The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by E - Library, 2022-11-16 03:49:53

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

ค่มู อื ยุทธศาสตรก์ องทพั บก

ศนู ย์พฒั นาหลกั นยิ มและยุทธศาสตร์
กรมยุทธศกึ ษาทหารบก

คู่มอื ยุทธศาสตร์กองทพั บก
พมิ พ์ครง้ั ที่ 1 : พ.ศ. 2560
จำ� นวนพิมพ์ : 3,200 เล่ม
เรยี บเรียงโดย : กองพฒั นายุทธศาสตร์ ศูนยก์ ารพัฒนาหลกั นยิ มและยุทธศาสตร์
กรมยุทธศกึ ษาทหารบก
คณะจัดทำ� :
พล.ท.ณฐพนธ์ ศรีสวัสด์ิ ร.ต.หญงิ ทบั ทิม จารุเศรนี
พล.ต.สรุ ศักดิ ์ แพน้อย จ.ส.อ.วันชยั ภาวะไพบูลย์
พล.ต.วลั ลภ แดงใหญ่ จ.ส.อ.วฒั นา แนบเนยี น
พล.ต.พรเทพ วัชรวสิ ทุ ธ ์ิ จ.ส.อ.วีระ บญุ หยดั
พล.ต.สุรัต แสงสวา่ งดำ�รง จ.ส.อ.อานนท ์ บัวสอาด
พ.อ.ปรชี า ชุม่ ประดิษฐ์ จ.ส.อ.หญิง รัตนาพร ขลุ่ยทอง
พ.อ.เฉลมิ เกยี รต ิ ชาตมิ งคลวฒั น ์ นางพนิดา เรืองทรพั ย์
พ.อ.อนนั ต ์ แก้วดำ� นายประสทิ ธ ิ์ แป้นพันธ์ุ
พ.อ.หญงิ จงกลณ ี เชอื้ หน่าย น.ส.ณฐมนพร เขยี วนอ้ ย
พ.อ.หญิง วราล ี สทิ ธเิ ดชะ
พ.ท.พรพล ฟุง้ เกียรติ

ข้อมลู ทางบรรณานุกรมของส�ำ นักหอสมดุ แห่งชาติ
National Library of Thailand Cataloging in Publication Data
กรมยุทธศึกษาทหารบก. ศูนย์การพัฒนาหลักนยิ มและยทุ ธศาสตร์.
คูม่ ือยทุ ธศาสตรก์ องทัพบก.-- กรงุ เทพฯ : ศนู ย์พัฒนาหลักนยิ มและยุทธศาสตร์
กรมยทุ ธศึกษาทหารบก, 2560.
428 หน้า.
1. กองทพั บก--การบริหาร. 2. กองทพั บก--แงย่ ุทธศาสตร.์ I. ชื่อเร่อื ง.
356
ISBN 978-974-7510-43-0

จดั พมิ พโ์ ดย
ศนู ยพ์ ัฒนาหลักนยิ มและยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารบก
41 ถนนเทอดดำ�ริ เขตดสุ ิต กรงุ เทพฯ 10300
หมายเลขโทรศัพท์ 0 2241 4039, 0 2241 4067 ต่อ 89230-37
จดหมายอเิ ล็กทรอนกิ ส์ ท่ี [email protected]
เวบ็ ไซต์ htt://www.cdsd_rta.net

คำ� น�ำ

ยุทธศาสตร์กองทัพบก พ.ศ.2559 ได้จัดท�ำข้ึนเพื่อใช้เป็นแนวทาง
ในการศึกษาและพัฒนายุทธศาสตร์ท้ังในระดับยุทธศาสตร์ และการทัพจนถึงระดับ
ยุทธศาสตร์ความม่ันคงแห่งชาติ หลักการและทฤษฎีในหนังสือเล่มน้ีได้รวมทฤษฎี
ทางการทหาร ตลอดจนหลักสงครามที่เป็นสากล เน้ือหาท่ีส�ำคัญของหนังสือเล่มนี้
ออกแบบและวางพื้นฐานในบริบทของความม่ังคงและยุทธศาสตร์ตั้งแต่ระดับใหญ่สุด
ลงไปสู่ระดับความรูเ้ ฉพาะของยุทธศาสตร์ทหาร

กรมยุทธศึกษาทหารบกในฐานะท่ีเป็นหน่วยรับผิดชอบด้านการศึกษา
และการพัฒนาหลักนิยมของกองทัพบก จึงได้รวบรวมองค์ความรู้ที่จ�ำเป็นส�ำหรับ
นกั ยทุ ธศาสตรแ์ ละนกั การทหารของกองทพั บก เพอ่ื ใหก้ ำ� ลงั พลของกองทพั บกไดศ้ กึ ษา
เรียนรู้ถึงหลักพ้ืนฐานทางยุทธศาสตร์ และล�ำดับชั้นของยุทธศาสตร์ที่ถูกต้อง จะได้
นำ� องคค์ วามรนู้ ไี้ ปใชป้ ระโยชนใ์ นการปอ้ งกนั ประเทศใหเ้ กดิ ความมนั่ คงของชาตสิ บื ไป

หากมีข้อแนะน�ำ ติชม ประการใด สามารถเสนอแนะได้ที่ กองพัฒนา
หลักนิยม ศูนย์พัฒนาหลักนิยมและยุทธศาสตร์ กรมยุทธศึกษาทหารบก เลขที่ 41
ถนนเทอดดำ� ริ เขตดสุ ติ กรงุ เทพมหานคร 10300 หรอื ท่ี [email protected]
โทร 0 2241 4039

พลโท
(ณฐพนธ์ ศรสี วัสดิ์)

เจ้ากรมยุทธศกึ ษาทหารบก

ค�ำนำ� คณะท�ำงาน

หนังสอื “คู่มือยุทธศาสตรก์ องทพั บก” ท่ีได้จัดท�ำขนึ้ น้ี คอื องค์ความรู้
ทจ่ี ำ� เปน็ สำ� หรบั นกั ยทุ ธศาสตรแ์ ละนกั การทหารของกองทพั บก เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทาง
ในการศึกษาและพัฒนายุทธศาสตร์ทั้งในระดับยุทธการและการทัพจนถึงระดับ
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงแห่งชาติ เป็นการฝึกสร้างมุมมองต่อการแก้ไขปัญหาโดย
อาศัยการคิดแบบองค์รวม (Holistic Thinking) เนื้อหาส�ำคัญของหนังสือเล่มน้ี
เรม่ิ จากการออกแบบและวางเนอ้ื หาพน้ื ฐานในบรบิ ทของความมนั่ คงและยทุ ธศาสตร์
ตงั้ แตร่ ะดบั ใหญส่ ดุ ลงไปสรู่ ะดบั ความรเู้ ฉพาะของยทุ ธศาสตรท์ หารซง่ึ กองทพั บก จำ� เปน็
ตอ้ งเขา้ ไปมสี ว่ นเกย่ี วขอ้ งตามลำ� ดบั ไดแ้ ก่ ความมนั่ คงแหง่ ชาติ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ
พนื้ ฐานของสงคราม หลกั พน้ื ฐานของยทุ ธศาสตร์ กระบวนการกำ� หนดยทุ ธศาสตร์
ยุทธศาสตร์ชาติ และยุทธศาสตร์ทหาร รวมถึงองค์ความรู้ที่จ�ำเป็นต่อการพัฒนา
ตนเองของผู้ศึกษาให้ก้าวไปสู่การเป็นนักยุทธศาสตร์และนักการทหารชั้นสูง
ของกองทพั บก ไดแ้ ก่ ตรรกะของยทุ ธศาสตร์ การกำ� หนดวตั ถปุ ระสงคข์ องยทุ ธศาสตร์
การกำ� หนดแนวคดิ ทางยทุ ธศาสตร์ การกำ� หนดยทุ ธศาสตร์ การตรวจสอบยทุ ธศาสตร์
และการน�ำยุทธศาสตร์ไปใช้ ทั้งนี้ก็เพ่ือให้ผู้ศึกษาได้มีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ
กระบวนการจดั ทำ� ยทุ ธศาสตรจ์ นนำ� ไปสกู่ ารออกแบบยทุ ธศาสตรท์ หารทเี่ หมาะสม
ไดต้ ่อไป
การจัดท�ำหนังสือ “คู่มือยุทธศาสตร์กองทัพบก” เล่มน้ี เกิดจาก
ดำ� ริของ พล.ท.สรชัช วรบัญญา อดีต ผอ.ศพย.ยศ.ทบ.ทตี่ อ้ งการปรบั ปรงุ หนังสอื
“หลกั ยทุ ธศาสตร”์ ของ พล.ต.พจน์ พงศส์ วุ รรณ เพอื่ ใชเ้ ปน็ เอกสารประกอบการศกึ ษา
ของนกั ศกึ ษาวทิ ยาลยั การทพั บก และนายทหารนกั เรยี นโรงเรยี นเสนาธกิ ารทหารบก
รวมถึงเพื่อใช้เป็นแนวทางในการศึกษาและปฏิบัติงานของก�ำลังพลและ
หน่วยในกองทัพบกตั้งแต่กรม-กองพลข้ึนไป ทั้งน้ี พล.ต.พจน์ พงศ์สุวรรณ
ในฐานะเจ้าของลิขสิทธ์ิ ได้กรุณาอนุญาตให้คณะท�ำงานการจัดท�ำหนังสือ

หลกั ยทุ ธศาสตร์ สามารถเรยี บเรยี งกำ� หนดขอบเขต ปรบั ปรงุ เนอ้ื หา และจดั ทำ� หนงั สอื
หลักยุทธศาสตร์ขึ้นใหม่ในชื่อ “คู่มือยุทธศาสตร์กองทัพบก” ได้อย่างเต็มที่
เพื่อให้หนังสือฉบับใหม่น้ีมีเน้ือหาที่ครบถ้วน สมบูรณ์ ทันสมัย และเหมาะสม
ท่ีจะใช้เป็นแนวทางในการศึกษาด้านยุทธศาสตร์ของกองทัพบกให้มากที่สุด
ดังน้ัน หลักการและทฤษฎีในหนังสือเล่มนี้ จึงเป็นการผสมผสานปรัชญาและ
ทฤษฎีทางการทหาร ตลอดจนหลักการสงครามท่ีเป็นสากลเข้าไว้ด้วยกัน
คณะทำ� งานจดั ทำ� หนงั สอื คมู่ อื ยทุ ธศาสตรก์ องทพั บกใครข่ อขอบคณุ ผอ.ศพย.ยศ.ทบ.
ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พล.ต.พจน์ พงศ์สุวรรณ ท่ีท�ำให้หนังสือเล่มน้ีส�ำเร็จลุล่วง
ไปดว้ ยดี และหวงั เปน็ อยา่ งยง่ิ ดว้ ยวา่ หนงั สอื เลม่ นจ้ี ะเปน็ ประโยชนแ์ กน่ กั การทหาร
ของกองทัพบกที่ต้องการพัฒนาตนเองให้เป็นทหารมืออาชีพและนักยุทธศาสตร์
ท่ีถึงพร้อมด้วยความรู้และความเข้าใจเก่ียวกับความมั่นคงและยุทธศาสตร์ศึกษา
เพื่อน�ำองค์ความรู้น้ีไปใช้เป็นเครื่องมือในการวางแผนเพ่ือการป้องกันประเทศ
ของเราตอ่ ไป

คณะทำ� งานจดั ท�ำหนงั สอื คู่มอื ยุทธศาสตร์กองทพั บก

สารบญั

ค�ำน�ำ หนา้
สารบญั ก
สารบัญภาพ ข
สารบัญตาราง ช
บทท่ี 1 : ความมนั่ คงแหง่ ชาติและพลงั อ�ำนาจแห่งชาต ิ ญ
1. ความม่ันคงแห่งชาติ 1
ก. กลา่ วน�ำ 1
ข. ความหมาย 2
ค. องคป์ ระกอบพืน้ ฐานของความม่ันคงแหง่ ชาติ 8
ง. การประเมนิ ค่าความมัน่ คงแห่งชาติ 12
จ. ความสัมพันธ์ระหว่างความม่นั คงแห่งชาต ิ 17
กับยุทธศาสตรช์ าต ิ 19
2. พลังอ�ำนาจแห่งชาติ 19
ก. กลา่ วน�ำ 21
ข. ความหมายของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ 22
ค. องค์ประกอบของพลังอ�ำนาจแห่งชาติ 41
ง. การวเิ คราะห์องค์ประกอบของพลังอำ� นาจแหง่ ชาติ 50
จ. การประเมนิ พลังอำ� นาจแหง่ ชาต ิ 56
3. สรปุ

หนา้

บทท่ี 2 : หลักพนื้ ฐานของสงคราม 65
1. กล่าวนำ�
2. ความหมาย 65
3. รูปแบบของสงคราม 67
ก. สงครามท่ัวไป 68
ข. สงครามจำ� กัด 68
ค. สงครามกองโจร 69
ง. สงครามกลางเมือง 69
จ. สงครามตวั แทน 69
4. หลกั การสงคราม 70
ก. ความหมาย 72
ข. วิวัฒนาการของหลักการสงคราม 73
ค. หลักการสงครามท่ีส�ำคัญในอดตี 74
ง. หลักการสงครามของกองทพั บกสหรฐั อเมริกา 77
จ. หลักการสงครามของไทย 78
ฉ. เนอื้ หาของหลกั การสงคราม 80
5. กฎของสงคราม 84
ก. ทฤษฎสี งครามอนั ชอบธรรม 84
ข. ความเปน็ มาของกฎของสงคราม 89
ค. กฎของสงครามในปัจจบุ ัน 90
ง. วตั ถุประสงคข์ องการมีกฎของสงคราม 90
จ. ตัวอย่างของกฎของสงครามท่สี ำ� คัญ 91
ฉ. กฎหมายระหว่างประเทศที่ส�ำคญั และเกี่ยวข้อง
กับกฎของสงคราม 93

หนา้

6. หลกั นยิ ม 93
ก. ความหมาย 93
ข. ความสัมพันธ์ระหวา่ งหลกั นยิ มกับยุทธศาสตร ์
ยุทธการ และยทุ ธวิธี 95
ค. ความสมั พนั ธ์ระหว่างประวตั ศิ าสตร์กบั หลักนิยมทางทหาร 97
7. สรุป 102
บทที่ 3 : หลกั พน้ื ฐานของยทุ ธศาสตร์
1. กล่าวน�ำ 107
2. ความหมายของคำ� ว่า “ยทุ ธศาสตร์” 107
3. แนวคิดของนกั ยุทธศาสตรท์ ี่มชี อื่ เสียงของโลก 109
ก. ซนุ วู 109
ข. นคิ โคโล มาเคยี เวลล ี 112
ค. คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ ์ 114
ง. อลั เฟรด เทเยอร์ มาฮาน 117
จ. เซอร์ ฮัลฟอรด์ แมกคินเดอร์ 120
ฉ. คาร์ล เฮาสโ์ ฮฟเฟอร์ 123
ช. นิโคลสั สปคิ แมน 126
4. วิวัฒนาการของยทุ ธศาสตร์ 130
ก. ยทุ ธศาสตร์การทำ� สงครามในยคุ โบราณ 130
ข. ยุทธศาสตรก์ ารทำ� สงครามในยคุ กลาง 138
ค. ยุทธศาสตรก์ ารทำ� สงครามในยคุ ดนิ ปนื 144
ง. ยุทธศาสตร์การทำ� สงครามในยุคอุตสาหกรรม 151
จ. ยทุ ธศาสตรก์ ารทำ� สงครามในยุคปัจจุบัน 158
5. ตวั อย่างการก�ำหนดยทุ ธศาสตร์ของโลก
หลังยคุ สงครามเยน็ 163
6. สรุป 174

หนา้

บทที่ 4 : กระบวนการก�ำหนดยทุ ธศาสตร์ 183
1. กลา่ วนำ�
2. ตรรกะของยุทธศาสตร ์ 185
ก. ยทุ ธศาสตรม์ ีลกั ษณะเชงิ รุก และคาดการณล์ ว่ งหน้าได้
แต่ไมไ่ ชก่ ารทำ� นาย 187
ข. ยทุ ธศาสตรต์ ้องตอบสนองความมุ่งประสงค์ทางการเมือง 188
ค. ยทุ ธศาสตรอ์ ยูภ่ ายใต้สภาพแวดลอ้ มทางยุทธศาสตร ์ 189
ง. ยุทธศาสตร์มลี ักษณะท่เี ปน็ องค์รวม 189
จ. ยทุ ธศาสตรน์ ำ� มาซง่ึ การเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อม
ทางยทุ ธศาสตร ์ 190
ฉ. ยทุ ธศาสตรม์ ีเป้าหมาย และมเี หตุผลทีจ่ ะตอ้ งบรรลุ
เป้าหมาย 192
ช. ยทุ ธศาสตรต์ อ้ งมปี ัจจยั พิจารณาท้ังเชิงปรมิ าณและคณุ ภาพ 192
ซ. ยุทธศาสตรม์ ีความฝดื แฝงอยดู่ ้วยเสมอ 193
ฌ. ยทุ ธศาสตรม์ ่งุ ไปที่สาเหตุ และความม่งุ ประสงค์ทแี่ ทจ้ รงิ 193
ญ. ยุทธศาสตรม์ ีล�ำดบั ชนั้ 194
ฎ. ยทุ ธศาสตร์มีความสัมพนั ธ์กับเวลา 197
ฏ. ยุทธศาสตรเ์ ปน็ สิ่งทบั ทวีมากขึ้นตลอดเวลา 198
ฐ. ยุทธศาสตรค์ �ำนึงถงึ ประสทิ ธผิ ลมากกว่าประสทิ ธภิ าพ 199
ฑ. ยุทธศาสตรม์ ีความสมดลุ ระหว่างปัจจยั จุดหมาย แนวทาง
และเครอื่ งมือ 200
ฒ. ยุทธศาสตรต์ ้องพิจารณาถงึ ความเส่ยี งทีเ่ กยี่ วขอ้ ง 201
3. สภาพแวดลอ้ มทางยทุ ธศาสตร์ 202
ก. สภาพแวดลอ้ มทางยทุ ธศาสตรม์ คี วามผนั ผวนเปน็ ธรรมชาต ิ 205
ข. สภาพแวดลอ้ มทางยทุ ธศาสตรม์ คี วามวนุ่ วายและ
ความซบั ซอ้ นเป็นธรรมชาติ 206

หนา้

ค. สภาพแวดล้อมทางยทุ ธศาสตรม์ ีลกั ษณะของพลวตั 209
ท่ีมิใชเ่ ชงิ เสน้
ง. สภาพแวดล้อมทางยทุ ธศาสตรม์ ีลักษณะของ
การมปี ฏสิ ัมพันธแ์ ละปรับเปลี่ยนได ้ 211
จ. สรปุ 213
4. การก�ำหนดวัตถุประสงคท์ างยุทธศาสตร์ 214
ก. วตั ถปุ ระสงคท์ างยทุ ธศาสตรต์ อ้ งสะทอ้ นความพงึ พอใจ
ตอ่ ประสิทธผิ ล 215
ข. วตั ถปุ ระสงคท์ างยทุ ธศาสตรต์ อ้ งสอดคลอ้ งและตอบสนอง
นโยบายทางการเมือง 216
ค. วตั ถปุ ระสงคท์ างยทุ ธศาสตรต์ อ้ งเปน็ ของตนเอง และ
ไมก่ ้าวก่ายผอู้ นื่ 220
ง. วัตถปุ ระสงคท์ างยทุ ธศาสตรต์ ้องมคี วามสมเหตุสมผล 223
5. การก�ำหนดแนวคดิ ทางยุทธศาสตร์ 226
ก. ใหใ้ ชแ้ นวคดิ ทางยทุ ธศาสตรเ์ ป็นศนู ยก์ ลางของยทุ ธศาสตร์ 227
ข. ใชแ้ นวคดิ ทางยุทธศาสตร์ทหี่ ลากหลายตอ่ การบรรล ุ
วัตถุประสงคท์ างยทุ ธศาสตร ์ 228
ค. อยา่ หลงติดกบั ความเปน็ “เอกนิยม” 230
ง. เม่อื คดิ ว่าแนวคิดทางยทุ ธศาสตรใ์ ดดีท่สี ุดแลว้ กไ็ ม่ต้อง
ลงั เลสงสัยอะไรอีก 231
จ. ใชแ้ นวคดิ ทางยทุ ธศาสตรเ์ ปน็ คำ� ตอบใหก้ บั คำ� ถามภาพใหญ ่ 233
6. ทรพั ยากรในยุทธศาสตร์ 234
7. การตรวจสอบยทุ ธศาสตร ์ 238
ก. ความเหมาะสม 238
ข. ความเป็นไปได้ 238

ค. ความยอมรบั ได ้ หนา้
ง. การประเมินความเส่ยี ง 239
8. สรปุ 239
241

บทที่ 5 : ยทุ ธศาสตร์ชาติ 249
1. กล่าวน�ำ
2. พ้ืนฐานส�ำคญั ท่เี ก่ยี วขอ้ งกับยุทธศาสตรช์ าติ 250
ก. ความมุง่ ประสงคแ์ ห่งชาติ 250
ข. ผลประโยชนแ์ ห่งชาต ิ 257
ค. วัตถปุ ระสงคแ์ หง่ ชาต ิ 266
ง. นโยบายแหง่ ชาติ 275
3. โครงสรา้ งและการกำ� หนดรปู แบบยทุ ธศาสตรช์ าต ิ 378
4. การประเมินยุทธศาสตรช์ าติ 283
ก. ขั้นท่ี 1 : ระบปุ ญั หา 285
ข. ขั้นที่ 2 : พสิ ูจนท์ ราบผลประโยชน์แหง่ ชาติ 285
ค. ขน้ั ท่ี 3 : ตรวจสอบสิง่ แวดลอ้ มระหวา่ งชาต ิ 286
ง. ขัน้ ที่ 4 : พฒั นาทางเลือกของวัตถุประสงค์หรอื นโยบาย 288
จ. ขั้นที่ 5 : วเิ คราะห์ทางเลอื ก 289
ฉ. ขั้นที่ 6 : สรุปและเสนอแนะ 290
5. การศกึ ษาเฉพาะกรณ ี 291
ก. การไดม้ าซ่ึงยทุ ธศาสตร์ชาตขิ องสหรฐั อเมริกา 291
ข. ยทุ ธศาสตรช์ าตขิ องสาธารณรฐั ประชาชนจีน 307
6. สรุป 310

หนา้

บทท่ี 6 : ยทุ ธศาสตรท์ หาร 315
1. กลา่ วน�ำ
2. แนวคิดของการศึกษายุทธศาสตรท์ หาร 317
ก. ก�ำลงั ทางบก 328
ข. ก�ำลังทางเรือ 328
ค. กำ� ลงั ทางอากาศ 328
3. การก�ำหนดยุทธศาสตรท์ หาร 329
4. การพัฒนายุทธศาสตร์ทหาร 332
ก. แผนยทุ ธศาสตร์ทหาร 337
ข. ระบบการวางแผน การวางโครงการ และการทำ� งบประมาณ 341
ค. การพัฒนายุทธศาสตรท์ หารในห้วงระยะเวลาปานกลาง 346
ง. การกำ� หนดโครงสร้างก�ำลังรบ 346
จ. ข้อพจิ ารณาในการพฒั นายุทธศาสตร์ทหาร 347
ฉ. เอกสารการวางแผนยทุ ธศาสตร์ร่วมของสหรัฐอเมริกา 350
ช. การพฒั นายทุ ธศาสตรท์ หารในภมู ิภาคของสหรัฐอเมริกา 350
5. ความจำ� เป็นในการใช้งบประมาณในการป้องกนั ประเทศ 362
6. การด�ำเนนิ กรรมวธิ ดี ้านงบประมาณป้องกันประเทศของไทย 369
ก. การจัดทำ� งบประมาณของกระทรวงกลาโหมของไทย 372
ข. โครงการปอ้ งกนั ประเทศ 5 ปี ของสหรัฐอเมรกิ า 374
7. สรปุ 377
บทท่ี 7 การจดั ท�ำแผนยทุ ธศาสตรข์ องหนว่ ยงานภาครฐั
และหนว่ ยงานพลเรอื น
1. กล่าวนำ� 381
2. แนวคิดของการจัดท�ำแผนยทุ ธศาสตร ์ 382
3. กระบวนการจดั ทำ� แผนยทุ ธศาสตร ์ 383
ก. การวิเคราะห์ปจั จยั ทางยทุ ธศาสตร์ 384

หนา้

ข. การจดั วางทิศทางขององคก์ าร 385
ค. การวิเคราะหป์ ระเด็นส�ำคญั ท่มี ุง่ เนน้
และให้ความส�ำคญั ตอ่ การบรรลุผลส�ำเรจ็ 385
ง. การก�ำหนดเป้าประสงค์ของแตล่ ะประเด็นยุทธศาสตร์ 385
จ. การก�ำหนดตวั ช้วี ดั และเปา้ หมายของแต่ละตวั ชีว้ ัด 386
ฉ. การก�ำหนดกลยทุ ธแ์ ละสง่ิ ทจี่ ะกระทำ� เพือ่ ให้
บรรลเุ ป้าประสงค์ 386
4. สรุป 286
ภาคผนวก กระบวนการจัดท�ำหนังสือ “คมู่ อื ยทุ ธศาสตร์กองทัพบก” 389
บรรณานกุ รม 393

สารบัญภาพ

ภาพท่ี 1-1 วอลเทอร์ ลิปป์มนั น์ หนา้
ภาพท่ี 1-2 ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ 5
ภาพท่ี 1-3 ฮาโรลด์ บราวน ์ 5
ภาพที่ 1-4 ชารล์ ไมเยอร์ 5
ภาพที่ 1-5 ประภาการงั ปาเลร ี 6
ภาพท่ี 1-6 ความมั่นคงทางเศรษฐกจิ 6
ภาพท่ี 1-7 การป้องกนั เชงิ ลึกหลายชนั้ เหมอื นกลบี หวั หอม 9
ภาพที่ 1-8 ผลผลติ ธาตหุ ายากของโลกในระหวา่ งปี ค.ศ.1950-2000 10
ภาพที่ 2-1 นโปเลยี น โบนาปารต์ 39
ภาพที่ 2-2 คารล์ ฟอน เคลาเซวิทซ์ 74
ภาพท่ี 2-3 องั ตวน อองรี โจมิน ี 75
ภาพที่ 2-4 เจ.เอฟ.ซ.ี ฟลู เลอร์ 75
ภาพที่ 2-5 ตำ�ราพิชัยสงครามของไทย 76
ภาพท่ี 2-6 มหาภารตะยทุ ธ 79
ภาพที่ 2-7 การเปรยี บเทยี บระหวา่ งหลกั นยิ มทางทหารกบั โครงสรา้ ง 85
ของตน้ ไม้ 99
ภาพท่ี 2-8 แผนภมู แิ สดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการกำ�หนดหลกั นยิ ม
ทางทหารกบั การกำ�หนดยทุ ธศาสตร ์ 101
ภาพท่ี 3-1 ซุนว ู 109
ภาพท่ี 3-2 นคิ โคโล มาเคยี เวลลี 112
ภาพท่ี 3-3 คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ ์ 114
ภาพที่ 3-4 อลั เฟรด เทเยอร ม์ าฮาน 117

หนา้

ภาพท่ี 3-5 เซอร์ ฮลั ฟอรด์ แมกคินเดอร์ 120
ภาพท่ี 3-6 ทฤษฎี “ใจโลก” ของแมกคินเดอร ์ 122
ภาพที่ 3-7 คารล์ เฮาส์โฮฟเฟอร์ 123
ภาพที่ 3-8 นิโคลัส สปคิ แมน 126
ภาพท่ี 3-9 แผนที่ภมู ริ ฐั ศาสตร์ของสปคิ แมน 127
ภาพที่ 3-10 การทำ�สงครามในยุคโบราณ 131
ภาพท่ี 3-11 การทำ�สงครามในยุคกลาง 139
ภาพท่ี 3-12 การทำ�สงครามในยคุ ดนิ ปนื 145
ภาพท่ี 3-13 การทำ�สงครามในยุคอุตสาหกรรม 152
ภาพท่ี 3-14 การทำ�สงครามในยุคปจั จบุ นั 159
ภาพท่ี 3-15 การขยายตัวขององคก์ ารนาโต ้ 171
ภาพที่ 4-1 ความครอบคลุมของยทุ ธศาสตร ์ 191
ภาพที่ 4-2 ความสัมพันธ์ระหว่างระดบั ของสงครามกับลำ�ดับชั้นของ
ยทุ ธศาสตรพ์ ฒั นามาจาก : Harry R. Yarger , Ibid p.12 196
ภาพที่ 4-3 ตัวอยา่ งการประยุกต์ใชต้ ัวแบบของยทุ ธศาสตร์
จดุ หมาย (Ends) วธิ กี าร (Ways) และเคร่อื งมือ (Means) 204
ภาพท่ี 4-4 ผลกระทบจากปรากฏการณผ์ เี สือ้ กระพอื ปกี 213
ภาพที่ 4-5 การใช้ยทุ ธศาสตรส์ งครามสายฟา้ แลบของ
กองทัพเยอรมนีในระหวา่ งสงครามโลกครั้งท่ี 2 234
ภาพท่ี 5-1 การกำ�หนดรูปแบบยทุ ธศาสตร์ 280
ภาพที่ 5-2 โครงสร้างการกำ�หนดยุทธศาสตร์ 281
ภาพที่ 5-3 การประเมินยุทธศาสตร์ชาต ิ 284
ภาพท่ี 5-4 ขัน้ ตอนการได้มาซงึ่ ยุทธศาสตร์ชาตขิ องสหรัฐอเมริกา 292

หนา้

ภาพที่ 6-1 แบบจำ�ลองของยทุ ธศาสตรท์ หารอยา่ งหน่งึ 323
ภาพท่ี 6-2 แสดงแบบจำ�ลองยทุ ธศาสตร์ทหารทีม่ ีองค์ประกอบ
ไม่สมดลุ กัน 324
ภาพท่ี 6-3 การประมาณสถานการณท์ างยทุ ธศาสตร ์ 333
ภาพที่ 6-4 แสดงความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งยุทธศาสตร์ชาติกับ
ยทุ ธศาสตร์ทหาร 339
ภาพที่ 6-5 แสดงความสัมพันธร์ ะหว่างแผนยทุ ธศาสตรท์ หารกับระบบ
การวางแผน การจัดทำ�โครงการ และการทำ�งบประมาณ 345
ภาพท่ี 6-6 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งยทุ ธศาสตร์ชาติ และนโยบาย
ทางทหารทส่ี นบั สนุนยุทธศาสตรช์ าติ 348
ภาพที่ 6-7 ขนั้ ตอนการพฒั นากำ�ลังรบ และการเปรยี บเทยี บ
ระหวา่ งค่าความเสย่ี งกบั ขดี ความสามารถทส่ี วนทางกัน 349
ภาพที่ 6-8 แสดงระบบการจดั หนว่ ยทางทหารของสหรฐั อเมรกิ า 356
ภาพท่ี 6-9 แสดงระบบการจดั หน่วยทางทหารของไทย 356
ภาพที่ 6-10 แผนภมู ิของการกำ�หนดยทุ ธศาสตรท์ หาร
ของสหรัฐอเมริกา 359
ภาพที่ 6-11 การกำ�หนดยุทธศาสตรช์ าติและยุทธศาสตรท์ หาร
ของสหรฐั อเมริกา 361
ภาพท่ี 6-12 แผนภมู งิ บประมาณกระทรวงกลาโหม 371
ภาพท่ี 6-13 ผังทางเดนิ การเสนองบประมาณ 373
ภาพที่ 7-1 กระบวนการในการจดั ทำ�แผนยทุ ธศาสตรข์ อง กพร. 383

สารบัญตาราง

หน้า
ตารางท่ี 1-1 ขนาดของกองทพั ประเทศตา่ งๆ เมอื่ เทยี บเปน็ ปรมิ าณกำ� ลงั พล 30
ตารางที่ 1-2 แสดงผลติ ผลน�้ำมันดบิ ของโลกในปี ค.ศ.2013 36
ตารางท่ี 1-3 การประเมนิ ค่าพลงั อ�ำนาจแหง่ ชาติของประเทศต่างๆ
ท่ัวโลกในระหวา่ งปี ค.ศ.1978-1994 54
ตารางที่ 6-1 แสดงงบประมาณรายจ่ายในการป้องกันประเทศ
ของสหรัฐอเมริกาในห้วงปี 1944-1982 366



บทที่ 1
ความมั่นคงแห่งชาติและพลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ
(National Security and National Power)

1. ความม่ันคงแห่งชาติ
ก. กลา่ วนำ�
ในปจั จบุ นั การเปลย่ี นแปลงทางสงั คมโลก และลกั ษณะของความขดั แยง้
ระหวา่ งประเทศ อยใู่ นสภาวการณท์ กี่ อ่ ใหเ้ กดิ ความยงุ่ ยากและสลบั ซบั ซอ้ นมากขนึ้
ถึงแม้เป็นห้วงระยะเวลาท่ีประเทศชาติพ้นจากสภาพของการสงครามแล้วก็ตาม
แต่ทุกประเทศก็ยังต้องประสบกับปัญหาในเร่ืองความปลอดภัยนานัปการ ในอดีต
หากประเทศใดไม่มีสงคราม หรอื สงครามได้ยตุ ลิ งแลว้ ประเทศนั้นกจ็ ะมีสันติภาพ
และความปลอดภัยควบคู่กันไป แต่ในปัจจุบันสภาพการณ์กลับตรงกันข้าม
แม้ประเทศต่างๆ จะไม่มีสงครามหรือการสู้รบแล้ว แต่ประเทศเหล่าน้ี อาจไม่มี
ความม่ันคงปลอดภัยเลยก็ได้ ทั้งน้ีอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุ 2 ประการ คือ
1) ภยั ต่อความมั่นคงภายนอกอันสบื เนื่องมาจากผลประโยชนแ์ ห่งชาติ (National
Interests) ที่ท�ำให้แต่ละประเทศมีการสะสมก�ำลังรบไว้มหาศาลเกินความจ�ำเป็น
และอาจน�ำไปใชร้ กุ รานหรือคกุ คามประเทศอื่น และ 2) ภัยตอ่ ความมน่ั คงภายใน
เช่น การก่อการรา้ ย การกอ่ ความไม่สงบภายในประเทศ และภัยธรรมชาติ เป็นตน้
หากกล่าวถึงความมน่ั คง คนส่วนมากมกั เข้าใจว่า เปน็ เรื่องทเ่ี กยี่ วกบั
การทหาร การสู้รบ หรือสงครามโดยตรง ความเข้าใจเช่นนี้อาจเป็นความจริง
ในสมัยก่อน เพราะในสมัยนั้น ภัยคุกคามท่ีจะมีผลกระทบต่อประเทศชาติได้ก็คือ
การรุกรานด้วยก�ำลังทหารของต่างชาติท่ีเหนือกว่าซึ่งต้องการยึดครองหรือบังคับ
ชาตอิ นื่ ใหป้ ฏบิ ตั ติ ามความตอ้ งการของตน หากชาตใิ ดมกี องทพั ทเ่ี ขม้ แขง็ มกี ารฝกึ
ทหารทด่ี ี มีความอดทน และมจี ติ ใจรกุ รบ รวมท้งั มีผ้นู �ำทัพทด่ี ีและมีความสามารถ

ชาตนิ นั้ กจ็ ะสามารถปอ้ งกนั และรกั ษาเอกราชและความมนั่ คงปลอดภยั ของชาตเิ อา
ไวไ้ ด้ ดงั นน้ั ความอยรู่ อดของชาติ หรอื ความมนั่ คงแหง่ ชาติ จงึ ขนึ้ อยกู่ บั กำ� ลงั อำ� นาจ
ทางทหารเปน็ ส�ำคญั
ตอ่ มาววิ ฒั นาการของโลกไดพ้ ฒั นากา้ วหนา้ เปน็ ลำ� ดบั การศกึ ษาเฉพาะ
เรอ่ื งของสงคราม และการทหารเพยี งอยา่ งเดยี ว นบั วา่ เปน็ การศกึ ษาทคี่ อ่ นขา้ งแคบ
และอยใู่ นวงจำ� กดั ไมเ่ หมาะสมกบั สถานการณข์ องโลกทเี่ ปลยี่ นแปลงไปอยา่ งรวดเรว็
เรื่องความม่ันคงจึงไม่ควรจ�ำกัดอยู่ในกรอบแคบๆ อีกต่อไป แต่ควรครอบคลุม
ถงึ เรอื่ งราวต่างๆ ทีก่ วา้ งออกไป อีกประการหนึ่ง การทหารเป็นเพยี งองคป์ ระกอบ
อยา่ งหนง่ึ ของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตเิ ทา่ นนั้ ยงั มอี งคป์ ระกอบอยา่ งอนื่ ทม่ี คี วามสำ� คญั
ไม่น้อยไปกว่าก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร ดังนั้น ค�ำว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ”
(National Security) จงึ เกดิ ขนึ้ มาในภายหลงั อกี ทง้ั นานาประเทศตา่ งกย็ อมรบั วา่
“ความมน่ั คงแห่งชาติ” เป็นคำ� ทม่ี ีความหมายกวา้ งขวางและครอบคลมุ เรือ่ งต่างๆ
อีกมากมาย อันได้แก่ การเมือง เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา เป็นต้น ดังนั้น
การศึกษาเรื่องความมั่นคงแห่งชาติ จึงเก่ียวข้องกับปรากฏการณ์ทางการเมือง
เศรษฐกจิ และสังคมจติ วทิ ยา ควบคู่กนั ไปกบั ดา้ นการทหาร ท้งั ในยามปกติ และ
ยามสงคราม หาได้เจาะจงหรือเก่ียวข้องกับองค์ประกอบของพลังอ�ำนาจแห่งชาติ
อยา่ งใดอย่างหนง่ึ ก็หาไม่
ข. ความหมาย
ค�ำว่า “ความม่ันคง” (Security) มีรากศัพท์มาจากภาษาละติน
โดยมคี วามหมายแยกเปน็ 2 นยั คอื 1) คำ� วา่ “secure” มาจากคำ� วา่ “se” หมายถงึ
ปราศจาก (without) รวมกบั คำ� วา่ “cura” หมายถงึ ดแู ล (care) เมอื่ รวมเขา้ ดว้ ยกนั
หมายถงึ คณุ ภาพ หรอื ความมน่ั คงทร่ี ฐั จดั ใหม้ ขี นึ้ หรอื ปราศจากอนั ตราย (ปลอดภยั
จากความกลวั หรอื ความกงั วล) และ 2) คำ� วา่ “security” มาจากคำ� วา่ “securus”
โดยคำ� วา่ “se” หมายถงึ ปราศจาก สว่ นคำ� วา่ “curus” หมายถงึ ไมส่ บาย เปน็ ทกุ ข์
มีความหมายโดยรวม หมายถึง การท�ำให้ปราศจากความไม่สบายหรือความทุกข์
โดยในภาษาอังกฤษยังหมายถงึ ท�ำใหร้ สู้ ึกปลอดภยั และไดร้ ับการปกป้อง1
2

ค�ำว่า “Security” น้ี ในภาษาไทยอาจเรียกได้อีกอย่างหน่ึงว่า
“การรกั ษาความปลอดภยั ” หรอื “ความปลอดภยั ” ซง่ึ ถกู นำ� ไปใชอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง เชน่
ศนู ยร์ กั ษาความปลอดภยั และการรกั ษาความปลอดภยั แหง่ ชาติ เปน็ ตน้ อยา่ งไรกต็ าม
คำ� ๆ น้ี มกั มผี กู้ ลา่ วถงึ ความมนั่ คงไปพรอ้ มๆ กบั ความปลอดภยั อยเู่ สมอ2แตถ่ า้ นำ� ไปใช้
กบั เรอื่ งของชาตแิ ลว้ คำ� ๆ น้ี ควรถกู เรยี กวา่ “ความมน่ั คงแหง่ ชาต”ิ นา่ จะเหมาะสม
กว่าที่จะใชค้ �ำว่า “การรักษาความปลอดภัยแหง่ ชาติ”
ค�ำว่า “ความมน่ั คงแห่งชาต”ิ หรอื “ความมน่ั คงแหง่ รฐั ” ทัง้ สองคำ� นี้
ต่างมีความหมายเหมือนกัน แม้ค�ำว่า “ชาติ” (Nation) กับค�ำว่า “รัฐ” จะมี
ความหมายต่างกันก็ตาม3 ส่วนมากนิยมใช้ “ความมั่นคงแห่งชาติ”มากกว่า
ในทางรฐั ศาสตร์ มกั ไมน่ ยิ มใชค้ ำ� วา่ “ชาต”ิ แตจ่ ะใชค้ ำ� วา่ “รฐั ชาต”ิ หรอื คำ� วา่ “รฐั ”
แทน ดังนั้น ก่อนที่จะวิเคราะห์หาความหมายที่แท้จริงของความม่ันคงแห่งชาติ
ที่เหมาะสม เราควรพิจารณาค�ำว่า “รัฐ” เสียก่อนว่า รัฐมีองค์ประกอบส�ำคัญ
4 ประการ คือ ประชากร ดนิ แดน รฐั บาล และอ�ำนาจอธปิ ไตย โดยองค์ประกอบ
ทงั้ 4 ประการนี้ หากขาดองคป์ ระกอบอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดแลว้ ยอ่ มไมอ่ าจเรยี กวา่ “รฐั ”
แตค่ ำ� วา่ “ชาต”ิ อาจประกอบดว้ ยประชากรทพ่ี ดู ภาษาเดยี วกนั และอยรู่ วมกนั รวมทง้ั
มขี นบธรรมเนยี มประเพณอี นั เดยี วกนั กไ็ ด้ ดว้ ยเหตผุ ลน้ี นกั วชิ าการจงึ นยิ มใชค้ ำ� วา่
“รัฐ” ทั้งในทางรัฐศาสตร์และนิติศาสตร์ เพื่อให้มีองค์ประกอบครบถ้วนสมบูรณ4์
หากเปรยี บรฐั กบั บคุ คลแลว้ อาจกลา่ วไดว้ า่ บคุ คลใดๆ กย็ อ่ มตอ้ งการ
มชี วี ติ ทป่ี ลอดภยั ปราศจากอนั ตรายใดๆ มารบกวน หรอื ขดั ขวางการทำ� มาหาเลย้ี งชพี
ของตนทงั้ สน้ิ เฉกเชน่ เดยี วกบั รฐั แมว้ า่ รฐั จะไมม่ ชี วี ติ เหมอื นบคุ คล แตร่ ฐั กต็ อ้ งการ
ความอยรู่ อด หรอื ดำ� รงความเปน็ รฐั ตลอดไป แตก่ ารดำ� รงความอยรู่ อดเชน่ น้ี รฐั ตอ้ งการ
เสรภี าพ ความมนั่ คงปลอดภยั และความผาสกุ สมบรู ณแ์ ทน อยา่ งไรกต็ าม การไดม้ า
ซงึ่ สง่ิ เหลา่ น้ี รฐั ตอ้ งมพี ลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ (National Power) ทเ่ี ขม้ แขง็ เพอ่ื ใชเ้ ปน็
เครอ่ื งมอื ในการพทิ กั ษร์ กั ษาสง่ิ ตา่ งๆ ทต่ี อ้ งการ หรอื เปน็ ผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ และจำ� เปน็
ต้องรักษาองค์ประกอบของรัฐให้ครบทุกองค์ประกอบ รัฐจึงจะด�ำรงอยู่ได้ต่อไป
โดยไมส่ น้ิ ชาติ

3

เมื่อพิจารณาถึงองค์ประกอบของรัฐดังกล่าวแล้ว ความหมายของ
ความมนั่ คงแหง่ ชาติ กน็ า่ จะเกยี่ วขอ้ งหรอื มคี วามสมั พนั ธก์ บั องคป์ ระกอบของรฐั ดว้ ย
ดังที่มีผู้ให้ความหมายของค�ำว่า “ความมั่นคงแห่งชาติ” ในลักษณะคล้ายกันว่า
หมายถึง สภาพท่ีชาติบ้านเมืองสามารถด�ำรงอยู่ได้ด้วยความปลอดภัยทั้งในด้าน
เอกราช อธปิ ไตย บรู ณภาพแหง่ ดนิ แดน ความปลอดภยั และความผาสกุ ของประชาชน
รวมถงึ ระบอบการปกครองของประเทศและวถิ กี ารด�ำเนินชีวติ ของประชาชน
อยา่ งไรกต็ าม ความหมายของคำ� วา่ “ความมน่ั คงแหง่ ชาต”ิ ดงั กลา่ วขา้ งตน้
เป็นการให้ความหมายอย่างกว้างๆ ครอบคลุมไปแทบทุกเร่ือง รวมท้ังนโยบาย
หรอื การปฏบิ ตั หิ นา้ ทข่ี องรฐั บาลดว้ ย ฉะนน้ั หลายๆ ประเทศ จงึ นยิ มใหค้ วามหมาย
ของคำ� วา่ “ความมนั่ คง” ในลกั ษณะนามธรรม ซงึ่ อาจแปรเปลยี่ นไดต้ ามความจำ� เปน็
เชน่ ในสมยั หนง่ึ เรอื่ งความมนั่ คงของประเทศหนง่ึ อาจเปน็ อนั ตรายตอ่ อกี ประเทศหนง่ึ
แต่ในอีกสมัยหน่ึงอาจกลายเป็นเร่ืองความร่วมมือหรือเป็นมิตรกันก็ได้ แต่ให้
พงึ ระลกึ อยเู่ สมอวา่ การกำ� หนดความหมายในลกั ษณะนามธรรมเชน่ นี้ อาจมปี ญั หา
ในเรื่องของการตคี วามและการน�ำเอาไปใช้ดว้ ย
ในปัจจุบันความหมายของค�ำว่า “ความม่ันคงแห่งชาติ” ยังไม่มี
ความหมายทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั ในระดบั สากล ทำ� ใหค้ ำ� ๆ น้ี ยงั มคี วามหมายทคี่ ลมุ เครอื
และหลากหลาย ข้ึนอยู่กับมุมมองของผู้ใช้เป็นส�ำคัญ โดยเร่ิมตั้งแต่การให้
ความหมายงา่ ยๆ เพอ่ื ใหม้ เี สรใี นการตอบโตก้ บั ภยั คกุ คามทางทหารและการขเู่ ขญ็
ทางการเมอื ง ไปจนกระทง่ั การเพม่ิ รายละเอยี ดและผนวกรปู แบบอน่ื ๆ ของความมนั่ คงที่
มใิ ชก่ ารทหาร เพอ่ื ใหส้ อดคลอ้ งกบั สถานการณใ์ นขณะนน้ั 5 ความหมายทแ่ี ตกตา่ งกนั
ของความมั่นคงแห่งชาติ จึงเกิดจากการให้ความหมายของนักวิชาการชาติต่างๆ
อย่างเสรี เหน็ ได้จากตัวอยา่ ง ดงั ต่อไปน้ี
1) ตามพจนานกุ รมแมคมลิ แลน (Macmillan) ไดใ้ หค้ วามหมายของ
คำ� วา่ “ความมน่ั คงแหง่ ชาต”ิ ไวว้ า่ หมายถงึ “การปอ้ งกนั หรอื การสรา้ งความปลอดภยั
ใหก้ บั ความลบั และพลเมอื งของประเทศ”6 โดยความมน่ั คงแหง่ ชาตติ ามความหมายน้ี
มงุ่ เน้นในเรือ่ งความม่ันคงในภาพรวมของชาตแิ ละรฐั ชาติ
4

2) วอลเทอร์ ลปิ ปม์ นั น์ (WalterLippmann)
ไดใ้ หค้ วามหมายโดยนยั ของคำ� วา่ “ความมนั่ คงแหง่ ชาต”ิ
ในรูปแบบของสงครามไว้ว่า “ชาติใดชาติหนึ่งจะมี
ความมน่ั คงไดก้ ต็ อ่ เมอ่ื ไมต่ อ้ งเสยี สละผลประโยชนท์ ช่ี อบ
ดว้ ยกฎหมายของตนเพอ่ื หลกี เลย่ี งสงคราม หากถกู ทา้ ทาย
กส็ ามารถดำ� รงผลประโยชนด์ งั กลา่ วไวไ้ ดโ้ ดยอาศยั สงคราม
เช่นกนั ”7
3) ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold Lasswell)
นกั รฐั ศาสตรผ์ มู้ ชี อื่ เสยี ง ไดใ้ หค้ วามหมายของความมน่ั คง
แหง่ ชาตจิ ากมมุ มองทเ่ี กอื บเปน็ ดา้ นเดยี ว คอื “การขเู่ ขญ็
หรอื การใชอ้ ำ� นาจบงั คบั จากภายนอก” (External coercion)8
4) ฮาโรลด์ บราวน์ (Harold Brown)
อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ในรัฐบาล
ประธานาธิบดีคาร์เตอร์ในระหว่าง ปี ค.ศ.1977-1981
ไดข้ ยายขอบเขตของความมน่ั คงแหง่ ชาติ โดยรวมถงึ องค์
ประกอบพนื้ ฐานอนื่ ๆ ดว้ ย เชน่ ความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ
และความม่ันคงทางด้านสภาพแวดล้อม9 ค�ำจ�ำกัดความ
ของคำ� ว่า “ความม่นั คงแห่งชาติ” ตามความหมายน้ี จึงมี
ขอบเขตท่ีกว้างมากขึ้น อันหมายรวมถึง ความสามารถ
ในการปกปอ้ งบรู ณภาพและดนิ แดนทางกายภาพของชาติ
ด�ำรงไว้ซึ่งความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจของชาติกับ
สว่ นอน่ื ๆของโลกดว้ ยรปู แบบทส่ี มเหตสุ มผล การอนรุ กั ษ์
ทรพั ยากรตามธรรมชาติ สถาบนั และรฐั บาลของชาตจิ าก
การขดั ขวางใดๆ จากภายนอก และการควบคมุ พรมแดน
ของชาติ

5

5) ชาร์ล ไมเยอร์ (Charles Maier)
ศาสตราจารยด์ า้ นประวตั ศิ าสตรข์ องมหาวทิ ยาลยั ฮารว์ ารด์
ได้ให้ความหมาย “ความม่ันคงแห่งชาติ” โดยมองผ่าน
พลังอ�ำนาจแห่งชาติไว้ว่า หมายถึง“ความสามารถ
ในการควบคมุ สภาพการณภ์ ายในประเทศและตา่ งประเทศ
ซง่ึ มตมิ หาชนของประชาคมใดประชาคมหนงึ่ เชอื่ วา่ เปน็
สิ่งจ�ำเป็นต่อเอกราชหรือเสรีภาพในการปกครองตนเอง
ความเจริญร่งุ เรือง และความอยดู่ ีกนิ ดขี องประชาชน10
6) ประภาการัน ปาเลรี (Prabhakaran
Paleri) นกั เขยี นบทความเกยี่ วกบั ความมน่ั คงแหง่ ชาติ
ชาวอนิ เดยี ทมี่ ชี อื่ เสยี ง ไดใ้ หค้ วามหมายของความมนั่ คง
แห่งชาติไว้ว่า หมายถึง สภาพที่สามารถวัดค่าได้ของ
ขีดความสามารถของชาติต่อการเอาชนะภัยคุกคามใน
มติ ทิ ห่ี ลากหลายทมี่ ผี ลตอ่ ความอยดู่ กี นิ ดขี องประชาชน
และความอยู่รอดในฐานะรัฐชาติหน่ึง ณ ห้วงเวลาใด
เวลาหน่ึง โดยอาศัยการสร้างสมดุลจากพลังอ�ำนาจ
แห่งชาติที่มีอยู่ทั้งหมดของรัฐบาล ซ่ึงสามารถบ่งช้ีได้
จากการค�ำนวณ หรือด้วยวิธีการอ่ืนๆ ในเชิงประจักษ์
และอาจขยายขอบเขตเปน็ ความมนั่ คงของโลกไดจ้ ากอทิ ธพิ ลของปจั จยั ภายนอก11
7) ตามมุมมองด้านความมั่นคงแห่งชาติของไทยในพระราชบัญญัติ
วา่ ดว้ ยการบรหิ ารราชการในสถานการณฉ์ กุ เฉนิ พ.ศ.2495 คำ� วา่ “ความมนั่ คงแหง่ ชาต”ิ
หรือ “ความปลอดภัยแห่งราชอาณาจักร” หมายถึง การให้เอกราชของชาติ
หรือสวัสดิภาพของประชาชนอยู่ในความม่ันคงปลอดภัย รวมตลอดถึง การให้
ประเทศด�ำรงอยู่ในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ
แหง่ ราชอาณาจักรไทย”12
6

8) ตามพระราชบัญญัติการรักษาความม่ันคงภายในราชอาณาจักร
พ.ศ.2551 ได้ระบุว่า “การรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร” หมายถึง
การด�ำเนินการเพ่ือป้องกัน ควบคุม แก้ไข และฟื้นฟูสถานการณ์ใดที่เป็นภัยหรือ
อาจเป็นภัย อันเกิดจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคลท่ีก่อให้เกิดความไม่สงบสุข ท�ำลาย
หรอื ทำ� ความเสยี หายตอ่ ชวี ติ รา่ งกาย ทรพั ยส์ นิ ของประชาชนหรอื ของรฐั ใหก้ ลบั สู่
สภาวะปกติ เพอื่ ใหเ้ กดิ ความสงบเรยี บรอ้ ยของประชาชน หรอื ความมน่ั คงของรฐั 13
จากความหมายทห่ี ลากหลายขา้ งตน้ สรปุ ไดว้ า่ “ความมนั่ คงแหง่ ชาต”ิ
หมายถึง ความสามารถในการเอาชนะภัยคุกคามท้ังจากภัยคุกคามภายใน
และภัยคุกคามภายนอกที่มีผลต่อความอยู่ดีกินดีของประชาชนและความอยู่รอด
ของชาติ ฉะนนั้ มมุ มองเกีย่ วกับความมน่ั คงแหง่ ชาติ จึงมักมีอยู่ 2 ด้านเสมอ คอื
1) การเอาชนะภยั คกุ คามภายใน ซงึ่ เปน็ มมุ มองเกยี่ วกบั การสรา้ งความปลอดภยั ตอ่ ชวี ติ
และทรัพย์สิน และความอยู่ดีกินดีของประชาชน อาทิ ความม่ันคงทางการเมือง
ภายใน ความม่ันคงทางเศรษฐกิจ ความม่ันคงทางสังคมวัฒนธรรม ความมั่นคง
ดา้ นอาหาร ความมั่นคงด้านพลังงาน ความมั่นคงด้านทรพั ยากรน�้ำ เป็นต้น และ
2) การเอาชนะภัยคุกคามภายนอก ซงึ่ เปน็ มมุ มองเกย่ี วกบั การเอาชนะภยั คกุ คาม
ท่ีมีผลต่อเอกราช อธิปไตย และบูรณภาพแห่งดินแดนของชาติ อาทิ ความม่ันคง
ทางการเมอื งและความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ ความมั่นคงทางดา้ นการทูต และ
ความม่นั คงทางดา้ นการทหาร เปน็ ตน้ เพอื่ รบั ประกันในเรอ่ื งความม่นั คงแห่งชาติ
พลังอ�ำนาจหรือมาตรการของชาติ จึงถูกน�ำมาใช้อย่างหลากหลาย อาทิ การใช้
มาตรการด้านการเมืองและการทูต เพ่ือระดมการสนับสนุนจากชาติพันธมิตร
และตัดแยกชาติที่เป็นภัยคุกคาม การใช้ก�ำลังอ�ำนาจทางเศรษฐกิจ เพ่ือสร้าง
ความอยู่ดีกินดีและความม่ังคั่งให้กับประชาชน และสร้างสภาพที่เกื้อกูลหรือ
บีบบังคับให้ชาติอื่นๆ ร่วมมือ หรือสนับสนุนต่อนโยบายทางการเมืองของชาติ
การรักษาความมั่นคงภายใน และการรักษาความสงบเรียบร้อยภายใน เพ่ือสร้าง
สภาพแวดลอ้ มที่ปลอดภยั ต่อชีวติ และทรพั ย์สินของประชาชน เป็นตน้

7

ค. องคป์ ระกอบพืน้ ฐานของความมนั่ คงแห่งชาติ
องคป์ ระกอบพนื้ ฐานของความมน่ั คงแหง่ ชาติ มคี วามสมั พนั ธร์ ว่ มกบั
แนวคดิ เกยี่ วกบั องคป์ ระกอบพนื้ ฐานทสี่ ำ� คญั ของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ 5 องคป์ ระกอบ
ดงั นี้
1) ความมนั่ คงทางการเมอื ง
ความมน่ั คงทางการเมอื ง (Political Security) ในฐานะทเ่ี ปน็ หนง่ึ
ในองคป์ ระกอบของความมน่ั คงแหง่ ชาติ หมายถงึ เสถยี รภาพของระเบยี บทางสงั คม
โดยทวั่ ไปแลว้ ความมน่ั คงทางการเมอื งมคี วามสมั พนั ธใ์ กลช้ ดิ กบั ความมนั่ คงทางทหาร
และความมนั่ คงทางสงั คม โดยมกี รอบในการวเิ คราะหท์ ใี่ หค้ วามสำ� คญั กบั ภยั คกุ คาม
ตอ่ อำ� นาจอธปิ ไตยของชาตเิ ปน็ พเิ ศษ14 องคว์ ตั ถทุ อ่ี า้ งองิ ระบบประกอบดว้ ยรัฐชาติ
(Nation-states) ชาติ (Nations) กลมุ่ การเมอื งขา้ มชาติ (Transnational groups)
รวมถึงชนเผ่า (Tribes) ชนกลุ่มน้อย (Minorities) องค์การศาสนา (Religious
organizations) ระบบต่างๆ ของรัฐ เช่น สหภาพยุโรป (European Union)
องคก์ ารสหประชาชาติ (United Nations) ดว้ ยเหตนุ ้ี เครอ่ื งมอื ทใี่ ชไ้ ดแ้ ก่ การทตู
การเจรจาตอ่ รอง และรปู แบบของปฏสิ มั พนั ธอ์ นื่ ๆ ระหวา่ งองคว์ ตั ถเุ หลา่ นน้ั
2) ความมนั่ คงทางทหาร
ความมน่ั คงทางทหาร(MilitarySecurity)มกั มมี มุ มอง2ดา้ นเสมอ
คือ มุมมองของผู้ถูกกระท�ำ และมุมมองของผู้กระท�ำ ในมุมมองของผู้ถูกกระท�ำ
ความมน่ั คงทางทหาร หมายถงึ ขดี ความสามารถของชาตใิ ดชาตหิ นง่ึ ตอ่ การปอ้ งกนั
ตนเองและ/หรือป้องปรามการรุกรานทางทหาร แต่ในมุมมองของผู้กระท�ำ
ความมนั่ คงทางทหาร หมายถงึ ขดี ความสามารถของชาตติ อ่ การบงั คบั ใชท้ างเลอื ก
ทางการเมอื งโดยใชก้ ำ� ลงั ทหาร15 ดงั นน้ั ขอบเขตของความมนั่ คงทางทหาร จงึ ใกลเ้ คยี ง
กบั ขอบเขตของความมน่ั คงทวั่ ไปมากทส่ี ดุ โดยความมนั่ คงทางทหาร อาจเปน็ สภาพ
การณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ มาจากการสถาปนาและการดำ� รงมาตรการปอ้ งกนั
เพ่ือรับประกันสภาพที่ปราศจากการใช้ความรุนแรงจากการกระท�ำหรืออิทธิพล
ทเ่ี ป็นปรปักษต์ ่อชาติ
8

3) ความมน่ั คงทางเศรษฐกจิ
ความม่ันคงทางเศรษฐกิจ
(Economic Security) ในความหมาย
ระดับปัจเจกชน หมายถึง สภาพของ
การมีรายรับหรือทรัพยากรอื่นๆ ท่ีมี
เสถียรภาพเพ่ือสนับสนุนต่อมาตรฐาน
การดำ� รงชวี ติ ในปจั จบุ นั และในอนาคตที่
คาดการณ์ลว่ งหน้าได้ แต่ในความหมาย
ระดบั รฐั ชาติ ความมน่ั คงทางเศรษฐกจิ
หมายถึง ขีดความสามารถของรัฐชาติ ภาพท่ี 1-6 ความมัน่ คงทางเศรษฐกจิ

ที่จะใช้ด�ำเนินการตามทางเลือกทางการเมืองเพื่อท่ีจะพัฒนาเศรษฐกิจของชาติ
ให้เป็นไปในลักษณะที่ต้องการ16 ในทางประวัติศาสตร์ การพิชิตชาติอื่นท�ำให้ชาติ
ผู้พิชิตร�่ำรวยจากการปล้นสะดม การเข้าถึงทรัพยากรใหม่ๆ และการขยายการค้า
โดยอาศยั การควบคุมเศรษฐกิจของชาติทพี่ า่ ยแพ้ ในระบบการค้าระหวา่ งประเทศ
ในปัจจุบันที่มีลักษณะของการท�ำข้อตกลงพหุภาคี การพ่ึงพาอาศัยซึ่งกันและกัน
และความพร้อมของทรัพยากรธรรมชาติ การมีเสรใี นการใช้ทางเลอื กทางการเมือง
สิ่งต่างๆ เหล่าน้ี ต่างเป็นการพัฒนาเศรษฐกิจของชาติในลักษณะที่ต้องการ และ
ก่อให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจทั้งสิ้น ในปัจจุบันความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
จึงมีความส�ำคัญโดยเป็นส่วนหนึ่งของความม่ันคงแห่งชาติเช่นเดียวกับความมั่นคง
ทางทหาร ดงั นน้ั การสรา้ งงานและการปกปอ้ งแรงงานทต่ี อบสนองตอ่ ความตอ้ งการ
ทั้งทางด้านการป้องกันประเทศ และด้านอื่นๆ จึงเป็นสิ่งจ�ำเป็นยิ่งต่อความม่ันคง
แหง่ ชาติ
4) ความมน่ั คงทางสงั คมจติ วิทยา
สงั คมจติ วทิ ยา (Sociology) เปน็ วชิ าทศ่ี กึ ษาความสมั พนั ธข์ องมนษุ ย์
ในสังคม เพราะโดยธรรมชาติแล้ว มนุษย์ต้องอยู่ร่วมกันในสังคมและมีการติดต่อ
สัมพันธ์กันอยู่เสมอ ท�ำให้ความสัมพันธ์เหล่าน้ี ประกอบเป็นโครงสร้างของสังคม

9

(Social Structure) ซง่ึ จะมอี ทิ ธพิ ลอยา่ งมากตอ่ พฤตกิ รรมของคนในสงั คม17 ดงั นน้ั
สงั คมวทิ ยาจงึ มงุ่ ศกึ ษาโครงสรา้ งของสงั คม สว่ นจติ วทิ ยาสงั คม (Social Psychology)
มงุ่ ศกึ ษาพฤตกิ รรมของปจั เจกชน (Individual)18 อยา่ งไรกต็ าม สงั คมวทิ ยา เปน็ เรอ่ื ง
ของนามธรรมท่ียากต่อการท�ำความเข้าใจให้ลึกซึ้ง ต้องอาศัยวิชาแขนงอ่ืนๆ ของ
สังคมศาสตร์ประกอบในการศึกษาชีวิตของสังคม เพื่อช่วยให้ได้ค�ำตอบที่สมบูรณ์
ยง่ิ ข้ึน ดงั นัน้ คำ� ว่า “สังคมวทิ ยา” นี้ คนส่วนมากจึงไมน่ ยิ มเรยี ก แต่จะเรียกสนั้ ๆ
วา่ “สงั คม” และนำ� ไปใชป้ ฏบิ ตั อิ ยา่ งแพรห่ ลายในปจั จบุ นั เชน่ นโยบายของรฐั บาล
ในดา้ นสงั คม สภาพฒั นาเศรษฐกจิ และสงั คมแหง่ ชาติ รองนายกรฐั มนตรดี า้ นสงั คม
เปน็ ตน้ สำ� หรบั แนวความคดิ ทางยทุ ธศาสตรเ์ กย่ี วกบั ความมน่ั คงแหง่ ชาติ ในปจั จบุ นั
มกั นยิ มเรยี กวา่ “สงั คมจติ วทิ ยา”(Socio-Psychology) เพราะใหค้ วามหมายทกี่ วา้ ง
กว่าคำ� ว่า “สังคมวิทยา” หรือ “สงั คม” เพียงอย่างเดยี ว โดยเพิม่ คำ� วา่ “จติ วิทยา”
เข้าไปด้วย เพราะศาสตร์ว่าด้วยจิตวิทยานั้น เป็นศาสตร์ท่ีมีระเบียบและวิธีการ
ค้นคว้าหาความรู้ (Psychological Inquiry) เก่ียวกับสาเหตุของพฤติกรรมต่างๆ
โดยถอื วา่ ทกุ พฤตกิ รรมทเ่ี กดิ ขน้ึ ยอ่ มตอ้ งมสี าเหตุ จติ วทิ ยา จงึ เปน็ เรอื่ งของการศกึ ษา
ความสัมพนั ธร์ ะหว่างจติ ใจกบั พฤติกรรม19 เป็นหลกั
5) ความมนั่ คงทางสารสนเทศ
ความมน่ั คงทางสารสนเทศ
(Information Security)20 เปน็ ระเบยี บ
ปฏิบัติของการป้องกันสารสนเทศจาก
การเขา้ ถงึ การใช้ การเปดิ เผยสสู่ าธารณะ
การขดั ขวาง การปรับเปลี่ยน การอ่าน
ตรวจการตรวจสอบ การบันทึก หรือ
การท�ำลายท่ีไม่ได้รับอนุญาต ค�ำๆ น้ี
อาจใชก้ บั รปู แบบของขอ้ มลู ใดๆ กไ็ ด้ เชน่
ข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือข้อมูล
ทางกายภาพ เป็นต้น ดังนั้น ค�ำว่า ภาพท่ี 1-7 การปอ้ งกนั เชงิ ลกึ หลาย
ชนั้ เหมอื นกลบี หวั หอม

10

“ความมนั่ คงทางสารสนเทศ” โดยทั่วไปจึงหมายถึง การป้องกันสารสนเทศหรือ
ระบบสารสนเทศจากการเข้าถึง การใช้ การเปิดเผยสู่สาธารณะ การขัดขวาง
การปรบั เปลยี่ น หรอื การทำ� ลายโดยทไี่ มไ่ ดร้ บั อนญุ าต เพอ่ื ใหม้ บี รู ณภาพ (Integrity)
การรกั ษาความลบั (Confidentiality) และอยใู่ นสภาพพรอ้ มใชง้ าน (Availability)
ค�ำว่า “บูรณภาพ” ในที่น้ีหมายถึง การคุ้มครองต่อการปรับเปล่ียนหรือท�ำลาย
สารสนเทศทไ่ี มเ่ หมาะสม และรบั ประกนั ในเรอ่ื งทจี่ ะไมถ่ กู ปฏเิ สธและความถกู ตอ้ ง
ของสารสนเทศ ส่วนค�ำว่า “การรักษาความลับ” นั้น หมายถึง การสงวนไว้ซ่ึง
ข้อจ�ำกัดตามท่ีจะได้รับอนุญาตให้เข้าถึงและเปิดเผยสารสนเทศต่อสาธารณะ
รวมถงึ เครอื่ งมอื สำ� หรบั ปกปอ้ งความเปน็ สว่ นตวั ของบคุ คลและความเปน็ กรรมสทิ ธิ์
เหนือสารสนเทศ และค�ำว่า “สภาพพรอ้ มใชง้ าน” หมายถงึ การรับประกนั ในเรอื่ ง
การเข้าถึงและการใช้สารสนเทศท่ีเช่ือถือได้และตามเวลาที่ต้องการได้21 ฉะน้ัน
ความมนั่ คงทางสารสนเทศ จงึ หมายถงึ การสงวนไวซ้ ง่ึ บรู ณภาพ การรกั ษาความลบั
และสภาพพร้อมใช้งานของสารสนเทศ รวมถึงคุณสมบัติที่ส�ำคัญอ่ืนๆ ด้วย เช่น
ความถกู ตอ้ ง (authenticity) การตรวจสอบได้ (accountability) การไมถ่ กู ปฏเิ สธ
(non-repudiation) และความเชอ่ื ถอื ได้ (reliability)22 เนอื่ งจากระบบสารสนเทศ
มีรูปแบบที่หลากหลาย เช่น ระบบประมวลผลเปลี่ยนแปลงข้อมูล (transaction
processing systems) ระบบช่วยตัดสินใจ (decision support systems)
ระบบการจดั การความรู้ (knowledge management systems) ระบบการจดั การ
เรียนรู้ (learning management systems) ระบบการจัดการฐานข้อมูล
(database management systems) และระบบสารสนเทศประจ�ำส�ำนักงาน
(office infor-mation systems) ด้วยเหตุนี้ ส่ิงท่ีจ�ำเป็นย่ิงต่อระบบสารสนเทศ
เหลา่ น้ีก็คอื “เทคโนโลยสี ารสนเทศ” (information technologies) ซึ่งออกแบบ
มาเพ่ือช่วยให้มนษุ ยส์ ามารถทำ� งานไดโ้ ดยไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งใชส้ มองมนษุ ยท์ ำ� งานในสงิ่
เหลา่ นี้ เชน่ การจดั การกบั สารสนเทศทม่ี ปี รมิ าณมากๆ การคำ� นวณทย่ี งุ่ ยากซบั ซอ้ น
และการควบคุมกระบวนการหลายๆ อยา่ งทเี่ กดิ ขนึ้ พรอ้ มๆ กนั เปน็ ตน้ 23 ดงั นนั้
ความมนั่ คงทางสารสนเทศ จงึ อาจแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ ความม่นั คงทาง
เทคโนโลยสี ารสนเทศ (Information Technology Security) หรอื ความมน่ั คงทาง
คอมพวิ เตอร์ (Computer Security) และการรบั ประกนั ความปลอดภยั ของสารสนเทศ
(Information Assurance)

11

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนที่ส�ำคัญท่ีสุดของความม่ันคงทางสารสนเทศ
ก็คือ “มนุษย์” จากข้อมูลขององค์การอุตสาหกรรมเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์
(The Computing Technology Industry Association) ได้รายงานว่า
เกือบสองในสามของความบกพร่องส่วนใหญ่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์24
ความมน่ั คงทางสารสนเทศ จงึ ตอ้ งการปกปอ้ งสารสนเทศตลอดหว้ งอายกุ ารใชง้ าน
ของสารสนเทศ นบั ตง้ั แตเ่ รมิ่ สรา้ งสารสนเทศจนถงึ การกำ� จดั หรอื ทำ� ลายสารสนเทศ
ในข้ันตอนสุดท้าย ฉะน้ัน สารสนเทศจะต้องถูกปกป้องอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าขณะ
เคลอ่ื นไหวหรอื หยดุ นงิ่ อยกู่ บั ที่ ในหว้ งเวลาของการใชง้ าน สารสนเทศอาจถกู สง่ ผา่ น
ด้วยระบบประมวลผลที่หลากหลาย และอยู่ในหลายส่วนของระบบประมวลผล
ท่ีแตกต่างกัน ด้วยเหตุนี้ การคุกคามต่อระบบสารสนเทศจึงเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีการ
หลายๆ อย่าง เพ่ือให้สามารถปกป้องสารสนเทศตลอดห้วงอายุการใช้งาน แต่ละ
องค์ประกอบของระบบประมวลผลสารสนเทศเหล่าน้ีจักต้องมีกลไกป้องกันตัวเอง
โดยเฉพาะมาตรการการรกั ษาความปลอดภยั ทม่ี แี นวคดิ ของการแบง่ เปน็ ชนั้ ๆ และ
ทับซ้อนกันที่เรียกว่า “การป้องกันเชิงลึก” ที่มีข้อดีในแง่ของการใช้ยุทธศาสตร์
ป้องกันเชิงลึก หากมาตรการป้องกันอย่างใดอย่างหนึ่งล้มเหลว ก็จะมีมาตรการ
ปอ้ งกันอย่างอนื่ ทดแทน ท้ังนกี้ ็เพอ่ื ให้มกี ารปกปอ้ งระบบสารสนเทศอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง
ง. การประเมินค่าความมน่ั คงแห่งชาติ
อาจกล่าวได้ว่า ประเทศใดก็ตาม ท่ีมีความมั่นคงทางด้านการเมือง
เศรษฐกิจ สังคมจติ วิทยา และการทหารสูง ก็นับได้ว่า เป็นประเทศที่มีความมั่นคง
แหง่ ชาตมิ าก อยา่ งไรกต็ าม ความมน่ั คงแหง่ ชาตโิ ดยรวมนนั้ ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั ความมนั่ คง
ทุกด้าน และมีส่วนสัมพันธ์กันอย่างเหมาะสม แม้บางประเทศอาจมีความมั่นคง
ทางเศรษฐกจิ สงู มรี ายไดป้ ระชาชาตมิ าก ประชาชนโดยรวมอยดู่ มี สี ขุ แตถ่ า้ มคี วามมน่ั คง
ดา้ นอ่ืนน้อย เช่น ความม่นั คงทางทหารอยู่ในระดบั ตำ่� ก็คงนับไม่ได้วา่ ประเทศนั้น
มคี วามมนั่ คงแหง่ ชาตสิ งู ไปดว้ ย ดงั นน้ั การพจิ ารณาประเมนิ คา่ ความมน่ั คงแหง่ ชาติ
จะเพง่ เลง็ เพยี งดา้ นใดดา้ นหนงึ่ เชน่ ดา้ นเศรษฐกจิ หรอื เฉพาะอำ� นาจและประสทิ ธภิ าพ
ของอาวธุ หรอื กำ� ลงั อำ� นาจทางทหารเพยี งดา้ นเดยี ว แลว้ สรปุ งา่ ยๆ วา่ ชาตใิ ดชาตหิ นงึ่
12

มคี วามมนั่ คงเหนอื กวา่ อกี ชาตหิ นง่ึ นนั้ คงไมไ่ ด้ ดว้ ยเหตนุ ี้ การประเมนิ คา่ ความมนั่ คง
แห่งชาติในเชิงรูปธรรม จึงเป็นการก�ำหนดหรือระบุลงไปว่า ความมั่นคงแห่งชาติ
มีมากน้อยเพียงใดในภาพรวม ซ่ึงแตกต่างไปจากการประเมินยุทธศาสตร์ชาติ
(National Strategic Appraisal) เนื่องจากการประเมินยุทธศาสตร์ชาตินั้น
มขี น้ั ตอนคอ่ นขา้ งสลบั ซบั ซอ้ น และตอ้ งอาศยั ขอ้ มลู เปรยี บเทยี บระหวา่ งชาตติ า่ งๆ
ท้ังชาติท่ีเป็นมิตรประเทศและชาติที่เป็นภัยคุกคาม และมีเกณฑ์พิจารณาท่ีเป็น
มาตรฐานทีเ่ หมาะสมมากกวา่
อย่างไรก็ตาม การประเมินค่าความม่ันคงแห่งชาติ มักประเมินตาม
องค์ประกอบพื้นฐานของพลังอ�ำนาจแห่งชาติ ซ่ึงโดยทั่วไปแล้วจะมีการประเมิน
องค์ประกอบพ้ืนฐานทส่ี �ำคญั อยา่ งน้อย 5 องคป์ ระกอบ ดงั น้ี
1) การประเมินคา่ ความม่ันคงทางการเมอื ง
ความม่ันคงทางการเมือง มักพิจารณาแบ่งออกเป็น 2 ด้านย่อย
คอื ความมนั่ คงทางการเมอื งภายในประเทศ และความมั่นคงทางการเมอื งระหวา่ ง
ประเทศ ความม่ันคงทางการเมืองภายในประเทศ25 มีข้อพิจารณาที่ส�ำคัญ ได้แก่
ความศรทั ธาของประชาชนสว่ นใหญใ่ นประเทศ ทพ่ี รอ้ มใหก้ ารสนบั สนนุ ตอ่ ระบอบ
การปกครอง และการบรหิ ารงานของรฐั บาลในขณะนน้ั มากนอ้ ยเพยี งใด เพราะประเทศ
ใดก็ตามท่ีมีประชาชนเชื่อถือ ศรัทธา จงรักภักดี และพร้อมท่ีจะให้การสนับสนุน
ระบอบการปกครอง และรฐั บาลอยา่ งจรงิ จงั เปน็ จำ� นวนมากแลว้ กจ็ ะมคี วามมนั่ คง
ทางการเมอื งภายในประเทศมากยง่ิ ข้ึน ในทางตรงกันขา้ ม หากประชาชนไม่พอใจ
ตอ่ ระบอบการปกครอง หรอื การบรหิ ารงานของรฐั บาลเปน็ จำ� นวนมาก หรอื ไมศ่ รทั ธา
และพรอ้ มทจี่ ะใหก้ ารสนบั สนนุ รฐั บาล กอ็ าจพจิ ารณาไดว้ า่ ประเทศนนั้ ยงั ไมม่ คี วามมน่ั คง
ทางการเมอื งภายในประเทศมากนกั ดงั เหน็ ไดจ้ ากประเทศทม่ี รี ะบอบการปกครอง
แบบประชาธิปไตยที่ประชาชนมีแนวคิดเก่ียวกับระบอบประชาธิปไตยไม่ตรงกัน
กม็ กั มปี ญั หาเกย่ี วกบั เสถยี รภาพทางการเมอื ง เนอ่ื งจากมกี ารเปลย่ี นแปลงทางการเมอื ง
เกิดข้ึนบ่อยๆ ท�ำให้เสถียรภาพและความมั่นคงของระบอบการเมือง เป็นปัจจัย
ทสี่ ำ� คญั ทสี่ ดุ อยา่ งหนง่ึ ในการเสรมิ สรา้ งความมนั่ คงแหง่ ชาติ โดยเฉพาะในประเทศ

13

ทก่ี ำ� ลงั พฒั นา26 สำ� หรบั ความมน่ั คงทางดา้ นการเมอื งระหวา่ งประเทศนนั้ ขน้ึ อยกู่ บั นโยบาย
ทางด้านการเมอื งระหว่างประเทศของรัฐบาลเปน็ ส�ำคัญ กลา่ วคือ ถ้าหากนโยบาย
ต่างประเทศไม่เหมาะสม เช่น นโยบายต่างประเทศท่ีแถลงออกไปเป็นการสร้าง
ศตั รรู อบดา้ น หรอื ในการปฏบิ ตั กิ ารอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ไดม้ สี ว่ นผลกั ดนั ใหป้ ระเทศอนื่ ๆ
เกิดการรวมตัวกันขึ้นเพ่ือสกัดกั้น หรือขัดขวางผลประโยชน์แห่งชาติตนเอง หรือ
ไปรวมตัวกันเพื่อเข้าร่วมท�ำสงครามกับประเทศใดประเทศหน่ึง หากสถานการณ์
เปน็ เชน่ นคี้ วามมน่ั คงทางการเมอื งระหวา่ งประเทศของชาตกิ จ็ ะเสยี ไป อยา่ งไรกต็ าม
การดำ� เนนิ นโยบายทางการเมอื งระหวา่ งประเทศ ยอ่ มสมั พนั ธก์ บั ความมนั่ คงภายใน
ประเทศดว้ ยหรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง ถ้าต้องการให้การด�ำเนินนโยบายทางการเมือง
ระหว่างประเทศเกิดประสิทธิผลเต็มที่ก็ต้องสร้างความม่ันคงภายในประเทศให้
เกิดข้ึนเสียก่อน ในเวลาเดียวกันก็ต้องมุ่งถึงผลประโยชน์แห่งชาติเป็นส�ำคัญ
โดยการสร้างมติ รให้มากขึ้น และหลกี เลยี่ งการสร้างศตั รูโดยไม่จำ� เปน็ 27
2) การประเมนิ ค่าความม่ันคงทางทหาร
นอกจากการมีก�ำลังทหาร อาวธุ ยทุ โธปกรณ์ ในการป้องกันประเทศ
และรักษาความสงบสุขภายในประเทศอย่างเพียงพอแล้ว การท่ีประเทศชาติ
จะมีความม่ันคงทางการทหารเพียงใดน้ัน ก�ำลังทหารและหน่วยถืออาวุธดังกล่าว
ยงั ตอ้ งมกี ารดำ� เนนิ การทางยทุ ธศาสตร์ และยทุ ธวธิ อี ยา่ งเปน็ ระบบ เพอื่ ใหส้ ามารถ
เอาชนะการคกุ คามทง้ั ภายในและภายนอกประเทศไดอ้ กี ดว้ ย ในยามปกติ กำ� ลงั ทหาร
ทมี่ อี ยู่ ควรมขี ดี ความสามารถในการปอ้ งกนั ตนเอง แตถ่ า้ ถกู ขา้ ศกึ ใชก้ ำ� ลงั เขา้ รกุ ราน
กต็ อ้ งสามารถทำ� การตอ่ สปู้ อ้ งกนั ประเทศใหไ้ ดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ และตอ้ งทำ� ใหฝ้ า่ ยรกุ ราน
ได้ตระหนักว่า ฝ่ายรุกรานจะต้องประสบกับการโต้ตอบอย่างรุนแรง และประสบ
ความเสยี หายอยา่ งหนกั ทงั้ ยงั ไมม่ นั่ ใจไดว้ า่ จะสามารถเอาชนะได้ ทงั้ นกี้ เ็ พอ่ื ใหฝ้ า่ ย
รกุ รานเกดิ ความยบั ยงั้ ชง่ั ใจ และพจิ ารณาถงึ เกณฑเ์ สย่ี งและการสญู เสยี ทจี่ ะเกดิ ขนึ้
รวมถงึ การพจิ ารณาดว้ ยวา่ คา่ ใชจ้ า่ ยในการใชก้ ำ� ลงั อำ� นาจทางการทหารเพอ่ื ดำ� เนนิ
การสงครามนนั้ คุม้ คา่ กับการลงทุนทเ่ี สยี ไปหรอื ไม่ เพราะการทำ� สงครามย่อมมคี ่า
ใช้จ่ายที่แพงมหาศาลจากยุทโธปกรณ์สมัยใหม่ท่ีสลับซับซ้อน และใช้วิทยาศาสตร์
14

และเทคโนโลยีช้ันสูงท่ีอาจเกินขีดความสามารถทางเศรษฐกิจของประเทศท่ีจะรับ
ไวไ้ ด้ ตัวอย่างเช่น ในสงครามเวียดนาม สหรัฐอเมริกาต้องเสียค่าใช้จ่ายประมาณ
วันละ 63 ล้านเหรียญสหรัฐ สงครามระหว่างอิรักกับอิหร่านในปี พ.ศ.2523 ซ่ึง
กนิ เวลานานถงึ 10 ปเี ศษ เพียงช่วงระยะเวลา 18 เดอื น นบั ตง้ั แต่เริ่มต้นสงคราม
ประมาณว่าค่สู งครามทง้ั สองฝ่าย ต้องเสยี คา่ ใช้จ่ายถงึ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
และในสงครามอ่าวเปอร์เซียในปี 2533 สหรัฐอเมริกา ต้องเสียค่าใช้จ่าย
ถึงวันละ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะท่ีอดีตสหภาพโซเวียตท่ียิ่งใหญ่
ในยคุ สงครามเยน็ กม็ อี นั ตอ้ งลม่ สลายลง หลงั จมปลกั อยกู่ บั สงครามในอฟั กานสิ ถาน
นานถงึ 9ปีเปน็ ตน้ 28 ดว้ ยเหตนุ ี้สงครามจงึ มลี กั ษณะของสงครามจำ� กดั เสมอโดยเฉพาะ
ขอ้ จำ� กดั ทางเศรษฐกจิ ทไ่ี มอ่ ำ� นวยทำ� ใหส้ งครามยดื เยอ้ื ได้ การใชก้ ำ� ลงั ทหารในการ
ท�ำสงครามจึงเป็นเครื่องมือสุดท้ายในการแก้ไขปัญหาทางการเมืองในกรณีที่
เครอื่ งมอื อน่ื ๆ ใชไ้ มไ่ ดผ้ ลแลว้ เทา่ นนั้ หากสามารถใชเ้ ครอ่ื งมอื หรอื พลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ
อื่นๆ นอกเหนือจากกำ� ลังอ�ำนาจทางทหาร เพอ่ื บรรลุวตั ถุประสงค์ทางการเมอื งได้
โดยไม่จ�ำเป็นต้องใช้ก�ำลังทหารในการท�ำสงคราม แต่ควรพิจารณาใช้เคร่ืองมือ
หรือพลังอ�ำนาจเหล่าน้ัน ก่อนที่จะพิจารณาใช้ก�ำลังทหาร ดังน้ันการท�ำสงคราม
ของประเทศคสู่ งครามในปจั จบุ นั จงึ มงุ่ ไปสจู่ ดุ ทฝ่ี า่ ยตนเองจะแสวงหาความไดเ้ ปรยี บ
จากการทำ� สงครามใหม้ ากทสี่ ดุ เพอื่ บบี บงั คบั ใหอ้ กี ฝา่ ยหนงึ่ ปฏบิ ตั ติ ามความตอ้ งการ
ของตนให้มากทส่ี ดุ ก่อนทีจ่ ะเขา้ สู่โตะ๊ เจรจาเพื่อยุตกิ ารรบ
3) การประเมนิ คา่ ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
การประเมนิ คา่ ความมนั่ คงทางเศรษฐกจิ จะมงุ่ พจิ ารณาในเรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั
ฐานะทางเศรษฐกจิ ของประเทศเปน็ หลกั อนั ไดแ้ ก่ ความอดุ มสมบรู ณข์ องทรพั ยากร
ความเป็นปึกแผ่นด้านการค้า อุตสาหกรรมการเงิน ตลอดจนความอยู่ดีมีสุขของ
ประชาชน เป็นต้น ส�ำหรับการประเมินค่าว่าประชาชนมีความอยู่ดีกินดีหรือไม่
ประเมินได้จากความสามารถหรือรายได้ท่ีประชาชนสามารถเล้ียงดูตนเองและ
ครอบครัวได้อย่างทั่วถึงหรือไม่ หรือดูได้จากรายได้เฉล่ียต่อหัวของประชากรต่อปี
ทงั้ ประเทศ อยา่ งไรกต็ าม รายไดเ้ ฉลยี่ ตอ่ หวั ของประชากรเปน็ แตเ่ พยี งขอ้ มลู เบอื้ งตน้

15

เท่านั้น ควรพิจารณาปัจจัยอ่ืนๆ เพิ่มด้วย เพื่อให้ทราบรายละเอียดมากยิ่งขึ้น
โดยเฉพาะในเรอื่ งของการกระจายรายไดว้ า่ เปน็ ไปในลกั ษณะทเ่ี ปน็ ธรรมหรอื ไม่ กลา่ วคอื
ความแตกตา่ งในเรอื่ งรายไดข้ องแตล่ ะบคุ คล ตอ้ งพยายามไมใ่ หแ้ ตกตา่ งกนั มากนกั
เช่น มีบุคคลกลุ่มเล็กๆ บางกลุ่มเท่านั้นที่มีรายได้สูง แต่ประชาชนส่วนใหญ่
ของประเทศซงึ่ ประกอบอาชพี เกษตรกรรมในชนบทยงั มคี วามยากจน ในกรณเี ชน่ น้ี
จะถอื วา่ ประเทศน้นั มีความมน่ั คงทางเศรษฐกจิ คงไม่ได2้ 9
4) การประเมินค่าความม่ันคงทางสงั คมจติ วทิ ยา
โดยส่วนใหญ่แล้ว การประเมินค่าความม่ันคงทางสังคมจิตวิทยา
จะพิจารณาในเร่ืองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนโดยท่ัวไปว่า
ไดร้ บั ความคมุ้ ครองจากรฐั และเจา้ หนา้ ทขี่ องรฐั อยา่ งเพยี งพอหรอื ไม่ หากประชาชน
โดยท่ัวไปได้รับความคุ้มครองเพียงพอ ประชาชนก็สามารถด�ำรงชีวิตอยู่ได้ด้วย
ความม่ันใจต่อความปลอดภัยจากอันตราย ปราศจากความตนื่ กลัว และความวิตก
กังวลต่างๆ รฐั ใดก็ตามท่สี ามารถใหค้ วามคุม้ ครองแกป่ ระชาชนของตน ทงั้ ตอ่ ชีวิต
และทรัพย์สินได้เป็นอย่างดี รัฐนั้นๆ ก็จะมีความม่ันคงที่ดีตามไปด้วย นอกจากนี้
ความมนั่ คงแหง่ ชาตดิ า้ นสงั คมจติ วทิ ยา ยงั ตอ้ งพจิ ารณาถงึ เรอื่ งความเปน็ ธรรมในสงั คม
(Social Justification) ดว้ ย ความเป็นธรรมในสังคมนี้ หมายถึง ความเป็นธรรม
ทไี่ ดร้ บั จากขบวนการยตุ ธิ รรมของรฐั กลา่ วคอื หากประชาชนมปี ญั หาขดั แยง้ เกดิ ขน้ึ
กจ็ ะไดร้ บั การพจิ ารณาตามขน้ั ตอนของขบวนการยตุ ธิ รรมทจี่ ะใหค้ วามเปน็ ธรรมแกเ่ ขาได้
โดยไมม่ อี ทิ ธพิ ลจากกลมุ่ ผลประโยชนใ์ ดๆ มาบบี บงั คบั ดงั นนั้ ถา้ ประชาชนสว่ นใหญ่
ของประเทศมคี วามรสู้ กึ วา่ ตนมคี วามปลอดภยั ในชวี ติ และทรพั ยส์ นิ และหากเกดิ ปญั หา
ขอ้ ขดั แยง้ ใดๆขนึ้ หรอื มกี ารกระทำ� ในบางสงิ่ บางอยา่ งทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมายของบา้ นเมอื ง
หรอื ประเพณอี นั ดงี ามของสงั คมแลว้ เขาจะไดร้ บั การพจิ ารณาดว้ ยความเปน็ ธรรม
เชน่ นกี้ เ็ รยี กไดว้ า่ สงั คมนน้ั มคี วามมน่ั คงอนงึ่ ปญั หาของการวา่ งงานหรอื การไมม่ งี านทำ�
นบั ไดว้ า่ เปน็ ปญั หาสำ� คญั ยง่ิ ในสงั คมปจั จบุ นั แมว้ า่ จะเปน็ ปญั หาทางเศรษฐกจิ กต็ าม
แต่ก็มีผลกระทบต่อสังคมด้วย เพราะหากมีผู้วา่ งงานมากในรฐั ใด รฐั นน้ั กย็ อ่ มไมม่ ี
ความสงบสขุ อยา่ งแนน่ อน และจะมผี ลกระทบตอ่ ความมน่ั คงตามไปดว้ ย ดงั นนั้ ปญั หา
ทางเศรษฐกิจจงึ มสี ว่ นสัมพันธ์และมีผลกระทบต่อสงั คมจติ วทิ ยาโดยตรง30
16

5) การประเมินค่าความมั่นคงทางสารสนเทศ
องค์การหรือสถาบันต่างๆ ของรัฐ จะต้องด�ำรงความมั่นคงทาง
สารสนเทศโดยการจัดการเป็นโครงการประเมินค่าความเสี่ยงต่อความมั่นคง
ขององค์การหรือสถาบันในอนาคต เพื่อให้การรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับทรัพย์สิน
ทางด้านสารสนเทศและเทคโนโลยีขององค์การเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
ภัยคุกคามต่อทรัพย์สิน จุดล่อแหลมการควบคุมและการประมวลผลที่มีอยู่
และมาตรฐานและสิ่งที่ต้องการด้านความมั่นคงในปัจจุบัน ดังน้ัน การวิเคราะห์
ความเป็นไปได้และผลกระทบที่เก่ียวข้องกับ ภัยคุกคามที่ทราบและจุดล่อแหลม
ต่อทรัพยส์ นิ เหล่าน้ี และการจดั ลำ� ดับความเร่งดว่ นใหก้ บั ความเสีย่ งทมี่ ีอยู่อันเนอื่ ง
มาจากภัยคุกคามและจุดล่อแหลมดังกล่าวจึงเป็นส่ิงที่จะต้องพิจารณาว่า สมควร
จัดให้มีการฝึกก�ำลังพลในระดับที่เหมาะสม ก�ำหนดมาตรการควบคุมต่างๆ และ
การรับประกันความปลอดภัยที่จ�ำเป็นเพื่อที่จะบรรเทาความเสียหายท่ีเป็นไปได้
ใหม้ ากทส่ี ดุ แมว้ า่ การประเมนิ คา่ ความเสยี่ งของความมนั่ คงทางเทคโนโลยสี ารสนเทศ
เชน่ เดียวกับการประเมินค่าความเสีย่ งทัว่ ไปทางดา้ นเทคโนโลยสี ารสนเทศจะไมใ่ ช้
การประเมินเชิงปริมาณและแสดงความเสี่ยงในแง่ของสถิติแต่ด้วยมาตรการ
ความเส่ียงในเชิงปริมาณก็ยังมีผลอย่างมีนัยส�ำคัญต่อการจัดล�ำดับความเร่งด่วน
ของความเส่ยี ง และการตัดสนิ ใจของผบู้ งั คับบญั ชา ดังนน้ั การวเิ คราะหค์ วามเสย่ี ง
ในเชิงปริมาณจึงสามารถน�ำมาประยุกต์ใช้กับการประเมินค่าความมั่นคงทาง
เทคโนโลยีสารสนเทศได3้ 1
จ. ความสัมพันธร์ ะหว่างความมัน่ คงแห่งชาติกับยุทธศาสตร์ชาติ
ดงั ทไี่ ดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ รฐั จะดำ� รงความเปน็ รฐั อยไู่ ด้ รฐั ตอ้ งมอี งคป์ ระกอบ
ทสี่ ำ� คญั ครบถว้ นทงั้ 4 ประการ คอื ประชากร ดนิ แดน รฐั บาล และอำ� นาจอธปิ ไตย
โดยรฐั จะขาดองคป์ ระกอบอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดไมไ่ ด้ เพราะจะไมม่ คี วามเปน็ รฐั ทคี่ รบถว้ น
สมบูรณ์32 แต่การที่รัฐจะสามารถด�ำรงความเป็นรัฐอยู่ได้นานเพียงไร นอกจาก
องคป์ ระกอบทคี่ รบถว้ นดงั กลา่ วแลว้ รฐั ตอ้ งปราศจากสง่ิ ทจี่ ะมาคกุ คามหรอื ทำ� ลาย
ความเป็นรัฐ หรอื กล่าวอีกนยั หน่งึ วา่ รัฐต้องปราศจากภยันตรายใดๆ ทง้ั ปวง ไมว่ า่

17

ภยนั ตรายหรอื ภยั คกุ คามนน้ั จะเปน็ ภยั คกุ คามในลกั ษณะใดกต็ าม หากรฐั ปราศจาก
ภยันตรายหรือภัยคุกคามใดๆ แล้ว ประชาชนในรัฐนั้นก็จะสามารถด�ำรงชีวิตอยู่
ได้ด้วยความม่ันใจต่อความปลอดภัยท้ังชีวิตและทรัพย์สินด้วยประการท้ังปวง
รวมทง้ั ปราศจากความตนื่ กลวั และความวติ กกงั วลใดๆ การทปี่ ระชาชนในชาตหิ รอื
รฐั นน้ั จะดำ� รงชวี ติ อยไู่ ดโ้ ดยปกติ และรฐั ยงั คงดำ� รงความเปน็ เอกราชและมอี ำ� นาจ
อธปิ ไตยโดยสมบรู ณเ์ ชน่ น้ี อาจเรยี กไดว้ า่ ชาตนิ นั้ อยรู่ อด และความอยรู่ อดของชาติ
นเี้ อง นบั เปน็ ผลประโยชนท์ สี่ ำ� คญั ยง่ิ ของชาติ (National Vital Interests) ประการหนงึ่
แมว้ า่ ความอยรู่ อดของชาตคิ อ่ นขา้ งจะมคี วามหมายทกี่ วา้ งขวางและมลี กั ษณะนามธรรม
แตก่ ส็ ามารถจำ� กดั ขอบเขตใหแ้ คบลงและชดั เจนขน้ึ ได้ กลา่ วคอื ความอยรู่ อดของชาติ
หรอื ชาตจิ ะอยรู่ อดปลอดภยั ไดน้ น้ั ตอ้ งมกี ารรกั ษาความเปน็ ชาตเิ อาไว้ใหไ้ ดน้ น่ั เอง
เอกลกั ษณส์ ำ� คญั ทพ่ี อจะพสิ จู นท์ ราบ หรอื แสดงความเปน็ ชาตใิ หเ้ หน็ ไดน้ นั้
มีอยู่ 3 ประการ ดงั นี้
1) ประการแรก ไดแ้ ก่ สถาบนั (Institution) และวฒั นธรรมตา่ งๆ ทค่ี นในชาติ
นยิ มเคารพนบั ถอื เหมอื นๆ กนั เชน่ การยอมรบั นบั ถอื ประมขุ หรอื หวั หนา้ คนเดยี วกนั
ซง่ึ ประมขุ หรอื หวั หนา้ นนั้ อาจอยใู่ นรปู ของพระมหากษตั รยิ ์ พระราชนิ ี ประธานาธบิ ดี
หรอื ประธานพรรคการเมอื งกไ็ ด้ แลว้ แตล่ ทั ธกิ ารปกครองและเศรษฐกจิ ทปี่ ระเทศนน้ั
ใชอ้ ยู่
2) ประการท่ีสอง ได้แก่ การอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่มหรือเป็นพวกเดียวกัน
พดู จาภาษาเดยี วกนั ใชข้ นบธรรมเนยี มประเพณเี หมอื นๆ กนั และเคารพในความเชอ่ื
(Belief) หรอื ศาสนาเดียวกัน
3) ประการทส่ี าม ไดแ้ ก่ ความเจรญิ กา้ วหนา้ ของคนในชาติ เพราะถา้ หาก
คนในชาตไิ มม่ กี ารขยายปรมิ าณและดำ� รงชพี ใหท้ นั ตอ่ ความเจรญิ และความเปลยี่ นแปลง
ของโลกหรอื สง่ิ แวดลอ้ มแลว้ ชาตนิ น้ั กม็ แี ตจ่ ะอบั เฉาและหดตวั ลง คนในชาตอิ าจสญู สน้ิ
เผา่ พนั ธุ์ไปในท่ีสุด
ด้วยเหตุน้ี ความอยู่รอดของชาติจึงมีความส�ำคัญต่อชาติอย่างย่ิง
หากมีส่ิงใดๆ ก็ตามท่ีจะมีผลกระทบต่อความอยู่รอดของชาติแล้ว ชาติน้ันๆ
18

ย่อมจะไม่มีความมั่นคงปลอดภัย และส่ิงดังกล่าวเหล่านี้เองก็อยู่ในขอบข่ายของ
ผลประโยชน์แห่งชาติทั้งสิ้น หรือกล่าวในอีกนัยหนึ่งได้ว่า ส่ิงใดที่มีผลกระทบ
กระเทอื นตอ่ ผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ สง่ิ นนั้ กย็ อ่ มมผี ลกระทบกระเทอื นตอ่ ความอยรู่ อด
ของชาติด้วยเช่นกนั ขอให้สงั เกตว่า ผลประโยชน์แหง่ ชาตินน้ั เปน็ เปา้ หมาย หรอื
จดุ หมายปลายทางอนั สำ� คญั ทชี่ าตมิ งุ่ ใหบ้ รรลถุ งึ กลา่ วอกี นยั หนง่ึ ผลประโยชน์
แหง่ ชาติ กค็ อื หวั ใจสำ� คญั ของยทุ ธศาสตรช์ าติดงั นน้ั จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ ความสมั พนั ธ์
ระหวา่ งความมน่ั คงแหง่ ชาตกิ บั ยทุ ธศาสตรช์ าตนิ นั้ เปน็ สงิ่ ทแี่ ยกออกจากกนั ไดย้ าก
และจะต้องมีการปฏิบัติควบคู่กันตลอดไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการวางแผนและ
ปฏิบัติการต่างๆ เพ่ือท่ีจะรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ อันเป็นเป้าหมายส�ำคัญ
ไวใ้ หไ้ ดน้ นั้ จำ� เปน็ จะตอ้ งจดั ทำ� แผนในรายละเอยี ดในเรอ่ื งนโยบายความมน่ั คงแหง่ ชาติ
เพอ่ื ยดึ ถอื เปน็ หลกั ปฏบิ ตั ติ อ่ ไป อยา่ งไรกต็ าม ในการดำ� เนนิ การเพอ่ื ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมาย
แหง่ ชาตนิ น้ั จำ� เปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอื่ งมอื ของชาตทิ ง้ั ปวงทม่ี อี ยใู่ หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ และ
มีประสิทธภิ าพ เครอื่ งมือดงั กล่าวนี้ ก็คอื “พลงั อำ� นาจแหง่ ชาต”ิ ซ่งึ มอี ยมู่ ากมาย
รวมทง้ั องคป์ ระกอบทไี่ มม่ ตี วั ตน อนั ไดแ้ ก่ เกยี รตยิ ศ ศกั ดศิ์ รี หรอื ทกั ษะของชาติ
ทมี่ อี ยเู่ ชน่ เดยี วกบั องคป์ ระกอบทมี่ ตี วั ตน เชน่ อาวธุ และวตั ถดุ บิ ตา่ งๆ เปน็ ตน้ ดงั นนั้
ผทู้ ม่ี สี ว่ นรว่ มหรอื เกยี่ วขอ้ งกบั กรรมวธิ ี หรอื กระบวนตา่ งๆ ของความมนั่ คงแหง่ ชาติ
รวมทั้งนายทหารช้ันส�ำคัญๆ ของกองทัพ จึงต้องมีความรู้ความเข้าใจเก่ียวกับ
ความมั่นคงแห่งชาติ และองค์ประกอบของพลังอ�ำนาจที่ซับซ้อนเหล่าน้ีอย่าง
ถกู ตอ้ ง รวมถงึ กรรมวธิ ที างการเมอื ง ระบบราชการ และนโยบายตา่ งๆ ทางการเมอื ง
ซง่ึ อาจมผี ลกระทบตอ่ กระบวนการกำ� หนดยทุ ธศาสตรค์ วามมนั่ คงแหง่ ชาตไิ ดท้ งั้ สน้ิ 33
2. พลังอำ� นาจแห่งชาติ
ก. กล่าวน�ำ
คำ� วา่ “พลงั อำ� นาจ” หรอื “กำ� ลงั อำ� นาจ” นนั้ มคี วามหมายเหมอื นกนั
และมาจากรากศพั ทภ์ าษาองั กฤษคำ� เดยี วกนั วา่ “Power” โดยทว่ั ไปมกั จะนำ� มาใช้
แยกกัน เพื่อแสดงให้เห็นความแตกต่างของวัตถุประสงค์ กล่าวคือ ส�ำหรับชาติ
หรอื ประเทศเปน็ สว่ นรวม จะใชค้ ำ� วา่ “พลงั อำ� นาจ” สว่ นคำ� วา่ “กำ� ลงั อำ� นาจ” จะใช้

19

เมื่อกล่าวถึงองค์ประกอบของพลังอ�ำนาจอย่างหนึ่งอย่างใดโดยเฉพาะ ในบางครั้ง
อาจพบคำ� วา่ “อำ� นาจหนา้ ท”่ี (Authority) เขา้ มาเกยี่ วขอ้ งดว้ ย ทำ� ใหอ้ าจเกดิ ขอ้ สงสยั
และความสับสนข้ึนได้ แต่ความจริงแล้ว “อ�ำนาจหน้าท่ี” ไม่ได้เกี่ยวข้องกับ
“พลงั อำ� นาจ”เพราะ“อำ� นาจหนา้ ท”่ี กค็ อื อำ� นาจตามกฎหมายสทิ ธใิ นการบงั คบั บญั ชา
(Command Authority) หรอื บางทกี เ็ รยี กวา่ “อำ� นาจอนั ชอบธรรม” โดยมกั พบคำ� น้ี
ในเร่ืองที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายต่างๆ เช่น ในพระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา
ข้อบงั คบั และกฎกระทรวงตา่ งๆ เป็นตน้
ในเรอื่ งการเมอื งระหวา่ งประเทศหรอื ปจั จบุ นั มกั เรยี กกนั วา่ “ความสมั พนั ธ์
ระหว่างประเทศ” (International Relation) ก็อาจพบค�ำว่า “พลังอ�ำนาจ”
เขา้ ไปอยรู่ ว่ มดว้ ยเสมอ กลา่ วคอื ในระบบการเมอื งระหวา่ งประเทศนน้ั ประเทศเอกราช
ท้ังปวง ต่างก็พยายามปฏิบัติการทุกวิถีทาง เพ่ือรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์
แห่งชาติตนตามแต่จะเห็นสมควร เพราะประเทศเอกราชต่างก็ถือว่าประเทศตน
ย่อมมีอ�ำนาจอธิปไตยเป็นของตนเอง และไม่อยู่ใต้อาณัติของผู้ใด แต่เนื่องจาก
บรรดาประเทศเอกราชเหลา่ นม้ี พี ลงั อำ� นาจไมเ่ ทา่ กนั โดยเฉพาะประเทศที่เกิดใหม่
เป็นประเทศเล็กๆ และยากจน ท�ำให้ดูเหมือนว่าประเทศเหล่านี้มีพลังอ�ำนาจ
น้อยกว่าประเทศใหญ่ ประเทศที่ร�่ำรวย และประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยจะเห็น
ได้อย่างชัดเจนว่า เพื่อรักษาและส่งเสริมผลประโยชน์แห่งชาติประเทศที่มี
พลังอ�ำนาจมากกว่าย่อมได้เปรียบประเทศท่ีมีพลังอ�ำนาจน้อยกว่า จนถึงกับ
มีผู้กล่าวกันว่าประเทศท่ีมีพลังอ�ำนาจมากกว่าย่อมมีอิทธิพลเหนือประเทศท่ีมี
พลงั อำ� นาจนอ้ ยกวา่ และสามารถบบี บงั คบั ประเทศทม่ี พี ลงั อำ� นาจนอ้ ยกวา่ ใหป้ ฏบิ ตั ิ
ตามในสง่ิ ท่ีตนเองตอ้ งการได้
ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลของทุกประเทศในโลกต่างก็ให้ความสนใจอย่าง
กว้างขวางในการเสริมสร้างพลังอ�ำนาจแห่งชาติของตนให้เข้มแข็งอยู่เสมอ
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การเสรมิ สรา้ งกำ� ลงั กองทพั ใหม้ แี สนยานภุ าพเขม้ แขง็ เหนอื กวา่
ประเทศคู่แข่ง หรือประเทศที่อาจจะเป็นศัตรูของตนได้ในอนาคต (Potential
Enemy) หรอื เปน็ ฝา่ ยทมี่ ผี ลประโยชนแ์ หง่ ชาตขิ ดั กนั เพอ่ื วตั ถปุ ระสงคใ์ นการดำ� รงไว้
20

ซง่ึ อธปิ ไตยของชาติ และปอ้ งกนั มใิ หป้ ระเทศทอี่ าจจะเปน็ ศตั รมู ารกุ รานประเทศตนได้
นอกจากการเสริมสร้างก�ำลังกองทัพหรือก�ำลังทหาร รัฐบาลของทุกประเทศ
ก็ยังใหค้ วามสนใจในเรอื่ งอื่นๆ อกี ด้วย เชน่ การเสรมิ สร้างฐานะทางเศรษฐกิจของ
ประเทศ การเสรมิ สรา้ งขวญั และกำ� ลงั ใจทหารในการตอ่ สใู้ นสงคราม เพอื่ ความมน่ั คง
ปลอดภยั ของชาติ เปน็ ตน้ เพราะก�ำลงั อำ� นาจทางเศรษฐกจิ กด็ ี ขวัญและก�ำลงั ใจ
ทหารก็ดี ย่อมเป็นองค์ประกอบท่ีส�ำคัญในการรับประกันความมั่นคงแห่งชาติ
ใหอ้ ย่รู อดปลอดภยั และให้ประชาชนมคี วามผาสุกตามอตั ภาพโดยทวั่ หนา้ กนั 34
ข. ความหมายของพลงั อ�ำนาจแห่งชาติ
ไอนิส แอล. โคลด (Inis L. Claude) ได้กล่าวว่า “พลังอ�ำนาจ”
(Power) หมายถงึ ความสามารถในการท�ำลายสิง่ ตา่ งๆ ท้งั ทม่ี ีชีวิตและไม่มชี ีวิต35
ในขณะเดียวกัน ค�ำว่า“พลังอ�ำนาจแห่งชาติ”นั้น หมายถึง ผลรวมของทรัพยากร
ท้งั หมดทมี่ อี ยูซ่ ง่ึ ชาติสามารถใชเ้ พื่อบรรลุวัตถปุ ระสงค์แห่งชาติ36 จากความหมาย
ดงั กลา่ วขา้ งตน้ อนมุ านไดว้ า่ “พลงั อำ� นาจแหง่ ชาต”ิ คอื “กำ� ลงั ” หรอื “ขดี ความสามารถ
ของชาติ”หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า “พลังอ�ำนาจแห่งชาติ” คือ ความสามารถ
ของรัฐหน่ึงในอันท่ีจะก่อให้เกิดอิทธิพลแก่รัฐอื่นๆ”37ด้วยเหตุว่าประเทศต่างๆ
มีพลังอ�ำนาจแห่งชาติไม่เท่ากัน บรรดาประเทศท่ีมีพลังอ�ำนาจมาก อันได้แก่
ประเทศอภิมหาอ�ำนาจ และประเทศมหาอ�ำนาจต่างๆ ย่อมจะมีอิทธิพลเหนือ
ประเทศเล็กทยี่ ากจนและมพี ลังอ�ำนาจนอ้ ยกวา่ ไมว่ ่าทางตรงหรือทางอ้อม
อย่างไรก็ตาม ในการศึกษาและพิจารณาถึงความหมายของค�ำว่า
“พลังอ�ำนาจแห่งชาติ” นั้น นับเป็นส่ิงจ�ำเป็นที่จะต้องศึกษาและพิจารณาร่วมกับ
ความหมายของคำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ ดว้ ย หากจะแยกศกึ ษาและพจิ ารณาออกจากกนั
เปน็ อสิ ระแลว้ จะทำ� ใหไ้ ดค้ วามหมายคอ่ นขา้ งแคบ หรอื ขาดความสมบรู ณไ์ ปทเี ดยี ว
เพราะคำ� วา่ “พลงั อำ� นาจแหง่ ชาต”ิ นน้ั หากพจิ ารณากนั ใหล้ ะเอยี ดแลว้ จะเหน็ ไดว้ า่
มีความสัมพนั ธห์ รอื เก่ยี วข้องโดยตรงกับยทุ ธศาสตร์อย่างใกลช้ ิด38
ในพจนานกุ รมศพั ทท์ หารสามเหลา่ ทพั ของสหรฐั อเมรกิ า ใหค้ วามหมาย
ของคำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ หมายถงึ ศลิ ปะและศาสตรใ์ นการพฒั นาและการใชก้ ำ� ลงั

21

อ�ำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจ จิตวิทยา และทางทหารของชาติ ท้ังในยามสงบ
และยามสงคราม ในการสนับสนุนนโยบายแห่งชาตอิ ย่างดที ่สี ดุ เพอ่ื เพ่มิ พูนโอกาส
และอ�ำนวยให้ได้มาซึ่งผลแห่งความมีชัย และเพื่อโอกาสพ่ายแพ้น้อยท่ีสุด”39
จากความหมายของคำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ ขา้ งตน้ เหน็ ไดว้ า่ กำ� ลงั อำ� นาจทางการเมอื ง
ก�ำลังอ�ำนาจทางเศรษฐกิจ ก�ำลังอ�ำนาจทางจิตวิทยา และก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร
ของชาตนิ น้ั กค็ อื องคป์ ระกอบของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตนิ นั่ เอง และจากความหมายนเี้ อง
ทำ� ให้กลา่ วได้วา่ ยุทธศาสตรก์ ับพลังอ�ำนาจแห่งชาติ มีความสัมพนั ธ์ซง่ึ กนั และกนั
อย่างใกล้ชิด ไม่สามารถแยกออกจากกันได้อย่างแน่นอน เพราะ “ยุทธศาสตร์”
จำ� เปน็ ตอ้ งอาศยั “พลงั อำ� นาจแหง่ ชาต”ิ ทม่ี อี ยเู่ สมอื นเปน็ เครอ่ื งมอื ในการสนบั สนนุ
นโยบายแห่งชาติ (National Policies) เพ่ือผลแห่งชัยชนะหรือด�ำรงไว้ซง่ึ
วตั ถปุ ระสงคแ์ หง่ ชาติ และผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ อนั เปน็ จดุ หมายปลายทางแหง่ ชาติ
ทไ่ี ดว้ างไวแ้ ลว้ นนั่ เอง40 อยา่ งไรกต็ าม พลงั อำ� นาจในระดบั ชาตหิ รอื “พลงั อำ� นาจ
แหง่ ชาต”ิ นนั้ มอี ยหู่ ลายดา้ น แตใ่ นหนงั สอื เลม่ นจี้ ะขออธบิ ายพลงั อ�ำนาจแห่งชาติ
ทม่ี ลี กั ษณะของพลงั อำ� นาจทางสงั คม (Social Power) อนั ประกอบดว้ ยพลงั อำ� นาจ
แห่งชาติ 5 ด้านเท่าน้ัน ได้แก่ ก�ำลังอ�ำนาจทางการเมือง ก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร
ก�ำลังอ�ำนาจทางเศรษฐกิจ ก�ำลังอ�ำนาจทางสังคมจิตวิทยา และก�ำลังอ�ำนาจทาง
สารสนเทศ
ค. องค์ประกอบของพลงั อำ� นาจแห่งชาติ
พลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ ยอ่ มประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ (Elements) หรอื
สงิ่ ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ เปน็ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตขิ นึ้ โดยทว่ั ไปองคป์ ระกอบทเี่ ปน็ พนื้ ฐานสำ� คญั
ของพลงั อ�ำนาจแหง่ ชาติ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 5 องค์ประกอบด้วยกนั คอื ก�ำลังอำ� นาจ
ทางการเมอื ง กำ� ลงั อำ� นาจทางเศรษฐกจิ กำ� ลงั อำ� นาจทางสงั คมจติ วทิ ยา กำ� ลงั อำ� นาจ
ทางทหาร และกำ� ลงั อำ� นาจทางสารสนเทศ องคป์ ระกอบเหลา่ น้ี จำ� เปน็ ตอ้ งมคี รบทง้ั
5 องค์ประกอบ หากขาดองคป์ ระกอบอย่างหนง่ึ อยา่ งใดแลว้ พลงั อ�ำนาจแห่งชาติ
กจ็ ะขาดความสมบรู ณไ์ ปทเี ดยี ว ในสถาบนั การศกึ ษาบางแหง่ ไดเ้ รยี กองคป์ ระกอบ
เหล่าน้ีว่า “ปัจจัยพลังอ�ำนาจแห่งชาติ” แต่ความจริงแล้ว ค�ำว่า “ปัจจัย”
22

(Factor) กบั “องคป์ ระกอบ” มคี วามหมายทแ่ี ตกตา่ งกนั กลา่ วคอื ค�ำวา่ “ปจั จยั ”
เป็นเรื่องของการพิจารณาหรือเป็นเกณฑ์พิจารณา (Criteria) ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง
โดยน�ำปัจจัยมาพิจารณาแตกต่างกันไป ในเรื่องเดียวกันก็อาจมีปัจจัยมากน้อย
ไม่เหมือนกนั และไมม่ กี ฎเกณฑท์ แ่ี น่นอน ไมเ่ หมอื นกับลกั ษณะขององค์ประกอบ
ซึ่งในทางนิติศาสตร์ได้ถูกน�ำมาใช้เป็นหลักในการพิจารณาความผิดตามกฎหมาย
ดงั นน้ั คำ� วา่ “องคป์ ระกอบ” จงึ ควรนำ� มาใชใ้ นการพจิ ารณารายละเอยี ดของกำ� ลงั
อำ� นาจแหง่ ชาตแิ ตล่ ะอยา่ งไป เชน่ ปจั จยั กำ� ลงั อำ� นาจทางการเมอื งอาจประกอบดว้ ย
ปจั จยั ที่สามารถจะนำ� ไปพิจารณาไดแ้ ตกตา่ งกนั เปน็ ต้น
อยา่ งไรกต็ าม ในการศกึ ษาเรอ่ื งยทุ ธศาสตรน์ นั้ เปน็ การศกึ ษาเรอ่ื งของ
ความคดิ ซง่ึ อาจจะมคี วามแตกตา่ งกนั ไปตามลกั ษณะของสถาบนั หรอื ตามแนวความคดิ
ของแต่ละบุคคล ส�ำหรับการศึกษายุทธศาสตร์ในสถาบันทหารของสหรัฐอเมริกา
มไิ ดถ้ ือเปน็ กฎเกณฑต์ ายตัว แตม่ ขี อ้ สงั เกตเป็นพิเศษส�ำหรับการศกึ ษายทุ ธศาสตร์
ในโรงเรยี นเสนาธิการทหารบกสหรัฐอเมริกา ซึง่ ไดย้ ดึ ถอื “ลกั ษณะทางภูมิศาสตร์
ของประเทศ” ขน้ึ มาเปน็ องคป์ ระกอบของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตดิ ว้ ย อาจดว้ ยเหน็ วา่
ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตร์ มสี ว่ นสำ� คญั ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ อทิ ธพิ ลหรอื กอ่ ใหเ้ กดิ ความไดเ้ ปรยี บ
หรอื เสยี เปรยี บระหวา่ งประเทศ เชน่ ประเทศทถี่ กู ปดิ ลอ้ มหรอื ถกู บบี บงั คบั จากลกั ษณะ
ภูมิประเทศของประเทศอ่ืน ไม่มีทางออกสู่ทะเลและต้องอาศัยเส้นทางคมนาคม
ของประเทศอื่นเพื่อน�ำสินค้าท่ีจ�ำเป็นเข้าสู่ประเทศของตน ย่อมตกอยู่ในฐานะ
ท่ีเสียเปรียบประเทศอื่น เป็นต้น นอกจากน้ี ปัจจัยในการพิจารณาลักษณะทาง
ภูมิศาสตร์อ่ืนๆ เช่น ขนาดและรูปร่างของประเทศ จ�ำนวนและลักษณะของ
ประชากร แร่ธาตุและพลังงาน เป็นต้น ก็นับว่ามีความส�ำคัญต่อความได้เปรียบ
หรอื เสียเปรียบระหวา่ งประเทศได้เช่นกัน
ส�ำหรับองค์ประกอบด้านก�ำลังอ�ำนาจทางสังคมจิตวิทยา (Social-
Psychological Power) นน้ั โรงเรยี นเสนาธิการทหารบกสหรัฐอเมรกิ า ไดพ้ ฒั นา
ขนึ้ เปน็ “เจตจำ� นงแหง่ ชาต”ิ (National Will) ซงึ่ มลี กั ษณะเปน็ ผลรวมของทรพั ยากร
ของบคุ คลในชาตินน้ั และเปน็ ลกั ษณะของนามธรรม คอื ไม่สามารถจบั ต้องได้ แต่
พจิ ารณาวา่ นา่ จะมอี ทิ ธพิ ลตอ่ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ อยา่ งไรกต็ าม เจตจำ� นงแหง่ ชาตนิ ี้

23

ยังไม่มีมาตรการใดๆ ท่ีสามารถวัดค่าได้อย่างถูกต้องและแน่นอน เป็นเพียง
การอนุมานจากความรู้ เหตุผลทางตรรกวิทยา และประสบการณ์ต่างๆ ที่อาจถือ
เป็นบทเรียนปัจจัยพิจารณาส�ำคัญของเจตจ�ำนงแห่งชาติน้ี อาจแบ่งออกได้เป็น
2 ประการ คอื ปจั จยั ทางสงั คมวทิ ยา (Sociological Factor) และปจั จยั ทางจติ วทิ ยา
(PsychologicalFactor) ปัจจัยท้ังสองประการนี้ มีรายละเอียดในการพิจารณา
ต่างกัน อย่างไรก็ตาม มีข้อที่ควรพิจารณาได้ว่า ก�ำลังอ�ำนาจทางสังคมวิทยา
เพียงอย่างเดียวนับว่ายังไม่เพียงพอต่อการใช้เป็นเคร่ืองมือของชาติ เพ่ือให้บรรลุ
วตั ถปุ ระสงคแ์ หง่ ชาติ แต่ยังต้องอาศัยก�ำลังอ�ำนาจทางจิตวิทยาเสริมเข้าไปด้วย
เพอื่ ใหม้ หี ลกั ประกนั ตอ่ ความสำ� เรจ็ มากยงิ่ ขน้ึ กำ� ลงั อำ� นาจทางสงั คมจติ วทิ ยาเหลา่ นี้
ไดแ้ ก่ ความสามคั คขี องคนในชาติ คณุ ลกั ษณะประจำ� ชาติ บทบาทและแนวความคดิ
ในการด�ำเนินการของรัฐบาล เป็นต้น
การที่จะพิจารณาวัดค่าของพลังอ�ำนาจของประเทศใดประเทศหน่ึง
อยา่ งแทจ้ รงิ น้นั นับเป็นเรือ่ งที่กระทำ� ได้ยากล�ำบาก เพราะนอกจากค�ำนึงถงึ ปจั จัย
ทเ่ี ปน็ รปู ธรรมหรอื ปจั จยั ทมี่ ตี วั ตน เชน่ กำ� ลงั อำ� นาจทางทหาร กำ� ลงั อำ� นาจทางเศรษฐกจิ
ฯลฯ แล้ว ยังจะต้องค�ำนึงถึงปัจจัยที่มีลักษณะนามธรรมหรือปัจจัยท่ีไม่มีตัวตน
อันได้แก่ ภาวะผู้น�ำ อุดมการณ์ ศาสนา จริยธรรม ฯลฯ อีกด้วย ซ่ึงปัจจัยของ
พลงั อำ� นาจทง้ั สองรปู แบบนี้ ยอ่ มมคี วามสมั พนั ธก์ บั พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตเิ ปน็ สว่ นรวม
จะแยกพจิ ารณาออกจากกนั อยา่ งเดด็ ขาดหาไดไ้ ม่ ตวั อยา่ งเชน่ กำ� ลงั ทหารของกลมุ่
รฐั อาหรบั ทเี่ ปน็ ภาคสี มาชกิ ของสนั นบิ าตอาหรบั (TheArabLeague)ในตะวนั ออกกลาง
ประกอบดว้ ยประเทศตา่ งๆ ถงึ 21 ประเทศ ซงึ่ เมอื่ นำ� ไปเปรยี บเทยี บกบั กำ� ลงั ทหาร
ของอสิ ราเอลซง่ึ มจี ำ� นวนนอ้ ยกวา่ แลว้ กำ� ลงั ทหารของกลมุ่ รฐั อาหรบั มมี ากกวา่ กำ� ลงั
ทหารอิสราเอลหลายเท่า แต่เม่ือเปรียบเทียบกับพลังอ�ำนาจแห่งชาติเป็นส่วนรวม
พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตขิ องอสิ ราเอล กลบั มคี า่ สงู กวา่ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตขิ องกลมุ่ รฐั อาหรบั
เป็นต้น41 เพ่ือให้เข้าใจเก่ียวกับลักษณะและความส�ำคัญขององค์ประกอบของ
พลงั อำ� นาจแห่งชาตใิ นแต่ละองค์ประกอบ และความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคป์ ระกอบ
เหลา่ นน้ั จงึ ขอแยกพจิ ารณาองคป์ ระกอบของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตเิ ปน็ รายดา้ น ดงั น้ี
24

1) ก�ำลงั อ�ำนาจทางการเมอื ง
คำ� วา่ “การเมอื ง” นนั้ มผี ใู้ หค้ วามหมายแตกตา่ งกนั มากมาย แตก่ ารเมอื ง
เปน็ กจิ กรรมดา้ นหนง่ึ ของมนษุ ย์ ไมว่ า่ มนษุ ยจ์ ะชอบหรอื ไมช่ อบกต็ าม กไ็ มอ่ าจขจดั
หรอื แยกการเมอื งออกจากการใชช้ วี ติ ของมนษุ ยใ์ นสงั คมได้ ดงั นนั้ การเมอื งจงึ ถอื เปน็
เร่ืองธรรมชาติที่แยกจากชีวิตมนุษย์ไม่ได้ ธรรมชาติของการเมืองหรือธรรมชาติ
ของรัฐ ได้แก่ การเป็นศูนย์รวมของคนที่มีความแตกต่างกัน การเมืองจึงเกิดขึ้น
เมอ่ื มกี ารยอมรบั ความจรงิ วา่ ในชมุ นมุ ชนการเมอื งนน้ั มกี ลมุ่ ตา่ งๆ ประกอบกนั ขนึ้
โดยมผี ลประโยชนแ์ ละมธี รรมเนยี มประเพณที แ่ี ตกตา่ งกนั แตม่ ารวมกนั อยใู่ นอาณาเขต
เดียวกัน และมีการปกครองอย่างเดียวกัน ภารกิจหลักของกิจกรรมทางการเมือง
ก็คือ การปกครองและธ�ำรงรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในชุมชนการเมือง
ที่เรยี กวา่ “รฐั ” การเมือง เป็นวธิ ีการอย่างหนง่ึ ในการแกป้ ัญหาความเปน็ ระเบียบ
เรียบร้อยของสังคม และเกิดข้ึนได้ก็ด้วยการใช้อ�ำนาจการปกครอง เนื่องจาก
ธรรมชาติของการเมืองต้องสอดคล้องกับธรรมชาติของสังคม และเมื่อธรรมชาติ
ของสงั คมทม่ี รี ฐั เปน็ สงั คมใหญท่ ม่ี คี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากกวา่ ครอบครวั และมากกวา่
เผา่ ชนแลว้ การเมอื งในความหมายทถ่ี กู ตอ้ ง จงึ ควรเปน็ การเมอื งทย่ี อมรบั การดำ� รง
อยู่ของกลุ่มต่างๆ และเปิดโอกาสให้กลุ่มชนเหล่านั้น แสดงออกซึ่งความต้องการ
และผลประโยชน์ของกลุ่มชนอย่างกว้างขวาง ดังน้ัน การเมืองจึงมีขอบเขตและ
ความหมายทก่ี วา้ งเกนิ กวา่ “การตอ่ สเู้ พอ่ื แยง่ ชงิ อำ� นาจ” (A Struggle for Power)
ค�ำว่า “การเมือง” ในอีกความหมายหน่ึง หมายถึง ความสัมพันธ์
ระหว่างมนุษย์ที่ใช้อ�ำนาจปกครองกับการปกครอง แต่ค�ำว่า “การเมือง” ท่ีจะมี
อทิ ธพิ ลและกอ่ ใหเ้ กดิ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตไิ ดน้ นั้ ยอ่ มขนึ้ อยกู่ บั รฐั บาลเปน็ สว่ นสำ� คญั
เพราะรฐั บาลเปน็ ผใู้ ชอ้ ำ� นาจตดั สนิ ใจบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ อาจกลา่ วไดว้ า่ ประเทศ
ใดก็ตามหากได้รัฐบาลที่ดี และมีความสามารถในการบริหารประเทศ รวมท้ัง
สามารถโน้มน้าวจิตใจประชาชนให้บังเกิดความศรัทธาเชื่อถือ รัฐบาลน้ัน ก็จะมี
ความมั่นคง และมีเสถียรภาพทางการเมืองที่ดี เพราะรัฐบาลท่ีดีหรือมีคุณภาพ
ยอ่ มสามารถจดั สรรทรพั ยากรของชาตไิ ปในทางเหมาะสมและกอ่ ใหเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ

25

ในทางตรงขา้ ม แมร้ ฐั จะมกี ำ� ลงั คน ฐานะทางการเงนิ หรอื อดุ มสมบรู ณด์ ว้ ยทรพั ยากร
ธรรมชาตมิ ากเพยี งไร แตถ่ า้ รฐั บาลใชอ้ ำ� นาจบรหิ ารประเทศอยา่ งไมม่ คี ณุ ภาพแลว้
รฐั นน้ั กไ็ รซ้ งึ่ พลงั อำ� นาจ เพราะเมอื่ รฐั บาลออ่ นแอ ไมเ่ ขม้ แขง็ เสถยี รภาพทางการเมอื ง
ก็ย่อมเกิดข้ึนไม่ได้ ดังนั้น แทบทุกรัฐบาลจึงมีนโยบายท่ีจะด�ำเนินการทุกวิถีทาง
เพื่อให้บังเกิดเสถียรภาพทางการเมืองท้ังภายในและภายนอกประเทศให้มากท่ีสุด
เท่าที่จะสามารถท�ำได้ อย่างไรก็ตาม การสร้างเสถียรภาพทางการเมืองภายนอก
ประเทศให้ได้น้ัน ต้องอาศัยการเมืองระหว่างประเทศหรือนโยบายต่างประเทศ
อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม การเมอื งระหวา่ งประเทศน้นั หมายถงึ ศิลปะท่ีรัฐบาล
ของประเทศหนง่ึ หรอื หลายประเทศใชเ้ พอื่ โนม้ นา้ ว ชกั จงู หรอื บบี บงั คบั ใหร้ ฐั บาล
ของอีกประเทศหนึ่งหรือหลายประเทศปฏิบัติการหรืองดเว้นปฏิบัติการอย่างใด
อย่างหนึ่งตามท่ีตนต้องการ การด�ำเนินงานด้านการเมืองระหว่างประเทศน้ัน
ส่วนใหญ่อาศัยการปฏิบัติในทางการทูต โดยสถานทูตของตนในต่างประเทศ
รวมทง้ั องคก์ ารระหวา่ งประเทศและองคก์ ารสนธสิ ญั ญาปอ้ งกนั รว่ มกนั ดว้ ยในขณะที่
เสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ย่อมมีส่วนช่วยให้รัฐเป็นที่เช่ือถือและ
ยอมรับศักด์ิศรีในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ ดังนั้น ประเทศท้ังหลายจึงต้อง
อาศยั คณุ ภาพทางการทตู ของตน ในการรกั ษาพลงั อำ� นาจและผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ
ในเวทีการเมืองระหว่างประเทศ เพราะความสามารถทางการทูตในต่างประเทศ
ย่อมอ�ำนวยประโยชน์ในการจูงใจให้ชาติอื่นมีความเห็นสอดคล้องกัน หรือ
ประนีประนอมกัน เพ่ือให้ได้มาซ่ึงผลประโยชน์แห่งชาติตนได้ ในขณะท่ี
กำ� ลงั อำ� นาจทางทหาร กม็ สี ว่ นชว่ ยใหม้ นี ำ้� หนกั ในการเจรจาทางการทตู อยมู่ ใิ ชน่ อ้ ย
สมดังที่พระเจ้าฟรีดริชมหาราชแห่งปรัสเซีย ได้ทรงกล่าวถึงความสัมพันธ์
ระหว่างการทูตกบั การทหารไวอ้ ย่างนา่ ประทบั ใจวา่ “การทตู ที่ปราศจากอาวุธ
กเ็ ปรยี บเสมอื นดนตรที ไี่ มม่ เี ครอ่ื งเลน่ ”42 หากพจิ ารณาในรายละเอยี ด กำ� ลงั อำ� นาจ
ทางการเมือง ย่อมประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ หลายประการด้วยกัน เช่น อุปนิสัย
ของพลเมอื งความโนม้ เอยี งทางการเมอื ง ระบอบการปกครอง ระบบพรรคการเมอื ง
อดุ มการณท์ างการเมอื ง กลมุ่ อทิ ธพิ ลหรอื กลมุ่ ผลประโยชน์ เสถยี รภาพทางการเมอื ง
26

และความเหมาะสมในการด�ำเนินนโยบายต่างประเทศ เป็นต้น ด้วยเหตุน้ี ก�ำลัง
อ�ำนาจทางการเมือง จะมีมากน้อยเพียงไรนั้น จ�ำเป็นต้องอาศัยความสามารถใน
การผสมผสานปัจจัยต่างๆ เหลา่ นดี้ ว้ ย43
2) กำ� ลงั อ�ำนาจทางทหาร
องค์ประกอบที่ส�ำคัญของก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร นอกจากก�ำลังรบ
และอาวุธยุทโธปกรณ์แล้ว ยังได้แก่ องค์ประกอบท่ีไม่มีตัวตนหรือที่จับต้องไม่ได้
(Intangibles) เชน่ ทักษะ (Skill) และขวัญ (Morale) ของหนว่ ยทหาร คุณภาพ
ของผู้น�ำทางทหาร ความอ่อนตัว ความคล่องแคล่วในการเคล่ือนท่ี (Mobility)
หลกั นยิ มทางยุทธศาสตร์ ขวัญทางการเมือง (Political Morale) เปน็ ต้น ถึงแมว้ ่า
องค์ประกอบท่ีจับต้องไม่ได้น้ี จะเป็นการยากล�ำบากในการก�ำหนดหรือวัดค่า
ท่ีแน่นอนได้ แต่ก็เป็นองค์ประกอบท่ีมีความส�ำคัญต่อการประมาณการก�ำลัง
อำ� นาจทางทหารเพอ่ื ความถูกตอ้ งและไมห่ ลงผดิ ในสงครามปจั จบุ ันองค์ประกอบ
ท่ีจับต้องไม่ได้นี้ จะช่วยในการประมาณการก�ำลังอ�ำนาจทางทหารได้มากย่ิงกว่า
จ�ำนวนก�ำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์เสียอีก และเมื่อพิจารณาถึงคุณภาพ
ของอาวุธด้วยแล้ว ย่ิงมีความส�ำคัญมากเป็นพิเศษ สงครามท่ีผ่านมาในอดีต
ท้ังสงครามเวียดนาม และสงครามระหว่างอาหรับกับอิสราเอล ได้แสดงให้เห็น
อย่างชัดเจนว่าการประมาณการก�ำลังอ�ำนาจทางทหารแสดงเป็นตัวเลข อันก่อให้
เกดิ ความผิดพลาดเป็นอยา่ งมาก
ในโลกปจั จบุ นั ผลจากการสำ� รวจกำ� ลงั อำ� นาจทางทหารระหวา่ งประเทศ
ปรากฏวา่ ประเทศสว่ นมากในโลกจำ� นวน 162 ประเทศ ตา่ งสงวนกำ� ลงั อำ� นาจทางทหาร
ไวใ้ นประเทศของตนเปน็ สำ� คญั ดว้ ยวตั ถปุ ระสงคท์ างการเมอื งและไมค่ ดิ ทจี่ ะนำ� ไปใช้
ในสงคราม การซ้อมรบในสนามกระท�ำเพียงบางคร้ังเท่านั้น อาวุธยุทโธปกรณ์ท่ี
บรรจุให้กองทัพส่วนใหญ่มีเพียงขนาดเบา ค่อนข้างจะเป็นในลักษณะของก�ำลัง
ต�ำรวจมากกว่ากำ� ลังทหาร ดงั น้นั ขดี ความสามารถทางทหารทแี่ ท้จริงของกองทพั
จึงถูกจ�ำกัดอยู่เฉพาะเพ่ือการป้องกันดินแดนประเทศของตน นอกจากจะใช้ใน
วตั ถปุ ระสงคข์ องการรกุ รานประเทศอนื่ เทา่ นน้ั การประเมนิ คา่ ขดี ความสามารถกำ� ลงั รบ

27

(Combat Capabilities) ใหถ้ กู ตอ้ งและใกลเ้ คยี งความเปน็ จรงิ ทส่ี ดุ จะตอ้ งพยายาม
หามาตรการหรอื วธิ กี ารอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดโดยเฉพาะ มาวดั สงิ่ ทจ่ี บั ตอ้ งไมไ่ ดน้ ใี้ หไ้ ด้
วธิ ีการท่ใี ช้ได้ผลวธิ หี น่ึงกค็ อื การหาปัจจัยต่างๆ มาเปลีย่ นเปน็ คา่ คงท่ี หรอื เปน็ คา่
สัมประสิทธ์ิ (Coefficient) เพอ่ื ใชเ้ ปน็ มาตรฐานส�ำหรบั วดั กำ� ลังอำ� นาจทางทหาร
เปรยี บเทยี บ โดยปจั จยั ในการประเมนิ คา่ ขดี ความสามารถกำ� ลงั รบ สามารถแบง่ ออก
ได้เปน็ 4 ปจั จยั ดังนี้
ก) คณุ ภาพกำ� ลงั พล
คณุ ภาพกำ� ลงั พล (Manpower Quality) มไิ ดห้ มายถงึ แตเ่ พยี งกำ� ลงั ทหาร
ในกองทัพอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการปฏิบัติการรบอย่างมีประสิทธิผลอีกด้วย
ส่ิงสำ� คญั ทจ่ี ะตอ้ งพิจารณาในเรือ่ งนี้ ไดแ้ ก่ พนั ธกิจของการฝกึ และขวญั ของหน่วย
เช่นเดียวกันกับลักษณะผู้น�ำของหน่วยทหาร ซึ่งจะมีผลกระทบอย่างส�ำคัญ
ตอ่ สงั คมวทิ ยาในกองทพั อยเู่ สมอๆ จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ คณุ ภาพของกำ� ลงั พลสำ� หรบั
นายทหารของกองทพั ยอ่ มเปน็ สง่ิ สำ� คญั ยง่ิ กวา่ สงิ่ อนื่ ใด ยง่ิ เสยี กวา่ อาวธุ ยทุ โธปกรณ์
เสยี อกี เพราะอาวธุ นนั้ อาจซอื้ หามาไดใ้ นวนั พรงุ่ หรอื แมก้ ระทง่ั การฝกึ อาจทำ� ไดใ้ น
ระยะเวลาเพยี ง 1 ปี หรอื 2 ปเี ท่านนั้ แต่คณุ ภาพของนายทหารในกองทพั จะตอ้ ง
พัฒนาอย่างเป็นระบบและด้วยความถูกต้อง ท้ังโดยให้การศึกษาเพ่ือให้มีคุณภาพ
มที กั ษะรวมทงั้ ปลกู ฝงั ใหม้ อี ดุ มการณ์ และมคี วามตงั้ ใจอยา่ งแนว่ แน่ การทจ่ี ะบรรลผุ ล
ท่ตี ้องการดงั กลา่ ว จ�ำเปน็ ต้องอาศัยเวลานานพอสมควร
ข) ประสิทธิผลของอาวธุ
ปจั จยั นรี้ วมถงึ จำ� นวนและคณุ ภาพของอาวธุ ทใ่ี ชใ้ นกองทพั ประสทิ ธผิ ล
ของอาวุธ จึงมีความหมายแตกต่างกับประสิทธิภาพของอาวุธ (Weapon Effec-
tiveness) กลา่ วคอื ประสทิ ธภิ าพของอาวธุ เปน็ เรอ่ื งของขดี ความสามารถทางกลไก
ของรถถงั ปนื ใหญ่ เรอื รบ และเครื่องบิน บางกรณปี ระเทศที่ซ้ือหาอาวธุ ที่ต้องใช้
ความช�ำนาญสูงเพราะมีกลไกสลับซับซ้อน เม่ือคุณภาพของผู้ใช้มีความช�ำนาญ
ไม่พอจะท�ำให้ประสิทธิผลของอาวุธด้อยลงไป ตัวอย่างท่ีเห็นได้ชัดเจนในปัจจุบัน
กค็ อื ในกลมุ่ ประเทศทมี่ รี ายไดร้ ำ่� รวยจากการขายนำ้� มนั ในตะวนั ออกกลางบางประเทศ
ไดส้ ง่ั ซอ้ื อาวธุ อยา่ งทนั สมยั ใหแ้ กก่ ำ� ลงั รบของตน โดยทก่ี ำ� ลงั รบเหลา่ นนั้ ไมท่ ราบถงึ
28

วิธีการใช้หรือใช้ไม่เป็น อาวุธดังกล่าว ได้แก่ เคร่ืองบินรบท่ีมีสมรรถนะสูง รถถัง
ท่ีมีเครื่องควบคุมท่ีสลับซับซ้อนด้วยมาตรการทางอิเล็กทรอนิกส์ชั้นสูงและ
เรอื รบขนาดใหญ่ เปน็ ตน้ อาวธุ เหลา่ นี้ ถา้ หากประเทศดงั กลา่ วจดั ซอื้ หาอาวธุ ธรรมดา
ท่ีเหมาะสมกับก�ำลังรบของตนหรือก�ำลังรบเหล่าน้ันสามารถน�ำไปใช้ให้เหมาะกับ
ขีดความสามารถทางทหารที่มีอยู่แล้ว ก็จะสามารถบรรลุผลส�ำเร็จได้ตาม
วัตถุประสงค์ในทางตรงข้ามประเทศทม่ี กี ำ� ลงั รบซง่ึ มคี วามชำ� นาญสงู แตก่ ลบั จดั หา
อาวุธให้กับกองทัพท่ีไม่ทันสมัยและไม่เหมาะสม ประสิทธิผลของอาวุธก็ย่อม
ลดลงไปด้วย
ค) โครงสร้างพนื้ ฐานและการสนับสนนุ ดา้ นการสง่ กำ� ลังบำ� รงุ
ปัจจัยน้ีค่อนข้างมีขอบเขตกว้างขวางมาก โดยอาจพิจารณาได้ต้ังแต่
ระบบการเฝา้ ตรวจดว้ ยเรดาร์ ไปจนถงึ การจดั หาทกี่ ำ� บงั ใหก้ บั เครอ่ื งบนิ และตงั้ แต่
การซอ่ มแซมยทุ โธปกรณข์ องหนว่ ยในสนาม ไปจนถงึ ความเพยี งพอของระดบั สะสม
สิ่งอุปกรณ์ช้ินส่วนซ่อม ในปัจจุบันก�ำลังรบของประเทศต่างๆ ส่วนมากมักส่ังซื้อ
อาวุธและส่ิงอุปกรณ์จากต่างประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศมหาอ�ำนาจต่างๆ
ซงึ่ มเี ทคโนโลยสี งู และประกอบอตุ สาหกรรมหนกั โดยปกตกิ ารประมาณการกำ� ลงั อำ� นาจ
ทางทหาร มักจะไม่แตกต่างกันนักระหว่างอาวุธที่ผลิตข้ึนในประเทศกับอาวุธที่ส่ัง
น�ำเข้ามาจากต่างประเทศ และไม่ได้แตกต่างกันระหว่างส่ิงอุปกรณ์ที่ใช้ส้ินเปลือง
กบั สงิ่ อปุ กรณท์ สี่ ง่ั นำ� เขา้ มาจากภายนอก แตอ่ ตั ราการใชท้ งั้ สง่ิ อปุ กรณแ์ ละกำ� ลงั คน
สำ� หรบั สงครามในปัจจบุ ันคอ่ นข้างสูง โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ กค็ ือ ในสงครามระหว่าง
อาหรับกบั อสิ ราเอล เม่ือปี ค.ศ.1973 การทีต่ อ้ งสงั่ ส่ิงอปุ กรณเ์ ข้ามามากๆ ทำ� ให้
ก�ำลังอ�ำนาจทางทหารต้องลดลงไปด้วย เว้นเสียแต่ว่าประเทศนั้นๆ จะได้มีการ
สะสมอยู่ในเกณฑ์สูง ดงั นนั้ ประเทศที่สามารถพ่งึ พาตนเองได้มากกวา่ เมือ่ จำ� เปน็
จะต้องเขา้ สสู่ งครามจงึ มกี ำ� ลงั อำ� นาจมากกวา่ ในเมอ่ื สว่ นอน่ื ๆ มคี วามทดั เทยี มกนั
ประเทศที่ไม่มีขีดความสามารถประกอบอุตสาหกรรมพื้นฐานต่างๆ นับต้ังแต่
สิง่ อ�ำนวยความสะดวก ณ บรเิ วณทา่ เรอื ไปจนถงึ ระบบการควบคมุ ทางพนื้ ดนิ สำ� หรบั
ควบคุมเรือบินรบและระบบคมนาคมทางทหาร ในปัจจุบันจะต้องเสียค่าใช้จ่าย
ทางทหารสงู มาก

29

ง) คณุ ภาพของการจัดหนว่ ย
ปัจจัยคุณภาพของการจัดหน่วย (Organizational Quality)
จะมีผลกระทบต่อคุณภาพของก�ำลังรบเหมือนกับการจัดระบบราชการอ่ืนๆ
ในทำ� นองเดยี วกนั กลา่ วคือ การจัดหน่วยจะตอ้ งให้มีการกำ� กบั ดแู ลและบรหิ ารงาน
อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และจะตอ้ งดำ� รงใหม้ ขี ดี ความสามารถพรอ้ มรบอยตู่ ลอดเวลา
การจัดหน่วยจะต้องมีการวางแผนรายละเอียดตามล�ำดับขั้นตอน เพ่ือให้สามารถ
เสริมภารกิจทางยุทธวิธี และจะต้องสะดวกแก่การอ�ำนวยการ และควบคุม
บังคับบัญชาอย่างเหมาะสม รวมทั้งสามารถปรับสภาพตามความเปลี่ยนแปลง
ของสถานการณ์ทางการยุทธ์ได้ด้วยดี กุญแจส�ำคัญที่จะน�ำมาสู่ความส�ำเร็จก็
คือ “ประสบการณ์ในการยทุ ธ”์ เพราะประสบการณใ์ นสงครามน้ัน จะเปน็ บท
เรยี นใหส้ ามารถรจู้ กั ชวี ติ ของการจดั หนว่ ยทางทหารไดอ้ ยา่ งแทจ้ รงิ ในยามสงบ
หนว่ ยทหารจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งไดร้ บั การฝกึ อยา่ งสมจรงิ อยเู่ สมอ เพอ่ื ทดแทนการทดลอง
จริงๆ ในสนามรบ44

ตารางที่ 1-1 ขนาดของกองทัพประเทศตา่ งๆ เมื่อเทยี บเป็นปรมิ าณกำ� ลงั พล

ลำ� ดบั ประเทศ จำ� นวนทหาร (นาย)

1.         สหรัฐอเมรกิ า 1,369,000
2.         สาธารณรฐั ประชาชนจนี 1,250,000
3.         เกาหลใี ต้ 1,240,000
4.         อินเดีย 1,120,000
5.         เกาหลเี หนอื 1,000,000
6.         อิสราเอล 633,000
7.         ปากีสถาน 550,000
8.         รสั เซยี 415,000
9.         เวยี ดนาม 410,000
10.      ตุรกี 400,000

30

ลำ� ดบั ประเทศ จำ� นวนทหาร (นาย)

11.      อัฟกานสิ ถาน 352,000

12.      อหิ รา่ น 350,000

13.      สงิ คโปร์ 350,000

14.      อียปิ ต์ 310,000

15.      อนิ โดนเี ซยี 300,000

16.      ฟินแลนด์ 280,000

17.      บงั กลาเทศ 260,000

18.      อิรัก 250,000

19.      เมียนมา 250,000

20.      ซดู าน 240,000

21.      โคลมั เบยี 235,000

22.      เมก็ ซโิ ก 212,000

23.      ซดู านใต้ 210,000

24.      เอธิโอเปยี 200,000

25.      ศรลี งั กา 200,000

26.      ไต้หวนั 200,000

27.      ไทย 190,000

28.      บราซลิ 190,000

29.      โคลัมเบยี 235,000

30.      เม็กซโิ ก 210,000

31.      ซูดานใต้ 210,000

32.      เอธิโอเปีย 200,000
ที่มา : GlobalSecurity.org, World largest Armies, http://www.globalsecurity.org/military/
world/armies.htm, retrieved on 10 March 2015.

31

3) ก�ำลงั อำ� นาจทางเศรษฐกิจ
ค�ำว่า “เศรษฐกิจ” หมายถึง กิจการทั้งหลายท่ีเกี่ยวกับการผลิต
การแลกเปลย่ี น และการอปุ โภคสนิ คา้ และบรกิ ารของมนษุ ยใ์ นสงั คมหนงึ่ ๆ อยา่ งไรกต็ าม
ค�ำว่า “เศรษฐกิจ” ในความหมายอย่างง่าย หมายถึง การท่ีประชาชนมีกิน
มใี ชน้ น่ั เอง ดงั นน้ั ประเทศใดกต็ ามทป่ี ระชาชนสว่ นใหญม่ ขี องกนิ ของใชม้ าก กน็ บั ไดว้ า่
ประเทศนน้ั เปน็ ประเทศทม่ี เี ศรษฐกจิ ดี ในทางตรงกนั ขา้ ม หากประชาชนสว่ นใหญ่
มีของกนิ ของใช้น้อยย่อมหมายถงึ วา่ ประเทศน้นั มีเศรษฐกจิ ท่ีไมด่ 4ี 5
โดยหลกั พนื้ ฐานทางเศรษฐกจิ นนั้ การทปี่ ระชาชนจะมกี นิ มใี ชข้ น้ึ มาไดน้ นั้
จ�ำเป็นจะต้องแสวงหาทรัพยากรมาผลิตเป็นสินค้าและบริการขึ้นเสียก่อน หรือ
ที่เรียกกนั ว่า “การผลิต” น่ันเอง และผลทไ่ี ด้รับจากการผลติ นี้ กค็ ือ “รายได้”ถ้า
เราสามารถทำ� รายไดไ้ ดม้ ากขนึ้ เทา่ ใด กย็ อ่ มหมายความวา่ เรามกี นิ มใี ชม้ ากขน้ึ เทา่ นนั้
ผลที่ได้รบั จากการผลติ ของหน่วยงานท้ังหมดของประเทศเรยี กวา่ “ผลติ ภณั ฑ์มวล
รวมภายในประเทศ” (Gross Domestic Product: GDP) อันหมายถึงมูลคา่ ของ
สินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตข้ึนภายในประเทศในระยะเวลาหนึ่งผลิตภัณฑ์
มวลรวมในประเทศสามารถใช้เป็นตัวบ่งช้ีถึงมาตรฐานการครองชีพของประชากร
ในประเทศนนั้ ๆ ได้ เชน่ ในปี ค.ศ.1990 ผลติ ภณั ฑม์ วลรวมในประเทศของประเทศ
ตา่ งๆ ทวั่ โลก สหรฐั อเมรกิ า มมี ากทสี่ ดุ คอื 5.7 ลา้ นลา้ นเหรยี ญสหรฐั รองลงมากค็ อื
ญปี่ นุ่ มี 3 ลา้ นลา้ นเหรยี ญสหรฐั เยอรมนมี ี 1.7 ลา้ นลา้ นเหรยี ญสหรฐั จนี มี 4 แสนลา้ น
เหรยี ญสหรฐั อเมริกา ส�ำหรับประเทศไทย มี 85.3 พันลา้ นเหรียญสหรฐั ตอ่ มาอกี
25 ปี หรอื ในปี ค.ศ.2015 ผลิตภณั ฑม์ วลรวมในประเทศของประเทศต่างๆ ในโลก
ปรากฏว่า สหรัฐอเมรกิ า มเี พิม่ ขึ้นประมาณ 3 เท่า (18.8 ลา้ นล้านเหรียญสหรัฐ)
ญี่ปุ่น เพิ่มข้ึน 1.6 เท่า (4.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ) เยอรมนี เพ่ิมขึ้น 2 เท่า
(3.49 ลา้ นลา้ นเหรยี ญสหรฐั ) ในขณะทส่ี าธารณรฐั ประชาชนจนี เพมิ่ ขนึ้ มากถงึ 28 เทา่
(11.39 ลา้ นลา้ นเหรียญสหรัฐ) ส�ำหรบั ประเทศไทย เพ่มิ ขึ้นประมาณ 4 เทา่ (390
พนั ลา้ นเหรยี ญสหรฐั ) เมอ่ื คดิ ถวั เฉลยี่ ตอ่ หวั ของประชากร (GDP (PPP) per capita)
เท่ากับ 16,130 เหรยี ญสหรฐั ซ่ึงอยู่ในล�ำดบั ที่ 74 ของโลก46
32


Click to View FlipBook Version