The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

สานฝัน 60 ปี อาจารย์แหวว ผู้สานฝันคนไร้สัญชาติ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by aram.du, 2021-12-09 08:46:05

สานฝัน 60 ปี อาจารย์แหวว ผู้สานฝันคนไร้สัญชาติ

สานฝัน 60 ปี อาจารย์แหวว ผู้สานฝันคนไร้สัญชาติ

บทความวชิ าการ  351

4. บทสรปุ

เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ข้อตกลงเลือกศาลได้กลายเป็นข้อตกลง
มาตรฐานทป่ี รากฏอยใู่ นขอ้ ตกลงการใชง้ านแอปพลเิ คชนั จ�ำ นวนมาก โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งแอปพลิเคชันที่ให้บริการข้ามประเทศหรือทั่วโลก แต่ข้อตกลงเลือก
ศาลเช่นน้ีได้กลายช่องทางให้ฝ่ายผู้ให้บริการสามารถปฏิเสธเขตอำ�นาจศาล
ของบางประเทศ ทำ�ให้ฝ่ายผู้ใช้บริการต้องรับภาระมากมายในการเดินทาง
ไปต่อสู้คดีในต่างแดน ประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยด้วย จึงสร้าง
หลักกฎหมายเพ่ือคุ้มครองฝ่ายผู้ใช้บริการในฐานะคู่สัญญาที่มีอำ�นาจต่อรอง
น้อยกว่า แต่ส่วนใหญ่แล้วก็อยู่ในรูปแบบของกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคท่ัวไป
ไม่ได้มีกฎหมายเฉพาะสำ�หรับคุ้มครองผู้ใช้บริการแอปพลิเคชัน ทำ�ให้ศาล
กลายเป็นผู้มีบทบาทสำ�คัญในการสร้างความยุติธรรมระหว่างคู่สัญญาใน
ข้อตกลงการใช้บริการแอปพลิเคชัน ดังน้ันศาลจึงต้องตระหนักและรู้เท่าทัน
ปัญหาท่ีเกิดขึ้นจากการใช้เทคโนโลยี ทั้งความจำ�เป็นในการกำ�หนดข้อตกลง
เลือกศาลของฝ่ายผู้ให้บริการ และความไม่เป็นธรรมท่ีเกิดข้ึนกับฝ่ายผู้ใช้
บริการ เพื่อจะบังคับใช้ข้อตกลงเลือกศาลซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของข้อตกลงการใช้
แอปพลิเคชันอย่างสมดุล เป็นธรรม และสอดคล้องกับสภาพสังคมในยุค
ดจิ ิทัล

ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์

352  60 ปี รศ.ดร.พันธ์ทุ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์

บทความวิชาการ  353

บทความวิชาการ

ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์ เรือ่ งอื่นๆ

354  60 ปี รศ.ดร.พันธ์ทุ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

ดาวน์โหลดจากระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจันทร์

บทความวิชาการ  355

Samuel Pufendorf (1632- 1694)



บุญศรี มีวงศอ์ โุ ฆษ1

บทนำ�

คำ�สอนว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติของ Pufendorf ได้รับการแปลเป็น
ภาษาต่าง ๆ ทั้งอังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย และมีอิทธิพลอย่างกว้างขวาง
ท้ังในประเทศและต่างประเทศ สำ�หรับกรณีในต่างประเทศนั้น งานเขียนของ
ท่านมีอิทธิพลของต่อแนวความคิดท้ังของ Locke และ Rousseau รวมท้ังมี
อิทธพิ ลต่อแนวความคิดทางด้านสทิ ธมิ นษุ ยชนในสหรฐั อเมรกิ า

แม้ว่าแนวความคิดเกี่ยวกับความเป็นนิรันดร์ของกฎหมายธรรมชาติ
ตามแนวความคิดของท่านแทบจะถูกลืมหรือถูกบดบัง จากคำ�สอนของ
Immanuel Kant และคำ�สอนของสำ�นักประวัติศาสตร์ ภายใต้การนำ�ของ
Savigny แต่เป็นที่น่าสงั เกตว่า ในช่วงหลงั สงครามโลกครัง้ ทสี่ องแนวความคดิ
ของสำ�นักกฎหมายธรรมชาติก็ได้กลับมาเฟื่องฟูอีกครั้ง ซึ่งเท่ากับเป็นเคร่ือง
สะทอ้ นความเปน็ นิรนั ดรข์ องแนวความคิดสำ�นักนี้ไดเ้ ป็นอย่างดี

นอกจากงานเขียนด้านกฎหมายธรรมชาติแลว้ ผลงานของ Pufendorf
ในด้านการบันทึกประวัติของผู้ครองแคว้นก็นับได้ว่าเป็นการเปิดศักราชใหม่
ของการบันทึกประวัติศาสตร์ เนื่องจากมีการนำ�เอาวิธีการนำ�เสนอแบบใหม่

ดาว น์โหลดจ1า กศราะสบตบราTจUาDรยC์ปโรดะยจำ�นาคยณอะรนา่ มิติศดาวสงตจรัน์ ทมหร์าวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์

356  60 ปี รศ.ดร.พนั ธ์ทุ ิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

สำ�หรบั การบนั ทกึ ทางประวัติศาสตรม์ าใชใ้ นเยอรมนีเป็นครงั้ แรก
ในโอกาสท่ี รองศาสตราจารย์ ดร. พันธทุ์ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสนุ ทร

มีอายุครบ 60 ปี ศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศ คณะนิตศิ าสตร์ มหาวิทยาลยั
ธรรมศาสตร์ จึงมีโครงการจัดพิมพ์หนังสือรวมบทความทางวิชาการเพื่อเป็น
ท่รี ะลึกในโอกาสดงั กลา่ วนี้

เน่ืองจากรองศาสตราจารย์ ดร. พันธ์ุทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร
เป็นผู้ทม่ี ีผลงานเปน็ ท่ีประจกั ษ์เกยี่ วกับสทิ ธขิ องชนกล่มุ นอ้ ย ผู้เขยี นในฐานะที่
ได้รู้จักและร่วมงานกับ ดร. พันธุ์ทิพย์ มาอย่างยาวนาน จึงขอใช้โอกาสนี้ใน
การนำ�เสนอบทความเกย่ี วกับชวี ติ และผลงานของ Samuel Pufendorf เพื่อ
เปน็ การร่วมแสดงมทุ ิตาจติ ในครง้ั นีด้ ว้ ย

1. ชวี ติ และผลงาน

Samuel Pufendorf เกิดเมื่อวันที่ 8 มกราคม ปี ค.ศ. 1632 ที่
Dorfchemnitz (Grafschaft Meiβen) เป็นบุตรของนกั เทศน์ประจำ�หมู่บา้ น
ช่วงปี ค.ศ. 1645- 1650 ท่านไดร้ บั ทุนการศกึ ษาประเภทเรียนดีจากโรงเรยี น
Fürstenschule Grimma และในปี ค.ศ. 1650 ทา่ นเขา้ ศกึ ษาในคณะเทววทิ ยา
ทม่ี หาวทิ ยาลยั แห่งเมือง Leipzig แต่ในการศึกษาทค่ี ณะดังกลา่ ว ท่านไม่เหน็
ด้วยกับแนวทางการยึดมั่นต่อหลักการต่าง ๆ ด้วยเหตุน้ี ท่านจึงได้ย้ายคณะ
หันมาศกึ ษากฎหมายในสถาบันเดียวกนั

ในปี ค.ศ. 1656 ท่านย้ายไปลงทะเบียนเรียนที่คณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยแห่งเมือง Jena จนจบการศึกษาในปี ค.ศ. 1658 และที่
มหาวิทยาลัยแห่งเมือง Jena น้ีเองท่ที ำ�ให้ท่านไดม้ ีโอกาสศึกษางานเขียนของ
ดาวHน์โuหgลoดจGากrรoะtบiuบsTUแDลCะ โTดยhoนmายอaรs่ามHดoวbงbจนั eทsร์

บทความวิชาการ  357

เมอื่ จบการศกึ ษาแลว้ พชี่ ายของทา่ นไดแ้ นะนำ�งานการเปน็ ครปู ระจ�ำ
บา้ นสอนบตุ รของฑตู สวเี ดนประจ�ำ กรงุ โคเปนเฮเกน ตอ่ มาเกดิ สงครามระหวา่ ง
เดนมารก์ กบั สวเี ดนในปคี .ศ. 1660 เปน็ เหตใุ หท้ า่ นถกู ควบคมุ ตวั เปน็ ระยะเวลา
ประมาณ 8 เดอื น ในระหวา่ งนัน้ ทา่ นไดส้ รา้ งผลงานชื่อว่า “Elementorium
iurisprudentiae universalis libri duo” ซ่ึงเป็นผลงานเก่ียวกับพ้ืนฐาน
ความรู้ทั่วไปทางนิติศาสตร์ การเขียนผลงานชิ้นน้ี ท่านเขียนเพ่ือเป็นเกียรติ
แก่ Kurfürst Karl Ludwig von der Pfalz ซง่ึ เปน็ เจา้ ผคู้ รองแควน้ Palatinate
ในอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชาติเยอรมัน เจ้าผู้ครองแคว้นดังกล่าว
จึงเชิญท่านไปดำ�รงตำ�แหน่งเป็นศาสตราจารย์ประจำ�ท่ีคณะนิติศาสตร์
มหาวิทยาลัยแห่งเมือง Heidelberg แต่แทนที่ท่านจะเข้าไปดำ�รงตำ�แหน่ง
ท่ีมีอยู่เดิม ท่านกลับขอให้มีการจัดตั้งตำ�แหน่งใหม่ข้ึนมาเพื่อท่ีจะจัดการเรียน
การสอนทางดา้ นกฎหมายธรรมชาตแิ ละการเมือง เป็นการเฉพาะเจาะจง และ
ผลปรากฏวา่ ทา่ นก็ได้รบั ในส่งิ ที่ท่านปรารถนา

ในปี ค.ศ. 1668 ท่านได้รับคำ�เชิญจากกษัตริย์แห่งสวีเดนให้ไปสอนท่ี
มหาวทิ ยาลยั แหง่ เมอื ง Lund ในต�ำ แหนง่ ศาสตราจารยท์ ส่ี อนทางดา้ นกฎหมาย
ธรรมชาตแิ ละกฎหมายระหวา่ งประเทศ สาเหตทุ ท่ี า่ นยา้ ยมหาวทิ ยาลยั นน้ั สว่ น
หน่ึงอาจมาจากอุปนิสัยของท่านท่ีชอบเหน็บแนมให้เกิดความขบขัน ซ่ึงทำ�ให้
เกดิ ความไม่พอในหมู่เพื่อนรว่ มงานทีเ่ ปน็ ศาสตราจารย์ด้วยกนั 2

ในปี ค.ศ. 1676 ชว่ งกอ่ นที่กองทพั เดนมารก์ จะบุกสวเี ดน ทา่ นจ�ำ เป็น
ต้องหนีออกมาจากเมือง Lund ในปีถัดมา ท่านได้ดำ�รงตำ�แหน่งเป็นผู้บันทึก
ปูมประวัติศาสตรป์ ระจำ�ราชสำ�นกั ท่กี รงุ Stockholm แตใ่ นชว่ งการใชช้ วี ติ ท่ี

ดาว Kนaโ์ หrlลsrดuจh2า eกG/รH.ะeบKildบeeiTnlbUheeDryCge1rโด9uย7.6นJ,.าSยS.อc2รh1่าr4öม.dดeวrง,จDนั eทuรt์sche Juristen aus fünf Jahrhunderten,

358  60 ปี รศ.ดร.พนั ธุ์ทพิ ย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

สวีเดนน้ี ท่านมีความรสู้ กึ ทยี่ ่งิ กวา่ เปน็ คนแปลกหนา้ ในสังคมของท่ีน่นั ทา่ นจึง
มคี วามพยายามท่ีจะหาท่ที ำ�งานใหม่มาโดยตลอด จนมาประสบความสำ�เร็จใน
ปี ค.ศ. 1688 เมื่อท่านไดร้ บั แตง่ ตง้ั เป็นผู้บันทึกปมู ประวตั ิศาสตร์และที่ปรึกษา
แห่งราชสำ�นักท่ีกรงุ เบอรล์ ิน

ในปี ค.ศ. 1694 ท่านไดร้ บั การแตง่ ต้ังจากพระเจา้ Karl XI กษตั รยิ แ์ หง่
สวเี ดน ให้ดำ�รงตำ�แหนง่ เปน็ ขุนนางระดับ Freiherr และเมื่อวนั ท่ี 16 ตุลาคม
ปเี ดียวกัน ทา่ นไดถ้ งึ แก่อนจิ กรรม ทีก่ รุงเบอรล์ นิ ดว้ ยวัยเพยี ง 62 ปี

2. แนวความคดิ เกยี่ วกับกฎหมายธรรมชาติ

วิธีการเข้าสู่ความรู้ตามแนวความคิดว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติของ
Pufendorf นั้น ในเบื้องต้น ท่านใช้ความเชื่อมโยงระหว่างหลักการพ้ืนฐาน
ต่าง ๆ ทไ่ี ด้มาจากคำ�นิยามของความเปน็ มนษุ ย์ กับประเภทตา่ ง ๆ ของปรัชญา
ทางจริยศาสตรท์ มี่ ีอย่แู ลว้ เพ่ือนำ�มาใชส้ ำ�หรับการตรวจสอบและวางกฎเกณฑ์
ความสัมพันธ์ในทางสังคม ส่วนผลงานในช่วงหลังท่านอาศัยข้อมูลพ้ืนฐานมา
จากการวเิ คราะหค์ วามเปน็ จริงเชิงประวตั ิศาสตร์มากยงิ่ ข้ึน3

อาจกลา่ วไดว้ า่ แนวความคดิ วา่ ดว้ ยกฎหมายธรรมชาตขิ อง Pufendorf
ต่างจากแนวความคดิ ของ Hobbes และ Grotius กล่าวคอื ทา่ นพจิ ารณาจาก
ปจั จยั ความจ�ำ เปน็ ของมนษุ ย์ (imbecillitas) ในฐานะทเี่ ปน็ สถานการณพ์ นื้ ฐาน
ปจั จัยสำ�คัญอกี ประการหนึง่ ซ่งึ เป็นอิสระจากความจ�ำ เปน็ แตม่ คี วามเช่ือมโยง
กันอย่างใกล้ชิดก็คือ การที่ต้องอยู่ร่วมกับผู้อื่น (socialitas) ปัจจัยสุดท้ายคือ
ความเป็นตัวตน ซ่งึ แสดงออกในรปู ของการมีเจตจำ�นงเสรี ซ่งึ สง่ ผลให้สามารถ

ดาว น์โหลดจ3า กAรaะOบ.บ, ST.U2D1C5.โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์

บทความวชิ าการ  359

ประเมนิ คณุ คา่ ทางศลี ธรรมของสงิ่ ตา่ ง ๆ ทมี่ อี ยตู่ ามธรรมชาติ และการประเมนิ
คุณค่าดังกล่าวนี้เองที่นำ�มาสู่การแยกพิจารณาระหว่างโลกแห่งพลังตาม
ธรรมชาติ (entia physica) และโลกแห่งวัฒนธรรมและศีลธรรม (entia
moralia) จากประสบการณ์ช้ีให้เห็นว่า ปัจจัยทั้งสาม กล่าวคือ ความจำ�เป็น
ของมนษุ ย์ การที่ตอ้ งอยูร่ ่วมกับผอู้ ื่น และความเปน็ ตัวตนในฐานะท่มี ีเจตจำ�นง
เสรี นั้น มีอยู่ในมนุษย์ทุกผู้ทุกนามอย่างเท่าเทียมกัน ความเท่าเทียมกันตาม
ธรรมชาติดงั กลา่ วนสี้ อดคล้องกับเสรีภาพตามธรรมชาตนิ ่นั เอง

บนพ้ืนฐานของกฎเกณฑ์อันซับซ้อนของพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า
กฎหมายธรรมชาติ และกฎหมายบ้านเมืองมีผลผูกพันให้มนุษย์ทุกคนมีหน้าที่
สามประการอย่างเสมอหน้ากัน กล่าวคือ หน้าที่ต่อพระผู้เป็นเจ้า หน้าที่ต่อ
ตนเองและหนา้ ทต่ี อ่ คนใกลช้ ดิ และเพอื่ นบา้ น พระบญั ญตั ขิ องพระผเู้ ปน็ เจา้ เปน็
สงิ่ ทที่ รงแสดงใหเ้ ปน็ ทป่ี ระจกั ษแ์ ละไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งใหเ้ หตผุ ล กฎหมายธรรมชาติ
แบบสัมบูรณ์ย่อมเป็นสุดยอดของบทบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าท่ีมีการรวบรวม
จากทวั่ โลกตามความเปน็ มาของประวตั ศิ าสตรแ์ ละสามารถหยงั่ รไู้ ดด้ ว้ ยเหตผุ ล
จึงไม่มีความจ�ำ เป็นท่ีจะตอ้ งมกี ารให้เหตผุ ลเชงิ เทววิทยาแต่อยา่ งใด

ในส่วนของกฎหมายธรรมชาติแบบสัมพันธ์ตามแนวความคิดของ
Pufendorf น้ัน หมายถึงกฎเกณฑ์พื้นฐานของรัฐและประชาคมต่าง ๆ เป็น
กฎเกณฑ์พ้นื ฐานทัง้ ปวงที่เปน็ เอกภาพ ในทุกมติ เิ พ่ือรักษาไว้ซ่ึงสนั ติภาพในหมู่
เหลา่ ของผทู้ ปี่ ระสงคแ์ ละผทู้ จี่ �ำ เปน็ ตอ้ งอยรู่ ว่ มกนั แตใ่ นขณะเดยี วกนั กย็ งั รกั ษา
ไวซ้ ง่ึ เจตจ�ำ นงเสรขี องมนษุ ยท์ สี่ อดคลอ้ งกบั บทบญั ญตั ขิ องพระผเู้ ปน็ เจา้ การท่ี
กฎหมายบา้ นเมอื งจะเกดิ ขน้ึ ไดน้ นั้ ตอ้ งมที ม่ี าจากทง้ั การใหเ้ หตผุ ลและการมผี ล
ใช้บังคับตามหลักกฎหมายธรรมชาติ และในกรอบของกฎหมายบ้านเมืองยังมี
ดาวทน์โ่ีสหำล�ดหจรากับรกะบฎบหTมUาDยCจโดายรีนตาปยอรระา่ เมพดณวงีจแันลทะร์กฎหมายระหว่างประเทศอีกด้วย

360  60 ปี รศ.ดร.พันธ์ทุ พิ ย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

ปัจเจกบคุ คลจะมสี ิทธทิ ง้ั หลายไดเ้ พยี งเทา่ ทีส่ ทิ ธนิ น้ั ๆ อย่ใู นกรอบแหง่ หนา้ ท่ี
ทง้ั สามประการและจะมสี ทิ ธดิ งั กลา่ วได้ เพอ่ื ใหส้ ามารถท�ำ หนา้ ทข่ี องตนไดอ้ ยา่ ง
สมบูรณ์เท่านนั้ 4

3. แนวความคิดเกย่ี วกับรฐั

แนวความคิดของ Pufendorf เกย่ี วกับรฐั น้นั ท่านอาศยั ทฤษฎีสัญญา
มาเป็นแนวทางในการอธิบายเก่ียวกับการเกิดของรัฐ โดยพิจารณาว่าเม่ือเกิด
สัญญาการรวมกลุ่มกัน5 ขึ้นแล้ว จึงตามด้วยการลงมติเกี่ยวกับรูปแบบของรัฐ
หลังจากน้ันจึงมีสัญญาว่าด้วยอำ�นาจปกครอง โดยการเลือกผู้ปกครอง ผู้ท่ีได้
เป็นผู้ปกครองจะรับมอบอำ�นาจอธิปไตยโดยสมบูรณ์และไม่อาจบอกล้างได้
ซึ่งเป็นไปตามสัญญาสวามิภักดิ์นั่นเอง การกระทำ�ทั้งหลายทั้งปวงของรัฐย่อม
ต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมตามเหตุผลแห่งรัฐ การกระทำ�ทั้งหลาย
ทั้งปวงของรัฐน้ี คือ การทำ�ให้กฎหมายธรรมชาติปรากฏเป็นจริง ด้วยเหตุน้ี
การกระทำ�ใด ๆ ของรัฐที่เป็นการฝ่าฝืนต่อเหตุผลของรัฐจึงพิจารณาได้ว่า
เป็นการผิดหรือละเมิดสัญญาของฝ่ายผู้ปกครอง อันก่อให้เกิดสิทธิต่อต้าน6
แกข่ า้ แผน่ ดนิ ทั้งมวล

4 ประเด็นเก่ียวกับการแยกพิจารณาระหว่างหน้าท่ีและสิทธิแบบสัมบูรณ์และแบบไม่
สมั บูรณ์โดยพิจารณาจากการบงั คบั ใหเ้ ปน็ ไปตามสทิ ธไิ ดน้ น้ั เป็นส่งิ ที่ Christian Thomasius น�ำ
ไปพัฒนาตอ่ ยอดต่อไป โปรดดู G. Kleinheyer u. J. Schröder, FN 1, S. 295.
5 เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการกล่าวอ้างถึงสัญญาดังกล่าวนี้ มิได้มีการอ้างอิงหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ประกอบแตอ่ ย่างใด
ดาวค นณโ์ หะลนดติ จศิ6า ากโสรปตะรรบด์ บมดูหบTาUุญวDทิศCรยีามโลดีวัยยงธศนรอ์ ราโุ มฆยศอษาร,สา่กมตฎรหด์, วมกงารจยุงนัเมททหพรา์ฯชน25เบ5้ือ7,งตห้นน,้าพ7มิ 7พ-ค์ 8ร2ั้งท่สี าม, โครงการต�ำ ราฯ

บทความวชิ าการ  361

ตามคำ�สอนว่าด้วยกฎหมายธรรมชาตขิ อง Pufendorf ได้มีการพฒั นา
แนวความคิดว่าด้วยเหตุผลแห่งรัฐไว้อย่างเป็นการเฉพาะเจาะจง โดยวางหลัก
ว่า รฐั คอื องค์การทางศีลธรรม (corpus morale) ที่มีภารกิจสำ�คญั ในการเป็น
ผถู้ อื และผปู้ ระกาศคา่ นยิ มทางจรยิ ศาสตรส์ ำ�หรบั สงั คม การทเี่ นน้ ภารกจิ ในการ
ให้การศึกษาเชิงจารีตแก่สังคมขึ้นมาเป็นเหตุผลของการมีกฎเกณฑ์สำ�หรับ
ประชาคมนี้ นับได้ว่าเป็นจุดแตกต่างท่ีสำ�คัญจากแนวความคิดของ Nicolo
Machiavelli และ Thomas Hobbes โดยคำ�สอนว่าดว้ ยกฎหมายธรรมชาติ
ของ Pufendorf นี้ ไดร้ บั อทิ ธพิ ลมาจากแนวค�ำ สอนของ Johann Oldendorp
(1488- 1567) และแนวคำ�สอนของท่านได้รับการสืบสานต่อโดย Christian
Thomasius (1655- 1728)

ในปี ค.ศ. 1667 มีการตีพิมพ์หนังสือของท่านช่ือว่า สถานภาพของ
จักรวรรดิเยอรมัน (De statu Imperii Germanici) โดยใช้นามปากกาว่า
Severinus de Monzambano ซ่ึงเป็นหนังสือที่ไม่มีสำ�นักพิมพ์ใดในบรรดา
แว่นแคว้นต่าง ๆ ของเยอรมนีกล้ารับมาตีพิมพ์ เนื่องจากมีเน้ือหาเกี่ยวกับ
ความคิดเห็นที่อาจพิจารณาได้ว่าล่อแหลมทางการเมือง กล่าวคือ ท่านเป็น
บุคคลแรกท่ีต้ังคำ�ถามเกี่ยวกับความเป็นรัฐของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธ์ิ
แห่งชนชาติเยอรมัน โดยพิจารณาจากสภาพของกฎหมายและการแบ่งอำ�นาจ
ในหมฐู่ านนั ดรตา่ ง ๆ ในขณะนนั้ ท�ำ ใหไ้ มส่ ามารถน�ำ ค�ำ วา่ อ�ำ นาจอธปิ ไตยมาใช้
ส�ำ หรบั กรณดี งั กลา่ วได้ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างองคจ์ ักรพรรดกิ บั ฐานันดรตา่ ง ๆ
เปน็ ความสมั พนั ธท์ ไ่ี มอ่ าจจดั ใหเ้ ขา้ อยใู่ นประเภทของระบอบการปกครองอยา่ ง
หน่ึงอย่างใดที่มีมาแต่เดิมได้ ว่าจะเป็นระบอบกษัตริย์ ระบอบอภิชนาธิปไตย
หรือระบอบประชาธิปไตย ดว้ ยเหตุนี้ อาณาจักรโรมันอนั ศกั ดส์ิ ิทธ์ิแห่งชนชาติ
เยอรมนั ในขณะน้ันจงึ มใิ ชอ่ งคาพยพตามปกตทิ ว่ั ไป หากแต่เป็นสัตว์ประหลาด
ดาวอน์โยหา่ ลงดหจานก่งึ ระบบ TUDC โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์

362  60 ปี รศ.ดร.พันธุท์ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

เพอ่ื เปน็ การรกั ษาเยยี วยาใหพ้ น้ จากปญั หาทเี่ กย่ี วกบั สถานภาพดงั กลา่ ว
Pufendorf ได้ให้คำ�แนะนำ�ว่า เนื่องจากการสร้างความเป็นรัฐเดี่ยวจะถูกต่อ
ตา้ นจากฐานันดรตา่ ง ๆ จนไมอ่ าจเปน็ ไปได้ จงึ มที างออกเดียวที่เหลอื อยู่ คอื
การสร้างระบอบสหพันธรัฐข้ึนมา โดยมีสภาสูงเป็นท่ีประชุมของตัวแทนจาก
ฐานนั ดรตา่ ง ๆ และมอี �ำ นาจสว่ นกลางทเี่ ขม้ แขง็ อนั ประกอบดว้ ยอ�ำ นาจตลุ าการ
และฝ่ายบริหารท่ีมีอำ�นาจเต็มข้ึนมาดูแลสมาชิกท้ังหลายของสหพันธ์ แนว
ความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับแนวความคิดของกลุ่ม Federalists ของ
สหรฐั อเมริกา7 ในช่วงระยะเวลาร้อยกวา่ ปีต่อมาอย่างน่าพิศวง ซง่ึ ทำ�ใหเ้ ห็นถงึ
ความเป็นนักคิดที่มีความคิดลึกซ้ึงและสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้มองการณ์
ไกลของทา่ นได้เป็นอย่างดี

ผลงานช้ินดังกล่าวนับได้ว่ามีความสำ�คัญเป็นอย่างมาก เน่ืองจากเป็น
งานที่เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ช่วงหน่ึงของเยอรมนี และข้อเขียนของท่าน
เกี่ยวกับการจัดประเภทรูปแบบการปกครองของเยอรมนีในสมัยของท่าน
ยังเป็นเน้ือหาท่ีได้รับความสนใจและมีการอ้างอิงถึงมาจนทุกวันน้ี8 และในแง่
ของนิติวิธีน้ัน นับได้ว่าท่านได้นำ�วิธีการใหม่มาใช้ในผลงานของท่าน กล่าวคือ
เป็นคร้ังแรกที่มีการพิจารณาวิเคราะห์กฎหมายว่าด้วยรัฐตามข้อเท็จจริงทาง
ประวัติศาสตร์โดยไม่คำ�นึงถึงเรื่องของการเมือง และด้วยวิธีการวิเคราะห์ตาม
ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์น้ี นำ�มาสู่ข้อสรุปท่ีว่า สถานการณ์ทางการเมือง

7 โปรดดู บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ, กฎหมายรัฐธรรมนูญ, พิมพ์คร้ังที่ 8, โครงการตำ�ราฯ
คณะนิตศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์, กรงุ เทพฯ 2557, หน้า 65- 66
8 โปรดดู บุญศรี มีวงศ์อุโฆษ, คำ�อธิบายวิชากฎหมายรัฐธรรมนูญเปรียบเทียบ :
ดาวบรนฐัท์โหธทรลี่รด1มจเนาชกญู ิงรอเะยรบรอถบรทมT่ีนั 1U,DโคCรงโกดายรนตาำ�ยราอฯร่าคมณดะวนงติ จศิ นั าทสรต์ ร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร,์ กรงุ เทพฯ 2535,

บทความวิชาการ  363

ของอาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์แห่งชนชาติเยอรมันในขณะนั้นอยู่ในสภาพท่ี
หมดหวังโดยสนิ้ เชงิ

ในสว่ นของความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรฐั กบั ปจั เจกบคุ คล ทา่ นไดแ้ สดงความ
เหน็ ว่า ไมม่ พี ้ืนที่สำ�หรับฝา่ ยศาสนจกั ร เนือ่ งจากฝา่ ยศาสนจกั รเปน็ ไดแ้ ต่เพียง
องค์การในรัฐ และอยู่ภายใต้อำ�นาจของรัฐ เช่นเดียวกับศาสนานั้นเองที่เป็น
เรอื่ งของความเชอื่ ของแตล่ ะบคุ คล9 นบั ไดว้ า่ เปน็ การวางแนวพนื้ ฐานทางความ
คิดทางนโยบายเกี่ยวกับศาสนจักรครั้งสำ�คัญ และในท่ีสุดได้มีการนำ�นโยบาย
การแยกศาสนจักรออกจากอำ�นาจรัฐดังกล่าว มาใช้ในทางปฏิบัติในช่วง
คริสตศ์ ตวรรษทสี่ ิบแปด

สำ�หรบั Pufendorf นน้ั หากพิจารณาจากเหตผุ ลของรฐั แล้ว ความเป็น
เอกภาพในทางศาสนายอ่ มเปน็ สง่ิ พงึ ประสงค์ แตเ่ นอ่ื งจากเสรภี าพในการนบั ถอื
ศาสนานับได้ว่าเป็นสิทธิตามธรรมชาติของมวลมนุษย์ย่อมมีค่าสูงกว่า และ
เสรีภาพทางความเชื่อดังกล่าวท่านมองว่าต้องอยู่ในกรอบของการประกาศตน
เปน็ คริสต์ศาสนิกชนเท่าน้นั

4. แนวความคิดเกี่ยวกบั กฎหมายต่าง ๆ

จากภาษิตกฎหมายท่วี า่ ubi sociatas ibi ius ท�ำ ใหน้ ำ�มาซงึ่ บทสรุป
ตามคำ�สอนว่าด้วยกฎหมายธรรมชาติของ Pufendorf ได้วา่ ปจั จัยของการท่ี
ต้องอยู่ร่วมกับผู้อ่ืน (socialitas) มีฐานะเป็นพื้นฐานของกฎหมาย ซ่ึงส่งผล
ส�ำ หรบั กฎหมายเอกชนใหต้ อ้ งมกี ารคมุ้ ครองหลกั กรรมสทิ ธ์ิ แมว้ า่ สทิ ธเิ รยี กรอ้ ง

ดาว อน้า์โหงจลาดกจ9าG ก.SรKaะmlบeiบunehTleUPyDuefCreunโด.dยJo.rนSf,าcDยheอröรhdา่ aมebrด,itFวuงNจchนั1,rทisSรt.์ia2n1a7.e religionis ad vitam civilem, 1687,

364  60 ปี รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสนุ ทร

ใหม้ กี ารคมุ้ ครองหลกั กรรมสทิ ธจิ์ ะมใิ ชส่ ทิ ธแิ ตด่ งั้ เดมิ ทคี่ วบคกู่ นั มากบั ความเปน็
มนษุ ย์กต็ าม

ในส่วนของผลงานของท่านทางด้านกฎหมายแพ่งน้ัน ปรากฏว่า ท่าน
เป็นผู้ท่ีสามารถรวบรวมรูปแบบของสัญญาลักษณะต่าง ๆ เป็นบรรพว่าด้วย
เอกเทศสญั ญาที่สมบรู ณ์ ไดเ้ ป็นครง้ั แรก10

ส�ำ หรบั กฎหมายอาญา ทา่ นพฒั นาจากพนื้ ฐานตามแนวความคดิ วา่ ดว้ ย
เจตจ�ำ นงเสรี มาสแู่ นวความคดิ ทวี่ า่ ความรบั ผดิ ทางอาญาจะเกดิ ขนึ้ ไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื
ผู้กระทำ�มีความสามารถในการรับผดิ และความสามารถในการรู้ผิดชอบ นับได้
ว่าเป็นแนวทฤษฎีใหม่ทางกฎหมายอาญาท่ีพิจารณาจาก ‘ความช่ัว’11 เป็น
เกณฑ์ และเป็นภารกิจของรัฐในการให้การศึกษาเชิงจารีตแก่สังคม และนำ�
มาสู่วัตถุประสงค์ของการลงโทษที่จะเน้นการป้องกันมากกว่าการแก้แค้นดังท่ี
เคยเปน็ มา

สรปุ

จากการศกึ ษาเกยี่ วกบั ชวี ติ และผลงานของ Pufendorf ซง่ึ มพี น้ื ฐานทาง
ความคิดเป็นไปตามแนวกฎหมายธรรมชาตินั้น จะเห็นได้ว่า ท่านมีระบบ
ทางความคิดท่ีเป็นไปตามแนวเดียวกันโดยตลอด ท้ังยังนำ�เอาสถานการณ์ใน
ขณะนั้นมาวิเคราะห์ตามหลักคิดของท่าน จนสามารถช้ีนำ�ทางออกสำ�หรับ
สถานการณ์ในขณะนั้นได้ การนำ�วิธีคิดของท่านที่มีการพิจารณาวิเคราะห์
กฎหมายว่าด้วยรัฐตามข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์โดยไม่คำ�นึงถึงเร่ือง

10 G. Kleinheyer u. J. Schröder, FN 1, S. 216.
ดาว นโ์ หลดจ11า กแรสะวบงบบTญุ UเฉDลCมิ โวดภิ ยาสน,าหยอลรกั ่ากมฎหดวมงาจยันอทารญ์ า, 2539, หน้า 191

บทความวิชาการ  365
ของการเมืองดังท่ีได้นำ�เสนอไปแล้วข้างต้น มาปรับใช้กับปัญหาท่ีเกิดขึ้นจาก
สถานการณ์ในปัจจุบัน ย่อมจะก่อให้เกิดประโยชน์ในแง่ที่ว่า อย่างน้อยท่ีสุด
แทนที่จะใช้วิธีการแก้ปัญหาแบบเดิม ๆ ก็จะเป็นการเสนอทางเลือกให้แก่
สงั คมอีกทางเลือกหน่ึงส�ำ หรบั นำ�มาใชใ้ นการแกป้ ญั หาท่เี กิดขึ้นได้

ดาวนโ์ หลดจากระบบ TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์

366  60 ปี รศ.ดร.พันธท์ุ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสนุ ทร

การพาลกู ไปเทย่ี วช่วงเปดิ เทอมเปน็
ความผดิ อาญา : บทเรยี นจากประเทศองั กฤษ1



รณกรณ์ บุญม2ี

บทนำ�

กฎหมายไทยกำ�หนดให้พ่อแม่3 มีหน้าท่ีจัดให้ลูกได้รับการศึกษาภาค
บังคับ4 ซ่ึงหมายถึงการศกึ ษาช้นั ปท ห่ี นง่ึ ถึงช้นั ปทีเ่ กาของการศกึ ษากอ่ นระดบั

1 บทความน้ีเขียนข้ึนในโอกาสที่ รศ.ดร. พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร มีอายุ
ครบหกสิบปี ผู้เขียนได้มีโอกาสได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ของ รศ.ดร. พันธ์ุทิพย์ เมื่อลงทะเบียนเรียน
วิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล สมัยเรียนระดับปริญญาตรีปีท่ี 4 แต่น่าเสียดายว่า
ไม่เคยได้มีโอกาสเรียนด้วยเลย เพราะผู้เขียนเข้าใจว่าตนเองลงทะเบียนกลุ่ม ศ.ดร. ประสิทธ์ิ
ปวิ าวฒั นพานชิ ผเู้ ขยี นไดม้ โี อกาสพดู คยุ กบั รศ.ดร. พนั ธท์ุ พิ ย์ อยา่ งจรงิ จงั เมอ่ื ผเู้ ขยี นจบการศกึ ษา
ระดับปรญิ ญาโทสาขากฎหมายสทิ ธมิ นุษยชนจากประเทศองั กฤษ ท่านจงึ ชวนใหม้ าเป็นผ้บู รรยาย
รับเชิญในวิชากฎหมายสิทธิมนุษยชนในหัวข้อความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายอาญาและกฎหมาย
สทิ ธิมนษุ ยชน
ดว้ ยโอกาสทไ่ี ด้มารว่ มงานในวชิ าน้ีเอง ทำ�ให้ผูเ้ ขยี นและ รศ.ดร. พันธท์ุ พิ ย์มีโอกาสรู้จัก
กนั มากขน้ึ ตลอดในชว่ ง 5-6 ปที ผี่ า่ นมาผเู้ ขยี น และภรรยา ไดร้ บั ความเมตตาจากทา่ นมาโดยตลอด
ทงั้ ค�ำ แนะน�ำ ทางวชิ าการ การชกั ชวนไปท�ำ งานคณะกรรมการตา่ ง ๆ ตลอดจนคแนะน�ำ ในการวางตวั
ในฐานะอาจารย์ (ท่ีมีคู่สมรสในคณะ) และการใช้ชวี ิตส่วนตวั ผเู้ ขียนพูดไดอ้ ยา่ งภูมิใจวา่ การไดร้ จู้ ัก
กับ รศ.ดร. พันธ์ทุ ิพย์ เป็นความสุขในการทำ�งานประการหนึ่งของผูเ้ ขยี น
2 คณะนติ ิศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
3 ในบทความน้ีคำ�ว่า “บิดามารดา” หมายรวมถึงผู้ที่มีอำ�นาจปกครองตามกฎหมาย
ดาว เนวโ์ ้นหแลตดร่ จะ4า บกพอุ รรยะะา่บรงบาชชดั TบแUัญจD้งญCเปตั โ็นกิดอายยรศน่างึกาอยษน่ือารแา่หม่งชดาวตงิจพนั .ศท.ร2์ 542 มาตรา 11

บทความวชิ าการ  367

อุดมศกึ ษา (ประถมศึกษา 1 ถึงมัธยมศึกษา 3)5 หากพอ่ แม่ทำ�ใหล้ ูกไมไ่ ด้เข้า
เรียนในสถานศึกษา6 ก็จะมีโทษทางอาญาปรับไม่เกินหนึ่งหม่ืนบาท7 ซึ่งเป็น
เร่ืองทเ่ี ขา้ ใจได้8 ขณะเดียวกันเราต่างกท็ ราบดวี ่าการใชเ้ วลาคุณภาพกับพอ่ แม่
การเรียนรู้นอกห้องเรียน การสร้างประสบการณ์ชีวิต และการเดินทางไปเห็น
ของจริงก็เป็นเร่ืองท่ีสำ�คัญสำ�หรับการเตรียมความพร้อมของเด็กนักเรียนก่อน
ท่ีเด็กจะโตเปน็ ผู้ใหญ่ และตอ้ งดแู ลตวั เองไม่ว่าจะเขา้ ศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษา
หรอื ไม่ เหมอื นกบั สำ�นวนทวี่ ่า “สบิ ปากวา่ ไมเ่ ทา่ ตาเหน็ ”9 แลว้ ถ้าพ่อแม่จดั ให้
ลกู ไดเ้ ขา้ เรยี นในสถานศกึ ษาตามกฎหมาย สนบั สนนุ การศกึ ษาเปน็ อยา่ งดี แทบ
ไมเ่ คยขาดเรยี น แตเ่ มอื่ พอ่ แมเ่ หน็ ไปเจอโปรแกรมไปดสิ นยี แ์ ลนดท์ ต่ี า่ งประเทศ
ลดราคาอย่างมาก แต่เป็นช่วงเวลาเปิดเทอม เพราะถ้าเป็นช่วงปิดเทอมราคา
จะสูงมากและพ่อแม่ไม่สามารถพาไปช่วงนั้นได้ พ่อแม่จึงให้ลูกลาเรียนสิบวัน
(เปน็ วันเรยี นเจด็ วนั ) เพอื่ ไปใช้เวลากับพ่อแม่ และเรียนรนู้ อกห้องเรยี น โดยท่ี
ลูกเต็มใจทจ่ี ะลาเรยี น พอ่ แมค่ วรมคี วามรบั ผิดทางอาญาหรือไม่

ที่ประเทศอังกฤษเม่ือปี 2558 เกิดข้อเท็จจริงตามท่ีกล่าวมา และศาล
Magistrates’ Court ได้ตัดสินวา่ Jon Platt พ่อของ Mary (ชอ่ื สมมุติ) มคี วาม

5 พระราชบญั ญตั ิการศึกษาภาคบังคบั พ.ศ. 2545 มาตรา 4 และดูนิยามทางการศึกษา
โดยสำ�นักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา accessed on 5 May 2019 from http://www.onec.
go.th/index.php/page/category/CNT0000145
6 สถานศกึ ษาตามพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 18 มีความหมาย
รวมถงึ ศนู ย์การเรยี นรูแ้ ละโฮมสคลู ด้วย.
7 พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาภาคบังคับ พ.ศ. 2545 มาตรา 15.
8 เว้นแต่ในประเด็นระวางโทษสูงสุดท่ีผู้เขียนเห็นว่าเบาเกินไป และไม่ได้สัดส่วนกับ
ความรนุ แรงของความผดิ
9 ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานให้ความหมายว่า “การได้ยินได้ฟังจากผู้อื่น
ดาวหกนนัล์โหคาลยือดๆฟจาังคเกปนรน็ะกรบไ็อ้ บมย่เทไTมU่าเ่ กทDับา่Cพเหโบด็นเยหกบั็นนตดาายว้ ยอ(ตร百า่นมเ闻อดง不ว”งนจ如นัอทก一จร์า见กน) ้ันยงั มีสุภาษิตจีนทีม่ ีความหมายคล้ายคลึง

368  60 ปี รศ.ดร.พนั ธท์ุ พิ ย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

ผิดฐานเป็นพ่อแม่ทไ่ี ม่สามารถท�ำ ให้ลูกเขา้ เรยี นได้อย่าง “เป็นปกติ” โดยความ
ผิดฐานนี้ระบุว่าพ่อแม่จะมีความรับผิดทางอาญา เม่ือลูกท่ีอยู่ในวัยศึกษาภาค
บังคับที่ลงทะเบียนเรียนไม่เข้าเรียนอย่างเป็นปกติ10 โดยก่อนหน้าน้ีศาลฎีกา
แหง่ สหราชอาณาจกั ร11 ไดว้ ินจิ ฉยั ค�ำ วา่ “เปน็ ปกต”ิ หมายถงึ เป็นปกตติ ามกฎ
เกณฑ์ของโรงเรียน12 ไม่ใช่เพียงเป็นปกตติ ามความหมายทวั่ ไป จากการตีความ
คำ�ว่า “เป็นปกติ” ของศาลฎีกานี้ ทำ�ให้ศาล Magistrates’ Court พิพากษา
ลงโทษนาย Platt และลงโทษปรบั £ 2,000 (ประมาณ 90,000 บาท) และมี
เง่ือนไขจะลบประวัติอาชญากรถ้าไม่กระทำ�ผิดภายในหนึ่งปี (conditional
discharge)13

บทความน้จี ะนำ�เสนอค�ำ พพิ ากษาคดนี ้ี และแสดงความเห็นเพียงสน้ั ๆ
ว่าผเู้ ขียนเหน็ ด้วยกบั คดนี ี้หรอื ไม่

1. ขอ้ เท็จจรงิ โดยย่อ

ขณะเกดิ เหตุ Mary อายปุ ระมาณ 7 ขวบ อยู่ในวยั ศกึ ษาภาคบังคับ พ่อ
แม่ของ Mary แยกกนั อยูโ่ ดย Mary อยู่กับพอ่ และแม่คนละเทา่ ๆ กนั ในวนั ที่
30 มกราคม 2558 นาย Platt พ่อของ Mary ยนื่ หนงั สอื ขอให้ Mary ลาเรียน

10 The Education Act 1996, s.444 (1).
11 เฉพาะศาลฎีกาเท่าน้นั ท่เี ปน็ ศาลฎกี าสหราชอาณาจักร
12 Isle of Wight Council v Platt [2017] UKSC 28 para 48.
13 Isle of Wight term-time holiday dad Jon Platt guilty, BBC, accessed on 5
May 2019 from https://www.bbc.com/news/uk-england-hampshire-40381825; Kevin
Rawlinson, School holidays row: Isle of Wight man loses legal fight over daughter's
absence, The Guardian, accessed on 5 May 2019 from https://www.theguardian.
ดาวcoนov์โหmeลr/-ดdeจdaาuuกgcรhaะttiบeorบns-/Ta2bU0s1De7Cn/jcโuดen.ย/2น3า/ยscอhรoา่ มolด-hวoงlจidนั aทyรs์ -row-isle-of-wight-man-loses-legal-fight-

บทความวิชาการ  369

ระหว่างวนั ท่ี 12 – 21 เมษายน 2558 แตผ่ ้อู ำ�นวยการโรงเรียนสง่ หนังสือตอบ
กลับในวนั ที่ 9 กมุ ภาพันธ์ 2558 ปฏเิ สธคำ�ขอนั้น โดยเตอื นว่าการลาเรยี นจะ
นำ�ไปสู่การปรับเงิน (£ 60 หรือประมาณ 2,700 บาท)14 อย่างไรก็ตามด้วย
ความบงั เอิญ วนั เดยี วกันน้นั แม่ของ Mary ไดพ้ า Mary ไปเที่ยวระหว่างวนั ที่
9 -13 กุมภาพันธ์ 2558 (เป็นวันเปิดเรียนทั้งหมด) โดยไม่ได้ขออนุญาตทั้ง
จากนาย Platt และทางโรงเรยี น ทำ�ใหโ้ รงเรยี นปรบั เงนิ แม่ของ Mary จ�ำ นวน
£ 60 ซงึ่ แม่ของ Mary กจ็ า่ ยทันท1ี 5

ถงึ แม้จะถกู ปฏิเสธจากทางโรงเรียน แต่นาย Platt กพ็ า Mary บนิ ไป
เท่ยี วต่างประเทศระหวา่ งวนั ที่ 13-21 เมษายน 2558 (เป็นวันเปดิ เรยี น 7 วัน)
ทำ�ใหผ้ ู้อำ�นวยการโรงเรียนยน่ื เอกสารใหเ้ จ้าหนา้ ท่สี วัสดกิ ารการศึกษา (EWO)
เพื่อปรับเงินนาย Platt โดยให้เหตุผลว่าเพราะนาย Platt พาลูกไปเท่ียวใน
ช่วงเวลาเปิดเทอมโดยไมไ่ ด้รบั อนญุ าต ซงึ่ EWO เหน็ ด้วยและส่ังให้นาย Platt
ชำ�ระค่าปรับจำ�นวน £ 60 ภายในวนั ท่ี 9 มิถนุ ายน 2558 และเมื่อครบก�ำ หนด
นาย Platt ไมย่ อมมาชำ�ระค่าปรับ EWO จงึ ออกจดหมายแจ้งเตอื นใหม้ าจ่าย
คา่ ปรับเพมิ่ เป็น £ 120 ภายใน 10 มิถุนายน 2558 ซึง่ นาย Platt ก็ยังคงไม่ไป
ชำ�ระคา่ ปรบั 16 ทำ�ให้ในวนั ท่ี 1 มถิ ุนายน 2558 EWO ส่งจดหมายไปแจ้งนาย
Platt วา่ ถา้ ไม่ช�ำ ระค่าปรบั จะถูกดำ�เนินคดอี าญา นาย Platt จงึ โทรศัพทแ์ ละ
ส่งจดหมายไปช้ีแจงว่าท่ีตนให้ลูกลาเรียน เพราะบัตรโดยสารเครื่องบินไป
ฟลอรดิ า สหรฐั อเมรกิ า ในชว่ งนน้ั ราคาถกู มาก และ Mary อยากไปเท่ยี วดสิ นีย์
เวิลด์ทีน่ น้ั ตนเลยตดั สนิ ใจพาไป เพราะหากรอชว่ งปิดเทอมคา่ บตั รโดยสารจะ

14 Isle of Wight Council v Platt para 2.
ดาว นโ์ หลดจ1156า กIIbbระiiddบบppaaTrraaUD34..C โดย นายอร่าม ดวงจนั ทร์

370  60 ปี รศ.ดร.พันธ์ุทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

สูงจนตนไม่สามารถพาไปได้17 แต่ EWO เห็นว่าการออกคำ�ส่ังปรับเงินน้ันถูก
ต้องแล้วจึงยนื่ ใหเ้ ทศบาล (Isle of Wight Council) ย่นื ฟ้องเปน็ คดีอาญาตอ่
Magistrates’ Court ว่านาย Platt ทำ�ผดิ ฐานเป็นพ่อแมท่ ่ีไมส่ ามารถท�ำ ให้ลกู
เข้าเรียนไดอ้ ยา่ งเป็นปกติ18 ซึง่ นาย Platt ให้การปฏเิ สธ19

ในชั้นศาล ศาลเห็นว่าคดีนี้ไม่มีมูลเพราะเห็นว่าการท่ีจะลาหยุด Mary
มอี ตั ราการเขา้ เรยี นสงู ถงึ รอ้ ยละ 95 และหลงั จากลาหยดุ Mary มอี ตั ราเขา้ เรยี น
รอ้ ยละ 90.3 ซง่ึ ตามระเบยี บของโรงเรยี นระบวุ า่ อตั ราการเขา้ เรยี นทน่ี า่ พงึ พอใจ
(satisfactory attendance) อยทู่ รี่ ะหวา่ งรอ้ ยละ 90-9520 เทศบาลยนื่ อทุ ธรณ์
ใหศ้ าล High Court ตคี วามวา่ การทศ่ี าล Magistrates’ Court น�ำ เอาอตั ราการ
เข้าเรียนมาพจิ ารณาเพื่อตีความวา่ Mary เขา้ เรียน “เป็นปกต”ิ ถกู ต้องหรอื ไม่
ซ่ึงศาล High Court เห็นวา่ การนำ�เอาอัตราการเขา้ เรยี นมาใช้พจิ ารณาถกู ตอ้ ง
แล้ว21 เทศบาลจงึ ยน่ื ฎีกาใหศ้ าลฎีกาตีความ

2. ประเดน็ วนิ จิ ฉัยที่ส�ำ คญั ของศาลฎีกา : “เป็นปกต”ิ

ประเดน็ ทต่ี อ้ งวนิ จิ ฉยั คอื ค�ำ วา่ “เปน็ ปกต”ิ ในองคป์ ระกอบความวา่ การ

17 Rachael Pells, Jon Platt case : School leaders welcome Supreme Court
term-time holiday ruling, Independent, accessed on 5 may 2019 from https://www.
independent.co.uk/news/education/education-news/jon-platt-case-supreme-court-
term-time-holidays-school-leaders-ascl-nut-angela-rayner-theresa-may-a7670121.
html.
18 The Education Act 1996, s.444 (1).
19 Isle of Wight Council v Platt para 5.
20 Ibid para 6.
ดาว น์โหลดจ21า กIbระidบบpaTraUD7.C โดย นายอร่าม ดวงจันทร์

บทความวิชาการ  371

ทีล่ ูกไมเ่ ขา้ เรยี นเป็นปกติหมายความตามมาตรา 444 (1) ว่าอย่างไร โดยศาล
ฎกี าเห็นวา่ คำ�ว่าเปน็ ปกตมิ ีความหมายได้ 3 ทาง22

(ก) เป็นปกติในความหมาย “เว้นห่างอย่างเท่า ๆ กัน”
(evenly spaced)

การตีความแบบน้ีเป็นการตคี วามคำ�วา่ “เป็นปกต”ิ (regularly) โดยใช้
หลักการตีความตามตัวอักษร (literal rule) ซ่ึงหมายถึงการตีความตาม
ความหมายที่คนท่ัวไปเข้าใจ ดังนั้นคำ�ว่าเป็นปกติตามความหมายน้ีคือไป
เหมือนเดิมเป็นปกติไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงจากท่ีเป็นมา อย่างเช่นเมื่อเรา
กล่าววา่ นายด�ำ ไปโบสถอ์ ย่างเป็นปกตทิ ุกอาทิตย์ เรายอ่ มหมายความวา่ เค้าไป
ในวันอาทติ ย์แทบทุกอาทติ ย์ แต่ความหมายของค�ำ วา่ เปน็ ปกตใิ นทีน่ ย้ี อ่ มไมไ่ ด้
หมายความตามตัวอักษรในความหมายอยา่ งการไปโบสถ์ทกุ วันอาทติ ย์ เพราะ
เรายอ่ มไมเ่ รยี กนกั เรยี นทไี่ ปโรงเรยี นเฉพาะทกุ วนั จนั ทรโ์ ดยไมเ่ คยขาดเรยี นวนั
จนั ทร์ แตไ่ มไ่ ปโรงเรยี นวนั อน่ื เลย หรอื นกั เรยี นทเ่ี ขา้ เรยี นเฉพาะชว่ งบา่ ยไมเ่ คย
ขาดแตไ่ มเ่ ข้าเรียนช่วงเช้าเลยว่าเปน็ นักเรียนท่เี ข้าเรียนอยา่ งเป็นปกต2ิ 3

(ข) เป็นปกติในความหมาย “บอ่ ยเพียงพอ” (sufficiently
often)

การตคี วามแบบ (ข) นค้ี อื การตคี วามไปในทางทค่ี วรจะเปน็ แมจ้ ะไมค่ ลาด
เคลอื่ นกบั ลายลกั ษณอ์ กั ษร (the golden rule) โดยการตคี วามแบบนจี้ ะใชเ้ มอื่
การตคี วามแบบลายลกั ษณอ์ กั ษรใหผ้ ลทางกฎหมายทไี่ มเ่ ปน็ ธรรม หรอื ผดิ ปกติ

ดาว น์โหลดจ2232า กIIbbระiiddบบppaaTrraaUsD11.Caโnดdย 3น0า.ยอรา่ ม ดวงจนั ทร์

372  60 ปี รศ.ดร.พนั ธ์ุทพิ ย์ กาญจนะจิตรา สายสนุ ทร

หรือสามารถตีความได้มากกว่าหน่ึงความหมาย ดังนี้ศาลต้องตีความไปในทาง
ท่ีจะสอดคล้องกับวตั ถุประสงคท์ ี่แท้จรงิ ของกฎหมาย

ศาลฎกี าเหน็ วา่ ความหมายทว่ี า่ บอ่ ยอยา่ งเพยี งพอนน้ี า่ จะเปน็ ความหมาย
ท่ีคนส่วนใหญ่เข้าใจเมื่อพูดถึงการเข้าเรียนอย่างเป็นปกติ24 เหมือนเช่นการ
บอกว่านายแดงไปผับเป็นปกติ ก็หมายความนายแดงไปผับเป็นประจำ� ไม่ใช่
เพียงไปเดือนละ 2-3 ครั้ง ความเข้าใจอย่างน้ีไม่ใช่เฉพาะคนทั่วไป แต่ทั้ง
ศาล High Court และศาล Magistrates’ Court ในคดนี กี้ เ็ ข้าใจค�ำ วา่ เปน็ ปกติ
เชน่ นี้ โดยเหน็ วา่ การเข้าเรียนเป็นปกติคอื เขา้ เรยี นบ่อยเพยี งพอ หรือเข้าเรยี น
เปน็ ประจ�ำ 25 อยา่ งไรกต็ ามศาลฎกี าใหเ้ หตผุ ลหลายประการวา่ การตคี วามค�ำ วา่
“เป็นปกติ” ในความหมายที่ว่าเข้าเรียนบ่อยเพียงพอไม่ถูกต้อง เหตุผลเหล่า
น้ันเช่น

(1) การเข้าเรียนเอาไปเทียบกับการเข้าโบสถ์หรือเข้าผับไม่ได้
เพราะการเขา้ เรียนมีกฎหมายบังคบั 26

(2) The Education Act 1996 มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มความ
เข้มงวดของการศึกษาภาคบังคับ ดังน้ันการตีความพระราชบัญญัติดังกล่าว
ตอ้ งตีความให้เข้มงวดกวา่ กฎหมายทบี่ ังคบั ใช้กอ่ นพระราชบัญญตั นิ ้นั 27 โดยใน
อดีตการขาดเรียนเพียงวันเดียวโดยไม่มีเหตุอันสมควรถือเป็นความผิดทันที28
กฎหมายใหมน่ ยี้ กเลกิ ขอ้ ยกเวน้ ความรบั ผดิ ทว่ี า่ “มเี หตอุ นั สมควร” ซงึ่ มขี อบเขต

24 Ibid para 31.
25 Ibid.
26 Ibid para 32.
27 Ibid para 33.
ดาว น์โหลดจ28า กIbระidบบpaTraUsD8C-1โ4ด.ย นายอร่าม ดวงจนั ทร์

บทความวิชาการ  373

กว้างและไม่ชัดเจนออกไป29 ดังนั้นการตีความไปในทางที่ให้อำ�นาจพ่อแม่ให้
ลูกมาเรียนเพียงแค่บ่อย ๆ นั้นยอ่ มขดั วัตถปุ ระสงคข์ องกฎหมาย

(3) ถ้าตีความเช่นน้ีข้อยกเว้นเรื่องการลาเพื่อไปประกอบศาสนกิจ
ตามมาตรา 444 (3) หรือเพราะการเดินทางไปประกอบธุรกิจของพ่อแม่ตาม
มาตรา 446 (6) จะไมม่ ีทใี่ ช้ เพราะตราบใดทยี่ งั มีอตั ราการเข้าเรยี นเพยี งพอจะ
ลาไปทำ�ภารกิจอะไรก็ยอ่ มท�ำ ได้เสมอ ซึ่งไม่ถูกต้อง30

(4) ตามมาตรา 444 (7) กฎหมายก�ำ หนดให้นักเรยี นประจ�ำ ตอ้ งเข้า
เรยี นเสมอเวน้ แตเ่ จ็บป่วย โดยไมส่ ามารถอ้างขอ้ อ้างอ่นื ได้ หากนักเรยี นประจำ�
ถกู ก�ำ หนดโดยกฎหมายวา่ ตอ้ งเขา้ เรยี น 100% ยอ่ มไมม่ เี หตผุ ลวา่ ท�ำ ไมนกั เรยี น
ในระบบไปกลบั จะไมถ่ กู คาดหมายวา่ ตอ้ งเขา้ เรยี นทง้ั 100% เวน้ แตม่ เี หตลุ าอน่ื
ตามกฎหมาย31

(5) การตีความแบบน้ีจะไม่ชัดเจนเกินไปสำ�หรับการเป็นความผิด
อาญา เพราะพ่อแม่ย่อมไม่สามารถรู้ได้ว่าการลาในคร้ังน้ีจะถือว่าลูกขาดเรียน
บอ่ ยเกินไป อันจะเปน็ ความผดิ อาญาหรอื ไม่32

(ค) เป็นปกติในความหมาย “เป็นไปตามระเบียบ” (in
accordance with the rules)

จากเหตุผลข้างต้น ศาลฎีกาเห็นว่าการตีความคำ�ว่าเป็นปกติ ให้
หมายความว่า “เป็นไปตามระเบยี บเป็นการตคี วามทีถ่ ูกต้อง33 โดยการตคี วาม

29 Ibid para 34.
30 Ibid paras 35-36.
31 Ibid para 37.
32 Ibid para 39.
ดาว นโ์ หลดจ33า กIbระidบบpaTraUsD4C2โaดnยdน4า8ย.อรา่ ม ดวงจนั ทร์

374  60 ปี รศ.ดร.พนั ธทุ์ พิ ย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

แบบน้ีคือการตีความให้เกิดประสิทธิผลในการแก้ไขปัญหาท่ีกฎหมายพิพาท
มุ่งแก้ไข (the mischief rule) ซ่ึงเป็นการตีความท่ีถูกใช้อย่างจำ�กัดที่สุดใน
การตคี วามทง้ั สามรปู แบบ เพราะจะถกู น�ำ มาใชไ้ ดก้ ต็ อ่ เมอื่ การตคี วามสองแบบ
แรกให้ผลท่ีแปลกประหลาดในการปรับใช้กฎหมายเท่าน้ัน34 โดยศาลเห็นว่า
ในกรณีนีก้ ารใหล้ ูกลาเรยี นโดยขัดระเบียบของโรงเรยี นแมเ้ พียงวันเดยี ว แม้จะ
ไม่เคยลาเรียนและเข้าเรียนครบถ้วนทุกคร้ังก็เป็นความผิดอาญา โดยศาลให้
เหตุผลว่า

(1) มีความผิดอาญามากมายที่เกิดขึ้นจากการทำ�ผิดระเบียบหรือ
กฎหมายเพียงเลก็ นอ้ ย เชน่ กฎหมายหา้ มขับรถเร็วเกินกว่า 30 ไมล์ตอ่ ชว่ั โมง
แล้วจ�ำ เลยขับทคี่ วามเร็ว 31 ไมล์ต่อชวั่ โมงกเ็ ปน็ ความผิด35

(2) แม้การบังคับกฎหมายแบบน้ีอาจเกิดผลท่ีโหดร้าย แต่เป็น
ความจำ�เป็นท่ีจะสื่อสารกับพ่อแม่ให้เห็นความสำ�คัญของการท่ีลูกของพวกเค้า
ตอ้ งไปโรงเรยี น ความผดิ นี้จงึ ออกแบบมาเป็นความผดิ เดด็ ขาด36

(3) ถึงแม้โดยหลักกฎหมายอาญาต้องถูกตีความแบบเคร่งครัด
เพราะในกรณีท่ีเป็นที่สงสัยตกยกประโยชน์ให้จำ�เลย อย่างไรก็ตามหลักการที่
สำ�คัญกว่าคือกฎหมายอาญาต้องชัดเจน เพราะประชาชนจะได้รู้ว่าอะไรท่ีตน
ทำ�ได้ หรือทำ�ไม่ได้ อะไรท่ีเป็นความผิด อะไรไม่เป็นความผิด ซ่ึงการตีความ
สองแบบขา้ งตน้ สง่ ผลให้กฎหมายอาญาไม่ชดั เจนแนน่ อน จงึ ใชไ้ มไ่ ด3้ 7

34 ดูข้อวิพากษ์ต่อการตีความกฎหมายแบบน้ีท่ี Royal College of Nursing v DHSS
[1981] 2 WLR 279.
35 Ibid para 43.
36 Ibid para 44.
ดาว นโ์ หลดจ37า กIbระidบบpaTraUD45C. โดย นายอรา่ ม ดวงจนั ทร์

บทความวิชาการ  375

(4) เนื่องดว้ ยการศกึ ษาเป็นการศึกษาแบบเต็มเวลา (full-time) ซงึ่
มีความหมายว่าตลอดเวลาทม่ี ีการเรยี นการสอน ไมใ่ ชเ่ พียงบางสว่ น38

ดงั น้ันศาลจงึ เหน็ วา่ การเข้าเรียนตามปกติ คือการไมข่ าดเรียนโดยไม่ได้
รับอนุญาตตามระเบียบของโรงเรียนหรือมีเหตุผลให้ลาได้ตามกฎหมาย โดย
มีหนา้ ทต่ี อ้ งเข้าเรยี นตามกฎเกณฑ์ท่ีโรงเรยี นได้วางเอาไว3้ 9

บทสรุป

จากผลของคำ�พิพากษาน้ีทำ�ให้คดีของนาย Platt ถูกส่งกลับไปท่ี
Magistrates’ Court เพอ่ื พจิ ารณาคดใี หม่ โดยใชแ้ นวทางการตคี วามทศี่ าลฎกี า
กำ�หนดทำ�ให้ นาย Platt ถูกพิพากษาว่ามีความผิดและลงโทษปรับอย่างท่ี
กลา่ วขา้ งตน้ โดยรฐั ใชง้ บประมาณในการด�ำ เนนิ คดที ง้ั หมด (กอ่ นทจี่ ะกลบั ไปที่
Magistrates’ Court) ประมาณ £140,00040 (ประมาณ 6,300,000 บาท)
ส่วนนาย Platt ต้องจ่ายเงินสู้คดี (เฉพาะส่วนเกินจากเงินท่ีได้รับจากกองทุน
ยุติธรรมในการต่อสู้คดี) ประมาณ £30,00041 (ประมาณ 1,350,000 บาท)
ในการต่อสู้ว่านาย Platt ควรต้องจา่ ยคา่ ปรบั จำ�นวน £120 หรอื ไม่

แม้ตัวเลขดังกล่าวจะดูสูง และส้ินเปลือง (ไม่ใช่เฉพาะเงิน แต่รวมถึง
เวลา กำ�ลังคน และอารมณ์ความรู้สึก) สำ�หรับทุกฝ่าย แต่คดีน้ีก็ได้สร้าง

38 Ibid para 47.
39 Ibid para 48.
40 Kevin Rawlinson, School holidays row: Isle of Wight man loses legal fight
over daughter's absence, The Guardian, accessed on 5 May 2019 from https://www.
theguardian.com/education/2017/jun/23/school-holidays-row-isle-of-wight-man-
ดาว lนo์โsหeลsด-lจ4e1าg กaIbรl-ะifdiบg.บht-ToUvDeCr-dโดauยgนhาteยrอsร-a่ามbsดeวnงcจeนั .ทร์

376  60 ปี รศ.ดร.พันธ์ทุ พิ ย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

บรรทัดฐานให้เทศบาลและโรงเรียนท่ัวประเทศอังกฤษว่าจะตีความคำ�ว่า
เข้าเรียนเป็นปกติอย่างไร เพราะในทางปฏิบัติมีการตีความที่แตกต่างกันไปใน
แต่ละท่ี โดยถอื วา่ นบั แตค่ ดนี เ้ี ป็นตน้ ไป พ่อแมจ่ ะให้ลูกลาระหวา่ งเปิดเทอมไม่
ได้แม้แต่วันเดียว ไม่ว่าจะเข้าเรียนสม่ําเสมอเพียงใด เว้นแต่ได้รับอนุญาตเป็น
ลายลักษณ์จากโรงเรียนล่วงหน้า หรือมีข้ออ้างตามกฎหมาย โดยหากพ่อแม่
ใหล้ กู ลากจ็ ะตอ้ งช�ำ ระคา่ ปรบั ตามทก่ี �ำ หนด และหากไมย่ อมช�ำ ระคา่ ปรบั พอ่ แม่
ก็จะมีความรับผิดทางอาญาและถูกฟ้องคดี โดยไม่สามารถมีข้อต่อสู้ใด ๆ ได้
เพราะเปน็ ความผดิ เด็ดขาด

ในฐานะนักกฎหมาย ผู้เขียนเห็นว่าศาลฎีกาสหราชอาณาจักรตีความ
กฎหมายได้ถูกต้อง และเป็นคำ�พิพากษาท่ีเป็นตัวอย่างในการตีความและปรับ
ใช้กฎหมายอาญาที่ดี เป็นระบบ และมีตรรกะ ถึงขนาดที่ตั้งใจว่าจะใช้เป็น
วัตถุในการสอนหัวข้อน้ี แต่ในฐานะพ่อของลูกสาวสองคน ผู้เขียนไม่แน่ใจว่า
เห็นด้วยกับกฎหมายที่ถูกตีความออกมาเช่นน้ี ผู้เขียนเห็นว่าการให้การศึกษา
แกล่ กู เปน็ ความรบั ผดิ ชอบรว่ มกบั ของรฐั และพอ่ แม่ การทร่ี ฐั ถอื เอาวา่ การศกึ ษา
ทีร่ ฐั ออกแบบมาเท่านนั้ เปน็ สาระส�ำ คญั ท่ีเด็กตอ้ งเข้าเรียน หากพอ่ แม่ที่ไมเ่ ห็น
ด้วยกับการจัดการศึกษาของรัฐ พ่อแม่ต้องเลือกทำ�โฮมสกูลกับลูกตั้งแต่ต้น
แตห่ ากเลือกจะให้รัฐจัดการศึกษาใหแ้ ล้ว พอ่ แม่ไมส่ ามารถแบ่งเวลาของรฐั แม้
เพยี งบางส่วนไปเพอ่ื ให้ลกู ได้เรยี นรู้ในสงิ่ ทพี่ อ่ แม่เหน็ ว่าเป็นเรอ่ื งสำ�คัญได้

ผเู้ ขยี นคดิ วา่ ตรรกะการตคี วามในเรอ่ื งนที้ ถี่ กู ตอ้ งเพยี งเพราะกฎหมายน้ี
เปน็ กฎหมายอาญา แตห่ ากกฎหมายนถ้ี กู แปรรปู เปน็ กฎหมายอนื่ เชน่ กฎหมาย
ปกครอง กล่าวคือแทนที่จะใช้โทษปรับอาญา แต่ไปใช้โทษปรับทางปกครอง
แทน จะทำ�ให้การตีความกฎหมายน้ีไม่ต้องเคร่งครัด และชัดเจนเช่นนี้ อันจะ
ดาวนน์โำ�หไลปดสจาู่กการระตบบีควTาUมDใCนโรดูปย แนบายบอทรา่ ี่สมอดงวคงจือนั เทพรีย์ งเข้าเรียนอย่างสม่ําเสมอก็เพียงพอ

บทความวิชาการ  377
ถกู พอ่ แมจ่ ะหลดุ พน้ ความรบั ผดิ ได้ ซงึ่ เปน็ การตคี วามทน่ี า่ จะสอดคลอ้ งกบั หลกั
การอำ�นาจปกครองร่วมกันของพ่อแม่กับรัฐมากกว่า42 ผู้เขียนขอเชิญชวนให้
ผู้อ่านท่ีสนใจศึกษาเร่ืองน้ีเพ่ือออกแบบว่ากฎหมายไทยในเรื่องน้ีควรจะเป็น
อย่างไร

42 สำ�หรับข้อโต้แย้งว่ากฎหมายอาญาต้องใช้อย่างจำ�กัดและเป็นวิถีทางสุดท้าย ดู
Ronnakorn Bunmee, ‘The criminal law as the ultima ratio: the principle that needs
a qualification ’ in Arnon Mamout et al (ed), Nititham Prachak Surasak 60 Phee
ดาวG(นน0์โติหKธิ ลgร_ดรyจมMาปกyรรcะะpจบAกั บpษV์TสwUรุ ศbDกัfCsดoโ์ิ S6ดB0ย/ปvน)ีiาe(ย2wอ0>1รา่8ม) <ดhวtงtจpันs:ท//รd์ rive.google.com/file/d/13vh7sYRaogtm

378  60 ปี รศ.ดร.พันธท์ุ ิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร

การตคี วามสนธสิ ญั ญา



ธนภทั ร ชาตนิ กั รบ*

ความนำ�

ความทรงจ�ำ แรกท่ีผู้เขียนมีต่อ “อาจารยแ์ หวว” หรือรองศาสตราจารย์
ดร. พันธ์ุทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสุนทร คงตอ้ งยอ้ นกลับไปสมยั ปี พ.ศ. 2552
ในขณะทผี่ เู้ ขยี นเปน็ ศกึ ษาปรญิ ญาตรี ชั้นปีท่ี 1 คณะนิติศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั
ธรรมศาสตร์ และมีโอกาสได้ลงทะเบียนเรียนวิชากฎหมายสิทธิมนุษยชนกับ
ทา่ น เปน็ ครั้งแรกทผ่ี ู้เขยี นไดใ้ ช้กฎหมายในภาคปฏบิ ัตอิ ย่างแท้จริงผา่ นการจัด
เสวนาวชิ าการเพอื่ สงั คม หลังจากน้ัน ประมาณสองปี ผเู้ ขยี นได้มีโอกาสเรยี น
กับอาจารย์แหววอีกคร้ังหนึ่งในรายวิชากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดี
บุคคล ซึ่งผู้เขียนเข้าใจว่า คงเป็นคร้ังสุดท้ายแล้วที่จะได้มีโอกาสเรียนกับท่าน
แต่อย่างไรก็ดี เหมือนฟ้าเป็นใจให้ผู้เขียนได้เรียนรู้จากอาจารย์แหววอีก
หลายครั้ง ซ่ึงคร้ังที่ประทับใจไม่รู้ลืมนั้น คงเป็นครั้งที่ผู้เขียนเป็นนักศึกษา
ปริญญาโท คณะนติ ิศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ ผู้เขยี นมคี วามสนใจท่ีจะ
ลงทะเบียนรายวิชากฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการทูตและการกงสุล ซึ่ง

* นักศึกษาปริญญาเอก ศูนย์กฎหมายระหว่างประเทศแมนเชสเตอร์ โรงเรียนกฎหมาย
มหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์. นิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขากฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
โรงเรียนกฎหมาย มหาวทิ ยาลัยลอนดอน (ควนี แมร)ี่ (เกียรตนิ ิยมอันดบั สอง) และสาขากฎหมาย
ดาวรธนระโ์ รหหมลวศด่าางจสปาตกรระร.์ะเทอบศีเบมลTคUณthDะaCนnิตaโดิpศยaาtสน.ตcาhรยa์ อtมiรnหา่ aามkวrดิทoวยbงา@จลันgัยmทธรรa์ รilม.cศoาmสต. ร์. นิติศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย

บทความวิชาการ  379

รายวิชาดังกล่าวมีเพียงผู้เขียนและรุ่นพี่อีกคนหน่ึงที่ลงทะเบียนเรียน จึงได้ขอ
ความกรณุ าไปยงั อาจารยแ์ หวว และทา่ นไดต้ อบรบั ยนิ ดที จ่ี ะสอนแทบจะในทนั ที
ผู้เขียนรู้สึกประทับใจในความเป็นครูของอาจารย์แหววและตั้งปณิธานว่า จะ
ต้ังใจศกึ ษาเลา่ เรียนให้ดีทส่ี ุดตามความสามารถทต่ี นเองจะไปถงึ

ตลอดระยะเวลาเกือบ 10 ปีที่ผเู้ ขียนรจู้ กั อาจารย์แหวว ผูเ้ ขียนไดเ้ รียน
รู้ประสบการณ์จำ�นวนมากท้ังภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ผ่านการฝึกฝนทำ�
บันทึกในรูปแบบแผนที่ความคิด (mind map) บันทึกออนไลน์ อัลบ้ัมภาพ
ประทับใจ รวมถึงการลงพ้ืนท่ีภาคปฏิบัติ ผ่านการเดินทางเพื่อการศึกษาวิจัย
และให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิเด็กและผู้ด้อยโอกาสใน
ชุมชนชายแดนไทย-พม่า ณ อำ�เภออุ้มผาง อำ�เภอแม่สอด จังหวัดตาก และ
บ้านกอ้ เชอ ประเทศเมียนมาร์ เม่อื ชว่ ง 14-17 มกราคม 2557 ซ่งึ สิง่ ทั้งหลาย
เหล่าน้ีสัง่ สมและตราตรงึ ในใจของผเู้ ขยี นท�ำ ให้ผูเ้ ขยี นรกั การคดิ บันทึก สะสม
และใช้ความรู้ของตนเพ่ือประโยชน์ของผู้อื่นอย่างท่ีเป็นอย่างทุกวันนี้ ขอ
ขอบพระคุณอาจารย์แหววจากหัวใจลูกศษิ ย์คนน้ี

เพ่ือเป็นการมุทิตาจิตในโอกาสท่ีอาจารย์แหววเกษียณอายุราชการ
60 ปี ในวนั ที่ 1 ตลุ าคม 2562 ผเู้ ขยี นเหน็ วา่ เปน็ โอกาสอนั ดที จ่ี ะหยบิ ยกประเดน็
ที่มีความสำ�คัญมากในกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ “การตีความ
สนธิสัญญา” ซ่ึงผู้เขียนได้เรียนรู้ ส่ังสม และพัฒนามาต้ังแต่ขณะท่ีเป็น
นกั ศกึ ษาปรญิ ญาตรีจนถงึ ปัจจบุ นั มาแลกเปล่ียนเพ่อื เป็นความรู้เบือ้ งตน้

1. ความเบ้อื งตน้ ว่าด้วยการตีความ

คุณลักษณะท่ีสำ�คัญประการหน่ึงของกฎหมายระหว่างประเทศ คือ
ดาวคน์โวหาลมดยจดาื กหรยะบนุ่ บเพTอ่ืUใDหCส้ โาดมยานราถยสอรอ่าดมรดบั วกงจบั ันสทถร์านการณใ์ นอดตี ปจั จบุ นั และอนาคต

380  60 ปี รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

และสอดคล้องกับเจตนาของภาคีในสนธิสัญญา1 คุณลักษณะน้ี หมายความ
รวมถึง เคร่ืองมือท่ีมีความเป็นพลวัติในกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ
“การตีความ (interpretation)” ดังน้ัน ในส่วนแรกของบทความฉบับน้ีจะ
กลา่ วถงึ ขอ้ ความคดิ พน้ื ฐานวา่ ดว้ ยการตคี วาม และพฒั นาการทางประวตั ศิ าสตร์
ของกระบวนการตคี วาม เพอ่ื เปน็ ฐานกอ่ นทจ่ี ะน�ำ เขา้ สแู่ นวคดิ ทฤษฎที เ่ี กย่ี วขอ้ ง
กบั การตคี วามสนธสิ ญั ญาตอ่ ไป

1.1 ขอ้ ความคดิ พืน้ ฐานว่าด้วยการตคี วาม

การค้นหาความหมายที่แท้จริงของข้อความหรือศิลปะ
ของงานเขยี นเปน็ งานทไี่ มส่ มบรู ณ์ ในความเปน็ จรงิ แลว้ เปน็ งาน
ทม่ี ขี ้นั ตอนอย่างไม่มีทสี่ ้ินสดุ 2

—ฮนั ส์-จอร์จ กาดาเมอร์

กระบวนการตีความท่ีใช้กันอยู่ในปัจจุบันถูกพัฒนามาจากศาสตร์แห่ง
การตีความ (Hermeneutics) ซ่งึ กาดาเมอร์ (Gadamer) นกั ปรชั ญาเยอรมนั
มองว่าเป็นขั้นตอนท่ีมีพลวัติและไม่รู้จบ กาดาเมอร์ได้วิเคราะห์วงจรของการ
ตีความ (Hermeneutic circle) ของไฮเดก็ เกอร์ (Heidegger)3 วา่ วงจรของ
การตีความจะเริ่มจากการอธิบายความเข้าใจโดยการสร้างสมมติฐานข้ึนมา

1 ILC, ‘Report of the International Law Commission on the Work of its 60th
session’ (5 May-6 June and 7 July-8 August 2008) UN Doc A/63/10, Annex I.
2 Hans-Georg Gadamer, Truth and Method (Joel Weinsheimer and Donald
G Marshall tr, 2nd edn, Continuum 2004) 298.
ดาว (นA์โlหbลeดrtจ3าH กoMรfะsatบratบidntTHeUreDitdrC,eHgโgดaerยpr,นe‘rาT&ยhRอeoรOw่ามri1gดi9nว7งo1จf)ัน.thทeร์ Work of Art’, Poetry, Language, Thought

บทความวชิ าการ  381

และมีการตรวจสอบทบทวนย้อนกลับจนได้ลักษณะการตีความที่มีความหมาย
สอดคลอ้ งกนั แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี เมอ่ื การตคี วามเปน็ เรอื่ งของมมุ มอง อาจหมายความ
ได้ว่า การตีความหมายทแ่ี ทจ้ ริงน้ันไม่มีอยจู่ รงิ โดยสภาพ แตอ่ าศัยความเข้าใจ
ของแต่ละคนซึ่งอาจจะแตกต่างกนั ไป ส่งผลให้มีความหมายมากกว่าหนง่ึ ความ
หมาย ดังนั้น ศาสตร์แห่งการตีความจึงศาสตร์ท่ีมีความเก่ียวข้องกับความ
ไม่แน่นอนและคลุมเครือ (indeterminate) จึงต้องอาศัยผู้ตีความที่มีความ
เหมาะสมเพ่ือให้การตคี วามสอดคล้องกบั สถานการณท์ ี่เป็นจรงิ

กฎหมายเปน็ หนงึ่ ในศาสตรท์ กี่ ระบวนการตคี วามมสี ว่ นส�ำ คญั มากในการ
พัฒนาหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ฮาร์ท (Hart) นักนิติปรัชญาปฏิฐานนิยม (legal
positivism) กล่าวถึงกระบวนการตีความไว้ว่า ผู้พิพากษามีดุลยพินิจใน
การตีความโดยต้องอาศยั เหตุผลทางศลี ธรรม นโยบายทางสงั คม หรอื นโยบาย
ทางการเมือง4 การทีฮ่ าร์ทกล่าวเช่นนี้ สามารถสันนิษฐานได้วา่ โดยธรรมชาติ
แล้วภาษากฎหมายย่อมจะอาศัยการตีความซึ่งข้ึนอยู่กับกฎเกณฑ์ทางเหตุผล
ต่าง ๆ ทำ�ให้หลายครั้ง ศาลอาจเป็นผู้สร้างกฎหมายผ่านการตีความ ส่ิงนี้
สอดคล้องกับแนวคิดว่าด้วยบ่อเกิดของกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งระบุไว้ใน
ธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรมระหวา่ งประเทศ (Statute of the International Court
of Justice) ข้อ 38 (1) (d) ซ่ึงกำ�หนดให้คำ�พิพากษาของศาล (judicial
decisions) เป็นบ่อเกิดของกฎหมายระหวา่ งประเทศประการหนึ่ง อยา่ งไรกด็ ี
ดวอรก์ ิ้น (Dworkin) นักนิติปรชั ญาการตคี วามนิยม (legal interpretivism)
โต้แย้งแนวคิดข้างต้น โดยอ้างถึงกฎหมายในฐานะที่เป็นหลักการทางศีลธรรม
และความเป็นธรรมซ่ึงเป็นส่ิงท่ีมีอยู่แล้ว โดยกฎหมายถูกเขียนขึ้นเพื่อรับรอง

ดาว น์โหลดจ4า กHรLะAบบHaTrUt,DTCheโดCยoนnาcยeอpรtา่ oมfดLวaงwจนั (ทClรa์ rendon Press 1981) 200-207.

382  60 ปี รศ.ดร.พันธท์ุ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสนุ ทร

ความชอบธรรมของกฎเกณฑ์5 ดังน้ัน ในกระบวนการตีความกฎหมายจึง
จำ�เป็นต้องคำ�นึงถึงหลักการของกฎหมายเป็นท่ีต้ังซึ่งจะส่งผลให้ศาลเป็น
เพียงผ้ตู ีความกฎหมายเท่านนั้ หาใชผ่ ู้สร้างกฎหมายไม่

1.2 พัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของกระบวนการตีความ
สนธสิ ญั ญา6

ในกฎหมายระหวา่ งประเทศ คณะกรรมาธกิ ารกฎหมายระหวา่ งประเทศ
ขององคก์ ารสหประชาชาติ (International Law Commission หรอื ILC) ไมใ่ ช่
องค์กรแรกท่ีกล่าวถึงการตีความสนธิสัญญา มีหลักฐานพบว่า การตีความ
สนธิสัญญามีมาตั้งแต่สมัยคลาสสิก (กรีก-โรมัน) ซึ่งมีการถกเถียงกันในเร่ือง
การตคี วามตามตวั อักษรอยา่ งเคร่งครดั (textuality) และการตีความโดยค�ำ นงึ
ถึงความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาเป็นหลัก (object and
purpose) ทัง้ นี้ ประเดน็ ดงั กลา่ วเปน็ ที่ถกเถียงกนั มาโดยตลอด ตงั้ แต่ยุคของ
องคก์ ารสนั นบิ าตชาติ (League of Nations) ศาลสถติ ยตุ ธิ รรมระหวา่ งประเทศ
(Permanent Court of International Justice) ศาลยตุ ธิ รรมระหวา่ งประเทศ
(International Court of Justice) เร่ือยมาแม้กระทั่งมีการร่างออกมาเป็น
อนุสัญญากรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญา ค.ศ. 1969 (Vienna
Convention on the Law of Treaties of 1969) แลว้ ก็ตาม

5 Ronald Dworkin, Taking Rights Seriously (Harvard University Press 1978).
6 สนใจโปรดดูเพิ่มเติม, ธนภัทร ชาตินักรบ, “การตีความสนธิสัญญาแบบวิวัฒนาการ :
กรณีศึกษาคำ�ชี้ขาดขององค์กรระงับข้อพิพาทขององค์การการค้าโลกและคณะอนุญาโตตุลาการ
ดาว2ทน5าโ์ ห5งก7ลา)ดร7จล-าง1กท9รนุ.ะรบะบหวTา่ UงปDรCะโเทดยศ”น(าวยทิ อยรา่านมพิ ดนวธงม์ จหันาทบรณั ์ ฑติ คณะนติ ศิ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์

บทความวิชาการ  383

1.2.1 กอ่ นการจดั ต้ังศาลสถิตยุตธิ รรมระหว่างประเทศ
ในช่วงก่อนการจัดต้ังศาลฯ นั้น การตีความสนธิสัญญาถูกนำ�มาใช้
บ้าง แต่อาจไมช่ ดั เจนเทา่ กบั ยุคปจั จุบนั โดยสมยั กรกี -โรมัน (ระหวา่ ง 338 ปี
กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช ถงึ ค.ศ. 395) นนั้ การตคี วามสนธสิ ญั ญาเนน้ เรอ่ื งการตคี วาม
ถอ้ ยคำ�บนฐานของบทบญั ญัตแิ ละถ้อยค�ำ ทปี่ รากฏทเี่ ปน็ ลายลกั ษณอ์ ักษร โดย
ใชพ้ จิ ารณาประกอบกบั เจตนาของผทู้ �ำ ความตกลง แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี มกี ารถกเถยี ง
กันระหว่างนักปฏิบัติและตุลาการเนื่องจากนักปฏิบัติให้ความสำ�คัญกับเจตนา
ของผูร้ า่ งสนธสิ ญั ญาเป็นหลัก ในขณะท่ีตลุ าการจะใหค้ วามสำ�คญั กับถอ้ ยค�ำ ที่
เป็นลายลักษณอ์ กั ษรในสนธสิ ญั ญาอยา่ งเคร่งครดั 7
หลงั จากนน้ั ในชว่ งของการรบั อทิ ธพิ ลของนกั กฎหมายและนกั ปรชั ญา
(ระหวา่ งปี ค.ศ. 1140 ถงึ ค.ศ. 1767) ภายหลงั จากทโ่ี กรเชสิ (Grotius) ออก
ตำ�รากฎหมายว่าด้วยสงครามและความสงบในปี ค.ศ. 1625 ท่ีเน้นย้ําเร่ือง
การตีความสนธิสัญญาว่า เจตนาของภาคีเป็นส่ิงท่ีสามารถคาดคะเนได้8 มี
นักกฎหมายอีกหลายท่านท่ีได้อธิบายในเร่ืองการตีความสนธิสัญญาไว้อย่าง
ละเอยี ด เชน่ กฎเกณฑแ์ หง่ ความหมายชดั แจง้ โดยวตั แตล (Vattel) ทว่ี า่ หาก
ขอ้ ความมคี วามชดั แจง้ แลว้ ไมม่ เี หตผุ ลทจ่ี ะไมย่ อมรบั ขอ้ ความทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณ์
อกั ษรดงั กลา่ ว9 แตก่ ฎเกณฑด์ งั กลา่ วกถ็ กู หกั ลา้ งในภายหลงั เนอ่ื งจากพฒั นาการ

7 David J Bederman, Classical Canons : Rhetoric Classicism and Treaty
Interpretation (Applied Legal Philosophy) (Ashgate Publishing Ltd 2001) chapter IV.
8 Hugo Grotius, De Jure Belli ac Pacis (AC Campbell tr, Batoche 2011)
140-156.
9 Emmerich de Vattel, The Law of Nations (Béla Kapossy and Richard
Whatmore eds, Liberty Fund 2008) 408 และอรณุ ภาณพุ งศ์, “การตีความสนธิสัญญา” ใน
ดาวรนนวติโ์ บหศิ ลราวดสมจตบารกท์ มรคหะวบาาวบมิททTยาUางลDวัยิชCธารโกดรามยรศในนาาสโยอตอกรรา์ 2่าสม5ค3รด4บว)รง2อจ0บัน9ท.8ร4์ ปี ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักด์ิ (มูลนิธิ

384  60 ปี รศ.ดร.พันธ์ทุ พิ ย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

ของกฎหมายระหว่างประเทศท่บี างคร้งั ถ้อยคำ�ท่ปี รากฏให้เห็นเป็นลายลักษณ์
อกั ษรอาจไมส่ อดคลอ้ งกบั เจตนาทแ่ี ทจ้ รงิ ของภาคี ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั ในปี ค.ศ. 1929
นักกฎหมายหลายท่านมีความพยายามท่จี ะทำ�วิจัยในประเด็นเร่อื งการตีความ
สนธสิ ญั ญาอย่างเป็นทางการผ่านร่างอนสุ ัญญาวา่ ด้วยกฎหมายสนธิสัญญาโดย
มหาวทิ ยาลยั ฮารว์ ารด์ พรอ้ มค�ำ อธบิ ายในปี ค.ศ. 1935 ซง่ึ มกี ารอธบิ ายขอ้ มลู
เบอ้ื งหลงั ทส่ี �ำ คญั ของการจดั ท�ำ อนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาฯ และแนวปฏบิ ตั ติ า่ ง ๆ
ท่เี ก่ยี วข้องกับการตีความสนธิสัญญาท่เี น้นเร่อื งของการตีความสนธิสัญญาโดย
ค�ำ นงึ ถงึ วตั ถปุ ระสงคข์ องสนธสิ ญั ญาเปน็ หลกั 10

1.2.2 แนวปฏบิ ัตขิ องศาลสถิตยุติธรรมระหว่างประเทศและศาล
ยุติธรรมระหว่างประเทศ

ศาลสถติ ยุติธรรมระหวา่ งประเทศไดว้ างแนวการตีความสนธสิ ญั ญา
เอาไว้ในคดีต่าง ๆ เป็นจำ�นวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคดี Factory at
Chorzów ศาลฯ ได้ให้ความหมายของการตีความสนธิสัญญาว่าหมายถึง
“การชี้ความหมายและขอบเขตที่แน่นอนของถ้อยคำ�หรือข้อความที่ตีความ”11
คดีดงั กลา่ วนบั ได้ว่าเป็นคดแี รกทศ่ี าลฯ ได้วางหลกั เรื่องการตคี วามเอาไวอ้ ย่าง
ชดั แจง้ นอกจากนนั้ ผ้พู พิ ากษาฮตั สนั (Hudson) ไดห้ ยบิ ยกหลักการตคี วาม
โดยผู้บญั ญตั ิกฎหมาย (authentic interpretation) ขน้ึ มาว่า เป็นการตคี วาม
ท่ีสืบหาความหมายจากผู้ร่างสนธิสัญญาเพ่ือให้ได้ความหมายท่ีแท้จริงและ

10 J Craig Baker and John P Grant, Harvard Research in International Law :
Contemporary Analysis and Appraisal (William S Hein & Co 2007) 671-685; see also,
Richard Gardiner, Treaty Interpretation (OUP 2008) 51-54.
ดาว vน์โPหoลlดaจ1n1าd ก)Inร(ะtJeuบrdบpgrTmeUteaDntCito)nโPดCoยIfJนJRuาeยdpอgรmSา่ eeมrniดetssวงNAจoนั Nsทo7ร1์ a3n, d108. (Factory at Chorzów) (Germany

บทความวิชาการ  385

ถูกต้องมากที่สุด12 แนวคิดดังกล่าวย่อมทำ�ให้การตีความสนธิสัญญายึดโยง
อยู่กับเจตนาของผู้ที่ร่างและผู้ที่ตกลงทำ�สนธิสัญญาฉบับนั้น ๆ แต่อย่างไรก็ดี
เจตนาดังกล่าวต้องเป็นเจตนาท่ีชัดแจ้งและผู้ตีความต้องทำ�การตีความด้วย
ความระมดั ระวงั เนอ่ื งจากในบางครง้ั เจตนาของภาคไี มถ่ กู ระบไุ วเ้ ปน็ ลายลกั ษณ์
อักษร แต่ต้องสืบหาจากความหมายโดยท่ัวไป ประกอบกับบริบทแวดล้อม
ต่าง ๆ เช่น สนธิสัญญาฉบับทางการที่ถูกทำ�ขึ้นในภาษาอ่ืน และคำ�นึงถึง
ความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาฉบับนั้นด้วย ส่ิงน้ีได้ถูกพัฒนา
มาเป็นข้อวิธีท่ีใช้ประกอบการตีความ (supplementary means) ใน
อนสุ ญั ญากรุงเวยี นนาฯ ในปัจจบุ นั

ในขณะทศ่ี าลยตุ ธิ รรมระหวา่ งประเทศในชว่ งกอ่ นการจดั ท�ำ อนสุ ญั ญา
กรุงเวียนนาว่าด้วยกฎหมายสนธิสัญญาในปี ค.ศ. 1969 นับต้ังแต่ผู้พิพากษา
เลาเทอร์แพชต์ (Lauterpacht) ได้กล่าวถึงหลักการตีความให้มีผลและ
หลักการตีความอย่างจำ�กัด (effective and restrictive interpretation)13
วาลดอ็ ก (Waldock) ไดน้ �ำ ความเหน็ ของผพู้ พิ ากษาฟติ ซเ์ มารซี (Fitzmaurice)
มาสรปุ เปน็ หลกั ที่ส�ำ คญั ในเร่ืองการตคี วามสนธิสัญญา ประกอบด้วย (1) หลกั
แห่งความเป็นจริงของถ้อยคำ� (principle of actuality or textuality) ซึ่ง
อยู่บนฐานของลายลักษณ์อักษร (2) หลักความหมายสามัญ (principle of
natural and ordinary meaning) ซ่งึ พิจารณาความหมายสามัญของถ้อยคำ�

12 Manley O Hudson, The Permanent Court of International Justice, 1920-
1942 (Macmillan 1943) 640-661.
13 Hersch Lauterpacht, ‘Restrictive Interpretation and the Principle of
ดาวnEนfa์โfหteiลoctดnivจaeาl กnLรeaะswsบบ4in8T,tUh6De2.CInโtดeยrpนreาtยaอtรioา่ nม oดfวงTจrันeaทtรie์ s’ (1949) 26 British Yearbook of Inter-

386  60 ปี รศ.ดร.พนั ธท์ุ พิ ย์ กาญจนะจิตรา สายสนุ ทร

เปน็ หลกั (3) หลกั บรู ณาการ (principle of integration) ซง่ึ พจิ ารณาเนอื้ ความ
ในสนธสิ ัญญาทัง้ ฉบับ เฉพาะบท หรือเฉพาะส่วนยอ่ ย (4) หลกั ตีความให้มีผล
(principle of effectiveness) ซึ่งเน้นวา่ การตีความต้องทำ�ให้มผี ลมากกว่า
ทจี่ ะเสยี ผล (5) หลกั แนวปฏบิ ตั ทิ ตี่ ามมา (principle of subsequent practice)
ซ่ึงพิจารณาหลักฐานในการปฏิบัติของภาคีในสนธิสัญญาที่ตามมาภายหลัง
ประกอบการตีความ และ (6) หลักกฎหมายต่างยุค (principle of contem-
poraneity) ที่พิจารณาตีความถ้อยคำ�ในขณะท่ีสนธิสัญญานั้นถูกทำ�ขึ้น ไม่ใช่
ในขณะท่นี �ำ มาตีความ14

1.2.3 การจดั ท�ำ อนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาวา่ ดว้ ยกฎหมายสนธสิ ญั ญา
ค.ศ. 1969 โดยคณะกรรมาธกิ ารกฎหมายระหวา่ งประเทศถึงปัจจบุ ัน

การจัดทำ�ข้อบทว่าด้วยการตีความในอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ น้ัน
เร่ิมต้นผ่านการต้ังผู้เสนอรายงานพิเศษของคณะกรรมาธิการกฎหมายระหว่าง
ประเทศ 4 ทา่ น ประกอบดว้ ย เบอร์ล่ี (Brierly) เลาเทอร์แพชต์ ฟติ ซเ์ มารีซ
และวาลดอ็ ก ซ่งึ มีประเด็นเก่ยี วขอ้ งกบั การพฒั นาการทน่ี ่าสนใจ ดงั ต่อไปน้ี

ฟิตซ์เมารีซ เห็นว่า กฎหมายสนธิสัญญามีลักษณะเป็นกฎหมาย
มากกว่าที่จะมีลักษณะของสนธิสัญญาที่ต้องอาศัยความตกลงของรัฐต่าง ๆ
เนื่องจากกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ระบุไว้จำ�นวนมาก มีลักษณะเป็นกฎหมายจารีต
ประเพณีระหว่างประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิง กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับการ
ตีความสนธิสัญญาในอนุสัญญาเป็นที่ยอมรับและปฏิบัติตามเป็นการทั่วไป ถึง
ขนาดวา่ รฐั ทไ่ี มไ่ ดเ้ ปน็ ภาคใี นอนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาฯ ยงั ปฏบิ ตั ติ ามกฎเกณฑว์ า่

14 ILC, ‘Yearbook of the International Law Commission on the Work of its
16th session (Vol II)’ (11 May-24 July 1964) UN Doc A/CN.4/SER.A/1964/ADD.1, 55-57;
ดาวsนeโ์ eหลaดlsจoากGรaะrบdบineTrU(DnC10โด)ย63น-า6ย4อ. ร่าม ดวงจันทร์

บทความวชิ าการ  387

ด้วยการตีความดังกล่าวเชน่ กนั 15 ยง่ิ ไปกว่านั้น กระบวนการตคี วามสนธิสัญญา
พหภุ าคยี งั สามารถใชแ้ นวทางเดยี วกบั การตคี วามสนธสญั ญาทวภิ าค1ี 6 เนอื่ งจาก
สนธสิ ญั ญาทง้ั สองรปู แบบมจี ดุ ประสงคร์ ว่ มกนั คอื การตอบสนองความตอ้ งการ
ของประชาคม (community expectations) ในสนธิสัญญาพหุภาคี หรือ
ความต้องการของคู่ภาคีในสนธิสัญญาทวิภาคี ในขณะที่วาลด็อก เน้นในเร่ือง
ของแนวปฏบิ ตั ขิ องรฐั (state practice) ในการตคี วามค�ำ ชขี้ าดขององคก์ รระงบั
ข้อพิพาทระหวา่ งประเทศ รวมถึงแนวโนม้ การตคี วามโดยรัฐเอง17 สิง่ นแี้ สดงให้
เห็นถึงการอธิบายการตีความที่เป็นที่ยอมรับโดยคณะกรรมาธิการกฎหมาย
ระหว่างประเทศ เน่ืองจากเป็นการพิจารณาพ้ืนฐานการมีอยู่ของถ้อยคำ�ใน
สนธิสัญญาและทำ�ใหท้ ราบว่าสนธิสัญญาควรจะถกู ตคี วามอย่างไร

ภายหลังจากที่อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ถูกร่างและมีผลใช้บังคับ ศาล
ยุติธรรมระหว่างประเทศได้ยืนยันความหมายของการตีความคล้าย ๆ ศาล
สถิตยุตธิ รรมระหวา่ งประเทศ18 และเพม่ิ เติมในคดี Asylum (Interpretation)
ว่า “จะเป็นการเกินเลยการตีความสนธิสัญญาไป ถ้าการตีความน้ันเป็นการ
เปล่ยี นแปลงแกไ้ ขเน้อื หาของสนธสิ ญั ญานั้น”19 ตอ่ ในปี ค.ศ. 1982 ศาลไดย้ าํ้
ถ้อยคำ�เดิมอีกครั้งในคดี Continental Shelf (Interpretation) และคดี

15 ILC, ‘Yearbook of the International Law Commission on the Work of its 8th
session (Vol II)’ (23 April-4 July 1956) UN Doc A/CN.4/SER.A/1956/ADD.1, 106-107.
16 ibid 107.
17 ILC, ‘Yearbook of the International Law Commission on the Work of its
16th session (Vol I)’ (11 May-24 July 1964) UN Doc A/CN.4/SER.A/1964, 275.
18 Factory at Chorzów (n 11) 10.
19 Request for Interpretation of the Judgment of 20 November 1950 in the
ดาวAนsโ์ หylลuดmจาCกaรsะeบบ(CToUloDmCbโiดaย/Pนeาruย)อ(รJ่าuมdgดmวงeจnนั tท) ร[1์ 950] ICJ Rep 395, 402.

388  60 ปี รศ.ดร.พนั ธทุ์ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสนุ ทร

Land and Maritime Boundary (Interpretation) และอธิบายเพ่ิมเติม
อีกว่า “ศาลมีหน้าที่ตีความสนธิสัญญา ไม่ใช่ให้แก้ไข”20 ส่ิงเหล่านี้สะท้อนให้
เห็นถึงความพยายามของศาลฯ ในการอธิบายวัตถุประสงค์ของการตีความท่ี
เป็นไปเพ่ือตีความ หาใช่เป็นไปเพ่ืออุดช่องว่างของกฎหมาย หรือขยายความ
เน่ืองจากกฎหมายระหว่างประเทศต้ังอยู่บนฐานของความยินยอมหรือการ
ยอมรบั ของภาคี21

2. แนวคิดทฤษฎที เี่ ก่ยี วข้องกบั การตีความสนธิสัญญา

การตีความสนธิสัญญาเป็นกระบวนการท่ีมีความสำ�คัญต่อกฎหมาย
ระหวา่ งประเทศสงู มาก เนอื่ งจากการใชก้ ฎหมายและการระงบั ขอ้ พพิ าทตา่ ง ๆ
จำ�ต้องอาศัยกระบวนการตีความเป็นฐานของการพิจารณา ในทางกฎหมาย
ระหวา่ งประเทศนนั้ กฎเกณฑท์ ใ่ี ชบ้ งั คบั เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรและเปน็ การทวั่ ไป
ได้แก่ อนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ซ่ึงถูกร่างข้ึนโดยคณะกรรมาธิการกฎหมาย
ระหว่างประเทศ มีบทบญั ญตั ิเก่ียวกับกฎเกณฑโ์ ดยเฉพาะเก่ียวกับการตคี วาม
สนธิสัญญาจำ�นวนทง้ั สน้ิ 3 ขอ้ เรยี กรวมกนั ว่า กฎเกณฑท์ ั่วไปของการตีความ
และถูกบรรจุไว้ในข้อ 31-33 ของอนุสัญญาฯ แต่อย่างไรก็ดี อนุสัญญาฯ
ดงั กลา่ ว ไมอ่ าจเรยี กไดว้ า่ เปน็ บรรทดั ฐานแตเ่ พยี งประการเดยี วของการตคี วาม

20 Application for Revision and Interpretation of the Judgment of the 24
February 1982 in the Case concerning the Continental Shelf (Tunisia v Libyan
Arab Jamahiriya) (Judgment) [1985] ICJ Rep 192, 217 and 233; and Request for
Interpretation of the Judgment of 11 June 1998 in the Case concerning the Land
and Maritime Boundary between Cameroon and Nigeria (Cameroon v Nigeria)
ดาว (นJโ์uหdลgดmจ21eา nกอtรร)ะุณ[บ1บ9ภ9าT9ณU] พุDICงCJศโ์,Rดอeยา้pงนแ3า1ลย,ว้ อ3รเ6ช่า-งิม3อ7ดร.รวถงจทันี่ 9ท,ร2์ 09.

บทความวชิ าการ  389

สนธิสัญญา เน่ืองจากแม้กฎเกณฑ์ดังกล่าวจะกลายสภาพเป็นจารีตประเพณี
ระหว่างประเทศที่เก่ียวข้องกับการตีความและรัฐจำ�นวนมาก รวมถึงองค์กร
ระงบั ขอ้ พพิ าทระหวา่ งประเทศตา่ ง ๆ ยดึ ถอื และปฏบิ ตั ติ าม22 แตย่ งั มกี ฎเกณฑ์
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั การตคี วามอกี หลายกฎเกณฑท์ คี่ วรพจิ ารณาและน�ำ มาใชป้ ระกอบ
การตีความสนธิสญั ญา ดงั ทจี่ ะได้อธิบายตามล�ำ ดับ

2.1 การตคี วามสนธสิ ญั ญาตามอนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาวา่ ดว้ ย
กฎหมายสนธสิ ัญญา ค.ศ. 196923

หลกั เกณฑ์ในขอ้ 31 และ 32 ของอนุสญั ญากรงุ เวียนนาฯ สามารถสรปุ
ในเบ้ืองต้นได้ว่า การตีความ หมายถึง การพิจารณาถึงความมุ่งหมายและ
วัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาฉบับนั้น โดยพิจารณาประกอบกับความสุจริตใจ
ของภาคีในสนธิสญั ญา ท้งั ในส่วนทเ่ี ปน็ เน้ือหาตามตวั บท และบริบทประกอบ
กนั เพื่อยนื ยันความหมายทยี่ งั คลมุ เครือ ไม่แจ้งชดั หรือเมอื่ ผลของการตีความ
นั้นเห็นได้ชัดว่า เกินวิสัยที่จะเช่ือว่าเป็นไปได้ หรือไม่ชอบด้วยเหตุผล ดังนั้น
เม่อื ใดกต็ ามทมี่ ีความจำ�เป็นทีจ่ ะตอ้ งตีความถอ้ ยค�ำ ใด ๆ กระบวนการตีความ
กฎหมายจงึ ต้องกระท�ำ ด้วยความระมัดระวังเปน็ อย่างย่งิ เนอ่ื งจากหากตคี วาม
ถ้อยคำ�ผิดพลาดจนเกินการขยายหรือเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขถ้อยคำ�นั้น อาจ

22 Iron Rhine Railway (Belgium v Netherlands), Award of 24 May 2005, XXVII
RIAA 98, 23; Territorial Dispute (Libyan Arab Jamahiriya v Chad) (Judgment) [1994]
ICJ Rep 6, 21-22; Maritime Delimitation and Territorial Questions between Qatar
and Bahrain (Qatar v Bahrain) (Judgment on Jurisdiction and Admissibility) [1995]
ICJ Rep 6, 17-18; Oil Platforms (Islamic Republic of Iran v United States of America)
(Judgment on Preliminary Objection) [1996] ICJ Rep 803, 812.
ดาว iนnโ์ tหoลfดoจ2r3cา eกVร2iะe7บnบnJaanTCuUoaDnrCyve1โดn9ยt8io0น)nา1ยo1อn5ร5tา่ hมUeNดLวTaงSwจ3นั o3ทf1รT.์ reaties (adopted 23 May 1969, entered

390  60 ปี รศ.ดร.พนั ธุ์ทิพย์ กาญจนะจติ รา สายสนุ ทร

กระทบต่อเน้ือหาของสนธิสัญญา เจตนารมณ์ หรือวัตถุประสงค์ของภาคีใน
สนธสิ ญั ญาฉบับน้นั

2.1.1 กฎเกณฑท์ ว่ั ไปของการตคี วามสนธิสัญญา (ขอ้ 31)
กฎเกณฑ์พ้ืนฐานของการตีความสนธิสัญญาปรากฏให้เห็นชัดในข้อ
31 ย่อหน้าท่ี 1 ของอนสุ ัญญากรงุ เวียนนาฯ ซงึ่ รวมถงึ หลักสจุ ริต (good faith)
หลกั ความหมายสามญั (ordinary meaning) หลักบริบท (context) และหลัก
ความมุง่ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ (object and purpose) ของถ้อยคำ�
หลกั สจุ รติ นนั้ เปน็ หลกั การพน้ื ฐานของการเจรจาท�ำ สนธสิ ญั ญาหรอื
สญั ญาโดยทวั่ ไป ซง่ึ อนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาฯ ไดว้ างหลกั การดงั กลา่ วใหค้ รอบคลมุ
ผ่านหลักสัญญาตอ้ งเปน็ สญั ญา (pacta sunt servanda) ซง่ึ ก�ำ หนดใหส้ นธิ
สัญญาท่ีถูกทำ�ขึ้นมีผลใช้บังคับและผูกพันภาคีในสนธิสัญญาและภาคีจะต้อง
ปฏบิ ตั ติ ามดว้ ยความสจุ รติ 24 ซงึ่ นบั ไดว้ า่ เปน็ หลกั ทมี่ คี วามเปน็ สากลมากในเรอ่ื ง
การท�ำ สญั ญาระหวา่ งคู่สญั ญาทุกประเภท
หลักความหมายสามัญของถ้อยคำ�เป็นหลักการพื้นฐานของการ
ตีความสนธสิ ัญญา เน่อื งจากการตีความนั้นต้องเกดิ จากความไมเ่ ข้าใจในความ
หมายของถ้อยคำ�ของสนธิสัญญาใด ๆ แล้วจึงมาหาความหมายของถ้อยคำ�ท่ี
ปรากฏใหเ้ หน็ เปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรโดยผตู้ คี วาม หลกั ดงั กลา่ วมาจากแนวความ
คดิ ทางภาวะวสิ ยั หรอื แนวความคดิ ทถี่ อื ถอ้ ยค�ำ ในกฎหมายเปน็ ใหญ่ ซง่ึ เปน็ แนว
ความคดิ แรกทถี่ กู หยบิ ยกขน้ึ มาพจิ ารณา สงิ่ นส้ี อดคลอ้ งกบั แนวคดิ ของแมค็ แนร์
(McNair) ท่ีเหน็ วา่ “หน้าที่ในการทำ�ใหเ้ จตนาทีแ่ สดงออกของภาคเี ป็นผล คือ
เจตนาของภาคีตามที่แสดงออกด้วยถ้อยคำ�ต่าง ๆ ที่ภาคีใช้ตามพฤติการณ์

ดาว น์โหลดจ24า กIbระidบ,บarTtU2D6.C โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์

บทความวิชาการ  391

ตา่ ง ๆ ทีแ่ วดล้อมอยู”่ 25 แต่อยา่ งไรก็ดี บางคร้ังถอ้ ยค�ำ อาจมคี วามหมายพเิ ศษ
ได้ ดังน้ัน จึงเป็นหน้าท่ีของรัฐภาคีท่ีจะกำ�หนดความหมายพิเศษนั้นเอาไว้ใน
สนธิสัญญาโดยตรง แต่หากไม่ได้กำ�หนดความหมายเช่นว่านั้นไว้ รัฐท่ีอ้าง
ความหมายพเิ ศษของถอ้ ยค�ำ ตอ้ งเปน็ ผพู้ สิ จู นใ์ หเ้ หน็ วา่ ถอ้ ยค�ำ ดงั กลา่ วตอ้ งดว้ ย
ความหมายพิเศษอย่างไรตามย่อหน้าที่ 4 ของข้อ 31 ของอนุสัญญากรุง
เวยี นนาฯ เนอื่ งจากหลายครงั้ เปน็ ถอ้ ยคำ�ทางเทคนคิ ทเ่ี ขา้ ใจรบั รกู้ นั ระหวา่ งภาคี
เทา่ นัน้

หลักบริบทของถ้อยคำ�เป็นอีกหลักหน่ึงที่มีส่วนช่วยลดปัญหาจาก
การตีความโดยใช้เพียงหลักสุจริตและหลักความหมายสามัญของถ้อยคำ�
เนอ่ื งจากการตคี วามหมายตามหลกั ความหมายสามญั นน้ั เปน็ เพยี งกระบวนการ
หาความหมายในเบ้อื งตน้ เท่าน้นั บางครัง้ ถ้อยค�ำ มีความกำ�กวมไมช่ ัดเจนอาจ
ตีความหมายได้หลายนัยยะ หลักบริบทจึงถูกนำ�มาใช้บ่อยคร้ัง ซ่ึงบริบทน้ัน
ถูกนำ�มาขยายความหมายในย่อหน้าท่ี 2 ของข้อ 31 ว่า สามารถหาได้จาก
คำ�แวดล้อมใกล้กับเน้ือหาของถ้อยคำ�นั้น ซึ่งอาจอยู่ตลอดทั้งข้อ มาตรา
ย่อหน้า อารมั ภบท (preamble) บทผนวก (annex) ของความตกลงใด ๆ และ
เอกสารที่เกี่ยวข้องทั้งหมดที่มีปัญหาให้ต้องตีความนั้น หลักบริบทจึงเป็นส่วน
ช่วยให้การตีความถูกต้องและเหมาะสมในการตีความ ท้ังนี้ ความตกลงหรือ
เอกสารท่ีเกี่ยวข้องท่ีนำ�มาใช้ประกอบการตีความในฐานะท่ีเป็นบริบทของ
ถ้อยคำ�ของสนธิสัญญาน้ันจำ�กัดเฉพาะเอกสารที่ทำ�ขึ้นเพื่อการบรรลุความมุ่ง
หมายและวตั ถปุ ระสงคข์ องสนธสิ ญั ญานนั้ เทา่ นน้ั ส�ำ หรบั หลกั บรบิ ทนน้ั สามารถ
แบง่ ย่อยออกไดเ้ ปน็ 2 กลุม่ คอื กลุม่ แรก ความตกลงใด ๆ เกย่ี วกับสนธสิ ญั ญา

ดาว 1น9โ์ ห86ล)ด3จ256า ก5Bร.aะrบoบn ATrUnDoCldโดDยunนcาaยnอMรา่ cมNดaวirง, จTนัhทeรL์ aw of Treaties (Oxford University Press

392  60 ปี รศ.ดร.พันธุท์ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

ซ่ึงได้ทำ�ข้ึนระหว่างภาคีท้ังมวลที่เก่ียวเน่ืองกับการทำ�สนธิสัญญาน้ัน ซึ่งไม่
จ�ำ เปน็ วา่ ตอ้ งเปน็ สว่ นหนง่ึ ของสนธสิ ญั ญา แตต่ อ้ งสามารถพสิ จู นแ์ ละรบั รไู้ ดว้ า่
ภาคีในสนธิสัญญามีเจตนาแสดงออกเช่นนน้ั และกลุม่ ทีส่ อง เอกสารใด ๆ ของ
ภาคีฝ่ายหนึ่งหรือหลายฝ่ายที่เกี่ยวเน่ืองกับการทำ�สนธิสัญญาน้ันและได้รับ
การยอมรับโดยภาคอี นื่ ๆ วา่ เป็นเอกสารที่เกย่ี วขอ้ งกับสนธสิ ัญญานัน้ ซ่ึงส่งิ นี้
ไม่จำ�กัดว่าจะเป็นเอกสารลักษณะใด เพียงแต่ได้รับความยินยอมจากภาคี
ฝ่ายอ่ืนกเ็ พียงพอแลว้ 26

ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั ในยอ่ หนา้ ท่ี 3 ของขอ้ 31 ของอนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาฯ
นน้ั ยงั ไดก้ ลา่ วถงึ สง่ิ ทต่ี อ้ งค�ำ นงึ รว่ มกนั กบั บรบิ ทดว้ ยทง้ั สน้ิ 3 ประการ ประกอบ
ดว้ ย (1) ความตกลงใด ๆ ในภายหลงั (subsequent agreement) ระหวา่ ง
ภาคีเก่ียวกับการตีความสนธิสัญญาน้ันหรือการใช้ปฏิบัติของบทบัญญัติ
สนธสิ ญั ญาดังกล่าว ซ่งึ ไม่จ�ำ เปน็ ตอ้ งอย่ใู นรปู ของสนธิสัญญาเสมอไปเนอ่ื งจาก
ใช้คำ�ว่า “ความตกลง” ไม่ใช่ “สนธิสัญญา” ดังท่คี ณะกรรมาธิการกฎหมาย
ระหวา่ งประเทศไดเ้ คยกลา่ วไวว้ า่ “ในขณะทท่ี กุ สนธสิ ญั ญาเปน็ ความตกลง แต่
ทกุ ความตกลงไมจ่ �ำ เปน็ ตอ้ งเปน็ สนธสิ ญั ญา”27 ดงั นน้ั ความตกลงใด ๆ ภายหลงั
เชน่ วา่ นจ้ี งึ เปน็ สว่ นหนง่ึ ทส่ี �ำ คญั ในการค�ำ นงึ ถงึ ขณะตคี วามสนธสิ ญั ญา28 (2) ทาง
ปฏิบัติใด ๆ ภายหลัง (subsequent practice) ในการใช้ปฏิบัติสนธิสัญญา

26 Military and Paramilitary Activities in and against Nicaragua (Nicaragua v
United States of America) (Judgment on Jurisdiction and Admissibility) [1984] ICJ
Rep 392, 403.
27 ILC, ‘Report of the International Law Commission on the Work of its 68th
session’ (2 May-10 June and 4 July-12 August 2016) UN Doc A/71/10, 139.
28 Kasikili/Sedudu Island (Botswana v Namibia) (Judgment) [1999] ICJ Rep
ดาว1น0โ์ ห45ล,ดpจaากraร.ะ4บ8บ. TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์

บทความวชิ าการ  393

ซ่งึ แสดงถึงความตกลงของภาคีเก่ยี วกับการทำ�สนธิสัญญา ส่งิ น้สี ะท้อนให้เห็น
การยอมรบั และความเขา้ ใจของภาคใี นสนธสิ ญั ญาภายหลงั จากการแสดงเจตนา
เข้าผูกพันในสนธิสัญญาเร่ืองใด ๆ ซ่ึงเป็นไปตามหลักสัญญาต้องเป็นสัญญา
ทางปฏบิ ตั ฯิ ดงั กลา่ วมคี วามหมายคอ่ นขา้ งกวา้ งกวา่ ความตกลงในประการแรก
เน่ืองจาก คำ�ว่า ทางปฏิบัติฯ น้ันไม่จำ�เป็นต้องทำ�เป็นลายลักษณ์อักษรเช่น
เดยี วกบั ความตกลงฯ ซนิ แคลร์ (Sinclair) เคยอธบิ ายเอาไวว้ า่ ทางปฏบิ ตั ฯิ นน้ั
เป็นข้อเท็จริงหรือการกระทำ�ท่ีต่อเน่ืองท่ีกระทำ�ลงภายหลังจากท่ีได้ตกลง
เขา้ ผกู พนั ในสนธสิ ญั ญาฉบบั ใด ๆ กต็ าม29 และ (3) กฎเกณฑท์ เ่ี กย่ี วขอ้ งใด ๆ ของ
กฎหมายระหวา่ งประเทศ (relevant rules of international law) ทใ่ี ชใ้ น
ความสัมพันธ์ระหว่างภาคี ซ่งึ เป็นหลักท่สี ำ�คัญและค่อนข้างกว้าง เน่อื งจากมี
ความหมายรวมถงึ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ของกฎหมายระหว่างประเทศ บอ่ เกิดของ
กฎหมายระหวา่ งประเทศตามขอ้ 38 ของธรรมนญู ศาลยตุ ธิ รรมระหวา่ งประเทศ
และอ่ืน ๆ อีกจำ�นวนมาก จึงต้องใช้อย่างระมัดระวัง ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อ
การตคี วามไมต่ อ้ งตรงตามความหมายของสนธสิ ญั ญา

หลักความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของถ้อยคำ�เป็นหลักการท่ีมี
ความสำ�คัญพอสมควรในการตีความสนธิสัญญา ความมุ่งหมาย หมายถึง
เหตุผลของการท่ีทำ�สนธิสัญญาและที่มีบทบัญญัติน้ัน ๆ ส่วนวัตถุประสงค์
หมายถึง ผลท่ีต้องการจะให้เกิดขึ้นจากสนธิสัญญาหรือบทบัญญัตินั้น ๆ30
อยา่ งไรกด็ ี มกี ารถกเถยี งกนั พอสมควรเกย่ี วกบั สง่ิ ทสี่ ามารถน�ำ มาประกอบการ
ตีความเพ่ือค้นหาความมุ่งหมายและวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาว่าควรมี

29 Ian Sinclair, The Vienna Convention on the law of Treaties (2nd edn,
Manchester University Press 1984) 137.
ดาว นโ์ หลดจ30า กอรระุณบบภาTณUพุDงCศโ,์ ดอยา้ งนแาลย้วอรเชา่ ิงมอดรรวถงจทัน่ี 9ท,ร2์ 19.

394  60 ปี รศ.ดร.พันธทุ์ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสนุ ทร

ข้อจำ�กดั อย่างไร แต่ก็ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจนร่วมกันวา่ คุณสมบัติของส่ิงทีน่ �ำ
มาพิจารณาควรจะเป็นอย่างไร เพียงแต่ เป็นท่ียอมรับกันทั่วไปแล้วว่า หลัก
ดังกล่าวถูกใช้เพ่ือหาความชัดเจนของถ้อยคำ�ในสนธิสัญญาผ่านความมุ่งหมาย
และวัตถุประสงค์ของสนธิสัญญาน้นั เอง31

จะเหน็ ไดว้ า่ กฎเกณฑด์ งั กลา่ วถกู รา่ งขน้ึ อยา่ งคลมุ เครอื และสง่ ผลให้
มกี ารปรบั ใชก้ ฎเกณฑด์ งั กลา่ วในหลายรปู แบบ เชน่ ค�ำ พพิ ากษาของศาลยตุ ธิ รรม
ระหวา่ งประเทศในคดี Arbitral Award of 31 July 1989 ระหวา่ งกนิ -ี บสิ เซา
และเซเนกัล ซ่ึงศาลฯ อ้างถึง “หลักความหมายสามัญและความหมายตาม
ธรรมชาตขิ องถอ้ ยค�ำ ” รวมถงึ ค�ำ พพิ ากษาในคดขี อ้ พพิ าทแอฟรกิ าตะวนั ตกเฉยี ง
ใต้ เพ่อื ยอมรับว่า หลักดังกล่าวเป็นหลักท่ไี ม่สมบูรณ์ในตัวเอง เม่อื ใดก็ตามท่ี
ความหมายไมเ่ หมาะสมกบั ลกั ษณะ ความมงุ่ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ หรอื บรบิ ท
ของถ้อยคำ� ความหมายสามัญและความหมายตามธรรมชาติของถ้อยคำ�น้ัน
เปน็ อนั ใชไ้ มไ่ ด3้ 2 นอกจากนน้ั ในคดี Territorial Dispute ศาลไดอ้ า้ งถงึ ยอ่ หนา้
แรกของขอ้ 31 ของอนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาฯ และวางหลกั วา่ การตคี วามจะตอ้ ง
อยบู่ นฐานของถอ้ ยค�ำ ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรในสนธสิ ญั ญา การใชข้ อ้ วธิ ปี ระกอบ
การตคี วามจะตอ้ งท�ำ ขน้ึ เพอ่ื สอดคลอ้ งกบั ความหมายนน้ั 33 สงั เกตไดว้ า่ มคี วาม
แตกต่างกันอย่างชัดเจนในการปรับใช้กฎเกณฑ์ตามข้อ 31 ของอนุสัญญา
กรงุ เวยี นนาฯ ในคดแี รก ศาลใหน้ า้ํ หนกั กบั เจตนารมณท์ แ่ี ทจ้ รงิ ของสนธสิ ญั ญา

31 Legal Consequences of the Continued Presence of South Africa in
Namibia (Advisory Opinion) [1971] ICJ Rep 16, 30.
32 Arbitral Award of 31 July 1989 (Guinea-Bissau v Senegal) (Judgment) [1991]
ICJ Rep 53, para 48.
33 Territorial Dispute (Libyan Arab Jamahiriya v Chad) (Judgment) [1994] ICJ
ดาวRนeโ์ หpล6ด,จpาaกrรaะบ41บ. TUDC โดย นายอรา่ ม ดวงจันทร์

บทความวชิ าการ  395

มากกวา่ ถอ้ ยค�ำ ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร ในขณะทค่ี ดที ส่ี อง ศาลใหค้ วามส�ำ คญั กบั
ถอ้ ยค�ำ ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรเปน็ หลกั ดงั นน้ั กระบวนการตคี วามจงึ ยงั เปน็ ท่ี
คลมุ เครอื และไมแ่ นน่ อนอยมู่ ากพอสมควร

2.1.2 ข้อวิธที ใี่ ชป้ ระกอบการตคี วามสนธิสัญญา (ข้อ 32)
ข้อวิธีที่ใช้ประกอบการตีความสนธิสัญญาน้ันเป็นหลักการตีความที่
ใชอ้ ยา่ งมขี อ้ จ�ำ กดั กลา่ วคอื จะใชเ้ พอ่ื เปน็ การยนื ยนั ความหมายทเ่ี ปน็ ผลมาจาก
การใช้ปฏิบัติข้อ 31 หรือเพื่อกำ�หนดความหมายเม่ือมีการตีความตามข้อ 31
ของอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ แล้วยังปรากฏว่า ความหมายยังคลุมเครือไม่
แจ้งชัด หรือผลของการตีความน้ันเห็นได้ชัดว่าเกินวิสัยที่จะเช่ือว่าเป็นไปได้
หรอื ไมช่ อบดว้ ยเหตผุ ลเทา่ นน้ั เครอื่ งมอื ในการตคี วามตามขอ้ 32 นจ้ี ะพจิ ารณา
เอกสารท�ำ งานในขน้ั เตรยี มการ (preparatory work) และสภาวะแวดล้อมใน
การทำ�สนธสิ ญั ญา (circumstances of its conclusion) เทา่ นั้น เพ่อื ยืนยนั
ความหมายของถ้อยคำ�ที่ยังคลุมเครือหรือเกินวิสัยที่จะเป็นไปได้ภายหลังจาก
การปรับใชข้ อ้ 31 แล้ว
เอกสารท�ำ งานในขน้ั เตรยี มการ หมายถึง เอกสารใด ๆ ทีม่ ีอยขู่ ณะ
ท่รี ัฐต่าง ๆ เข้าทำ�สนธสิ ัญญากัน ตง้ั แต่คำ�เสนอของรฐั หน่ึงไปยังอีกรัฐหนงึ่ ค�ำ
สนองรบั กลบั มาวา่ จะท�ำ สนธสิ ญั ญาระหวา่ งกนั เอกสารเจรจาในการตอ่ รองผล
ประโยชนต์ า่ ง ๆ เอกสารวางเคา้ โครงรปู แบบการรา่ งและถอ้ ยค�ำ เอกสารรบั รอง
ผลการเจรจา เอกสารยืนยันความถูกต้องของเนื้อความ เอกสารแสดงเจตนา
ยอมรบั ทีจ่ ะผกู พันตามสนธสิ ัญญาฉบบั น้นั และเอกสารอืน่ ๆ ที่เก่ยี วข้องจนนำ�
ไปสู่การบังคับใช้สนธิสัญญาฉบับนั้น ๆ34 เอกสารต่าง ๆ เหล่าน้ีจะช่วยให้

ดาว น์โหลดจ34า กนรพะนบธิบิ สTรุ Uยิ Dะ,CLโeดcยtuนreายNอoรt่าeมs กดฎวงหจมนั าทยรร์ะหวา่ งประเทศ เลม่ 2 (วญิ ญชู น 2556) 80-81.

396  60 ปี รศ.ดร.พันธท์ุ ิพย์ กาญจนะจิตรา สายสนุ ทร

ผู้ตีความสามารถตีความได้ชัดเจนมากขึ้นเพราะจะเข้าใจเจตนารมณ์รวมถึง
ความเปน็ มาของสนธสิ ญั ญาฉบบั นน้ั เปรยี บเสมอื นศกึ ษาประวตั ศิ าสตรข์ องการ
เกิดขึ้นของสนธิสัญญาฉบับนั้น ๆ ให้ทราบว่า ผู้ร่างสนธิสัญญามีเจตนารมณ์
อยา่ งไร แตอ่ ยา่ งไรกด็ ี การคน้ หาเจตนารมณด์ ว้ ยวธิ กี ารนต้ี อ้ งท�ำ อยา่ งมขี อ้ จ�ำ กดั
เน่ืองจากเอกสารเหล่าน้ีเป็นเพียงหลักฐานในช้ันการทำ�งานก่อนสนธิสัญญามี
ผลใชบ้ งั คบั เท่านนั้

สภาวะแวดลอ้ มในการท�ำ สนธสิ ญั ญาเปน็ เรอื่ งทอี่ ยไู่ กลออกไปกวา่
เอกสารท�ำ งานในขน้ั เตรยี มการ เพราะเปน็ เพยี งสภาวะแวดลอ้ มในขณะทมี่ กี าร
รา่ งเอกสารตา่ ง ๆ ซ่งึ อาจส่งผลกระทบทำ�ใหร้ ่างสนธิสญั ญาน้นั ขึน้ มาใชบ้ งั คบั
เช่น การร่างกฎบัตรสหประชาชาติภายหลังจากสงครามโลกคร้ังท่ี 2 เป็น
เพราะสถานการณ์ขณะน้ัน จำ�เป็นต้องมีกฎระเบียบเฉพาะข้ึนมาเพื่อการอยู่
รว่ มกนั ของรฐั ต่าง ๆ แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม การอ้างสภาวะแวดลอ้ มในการทำ�สนธิ
สัญญาเพื่อใช้ในการตีความนับว่าเป็นประเด็นที่มีความเส่ียงอยู่มาก เนื่องจาก
หลักดังกล่าวไม่สามารถใช้เป็นหลักพ้ืนฐานในการตีความได้โดยตัวเอง แต่เป็น
เพยี งสง่ิ ประกอบการพิจารณาเพ่ือเสริมกระบวนการตีความเท่านนั้

2.1.3 การตีความสนธิสัญญาซ่ึงมีการยืนยันความถูกต้องของ
ภาษาต้ังแต่ 2 ภาษาขึน้ ไป (ข้อ 33)

เม่ือมีการทำ�สนธิสัญญาระหว่างรัฐ จะต้องมีการร่างสนธิสัญญาขึ้น
เป็นลายลักษณ์อักษรซ่ึงเป็นที่ทราบโดยท่ัวไปว่า ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษา
ทางการภาษาเดียวในโลกท่ีมีการใช้กนั อย่างแพรห่ ลาย หลายคร้ัง สนธิสัญญา
จงึ ถกู ท�ำ ขน้ึ หลายภาษา ซงึ่ สว่ นมากกม็ กั ใชภ้ าษาของชาตขิ องตนและภาษาของ
คู่สัญญาเป็นหลัก แต่บางครั้ง เมื่อมีการแปลภาษาออกมาแล้วมีความหมายท่ี
ดาวคน์โลหาลดดเจคากลรอ่ื ะนบแบตTกUตDา่Cงโกดนัยบนาา้ ยงอแรา่ตมค่ ดววางมจแันทตรก์ ตา่ งกนั แมเ้ พยี งเลก็ นอ้ ยนนั้ อาจสรา้ ง

บทความวชิ าการ  397

ปัญหาและข้อพิพาทตามมาเกิดข้ึนได้ว่าควรจะยึดเน้ือความตามสนธิสัญญา
ของชาติใด ซึ่งข้อ 33 ของอนุสัญญากรุงเวียนนาฯ ระบุให้พิจารณาเริ่มจาก
การแปลความหมายของสนธิสัญญาแต่ละภาษา หากเหมือนกันก็ไม่มีปัญหา
แตห่ ากตา่ งกนั และปรากฏมถี อ้ ยค�ำ ระบไุ วใ้ นสนธสิ ญั ญานนั้ เองวา่ ใหย้ ดึ ตามฉบบั
ภาษาใด ก็ใหเ้ ป็นไปตามน้นั แต่หากไม่ได้ตกลงกนั ไว้ ข้อ 33 ก�ำ หนดใหใ้ ชฉ้ บับ
ท่ีความหมายใกล้เคียงกับตัวบทมากที่สุดโดยพิจารณาความมุ่งหมายและ
วัตถปุ ระสงค์ของสนธิสญั ญานั้นเป็นหลัก

2.2 การตคี วามสนธสิ ญั ญานอกอนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาวา่ ดว้ ย
กฎหมายสนธสิ ญั ญา ค.ศ. 1969

อนุสญั ญากรุงเวยี นนาฯ ไม่ใชก่ ฎเกณฑฉ์ บบั เดยี วท่รี ะบุเรือ่ งการตคี วาม
สนธสิ ญั ญาเอาไว้ นอกเหนอื จากอนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาฯ แลว้ ประเดน็ เรอ่ื งการ
ตีความสนธิสัญญายังถูกระบุเอาไว้หลายแห่งและจำ�นวนมาก ดังนั้น จึงขอยก
กฎเกณฑ์บางส่วนท่ีน่าสนใจอนั พอจะสรปุ ในเบอ้ื งตน้ ไดด้ ังน้ี

2.2.1 หลักไวยากรณแ์ ละเจตนาของภาคี
หลกั ไวยากรณแ์ ละเจตนาของภาคเี ปน็ รากฐานของหลกั ความหมาย
สามญั ของถอ้ ยค�ำ ตามทป่ี รากฏในอนสุ ญั ญากรงุ เวยี นนาฯ การใชห้ ลกั ไวยากรณ์
ของภาษานบั เปน็ ประตดู ่านแรกของการตคี วามถ้อยค�ำ ในเรอ่ื งใด ๆ เนื่องจาก
เจตนาของภาคีแสดงออกให้เห็นชัดเจนเป็นลายลักษณ์อักษรในสนธิสัญญา
แตอ่ ยา่ งไรก็ตาม หากผลของการตคี วามตามหลกั ไวยากรณข์ องถ้อยคำ�นำ�ไปสู่
ความคลุมเครือหรอื ไม่สอดคล้องกับส่วนต่าง ๆ ของสนธิสญั ญาฉบับนั้น หลัก
ไวยากรณ์ดังกล่าวไม่สามารถใช้บังคับได้ การตีความโดยใช้หลักไวยากรณ์จะ
ดาวตน์โ้อหงลคดจำ�านกึงระถบึงบวัตTUถDุปCระโดสยงนคา์ขยออรงา่ ภมาดควีใงจนันกทารร์ เจรจาตกลงทำ�สนธิสัญญาฉบับน้ัน

398  60 ปี รศ.ดร.พันธุ์ทิพย์ กาญจนะจิตรา สายสนุ ทร

ผู้ตีความยังต้องคำ�นึงถึงเจตนาภายในของภาคีที่มีต่อการลงนามเข้าผูกพันใน
สนธสิ ัญญาด้วย โดยเฉพาะอยา่ งยิง่ ถอ้ ยค�ำ ท่ีมลี ักษณะเฉพาะซ่งึ เป็นทเ่ี ข้าใจกัน
ระหว่างภาคใี นสนธสิ ญั ญาเทา่ นน้ั สิง่ นีถ้ กู พฒั นาไปเปน็ ส่วนหน่งึ ของกฎเกณฑ์
ทั่วไปของการตีความสนธิสัญญาตามข้อ 31 วรรค 4 ของอนุสัญญากรุง
เวียนนาฯ

ในทางทฤษฎีแล้ว หลักไวยากรณ์ยังสอดคล้องกับแนวความคิด
ทางภาวะวิสัยหรือแนวความคิดท่ีถือถ้อยคำ�ในกฎหมายเป็นใหญ่ (textual
approach) ซง่ึ เปน็ แนวคดิ ทใ่ี หค้ วามส�ำ คญั กบั ถอ้ ยค�ำ ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรท่ี
ปรากฏในสนธิสัญญา ส่วนหลักเจตนาของภาคีน้ันสอดคล้องกับแนวความคิด
ทางอตั วสิ ยั หรอื แนวความคดิ ทถ่ี อื เจตนารมณข์ องรฐั ภาคเี ปน็ ใหญ่ (subjective
approach) ซ่งึ ให้ความสำ�คญั กบั เจตนารมณข์ องรัฐภาคีในสนธสิ ญั ญา ขอ้ หรือ
ตัวบทที่ปรากฏในสนธิสัญญาเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเจตนารมณ์ของรัฐภาคี
ท่ีมุ่งประสงค์ท่ีจะแสดงออก แต่แนวคิดประการหลังประสบปัญหาพอสมควร
เนอ่ื งจากในสนธสิ ญั ญาทมี่ คี วามซบั ซอ้ น เชน่ สนธสิ ญั ญาพหภุ าคซี ง่ึ ตกลงกนั ท�ำ
ขึ้นด้วยความยินยอมและเจตจำ�นงของรัฐมากกว่า 2 รัฐ เจตนาของภาคีของ
แตล่ ะรฐั จงึ อาจไมต่ ้องตรงกนั ทกุ ประการ

2.2.2 หลักวตั ถปุ ระสงค์และเนือ้ หาของสนธิสัญญา
หลักวัตถุประสงค์และเน้ือหาของสนธิสัญญาเป็นแนวความคิดท่ี
สะทอ้ นมาจากแนวความคดิ ทถ่ี อื วตั ถปุ ระสงคห์ รอื ความมงุ่ หมายของสนธสิ ญั ญา
เปน็ ใหญ่ (teleological approach) ซ่ึงให้ความสำ�คญั กบั ความหมายของสนธิ
สัญญาเป็นหลัก แนวความคิดน้ีได้รับการยอมรับอย่างมากในช่วงการร่าง
อนสุ ญั ญาวา่ ดว้ ยกฎหมายสนธสิ ญั ญาซงึ่ จดั ทำ� ณ มหาวทิ ยาลยั ฮารว์ ารด์ ในชว่ ง
ดาวปน์โี หคล.ดศจ.า1กร9ะ3บ5บ ซTUง่ึ เDนCน้ โใดนยเนรา่ือยงอกรา่ามรคดำ�วงนจงึ นั ถทึงรว์ ตั ถุประสงค์ของสนธสิ ัญญา พ้นื หลัง

บทความวชิ าการ  399

ของการท�ำ สนธิสญั ญา เอกสารท�ำ งานในขน้ั เตรียมการ สถานการณข์ องภาคีใน
ขณะที่ทำ�สนธิสัญญา การเปลี่ยนแปลงในสถานการณ์ท่ีนำ�ไปสู่ผล รวมถึงการ
ปฏิบัติที่ตามมาในการดำ�เนินการให้เป็นไปตามข้อบทในสนธิสัญญา ส่ิงเหล่านี้
นอกเหนือจากเนื้อหาของสนธิสัญญาแล้ว จะถูกนำ�มาพิจารณาร่วมกันกับ
วตั ถุประสงค์ทั่วไปซึ่งต้องสอดคล้องกับวัตถุประสงคข์ องสนธสิ ญั ญา

2.2.3 หลกั ความเหมาะสมและความสมาํ่ เสมอ
ในช่วงหลังมีแนวคิดจำ�นวนหนึ่งท่ีเน้นในเรื่องของการตีความสนธิ
สัญญาท่ีไม่ได้เป็นไปเพ่ือหาการหาความหมายท่ีแท้จริงของเนื้อความในสนธิ
สัญญา หากแต่เป็นไปเพ่ือหาความหมายที่เหมาะสมและสมํ่าเสมอสอดคล้อง
ต้องตรงกันในสนธิสัญญา ความสมํ่าเสมอนั้นหมายความว่า การตีความสนธิ
สัญญาจะต้องสอดคล้องและคำ�นึงถึงกฎหมายระหว่างประเทศที่มีอยู่และใช้
บังคบั อยู่แลว้ หลายตอ่ หลายคร้ัง หลักความเหมาะสมและความสม่าํ เสมอของ
การตีความก่อให้เกิดการตีความในรูปแบบท่ีแตกต่างไปจากรูปแบบเดิม เช่น
การปรบั ใชห้ ลกั กฎหมายตา่ งยคุ (intertemporal law) ซง่ึ เปน็ หลกั การทมี่ เี พอ่ื
แกไ้ ขปญั หาความเปลย่ี นแปลงของสงั คมในกรณที อี่ าจจะทำ�ใหก้ ฎหมายทที่ �ำ ขน้ึ
ในอดตี ไมส่ ามารถใช้ได้จรงิ ปัจจุบัน35

2.2.4 หลกั ความมีประสิทธผิ ล
หลักความมีประสิทธิผล บางครั้งเรียกว่า หลักตีความให้มีผล
(principle of effectiveness) เหน็ วา่ ถอ้ ยค�ำ ทกุ ถอ้ ยค�ำ ทเี่ ขยี นไวใ้ นสนธสิ ญั ญา
ต้องมีผลเสมอไม่ว่าบริบทด้านเวลาหรือสถานการณ์ต่าง ๆ จะเปลี่ยนแปลงไป

35 Island of Palmas (Netherlands v United States of America), Award of 4
ดาวAนp์โหriลl ด1จ9า2ก8ร,ะ2บRบIATAU8D2C9โ,ด8ย45น.ายอรา่ ม ดวงจันทร์

400  60 ปี รศ.ดร.พนั ธ์ทุ ิพย์ กาญจนะจติ รา สายสุนทร

อยา่ งไร แตท่ งั้ นี้ทัง้ น้นั ต้องอยูภ่ ายใต้การรองรบั ของหลักพน้ื ฐานทางกฎหมาย
ระหว่างประเทศ หลักความมีประสิทธิผลน้ีมีความเกี่ยวข้องและเชื่อมโยงกับ
แนวความคิดการตีความที่ถือวัตถุประสงค์หรือความมุ่งหมายของสนธิสัญญา
เป็นใหญ่ เน่ืองจากอยู่บนพื้นฐานของหลักการเดียวกันท่ีเห็นว่า รัฐภาคีใน
สนธสิ ญั ญายอ่ มมคี วามมงุ่ หมายและวตั ถปุ ระสงคใ์ นการตกลงเรอื่ งทสี่ ามารถใช้
บงั คับไดม้ ากกว่าทจี่ ะตกลงกนั ในเรื่องท่ีไมม่ ีผลหรอื ไมส่ ามารถใช้บังคับได3้ 6

3. ข้อสังเกตเบ้ืองต้นบางประการต่อการตีความสนธิ
สัญญา37

ประเดน็ เรอื่ งการตคี วามเปน็ ประเดน็ ทมี่ คี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากและยงั มี
ประเด็นอีกหลายประเดน็ ที่ยงั ไมเ่ ปน็ ที่ยุติ ในส่วนนี้ ผูเ้ ขียนขอนำ�เสนอแนวคิด
เบื้องต้นบางประการต่อการตีความสนธิสัญญาที่น่าสนใจและยังเป็นปัญหาให้
ถกเถียงกนั อยู่พอสมควร มรี ายละเอยี ดดงั น้ี

3.1 การไมม่ อี ยขู่ อง “ความหมายทแ่ี ทจ้ รงิ (true meaning)”
ในการตคี วามสนธิสัญญา

ย้อนกลับไปท่ีวัตถุประสงค์ของการตีความสนธิสัญญาน้ัน คือ เพ่ือ
หาความหมายของถอ้ ยค�ำ ทเ่ี ปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรและถกู บรรจไุ วใ้ นสนธสิ ญั ญา

36 Gerald Fitzmaurice, ‘The Law and Procedure of the International Court of
Justice 1951-4: Treaty Interpretation and Other Treaty Points’ (1957) 33 British
Yearbook of International Law 203, 211.
37 อนึ่ง ข้อสังเกตเบื้องตน้ บางประการนี้ เปน็ แนวคิดสว่ นหนง่ึ ของวิทยานิพนธป์ ริญญาเอก
ดาวทขนอำ�โ์ หกงผลาเู้รดขศจยี ึกานษกดราะเงั ชนบิงน้ับลึกขTตอ้Uอ่มDไลู Cปในโสดว่ยนนนาจ้ี ยงึ อเนรน้่ามในดสวว่ งนจทนั เ่ี ทปรน็ ์ ขอ้ คดิ เหน็ ทยี่ งั ไมแ่ นน่ อนของผเู้ ขยี นซง่ึ จะตอ้ ง


Click to View FlipBook Version