รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๐๑
ของผู้ฟ้องคดีที่ปรากฏในวันสมัครเข้ารับราชการตํารวจ ส่วนเหตุผลเก่ียวกับความประพฤติภายหลัง
ได้รับการบรรจุเข้ารับราชการตํารวจนั้น เห็นได้ว่าเป็นเพียงเหตุผลประกอบข้อวินิจฉัยเพ่ือให้มีน้ําหนัก
มากขน้ึ
แม้ขอ้ เท็จจริงจะปรากฏว่า ผู้ฟ้องคดีเคยถูกดําเนินคดีอาญาในข้อหาทําร้าย
ร่างกายก็ตาม แต่เม่ือพิจารณาข้อเท็จจริงที่ได้จากการสอบสวนของพนักงานสอบสวนแล้วจะเห็นว่า
ผู้ฟ้องคดี ผู้ต้องหารายอื่น ๆ และผู้เสียหาย เป็นเพื่อนในวัยเดียวกัน เข้าเรียนในโรงเรียนกวดวิชา
บา้ นนายร้อย ในวันเกิดเหตุ หลังจากท่โี รงเรียนกวดวชิ าไดพ้ าผู้ฟ้องคดี ผตู้ ้องหารายอ่นื ๆ และผู้เสียหาย
ไปสอบเข้าเรียนโรงเรียนเตรียมทหาร หลังจากนั้น ได้ให้เข้าพักรวมกันในหอพักของโรงเรียนกวดวิชา
ดงั กลา่ ว ผูเ้ สยี หายได้เข้าไปเลน่ หยอกลอ้ กนั กับผู้ต้องหาที่ ๑ ต่อมา ผู้ต้องหาท่ี ๑ ก็เข้าไปเล่นหยอกล้อ
กับผู้เสียหายในห้องพัก ขณะนั้นเป็นเวลากลางคืนและในห้องพักปิดไฟ ผู้ฟ้องคดีเมื่อเห็นเพื่อนเล่น
หยอกล้อกันจึงเข้าไปร่วมเล่นด้วย ผู้เสียหายและกลุ่มของผู้ฟ้องคดีใช้หมอนทุบตีกัน ไม่ปรากฏว่า
มีการใช้อาวุธอ่ืนใดในการเล่นกัน และไม่ปรากฏว่าการท่ีผู้เสียหายแขนหักน้ันเกิดจากการกระทํา
ของผูใ้ ด อีกทัง้ ขอ้ เทจ็ จริงไม่ปรากฏวา่ ผูฟ้ อ้ งคดี ผตู้ ้องหารายอื่น และผู้เสียหาย เคยมีเรื่องบาดหมาง
หรือมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน ในขณะนั้นผู้ฟ้องคดีมีอายุเพียง ๑๖ ปี ๖ เดือน ผู้ต้องหารายอื่น
และผู้เสียหาย ก็มีอายุใกล้เคียงกัน เป็นผู้เยาว์และอยู่ในวัยที่มีความคึกคะนอง จึงเห็นว่าเหตุการณ์
ท่ีเกิดข้ึนเป็นการหยอกล้อเล่นกันระหว่างผู้เสียหาย ผู้ฟ้องคดี และผู้ต้องหารายอ่ืน กระทําไป
โดยความคึกคะนองและไม่ได้ยั้งคิดว่าการหยอกล้อเล่นกันนั้นจะมีผลทําให้มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ
การกระทาํ ดงั กลา่ วของผู้ฟ้องคดไี มไ่ ดเ้ กิดจากเจตนาท่ีชั่วร้าย หรือมคี วามม่งุ หมายทจ่ี ะทําร้ายรา่ งกายกัน
และไม่ได้เกิดจากความต้ังใจท่ีจะกระทําผิดกฎหมายแต่อย่างใด ภายหลังเกิดเหตุเมื่อมีการสอบสวน
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นผู้ฟ้องคดีก็ได้ยอมรับว่า เป็นหน่ึงในคนที่ได้ร่วมเล่นกันจนทําให้มีผู้บาดเจ็บ
เมือ่ ถูกดําเนินคดีในศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานี ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัด
อุบลราชธานีพิจารณาแล้วเห็นว่า พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีไม่เป็นภัยร้ายแรงต่อสังคม มีแนวโน้ม
ท่ีจะปรับเปล่ียนพฤติกรรมไปในทางท่ีดีขึ้นได้ จึงได้กําหนดเง่ือนไขในการแก้ไขบําบัดฟื้นฟูไว้ภายใน
เวลาที่กําหนด และเมื่อครบกําหนดผู้ฟ้องคดีก็ได้ปฏิบัติตามเง่ือนไขในการแก้ไขฟ้ืนฟูตามคําสั่งศาล
อย่างครบถ้วน ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดอุบลราชธานีจึงให้ยุติคดีโดยไม่ต้องมีคําพิพากษา
พฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีเม่ือพิจารณาถึงความรู้สึกของวิญญูชนโดยทั่วไปเม่ือทราบข้อเท็จจริงดังกล่าว
ย่อมเห็นได้ว่า การกระทําของผู้ฟ้องคดีเป็นการกระทําท่ีไม่ได้เกิดจากเจตนาอันชั่วร้ายและไม่ถึงขนาด
ที่สังคมจะยอมรับไม่ได้ และการให้ผู้ฟ้องคดีเข้ารับราชการตํารวจก็ไม่กระทบกระเทือนต่อเกียรติ
ของการเป็นข้าราชการตํารวจ ไม่มีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการปฏิบัติหน้าท่ีในฐานะข้าราชการตํารวจ
ดังนั้น พฤติกรรมของผู้ฟ้องคดีจึงยังไม่ถึงขนาดเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
ตามระเบียบสํานักงานตํารวจแห่งชาติ ว่าด้วยแนวทางและหลักเกณฑ์การพิจารณากรณีเป็นผู้ประพฤติ
เส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี พ.ศ. ๒๕๕๗ อันทําให้เป็นผู้มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศ
รับสมัครแต่อย่างใด (คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อบ.๒๙/๒๕๖๑)
๔๐๒ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาในคดีอาญาว่ากระทําผิดฐานร่วมกัน
ทําร้ายร่างกายผู้อื่น จําคุกคนละ ๔ เดือน ปรับคนละ ๔,๐๐๐ บาท ฐานร่วมกันใช้กําลังทําร้ายผู้อ่ืน
โดยไม่ถงึ กับเปน็ เหตใุ ห้เกดิ อันตรายแกก่ ายหรอื จิตใจ ปรับคนละ ๑,๐๐๐ บาท รวมจําคุกคนละ ๔ เดือน
ปรับคนละ ๕,๐๐๐ บาท สําหรับโทษจําคุก ให้รอการลงโทษจําคุกไว้มีกําหนด ๒ ปี ขณะท่ีผู้ฟ้องคดี
กระทําความผิด ผู้ฟ้องคดีมีอายุเพียง ๑๙ ปีเศษ แม้จะมีอายุที่พ้นจากความเป็นเยาวชนที่กําหนด
เกณฑ์อายุไว้ไม่ถึง ๑๘ ปีบริบูรณ์ ตามพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลเยาวชนและครอบครัว
และวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. ๒๕๓๔ ท่ีใช้บังคับในขณะน้ันก็ตาม แต่ก็พ้น
จากเกณฑ์เยาวชนเพียง ๑ ปีเศษ ซึ่งบุคคลที่มีอายุ ๑๙ ปีเศษ กับบุคคลที่มีอายุ ๑๘ ปี ย่อมไม่มี
ความแตกต่างกันในวุฒิภาวะมากนัก ซึ่งการที่ผู้ฟ้องคดีร่วมกับเพื่อนใช้กําลังทําร้ายผู้เสียหายดังกล่าว
ส่วนหน่ึงน่าจะเกิดจากความคึกคะนองตามวัยโดยขาดความย้ังคิด จึงได้กระทําไปตามสถานการณ์
ทเ่ี ป็นอยูใ่ นขณะนั้น ไม่ไดเ้ กดิ จากการกระทาํ โดยมีเจตนาที่มุ่งหวังจะให้เกิดผลร้ายในลักษณะที่มีจิตใจ
ช่ัวร้าย และปรากฏในเวลาต่อมาว่า ผู้ฟ้องคดีได้รับบทเรียนจากการกระทําผิดดังกล่าวและมุ่งมั่น
ท่ีจะกลับตัวเป็นพลเมืองดี โดยผู้ฟ้องคดีได้ศึกษาเล่าเรียนจนจบปริญญาตรีนิติศาสตรบัณฑิต
จากมหาวิทยาลัยรามคําแหง จากน้ันได้สอบผ่านหลักสูตร วิชาว่าความของสํานักฝึกอบรมว่าความ
แห่งสภาทนายความ และสอบไล่ได้ความรู้ชั้นเนติบัณฑิตจากสํานักอบรมศึกษากฎหมาย
แห่งเนติบัณฑิตยสภา อีกท้ังเป็นผู้สอบผ่านภาคความรู้ความสามารถท่ัวไป (ภาค ก.) ภายหลังจากที่
สอบไล่ได้ความรู้ชั้นเนติบัณฑิตแล้ว ผู้ฟ้องคดีได้ไปประกอบอาชีพเป็นพนักงานคุมประพฤติ (ลูกจ้าง
ช่ัวคราว) สังกัดสํานักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร ๑ กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม
รวมเวลาปฏิบัติราชการ ๒ ปี ๗ เดือน และสํานักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร ๑ ได้มีหนังสือ
ให้คํารับรองว่า ในระหว่างวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ถึงวันที่ ๒๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๙ ผู้ฟ้องคดี
ได้เป็นลูกจ้างช่ัวคราว ตําแหน่งพนักงานคุมประพฤติ สังกัดสํานักงานคุมประพฤติกรุงเทพมหานคร ๑
กรมคุมประพฤติ กระทรวงยุติธรรม ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ท่ีมีความรู้ความสามารถในการปฏิบัติหน้าท่ี
ท่ีได้รับมอบหมาย มคี วามประพฤตเิ รียบร้อย ปฏิบัติตามระเบียบแบบแผนของทางราชการเป็นอย่างดี
จากนั้นผู้ฟอ้ งคดีไดล้ าออกเพ่อื ไปประกอบอาชพี เป็นนติ กิ ร (จา้ งเหมาบรกิ าร) สังกัดสํานักงานอัยการพิเศษ
ฝ่ายคดีศาลแขวง ๓ (ดุสิต) โดยเร่ิมปฏิบัติงานตั้งแต่วันท่ี ๑ มีนาคม ๒๕๕๙ จนถึงปัจจุบัน
และสํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีศาลแขวง ๓ (ดุสิต) ได้มีหนังสือให้คํารับรองว่า ในระหว่างวันที่ ๑
มีนาคม ๒๕๕๙ จนถึงปัจจุบัน ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติหน้าท่ีนิติกรของสํานักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดี
ศาลแขวง ๓ (ดุสิต) และเป็นผูท้ ่ีมีความรคู้ วามสามารถ และทักษะในการปฏิบัติงานในหน้าท่ีเป็นอย่างดี
และนับแต่ผู้ฟ้องคดีต้องคําพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าว ได้ล่วงพ้นระยะเวลามาแล้วประมาณ ๔ ปี
นับถึงวันท่ี ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๒ ซ่ึงเป็นวันที่มีประกาศรับสมัครและสอบแข่งขันบุคคลภายนอก
ผู้มีวุฒิปริญญาตรีเพ่ือบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจชั้นประทวน พ.ศ. ๒๕๕๒
เม่ือไม่ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีได้กระทําการใดที่แสดงถึงพฤติการณ์ในลักษณะท่ีควรถูกตําหนิติเตียน
จากสังคมอีก และหลังจากที่ผู้ฟ้องคดีได้รับการบรรจุแต่งต้ังเป็นข้าราชการตํารวจแล้ว ผู้ฟ้องคดี
ก็ได้ตั้งใจปฏิบัติหน้าท่ีราชการเป็นอย่างดี โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าผู้ฟ้องคดีได้ถูกดําเนินการ
รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๐๓
ทางวินัยแต่อย่างใด จึงแสดงให้เห็นว่าผู้ฟ้องคดีได้ประพฤติตนเป็นพลเมืองที่ดี ซ่ึงควรได้รับโอกาส
กลับคืนสู่สังคมและประกอบอาชีพเช่นบุคคลท่ัวไป พฤติการณ์และการกระทําของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว
จึงยังไม่อาจถือว่าเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีถึงขนาดท่ีจะไม่บรรจุผู้ฟ้องคดี
เข้ารับราชการเป็นข้าราชการตํารวจชั้นประทวน ซ่ึงถือว่าเป็นข้าราชการช้ันผู้น้อยได้ แม้ว่าในขณะท่ี
ผู้ฟ้องคดีสมัครเข้ารับราชการตํารวจผู้ฟ้องคดีจะเคยกระทําผิดมาก่อน แต่ผู้ฟ้องคดีก็ได้แสดงให้เห็น
ถงึ ความมุง่ ม่ันทจ่ี ะปรบั ปรงุ ตัวและกลับตัวเป็นพลเมืองดี อนั เป็นผลมาจากการให้โอกาสของศาลแขวง
พระนครเหนือ ดังนั้น การท่ีผู้บัญชาการกองบัญชาการตํารวจนครบาล (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) วินิจฉัยว่า
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี จึงเป็นผู้ขาดคุณสมบัติตามกฎ ก.ตร.
ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒)
และมีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ จึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (คําพิพากษา
ศาลปกครองสุงสุดที่ อบ.๕๐/๒๕๖๒)
๒.๘ พฤติกรรมเก่ียวกับการกระทําพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกิน
สบิ แปดปไี ปเสียจากบดิ ามารดาเพอ่ื การอนาจาร
จากการศึกษาพบว่า มีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดท่ีวินิจฉัยเกี่ยวกับ
พฤตกิ รรมเก่ยี วกบั การกระทําพรากผ้เู ยาวอ์ ายุกว่าสบิ ห้าปแี ตย่ งั ไมเ่ กินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา
เพื่อการอนาจารเพียง ๑ คดี โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า ผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสีย
หรือบกพรอ่ งในศีลธรรมอันดี ดงั ตัวอยา่ งคําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ต่อไปน้ี
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิด
ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๑๙ วรรคหนึ่ง ฐานพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปีแต่ยังไม่เกิน
สิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดาเพ่ือการอนาจาร โดยผู้เยาว์น้ันเต็มใจไปด้วย ให้จําคุก ๖ เดือน
โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้ ๑ ปี ซ่ึงผู้ฟ้องคดีกระทําความผิดทางอาญาดังกล่าว ในขณะท่ีมีอายุ
๑๗ ปีเศษ เป็นวัยที่รู้จักแยกแยะได้แล้วว่าอะไรดีอะไรช่ัว อะไรถูกอะไรผิด อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา
เม่ือพิจารณาเก่ียวกับภารกิจของข้าราชการตํารวจและประวัติของผู้ฟ้องคดีที่เคยกระทําความผิด
และถูกลงโทษทางอาญาดังกล่าว ย่อมเป็นการเพียงพอที่วิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่า
ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ที่ อบ.๕๔/๒๕๖๐)
๒.๙ พฤติกรรมทาํ ใหเ้ สียทรัพย์
จากการศึกษาพบว่า มีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดท่ีวินิจฉัยเก่ียวกับ
พฤติกรรมทาํ ให้เสียทรัพย์เพียง ๑ คดี โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า พยานหลักฐานในคดียังไม่พอ
ฟังได้ว่าผู้ฟ้องคดีกระทําผิดตามที่ถูกกล่าวหา อันจะถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี ดงั ตวั อย่างคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดตอ่ ไปน้ี
๔๐๔ รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
จากพฤติการณ์และการกระทําของผู้ฟ้องคดีตามท่ีปรากฏในรายงาน
การสอบสวนของสถานีตํารวจภูธรสัตหีบ ลงวันที่ ๓ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ผู้ฟ้องคดีถูกกล่าวหาว่า
กระทําความผิดฐานร่วมกันทําให้เสียทรัพย์เพียงข้อหาเดียว โดยข้อกล่าวหาในส่วนการกระทํา
ของผู้ฟ้องคดีน้ัน กล่าวหาว่าผู้ฟ้องคดีกับพวกใช้ไม้เบสบอลและก้อนหินขว้างไปท่ีรถของผู้กล่าวหา
เมือ่ ผ้กู ลา่ วหาได้ขับรถหนีเข้าไปในซอย พ.ร่วมแสนสุข (ซอย ๔) ผู้ฟ้องคดีกับพวกได้ขี่รถจักรยานยนต์
ตามเข้าไปและใช้ไม้เบสบอลตีไปท่ีกระจกหน้ารถจํานวนหลายครั้ง ผู้กล่าวหาจึงได้ขับรถออกมา
ทีป่ ากซอย ๔ เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าปากซอยบ่อนไก่ โดยมีผู้ฟ้องคดีกับพวกถือไม้ไล่ติดตาม โดยในช้ันสอบสวน
ผู้ฟ้องคดีได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ต่อมา ผู้กล่าวหาได้ถอนคําร้องทุกข์ อัยการจังหวัดพัทยา
จึงมีคําสั่งยุติการดําเนินคดีผู้ฟ้องคดีในข้อหาร่วมกันทําให้เสียทรัพย์ดังกล่าวตามมาตรา ๓๙ (๒)
แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กรณีจึงยังไม่ปรากฏพยานหลักฐานท่ีชัดเจนว่า ผู้ฟ้องคดี
ได้กระทําความผิดตามท่ีกล่าวหา และเมื่อยังมิได้มีการพิสูจน์ความผิดว่าผู้ฟ้องคดีมีพฤติกรรม
และการกระทําที่เป็นความผิดตามที่กล่าวหาหรือไม่ พฤติกรรมและการกระทําของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว
จงึ ยงั ไม่อาจช้ีได้ว่าเป็นการกระทําท่ีวิญญูชนโดยท่ัวไปไม่พึงกระทําหรือไม่ และเป็นการกระทําท่ีสังคม
ยอมรับได้หรือไม่ รวมทั้งการกระทําดังกล่าวมีผลกระทบต่อภาพลักษณ์ในการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะ
ขา้ ราชการตํารวจหรือไม่ อนั จะถือได้ว่าผฟู้ ้องคดีเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
(คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อบ.๓๗/๒๕๖๑)
๒.๑๐ พฤติกรรมดหู มิน่ เจ้าพนกั งานในการปฏิบตั หิ นา้ ท่ี
จากการศกึ ษาพบว่า มีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่วินิจฉัยเก่ียวกับ
พฤติกรรมดูหม่ินเจ้าพนักงานในการปฏิบัติหน้าท่ีเพียง ๑ คดี โดยศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า
พฤติการณ์ของผู้ฟ้องคดีเป็นข้อเท็จจริงท่ีเพียงพอที่วิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่าเป็นพฤติการณ์
ที่ไม่ควรกระทํา ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
ดังตัวอยา่ งคาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดตอ่ ไปนี้
ผู้ฟ้องคดีเคยต้องคําพิพากษาของศาลในคดีอาญาว่ากระทําความผิด
ฐานดูหม่ินเจ้าพนักงานซึ่งกระทําการตามหน้าที่ ให้ลงโทษจําคุก ๒ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท
โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๑ ปี โดยข้อเท็จจริงในสํานวนคดีอาญารับฟังได้ว่า
ขณะท่ีผู้ฟ้องคดีขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านจุดตรวจของเจ้าหน้าที่ตํารวจ เจ้าหน้าท่ีตํารวจผู้เสียหาย
ได้ให้สัญญาณเรียกให้หยุดเพ่ือขอตรวจสอบใบอนุญาตขับข่ี และขอตรวจเอกสารเกี่ยวกับตัวรถ
ทาํ ให้ผฟู้ อ้ งคดไี ม่พอใจ และกล่าวถอ้ ยคาํ ดหู ม่นิ ผ้เู สียหาย ซ่ึงในคดีอาญาดังกล่าวศาลฟังว่า การตั้งจุดสกัด
ตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตํารวจ และการที่เจ้าหน้าท่ีตํารวจเรียกให้ผู้ฟ้องคดีซึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์
ผ่านมาเพ่ือขอตรวจสอบใบขับข่ีและเอกสารเกี่ยวกับตัวรถ เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบ พฤติกรรม
การกระทําของผู้ฟ้องคดีที่ไม่พอใจการปฏิบัติหน้าท่ีของเจ้าหน้าที่ตํารวจและกล่าวคําผรุสวาทจึงเป็น
การดหู มิน่ เจ้าพนักงานในการปฏิบตั ิการตามหน้าที่ อนั เป็นพฤติกรรมที่วิญญูชนโดยทั่วไปไม่พึงกระทํา
อีกท้ัง ขณะกระทําความผิดผู้ฟ้องคดีมีอายุ ๒๒ ปี ๒ เดือน ซึ่งบรรลุนิติภาวะแล้ว ประการสําคัญ
รวมเรอื่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๐๕
ข้อเท็จจริงรับฟังได้ด้วยว่า ผู้ฟ้องคดีรู้อยู่แล้วว่าตนเคยถูกดําเนินคดีอาญาในข้อหาดูหม่ินเจ้าพนักงาน
ซ่งึ กระทาํ การตามหน้าที่ และศาลในคดีอาญาพิพากษาให้ลงโทษจําคุก ๒ เดือน และปรับ ๑,๐๐๐ บาท
โทษจําคุกให้รอการลงโทษไว้มีกําหนด ๑ ปี แต่ได้ระบุในใบสมัครสอบคัดเลือกว่าไม่เคยมีประวัติ
ทางอาญา จากข้อเท็จจริงดังกล่าวเห็นได้ว่า ผู้ฟ้องคดีมีประวัติทางคดีอาญาแต่ได้ปกปิดข้อมูลประวัติ
ทางคดีอาญาของตน และคดีอาญานั้น แม้ผู้ฟ้องคดีไม่ได้รับโทษจําคุกโดยคําพิพากษาถึงท่ีสุดให้จําคุก
อันจะเป็นเหตุท่ีอาจทําให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ขาดคุณสมบัติในการบรรจุเข้ารับราชการเป็นข้าราชการ
ตํารวจตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๔) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ก็ตาม แต่เม่ือพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า การที่ผู้ฟ้องคดีต้องหา
คดีอาญาตามพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นข้อเท็จจริงที่เพียงพอท่ีวิญญูชนจะลงความเห็นได้แล้วว่า
เป็นพฤติการณ์ท่ีไม่ควรกระทํา เมื่อคณะอนุกรรมการดําเนินการสอบคัดเลือกฯ ได้นําผลการตรวจสอบ
ประวตั คิ ดีอาญาดังกล่าวของผ้ฟู อ้ งคดีเสนอเข้าท่ีประชุมเพื่อพิจารณา และมีมติว่าการกระทําความผิด
อาญาของผู้ฟ้องคดีดังกล่าว เป็นพฤติการณ์และการกระทําที่ถือว่าเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี และต่อมาคณะกรรมการดําเนินการรับสมัครและคัดเลือก
บุคคลภายนอกผู้มีวุฒิประกาศนียบัตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ
หรือเทียบเท่า เพ่ือบรรจุเป็นนักเรียนนายสิบตํารวจ พ.ศ. ๒๕๕๗ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๓) ได้ประชุม
พิจารณาและมีมติเห็นด้วยกับมติของคณะอนุกรรมการดําเนินการสอบคัดเลือกฯ และผู้บัญชาการ
ตํารวจภูธรภาค ๑ (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒) ได้พิจารณาเห็นด้วยกับมติดังกล่าว กรณีจึงถือได้ว่าเจ้าหน้าที่
ที่มีหน้าท่ีรับผิดชอบในการดําเนินการรับสมัครและคัดเลือกได้ใช้ดุลพินิจวินิจฉัยแล้วว่าผู้ฟ้องคดี
เป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี อันเป็นลักษณะต้องห้ามของการเป็น
ข้าราชการตํารวจ เม่ือไม่ปรากฏว่าการใช้ดุลพินิจดังกล่าวเป็นการเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
กรณีจึงเป็นการใช้ดุลพินิจโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว การที่ผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกประกาศตํารวจภูธร
ภาค ๑ เร่ือง ประกาศรายชื่อผู้ได้รับคัดเลือกเรียงตามลําดับและผู้ได้รับคัดเลือกสํารอง ในการรับสมัคร
และคัดเลือกบุคคลภายนอกผู้มีวุฒิประกาศนียบัตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลายหรือประกาศนียบัตร
วิชาชีพหรือเทียบเท่า เพื่อบรรจุและแต่งตั้งเป็นนักเรียนนายสิบตํารวจ พ.ศ. ๒๕๕๗ ลงวันท่ี ๒๔
ตุลาคม ๒๕๕๗ ให้ผู้ฟ้องคดีมีช่ืออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้มีคุณสมบัติไม่เป็นไปตามประกาศรับสมัคร
จึงชอบด้วยกฎหมาย ไม่มีเหตุท่ีศาลจะส่ังเพิกถอนประกาศดังกล่าว (คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด
ท่ี อบ.๙๒/๒๕๖๑)
๒.๑๑ พฤตกิ รรมถูกดําเนนิ คดอี าญาขอ้ หาเป็นทหารกองเกินรับหมายเรียกแล้ว
ไมไ่ ปให้คณะกรรมการตรวจเลือกเพ่ือเข้ารบั ราชการเป็นทหาร
จากการศึกษาพบว่า มีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดที่วินิจฉัยเกี่ยวกับ
พฤติกรรมถูกดําเนินคดีอาญาข้อหาเป็นทหารกองเกินรับหมายเรียกแล้วไม่ไปให้คณะกรรมการ
ตรวจเลือกเพื่อเข้ารับราชการเป็นทหารเพียง ๑ คดี โดยศาลปกครองสูงสุดศาลให้นํ้าหนัก
กับข้อเท็จจริงที่ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับการผ่อนผันการเข้ารับการตรวจเลือกเพ่ือเข้ารับราชการทหาร
๔๐๖ รวมเร่ืองเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
กองประจําการ เพียงแต่ไม่นําหลักฐานมาแสดงต่อคณะกรรมการตรวจเลือก ประกอบกับพฤติกรรม
ของผู้ฟ้องคดีท่ีต่อมาเมื่อผู้ฟ้องคดีทราบว่าตนกระทําความผิดก็ได้ไปติดต่อสัสดีอําเภอ และได้มอบตัว
ต่อพนักงานสอบสวนด้วยตนเอง ต่อมายังได้ไปรายงานตัวเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกิน
และได้เข้ารับราชการทหารเป็นเวลา ๑ ปี จึงวินิจฉัยว่า เม่ือประมวลพฤติกรรมและข้อเท็จจริง
ดังกล่าวทั้งหมดของผู้ฟ้องคดีแล้ว ผู้ฟ้องคดีหาได้ทําตนถึงขนาดเป็นผู้ประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่อง
ในศลี ธรรมอันดไี ม่ ดังตัวอยา่ งคําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ต่อไปนี้
แม้จะเห็นได้ชัดว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้กระทําความผิดจนศาลจังหวัดพัทลุง
ได้มีคําพิพากษาจําคุกผู้ฟ้องคดี ๒ เดือน โดยให้รอการลงโทษ ๒ ปี ในข้อหาเป็นทหารกองเกิน
รับหมายเรียกแล้วไม่ไปให้คณะกรรมการตรวจเลือกเพื่อเข้ารับราชการเป็นทหาร แต่หากพิจารณา
ถึงพฤติกรรมและข้อเท็จจริงของผู้ฟ้องคดีท่ีปรากฏในสํานวนคดีแล้ว ปรากฏว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ได้รับ
การผ่อนผันการเข้ารับการตรวจเลือกเพ่ือเข้ารับราชการทหารกองประจําการ แต่ไม่นําหลักฐาน
มาแสดงต่อคณะกรรมการตรวจเลือกว่าตนเป็นผู้ได้รับการผ่อนผันเท่านั้น มิได้เป็นผู้หลีกเลี่ยงขัดขืน
ไม่มาให้คณะกรรมการตรวจเลือกทําการตรวจเลือกอันเป็นการหลบหนีราชการทหาร อีกทั้ง
เมื่อผู้ฟ้องคดีทราบว่าตนกระทําความผิดก็ได้ไปติดต่อสัสดีอําเภอ และได้มอบตัวต่อพนักงานสอบสวน
ด้วยตนเอง ต่อมายังได้ไปรายงานตัวเข้ารับการตรวจเลือกทหารกองเกินเม่ือวันท่ี ๕ เมษายน ๒๕๔๘
และได้เข้ารับราชการทหารเป็นเวลา ๑ ปี เมื่อประมวลพฤติกรรมและข้อเท็จจริงดังกล่าวท้ังหมด
ของผู้ฟอ้ งคดีแล้ว ผู้ฟอ้ งคดหี าไดท้ ําตนถึงขนาดเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีไม่
ดังน้ัน ประกาศตํารวจภูธรภาค ๙ ลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๕๐ เร่ือง ประกาศรายช่ือผู้สอบได้
การสอบแข่งขันบุคคลภายนอกเข้าเป็นนักเรียนนายสิบตํารวจประจําปี ๒๕๕๐ โดยกําหนดให้ผู้ฟ้องคดี
อยู่ในบัญชีรายชื่อผู้ขาดคุณสมบัติและไม่ผ่านภาคความเหมาะสมกับตําแหน่ง การสอบแข่งขัน
บุคคลภายนอกเข้าเป็นนักเรียนนายสิบตํารวจประจําปี ๒๕๕๐ สาย นสต. ๑ หน่วยสอบตํารวจภูธร
ภาค ๙ จงึ ไมช่ อบด้วยกฎหมาย (คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๙๔๖/๒๕๕๖)
๓. บทสรุป
จากผลการศึกษาแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดพบว่า ในการพิจารณา
พฤติการณ์ที่จะถือว่าผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีตามข้อ ๒
วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ
พ.ศ. ๒๕๔๗ อาจสรปุ หลกั การสําคญั ทศ่ี าลปกครองสูงสดุ ได้วางหลกั ไว้ได้ ดังน้ี
๓.๑ แม้ในการพิจารณาว่า พฤติการณ์ใดท่ีผู้กระทําเป็นผู้มีความประพฤติ
เสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ จะเป็นดุลพินิจของฝ่ายปกครอง
ท่ีจะพิจารณา แต่ศาลก็มีอํานาจในการตรวจดุลพินิจวินิจฉัยของฝ่ายปกครองได้ว่าฝ่ายปกครอง
ได้ใช้ดุลพินิจโดยอาศัยข้อเท็จจริงท่ีถูกต้อง และเป็นข้อเท็จจริงที่มีอยู่จริงในขณะใช้ดุลพินิจ
และการใชด้ ุลพินจิ นัน้ มิได้เป็นการเลอื กปฏบิ ตั หิ รือเปน็ การใช้ดุลพนิ จิ โดยไม่เป็นธรรมหรือไม่
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๐๗
๓.๒ ลักษณะต้องหา้ มตามทีก่ ฎหมายกําหนดใช้กบั ตวั ผู้สมัครสอบเป็นการเฉพาะราย
ไม่ครอบคลมุ ไปถงึ คุณสมบัตขิ องบดิ ามารดาของผสู้ มัครสอบด้วย
๓.๓ โดยหลักการแล้ว ข้อเท็จจริงท่ีศาลจะนํามาใช้ในการพิจารณาว่า ผู้สมัคร
เข้ารับราชการเป็นตํารวจเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีตามข้อ ๒
วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ
พ.ศ. ๒๕๔๗ หรอื ไม่ ต้องพจิ ารณาจากคณุ สมบตั แิ ละประวัติของผูน้ ้ันท่ปี รากฏในวันสมัครเข้ารับราชการ
ตํารวจ แต่ศาลอาจนําข้อเท็จจริงท่ีปรากฏภายหลังมาประกอบเป็นข้อสนับสนุนข้อวินิจฉัยของศาล
ให้มีความหนกั แน่นยง่ิ ขนึ้ ได้
๓.๔ ในการพิจารณาว่า ผู้สมัครเข้ารับราชการเป็นตํารวจเป็นผู้มีความประพฤติ
เสื่อมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือไม่ ไม่อาจพิจารณาแต่เพียงว่า
บคุ คลดงั กล่าวเคยต้องโทษหรือเคยถกู วนิ ิจฉัยวา่ กระทาํ ความผดิ ในคดอี าญาหรอื ไม่แตเ่ พียงประการเดียว
หากแต่ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงและพฤติการณ์เป็นกรณี ๆ ไป เช่น ช่วงวัยที่กระทําความผิด เป็นช่วงที่
บุคคลดังกล่าวสามารถแยกแยะได้แล้วหรือไม่ว่า อะไรดี อะไรช่ัว อะไรถูก อะไรผิด อะไรควรทํา
อะไรไม่ควรทํา โดยไม่จําเป็นว่าผู้กระทําจะต้องบรรลุนิติภาวะแล้วเสมอไป ที่จะเป็นผู้รู้ผิด รู้ชอบ
ในสิง่ ท่ีกลา่ วมานัน้ นอกจากนี้ สาเหตทุ ี่ก่อใหเ้ กิดการกระทาํ ความผดิ ก็เป็นส่งิ ท่ีพงึ ต้องนํามาพิจารณาด้วย
เน่ืองจากข้อเท็จจริงดังกล่าวจะนําไปสู่ข้อวินิจฉัยที่ว่า มีเหตุท่ีจะนํามาผ่อนปรน หรือพิจารณาว่า
เป็นการกระทําความผิดโดยมีสถานการณ์พิเศษหรือไม่ ซึ่งเหตุดังกล่าว แม้จะทําให้บุคคลดังกล่าว
ต้องได้รับโทษในทางอาญา แต่ก็อาจเป็นสาเหตุที่ทําให้ผู้มีอํานาจพิจารณาเห็นว่าเป็นกรณีที่
เข้าข้อยกเว้นให้บรรจุเข้ารับราชการตํารวจได้ แม้บุคคลดังกล่าวจะมีประวัติเคยต้องโทษในคดีอาญา
มากอ่ น
๓.๕ ในกรณีของบุคคลท่ีเคยถูกดําเนินคดีอาญา แม้ว่าในที่สุดพนักงานอัยการ
จะสั่งไม่ฟ้องด้วยเหตุผลในทางกฎหมายบางประการ หรือในกรณีมีการฟ้องคดีต่อศาลในคดีอาญา
แตศ่ าลในคดอี าญามคี ําพิพากษายกฟอ้ ง หากเปน็ กรณที ศ่ี าลยกฟ้องด้วยเหตยุ กประโยชน์แห่งความสงสัย
ให้จําเลย หรือมีการถอนฟ้อง ย่อมถือเป็นกรณีที่ยังไม่มีคําพิพากษาของศาลนั้นว่าบุคคลดังกล่าว
ไม่ได้กระทําความผิด ศาลปกครองย่อมมีอํานาจท่ีจะพิจารณาข้อเท็จจริงต่าง ๆ โดยละเอียดได้
ไมว่ า่ จากสาํ นวนการสอบสวนของพนกั งานสอบสวนหรือขอ้ เท็จจริงที่ปรากฏในคดีอาญา หากข้อเท็จจริง
ที่ปรากฏทําให้ศาลปกครองเชื่อได้ว่า บุคคลดังกล่าวน่าจะมีความเก่ียวข้องกับการกระทําความผิด
ศาลปกครองอาจวนิ จิ ฉัยวา่ บคุ คลดงั กลา่ วเป็นผมู้ คี วามประพฤตเิ สอื่ มเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
ตามข้อ ๒ วรรคหนึง่ (๒) ของกฎ ก.ตร. วา่ ดว้ ยคณุ สมบัตแิ ละลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการ
ตาํ รวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้
๓.๖ ในการพิจารณาว่า ผู้สมัครเข้ารับราชการเป็นตํารวจเป็นผู้มีความประพฤติ
เส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติ
และลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ หรือไม่ ฝ่ายปกครองจะต้องพิจารณา
๔๐๘ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ให้สอดคล้องกับกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ บรรทัดฐานของสังคม ผลกระทบต่อภาพลักษณ์
ของการเป็นข้าราชการตํารวจ มาตรฐานการบริหารงานบุคคล รวมถึงภารกิจของข้าราชการตํารวจ
ด้วยเหตุนี้ พฤติการณ์บางลักษณะแม้อาจจะพอท่ีจะยอมรับให้สามารถบรรจุเข้ารับราชการ
ในบางตําแหน่งได้ แต่อาจจะไม่เหมาะกับการให้บรรจุเข้ารับราชการตํารวจ เช่น พฤติการณ์ที่เกี่ยวข้อง
กับยาเสพติด ดังท่ีคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดในระยะหลังได้วางแนวทางไว้ แม้ว่าจะมี
มติคณะรัฐมนตรีวางแนวทางให้ผู้ที่เคยมีประวัติการเสพหรือติดยาเสพติด ซึ่งพ้นสภาพจากการใช้
ยาเสพติด หรือได้ผ่านการบําบัดรักษาของทางราชการ หรือสภาบําบัดรักษาท่ีได้รับการรับรอง
จากทางราชการ โดยได้รับการรับรองจากแพทย์ หรือสถานบําบัดน้ัน ๆ ท่ีสามารถปฏิบัติหน้าท่ีได้
มีสิทธิที่จะสมัครสอบแข่งขันหรือคัดเลือกเพื่อบรรจุเป็นข้าราชการ พนักงาน หรือลูกจ้าง รวมท้ัง
เข้ารับการศึกษา และการรับทุนการศึกษาได้ ดังเช่นบุคคลท่ัว ๆ ไป โดยให้ดําเนินการด้วยความเสมอภาค
ตามระบบคุณธรรม รวมถึงการพิจารณาตําแหน่งงานให้เหมาะสมก็ตาม แต่ศาลปกครองสูงสุด
ก็วินิจฉัยวางหลักการว่า การถือและปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล
และที่สําคัญจะขัดหรือแย้งกับกฎหมายที่สํานักงานตํารวจแห่งชาติหรือข้าราชการตํารวจต้องปฏิบัตินั้น
หาได้ไม่ มติคณะรัฐมนตรีดังกล่าวจึงมีผลเป็นเพียงแนวทางให้ผู้มีอํานาจปฏิบัติในฐานะที่เป็นคําสั่ง
ของผู้บังคับบัญชาซึ่งส่ังการผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทราบถึงแนวทางที่ควรจะปฏิบัติในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง
เป็นการภายในเท่าน้ัน หามีผลเป็นการจํากัดดุลพินิจของผู้มีอํานาจว่าจะต้องวินิจฉัยว่าการเสพ
หรือติดยาเสพติดไม่ถือเป็นผู้ประพฤติเสื่อมเสียทุกกรณีไม่ ด้วยเหตุน้ี เม่ือข้าราชการตํารวจ
เป็นเจ้าพนักงานที่มีอํานาจหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเพ่ือป้องกันและปราบปรามการกระทํา
ความผิดทางอาญา รักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยของประชาชน และเป็นเจ้าหน้าที่
ในกระบวนการยุติธรรมช้ันต้น ข้าราชการตํารวจจึงมีความจําเป็นต้องใช้บุคลากรท่ีมีประวัติซ่ึงแสดงถึง
การเป็นผู้ประพฤติตนอยู่ภายใต้กฎหมายและศีลธรรมอันดี ท้ังน้ี เพ่ือสร้างความเชื่อม่ันและศรัทธา
แก่ประชาชนวา่ ข้าราชการตาํ รวจผนู้ ้นั จะสามารถพิทกั ษ์กฎหมายทต่ี นมีอํานาจหน้าที่ในการบังคับใช้ไว้ได้
บคุ คลทมี่ ปี ระวตั เิ สพยาเสพตดิ จึงถือไดว้ ่าเป็นผมู้ ีความประพฤติเส่ือมเสียหรือบกพร่องในศีลธรรมอันดี
ตามขอ้ ๒ วรรคหนง่ึ (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าดว้ ยคณุ สมบตั แิ ละลักษณะต้องห้ามของการเป็นข้าราชการ
ตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ซึ่งการพิจารณาเช่นนี้ไม่อาจถือว่าเป็นการไม่ให้โอกาสในการกลับตัวเป็นคนดี
ในการให้บุคคลดังกล่าวกลับคืนสู่สังคมแต่อย่างใด หากแต่บุคคลดังกล่าวยังมีโอกาสเข้าทํางาน
หรือมโี อกาสได้รบั การบรรจุเขา้ รบั ราชการในตําแหนง่ หนา้ ท่ีอน่ื ได้ เพียงแต่ไม่ใช่ในตําแหน่งข้าราชการ
ตํารวจซึ่งมีอํานาจหน้าท่ีในการบังคับใช้กฎหมาย ที่ต้องได้รับความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชน
เป็นการเฉพาะ เพราะหากเปิดโอกาสให้บุคคลท่ีมีประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติดเข้ามาเป็นข้าราชการ
ตํารวจ ย่อมเป็นที่เคลือบแคลงสงสัยของประชาชนถึงความบริสุทธ์ิยุติธรรมของเจ้าหน้าที่ผู้นั้น
ว่าจะปฏบิ ัตหิ น้าที่ดว้ ยความถกู ตอ้ ง ยดึ มน่ั ในกฎหมายจริงหรอื ไม่
๓.๗ โดยท่ีคําส่ังแต่งตั้งยศและบรรจุแต่งตั้งข้าราชการตํารวจช้ันประทวน
เป็นคําส่ังทางปกครองที่มีลักษณะเป็นการให้ประโยชน์ ดังนั้น ในการเพิกถอนคําสั่งทางปกครอง
ดังกล่าวด้วยเหตุตรวจสอบพบในภายหลังว่า ข้าราชการตํารวจผู้นั้นเป็นผู้มีความประพฤติเสื่อมเสีย
รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๔๐๙
หรือบกพร่องในศีลธรรมอันดีตามข้อ ๒ วรรคหนึ่ง (๒) ของกฎ ก.ตร. ว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะ
ต้องห้ามของการเป็นข้าราชการตํารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงต้องกระทําภายใน ๙๐ วัน นับแต่ได้รู้ถึงเหตุ
ที่จะให้เพิกถอนคาํ ส่ังทางปกครองนน้ั ตามมาตรา ๔๙ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
๓.๘ พระราชบัญญัติล้างมลทินไม่มีผลลบล้างการกระทําท่ีเข้าลักษณะต้องห้าม
ในการรับราชการตํารวจ หากแต่มีผลเพยี งให้ถอื ว่าบุคคลท่ีกระทําผิดไม่เคยถูกลงโทษเท่าน้ัน มิได้มีผล
ถงึ กบั ใหถ้ ือวา่ ความประพฤติของบุคคลทเ่ี ป็นเหตุให้ต้องรับโทษน้นั ถูกล้างไปด้วย
รวมเรือ่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกรด็ คดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ประธานคณะทํางาน ผอู้ ํานวยการสาํ นักวจิ ัยและวิชาการ
นายปยิ ะศาสตร์ ไขว้พนั ธุ์
คณะทาํ งาน นางสาวธันวรัตน์ ธนพทิ กั ษ์ นางสาวอมุ าภรณ์ สุนทรนนั ท
นายวริ ยิ ะ วัฒนสชุ าติ นายไชยรตั น์ แขวงโสภา นางสาวพจนยี ์ แดนประเทือง
นางสาวอมรรัตน์ กนั ไชย นางสาววศนิ ี ใจแจม่ นางสาวสุชาดา ศรีเกลี้ยง
นางสาววรวรรณ ชลนิ ทรวัฒน์ นายพชั รพล เตยี วัฒนานนท์ นางสาวนศุ ณา แกว้ มา
นายสาธิต ศรีทอง นางสาววิภาวี อยุ่ ถาวร นางสาวมยุรฉตั ร วุฒิยาน
นายชวิศ เหลา่ ปยิ สกุล นางสาวกานตช์ ิตา ชิตานนท์ นางสาวปณั ณธร เพญ็ ศริ พิ ันธ์
นายสรวศิ เรม่ิ สุกรี นายศาสตรา วงศ์วทิ ย์
นางสาวพิศารยา เลิศรฐั การ
บรรณาธกิ าร
นางสาววรวรรณ ชลนิ ทรวัฒน์
นางสาวปณั ณธร เพญ็ ศิรพิ นั ธ์
นางสาวอรณชิ า โฉมวัฒนา