หรอื เขา้ จบั กมุ ทหารสว่ นใหญห่ รอื ทงั้ หมดของกองทพั ฝา่ ยตรงขา้ ม แตเ่ ปน็ การทำ� ลาย
ความรู้สึกหรือความมงุ่ ม่ันทเี่ คยคิดจะตอ่ สู้ และทำ� ลายกองทพั ข้าศึกท่ีประสานกนั
เป็นหนึ่งเดียว เพ่ือป้องกันไม่ให้ข้าศึกใช้ก�ำลังส่วนนี้ต้านทานการเข้าตีของฝ่ายเรา
ได้ในอนาคต ในการท�ำสงครามยุคโบราณ มีการรบจ�ำนวนมากที่จบลงด้วย
การทำ� ลายลา้ งกำ� ลงั ของอกี ฝา่ ยหนง่ึ เชน่ การรบทเี่ มอื งคานาเอ้ (Canae)31 เมอื งซามา
(Zama)32 และเมืองเอเดรียโนเปิล (Adrianople)33 หลังจากยุคน้ีแล้ว การรบใน
ลกั ษณะการทำ� ลายลา้ งกแ็ ทบไมเ่ กดิ ขน้ึ อกี เลย เวน้ แตก่ ารรบในสมยั นโปเลยี น โดย
เฉพาะการรบทเี่ มอื งเอาสเ์ ตอรล์ ติ ซ์ (Austerlitz)34 ทถี่ กู กลา่ วขานวา่ เปน็ การรบใน
ลักษณะของการท�ำลายล้างสมัยใหม่ที่สมบูรณ์แบบท่ีสุด ยุทธศาสตร์น้ีมิได้มุ่งหวัง
แคก่ ารทำ� ลายลา้ งกำ� ลงั ฝา่ ยตรงขา้ มใหส้ นิ้ ซากเทา่ นนั้ แตม่ งุ่ บบี บงั คบั ใหก้ ำ� ลงั ขา้ ศกึ
จ�ำต้องถอยหรอื ไดร้ บั ความสญู เสยี อยา่ งหนกั กเ็ พยี งพอแลว้ อยา่ งไรกต็ าม กอ่ นใช้
ยทุ ธศาสตรน์ ี้ ใหพ้ จิ ารณาปจั จยั ตา่ งๆ อยา่ งรอบคอบคอื มคี วามเสย่ี งและความสญู เสยี ที่
เกย่ี วขอ้ งกบั การรบในลกั ษณะเชน่ นห้ี รอื ไม่ ขาดแคลนเครอื่ งมอื ทจี่ ำ� เปน็ ตอ่ การรบใน
ลกั ษณะเชน่ น้ีหรือไม่ สามารถบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ ต่ี อ้ งการได้โดยใชว้ ธิ กี ารอน่ื ๆ ได้
หรือไม่ การฝึกของหน่วยทหารฝ่ายเราเป็นท่ียอมรับได้ต่อการรบเช่นนี้ได้หรือไม่
และมขี ้อกังวลทางการเมืองเกีย่ วกับการรบเช่นน้ีหรือไม่
2) การลิดรอนกำ� ลัง
การลิดรอนก�ำลัง (Exhaustion) หมายถึง ยุทธศาสตร์ที่มุ่งเน้น
การลิดรอนก�ำลังอ�ำนาจทางทหารและความมุ่งม่ันที่จะสู้รบของข้าศึกทั้งทางตรง
และทางออ้ มอยา่ งตอ่ เนอื่ ง ยทุ ธศาสตรน์ จี้ งึ เปน็ ยทุ ธศาสตรใ์ นสถานการณท์ มี่ ขี อ้ จำ� กดั
ของการทำ� สงคราม โดยชาตใิ ดชาตหิ นงึ่ ไมส่ ามารถหรอื ไมต่ อ้ งการทจี่ ะใชก้ ารทำ� ลายลา้ ง
ฝ่ายตรงข้าม เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของตนด้วยประเมินแล้วว่า มีความเสี่ยงสูง
ตอ่ การสญู เสยี อยา่ งหนกั และเปน็ การทำ� สงครามยดื เยอื้ ซงึ่ เปน็ สภาพทย่ี อมรบั ไมไ่ ด้
ในทางการเมอื ง การลดิ รอนกำ� ลงั นี้ เปน็ ยทุ ธศาสตรท์ เ่ี หมาะสำ� หรบั ฝา่ ยทอ่ี อ่ นแอกวา่
เนอ่ื งจากไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งใชก้ ำ� ลงั ทเี่ หนอื กวา่ ในการทำ� สงคราม อยา่ งไรกต็ าม ยทุ ธศาสตรน์ ้ี
จำ� เปน็ ตอ้ งใชค้ วามมมุ านะ และการตดั สนิ ใจอยา่ งแนว่ แน่ เพอ่ื หลกี เลย่ี งการรบแตกหกั
133
เวน้ แตจ่ ะมน่ั ใจไดว้ า่ ฝา่ ยตนอยใู่ นสถานการณท์ ไ่ี ดเ้ ปรยี บอยา่ งชดั เจน และสามารถ
เอาชนะฝ่ายตรงขา้ มไดอ้ ยา่ งเดด็ ขาด35 การลิดรอนกำ� ลงั ถอื เป็นยุทธศาสตร์ทหาร
ที่เก่าแก่มากยุทธศาสตร์หน่ึง ซุนวู นักยุทธศาสตร์ทหารชาวจีนได้อธิบายการใช้
ยุทธศาสตร์น้ีในการท�ำสงครามในระดับยุทธวิธีในลักษณะของการเข้าตีโฉบฉวย
(Hit-and Run Raids) ในขณะทเ่ี คลาเซวทิ ซ์ ไดอ้ ธบิ ายการใชย้ ทุ ธศาสตรน์ ใ้ี นระดบั
ยุทธการ โดยเปน็ วธิ กี ารอยา่ งหนึ่งของการเปลี่ยนกระแสสงคราม ดว้ ยการลดพลงั
อำ� นาจของฝา่ ยทเ่ี ขม้ แขง็ กวา่ ใหอ้ อ่ นแอลงจนอยใู่ นระดบั ทอ่ี กี ฝา่ ยหนงึ่ สามารถสรู้ บ
ไดอ้ ยา่ งทดั เทยี ม ดว้ ยเหตนุ ้ี เคลาเซวทิ ซ์ จงึ มองยทุ ธศาสตรน์ ว้ี า่ เปน็ สงิ่ ทม่ี ปี ระโยชน์
เบอ้ื งตน้ ในขณะทท่ี ำ� การตง้ั รบั เปน็ วธิ กี ารอยา่ งหนง่ึ ทจี่ ะลดเครอ่ื งมอื และความมงุ่ มน่ั
ที่จะสู้รบของข้าศึก ในขณะเดียวกันก็ใช้ซ้ือเวลาจนกว่าฝ่ายเราจะพร้อมต้านทาน
ส�ำหรับการตั้งรับ นอกจากนี้แล้ว เคลาเซวิทซ์ ยังได้พิจารณาใช้การลิดรอนก�ำลัง
ในการทำ� สงครามในระดบั ยทุ ธศาสตรด์ ว้ ย เชน่ ใชใ้ นกรณที ไี่ มส่ ามารถเอาชนะขา้ ศกึ ได้
หรือเป้าหมายทางการเมืองไม่สอดคล้องกับการใช้ก�ำลัง หรือใช้วิธีการนี้เพ่ือ
สนบั สนนุ ยทุ ธศาสตรท์ างการทตู (เชน่ ใชส้ รา้ งพนั ธมติ ร หรอื ตดั แยกขา้ ศกึ ออกจาก
พันธมิตรอ่ืนๆ เป็นต้น) การตัดสินใจใช้ยุทธศาสตร์น้ี ขึ้นอยู่กับการประเมินก�ำลัง
ทม่ี อี ยขู่ องทงั้ สองฝา่ ยภายในบรบิ ทของสถานการณด์ า้ นภมู ยิ ทุ ธศาสตร์ และผลลพั ธ์
ทางการเมืองทตี่ อ้ งการ
3) การเผาเมอื ง
การเผาเมือง (Scorched Earth) เป็นยุทธศาสตร์ทหารอย่างหนึ่ง
ซงึ่ เกยี่ วขอ้ งกบั การทำ� ลายทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งทข่ี า้ ศกึ อาจใชป้ ระโยชนไ์ ดใ้ นระหวา่ งการรกุ
หรือการถอนตัวออกจากพื้นที่ใดพื้นท่ีหนึ่ง ด้วยเหตุน้ี เครื่องมือหรือยุทโธปกรณ์
ทง้ั หมดของฝา่ ยเราทขี่ า้ ศกึ สามารถใชห้ รอื อาจใชต้ อ่ ไปได้ เชน่ แหลง่ อาหาร การขนสง่
การติดต่อส่อื สาร แหลง่ อุตสาหกรรม หรอื แมแ้ ตป่ ระชาชนในพ้ืนท่ี กค็ ือเป้าหมาย
ของยุทธศาสตร์น้ีท้ังส้ิน การใช้ยุทธศาสตร์น้ีในทางทหาร อาจใช้ได้ท้ังในดินแดน
ของฝ่ายเราเองหรือฝ่ายข้าศึก และมิใช่กระท�ำเพื่อการลงโทษฝ่ายข้าศึก หรือ
การกระท�ำด้วยเหตุผลทางการเมืองและทางยุทธศาสตร์แต่เพียงอย่างเดียว แต่
134
เปน็ การกระทำ� ดว้ ยเหตผุ ลในระดบั ยทุ ธการและระดบั ยทุ ธศาสตรม์ ากกวา่ ตวั อยา่ ง
ของการใช้ยุทธศาสตร์นี้ในประวัติศาสตร์ ได้แก่ ชนเผ่าไซเธียนส์ (Scythians)
ได้ใชย้ ทุ ธศาสตร์นีใ้ นการทำ� สงครามกบั กษัตรยิ ด์ ารอิ สุ (Darius, 549 - 486 ปีกอ่ น
ครสิ ตกาล) แหง่ เปอรเ์ ชยี กองทพั รสั เซยี ใชก้ บั ฝรง่ั เศสในระหวา่ งการรกุ รานรสั เซยี ของ
นโปเลียน และโจเซฟ สตาลนิ (Joseph Stalin, ค.ศ.1878-1953) ใช้ยุทธศาสตร์นี้
กับกองทัพเยอรมนีในระหว่างสงครามโลกคร้ังท่ี 236 เป็นต้น ในปัจจุบัน แม้ว่า
ตามมาตรา 54 ในพิธีสารฉบับท่ี 1 ของอนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1977 ได้บัญญัติ
ห้ามท�ำลายการส่งก�ำลังอาหารให้กับพลเรือนในพ้ืนท่ีความขัดแย้ง แต่ก็ยังมี
อกี หลายๆ ประเทศทยี่ งั ไมไ่ ดใ้ หส้ ตั ยาบนั ตอ่ พธิ สี ารฉบบั นี้ ไดแ้ ก่ เอรเิ ทรยี อนิ โดนเี ซยี
อหิ รา่ น อสิ ราเอล มาเลเซยี เมยี นมาร์ เนปาล ปากสี ถาน สงิ คโปร์ โซมาเลยี ศรลี งั กา
ตรุ กี สหรฐั อเมรกิ า รวมท้งั ไทยดว้ ย37
4) การปดิ ลอ้ ม
การปดิ ลอ้ ม (Blockade) เปน็ ความพยายามอยา่ งหนง่ึ ทจี่ ะตดั อาหาร
สิ่งอุปกรณ์ ยุทโธปกรณ์สงคราม หรือการติดต่อสื่อสารจากพ้ืนที่ใดพ้ืนที่หนึ่งโดย
การใชก้ ำ� ลงั โดยอาจเปน็ การตดั เพยี งบางสว่ นหรอื ทงั้ หมดกไ็ ด้ คำ� วา่ “การปดิ ลอ้ ม”
ไม่ควรสับสนกับค�ำว่า “การห้ามค้าขาย” (Embargo)38 หรือ “คว่�ำบาตร”
(Sanction)39 ซึ่งทัง้ สองค�ำหลงั นี้ตา่ งเป็นมาตรการทางกฎหมายระหวา่ งประเทศท่ี
ใชจ้ ำ� กัดการค้ากับประเทศใดประเทศหนึ่ง และตา่ งจากค�ำวา่ “การลอ้ ม” (Siege)
ตรงทวี่ า่ การปดิ ลอ้ ม เปน็ การกระทำ� โดยตรงตอ่ ประเทศหรอื ภมู ภิ าคใดภมู ภิ าคหนงึ่
ทั้งหมด โดยมิได้มุ่งต่อป้อมปราการหรือเมืองใดเมืองหนึ่งเหมือนกับการล้อม40
ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าการปิดล้อมส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในทะเล แต่การปิดล้อม
กส็ ามารถเกดิ ขน้ึ บนบกเพอ่ื ปอ้ งกนั บคุ คลเขา้ -ออกพน้ื ทที่ กี่ ำ� หนดไดด้ ว้ ย เชน่ การปดิ ลอ้ ม
ทางทะเล ทท่ี ำ� ใหก้ ารขนสง่ ทางทะเลเขา้ -ออกประเทศทถ่ี กู ปดิ ลอ้ มไมไ่ ด้ และการหยดุ
การขนสง่ ทางบกทุกประเภทเขา้ -ออกพน้ื ทใี่ ดพืน้ ทีห่ นงึ่ การกระทำ� เชน่ น้ี ถอื ได้วา่
เป็นการปิดล้อมอยา่ งหนงึ่ ในปัจจุบนั ก�ำลังอำ� นาจทางอากาศ ถอื เป็นสิ่งจำ� เป็นตอ่
การเพิ่มประสิทธิผลของการปิดล้อม ทั้งน้ีก็โดยใช้ก�ำลังอ�ำนาจทางอากาศในการ
135
หยดุ การจราจรทางอากาศทง้ั หมดภายในหว้ งอากาศเหนอื พนื้ ทท่ี ถี่ กู ปดิ ลอ้ ม ตวั อยา่ ง
ของการปิดล้อมที่ประสบผลส�ำเร็จในอดีต ได้แก่ ในระหว่างสงครามปฏิวัติ
(Revolutionary) และสงครามนโปเลียน (Napoleonic Wars) ราชนาวีอังกฤษ
ได้ประสบผลส�ำเร็จในการปิดล้อมฝรั่งเศส ท�ำให้ฝรั่งเศสต้องประสบกับปัญหา
ดา้ นเศรษฐกจิ ภายในประเทศ การปดิ ลอ้ มของฝา่ ยสหภาพตอ่ ทา่ เรอื ตา่ งๆ ของฝา่ ยใต้
ในสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริกา เป็นปัจจัยส�ำคัญอย่างหนึ่งท่ีท�ำให้ฝ่ายใต้
ต้องพ่ายแพ้ในสงคราม และการปิดล้อมที่ล้มเหลวของเรือด�ำน�้ำของฝ่ายเยอรมนี
ในสงครามโลกคร้งั ที่ 1 และสงครามโลกครงั้ ที่ 2 ทำ� ให้ฝ่ายเยอรมนีต้องพ่ายแพ้ใน
สงครามท้ังสองคร้ัง เปน็ ตน้
5) การลวง
โดยทั่วไป การลวง (Deception) หมายถึง การกระท�ำในลักษณะ
เผยแพรค่ วามเชอื่ เกย่ี วกบั สรรพสง่ิ วา่ ไมจ่ รงิ ทง้ั หมด หรอื ไมจ่ รงิ บางสว่ น (ครงึ่ จรงิ ครง่ึ เทจ็
หรอื ละเวน้ ไมก่ ลา่ วถงึ บางสง่ิ บางอยา่ งโดยเจตนา) การลวงอาจเกยี่ วกบั การเสแสรง้
(Dissimulation) การโฆษณาชวนเชอื่ (Propaganda) การเลน่ กล (Slight of Hand)
การเบย่ี งเบนความสนใจ (Distraction) การปกปดิ (Camouflage) และการซอ่ นพราง
(Concealment) และการหลอกตัวเอง (Self-Deception) โดยไม่สุจริตด้วย
การลวงมีลักษณะของการล่วงล�้ำความสัมพันธ์ท่ีบ่อยครั้งน�ำไปสู่การทรยศหักหลัง
(Betrayal) และความไม่เชื่อใจ (Distrust) ระหว่างคู่กรณีที่มีความสัมพันธ์กัน41
รูปแบบของการลวงโดยทั่วไป มีอยู่ 5 อย่าง คือ (1) การโกหก (Lies) หมายถึง
การสรา้ งหรอื ใหข้ า่ วสารทตี่ รงขา้ มหรอื แตกตา่ งจากความเปน็ จรงิ (2) การพดู กำ� กวม
(Equivocations) หมายถึง การใช้ข้อความอ้อมๆ คลุมเครือ หรือขัดแย้งกันเอง
(3) การปกปดิ (Concealments) หมายถงึ การละเวน้ ขา่ วสารทสี่ ำ� คญั หรอื เกย่ี วขอ้ ง
กับบริบทเฉพาะ หรือมีส่วนร่วมในพฤติกรรมที่ช่วยซ่อนเร้นข่าวสารท่ีเก่ียวข้อง
(4) การพดู เกนิ จรงิ (Exaggerations) หมายถงึ การใหข้ า่ วสารทมี่ ากเกนิ กวา่ ความเปน็ จรงิ
หรอื การขยายขา่ วสารทเี่ กนิ จากความเปน็ จรงิ และ (5) การพดู นอ้ ยกวา่ ความเปน็ จรงิ
(Understatements) หมายถงึ การลดหรอื แสดงมมุ มองทน่ี อ้ ยกวา่ ความเปน็ จรงิ 42
136
ในทางทหาร การลวงทางทหาร (Military Deception) หมายถึง
ความพยายามที่จะท�ำให้ก�ำลังรบข้าศึกหลงผิดในระหว่างการท�ำสงคราม การลวง
สามารถท�ำให้ส�ำเร็จได้ด้วยการสร้างหรือขยายเร่ืองลวงโดยอาศัยการปฏิบัติการ
จติ วทิ ยา และการทำ� สงครามขา่ วสาร การลวงทางทศั นะ และวธิ กี ารอน่ื ๆ ในกรณที ี่
ข้าศึกเช่ือในเร่ืองท่ีลวง เมื่อความจริงเปิดเผย ข้าศึกก็สูญเสียความมั่นใจในตนเอง
และอาจลังเลที่จะกระท�ำการใดๆ เม่ือเผชิญกับความจริง การลวงได้ถูกน�ำมาใช้
ในการทำ� สงครามนบั ตงั้ แตย่ คุ โบราณแลว้ 43 เหน็ ไดจ้ ากคมั ภรี ์ “ศลิ ปะของสงคราม”
(The Art of War) ของซนุ วู ไดเ้ นน้ ยำ้� เกย่ี วกบั กลยทุ ธก์ ารลวงอยเู่ สมอ ในยคุ ปจั จบุ นั
การลวงทางทหารได้รบั การพฒั นาเปน็ หลักนยิ มทางทหาร ในสงครามโลกครงั้ ที่ 1
และสงครามโลกครง้ั ที่ 2 การลวงไดถ้ กู นำ� มาใชอ้ ยา่ งแพรห่ ลายในรปู แบบของการลวง
ทางทศั นะและการใหข้ า่ วสารทผ่ี ดิ ๆ กบั ขา้ ศกึ เชน่ เหตกุ ารณก์ อ่ นการยกพลขนึ้ บก
ท่ีหาดนอร์มังดีของฝ่ายพันธมิตรในปี ค.ศ.1944 ฝ่ายพันธมิตรได้ใช้การลวง
ครง้ั ทใ่ี หญท่ สี่ ดุ เรยี กวา่ “ยทุ ธการผอู้ ารกั ขา” (Operation Bodyguard) เพอ่ื หวงั ใหเ้ กดิ
การจโู่ จมทางยทุ ธวธิ อี ยา่ งเตม็ ที่ เมอ่ื กำ� ลงั ฝา่ ยพนั ธมติ รจะตอ้ งยกพลขน้ึ บกทชี่ ายหาด
นอร์มังดี การลวงทางทหาร อาจอยูใ่ นรูปแบบของการลวงท้ังในระดบั ยทุ ธศาสตร์
และระดับยุทธวิธี ในทางปฏิบัติการลวงจะใช้การชี้น�ำข้าศึกให้หลงผิดทางทัศนะ
การให้ข่าวสารท่ีผิดๆ แก่ข้าศึก (เช่น การให้ข่าวสารท่ีผิดๆ แก่สายลับสองหน้า
(Double Agents) เป็นต้น) และใช้การปฏิบัติการจิตวิทยาเพื่อท�ำให้ข้าศึกเชื่อ
ในส่ิงท่ีไม่เป็นความจริง การปกปิดและการซ่อนพราง (Camouflage and
Concealment) กเ็ ปน็ รปู แบบหนงึ่ ของการลวงดว้ ย ตวั อยา่ งของการลวงทม่ี ชี อื่ เสยี ง
ในประวัติศาสตร์การท�ำสงครามในอดีต ได้แก่ การแสร้งท�ำเป็นถอย (Feigned
Retreat) การชกั นำ� ขา้ ศกึ ใหเ้ คลอื่ นทเ่ี ขา้ ไปสสู่ ถานทที่ จ่ี ดั เตรยี มไวส้ ำ� หรบั การซมุ่ โจมตี
การสร้างหน่วยลวง การกล่าวถึงขนาดของกองทัพที่เกินจริง การใช้ฉากควัน
การใชค้ วนั หมอก หรอื ใชร้ ปู แบบอน่ื ๆ ในการปกปดิ การเคลอ่ื นยา้ ยกำ� ลงั ในสนามรบ
การใช้กลยุทธ์ม้าไม้โทรจันหรือม้าไม้เมืองทรอย (Trojan Horse) การปิดล้อม
ทางยทุ ธศาสตร์ และการใชก้ ำ� ลงั ขนาดเลก็ เบยี่ งเบนความสนใจของขา้ ศกึ ในขณะทใี่ ช้
กำ� ลังสว่ นใหญเ่ ขา้ ตขี า้ ศกึ จากทางดา้ นหลัง เป็นต้น
137
6) การท�ำสงครามกองโจร
การทำ� สงครามกองโจร (Guerrilla Warfare) หมายถงึ การสรู้ บโดยอาศยั กลมุ่
ของกำ� ลงั ทมี่ ไิ ดป้ ระจำ� การในกองทพั หรอื กองโจรภายในพน้ื ทที่ ค่ี รอบครองโดยขา้ ศกึ 44
อยา่ งไรกต็ าม หากกองโจรปฏบิ ตั ติ ามกฎของการทำ� สงครามทวั่ ไป พวกเขากจ็ ะไดร้ บั
การปฏบิ ตั เิ ชน่ เดยี วกบั ทหารประจำ� การเชน่ กนั เชน่ หากพวกเขาถกู จบั ได้ พวกเขาจะได้
รบั การปฏิบัติในฐานะเชลยศึก แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็ยังตกอยู่ในภาวะเส่ียง
ตอ่ การถกู สงั หารโดยทหารทเ่ี ปน็ ผจู้ บั กมุ พวกเขาอยนู่ นั่ เอง กลยทุ ธข์ องการทำ� สงคราม
กองโจรจะมุ่งเน้นการลวงและการเข้าตีโฉบฉวย จะไม่รวมก�ำลังเป็นกลุ่มก้อนเข้า
เผชญิ หนา้ กบั ขา้ ศกึ การทำ� สงครามกองโจร เปน็ ยทุ ธศาสตรท์ ไี่ ดผ้ ลดใี นภมู ปิ ระเทศ
ยากล�ำบาก และต้องการความสงสารจากประชาชน กองโจรมักแสวงหาชัยชนะ
เหนอื ข้าศกึ โดยอาศัยการโฆษณาชวนเชอื่ การปฏริ ูป และใช้ยทุ ธวธิ ีการกอ่ การร้าย
การท�ำสงครามกองโจรได้มีบทบาทอย่างส�ำคัญในประวัติศาสตร์การท�ำสงคราม
ในทุกยุคทุกสมัย ตัวอย่างของการท�ำสงครามกองโจรในยุคปัจจุบันน้ี ได้แก่
การทำ� สงครามกองโจรของขบวนการเคล่ือนไหวเพื่อเสรีภาพของฝ่ายคอมมิวนิสต์
ในเอเชยี ตะวันออกเฉียงใตใ้ นสงครามเวียดนาม และในลาตินอเมริกา เป็นตน้
ข. ยทุ ธศาสตร์การทำ� สงครามในยุคกลาง
การท�ำสงครามในยุคกลาง (Medieval Warfare) อยู่ในระหว่าง
ศตวรรษที่ 5-15 ต่างจากการท�ำสงครามในยุคโบราณ เนื่องจากในยุคกลาง
มพี ฒั นาการทางเทคโนโลยี วฒั นธรรม และสงั คมทแี่ ตกตา่ งจากยคุ โบราณคอ่ นขา้ งมาก
การเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ท�ำให้ยุทธวิธีทางทหารเปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยเฉพาะ
บทบาทของทหารม้าและการใช้ปืนใหญ่ แต่โดยทั่วไปแล้ว สงครามในยุคกลาง
มีลักษณะของการท�ำสงครามป้อมค่าย ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากการสร้างปราสาทท่ีมี
ป้อมปราการท่ีแข็งแกร่งอย่างแพร่หลายท้ังในยุโรปและเอเชยี ตะวนั ตกเฉียงใต้
138
ภาพท่ี 3-11 การท�ำสงครามในยุคกลาง
คมั ภรี ท์ างทหารทไี่ ดร้ บั การยกยอ่ งวา่ เปน็ สดุ ยอดคมั ภรี ก์ ารทำ� สงคราม
ของยคุ กลางของประเทศยโุ รปตะวนั ตกกค็ อื คมั ภรี ท์ างทหารเรอื่ ง “de re military”
ซง่ึ เขยี นขน้ึ โดย เวเกตอิ สั (Publius Flavius Vegetius Renatus, เกดิ ประมาณครสิ ต์
ศตวรรษท่ี 4) ในชว่ งปลายศตวรรษท่ี 4 45 “de re military” เปน็ หลกั การทางทหาร
ทอ่ี ธบิ ายเกย่ี วกบั การทำ� สงครามของจกั รวรรดโิ รมนั โดยเนน้ ความสำ� คญั ในเรอื่ งการฝกึ
และวินัยของกองทัพ ยุทธศาสตร์การรักษาเส้นทางส่งก�ำลังและการส่งก�ำลังบ�ำรุง
ภาวะผนู้ ำ� ทม่ี คี ณุ ภาพ การใชก้ ลยทุ ธ์ และการใชอ้ บุ ายเพอ่ื ใหไ้ ดเ้ ปรยี บเหนอื ฝา่ ยตรงขา้ ม
ตามความเหน็ ของเวเกตอิ สั ทหารราบเปน็ หนว่ ยทมี่ คี วามสำ� คญั มากทส่ี ดุ ของกองทพั
เนอ่ื งจากไมต่ อ้ งลงทนุ อะไรมากเมอื่ เทยี บกบั ทหารมา้ และสามารถใชไ้ ดใ้ นทกุ สภาพ
ภมู ปิ ระเทศ46 แตเ่ ขากไ็ ดเ้ นน้ ยำ้� เสมอวา่ แมท่ พั ควรเขา้ สกู่ ารรบเมอื่ มน่ั ใจวา่ จะไดร้ บั
ชัยชนะหรือไม่มีทางเลือกเท่านั้น47 นอกจากนี้แล้ว โรเบิร์ต ลิดดิอาร์ด (Robert
Liddiard) นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ผู้เช่ียวชาญประวัติศาสตร์การท�ำ
สงครามในยุคกลางในยุโรปได้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า “สงครามที่ตั้งใจให้เกิด”
(Pitched Battles) แทบไมเ่ คยเกดิ ขน้ึ เลยในยคุ กลาง โดยเฉพาะในหว้ งศตวรรษที่
11-1248 ทำ� ใหย้ ทุ ธศาสตรแ์ ละยทุ ธวธิ ที างทหารในยโุ รปแทบไมม่ คี วามกา้ วหนา้ มากนกั
นอกเหนอื จากยทุ ธศาสตรก์ ารทำ� สงครามปอ้ มคา่ ยแลว้ การทำ� สงครามในยคุ กลาง
กแ็ ทบไมแ่ ตกตา่ งจากการทำ� สงครามในยคุ โบราณเทา่ ใดนกั
139
ทางดา้ นเอเชยี ในชว่ งปลายของยคุ กลาง กลบั มปี รากฏการณท์ ตี่ รงขา้ ม
กบั ยโุ รปอยา่ งสิน้ เชงิ คอื ยุทธศาสตรท์ หารของเจงกสี ข่าน ซึ่งไดแ้ สดงตัวอยา่ งของ
การประยุกต์ใช้ศิลปะของการท�ำสงครามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ความส�ำเร็จของ
เจงกีส ข่าน และผู้สืบทอด ได้อาศัยยุทธศาสตร์ที่เรียกว่า “การด�ำเนินกลยุทธ์”
(Manoeuvre) และ “การข่มขวัญศัตรู” (Terror) จุดมุ่งหมายหลักของการใช้
ยุทธศาสตรท์ หารของเจงกสี ข่าน กค็ ือ การท�ำสงครามจติ วทิ ยากบั ประชาชนของ
ฝา่ ยตรงขา้ ม ซึ่งเจงกสิ ขา่ น ได้ใชย้ ุทธศาสตรน์ อี้ ยา่ งตอ่ เนื่องและมกี ารเตรยี มการ
อย่างพถิ ีพถิ ัน ทำ� ใหเ้ จงกีส ขา่ น และผูส้ ืบทอด สามารถครอบครองพ้นื ทยี่ เู รเซยี ได้
เกือบท้ังหมด ท้ังน้ีก็โดยอาศัยการสร้างกองทัพและยุทธศาสตร์ท่ีอาศัยพลธนูบน
หลังม้า การรบในลักษณะเผาเมือง และการใช้กองทัพม้ามองโกลขนาดใหญ่
พลธนแู ตล่ ะคนจะมมี า้ สำ� รองอกี อยา่ งนอ้ ย 1 ตวั (เฉลย่ี มมี า้ 5 ตวั ตอ่ พลธนู 1 นาย)
ดว้ ยเหตนุ ี้ ทงั้ กองทพั จงึ สามารถเคลอื่ นยา้ ยไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ นอกเหนอื จากนี้ นำ้� นมมา้
และเลือดม้ายังเป็นอาหารหลักที่สร้างให้ทหารมองโกลแข็งแกร่ง หน้าท่ีของ
กองทพั มา้ ของเจงกสี ขา่ น จงึ มไิ ดใ้ ชเ่ พยี งแคก่ ารเคลอื่ นยา้ ยกำ� ลงั เทา่ นนั้ แตส่ ามารถ
ดำ� รงสภาพการสง่ กำ� ลงั บ�ำรงุ ทัง้ กองทพั ไดอ้ ีกดว้ ย
ตราบจนกระทงั่ ศตวรรษที่ 20 หากเปรยี บเทยี บกองทพั ของเจงกสี ขา่ น
กับกองทัพอ่ืนๆ ท่ีค่อนข้างอุ้ยอ้ายและมักอยู่นิ่งกับท่ีแล้ว ก็ยังไม่เคยมีกองทัพใด
ที่สามารถเคลื่อนย้ายก�ำลังได้รวดเร็วเทียบเท่ากับกองทัพของเจงกีส ข่าน เม่ือ
ต้องเผชิญหน้ากับกองทัพท่ีอยู่ในเมืองท่ีมีป้อมปราการแข็งแกร่ง ความสามารถใน
การด�ำเนินกลยทุ ธแ์ ละความเรว็ ของกองทัพเจงกสี ข่าน ก็ลดลงอยา่ งเห็นได้ชัด แต่
กเ็ ปน็ จดุ เรม่ิ ตน้ ของการทำ� สงครามขม่ ขวญั ศตั รโู ดยอาศยั ชอื่ เสยี งทเ่ี ปอ้ื นดว้ ยคาวเลอื ด
ของกองทัพมองโกลเป็นเครื่องข่มขวัญและเอาชนะข้าศึก เช่นเดียวกับการท�ำ
สงครามชวี ภาพดัง้ เดมิ เคร่อื งยงิ หอกหรอื เคร่อื งเหวยี่ งหนิ ขนาดใหญ่ได้ถูกน�ำมาใช้
เพอื่ ใชย้ งิ ซากสตั วห์ รอื ศพมนษุ ยเ์ ขา้ ไปในเมอื งทลี่ อ้ มเอาไว้ เพอื่ แพรก่ ระจายเชอ้ื โรค
และความตายใหก้ บั คนทอี่ ยใู่ นเมอื ง หากเมอื งใดไมย่ อมศโิ รราบแตโ่ ดยดี เมอ่ื ยดึ เมอื งได้
กองทัพมองโกลจะเข้าเข่นฆ่าทุกคนในเมืองเพ่ือมิให้เป็นเย่ียงอย่างแก่เมืองอ่ืน
ยุทธศาสตรน์ ้ี จงึ ได้ชอื่ ว่า “การท�ำสงครามจิตวิทยา” นั่นเอง49
140
1) การทำ� สงครามลอ้ มเมอื งหรอื ปอ้ มคา่ ย
การลอ้ มเมืองหรอื ป้อมค่าย (Siege Warfare) เปน็ การโจมตตี ่อเมอื ง
หรือป้อมค่ายโดยมีวัตถุประสงค์เพ่ือยึดเมืองหรือป้อมค่ายนั้น50 ประวัติศาสตร์
ของยทุ โธปกรณท์ ใี่ ชส้ ำ� หรบั การยดึ เมอื งหรอื ปอ้ มคา่ ย มพี ฒั นาการคขู่ นานมาพรอ้ มกบั
พัฒนาการของป้อมค่ายจนกระท่ังต่อมากลายเป็นปืนใหญ่ในท่ีสุด ในยุคเร่ิมต้น
หากใชก้ ารลวง (Deception) อบุ าย (Treachery) การลอ้ มใหข้ าดเสบยี ง (Starvation)
หรือการโจมตีอยา่ งรนุ แรงแล้วไม่ได้ผล ฝา่ ยท่ีตอ้ งการยึดเมอื งหรือป้อมคา่ ยก็จะใช้
เครื่องกระทงุ้ ทที่ ำ� ดว้ ยไม้ซงุ ท่อนยาว (Battering Rams) และเครือ่ งเจาะ (Bores)
เพอ่ื ใชพ้ งั ประตหู รอื กำ� แพงเมอื งหรอื ปราสาททมี่ ลี กั ษณะปอ้ มคา่ ยตอ่ ไป เพอ่ื ปอ้ งกนั
ผเู้ ขา้ ตจี ากเครอ่ื งยงิ นำ�้ มนั รอ้ น และลกู ไฟจากฝา่ ยปอ้ งกนั เมอื ง ฝา่ ยเขา้ ตอี าจสรา้ ง
โลก่ ำ� บงั ทที่ ำ� ดว้ ยเครอ่ื งจกั สานปดิ ทบั ดว้ ยไมห้ รอื มที ห่ี ลบภยั ขนาดใหญ่ การขดุ อโุ มงค์
ลอดกำ� แพง รวมถงึ อาจมกี ารกอ่ เนนิ ดนิ และใชห้ อสงู เคลอื่ นทไ่ี ดท้ ท่ี ำ� ดว้ ยไม้ เพอ่ื ให้
ฝา่ ยเขา้ ตสี ามารถปนี ขา้ มกำ� แพงเขา้ ไปได้ เครอ่ื งจกั รทส่ี ำ� คญั ในการทำ� สงครามตาม
ยุทธศาสตร์ล้อมเมืองหรือป้อมค่ายนี้ ได้แก่ เครื่องยิงก้อนหิน (Catapult) หอก
(Spears) หม้อไฟ (Pots of Fire) และธนู (Arrows) กลยุทธเ์ หลา่ นีต้ า่ งใช้ไดผ้ ลยง่ิ
ในการทำ� สงครามในยคุ โบราณตราบจนกระทง่ั เขา้ สยู่ คุ ดนิ ปนื เมอ่ื ปนื ใหญส่ ามารถ
เจาะก�ำแพงสูงใหพ้ ังทลายลงมาได้อย่างง่ายดาย ทำ� ให้ฝา่ ยป้องกนั เมอื งจ�ำเป็นตอ้ ง
ใชป้ นื ใหญต่ ง้ั บนกำ� แพงเมอื งเพอ่ื ใชย้ งิ ตอบโตฝ้ า่ ยเขา้ ตดี ว้ ย ดว้ ยเหตนุ ี้ การลอ้ มและ
การป้องกันเมืองที่มีลักษณะป้อมค่ายจึงกลายเป็นการดวลปืนใหญ่ของทั้งสองฝ่าย
ในยคุ นี้ อยา่ งไรกต็ าม เมอ่ื มกี ารพฒั นารถถงั เครอ่ื งบนิ และขปี นาวธุ ขน้ึ ในศตวรรษ
ท่ี 20 ทำ� ใหฝ้ า่ ยเขา้ ตมี ีความไดเ้ ปรยี บเหนอื ฝ่ายตงั้ รับในเมืองท่มี ลี ักษณะปอ้ มคา่ ย
มากขน้ึ จนนำ� มาสกู่ ารสนิ้ สดุ ของยคุ การทำ� สงครามลอ้ มเมอื งหรอื ปอ้ มคา่ ยไปในทสี่ ดุ
ตัวอย่างของการท�ำสงครามล้อมเมืองหรือป้อมค่ายท่ีมีช่ือเสียงในประวัติศาสตร์
ได้แก่ การรบที่เมืองซีราคิวส์ (Syracuse, 415–413 B.C.) เมืองเยรูซาเลม
(Jerusalem, A.D.70) เมอื งเอเคอร์ (Acre, 1189–90) เมอื งคอนสแตนตโิ นเปิล
(Constantinople, 1453) เมืองควิเบก (Quebec, 1759–60) เมอื งเซวสี โตปอล
(Sevastopol, 1854–55 และ 1941–42) เมอื งวคิ สเ์ บริ ก์ (Vicksburg, 1863) เมอื งพอรต์
141
อารเ์ ทอร์ (Port Arthur, 1904) ประเทศมอลตา (Malta, 1940–42) เมอื งเลนนิ กราด
(Leningrad, 1941–44) เมอื งเดยี นเบยี นฟู (Dien Bien Phu, 1954) และฐานเคซานห์
(Khe Sanh, 1968) เปน็ ตน้
2) การท�ำสงครามจติ วิทยา
การทำ� สงครามจติ วทิ ยา (Psychological Warfare: PSYWAR) หรือ
ในระดับยุทธการและยุทธวิธีเรียกว่า “การปฏิบัติการจิตวิทยา” (Psychological
Operations: PSYOP) มชี อ่ื เรียกอย่างหลากหลาย ได้แก่ การท�ำสงครามจติ วิทยา
(Psychological Warfare) การท�ำสงครามการเมือง (Political Warfare)
การท�ำสงครามเอาชนะจิตใจ (Hearts and Minds) และการโฆษณาชวนเชื่อ
(Propaganda)51 ด้วยเหตุนี้ เทคนิคท่ีใช้ในการท�ำสงครามจิตวิทยา จึงมีอยู่อย่าง
หลากหลาย โดยมงุ่ สรา้ งอทิ ธพิ ลตอ่ ระบบคา่ นยิ ม (Value System) ระบบความเชอ่ื
(Belief System) อารมณ์ (Emotions) แรงจูงใจ (Motives) ความมีเหตุผล
(Reasoning) และพฤตกิ รรม (Behavior) ของบคุ คลที่เป็นเปา้ หมาย รวมถึงใชเ้ พอ่ื
ชักน�ำให้ยอมรับหรือเสริมสร้างทัศนคติและพฤติกรรมที่เก้ือกูลต่อการบรรลุ
วตั ถปุ ระสงคข์ องผใู้ ช้ โดยบคุ คลทเี่ ปน็ เปา้ หมายอาจเปน็ รฐั บาล องคก์ าร กลมุ่ บคุ คล
หรือปจั เจกชนก็ได้
นบั ต้งั แต่ยคุ ก่อนประวัตศิ าสตร์ แมท่ พั และผนู้ �ำทางทหารต่างรบั รูถ้ งึ
ความสำ� คญั เปน็ อยา่ งดขี องการใชก้ ารปฏบิ ตั กิ ารจติ วทิ ยาเพอ่ื สรา้ งความหวาดกลวั
ใหก้ บั ฝา่ ยตรงขา้ มนแี้ ละใชป้ ระจบประแจงหรอื สรรเสรญิ เยนิ ยอผสู้ นบั สนนุ ผทู้ ส่ี ามารถ
ใชก้ ลยทุ ธน์ อ้ี ยา่ งประสบความสำ� เรจ็ ในยคุ โบราณคอื พระเจา้ อเลก็ ซานเดอรม์ หาราช
ผู้ซ่ึงพิชิตได้ทั้งภาคพ้ืนยุโรปและตะวันออกกลางส่วนใหญ่ และมอบอ�ำนาจให้ผู้น�ำ
ชน้ั สงู ในทอ้ งถนิ่ ทจี่ งรกั ภกั ดตี อ่ พระองคเ์ ปน็ ผปู้ กครองดนิ แดนเหลา่ นน้ั ตอ่ ไป พระเจา้
อเล็กซานเดอร์มหาราชได้ท้ิงทหารของพระองค์บางส่วนให้ประจ�ำอยู่ในดินแดน
ที่พระองค์ยึดครอง เพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมกรีกและกดดันฝ่ายต่อต้าน โดยทหาร
ดงั กลา่ วจะพยายามแตง่ งานกบั ผหู้ ญงิ ทมี่ ใิ ชช่ าวกรกี ในทอ้ งถน่ิ เพอื่ ความพยายามใน
การกลนื ชาติ ขนุ ศกึ ทมี่ ชี อื่ เสยี งมากทส่ี ดุ ในการใชก้ ลยทุ ธน์ ใ้ี นยคุ กลางกค็ อื เจงกสี ขา่ น
ผ้นู ำ� แห่งจักรวรรดิมองโกลในศตวรรษท่ี 13 โดย เจงกีส ข่าน ไดถ้ อื ว่าการเอาชนะ
142
ความมุ่งม่ันท่ีจะสู้รบของข้าศึกเป็นส่ิงท่ีมีความส�ำคัญสูงสุด ก่อนการเข้าตีทุกคร้ัง
เหล่าแม่ทัพมองโกลจะเสนอให้ข้าศึกยอมแพ้ต่อเจงกีส ข่าน และจะคุกคาม
หมูบ่ า้ นทพ่ี บเจอกอ่ นด้วยการท�ำลายลา้ งหมบู่ ้านอยา่ งสิ้นซาก หากพวกเขาปฏเิ สธ
ทจ่ี ะยอมแพ้ ภายหลงั จากไดร้ บั ชยั ชนะในการรบ แมท่ พั มองโกลจะเพม่ิ การคกุ คามและ
สังหารหมู่ผู้รอดชีวิตท้ังหมด ด้วยต�ำนานความโหดร้ายดังกล่าวได้แพร่กระจายไป
จากบ้านสู่บ้าน ท�ำให้เกิดบรรยากาศของความกลัวต่อคนที่คิดจะต่อต้านกองทัพ
มองโกลในอนาคต52หรอื ในยคุ ตอ่ มาทย่ี อดนกั รบแหง่ เอเชยี กลางผสู้ บื เชอ้ื สายมองโกล
ท่มี ีนามวา่ อามรี ์ ตีมรู ์ (Amir Timur) หรอื ทาเมอร์เลน (Tamerlane)53 ได้สรา้ ง
พีระมดิ ทกี่ อ่ ด้วยหวั ขา้ ศกึ ถงึ 90,000 หัว โดยวางไว้หนา้ ก�ำแพงเมอื งเดลี (Delhi)
เพอ่ื ใหป้ ระชาชนในเมอื งยอมแพใ้ นระหวา่ งการรกุ เขา้ สอู่ นิ เดยี หรอื บางครง้ั กองทพั
มองโกลกใ็ ชว้ ธิ กี ารขวา้ งหวั มนษุ ยข์ า้ มกำ� แพงเขา้ ไปในเมอื ง เพอ่ื สรา้ งความหวาดกลวั
และใชแ้ พรเ่ ชอื้ โรคใหก้ บั ประชาชนทอ่ี ยใู่ นเมอื ง เปน็ ตน้ การปฏบิ ตั กิ ารจติ วทิ ยาใน
ยุคปัจจุบัน เริ่มคร้ังแรกในช่วงสงครามโลกคร้ังท่ี 1 โดยอาศัยจุดท่ีสังคมตะวันตก
เปน็ สงั คมเมอื งทไ่ี ดร้ บั การศกึ ษามาเปน็ อยา่ งดี และสอื่ มวลชนกม็ อี ยอู่ ยา่ งหลากหลาย
ในรูปแบบของหนังสือพิมพ์และการติดประกาศโฆษณา ในยุคนี้การน�ำส่งวิธีการ
โฆษณาชวนเช่ือไปยงั ขา้ ศกึ มักใช้การทิง้ ใบปลิวจากทางอากาศ หรอื ติดไปกับอาวุธ
ยิงระยะไกล เช่น กบั กระสนุ ปนื ใหญ่ หรือ ปืนครก เปน็ ต้น
3) การท�ำสงครามชวี ภาพ
การทำ� สงครามชวี ภาพ (Biological Warfare: BW) หรอื ทรี่ ู้จักกันดี
วา่ “การทำ� สงครามเชอื้ โรค” (Germ Warfare) หมายถงึ การใชช้ วี พษิ (Biological
toxins) สารตดิ เชอ้ื (Infectious Agents) เชน่ แบคทเี รยี (Bacteria) ไวรสั (Viruses)
และเชอื้ รา (Fungi) เพือ่ มุ่งสังหารหรอื ให้เกดิ การเจ็บปว่ ยตอ่ มนุษย์ สตั ว์ หรอื พชื ที่
ใชใ้ นสงคราม อาวธุ ชวี ภาพจะอยใู่ นอวยั วะหรอื แบง่ ตวั ภายในตวั ผเู้ ปน็ เหยอ่ื การทำ�
สงครามโดยใชแ้ มลงเปน็ พาหะ กถ็ อื ไดว้ า่ เปน็ อาวธุ ชวี ภาพประเภทหนงึ่ ดว้ ย การทำ�
สงครามชีวภาพน้ี แตกต่างจากการท�ำสงครามนิวเคลียร์และการท�ำสงครามเคมี
แมว้ า่ อาวธุ ทง้ั สามประเภทนตี้ า่ งถอื วา่ เปน็ อาวธุ ทำ� ลายลา้ งสงู (Weapons of Mass
Destruction: WMDs) ทง้ั ส้นิ อาวธุ ทำ� ลายลา้ งสูงทัง้ สามประเภทนี้ มเี พยี งอาวธุ
นิวเคลียร์เท่าน้ันที่ถือได้ว่า เป็นอาวุธที่ถูกต้องตามกฎของการท�ำสงครามทางบก
143
(Law of Land Warfare) ในขณะทอ่ี าวุธชีวภาพและอาวธุ เคมี ถือได้วา่ เป็นอาวุธ
ทผ่ี ดิ กฎของการทำ� สงครามทางบก54 อยา่ งไรกต็ าม แมว้ า่ อาวธุ นวิ เคลยี รจ์ ะเปน็ อาวธุ
ทถ่ี กู ตอ้ งตามกฎของการทำ� สงครามกต็ าม แตอ่ าวธุ นวิ เคลยี รน์ ก้ี ม็ ขี อ้ จำ� กดั ตอ่ การใชง้ าน
ตามสนธสิ ญั ญาหา้ มแพรข่ ยายอาวธุ นวิ เคลยี ร์ ปี ค.ศ.1970 (Treaty on the Non-
Proliferation of Nuclear Weapons หรอื Non-Proliferation Treaty, 1970)
การท�ำสงครามชีวภาพได้มีการน�ำมาใช้ตั้งแต่การท�ำสงครามในยุค
โบราณแล้ว เช่น ในระหว่างศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสตกาล กองทัพอัสซีเรียน
(Assyrians) ได้วางยาพิษด้วยการใช้เชื้อราชนิดหนึ่งในบ่อน้�ำเพื่อให้ข้าศึกของตน
เกิดอาการคลุ้มคลั่ง ในปี ค.ศ.1346 กองทัพมองโกลได้ท้ิงศพนักรบมองโกลของ
ตนเองท่ีตายด้วยโรคกาฬโรคเข้าไปในเมืองคาฟฟา (Kaffa) ในคาบสมุทรไครเมีย
ซง่ึ ทำ� ใหเ้ กดิ โรคกาฬระบาดไปทวั่ ทงั้ ยโุ รป และมผี คู้ นลม้ ตายเปน็ จำ� นวนมากในเวลา
ตอ่ มา หรอื ในยคุ ตอ่ มาในปี ค.ศ.1789 นาวกิ โยธนิ องั กฤษ ไดแ้ พรเ่ ชอื้ โรคฝดี าษหรอื
ไข้ทรพิษในรัฐนิวเซาท์เวลส์ (New South Wales) ในระหว่างการท�ำสงคราม
ยึดครองออสเตรเลียของอังกฤษ และอาจเป็นไปได้ว่าชาวอังกฤษก็ได้แพร่เชื้อ
ดงั กลา่ วใหก้ บั ชาวอเมรกิ นั พนื้ เมอื งในระหวา่ งการทำ� สงครามยดึ ครองทวปี อเมรกิ าเหนอื
ในปี ค.ศ.1763 ดว้ ย55
ค. ยทุ ธศาสตรก์ ารทำ� สงครามในยคุ ดนิ ปนื (Strategy in Gunpowder
Warfare)
การทำ� สงครามในยคุ ดนิ ปนื (Gunpowder Warfare) เกดิ ขน้ึ ประมาณ
คริสต์ศตวรรษที่ 15–ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีความสัมพันธ์กับการเร่ิมใช้ดินปืน
และการพัฒนาอาวุธท่เี หมาะสมกับการใชว้ ตั ถรุ ะเบิดอย่างแพรห่ ลาย เช่น ปืนใหญ่
ปืนพก ปืนไฟ และปืนคาบศิลา และผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรมของประเทศ
ตะวนั ตกในชว่ งกลางครสิ ตศ์ ตวรรษที่ 18 แมว้ า่ จะมกี ารใชด้ นิ ปนื มากอ่ นศตวรรษที่
15 แลว้ แต่การใชด้ งั กลา่ วยังอย่ใู นวงจ�ำกัด ยุคแห่งการใชด้ นิ ปนื ไดเ้ จรญิ สงู สดุ ใน
ช่วงสงครามนโปเลียนซึ่งเป็นยุคท่ีเร่ิมมีการค้าระหว่างประเทศและการท�ำสงคราม
ทางเรือ (Age of Sail) โดยน�ำมาซึ่งยุคของการรบทางเรือ และการใช้ดินปืนใน
ปนื ใหญ่ประจำ� เรือรบ
144
ภาพท่ี 3-12 การท�ำสงครามในยุคดนิ ปืน
การท�ำสงครามในยุคดินปืนเป็นผลมาจากการปฏิวัติทางทหารใน
คริสต์ศตวรรษท่ี 16 ซ่ึงได้เปล่ียนโฉมหน้าของการท�ำสงครามในอดีตอย่างสิ้นเชิง
ในยคุ น้ี ทง้ั ขนาดและปรมิ าณของการทำ� สงครามไดเ้ พม่ิ ขน้ึ อยา่ งมาก เชน่ ในการทำ�
สงครามระหวา่ งฝร่ังเศสกบั สเปนในทศวรรษท่ี 1550 ฝร่งั เศสใช้ทหารเขา้ สกู่ ารรบ
ประมาณ 20,000 คน แตใ่ นสงครามแยง่ สทิ ธใิ์ นการครองราชยใ์ นสเปนในทศวรรษ
1700 ฝรงั่ เศสระดมทหารเขา้ สกู่ ารรบมากถงึ 500,000 นาย ทำ� ใหเ้ กดิ การสญู เสยี มาก
ยิ่งข้ึน ในยุคน้ีอันเป็นผลเนื่องมาจากการพัฒนาเทคโนโลยีและเทคนิคการใช้อาวุธ
ทีม่ คี วามทันสมยั เชน่ การระดมยิงพร้อมกนั ของทหารราบ เป็นต้น อยา่ งไรกต็ าม
ด้วยกองทัพที่มีขนาดใหญ่ ท�ำให้การสนับสนุนด้านการส่งก�ำลังบ�ำรุงให้กับหน่วย
ทหารต่างๆ ไม่เพียงพอ เกิดการเบียดบังทรัพยากรจากประชาชนเพ่ือไปเล้ียงดู
กองทพั ทำ� ใหเ้ กดิ สภาพขา้ วยากหมากแพง และการอพยพของประชาชนเพอื่ หลกี หนกี บั
สงครามขนึ้ เชน่ ในระหวา่ งสงคราม 30 ปี และสงคราม 8 ปี ทน่ี ำ� มาซง่ึ ความสญู เสยี
อย่างมหาศาลก่อนเข้าสู่ยุคสงครามโลกครั้งท่ี 1 ปัจจัยท่ีน�ำมาซ่ึงความสูญเสีย
145
อกี อยา่ ง 1 กค็ อื การไมม่ สี นธสิ ญั ญา (หรอื มแี ตข่ าดความชดั เจน) ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั การ
ปฏบิ ตั ติ อ่ เชลยศกึ และประชาชนทม่ี ไิ ดเ้ กย่ี วขอ้ งกบั การทำ� สงคราม เชลยศกึ อาจถกู
ไถ่ตัวด้วยเงินหรือแลกตัวกับเชลยศึกคนอื่น หรือบางครั้งก็ถูกฆ่าเพราะไม่ต้องการ
เก็บใหไ้ วเ้ ป็นภาระ เปน็ ตน้
อย่างไรก็ตาม การท�ำสงครามในยุคนี้ได้ท�ำให้กองทัพทหารรับจ้าง
ในยคุ โบราณและยคุ กลางตอ้ งลา้ สมยั ไป แมว้ า่ จะมกี ารเปลย่ี นแปลงนอ้ี ยา่ งคอ่ ยเปน็
ค่อยไป เช่น ในตอนปลายของสงคราม 30 ปี กองทัพส่วนใหญ่ยังเต็มไปด้วย
ทหารรับจ้าง แต่ภายหลังสงครามน้ี รัฐส่วนใหญ่ได้พยายามสร้างกองทัพที่เปี่ยม
ดว้ ยอดุ มการณแ์ ละวนิ ยั ทหารมากยงิ่ ขนึ้ ผลจากการเปลย่ี นแปลงดงั กลา่ ว ทำ� ใหร้ ฐั ตา่ งๆ
จ�ำเป็นต้องจัดต้ังองค์การเพื่อบริหารจัดการกองทัพ แต่การแปรสภาพกองทัพ
ในยุโรปก็ก่อให้เกิดผลกระทบทางสังคมด้วย เพราะภาระในการป้องกันประเทศ
ตกอยกู่ บั ประชาชนทวั่ ไปมไิ ดต้ กอยกู่ บั ชนชนั้ สงู ในยคุ นไ้ี มว่ า่ ใครๆ กส็ ามารถฝกึ ใชป้ นื
คาบศลิ าได้ และดว้ ยกำ� ลงั การผลติ จากการปฏวิ ตั ริ ะบบอตุ สาหกรรมใหม่ ทำ� ใหง้ า่ ย
ต่อการจัดต้ังกองทัพที่มีขนาดใหญ่ แต่ด้วยความแม่นย�ำของปืนคาบศิลามีน้อย
ทหารจงึ จำ� เปน็ ตอ้ งรวมกำ� ลงั ใหเ้ ปน็ กลมุ่ กอ้ น เพอ่ื ใหส้ ามารถระดมยงิ ไปยงั เปา้ หมาย
ทต่ี อ้ งการได้ เมอื่ กองทพั ประชาชนขนาดใหญน่ ไ้ี ดเ้ ขา้ สกู่ ารรบเปน็ ครง้ั แรก พวกเขา
ยงั มไิ ดม้ ที กั ษะของทหารมอื อาชพี มากนกั ตอ่ มาเมอ่ื มกี ารปลกู ฝงั ความสามคั คแี ละ
อดุ มการณร์ กั ชาติ โดยเฉพาะในชว่ งหลงั สงครามปฏวิ ตั ฝิ รงั่ เศส การระดมพล (levée
en masse) และการเกณฑท์ หาร (conscription) จงึ กลายมาเปน็ กระบวนทศั นใ์ หม่
ของการท�ำสงครามในยคุ น้ี
ในประเทศตะวนั ตก ยทุ ธศาสตรท์ างทหารมพี ฒั นาการทกี่ า้ วหนา้ เปน็
อย่างย่ิงในยุคน้ี นักยุทธศาสตร์ท่ีมีช่ือเสียงของประเทศตะวันตกในยุคน้ี ได้แก่
มาเคียเวลลี มาฮาน นโปเลยี น โจมนิ ี และเคลาเซวิทซ์ เปน็ ต้น ยุทธศาสตร์การทำ�
สงครามทางบกในยุคน้ีที่ส�ำคัญ ได้แก่ ยุทธศาสตร์การใช้พลังอ�ำนาจแห่งชาติเพอื่
ผลประโยชนแ์ หง่ ชาตขิ องมาเคยี เวลลี สตู รการทำ� สงครามของนโปเลยี น ยทุ ธศาสตร์
การทำ� สงครามทางบกของเคลาเซวทิ ซ์ ฯลฯ ในขณะทย่ี ทุ ธศาสตรก์ ารท�ำสงคราม
ทางเรอื ในยคุ นี้ ไดแ้ ก่ ยทุ ธศาสตรก์ ารครองอำ� นาจทางทะเลของราเลย์ ยทุ ธศาสตร์
กำ� ลังอ�ำนาจทางทะเลของมาฮาน เปน็ ตน้
146
ในขณะท่ีกิจการทางทหารของประเทศตะวันตกต่างเจริญรุดหน้า
จนน�ำไปสู่ลัทธิล่าอาณานิคมในเวลาต่อมา พัฒนาการด้านการทหารของประเทศ
ในทวปี เอเชยี กลบั หยดุ นง่ิ อยกู่ บั ทไ่ี มต่ า่ งจากการทำ� สงครามในยคุ กลาง แมว้ า่ จนี จะ
เป็นชาติแรกที่คิดประดิษฐ์ดินปืนและปืนไฟขึ้นได้เป็นชาติแรกในคริสต์ศตวรรษ
ที่ 13 ก็ตาม56 แต่ชาติที่สามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดินปืนให้ประสบผลส�ำเร็จ
กลบั เปน็ ชาวมองโกลในยคุ เจงกสี ขา่ น และผสู้ บื ทอดชาวอาหรบั ในชว่ งสงครามครเู สด
และท้ายท่ีสุดชาวยุโรปในยุคหลังสงครามครูเสด นอกเหนือจากญี่ปุ่นท่ีสามารถ
ปรับตัวได้ทันในคริสต์ศตวรรษที่ 18 ศักย์การท�ำสงครามของประเทศตะวันตก
ได้เริ่มเหนือกว่าประเทศในทวีปเอเชียอย่างเห็นได้ชัด และเป็นจุดเร่ิมต้นของ
ยุคล่าอาณานิคมของประเทศตะวันตก และความเสอื่ มถอยของประเทศตะวนั ตก
1) การท�ำสงครามด�ำเนินกลยทุ ธ์
การทำ� สงครามดำ� เนนิ กลยทุ ธ์ (Maneuver Warfare) เปน็ ยทุ ธศาสตร์
ทแี่ สวงประโยชนจ์ ากอำ� นาจการยงิ และการสลายกำ� ลงั รบของฝา่ ยตรงขา้ ม โดยมงุ่ ใช้
การเคลอื่ นยา้ ยกำ� ลงั ในระดบั ยทุ ธศาสตรอ์ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพเพอื่ ใหไ้ ดช้ ยั ชนะเหนอื
ฝ่ายตรงขา้ มมากกว่าท่ีจะใช้กำ� ลงั เข้าปะทะและทำ� ลายก�ำลังข้าศกึ โดยตรง การทำ�
สงครามด�ำเนินกลยุทธ์ มิได้มุ่งท�ำลายก�ำลังข้าศึกท้ังหมด แต่มุ่งท�ำลายเป้าหมาย
เฉพาะของขา้ ศกึ (ไดแ้ ก่ ศนู ยบ์ งั คบั บญั ชาและการควบคมุ ฐานสง่ กำ� ลงั บำ� รงุ อาวธุ
ยิงสนับสนุน เป็นต้น) โดยอาศัยการตัดแยกก�ำลังรบข้าศึกและเคล่ือนย้ายก�ำลัง
เข้าโจมตีต่อก�ำลังรบท่ีเป็นจุดอ่อนของข้าศึก เพราะหากอ้อมผ่านและตัดแยกจุด
ตา้ นทานแขง็ แรง (Strongpoints) ของขา้ ศกึ ไดแ้ ลว้ จดุ ตา้ นทานแขง็ แรงนน้ั กแ็ ทบไมม่ ี
ประโยชนต์ อ่ การปฏบิ ตั กิ ารทางทหารเลย ฝา่ ยเขา้ ตจี งึ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งสรา้ งความเสยี หาย
ทางกายภาพแก่จุดต้านทานแข็งแรงน้ัน อ�ำนาจการยิงส�ำหรับการด�ำเนินกลยุทธ์
น้ี จะไม่ใช้เพื่อการท�ำลายก�ำลังรบข้าศึกเป็นหลัก แต่จะใช้เพ่ือข่มหรือท�ำลาย
ที่มั่นข้าศึก ณ จุดท่ีต้องการเจาะผ่านที่ม่ันเท่าน้ัน ด้วยเหตุน้ี การใช้กลยุทธ์
การแทรกซมึ ของหนว่ ยรบตามแบบหรอื หนว่ ยรบพเิ ศษมกั ใชร้ ว่ มกบั การทำ� สงคราม
ในลักษณะเช่นน้ีเพ่ือสรา้ งความวุ่นวายและความสบั สนตอ่ แนวหลังของข้าศกึ
147
โรเบริ ต์ ลอี องฮารด์ (Robert Leonhard) ไดส้ รปุ เปน็ ทฤษฎขี องการทำ�
สงครามดำ� เนนิ กลยทุ ธไ์ วว้ า่ ประกอบดว้ ยคณุ ลกั ษณะสำ� คญั 3 อยา่ ง คอื โจมตกี อ่ น
(Preempt) สรา้ งความยงุ่ เหยงิ (Dislocate) และทำ� ใหแ้ ตกกระเจงิ (disrupt) โดยใช้
เปน็ ทางเลอื กแทนทจี่ ะทำ� ลายกำ� ลงั ขา้ ศกึ ทเ่ี ปน็ กลมุ่ กอ้ นเหมอื นกบั การทำ� สงคราม
สลายก�ำลงั 57 การด�ำเนนิ กลยทุ ธต์ ามแนวคดิ ของลอี องฮารด์ จงึ มุ่งไปทก่ี ารโจมตตี ่อ
จดุ ศนู ยด์ ลุ ทเ่ี ปน็ จดุ ออ่ นและไมใ่ ชจ่ ดุ แขง็ ของขา้ ศกึ สอดคลอ้ งกบั ความเหน็ ของมารต์ นิ
ฟาน เครเวลด์ (Martin Van Creveld) ที่ได้สรุปเก่ียวกับองค์ประกอบพ้ืนฐาน
ของการทำ� สงครามดำ� เนนิ กลยทุ ธว์ า่ ประกอบดว้ ยองคป์ ระกอบพน้ื ฐาน 6 อยา่ ง คอื
(1) จงั หวะการรบ (Tempo)58 (2) ศนู ยร์ วมความพยายาม (Schwerpunkt) หรอื การโจมตี
ขา้ ศกึ ในเวลาและสถานทท่ี เ่ี หมาะสม (3) การจโู่ จม (Surprise) (4) กำ� ลงั รบผสมเหลา่
(Combined Arms) (5) ความออ่ นตวั (Flexibility) และ (6) การบงั คบั บญั ชาแบบ
แยกการ (Decentralized Command)59 เน่ืองจากจงั หวะการรบและความรเิ ร่ิม
เป็นส่ิงส�ำคัญย่ิงต่อความส�ำเร็จของการท�ำสงครามด�ำเนินกลยุทธ์ โครงสร้าง
การบงั คบั บญั ชาในการทำ� สงครามในลกั ษณะน้ี จงึ มลี กั ษณะทใ่ี หเ้ สรแี กผ่ บู้ งั คบั หนว่ ย
ในระดบั รองลงไปในระดบั ยทุ ธวธิ มี ากขน้ึ ดว้ ยโครงสรา้ งการบงั คบั บญั ชาแบบแยกการน้ี
จะอ�ำนวยให้ผู้บังคับหน่วยรองสามารถปฏิบัติงานภายใต้แนวทางตามเจตนารมณ์
ของผบู้ งั คบั บญั ชา เพอ่ื ขยายผลตอ่ จดุ ออ่ นของขา้ ศกึ ใหเ้ หมาะสมกบั สถานการณใ์ นขณะนน้ั
การทำ� สงครามดำ� เนนิ กลยทุ ธท์ มี่ ชี อื่ เสยี งมากทสี่ ดุ ในยคุ โบราณ ไดแ้ ก่
การใช้กลยุทธ์โอบปีกสองด้านของฮันนิบาล (Hannibal) ท่ีใช้กับกองทัพโรมันใน
การรบทเ่ี มอื งคานาเอ้ ในปี ค.ศ.216 กอ่ นครสิ ตกาล และของคาลดิ ไอบนิ อลั วาลดิ
(Khalid Ibn Al-Walid) ทใ่ี ชก้ บั กองทพั เปอรเ์ ชยี ในการรบทเี่ มอื งวาฮายา (Walaja)
ในยุคดนิ ปนื พระเจ้านโปเลียนไดช้ ่อื ว่าเป็นผ้กู ารท�ำสงครามดำ� เนินกลยุทธไ์ ด้ดีท่สี ดุ
โดยอาศยั การผสมผสานการเคลอ่ื นยา้ ยกำ� ลงั ของหนว่ ยทหารราบและหนว่ ยทหารมา้
เข้าโจมตีและเอาชนะก�ำลังรบข้าศึกท่ีเหนือกว่าได้ ก�ำลังทหารของพระเจ้า
นโปเลียนเหล่าน้ี ต่างได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี จนถึงขนาดที่พระเจ้านโปเลียน
สามารถส่ังใช้ก�ำลังทหารของพระองค์ในเวลาและสถานที่ท่ีพระองค์ต้องการ
148
ณ จุดที่ได้เปรียบเสมอ สาเหตุที่พระเจ้านโปเลียนสามารถกระท�ำเช่นนี้ได้
เพราะหนว่ ยทหารของพระองคไ์ ดร้ บั การฝกึ ใหส้ ามารถเคลอ่ื นยา้ ยกำ� ลงั อยา่ งรวดเรว็
(Move Fast) มกี ารจดั หนว่ ยทหารในลกั ษณะทเ่ี รยี กกนั ในปจั จบุ นั วา่ “ชดุ รบ” (Battle
Groups) หรอื “กำ� ลงั รบผสมเหลา่ ” และใชย้ ทุ ธศาสตรเ์ คลอื่ นยา้ ยกำ� ลงั อยา่ งรวดเรว็
และเข้าโจมตีข้าศึกก่อนท่ีข้าศึกจะมีเวลาเตรียมการให้พร้อมส�ำหรับการตั้งรับ
ใช้ก�ำลังส่วนน้อยเข้าโจมตีต่อก�ำลังข้าศึกที่อยู่ตรงหน้า ในขณะท่ีใช้ก�ำลังสว่ นใหญ่
เข้าโจมตีก�ำลังข้าศึกทางปีกท่ีใช้ป้องกันเส้นหลักการส่งก�ำลัง โอบและปิดก้ัน
การเพมิ่ เตมิ กำ� ลงั ของขา้ ศกึ และเอาชนะกำ� ลงั รบขา้ ศกึ ทถี่ กู ตรงึ เอาไวด้ ว้ ยการเขา้ ตโี อบ
ในทางลึก การปฏิบัติการท้ังหมดน้ี ย่อมหมายถึง การเคล่ือนย้ายก�ำลังที่
เรว็ กวา่ ขา้ ศกึ และใชเ้ วลานอ้ ยกวา่ เวลาทข่ี า้ ศกึ จะใชใ้ นการตอบโต้ การเคลอื่ นยา้ ยกำ� ลงั
อย่างรวดเร็วเพ่ือให้ได้เปรียบเหนือกว่าข้าศึกในระดับยุทธศาสตร์นั้น พระเจ้า
นโปเลียนมักใช้ทหารม้าเป็นหน่วยน�ำและฉากก�ำบังให้กับกองทัพส่วนใหญ่ของ
พระองค์ และใช้การเคลื่อนย้ายแบบประณีตเพ่ือให้ได้เปรียบทางด้านจิตวิทยา
โดยการแยกกำ� ลงั ทหารของพระองคอ์ อกจากกนั แตก่ ใ็ ชท้ บี่ ญั ชาการของกำ� ลงั ทหาร
เหลา่ นนั้ ควบคมุ ไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ขอ้ กงั วลเพยี งสงิ่ เดยี วของการใชก้ ลยทุ ธเ์ ชน่ น้ี
กค็ อื จะผสมผสานการเคลอ่ื นยา้ ยของทหารราบทเ่ี คลอ่ื นทไี่ ดช้ า้ ใหเ้ ขา้ กบั การเคลอื่ นที่
อยา่ งรวดเรว็ ของทหารมา้ ไดอ้ ยา่ งไรเทา่ นนั้ ตวั อยา่ งของการทำ� สงครามดำ� เนนิ กลยทุ ธ์
ของพระเจา้ นโปเลยี นทม่ี ชี อ่ื เสยี งมาก ไดแ้ ก่ การรบทเี่ มอื งเอาสเทอรล์ ทิ ซ์ (Austerlitz)
การเขา้ ยดึ เมอื งฮมั บรู ค์ (Hamburg) และเมอื งเดรสเดน (Dresden) เปน็ ตน้
2) การสลายกำ� ลงั
การสลายก�ำลัง (Attrition) เป็นยุทธศาสตร์ทหารซ่ึงคู่สงครามต่าง
พยายามเอาชนะสงครามดว้ ยการบนั่ ทอนกำ� ลงั ขา้ ศกึ โดยสรา้ งความสญู เสยี ตอ่ กำ� ลงั พล
และยุทโธปกรณ์ไปเร่ือยๆ จนกระท่ังข้าศึกถึงจุดล่มสลาย ฝ่ายท่ีสามารถเอาชนะ
สงครามในลกั ษณะนไี้ ด้ จงึ เปน็ ฝา่ ยทมี่ ที รพั ยากรเหนอื กวา่ อกี ฝา่ ยหนงึ่ อยา่ งชดั เจน60
โดยท่ัวไปแล้วนักวิชาการทหารมักกล่าวอ้างถึงยุทธศาสตร์สลายก�ำลังน้ีว่าเปน็
ยทุ ธศาสตรท์ หารทอี่ ยตู่ รงขา้ มกบั ยทุ ธศาสตรก์ ารทำ� สงครามดำ� เนนิ กลยทุ ธ์ นกั ทฤษฎแี ละ
นกั ยทุ ธศาสตรท์ หารทม่ี ชี อื่ เสยี ง เชน่ ซนุ วู ไดก้ ลา่ วถงึ การทำ� สงครามดว้ ยการสลายกำ� ลงั
149
ว่าเป็นสิ่งที่พึงหลีกเลี่ยง เพราะการบ่ันทอนก�ำลังข้าศึกด้วยการใช้ความเหนือกว่า
เชิงปริมาณ เป็นวิธีการท่ีตรงข้ามกับหลักการท�ำสงครามที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะ
พยายามเอาชนะการรบแตกหกั ดว้ ยการใชท้ รพั ยากรใหน้ อ้ ยทสี่ ดุ เทา่ ทจ่ี ำ� เปน็ และ
ใชเ้ วลาใหน้ อ้ ยทส่ี ดุ โดยอาศยั การดำ� เนนิ กลยทุ ธ์ การรวมกำ� ลงั การจโู่ จม และวธิ กี ารอน่ื ๆ
ในทางตรงกนั ขา้ ม ฝา่ ยทรี่ วู้ า่ ตนเองดอ้ ยกวา่ หรอื มอี ำ� นาจการรบทใ่ี กลเ้ คยี งกบั อกี ฝา่ ย
หน่ึง ย่อมไม่อาจใช้ยุทธศาสตร์สลายก�ำลังนี้ได้ แม้หากได้ชัยด้วยยุทธศาสตร์นี้
ฝา่ ยทไี่ ดช้ ยั กต็ อ้ งประสบกบั ความสญู เสยี อยา่ งหนกั ดว้ ยเหตนุ ี้ ฝา่ ยทร่ี วู้ า่ ตนเองดอ้ ยกวา่
จงึ ไมม่ ที างเลยี่ งและจำ� เปน็ ตอ้ งใชย้ ทุ ธศาสตรก์ ารดำ� เนนิ กลยทุ ธเ์ ทา่ นนั้ ตวั อยา่ งของ
การทำ� สงครามสลายกำ� ลงั ทม่ี ชี อ่ื เสยี งในประวตั ศิ าสตรส์ งคราม ไดแ้ ก่ สงครามกลางเมอื ง
ของสหรฐั อเมรกิ า และการทำ� สงครามสนามเพลาะในระหวา่ งสงครามโลกครง้ั ท่ี 1
เปน็ ตน้
3) การทำ� สงครามทางเรือ
การทำ� สงครามทางเรอื (Naval Warfare) ในยคุ ดนิ ปนื เกดิ ขนึ้ หลงั จาก
สงครามนโปเลยี น เมอ่ื เทคโนโลยใี หม่ คอื เรอื ทสี่ ามารถขบั เคลอื่ นดว้ ยพลงั ไอนำ�้ ไดถ้ อื
กำ� เนดิ ขน้ึ ในทศวรรษ 1810 การพฒั นาดา้ นโลหะผสม และเทคนคิ ดา้ นเครอื่ งจกั รกล
ทำ� ใหส้ ามารถสรา้ งเรอื หมุ้ เกราะทแ่ี ขง็ แกรง่ มปี นื ประจำ� เรอื ทมี่ ขี นาดใหญ6่ 1 และมี
กระสุนระเบิดแรงสูงที่สามารถท�ำลายเรือที่ท�ำด้วยไม้ด้วยกระสุนเพียงนัดเดียว
ในปลายศตวรรษท่ี 19 การทำ� สงครามทางเรือไดร้ บั การปฏวิ ตั จิ ากอิทธพิ ลแนวคิด
ของอัลเฟรด เทเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan) จากหนังสือทีเ่ ขาเขียนขึ้น
เรอื่ ง “อทิ ธพิ ลของกำ� ลงั อำ� นาจทางทะเลในประวตั ศิ าสตร”์ (The Influence of Sea
Power upon History) โดยมาฮานได้กล่าวอ้างว่า สงครามแองโกลฝร่ังเศสใน
ศตวรรษที่ 18-19 ความเหนอื กวา่ ทางทะเลเปน็ ปจั จยั ตดั สนิ ผลลพั ธข์ องสงคราม ดงั นน้ั
การควบคมุ การคา้ ขายทางทะเลจงึ เปน็ สงิ่ ทส่ี ำ� คญั ยงิ่ ตอ่ ชยั ชนะทางทหาร นอกจาก
นแี้ ลว้ มาฮานยงั ไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะเพม่ิ เตมิ อกี วา่ วธิ กี ารทดี่ ที ส่ี ดุ ทจ่ี ะดำ� รงความเหนอื
กวา่ ทางทะเลได้ กโ็ ดยอาศยั การรวมเรอื รบขนาดใหญเ่ ปน็ กองเรอื ขนาดใหญจ่ ากแนวคดิ
ของมาฮานไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ การแขง่ ขนั การสะสมอาวธุ ทางเรอื ของประเทศมหาอำ� นาจ
ตา่ งๆ โดยเฉพาะในชว่ งกอ่ นเริ่มสงครามโลกครง้ั ที่ 1
150
ง. ยทุ ธศาสตร์การทำ� สงครามในยคุ อตุ สาหกรรม
การทำ� สงครามในยคุ อตุ สาหกรรม (Industrial Warfare) เรมิ่ ประมาณ
ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 จนถึงยุคเร่ิมต้นของสงครามเย็น ส่ิงท่ีเห็นได้อย่างชัดเจน
ในการท�ำสงครามในยุคนี้ก็คือ การถือก�ำเนิดขึ้นของรัฐชาติ (Nation-States)
ขดี ความสามารถในการผลติ อาวธุ และการสรา้ งกองทพั บกและกองทพั เรอื ขนาดใหญ่
โดยอาศัยกระบวนการพฒั นาทางอตุ สาหกรรม ท�ำให้ยุคสมัยน้เี ปน็ ยคุ แห่งกองทพั
ที่มีทหารประจ�ำการขนาดใหญ่ มีระบบการขนส่งที่รวดเร็ว (เร่ิมจากการขนส่ง
ทางรถไฟ ทางเรอื และทางอากาศ) การติดตอ่ สอื่ สารด้วยโทรเลขและระบบไร้สาย
และแนวคดิ วา่ ดว้ ยสงครามเบด็ เสรจ็ (Total War)62 และการท�ำสงครามนวิ เคลียร์
หากมองในแง่ของเทคโนโลยีทางทหาร ยุคสมัยน้ีเร่ิมจากการประดิษฐ์ปืนยาวที่
สามารถบรรจุกระสุนท้ายล�ำกล้องท่ีท�ำให้มีอัตราการยิงสูง ปืนใหญ่บรรจุกระสุน
ทา้ ยลำ� กลอ้ งความเรว็ ตน้ สงู อาวธุ เคมี การทำ� สงครามยานเกราะ เรอื รบทส่ี รา้ งดว้ ย
โลหะ เรอื ดำ� น้ำ� และเครื่องบนิ
แนวคดิ หลกั ในการทำ� สงครามในสงครามยคุ อตุ สาหกรรมทสี่ ำ� คญั ทส่ี ดุ
ก็คือ “ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามเบ็ดเสร็จ” โดย เอริค ลูเด็นดอร์ฟ (Erich
Ludendorff) ไดก้ ลา่ วไว้เป็นครั้งแรกในหนังสอื ของเขาเรือ่ ง “สงครามเบ็ดเสรจ็ ”
ในปี ค.ศ.1935 โดยเขาได้เสนอให้มีการระดมทรัพยากรทุกอย่างของชาติเพ่ือ
การทำ� สงครามอยา่ งสมบรู ณ์ การทำ� สงครามตามความหมายของลเู ดน็ ดอรฟ์ ยงั รวมถงึ
การไรค้ วามปรานี การทำ� ลายศกั ยก์ ารทำ� สงครามของฝา่ ยตรงขา้ มโครงสรา้ งพนื้ ฐาน
และขีดความสามารถของชาติในการเข้าสู่สงครามด้วย สาเหตุที่ท�ำให้เกิดการท�ำ
สงครามเบด็ เสร็จมดี ว้ ยกันหลายประการ แต่ประการท่ีสำ� คัญทีส่ ดุ กค็ อื การพฒั นา
ทางอตุ สาหกรรม เมอ่ื ทนุ และทรพั ยากรธรรมชาตขิ องชาตติ า่ งๆ มมี ากขนึ้ ทุนและ
ทรพั ยากรดงั กลา่ วไดก้ ลายเปน็ รปู แบบหนงึ่ ของการทำ� สงครามทต่ี อ้ งการทรพั ยากร
มากที่สุด ผลท่ีตามมาก็คือ การลงทุนเพื่อการท�ำสงครามก็มีมากขึ้นไปด้วย63
ดว้ ยเหตนุ ี้ ชาตอิ ตุ สาหกรรมจงึ สามารถสรา้ งความแตกตา่ ง และเลอื กระดบั ของการทำ�
สงครามท่ีต้องการได้ ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามท่ีน่าสนใจอื่นๆ ในยุคสมัยน้ี
มีดังต่อไปน้ี
151
ภาพท่ี 3-13 การท�ำสงครามในยคุ อุตสาหกรรม
1) การท�ำสงครามทางบก
ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามทางบก (Land Warfare) ในยคุ นี้ ไดเ้ ร่ิม
มีการใช้ยานเกราะในการท�ำสงครามเป็นคร้ังแรกในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1
เพ่ือใช้เจาะผ่านสนามเพลาะและป้องกันตัวเองจากอาวุธปืนกลของข้าศึก แต่ด้วย
ปริมาณที่ไม่มากนัก จึงมิได้ส่งผลส�ำคัญต่อการท�ำสงครามแต่อย่างใด รถถังได้รับ
การพฒั นาใหท้ นั สมยั ขนึ้ ในระหวา่ งสงครามโลกครง้ั ที่ 2 จากยานยนตท์ ม่ี เี กราะบาง
และเทอะทะ กลบั กลายเปน็ ยานเกราะท่ีสามารถเคล่อื นทไ่ี ด้อยา่ งรวดเรว็ และเปน็
เคร่ืองจักรสังหารที่สามารถใช้งานได้อย่างหลากหลาย ยานเกราะจึงเป็นเครื่องมือ
ให้ฝ่ายเยอรมนีสามารถครองความเหนือกว่าในสนามรบและสามารถพิชิตยุโรป
ได้เกอื บทง้ั หมด ผลจากความส�ำเร็จของเยอรมนี ท�ำใหย้ านเกราะได้รบั การพฒั นา
ใหม้ กี ารใชง้ านในการทำ� สงครามทห่ี ลากหลายมากยงิ่ ขน้ึ เชน่ ยานเกราะลำ� เลยี งพล
และยานเกราะสะเทนิ น�ำ้ สะเทนิ บก เปน็ ต้น
152
ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามทางบกทส่ี ำ� คัญอีกอยา่ งหน่งึ ในยคุ นี้ ก็คือ
“การทำ� สงครามด�ำเนินกลยทุ ธ์”(Maneuver Warfare) ซึ่งเป็นการเปลย่ี นรูปแบบ
การท�ำสงครามจากอดีตท่ีใช้การปรับรูปขบวนของทหารและการใช้ม้าในสนามรบ
มาเป็นการใช้ยานเกราะและรถถังในภูมิประเทศทย่ี ากล�ำบาก เช่น ที่ราบโล่ง และ
ทะเลทรายแทน ตัวอย่างท่ีเห็นได้อย่างชัดเจน ได้แก่ การท�ำสงครามสายฟ้าแลบ
(Blitzkrieg) ของกองทัพเยอรมนีในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยอาศัยการเคล่ือนที่
ของหนว่ ยยานยนตแ์ ละยานเกราะอยา่ งรวดเรว็ นอกจากนแี้ ลว้ ในชว่ งสงครามโลก
ครั้งท่ี 2 ก็ได้ถือก�ำเนิดยุทธศาสตร์ใหม่ที่ทันสมัยอีกอย่างหนึ่งก็คือ “การโจมตี
ทางลกึ ” (Deep Operations) ทั้งนี้โดยอาศัยการยุทธ์ส่งทางอากาศ (Airborne
Operations) และการยุทธ์เคลื่อนที่ทางอากาศ (Air Assault Operations)
ซึ่งมีลักษณะของการน�ำส่งก�ำลังทหารเข้าสู่พื้นที่ทางลึกในสนามรบด้วยวิธีการโอบ
ทางดง่ิ จากทางอากาศเป็นครัง้ แรก
2) การท�ำสงครามทางเรือ
ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามทางเรือท่ีส�ำคัญในยุคอุตสาหกรรมได้แก่
“การใช้เรือบรรทุกเครื่องบิน” (Aircraft Carriers) ซึ่งมีบทบาทอย่างส�ำคัญ
ในช่วงสงครามโลกทั้งสองคร้ัง ในช่วงเริ่มต้นของสงครามโลกครั้งท่ี 2 เครื่องบิน
ที่ประจ�ำการอยู่บนเรือบรรทุกเคร่ืองบิน มีอยู่ด้วยกัน 3 แบบ คือ เคร่ืองบิน
ท้ิงระเบิดตอร์ปิโด (Torpedo Bombers) เพ่ือใช้โจมตีเรือด้วยตอร์ปิโดและ
การลาดตระเวน เครื่องบินท้ิงระเบิดทั่วไป (Dive Bombers) เพ่ือใช้ท้ิงระเบิด
และการลาดตระเวนทวั่ ไป และเครอ่ื งบินขบั ไล่ (Fighters) เพอื่ ใช้ปอ้ งกนั กองเรือ
และใหก้ ารคมุ้ กนั เครอื่ งบนิ ทงิ้ ระเบดิ เนอื่ งจากขอ้ จำ� กดั ในเรอื่ งพนื้ ทบี่ นดาดฟา้ ของ
เรอื บรรทกุ เครอ่ื งบนิ เครอื่ งบนิ เหลา่ นจ้ี งึ มขี นาดเลก็ และตดิ ตงั้ ดว้ ยเครอื่ งยนตเ์ ดยี ว
เป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างของการท�ำสงครามทางเรือในยุคนี้ ได้แก่ ชัยชนะของ
ราชนาวอี งั กฤษ ณ การรบทอ่ี า่ วทารานโตในทะเลเมดเิ ตอรเ์ รเนยี นในปี ค.ศ.1940 และ
การโจมตขี องญป่ี นุ่ ตอ่ ฐานทพั เรอื สหรฐั อเมรกิ าทอี่ า่ วเพริ ล์ ฮารเ์ บอรใ์ นปี ค.ศ.1941
153
ยทุ ธศาสตรก์ ารทำ� สงครามทางเรอื ทสี่ ำ� คญั อกี อยา่ งหนงึ่ ในยคุ นี้ กค็ อื “การใชเ้ รอื ดำ� นำ้� ”
(Submarines) โดยการโจมตีด้วยเรือด�ำน�้ำที่ประสบผลส�ำเร็จเป็นครั้งแรกในโลก
เกิดข้ึนเม่ือเรือด�ำน้�ำของฝ่ายสหพันธ์ช่ือ H.L.Hunley สามารถจมเรือฟริเกตช่ือ
USS.Housatonic ในชว่ งสงครามกลางเมืองสหรฐั อเมรกิ าในปี ค.ศ.1864 ในช่วง
สงครามโลกทงั้ สองครง้ั ฝา่ ยเยอรมนั ไดใ้ ชเ้ รอื ดำ� นำ้� เพอื่ จมเรอื สนิ คา้ ดว้ ยการใชต้ อรป์ โิ ด
ในชว่ งสงครามเยน็ ในทศวรรษ 1950 ท้ังสหรัฐอเมริกาและอดตี สหภาพโซเวียตได้
พัฒนาเรือด�ำน�้ำท่ีสามารถน�ำส่งขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์ข้ามทวีปจากใต้น�้ำได้
ท�ำให้ท้ังสองฝ่ายสามารถโจมตีอีกฝ่ายหนึ่งด้วยอาวุธนิวเคลียร์จากสถานที่ใดๆ
ในโลกก็ได้
3) การท�ำสงครามทางอากาศ
เครอ่ื งบนิ ไดถ้ กู นำ� มาใชเ้ ปน็ ครงั้ แรกในการทำ� สงคราม (Aerial Warfare)
ระหวา่ งอติ าลกี บั ตรุ กใี นปี ค.ศ.1911 และในระหวา่ งสงครามโลกครง้ั ท่ี 1 ทงั้ สองฝา่ ย
ไดม้ กี ารนำ� เอาบอลลนู และเครอื่ งบนิ มาใชใ้ นภารกจิ ลาดตระเวนและการอำ� นวยการ
ยิงปืนใหญ่สนาม เพื่อป้องกันการลาดตระเวนของข้าศึก จึงเร่ิมมีการใช้เครื่องบิน
เพอื่ โจมตเี ครอ่ื งบนิ และบอลลนู ของฝา่ ยตรงขา้ ม โดยเรมิ่ จากการนำ� อาวธุ ขนาดเลก็
ใหน้ กั บนิ ใชจ้ ากทนี่ งั่ นกั บนิ ตอ่ มากเ็ รม่ิ ตดิ ตง้ั ปนื กลใหก้ บั เครอื่ งบนิ รวมถงึ การตดิ ตง้ั
ลูกระเบิดให้กับเคร่ืองบิน และมีการท้ิงใบปลิวโฆษณาชวนเช่ือจากเครื่องบิน
ในระหว่างปี ค.ศ.1918-1939 เทคโนโลยีการบินได้รับการพัฒนาอย่างรวดเร็ว
ในปี ค.ศ.1939 เคร่ืองบินปีกสองชั้นได้ถูกแทนท่ีด้วยเคร่ืองบินปีกชั้นเดียวและ
ติดต้ังเครื่องยนต์ทีส่ ามารถระบายอากาศได้ดว้ ยนำ�้ ผลทไ่ี ดก้ ค็ อื เครือ่ งบินในยุคน้ี
มคี วามเรว็ เพม่ิ ขน้ึ สามเทา่ สามารถบนิ ไดส้ งู กวา่ สองเทา่ ระยะปฏบิ ตั กิ าร และนำ้� หนกั
บรรทุกสามารถเพม่ิ ขึ้นไดม้ ากกวา่ เคร่ืองบนิ ในยุคทผ่ี า่ นมาอยา่ งมหาศาล
ในแง่คิดทางยุทธศาสตร์ ฮิวจ์ เทรนชาร์ด (Hugh Trenchard) และ
กอิ ลู โิ อ้ ดเู อต้ ์ (Giulio Douhet) นกั ยทุ ธศาสตรท์ หารทางอากาศ ตา่ งเชอื่ วา่ “เครอ่ื งบนิ
จะกลายเป็นตวั ก�ำหนดความเหนอื กวา่ ทางทหารในอนาคต และอา้ งดว้ ยวา่ การทำ�
154
สงครามในอนาคตจะชนะกันด้วยการท�ำลายขีดความสามารถทางทหารและ
อุตสาหกรรมของขา้ ศกึ จากทางอากาศ” แนวคิดนี้ ถูกเรียกวา่ “การท้งิ ระเบิดทาง
ยทุ ธศาสตร”์ (Strategic Bombing) นอกจากนแ้ี ลว้ ดเู อต้ ย์ งั ไดก้ ลา่ วเพมิ่ เตมิ อกี วา่
ผู้น�ำทางทหารในอนาคตอาจหลีกเล่ียงการท�ำสงครามสนามเพลาะเช่นในสงคราม
โลกครง้ั ท่ี 1 ได้ โดยการใชเ้ ครอื่ งบนิ โจมตตี อ่ ประชาชนทเ่ี ปน็ จดุ ออ่ นของฝา่ ยตรงขา้ ม
โดยตรง ด้วยการกระท�ำเช่นนี้ ดูเอ้ต์เช่ือว่าจะท�ำให้ประชาชนของฝ่ายตรงข้าม
ลุกขึ้นมาก่อการกบฏเปล่ียนแปลงรัฐบาลของตนเพื่อยุติสงคราม64 อย่างไรก็ตาม
ในระหวา่ งสงครามโลกครง้ั ที่ 2 ไดเ้ กดิ แนวคดิ ทข่ี ดั แยง้ กนั ระหวา่ งการทงิ้ ระเบดิ ทาง
ยุทธศาสตร์ (Strategic Bombing) กับการท้ิงระเบิดทางยุทธวิธี (Tactical
Bombing) โดยทั่วไปแล้วภารกิจการท้ิงระเบิดทางยุทธศาสตร์จะมุ่งเน้นไปท่ี
เป้าหมายท่ีเป็นโรงงานอุตสาหกรรม เส้นทางรถไฟ โรงกลั่นน�้ำมัน และตัวเมือง
ทำ� ใหจ้ ำ� เปน็ ตอ้ งใชเ้ ครอ่ื งบนิ ทง้ิ ระเบดิ ขนาดใหญท่ ต่ี ดิ ตง้ั เครอื่ งยนตถ์ งึ 4 เครอื่ งยนต์
เพ่ือให้มีขีดความสามารถโจมตีลึกเข้าไปในดินแดนของข้าศึกได้ ในขณะที่การทิ้ง
ระเบิดทางยุทธวิธีน้ัน เป็นการทิ้งระเบิดท่ีมุ่งต่อเป้าหมายท่ีเป็นหน่วยทหาร
ท่บี ญั ชาการ สนามบิน และคลงั สรรพาวธุ ของข้าศกึ ซ่งึ จ�ำเป็นตอ้ งใช้เครอื่ งบนิ ทิ้ง
ระเบิดและเคร่ืองบินขับไล่ที่มีขนาดเล็กและสามารถบินได้ในระดับต่�ำในสนามรบ
ผลจากความขัดแย้งกันดังกล่าว ท�ำให้มีการแยกบทบาทของเครื่องบินที่ชัดเจน
ระหว่างการปฏิบัติการทางอากาศยุทธศาสตร์กับการปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี
ท้ายทส่ี ดุ เครอื่ งบนิ ทางยทุ ธศาสตรไ์ ดถ้ กู รวมและจดั ตงั้ เปน็ กองทพั อากาศ ในขณะท่ี
เครอื่ งบนิ ทางยทุ ธวธิ ไี ดถ้ กู รวมและจดั ตง้ั เปน็ หนว่ ยบนิ ของกองทพั บกในเวลาตอ่ มา
ในช่วงสงครามเย็น เครื่องบินได้มีพัฒนาการที่ก้าวหน้าอีกคร้ังด้วย
เครือ่ งบนิ ที่สามารถขับเคล่อื นไดด้ ้วยพลงั ไอพน่ (Jet Power) สง่ ผลใหเ้ ครอ่ื งบนิ ใน
ยคุ นมี้ คี วามเรว็ เพม่ิ ขนึ้ และบนิ ไดส้ งู ขนึ้ อยา่ งมหาศาล เมอ่ื ยคุ ขปี นาวธุ ขา้ มทวปี มาถงึ
พาหนะหลักอีกอย่างหน่ึงท่ีสามารถน�ำส่งอาวุธป้องปรามนิวเคลียร์ก็คือ เคร่ืองบิน
155
ทง้ิ ระเบิดยุทธศาสตร์ที่ใชค้ วามสูงในระดบั สงู มาก ทง้ั นีก้ เ็ พื่อใหเ้ ครื่องบินทิ้งระเบดิ
เหล่าน้ีอยู่ในระดับความสูงท่ีเครื่องบินขับไล่ท่ัวไปไม่สามารถสกัดก้ันได้ด้วยเหตุน้ี
แนวคิดว่าด้วยความเหนือกว่าทางอากาศจึงแสดงบทบาทอย่างส�ำคัญท้ังฝ่าย
สหรฐั อเมรกิ าและอดีตสหภาพโซเวียตในยุคสงครามเย็น
4) การทำ� สงครามนวิ เคลยี ร์
แมว้ า่ โลกยงั ไมเ่ คยทำ� สงครามนวิ เคลยี ร์ (Nuclear Warfare) อยา่ งแทจ้ รงิ
แต่การใช้อาวุธนิวเคลียร์ในสงครามได้ถูกน�ำมาใช้เป็นคร้ังแรกในช่วงเดือนสุดท้าย
ของสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมีการท้งิ ระเบิดนวิ เคลียร์ 2 ลกู ท่ีเมอื งฮิโรชมิ า และ
เมืองนางาซากิ ประเทศญ่ีปุ่น ภายหลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 สหรัฐอเมริกา
สหภาพโซเวยี ตอังกฤษ ฝรง่ั เศส และจนี ตา่ งพัฒนาอาวธุ และกำ� ลงั ทางยุทธศาสตร์
นวิ เคลยี รข์ องตนเพอ่ื ใหส้ ามารถโจมตตี อ่ ฝา่ ยตรงขา้ มจากฐานยงิ ภายในประเทศของ
ตนเองได้ กอ่ นการพฒั นาขปี นาวธุ ทางยทุ ธศาสตรใ์ นสหภาพโซเวยี ต หลกั นยิ มการรบสว่ น
ใหญข่ องประเทศตะวนั ตก ต่างมวี ิวัฒนาการไปตามการใชอ้ าวธุ นิวเคลยี รข์ นาดเลก็
ในบทบาททางยุทธวธิ ี แมจ้ ะมีขอ้ อ้างว่า สามารถจำ� กดั การใชอ้ าวุธนวิ เคลยี รอ์ ยา่ ง
จำ� กดั ได้ แตเ่ ปน็ ทเี่ ชอ่ื ไดว้ า่ สหรฐั อเมรกิ าจะใชอ้ าวธุ นวิ เคลยี รท์ างยทุ ธศาสตรข์ องตน
(จากเครื่องบินท้ิงระเบิดในขณะนั้น) โจมตีสหภาพโซเวียตทันทีท่ีฝ่ายสหภาพ
โซเวียตใช้อาวุธนิวเคลียร์ของตนโจมตีต่อเป้าหมายพลเรือนของสหรัฐอเมริกา
อยา่ งไรกต็ าม เมือ่ ยคุ แห่งขปี นาวุธนิวเคลยี รข์ ้ามทวปี มาถึงโดยฝา่ ยสหภาพโซเวียต
ประสบผลส�ำเร็จในการทดสอบในช่วงปลายทศวรรษ 1950 การน�ำส่งหัวรบสู่
เป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่ง มีค่าใช้จ่ายและความเส่ียงน้อยกว่าการใช้เครื่องบินทิ้ง
ระเบดิ ยทุ ธศาสตรใ์ นภารกจิ เดยี วกนั รวมทง้ั อกี ฝา่ ยหนงึ่ ไมส่ ามารถสกดั กนั้ ขปี นาวธุ
ดังกล่าวได้ เนื่องจากขีปนาวุธดังกล่าวใช้ความสูงและความเร็วที่สูงมาก ในช่วง
ทศวรรษ 1960 ได้เกิดการเปล่ียนผ่านท่ีส�ำคัญอีกครั้งต่อหลักนิยมการใช้อาวุธ
นวิ เคลยี ร์ เมอ่ื มกี ารพฒั นาขปี นาวธุ นวิ เคลยี รท์ มี่ ฐี านยงิ จากเรอื ดำ� นำ้� ทำ� ใหน้ กั ทฤษฎี
ทางทหารเชอ่ื วา่ อาวธุ นจ้ี ะสรา้ งความมนั่ ใจไดว้ า่ จะสามารถโจมตขี า้ ศกึ โดยทข่ี า้ ศกึ
ไม่รู้ตัว ไม่ตัดโอกาสท่ีจะโจมตีโต้ตอบศัตรู และท�ำให้โอกาสท่ีจะเกิดสงคราม
นิวเคลียรน์ อ้ ยลง
156
5) สงครามเยน็
นบั ตง้ั แตส่ งครามโลกครง้ั ที่ 2 ยตุ ลิ ง กไ็ มป่ รากฏวา่ มชี าตอิ ตุ สาหกรรมใด
สู้รบกันเป็นสงครามขนาดใหญ่หรือสงครามทั่วไปท่ีมีลักษณะแตกหักอีกเลย
เนอ่ื งจากอาวธุ ทแ่ี ตล่ ะฝา่ ยมอี ยู่ มอี ำ� นาจการทำ� ลายลา้ งสงู เสยี จนกระทงั่ แตล่ ะฝา่ ย
ต้องยับย้ังชั่งใจท่ีจะใช้มัน โดยเฉพาะการท�ำสงครามเบ็ดเสร็จท่ีใช้อาวุธนิวเคลียร์
ซง่ึ การพฒั นาและการครอบครองใชง้ บประมาณคอ่ นขา้ งตำ�่ แตส่ ามารถทำ� ลายลา้ ง
ทรัพยากรของประเทศคูส่ งครามใหย้ อ่ ยยับลงไดภ้ ายในชั่วพรบิ ตา
ในชว่ งปลายทศวรรษ 1950 โลกไดเ้ ขา้ สยู่ คุ สงครามเยน็ (The Cold War)
ซง่ึ เกดิ จากความขดั แยง้ ทางอุดมการณ์ 2 ฝา่ ย คือ ฝา่ ยโลกตะวันตกทมี่ อี ุดมการณ์
ทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยที่น�ำโดยสหรัฐอเมริกา และฝ่ายโลกตะวันออกท่ีมี
อดุ มการณส์ งั คมนยิ มคอมมวิ นสิ ตท์ น่ี ำ� โดยสหภาพโซเวยี ต สงครามเยน็ ระหวา่ งโลก
ตะวนั ตกกบั โลกตะวนั ออกไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ ความตงึ เครยี ดมากยง่ิ ขน้ึ เมอื่ ทง้ั สองฝา่ ยตา่ ง
มอี าวธุ นวิ เคลยี รน์ บั พนั ลกู ซงึ่ ตา่ งเลง็ เปา้ หมายไปยงั อกี ฝา่ ยหนงึ่ อยตู่ ลอดเวลา ทำ� ให้
ดลุ แหง่ อำ� นาจทางยทุ ธศาสตรข์ องการทำ� ลายลา้ งทที่ ง้ั สองฝา่ ยมอี ยเู่ ทา่ กนั และเกดิ
สภาพทเ่ี รยี กวา่ “การถกู ทำ� ลายลา้ งทง้ั สองฝา่ ย” (Mutually Assured Destruction)
โดยตา่ งฝา่ ยตา่ งมคี วามคดิ วา่ การโจมตดี ว้ ยอาวธุ นวิ เคลยี รไ์ มว่ า่ จากฝา่ ยใด จะทำ� ให้
อกี ฝ่ายหนงึ่ โจมตโี ตต้ อบต่ออีกฝา่ ยหนึง่ อยา่ งแน่นอน ผลท่ตี ามมาก็คือ ประชาชน
นับร้อยล้านคนต้องเสียชีวิต ส่วนคนที่รอดชีวิตและเหลืออยู่ก็ต้องทนทกุ ขท์ รมาน
จากผลกระทบของกัมมันตภาพรังสีตกค้าง สมดังค�ำกล่าวของนิกิต้า ครุชชอฟ
(Nikita Khrushchev) ทไ่ี ดก้ ลา่ วไวใ้ นทำ� นองวา่ หากมกี ารใชอ้ าวธุ นวิ เคลยี รแ์ ลว้ ไซร้
คนทีอ่ ยูค่ งต้องอจิ ฉาคนตายอยา่ งแน่นอน65
ในช่วงสงครามเย็น ประเทศมหาอ�ำนาจ จึงต่างพยายามหลีกเลี่ยง
ความขัดแย้งที่อาจสุ่มเส่ียงต่อการใช้อาวุธนิวเคลียร์ระหว่างกัน แต่ใช่ว่าโลกจะ
ปราศจากสงครามกห็ าไม่ ดว้ ยทงั้ สองฝา่ ยยงั มกี ารสรู้ บระหวา่ งกนั ในรปู แบบสงคราม
จ�ำกัดอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่แตกต่างจากการท�ำสงครามในอดีตก็คือ ประเทศ
มหาอำ� นาจซึ่งมคี วามขัดแยง้ ระหวา่ งกนั ตา่ งหลีกเลีย่ งที่จะทำ� สงครามระหว่างกัน
157
โดยตรง ต่างฝ่ายจึงหันไปใช้ประเทศพันธมิตรซึ่งเป็นบริวารเข้าท�ำสงครามแทน
สงครามเช่นนี้จึงถูกเรียกว่า “สงครามตัวแทน” (Proxy Wars) ซึ่งมีลักษณะของ
การสะสมก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร (Military Buildups) ใช้วิธีการทางการทูต
(Diplomatic Standoffs) และการใช้ก�ำลังเข้าห�้ำหั่นกันระหว่างประเทศท่ีเป็น
บรวิ ารของทง้ั สองฝา่ ย โดยมปี ระเทศมหาอำ� นาจของแตล่ ะฝา่ ยตา่ งใหก้ ารสนบั สนนุ
อยู่เบือ้ งหลงั เชน่ ความขดั แยง้ ในสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม และสงคราม
อฟั กานสิ ถาน เปน็ ต้น
จ. ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามในยคุ ปัจจุบนั
ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามในยุคปัจจุบัน (Strategy in Modern
Warfare) หมายถึง แนวคิด วิธกี าร และเทคโนโลยี ซึง่ ถูกน�ำมาใช้ในระหว่างและ
หลังสงครามโลกครั้งท่ี 2 และสงครามเกาหลีจนถึงปัจจุบัน แนวคิดและวิธีการ
ดังกล่าว มีรูปแบบที่ซับซ้อนและผสมผสานระหว่างสงครามในศตวรรษท่ี 19
กับสงครามในศตวรรษที่ 20 ท้ังน้ีก็เนื่องมาจากการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
ที่ทันสมัยอย่างแพร่หลาย กองทัพในยุคปัจจุบันจึงต้องพัฒนาตัวเองอย่างต่อเน่ือง
เพอ่ื คงความคมุ้ คา่ ของกองทพั ในสนามรบ66 แมว้ า่ การทำ� สงครามเบด็ เสรจ็ ไดก้ อ่ ใหเ้ กดิ
รปู แบบความขดั แยง้ ระหวา่ งประเทศขนึ้ ใหม่ อนั เนอ่ื งมาจากประสบการณก์ ารทำ� สงคราม
ปฏิวัติฝรั่งเศส แต่การท�ำสงครามเบ็ดเสร็จก็ไม่เคยอธิบายลักษณะการท�ำสงคราม
ในประเทศที่ใช้ทรัพยากรของตนเพ่ือท�ำลายขีดความสามารถเข้าสู่การท�ำสงคราม
ของชาตอิ น่ื ไดเ้ ลย รปู แบบของการทำ� สงครามเบด็ เสรจ็ ทถี่ กู ใชเ้ ปน็ เวลากวา่ หนงึ่ รอ้ ยปี
กเ็ ปน็ เพยี งแคน่ โยบายเทา่ นนั้ เพราะสงครามไดเ้ ปลย่ี นไปแลว้ โดยเฉพาะเมอ่ื มขี อ้ มลู
ขา่ วสารเกีย่ วกับการรบทางยุทธวิธี ยทุ ธการ และยุทธศาสตรม์ ากขนึ้
158
ภาพที่ 3-14 การทำ� สงครามในยคุ ปัจจุบัน
สงครามในยุคปัจจุบัน ได้ให้ข้อสรุปเก่ียวกับเป้าหมายท่ีเป็นพลเรือน
และโครงสร้างพ้ืนฐานของพลเรือน ต่อการท�ำลายขีดความสามารถเข้าสู่สงคราม
ของฝ่ายตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว การก�ำหนดเป้าหมายของพลเรือนเหล่านี้ ได้รับ
การพฒั นาขนึ้ โดยอาศยั ทฤษฎที แ่ี ตกตา่ งกนั 2 ทฤษฎี คอื ทฤษฎแี รก กลา่ ววา่ หาก
พลเรอื นถกู สงั หารในปรมิ าณทมี่ ากพอ โรงงานอตุ สาหกรรมตา่ งๆ อาจตอ้ งปดิ ตวั ลง
ทฤษฎที ส่ี อง กลา่ ววา่ หากพลเรอื นถกู สงั หาร ประชาชนยอ่ มไมม่ ขี วญั และกำ� ลงั ใจ
ทีจ่ ะสรู้ บ ท�ำให้ไม่มีความสามารถในการทำ� สงครามอกี ตอ่ ไป เม่ือมกี ารสร้างอาวธุ
นิวเคลียร์ แนวคิดในการท�ำสงครามเต็มรูปแบบ (Full-Scale War) ได้น�ำมาซ่ึง
ความกลัวต่อการท�ำลายล้างโลก ด้วยเหตุนี้ ความขัดแย้งนับต้ังแต่สงครามโลก
ครงั้ ท่ี 2 เปน็ ตน้ มา จงึ มลี กั ษณะของความขดั แยง้ ระดบั ตำ�่ (Low Intensity Conflicts)67
ทง้ั นก้ี โ็ ดยอาศยั รปู แบบของการทำ� สงครามตวั แทนทสี่ รู้ บกนั ในขอบเขตจำ� กดั เฉพาะ
พื้นท่ี มีการใช้อาวุธธรรมดาท่ีมีการผสมผสานกับการใช้กลยุทธ์การท�ำสงคราม
อสมมาตร และการใชข้ ดี ความสามารถดา้ นการข่าวกรอง เป็นตน้
กระทรวงกลาโหมสหรฐั อเมรกิ า ไดน้ ำ� เสนอแนวคดิ วา่ ดว้ ยหว้ งมติ กิ ารรบ
(Battle Space) ในฐานะทเี่ ปน็ การบรหิ ารจดั การขอ้ มลู ขา่ วสารใหม้ ลี กั ษณะบรู ณาการ
ปัจจัยส�ำคัญทั้งหมดที่มีผลกระทบต่อการรบของกองทัพต่างๆ ในยุทธบริเวณ
159
หว้ งมติ กิ ารรบน้ี ประกอบดว้ ย ขอ้ มลู ขา่ วสาร (Information) หว้ งอากาศ (Airspace)
พน้ื ทีภ่ าคพ้นื ดนิ (Land space) และพืน้ ที่ทางทะเล (Sea Space) นอกจากน้ีแลว้
หว้ งมติ กิ ารรบยงั รวมถงึ สภาพแวดลอ้ ม ปจั จยั และเงอ่ื นไขตา่ งๆ ทต่ี อ้ งทำ� ความเขา้ ใจ
เพอ่ื ใหส้ ามารถประยกุ ตใ์ ชอ้ ำ� นาจการรบไดส้ ำ� เรจ็ การพทิ กั ษห์ นว่ ย การบรรลภุ ารกจิ
ก�ำลังรบทง้ั ฝา่ ยเราและฝ่ายข้าศกึ สงิ่ อำ� นวยความสะดวก และสภาพลมฟ้าอากาศ
และภมู ปิ ระเทศภายในพนื้ ทปี่ ฏบิ ตั กิ ารและพน้ื ทสี่ นใจ ดว้ ยมมุ มองทเี่ กยี่ วกบั หว้ งมติ ิ
การรบได้กอ่ ใหเ้ กดิ แนวคิดทางยุทธศาสตร์ใหม่ในยุคปัจจบุ ัน ดงั ต่อไปน้ี
1) การทำ� สงครามทางบก
ยุทธศาสตร์การท�ำสงครามทางบก (Land Warfare) ในยคุ ปัจจุบนั น้ี
ประกอบดว้ ยหนว่ ยรบ 3 ประเภท คอื หนว่ ยทหารราบ หนว่ ยยานเกราะ และหนว่ ย
ทหารปนื ใหญ่ หน่วยทหารราบในยคุ ปจั จุบนั น้ี ประกอบดว้ ย ทหารราบยานเกราะ
และทหารราบสง่ ทางอากาศ โดยทวั่ ไปทหารราบจะมอี าวธุ ประจำ� กายเปน็ ปนื เลก็ ยาว
และมอี าวธุ ประจำ� หนว่ ยเปน็ ปนื กล ทำ� ใหท้ หารราบเปน็ หนว่ ยทหารพน้ื ฐานของกองทพั
การท�ำสงครามยานเกราะในสงครามยุคปัจจุบันนี้ จะเกี่ยวข้องกับการใช้รถรบ
ทหี่ ลากหลายเพอื่ วตั ถปุ ระสงคข์ องการรบและการสนบั สนนุ การรบ เนอื่ งจากรถถงั หรอื
ยานเกราะอ่นื ๆ (เช่น ยานเกราะลำ� เลียงพล หรอื ยานเกราะท�ำลายรถถงั เปน็ ตน้ )
เคล่ือนที่ได้ช้า แต่ก็มีเกราะก�ำบังที่แข็งแกร่ง รถถังหรือยานเกราะจึงไม่มีจุดอ่อน
ตอ่ การถูกโจมตีจากการยงิ ของปืนกล แต่อาจตกเป็นเปา้ หมายจากจรวดต่อสรู้ ถถัง
ของทหารราบ ทุ่นระเบิด และเครื่องบนิ โจมตีได้ ในการรบในเมืองเนอ่ื งจากมพี ื้นที่
ขนาดเลก็ ยานเกราะจงึ สมุ่ เสยี่ งตอ่ การถกู ทหารราบขา้ ศกึ ทซี่ อ่ นตวั อยใู่ นพนื้ ทโี่ จมตี
ไดง้ า่ ย ด้วยเหตนุ ้ี รถถังและยานเกราะจงึ มีบทบาทนอ้ ยตอ่ การรบในเมือง ในพืน้ ที่
ชนบททห่ี า่ งไกล รถถงั และยานเกราะอาจไมต่ อ้ งกงั วลตอ่ หนว่ ยทหารราบในพนื้ ทนี่ ้ี
แต่ในพ้ืนที่ท่ีเต็มไปด้วยหนองน้�ำและโคลน อาจเป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนท่ี
ทง้ั รถถงั และยานเกราะ อยา่ งไรกต็ าม แนวคดิ ในการจดั หนว่ ยในยคุ นแี้ ตกตา่ งจาก
การจดั หนว่ ยในยคุ ทผี่ า่ นมาอยา่ งชดั เจน เหน็ ไดจ้ ากการปรบั เปลย่ี นแนวคดิ จากการจดั
เป็นหน่วยทหารขนาดใหญ่ (Mass Army) มาเป็นหน่วยทหารท่ีมีขนาดเล็กแต่ก็
เต็มเปี่ยมด้วยขีดความสามารถด้านการเคลื่อนที่ที่รวดเร็ว (Mobility) มีอ�ำนาจ
160
ทำ� ลายลา้ งสงู (Lethality) และสามารถปรบั ใชก้ บั สถานการณต์ า่ งๆ ไดอ้ ยา่ งหลากหลาย
(Versatility) เชน่ แนวคดิ วา่ ดว้ ยการจดั กำ� ลงั รบแหง่ ศตวรรษท่ี 21 (Force XXI)
ของกองทพั บกสหรฐั อเมรกิ า การจดั หนว่ ยพรอ้ มรบเคลอื่ นทเี่ รว็ และกรมเฉพาะกจิ
ของกองทัพบกไทย เป็นต้น
สำ� หรบั การใชป้ นื ใหญส่ นามในยคุ ปจั จบุ นั นี้ คอ่ นขา้ งแตกตา่ งจากในอดตี
ดว้ ยปนื ใหญส่ นามในยคุ นี้ มขี นาดลำ� กลอ้ งทใี่ หญข่ นึ้ มขี ดี ความสามารถดา้ นการยงิ
กระสุนระเบิดหรือจรวดก็ได้ แต่ด้วยขนาดและน�้ำหนักของปืนใหญ่สนามดังกล่าว
จำ� เปน็ ตอ้ งใชฐ้ านยงิ และการขนสง่ ทม่ี ลี กั ษณะเฉพาะ โดยทว่ั ไปอาวธุ ปนื ใหญส่ นาม
ประกอบดว้ ย ปืนใหญส่ นามล�ำกล้อง เครื่องยิงลูกระเบดิ จรวดหลายล�ำกลอ้ ง และ
ปนื ใหญจ่ รวด ตามปกติ คำ� วา่ “ปนื ใหญส่ นาม” (Artillery) จะไมร่ วมถงึ ระบบอาวธุ
ที่ใช้กระสุนน�ำวิถีภายใน แมว้ า่ ปนื ใหญส่ นามบางแบบจะมกี ารใชข้ ีปนาวุธประเภท
พน้ื ส่พู น้ื กต็ าม
2) การทำ� สงครามอสมมาตร
การท�ำสงครามอสมมาตร (Asymmetric Warfare) หมายถึง
สถานการณ์ทางทหารท่ีคู่กรณีมีศักย์การท�ำสงครามต่างกัน68 ในขณะที่ฝ่ายใด
ฝ่ายหน่ึงต่างก็พยายามแสวงหาความได้เปรียบจากจุดแข็งและจุดอ่อนของทั้ง
ฝา่ ยตนเองและฝา่ ยตรงขา้ ม ปฏสิ มั พนั ธข์ องการทำ� สงครามอสมมาตรมกั เกยี่ วขอ้ งกบั
ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่อยู่นอกเหนือจากการท�ำสงครามตามปกติ โดยท่ัวไป
ฝา่ ยทดี่ อ้ ยกวา่ มกั ใชก้ ารทำ� สงครามทเี่ รยี กวา่ “การกอ่ การรา้ ย”กบั ฝา่ ยทเ่ี หนอื กวา่
3) การท�ำสงครามอิเล็กทรอนิกส์
การท�ำสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Warfare) หมายถึง
การใช้วิธีการท�ำสงครามท่ีปราศจากความรุนแรงเพ่ือสนับสนุนการท�ำสงคราม
แบบอ่นื ๆ โดยท่ัวไปการทำ� สงครามอิเลก็ ทรอนิกส์ ประกอบด้วย การดักรับ และ
การถอดรหัสการติดตอ่ สอ่ื สารทางวทิ ยขุ องข้าศึก เทคโนโลยีการติดตอ่ ส่อื สารและ
ใชว้ ธิ กี ารเขา้ รหสั เพอ่ื ตอบโตต้ อ่ การดกั รบั ดงั กลา่ ว นอกจากนย้ี งั รวมถงึ การรบกวน
การติดต่อส่ือสาร การก�ำหนดมาตรการลับทางวิทยุ และเร่ืองอื่นๆ ท่ีเกี่ยวข้อง
161
อยา่ งไรกต็ าม การทำ� สงครามอเิ ลก็ ทรอนกิ สใ์ นปจั จบุ นั ไดข้ ยายขอบเขตทกี่ วา้ งมากขนึ้
โดยรวมถึงการใช้การตรวจจับ การหลีกเลี่ยงการถูกตรวจจับจากระบบเรดาร์และ
ระบบโซนาร์ของข้าศึก และการเจาะเข้าสู่โปรแกรมคอมพิวเตอร์ของผู้อ่ืนอย่าง
ผดิ กฎหมายด้วย69
4) การทำ� สงครามอวกาศ
การทำ� สงครามอวกาศ (Space Warfare) เปน็ การทำ� สงครามทเ่ี กดิ ขน้ึ
นอกบรรยากาศของโลก แม้ว่าในปัจจุบันจะยังไม่เคยมีการท�ำสงครามเกิดข้ึนใน
อวกาศเลยก็ตาม อาวุธท่ีสามารถใช้ในอวกาศได้ประกอบด้วย อาวุธตามวงโคจร
และอาวุธในอวกาศ ส�ำหรับเปา้ หมายที่มคี ่าสูงในอวกาศ ประกอบด้วย ดาวเทียม
และฐานติดอาวุธในอวกาศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีระบบอาวุธที่สามารถใช้งานได้
อยา่ งแทจ้ รงิ ในอวกาศ แมว้ า่ จะเคยมกี ารทดสอบยงิ ขปี นาวธุ จากพนื้ สอู่ วกาศทำ� ลาย
ดาวเทียมเป้าหมายในอวกาศจนประสบผลส�ำเร็จมาแล้วก็ตาม แต่อาวุธท่ีจะใช้
ในการท�ำสงครามอวกาศอย่างแท้จริงยังตอ้ งมีการพัฒนาตอ่ ไป
5) การทำ� สงครามไซเบอร์
การทำ� สงครามไซเบอร์ (Cyber Warfare) จะเกย่ี วขอ้ งกบั การกระทำ�
ของรัฐชาติหรือองค์การระหว่างประเทศท่ีพยายามโจมตีและสร้างความเสียหาย
ให้กับระบบคอมพิวเตอร์หรือเครือข่ายข่าวสารของชาติอื่นๆ เช่น การปล่อยไวรัส
เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์และการโจมตีระบบบริการเครือข่ายเพื่อให้ใช้การไม่ได้
เป็นต้น ด้วยเหตุนี้ การท�ำสงครามไซเบอร์จึงอาจเกิดจากแรงจูงใจทางการเมือง
โดยอาศยั การเจาะเขา้ สโู่ ปรแกรมคอมพวิ เตอรข์ องผอู้ นื่ อยา่ งผดิ กฎหมาย (Hacking)
เพ่ือต้องการก่อวินาศกรรมและจารกรรมข้อมูลของผู้อ่ืน การท�ำสงครามไซเบอร์นี้
อาจอยใู่ นรปู แบบหนง่ึ ของการทำ� สงครามขา่ วสาร (Information Warfare) ซงึ่ บางครงั้
ก็มีลักษณะท่ีคล้ายกับการท�ำสงครามตามแบบ (Conventional Warfare) และ
สงครามทใี่ ช้เครอื ข่ายเปน็ ศนู ยก์ ลาง (Network Centric Warfare) ซ่ึงต้องอาศยั
ระบบขอ้ มลู ขา่ วสารท่ีซับซอ้ นในการใชเ้ ครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ของโลก ดงั น้นั สงิ่ ท่ี
มีความจ�ำเป็นมากท่ีสุดของการท�ำสงครามไซเบอร์ก็คือ การรักษาสมดุลระหว่าง
162
การด�ำรงขีดความสามารถของเครือข่ายกับการรักษาความปลอดภัยของเครือข่าย
โดยอาศยั ผเู้ ชยี่ วชาญดา้ นการตดิ ตอ่ สอื่ สาร70 การทำ� สงครามไซเบอรใ์ นสหรฐั อเมรกิ า
เปน็ สว่ นหนงึ่ ของยทุ ธศาสตรท์ หารดา้ นการปอ้ งกนั โลกไซเบอรเ์ ชงิ รกุ (Proactive Cyber
Defence) และใชก้ ารทำ� สงครามไซเบอรเ์ ปน็ รปู แบบหนง่ึ ในการโจมตฝี า่ ยตรงขา้ ม71
ในขณะทกี่ องทพั ปลดปลอ่ ยประชาชนจนี กไ็ ดใ้ ชห้ นว่ ยทำ� สงครามขา่ วสารเปน็ หนว่ ย
พฒั นาไวรสั สำ� หรบั โจมตรี ะบบและเครอื ขา่ ยคอมพวิ เตอรข์ องขา้ ศกึ โดยหนว่ ยเหลา่ น้ี
ส่วนใหญ่ประกอบด้วยพลเรือนที่เป็นมืออาชีพด้านคอมพิวเตอร์เป็นจ�ำนวนมาก72
ทำ� ใหก้ องทพั ปลดปลอ่ ยประชาชนจนี มขี ดี ความสามารถดา้ นการทำ� สงครามไซเบอร์
ในระดบั แนวหนา้ ของโลก
5. ตวั อย่างการก�ำหนดยทุ ธศาสตรข์ องโลกหลังยุคสงครามเยน็
เมอ่ื สงครามโลกครงั้ ที่ 2 สน้ิ สดุ ลงโดยเยอรมนผี นู้ ำ� ฝา่ ยอกั ษะตกเปน็ ฝา่ ยพา่ ยแพ้
ต่อฝ่ายสัมพันธมิตร ท�ำให้สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียตขาดจุดมุ่งหมายที่จะ
เป็นพันธมิตรร่วมกันอีกต่อไป ความขัดแย้งระหว่างมหาอ�ำนาจท้ังสองได้เร่ิมขึ้น
หลังจากท้ังสองมีมุมมองต่ออนาคตของประเทศในยุโรปตะวันออกและประเทศ
เยอรมนีแตกต่างกัน ท�ำให้เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์อย่างชัดเจน กล่าวคือ
ทง้ั สองฝา่ ยไดเ้ คยตกลงกนั ไวท้ เี่ มอื งยลั ตา (Yalta) เมอื่ เดอื นกมุ ภาพนั ธ์ ค.ศ.1945 วา่
“เมอื่ สนิ้ สงครามแลว้ จะมกี ารสถาปนาการปกครองระบอบประชาธปิ ไตยในประเทศ
เหลา่ นนั้ ”73 แตพ่ อสน้ิ สดุ สงคราม สหภาพโซเวยี ตไดใ้ ชค้ วามไดเ้ ปรยี บในฐานะทต่ี น
มกี ำ� ลงั ทหารอยใู่ นประเทศเหลา่ นน้ั สถาปนาประชาธปิ ไตยตามแบบของตนทเ่ี รยี กวา่
“ประชาธิปไตยของประชาชน” ขนึ้ ในขณะทฝ่ี า่ ยสหรฐั อเมรกิ าไดแ้ สดงการคดั คา้ น
เพราะประชาธปิ ไตยตามความหมายของสหรัฐอเมริกา หมายถึง เสรีประชาธิปไตย
ท่ีสามารถเปล่ียนรัฐบาลได้โดยวิธีการเลือกตั้งท่ีเสรี ในประเด็นเกี่ยวกับประเทศ
เยอรมนีก็เช่นกัน สหภาพโซเวียตไม่ยอมปฏิบัติตามข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกา
ทจ่ี ะรวมเยอรมนใี หเ้ ปน็ หนงึ่ เดยี ว และสถาปนาระบอบเสรปี ระชาธปิ ไตยในเยอรมนี
ตามท่ีได้เคยตกลงกันไว้ ความไม่พอใจระหว่างประเทศทั้งสองเพ่ิมมากขึ้น เม่ือ
ประธานาธิบดีทรูแมนของสหรัฐอเมริกา ได้สนับสนุนแนวคิดของนายกรัฐมนตรี
163
เชอรช์ ลิ (Sir Winston Churchill) ขององั กฤษ ซง่ึ ไดก้ ลา่ วไวท้ รี่ ฐั มสิ ซรู ี สหรฐั อเมรกิ า
เมือ่ เดือนมนี าคม ค.ศ.1946 วา่ “ม่านเหลก็ ไดป้ ิดกั้นและแบง่ ทวปี ยุโรปแลว้ ขอให้
ประเทศพ่ีน้องที่พูดภาษาอังกฤษร่วมมือกันท�ำลายม่านเหล็ก (Iron Curtain)”74
ด้วยสุนทรพจน์น้ีเอง ท�ำให้โลกต้องแบ่งออกเป็นสองฝ่ายระหว่างกลุ่มประเทศ
ประชาธิปไตยและกล่มุ ประเทศคอมมิวนิสต์
หลงั สงครามโลกครงั้ ท่ี 2 โลกไดเ้ ขา้ สยู่ คุ สงครามเยน็ ทเี่ กดิ การเผชญิ หนา้
ด้านการเมืองระหว่างค่ายทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยที่น�ำโดยสหรัฐอเมริกากับค่าย
สงั คมนยิ มคอมมวิ นสิ ตท์ นี่ ำ� โดยสหภาพโซเวยี ต แมว้ า่ การเผชญิ หนา้ ดงั กลา่ วสว่ นใหญ่
เป็นการเผชิญหน้ากันทางการทูตที่เกิดจากการแข่งขันและแย่งชิงอ�ำนาจในการจดั
ระเบยี บโลกใหม่ ทงั้ สองคา่ ยจงึ ไดก้ ำ� หนดนโยบายตา่ งประเทศโดยมจี ดุ มงุ่ หมายเพื่อ
จ�ำกัดการขยายตัวของฝ่ายตรงข้าม ในกรณีของสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นผู้น�ำค่าย
ทุนนิยมเสรีประชาธิปไตยน้ัน ได้ก�ำหนดนโยบายที่เรียกว่า “การปิดล้อม”
(Containment) ขนึ้ โดยมีจุดประสงค์เพอ่ื จ�ำกัดการขยายตวั ของลัทธคิ อมมวิ นสิ ต์
ผลจากนโยบายดังกล่าว ท�ำให้สหภาพโซเวียตจ�ำเป็นต้องกำ� หนดนโยบายของตน
เพอ่ื ตอบโตก้ บั นโยบายการปดิ ลอ้ ม เนอื่ งจากสหภาพโซเวยี ตกลวั วา่ สหรฐั อเมรกิ าจะ
ครองความเป็นจ้าวโลกแต่เพียงผู้เดียว (U.S. hegemony) เห็นได้จากสตาลิน
(Joseph Stalin) ไดต้ ระหนกั ถงึ ความจำ� เปน็ ทจ่ี ะตอ้ งควบคมุ รฐั กนั ชน (Buffer States)
ในยุโรปตะวนั ออกไวใ้ นกำ� มอื และสนบั สนุนการขยายตวั ของลทั ธคิ อมมวิ นิสต์ตาม
แนวคิดของมาร์กและปรัชญาของคอมมิวนิสต์ที่ต้องการให้เกิดการปฏิวัติทาง
ลัทธิคอมมิวนิสต์ท่ัวโลก ฉะน้ัน สตาลินจึงได้จัดตั้งองค์การคอมมิวนิสต์สากล
(Comintern) เพ่อื สนับสนนุ การปฏิวตั ิเชน่ นท้ี ่ัวโลก ในขณะทเี่ ชอร์ชลิ ได้เรยี กรอ้ ง
ใหม้ กี ารจบั ขว้ั พนั ธมติ รระหวา่ งสหรฐั อเมรกิ ากบั องั กฤษเพอื่ ตอ่ ตา้ นสหภาพโซเวยี ต
ซ่งึ ถกู มองว่าเปน็ ผ้สู รา้ งมา่ นเหล็กขวางก้ันยโุ รป ฝา่ ยสหรัฐอเมรกิ าได้ตอบสนองต่อ
แนวคดิ ดงั กลา่ วดว้ ยการสรา้ งทฤษฎโี ดมโิ น (Domino Theory) และกำ� หนดนโยบาย
การปิดล้อม (Containment) ขึ้น เห็นได้จากประธานาธิบดีทรูแมน (Harry S.
Truman) ได้ก�ำหนดนโยบายท่ีเรียกว่า “นโยบายทรูแมน” (Truman Doctrine)
164
โดยให้การช่วยเหลือด้านการเงินแก่ประเทศต่างๆ เป็นจ�ำนวนมากเพ่ือหยุดยั้ง
การขยายตวั ของลทั ธคิ อมมวิ นสิ ต์ เชน่ ใหเ้ งนิ ชว่ ยเหลอื แกก่ รซี และตรุ กเี ปน็ จำ� นวน
เงินถึง 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพ่ือป้องกันไม่ให้เกิดการปฏิวัติคอมมิวนิสต์
ในประเทศดงั กลา่ ว และการประกาศแผนการมารแ์ ชล (Marshall Plan) โดยเตรยี มเงนิ
ไวถ้ งึ 12,000 ลา้ นดอลลารส์ หรฐั เพอ่ื ใชฟ้ น้ื ฟปู ระเทศตา่ งๆ ในทวปี ยโุ รปทเี่ สยี หาย
จากผลของสงครามโลกครง้ั ที่ 2 แตไ่ มย่ อมใหเ้ งนิ ชว่ ยเหลอื ใดๆ แกป่ ระเทศทเี่ ปน็
คอมมวิ นสิ ต์ ทำ� ใหส้ ตาลนิ มองวา่ การกระทำ� เชน่ นข้ี องสหรฐั อเมรกิ า เปน็ ภยั คกุ คาม
อยา่ งหนงึ่ ตอ่ ประเทศของตน หลงั จากนน้ั สหรฐั อเมรกิ าก็ได้แสดงออกอยา่ งเตม็ ทว่ี ่า
ตนพรอ้ มทจ่ี ะใชก้ ำ� ลงั ทหารและเศรษฐกจิ สกดั กน้ั การขยายอทิ ธพิ ลของคอมมวิ นสิ ต์
ทุกแห่งในโลก ไม่วา่ จะเป็นทวีปยโุ รป เอเชยี หรอื แอฟรกิ า ท�ำให้ในเดอื นกนั ยายน
ค.ศ.1947 ผู้แทนของสหภาพโซเวียตได้ประกาศต่อท่ีประชุมพรรคคอมมิวนิสต์
ทั่วโลกท่ีนครเบลเกรด ประเทศยูโกสลาเวียว่า“โลกได้แบ่งออกเป็นสองค่ายแล้ว
คอื คา่ ยจกั รวรรดนิ ยิ มอเมรกิ นั ผรู้ กุ รานกบั คา่ ยสหภาพโซเวยี ตผรู้ กั สนั ติ และเรยี กรอ้ ง
ให้คอมมิวนิสต์ท่ัวโลกช่วยกันสกัดกั้นและท�ำลายสหรัฐอเมริกา” ถ้อยแถลงของ
ผแู้ ทนสหภาพโซเวยี ตดงั กลา่ ว จงึ ถอื เปน็ การประกาศสงครามเยน็ กบั สหรฐั อเมรกิ า
อยา่ งเปน็ ทางการ
เพอ่ื ใหบ้ รรลผุ ลทางทหารตอ่ การจำ� กดั การขยายตวั ของลทั ธคิ อมมวิ นสิ ต์
สหรฐั อเมรกิ าและชาตติ า่ งๆ ในยโุ รปตะวนั ตก ไดร้ ว่ มกันจัดตั้งองค์การสนธิสญั ญา
แอตแลนตกิ เหนอื หรอื ทเี่ รยี กยอ่ ๆ วา่ นาโต้ (North Atlantic Treaty Organization:
NATO) ข้ึนเมื่อวันที่ 4 เมษายน ค.ศ.1949 ซ่ึงเป็นไปตามนโยบายท่ีเรียกว่า
“ความมนั่ คงรว่ ม” (Collective Security) อนั หมายถงึ ชาตติ า่ งๆ ในยโุ รปตะวนั ตก
จะแสวงหาวธิ กี ารเพอ่ื ปอ้ งกนั ตวั เองรว่ มกนั สตาลนิ ไดต้ อบโตด้ ว้ ยการสรา้ งพนั ธมติ ร
ทางทหารของกลุ่มประเทศในยุโรปตะวันออกที่เรียกว่า “องค์การสนธิสัญญา
วอรซ์ อ” (Warsaw Pact) ขน้ึ เมื่อวันท่ี 14 พฤษภาคม ค.ศ.1955 เพ่อื ตอบโต้และ
คานอำ� นาจกบั องคก์ ารนาโตข้ องฝา่ ยสหรฐั อเมรกิ าและกลมุ่ ประเทศยโุ รปตะวนั ตก
หากเปรยี บเทยี บกำ� ลงั ทหารของทงั้ สองฝา่ ยในขณะนน้ั แลว้ กองทพั ของฝา่ ยองคก์ าร
165
สนธิสัญญาวอร์ซอมีขนาดใหญ่กว่ากองทัพของฝ่ายองค์การนาโต้ แต่กองทัพ
ของฝ่ายองค์การนาโต้มีความเหนือกว่าด้านเทคโนโลยี โดยท่ัวไปแล้วกองทัพของ
องคก์ ารสนธสิ ญั ญาวอรซ์ อ ประกอบดว้ ยทหารทไ่ี ดร้ บั การฝกึ และมอี าวธุ ประจำ� การตาม
มาตรฐานของกองทพั สหภาพโซเวยี ต โดยมที หารของกองทพั แดงของสหภาพโซเวยี ต
พรอ้ มให้การสนบั สนนุ อยขู่ า้ งหลงั ตลอดเวลา อีกท้ังในบางพน้ื ที่กองทพั ของทง้ั ฝา่ ย
องคก์ ารนาโตก้ บั ฝา่ ยองคก์ ารสนธสิ ญั ญาวอรซ์ อกต็ ง้ั อยหู่ า่ งกนั แคไ่ มก่ ก่ี า้ วเทา่ นน้ั
ยุทธศาสตร์ท่ีอยู่เบ้ืองหลังของการจัดต้ังองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอ
จงึ เปน็ ไปตามความปรารถนาของสหภาพโซเวยี ตทตี่ อ้ งการดำ� รงอทิ ธพิ ลเหนอื ประเทศ
ในยโุ รปตะวนั ออกและยโุ รปกลางเอาไว้ นโยบายนมี้ รี ากฐานมาจากอดุ มการณแ์ ละ
เหตุผลทางดา้ นภมู ิยทุ ธศาสตร์ ในทางอุดมการณส์ หภาพโซเวียตอา้ งสทิ ธิใ์ นการให้
ค�ำจ�ำกัดความของค�ำว่า “สังคมนิยม” (Socialism) และ “ลัทธิคอมมิวนิสต์”
(Communism) รวมท้ังการกระท�ำในฐานะผู้น�ำของการเคลอื่ นไหวทางสงั คมนยิ ม
ของโลก ผลทเี่ กดิ ขนึ้ ตามมาจากแนวคดิ นกี้ ค็ อื ความจำ� เปน็ ในการแทรกแซง หากมี
ประเทศใดประเทศหน่งึ ละเมดิ ตอ่ แนวคดิ หลักของสังคมนยิ มและพนั ธกจิ ของพรรค
คอมมิวนิสต์ซึ่งได้กล่าวไว้อย่างชัดเจนในนโยบายของเบรสเนฟ (Brezhnev
Doctrine) สำ� หรบั หลกั การดา้ นภมู ยิ ทุ ธศาสตรน์ น้ั สหภาพโซเวยี ตเปน็ ผขู้ บั เคลอื่ น
หลักการนี้เพ่ือป้องกันการรุกรานของกลุ่มประเทศมหาอ�ำนาจในยุโรปตะวันตกซ่ึง
ได้เคยเกิดข้ึนมาแล้วจากการรุกรานของนาซีเยอรมนีในปี ค.ศ.1941 โดยฮิตเลอร์
เปน็ ผสู้ งั่ ใหร้ กุ รานสหภาพโซเวยี ตอยา่ งรนุ แรง ทำ� ใหส้ หภาพโซเวยี ตตอ้ งประสบกบั
การสญู เสยี อยา่ งหนกั โดยคาดวา่ ทหารและพลเรอื นของสหภาพโซเวยี ตตอ้ งเสยี ชวี ติ
จากการรุกรานดังกล่าวของเยอรมนีถึง 27 ล้านคน รวมท้ังได้สร้างความเสียหาย
ให้กับขดี ความสามารถด้านอตุ สาหกรรมของสหภาพโซเวียตเปน็ อยา่ งมาก
สงครามเยน็ ไดด้ ำ� เนนิ อยนู่ าน 45 ปี (ค.ศ.1947-1991) สหภาพโซเวยี ต
ก็ต้องมีอันล่มสลายลงในปี ค.ศ.1991 ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางอุดมการณ์และ
การแขง่ ขนั เพอื่ กำ� ลงั อำ� นาจของประเทศมหาอำ� นาจทงั้ สองซง่ึ ตอ้ งการเปน็ ผนู้ ำ� โลก
เริ่มเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะท่ีลดความรุนแรงลง ส่ิงบอกเหตุของการสิ้นสุด
166
ของสงครามเยน็ เรม่ิ ตงั้ แตป่ ี ค.ศ.1960 เปน็ ตน้ มา เมอื่ เกดิ การเปลย่ี นแปลงทางการเมอื ง
ระหวา่ งประเทศทสี่ ำ� คญั 2ประการคอื 1)การดำ� เนนิ นโยบาย“การอยรู่ ว่ มกนั อยา่ งสนั ต”ิ
(Peaceful Co-existence) ของประธานาธิบดีครุชชอฟ (Nikita Khrushchev)
ของสหภาพโซเวียต เนื่องจากเกรงว่าอ�ำนาจนิวเคลียร์ที่สหภาพโซเวียตและ
สหรฐั อเมรกิ ามเี ทา่ เทยี มกนั อาจถกู นำ� ไปใชใ้ นกรณที เี่ กดิ ความตงึ เครยี ดอยา่ งรนุ แรง
ระหวา่ งมหาอำ� นาจทงั้ สอง นอกจากน้ี ครชุ ชอฟยงั เชอื่ วา่ ประเทศทมี่ ลี ทั ธกิ ารเมอื ง
และลัทธิเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน ก็สามารถติดต่อค้าขายและมีความสัมพันธ์
ทดี่ ตี อ่ กนั ได้ โดยไม่เข้าไปยุ่งเก่ียวในกิจการภายในของกันและกัน ดังนั้น การต่อสู้
ระหว่างค่ายเสรีประชาธิปไตยกับค่ายคอมมิวนิสต์ก็อาจเอาชนะกันได้โดย
ไม่จ�ำเป็นต้องใช้ก�ำลัง76อย่างไรก็ตาม หลักการอยู่ร่วมกันโดยสันติของสหภาพ
โซเวยี ตดเู หมอื นวา่ เปน็ เพยี งแตก่ ารปรบั เปลยี่ นจากการมงุ่ ขยายอทิ ธพิ ลดว้ ยสงคราม
อยา่ งเปดิ เผยไปเปน็ สงครามภายในประเทศและการบอ่ นทำ� ลายฝา่ ยตรงขา้ มเท่าน้ัน
ฉะน้ัน นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาและสหภาพโซเวียต
ตา่ งกใ็ ช้วิธีการทุกอยา่ งทงั้ ดา้ นการเมือง การทหาร เศรษฐกิจ และสังคมจติ วทิ ยา
เพ่ือแข่งขันกันสร้างความนิยม แสวงหาการสนับสนุน และด�ำรงอิทธิพลเหนือ
ภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยหลีกเลี่ยงการใช้อาวุธและการประจันหน้ากันโดยตรง
และ 2) ความแตกแยกในค่ายคอมมิวนิสต์ระหว่างสหภาพโซเวียตกับสาธารณรัฐ
ประชาชนจนี ซงึ่ เรมิ่ ปรากฏมาตง้ั แตป่ ี ค.ศ.1960 เปน็ ตน้ มา77 เมอ่ื จนี สามารถทดลอง
ระเบดิ ปรมาณไู ดส้ ำ� เรจ็ และกลายเปน็ ประเทศมหาอำ� นาจนวิ เคลยี รใ์ นปี ค.ศ.1964
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศทง้ั สองกเ็ สอ่ื มโทรมลงจนถงึ ขนึ้ ปะทะกนั ดว้ ยกำ� ลงั ใน
ปี ค.ศ.1969 หลงั จากนนั้ ความขดั แย้งทางดา้ นอดุ มการณแ์ ละการแข่งขนั กนั เป็น
ผนู้ ำ� โลกคอมมวิ นสิ ตร์ ะหวา่ งจนี กบั สหภาพโซเวยี ต มผี ลทำ� ใหค้ วามเขม้ แขง็ ของโลก
คอมมิวนิสต์ลดน้อยลง และมีส่วนผลักดันให้จีนเปล่ียนแปลงนโยบายต่างประเทศ
ไปสกู่ ารปรับความสมั พันธ์ท่ีดกี บั สหรัฐอเมริกาในทีส่ ุด
167
ตั้งแต่ปี ค.ศ.1970 เป็นต้นมา ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
มหาอ�ำนาจเริ่มคืนสู่สภาวะปกติ โดยใช้วิธีการหันหน้ามาเจรจาปรับความเข้าใจ
ระหวา่ งกนั ด�ำเนินนโยบายทเี่ ออื้ ต่อผลประโยชน์ และความมั่นคงของประเทศตน
ระยะนจี้ งึ ถกู เรยี กวา่ “ยคุ แหง่ การเจรจา” (Era of Negotiation) หรอื “การผอ่ นคลาย
ความตงึ เครยี ด” (Detente) โดยเรม่ิ จากสหรฐั อเมรกิ าภายใตก้ ารนำ� ของประธานาธบิ ดี
รชิ าร์ด นกิ สัน (Richard M. Nixon) ซง่ึ เป็นผ้ปู รบั นโยบายจากการเผชญิ หน้ากบั
สหภาพโซเวียต มาเป็นการลดความตึงเครียดในความสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากน้ี
ยงั ไดเ้ ปดิ การเจรจาโดยตรงกบั สาธารณรฐั ประชาชนจนี ดว้ ย เพราะนกิ สนั ไดต้ ระหนกั
แลว้ วา่ จนี ไดก้ ลายเปน็ มหาอำ� นาจนวิ เคลยี รอ์ กี ชาตหิ นงึ่ และกำ� ลงั จะมบี ทบาทมากขนึ้
ในประเทศด้อยพัฒนา และประเทศที่เพ่ิงเกิดใหม่ท้ังในทวีปเอเชีย แอฟริกา
ลาตินอเมริกา และยุโรป ดังนั้น ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1971 สหรัฐอเมริกา
ไดส้ ง่ นายเฮนรคี สิ ซนิ เจอร์ (Henry A. Kissinger) ทป่ี รกึ ษาดา้ นความมนั่ คงแหง่ ชาติ
เดนิ ทางไปกรุงปักก่ิงอย่างลับๆ เพื่อหาลู่ทางในการเจรจาปรับความสัมพันธ์กับจีน
ซึ่งน�ำไปสู่การเยือนปักกิ่งของประธานาธิบดีนิกสันในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1972
และไดร้ ว่ มลงนามใน “แถลงการณเ์ ซย่ี งไฮ”้ (Shanghai Joint Communique) กบั
นายกรฐั มนตรีโจว เอนิ ไหล ซงึ่ มสี าระทส่ี �ำคญั คอื สหรัฐอเมรกิ ายอมรบั ว่า รฐั บาล
สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นรัฐบาลที่ชอบธรรมเพียงรัฐบาลเดียว และไต้หวัน
ถอื เปน็ สว่ นหนงึ่ ของจนี 78 จากนน้ั มาทง้ั สองประเทศไดส้ ถาปนาความสมั พนั ธท์ างการทตู
ต่อกันในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ.1979 ในด้านสหภาพโซเวียตนั้น สหรัฐอเมริกา
ได้พยายามปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างกันในลักษณะท่ีต้องการผ่อนคลาย
ความตงึ เครยี ดระหวา่ งสองประเทศ เหน็ ไดจ้ ากการเปดิ การเจรจาจำ� กดั อาวธุ ยทุ ธศาสตร์
ครั้งแรกท่ีกรุงเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ท่ีเรียกว่า “SALT” (Strategic Arms
Limitation Talks) ในปี ค.ศ.1972 ซ่ึงถือเป็นความรเิ รม่ิ ทจี่ ะทำ� ใหเ้ กดิ ความรว่ มมอื
และสันติภาพระหว่างสองประเทศในปีเดียวกันประธานาธิบดีนิกสันได้เดินทาง
ไปเยือนสหภาพโซเวียตส่วนเบรสเนฟ (LeonidIlyich Brezhnev) เลขาธิการ
168
พรรคคอมมวิ นสิ ตข์ องสหภาพโซเวยี ตกไ็ ดเ้ ดนิ ทางไปเยอื นสหรฐั อเมรกิ าในปี ค.ศ.1973
ต่อมาทั้งสองประเทศได้ร่วมเจรจาและลงนามในสนธสิ ญั ญาจำ� กดั อาวธุ ยทุ ธศาสตร์
ฉบบั ที่ 2 (SALT-II) ทก่ี รงุ เวยี นนา ประเทศออสเตรยี ในวนั ที่ 18 มถิ นุ ายน ค.ศ.1979
ซง่ึ มผี ลทำ� ใหท้ งั้ สองประเทศมสี ถานะทดั เทยี มกนั ทง้ั ทางการเมอื งและแสนยานภุ าพ
ทางทหารอย่างไรก็ตามแม้ว่าสหภาพโซเวียตจะยอมร่วมมือกับสหรัฐอเมริกา
ในบางกรณีท่ีเป็นผลประโยชน์ของตน แต่สหภาพโซเวียตก็ยังคงด�ำเนินนโยบาย
แผ่ขยายอ�ำนาจและอิทธิพลของตนเข้าไปในดินแดนต่างๆ ท่ัวโลก แต่ได้เพ่ิม
ความระมัดระวังไม่ให้เกิดกระทบกระทั่งกัน อันจะน�ำไปสู่การท�ำลายสภาพ
การผอ่ นคลายความตงึ เครยี ดดงั กลา่ ว ซง่ึ อาจสง่ ผลใหเ้ กดิ ความขดั แยง้ และสงครามไดง้ า่ ย
เนื่องจากสงครามเย็นไม่ใช่สงครามท่ีจับอาวุธมาเผชิญหน้าห�้ำ
ห่ันกันเหมอื นสงครามทว่ั ไป หากแตใ่ ชก้ ลวธิ ตี า่ งๆ เพอื่ ตอบโตฝ้ า่ ยตรงขา้ ม ไดแ้ ก่
1) การโฆษณาชวนเช่ือ (Propaganda) เพื่อสร้างความรู้สึกและทัศนะท่ีดีเก่ียวกับ
ประเทศของตน โดยใชค้ ำ� พดู สง่ิ ตพี มิ พ์ และการเผยแพรเ่ อกสารตา่ งๆ ทเี่ กยี่ วกบั
การดำ� เนนิ ชวี ติ และวัฒนธรรมของประชาชนในประเทศของตน และแสดงให้เห็น
ว่าฝ่ายตนเป็นฝ่ายท่ีรักความยุติธรรม รักเสรีภาพและสันติภาพ ในขณะเดียวกัน
ก็ประณามฝ่ายตรงข้ามว่าเป็นฝ่ายรุกราน และเป็นจักรวรรดินิยม 2) การแข่งขัน
ทางดา้ นอาวธุ โดยสหรฐั อเมรกิ าและสหภาพโซเวยี ต ตา่ งพยายามแขง่ ขนั กนั สรา้ งเสรมิ
ก�ำลังอาวุธท่ีมีอานุภาพร้ายแรงไว้ในครอบครองให้มากที่สุด จนกระท่ังต่างฝ่าย
ต่างมีจ�ำนวนอาวุธยุทธศาสตร์ในปริมาณและสมรรถนะที่เกินความต้องการ ท�ำให้
นานาประเทศรวมทงั้ องคก์ ารสหประชาชาติ พยายามใหท้ ้งั สองฝ่ายบรรลขุ ้อตกลง
ในเรื่องการจำ� กดั การสรา้ งและการเผยแพรอ่ าวธุ ตลอดมา แตก่ ไ็ มไ่ ดผ้ ลเทา่ ทคี่ วร และ
3) กำ� ลงั รบนวิ เคลยี รท์ างยทุ ธศาสตร์ (Strategic Nuclear Forces) ทงั้ สหรฐั อเมรกิ า
และสหภาพโซเวียตมีสมรรถนะด้านอาวุธนิวเคลียร์ท่ีทัดเทียมกัน และเหนือกว่า
ประเทศอนื่ ๆในโลกนอกจากน้ีอภมิ หาอำ� นาจทงั้ สองยงั มขี ปี นาวธุ ขา้ มทวปี ชนดิ ทยี่ งิ จาก
พนื้ ไปสอู่ วกาศและตกกลับสพู่ ้ืน ณ เป้าหมายท่ีก�ำหนดได้ เชน่ ขีปนาวธุ ขา้ มทวีป
(Inter Continental Ballistic Missiles: ICBM) ขปี นาวุธยงิ จากเรอื ด�ำน�ำ้ พลังงาน
169
นิวเคลยี ร์ (Submarine-Launched Ballistic Missile: SLBM) และเคร่ืองบินทงิ้
ระเบิดทางยุทธศาสตร์ (Strategic Bomber) รวมถึงการแข่งขันกันคิดค้นระบบ
การป้องกันขีปนาวุธจากฐานปฏิบัติการในอวกาศท่ีมีช่ือเรียกอย่างเป็นทางการว่า
“โครงการปอ้ งกนั ทางยทุ ธศาสตร์ (Strategic Defense Initiative: SDI) หรอื ทร่ี จู้ กั
กันดีในนามของโครงการ “สตาร์วอร์” (Star Wars) น่ันเอง79
ประเทศผลู้ งนามจดั ตง้ั องคก์ ารสนธสิ ญั ญาวอรซ์ อ ประกอบดว้ ย 8 ชาติ
คอื สหภาพโซเวยี ต อลั บาเนยี โปแลนด์ เชโกสโลวาเกยี บลั แกเรยี โรมาเนยี ฮงั การี
และสาธารณรฐั ประชาธปิ ไตยเยอรมนี (เยอรมนตี ะวนั ออก) แมว้ า่ สมาชกิ ขององคก์ าร
สนธิสัญญาวอร์ซอได้ให้ค�ำมั่นว่าจะปกป้องกันและกันหากสมาชิกชาติใดชาติหนึ่ง
ถูกโจมตี และเน้นย�้ำในเรื่องการไม่แทรกแซงกิจการภายในระหว่างสมาชิกและ
การตัดสินใจร่วมกัน แต่ท้ายท่ีสุดแล้วการตัดสินใจส่วนใหญ่ก็มักอยู่ภายใต้
การควบคุมของสหภาพโซเวียต นอกจากน้ีแล้ว สหภาพโซเวียตยังได้ใช้องค์การน้ี
เพอ่ื ลดความขดั แยง้ ของประชาชนในชาตบิ รวิ ารในยโุ รป เชน่ ฮงั การี ในปี ค.ศ.1956
เชคโกสโลวาเกยี ในปี ค.ศ.1968 และโปแลนด์ ในปี ค.ศ.1981 อยา่ งไรกต็ าม ในชว่ ง
ตน้ ทศวรรษ 1980 บรรดาประเทศตา่ งๆ ขององคก์ ารสนธสิ ญั ญาวอรซ์ อตอ้ งประสบ
กบั ปญั หาเศรษฐกจิ เสอ่ื มถอย ทำ� ใหใ้ นชว่ งปลายทศวรรษ 1980 ไดเ้ กดิ การเปลยี่ นแปลง
ทางการเมืองคร้ังส�ำคัญในประเทศสมาชิกเกือบทั้งหมด เป็นเหตุให้การด�ำรงอยู่
ในองค์การสนธิสัญญาวอร์ซอแทบไม่มีประโยชน์อะไรเลย เม่ือเยอรมนีตะวันออก
ต้องออกจากองค์การเพื่อเตรียมรวมชาติกับเยอรมนีตะวันตกในเดือนกันยายน
ค.ศ.1990 สง่ ผลให้ทัง้ เชโกสโลวาเกีย ฮังการี และโปแลนด์ ไดป้ ระกาศถอนตวั ออก
จากการฝกึ รว่ มทางทหารขององคก์ ารในเดอื นตลุ าคม ค.ศ.1990 ทา้ ยทส่ี ดุ องคก์ าร
สนธิสัญญาวอร์ซอก็ได้ประกาศสลายตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม
ค.ศ.1991 ภายหลงั จากการลม่ สลายของสหภาพโซเวียตและสน้ิ สดุ ยคุ สงครามเยน็
โดยอดีตประเทศสมาชิกสนธิสัญญาวอร์ซอส่วนใหญ่ได้หันไปเข้าร่วมกับองค์การ
สนธสิ ัญญาแอตแลนตกิ เหนือหรอื นาโตแ้ ทน
170
ภาพที่ 3-15 การขยายตัวขององค์การนาโต
อย่างไรก็ตาม หลังยุคสงครามเย็น แม้สหภาพโซเวียตและองค์การ
สนธสิ ญั ญาวอรซ์ อซงึ่ เปน็ ภยั คกุ คามหลกั ขององคก์ ารนาโตไดล้ ม่ สลายไปแลว้ แตอ่ งคก์ าร
นาโตก้ ย็ งั คงดำ� รงอยเู่ ชน่ เดมิ และดเู หมอื นวา่ องคก์ ารนาโตจ้ ะยงั คงดำ� รงยทุ ธศาสตร์
ปิดล้อมเพ่ือโดดเด่ียวรัสเซีย ซ่ึงเป็นอดีตผู้น�ำหลักของสหภาพโซเวียตและองค์การ
สนธิสัญญาวอร์ซออยู่ต่อไป เร่ิมจากการที่องค์การนาโต้ได้เดินหน้าขยายองค์การ
เข้ามาในยุโรปตะวันออกใกล้กับรัสเซียมากข้ึน ก่อให้เกิดเสียงประณามอย่างหนัก
จากรสั เซยี วา่ เปน็ “ความผดิ พลาดอยา่ งรา้ ยแรง”80 ทอ่ี าจกอ่ ใหเ้ กดิ สงครามครง้ั ใหมข่ นึ้
แมว้ า่ องคก์ ารนาโตก้ บั รสั เซยี ไดบ้ รรลขุ อ้ ตกลงในการประชมุ ทก่ี รงุ ปารสี ประเทศฝรง่ั เศส
วา่ ดว้ ยเรอื่ งการใหอ้ งคก์ ารนาโตส้ ามารถพจิ ารณารบั ประเทศอดตี สมาชกิ และรฐั บรวิ าร
ของสหภาพโซเวยี ตเขา้ มาเปน็ สมาชกิ ไดก้ ต็ าม ทำ� ใหใ้ นวนั ที่ 12 มนี าคม ค.ศ.1999
สาธารณรัฐเช็ก โปแลนด์ และฮังการี อดีตประเทศบริวารของสหภาพโซเวียต
ไดร้ บั อนมุ ตั ใิ หเ้ ขา้ เปน็ สมาชกิ ใหมข่ ององคก์ ารนาโต ตามตดิ มาดว้ ย เอสโตเนยี ลตั เวยี
ลทิ วั เนยี บลั แกเรยี โรมาเนยี สโลวาเกยี และสโลวเี นยี ในวนั ที่ 29 มนี าคม ค.ศ.2004
รับสมาชิกใหม่อีก 2 ประเทศ คือ อัลบาเนีย และโครเอเชีย เมื่อเดือน เมษายน
ค.ศ.2009 และล่าสุดก็รับมอนเตเนโกร เข้าเป็นสมาชิกใหม่เมื่อวันท่ี 5 มิถุนายน
ค.ศ.2017 ท�ำใหป้ จั จุบนั องค์การนาโตมีสมาชิกรวมกนั ท้ังสิน้ 29 ประเทศแล้ว
171
สถานการณ์ที่ท�ำให้ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียกับโลกตะวันตก
มีความมึนตึงมากท่ีสุดนับต้ังแต่หลังยุคสงครามเย็น เร่ิมจากองค์การนาโตส่งก�ำลัง
ทหารเขา้ ไปประจำ� การในโปแลนดแ์ ละในหลายประเทศแถบทะเลบอลตกิ ซง่ึ รสั เซยี
มองวา่ เปน็ ความพยายามเสรมิ กำ� ลงั ทหารเขา้ มาประชดิ พรมแดนรสั เซยี โดยตรงตาม
ยทุ ธศาสตรป์ ดิ ลอ้ มรสั เซยี และยงั ตดิ ตงั้ ระบบปอ้ งกนั ขปี นาวธุ ในยโุ รปกลาง ซงึ่ รสั เซยี
มองวา่ แผนการตดิ ตงั้ ระบบปอ้ งกนั ขปี นาวธุ ดงั กลา่ วมเี ปา้ หมายทคี่ กุ คามตอ่ รสั เซยี
โดยตรง แลว้ ฟางเสน้ สดุ ทา้ ยทท่ี ำ� ใหร้ สั เซยี หมดความอดทนกค็ อื การทสี่ หภาพยโุ รป
(EU) ไดร้ กุ คบื เตรยี มดงึ ยเู ครนมาเขา้ เปน็ พวก โดยผา่ นขอ้ ตกลงความรว่ มมอื ทางการเมอื ง
และการคา้ เหตกุ ารณน์ น้ี ำ� ไปสกู่ ารโคน่ อำ� นาจของนายวคิ เตอร์ ยาคโู นวชิ (Viktor
Yanukovych) ประธานาธิบดียูเครนท่ีฝักใฝ่รัสเซีย และเกิดสงครามแบ่งแยก
ดินแดนในยูเครนในปี ค.ศ.2014 จนกระทั่งรัสเซียได้ตัดสินใจส่งก�ำลังทหาร
เขา้ ยดึ ครองดนิ แดนไครเมยี ของยเู ครน และจดั ใหม้ กี ารแสดงประชามตอิ ยา่ งเรง่ รบี
ต่อมารัฐสภาไครเมียได้ประกาศอิสรภาพจากยูเครนอย่างเป็นทางการ และขอเข้า
เปน็ สว่ นหนงึ่ ของสหพนั ธรฐั รสั เซยี อยา่ งเตม็ ตวั ในวนั ที่ 17 มนี าคม ค.ศ.2014 ในขณะท่ี
รสั เซยี กไ็ ดป้ ระกาศรบั รองเอกราชของไครเมยี ในวนั เดยี วกนั แมว้ า่ องคก์ ารสหประชาชาติ
จะจัดให้มีการประชุมหารือเร่งด่วนและกล่าววิพากษ์วิจารณ์สถานการณ์ในยูเครน
และประณามรัสเซียว่าเป็นผู้ท�ำลายสันติภาพและละเมิดกฎบัตรสหประชาชาติ
แต่รัสเซียก็ไม่น�ำพาต่อข้อเรียกร้องให้ถอนก�ำลังทหารออกจากไครเมียของยูเครน
ในขณะทีส่ ถานการณ์ในพนื้ ที่ก็คอ่ นขา้ งเปราะบาง เน่อื งจากเกดิ การเผชิญหนา้ กนั
ระหวา่ งทหารรสั เซยี และยเู ครนอยบู่ อ่ ยครงั้ แตด่ ว้ ยสถานภาพของยเู ครนทไ่ี มไ่ ดเ้ ปน็
สมาชกิ ขององคก์ ารนาโต้ ทำ� ใหส้ หรฐั อเมรกิ าและยโุ รป ไมม่ พี นั ธะในการแทรกแซง
ยูเครนด้วยก�ำลังทหารได้ แม้ว่ารัฐสภาของยูเครนจะได้ประกาศยกเลิกสถานะ
“ประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด” ของยูเครนเม่ือวันท่ี 23 ธันวาคม ค.ศ.2014 ซึ่งเป็น
การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ว่ายูเครนจะเข้าเป็นสมาชิกใหม่ขององค์การนาโต
ไดใ้ นอนาคต81แลว้ กต็ าม
172
สง่ิ ทอี่ งคก์ ารนาโตส้ ามารถกระทำ� ไดใ้ นปจั จบุ นั กค็ อื การเนน้ ยำ�้ ใหท้ งั้ สองฝา่ ย
แกป้ ญั หาดว้ ยวธิ ที างการเมอื งโดยสนบั สนนุ ใหท้ ง้ั สองฝา่ ยใชว้ ธิ กี ารเจรจา ในขณะเดยี วกนั
ส่ิงที่ประเทศในโลกตะวันตกได้ตอบโต้ต่อการรุกรานของรัสเซียเข้าไปในยูเครน
ในขณะนก้ี ค็ อื การกำ� หนดมาตรการควำ่� บาตรทางเศรษฐกจิ ต่อรัสเซยี เพอื่ ใช้กดดัน
ใหร้ สั เซยี ยอมวางมอื จากไครเมยี ซงึ่ สง่ ผลใหภ้ าวะเศรษฐกจิ ของรสั เซยี ทง้ั ในตลาดหนุ้
และตลาดทุน โดยเฉพาะดัชนีในตลาดหุ้นของรัสเซียได้ดิ่งลงอย่างต่อเน่ือง และ
มูลค่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ของรัสเซียได้สูญหายไปหลายหม่ืนล้านดอลลาร์
สหรฐั แลว้ สว่ นในตลาดทนุ กไ็ ดร้ บั ผลกระทบเชน่ เดยี วกนั เมอื่ คา่ เงนิ รเู บลิ ของรสั เซยี
ได้ปรับตัวลดลงและอ่อนค่าลงสู่ระดับต่�ำสุดมากเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับ
ค่าเงินดอลลารส์ หรัฐและเงนิ ยูโร เป็นเหตใุ ห้ธนาคารกลางของรสั เซยี ต้องตดั สินใจ
ขนึ้ อตั ราดอกเบยี้ อยา่ งไรกต็ าม รสั เซยี กย็ งั เมนิ เฉยและไมแ่ สดงอาการสะทกสะทา้ นตอ่
มาตรการดงั กลา่ วแตอ่ ยา่ งใด ดว้ ยรสั เซยี มองวา่ มาตรการควำ�่ บาตรของชาตติ ะวนั ตก
เป็นเพียงการข่มขู่ในช่วงเวลาสั้นๆ ซ่ึงไม่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจรัสเซียมากนัก
ในขณะเดยี วกนั ผลพวงจากการควำ่� บาตรดงั กลา่ วกจ็ ะยอ้ นกลบั ไปทำ� ลายเศรษฐกจิ
ของชาตติ ะวนั ตกเสียเองในที่สดุ เนอ่ื งจากชาตติ ะวนั ตกเองกต็ อ้ งพงึ่ พากา๊ ซธรรมชาติ
จากรสั เซยี ไปยงั ชาตติ า่ งๆ ในยโุ รปตะวนั ตกเชน่ กนั แน่นอนทีส่ ดุ สำ� หรบั สหรัฐอเมริกา
และประเทศในยโุ รปตะวนั ตกแลว้ ยอ่ มยากทจ่ี ะทำ� ใจยอมรบั วา่ ไครเมยี เปน็ สว่ นหนง่ึ
ของรัสเซยี แตน่ คี่ ือความจริงทเ่ี ปล่ียนแปลงอะไรไมไ่ ดอ้ กี แลว้ แตใ่ ช่วา่ เหตุการณน์ ้ี
ไดเ้ ดนิ ทางมาถงึ จดุ จบแลว้ กห็ าไม่ ดว้ ยความขดั แยง้ ระหวา่ งชาตมิ หาอำ� นาจเหลา่ น้ี
จะยงั คงมอี ยอู่ กี ตอ่ ไป จนกวา่ ทงั้ สองฝา่ ยจะสามารถหาดลุ แหง่ อำ� นาจอนั เปน็ ทพ่ี งึ พอใจ
แก่ทกุ ฝา่ ยได้แลว้ นัน่ เอง
173
6. สรุป
โดยทว่ั ไปแลว้ ยทุ ธศาสตรม์ กั เกย่ี วขอ้ งกบั การทหารเสมอ ในสงั คมดงั้ เดมิ
กษัตริย์หรือผู้น�ำทางการเมืองมักเป็นบุคคลคนเดียวกันกับผู้น�ำทางทหาร ท�ำให้
ช่องว่างการติดต่อสื่อสารระหว่างผู้น�ำทางการเมืองกับผู้น�ำทางทหารมีขนาดเล็ก
แตเ่ มอ่ื แนวคดิ วา่ ดว้ ยกองทพั มอื อาชพี (Professional Army) ไดร้ บั ความนยิ มมากขน้ึ
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งนกั การเมอื งกบั ทหารจงึ ไดร้ บั การตระหนกั ถงึ ความสำ� คญั มากขนึ้
ในท้ายท่ีสุดนักวิชาการทหารต่างก็เห็นความจ�ำเป็นท่ีจะต้องแยกหน้าท่ีและความ
รับผิดชอบของนักการเมืองออกจากทหารอย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุนี้ ภาระดา้ น
การทำ� สงครามจงึ มไิ ดต้ กอยกู่ บั ทหารแตเ่ พยี งฝา่ ยเดยี ว แตจ่ ะรวมถงึ การใชพ้ ลงั อำ� นาจ
ของชาติอ่ืนๆ ด้วย ดังน้ัน แนวคิดเกี่ยวกับมหายุทธศาสตร์ในการท�ำสงคราม
ทเี่ หนอื กวา่ ระดบั ยทุ ธศาสตรจ์ งึ ถอื กำ� เนดิ ขนึ้ เพอื่ ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื ในการบรหิ ารจดั การ
ทรพั ยากรทงั้ หมดของชาตใิ นการทำ� สงครามทมี่ คี วามสลบั ซบั ซอ้ นมากยง่ิ ขนึ้ ในปจั จบุ นั
ท้ายท่ีสุดแล้ว แม้ยุคสมัยจะเปลี่ยนไป แต่แนวคิดทางยุทธศาสตร์หลายๆ อย่าง
ก็ยังคงอยู่ร่วมสมัย ดังเช่นอมตะวาจาของซุนวูที่เคยกล่าวไว้ว่า “การเอาชนะศัตรู
โดยท่ีไม่ต้องรบ ถือเป็นสุดยอดของยุทธศาสตร์การรบ” ก็ยังคงเป็นแนวคิด
ทมี่ ไิ ดล้ า้ สมยั และเปน็ หลกั คดิ ใหน้ กั ยทุ ธศาสตรไ์ ดพ้ จิ ารณาประยกุ ตใ์ ชใ้ หเ้ หมาะสม
กับสถานการณไ์ ด้เสมอ
174
อา้ งอิงทา้ ยบท
1 Henry George Liddell & Robert Scott, A Greek-English Lexicon, Michigan:
University of Michigan Library, 2005.
2 Ibid.
3 Ibid.
4 Lynn White, Jr., Medieval Technology and Social Change, Oxford University
Press, 1964.
5 Beatrice Heuser, The Evolution of Strategy: Thinking War from Antiquity
to the Present, Cambridge University Press, 2010, p.4f.
6 Henry Mintzberg, Pattern in Strategy Formation, Management Science,
Vol.24, No.9, May 1978.
7 Max McKeown, The Strategy Book, Financial Times, Prentice Hall, 2011.
8 Scott Sigmund Gartner, Strategic Assessment in War, Yale University Press,
1999, p.163.
9 Maurice Matloff (ed.), American Military History: 1775-1902, volume
1, Combined Books, 1996, p.11.
10 Anthony Wilden, Man and Woman, War and Peace: The Strategist's
Companion, Routledge, 1987, p.235.
11 B.H. Liddell Hart, Strategy, London: Faber, 1967, p.321.
12 พจน์ พงศ์สวุ รรณ, พลตร,ี หลกั ยทุ ธศาสตร์, กรุงเทพฯ : โอ เอส พร้นิ ติง้ เฮาส,์ 2536,
หนา้ 4-5.
13 Sun Tzu, The Sun Tzu Art of War, Translation and Commentary by Lionel
Giles, http://www.molossia.org/milacademy/suntext3.html, retrieved on
23 December 2014.
14 Emachiavelli.com, A summary of Machiavelli, his life, and The Prince,
http://www.emachiavelli.com/Prince%20and%20Mach%20summary.htm,
retrieved on 23 December 2014.
175
15 USA CGSC, Fort Leavenworth, Historic Precedent, Strategic Concept, 1976,
p.1-1, อ้างใน พจน์ พงศ์สวุ รรณ, อ้างแลว้ , หนา้ 7-8.
16 Carl von Clausewitz, On War [Vom Krieg], Translated and Edited by Howard,
Michael & Paret, Peter, New Jersey: Princeton University Press, 1984 [1832],
p.87.
17 Anatol Rapoport, Introduction pages 11-82 from On War, London: Penguin,
1968, p.37.
18 Mao Tse-tung, On Protracted War, Selected Military Writing, Peking: Foreign
Language Press, 1963, p.33.
19 พจน์ พงศ์สุวรรณ, อ้างแลว้ , หนา้ 8-10.
20 Geoffrey Till, Sea Power: A Guide for Twenty-First Century, New York:
Routledge, 2013, p.58.
21 พจน์ พงศ์สวุ รรณ, อ้างแล้ว, หนา้ 11-12.
22 H.J. Mackinder, The Geographical Pivot of History, The Geographical
Journal, vol. 24, no. 4, 1904.
23 H.J. Mackinder, The Geographical Pivot of History, in Democratic Ideals
and Reality, Washington, DC: National Defense University Press, 1996,
p.194.
24 พจน์ พงศส์ ุวรรณ, อา้ งแล้ว, หนา้ 13-15.
25 Karl Haushofer, der deutscher Antile an der geographischen Erschlieβung
Japan und des subjapanischen Erdraums und deren Foderung durch den
Einfluβ von Krieg und Wehrpolitik, Munich University, Dissertation [in
German], 1914.
26 พจน์ พงศส์ ุวรรณ, อ้างแลว้ , หน้า 16-17.
27 Christopher J. Fettweis, Eurasia, the “World Island”: Geopolitics, and
Policymaking in the 21st Century, Parameters, Summer 2000, 14 March
2006, pp.58-71.
28 พจน์ พงศส์ ุวรรณ, อา้ งแลว้ , หน้า 17-19.
176
29 Robert Drews, The end of the Bronze Age: changes in warfare and the
catastrophe ca. 1200 B.C., Princeton University Press, 1995.
30 http://www.nairaland.com/103123/history-military-education-nda-
perspective.
31 เปน็ การรบหลักในสงครามปูนิคคร้งั ที่ 2 ระหว่างฝ่ายคาร์เธจท่ีน�ำโดยฮนั นิบาลกบั ฝ่าย
สาธารณรฐั โรมนั เมอ่ื กำ� ลงั ทง้ั สองฝา่ ยไดเ้ ผชญิ หนา้ กนั ทเ่ี มอื งคานาเอ้ ฝา่ ยกองทพั โรมนั
ใชท้ หารราบหนกั รวมกำ� ลงั เขา้ ตดี ว้ ยรปู ขบวนทล่ี กึ มากกวา่ ปกติ ในขณะทฝี่ า่ ยคารเ์ ธจ
ไดว้ างกำ� ลงั ทหารราบตง้ั รบั การเขา้ ตขี องฝา่ ยโรมนั และใชท้ หารมา้ เขา้ ตโี อบทางปกี ทาง
สองด้าน ทำ� ให้กองทพั โรมันพ่ายแพ้และประสบกับความสญู เสยี อยา่ งหนัก.
32 เป็นการรบท่ีเป็นการยุติสงครามปูนิคคร้ังท่ี 2 ระหว่างฝ่ายโรมันท่ีน�ำโดยสกิปิโอ้
(Scipio) กับฝ่ายคาร์เธจท่ีน�ำโดยฮันนิบาล (Hannibal) แม้กองทัพของฮันนิบาลจะมี
กองทัพช้างและมีจ�ำนวนทหารท่ีมากกว่าฝ่ายโรมัน แต่สกิปิโอ้ได้อาศัยกลยุทธ์ที่ท�ำให้
การเขา้ ตดี ว้ ยกองทพั ชา้ งของฝา่ ยคารเ์ ธจไรผ้ ล และใชก้ ำ� ลงั ทหารมา้ ทม่ี มี ากกวา่ เขา้ โจมตี
ทางปีกขวาต่อก�ำลังทหารม้าที่ไร้ประสบการณ์ของฝ่ายคาร์เธจ ท�ำให้ฝ่ายคาร์เธจ
ตอ้ งพ่ายแพแ้ ละประสบกับความสูญเสยี อย่างหนัก จนไม่สามารถฟ้ืนคืนกองทัพทีเ่ คย'
ยิง่ ใหญไ่ ดอ้ ีกเลย และท้ายทส่ี ดุ ฝ่ายคาร์เธจกจ็ �ำต้องยอมจำ� นนต่อฝา่ ยโรมนั อย่างไม่มี
เง่อื นไขในสงครามปูนคิ ครงั้ ที่ 3
33 การรบทเี่ มอื งเอเดรยี โนเปลิ (Adrianople) บางครงั้ เรยี กวา่ การรบทเี่ มอื งฮาเดรยี โน โพลสิ
(Hadrianopolis) เป็นการรบระหว่างกองทัพโรมันกับกองทัพกบฏโกธิค (Gothic)
เมอื่ วนั ท่ี 9 สงิ หาคม ค.ศ.378 การรบจบลงดว้ ยชยั ชนะอยา่ งทว่ มทน้ ของฝา่ ยโกธคิ และ
จกั รพรรดิวาเลนส์ (Valens) ผู้นำ� ทพั ของฝ่ายโรมัน ตอ้ งสวรรคตในการรบ.
34 การรบที่เมืองเอาส์เตอรล์ ิตซ์ (Austerlitz) หรือเรยี กอีกอย่างหนงึ่ ว่า “การรบของสาม
จักรพรรดิ” (Battle of Three Emperors) เป็นหนง่ึ ในชยั ชนะครัง้ ย่งิ ใหญ่ทีส่ ดุ ของ
นโปเลยี น โดยสามารถท�ำลายกลุม่ ประเทศทต่ี ่อต้านฝร่ังเศสลงได้ เมือ่ วันท่ี 2 ธนั วาคม
ค.ศ.1805 กองทพั ฝรงั่ เศสนำ� โดยจกั รพรรดนิ โปเลยี นที่ 1 สามารถเอาชนะอยา่ งเดด็ ขาด
ต่อกองทัพผสมระหว่างรัสเซียกับออสเตรีย ที่น�ำโดยพระเจ้าซาร์อเล็กซานเดอร์ที่ 1
และจกั รพรรดฟิ รานซสิ ท่ี 2 แหง่ อาณาจกั รโรมนั อนั ศกั ดส์ิ ทิ ธิ์ หลงั จากสรู้ บกนั อยา่ งดเุ ดอื ด
นานเกือบ 9 ช่ัวโมง กองทัพฝร่ังเศสก็สามารถก�ำชัยชนะได้อย่างเด็ดขาด ภายหลัง
177
สงคราม จกั รพรรดฟิ รานซสิ ท่ี 2 จำ� ตอ้ งสละราชบลั ลงั ก์ และจกั รวรรดโิ รมนั อนั ศกั ดสิ์ ทิ ธ์ิ
กต็ อ้ งลม่ สลายลงในปี ค.ศ.1806 แตส่ งครามในครงั้ นี้ ไมไ่ ดก้ อ่ ใหเ้ กดิ สนั ตภิ าพทยี่ าวนาน
เนื่องจากปรัสเซียมีความกังวลต่ออิทธิพลของฝรั่งเศสท่ีเพิ่มมากขึ้นเหนือยุโรปกลาง
ท�ำใหเ้ กิดสงครามพันธมิตรที่ส่ี (Fourth Coalition) ข้ึนต่อมาในปเี ดยี วกันน้นั เอง.
35 Randall G. Bowdish, Military Strategy: Theory and Concepts, a Dissertation
Presented to the Faculty of The Graduate College at the University of
Nebraska In Partial Fulfillment of Requirements For the Degree of Doctor
of Philosophy, University of Nebraska, 2013, pp.205-211.
36 Paul Carroll, Scorched Earth, Hitler Moves East, New York: Ballantine, 1966.
37 State Parties/Signatories Protocol Additional to the Geneva Conventions
of 12 August 1949, and relating to the Protection of Victims of International
Armed Conflicts (Protocol I), 8 June 1977.
38 การหา้ มค้าขาย (embargo) มคี วามหมาย 2 ประการ คอื (1) คำ� ส่ังหา้ มส่งสนิ ค้าออก
ไปยงั ประเทศหน่งึ หรือห้ามน�ำสนิ คา้ เข้าจากประเทศหนงึ่ มายังประเทศหนงึ่ ผสู้ ง่ั หา้ ม
ซ้ือขายกับประเทศนั้นๆ โดยปกติ มักมีสาเหตุมาจากความขัดแย้งทางการเมือง และ
(2) คำ� สง่ั หา้ มนำ� เรอื เขา้ หรอื ออกจากทา่ เรอื โดยปกตมิ กั ใชก้ อ่ นการประกาศสงคราม เชน่
การหา้ มเรอื เขา้ หรอื ออกจากทา่ การหา้ มคา้ ขายระหวา่ งประเทศ หรอื การหา้ มสง่ สนิ คา้
ไปยังประเทศหน่ึง เปน็ ต้น.
39 การคว่�ำบาตร (ในกรอบขององค์การสหประชาชาติ) หมายถึง มาตรการลงโทษท่ี
คณะมนตรคี วามมน่ั คง ใชต้ อ่ ประเทศสมาชกิ ทล่ี ะเมดิ ตอ่ กฎบตั รขององคก์ ารสหประชาชาติ
รวมทงั้ เปน็ ภยั คกุ คามตอ่ สนั ตภิ าพและความมน่ั คงระหวา่ งประเทศ โดยกำ� หนดใหม้ ขี อ้ จำ� กดั
หรอื หา้ มประเทศสมาชกิ อนื่ ๆ ตดิ ตอ่ ในดา้ นตา่ งๆ (เชน่ ดา้ นการคา้ การคมนาคมขนสง่ )
อย่างเป็นทางการกับประเทศนั้นๆ เพ่ือบีบบังคับให้ประเทศน้ัน ปฏิบัติตามข้อมติ
ของคณะมนตรีความมน่ั คงขององคก์ ารสหประชาชาต.ิ
40 ค�ำว่า “การล้อม” (siege) หมายถึง การปฏิบัติการทางทหารอย่างหนึ่งท่ีใช้การล้อม
และตดั แยกปอ้ มปราการหรอื เมอื งใดเมอื งหนง่ึ โดยเฉพาะ เพอ่ื เตรยี มการสำ� หรบั การเขา้
โจมตีต่อไป.
178
41 Anderson L. Guerrero & P.W. Afifi, Close Encounters: Communication in
Relationships, 2nd ed., Los Angeles: Sage Publications, 2007.
42 Jeremy Griffith, The Book of Real Answers to Everything!-Why do people
lie?, The World Transformation Movement, 2011.
43 Jon Latimer, Deception in War, New York: Overlook Press, 2001, pp.6-14.
44 Dictionary.com, Guerrilla, http://dictionary.reference.com/browse/
guerrilla+warfare, retrieved on 4 December 2014.
45 Helen Nicholson, Medieval Warfare: Theory and Practice of War in Europe,
300–1500, Basingstoke: Palgrave Macmillan, 2004.
46 Ibid, p.14.
47 John Gillingham, William the Bastard at War, in Strickland, Matthew, Anglo-
Norman warfare: Studies in Late Anglo-Saxon and Anglo-Norman Military
Organization and Warfare, Woodbridge: The Boydell Press, 1992, p.150.
48 Robert Liddiard, Castles in Context: Power, Symbolism and Landscape,
1066 to 1500, Macclesfield: Windgather Press Ltd, 2005.
49 Timothy May, The Mongol Art of War: Chinggis Khan and the Mongol
Military System, Barnsley, UK: Pen & Sword, 2007.
50 Merriam-Webster, siege, http://www.merriam-webster.com/dictionary/
siege, retrieved on 4 December 2014.
51 Ryan Clow, Psychological Operations: The Need to Understand the
Psychological Plane of Warfare, National Defence and Canadian Armed
Forces, http://www.journal.forces.gc.ca/vo9/no1/05-clow-eng.asp,
retrieved on 9 December 2014.
52 David Nicolle, The Mongol Warlords: Genghis Khan, Kublai Khan, Hulegu,
Tamerlane, 2004, p.21
53 อามรี ์ ตมี ูร์ (Amir Timur) หรอื รจู้ กั กันในนามของทาเมอร์เลน (Tarmerlane) ขุนศึก
ทมี่ เี ช้อื สายผสมระหว่างชาวมองโกลและเตริ ก์ เนอ่ื งจากบรรพบุรุษของอามีร์ ตีมูร์ ได้
179
แต่งงานกับธิดาของจะกะไต ข่าน (Chagatai Khan) ซ่ึงเป็นโอรสของ เจงกีส ข่าน
อามรี ์ ตมี รู ์ เปน็ มสุ ลมิ นกิ ายสหุ นี่ เกดิ เมอ่ื ค.ศ.1336 ทเี่ มอื งคาช (Kash) หรอื เมอื งชาหร์ ซิ บั ส์
(Shahrisabz) ซึ่งอยู่ทางใต้ของเมืองซามาร์คันด์ (Sarmakand) ของประเทศ
อุซเบกิสถานในปัจจุบัน ในระหว่างมีชีวิตเป็นผู้พิชิตดินแดนในเอเชียตะวันตกและ
เอเชียกลาง ส่งผลให้จักรวรรดิตีมูร์ (Timurid Empire) กว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุม
อาณาบรเิ วณตง้ั แตต่ รุ กี ซเี รยี อริ กั คเู วต อหิ รา่ น คาซคั สถาน อฟั กานสิ ถาน อาเซอรไ์ บจาน
จอร์เจีย เติร์กเมนิสถาน อุซเบกิสถาน คีร์กีซสถาน ปากีสถาน บางส่วนของภาค
ตะวันตกเฉียงเหนอื ของอนิ เดีย และดินแดนคชั การ์ ในมณฑลซนิ เจียงของประเทศจนี
ในปจั จบุ นั อยา่ งไรกต็ าม การแผข่ ยายดนิ แดนดงั กลา่ วกอ่ ใหเ้ กดิ การนองเลอื ดและการทำ� ลาย
บ้านเมือง รวมท้ังการเข่นฆ่าผู้คนเป็นจ�ำนวนมาก ท�ำให้อามีร์ ตีมูร์ มีชื่อเสียงท้ัง
ในฐานะนกั รบผู้ย่งิ ใหญ่และผนู้ ำ� ทีโ่ หดเหย้ี ม.
54 Mark Wheelis, Lajos Rózsa & Malcolm Dando, Deadly Cultures: Biological
Weapons since 1945, Harvard University Press, 2006, pp. 284–293, 301–303.
55 Elizabeth A. Fenn, Biological Warfare in Eighteenth-Century North America:
Beyond Jeffery Amherst, Journal of American History 86 (4): pp.1552–1580.
56 Derk Bodde, Charles Le Blanc, Susan Blader, ed. Chinese ideas about
nature and society: studies in honour of Derk Bodde, Hong Kong University
Press, 1987.
57 Robert Leonhard, The Art of Maneuver: Maneuver-Warfare Theory and
Air-Land Battle, Novato: CA, Presidio Press, 1991.
58 ตวั อยา่ งของการกำ� หนดจงั หวะการรบทเ่ี หมาะสม ไดแ้ ก่ วงรอบการตดั สนิ ใจของ John
Boyd (OODA Loop) อนั ประกอบดว้ ยวงรอบของการเหน็ (observe) รสู้ ภาพ (orient)
ตดั สินใจ (decide) และกระท�ำ (act).
59 Martin Van Creveld, Kenneth S. Brower & Steven L. Canby, Air Power and
Maneuver Warfare, Air University, Maxwell AFB, AL, 1994, pp.3-8.
60 William S. Frisbee Jr., Types of War, http://www.military-sf.com/typesofwar.
htm, retrieved on 20 December 2014.
61Robert Seager, Alfred Thayer Mahan: The Man and his Letters, Annapolis:
180
Naval Institute Press, 1977.
62 Chrition I. Archer, World History of Warfare, University of Nebraska Press, 2002.
63 Robert B. Asprey, The German High Command at War: Hindenburg and
Ludendorff and the First World War, New York: W. Morrow, 1991.
64 Richard Overy, The Bombers and the Bombed: Allied Air War Over Europe
1940-1945, 2014.
65 The Washington Post, Attributed to Nikita Khrushchev’s speaking of nuclear
war, 20 March 1981, p.A23.
66 Martin Van Creveld, Technology and War I to 1945, In Charles Townshend,
The Oxford History of Modern War, New York, USA: Oxford University Press,
2000, p.206.
67 Ibid., p.349.
68 Robert Tomes, Relearning Counterinsurgency Warfare, Parameters, U.S.
Army War College, 2004.
69 Joint Publication 3-13.1, Electronic Warfare, Chairman of the Joint Chiefs
of Staff (CJCS)-Armed Forces of the United States of America, 25 January
2007, pp. i, v–x.
70 William Waddell, David Smith, James Shufelt & Jeffrey Caton, Cyberspace
Operations: What Senior Leaders Need to Know about Cyberspace, U.S.
Army War College, Center for Strategic Leadership, Carlisle : PA, 2011, p.1.
71 Jim Garamone, Lynn Explains U.S. Cybersecurity Strategy, U.S. Department
of Defense, http://www.defense.gov/news/newsarticle.aspx?id=60869,
retrieved on 8 November 2014.
72 Associated Press, Pentagon Takes Aim at China Cyber Threat, http://www.
nytimes.com/aponline/2010/08/19/us/politics/, retrieved on 20 November
2014.
73 Taylor & Francis, The Major International Treaties of the Twentieth Century:
A History and Guide with Texts, 2001.
181
74 History, Churchill delivers Iron Curtain speech, http://www.history.com/
this-day-in-history/churchill-delivers-iron-curtain-speech, retrieved on 12
August 2015.
75 John Lewis Gaddis, The Cold War: A New History, Penguin Press, 2005,
pp.28-29.
76 Richard J. Erickson, Development of the Strategy of Peaceful Coexisting
During the Khrushchev Era, Air University Review, January–February 1973.
77 John Lewis Gaddis, op.cit, pp.140-142.
78 Joint Communique of the United States of America and the People's
Republic of China, Taiwan Documents Project, 28 February 1972.
79 กระปุกดอทคอม, สงครามเย็น ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ของ 2 ข้ัวมหาอ�ำนาจ,
http://hilight.kapook.com/view/92088, retrieved on 14 August 2015.
80 William Neikirk, More Than Ever, U.S. Policy Tied To Yeltsin's Future,
Chicago Tribune, 23 March 1997.
81 Reuters, Ukrainian parliament angers Moscow by scrapping 'non-aligned'
status, 23 December 1014.
182