รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๕๑
(๒) หลักฐานแสดงความเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ หรือเป็นผู้มีสิทธิครอบครอง
หรือเป็นผู้มีอํานาจหน้าท่ีดูแลรักษาท่ีดินท่ีติดต่อกับแม่น้ํา ลําคลอง บึง อ่างเก็บน้ํา ทะเลสาบ อันเป็น
ทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านนํ้าไทย
หรือบนชายหาดของทะเลดงั กล่าว
(๓) แบบแปลนและรายละเอียดของอาคารหรือส่ิงอื่นใดท่ีขออนุญาตปลูกสร้าง
ล่วงลํ้าลําแม่นํ้าต้องมีผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสาขาวิศวกรรมโยธาตามกฎหมายว่าด้วย
วิชาชีพวิศวกรรมเป็นผู้รับรอง เว้นแต่อาคารหรือสิ่งอ่ืนใดที่ขออนุญาตปลูกสร้างล่วงลํ้าลําแม่น้ํานั้น
จะมีขนาดเล็ก และโครงสร้างทําด้วยไม้หรือวัสดุอ่ืนที่ไม่คงทนถาวร ไม่จําต้องมีผู้ประกอบวิชาชีพ
วิศวกรรมควบคุมสาขาวิศวกรรมโยธารับรอง
(๔) แผนผังแสดงบรเิ วณที่ขออนญุ าตและบริเวณใกลเ้ คียง
(๕) หนังสือของจังหวัดท่ีอาคารหรือส่ิงอื่นใดท่ีขออนุญาตปลูกสร้างล่วงลํ้าลําแม่นํ้า
ต้ังอยู่ รับรองว่าไม่เป็นอุปสรรคต่อแผนพัฒนาจังหวัด ผังเมือง และการรักษาสภาพแวดล้อม
ของจงั หวัด
(๖) รายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมซ่ึงต้องปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วย
การสง่ เสริมและรกั ษาคณุ ภาพสิ่งแวดล้อมแหง่ ชาติ
(๗) หลักฐานหรือเอกสารอ่ืนที่เก่ียวข้องที่อธิบดีกรมเจ้าท่ากําหนดโดยประกาศ
ในราชกิจจานเุ บกษา
ท้ังนี้ ในกรณีท่ีผู้ย่ืนคําขอเป็นนิติบุคคล ให้ย่ืนคําขอพร้อมสําเนาหนังสือรับรอง
การจดทะเบียนนิติบุคคลที่ระบุช่ือผู้มีอํานาจลงนามผูกพันนิติบุคคล และหลักฐานเอกสาร
ตามวรรคหนึ่ง (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) ส่วนในกรณีท่ีผู้ยื่นคําขอเป็นส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ
หรอื หน่วยงานอนื่ ของรฐั ใหย้ ่ืนคําขอพร้อมหลกั ฐานและเอกสารตาม (๓) (๔) (๕) และ (๖)
ลักษณะของอาคารหรือสงิ่ ล่วงล้ําลาํ นํา้ ทพ่ี ึงอนญุ าตใหก้ อ่ สรา้ งได้
สําหรับลกั ษณะของอาคารและส่ิงล่วงล้ําลํานํ้าท่ีพึงอนุญาตได้น้ัน ข้อ ๔ ของกฎกระทรวง
ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ ประกอบกับประกาศกรมเจ้าท่า ท่ี ๒๕๑/๒๕๔๑ เรื่อง ลักษณะของอาคาร
และการลว่ งล้าํ ลําแมน่ ้ําทพ่ี ึงอนญุ าตได้ ลงวันท่ี ๒๒ มิถนุ ายน ๒๕๔๑ ไดก้ าํ หนดไวด้ ังต่อไปน๖้ี
๑. ท่าเทียบเรือ ต้องมีโครงสร้างท่ีไม่ทําให้ทิศทางการไหลของนํ้าเปล่ียนแปลง
มีช่องโปร่งระหว่างเสาไม่น้อยกว่า ๓ เมตร พื้นท่าเทียบเรือในแม่น้ํา ลําคลอง บึง อ่างเก็บนํ้า
ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน ต้องไม่มีลักษณะเป็น
แผ่นคอนกรีตปิดทึบตลอด ให้มีช่องว่างเพ่ือให้แสงแดดส่องผ่านถึงพ้ืนน้ําใต้ท่าได้ และไม่มีสิ่งก่อสร้าง
อื่นใดบนพื้นท่าเทียบเรือ นอกจากส่ิงก่อสร้างที่จําเป็นอันเป็นส่วนประกอบของท่าเทียบเรือนั้น
ปลายสุดของท่าเทียบเรือต้องไม่เกินแนวนํ้าลึกหน้าท่าเม่ือน้ําลงต่ําสุดลึกกว่าอัตรากินน้ําลึกเต็มที่
๖ รายการที่ ๑. ถงึ รายการที่ ๗. เปน็ ไปตามทีข่ อ้ ๔ ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบญั ญัติการเดินเรอื ในนา่ นนํ้าไทย พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๖ กาํ หนดไว้
๕๒ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ของเรือที่เข้าเทียบท่าตามความจําเป็น โดยคํานึงถึงขนาดเรือและลักษณะภูมิประเทศ แต่ท้ังน้ี
ต้องไม่เกิน ๑ ใน ๓ ของความกว้างของแม่น้ํา รวมท้ังต้องสร้างตามแนวเขตท่ีดินท่ีผู้ขออนุญาต
มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองเป็นแนวตรงยื่นจากฝ่ัง และท่าเทียบเรือท่ีผ่านชายหาดต้องไม่ปิดกั้น
การทีป่ ระชาชนจะใชส้ อยหรือเดนิ ผา่ นชายหาด
๒. สะพานปรับระดับและโป๊ะเทียบเรือ สะพานปรับระดับต้องมีขนาดที่เหมาะสม
กับโป๊ะเทียบเรือ มีราวลูกกรงท่ีแข็งแรงทั้งสองด้าน และความลาดชันของสะพานต้องไม่มากกว่า
๑:๒ เมื่อน้ําลงตํ่าสุด ส่วนโป๊ะเทียบเรือต้องมีโครงสร้างท่ีแข็งแรง ทนทาน และมีความปลอดภัย
มีอัตราการลอยตัวสูงโดยเม่ือรับนํ้าหนักสูงสุดแล้วพ้ืนของโป๊ะเทียบเรือต้องอยู่สูงจากระดับนํ้า
ไมน่ อ้ ยกว่า ๔๐ เซนติเมตร และมีราวลกู กรงท่แี ข็งแรงทุกด้าน ยกเวน้ ด้านท่เี รอื เทียบและส่วนท่ีต่อกับ
สะพานปรับระดับ
๓. สะพานข้ามแม่น้ําหรือสะพานข้ามคลอง ต้องมีโครงสร้างท่ีไม่ทําให้ทิศทาง
การไหลของนํ้าเปลี่ยนแปลง ประกอบกับต้องมีความสูงและความกว้างของช่องลอดใต้สะพาน
ตามทอี่ ธิบดีกรมเจ้าทา่ กําหนดโดยประกาศในราชกจิ จานุเบกษา
๔. ทอ่ หรอื สายเคเบลิ การวางท่อหรือสายเคเบิลผ่านชายหาดของทะเลหรือชายตล่ิง
ต้องฝังท่อหรือสายเคเบิลใต้พื้นดินไม่น้อยกว่า ๕๐ เซนติเมตร โดยมิให้ส่วนใดส่วนหน่ึงของท่อ
หรือสายเคเบิลพ้นข้ึนมาเหนือพ้ืนดิน สําหรับการปักเสาไฟฟ้าพาดสายเพ่ือจ่ายกระแสไฟฟ้าหรือ
เพ่ือการอื่นท่ีมีลักษณะคล้ายคลึงกัน และการปักเสาวางท่อน้ําประปาหรือเพื่อการอ่ืนที่มีลักษณะ
คล้ายคลึงกนั ต้องปกั เสาใหช้ ดิ แนวขอบฝ่งั มากทสี่ ดุ เพือ่ มใิ หก้ ีดขวางทางเดินเรือ
๕. เข่ือนกันนํ้าเซาะ ต้องมีรูปแบบท่ีไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อร่องน้ํา ตลิ่ง
และบริเวณข้างเคียง รวมท้ังต้องมีโครงสร้างที่แข็งแรงและอยู่ในแนวฝั่งเดิมมากที่สุด หากมีส่วนที่ยื่น
เข้าไปในนํ้าให้มีเฉพาะส่วนท่ีจําเป็น ความลาดชันของเข่ือนกันนํ้าเซาะไม่เกิน ๑:๓ โดยแนวสันเขื่อน
ด้านบนต้องอยู่ที่แนวกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองที่ดิน สําหรับบริเวณลํานํ้าท่ีแคบหรืออาจเป็น
อันตรายตอ่ การเดินเรือ เขอ่ื นตอ้ งมีลักษณะต้ังตรงและไม่มคี วามลาดชนั ยน่ื ออกมาด้วย
๖. คานเรอื แนวรางรองรบั เรอื ต้องยาวยื่นจากฝ่งั เพียงพอที่จะชกั ลากเรือขนาดใหญ่ท่ีสุด
ทค่ี านเรือน้ันจะสามารถรับซอ่ มทาํ ไดใ้ นเวลานํ้าลงต่าํ สุด
๗. โรงสูบน้ํา โรงท่ีติดตั้งเคร่ืองสูบน้ําต้องอยู่บนฝั่งหรืออยู่ใกล้ฝั่งมากที่สุด
ส่วนการต่อท่อสูบน้ํา เมื่อต่อเชื่อมกับเคร่ืองสูบนํ้าแล้วต้องวางขนานกับแนวเสาของโรงสูบน้ํา
จนถึงพ้ืนดิน แล้วจึงวางนอนไปตามแนวพ้ืนดินใต้นํ้า และปลายท่อต้องอยู่ตํ่ากว่าระดับนํ้าลงตํ่าสุด
ไมน่ อ้ ยกวา่ ๑ เมตร
รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๕๓
๘. กระชังเล้ียงสัตว์น้ํา๗ ตัวกระชังต้องทําด้วยอวนหรือวัสดุอ่ืนใดท่ีมีลักษณะ
และคุณสมบัติเช่นเดียวกับอวน และเม่ือน้ําลงตํ่าสุดก้นกระชังต้องลอยอยู่สูงกว่าพ้ืนท้องน้ํา วัสดุที่ใช้
พยุงกระชังต้องลอยพ้นนํ้าและสามารถมองเห็นได้ชัดเจนตลอดเวลา การปักเสายึดตัวกระชัง
ต้องปักห่างกันไม่น้อยกว่า ๓ เมตร หา้ มผกู ยึดกระชังกบั ขอบฝั่งและห้ามสรา้ งท่ีพักอาศัยหรือพื้นแผ่นทึบ
บนกระชัง ต้องติดตั้งธงสีแดงและไฟสัญญาณเป็นระยะโดยรอบขอบเขตที่วางกระชังตามความเหมาะสม
ในแต่ละพ้ืนที่
กรณีที่ส่ิงปลูกสร้างไม่มีลักษณะอันพึงอนุญาตให้ปลูกสร้างล่วงล้ําลําน้ําได้ตามข้อ ๔
ของกฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความในพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ นั้น ข้อ ๕ ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกันได้กําหนดให้เจ้าท่าอาจอนุญาต
ให้ปลูกสร้างเป็นการเฉพาะรายได้ โดยมีเง่ือนไขว่าเม่ือเจ้าท่าได้อนุญาตแล้ว ให้ประกาศลักษณะ
ของอาคารหรือลักษณะของการล่วงล้ําลําแม่น้ํานั้นในราชกิจจานุเบกษา ซึ่งผลของการดําเนินการ
ดังกล่าวจะถือว่า ลักษณะของอาคารหรือลักษณะของการล่วงลํ้าลําแม่นํ้าตามท่ีประกาศนั้น
เปน็ หลักเกณฑ์ในการอนุญาตต่อไปได้
ซ่ึงตามข้อ ๖ ของกฎกระทรวงฉบับดังกล่าวได้กําหนดว่า อาคารและการล่วงล้ํา
ลําแม่น้ํานอกจากที่กําหนดไว้ในข้อ ๔ และข้อ ๕ จะอนุญาตไม่ได้ เว้นแต่เป็นของทางราชการ
หรือรัฐวิสาหกจิ และปลกู สร้างขน้ึ เพอ่ื ประโยชนข์ องทางราชการ
จากการศึกษา พบว่า ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยถึงสิ่งก่อสร้างท่ีไม่มีลักษณะ
ท่ีพึงอนุญาตให้ก่อสร้างได้ตามข้อ ๔ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ รวมท้ังไม่มีลักษณะ
ที่จะได้รับการยกเว้นให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงลํ้าลํานํ้าได้ตามข้อ ๕ และข้อ ๖ ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน
ได้แก่ อาคารบ้านพักอาศัยในรูปแบบธุรกิจรีสอร์ท๘ อาคารโครงสร้างไม้มุงหลังคาด้วยหญ้าคา ไม่มีฝา๙
ทางเดินเท้าท่ปี ลกู สรา้ งล่วงล้ําเข้าไปในลําคลอง๑๐ อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กท่ีใช้ในการประกอบกิจการ
ร้านอาหาร๑๑ เปน็ ต้น
อยา่ งไรกต็ าม ภายหลังจากท่ีพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย (ฉบับที่ ๑๗)
พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับ โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทกําหนดโทษและปรับปรุงอัตราโทษให้มี
ความเหมาะสมยิ่งขึ้น รัฐบาลได้มีคําส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ ท่ี ๓๒/๒๕๖๐
เร่ือง การบรรเทาความเสียหายให้แก่ประชาชนในกรณีปลูกสร้างอาคารหรือส่ิงอื่นใดล่วงล้ําลําแม่น้ํา
ลงวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้การบังคับใช้พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย
(ฉบับท่ี ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ ส่งผลกระทบท่ีรุนแรงต่อสังคมโดยรวม และกระทบต่อสภาพและวิถี
๗ รายการท่ี ๘ เพ่ิมเติมโดยประกาศกรมเจ้าท่า ที่ ๒๕๑/๒๕๔๑ เร่ือง ลักษณะของอาคารและการล่วงล้ํา
ลําแม่นา้ํ ท่ีพงึ อนญุ าตได้ ลงวันที่ ๒๒ มิถุนายน ๒๕๔๑
๘ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๖๐๘/๒๕๕๗
๙ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๒๔๕/๒๕๕๗
๑๐ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๙/๒๕๕๒
๑๑ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๘๘๐/๒๕๖๐
๕๔ รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ในการดํารงชีวิตโดยปกติของประชาชนให้น้อยท่ีสุด ซ่ึงคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อย
แห่งชาติฉบับน้ีได้ขยายระยะเวลาการดําเนินการตามพระราชบัญญัติดังกล่าว โดยในข้อ ๑
ได้กําหนดให้มีการผ่อนผันแก่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอื่นใดที่สร้างอยู่ก่อนวันที่
พระราชบัญญัติข้างต้นมีผลใช้บังคับ อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือ
ในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับท่ี ๑๔)
พ.ศ. ๒๕๓๕ หรือได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๑๗ แล้ว แต่ปลูกสร้างไม่เป็นไปตามท่ีได้รับอนุญาต
หากแจ้งให้เจ้าท่าทราบถึงการฝ่าฝืนหรือการปลูกสร้างซ่ึงไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาตภายใน
ระยะเวลา ๖๐ วัน นับแต่วันที่มีคําส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติฉบับน้ี จะได้รับ
การยกเวน้ โทษทางอาญาและโทษปรับทางปกครองสําหรับความผิดที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ ๒๓ กุมภาพันธ์
๒๕๖๐ อนั เป็นวันท่พี ระราชบัญญัตกิ ารเดินเรอื ในนา่ นน้ําไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ มีผลใช้บังคับ
และเมอ่ื ดาํ เนนิ การตามขอ้ ๑ แล้ว บคุ คลดังกลา่ วสามารถยน่ื เอกสารหรือหลักฐานแสดงการครอบครอง
หรือการได้รับอนุญาตให้ปลูกสร้างต่อเจ้าท่า เพ่ือประกอบการพิจารณามีคําส่ังอนุญาตหรือไม่อนุญาต
ใหป้ ลูกสร้างส่ิงล่วงลํ้าลําน้ําต่อไปได้ตามข้อ ๒ ของคําส่ังหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ
ฉบับเดียวกนั ซง่ึ ต่อมากระทรวงคมนาคมได้กําหนดหลักเกณฑ์เพ่ิมเติมสําหรับประเภทส่ิงล่วงล้ําลํานํ้าไว้
ในขอ้ ๖ ของประกาศกระทรวงคมนาคม เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการแจ้งและการพิจารณา
อนุญาตปลูกสร้างอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดล่วงลํ้าลําแม่น้ําตามคําสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อย
แห่งชาติ ที่ ๓๒/๒๕๖๐ ลงวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยกําหนดประเภทส่ิงล่วงลํ้าลําแม่น้ํา
ทวั่ ประเทศท่ีปลูกสร้างต้งั แต่วันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๓๗ ถึงวันที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๐ ที่จะอนุญาตได้
ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ เพิ่มอีก ๙ ประเภท ทําให้รายการส่ิงล่วงล้ําลําแม่นํ้า
ทีป่ ลูกสร้างตัง้ แตว่ นั ที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๓๗ ถึงวนั ท่ี ๒๒ กมุ ภาพนั ธ์ ๒๕๖๐ มีประเภททีจ่ ะพึงอนุญาตได้
รวมทง้ั สน้ิ ๑๗ ประเภท ได้แก่
๑. ท่าเทยี บเรอื
๒. สะพานปรบั ระดับและโป๊ะเทยี บเรอื
๓. สะพานขา้ มแม่นาํ้ หรอื สะพานขา้ มคลอง
๔. ท่อหรือสายเคเบลิ
๕. เขอื่ นกนั น้ําเซาะ
๖. คานเรอื
๗. โรงสบู นาํ้
๘. กระชงั เพาะเล้ยี งสัตว์นาํ้
๙. ทา่ เทยี บเรือทางลาดในแมน่ ํา้ โขง
๑๐. ปะการงั เทียม
๑๑. ทอ่ ลอด
๑๒. แพสูบนา้ํ
๑๓. เข่ือนกนั ทรายกนั คลน่ื
รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๕๕
๑๔. ฝายนาํ้ ล้น
๑๕. สะพานทางเดิน
๑๖. อาคารหรือส่ิงปลูกสร้างเพ่ือใช้สําหรับวิถีชีวิตชุมชนดั้งเดิม การประกอบอาชีพ
ในภาคการเกษตร และศาสนสถาน
๑๗. สิ่งปลูกสร้างสําหรับส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจท่ีสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์
ของทางราชการ
แต่สําหรับส่ิงล่วงลํ้าลําแม่น้ําในพื้นที่กรุงเทพมหานคร นนทบุรี และสมุทรปราการ
ที่ปลูกสร้างตั้งแต่วันท่ี ๑ กันยายน ๒๔๕๖ ถึงวันท่ี ๑๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ และส่ิงล่วงล้ําลําแม่นํ้า
ทั่วประเทศท่ีปลูกสร้างต้ังแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕ ถึงวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๓๗
ข้อ ๖ ของประกาศกระทรวงคมนาคมฉบับเดียวกัน กําหนดให้พึงอนุญาตได้ โดยไม่จํากัดประเภท
และลกั ษณะ
ทั้งนี้ ไม่เพียงแต่อาคารหรือส่ิงล่วงลํ้าลําน้ําข้างต้นท่ีก่อสร้างเป็นการถาวรเท่าน้ัน
ที่จะต้องย่ืนขออนุญาตต่อเจ้าท่าก่อนทําการก่อสร้างอาคารหรือส่ิงล่วงลํ้าลําน้ําท่ีปลูกสร้างเป็นการช่ัวคราว
ก็ต้องย่ืนขออนุญาตก่อนเช่นกัน การดําเนินการก่อสร้างสิ่งล่วงล้ําลําน้ําที่เป็นการช่ัวคราว
แม้ไม่ขัดขวางทางสัญจรของประชาชนซึ่งอยู่กลางลําคลอง ก็ต้องถือว่าการสร้างสิ่งปลูกสร้างช่ัวคราว
ดังกล่าวล่วงลํ้าเข้าไปในบางส่วนของทางสัญจรของประชาชน หรือท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านนาํ้ ไทย พระพทุ ธศักราช ๒๔๕๖ เชน่ กนั ๑๒
อาํ นาจในการออกใบอนญุ าตกอ่ สรา้ งสิ่งล่วงลํ้าลําน้ํา
มาตรา ๑๑๗ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย (ฉบับท่ี ๑๔)
พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้กําหนดว่า ห้ามมิให้ผู้ใดปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอ่ืนใดล่วงลํ้าเข้าไปเหนือนํ้า ในนํ้า
และใต้น้ํา ของแม่น้ํา ลําคลอง บึง อ่างเก็บนํ้า ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชน
หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านนํ้าไทยหรือบนชายหาดของทะเลดังกล่าว
เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากเจ้าท่า และมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย (ฉบับท่ี ๑๓)
พ.ศ. ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายคําว่า “เจ้าท่า” ไว้ว่าหมายถึง อธิบดีกรมการขนส่งทางน้ําและ
พาณิชยนาวีหรือผูซ้ ่ึงอธิบดกี รมการขนสง่ ทางนาํ้ และพาณิชยนาวีมอบหมาย
ในประวัติของกรมเจ้าท่า ระบุว่า "เจ้าท่า" มีมาต้ังแต่รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์
มหาราช แต่ในปี พ.ศ. ๒๔๓๘ ได้มีการยุบตําแหน่ง “เจ้าท่า” ลงเปลี่ยนเป็นตําแหน่ง “เวรท่า”
หลงั จากนัน้ ในปี พ.ศ. ๒๔๓๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ยกฐานะเวรท่าเป็นกรมเจ้าทา่ อย่ภู ายใตส้ ังกัดกระทรวงนครบาล และไดม้ กี ารโยกย้ายเปล่ียนแปลง
๑๒ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๔๙๗/๒๕๕๘
๕๖ รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
สังกัดของกรมเจ้าท่าอยู่หลายคร้ัง จนกระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้มีการย้ายสังกัดกรมเจ้าท่ามาข้ึนกับ
กระทรวงคมนาคม ต่อมา ได้มีการตราพระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๔
และตราพระราชกฤษฎีกาโอนกิจการบริหารและอํานาจหน้าที่ของส่วนราชการให้เป็นไปตาม
พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ โดยมาตรา ๕๒
แห่งพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว ให้โอนบรรดากิจการ อํานาจ หน้าที่ ทรัพย์สิน งบประมาณ หนี้ สิทธิ
ภาระผูกพัน ข้าราชการ ลูกจ้างและอัตรากําลังของกรมเจ้าท่ามาเป็นของกรมการขนส่งทางน้ํา
และพาณิชยนาวี กรมเจ้าท่าจึงได้เปล่ียนแปลงส่วนราชการเป็นกรมการขนส่งทางนํ้าและพาณิชยนาวี
แต่ในภายหลังได้มีการตราพระราชกฤษฎีกาเปล่ียนชื่อกรมการขนส่งทางนํ้าและพาณิชยนาวี
เป็นกรมเจ้าท่า พ.ศ. ๒๕๕๒ ทําให้ปัจจุบัน “กรมการขนส่งทางนํ้าและพาณิชยนาวี” เปลี่ยนช่ือ
กลบั มาเป็น “กรมเจา้ ท่า” ดังเดมิ
กรมการขนส่งทางนา้ํ และพาณชิ ยนาวี หรือกรมเจา้ ท่า ได้อาศัยอํานาจตามมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย (ฉบับที่ ๑๓) พ.ศ. ๒๕๒๕ มอบอํานาจ “เจ้าท่า” ให้แก่
หนว่ ยงานภายในและหน่วยงานภายนอก ดังนี้๑๓
(๑) มอบอํานาจ “เจ้าท่า” ให้หน่วยงานของกรมการขนส่งทางน้ําและพาณิชยนาวี
เช่น สํานักงานการขนส่งทางนํ้า เป็นการมอบอํานาจ “เจ้าท่า” ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านน้ําไทยฯ และการมอบอํานาจของหัวหน้าส่วนราชการตามพระราชบัญญัติ
ระเบียบบริหารราชการแผน่ ดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ เชน่ คาํ ส่ังกรมเจา้ ทา่ ที่ ๖๙๔/๒๕๓๕ เป็นเร่ืองมอบอํานาจ
ในการออกคําส่งั ให้รอื้ ถอนตามมาตรา ๑๑๘ ทวิ
(๒) มอบอาํ นาจ “เจา้ ทา่ ” ให้แกห่ นว่ ยงานอื่น ๆ เชน่
(๒.๑) มอบอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน เป็นการมอบอํานาจเจ้าท่า
ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทยฯ ประกอบกับพระราชบัญญัติกําหนด
แผนและขั้นตอนการกระจายอํานาจให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน พ.ศ. ๒๕๔๒ เช่น คําส่ัง
กรมการขนส่งทางน้ําและพาณิชยนาวี ท่ี ๑๘๕/๒๕๔๘ เป็นเรื่องมอบอํานาจในการใช้อํานาจออกคําสั่ง
อนญุ าตใหม้ ีการปลกู สร้างอาคารหรอื สง่ิ อ่นื ใดล่วงลํ้าลาํ น้ําตามมาตรา ๑๑๗
(๒.๒) มอบอํานาจให้แก่ตํารวจน้ํา เป็นการมอบอํานาจเจ้าท่าตามมาตรา ๓
แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทยฯ เช่น คําสั่งกรมการขนส่งทางน้ําและพาณิชยนาวี
ท่ี ๙๙/๒๕๔๘ เปน็ เรอื่ งมอบอํานาจในการสัง่ ห้ามใช้เรอื ตามมาตรา ๑๓๙
(๒.๓) มอบอํานาจให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นการมอบอํานาจเจ้าท่า
ตามมาตรา ๓ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทยฯ ประกอบกับการมอบอํานาจ
ของหัวหน้าส่วนราชการตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ เช่น คําสั่ง
๑๓ บุปผาชาติ กาวชู, “ปัญหาการใช้อํานาจทางปกครองตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖,” (วิทยานิพนธ์นิติศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชานิติศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัย
รามคาํ แหง. ๒๕๕๐), หน้า ๑๕๓-๑๕๔.
รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๕๗
กรมการขนส่งทางนํ้าและพาณิชยนาวี ที่ ๔๙๘/๒๕๔๖ เป็นเรื่องมอบอํานาจอนุญาตขุดลอกร่องน้ํา
ทางเรอื เดินตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบญั ญตั ิขา้ งต้นให้แก่ผูว้ า่ ราชการจังหวัดทกุ จงั หวัด๑๔
ดังน้ัน เม่ือกรมเจ้าท่าได้มีคําสั่ง ที่ ๖๙๔/๒๕๓๕ ลงวันท่ี ๑ มิถุนายน ๒๕๓๕
มอบหมายให้เจ้าท่าภูมิภาคและสํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา เป็น “เจ้าท่า” ตามพระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และมีคําส่ัง ท่ี ๔๙๘/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๙ กันยายน
๒๕๔๖ มอบอํานาจ “เจ้าท่า” ตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย (ฉบับท่ี ๑๔)
พ.ศ. ๒๕๓๕ ให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ท้ังเจ้าท่าภูมิภาค สํานักงานเจ้าท่าภูมิภาคสาขา
และผู้ว่าราชการจังหวัด จึงเป็นผู้ซ่ึงอธิบดีกรมเจ้าท่ามอบหมายให้เป็น “เจ้าท่า” ตามกฎหมาย
ว่าด้วยการเดินเรือในน่านน้ําไทย และต่างก็มีอํานาจดําเนินการภายในขอบเขตมาตรา ๑๒๐
แห่งพระราชบญั ญัตกิ ารเดนิ เรือในนา่ นนาํ้ ไทย พระพทุ ธศกั ราช ๒๔๕๖ และท่แี ก้ไขเพ่มิ เตมิ ๑๕
มาตรา ๑๑๘ ทวิ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช
๒๔๕๖ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย (ฉบับท่ี ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
๑๔ คําส่ังกรมเจ้าท่า ที่ ๔๙๘/๒๕๔๖ ลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๔๖ มอบอํานาจให้แก่ผู้ว่าราชการจังหวัด
ทุกจังหวัด ดังนี้ ๑. ให้มีอํานาจอนุญาตเกี่ยวกับการขุดลอกร่องนํ้าทางเรือเดินที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือการเดินเรือ
การระบายนํ้า การป้องกันอุทกภัยและความแห้งแล้ง และเพ่ือการรักษาสภาพแนวลํานํ้าท่ีอยู่ในเขตอํานาจ
โดยจะต้องคํานึงถึงการรักษาสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติเป็นสําคัญ ๒. ให้เก็บค่าธรรมเนียมใบอนุญาตให้ขุดลอก
แก้ไขหรอื เปล่ียนแปลงรอ่ งนํ้าทางเรอื เดิน ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๕๕ (พ.ศ. ๒๕๓๔) ออกตามความในพระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านน้ําไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และค่าธรรมเนียมการตรวจพิจารณาและสํารวจการขุดลอก
แก้ไข หรือเปล่ยี นแปลงร่องนํา้ ทางเรอื เดิน ตามกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๖๙ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความในพระราชบญั ญตั ิ
การเดนิ เรือในน่านนํา้ ไทย (ฉบับที่ ๖) พทุ ธศกั ราช ๒๔๘๑ เพื่อเป็นรายไดข้ องแผ่นดินต่อไป ๓. การพิจารณาอนุญาต
และการจําหน่ายวัสดุท่ีได้จากการขุดลอกให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์แนบท้ายคําสั่ง และ ๔. เม่ือผู้ว่าราชการจังหวัด
ได้อนุญาตให้ผู้ใดขุดลอกตามคาํ ส่งั มอบอํานาจฉบับน้ี ใหส้ ําเนาหนังสอื อนุญาตแจง้ ใหก้ รมเจ้าท่าทราบทุกคร้งั ดว้ ย
๑๕ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๖๗๒/๒๕๖๐
๑๖ พระราชบัญญตั ิการเดนิ เรอื ในน่านนาํ้ ไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซ่งึ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การเดนิ เรอื ในนา่ นน้ําไทย (ฉบับที่ ๑๔) พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๑๑๘ ทวิ ในกรณีท่ีมีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๗ หรือผู้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๑๗ ปลูกสร้าง
อาคารหรอื ส่งิ อืน่ ใดไม่เป็นไปตามท่ีได้รับอนุญาต ให้เจ้าท่ามีคําสั่งเป็นหนังสือแจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคาร
หรือส่ิงอื่นใดดังกล่าวร้ือถอนหรือแก้ไขอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดน้ันให้เสร็จสิ้นโดยถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด
แต่ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวัน ในกรณีท่ีไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ให้เจ้าท่าปิดคําสั่งไว้ ณ อาคาร
หรือส่ิงอ่ืนใดนั้นและจะห้ามมิให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองน้ันใช้หรือยินยอมให้ผู้ใดใช้อาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นท้ังหมด
หรอื แต่บางส่วนจนกวา่ จะไดร้ อ้ื ถอนหรอื แก้ไขเสร็จด้วยก็ได้
ถ้าไม่มีการปฏิบัติตามคําส่ังของเจ้าท่าตามวรรคหน่ึง หรือในกรณีท่ีไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง
และเจ้าท่าได้ปิดคําสั่งไว้ ณ อาคารหรือส่ิงอ่ืนใดน้ันครบสิบห้าวันแล้ว ให้เจ้าท่าร้องขอต่อศาลเพ่ือมีคําส่ังให้มีการ
ร้ือถอนอาคารหรือสิ่งอ่ืนใดนั้น ถ้าข้อเท็จจริงในทางพิจารณาฟังได้ว่ามีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๗ จริง ในกรณีท่ีปรากฏตัว
เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสิ่งอ่ืนใดให้ศาลมีคําส่ังให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้รื้อถอน ในกรณีท่ี
๕๘ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ไดบ้ ัญญัติกรณีทมี่ ผี ฝู้ า่ ฝนื มาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบญั ญัติเดยี วกนั โดยปลกู สร้างอาคารหรือส่ิงอ่ืนใด
ล่วงล้ําลํานํ้าโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือโดยไม่เป็นไปตามที่ได้รับอนุญาตไว้ มีใจความสําคัญ คือ ให้เจ้าท่า
มีอํานาจออกคําสั่งเป็นหนังสือไปยังเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดดังกล่าว เพ่ือแจ้ง
ให้ร้ือถอนหรือแก้ไขอาคารหรือส่ิงอื่นใดดังกล่าวให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนด หากไม่ปรากฏ
ตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ให้เจ้าท่าปิดคําสั่งไว้ ณ อาคารหรือส่ิงอื่นใดน้ันและจะห้ามมิให้เจ้าของ
หรือผู้ครอบครองใช้หรือยินยอมให้ผู้ใดใช้อาคารหรือส่ิงอ่ืนใดน้ันท้ังหมดหรือแต่บางส่วนจนกว่า
จะได้ร้ือถอนหรือแก้ไขเสร็จด้วยก็ได้ ถ้าไม่ปฏิบัติตามคําส่ังของเจ้าท่า หรือในกรณีที่ไม่ปรากฏ
ตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง และเจ้าท่าได้ปิดคําส่ังไว้ ณ อาคารหรือส่ิงอื่นใดน้ันครบสิบห้าวันแล้ว
ใหเ้ จา้ ทา่ ร้องขอตอ่ ศาลเพอ่ื มีคําส่ังให้มกี ารรอ้ื ถอนอาคารหรอื สิ่งอ่นื ใดนั้น ซ่ึงถา้ ขอ้ เท็จจริงในทางพิจารณา
ฟังได้ว่ามีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๗ จริง และปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสิ่งอ่ืนใด
ให้ศาลมีคําส่ังให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองเป็นผู้รื้อถอน แต่ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองไม่ร้ือถอน
ตามกําหนดเวลาในคําสั่งศาลหรือไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ให้ศาลมีคําส่ังให้เจ้าท่า
เป็นผู้จัดการให้มีการร้ือถอนโดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสิ่งอ่ืนใดต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย
อยา่ งไรก็ตาม หากเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดไม่ยอมชดใช้ค่าใช้จ่ายภายในระยะเวลา
ทเ่ี จา้ ท่ากําหนดตามควรแก่กรณี หรือไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครองให้เจ้าท่าโดยความเห็นชอบ
ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนําวัสดุที่ถูกรื้อถอนดังกล่าวรวมท้ังสิ่งของที่ขนออกจากอาคาร
หรือส่ิงอื่นใดส่วนท่ีมีการร้ือถอนออกขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอ่ืน แล้วนําเงินที่ได้ไปชดใช้
ค่าใช้จ่ายที่เจ้าท่าได้จ่ายไปในการจัดการร้ือถอนและค่าปรับ ท้ังนี้ ในกรณีที่อาคารหรือสิ่งอื่นใด
ดังกลา่ วมีลกั ษณะซง่ึ เจ้าท่าอาจอนุญาตได้และเจ้าของหรือผู้ครอบครองยอมชําระค่าปรับตามที่เจ้าท่า
กําหนดตามอัตราในมาตรา ๑๑๘ แห่งพระราชบัญญัติข้างต้นแล้ว เจ้าท่าจะออกใบอนุญาตให้เจ้าของ
เจ้าของหรือผูค้ รอบครองไมร่ อื้ ถอนตามกําหนดเวลาในคําสั่งศาลหรือในกรณีที่ไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง
ใหศ้ าลมคี าํ ส่ังให้เจา้ ทา่ เป็นผู้จดั การให้มกี ารรื้อถอน
ในกรณีที่เจ้าท่าเป็นผู้จัดการให้มีการรื้อถอนตามคําสั่งศาลตามวรรคสามให้เจ้าท่าใช้ความระมัดระวัง
ตามควรแก่พฤติการณ์ โดยเจา้ ของหรือผคู้ รอบครองอาคารหรอื สง่ิ อ่ืนใดจะเรียกร้องค่าเสียหายใด ๆ จากเจ้าท่าไม่ได้
และเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสง่ิ อื่นใดตอ้ งเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการนั้น
ในกรณีที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสิ่งอื่นใดไม่ยอมชดใช้ค่าใช้จ่ายตามวรรคสี่ภายในระยะเวลา
ที่เจ้าท่ากําหนดตามควรแก่กรณี หรือในกรณีท่ีไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ให้เจ้าท่าโดยความเห็นชอบ
ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมนําวัสดุท่ีถูกรื้อถอนรวมทั้งสิ่งของท่ีขนออกจากอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดส่วนท่ีมี
การรื้อถอนออกขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอื่น เงินที่ได้จากการขายทอดตลาดหรือขายโดยวิธีอื่นให้นําไปชดใช้
ค่าใช้จ่ายท่ีเจ้าท่าได้จ่ายไปในการจัดการร้ือถอนและค่าตอบแทนตามมาตรา ๑๑๘ และถ้ามีเงินเหลือจากการชดใช้
ค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้เจ้าท่าเก็บรักษาไว้ เพ่ือคืนให้กับเจ้าของหรือผู้ครอบครอง ในกรณีที่ไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือ
ผู้ครอบครอง หรอื เจ้าของหรอื ผคู้ รอบครองไม่มารับคนื ภายในหนงึ่ ปีใหต้ กเปน็ ของแผ่นดนิ
ในกรณีทเ่ี จ้าทา่ จะดาํ เนินการตามวรรคหน่ึงและอาคารหรือสิ่งอื่นใดดังกล่าวมีลักษณะซึ่งอาจอนุญาตได้
และเจ้าของหรือผู้ครอบครองยอมชําระค่าปรับตามที่เจ้าท่ากําหนดตามอัตราในมาตรา ๑๑๘ แล้ว เจ้าท่าจะออก
ใบอนญุ าตใหเ้ จ้าของหรอื ผู้ครอบครองก็ไดแ้ ละเมื่อไดร้ บั อนญุ าตแล้วให้เสียคา่ ตอบแทนเปน็ สองเท่าของมาตรา ๑๑๗ ทวิ
รวมเรอ่ื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๕๙
หรือผู้ครอบครองก็ได้และเม่ือได้รับอนุญาตแล้วให้เสียค่าตอบแทนเป็นสองเท่าของมาตรา ๑๑๗ ทวิ
แหง่ พระราชบญั ญตั ดิ ังกลา่ ว
ดังได้กล่าวไว้แล้วในตอนต้นว่า ผู้ที่มีอํานาจหน้าท่ีในการพิจารณาอนุญาตให้บุคคลใด
ปลูกสร้างอาคารหรือส่ิงอื่นใดล่วงล้ําลําน้ํา คือ “เจ้าท่า” ดังนั้น การออกหมายเลขประจําบ้าน
จึงไม่อาจถือได้ว่า เป็นการอนุญาตให้ปลูกสร้างอาคารล่วงลํ้าแม่นํ้าได้แต่ประการใด ทั้งน้ี เน่ืองจาก
พระราชบัญญัติการทะเบียนราษฎร พ.ศ. ๒๕๓๔ ได้บัญญัติให้ทุกบ้านมีเลขประจําบ้าน โดยเป็น
อํานาจหน้าที่ของนายทะเบียนผู้รับแจ้ง เป็นผู้กําหนดเลขประจําบ้านเพื่อประโยชน์แก่การตรวจสอบ
ทางทะเบียนราษฎรเท่านน้ั ๑๗
ด้วยเหตุน้ี คดีพิพาทเก่ียวกับการใช้อํานาจทางปกครองตามพระราชบัญญัติ
การเดินเรอื ในนา่ นนา้ํ ไทยฯ ทีเ่ ข้าส่กู ารพจิ ารณาพพิ ากษาของศาลปกครองจึงมีได้หลายลักษณะ ได้แก่
คดีพิพาทเก่ียวกับการใช้อํานาจทางปกครองของเจ้าท่า เช่น กรณีฟ้องว่าการออกใบอนุญาตก่อสร้าง
สิ่งล่วงลํ้าลําน้ําไม่ชอบด้วยกฎหมาย การออกคําสั่งให้ร้ือถอนส่ิงล่วงลํ้าลําน้ําโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย๑๘
ซ่ึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ การละเลย
ไม่ออกใบอนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ําลํานํ้าหรือออกใบอนุญาตล่าช้าเกินสมควร๑๙ การละเลยไม่ดําเนินการ
ใช้อํานาจตามพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทยฯ๒๐ ซ่ึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒)
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ การกระทําละเมิดอันเน่ืองมาจากการใช้อํานาจทางปกครอง
ในการดูแลรักษาแม่นํ้าลําคลอง๒๑ ซ่ึงเป็นคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แห่งพระราชบัญญัติ
จดั ตงั้ ศาลปกครองฯ และคดพี ิพาททม่ี ีกฎหมายกําหนดให้หน่วยงานทางปกครองหรือเจ้าหน้าท่ีของรัฐ
ฟ้องคดีต่อศาลเพ่ือบังคับให้บุคคลต้องกระทําหรือละเว้นกระทําอย่างหนึ่งอย่างใด อันได้แก่ กรณีท่ี
เจ้าท่าฟ้องร้องขอต่อศาลเพื่อมีคําสั่งให้มีการรื้อถอนอาคารหรือสิ่งอื่นใดออกไปให้พ้นจากลํานํ้า๒๒ ซึ่งเป็น
คดีพพิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่ (๕) แห่งพระราชบัญญตั จิ ดั ต้ังศาลปกครองฯ
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติมมาตรา ๑๑๘ ทวิ๒๓ โดยพระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านนํ้าไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐ ทําให้มีการเปล่ียนแปลงสาระสําคัญในกรณีที่
๑๗ คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๘๘๐/๒๕๖๐
๑๘ เชน่ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๘๒๕/๒๕๖๐ และที่ อ. ๘๘๐/๒๕๖๐
๑๙ เช่น คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๓๐๐/๒๕๖๐
๒๐ เช่น คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๔๒๘/๒๕๕๗
๒๑ เช่น คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๒๔/๒๕๕๙
๒๒ เชน่ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๒/๒๕๕๙ และท่ี อ.๒๐๒๓/๒๕๕๙
๒๓ พระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติ
การเดนิ เรือในน่านนาํ้ ไทย (ฉบับที่ ๑๗) พ.ศ. ๒๕๖๐
มาตรา ๑๑๘ ทวิ ในกรณีที่มีการฝ่าฝืนมาตรา ๑๑๗ หรือผู้ใดได้รับอนุญาตตามมาตรา ๑๑๗ แล้ว
ปลูกสร้างอาคารหรือส่ิงอื่นใดไม่เป็นไปตามท่ีได้รับอนุญาต ให้เจ้าท่ามีคําสั่งเป็นหนังสือแจ้งให้เจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอื่นใดดังกล่าวร้ือถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอ่ืนใดนั้นให้เสร็จสิ้นโดยถูกต้องภายใน
๖๐ รวมเร่อื งเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
เจ้าท่ามีคําส่ังเป็นหนังสือถึงเจ้าของหรือผู้ครอบครองเพ่ือแจ้งให้ร้ือถอนหรือแก้ไขอาคารหรือส่ิงอ่ืนใด
แล้วบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามคําส่ัง ให้เจ้าท่ามีอํานาจเข้าดําเนินการรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือ
สิ่งอ่ืนใดได้โดยไม่ต้องร้องขอต่อศาลเพื่อมีคําสั่งให้มีการร้ือถอนอาคารหรือส่ิงอื่นใดน้ันก่อน รวมทั้ง
ให้เจ้าท่ามีอํานาจห้ามมิให้ผู้ใดใช้อาคารหรือส่ิงอ่ืนใดนั้นท้ังหมดหรือบางส่วนจนกว่าจะได้ร้ือถอน
หรือแก้ไขแล้วเสร็จ ซึ่งเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดนั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ในการดําเนนิ การท้ังหมดของเจา้ ท่า ทําให้แนวโน้มในอนาคตจะไม่มีคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๕)
แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ังศาลปกครองฯ ในประเด็นท่ีเจ้าท่าฟ้องร้องขอต่อศาลเพ่ือมีคําสั่งให้มี
การรอื้ ถอนอาคารหรอื สงิ่ อืน่ ใดออกไปใหพ้ น้ จากลํานาํ้ ขน้ึ สู่การพิจารณาของศาลปกครอง
อนึ่ง การท่ีเจ้าท่าอาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๑๘ ทวิ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติ
การเดนิ เรือในนา่ นนา้ํ ไทยฯ มีคาํ ส่ังเปน็ หนงั สอื แจ้งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดรื้อถอน
หรือแก้ไขอาคารหรือส่ิงอ่ืนใดที่ล่วงลํ้าลํานํ้า เป็นการใช้อํานาจทางปกครองบังคับกับผู้ท่ีกระทําการฝ่าฝืน
บทบัญญัติของกฎหมาย เพอ่ื ให้กระทําการตามท่ีกฎหมายบัญญตั ิหรือละเว้นการกระทําท่ีเป็นการฝ่าฝืน
กฎหมาย ผู้รับคําส่ังไม่มีสิทธิที่ได้รับการรับรองหรือคุ้มครองตามกฎหมายหรือจากการได้รับอนุญาต
ทจี่ ะได้รบั การยกเว้น ผ่อนผัน หรือกล่าวอ้างที่จะไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติดังกล่าว
ดังน้ัน เม่ือมีผู้ปลูกสร้างส่ิงล่วงลํ้าลําน้ําโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติมาตรา ๑๑๗
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทยฯ เจ้าท่าย่อมมีอํานาจออกคําส่ังให้เจ้าของ
หรอื ผ้คู รอบครองอาคารร้ือถอนหรอื แกไ้ ขสิ่งปลกู สร้างดังกล่าวได้โดยไม่จาํ ต้องดําเนินการตามมาตรา ๓๐
ระยะเวลาท่ีกําหนด ทั้งนี้ ต้องไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่ไม่เกินหนึ่งปี เว้นแต่ศาลจะสั่งเป็นอย่างอ่ืน ในกรณีที่
ไม่ปรากฏตวั เจ้าของหรอื ผู้ครอบครองอาคารหรือสงิ่ อืน่ ใด ให้เจา้ ท่าปิดคําสัง่ ดังกล่าวไว้ ณ อาคารหรือสิ่งอ่ืนใดนนั้
เม่ือพ้นระยะเวลาที่กําหนดตามวรรคหน่ึงแล้ว ถ้าเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือสิ่งอื่นใดดังกล่าว
ไม่ปฏิบัติตามคําสั่งของเจ้าท่า ให้เจ้าท่ามีอํานาจรื้อถอนหรือแก้ไขอาคารหรือสิ่งอ่ืนใดน้ันได้ทันที และห้ามมิให้ผู้ใด
ใช้อาคารหรือส่ิงอื่นใดน้ันท้ังหมดหรือบางส่วนจนกว่าจะได้รื้อถอนหรือแก้ไขแล้วเสร็จ โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครอง
อาคารหรือสิ่งอื่นใดนั้นต้องเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการดําเนินการทั้งหมดของเจ้าท่า ในกรณีท่ีต้องร้ือถอน
เพียงบางส่วน ถ้าการรื้อถอนนั้นมีผลให้ส่วนท่ีไม่ต้องรื้อถอนได้รับความเสียหายด้วยประการใด ถ้าการรื้อถอนนั้น
ได้กระทําตามวธิ ีท่วี ิญญชู นพงึ กระทาํ แล้ว เจ้าท่าไมต่ อ้ งรับผิดชอบในความเสียหายดงั กลา่ ว
เพื่อประโยชน์ในการดําเนินการตามวรรคสอง ให้เจ้าท่ามีอํานาจเข้าไปในสถานท่ีของเจ้าของหรือ
ผู้ครอบครองท่ีอยู่ต่อเนื่องกับอาคารหรือสิ่งอื่นใดที่ต้องร้ือถอนหรือแก้ไขได้ในระหว่างเวลาพระอาทิตย์ขึ้น
ถึงพระอาทิตย์ตก เวน้ แตใ่ นกรณีทีด่ าํ เนินการไมแ่ ล้วเสร็จ กใ็ ห้มอี ํานาจดําเนินการตอ่ ไปภายหลงั พระอาทติ ย์ตกได้
ในกรณีท่ีไม่ปรากฏตัวเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอื่นใดตามวรรคหน่ึง เม่ือเจ้าท่า
ได้ดําเนนิ การรื้อถอนหรือแกไ้ ขอาคารหรอื ส่งิ อื่นใดนัน้ แลว้ ให้เจ้าท่ามอี ํานาจยึดและเก็บรกั ษาไว้ หรือขายและถือเงิน
ไวแ้ ทนได้ เมอื่ หักค่าใชจ้ ่ายในการรือ้ ถอนหรอื แก้ไขและการขายแลว้ เหลอื เทา่ ใด ให้ตกเป็นรายได้ของแผ่นดิน
ในการดําเนินการของเจ้าท่าตามมาตราน้ี หากเจ้าท่าได้ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต เจ้าของหรือผู้ครอบครอง
อาคารหรือส่ิงอ่ืนใดน้ันจะเรียกร้องค่าเสียหายจากเจ้าท่ามิได้ และเจ้าท่าไม่ต้องรับผิดท้ังทางแพ่ง ทางอาญา
หรือทางวินัย แต่ทั้งน้ี ไม่ตัดสิทธิผู้ได้รับความเสียหายที่จะเรียกร้องค่าเสียหายจากทางราชการตามกฎหมายว่าด้วย
ความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หนา้ ท่ี
รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๖๑
วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เสียก่อน๒๔ ซ่ึงเกี่ยวกับ
ประเด็นน้ี ผู้เรียบเรียงมีความเห็นเพ่ิมเติมว่า กรณีของการปลูกสร้างสิ่งล่วงลํ้าลํานํ้า เป็นข้อเท็จจริง
ที่ปรากฏชัดทางกายภาพว่ามีส่ิงล่วงล้ําลํานํ้าซ่ึงเป็นท่ีหรือทางสาธารณะ ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้าท่า
ตรวจสอบพบกรณีของการปลูกสร้างส่ิงล่วงลํ้าลํานํ้าโดยไม่ได้รับอนุญาต จึงพึงต้องบังคับใช้กฎหมาย
โดยเร็วกับผู้ฝ่าฝืนกฎหมายดังกล่าวเพื่อไม่ให้ประโยชน์สาธารณะต้องได้รับผลกระทบ ดังน้ัน กรณี
น่าจะปรับบทกับมาตรา ๓๐ วรรคสอง (๑) แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
ได้เช่นกันว่าเป็นกรณีที่มีความจําเป็นเร่งด่วนหากปล่อยให้เน่ินช้าไปจะกระทบต่อประโยชน์สาธารณะ
อันเป็นข้อยกเว้นไม่จําต้องให้คู่กรณีได้โต้แย้งแสดงพยานหลักฐานของตนก่อนออกคําส่ัง นอกจากนี้
ยงั อาจพจิ ารณาไดว้ ่าการใหโ้ อกาสเช่นวา่ น้ัน อาจกอ่ ใหเ้ กดิ การประวงิ การบังคับใชก้ ฎหมายได้
เกีย่ วกบั ประเดน็ การอนญุ าตใหป้ ลกู สรา้ งสง่ิ ล่วงลํ้าลาํ นาํ้ ไมเ่ สมอไปท่ีผู้ได้รับอนุญาต
ต้องเป็นเอกชน หากหน่วยงานทางปกครองประสงค์จะปลูกสร้างสิ่งล่วงลํ้าลํานํ้า ก็ต้องได้รับอนุญาต
จากเจ้าท่าก่อนเช่นกัน ซ่ึงมีความเป็นไปได้ว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ได้รับมอบหมาย
ให้ทําหน้าท่ีเป็นเจ้าท่าอาจประสงค์จะดําเนินการก่อสร้างสิ่งล่วงล้ําลํานํ้าในแม่น้ําลําคลองซ่ึงอยู่
ในท้องท่ีความรับผิดชอบของตนเช่นกัน จึงมีข้อน่าพิจารณาว่าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดังกล่าว
จ ะ ส า ม า ร ถ พิ จ า ร ณ า อ อ ก ใ บ อ นุ ญ า ต ใ ห้ ป ลู ก ส ร้ า ง สิ่ ง ล่ ว ง ล้ํ า ลํ า นํ้ า ใ ห้ แ ก่ ต น เ อ ง ไ ด้ ห รื อ ไ ม่
ซ่ึงจากการศึกษาพบว่าศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยว่า เทศบาลตําบลเป็นองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่นท่ีได้รับมอบหมายจากอธิบดีกรมเจ้าท่าในการพิจารณาและอนุญาตให้ปลูกสร้างส่ิงล่วงล้ํา
ลําน้ําตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทยฯ เทศบาลตําบลย่อมมีฐานะ
เป็นเจ้าท่าในอีกฐานะหนง่ึ นอกเหนอื จากฐานะทีเ่ ปน็ องค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินด้วยและย่อมสามารถ
ใช้อํานาจเจ้าท่าในเขตท้องท่ีท่ีอยู่ในความรับผิดชอบของตนได้จนกว่าจะมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือ
ยกเลิกคําสั่งดังกล่าว ดังนั้น หากเทศบาลตําบลในฐานะที่เป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินประสงค์
จะปลูกสรา้ งสิ่งล่วงลํ้าลําน้ํา เทศบาลตําบลในฐานะเจ้าท่าย่อมสามารถพิจารณาและออกใบอนุญาตได้
ซ่ึงกรณีดังกล่าวถึงแม้เทศบาลตําบลจะถือเป็นคู่กรณีในการพิจารณาทางปกครองตามมาตรา ๑๓ (๑)
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ แต่เน่ืองจากเทศบาลตําบลได้รับมอบหมาย
ให้เป็นเจ้าท่าในการพิจารณาและอนุญาตให้ปลูกสร้างส่ิงล่วงล้ําลําน้ําในท้องที่ท่ีอยู่ในความรับผิดชอบ
ของตน อันถือเป็นกรณีที่ไม่มีเจ้าหน้าที่อ่ืนปฏิบัติหน้าท่ีแทนได้ ซึ่งเป็นข้อยกเว้นไม่ให้นําบทบัญญัติ
มาตรา ๑๓ ถึงมาตรา ๑๖ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ มาใช้บังคับกับกรณีนี้
ตามมาตรา ๑๘ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน เทศบาลตําบลจึงมีอํานาจพิจารณาออกใบอนุญาต
ใหป้ ลกู สรา้ งส่งิ ล่วงล้ําลํานํ้าใหแ้ กต่ นเองได้๒๕
๒๔ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๗๙/๒๕๕๕ และท่ี อ.๘๒๕/๒๕๖๐
๒๕ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๖/๒๕๕๘
๖๒ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ในการใช้อํานาจพิจารณาออกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงล้ําลํานํ้าจะต้องปรากฏว่า
เป็นไปตามกฎหมายและหลักเกณฑ์ในการพิจารณาส่ิงล่วงล้ําลํานํ้าด้วย หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า
แบบแปลนของสิ่งล่วงลํ้าลําน้ําท่ีนํามาใช้ประกอบการพิจารณาออกใบอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงลํ้า
ลําแม่นํ้า ไม่มีผู้ประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุมสาขาวิศวกรรมโยธาตามกฎหมายว่าด้วยวิชาชีพ
วิศวกรรมเป็นผู้รับรองตามข้อ ๒ (๓) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗) ออกตามความ
ในพระราชบัญญัตกิ ารเดนิ เรือในนา่ นน้ําไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และไม่มีหนังสือของทางจังหวัด
ที่รับรองว่าส่ิงปลูกสร้างล่วงล้ําลํานํ้าดังกล่าวไม่เป็นอุปสรรคต่อแผนพัฒนาจังหวัด ผังเมือง
และการรักษาสภาพแวดล้อมของจังหวัดตามข้อ ๒ (๕) ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน ประกอบกับ
แบบแปลนแนบท้ายใบอนุญาตให้ปลูกสร้างสิ่งล่วงลํ้าลําแม่นํ้าไม่มีลักษณะที่พึงอนุญาตได้ตาม
มาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทยฯ การออกใบอนุญาตดังกล่าวย่อมไม่ชอบ
ดว้ ยกฎหมาย๒๖
อาคารหรือส่ิงอ่ืนใดท่ีปลูกสร้างล่วงลํ้าลํานํ้าซ่ึงมิได้มีลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึง
ตามข้อ ๔ ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๖๓ (พ.ศ. ๒๕๓๗)ฯ แต่มีลักษณะเป็นอาคารหรือส่ิงอ่ืนใด
ท่ีเจ้าของหรือผู้ครอบครองอาจเสียค่าปรับอย่างสูงตามกฎหมายและย่ืนคําขออนุญาตปลูกสร้าง
ต่อเจ้าท่าเป็นการเฉพาะรายได้ตามข้อ ๕ ประกอบกับข้อ ๑๓ ของกฎกระทรวงฉบับเดียวกัน เช่น
อาคารบ้านพักอาศัย สะพานทางเดินไม้ เป็นต้น การยื่นคําขออนุญาตกรณีดังกล่าวจะต้องกระทํา
ภายในกําหนดเวลาหน่ึงปีนับแต่วันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๓๗ อันเป็นวันท่ีกฎกระทรวงข้างต้นมีผลใช้บังคับ
หากไม่ปรากฏว่าเจ้าของหรือผู้ครอบครองได้ดําเนินการเสียค่าปรับและยื่นคําขออนุญาตปลูกสร้าง
อาคารภายในเวลาท่ีกําหนดไว้ แม้จะขอผ่อนผันว่าจะไปดําเนินการย่ืนคําขออนุญาตต่อเจ้าท่า
ใหถ้ กู ตอ้ งตามกฎหมายตอ่ ไป กไ็ มอ่ าจได้รับอนญุ าตใหป้ ลูกสรา้ งอาคารลว่ งล้ําลาํ แมน่ ํ้าได้๒๗
มีประเด็นปัญหาว่า การปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอ่ืนใดใน “ที่ชายตลิ่ง” ของแม่น้ํา
ลําคลอง บึง อ่างเก็บนํ้า ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์
ร่วมกัน หรอื ทะเลภายในน่านนาํ้ ไทย จะต้องขออนุญาตตอ่ เจา้ ท่ากอ่ นหรอื ไม่ คณะกรรมการกฤษฎกี า
(กรรมการร่างกฎหมาย คณะที่ ๘) ได้ให้ความเห็นเก่ียวกับเร่ืองนี้ว่า๒๘ คณะกรรมการกฤษฎีกา
ได้รับคําชี้แจงจากผู้แทนกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือ ว่า “ที่ชายตลิ่ง” ของแม่นํ้า ลําคลอง บึง
อา่ งเกบ็ นาํ้ ทะเลสาบ กับ “ที่ชายตล่ิง” ของทะเลนั้นมีลักษณะอย่างเดียวกัน กล่าวคือ เป็นที่ดินส่วนที่อยู่
ระหว่างจุดสูงสุดที่น้ําข้ึนถึงตามปกติและจุดตํ่าสุดที่นํ้าลงตามปกติ ซึ่งที่ดินส่วนน้ีจมอยู่ใต้น้ํา
ในขณะท่ีมีน้ําขึ้นและอยู่เหนือน้ําในขณะท่ีมีนํ้าลง และอาจใช้ในการเดินเรือได้ในขณะท่ีมีนํ้าข้ึน
๒๖ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๖/๒๕๕๘
๒๗ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๖๙๒/๒๕๕๔ ที่ อ.๖๙๓/๒๕๕๔ ที่ อ.๒๖๑/๒๕๕๕ และที่ อ.๒๖๒/๒๕๕๕
๒๘ บันทึกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ือง การปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งใดรุกลํ้า “ท่ีชายตลิ่ง”
ของแม่นํ้าลําคลอง บึง อ่างเก็บน้ํา ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชน หรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน
หรือทะเลภายในน่านนาํ้ ไทย จะอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของกรมเจ้าท่าตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติ
การเดินเรอื ในน่านน้ําไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ หรอื ไม่ (เร่อื งเสรจ็ ที่ ๕๔/๒๕๒๘)
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๖๓
ถ้าหากไม่มีข้อจํากัดทางด้านภูมิศาสตร์ เช่น มีโขดหินตามชายฝั่ง เป็นต้น ประกอบกับคณะกรรมการ
กฤษฎีกาเห็นว่าพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทยฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะควบคุมการเดินเรือ
หรือการสัญจรทางน้ําให้เป็นระเบียบเรียบร้อย ตลอดจนควบคุมมิให้มีการกระทําใด ๆ ที่อาจจะเป็น
การกีดขวางหรือเป็นอันตรายต่อการเดินเรือหรือการสัญจรทางนํ้าของประชาชน ไม่ว่าการกระทํานั้น
จะมีข้นึ ในบริเวณทอ้ งน้าํ ในบรเิ วณท่ดี นิ ทจี่ มอยู่ใตน้ ้ําตลอดเวลา หรอื ในท่ดี ินซึ่งจมอยู่ใตน้ าํ้ ในขณะที่มี
น้ําข้ึนและอยู่เหนือนํ้าในขณะท่ีมีน้ําลง คณะกรรมการกฤษฎีกาจึงเห็นว่า “ท่ีชายตล่ิง” เป็นส่วนหน่ึง
ของแม่นาํ้ ลาํ คลอง ฯลฯ เนื่องจากในเวลาท่ีน้ําขนึ้ จะจมอยู่ใต้น้ําและในบางกรณีกอ็ าจใชใ้ นการเดินเรือ
ได้ด้วย การปลูกสร้างอาคารหรือสิ่งอื่นใดใน “ที่ชายตล่ิง” ของแม่นํ้า ลําคลอง บึง อ่างเก็บน้ํา
ทะเลสาบ อันเป็นทางสัญจรของประชาชนหรือที่ประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายใน
น่านนํ้าไทย จึงอยู่ในขอบเขตความรับผิดชอบของเจ้าท่าตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติ
การเดินเรือในน่านนํา้ ไทย พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ ด้วย นอกจากนี้ คณะกรรมการกฤษฎกี า (คณะท่ี ๑
และคณะท่ี ๗) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า๒๙ ในกรณีที่ดินริมแหล่งนํ้าสาธารณะที่นํ้าท่วมไม่ถึงอีกต่อไป
เน่ืองจากการต้ืนเขินตามธรรมชาติ ย่อมพ้นสภาพจากการเป็นที่ชายตลิ่ง ไม่อยู่ในความรับผิดชอบ
ของกรมการขนส่งทางน้ําและพาณิชยนาวี แต่ยังคงมีสภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับ
พลเมืองใช้ร่วมกันอยู่ต่อไป และอยู่ในความรับผิดชอบของนายอําเภอท้องท่ีตามมาตรา ๑๒๒
แห่งพระราชบัญญัติลักษณะปกครองท้องที่ พระพุทธศักราช ๒๔๕๗ ประกอบกับมาตรา ๘
แห่งประมวลกฎหมายท่ีดิน และมาตรา ๖๒ แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งการพิจารณาว่าท่ีดินนั้นน้ําท่วมถึงหรือไม่ ต้องถือหลักเกณฑ์ว่าที่ดินนั้นโดยปกติ
น้ําท่วมไม่ถึงตลอดไป มิใช่เฉพาะฤดูใดฤดูหนึ่งหรือเพียงปีใดปีหนึ่งเท่านั้น แต่ถ้าหากปรากฏว่าที่ดิน
ท่ีน้ําท่วมไม่ถึงอันเกิดจากการกระทําของบุคคล กรมการขนส่งทางน้ําและพาณิชยนาวีก็จะต้องใช้
อํานาจตามมาตรา ๑๒๐ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทยฯ ในการเข้าดําเนินการดูแล
รักษาและขดุ ลอกรอ่ งนาํ้ นั้น และแม้จะมกี ารออกหนังสือแสดงสิทธิในท่ีดินตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ก็เป็นการออกโดยมิชอบ ซ่ึงกรมการขนส่งทางนํ้าและพาณิชยนาวีก็มีหน้าที่ดําเนินการขอให้เพิกถอน
หนงั สือแสดงสทิ ธใิ นทด่ี นิ นนั้ ต่อไป
สําหรับการปลูกสร้างอาคารในที่ดินท่ีน้ําท่วมถึงซ่ึงมิใช่ท่ีสาธารณสมบัติของแผ่นดิน
จะต้องขออนุญาตจากกรมเจ้าท่าตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านน้ําไทย
พระพุทธศักราช ๒๔๕๖ และท่ีแก้ไขเพ่ิมเติม หรือไม่น้ัน คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการ
ร่างกฎหมาย คณะที่ ๗) ไดใ้ ห้ความเหน็ เก่ยี วกับเรอื่ งนี้ว่า๓๐ มาตรา ๑๓๐๔ (๒) แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ บัญญัติว่า สาธารณสมบัติของแผ่นดินประเภททรัพย์สินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
๒๙ บันทึกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การทบทวนความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา
เกี่ยวกบั อาํ นาจในการดแู ลรกั ษาแมน่ ้าํ ลําคลอง ทะเลสาบและทะเลภายในประเทศ (เรอื่ งเสรจ็ ท่ี ๕๐๔/๒๕๔๙)
๓๐ บันทึกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เรื่อง การปลูกสร้างให้ที่ซึ่งน้ําท่วมถึงซ่ึงมิใช่ที่สาธารณสมบัติ
ของแผ่นดินจะต้องขออนุญาตจากกรมเจ้าท่าตามมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือในน่านนํ้าไทย
พระพุทธศกั ราช ๒๔๕๖ หรือไม่ (เรือ่ งเสรจ็ ที่ ๔๗๓/๒๕๓๕)
๖๔ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ได้แก่ ท่ีชายตลิ่ง ทางนํ้า ทางหลวง และทะเลสาบ โดยที่ชายตลิ่งนั้นหมายถึง ที่ดินท่ีอยู่ติดต่อ
กับแม่น้ํา ลําคลอง ทะเล ซึ่งในฤดูนํ้าตามปกตินํ้าท่วมถึง แต่ท่ีดินท่ีเอกชนมีกรรมสิทธิ์อยู่ก่อน
แม้ภายหลังจะถูกนํ้าเซาะพังจนกลายเป็นที่ซึ่งน้ําท่วมถึง หากเจ้าของยังคงใช้สิทธิความเป็นเจ้าของ
ครอบครองอาคารและที่ดินในเขตของตน โดยมิได้ทอดท้ิงปล่อยให้เป็นทางนํ้า ก็ไม่กลายสภาพ
เป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ส่วนบทบัญญัติในมาตรา ๑๑๗ แห่งพระราชบัญญัติการเดินเรือ
ในน่านน้ําไทยฯ มีจุดมุ่งหมายที่จะควบคุมการเดินเรือหรือการสัญจรในลําน้ําอันเป็นทางสัญจร
ของประชาชนหรือท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน หรือทะเลภายในน่านนํ้าไทย หรือบนชายหาด
ของทะเลดังกลา่ วให้เปน็ ระเบียบเรยี บร้อย ตลอดจนควบคุมมิใหก้ ระทาํ การใด ๆ ท่ีอาจจะเป็นการกีดขวาง
หรือเป็นอันตรายต่อการเดินเรือหรือการสัญจรบริเวณดังกล่าว ไม่ว่าการกระทําดังกล่าวจะมีข้ึน
ในบริเวณท้องนํ้า หรือในนํ้าในขณะที่มีนํ้าขึ้น หรืออยู่เหนือนํ้าในขณะที่มีน้ําลง โดยมาตรา ๑๑๘ ทวิ
แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ได้ให้อํานาจเจ้าท่ามีคําสั่งให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองอาคารหรือส่ิงอื่นใด
ที่ปลูกสร้างโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือไม่เป็นไปตามท่ีได้รับอนุญาต ร้ือถอนอาคารหรือส่ิงอื่นใดนั้น
ไปให้พ้นจากทางนํ้าหรือแก้ไขให้ถูกต้องภายในระยะเวลาที่กําหนดได้ เม่ือท่ีดินที่นํ้าท่วมถึงมิใช่
ทางสัญจรของประชาชนหรือท่ีประชาชนใช้ประโยชน์ร่วมกัน การปลูกสร้างอาคารหรือส่ิงอื่นใด
ลงไปในบริเวณดังกล่าวจงึ ไมต่ ้องขออนญุ าตจากเจา้ ท่าแตอ่ ย่างใด
ทั้งนี้ ศาลปกครองสูงสุดได้เคยวินิจฉัยไว้ว่า ท่ีดินแปลงใดจะพ้นสภาพจากการเป็น
ท่ีชายตล่ิงท่ีนํ้าท่วมถึงจะต้องได้ความว่า ท่ีดินแปลงน้ันตามปกติน้ําท่วมไม่ถึงตลอดไป มิใช่เพียงปีใด
ปหี นงึ่ หรอื บางปีเทา่ นน้ั เมอื่ กรณปี รากฏว่าท่ดี ินพพิ าทมีนาํ้ ท่วมไมถ่ ึงเพียงบางปี ย่อมถือว่าท่ีดินพิพาท
มีสภาพเป็นที่ดินชายตลิ่งท่ีนํ้าท่วมถึง อันเป็นท่ีสาธารณสมบัติของแผ่นดินสําหรับพลเมืองใช้ร่วมกัน
ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒) ประกอบมาตรา ๑๓๐๙ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มิใช่ท่ีงอก
ของที่ดินริมตล่ิง เจ้าของท่ีดินริมตลิ่งย่อมไม่ได้รับความรับรองหรือคุ้มครองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์
ท่ีดนิ พิพาท และไม่อาจนําทด่ี นิ พิพาทไปขอออกโฉนดท่ีดนิ ได้๓๑
อาํ นาจของเจา้ หน้าที่ในการเพกิ ถอนใบอนญุ าตกอ่ สรา้ งสงิ่ ลว่ งล้ําลํานา้ํ
เมื่อกรณีปรากฏว่า ใบอนุญาตก่อสร้างสิ่งล่วงล้ําลํานํ้าออกโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เจ้าหน้าท่ีผู้ออกใบอนุญาตย่อมมีอํานาจเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวได้ตามมาตรา ๕๐
แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ โดยถือว่าเป็นการเพิกถอนคําส่ังทางปกครอง
ท่ีไม่ชอบด้วยกฎหมายซึ่งเป็นการให้ประโยชน์ในลักษณะอ่ืนที่มิใช่การให้เงิน ให้ทรัพย์สิน
หรือให้ประโยชน์ที่อาจแบ่งแยกได้ตามมาตรา ๕๒ แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน ซ่ึงต้องมีคําสั่ง
เพิกถอนใบอนุญาตภายในเก้าสิบวัน นับแต่ได้รู้ถึงเหตุที่จะให้เพิกถอนคําสั่งน้ันตามมาตรา ๔๙
แหง่ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ และการเพิกถอนต้องคํานึงถึงความเชื่อโดยสุจริต
ของผู้รับประโยชน์ในความคงอยู่ของคําส่ังทางปกครองนั้นกับประโยชน์สาธารณะประกอบกัน
หากปรากฏว่า การย่ืนคําร้องขอก่อสร้างสิ่งล่วงลํ้าลํานํ้าเป็นการขอโดยไม่สุจริต เช่น ผู้ขอมีเจตนา
๓๑ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๒๘๒-๒๘๓/๒๕๕๙
รวมเรื่องเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๖๕
จะก่อสร้างท่าเทียบเรือประเภทมารีน่าอันเป็นโครงการขนาดใหญ่๓๒ ซึ่งมิใช่ลักษณะของอาคาร
หรือสิ่งล่วงลํ้าลําน้ําท่ีจะพึงอนุญาตได้ แต่ผู้ขอได้ใช้วิธีการยื่นคําร้องขอก่อสร้างสิ่งล่วงล้ําลําน้ํา
แบ่งย่อยออกเป็น ๔ ฉบับ เพื่อขออนุญาตก่อสร้างส่วนต่าง ๆ ของท่าเทียบเรือมารีน่า อันได้แก่
สะพานทา่ เทยี บเรือ ท่นุ ลอยเทยี บเรอื เขื่อนกันคลื่น และขดุ ลอกรอ่ งน้ําทางเดินเรือ ถือว่าการยื่นคําร้อง
ขอก่อสร้างสิ่งล่วงลํ้าลําน้ําลักษณะน้ีเป็นการขอโดยให้ข้อความไม่ถูกต้องหรือไม่ครบถ้วน
ในสาระสําคัญ เม่ือเจ้าท่าตรวจพบความไม่ถูกต้องดังกล่าวภายหลังจากท่ีอนุญาตให้มีการก่อสร้าง
ส่ิงล่วงลํ้าลํานํ้าไปแล้ว เจ้าท่าย่อมมีอํานาจเพิกถอนใบอนุญาตดังกล่าวทั้ง ๔ ฉบับ ได้ดังกล่าว
โดยที่ผู้ขอไม่อาจอ้างความเชื่อโดยสุจริตได้ตามมาตรา ๕๒ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา ๕๑
วรรคสาม (๒) แห่งพระราชบัญญัตวิ ธิ ปี ฏิบัตริ าชการทางปกครองฯ๓๓
๓๒ ท่าเทยี บเรือสาํ หรับจอดเรอื สาํ ราญหรือเรอื ยอร์ช ซงึ่ เป็นการผสมระหว่างทา่ เทียบเรือกับโปะ๊ หรืออลู่ อย
๓๓ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๔๐๐/๒๕๕๙
๖๖ รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
คดพี พิ าทเกี่ยวกับที่ดนิ
เรอ่ื งท่ี ๕ กรณีศึกษา เรื่อง คุณสมบัติของผู้มีสิทธิได้รับการคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในเขต
ปฏริ ูปท่ดี ินเพอ่ื เกษตรกรรม
การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หมายความว่า การปรับปรุงเก่ียวกับสิทธิ
และการถือครองในท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม รวมตลอดถึงการจัดที่อยู่อาศัยในท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมน้ัน
โดยรัฐนําที่ดินของรัฐ หรือที่ดินท่ีรัฐจัดซ้ือหรือเวนคืนจากเจ้าของท่ีดิน ซึ่งมิได้ทําประโยชน์ในที่ดินนั้น
ด้วยตนเอง หรือมีที่ดินเกินสิทธิตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
เพื่อจัดให้แก่เกษตรกรผู้ไม่มีท่ีดินของตนเองหรือเกษตรกรที่มีท่ีดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ
และสถาบันเกษตรกรได้เช่าซื้อ เช่า หรือเข้าทําประโยชน์โดยรัฐให้ความช่วยเหลือในการพัฒนา
อาชีพเกษตรกรรม การปรับปรุงทรัพยากรและปัจจัยการผลิต ตลอดจนการผลิตและการจําหน่าย
ให้เกิดผลดียิง่ ขนึ้ ๑
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้กําหนด
ผู้ท่ีมีสิทธิได้รับการจัดสรรให้ถือครองท่ีดินในเขตปฏิรูปที่ดินไว้เป็นการเฉพาะ ซ่ึงจําแนกออกได้
เปน็ ๓ ประเภท ดังนี้
๑. เกษตรกร หมายถึง ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก และให้หมายความ
รวมถงึ บคุ คลผยู้ ากจนหรือผูจ้ บการศกึ ษาทางเกษตรกรรม หรือผู้เป็นบุตรของเกษตรกร บรรดาซ่ึงไม่มี
ท่ีดินเพือ่ เกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์
และเง่ือนไขท่กี ําหนดในพระราชกฤษฎีกาด้วย๒
๒. สถาบันเกษตรกร หมายถึง กลุม่ เกษตรกร สหกรณก์ ารเกษตรและชมุ นุมสหกรณ์
การเกษตรตามกฎหมายว่าด้วยสหกรณ์๓
๓. ผู้ประกอบกิจการอื่นท่ีเป็นการสนับสนุนหรือเก่ียวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม ตามท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกําหนดไว้ใน
ราชกจิ จานเุ บกษา๔ ซงึ่ กระทรวงเกษตรและสหกรณไ์ ดอ้ อกประกาศกําหนดกจิ การไว้ ดังน้ี๕
อุมาภรณ์ สุนทรนันท ผู้เรียบเรียง (โดยนําข้อมูลเบ้ืองต้นของนางสาวสุชาดา ศรีเกล้ียง มาประกอบ) /
วิรยิ ะ วฒั นสชุ าติ ผตู้ รวจ โดยเผยแพร่ในประเดน็ เด็ด เกรด็ คดี ๒๕๖๑ ประจําวนั ท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๖๑
๑ มาตรา ๔ แหง่ พระราชบญั ญัตกิ ารปฏิรปู ที่ดนิ เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
๒ มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติม
โดยพระราชบญั ญตั ิการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบบั ที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
๓ มาตรา ๔ แหง่ พระราชบญั ญตั ิการปฏริ ูปทดี่ ินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
๔ มาตรา ๓๐ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญตั ิการปฏิรูปทดี่ นิ เพื่อเกษตรกรรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๖๗
(๑) กิจการอ่ืนทีเ่ ปน็ การสนบั สนุนการปฏิรูปทดี่ ินเพอ่ื เกษตรกรรม ได้แก่
(๑.๑) กิจการทางวิชาการเกษตร การสาธิต การทดลอง เพ่ือประโยชน์
ทางการเกษตร
(๑.๒) กิจการที่ส่งเสริม หรือประกันราคาพืชผลการเกษตร หรือลดต้นทุน
การผลิตทางการเกษตร
(๑.๓) กิจการที่เป็นข้อตกลงร่วมกันกับสํานักงานการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรมในการดําเนนิ การผลติ และการจําหน่ายผลิตผลทางการเกษตร
(๑.๔) กิจการที่เป็นการพัฒนาอาชีพเกษตรกรรมและปัจจัยการผลิต
ตลอดจนการผลติ การจาํ หนา่ ย และการตลาดใหเ้ กดิ ผลดียงิ่ ขน้ึ
(๑.๕) กิจการท่ีเป็นการบริการหรือเก่ียวข้องกับความเป็นอยู่ของเกษตรกร
ในด้านเศรษฐกิจและสังคมในเขตดําเนินการปฏิรูปท่ีดิน ซึ่งกิจการนั้นต้องอยู่ในพ้ืนท่ีที่คณะกรรมการ
ปฏริ ูปทด่ี ินเพ่อื เกษตรกรรมกาํ หนดให้เปน็ พืน้ ที่เพอื่ การนีโ้ ดยเฉพาะ๖
(๒) กิจการอ่ืนที่เป็นการเกี่ยวเนื่องกับการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หมายถึง
กจิ การแปรรูปผลิตผลการเกษตร ซง่ึ ใช้ผลผลติ ทางการเกษตรในเขตปฏริ ูปทด่ี ิน
จากการศกึ ษาคดพี พิ าทท่ีขึน้ สกู่ ารพิจารณาของศาลปกครองสูงสุดในเรื่องของผู้มีสิทธิ
ได้รับการคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดิน พบว่ามีประเด็นเกี่ยวข้องกับ “เกษตรกร”
จํานวนหนึ่ง รายงานการศึกษาฉบับนี้จึงได้จัดทําขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะศึกษาในประเด็นของการเป็น
“เกษตรกร” ท่ีจะมสี ทิ ธไิ ดร้ ับการคัดเลอื กให้เข้าทาํ ประโยชนใ์ นเขตปฏิรปู ทดี่ ินเป็นสําคัญ
อย่างไรกต็ าม เพอื่ ประโยชนใ์ นทางวชิ าการ ผจู้ ดั ทําจึงได้ตรวจสอบการตอบข้อหารือ
ของคณะกรรมการกฤษฎีกาด้วย ซึ่งพบว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาเคยมีการตอบข้อหารือในประเด็น
เก่ียวกับเร่ืองผู้มีสิทธิได้รับการจัดที่ดินตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
ท่ีเป็นเกษตรกร โดยที่มาของการตอบข้อหารือดังกล่าวสืบเน่ืองมาจากการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมาย
เม่ือปี พ.ศ. ๒๕๓๒ ท่ีได้มีการแก้ไขเพ่ิมเติมนิยามคําว่า “เกษตรกร” ให้กว้างกว่านิยามเดิม
ในพระราชบัญญัติซ่ึงประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๘ โดยให้ฝ่ายบริหารสามารถออกพระราชกฤษฎีกา
กําหนดหลกั เกณฑแ์ ละเงอื่ นไขของการเป็นเกษตรกรเพ่ิมเติมได้ ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๓๕ ได้มีการตรา
๕ ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เร่ือง กําหนดกิจการอ่ืนที่เป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเน่ือง
กับการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมตามมาตรา ๓๐ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๑๘ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ ลงวันท่ี ๒๗
พฤศจิกายน ๒๕๓๓
๖ เพ่ิมเติมโดยประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กําหนดกิจการอื่นที่เป็นการสนับสนุน
หรือเก่ียวเน่ืองกับการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมตามมาตรา ๓๐ วรรคห้า แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ แก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๒ (ฉบับที่ ๒) ลงวนั ท่ี ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๓
๖๘ รวมเร่ืองเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
พระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และมาตรา ๓ แห่งพระราชกฤษฎีกาน้ัน กําหนดว่า “บุคคลซ่ึงอยู่ในหลักเกณฑ์
และเงือ่ นไขขอ้ ใดข้อหนึ่งดังตอ่ ไปนี้ ให้ถอื ว่าเปน็ เกษตรกร
(๑) ผยู้ ากจน…
(๒) ผูจ้ บการศึกษาทางเกษตรกรรม…
(๓) บุตรของเกษตรกร…
ท้ังนี้ บุคคลดังกล่าวต้องไม่มีอาชีพอันมีรายได้ประจําเพียงพอแก่การยังชีพอยู่แล้ว
ไม่มที ี่ดนิ เพ่ือเกษตรกรรมเปน็ ของตนเอง และประสงคจ์ ะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก”
กรณีมีปัญหาว่า คําว่า “เกษตรกร” ไม่ว่าประเภทใด ๆ ตามพระราชบัญญัติ
การปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ จําต้องมีคุณสมบัติตามพระราชกฤษฎีกา
กําหนดหลักเกณฑ์และเง่ือนไขในการเป็นเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยเฉพาะอย่างย่ิง มาตรา ๓ (๑)
(๒) หรือ (๓) และวรรคสอง หรือไม่ กลา่ วอีกนัยหนึ่งก็คือ เม่ือพิจารณาจากกฎหมายว่าด้วยการปฏิรูป
ที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมแล้ว จําเป็นหรือไม่ว่า ผู้ที่เป็นเกษตรกรตามมาตรา ๓๐ จะต้องเป็นผู้ยากจน
หรือยากไร้ หรือไม่มอี าชีพอนั มรี ายได้ประจํา หรือไม่มีท่ดี นิ เพ่อื เกษตรกรรมเป็นของตนเองเสมอไป
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว คณะกรรมการกฤษฎีกา (ท่ีประชุมใหญ่กรรมการ
ร่างกฎหมาย) เห็นวา่ ๗ จากบทนิยามคาํ วา่ “การปฏิรปู ทีด่ นิ เพอ่ื เกษตรกรรม” จะเห็นได้ว่าการปฏิรูป
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นการจัดท่ีดินให้แก่เกษตรกรท่ีไม่มีที่ดินเป็นของตนเองหรือมีท่ีดินเล็กน้อย
ไม่เพียงพอแก่การครองชีพ ส่วนคําว่า “เกษตรกร” นั้น บทนิยามตามมาตรา ๔ ได้แบ่งเกษตรกร
ออกเปน็ ๒ ประเภท คือ
(๑) ผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก อันได้แก่ ผู้ที่เป็นเกษตรกรอยู่แล้ว
ตามความเป็นจริง และได้ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก กล่าวคือ ใช้เวลาส่วนใหญ่ในอาชีพ
เกษตรกรรมมิใช่อาชีพอ่ืน ซ่ึงผู้ที่เป็นเกษตรกรอยู่แล้วนี้ กฎหมายมิได้กําหนดว่าต้องเป็นเกษตรกร
ผู้ยากจน อย่างไรก็ตาม โดยที่สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อดําเนิน
“การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม”๘ และจากบทนิยามคําว่า “การปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม”
ในมาตรา ๔ เป็นที่เข้าใจได้ว่าเป็นการจัดท่ีดินให้แก่ “เกษตรกรผู้ไม่มีท่ีดินของตนเองหรือเกษตรกร
ที่มีที่ดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ” ดังน้ัน เกษตรกรประเภทน้ีจึงต้องเป็นผู้ที่ประกอบอาชีพ
เกษตรกรรมเป็นหลักและไม่มีที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือมีท่ีดินเล็กน้อยไม่เพียงพอ
แกก่ ารครองชพี
(๒) ผู้ประสงค์จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก อันได้แก่ ผู้ที่ยังไม่เป็น
เกษตรกรแต่ประสงค์จะเป็นเกษตรกรและมาขอรับการจัดท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม
ซึ่งเกษตรกรในประเภทน้ีจะต้องเป็นผู้ยากจนหรือผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรมหรือผู้เป็นบุตร
๗ บันทึกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ือง ผู้มีสิทธิได้รับการจัดท่ีดินตามพระราชบัญญัติ
การปฏริ ูปท่ดี นิ เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ (เรอ่ื งเสรจ็ ท่ี ๒๐๖/๒๕๓๘)
๘ มาตรา ๖ แหง่ พระราชบัญญัติการปฏิรปู ท่ีดินเพอ่ื เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๖๙
ของเกษตรกรและบุคคลดังกล่าวจะต้องไม่มีที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมเป็นของตนเองและประสงค์
จะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามหลักเกณฑ์และเง่ือนไขท่ีกําหนดในราชกฤษฎีกา
ซ่ึงในปัจจุบันพระราชกฤษฎีกากําหนดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเป็นเกษตรกร พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๓๙ ได้กําหนดว่า บุคคลเหล่าน้ีจะต้องไม่มีอาชีพอื่นอันมีรายได้ประจําเพียงพอแก่การยังชีพ
ดังนั้น บุคคลประเภทท่ี ๒ นี้ จึงต้องเป็นผู้ท่ีไม่มีท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมเป็นของตนเองตามบทบัญญัติ
ส่วนท้ายของบทนิยามคําว่า “เกษตรกร” และต้องเป็นผู้ยากจนหรือไม่ใช่ผู้ท่ีมีอาชีพอื่นอันมีรายได้
เพยี งพอแก่การยงั ชพี อยูแ่ ลว้ ตามเง่ือนไขทก่ี าํ หนดในพระราชกฤษฎีกาฯ
สําหรับเกษตรกรผู้ใดจะมีสิทธิได้รับการจัดที่ดินหรือไม่ ย่อมเป็นไปตามบทบัญญัติ
มาตรา ๓๐ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติม
โดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ โดยได้กําหนดให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ
และเง่ือนไขท่ีคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมกําหนด และในปัจจุบันได้มีการออกระเบียบ
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการคัดเลือก
เกษตรกรซ่ึงจะมีสิทธิได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยได้กําหนดว่า
เกษตรกรผู้ที่จะมีสิทธิได้รับการจัดที่ดินได้จะต้องย่ืนคําร้องขอตามข้อ ๕๑๐ และจะต้องเป็นผู้ท่ีมี
๙ พระราชกฤษฎีกากาํ หนดหลักเกณฑแ์ ละเงือ่ นไขในการเปน็ เกษตรกร พ.ศ. ๒๕๓๕
มาตรา ๓ บุคคลซ่ึงอย่ใู นหลักเกณฑ์และเง่อื นไขข้อใดขอ้ หนง่ึ ดังต่อไปนี้ ใหถ้ อื วา่ เปน็ เกษตรกร
(๑) ผู้ยากจน ซึ่งหมายถึงผู้มีรายได้ไม่สูงกว่าระดับรายได้ท่ีคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
กาํ หนด
รายไดต้ าม (๑) ให้หมายความรวมถงึ สิทธหิ รอื ประโยชนอ์ น่ื ทีส่ ามารถคาํ นวณเป็นตวั เงนิ ไดด้ ้วย
(๒) ผู้จบการศึกษาทางเกษตรกรรม ซ่ึงหมายถึงผู้ที่จบการศึกษาไม่ต่ํากว่าระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ
หรือเทียบเทา่ ในประเภทวิชาเกษตรกรรม
(๓) บุตรของเกษตรกร ซึ่งหมายถึงบตุ รโดยชอบด้วยกฎหมายของผปู้ ระกอบอาชพี เกษตรกรรมเปน็ หลกั
ทั้งน้ี บุคคลดังกล่าวต้องไม่มีอาชีพอันมีรายได้ประจําเพียงพอแก่การยังชีพอยู่แล้ว ไม่มีที่ดิน
เพือ่ เกษตรกรรมเปน็ ของตนเอง และประสงคจ์ ะประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก
๑๐ ระเบียบคณะกรรมการปฏริ ปู ทีด่ ินเพอ่ื เกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข ในการคัดเลือก
เกษตรกรซึง่ จะมสี ทิ ธิไดร้ บั ที่ดินจากการปฏิรปู ทดี่ นิ เพือ่ เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕
ข้อ ๕ เม่ือคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติเห็นชอบตามท่ีสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดเสนอ
ให้ดําเนินการจัดเกษตรกรเข้าอยู่อาศัยหรือเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินตามโครงการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมท้องที่ใด
ให้คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดแห่งท้องที่นั้น ประกาศให้เกษตรกรในท้องที่ดังกล่าวยื่นคําร้องขอเข้าทําประโยชน์
ในที่ดินในเขตปฏิรูปท่ีดินต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ตามแบบของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมภายใน
ระยะเวลาและสถานที่ท่ีคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดกําหนด ระยะเวลาดังกล่าวจะต้องไม่น้อยกว่าสิบห้าวัน
ในกรณีที่มีเหตุผลอันสมควร คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดอาจประกาศให้ขยายระยะเวลาได้ตามความจําเป็น
แตก่ ําหนดระยะเวลายืน่ คาํ ร้องนเ้ี มื่อรวมแล้วตอ้ งไม่เกนิ เกา้ สบิ วัน
ประกาศตามวรรคหนึ่ง จะต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับความในข้อ ๖ และข้อ ๗ พร้อมท้ังกําหนดให้ผู้ยื่น
คําร้องนําหลักฐานมาประกอบคําร้องและให้มีแผนท่ีสังเขปแสดงที่ต้ังท่ีดินที่นํามาดําเนินการปฏิรูปท่ีดินปิดไว้
ในท่ีเปิดเผย ณ ศาลากลางจังหวัด สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด ท่ีว่าการอําเภอหรือกิ่งอําเภอ ที่ทําการกํานัน
๗๐ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
คุณสมบัติตามข้อ ๖๑๑ ซึ่งข้อ ๖ (๖) ได้กําหนดว่าจะต้อง “ไม่มีที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรม
เป็นของตนเองหรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกันหรือมีที่ดินเพียงเล็กน้อยแต่ไม่เพียงพอ
แก่การประกอบเกษตรกรรมเพื่อเลี้ยงชีพ” อันเป็นการกําหนดที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายดังกล่าว
ขา้ งตน้
แห่งท้องที่ และทชี่ มุ ชนในทอ้ งที่ซ่ึงได้มีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินน้ันแห่งละหน่ึงฉบับ หรือจะประกาศ
ทางสอ่ื มวลชนอ่นื ด้วยกไ็ ด้
ในกรณีท่ีท่ีดินท่ีจะจัดให้มีจํากัด และมีเกษตรกรซ่ึงเป็นผู้เช่าอยู่ขณะโอนกรรมสิทธ์ิเป็นของสํานักงาน
การปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม หรือมีเกษตรกรผู้ได้รับการข้ึนทะเบียนขอรับที่ดินทํากินจากการปฏิรูป
ท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมตามมติคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ครั้งท่ี ๒/๒๕๓๔ เม่ือวันที่ ๕ เมษายน
๒๕๓๔ ไว้แล้ว ให้ดําเนินการคัดเลือกเกษตรกรดังกล่าวต่อไปโดยไม่ต้องประกาศตามวรรคหน่ึง และสําหรับ
ผซู้ ่ึงได้รบั การข้ึนทะเบียนไวแ้ ลว้ ให้ไดร้ บั ยกเว้นการย่ืนคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ตามระเบยี บนี้
หมายเหตุ
ความข้อน้ี มีการแก้ไขเพ่ิมเติมโดยระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงื่อนไข ในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๓๗ แตต่ ่อมาไดม้ กี ารแก้ไขเพมิ่ เตมิ โดยระเบยี บคณะกรรมการปฏิรปู ที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์
วิธีการ และเง่ือนไข ในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ฉบับท่ี ๓)
พ.ศ. ๒๕๓๘ โดยเน้ือความในการแก้ไขครั้งหลัง ได้แก้กลับไปเป็นเหมือนความในระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดิน
เพ่ือเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข ในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับท่ีดินจากการปฏิรูป
ที่ดินเพ่อื เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ เชน่ เดิม
๑๑ ระเบียบคณะกรรมการปฏิรปู ทดี่ ินเพ่ือเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข ในการคัดเลือก
เกษตรกรซึง่ จะมสี ิทธิได้รบั ทีด่ ินจากการปฏิรปู ที่ดนิ เพือ่ เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕
ข้อ ๖ เกษตรกรผู้ซึ่งมีคุณสมบัติดังตอ่ ไปน้ี มีสทิ ธิยน่ื คาํ ร้องขอเขา้ ทาํ ประโยชน์ในท่ีดนิ ในเขตปฏิรูปท่ีดิน
ตามขอ้ ๕ ได้
(๑) มีสัญชาติไทย
(๒) บรรลุนติ ภิ าวะ หรือเปน็ หัวหน้าครอบครัว
(๓) มคี วามประพฤตดิ แี ละซ่อื สตั ย์สุจริต
(๔) มีร่างกายสมบูรณ์ ขยันขันแข็ง และสามารถประกอบการเกษตรได้
(๕) ไม่เปน็ คนวกิ ลจริต หรอื จิตฟน่ั เฟอื นไมส่ มประกอบ
(๖) ไม่มีท่ีดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมเป็นของตนเองหรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกัน หรือมีที่ดิน
เพยี งเล็กนอ้ ย แต่ไม่เพียงพอแก่การประกอบเกษตรกรรมเพอ่ื เลี้ยงชีพ
(๗) เป็นผู้ยินยอมปฏิบัติตามระเบียบ ข้อบังคับ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
และคณะกรรมการปฏริ ปู ทีด่ ินจงั หวดั กําหนด
รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๗๑
นอกจากประเด็นเร่ือง “เกษตรกร” ท่ีกล่าวแล้วข้างต้น ยังมีประเด็นท่ีน่าสนใจ
ท่ีคณะกรรมการกฤษฎกี า (ทีป่ ระชมุ ใหญก่ รรมการร่างกฎหมาย) ได้ให้ความเห็นในคราวเดียวกันอีกว่า
การที่สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมเข้าใจว่า การจัดที่ดินตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง๑๒
เป็นเร่ืองที่สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมจะจัดท่ีดินให้กับเกษตรกรผู้ใดหรือไม่ก็ได้
๑๒ พระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติ
การปฏิรูปที่ดนิ เพือ่ เกษตรกรรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
มาตรา ๓๐ บรรดาที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ ส.ป.ก. ได้มา ให้ ส.ป.ก. มีอํานาจจัดให้เกษตรกร
หรือสถาบันเกษตรกรได้ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขที่คณะกรรมการกําหนด ทั้งน้ี ตามขนาดการถือครอง
ในที่ดินดังกล่าวตอ่ ไปน้ี
(๑) จํานวนทด่ี ินไมเ่ กนิ ห้าสิบไร่ สาํ หรบั เกษตรกรและบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ซ่ึงประกอบเกษตรกรรม
อย่างอนื่ นอกจากเกษตรกรรมเล้ยี งสัตว์ใหญ่ตาม (๒)
(๒) จํานวนที่ดินไม่เกินหนึ่งร้อยไร่ สําหรับเกษตรกรและบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งใช้ประกอบ
เกษตรกรรมเล้ียงสตั ว์ใหญต่ ามท่รี ัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกําหนด
(๓) จํานวนท่ีดินท่ีคณะกรรมการเห็นสมควรสําหรับสถาบันเกษตรกร ทั้งน้ี โดยคํานึงถึงประเภท
และลักษณะการดําเนนิ งานของสถาบันเกษตรกรน้นั ๆ
ในการดําเนินการตามวรรคหนึ่ง ถ้าเป็นการจัดให้เกษตรกร และเป็นท่ีดินท่ีคณะกรรมการกําหนด
มิให้มีการโอนสิทธิในท่ีดินก็ให้จัดให้เกษตรกรเช่า ในกรณีอ่ืนให้จัดให้เกษตรกรเช่าหรือเช่าซื้อตามท่ีเกษตรกร
แสดงความจํานง ถา้ เปน็ การจดั ให้สถาบันเกษตรกรให้จดั ใหส้ ถาบนั เกษตรกรเชา่
บรรดาที่ดินท่ี ส.ป.ก. ได้มา ถ้าเป็นที่ดินของรัฐและมีเกษตรกรถือครองอยู่แล้วเกินจํานวนท่ีกําหนด
ในวรรคหน่ึงก่อนเวลาท่ีคณะกรรมการกําหนด เมื่อเกษตรกรดังกล่าวย่ืนคําร้องและยินยอมชําระค่าเช่า
หรือค่าชดเชยที่ดินในอัตราหรือจํานวนที่เพิ่มข้ึนตามท่ีคณะกรรมการกําหนด สําหรับที่ดินส่วนท่ีเกินตามวรรคหนึ่ง
ให้คณะกรรมการจัดที่ดินให้เกษตรกรเช่าหรือจัดให้ แล้วแต่กรณี ตามจํานวนท่ีเกษตรกรถือครองได้ แต่เมื่อรวมกันแล้ว
ต้องไม่เกินหนึ่งร้อยไร่ ในการกําหนดอัตราค่าเช่าหรือค่าชดเชยท่ีดินดังกล่าว ต้องคํานึงถึงระยะเวลาและวิธีการ
ที่เกษตรกรได้ท่ีดินนั้นมา ความสามารถในการทําประโยชน์ ประเภทของเกษตรกรรม และการทําประโยชน์ที่ได้ทําไว้แล้ว
ในทดี่ ินน้ัน
ในการจัดท่ีดินให้เกษตรกรตามวรรคสาม ถ้าเกษตรกรได้เข้าครอบครองที่ดินดังกล่าวก่อน พ.ศ. ๒๕๑๐
ให้เรียกเก็บเฉพาะค่าธรรมเนียมในการโอนและรังวัด และค่าปรับปรุงพัฒนาที่ดินที่ ส.ป.ก. ดําเนินการให้ตามจํานวน
ทีค่ ณะกรรมการกาํ หนด เฉพาะสว่ นทไ่ี ม่เกนิ ห้าสบิ ไร่
นอกจากการจัดท่ีดินให้แก่บุคคลตาม (๑) (๒) และ (๓) ให้ ส.ป.ก. มีอํานาจจัดท่ีดินหรืออสังหาริมทรัพย์
ให้แก่บุคคลใดเช่า เช่าซ้ือ ซื้อ หรือเข้าทําประโยชน์ เพื่อใช้สําหรับกิจการอื่นท่ีเป็นการสนับสนุนหรือเกี่ยวเน่ือง
กับการปฏิรูปที่ดินตามท่ีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ประกาศกําหนดในราชกิจจานุเบกษาได้ ท้ังน้ี
ตามขนาดการถือครองในที่ดินท่ีคณะกรรมการเห็นสมควร ซึ่งต้องไม่เกินห้าสิบไร่ ส่วนหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข
ในการอนุญาตหรือการให้ผู้ได้รับอนุญาตถือปฏิบัติให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกําหนดโดยความเห็นชอบ
ของคณะรัฐมนตรี
การจัดที่ดินให้เช่าหรือเช่าซื้อตามมาตรานี้ไม่อยู่ภายใต้บังคับแห่งกฎหมาย เก่ียวกับการควบคุมการเช่า
หรือเช่าซ้ือ และสิทธิการเช่าหรือเช่าซื้อดังกล่าวจะโอนแก่กันได้หรือตกทอดทางมรดกได้เฉพาะตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงือ่ นไขที่คณะกรรมการกาํ หนด
๗๒ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ตามแต่คณะกรรมการปฏิรูปท่ดี นิ เพ่ือเกษตรกรรมจะกําหนดหลักเกณฑ์ ส่วนการจัดท่ีดินตามมาตรา ๓๐
วรรคสาม เป็นการจัดให้แก่เกษตรกรที่ถือครองที่ดินของรัฐอยู่แล้ว โดยเม่ือเกษตรกรดังกล่าวยื่นคําร้อง
และปฏิบัติตามท่ีกําหนดในมาตรา ๓๐ วรรคสามและวรรคสี่ แล้ว กรณีเป็นบทบังคับซึ่งสํานักงาน
การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะต้องจัดท่ีดินให้แก่เกษตรกรรายน้ัน นั้น คณะกรรมการกฤษฎีกา
(ที่ประชุมใหญ่กรรมการร่างกฎหมาย) เห็นว่า การจัดที่ดินตามมาตรา ๓๐ วรรคสามน้ี
มิใช่บทบัญญัติการจัดท่ีดินท่ีแยกออกเป็นเอกเทศ ทั้งน้ี จากความในมาตรา ๓๐ วรรคสาม ท่ีว่า
“บรรดาท่ีดินที่ ส.ป.ก ได้มาถ้าเป็นท่ีดินของรัฐและมีเกษตรกรถือครองอยู่แล้วเกินจํานวนท่ีกําหนด
ในวรรคหนึ่ง เม่ือเกษตรกรดังกล่าวย่ืนคําร้องและยินยอมชําระค่าเช่าหรือค่าชดเชยในอัตราหรือ
จํานวนท่ีเพ่ิมขึ้นตามท่ีคณะกรรมการกําหนดสําหรับท่ีดินส่วนที่เกินตามวรรคหนึ่ง…” แสดงให้เห็นว่า
เกษตรกรท่ีจะได้รับการจัดที่ดินตามวรรคสามนี้ คือ เกษตรกรผู้ได้รับการคัดเลือกให้ได้รับท่ีดิน
ในการจัดตามมาตรา ๓๐ วรรคหน่ึง แล้วน่ันเอง เพียงแต่กรณีนี้เป็นเรื่องท่ีผู้นั้นถือครอง “ที่ดินของรัฐ”
อยู่แล้วเกิน ๕๐ ไร่ บทบัญญัตินี้เป็นเพียงบทกฎหมายที่ใช้บังคับกับที่ดินส่วนท่ีจะขอมีเกินดังกล่าว
เท่าน้ัน คุณสมบัติของ “เกษตรกร” จึงต้องเป็นเช่นเดียวกับที่กล่าวมาแล้วข้างต้น กรณีจึงไม่ใช่ว่า
มาตรา ๓๐ วรรคสามเป็นบทบังคับให้ต้องจัดที่ดินให้เสมอไปดังที่สํานักงานการปฏิรูปท่ีดิน
เพอื่ เกษตรกรรมเขา้ ใจ
แนวคาํ วินจิ ฉัยของศาลปกครองสูงสุด
จากการศึกษาแนวคําวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุดพบว่า มีคดีท่ีวินิจฉัยในประเด็น
เกี่ยวกับคุณสมบัติของเกษตรกรที่จะมีสิทธิได้รับการคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดิน
จาํ นวนหนงึ่ ซึง่ ผลการศกึ ษาอาจจําแนกตามประเดน็ ข้อพิจารณาของศาลได้โดยสรปุ ดังนี้
(๑) กรณกี ารเปน็ ผู้ประกอบอาชพี เกษตรกรรมเป็นหลกั
ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไว้ว่า บุคคลที่จะถือว่าเป็นเกษตรกรตามความหมาย
ในระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข
ในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕
จะต้องไม่มีอาชีพอันมีรายได้ประจําเพียงพอแก่การยังชีพ การมีรายได้จากอาชีพหลักของตนท่ีเป็น
รายได้ประจําเพียงพอแกก่ ารยังชีพอยู่แล้ว ย่อมไม่อยู่ในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเป็นเกษตรกร๑๓
ผู้ท่ีมีคุณสมบัติได้รับการคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดินต้องประกอบอาชีพเกษตรกรรม
เป็นหลัก การท่ีผู้ย่ืนคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ได้ประกอบอาชีพอื่นด้วย เช่น ประกอบอาชีพ
ธุรกิจขนส่งท่ีไม่เกี่ยวเนื่องกับเกษตรกรรม ประกอบกิจการร้านอาหาร ประกอบกิจการขายอุปกรณ์
และวัตถุดบิ ในการทาํ เบเกอร์รี่ ประกอบกิจการทาวเฮาส์ให้นักท่องเท่ียวเช่า มีอาชีพรับราชการ เป็นต้น
โดยมีรายได้จากการประกอบอาชีพอ่ืนสูงกว่ารายได้จากการประกอบอาชีพเกษตรกรรม ย่อมไม่อาจ
ถือได้ว่าผู้น้ันประกอบอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลักตามความหมายในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติ
๑๓ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๕๑/๒๕๕๗
รวมเร่ืองเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๗๓
การปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ ประกอบกับข้อ ๔๑๔ ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดิน
จากการปฏริ ูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕๑๕ อย่างไรก็ตาม ในการพิจารณาคุณสมบัติของการเป็น
เกษตรกรตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมดังกล่าว ยังต้องพิจารณาจากการ
ใช้เวลาส่วนใหญ่ในรอบปีเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรมแห่งท้องถ่ินและทําประโยชน์ในที่ดิน
หรืออาํ นวยการทาํ ประโยชนใ์ นท่ีดินด้วยตนเองอย่างเต็มความสามารถอีกด้วย มิได้พิจารณาแต่เฉพาะ
เรื่องของรายได้เพียงเท่าน้ัน ดังนั้น เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่า บุคคลที่ได้รับหนังสืออนุญาตให้
เขา้ ทาํ ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินใช้เวลาส่วนใหญ่ประกอบอาชีพอื่น แม้รายได้จากการประกอบอาชีพอ่ืน
จะน้อยกว่ารายได้ที่ได้รับจากการทําการเกษตรกรรม ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นผู้ประกอบอาชีพเกษตรกรรม
เป็นหลัก๑๖ ส่วนกรณีท่ีผู้ย่ืนคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ได้ว่าจ้างผู้อ่ืนให้เป็นผู้ปลูก ดูแลรักษา และเก็บ
ผลผลิตทางเกษตรกรรมของตน โดยแบ่งผลประโยชน์จากการจําหน่ายผลผลิตเพ่ือเป็นค่าจ้าง
มไิ ด้ประกอบอาชพี เกษตรกรรมด้วยตนเอง ก็ถือว่ามใิ ช่เกษตรกรตามความหมายในข้อ ๔ ของระเบียบ
ข้างต้น และไม่มีสิทธิย่ืนคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินในเขตปฏิรูปท่ีดินนั้น๑๗ เมื่อผู้ยื่นคําร้องขอ
เข้าทําประโยชน์ในท่ีดินในเขตปฏิรูปท่ีดินไม่ใช่ผู้มีคุณสมบัติเป็นเกษตรกร จึงไม่อาจได้รับอนุญาต
ให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดินได้ แม้จะปรากฏว่า บุคคลในครอบครัวเดียวกันกับผู้น้ันจะมี
การถือครองที่ดินจํานวนไม่ถึงห้าสิบไร่ตามที่มาตรา ๓๐ วรรคหนึ่ง (๑)๑๘ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูป
ที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
กําหนดไว้ ก็ไม่เป็นเหตุให้ผู้ย่ืนคําร้องมีสิทธิได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพื่อให้
ครบตามจาํ นวนดังกล่าว๑๙
๑๔ ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ดี นิ เพ่อื เกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการคัดเลือก
เกษตรกรซง่ึ จะมีสทิ ธไิ ด้รับทีด่ ินจากการปฏริ ปู ท่ดี ินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕
ขอ้ ๔ ในระเบียบน้ี
“เกษตรกร” หมายความว่า
(๑) ผ้ปู ระกอบอาชพี เกษตรกรรมเป็นหลัก โดยพิจารณาจากการใช้เวลาส่วนใหญ่ในรอบปีเพ่ือประกอบ
เกษตรกรรมแห่งท้องถิน่ นัน้
(๒) ผยู้ ากจน ผู้จบการศกึ ษาทางเกษตรกรรม และผู้เป็นบตุ รของเกษตรกรทกี่ ําหนดในพระราชกฤษฎีกา
๑๕ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๕๒/๒๕๕๗ ท่ี อ.๕๔๐/๒๕๕๗ ท่ี อ.๒๘๔/๒๕๕๘ และท่ี อ.๑๙๘/๒๕๖๒
๑๖ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๔๒๗/๒๕๕๘
๑๗ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๑๙๓/๒๕๕๗
๑๘ อา้ งแล้วในเชิงอรรถที่ ๑๒ หนา้ ๗๑
๑๙ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๑๓๔๖/๒๕๕๘
๗๔ รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
(๒) กรณีเป็นเกษตรกรซ่ึงไม่มีท่ีดินของตนเองหรือเกษตรกรที่มีท่ีดินเล็กน้อย
ไม่เพียงพอแก่การครองชีพ
มาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒ กําหนดให้รัฐดําเนินการจัดที่ดินให้แก่
เกษตรกรซ่ึงไม่มีท่ีดินของตนเองหรือเกษตรกรที่มีท่ีดินเล็กน้อยไม่เพียงพอแก่การครองชีพ ดังน้ัน
เกษตรกรท่ีมีสิทธิครอบครองที่ดินจํานวนหลายแปลง จึงถือว่ามีท่ีดินทํากินเป็นของตนเองเพียงพอ
แกก่ ารเลี้ยงชีพแลว้ กรณสี ง่ ผลใหบ้ ุคคลดังกล่าวขาดคุณสมบัติในการได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรปู ท่ีดนิ ๒๐
(๓) กรณีการเป็นผู้ถือครองท่ีดินของรัฐหรือเป็นเกษตรกรผู้เช่าที่ดินท่ีนํามา
ดําเนินการปฏิรปู ทดี่ นิ เพอ่ื เกษตรกรรม และเปน็ ผทู้ ํากินในทดี่ นิ นนั้
ขอ้ ๘ วรรคหนึ่ง (๑)๒๑ ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม
ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซ่ึงจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูป
ท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ กําหนดให้ การท่ีเกษตรกรผู้ถือครองท่ีดินของรัฐหรือเกษตรกร
ผเู้ ช่าทดี่ ินทนี่ ํามาดําเนินการปฏริ ปู ที่ดินเพอ่ื เกษตรกรรม และเป็นผ้ทู าํ กินในทด่ี ินน้ัน เป็นหลกั เกณฑ์หนึ่ง
ที่นํามาประกอบการพิจารณาคัดเลือกเกษตรกรให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน ดังนั้น ในการ
คัดเลือกเกษตรกรเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมจึงต้องพิจารณาถึงกรณีการเป็น
ผู้ถือครองที่ดินแปลงที่รัฐนํามาปฏิรูปท่ีดินด้วย ท้ังน้ี จากการศึกษา พบว่า มีแนวคําวินิจฉัย
ของศาลปกครองสูงสุดเก่ียวกับประเด็นดังกล่าวจํานวนหนึ่งท่ีน่าสนใจ ซึ่งมีสาระสําคัญโดยสรุป
ดงั ตอ่ ไปนี้
ในขณะท่ีขออนุญาตเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน หากเกษตรกรผู้ยื่น
คําร้องขอได้ถือครองท่ีดินและเป็นผู้ทํากินในที่ดินที่รัฐนํามาดําเนินการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม
เกษตรกรผู้นั้นย่อมอยู่ในหลักเกณฑ์ท่ีจะได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขต
ปฏิรูปที่ดินตามเนื้อท่ีท่ีตนทํากินตามข้อ ๘ วรรคหนึ่ง (๑) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือกเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับ
๒๐ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๗๕๕/๒๕๕๖
๒๑ ระเบยี บคณะกรรมการปฏิรปู ท่ีดนิ เพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข ในการคัดเลือก
เกษตรกรซ่งึ จะมีสทิ ธิไดร้ ับท่ดี ินจากการปฏริ ูปท่ดี ินเพ่อื เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕
ข้อ ๘ เกษตรกรผู้จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปท่ีดินได้ต้องอยู่
ในหลักเกณฑ์ข้อใดขอ้ หนึ่งดงั ต่อไปนี้
(๑) เกษตรกรผู้ถอื ครองท่ดี นิ ของรฐั หรือเกษตรกรผู้เช่าที่ดินที่นํามาดําเนินการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม
และเป็นผูท้ าํ กนิ ในทดี่ ินนน้ั
(๒) เกษตรกรผู้ได้รบั การขึ้นทะเบียนขอรบั ท่ีดนิ ทาํ กินจากการปฏิรูปท่ีดนิ เพื่อเกษตรกรรม
(๓) เกษตรกรอืน่ ตามทค่ี ณะกรรมการปฏริ ปู ท่ีดนิ จงั หวัดกําหนด
ใหค้ ณะกรรมการปฏริ ปู ทีด่ นิ จงั หวดั เป็นผูพ้ ิจารณาในการจดั ลําดับเกษตรกรทจ่ี ะจัดทด่ี ินใหต้ ามวรรคหน่งึ
รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๗๕
ท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ ส่วนที่ดินซ่ึงเกษตรกรรายดังกล่าวยังมิได้ทํากิน
ถอื เป็นกรรมสิทธิ์ของสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมตามมาตรา ๓๖ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติ
การปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติฯ (ฉบับท่ี ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
ท่ีจะนําไปจัดให้แกเ่ กษตรกรรายอ่นื ได้ตอ่ ไป๒๒
เกษตรกรที่มิได้เป็นผู้ถือครองที่ดินแปลงท่ีตนได้ยื่นคําร้องขอเข้าทําประโยชน์
ย่อมไม่มีคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน
ตามข้อ ๘ วรรคหนึ่ง (๑) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์
วธิ ีการ และเงอ่ื นไขในการคดั เลือกเกษตรกรซ่ึงจะมสี ิทธิไดร้ ับท่ีดินจากการปฏริ ูปท่ดี นิ เพ่อื เกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๓๕ และไม่อาจกระจายสทิ ธกิ ารถอื ครองทดี่ นิ ในเขตปฏริ ปู ท่ีดินแปลงดังกลา่ วให้แก่ผอู้ ื่น๒๓
ผู้ท่ีจะมีสิทธิได้รับการพิจารณาคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดิน
ต้องเป็นเกษตรกรท่ีถือครองท่ีดินโดยอาศัยสิทธิครอบครองของตนเอง การเข้าไปถือครองโดยอาศัย
สิทธิครอบครองของผู้อื่น บุคคลดังกล่าวย่อมขาดคุณสมบัติท่ีจะได้รับการพิจารณาคัดเลือก
ให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินตามข้อ ๘ วรรคหน่ึง (๑) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการคัดเลือกเกษตรกรซ่ึงจะมีสิทธิได้รับ
ที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕๒๔ แม้ผู้ที่ได้รับสิทธิเข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดินจะทําบันทึกข้อตกลงยินยอมโอนสิทธิให้ ก็ถือเป็นข้อตกลงท่ีขัดต่อมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งเป็นกฎหมายเกี่ยวกับความสงบ
เรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๕๐ แห่งประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณชิ ย์ ไมอ่ าจนํามาใช้บงั คบั ได๒้ ๕
ในกรณีท่ีก่อนที่สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมจะรับที่ดิน
มาดําเนินการปฏิรูป หรือในระหว่างการพิจารณาคัดเลือกเกษตรกรเพื่ออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดิน หากผู้ยื่นคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปท่ีดินได้โอนและส่งมอบ
การครอบครองท่ีดินท่ีรัฐนํามาปฏิรูปที่ดิน เช่น ได้ขายที่ดินให้กับบุคคลอ่ืน ได้ตกลงให้บริษัทเอกชน
เข้าทําประโยชน์ในท่ีดินแทนการชําระหนี้ ฯลฯ โดยผู้ยื่นคําร้องไม่ได้เข้าครอบครองและทําประโยชน์
ในท่ีดินดังกล่าวอีกต่อไป ย่อมเป็นกรณีที่ผู้ยื่นคําร้องไม่ได้เป็นผู้ถือครองท่ีดินแปลงน้ันแล้ว จึงไม่อยู่
ในหลักเกณฑ์ท่ีจะได้รับการคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตามข้อ ๘ วรรคหน่ึง (๑)
ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไข
ในการคัดเลือกเกษตรกร ซ่ึงจะมีสิทธิได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕๒๖
๒๒ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๘๗๔/๒๕๕๗
๒๓ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๖๖๕/๒๕๖๐
๒๔ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๓๒๒/๒๕๕๓
๒๕ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๙/๒๕๔๖
๒๖ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๒๒/๒๕๕๓ ท่ี อ.๖๕๑/๒๕๕๖ ที่ อ.๕๖๖-๕๖๗/๒๕๕๗
และที่ อ.๘๗๔/๒๕๕๗
๗๖ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ทั้งนี้ แม้การที่เกษตรกรได้ขายที่ดินในเขตปฏิรูปท่ีดินที่ตนถือครองไปภายหลังจากที่ตนยื่นคําร้องขอ
เข้าทําประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวแล้ว จะถือเป็นการซ้ือขายที่ดินท่ีต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย
เนอ่ื งจากขัดต่อบทบัญญตั มิ าตรา ๓๙ แหง่ พระราชบญั ญตั ิการปฏริ ปู ที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
จึงต้องตกเป็นโมฆะตามมาตรา ๑๕๐ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่เมื่อปรากฏว่าผู้ซ้ือ
เป็นผู้ถือครองและทําประโยชน์ในท่ีดินในเขตปฏิรูปที่ดินแปลงดังกล่าว รวมท้ังผู้ซื้อเป็นผู้มีคุณสมบัติ
ที่จะมีสิทธิได้รับการคัดเลือกให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดิน ปฏิรูปท่ีดินจังหวัดย่อมมีอํานาจ
ดาํ เนนิ การตามกฎหมายว่าดว้ ยการปฏิรูปท่ดี นิ เพือ่ เกษตรกรรมเพ่อื ออกหนงั สืออนญุ าตใหเ้ ข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏริ ูปที่ดนิ ใหแ้ ก่ผู้ซอ้ื ได้๒๗
สว่ นการครอบครองทีด่ นิ ท่อี ยู่ในเขตป่าไม้ถาวรท่ียังมไิ ด้ประกาศให้เป็นป่าสงวน
แห่งชาติ ยอ่ มเปน็ การถือครองทส่ี าธารณสมบตั ิของแผ่นดินตามมาตรา ๑๓๐๔ แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ แมผ้ คู้ รอบครองที่สาธารณสมบตั ิของแผ่นดนิ จะไมอ่ าจอา้ งสทิ ธิการครอบครองกับรัฐได้
แต่ก็อาจใช้ยันกับราษฎรหรอื เอกชนทีม่ ไิ ดค้ รอบครองทําประโยชน์ในท่ีดินดังกล่าวได้ โดยผู้ท่ีครอบครอง
และทาํ ประโยชน์อยู่ก่อนย่อมมีสิทธิที่จะไม่ถูกรบกวนโดยบุคคลอ่ืนและย่อมมีสิทธิขายการครอบครอง
ให้กับบุคคลอ่ืนได้ กรณีไม่ถือเป็นนิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ด้วยเหตุน้ี
เม่ือมพี ระราชกฤษฎีกากําหนดเขตทีด่ ินใหท้ ด่ี ินแปลงพิพาทเป็นเขตปฏิรูปที่ดิน ซ่ึงปรากฏว่า ผู้ครอบครอง
ท่ีดินพิพาทเดิมได้ขายและส่งมอบท่ีดินดังกล่าวให้กับบุคคลอ่ืนไปก่อนท่ีจะมีการปฏิรูปท่ีดินแล้ว
การซอ้ื ขายทด่ี ินดังกล่าวย่อมไม่เป็นนิติกรรมท่ีมีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมายตามมาตรา ๓๙
แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ดังน้ัน เม่ือมีการส่งมอบ
การครอบครองท่ีดินพิพาทให้บุคคลอ่ืนเข้าครอบครองทําประโยชน์แล้ว จึงถือได้ว่าผู้ครอบครอง
ทําประโยชน์เดิมได้สละการครอบครองและโอนการครอบครองให้แก่ผู้ซื้อไปแล้วนับแต่วันท่ีส่งมอบ
การครอบครอง ทงั้ นี้ ตามมาตรา ๑๓๗๗ และมาตรา ๑๓๗๘ แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
การท่ีผู้ครอบครองทําประโยชน์เดิมทําการขัดขวางไม่ให้ผู้ซ้ือเข้าทําประโยชน์โดยเหยียบยํ่ากินพืชผล
ทางการเกษตรท่ีปลูกไว้เสียหายจนไม่สามารถปลูกพืชผลในท่ีดินได้นั้น จึงถือเป็นเพียงการรบกวน
การครอบครองของผูซ้ ้ือเทา่ น้ัน กรณถี ือไม่ไดว้ ่าผู้ครอบครองทําประโยชน์เดิมยังคงถือครองทําประโยชน์
ที่ดนิ แปลงดังกลา่ วที่จะมสี ทิ ธไิ ด้รับการคดั เลือกใหเ้ ข้าทาํ ประโยชนใ์ นทีด่ นิ แปลงพิพาท๒๘
ในกรณีท่ีเกษตรกรผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน
ได้ลงลายมือช่ือในแบบกระจายสิทธิการถือครองท่ีดิน (ส.ป.ก. ๔-๒๕ ก (๑)) ซึ่งเป็นแบบแสดง
ความประสงค์เพ่ือจะขอลดขนาดการถือครองที่ดินหรือขอสละสิทธิการถือครองท่ีดินเพื่อให้บุคคล
ท่ีมีรายชื่อตามรายการถัดไปเข้าถือครองและทําประโยชน์ ถือว่าเกษตรกรรายน้ันสละสิทธิในที่ดิน
ทีจ่ ะนาํ มาปฏริ ูป สาํ นักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมย่อมมีอํานาจใช้ดุลพินิจคัดเลือกและจัดท่ีดิน
๒๗ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๑๗๘๖/๒๕๕๙
๒๘ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๙๕๙/๒๕๕๙
รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๗๗
ให้แก่ผู้ครอบครองรายใหม่ได้ตามกฎหมายและระเบียบท่ีเก่ียวข้อง๒๙ ซึ่งพฤติการณ์ของเจ้าของท่ีดิน
ที่ขอให้ผู้ปกครองท้องที่รับรองการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑)
สําหรับท่ีดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นท้ังหมด กรณีย่อมถือได้ว่าเจ้าของที่ดินพิพาทได้แสดงเจตนาสละ
การครอบครองในท่ีดนิ พิพาททั้งหมดแลว้ ๓๐
การที่เกษตรกรผู้ยื่นคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
ไม่สามารถเขียนหนังสือภาษาไทยได้ แต่มีความประสงค์ท่ีจะลดขนาดการถือครองท่ีดินของตน
จึงพมิ พล์ ายนว้ิ มือไว้เป็นหลักฐานในหนังสือแสดงความประสงค์รับการกําหนดขนาดการถือครองท่ีดิน
แทนการลงลายมือช่ือ โดยมีพยานลงลายมือชื่อรับรองไว้ด้วยสองคนเพ่ือรับรองว่าเป็นลายพิมพ์น้ิวมือ
ของเกษตรกรดังกล่าวจริง การดําเนินการเช่นว่านี้ ย่อมทําให้การแสดงเจตนาให้ความยินยอมสละสิทธิ
การถือครองท่ีดินบางส่วนของตนมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย ใช้บังคับได้ อย่างไรก็ตาม หากภายหลัง
เกษตรกรเห็นว่าเป็นการแสดงเจตนาโดยสําคัญผิดหรือถูกกลฉ้อฉลอันถึงขนาดมีผลให้นิติกรรม
หรือการแสดงเจตนาเป็นโมฆียะกรรม เกษตรกรก็ชอบท่ีจะบอกล้างโมฆียะกรรมด้วยการแสดงเจตนา
แก่คู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึง ภายในหนึ่งปีนับแต่เวลาท่ีอาจให้สัตยาบันได้หรือสิบปีนับแต่ได้ทํานิติกรรม
อันเป็นโมฆียะกรรมน้ันตามมาตรา ๑๗๘ ประกอบกับมาตรา ๑๘๑ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ เมื่อไม่ได้บอกลา้ งนิติกรรมอันเปน็ โมฆียะกรรมดังกล่าว การแสดงเจตนายินยอมสละสิทธิ
การถือครองที่ดินบางส่วน เพ่ือให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนําที่ดินส่วนดังกล่าวไปดําเนินการ
จัดทด่ี ินใหแ้ กบ่ คุ คลอืน่ ย่อมมผี ลสมบรู ณ์ตามกฎหมาย๓๑
นอกจากการสละสิทธิโดยส่งมอบการครอบครองแบบชัดแจ้งตามที่กล่าวมา
ข้างต้นแล้ว ยังมีกรณีท่ีศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า เกษตรกรผู้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขต
ปฏิรูปท่ดี ินมพี ฤติการณท์ ่ีถือไดว้ า่ เป็นการสละสิทธิการครอบครองโดยปริยายไว้เช่นกัน โดยในคดีดังกล่าว
ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เกษตรกรผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินได้ยินยอมให้มี
การก่อสร้างศาลาประชุมและศาลาอเนกประสงค์ของหมู่บ้านบนที่ดินที่ตนได้รับ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก
พฤติการณ์ดังกล่าวย่อมถือว่าเป็นการสละสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินท่ีตนได้รับมอบ
จากสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมตามข้อ ๑๑ วรรคหน่ึง (๑) ของระเบียบคณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูป
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติม
โดยระเบียบฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ รวมทั้งเป็นการแสดงเจตนาว่า ตนมิได้ครอบครองและทํากิน
ในที่ดินส่วนดังกล่าวแล้ว บุคคลดังกล่าวจึงไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะได้รับการพิจารณาคัดเลือก
ให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดินในท่ีดินส่วนน้ันตามท่ีกําหนดไว้ในข้อ ๘ (๑) ของระเบียบ
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคัดเลือก
๒๙ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๗๑๑/๒๕๕๔ และที่ อ.๖๕๑/๒๕๕๖
๓๐ คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๙๓/๒๕๕๗
๓๑ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๗๘๖/๒๕๕๙
๗๘ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
เกษตรกร ซ่ึงจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ ดังนั้น การท่ี
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติให้สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดดําเนินการรังวัดแบ่งแยก
ที่ดินส่วนที่ก่อสร้างศาลาประชุมหมู่บ้านและศาลาอเนกประสงค์ออกจากแปลงท่ีดิน ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก
ของเกษตรกรผู้นั้น เพ่ือที่หมู่บ้านจะได้ยื่นคําขอใช้ท่ีดินให้ถูกต้องตามระเบียบหลักเกณฑ์ของ
สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมต่อไป และได้แก้ไขรูปแผนท่ีและเน้ือท่ีตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก
เหลอื เฉพาะสว่ นท่เี กษตรกรผู้น้ันครอบครองทาํ ประโยชน์ จึงเปน็ การกระทาํ ทีช่ อบดว้ ยกฎหมาย๓๒
(๔) กรณีการย่ืนคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
เพอื่ เกษตรกรรม
กรณีที่ราษฎรเข้าถือครองและทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน และได้คัดค้าน
จํานวนเนื้อที่ท่ีพนักงานเจ้าหน้าท่ีรังวัดปักหลักเขตเท่านั้น โดยไม่เคยยื่นคําร้องขอเข้าทําประโยชน์
ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินภายในระยะเวลาท่ีคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดประกาศให้เกษตรกร
ในท้องท่ีย่ืนคําร้องขอตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์
วธิ กี าร และเง่ือนไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซ่ึงจะมีสิทธิได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม
พ.ศ. ๒๕๓๕ มาก่อน ปฏิรูปท่ีดินจังหวัดย่อมไม่มีหน้าท่ีเสนอเรื่องต่อคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด
เพ่ือพิจารณาอนญุ าตใหบ้ คุ คลดงั กลา่ วเข้าทาํ ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินบริเวณพิพาท และไม่มีหน้าที่
ดําเนินการออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ให้แต่อย่างใด กรณีจึงยังถือไม่ได้ว่าบุคคลดังกล่าว
เป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายหรืออาจจะเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงได้
ท่ีจะฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินที่ออกทับที่ดิน
ที่ตนครอบครอง และขอให้มีการออกหนังสืออนุญาตให้แก่ตนแทน ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง
แห่งพระราชบญั ญัติจดั ต้ังศาลปกครองฯ๓๓
๓๒ คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๙๑๐/๒๕๕๘
๓๓ คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๕๑๖/๒๕๕๘
รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๗๙
เรื่องที่ ๖ กรณีศึกษา เรอ่ื ง การส้นิ สทิ ธเิ ขา้ ทาํ ประโยชนใ์ นเขตปฏริ ปู ทด่ี นิ
กฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมได้กําหนดให้มีหน่วยงาน
ทางปกครองและเจ้าหน้าท่ีของรัฐท่ีเก่ียวข้องกับการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ซึ่งประกอบไปด้วย
คณะกรรมการระดบั ชาตแิ ละระดับจังหวดั หนว่ ยราชการระดับกรมและระดบั จงั หวดั ดงั ตอ่ ไปน้ี๑
๑. คณะกรรมการปฏริ ปู ท่ดี นิ เพอ่ื เกษตรกรรม (คปก.)
กฎหมายว่าด้วยการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมได้บัญญัติให้มีการจัดตั้ง
คณะกรรมการปฏริ ปู ท่ีดนิ เพ่ือเกษตรกรรม ประกอบด้วย รฐั มนตรวี า่ การกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
เป็นประธานกรรมการ ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปลัดกระทรวงพาณิชย์ ปลัดกระทรวง
มหาดไทย ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม อธิบดีกรมชลประทาน อธิบดีกรมปศุสัตว์ อธิบดีกรมป่าไม้
อธิบดีกรมประมง อธิบดีกรมพัฒนาท่ีดิน อธิบดีกรมส่งเสริมการเกษตร อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์
เลขาธิการสํานักงานเศรษฐกิจการเกษตร อธิบดีกรมการปกครอง อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน อธิบดี
กรมท่ีดิน อธิบดีกรมประชาสงเคราะห์ อธิบดีกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม อธิบดีกรมธนารักษ์ อธิบดี
กรมบัญชีกลาง ผู้อํานวยการสํานักงบประมาณ ผู้จัดการธนาคารเพ่ือการเกษตรและสหกรณ์
การเกษตร ประธานคณะกรรมการกลางกลุ่มเกษตรกรแห่งประเทศไทย และประธานชุมนุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย เป็นกรรมการ และกรรมการอื่นอีกไม่เกิน ๙ คน ซ่ึงคณะรัฐมนตรีแต่งต้ัง
จากผู้แทนเกษตรกร ๖ คน และผู้ทรงคุณวุฒิไม่เกิน ๓ คน เลขาธิการสํานักงานการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรมเป็นกรรมการและเลขานุการ๒ โดยมาตรา ๑๙ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดิน
เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ได้กําหนดให้คณะกรรมการดังกล่าวมีอํานาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
ดงั ต่อไปนี้
(๑) กําหนดนโยบาย มาตรการ ข้อบังคับหรือระเบียบเก่ียวกับการปฏิบัติงาน
การปฏริ ปู ทดี่ นิ ของสาํ นกั งานการปฏิรปู ทด่ี นิ เพื่อเกษตรกรรม
(๒) ควบคุมการบรหิ ารงานของสาํ นกั งานการปฏริ ูปทดี่ ินเพือ่ เกษตรกรรม
(๓) จัดหาทดี่ ินของรฐั เพื่อนํามาใช้ในการปฏริ ูปทด่ี นิ เพ่อื เกษตรกรรม
(๔) พิจารณากําหนดเขตปฏิรูปท่ีดินตามมาตรา ๒๕ การจัดซ้ือหรือเวนคืนท่ีดิน
ตามมาตรา ๒๙ และการกําหนดเน้ือท่ีท่ีดินที่จะให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรเช่าระยะยาว
หรอื เช่าซื้อตามมาตรา ๓๐
อุมาภรณ์ สุนทรนันท ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี
๒๕๖๑ ประจาํ วันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
๑ สํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม. การปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม (เอกสารเผยแพร่
ฉบับที่ ๒๔๔). กรุงเทพฯ : สํานกั งานการปฏิรูปทีด่ ินเพื่อเกษตรกรรม, ๒๕๓๘. หนา้ ๑๒-๑๕
๒ มาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติม
โดยพระราชบญั ญัติการปฏริ ปู ทีด่ ินเพ่ือเกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
๘๐ รวมเร่อื งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
(๕) พิจารณาการกาํ หนดแผนผังและการจดั แบง่ แปลงที่ดนิ ในเขตปฏิรปู ทีด่ ิน
(๖) พิจารณาอนุมัติแผนงานและโครงการการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม
ตลอดจนงบค่าใช้จ่ายของสํานกั งานการปฏิรูปทด่ี ินเพอื่ เกษตรกรรมเสนอรัฐมนตรี
(๗) พิจารณากําหนดแผนการผลิตและการจําหน่ายผลิตผลเกษตรกรรม
ในเขตปฏริ ูปทีด่ ิน เพื่อยกระดับรายได้ และคมุ้ ครองผลประโยชนข์ องเกษตรกร หรือสถาบนั เกษตรกร
(๘) พิจารณากําหนดแผนการส่งเสริม และบํารุงเกษตรกรรมในเขตปฏิรูปท่ีดิน
รวมถึงการจัดรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ปรับปรุงประสิทธิภาพในการผลิตและคุณภาพผลิตผลเกษตรกรรม
ตลอดจนสวสั ดิการ การสาธารณปู โภค การศกึ ษาและการสาธารณสขุ ของเกษตรกร
(๙) กําหนดหลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขในการคัดเลือกเกษตรกรและสถาบัน
เกษตรกร ซ่ึงจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ตลอดจนแบบสัญญาเช่า
และเช่าซ้ือท่ีจะทํากบั เกษตรกร หรอื สถาบันเกษตรกรผไู้ ด้รบั ทีด่ ิน
(๑๐) กําหนดระเบียบการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร ผู้ได้รับที่ดิน
จากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดินและปฏิบัติตาม
แผนการผลติ และการจําหน่ายผลิตผลเกษตรกรรม
(๑๑) กําหนดหลักเกณฑ์และวิธีการว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ในเขตปฏิรูปที่ดินกู้ยืมจากสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมตลอดจนเงื่อนไขของการกู้ยืม
โดยอนมุ ัติรฐั มนตรี
(๑๒) กําหนดระเบียบเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินและหน้ีสินของเกษตรกรและ
สถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมตลอดจนการควบคุมดูแลกิจการอื่น ๆ
ภายในเขตปฏิรูปทีด่ นิ
(๑๓) ติดตามการปฏิบัติงานของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม
ให้เป็นไปตามแผนงานและโครงการท่ีได้รับอนุมัติ ตลอดจนกําหนดมาตรการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น
จากการปฏิบัตงิ าน
(๑๔) กําหนดกิจการและระเบียบการอื่น ๆ ท่ีเก่ียวข้องกับการปฏิบัติงาน
ของสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม หรือสนับสนุนหรือเก่ียวเน่ืองกับวัตถุประสงค์ของ
การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ คณะกรรมการกฤษฎีกา (กรรมการร่างกฎหมาย
กองที่ ๒) ได้ให้ความเห็นไว้ว่า๓ คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินมีอํานาจหน้าที่ความรับผิดชอบ
ในการวางระเบียบการยืมทรัพย์สินของสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมท่ีใช้ในโครงการ
ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมอันเป็นไปเพ่ือการปฏิบัติงานการปฏิรูปท่ีดิน และอยู่ในขอบบริหารงาน
ของสํานกั งานการปฏิรปู ทด่ี ินเพือ่ เกษตรกรรมด้วย
๓ บันทึกความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา เร่ือง อํานาจหน้าที่ของคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดิน
เพื่อเกษตรกรรม (คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะกําหนดระเบียบเก่ียวกับการเงินหรือทรัพย์สิน
ของ ส.ป.ก. ได้หรอื ไม่) (เรื่องเสร็จท่ี ๒๐๓/๒๕๒๐)
รวมเร่ืองเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๘๑
๒. คณะกรรมการปฏริ ปู ทด่ี นิ เพอ่ื เกษตรกรรมจังหวัด (คปจ.)
กฎหมายวา่ ดว้ ยการปฏิรูปทีด่ นิ เพ่ือเกษตรกรรม กําหนดว่า เม่ือมีพระราชกฤษฎีกา
กําหนดเขตปฏิรูปท่ีดินใช้บังคับในเขตอําเภอหน่ึงอําเภอใดในจังหวัดใดแล้ว ให้มีคณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมประจําจังหวัดขึ้นคณะหน่ึงในจังหวัดนั้น เรียกว่า “คณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินจังหวัด” ประกอบด้วยผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธานกรรมการ เกษตรจังหวัด ปศุสัตว์
จังหวัด ป่าไม้จังหวัด ประมงจังหวัด ผู้แทนกรมชลประทาน ผู้แทนกรมพัฒนาที่ดิน สหกรณ์จังหวัด
พาณิชย์จังหวัด เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัด นายอําเภอ และปลัดอําเภอผู้เป็นหัวหน้าประจํากิ่งอําเภอ
ในท้องท่ีที่มีการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม พัฒนาการจังหวัด ราชพัสดุจังหวัด อุตสาหกรรมจังหวัด
ผู้แทนธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร และผู้แทนเกษตรกรในจังหวัดนั้นอีกสี่คน
ซงึ่ รฐั มนตรีแต่งตั้งเปน็ กรรมการ และปฏิรปู ทีด่ นิ จังหวัดเปน็ กรรมการและเลขานุการ๔ โดยมาตรา ๒๐
แห่งพระราชบัญญตั ิการปฏริ ูปทดี่ ินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ไดก้ ําหนดให้คณะกรรมการดังกล่าว
มอี าํ นาจหน้าทีค่ วามรับผดิ ชอบดงั ตอ่ ไปน้ี
(๑) พิจารณาให้ความเห็นชอบแผนงาน โครงการและค่าใช้จ่ายของสํานักงาน
การปฏิรปู ทด่ี ินจังหวดั เพอื่ เสนอคณะกรรมการ
(๒) ติดตามการปฏิบัติงานของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด ให้เป็นไปตาม
แผนงานและโครงการทีไ่ ด้รบั อนุมัติ ตลอดจนดําเนินการแก้ไขปัญหาตา่ ง ๆ ทเ่ี กิดขนึ้ จากการปฏิบตั งิ าน
(๓) พิจารณาผลการปฏิบัติงาน เพื่อปรับปรุงแผนงาน โครงการ งบค่าใช้จ่าย
และวิธีปฏบิ ตั งิ านของสํานกั งานการปฏริ ปู ท่ดี นิ จังหวัด
(๔) จัดทํางบประมาณค่าใช้จ่ายตามโครงการการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
แตล่ ะโครงการเพอ่ื เสนอตอ่ คณะกรรมการ
(๕) ดําเนินการเกี่ยวกับเงินและกิจการอ่ืน ๆ ท่ีเกี่ยวกับการปฏิรูปท่ีดิน
เพ่ือเกษตรกรรมตามระเบียบหรือข้อบังคับหรือมติของคณะกรรมการหรือตามท่ีคณะกรรมการ
มอบหมาย
(๖) วางระเบียบหรือข้อบังคับเก่ียวกับการปฏิบัติงานของสํานักงานการปฏิรูปท่ีดิน
จงั หวดั เท่าทีไ่ ม่ขดั หรือแยง้ กบั ระเบียบหรือขอ้ บังคับหรอื มติของคณะกรรมการ
ท้ังน้ี คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดิน
จังหวัด มีอํานาจแต่งต้ังอนุกรรมการคณะหน่ึงหรือหลายคณะเพ่ือพิจารณาเรื่องต่าง ๆ หรือปฏิบัติงาน
อย่างหนึ่งอย่างใดตามที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมหรือคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด
มอบหมายได้๕
๔ มาตรา ๑๓ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม
โดยพระราชบัญญตั ิการปฏริ ปู ทดี่ ินเพือ่ เกษตรกรรม (ฉบับที่ ๓) พ.ศ. ๒๕๓๒
๕ มาตรา ๒๑ แห่งพระราชบัญญัติการปฏริ ปู ที่ดนิ เพอื่ เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
๘๒ รวมเรื่องเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
๓. สาํ นกั งานการปฏิรูปทีด่ ินเพอื่ เกษตรกรรม (ส.ป.ก.)
เป็นหน่วยงานท่ีมีฐานะเทียบเท่ากรม อยู่ในสังกัดของกระทรวงเกษตร
และสหกรณ์ จัดต้ังขึ้นตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ทําหน้าที่
เป็นหน่วยงานกลางเพ่ือดําเนินการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วย
การปฏิรูปทด่ี นิ มีเลขาธกิ ารสํานักงานการปฏิรูปท่ดี ินเพ่ือเกษตรกรรมเป็นหวั หน้าสํานกั งาน๖
๔. สาํ นกั งานการปฏิรูปท่ีดินจังหวดั (ส.ป.ก. จงั หวดั )
จัดตั้งข้ึนเมื่อได้มีพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตปฏิรูปที่ดินใช้บังคับในท้องท่ี
จังหวัดใดแล้ว โดยมีอํานาจหน้าที่ในการดําเนินการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมตามท่ีคณะกรรมการ
ปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมและคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดกําหนด ในกรณีที่ได้กําหนดเขต
ปฏิรูปที่ดินเขตหน่ึงเขตใดครอบคลุมท่ีดินในเขตของสองจังหวัดขึ้นไป คณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรมจะมอบหมายให้สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดใดมีอํานาจหน้าที่ดําเนินการปฏิรูป
ท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมตลอดเขตปฏิรูปท่ีดินนั้นก็ได้ ไม่ว่าจะมีสํานักงานการปฏิรูปที่ดินในจังหวัด
ทเ่ี กี่ยวขอ้ งน้ันหรือไม่ และสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมทําหน้าท่ีสํานักงานการปฏิรูปที่ดิน
กรุงเทพมหานครด้วย๗ ท้ังน้ี สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดมีปฏิรูปที่ดินจังหวัดเป็นหัวหน้า
สาํ นักงาน
อน่ึง คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมได้อาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๙
แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ออกระเบียบคณะกรรมการปฏิรูป
ท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ และระเบียบคณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูป
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
เพื่อวางแนวทางปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินให้แก่เกษตรกรหรือสถาบัน
เกษตรกรท่ีได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์ในท่ีดินดังกล่าว โดยในส่วนของการส้ินสิทธิเข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปท่ีดินน้ัน ข้อ ๑๑ วรรคหน่ึง ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม
ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม
ปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยระเบียบฯ (ฉบับท่ี ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๐ กําหนดให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินท่ีตน
ไดร้ บั มอบจากสาํ นักงานการปฏิรูปท่ีดนิ เพอื่ เกษตรกรรม ในกรณดี งั ตอ่ ไปนี้
๖ มาตรา ๖ ประกอบกบั มาตรา ๗ แหง่ พระราชบัญญตั ิการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
๗ มาตรา ๑๑ แห่งพระราชบญั ญัติการปฏริ ูปท่ดี ินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
รวมเรอื่ งเด่นประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๘๓
(๑) ตาย เลิกสถาบันเกษตรกร หรือสละสิทธิ เว้นแต่จะมีการตกทอดทางมรดก
ตามพระราชบญั ญัตกิ ารปฏริ ปู ทดี่ นิ เพอื่ เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
(๒) โอนสิทธิการเข้าทําประโยชน์ การเช่า การเช่าซื้อ หรือการจัดให้โดยมีค่าชดเชย
ไปยังบุคคลอ่ืนตามพระราชบญั ญัติการปฏริ ูปที่ดินเพ่อื เกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
(๓) ขาดคุณสมบัติตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วย
หลักเกณฑ์ วิธีการ และเง่ือนไขในการคัดเลือกเกษตรกรและสถาบันเกษตรกรซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดิน
จากการปฏิรปู ท่ีดินเพ่อื เกษตรกรรม ดงั ต่อไปนี้
ก. สญั ชาติไทย
ข. เป็นเกษตรกรตามกฎหมายวา่ ด้วยการปฏิรปู ท่ดี นิ เพอ่ื เกษตรกรรม
ค. มีท่ีดินทํากินเป็นของตนเอง หรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกันเพียงพอ
แกก่ ารเล้ยี งชพี อยู่แลว้
(๔) ฝา่ ฝืนไม่ปฏิบตั หิ นา้ ทต่ี ามหลักเกณฑก์ ารทาํ ประโยชน์ในท่ดี นิ ที่บญั ญตั ิไว้ในข้อ ๗๘
ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ผู้ได้รับทด่ี นิ จากการปฏิรูปทด่ี นิ เพ่อื เกษตรกรรมปฏิบตั ิเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๓๕
และเม่ือปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้มีหนังสือเตือนให้ละเว้นการกระทําที่ฝ่าฝืนดังกล่าวหรือให้ปฏิบัติหน้าที่
๘ ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับ
ทด่ี ินจากการปฏิรปู ท่ีดนิ เพอ่ื เกษตรกรรมปฏบิ ัติเกีย่ วกบั การเข้าทําประโยชนใ์ นทดี่ ิน พ.ศ. ๒๕๓๕
ขอ้ ๗ เกษตรกรหรอื สถาบันเกษตรกรผูไ้ ดร้ ับมอบท่ดี ินให้เข้าทําประโยชนใ์ นที่ดนิ มีหน้าที่ตอ้ งปฏบิ ตั ิดังน้ี
(๑) ต้องทําประโยชน์ในที่ดินด้วยตนเองเต็มความสามารถและไม่นําที่ดินน้ันทั้งหมดหรือบางส่วน
ไปใหผ้ ูอ้ น่ื ไม่วา่ จะโดยการขาย ใหเ้ ช่า หรอื เข้าทาํ ประโยชน์ หรอื โดยพฤตกิ รรมใด ๆ ทแี่ สดงให้เหน็ ในลกั ษณะนัน้
(๒) ยินยอมทําสัญญาเชา่ หรอื สัญญาเช่าซ้ือ หรือสัญญาจัดให้โดยมีค่าชดเชย และต้องปฏิบัติตามสัญญา
ดังกล่าว
(๓) ไม่เปลี่ยนแปลงสภาพที่ดินจนเป็นเหตุให้ท่ีดินเส่ือมสภาพความเหมาะสมแก่การประกอบอาชีพ
เกษตรกรรม
(๔) ไมข่ ดุ บ่อเพื่อการเกษตรกรรมเกินร้อยละหา้ ของเนือ้ ที่ทไ่ี ด้รบั มอบ
(๕) ไม่ปลูกสร้างสิ่งก่อสร้างใด ๆ เว้นแต่การปลูกสร้างตามสมควรสําหรับโรงเรือนที่อยู่อาศัย ยุ้งฉาง
หรอื ส่งิ กอ่ สร้างอ่นื ๆ ทใ่ี ชป้ ระโยชนเ์ พอ่ื การเกษตรของเกษตรกรหรอื สถาบนั เกษตรกรน้นั
(๖) ดูแลรักษาหมุดหลักฐานของ ส.ป.ก. และหลักเขตที่ดินในที่ดินที่ได้รับมอบมิให้เกิดชํารุดเสียหาย
หรอื เคลือ่ นย้ายไปจากตําแหนง่ เดมิ
(๗) ไม่กระทําการใด ๆ ในลักษณะท่ีก่อให้เกิดความเสียหายแก่สิ่งก่อสร้างในโครงการปฏิรูปท่ีดิน
เพื่อเกษตรกรรม การทําประโยชน์ในทดี่ ินของเกษตรกรอนื่ และสภาพแวดล้อม
(๘) ปฏบิ ัติตามมติของคณะกรรมการและคณะกรรมการปฏริ ปู ทีด่ ินจงั หวัด
(๙) ปฏิบตั ติ ามสัญญากู้ยืมที่ทํากับ ส.ป.ก. และปฏิบัติตามพันธะกรณีที่มีอยู่กับสถาบันการเงิน หรือบุคคล
ท่ดี าํ เนนิ งานรว่ มกับ ส.ป.ก.
๘๔ รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ให้ถูกต้องหรือทําให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิมภายในระยะเวลาท่ีกําหนดตามข้อ ๘ วรรคหนึ่ง๙
ของระเบียบฉบับเดียวกัน แต่ไม่ปฏิบัติตามคําเตือนของปฏิรูปที่ดินจังหวัดโดยไม่มีเหตุอันสมควร
กรณีเช่นนี้จะดําเนินการให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์ต้องครบ
องค์ประกอบ ๒ ประการ ได้แก่ ตอ้ งมีการกระทําทีฝ่ ่าฝนื ไม่ปฏบิ ตั หิ นา้ ทต่ี ามหลกั เกณฑ์การทําประโยชน์
ในที่ดิน และจะต้องมีหนังสือเตือนให้แก้ไขการฝ่าฝืนดังกล่าวจากปฏิรูปที่ดินจังหวัด อย่างไรก็ตาม
หากไม่อาจหาตัวเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรน้ันได้พบ ข้อ ๘ วรรคสอง๑๐ ของระเบียบดังกล่าว
ก็เปิดโอกาสให้สามารถดําเนินการให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรนั้นส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์
ในท่ีดินดังกล่าวได้โดยมติ อ้ งมกี ารเตือนเลย
จึงเห็นไดว้ ่าระเบียบฉบับนี้มีเจตนาให้ผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม
ได้ทราบว่าตนได้กระทําส่ิงที่ไม่ถูกต้องหรือฝ่าฝืนเง่ือนไขที่กําหนดไว้ตามข้อ ๗ แห่งระเบียบดังกล่าว
เพ่ือให้โอกาสปฏิบัติให้ถูกต้อง โดยให้เป็นหน้าท่ีของปฏิรูปท่ีดินจังหวัดน้ัน ๆ ที่จะมีหนังสือเตือน
ให้ละเว้นการกระทําและปฏบิ ัตใิ ห้ถกู ตอ้ ง หรือทาํ ให้ที่ดนิ กลบั คืนสูส่ ภาพเดิมภายในระยะเวลาที่กําหนด
หากมีการฝา่ ฝืนอีกกใ็ ห้ดําเนินการให้ผ้นู น้ั ส้นิ สทิ ธติ ามระเบียบตอ่ ไป เว้นแต่กรณที ่ไี ม่สามารถหาตวั ไดพ้ บ
ก็ใหด้ าํ เนนิ การได้โดยไมต่ อ้ งตักเตือน๑๑
ข้อ ๑๑ วรรคสอง ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วย
การให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับ
การเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบฯ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
กําหนดให้ กรณีการตาย การเลิกสถาบันเกษตรกร การสละสิทธิ และการโอนสิทธิไปยังบุคคลอื่น
จะมีผลให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรผู้มีสิทธิแต่เดิมน้ันส้ินสิทธิเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินท่ีตน
ได้รับมอบทันทีที่เกิดเหตุการณ์เช่นน้ันขึ้น ในขณะท่ีข้อ ๑๑ วรรคสาม ของระเบียบฉบับเดียวกัน
กําหนดให้การขาดคุณสมบัติตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์
วิธีการ และเงือ่ นไขในการคัดเลือกเกษตรกร ซึ่งจะมีสิทธิได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
การไม่ปฏบิ ตั ติ ามหลักเกณฑ์การทําประโยชน์ในท่ีดินและไม่ปฏิบัติตามคําเตือนของปฏิรูปท่ีดินจังหวัด
จะยังไมม่ ีผลใหส้ ิ้นสิทธิเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินท่ีได้รับมอบทันที จะต้องให้คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดิน
จังหวัดมีมติให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรสิ้นสิทธิเสียก่อน จึงจะมีผลให้เกษตรกรหรือสถาบัน
๙-๑๐ ระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ผู้ได้รบั ที่ดินจากการปฏริ ปู ท่ีดินเพอ่ื เกษตรกรรมปฏบิ ตั เิ กีย่ วกบั การเข้าทําประโยชนใ์ นท่ีดนิ พ.ศ. ๒๕๓๕
ขอ้ ๘ หากเกษตรกรหรอื สถาบนั เกษตรกรกระทาํ การฝ่าฝืนข้อ ๗ ให้ปฏิรูปท่ีดินจังหวัดมีหนังสือเตือน
ให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรละเว้นกระทําการหรือปฏิบัติให้ถูกต้องหรือทําให้ที่ดินกลับสู่สภาพเดิมภายใน
ระยะเวลาท่กี ําหนด ถา้ ผ้นู ้นั ยงั คงฝ่าฝืนหรอื ไมป่ ฏบิ ตั ติ ามโดยไม่มเี หตผุ ลอนั สมควร กใ็ หด้ าํ เนินการตามข้อ ๑๑ ต่อไป
ในกรณีที่เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรได้โอนการเข้าทําประโยชน์ไม่ว่าท้ังหมดหรือบางส่วน
ไปยังบุคคลอ่ืนหรือกระทําการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกรณีหน่ึงกรณีใดในข้อ ๗ และไม่สามารถหาตัวได้พบ
ใหด้ ําเนนิ การตามข้อ ๑๑ ได้โดยมติ ้องมกี ารเตือน
๑๑ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๕๕/๒๕๕๕
รวมเร่ืองเดน่ ประเดน็ เด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๘๕
เกษตรกรดังกล่าวสิ้นสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน ทั้งน้ี ในกรณีที่คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดิน
จังหวัดมีข้อสงสัยเก่ียวกับพฤติการณ์ท่ีจะสั่งให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรรายใดสิ้นสิทธิ
และไม่อาจวินิจฉัยได้ ก็ให้ขอความเห็นจากคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมเพ่ือนําไป
ประกอบการพิจารณาส่ังให้สิ้นสิทธิต่อไป๑๒ หรือหากการสิ้นสิทธิดังกล่าวปรากฏต่อคณะกรรมการ
ปฏริ ปู ที่ดนิ เพือ่ เกษตรกรรม คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมจะมีมติเสียเองให้เกษตรกร
หรือสถาบนั เกษตรกรรายนน้ั ส้ินสทิ ธกิ ็ไดต้ ามข้อ ๑๑ วรรคห้า ของระเบียบขา้ งต้น๑๓
เมื่อคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดมีมติให้เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรส้ินสิทธิ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดินแล้ว ปฏิรูปที่ดินจังหวัดต้องมีหนังสือแจ้งการส้ินสิทธิพร้อมท้ังระยะเวลา
ที่ให้เกษตรกรหรือสถาบันการเกษตรพร้อมบริวารออกจากที่ดิน หากบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตาม
ปฏิรูปท่ีดินจังหวัดมีหน้าท่ีต้องดําเนินคดีตามกฎหมายต่อไป แต่ถ้าไม่สามารถมีหนังสือแจ้งได้
ใหป้ ดิ หนังสือไว้ ณ สาํ นกั งานการปฏิรปู ที่ดนิ จังหวดั ท่วี า่ การอาํ เภอหรือกิง่ อําเภอ ที่ทําการผู้ใหญ่บ้าน
และทเ่ี ปดิ เผยเหน็ ไดง้ ่ายในหม่บู ้านแห่งท้องทซี่ งึ่ ทด่ี ินน้ันตงั้ อยแู่ หง่ ละหนึง่ ฉบับ๑๔
หากเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกรเห็นว่าคําสั่งให้สิ้นสิทธิเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินนั้น
ไม่เป็นธรรม ย่อมมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ต่อสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดแห่งท้องที่ภายในสามสิบวัน
นบั แต่วนั ท่ไี ดร้ บั หนงั สอื แจง้ หรอื วนั ทไ่ี ดป้ ดิ คาํ สง่ั โดยแสดงหลกั ฐานอ้างอิงประกอบ เว้นแต่เป็นกรณีท่ี
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมมีมติให้ส้ินสิทธิ๑๕ ซ่ึงสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด
มีหน้าที่รวบรวมหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการอุทธรณ์ส่งไปยังสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม
ภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับอุทธรณ์เพ่ือนําเสนอคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม
พิจารณาอุทธรณ์ต่อไป๑๖ โดยในระหว่างการพิจารณาอุทธรณ์ เกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกร
อาจอยทู่ าํ ประโยชน์ในที่ดนิ ต่อไปจนกว่าคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมจะมีคําวินิจฉัยอุทธรณ์
๑๒ ข้อ ๑๑ วรรคสอง และวรรคสาม ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้
เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์
ในท่ดี ิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งแก้ไขเพ่ิมเติมโดยระเบยี บฯ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
๑๓ ข้อ ๑๑ วรรคห้า ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกร
และสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ซงึ่ แก้ไขเพิ่มเตมิ โดยระเบยี บฯ (ฉบบั ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
๑๔ ข้อ ๑๑ วรรคหก และวรรคเจ็ด ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้
เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์
ในทดี่ ิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซง่ึ แก้ไขเพ่ิมเตมิ โดยระเบียบฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
๑๕ ข้อ ๑๓ วรรคหน่ึง ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกร
และสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๓๕ ซงึ่ แกไ้ ขเพ่มิ เติมโดยระเบียบฯ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
๑๖ ข้อ ๑๓ วรรคสอง ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกร
และสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน
พ.ศ. ๒๕๓๕
๘๖ รวมเรือ่ งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
และหลังจากมีคําวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว ปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีหน้าท่ีแจ้งผลการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์
ของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมให้ผู้อุทธรณ์ทราบภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับ
คําวินิจฉัยจากสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม และกรณีท่ีคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรมวินิจฉัยยืนตามคําส่ังของคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด ก็ต้องแจ้งระยะเวลา
ท่ีคณะกรรมการกําหนดให้ผ้อู ทุ ธรณแ์ ละบริวารออกจากทด่ี นิ ใหผ้ ้อู ุทธรณ์ทราบด้วย๑๗
มตขิ องคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดท่ีส่ังให้เกษตรกรส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดินและให้เกษตรกรพร้อมด้วยบริวารออกจากที่ดิน และมติของคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดิน
เพื่อเกษตรกรรมท่ียืนตามมติดังกล่าวของคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด ถือเป็นคําสั่งทางปกครอง
ตามมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัตวิ ิธปี ฏบิ ัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การฟ้องโต้แย้งความชอบ
ด้วยกฎหมายของมติดังกล่าวจึงเป็นคดีพิพาทเก่ียวกับการที่เจ้าหน้าท่ีของรัฐออกคําส่ังโดยไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย ซ่ึงอยู่ในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑)
แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ๑๘ และการที่คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติ
ให้เกษตรกรที่ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินรายใดส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์
ในที่ดินและให้เกษตรกรดังกล่าวพร้อมด้วยบริวารออกจากที่ดิน ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรมมีคําวินิจฉัยอุทธรณ์โดยมีมติยืนตามมติของคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด
เกษตรกรรายนั้นย่อมถือว่าเป็นผู้ได้รับความเดือดร้อนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้จากมติ
ข้างต้น ซ่ึงการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือความเสียหายศาลมีอํานาจกําหนดคําบังคับ
โดยให้เพิกถอนมติดังกล่าว เกษตรกรผู้ได้รับคําส่ังข้างต้นจึงเป็นผู้มีสิทธิฟ้องคดีเพ่ือขอให้เพิกถอน
มตดิ ังกลา่ วไดต้ ามมาตรา ๔๒ วรรคหนง่ึ แห่งพระราชบญั ญัติจดั ตัง้ ศาลปกครองฯ๑๙
การที่เกษตรกรเห็นว่าคําสั่งตามมติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดที่ส่ังให้ตน
ส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์และให้ตนพร้อมบริวารออกจากท่ีดิน เป็นคําส่ังที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เกษตรกรย่อมต้องดําเนินการตามข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับการแก้ไขความเดือดร้อนหรือเสียหาย
ก่อนการฟ้องคดตี ามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง่ พระราชบัญญตั จิ ัดต้ังศาลปกครองฯ โดยย่ืนอุทธรณ์คําส่ัง
ดังกล่าว ซึ่งมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘
บัญญัติว่า ให้คณะกรรมการอุทธรณ์มีอํานาจหน้าที่พิจารณาวินิจฉัยคําอุทธรณ์ที่ย่ืนต่อคณะกรรมการ
อุทธรณ์ ให้คณะกรรมการอุทธรณ์วินิจฉัยอุทธรณ์ให้เสร็จส้ินภายในกําหนดเก้าสิบวันนับแต่วันที่
ไดร้ บั คาํ อทุ ธรณ์ อนั ถือว่าเปน็ กฎหมายกาํ หนดวธิ ีการไว้โดยเฉพาะแล้ว หากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรม ในฐานะผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์มิได้วินิจฉัยคําอุทธรณ์และแจ้งผลการพิจารณา
อุทธรณ์ให้ผู้ฟ้องคดีทราบภายในกําหนดระยะเวลาดังกล่าว กรณีย่อมต้องถือว่ามีเหตุแห่งการฟ้องคดี
๑๗ ข้อ ๑๔ ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบัน
เกษตรกรผไู้ ด้รับทด่ี ินจากการปฏิรูปที่ดนิ เพอ่ื เกษตรกรรมปฏิบตั เิ ก่ยี วกับการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดนิ พ.ศ. ๒๕๓๕
๑๘ คําสง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๙๓๙/๒๕๕๗
๑๙ คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี ๔๑๑/๒๕๕๙
รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๘๗
และผู้ฟ้องคดีรู้หรือควรรู้ถึงเหตุแห่งการฟ้องคดีในวันถัดจากวันครบกําหนดระยะเวลาดังกล่าว
จงึ ตอ้ งนําคดมี าฟ้องตอ่ ศาลภายในเกา้ สบิ วนั นับแต่วันน้นั โดยมิต้องรอคําวินิจฉัยอุทธรณ์อีกต่อไป๒๐
มีประเดน็ ปัญหาในกรณีท่เี กษตรกรผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน
ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามระเบียบของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมและมติของคณะกรรมการ
ปฏิรูปทด่ี ินจังหวดั โดยการเขา้ ทาํ ประโยชนใ์ นทดี่ ินรุกลา้ํ และปดิ เสน้ ทางเดินเดิมทปี่ ระชาชนใช้ประโยชน์
รว่ มกัน คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดจึงมีมติให้เกษตรกรผู้นั้นสิ้นสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน
แปลงท่ีได้รับอนุญาตและให้เกษตรกรพร้อมบริวารออกจากที่ดิน ซ่ึงปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้แจ้งให้ทราบ
คําสั่งตามมติดังกล่าวแล้ว แต่ไม่มีการอุทธรณ์คําสั่งภายในระยะเวลาท่ีกําหนด เกษตรกรจึงส้ินสิทธิ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน กรณีเช่นน้ีศาลปกครองสูงสุดเคยวินิจฉัยไว้ว่า หากเกษตรกรยังคง
เข้าทําประโยชน์ปลูกพืชผลในท่ีดินดังกล่าวต่อไป ย่อมถือเป็นการกระทําที่ไม่สุจริตและไม่ได้รับ
ความคุ้มครองกรณีเป็นธัญชาติอันจะเก็บเก่ียวรวงผลได้คราวหน่ึงหรือหลายคราวต่อปี และมีสิทธิ
ท่ีจะเข้าตัดฟัน หรือเรียกให้ผู้ปลูกร้ือถอนออกไปได้ตามมาตรา ๑๓๑๔ แห่งประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ ดังนั้น การท่ีเจ้าหน้าท่ีของสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมนํารถไถเข้าไถปรับ
พ้นื ที่ในทด่ี ินดงั กลา่ ว แมจ้ ะทําใหพ้ ชื ผลเสียหาย เกษตรกรผู้น้นั ก็มิใช่ผู้เดือดร้อนหรือเสียหายท่ีจะมีสิทธิ
ฟ้องคดีในฐานละเมิดและเรียกค่าเสียหายได้ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แห่งพระราชบัญญัติจัดต้ัง
ศาลปกครองฯ๒๑
แนวคาํ วนิ ิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด
จากการศึกษาคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดพบว่า ศาลปกครองสูงสุด
ได้พจิ ารณาพิพากษาประเดน็ การสิ้นสทิ ธิเขา้ ทําประโยชน์ในเขตปฏริ ูปท่ีดินในกรณีต่าง ๆ สรุปได้ดังน้ี
(๑) กรณตี าย
การตายของผ้ไู ด้รับสทิ ธใิ ห้เข้าทาํ ประโยชนใ์ นเขตปฏิรูปที่ดินเป็นการส้ินสิทธิ
โดยผลของกฎหมาย คณะกรรมการปฏริ ูปท่ีดนิ จังหวัดไมจ่ าํ ต้องมมี ติใด ๆ อีก
ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไว้ว่า เมื่อเกษตรกรผู้ได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดินได้ถึงแก่กรรมลง ย่อมมีผลให้เกษตรกรผู้นั้นส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินท่ีตน
ได้รับมอบในทันทีที่เกิดเหตุการณ์เช่นนั้นขึ้น ซ่ึงการส้ินสิทธิดังกล่าวเป็นการส้ินสิทธิโดยผลของกฎหมาย
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจงั หวดั ไม่จาํ ตอ้ งมีมติใด ๆ อกี ๒๒
๒๐ คําสั่งศาลปกครองสูงสดุ ท่ี ๙๓๙/๒๕๕๗
๒๑ คําส่งั ศาลปกครองสงู สุดที่ ๘๐๗/๒๕๕๑
๒๒ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๓๓๑/๒๕๕๖
๘๘ รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
(๒) กรณีสละสิทธิ
กรณีเคยแจ้งต่อผู้ปกครองท้องท่ีขณะมีการทําการรังวัดเพ่ือออกหนังสือ
อนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ในที่ดินแปลงท่ีพิพาทว่า
ให้ออกเอกสาร ส.ป.ก. ๔-๐๑ ในช่ือของบุคคลอื่นท้ังหมด ถือได้ว่าบุคคลท่ีแจ้งดังกล่าว
ได้แสดงเจตนาสละการครอบครองในทด่ี ินพพิ าททง้ั หมดในขณะน้ันแลว้
คดีน้ีแม้ผู้ฟ้องคดีจะเป็นผู้ครอบครองท่ีดินพิพาทก่อนมีการประกาศใช้
พระราชกฤษฎีกากําหนดเขตที่ดิน ในท้องท่ีตําบลบ้านลํานาว และตําบลบ้านนิคม อําเภอบางขัน
จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้เป็นเขตปฏิรูปท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๔๑ โดยการซื้อที่ดินพิพาทจากบุคคลอื่น
และผู้ฟ้องคดีได้ว่าจ้างผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ให้เป็นผู้ปลูก ดูแลรักษา และเก็บผลผลิตจากต้นยางพารา
ทีป่ ลกู ในทีด่ ินพพิ าท โดยแบ่งผลประโยชน์จากการจําหน่ายผลผลิตจากต้นยางพาราให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดี
ท่ี ๒ เพ่ือเป็นค่าจ้าง แต่เม่ืออดีตผู้ใหญ่บ้านได้ให้ถ้อยคําในการไต่สวนข้อเท็จจริงของศาลปกครอง
ชั้นต้นว่า ตนเคยพบผู้ฟ้องคดีซ่ึงเป็นเจ้าของท่ีดินพิพาท ๒ ครั้ง ครั้งแรกเคยไปติดต่อผู้ฟ้องคดี
เพ่ือขอซ้ือที่ดินพิพาท แต่ไม่มีความชัดเจนในเนื้อที่ท่ีดินบางส่วนท่ีเป็นของผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒
ตนจึงไม่ซื้อ ส่วนคร้ังท่ี ๒ ไปพบผ้ฟู อ้ งคดีเพ่ือแจง้ ว่าทางราชการจะมาทําการรังวัดออกหนังสืออนุญาต
ให้เข้าทาํ ประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) ซ่ึงผู้ฟ้องคดีแจ้งว่าให้ออกเอกสาร ส.ป.ก. ๔-๐๑
ในชอ่ื ของผู้ถกู ฟ้องคดที ี่ ๒ ท้ังหมด ตนจึงไดล้ งลายมอื ชอื่ รับรองในฐานะผู้ปกครองท้องที่ในขณะน้ันว่า
ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ เป็นผู้นําทําการรังวัดในฐานะผู้ถือครองที่ดิน กรณีเช่นนี้ถือได้ว่าผู้ฟ้องคดีได้แสดง
เจตนาสละการครอบครองในท่ดี ินพพิ าททัง้ หมดแล้ว เมื่อผู้ฟ้องคดที ราบแล้วว่าสํานักงานการปฏิรูปท่ีดิน
เพือ่ เกษตรกรรมดําเนินการออกหนงั สืออนุญาตใหเ้ ข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินและผู้ฟ้องคดีมิได้
ดําเนินการโต้แย้งคัดค้านผลการพิจารณาคัดเลือกเกษตรกรเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินในเขตปฏิรูปท่ีดิน
ของคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดนครศรีธรรมราชที่อนุญาตให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ เข้าทําประโยชน์
ในทีด่ ินพิพาทได้ ฉะน้ัน การท่คี ณะกรรมการปฏริ ูปทดี่ นิ จังหวัดนครศรีธรรมราชเห็นชอบและอนุญาต
ให้ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ เข้าทําประโยชน์ในที่ดินพิพาทซึ่งตั้งอยู่ในเขตปฏิรูปที่ดิน และการท่ีสํานักงาน
การปฏิรูปท่ีดินจังหวัดนครศรีธรรมราชออกหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน
(ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) ให้แก่ผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ เมื่อวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๔๕ จึงเป็นการกระทําที่ชอบ
ด้วยกฎหมายและต้องตามความประสงค์ของผู้ฟ้องคดีแล้ว ดังน้ัน การท่ีผู้ฟ้องคดีอาศัยข้อเท็จจริง
เพียงความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทท่ีไม่มีเอกสารสิทธิและผู้ฟ้องคดีได้สละการครอบครองแล้ว อีกทั้ง
ผู้ฟ้องคดีมิได้เป็นเกษตรกรและมิได้คัดค้านผลการพิจารณาคัดเลือกเกษตรกรเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน
ในเขตปฏิรปู ท่ีดนิ ประกอบกับผู้ฟอ้ งคดมี ใิ ชท่ ายาทโดยธรรมของผู้ถูกฟ้องคดที ี่ ๒ ทีจ่ ะมีสทิ ธไิ ดร้ ับโอน
ที่ดินพิพาทโดยทางมรดกจากผู้ถูกฟ้องคดีท่ี ๒ ตามมาตรา ๓๙ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ กรณีจึงไม่มีเหตุที่เจ้าหน้าท่ีของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด
นครศรีธรรมราชจะต้องดําเนินการเพิกถอนช่ือผู้ถูกฟ้องคดีที่ ๒ ออกจากสารบัญทะเบียนที่ดินในเขต
รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๘๙
ปฏิรูปที่ดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑ ข) และใส่ชื่อผู้ฟ้องคดีในสารบัญทะเบียนที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินดังกล่าว
แทนผูถ้ กู ฟ้องคดที ่ี ๒ แต่อย่างใด๒๓
พฤติการณข์ องเกษตรกรผูไ้ ดร้ บั อนญุ าตใหเ้ ขา้ ทําประโยชนใ์ นเขตปฏิรูปที่ดิน
ท่ีให้ความยินยอมและอนุญาตให้ผู้ใหญ่บ้านก่อสร้างศาลาประชุมและศาลาอเนกประสงค์
ของหมู่บ้านบนท่ีดินที่ตนได้รับ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก และไม่โต้แย้งคัดค้านเม่ือมีการก่อสร้าง
ศาลาประชุมบนท่ีดินดังกล่าว ถือว่าบุคคลดังกล่าวได้แสดงเจตนาสละการครอบครองในท่ีดิน
ส่วนท่ีมีการก่อสรา้ งศาลาประชมุ และศาลาอเนกประสงคแ์ ลว้
คดีน้ีผู้ฟ้องคดีซึ่งเป็นเกษตรกรผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขต
ปฏิรูปที่ดินได้ให้ความยินยอมและอนุญาตให้ผู้ใหญ่บ้านก่อสร้างศาลาประชุมและศาลาอเนกประสงค์
ของหม่บู า้ นบนท่ีดินที่ตนได้รับ ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก และเม่ือองค์การบริหารส่วนตําบลเขาทะลุได้ก่อสร้าง
ศาลาประชุมบนที่ดินของผู้ฟ้องคดี ผู้ฟ้องคดีก็มิได้โต้แย้งคัดค้านหรือดําเนินการใด ๆ เพื่อให้ท่ีดิน
กลับสู่สภาพเดิมในทันที แต่กลับยินยอมให้ใช้ประโยชน์ของหมู่บ้านต่อไปจนกว่าอาคารจะหมดสภาพ
การใช้งาน กรณีถือว่าผู้ฟ้องคดีได้สละสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในที่ดินที่ได้รับมอบจากสํานักงาน
การปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมตามข้อ ๑๑ วรรคหนึ่ง (๑) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดิน
เพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดิน
เพือ่ เกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกบั การเข้าทาํ ประโยชน์ในที่ดินฯ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติมโดยระเบียบฯ (ฉบับที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๐ และเป็นการแสดงเจตนาว่าผู้ฟ้องคดีมิได้ครอบครองและทํากินท่ีดินในส่วนนั้น
ซึ่งไม่เป็นไปตามข้อ ๘ (๑) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์
วธิ กี าร และเงื่อนไขในการคดั เลือกเกษตรกร ซึ่งจะมสี ทิ ธไิ ดร้ ับทด่ี ินจากการปฏริ ูปทีด่ นิ เพ่ือเกษตรกรรมฯ
ดังน้ัน เมื่ออําเภอสวีได้มีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชุมพร ขอให้พิจารณาแก้ไขปัญหากรณีที่
คณะกรรมการหมู่บ้านและราษฎรหมู่ที่ ๓ ตําบลเขาทะลุ มีมติยืนยันว่าท่ีดินท่ีผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาต
ให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดินได้ทับซ้อนกับท่ีดินสาธารณประโยชน์ของหมู่บ้าน ซึ่งได้ก่อสร้าง
ศาลาประชุมหมู่บ้านและศาลาอเนกประสงค์อยู่ในที่ดินดังกล่าว โดยสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัด
ชุมพรได้รวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานต่าง ๆ เสนอต่อคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัด
ชุมพร และคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดชุมพรได้มีมติให้สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดชุมพร
ดําเนินการรังวัดแบ่งแยกส่วนท่ีหมู่บ้านได้ก่อสร้างศาลาประชุมและศาลาอเนกประสงค์ออกจาก
แปลงทดี่ ินท่ีไดอ้ อก ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ใหแ้ ก่ผู้ฟ้องคดี เพื่อให้หมู่บ้านจะได้มาย่ืนคําขอใช้ท่ีดินให้ถูกต้อง
ตามระเบียบหลักเกณฑ์ของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมต่อไป และได้แก้ไขรูปแผนท่ี
และเน้ือที่ตาม ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก เหลือเฉพาะส่วนที่ผู้ฟ้องคดีครอบครองทําประโยชน์ต่อไป
มตขิ องคณะกรรมการปฏิรูปทด่ี ินจงั หวดั ชมุ พรจึงชอบด้วยกฎหมายแลว้ ๒๔
๒๓ คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๑๙๓/๒๕๕๗
๒๔ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๙๑๐/๒๕๕๘
๙๐ รวมเรอ่ื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
(๓) กรณีขาดคุณสมบัติตามระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
วา่ ด้วยหลกั เกณฑ์ วิธกี าร และเงอ่ื นไขในการคดั เลือกเกษตรกร ซ่งึ จะมีสทิ ธไิ ดร้ ับท่ีดินจากการปฏิรูป
ท่ดี ินเพอ่ื เกษตรกรรม
ผู้ท่ีจะมีสิทธิย่ืนคําร้องขอเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินในเขตปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรมจะต้องเป็นเกษตรกรตามมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดิน
เพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ เมื่อบุคคลดังกล่าวไม่ใช่เกษตรกรตามบทบัญญัติดังกล่าว ย่อมเป็น
บุคคลที่ขาดคุณสมบัติที่จะได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปที่ดิน การท่ีต่อมา
คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมมีมติให้บุคคลดังกล่าวสิ้นสิทธิการเข้าทําประโยชน์
ในที่ดินตามหนังสืออนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดิน (ส.ป.ก. ๔-๐๑) จึงย่อมชอบ
ดว้ ยกฎหมาย
กรณีท่ีมีการตรวจสอบพบภายหลังว่า เกษตรกรผู้ได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดินประกอบอาชีพอ่ืนนอกจากเกษตรกรรม โดยมีรายได้จากอาชีพอื่นเป็นจํานวน
มากกว่ารายได้จากอาชีพเกษตรกรรม รวมท้ังรายได้จากอาชีพอื่นนั้นเพียงพอแก่การครองชีพอยู่แล้ว
หรือมีท่ีดินเป็นของตนเองหรือของบุคคลในครอบครัวเดียวกันเพียงพอแก่การครองชีพอยู่แล้ว
มาก่อนการยื่นคําขอเข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดิน เช่น กรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดินมีรายได้จากการเกษตรประมาณปีละ ๑๘๐,๐๐๐ บาท แต่มีรายชื่อเป็นกรรมการ
ผู้มีอํานาจของบริษัทเอกชน มีหุ้นท่ีถือรวมเป็นเงินจํานวน ๓,๗๕๐,๐๐๐ บาท มีข้อมูลการย่ืน
แบบแสดงรายการภาษีธุรกิจเฉพาะ โดยมีรายรับจํานวนถึง ๖,๑๓๕,๐๐๐ บาท และมีภาษีที่ชําระ
รวมทั้งส้ินจํานวน ๒๐๒,๔๕๕ บาท มีช่ือเป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดิน น.ส. ๓ อีก ๒ แปลง
ส่วนบุตรชายก็มีที่ดินเพ่ือใช้ประกอบธุรกิจเช่นกัน หรือกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปท่ีดินมีกิจการทาวน์เฮาส์ให้นักท่องเที่ยวเช่า จํานวน ๗ หลัง มีร้านอาหารที่จดทะเบียน
พาณิชย์ในนามของตนปลูกสร้างอยู่บนท่ีดินที่ได้รับเอกสาร ส.ป.ก. ๔-๐๑ โดยมีรายได้จากให้เช่า
ทาวน์เฮาส์และร้านอาหารประมาณ ๑๐๐,๐๐๐ บาท ถึง ๒๐๐,๐๐๐ บาท ต่อปี ส่วนรายได้จากการ
ทําการเกษตรมีประมาณเพียง ๑๐,๐๐๐ บาท ต่อปี หรือกรณีที่ผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดินมีอาชีพประกอบธุรกิจขนส่งและเกษตรกรรม โดยมีรถบรรทุกสิบล้อ จํานวน ๒ คัน
ราคาคันละ ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีรายได้จากการประกอบธุรกิจขนส่งเดือนละ ๓๐,๐๐๐ บาท
(ปีละ ๓๖๐,๐๐๐ บาท) และมีรายได้จากการประกอบเกษตรกรรมปีละ ๑๕๐,๐๐๐ บาท
ซง่ึ การประกอบธรุ กจิ ขนส่งของผูฟ้ ้องคดีมไิ ดเ้ กยี่ วเนือ่ งกับการประกอบเกษตรกรรม จึงไม่อาจถือได้ว่า
เป็นเพียงอาชีพเสริมการประกอบเกษตรกรรม ตามตัวอย่างท้ังสามกรณีข้างต้นไม่อาจถือได้ว่า
บุคคลดังกล่าวใช้เวลาส่วนใหญ่ในการประกอบเกษตรกรรม กรณีจึงไม่ใช่เกษตรกรตามความหมาย
ในมาตรา ๔ แห่งพระราชบัญญัติการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ ที่จะมีสิทธิยื่นคําร้อง
ขอเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินมาต้ังแต่ต้นตามข้อ ๖ (๖) ของระเบียบคณะกรรมการ
ปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยหลักเกณฑ์ วิธีการและเง่ือนไขในการคัดเลือกเกษตรกรซ่ึงจะมีสิทธิ
ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๓๕ เกษตรกรผู้ได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์
ในเขตปฏิรูปที่ดินที่มีรายได้เพียงพอแก่การครองชีพจากการประกอบอาชีพอ่ืนนอกจากเกษตรกรรม
รวมเรอื่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๙๑
ดังกลา่ วจงึ เป็นผขู้ าดคุณสมบตั ิทจ่ี ะมสี ทิ ธไิ ด้รบั ทดี่ นิ จากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม และย่อมสิ้นสิทธิ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดินตามข้อ ๑๑ วรรคหนึ่ง (๓) ข้อ ข. และข้อ ค. ของระเบียบคณะกรรมการ
ปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูป
ที่ดินเพอื่ เกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ ซึ่งหากเป็น
กรณีท่ีปรากฏข้อเท็จจริงและหลักฐานต่อคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมโดยชัดแจ้ง
เช่น มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นเพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงกรณีมีผู้ร้องเรียนว่า การออก
ส.ป.ก. ๔-๐๑ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และผลการสอบสวนปรากฏว่าผู้ได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์
ขาดคุณสมบัติที่จะได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์มาต้ังแต่ต้นจริง คณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพื่อเกษตรกรรมย่อมมีอํานาจที่จะมีมติให้ผู้น้ันสิ้นสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในที่ดินท่ีได้รับมอบ
จาก ส.ป.ก. ได้ ตามข้อ ๑๑ วรรคห้า ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วย
การให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงแก้ไขเพ่ิมเติมโดยระเบียบฯ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐
และเป็นอํานาจหน้าที่ของปฏิรูปท่ีดินจังหวัดตามข้อ ๑๑ วรรคหก ของระเบียบฉบับเดียวกันท่ีจะแจ้ง
มติดังกล่าวให้บุคคลดังกล่าวทราบ และให้บุคคลดังกล่าวพร้อมบริวารออกจากท่ีดินภายในระยะเวลา
ที่กําหนด หากไม่ยอมออกจากที่ดิน สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดย่อมสามารถดําเนินคดี
กบั ทุกกรณีดงั กลา่ วตามกฎหมายไดต้ อ่ ไป๒๕
(๔) กรณีฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามหลักเกณฑ์การทําประโยชน์ในที่ดิน
ที่บัญญัติไว้ในข้อ ๗ ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้
เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับ
การเขา้ ทาํ ประโยชน์ในที่ดนิ พ.ศ. ๒๕๓๕
กรณีท่ีผู้รับมรดกสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปท่ีดินไม่ได้
เข้าทําประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวด้วยมีสาเหตุมาจากถูกบุคคลอ่ืนขัดขวางไม่ให้เข้า
ทําประโยชน์ในที่ดิน ถือไม่ได้ว่าผู้รับมรดกสิทธิดังกล่าวฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติหน้าท่ีตามหลักเกณฑ์
การทําประโยชนใ์ นท่ดี ินทบี่ ญั ญัตไิ ว้ในขอ้ ๗ ของระเบยี บคณะกรรมการปฏิรูปท่ดี นิ เพื่อเกษตรกรรม
ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
ปฏิบตั เิ กยี่ วกับการเขา้ ทําประโยชน์ในที่ดนิ พ.ศ. ๒๕๓๕
การที่บิดาของผู้ร้องสอดมีช่ือเป็นผู้แจ้งการครอบครองท่ีดินตามหลักฐาน
แบบแจ้งการครอบครอง (ส.ค. ๑) เลขที่ ๖๐ แต่ต่อมามีการตราพระราชกฤษฎีกากําหนดเขตท่ีดิน
ในท้องที่อําเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ ให้เป็นเขตปฏิรูปท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๒๑ ครอบคลุมพ้ืนที่ดังกล่าว
ซ่ึงบิดาของผู้ร้องสอดยินยอมกระจายสิทธิการถือครองที่ดินของตนให้แก่บุคคลอื่น ๆ รวมถึงมารดา
ของผู้ฟ้องคดีด้วย ถือได้ว่าบิดาของผู้ร้องสอดได้แสดงเจตนาสละสิทธิการครอบครองพร้อมส่งมอบ
การครอบครองที่ดินแปลงดังกล่าวให้กับสํานักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมเพื่อนําไปใช้
๒๕ คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๔๓๓/๒๕๕๖ ท่ี อ.๕๔๐/๒๕๕๗ และท่ี อ.๕๒/๒๕๕๗
๙๒ รวมเรื่องเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ในการปฏิรูปท่ีดินแล้วตามมาตรา ๑๓๗๗ วรรคหนึ่ง๒๖ และมาตรา ๑๓๗๘๒๗ แห่งประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณชิ ย์ ทําให้การใชส้ ิทธโิ ดยการอ้างการครอบครองตามหลกั ฐาน ส.ค. ๑ ของบิดาของผู้ร้องสอด
สิ้นสุดลง ผู้ร้องสอดจึงไม่อาจอ้างการครอบครองต่อเนื่องในที่ดินตาม ส.ค. ๑ แปลงดังกล่าวว่ารับมรดก
มาจากบิดาของตน และนําหลักฐาน ส.ค. ๑ มาขอรังวัดออกโฉนดที่ดินได้ ส่วนกรณีของผู้ฟ้องคดี
ในฐานะผ้รู ับมรดกสิทธกิ ารเขา้ ทาํ ประโยชน์ในทีด่ นิ แปลงดงั กล่าวตอ่ จากมารดาของตนและได้รับอนุญาต
จากคณะกรรมการปฏริ ปู ทดี่ นิ จังหวัดสรุ นิ ทร์ให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวแล้ว ซ่ึงผู้ร้องสอด
อ้างว่าผู้ฟ้องคดีไม่ได้เข้าครอบครองและทําประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวมาต้ังแต่ปี พ.ศ. ๒๕๔๐
ทําให้เปน็ ผทู้ ส่ี ้นิ สทิ ธิในทีด่ ินตามหลักฐาน ส.ป.ก. ๔-๐๑ ก ตามข้อ ๗ (๑) ของระเบียบคณะกรรมการ
ปฏริ ูปท่ีดินเพอื่ เกษตรกรรม ว่าดว้ ยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ท่ีได้รับท่ีดินจากการปฏิรูป
ท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ซ่ึงแก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ แล้วนั้น เม่ือข้อเท็จจริงปรากฏว่าเหตุท่ีผู้ฟ้องคดีไม่ได้เข้าทําประโยชน์
หรือทํานาในท่ีดินพิพาท ก็เน่ืองมาจากการที่ผู้ร้องสอดไม่ยินยอมให้เข้าทําประโยชน์ อีกทั้งไม่ปรากฏว่า
ปฏิรูปที่ดินจังหวัดสุรินทร์ได้มีคําส่ังให้ผู้ฟ้องคดีส้ินสิทธิในท่ีดินตามระเบียบข้างต้นแต่อย่างใด
ผฟู้ ้องคดจี ึงยงั คงเปน็ ผไู้ ดร้ ับสทิ ธใิ นการเขา้ ทาํ ประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวอย๒ู่ ๘
หมายเหตุ คดีน้ีศาลไม่ได้วินิจฉัยไว้โดยชัดแจ้งว่า ในกรณีท่ีผู้รับมรดกสิทธิ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินไม่ได้เข้าทําประโยชน์ในท่ีดินแปลงดังกล่าวด้วยมีสาเหตุ
มาจากถูกบุคคลอื่นขัดขวางไม่ให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดิน ถือไม่ได้ว่าผู้รับมรดกสิทธิดังกล่าวฝ่าฝืน
ไม่ปฏิบัติหน้าท่ีตามหลักเกณฑ์การทําประโยชน์ในที่ดินที่บัญญัติไว้ในข้อ ๗ ของระเบียบ
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดิน
จากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕
แต่เมอ่ื พจิ ารณาภาพรวมของคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สุดคดีนี้ทั้งหมด สามารถอนมุ านไดเ้ ชน่ น้ัน
การที่ผู้ได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์ในท่ีดินในเขตปฏิรูปท่ีดินดําเนินการ
ให้มีการซื้อขายที่ดินแปลงที่ได้รับอนุญาต ย่อมเป็นการกระทําท่ีฝ่าฝืนต่อระเบียบคณะกรรมการ
ปฏิรปู ทด่ี นิ เพื่อเกษตรกรรม วา่ ดว้ ยการใหเ้ กษตรกรและสถาบนั เกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูป
ที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ และเม่ือบุคคล
ดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามหนังสือเตือนของปฏิรูปท่ีดินจังหวัดโดยไม่มีเหตุอันสมควร กรณีย่อมเป็นเหตุ
๒๖-๒๗ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา ๑๓๗๗ ถ้าผู้ครอบครองสละเจตนาครอบครอง หรือไม่ยึดถือทรัพย์สินต่อไปไซร้ การครอบครอง
ยอ่ มสดุ สิ้นลง
ฯลฯ ฯลฯ
มาตรา ๑๓๗๘ การโอนไปซึ่งการครอบครองนน้ั ยอ่ มทาํ ได้โดยสง่ มอบทรัพย์สินทค่ี รอบครอง
๒๘ คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๗๓๗/๒๕๖๐
รวมเรอื่ งเด่นประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๙๓
ให้คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดมีอํานาจส่ังให้บุคคลดังกล่าวส้ินสิทธิการเข้าทําประโยชน์
ในทีด่ นิ แปลงดังกลา่ วได้
คดีน้ีคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมได้อนุญาตให้ผู้ฟ้องคดี
เข้าทําประโยชน์ในท่ีดินแปลงพิพาท ซึ่งผู้ฟ้องคดีอ้างว่าได้เข้าทําประโยชน์ในท่ีดินแปลงดังกล่าว
ดว้ ยตนเอง โดยการทาํ นาและภายหลงั จากทํานาเสร็จกเ็ ขา้ ไปทาํ งานที่กรุงเทพมหานคร เม่ือถึงฤดูทํานา
จะกลับมาทํานา ซึ่งปรากฏว่ามีช่วงระยะเวลาหน่ึงที่ผู้ฟ้องคดีไม่สามารถเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน
แปลงดังกล่าวได้ เน่ืองจากบิดามารดาของผู้ฟ้องคดีได้นําท่ีดินแปลงนั้นขายให้แก่บุคคลอื่น
แม้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าผู้ฟ้องคดีได้มอบอํานาจให้บิดามารดาขายท่ีดินแทน หรือในการซ้ือขายที่ดิน
ครั้งนี้ผู้ฟ้องคดีจะรู้เห็นหรือให้ความยินยอมหรือไม่ก็ตาม แต่ตามพระราชบัญญัติการปฏิรูปท่ีดิน
เพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ และระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้
เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ กําหนดให้เฉพาะผู้ท่ีได้รับมอบที่ดินจากคณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ซ่ึงก็คือผู้ฟ้องคดีเท่านั้นท่ีจะมีสิทธิเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินที่ได้รับมอบ
ด้วยตนเอง จะนําท่ีดินท้ังหมดหรือบางส่วนไปขายให้บุคคลอื่นไม่ได้ การท่ีบิดามารดาของผู้ฟ้องคดี
ทําสัญญาซื้อขายท่ีดินแปลงพิพาท จึงเป็นการกระทําท่ีฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
อย่างไรก็ดี เมื่อยังไม่มีคําสั่งให้ผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ส้ินสิทธิในการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดินแปลงพิพาท
ผู้ฟอ้ งคดีกย็ งั คงเป็นผูม้ ีสิทธิเข้าทาํ ประโยชน์ในที่ดนิ แปลงพพิ าทดังกล่าว เมือ่ สํานักงานการปฏิรูปท่ีดิน
จังหวัดพิจิตรตรวจสอบแล้วทราบว่าผู้ฟ้องคดีมิได้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินที่ได้รับมอบ จึงมีหนังสือ
แจ้งเตือนผู้ฟ้องคดีให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินแปลงพิพาทด้วยตนเองภายในกําหนด ๑ เดือน ตามข้อ ๘
ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ผไู้ ดร้ บั ทดี่ นิ จากการปฏิรปู ท่ดี นิ เพ่อื เกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๓๕
ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าไม่อาจปฏิบัติตามหนังสือเตือนได้ เน่ืองจากฝ่ายผู้ซ้ือยังคงมีการทํานาในที่ดิน
แปลงพิพาทต้องรอให้เก็บเกี่ยวข้าวออกจากท่ีดินเสียก่อน แต่ผู้ฟ้องคดีก็มิได้ทําหนังสือขอผ่อนผัน
การเข้าทําประโยชน์ดังกล่าว นอกจากนี้ สํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดได้ส่งเจ้าหน้าที่ออกไป
ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่าท่ีดินพิพาทมีการขายเปลี่ยนมือให้ผู้อ่ืน โดยผู้ฟ้องคดีไม่ได้เข้าทําประโยชน์
ในที่ดินมาเป็นเวลาประมาณ ๑๓ ปี ซ่ึงสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดเห็นว่าการกระทําของผู้ฟ้องคดี
ขัดต่อระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ผู้ได้รับที่ดินจากการปฏริ ูปท่ดี ินเพ่อื เกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕
จึงดําเนินการตามระเบียบและเสนอเรื่องให้คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพิจิตรพิจารณาสั่งให้
ผฟู้ ้องคดีสิ้นสิทธิเข้าทําประโยชนใ์ นที่ดินแปลงพิพาทตามนัยขอ้ ๑๑ ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูป
ท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๐ การที่
๙๔ รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดได้มีคําสั่งในเวลาต่อมาให้ผู้ฟ้องคดีสิ้นสิทธิการเข้าทําประโยชน์
ในที่ดินแปลงพพิ าทและใหอ้ อกจากที่ดิน จึงเป็นคําสงั่ ทช่ี อบด้วยกฎหมายแลว้ ๒๙
การที่ผู้ได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินนําท่ีดิน
ท่ีได้รับไปปลูกสร้างอาคารพาณิชย์และจัดให้ผู้อื่นเช่า เป็นการฝ่าฝืนข้อ ๗ (๑) และ (๕)
ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรปู ทด่ี ินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน
พ.ศ. ๒๕๓๕ และเมื่อบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามหนังสือเตือนของปฏิรูปที่ดินจังหวัดโดยไม่มีเหตุ
อันสมควร กรณีย่อมเป็นเหตุให้คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดมีอํานาจส่ังให้บุคคลดังกล่าว
สิ้นสิทธิการเข้าทําประโยชน์ในทด่ี นิ แปลงดังกล่าวได้
คดีนี้คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดได้คัดเลือกและอนุญาตให้ผู้ฟ้องคดี
เช่าท่ีดินในเขตปฏิรูปที่ดินเพ่ือเป็นท่ีอยู่อาศัย ซ่ึงผู้ฟ้องคดียินยอมและตกลงตามข้อเสนอดังกล่าว
และได้ทําสัญญาเช่ากับสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัด นิติสัมพันธ์ระหว่างผู้ฟ้องคดีกับสํานักงาน
การปฏิรูปที่ดินจังหวัดฉะเชิงเทราจึงต้องเป็นไปตามสัญญาเช่าดังกล่าวและพระราชบัญญัติการปฏิรูป
ท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม พ.ศ. ๒๕๑๘ รวมถึงระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วย
การให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับ
การเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ ผู้ฟ้องคดีจึงมีสิทธิและหน้าท่ีตามสัญญาเช่าตามกฎหมาย
และระเบียบดังกล่าว ดังน้ัน เม่ือผู้ฟ้องคดีได้ทําการปลูกสร้างอาคารพาณิชย์ชั้นเดียว จํานวน ๗ ห้อง
และให้ผอู้ น่ื เชา่ เพอ่ื ประกอบกิจการค้าและอยู่อาศัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
จังหวัดฉะเชงิ เทรา โดยมไิ ดเ้ ปน็ การกระทําข้ึนเพื่อการเกษตรกรรมของเกษตรกรหรือสถาบันเกษตรกร
แต่ได้กระทําไปเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของผู้ฟ้องคดีเอง การดําเนินการดังกล่าวของผู้ฟ้องคดีจึงเป็น
การดําเนินการท่ีไม่ถูกต้องตามสัญญาเช่าและข้อ ๗ (๑) (๕) ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปที่ดิน
เพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับท่ีดินจากการปฏิรูปท่ีดิน
เพื่อเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ เมื่อปฏิรูปท่ีดินจังหวัดได้มี
หนังสือเตือนไปยังผู้ฟ้องคดีให้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อ ๘ ของระเบียบเดียวกัน ผู้ฟ้องคดีก็มิได้ปฏิบัติ
ให้ถูกต้องตามระเบียบดังกล่าว คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดจึงมีอํานาจส่ังให้ผู้ฟ้องคดีสิ้นสิทธิ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวได้ตามข้อ ๑๑ (๔) ของระเบียบดังกล่าว การดําเนินการ
ของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดจึงเป็นการกระทําท่ีถูกต้องและเหมาะสมแล้ว การที่คณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมได้พิจารณาอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดีแล้วยืนยันว่าผู้ฟ้องคดีเป็นผู้ส้ินสิทธิ
การเข้าทําประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวและมีมติยกอุทธรณ์จึงเป็นการกระทําที่ถูกต้อง
และเหมาะสมแล้วเชน่ กัน๓๐
๒๙ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๑๑๐/๒๕๔๗
๓๐ คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๒๑๕/๒๕๔๘
รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๙๕
การท่ีผู้ได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินนําท่ีดิน
ท่ีได้รับไปให้ผู้อ่ืนรวมทั้งญาติเข้าอยู่อาศัยในที่ดินแปลงพิพาท โดยนําท่ีดินบางส่วนไปแบ่งขาย
ให้กับบุคคลอ่ืน และได้จัดสร้างโรงเรือนเปิดเป็นตลาดนัด เป็นการฝ่าฝืนข้อ ๗ (๑) ของระเบียบ
คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับ
ท่ีดินจากการปฏิรูปที่ดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕
และเม่ือบุคคลดังกล่าวไม่ปฏิบัติตามหนังสือเตือนของปฏิรูปท่ีดินจังหวัดโดยไม่มีเหตุอันสมควร
กรณีย่อมเป็นเหตุให้คณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดมีอํานาจสั่งให้บุคคลดังกล่าวส้ินสิทธิ
การเข้าทาํ ประโยชนใ์ นท่ดี นิ แปลงดังกล่าวได้
คดีน้ีผู้ฟ้องคดีได้รับอนุญาตให้เข้าทําประโยชน์ในเขตปฏิรูปท่ีดิน ซึ่งผู้ฟ้องคดี
ได้ใหผ้ ู้อื่นรวมท้ังญาติเข้าอยู่อาศัยในท่ีดินแปลงพิพาท โดยนําที่ดินบางส่วนไปแบ่งขายให้กับบุคคลอ่ืน
และได้จัดสร้างโรงเรือนเปิดเป็นตลาดนัด จนมีลักษณะเป็นย่านชุมชนอย่างหนาแน่น สํานักงาน
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดจึงมีหนังสือแจ้งเตือนไปยังผู้ฟ้องคดี แต่ผู้ฟ้องคดีไม่ปฏิบัติตาม
หนังสือแจ้งเตือน ประกอบกับผู้ฟ้องคดีได้เคยให้ถ้อยคําต่อสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดว่า
ผู้ฟ้องคดีขอเสนอให้สํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดกันพ้ืนท่ีชุมชนดังกล่าวกลับคืนเป็นเขตชุมชน
ในเขตปฏิรูปท่ีดินและผู้ฟ้องคดีจะไม่ยุ่งเก่ียวหรือหาประโยชน์กับชุมชนที่เกิดข้ึน แต่หากคณะกรรมการ
ปฏิรูปที่ดินจังหวัดมีมติไม่อนุญาตให้กันพื้นท่ีชุมชนดังกล่าว ผู้ฟ้องคดีก็จะยินยอมปฏิบัติตามระเบียบ
โดยผู้ฟ้องคดีและบริวารยินยอมออกจากท่ีดินแปลงนี้โดยไม่มีเง่ือนไขใด ๆ ท้ังส้ิน การท่ีในเวลาต่อมา
คณะกรรมการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ฟ้องคดีไม่ปฏิบัติตามข้อ ๗ (๑) และข้อ ๘
ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ผู้ได้รับทดี่ นิ จากการปฏริ ูปท่ีดนิ เพื่อเกษตรกรรมปฏิบตั ิเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕
จึงมีมติให้ผู้ฟ้องคดีสิ้นสิทธิการทําประโยชน์ในท่ีดินแปลงพิพาทตามข้อ ๑๑ วรรคหน่ึง (๔)
ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกร
ผไู้ ด้รับที่ดินจากการปฏริ ปู ที่ดินเพ่อื เกษตรกรรมปฏบิ ัตเิ กยี่ วกบั การเข้าทาํ ประโยชนใ์ นที่ดนิ (ฉบบั ที่ ๒)
พ.ศ. ๒๕๔๐ ยอ่ มเป็นการกระทาํ ทช่ี อบด้วยกฎหมาย๓๑
ในกรณีที่ผู้ได้รับสิทธิให้เข้าทําประโยชน์ในที่ดินในเขตปฏิรูปที่ดินได้ให้
บุคคลอ่ืนเข้าทําประโยชน์ในที่ดินแปลงดังกล่าวบางส่วน และภายหลังจากได้รับหนังสือแจ้งเตือน
จากปฏิรูปท่ีดินจังหวัด บุคคลดังกล่าวได้แจ้งต่อเจ้าหน้าที่ของสํานักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดว่า
อยู่ระหว่างดําเนินการขับไล่บุคคลอื่นนั้นออกจากที่ดินแปลงพิพาท กรณีถือได้ว่าบุคคลดังกล่าว
ได้แจ้งหรือขอผ่อนผันต่อเจ้าหน้าท่ีของสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดตามข้อ ๒ วรรคหน่ึง (๔)
ของสัญญาเช่า และข้อ ๘ วรรคหนึ่ง ของระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม
ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรม
๓๑ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๔๐๘/๒๕๕๓
๙๖ รวมเรื่องเด่นประเด็นเดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ปฏิบัติเกี่ยวกับการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้ว จึงไม่อาจถือได้ว่าบุคคลดังกล่าว
ละเลยหรือเพิกเฉยโดยไมม่ ีเหตอุ ันสมควรภายหลังได้รบั หนงั สือเตอื น
แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ผู้ฟ้องคดีซ่ึงเป็นผู้ได้รับอนุญาตให้เช่าทําประโยชน์
ในท่ีดนิ ในเขตปฏิรูปทดี่ นิ ได้ให้บุคคลอนื่ เขา้ ทาํ ประโยชน์ในท่ีดินบางส่วนที่เช่าจากสํานักงานการปฏิรูป
ท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม อันเป็นการขัดต่อระเบียบคณะกรรมการปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วย
การให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูปท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเกี่ยวกับ
การเขา้ ทําประโยชน์ในที่ดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ จรงิ แต่เมอื่ ปรากฏวา่ ภายหลังจากท่ีสํานักงานการปฏิรูปที่ดิน
จังหวัดได้มีหนังสือแจ้งเตือนให้ผู้ฟ้องคดีปฏิบัติตามระเบียบแล้ว ผู้ฟ้องคดีได้แจ้งกับเจ้าหน้าท่ี
ของสํานักงานการปฏิรูปท่ีดินจังหวัดว่า ผู้ฟ้องคดีอยู่ระหว่างดําเนินการขับไล่บุคคลอื่นออกจากท่ีดิน
แปลงพิพาท กรณีเช่นนี้ถือได้ว่า ผู้ฟ้องคดีได้แจ้งหรือขอผ่อนผันต่อเจ้าหน้าที่ของสํานักงานการปฏิรูป
ท่ดี นิ จงั หวัดตามขอ้ ๒ วรรคหน่ึง (๔) ของสัญญาเช่า และข้อ ๘ วรรคหนง่ึ ของระเบยี บคณะกรรมการ
ปฏิรูปท่ีดินเพื่อเกษตรกรรม ว่าด้วยการให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรผู้ได้รับที่ดินจากการปฏิรูป
ท่ีดินเพ่ือเกษตรกรรมปฏิบัติเก่ียวกับการเข้าทําประโยชน์ในท่ีดิน พ.ศ. ๒๕๓๕ แล้ว พฤติการณ์
ดังกล่าวถือไม่ได้ว่าเมื่อเจ้าหน้าท่ีได้ตักเตือนตามระเบียบแล้ว ผู้ฟ้องคดียังคงละเลยหรือเพิกเฉย
โดยไมม่ ีเหตอุ นั สมควร ประกอบกับคณะกรรมการปฏริ ปู ทด่ี ินจังหวัดไดร้ บั ทราบข้อเท็จจริงดังกล่าวแล้ว
แต่ยังคงมีมติให้ผู้ฟ้องคดีส้ินสิทธิการทําประโยชน์ในท่ีดินพิพาทโดยมิได้พิจารณาข้อเท็จจริงข้างต้น
ประกอบด้วย จึงย่อมเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบตามนัยข้อ ๘ วรรคหน่ึง ของระเบียบดังกล่าว
มติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดนิ จังหวัดที่ให้ผ้ฟู อ้ งคดีส้ินสิทธิการทําประโยชน์ในท่ีดิน ส.ป.ก. จึงไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย และมติของคณะกรรมการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรมที่ยกอุทธรณ์ของผู้ฟ้องคดี
โดยอาศยั เหตเุ ดียวกันจึงไม่ชอบดว้ ยกฎหมายเชน่ กัน๓๒
๓๒ คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๔๔๗/๒๕๕๐
รวมเรื่องเด่นประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๙๗
คดพี พิ าทเกยี่ วกับการกระทาํ ละเมดิ
เรื่องท่ี ๗ ปัญหาการพิจารณาคดีพิพาทเก่ียวกับการฟ้องขอให้เพิกถอนคําส่ังที่ให้ชดใช้
ค่าสินไหมทดแทน แล้วต่อมาหน่วยงานของรัฐต้นสังกัดมีคําสั่งตามความเห็น
ของกระทรวงการคลังในระหวา่ งการพิจารณาคดี : ศกึ ษาเพิม่ เตมิ ๑
บทนาํ
ศาลปกครองสูงสุดได้มีมติท่ีประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ ๒๒/๒๕๔๖
ลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๔๖ เร่ือง ปัญหาเก่ียวกับการอุทธรณ์คําสั่งให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
แก่หน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ สรุปได้ว่า
เมื่อคําส่ังให้เจ้าหน้าท่ีชดใช้เงินตามมาตรา ๑๒๒ แห่งพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าท่ีฯ เป็นคําส่ังทางปกครอง “หากเจ้าหน้าที่ของรัฐเห็นว่าเป็นคําส่ังทางปกครองท่ีไม่ชอบ
ด้วยกฎหมาย จะต้องอุทธรณ์ต่อผู้ทําคําส่ังนั้นภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ตนได้รับแจ้งคําสั่งดังกล่าว๓
เพราะคําสั่งดังกล่าวเป็นคําสั่งทางปกครองที่ไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีและไม่มีกฎหมายกําหนดข้ันตอน
อุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ตามนัยมาตรา ๔๔๔ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ไชยรัตน์ แขวงโสภา ผู้เรียบเรียง / วิริยะ วัฒนสุชาติ ผู้ตรวจ โดยเผยแพร่ในประเด็นเด็ด เกร็ดคดี ๒๕๖๒
ประจําวนั ที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๒
๑ เผยแพร่ในอินทราเน็ตของสํานักวิจัยและวิชาการ [online], available from: http://intranet2.
admincourt.go.th/02-office/office44/Deciston/6decisions/2558/เมษายน/10-4-58.pdf
๒ พระราชบญั ญตั ิความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา้ หน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๑๒ ในกรณีที่เจ้าหน้าที่ต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนท่ีหน่วยงานของรัฐได้ใช้ให้แก่ผู้เสียหาย
ตามมาตรา ๘ หรอื ในกรณที ่เี จ้าหน้าท่ีตอ้ งใชค้ า่ สินไหมทดแทนเนอ่ื งจากเจ้าหนา้ ท่ีผู้นน้ั ไดก้ ระทําละเมิดต่อหน่วยงาน
ของรฐั ตามมาตรา ๑๐ ประกอบกบั มาตรา ๘ ให้หน่วยงานของรฐั ท่ีเสียหายมีอํานาจออกคําสั่งเรียกให้เจ้าหน้าท่ีผู้น้ัน
ชําระเงินดงั กล่าวภายในเวลาทก่ี ําหนด
๓ มติที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุด ครั้งที่ ๒๒/๒๕๔๖ ลงวันท่ี ๒๔ กันยายน ๒๕๔๖
แตกต่างไปจากความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกา (คณะพิเศษ) เร่ืองเสร็จท่ี ๒๘๙/๒๕๔๕ ที่เห็นว่า “ในเรื่องนี้
ได้มีการกําหนดข้ันตอนการอุทธรณ์หรือโต้แย้งไว้แล้วตามข้อ ๑๗ และข้อ ๑๘ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ท่ีให้มีการส่งสํานวน
ให้กระทรวงการคลังเพ่ือตรวจสอบและให้มีคําส่ังตามความเห็นของกระทรวงการคลังหรือตามที่เห็นว่าถูกต้อง
แล้วแต่กรณี ดังนั้น จึงไม่อาจนําเรื่องการอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองฯ
มาใชบ้ ังคบั ได”้
๔ พระราชบญั ญัติวิธีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
มาตรา ๔๔ ภายใต้บังคับมาตรา ๔๘ ในกรณีที่คําส่ังทางปกครองใดไม่ได้ออกโดยรัฐมนตรีและไม่มี
กฎหมายกําหนดขั้นตอนอุทธรณ์ภายในฝ่ายปกครองไว้เป็นการเฉพาะ ให้คู่กรณีอุทธรณ์คําส่ังทางปกครองน้ัน
โดยยื่นต่อเจา้ หน้าท่ผี ทู้ ําคําสั่งทางปกครองภายในสิบห้าวันนบั แตว่ ันทีต่ นได้รบั แจง้ คําสง่ั ดังกล่าว
๙๘ รวมเร่อื งเดน่ ประเดน็ เดด็ เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ...” โดยศาลปกครองสูงสุดได้มีคําวินิจฉัยยืนยันแนวทางตามมติดังกล่าว
ในคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๔๗/๒๕๔๖ และคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๕๖๕/๒๕๔๖
ดว้ ยเหตุนี้ เจา้ หน้าท่ีทไี่ ด้รบั คําส่งั หากประสงคจ์ ะฟอ้ งคดีโตแ้ ยง้ คาํ ส่งั ดงั กล่าวจะต้องอุทธรณ์คําส่ังน้ันก่อน
จึงจะนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังให้ชดใช้
คา่ สินไหมทดแทนนน้ั
ปัญหาท่ีน่าสนใจ คือ กรณีที่ผู้มีอํานาจแต่งต้ังมีคําสั่งตามท่ีเห็นสมควรและแจ้งให้
ผู้ท่ีเก่ียวข้องทราบไปก่อนโดยไม่รอผลการตรวจสอบจากกระทรวงการคลัง เน่ืองจากกระทรวงการคลัง
ไม่พิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนอายุความสองปีส้ินสุดไม่น้อยกว่าหกเดือน ทั้งน้ี ตามข้อ ๑๗ วรรคห้า๕
ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของ
เจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งคําสั่งดังกล่าวก็ถือเป็นคําส่ังให้ชดใช้เงินตามมาตรา ๑๒ แห่งพระราชบัญญัติ
ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และถือเป็นคําสั่งทางปกครองตามท่ีท่ีประชุมใหญ่
ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดได้มีมติไว้เช่นเดียวกัน ผู้ถูกบังคับตามคําสั่งจึงต้องอุทธรณ์คําส่ังดังกล่าว
เม่ือไม่พอใจในผลของคําวินิจฉัยอุทธรณ์ ก็สามารถนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อขอให้ศาล
มีคาํ พิพากษาหรอื คาํ สงั่ ใหเ้ พิกถอนคาํ สัง่ ท่ีให้ชดใชค้ ่าสินไหมทดแทนนั้นได้ ปัญหามีว่า หากในระหว่าง
การพจิ ารณาคดขี องศาลปกครอง ปรากฏข้อเทจ็ จริงว่ากระทรวงการคลงั ไดแ้ จง้ ความเห็นให้หน่วยงาน
คําอทุ ธรณ์ตอ้ งทําเป็นหนงั สือโดยระบุขอ้ โตแ้ ย้งและขอ้ เทจ็ จรงิ หรือขอ้ กฎหมายทอ่ี ้างอิงประกอบด้วย
การอุทธรณ์ไม่เป็นเหตุให้ทุเลาการบังคับตามคําสั่งทางปกครอง เว้นแต่จะมีการสั่งให้ทุเลาการบังคับ
ตามมาตรา ๕๖ วรรคหน่งึ
๕ ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี
พ.ศ. ๒๕๓๙
ข้อ ๑๗ เมื่อผู้แต่งต้ังได้รับผลการพิจารณาของคณะกรรมการแล้ว ให้วินิจฉัยสั่งการว่ามีผู้รับผิดชดใช้
ค่าสนิ ไหมทดแทนหรือไม่ และเปน็ จาํ นวนเท่าใด แต่ยังมิตอ้ งแจง้ การสง่ั การใหผ้ ู้ที่เกีย่ วขอ้ งทราบ
ให้ผู้แต่งตั้งส่งสํานวนภายในเจ็ดวันนับแต่วันวินิจฉัยส่ังการให้กระทรวงการคลังเพ่ือตรวจสอบ เว้นแต่
เป็นเรอื่ งท่กี ระทรวงการคลงั ประกาศกาํ หนดวา่ ไมต่ อ้ งรายงานใหก้ ระทรวงการคลงั ตรวจสอบ
ให้กระทรวงการคลังพิจารณาโดยไม่ชักช้า และให้มีอํานาจตรวจสอบพยานหลักฐานที่เก่ียวข้อง ในกรณีท่ี
เห็นสมควรจะใหบ้ คุ คลใดส่งพยานหลกั ฐานหรือมาใหถ้ อ้ ยคําเพื่อประกอบการพิจารณาเพม่ิ เติมอีกก็ได้
ในระหว่างการพิจารณาของกระทรวงการคลัง ให้ผู้แต่งตั้งส่ังการให้ตระเตรียมเรื่องให้พร้อมสําหรับ
การออกคําส่ังให้เจ้าหน้าท่ีชําระค่าสินไหมทดแทนหรือดําเนินการฟ้องคดีเพื่อมิให้ขาดอายุความสองปีนับจากวันท่ี
ผ้แู ต่งต้ังวินิจฉัยสงั่ การ
ให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนอายุความสองปีสิ้นสุดไม่น้อยกว่าหกเดือน ถ้ากระทรวง
การคลังไม่แจ้งผลการตรวจสอบให้ทราบภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้ผู้แต่งตั้งมีคําสั่งตามท่ีเห็นสมควรและแจ้ง
ให้ผู้ท่ีเก่ียวข้องทราบ เว้นแต่ในกรณีหน่วยงานของรัฐนั้นเป็นราชการส่วนท้องถ่ิน รัฐวิสาหกิจที่จัดต้ังขึ้น
โดยพระราชบัญญัติหรือพระราชกฤษฎีกา หรือหน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดทางละเมิด
ของเจ้าหน้าที่ ให้กระทรวงการคลังพิจารณาให้แล้วเสร็จก่อนอายุความสองปีส้ินสุดไม่น้อยกว่าหน่ึงปี
ถ้ากระทรวงการคลังไม่แจ้งผลการตรวจสอบให้ทราบภายในกําหนดเวลาดังกล่าว ให้ผู้แต่งต้ังมีคําสั่งตามท่ี
เหน็ สมควรและแจง้ ให้ผทู้ ีเ่ กีย่ วขอ้ งทราบ
รวมเร่อื งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒) ๙๙
ของรัฐต้นสังกัดทราบ และผู้มีอํานาจวินิจฉัยส่ังการก็ได้มีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ท้ังนี้ ตามข้อ ๑๘๖ ของระเบียบเดียวกัน ซ่ึงอาจมีการแก้ไขเพ่ิมเติมคําส่ังเดิมทั้งในส่วนของตัวบุคคล
ท่ีต้องรับผิด และในส่วนของจํานวนเงินท่ีต้องชําระ หรืออย่างใดอย่างหน่ึงแล้วแต่กรณี กรณีเช่นน้ี
ศาลปกครองจะมแี นวทางในการพิจารณาคดีต่อไปอย่างไร ในที่นี้ผู้เขียนขอยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดข้ึน
ในคดีที่เทศบาลนครขอนแก่นมีคําส่ังให้นายสุรวัฒน์ วิภูษณะภัทร์ ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่
เทศบาล ดงั นี้
สรุปข้อเท็จจริงและคําวินิจฉัยในคดีระหว่างนายสุรวัฒน์ วิภูษณะภัทร์
กับเทศบาลนครขอนแก่น
คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏว่า เม่ือคร้ังท่ีนายสุรวัฒน์ วิภูษณะภัทร์ ดํารงตําแหน่ง
ปลัดเทศบาลเมืองขอนแก่น ซ่ึงมีหน้าที่บังคับบัญชากํากับดูแลงานรวมถึงผู้ใต้บังคับบัญชา ควบคุม
และรบั ผดิ ชอบในการบริหารกจิ การกองคลงั ใหเ้ ปน็ ไปตามกฎหมาย ตามมาตรา ๔๒ แห่งพระราชบัญญัติ
เทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ และหมวด ๑ ข้อ ๖ ค และ ง ของระเบียบกระทรวงมหาดไทย ว่าด้วยวิธีปฏิบัติงาน
ของเทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ นายสุรวัฒน์ถูกกล่าวหาว่าบริหารกิจการเทศบาลด้วยความประมาทเลินเล่อ
อย่างร้ายแรงเปน็ เหตใุ ห้เทศบาลนครขอนแก่นได้รับความเสียหายจากการไม่ส่งมอบพ้ืนท่ีเช่าตลาดสด
ของเทศบาลให้แก่นายทรงเกียรติ ตรีรัตนถวัลย์ ผู้เช่า เพ่ือดําเนินการจัดหาประโยชน์ จนเป็นเหตุให้
ผู้เช่าฟ้องคดีต่อศาลจังหวัดขอนแก่นเรียกให้เทศบาลนครขอนแก่นชดใช้ค่าสินไหมทดแทน
และศาลฎกี าไดม้ ีคําพิพากษาให้เทศบาลนครขอนแกน่ รับผดิ ชดใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนแก่นายทรงเกียรติ
เป็นเงินจํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท เทศบาลนครขอนแก่นได้แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวน
ความรับผิดทางละเมิด ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนดังกล่าวได้สรุปสํานวนการสอบสวนและมีมติ
ให้นายสุรวัฒน์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่เทศบาลนครขอนแก่นได้ชดใช้ให้แก่นายทรงเกียรติเป็นเงิน
๖ ระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าท่ี
พ.ศ. ๒๕๓๙
ข้อ ๑๘ เม่ือกระทรวงการคลังพิจารณาเสร็จแล้ว ให้ผู้แต่งต้ังมีคําสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
และแจ้งคําส่ังน้ันให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ รวมทั้งราชการส่วนท้องถ่ิน รัฐวิสาหกิจท่ีจัดตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติ
หรือพระราชกฤษฎีกา หรอื หน่วยงานอื่นของรัฐตามกฎหมายวา่ ด้วยความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ ให้ผู้แต่งต้ัง
ของหนว่ ยงานของรฐั แหง่ นั้นส่งั การไปตามความเห็นของกระทรวงการคลงั
เมื่อหน่วยงานของรัฐที่เสียหายตามวรรคหน่ึงสั่งการตามความเห็นของกระทรวงการคลังแล้ว ให้ผู้แต่งต้ัง
ดาํ เนินการเพื่อออกคาํ ส่งั ให้ผ้ตู ้องรบั ผิดชําระคา่ สินไหมทดแทนหรือฟ้องคดีตอ่ ศาลอย่าให้ขาดอายุความ
ในกรณีท่ีปรากฏตามความเห็นของกระทรวงการคลังว่ามีผู้ใดต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพิ่มข้ึน
หรือต่างไปจากสํานวนท่ีผู้แต่งตั้งส่งให้ตรวจสอบ หากยังไม่เคยมีการสอบผู้นั้นในฐานะผู้ต้องรับผิดมาก่อน ให้ผู้แต่งตั้ง
สง่ เร่อื งใหค้ ณะกรรมการทําการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดผู้นั้นเพื่อประกอบการวินิจฉัยส่ังการ ถ้าผลของคําวินิจฉัย
ของผู้แต่งตั้งตรงกับความเห็นของกระทรวงการคลัง ให้ผู้แต่งตั้งสั่งการให้ผู้นั้นรับผิด แล้วรายงานกระทรวงการคลัง
เพือ่ ทราบ ถ้าผลของคําวินิจฉัยของผู้แต่งต้ังต่างไปจากความเห็นของกระทรวงการคลัง ให้ผู้แต่งต้ังรายงานกระทรวง
การคลงั พจิ ารณาใหค้ วามเหน็ อีกครั้งหน่ึง ทง้ั น้ี ใหน้ ําความในขอ้ ๑๗ วรรคส่ี และวรรคหา้ มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม
๑๐๐ รวมเรือ่ งเดน่ ประเด็นเด็ด เกร็ดคดี (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐ - พ.ศ. ๒๕๖๒)
จํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท ต่อมา เทศบาลนครขอนแก่นจึงได้นําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง
เพ่ือขอให้ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให้เจ้าหน้าที่ท่ีต้องรับผิดในกรณีดังกล่าวรวมท้ังนายสุรวัฒน์
รวมท้ังส้ินสิบสามคน ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท ให้แก่เทศบาลนคร
ขอนแก่น แต่ศาลปกครองขอนแก่นมีคําสั่งไม่รับคําฟ้องไว้พิจารณา โดยเห็นว่าเทศบาลนครขอนแก่น
มีอํานาจใช้มาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพย์สินของผู้ถูกฟ้องคดีท้ังสิบสามคน
และขายทอดตลาดเพ่ือชําระเงินให้ครบถ้วนได้ตามนัยมาตรา ๕๗ แห่งพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีจึงถือได้ว่าการแก้ไขหรือบรรเทาความเดือดร้อนหรือเสียหายของผู้ฟ้องคดี
ไม่จําต้องมีคําบังคับตามท่ีกําหนดในมาตรา ๗๒ แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลปกครองฯ ผู้ฟ้องคดี
จึงมิใช่ผู้มีสิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แห่งพระราชบัญญัติเดียวกัน
และศาลปกครองสูงสุดได้มคี าํ ส่ังยืนตามคําส่งั ของศาลปกครองช้นั ต้น๗
หลังจากน้ัน เทศบาลนครขอนแก่นจึงมีคําส่ังตามหนังสือ ที่ ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓
ลงวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ให้นายสุรวัฒน์ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่เทศบาลเป็นเงินจํานวน
๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท ภายในหกสิบวันนบั แตว่ ันท่ี ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๔๘ ซง่ึ เป็นวันทไี่ ด้รบั หนังสือ
บอกกล่าวแจง้ ใหไ้ ปชาํ ระหนี้ นายสรุ วฒั นจ์ ึงยื่นอทุ ธรณ์คําสั่งดังกล่าวต่อนายกเทศมนตรีนครขอนแก่น
ตามหนังสือ ลงวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๔๘ ต่อมา เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๔๘ นายสุรวัฒน์
ได้รับทราบผลการพิจารณาอุทธรณ์ของนายกเทศมนตรีนครขอนแก่นว่าไม่เห็นด้วยกับข้ออุทธรณ์
และได้สง่ เรอื่ งอุทธรณไ์ ปยงั ผวู้ ่าราชการจังหวัดขอนแก่น ผู้มีอํานาจพิจารณาอุทธรณ์ ต่อไป นายสุรวัฒน์
จึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครองขอให้ศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังของเทศบาลนครขอนแก่น
ท่ีให้นายสุรวัฒน์รับผิดเป็นเงินจํานวน ๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท ตามหนังสือสํานักงานเทศบาลนคร
ขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวนั ท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๔๘ เป็นคดหี มายเลขดาํ ท่ี ๔๓๕/๒๕๔๘
ในระหวา่ งการพิจารณาคดีของศาลปกครองขอนแก่น เทศบาลนครขอนแก่นได้มีคําสั่ง
ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ แก้ไขคําส่ัง ที่ ๕๒๐๖/๔๔๒๓ ลงวันท่ี ๒๕
กรกฎาคม ๒๕๔๘ ท่ีพิพาทในคดีดังกล่าว โดยแก้ไขจํานวนเงินที่สั่งให้นายสุรวัฒน์ชําระจาก
๓๓,๑๕๐,๙๙๖.๔๘ บาท เปน็ จํานวนเงิน ๔,๔๗๓,๓๔๘.๕๘ บาท ตามความเห็นของกระทรวงการคลงั
นายสุรวัฒน์ได้อุทธรณ์คําส่ังดังกล่าวในวันท่ี ๖ กรกฎาคม ๒๕๕๐ ซ่ึงผู้มีอํานาจวินิจฉัยอุทธรณ์
ก็ได้วินิจฉัยยกอุทธรณ์ในวันท่ี ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๐ นายสุรวัฒน์จึงนําคดีมาฟ้องต่อศาลปกครอง
ขอนแกน่ ขอใหเ้ พิกถอนคําส่งั ของเทศบาลนครขอนแก่น ที่ ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน
๒๕๕๐ ดังกล่าว เป็นคดีหมายเลขดําที่ ๕๙๖/๒๕๕๐ อีกคดีหนึ่ง รวมท้ังมีคําขอให้ศาลมีคําส่ังทุเลา
การบังคับตามคําสั่งพิพาทของผู้ถูกฟ้องคดี ซ่ึงศาลปกครองชั้นต้นมีคําสั่งทุเลาการบังคับตามคําสั่ง
ของผู้ถูกฟ้องคดีตามหนังสือ ท่ี ขก ๕๒๐๖/๓๘๖๘ ลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๐ ไว้เป็นการช่ัวคราว
๗ คําสัง่ ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๗๖๗/๒๕๔๗