐานพกพาอาวุธปืนติดตัวไปในเมือง หมู่บ้าน
หรือทางสาธารณะ โดยไม่ได้รับอนุญาต อันมิใช่ความผิดลหุโทษ แม้ขณะกระทําความผิดผู้ฟ้องคดี
จะมอี ายุ ๑๘ ปเี ศษ แต่ก็ถอื วา่ อยู่ในชว่ งอายุทีพ่ ึงมวี ฒุ ิภาวะแล้ว สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดี อีกทั้ง
การกระทําความผิดอาญาดังกล่าว แม้ศาลจะมีคําพิพากษาให้รอการลงโทษจําคุกไว้ แต่มีกรณี
เช่ือมโยงมาจากการทะเลาะวิวาททําร้ายกันโดยมีผู้ได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิตจากอาวุธปืนดังกล่าว
และเมื่อคํานึงถึงวิชาชีพตํารวจซ่ึงเป็นวิชาชีพหน่ึงที่มีความสําคัญในกระบวนการยุติธรรมดังได้วินิจฉัย
ข้างต้น เห็นได้ว่า การกระทําความผิดกฎหมายอาญาดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีมีประวัติ
ทม่ี คี วามประพฤติเสื่อมเสีย ไม่เหมาะสมจะปฏิบัติหน้าท่ีเป็นข้าราชการตํารวจ การท่ีสํานักงานตํารวจ
รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๙๕
แห่งชาติ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๓) ไม่รับผู้ฟ้องคดีเพ่ือบรรจุและแต่งต้ังเป็นข้าราชการตํารวจ โดยเห็นว่า
เป็นผขู้ าดคุณสมบัติเนื่องจากมีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีจึงเป็นการใช้ดุลพินิจ
ที่เหมาะสมแล้ว
๒.๔ พฤติกรรมเกย่ี วกบั การลกั ทรัพย์
จากการศึกษาพบว่า พฤติกรรมเกี่ยวกับการลักทรัพย์ ศาลปกครองสูงสุด
มีแนวโน้มท่ีจะวินิจฉัยไปในแนวทางเดียวกันว่า ผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศลี ธรรมอันดี ดงั ตวั อย่างคําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ตอ่ ไปนี้
ผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ามีความผิดในข้อหาร่วมกัน
ลักทรัพย์ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทําอันตรายส่ิงกีดกั้นสําหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์
และลงโทษจาํ คุก ๑ ปี ปรับคนละ ๒,๐๐๐ บาท โดยให้รอการลงโทษจําคุกไวม้ ีกาํ หนด ๒ ปี แม้ผู้ฟ้องคดี
จะอ้างว่า ขณะกระทําผิดผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๑๖ ปี แต่ก็เห็นได้ว่าบุคคลท่ีมีอายุ ๑๖ ปี ย่อมมีวุฒิภาวะ
เพียงพอท่ีจะแยกแยะถึงส่ิงผิดชอบช่ัวดีได้แล้ว รวมท้ังย่อมตระหนักรู้ได้ถึงปัญหาและผลกระทบ
ทีจ่ ะเกิดตามมาจากการกระทําผิดกฎหมายอาญา ดังน้ัน การท่ีผู้บัญชาการกองบัญชาการตํารวจนครบาล
(ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๑) ตรวจสอบพบว่าผู้ฟ้องคดีเคยมีประวัติต้องคําพิพากษาของศาลก่อนท่ีจะได้รับ
การบรรจุเข้ารับราชการตํารวจว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้กระทําความผิดอาญาในข้อหาร่วมกันลักทรัพย์
ในเคหสถานในเวลากลางคืน โดยทําอันตรายสิ่งกีดก้ันสําหรับคุ้มครองบุคคลหรือทรัพย์ จึงได้วินิจฉัยว่า
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นลักษณะต้องห้ามมิให้บรรจุ
แต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจตามมาตรา ๔๘ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกบั ข้อ ๒ (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจท่ีชอบแล้ว (คําพิพากษาศาลปกครองสงสุด
ท่ี อบ.๔๘/๒๕๖๐)
ความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนเป็นคดีอาญาแผ่นดินและเป็นกรณี
มีเหตุฉกรรจ์ แม้ผู้ฟ้องคดีจะกระทําความผิดทางอาญาดังกล่าวในขณะท่ีมีอายุ ๑๗ ปีเศษ แต่เป็นวัย
ที่รู้จักแยกแยะได้แล้วว่าอะไรดีอะไรช่ัว อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา เมื่อพิจารณา
เกี่ยวกับภารกิจของข้าราชการตํารวจและประวัติของผู้ฟ้องคดีท่ีเคยกระทําความผิดฐานลักทรัพย์
ในเวลากลางคืน ย่อมเป็นการเพียงพอที่วิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติ
เส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ดังนั้น การท่ีผู้ฟ้องคดีกระทําความผิดทางอาญาดังกล่าว
แม้ว่าพนักงานอัยการมีคําสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้องผู้ต้องหา เนื่องจากเช่ือว่าผู้ต้องหาสามารถกลับตน
เป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีตามความเห็นของผู้อํานวยการสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
จังหวัดร้อยเอ็ด ตามพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชน
๓๙๖ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ มาตรา ๖๓๑๕ กรณีก็ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นเหตุให้ผู้ฟ้องคดีขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม
ของการเปน็ ข้าราชการตํารวจ (คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อบ.๑๓/๒๕๖๒)
ในกรณีที่จะพิจารณาว่า ผู้สมัครสอบเข้ารับราชการตํารวจเคยมีประวัติ
ลักทรัพย์ อันจะถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีนั้น จะต้องเป็น
กรณีที่รับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวกระทําความผิดจริง หาไม่แล้วศาลปกครอง
สูงสุดอาจพิจารณาว่า การตัดสิทธิของผู้ฟ้องคดีไม่ให้เป็นผู้สอบแข่งขันได้ด้วยเหตุผลดังกล่าว
เป็นการกระทําที่ไมช่ อบ ดังตวั อยา่ งคดีนี้
กรณีท่ีผู้ฟ้องคดีเคยถูกดําเนินคดีอาญาข้อหาลักทรัพย์ ปลอมเอกสาร
(ต๋ัวเงิน) และใช้เอกสาร (ต๋ัวเงิน) ปลอม ซ่ึงศาลในคดีอาญามีคําพิพากษาคดีถึงที่สุดให้ยกฟ้อง
เนื่องจากพยานหลักฐาน เอกสารในสํานวนคดไี ม่อาจยนื ยันได้ว่า ผูฟ้ ้องคดีกระทําผิดตามข้อกล่าวหาน้ัน
แ ม้ คํ า พิ พ า ก ษ า ดั ง ก ล่ า ว จ ะ มิ ไ ด้ ย ก ฟ้ อ ง ด้ ว ย เ ห ตุ ท่ี ผู้ ฟ้ อ ง ค ดี มิ ไ ด้ ก ร ะ ทํ า ผิ ด ต า ม ฟ้ อ ง ก็ ต า ม
แต่เม่ือพยานหลักฐาน เอกสารในสํานวนคดีนี้ ก็มิอาจยืนยันได้ว่าผู้ฟ้องคดีกระทําผิดตามข้อกล่าวหา
ดังนั้น พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดียังไม่ถึงข้ันเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดีตามมาตรา ๔๘ (๖)
แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การตัดสิทธิของผู้ฟ้องคดีไม่ให้เป็นผู้สอบแข่งขันได้
จึงเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๔๘ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗
(คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๗๖๙/๒๕๕๗)
อย่างไรก็ตาม แม้ในกรณีที่ศาลในคดีอาญามีคําพิพากษายกฟ้อง เนื่องจาก
พยานหลักฐานท่ีโจทก์นําสืบในคดีดังกล่าวยังมีความสงสัยตามสมควรว่า ผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นจําเลยในคดี
ดังกล่าวจะเป็นคนร้ายท่ีร่วมกระทําความผิดตามฟ้องโจทก์หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยน้ัน
ใหจ้ ําเลย แตศ่ าลปกครองสูงสุดสามารถเข้าไปตรวจเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ในคําให้การของผู้เสียหาย
และของพยานทั้งในช้ันการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและในช้ันพิจารณาของศาลในคดีอาญา
โดยละเอียด และหากจากข้อเท็จจริงท่ีปรากฏ ศาลปกครองสูงสุดเชื่อว่าผู้ฟ้องคดีมีส่วนเก่ียวข้อง
๑๕ พระราชบัญญตั ิจดั ต้งั ศาลเยาวชนและครอบครวั และวธิ ีพจิ ารณาคดเี ยาวชนและครอบครวั พ.ศ. ๒๕๓๔
มาตรา ๖๓ ในกรณีท่ีเด็กหรือเยาวชนต้องหาว่ากระทําความผิด เม่ือผู้อํานวยการสถานพินิจพิจารณา
โดยคํานึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สติปัญญา การศึกษาอบรม สุขภาพ ภาวะแห่งจิต นิสัย อาชีพ ฐานะ
ตลอดจนส่ิงแวดล้อมเก่ียวกับเด็กหรือเยาวชนและพฤติการณ์ต่าง ๆ แห่งคดีแล้วเห็นว่าเด็กหรือเยาวชนอาจกลับตน
เป็นคนดีได้โดยไม่ต้องฟ้อง และเด็กหรือเยาวชนนั้นยินยอมที่จะอยู่ในความควบคุมของสถานพินิจด้วยแล้ว
ใหผ้ อู้ ํานวยการสถานพนิ จิ แจง้ ความเห็นไปยังพนักงานอัยการ ถ้าพนักงานอัยการเห็นชอบด้วย ให้มีอํานาจส่ังไม่ฟ้อง
เด็กหรือเยาวชนนน้ั ได้ คาํ ส่งั ไม่ฟ้องของพนกั งานอัยการนน้ั ใหเ้ ปน็ ทส่ี ดุ
การควบคมุ เด็กหรอื เยาวชนในสถานพินิจตามวรรคหน่ึง ให้มีกําหนดเวลาตามที่ผู้อํานวยการสถานพินิจ
เห็นสมควร แต่ตอ้ งไม่เกินสองปี
บทบัญญัติมาตราน้ีมิให้ใช้บังคับแก่การกระทําความผิดอาญาท่ีมีอัตราโทษอย่างสูงตามที่กฎหมาย
กาํ หนดไวใ้ ห้จําคุกเกนิ กวา่ หา้ ปีขน้ึ ไป
รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๙๗
กับการกระทําความผิด ศาลปกครองสูงสุดอาจพิจารณาว่า การตัดสิทธิของผู้ฟ้องคดีไม่ให้เป็น
ผูส้ อบแข่งขันไดด้ ้วยเหตุผลดังกลา่ ว เปน็ การกระทาํ ที่ชอบแล้ว ดังตวั อยา่ งคดนี ้ี
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีถูกพนักงานอัยการคดีเยาวชนและครอบครัวจังหวัดปัตตานี
เป็นโจทก์ฟ้องว่า ผู้ฟ้องคดีกับพวกอีก ๑ คน ได้ร่วมกันว่ิงราวโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายไป
โดยทุจริตโดยใช้รถจักรยานยนต์จํานวน ๑ คัน เป็นยานพาหนะเพื่อสะดวกแก่การกระทําความผิด
โดยพาทรัพย์น้ันไป แต่ศาลจังหวัดปัตตานีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวมีคําพิพากษายกฟ้อง
เน่ืองจากกรณียังมีข้อสงสัยว่าพยานโจทก์จะเห็นเหตุการณ์โดยตลอดหรือไม่ พยานหลักฐานท่ีโจทก์
นาํ สบื มากรณียังมีความสงสัยตามสมควรว่า ผู้ฟ้องคดีจะเป็นคนร้ายท่ีร่วมกระทําความผิดตามฟ้องโจทก์
หรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยน้ันให้ผู้ฟ้องคดี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
มาตรา ๒๒๗ วรรคสอง กรณีจึงไม่ปรากฏตามคําพิพากษาซึ่งถึงท่ีสุดในคดีอาญาดังกล่าวว่า
ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า ผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นผู้กระทําความผิดฐานว่ิงราวทรัพย์ นั้น เมื่อคําให้การ
ของผู้เสียหายและของพยานท้ังในชั้นการสอบสวนของพนักงานสอบสวนและในช้ันพิจารณา
ของศาลจังหวัดปัตตานีแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวบ่งชี้ว่า รถจักรยานยนต์ที่คนร้ายใช้
ในการกระทาํ ความผดิ คือ รถจกั รยานยนตย์ หี่ ้อฮอนดา้ สีแดง หมายเลขทะเบียน กนษ-๖๖๔ ปัตตานี
ซ่ึงเป็นของบิดาของผู้ฟ้องคดี โดยในระหว่างเวลาประมาณ ๑๘ นาฬิกาเศษ ถึง ๒๒ นาฬิกา
รถจักรยานยนต์คันดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของผู้ฟ้องคดี เวลาที่มีการกระทําความผิด คือ
เวลาประมาณ ๑๙ นาฬิกาเศษ คนร้ายท่ีว่ิงราวโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหาย สวมเส้ือสีเหลือง
กางเกงสีดําคล้ายชุดพละโรงเรียน ด. และปรากฏจากใบสมัครว่าผู้ฟ้องคดีจบการศึกษาจากโรงเรียน
ดังกล่าว ท้ังผู้เสียหายและนางสาว ม. ประจักษ์พยานให้การว่ามีการย้ือแย่งโทรศัพท์มือถือกันประมาณ
๕ นาที โดยผู้เสียหายยืนยันว่าจําหน้าคนร้ายได้ และเมื่อผู้ฟ้องคดีเข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวน
ผู้เสียหายเห็นภาพผู้ฟ้องคดี ก็ยืนยันว่าผู้ฟ้องคดีเป็นคนร้ายที่เข้ามาแย่งโทรศัพท์มือถือของตนไป
แม้ถ้อยคําของพยานดังท่ียกมาแสดงข้างต้น ยังไม่อาจจะทําให้ศาลจังหวัดปัตตานีแผนกคดีเยาวชน
และครอบครัวเช่ือโดยปราศจากความสงสัยว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ลงมือว่ิงราวโทรศัพท์มือถือ
ไปจากผู้เสียหายก็ตาม แต่ถ้อยคําของพยานดังกล่าวก็เป็นพยานหลักฐานอันควรเช่ือได้ว่าผู้ฟ้องคดี
มีส่วนเก่ียวข้องกับการกระทําความผิดฐานว่ิงราวโทรศัพท์มือถือของผู้เสียหายเม่ือวันท่ี ๒๑
กุมภาพันธ์ ๒๕๔๘ ริมถนนเจริญประดิษฐ์ หน้าร้านเซเว่นอีเลฟเว่น ตําบลสะบารัง อําเภอเมือง
จังหวัดปัตตานี ดังน้ัน การที่ศูนย์ปฏิบัติการตํารวจจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒)
ได้พิจารณาถ้อยคําของพยานที่ให้การต่อพนักงานสอบสวนและต่อศาลแล้ววินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดี
เป็นผมู้ คี วามประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นลักษณะต้องห้ามของผู้ท่ีจะได้รับ
การบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจตามข้อ ๒ (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงไม่ใช่การใช้ดุลพินิจวินิจฉัย
โดยปราศจากพยานหลักฐานสนับสนุน อันจะถือว่าเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ (คําพิพากษา
ศาลปกครองสงู สุดที่ อบ.๑๐/๒๕๕๘)
๓๙๘ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
๒.๕ พฤติกรรมเกยี่ วกบั ปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม
จากการศึกษาพบว่า พฤติกรรมเก่ียวกับปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม
ศาลปกครองสูงสุดมีแนวโน้มท่ีจะเห็นว่า ผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดี ดังตัวอย่างคําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ต่อไปนี้
คดีนี้ผู้ฟ้องคดีถูกฟ้องคดีอาญาข้อหาปลอมใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคล
ตลอดชีพอันเป็นเอกสารราชการ และใช้ใบอนุญาตดังกล่าว เพ่ือเป็นหลักฐานในการรับสมัครเข้าเป็น
นักเรยี นพลตํารวจ ศาลในคดีอาญาพิพากษายกฟ้อง แต่ให้ริบใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลตลอดชีพ
ซ่ึงกรณีมีประเด็นมาสู่การพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดคดีนี้ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีได้รับใบอนุญาต
ขับรถยนต์มาโดยที่มิได้ผ่านข้ันตอนตามท่ีกฎหมายกําหนดถือเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง
ในศลี ธรรมอนั ดหี รือไม่ ซึ่งศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ขณะท่ีผู้ฟ้องคดีได้ไปที่สํานักงานขนส่งจังหวัด
สงขลาเพ่ือไปทําใบอนุญาตขับรถยนต์ ผู้ฟ้องคดีบรรลุนิติภาวะและสําเร็จการศึกษาในระดับอุดมศึกษาแล้ว
นับว่ามีประสบการณ์ในชีวิตพอสมควร ผู้ฟ้องคดีจึงย่อมคาดหมายได้ว่าในการขอรับใบอนุญาต
ขับรถยนต์น้ัน นอกจากจะต้องผ่านการอบรมแล้วยังต้องผ่านการทดสอบต่าง ๆ อีกด้วย นอกจากนี้
ข้าราชการตํารวจถือเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่มีลักษณะงานพิเศษ มีอํานาจหน้าที่และความรับผิดชอบ
ในฐานะเป็นผู้รักษากฎหมาย รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม และเป็นเจ้าหน้าที่ในกระบวนการ
ยุติธรรมทางอาญาข้ันต้น งานของข้าราชการตํารวจจึงมีความจําเป็นต้องใช้บุคลากรท่ีมีประวัติ
ซ่ึงแสดงถึงการเป็นผู้ประพฤติและปฏิบัติตนอยู่ภายใต้กฎหมายและบรรทัดฐานของสังคม ทั้งนี้
เพื่อสร้างความเช่ือม่ัน เชื่อถือ และความเคารพศรัทธาแก่ประชาชนว่าข้าราชการตํารวจผู้น้ัน
จะสามารถพิทักษ์กฎหมายและผดุงความยุติธรรมไว้ได้ การที่ผู้ฟ้องคดีได้รับใบอนุญาตขับรถยนต์
มาโดยท่ีมิได้ผ่านขั้นตอนตามที่กฎหมายกําหนด จึงถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสีย
ในเร่ืองดังกล่าวตามมาตรา ๔๘ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับข้อ ๒
วรรคหนึ่ง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ
พ.ศ. ๒๕๔๗ แลว้ (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๓๑๘/๒๕๕๙)
ในกรณีท่ีจะพิจารณาว่า ผู้สมัครสอบเข้ารับราชการตํารวจเคยมีประวัติ
ปลอมเอกสาร และใช้เอกสารปลอม อันจะถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่อง
ในศีลธรรมอันดี นั้น จะต้องเป็นกรณีท่ีรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าบุคคลดังกล่าวกระทํา
ความผิดจริง หาไม่แล้วศาลปกครองสูงสุดอาจพิจารณาว่า การตัดสิทธิของผู้ฟ้องคดีไม่ให้เป็น
ผ้สู อบแข่งขนั ไดด้ ้วยเหตผุ ลดงั กลา่ ว เปน็ การกระทาํ ทีไ่ ม่ชอบ ดงั ตัวอยา่ งคดีนี้
กรณีที่ผู้ฟ้องคดีเคยถูกดําเนินคดีอาญาข้อหาลักทรัพย์ ปลอมเอกสาร
(ตั๋วเงิน) และใช้เอกสาร (ต๋ัวเงิน) ปลอม ซ่ึงศาลในคดีอาญามีคําพิพากษาคดีถึงท่ีสุดให้ยกฟ้อง
เนื่องจากพยานหลักฐานและเอกสารในสํานวนคดีไม่อาจยืนยันได้ว่า ผู้ฟ้องคดีกระทําผิด
ตามข้อกล่าวหา นั้น แม้คําพิพากษาดังกล่าวจะมิได้ยกฟ้องด้วยเหตุที่ผู้ฟ้องคดีมิได้กระทําผิดตามฟ้อง
ก็ตาม แต่เมื่อพยานหลักฐานและเอกสารในสํานวนคดีน้ีก็มิอาจยืนยันได้ว่าผู้ฟ้องคดีกระทําผิด
รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๓๙๙
ตามข้อกล่าวหา ดังน้ัน พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่ถึงข้ันเป็นผู้บกพร่องในศีลธรรมอันดี
ตามมาตรา ๔๘ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การตัดสิทธิของผู้ฟ้องคดี
ไม่ให้เป็นผู้สอบแข่งขันได้ จึงเป็นการกระทําที่ไม่ชอบด้วยมาตรา ๔๘ (๖) แห่งพระราชบัญญัติตํารวจ
แห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๗๖๙/๒๕๕๗)
๒.๖ พฤตกิ รรมเกีย่ วกับการปลน้ ทรัพย์ พยายามฆ่า
จากการศึกษาพบว่า พฤติกรรมเก่ียวกับการปล้นทรัพย์ พยายามฆ่า
ศาลปกครองสูงสุดมีแนวโน้มที่จะเห็นว่า ผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศลี ธรรมอนั ดี ดังตวั อย่างคําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ต่อไปนี้
ผู้ฟ้องคดีเคยถูกศาลในคดีอาญาพิพากษาว่ากระทําความผิดฐานปล้นทรัพย์
และพยายามฆ่า ซ่ึงความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานปล้นทรัพย์และฐานพยามยามฆ่า
เป็นความผิดท่ีมีโทษทางอาญาที่รุนแรง ทั้งยังเป็นการกระทําท่ีส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพ
ในชีวิตและร่างกายของบุคคลอ่ืน ตลอดจนสิทธิของบุคคลในทรัพย์สิน ซ่ึงมิใช่พฤติการณ์อันดีงาม
ท่ีวิญญูชนทั่วไปพึงกระทํา เป็นการกระทําที่สังคมไม่อาจยอมรับ ขัดต่อบรรทัดฐานของสังคม
ประกอบกับการกระทําความผิดดังกล่าวเป็นการกระทําท่ีไม่เหมาะสมสําหรับผู้ที่จะเข้ารับราชการ
เป็นตํารวจ เนื่องจากการเป็นข้าราชการตํารวจถือเป็นเจ้าหน้าท่ีของรัฐที่มีหน้าที่และความรับผิดชอบ
ในฐานะผู้รักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อยของสังคม อันเป็นเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรม
ทางอาญาข้ันต้น จึงจําเป็นต้องอาศัยบุคลากรท่ีมีประวัติเป็นผู้ประพฤติและปฏิบัติตนอยู่ภายใต้
กฎหมายและบรรทัดฐานของสังคม เพื่อสร้างความเช่ือมั่นและความศรัทธาแก่ประชาชน
และแม้ขณะกระทําความผิดผู้ฟ้องคดีจะยังไม่บรรลุนิติภาวะก็ตาม แต่ก็อยู่ในช่วงอายุท่ีพึงมีวุฒิภาวะ
สามารถแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้ กรณีจึงฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ที่ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศลี ธรรมอันดี (คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๒๐๙๙/๒๕๕๙)
๒.๗ พฤตกิ รรมเกย่ี วกบั ร่วมกันทาํ รา้ ยรา่ งกายผู้อน่ื
จากการศึกษาพบว่า แนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในกรณีน้ี
ศาลค่อนข้างจะผ่อนปรน ให้น้ําหนักกับพฤติการณ์ของผู้กระทํา วุฒิภาวะของผู้กระทํา และในบางคดี
ศาลพิจารณาไปถึงว่า ผู้กระทําเป็นการกระทําที่เกิดจากเจตนาอันชั่วร้ายและถึงขนาดที่สังคม
จะยอมรับได้หรือไม่ ซ่ึงแม้ว่าบางคดีศาลจะพิจารณาถึงความประพฤติของบุคคลดังกล่าวภายหลัง
จากท่ีไดร้ ับการบรรจเุ ขา้ รับราชการเป็นตํารวจแลว้ ด้วย แตก่ ็เหน็ ไดว้ ่าเป็นเพียงการให้เหตุผลประกอบ
ขอ้ วนิ ิจฉยั พฤติกรรมของบุคคลดังกลา่ วกอ่ นหน้าทีจ่ ะได้รบั การบรรจเุ ป็นขา้ ราชการตาํ รวจให้มีน้าํ หนัก
มากขึ้น ดงั ตัวอย่างคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดต่อไปน้ี
ผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาในคดีอาญาว่ากระทําความผิดฐานร่วมกันทําร้าย
ร่างกายผู้อ่ืน พิพากษาให้ลงโทษจําคุกผู้ฟ้องคดีมีกําหนด ๓ เดือน ปรับ ๑,๐๐๐ บาท โทษจําคุก
ให้รอการลงโทษจําคุกไว้มีกําหนด ๒ ปี และให้ส่งตัวผู้ฟ้องคดีไปรับการฝึกอบรมท่ีสถานพินิจ
๔๐๐ รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และคุ้มครองเด็กและเยาวชนจังหวัดอุบลราชธานี มีกําหนด ๖ เดือน ให้ควบคุมความประพฤติไว้
เป็นเวลา ๒ ปี โดยให้ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก ๓ เดือน ต่อครั้ง ให้เชื่อฟังผู้ปกครอง
ตั้งใจศกึ ษาเล่าเรียน หา้ มประพฤติชั่วหรือคบเพ่ือนชั่ว ห้ามออกนอกท่ีอยู่อาศัยในเวลากลางคืนเว้นแต่
มีเหตุจําเป็น ซึ่งผู้ฟ้องคดีก็ได้ปฏิบัติตามคําพิพากษาดังกล่าวโดยไม่อิดเอื้อน หลังจากนั้น ผู้ฟ้องคดี
ได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยรามคําแหง ซ่ึงเม่ือพิจารณาช่วงเวลาตั้งแต่
ผูฟ้ อ้ งคดกี ระทําผดิ มาจนถงึ ช่วงเวลาทผ่ี ู้ฟอ้ งคดีสอบบรรจเุ ขา้ รับราชการตาํ รวจนับรวมระยะเวลาได้ ๙ ปี
ไมป่ รากฏวา่ ผู้ฟอ้ งคดไี ด้กระทาํ การใดท่ีแสดงถงึ พฤตกิ ารณ์ในลกั ษณะที่ควรถูกตําหนติ เิ ตยี นจากสงั คมอีก
กรณีจึงเห็นได้ว่า ในขณะที่ผู้ฟ้องคดีสมัครเข้ารับราชการตํารวจ แม้ผู้ฟ้องคดีจะเคยกระทําผิดมาก่อน
เม่ือครั้งอายุ ๑๗ ปี ยังเป็นผู้เยาว์ แต่ผู้ฟ้องคดีก็ได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งม่ันท่ีจะปรับปรุงตัวและกลับตัว
เป็นพลเมืองดี อันเป็นผลมาจากการให้โอกาสของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานี
นอกจากน้ี เมื่อพิจารณาเหตุและช่วงเวลาที่ผู้ฟ้องคดีกระทําผิดแล้วเห็นว่า การที่ผู้ฟ้องคดีร่วมกับเพื่อน
ใช้กําลังทําร้ายผู้เสียหายดังกล่าว ส่วนหนึ่งเกิดจากความคึกคะนองตามวัยจึงได้กระทําไปตามสถานการณ์
ท่เี ปน็ อยใู่ นขณะน้ัน ไมไ่ ดเ้ กิดจากการกระทาํ โดยมีเจตนาท่ีมุ่งหวังจะให้เกิดผลร้ายในลักษณะที่มีจิตใจ
ชั่วช้า เม่ือปรากฏภายหลังว่าผู้ฟ้องคดีได้รับบทเรียนจากการกระทําผิดดังกล่าวและมุ่งม่ันท่ีจะกลับตัว
เป็นพลเมืองดี ดังจะเห็นได้จากการปฏิบัติตามคําพิพากษาของศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด
อุบลราชธานี และยังได้ต้ังใจศึกษาเล่าเรียนจนได้รับปริญญาและสอบผ่านการคัดเลือกเข้ารับราชการ
ตํารวจได้ อีกท้ัง พันตํารวจโท ช. ผู้บังคับกองร้อยที่ ๒ กองกํากับการควบคุมฝูงชน ๒ กองบังคับการ
อารักขาและควบคุมฝูงชน ก็ได้ให้คํารับรองว่า ในระหว่างที่ผู้ฟ้องคดีได้รับการบรรจุและแต่งตั้ง
เป็นข้าราชการตํารวจชั้นประทวน ตําแหน่งผู้บังคับหมู่ กองร้อยที่ ๒ กองกํากับการควบคุมฝูงชน ๒
กองบงั คับการอารกั ขาและควบคมุ ฝูงชน ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถ มีความขยันหมั่นเพียร
เอาใจใส่ต่อหนา้ ทร่ี าชการ มคี วามประพฤตดิ ี มีความอุตสาหะต่อการปฏิบัติหน้าท่ีราชการที่ได้รับมอบหมาย
เป็นอย่างดี ไม่มีกิริยาก้าวร้าวหรือกระด้างกระเดื่องต่อผู้บังคับบัญชา ผู้ฟ้องคดีสามารถท่ีจะเป็น
ข้าราชการตํารวจท่ีดีในวันข้างหน้าได้ จากข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมแสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่เป็น
ผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ดังน้ัน การท่ีกองบัญชาการตํารวจนครบาล
(ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒) วินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามกฎ ก.ตร. เดียวกัน ข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) และมีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดี
ออกจากราชการ จึงเป็นการใชด้ ุลพินิจออกคําสั่งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คําพิพากษาศาลปกครอง
สงู สดุ ที่ อ.๖๐๕/๒๕๖๐)
หมายเหตุ
คดีนี้ เหตุผลหลักท่ีศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติ
เสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี คือ การท่ีภายหลังจากศาลในคดีอาญาวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องคดี
กระทําผิดอาญาฐานร่วมกันทําร้ายร่างกายผู้อ่ืนในขณะท่ีมีอายุ ๑๗ ปี เม่ือผู้ฟ้องคดีแสดงให้เห็น
ถึงความมุ่งมั่นท่ีจะกลับตัวเป็นพลเมืองดี ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนจนสําเร็จการศึกษา และสามารถ
สอบผ่านการคัดเลือกเข้าเป็นข้าราชการตํารวจได้ อันเป็นการวินิจฉัยจากคุณสมบัติและประวัติ