The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by E - Library, 2022-11-16 03:49:53

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

เนอื่ งจากความมงั่ คงั่ ทางเศรษฐกจิ สามารถแปรเปลยี่ นความมงั่ คง่ั ดงั กลา่ ว
ใหเ้ ป็นกำ� ลังอ�ำนาจ และมอี ิทธพิ ลต่างๆ ต่อประเทศอน่ื ได้ ดงั น้นั ก�ำลังอำ� นาจทาง
เศรษฐกจิ อาจใชเ้ ปน็ ฐานของกำ� ลงั อำ� นาจ ทางดา้ นอนื่ ๆ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เปน็ ฐาน
ของกำ� ลงั อำ� นาจทางทหาร เหน็ ไดจ้ ากกำ� ลงั การผลติ โดยเฉพาะในดา้ นอตุ สาหกรรม
ขนาดใหญส่ ามารถใหก้ ารสนบั สนนุ กำ� ลงั อำ� นาจทางทหารไดอ้ ยา่ งกวา้ งขวาง อยา่ งไรกต็ าม
ปจั จยั ในการผลติ ส�ำคญั 4 ประการ คือ แรงงาน เทคโนโลยี ทรัพยากรธรรมชาติ
และทนุ นน้ั เปน็ สงิ่ ทจี่ ะตอ้ งนำ� มาพจิ ารณาประกอบดว้ ย โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ประเทศ
ทมี่ แี รธ่ าตหุ ายากทเี่ ปน็ ทรพั ยากรธรรมชาตทิ มี่ คี ณุ คา่ มาก เชน่ แรย่ เู รเนยี มซง่ึ สามารถ
ใชผ้ ลติ พลงั งานปรมาณไู ด้ เปน็ ตน้ แตถ่ า้ ขาดกำ� ลงั การผลติ ในดา้ นอตุ สาหกรรมแลว้
ก็ไม่ก่อให้เกิดพลังอ�ำนาจได้เช่นกัน เช่น ประเทศคองโก47 มีแร่ยูเรเนียมเกรดสูง
แต่ไม่สามารถผลิตเพื่อการส่งออกได้ ท�ำให้แร่ธาตุท่ีมีคุณค่าสูงน้ีไม่ก่อให้เกิด
พลงั อำ� นาจใดๆ แกป่ ระเทศคองโกเลย แตใ่ นประเทศทม่ี กี ำ� ลงั ผลติ ทางอตุ สาหกรรมสงู
เชน่ สหรัฐอเมริกา และรสั เซีย ท้ังสองประเทศต่างมีทรพั ยากรธรรมชาติทมี่ ีคุณคา่
จ�ำนวนมากท�ำให้ทั้งสองประเทศสามารถใช้ทรัพยากรธรรมชาติเหล่าน้ี เพ่ิม
ความแขง็ แกรง่ ใหก้ บั กำ� ลงั อำ� นาจทางเศรษฐกจิ และศกั ยท์ างทหารไดเ้ ปน็ อยา่ งมาก
ปัจจัยการผลิตที่สามารถสนับสนุนความมั่งคั่งและก�ำลังอ�ำนาจทางเศรษฐกิจ
ของประเทศท่ีควรตอ่ การพิจารณา มดี ังน้ี
ก) ก�ำลังการผลิตด้านเกษตรกรรม
ก�ำลังการผลิตด้านเกษตรกรรม นับได้ว่ามีความส�ำคัญไม่น้อยต่อ
กำ� ลงั อำ� นาจทางเศรษฐกจิ เชน่ ประเทศใดทม่ี ฐี านการผลติ อาหารอยา่ งเพยี งพอกน็ บั ไดว้ า่
ไดเ้ ปรยี บประเทศอน่ื ประเทศใดขาดแคลนอาหารกต็ กอยใู่ นฐานะลำ� บาก โดยเฉพาะ
อยา่ งยงิ่ ถา้ ประเทศตกอยใู่ นภาวะสงครามดว้ ยแลว้ กเ็ ปน็ สง่ิ ทน่ี า่ วติ กอยา่ งยงิ่ ประเทศ
สหรัฐอเมริกาและฝ่ายโลกเสรีสามารถยืนหยัดอยู่ได้ในปัจจุบัน ก็เพราะมีอาหาร
มากกว่าฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งค่อนข้างขาดแคลนอาหาร ในขณะท่ีรัสเซีย จีน และ
อินเดยี แมเ้ ป็นประเทศใหญ่ท่มี ที รพั ยากรธรรมชาติมาก แตก่ ย็ งั ขาดแคลนอาหาร
ท�ำให้ตกอยู่ในฐานะเป็นรองสหรัฐอเมริกา ในอนาคต ประเทศผู้ผลิตอาหารส่ง

33

ออกจะเปน็ ประเทศทมี่ อี ำ� นาจตอ่ รองอยา่ งสำ� คญั ในกจิ การระหวา่ งประเทศทเี ดยี ว
จากสถติ ใิ น ปี พ.ศ.2549 ประเทศผผู้ ลติ อาหารสง่ ออกของโลกมากทสี่ ดุ 10 อนั ดบั แรก
ได้แก่ สหรฐั อเมริกา เนเธอร์แลนด์ เยอรมนี บราซลิ ฝรง่ั เศส จนี แคนาดา สเปน
เบลเยียม และอินเดีย ตามล�ำดับ48 ในขณะท่ีประเทศไทยน้ัน อยู่ในล�ำดับที่ 14
ของประเทศผู้ผลิตอาหารส่งออกของโลก ซ่ึงถ้ามีการพัฒนาทางเกษตรกรรม
ใหด้ ยี ง่ิ ขนึ้ แลว้ นา่ จะเพม่ิ กำ� ลงั อำ� นาจทางเศรษฐกจิ ใหก้ บั ประเทศไทยไดม้ ากยงิ่ ขนึ้
และเป็นกำ� ลงั ส�ำคญั ทางดา้ นเกษตรกรรมของโลกได้เลยทีเดยี ว
ข) พลังงาน
พลังงาน นับเป็นองค์ประกอบท่ีส�ำคัญท่ีสุดของก�ำลังอ�ำนาจทาง
เศรษฐกิจของประเทศ โดยเฉพาะอย่างย่ิงในประเทศอุตสาหกรรม ในปัจจุบัน
เป็นที่ประจักษ์ว่า ประเทศที่ต้องการพลังงานมาก ก็คือ ประเทศที่มีผลิตภัณฑ์
ประชาชาตเิ บอื้ งตน้ อยใู่ นระดบั สงู นนั่ เอง และทน่ี า่ สงั เกตเปน็ พเิ ศษประการหนงึ่ กค็ อื
พลังงานสามารถส่งผลกระทบได้ง่ายดายต่อท้ังก�ำลังอ�ำนาจทางเศรษฐกิจและ
กำ� ลงั อำ� นาจทางทหารทงั้ ในปจั จบุ นั และอนาคต เหน็ ไดจ้ ากในปี ค.ศ.1973– 1974
โลกได้เกิดภาวะวิกฤตขาดแคลนน�้ำมัน กล่าวคือ ประเทศผู้ผลิตน�้ำมันดิบส่งออก
ได้ใช้มาตรการจ�ำกัดการส่งออกน้�ำมันดิบ เป็นอ�ำนาจต่อรองทางการเมือง
ระหวา่ งประเทศท�ำให้หลายๆ ประเทศต้องประสบปัญหาทางเศรษฐกิจจากภาวะ
ขาดแคลนนำ้� มนั ดบิ โดยเฉพาะประเทศทม่ี คี วามตอ้ งการนำ�้ มนั ดบิ คอ่ นขา้ งสงู เพอื่ ใช้
เปน็ ฐานทางเศรษฐกจิ และจำ� เปน็ ตอ้ งพงึ่ พาอาศยั กบั แหลง่ ผลติ ในประเทศเหลา่ นน้ั 49
น้�ำมันดิบ ถือเป็นพลังงานที่ส�ำคัญที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะแหล่ง
ผลิตน้�ำมันดิบส่วนใหญ่ของโลกอยู่ที่ตะวันออกกลาง และประเทศมหาอ�ำนาจ
ซง่ึ เปน็ ประเทศอตุ สาหกรรมสว่ นใหญ่ จำ� เปน็ ตอ้ งพงึ่ พาอาศยั นำ้� มนั ดบิ จากภมู ภิ าค
แห่งน้ีไปพัฒนาอุตสาหกรรมในประเทศของตน ดินแดนตะวันออกกลางจึงมี
ความสำ� คญั และเปน็ ผลประโยชนท์ สี่ ำ� คญั ของชาตมิ หาอำ� นาจ จากขอ้ มลู ขององคก์ าร
พลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency: IEA) ในปี ค.ศ.2011
ปรากฏว่า ประเทศผู้ผลิตน้�ำมันดิบ 10 อันดับแรก สามารถผลิตน้�ำมันดิบได้
34

คิดเป็นสดั ส่วนถึงรอ้ ยละ 63 ของผลิตผลนำ�้ มันดิบของโลกท้ังหมด ในปี ค.ศ.2013
ประเทศทส่ี ามารถผลติ นำ้� มนั ดบิ ไดม้ ากกวา่ 10 ลา้ นบารเ์ รลตอ่ วนั มอี ยถู่ งึ 3 ประเทศ
ได้แก่ ซาอุดอี าระเบยี (ผลติ น�ำ้ มันดบิ ได้ 11.72 ลา้ นบารเ์ รลตอ่ วัน) สหรฐั อเมริกา
(ผลิตน�้ำมนั ดบิ ได้ 11.11 ล้านบาร์เรลต่อวนั ) และรัสเซีย (ผลติ นำ้� มันดิบได้ 10.39
บารเ์ รลตอ่ วนั ) ตามลำ� ดบั 50 หากพจิ ารณาประเทศผผู้ ลติ นำ้� มนั ดบิ ใน 10 อนั ดบั แรก
มีประเทศผู้ผลิตน้�ำมันดิบและเป็นสมาชิกขององค์การประเทศผู้ส่งน้�ำมันดิบเป็น
สนิ คา้ ออก (Organization of Petroleum Exporting Countries: OPEC) อยู่ถึง
5 ประเทศ ได้แก่ ซาอดุ อี าระเบีย อหิ รา่ น อริ กั คูเวต และเวเนซเุ อลา อย่างไรก็ตาม
แมส้ หรฐั อเมรกิ าเองจะสามารถผลติ นำ้� มนั ดบิ ไดม้ ากเปน็ ลำ� ดบั สองของโลก แตก่ ำ� ลงั
การผลติ นำ�้ มนั ดบิ ดงั กลา่ วกย็ งั ไมเ่ พยี งพอตอ่ ความตอ้ งการใชภ้ ายในประเทศ ดงั นน้ั
ในปี ค.ศ.2013 สหรัฐอเมริกาก็ยังต้องน�ำเข้าน้�ำมันดิบจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ถึง 7.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน โดยน�ำเข้าจากประเทศในกลุ่มโอเปกถึง 3.5 ล้าน
บารเ์ รลตอ่ วนั 51 นอกเหนอื จากสหรฐั อเมรกิ า แลว้ ประเทศในยโุ รปตะวนั ตก จนี อนิ เดยี
และญ่ีปุ่น ต่างก็มีความต้องการน�้ำมันดิบอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูง เพ่ือสร้าง
ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและความม่ันคงด้านพลังงานให้กับประเทศ
ของตนท�ำให้ประเทศเหล่านี้เกิดการแย่งชิงพลังงาน โดยเฉพาะแหล่งน�้ำมันดิบ
และก๊าซธรรมชาติจากแหล่งต่างๆ ท่ัวโลก ปัญหาความขัดแย้งของโลกในปัจจุบัน
จึงมักวนเวียนอยู่ในบริเวณท่ีเป็นหรือคาดว่าจะเป็นแหล่งพลังงานส�ำคัญของโลก
เชน่ สงครามระหวา่ งอริ กั กบั อหิ รา่ น สงครามอา่ วเปอรเ์ ซยี ความขดั แยง้ ในเรอ่ื งอธปิ ไตย
เหนือหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ระหว่างจีนกับเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และ
อินโดนีเซีย และความขัดแย้งในเรื่องอธิปไตยเหนือหมู่เกาะเตียวหยู/เซ็งกะกุ
ระหว่างจีนกับญี่ปุ่น เป็นต้น สงครามและความขัดแย้งเหล่าน้ี ล้วนมีสาเหตุ
ประการหน่งึ กค็ ือ การแย่งชิงพลังงานซึ่งแต่ละประเทศต่างถือว่า เป็นผลประโยชน์
สำ� คญั ของชาติทง้ั สิน้

35

ตารางที่ 1-2 แสดงผลติ ผลน้ำ� มันดิบของโลกในปี ค.ศ.2013

ลำ� ดบั ประเทศ ผลติ ผล สดั สว่ นในตลาด ปริมาณน�้ำมนั ดบิ
โลก สำ� รอง

(ล้านบารเ์ รล/วนั ) (ร้อยละ) (ล้านบาร์เรล)

1 ซาอุดีอาระเบยี 11.72 13.80 268,350

2 สหรัฐอเมริกา 11.11 13.09 26,544

3 รัสเซยี 10.39 12.23 80,000

4 จนี 4.37 5.15 25,585

5 แคนาดา 3.85 4.54 175,200

6 อหิ ร่าน 3.51 4.14 157,300

7 อิรกั 3.40 3.75 140,300

8 สหรฐั อาหรับเอมเิ รตส์ 3.08 3.32 97,800

9 เวเนซเุ อลา 3.02 3.56 297,740

10 เม็กซิโก 2.93 3.56 10,264

11 คเู วต 2.68 2.96 104,000

12 บราซลิ 2.63 3.05 13,986

13 ไนจเี รยี 2.52 2.62 37,200

14 นอร์เวย์ 1.99 2.79 6,900

15 แอลจีเรีย 1.88 2.52 12,200

ท่ีมา : ปรับปรุงมาจาก U.S. Energy Information Administration, International Energy
Statistics, Year 2013, http://www.eia.gov/cfapps/ipdbproject/iedindex3.
cfm?tid=5&pid=57&aid=1&cid=regions&syid=2009&eyid=2013&unit=TBPD, retrieved on
15 December 2014.

เหตุการณ์กรณีอิรักบุกคูเวต เม่ือ 2 สิงหาคม พ.ศ.2533 นับเป็น
เครื่องพิสูจน์ถึงความส�ำคัญของ “น้�ำมันดิบ” ได้อย่างชัดเจน เน่ืองจากอิรัก
มีก�ำลังอ�ำนาจทางทหารเหนือกว่าคูเวตอย่างมหาศาล อิรักจึงสามารถรุกเข้ายึด

36

ครองคเู วตไดใ้ นระยะเวลาอนั สนั้ เพยี ง 6 ชวั่ โมงเทา่ นนั้ หลงั จากยดึ คเู วตไดแ้ ลว้ อริ กั
กเ็ คลอื่ นกำ� ลงั ทหารเขา้ ประชดิ แนวพรมแดนซาอดุ อี าระเบยี โดยมวี ตั ถปุ ระสงคท์ จี่ ะ
เขา้ ครอบครองซาอดุ อี าระเบยี ซง่ึ เปน็ แหลง่ ผลติ นำ้� มนั ดบิ ทใี่ หญท่ ส่ี ดุ ของโลก ถา้ หากอริ กั
สามารถรุกเข้ายึดครองซาอุดีอาระเบียได้ส�ำเร็จ ย่อมส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ
ของโลกโดยรวมและต่อสหรัฐอเมริกาอย่างร้ายแรง เนื่องจากสหรัฐอเมริกาน�ำเข้า
นำ้� มนั ดบิ จากซาอดุ อี าระเบยี มากทสี่ ดุ ดว้ ยเหตนุ ี้ ประธานาธบิ ดบี ชุ ของสหรฐั อเมรกิ า
จึงได้ประกาศย้�ำอย่างหนักแน่นว่า เอกราชและอธิปไตยของซาอุดีอาระเบียเป็น
ผลประโยชนท์ ส่ี ำ� คญั ยง่ิ ของสหรฐั อเมรกิ า เชน่ เดยี วกบั กรณสี งครามระหวา่ งอริ กั กบั
อหิ รา่ นในปี ค.ศ.1980 ประธานาธบิ ดเี รแกน ไดป้ ระกาศสนบั สนนุ อริ กั และไดย้ ำ้� ถงึ
ความสำ� คญั ของอา่ วเปอรเ์ ซยี วา่ จะไมย่ อมใหก้ ารสรู้ บระหวา่ งอริ กั กบั อหิ รา่ น สง่ ผล
ให้มีการปดิ ชอ่ งแคบฮอรม์ ซุ ซ่ึงควบคุมเสน้ ทางล�ำเลียงน�้ำมันดบิ จากอา่ วเปอรเ์ ซยี
ให้กับประเทศตะวันตกคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 20 อันจะเป็นอันตรายไม่ต่อท้ัง
เศรษฐกิจของประเทศตะวันตก และเศรษฐกิจของโลกโดยรวม นอกเหนือจาก
น้�ำมันดิบแล้ว แหล่งพลังงานอ่ืนๆ ที่มีความส�ำคัญต่อการเสริมสร้างก�ำลังอ�ำนาจ
ทางเศรษฐกิจของโลก ก็คือ ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และเครื่องปฏิกรณ์ปรมาณู
(Nuclear Reactor)52 โดยพลงั งานเหลา่ นี้ ถอื ไดว้ ่า เปน็ พลังงานส�ำคญั ท่ีส่งเสริม
พลังอำ� นาจแห่งชาตดิ ว้ ย
ค) แรเ่ ศรษฐกิจและแร่โลหะหายาก
แรเ่ ศรษฐกจิ (Economic minerals) หมายถงึ แรท่ มี่ คี า่ ทางเศรษฐกจิ
และมปี รมิ าณมากพอทจี่ ะนำ� มาใชป้ ระโยชน์ในทางอุตสาหกรรม กลุ่มแร่เศรษฐกจิ
อาจแบง่ ตามสมบตั ทิ างกายภาพเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่ แรโ่ ลหะ อนั หมายถงึ แรท่ ม่ี ี
ธาตุโลหะเป็นส่วนประกอบส�ำคัญ และสามารถน�ำไปถลุงหรือแยกเอาโลหะมาใช้
ประโยชน์ เชน่ เหลก็ ดบี กุ ทงั สเตน พลวง แมงกานสี ตะกว่ั สงั กะสี ทองแดง ทองคำ� เงนิ
และโครเมียม เป็นต้น53 และแร่อโลหะ อันหมายถึง แร่ที่มีธาตุอโลหะเป็นส่วน
ประกอบส�ำคัญ สามารถน�ำมาใช้ประโยชน์ได้โดยตรงหรือมีการปรับปรุงคุณภาพ
เล็กน้อย แร่อโลหะส่วนใหญ่เป็นแร่ที่ใช้เป็นวัตถุดิบในอุตสาหกรรม การเกษตร

37

การก่อสรา้ ง แร่เช้อื เพลงิ และแร่รัตนชาติ เป็นต้น ดังนั้น ประเทศทม่ี แี รเ่ ศรษฐกิจ
อยา่ งอดุ มสมบรู ณ์ ยอ่ มมโี อกาสตอ่ การใชเ้ ปน็ ตน้ ทนุ หรอื วตั ถดุ บิ เพอ่ื สรา้ งความเจรญิ
กา้ วหนา้ ทางเศรษฐกจิ และความอยดู่ กี นิ ดขี องประชาชนภายในประเทศไดม้ ากกวา่
ประเทศทไี่ ม่มีหรอื ขาดแคลนแรเ่ ศรษฐกจิ เหลา่ น้ี
แรท่ ม่ี ธี าตโุ ลหะหายาก (Rare earth elements) หรอื แรโ่ ลหะหายาก
(Rare earth metals) หมายถงึ แรท่ มี่ อี งคป์ ระกอบของธาตเุ คมี 17 ชนดิ ในตารางธาตุ
ประกอบด้วยสแกนเดียม อิตเทรียม และกลุ่มอนุกรมเคมีแลนทาไนด์ 15 ชนิด54
สำ� หรบั ธาตหุ ายาก (Rare Earth) ถงึ แมช้ อื่ จะบอกวา่ เปน็ ธาตหุ ายาก แตใ่ นความเปน็ จรงิ
ธาตเุ หลา่ นหี้ าไดไ้ มย่ าก แมจ้ ะหาไดไ้ มง่ า่ ยเทา่ กบั เหลก็ หรอื นกิ เกลิ เพยี งแตก่ ารขดุ แร่
เหล่านี้ มักให้ผลท่ีไม่คุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ในโลกนี้ มี 4 ประเทศที่ครอบครอง
ธาตหุ ายากรวมกนั ถงึ 76% คอื ออสเตรเลยี มี 5% รสั เซยี 6% สหรฐั อเมรกิ า 13%
และจีน มมี ากที่สุดถึง 52% กอ่ นปี ค.ศ.1984 สหรัฐอเมริกามีการขดุ ธาตุหายาก
ท่เี หมืองเมาเทนพาสส์ (Mountain Pass) ในรัฐแคลิฟอรเ์ นยี แต่เมือ่ จีนเร่ิมลงมอื
ขดุ และขายสง่ิ ทข่ี ดุ ไดใ้ นราคาตำ่� กวา่ เหมอื งธาตหุ ายากในอเมรกิ ากถ็ งึ ขนั้ ลม้ ละลาย
ความตอ้ งการธาตหุ ายากเพมิ่ ทกุ ปี เนอื่ งจากนกั เทคโนโลยตี า่ งใชธ้ าตุ
หายากในการทำ� อปุ กรณเ์ ทคโนโลยมี ากมาย เชน่ เมอื่ ผสมกบั เหลก็ หรอื อะลมู เิ นยี ม
จะทำ� ใหไ้ ดว้ สั ดทุ แี่ ขง็ และทนความรอ้ นไดย้ ง่ิ กวา่ วสั ดผุ สมอนื่ ๆ โดยเฉพาะอติ เทรยี ม
(yttrium) ใช้มากในการท�ำเลเซอร์ที่ให้แสงอินฟราเรด และเป็นองค์ประกอบ
ทสี่ �ำคัญของสารตัวน�ำยวดยิ่งอุณหภมู ิสงู รวมถงึ ใช้ในซีโอไลต์ (zeolite) เพอื่ สลาย
สารประกอบไฮโดรคารบ์ อนในอตุ สาหกรรมนำ้� มนั ในวงการทหาร นิยมใชแ้ มเ่ หล็ก
ท่ีมีซาแมเรียม (samarium) และโคบอลต์ (cobalt) ในระบบน�ำวิถีของจรวด
อุตสาหกรรมท�ำแผ่นดิสก์คอมพิวเตอร์ หลอดไฟเรืองแสง ตัวเร่งปฏิกิริยา และ
เซลล์เช้ือเพลิง (fuel cell) ซึ่งเป็นแบตเตอร่ีไฟฟ้าส�ำหรับรถยนต์ ธาตุหายากยัง
มีประโยชน์ในการท�ำให้วัสดุสามารถเปลี่ยนรูปทรงได้ เวลาอยู่ในสนามแม่เหล็ก
วัสดุที่แสดงปรากฏการณ์ของกระบวนการแม่เหล็กไฟฟ้า (magnetostriction)
นปี้ ระกอบดว้ ยเทอรเ์ บยี ม (terbium) ทใี่ ชใ้ นอปุ กรณโ์ ซนาร์ (sonar) และอปุ กรณท์ ใ่ี ช้
38

ควบคมุ การทำ� งานของวาลว์ (actuator) ดา้ นนกั เทคโนโลยี กต็ อ้ งการแมเ่ หลก็ ถาวร
ซ่ึงทำ� ด้วยสารผสมนีโอดิเมียม (neodymium) เหล็ก (iron) และโบรอน (boron)
ความต้องการเหล่าน้ีได้เพิ่มข้ึนปีละ 15% โดยเฉพาะแม่เหล็กที่มีนีโอดิเมียม
เปน็ สว่ นผสมนบั เปน็ อปุ กรณท์ จี่ ำ� เปน็ มากในเครอื่ งตรวจเอกซเรยด์ ว้ ยคลนื่ แมเ่ หลก็
ไฟฟา้ (MRI) รวมถึงโทรศพั ทม์ อื ถือ และหฟู ังเพ่ือใชข้ ยายเสียง

ภาพท่ี 1-8 ผลผลติ ธาตหุ ายากของโลกในระหวา่ งปี ค.ศ.1950-2000

การวจิ ยั และพฒั นาธาตหุ ายากสว่ นใหญใ่ นจนี ยงั เปน็ งานในมหาวทิ ยาลยั
แตข่ ณะนโี้ ลกกำ� ลงั กงั วลเรอื่ งนโยบายการสง่ ออกธาตหุ ายากของจนี มากขนึ้ เรอ่ื ยๆ แมว้ า่
จนี จะพยายามทำ� ใหป้ ระชาคมโลกเชอ่ื วา่ จนี จะไมก่ ลนั่ แกลง้ ชาตอิ นื่ ๆ ในการใชธ้ าตุ
หายากเปน็ อาวธุ ในศตวรรษท่ี 2155 นโยบายของจนี ในเรอื่ งธาตหุ ายากน้ี จงึ นบั เปน็
ประเดน็ ทอี่ อ่ นไหวมาก เพราะจนี รดู้ วี า่ โลกตะวนั ตกทมี่ คี วามกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยี
ทเี่ หนอื กวา่ โดยเฉพาะสหรฐั อเมรกิ าและประเทศในยโุ รปตะวนั ตก ตอ้ งการธาตหุ ายาก
เพื่อใช้ประโยชน์ในกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง
เชน่ อตุ สาหกรรมยานยนต์ อากาศยาน และยานอวกาศ รวมถงึ อาวธุ และยทุ โธปกรณ์
ทางทหาร แต่ในขณะเดยี วกนั แม้วา่ จีนจะมีเทคโนโลยที ีด่ อ้ ยกว่าประเทศตะวนั ตก
แตก่ ลบั เปน็ ประเทศผคู้ รอบครองธาตหุ ายากมากทสี่ ดุ ทำ� ใหจ้ นี ตอ้ งกำ� หนดนโยบาย
อันเกี่ยวกับธาตุหายากนี้อย่างระมัดระวัง เพื่อแสวงประโยชน์จากข้อได้เปรียบนี้
ให้มากท่ีสดุ

39

4) ก�ำลงั อำ� นาจทางสังคมจติ วิทยา
แนวความคดิ ทางยทุ ธศาสตรเ์ กยี่ วกบั ความมน่ั คงแหง่ ชาตทิ างดา้ นสงั คม
วฒั นธรรมในปจั จบุ นั นยิ มใชค้ ำ� วา่ “สงั คมจติ วทิ ยา” (Socio-Psychology) เพราะ
ให้ความหมายท่มี ีขอบเขตกวา้ งกวา่ ค�ำว่า “สงั คมวิทยา” หรือ “สงั คม” กลา่ วคอื
ไดเ้ พมิ่ คำ� วา่ “จติ วทิ ยา” (Psychology) เขา้ ไปดว้ ย เพราะศาสตรว์ า่ ดว้ ยจติ วทิ ยาเปน็
ศาสตรท์ มี่ รี ะเบยี บและวธิ กี ารคน้ ควา้ หาความรู้ (Psychological inquiry) เกย่ี วกบั
สาเหตขุ องพฤตกิ รรมตา่ งๆ เพราะทกุ ๆ พฤตกิ รรมยอ่ มตอ้ งมสี าเหตุ จติ วทิ ยาจงึ เปน็
เรื่องของการศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจกับพฤติกรรม ดังน้ัน ก�ำลังอ�ำนาจ
ทางสงั คมจติ วทิ ยา จงึ เปน็ กำ� ลงั อำ� นาจทมี่ คี วามสำ� คญั ไมน่ อ้ ยไปกวา่ กำ� ลงั อำ� นาจอนื่ ๆ
ขององค์ประกอบพลังอ�ำนาจแห่งชาติ ซ่ึงเป็นท่ีประจักษ์ชัดถึงความส�ำคัญ
ของกำ� ลงั อำ� นาจนใี้ นระหวา่ งสงครามโลกครงั้ ที่ 2 เปน็ ตน้ มาจนกระทง่ั ปจั จบุ นั ดว้ ย
เหตุนี้ก�ำลังอ�ำนาจทางสังคมจิตวิทยา จะเกิดขึ้นมากน้อยเพียงใดน้ัน ย่อมขึ้นอยู่
กับความสามารถในการผสมผสานแหล่งปัจจัยทางสังคมจิตวิทยาต่างๆ อันได้แก่
ลกั ษณะและความเขม้ แขง็ ของพลเมอื งซง่ึ หมายรวมถงึ จำ� นวน คณุ ภาพ ความสามารถ
ทง้ั ทางรา่ งกายและจติ ใจดว้ ย นอกจากนนั้ แลว้ ปจั จยั ทสี่ ำ� คญั อกี ประการหนงึ่ กค็ อื
ลกั ษณะความเข้มแขง็ ของสถาบนั ทางสังคม ซง่ึ หมายรวมถึง สถาบนั ทางการเมือง
ครอบครวั ศาสนา และสถาบนั ทางการศกึ ษา ลกั ษณะโดยสว่ นรวมของสถาบนั เหลา่ นี้
เมื่อผสมผสานกันแล้วจะประกอบขึ้นเป็นก�ำลังอ�ำนาจทางวัฒนธรรมขึ้นซ่ึง
เป็นปัจจัยส�ำคัญย่ิงในการก�ำหนดยุทธศาสตร์ชาติ และเป็นปัจจัยที่เป็นนามธรรม
ซ่ึงยากท่จี ะประเมินได้เพราะอาจแปรผันไดง้ า่ ยตามสภาวะแวดลอ้ มของสงั คมและ
ตามอิทธพิ ลทางวฒั นธรรมของต่างชาต5ิ 6
5) ก�ำลังอำ� นาจทางสารสนเทศ
ก�ำลังอำ� นาจทางสารสนเทศ (Informational Power) เปน็ ประเภท
ของกำ� ลงั อำ� นาจทไ่ี มย่ งั่ ยนื เปน็ สว่ นใหญ่ เนอ่ื งจากทนั ทที ส่ี ารสนเทศหายไป กจ็ ะไมม่ ี
กำ� ลงั อ�ำนาจนี้ทันที ตัวอยา่ งเช่น หากเราเป็นต้นเหตุใหค้ วามลบั ถกู เปดิ เผยออกไป
40

อำ� นาจในมอื ของเรากจ็ ะหมดไปดว้ ย กำ� ลงั อำ� นาจทางสารสนเทศจงึ มใิ ชก่ ำ� ลงั อำ� นาจ
ท่ีแตกต่างจากก�ำลังอ�ำนาจอื่นๆ เน่ืองจากก�ำลังอ�ำนาจน้ีต้ังอยู่บนหลักการท่ีว่า
“คุณรู้อะไรเกี่ยวกับสถานการณ์เฉพาะดังกล่าว” ในขณะท่ีก�ำลังอ�ำนาจอื่นๆ
มีลักษณะที่เป็นอิสระซึ่งกันและกัน แต่ก�ำลังอ�ำนาจทางสารสนเทศจะยังคงเป็น
เครอื่ งมอื สำ� คญั อยา่ งหนงึ่ ของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตแิ ละเปน็ ทรพั ยากรทางยทุ ธศาสตร์
ท่ีส�ำคัญย่ิงต่อความมั่นคงแห่งชาติ ในอดีตเรามักพิจารณาพลังอ�ำนาจแห่งชาติ
ในบริบทของรัฐชาติด้ังเดิม แต่แนวคิดเกี่ยวกับสารสนเทศในฐานะท่ีเป็นเคร่ืองมือ
สำ� คญั อยา่ งหนง่ึ ของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตดิ ว้ ยแลว้ จะมขี อบเขตรวมถงึ ผแู้ สดงทมี่ ใิ ช่
รฐั ชาตดิ ว้ ย เชน่ ผกู้ อ่ การรา้ ย และกลมุ่ อาชญากรรมขา้ มชาติ เปน็ ตน้ เนอ่ื งจากผแู้ สดง
ที่มิใช่รัฐชาติเหล่านี้ต่างก็ใช้สารสนเทศเพ่ือใช้ก่อเหตุและบ่อนท�ำลายความม่ันคง
แหง่ ชาตไิ ดท้ ง้ั สน้ิ ดว้ ยเหตนุ ี้ หนว่ ยงานดา้ นความมนั่ คงของชาตทิ จี่ ะตอ้ งปฏบิ ตั งิ าน
ในยคุ พลวตั ของเครอื ขา่ ยทเ่ี ชอ่ื มโยงกนั ทง้ั โลกจนกระทง่ั เกดิ สอื่ ทางสงั คมในรปู แบบตา่ งๆ
ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า การปฏิบัติงานทุกอย่างจะต้องมีการวางแผนและมีการ
ปฏิบัติงานตามแผนที่ก�ำหนด ค�ำทุกค�ำท่ีพูดหรือเขียน ภาพทุกภาพท่ีถูกแสดง
หรือระงับไว้ ย่อมส่ือให้เห็นเจตนารมณ์ของหน่วยงานด้านความม่ันคงแห่งชาติ
ทอ่ี าจจะสง่ ผลกระทบตา่ งๆ ทางยทุ ธศาสตรไ์ ดท้ ง้ั สนิ้ 57 กำ� ลงั อำ� นาจทางสารสนเทศ
จงึ หมายถงึ การสอ่ื สารของหนว่ ยงานของรฐั เกย่ี วกบั เจตนารมณ์ และมมุ มองของรฐั
เช่น การติดต่อส่ือสารทางยุทธศาสตร์ (Strategic Communication) เป็นต้น
ดงั นนั้ ไมว่ า่ ดว้ ยเหตผุ ลใด หากสาระสำ� คญั ของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตนิ ขี้ าดความชดั เจน
กจ็ ะตอ้ งมกี ารปรบั แกใ้ หมใ่ หถ้ กู ตอ้ งตามสาระสำ� คญั ของพลงั อำ� นาจแหง่ ชาตทิ แี่ ทจ้ รงิ
ทง้ั นกี้ เ็ พอื่ สรา้ งความเขา้ ใจในนโยบายและบทบาทตา่ งๆ ตอ่ การปฏบิ ตั ติ ามนโยบาย
ดังกลา่ วให้ถกู ต้องต่อไป
ง. การวเิ คราะห์องค์ประกอบของพลังอ�ำนาจแห่งชาติ
การวิเคราะห์องค์ประกอบของพลังอ�ำนาจแห่งชาตินั้น อาศัยการตั้ง
คำ� ถามตา่ งๆ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั องคป์ ระกอบแตล่ ะองคป์ ระกอบ คำ� ถามตอ่ ไปนเี้ ปน็ เพยี ง
ตัวอย่างท่ใี ช้ส�ำหรับการวเิ คราะห์เทา่ นน้ั

41

1) กำ� ลังอ�ำนาจทางการเมอื ง
ก) องคป์ ระกอบทางการเมอื ง
(1) แนวความคิดทางการเมือง ทา่ ที และค่านยิ ม ทจ่ี ะมอี ิทธพิ ล
ต่อการกำ� หนดนโยบาย มีอะไรบา้ ง? (ทั้งขอ้ จ�ำกดั และขอ้ สนับสนุน)
(2) เปา้ หมายและวตั ถปุ ระสงค์ ซงึ่ สามารถวเิ คราะหไ์ ดจ้ ากนโยบาย
และจากแถลงการณด์ ่วนมอี ะไรบา้ ง? ผลประโยชน์ นโยบาย และขนบธรรมเนยี ม
ประเพณนี ่าจะเปน็ อย่างไรในอนาคต?
(3) กลุ่มผลประโยชน์/กลุ่มอิทธิพลที่มีอยู่ในระบบการเมือง
มมี ากนอ้ ยเพยี งใด
(4) การจัดตั้งพรรคการเมืองเป็นอย่างไร? และบทบาทของ
พรรคการเมืองท่ีแสดงออกในระบบการเมอื งมอี ะไรบ้าง?
ข) ความเคล่อื นไหวทางการเมือง
(1) อำ� นาจในการตดั สนิ ใจเปน็ แบบรวมการ หรอื แยกการในระบบ
การเมือง? ศนู ยก์ ลางของกำ� ลังอำ� นาจทางการเมืองท่ีมีประสทิ ธผิ ลอยู่ทีไ่ หน?
(2) กลมุ่ ผลประโยชน/์ กลมุ่ อทิ ธพิ ลทม่ี อี ทิ ธพิ ลตอ่ การกำ� หนดนโยบาย
มอี ะไรบา้ ง?
(3) ผลกระทบทเี่ กดิ ขนึ้ จากการกำ� หนดนโยบายของผนู้ ำ� ทางการเมอื ง
ซึง่ ขึ้นอยู่กับบคุ ลกิ ภาพ วิธีการ และทัศนะของผู้น�ำทางการเมอื งนน้ั มอี ะไรบ้าง?
ค) การพัฒนาทางการเมอื ง
(1) ภาวะผนู้ ำ� ทางการเมอื งยอมรบั หรอื ตอบโต้ เพอื่ เปลย่ี นแปลง
ความตอ้ งการความตอ้ งการตา่ งๆ ในระบบการเมืองเปน็ อยา่ งไร?
(2) โครงสรา้ งและกฎหมายรฐั ธรรมนญู ของระบบมคี วามออ่ นตวั
หรอื ไม่ ที่จะยินยอมให้มีการแก้ไขตามความจำ� เป็น?
(3) กลมุ่ สงั คมตา่ งๆ พอใจระบบการเมอื งทตี่ อบสนองความตอ้ งการ
ของกลมุ่ เพียงใด?
(4) รปู แบบของรฐั บาลและแนวทางการเมอื งในปจั จบุ นั จะยงั เปน็
อยู่ในรปู เดิมต่อไปหรอื ไม่?
42

ง) ขีดความสามารถทางการเมือง
(1) ระบบทางการเมอื งใหค้ วามรว่ มมอื ขดี ความสามารถตอ่ ไปนเี้ พยี งใด?
- การผสมผสานทางภูมศิ าสตร์
- การรว่ มมอื ของประชาชน
- ระบบอ�ำนวยการ
- การแกป้ ญั หา และการตัดสินใจ
- การบริหาร และธรุ การ
- การระดมสรรพกำ� ลังทางพลเรือน
(2) จุดอ่อนของขีดความสามารถข้างต้น มีผลกระทบต่อการน�ำเอา
พลังอ�ำนาจแห่งชาตไิ ปใชป้ ระโยชน์อยา่ งมีประสิทธิภาพไดเ้ พียงใด?
จ) แนวทางการเมืองระหว่างประเทศ
(1) อะไรบ้างที่จะท�ำให้รัฐต่างๆ และองค์การทางการเมืองระหว่าง
ประเทศมีท่าที และความโน้มเอียงท่ีจะเป็นปฏิปักษ์ ให้ความร่วมมือหรือไม่ หรือ
วางเฉยไม่เขา้ รว่ มด้วย?
(2) รัฐอืน่ ๆ และองค์การทางการเมืองระหวา่ งประเทศ สามารถกอ่
อิทธิพลในการด�ำเนินการทางการเมืองได้เพียงใด? สถานการณ์ของโลกเป็นปัจจัย
ในการดำ� เนินการทางการเมอื งไดเ้ พยี งใด?58
2) กำ� ลังอำ� นาจทางทหาร
ก) ขนาดและการประกอบก�ำลัง
(1) ก�ำลังรบเหล่าต่างๆ มีขนาดเท่าใด? ก�ำลังรบเหล่าทัพใดที่มี
อทิ ธพิ ลเหนอื เหลา่ ทัพอืน่ ?
(2) ก�ำลังกึ่งทหารมีพร้อมที่จะใช้การได้หรือไม่? หากมี มีขนาด
เทา่ ใด? การจดั หนว่ ยและศกั ยภาพทางทหารเป็นอย่างไร?
(3) ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกำ� ลงั ทหารกบั ต�ำรวจเปน็ อย่างไร?
ข) การจัดหนว่ ยและยุทธภณั ฑ์
(1) ยุทธภัณฑ์ของก�ำลังทหารเริ่มต้นได้มาจากแหล่งใด? ชิ้นส่วน
อะไหล่มีใชก้ ารได้หรอื ไม่?

43

(2) ความสามารถทางการส่งก�ำลังบ�ำรุงทางทหารได้สัดส่วนกับ
เศรษฐกจิ ทางดา้ นพลเรือนมากนอ้ ยเพียงใด?
(3) สถานภาพทางวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีเป็นอยา่ งไร?
(4) ความสามารถทางส่งก�ำลังเพ่ิมเติม การก่อสร้าง การขนส่ง
การสง่ กลับ มีเพยี งใด?
ค) ความพร้อมรบทางทหาร
(1) กำ� ลังรบตั้งอยู่ทไี่ หน?
(2) ยุทธภัณฑส์ ำ� หรับเคล่ือนยา้ ยก�ำลงั รบมใี ชก้ ารได้เพยี งใด?
ง) หลักนยิ มในการใช้กำ� ลังทหาร
(1) มีหลักนยิ มเกยี่ วกบั การใช้ก�ำลงั ทหารทเ่ี ขียนไวห้ รอื ไม?่
(2) ในประวตั ิศาสตร์ รัฐไดเ้ คยใช้ก�ำลังทหารอะไรมาแล้ว?
(3) การจัดกำ� ลังทหาร และการจดั ฝ่ายอ�ำนวยการเป็นอยา่ งไร
(4) ก�ำลังทหารอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าหน้าท่ีฝ่ายพลเรือน
ที่มอี �ำนาจปกครองหรอื ไม?่
จ) ศกั ยร์ ะดมสรรพก�ำลัง
(1) มีก�ำลังกองหนนุ เขา้ ประจ�ำการอยบู่ า้ งหรือไม?่
(2) ใชเ้ วลานานเทา่ ใดในการเรยี กระดมกองหนนุ เขา้ ประจำ� การ?
(3) ความสามารถของรฐั ในการระดมพลขนาดใหญ่
ฉ) พนั ธมิตร
(1) พนั ธมติ รมีชนดิ ใดบ้าง? พันธมติ รมปี ระสิทธิภาพหรอื ไม่?
(2) ผลประโยชน์ร่วมกันของพันธมิตรมีอะไรบ้าง? ผลประโยชน์
ขดั กนั หรือไม่?
(3) พนั ธกจิ ทว่ั ๆ ไปของพนั ธมติ รมอี ะไรบา้ ง? พนั ธมติ รชว่ ยเหลอื
สมาชกิ ของตนอะไรบ้าง?59
3) กำ� ลงั อ�ำนาจทางเศรษฐกิจ
ก) โครงสร้างการตดั สินใจทางเศรษฐกิจ
(1) เศรษฐกจิ เปน็ แบบเศรษฐกจิ การตลาด หรอื เปน็ เศรษฐกจิ แบบ
รวมศนู ยท์ มี่ กี ารวางแผนโดยสว่ นกลาง (แบบรวมศนู ยจ์ ะมศี กั ยร์ ะดมสรรพกำ� ลงั สงู กวา่ )
44

(2) รัฐใช้อ�ำนาจทางเศรษฐกิจในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
อยา่ งไร?
ข) ศกั ยร์ ะดมสรรพก�ำลงั
(1) คา่ ใชจ้ า่ ยของรฐั ในการปอ้ งกนั ประเทศ คดิ มลู คา่ เปน็ กเี่ ปอรเ์ ซน็ ต์
ของผลติ ภณั ฑป์ ระชาชาตเิ บื้องต้น?
(2) การอตุ สาหกรรมมขี ดี ความสามารถทจ่ี ะสนบั สนนุ การทำ� สงคราม
ได้เพียงใด? จำ� นวนเปอรเ์ ซ็นต์ของฐานอุตสาหกรรมทีห่ ยุดกิจการมีเท่าใด?
(3) แรงงานท่ีใช้ในการอุตสาหกรรมมีสัดส่วนเท่าใด? ในทาง
เกษตรกรรม หตั ถกรรมและบริการ
ค) โครงสรา้ งทางเงินทุน
(1) การขนสง่ ของรฐั สามารถดำ� เนนิ การระดมสรรพกำ� ลงั ไดห้ รอื ไม?่
เครือขา่ ยการขนส่งมจี ุดออ่ นหรือไม?่
(2) การคมนาคมอะไรทีเ่ ปน็ ของรฐั ?
(3) ระบบการเงินของรฐั มีเสถยี รภาพเพียงใด
ง) ทรัพยากรของชาต ิ
(1) รัฐสามารถเลี้ยงตัวได้หรือไม่? หากเลี้ยงตัวเองไม่ได้อาศัย
ประเทศใดในการน�ำเขา้ -ส่งออก?
(2) สถานภาพของการจัดการทางเกษตรกรรมเป็นอย่างไร? ใช้
เครือ่ งจกั รกลทางการเกษตร และนโยบายของรฐั เกี่ยวกบั การเกษตรเปน็ อยา่ งไร?
(3) แรแ่ ละทรพั ยากรดา้ นพลงั งานทร่ี ฐั สามารถนำ� มาพฒั นาใชใ้ ห้
เป็นประโยชน์ มอี ะไรบา้ ง?
(4) รฐั จำ� เปน็ ตอ้ งสง่ั ทรพั ยากรเขา้ มาเพอื่ กจิ การอตุ สาหกรรมหรอื ไม?่
ถา้ จ�ำเป็นส่งั เข้ามาจากท่ใี ด?
(5) พลังงานท่นี ำ� มาใช้ไดม้ าอยา่ งไร? พลังงานที่ใช้เปน็ แบบใด?
(6) รฐั สง่ั พลงั งานเขา้ มาใชใ้ นประเทศหรอื เปลา่ ? หากสงั่ เขา้ สงั่ จากทใี่ ด?

45

จ) สภาพทางเศรษฐกจิ ทั่วไป
(1) ผลติ ภณั ฑ์ประชาชาตเิ บอ้ื งตน้ เฉล่ยี ต่อหัวของประชากรตอ่ ปี
มคี า่ เทา่ ใด? ผลติ ภณั ฑป์ ระชาชาตเิ บอื้ งตน้ เฉลยี่ ตอ่ หวั ของประชากรตอ่ ปี และอตั รา
ความเจริญเติบโตเปน็ อย่างไร?
(2) ประชาชนประกอบอาชพี อยา่ งไร? มเี ปอรเ์ ซน็ ตเ์ ทา่ ใด? ประกอบ
อาชพี เกษตรกรรม หตั ถกรรม และในโรงงานอตุ สาหกรรม ประชาชนทวี่ า่ งงานมเี ทา่ ใด?
(3) ประชาชนทใ่ี ช้แรงงานมคี วามช�ำนาญระดับใด?
ฉ) การค้าตา่ งประเทศ
(1) บทบาทของเศรษฐกจิ ระหว่างประเทศเปน็ อย่างไร?
(2) รัฐสามารถควบคมุ การคา้ ระหว่างประเทศได้หรือไม?่
ช) ฐานะทางการเงนิ ระหว่างประเทศ
(1) ดุลช�ำระเงินอยใู่ นฐานะได้เปรยี บ หรอื เสียเปรยี บ?
(2) รฐั มกี ารลงทนุ เปน็ แบบผนู้ ำ� เขา้ หรอื ผสู้ ง่ ออกสนิ คา้ แตผ่ เู้ ดยี ว
หรอื ไม่?
(3) รัฐบาลประกอบธุรกจิ แบบผูกขาดตัดทอนหรอื ไม่?
(4) รฐั ไดร้ บั การชว่ ยเหลอื ทางเศรษฐกจิ จากตา่ งประเทศหรอื ไม?่
(5) รัฐต้องข้ึนอยู่กับการช่วยเหลือจากองค์การเศรษฐกิจระหว่าง
ประเทศหรอื ไม?่ ถา้ ตอ้ งขนึ้ อยกู่ บั การชว่ ยเหลอื ดงั กลา่ ว องคก์ ารเศรษฐกจิ ระหวา่ ง
ประเทศน้ัน มีบทบาทต่อเศรษฐกจิ ของประเทศอย่างไร?60
4) กำ� ลังอำ� นาจด้านเจตจำ� นงแหง่ ชาติ
เจตจ�ำนงแห่งชาติ (National Will) คอื ผลรวมของทรัพยากรมนุษย์
ภายในชาติ ซงึ่ เป็นก�ำลังอ�ำนาจอนั หน่ึงท่ไี ม่สามารถจับต้องได้ แต่กพ็ ิจารณาได้ว่า
กอ่ ใหเ้ กดิ อทิ ธพิ ลตอ่ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตใิ นภาพรวม การวเิ คราะหก์ ระทำ� ไดโ้ ดยการแยก
พิจารณาออกเป็น 2 ปัจจยั ด้วยกัน ดังนี้
ก) ปจั จัยทางสังคมวทิ ยา
(1) ความเชอื่ ทศั นคติ และคา่ นยิ มของประชาชน มอี ะไรบา้ งทม่ี ี
อทิ ธพิ ลต่ออำ� นาจ การตดั สนิ ใจของรัฐ

46

(2) อะไรคอื การจูงใจทีส่ ำ� คัญของสงั คม?
(3) บทบาทของสถาบนั ทางสงั คมของรฐั มอี ยา่ งไร? สถาบนั ครอบครวั
สถาบันศาสนา สถาบันการศกึ ษา เปน็ อยา่ งไร?
(4) ชนกลุ่มน้อยและความแตกต่างทางภาษา ก่อให้เกิดจุดอ่อน
แกส่ ังคมหรอื ไม?่
(5) สขุ ภาพของประชาชนเปน็ อยา่ งไร? ชว่ งชวี ติ การปอ้ งกนั และ
การรกั ษาโรค อาหารการกนิ ความปรารถนาของสงั คมเปน็ อยา่ งไร? กลมุ่ ชนชน้ั กลาง
มขี นาดใหญห่ รอื ไม่?
(6) รฐั มรี ฐั บาลทมี่ คี ณุ ภาพหรอื ไม?่ ลกั ษณะของภาวะผนู้ ำ� รฐั บาล
ดา้ นการศึกษาและทางเศรษฐกิจเปน็ อยา่ งไร?
ข) ปจั จัยทางจิตวทิ ยา
(1) บทบาททางจิตวิทยาภายในรฐั มอี ย่างไรบา้ ง?
(2) สื่อโฆษณาท่ีใช้ในการติดต่อของรัฐมีผลกระทบต่อรูปแบบ
(Formation) และลกั ษณะประจำ� ชาตอิ ยา่ งไร?
(3) ลักษณะประจ�ำชาติเหมาะสมดหี รือไม?่
(4) ความสามัคคีภายในชาติเพียงพอท่ีจะสนับสนุนนโยบายของ
รฐั หรอื ไม่? และจะสิน้ สุดลงเมอื่ ใด?61
5) ก�ำลังอำ� นาจทางภูมศิ าสตร์
ลกั ษณะทางภมู ศิ าสตรข์ องประเทศ เปน็ พน้ื ฐานทำ� ใหเ้ กดิ พลงั อำ� นาจ
แกป่ ระเทศของตนได้ แตป่ จั จยั สงิ่ แวดลอ้ มตา่ งๆ ทจ่ี ะพจิ ารณาตอ่ ไปนี้ ตอ้ งพงึ ระลกึ
ไวเ้ สมอวา่ ปจั จยั บางอยา่ งอาจเกยี่ วขอ้ งกบั ปจั จยั อน่ื ๆ และเกยี่ วขอ้ งกบั องคป์ ระกอบ
ของพลังอ�ำนาจแห่งชาตอิ น่ื ๆ ด้วย
ก) ขนาดและรูปร่าง
(1) ประเทศมพี นื้ ทเี่ พยี งพอทจี่ ะดำ� เนนิ การตงั้ รบั ทางลกึ ไดห้ รอื ไม?่
และมคี วามลกึ พอทจี่ ะอำ� นวยประโยชนต์ อ่ ระบบการแจง้ เตอื นภยั เมอ่ื ถกู โจมตที าง
อากาศและขีปนาวธุ หรือไม่?

47

(2) ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งรปู รา่ งกบั ความลกึ ของประเทศเปน็ อยา่ งไร?
ระบบทางการเมืองและทางเศรษฐกิจผสมผสานเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือไม่?
รปู รา่ งของประเทศมผี ลกระทบตอ่ การขนสง่ และการคมนาคมอยา่ งไร?
ข) ลกั ษณะภูมปิ ระเทศ
(1) ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศเปน็ แบบใด? ลกั ษณะภมู ปิ ระเทศมแี นวโนม้
ทีจ่ ะแบง่ ออกเปน็ ส่วนๆ หรอื ไม?่
(2) ภูมิประเทศส�ำคญั เก้อื กูลหรอื ไมเ่ กอ้ื กลู ?
(3) ลักษณะพ้ืนภูมิประเทศตามแนวชายแดน สามารถใช้เป็นส่ิง
กดี ขวางทางธรรมชาตสิ �ำหรบั การต้งั รบั ไดห้ รือไม่?
ค) ทีต่ ้ัง
(1) ทตี่ งั้ ของประเทศไดร้ บั การยอมรบั นบั ถอื จากประเทศอนื่ ๆ หรอื ไม?่
ประเทศเพือ่ นบ้านเขม้ แขง็ หรือออ่ นแอ?
(2) ทต่ี ง้ั ของประเทศมคี วามสำ� คญั ทางยทุ ธศาสตรแ์ กป่ ระเทศอนื่ ๆ
หรอื ไม?่ โดยเฉพาะเก่ยี วกับผลประโยชนท์ ส่ี �ำคญั ๆ
(3) อะไรบ้างที่มีผลกระทบต่อที่ต้ังของประเทศท้ังทางการเมือง
และพนั ธมิตรทางทหาร ทางการขนสง่ และทางเกษตรกรรม?
ง) ภมู ิอากาศ
(1) ลมฟ้าอากาศมีผลต่อสุขภาพและพลานามัยของประชาชน
ภายในพื้นที่อย่างไร? ลมฟ้าอากาศอ�ำนวยต่อการปฏิบัติงานมนุษย์ได้อย่างดีท่ีสุด
หรอื ไม?่ ผลติ อาหารไดเ้ พยี งพอหรอื ไม?่ ลมฟา้ อากาศกอ่ ใหเ้ กดิ ปญั หาตอ่ การปฏบิ ตั งิ าน
ของกำ� ลังพลหรือไม่?
(2) ลมฟ้าอากาศมีผลกระทบต่อระบบการขนส่งภายในประเทศ
และการเคลือ่ นย้ายก�ำลงั ทหารในภูมิประเทศหรอื ไม่?
(3) ปรมิ าณนำ�้ ฝน การกระจายของฝนตามฤดกู าล และความแนน่ อน
ของฝน และย่านอุณหภมู ?ิ

48

จ) พชื และดนิ
(1) ชนดิ ของดินท่สี ามารถท�ำเกษตรกรรมมอี ะไรบา้ ง?
(2) พน้ื ทท่ี ม่ี อี ยู่ มผี ลสำ� คญั ตอ่ การอยอู่ าศยั หรอื การคมนาคมภายใน
ประเทศหรือไม?่
ฉ) แรแ่ ละพลังงาน
(1) ชนิดของทรัพยากรประเภทแร่และพลังงานท่ีมีคุณค่าทาง
ยุทธศาสตร์ หรอื ทางการค้า มีอะไรบา้ ง?
(2) อะไรบา้ งทเี่ ป็นจุดออ่ นของทรพั ยากรเหลา่ น้ัน?
(3) ทรัพยากรอะไรบ้างที่จ�ำเป็นต้องส่ังน�ำเข้าจากต่างประเทศ?
ถา้ จ�ำเปน็ ตอ้ งส่ังน�ำเข้า จะสั่งนำ� เขา้ จากประเทศใด?
ช) ประชาชน
(1) ประชาชนของรฐั มจี ำ� นวนเทา่ ใด?ประชาชนจำ� นวนเทา่ ใดทสี่ ามารถ
สนบั สนนุ รฐั ?
(2) อตั ราการเจรญิ เตบิ โตของประชาชนมเี ทา่ ใด? จำ� นวนเปอรเ์ ซน็ ต์
ของคนวา่ งงานกบั คนทใ่ี ชแ้ รงงาน? ประชาชนมจี ำ� นวนไดส้ ดั สว่ นกบั อตั ราการเจรญิ
เติบโตทางเศรษฐกิจหรอื ไม่?
(3) การอยอู่ าศยั ของประชาชนโดยทวั่ ไปเปน็ แบบใด? ประชาชน
ในชนบทกบั ประชาชนในเมอื งมสี ดั สว่ นกนั อยา่ งไรบา้ ง? อะไรบา้ งทเ่ี ปน็ จดุ ออ่ น และ
จดุ แข็งของประชาชนในชนบทและในเมอื ง?
(4) จำ� นวนประชาชนต่อตารางกิโลเมตรมีเทา่ ใด?
(5) ก�ำลงั ทหารมีจำ� นวนเท่าใด? มีระดับการศึกษาเปน็ อยา่ งไร?
ซ) คุณลักษณะของประชาชน
(1) ประชาชนในรฐั ประกอบดว้ ยหลายเชอื้ ชาตหิ รอื ไม?่ ถา้ หากมี
หลายเช้อื ชาตมิ ีอะไร เป็นหลกั ในการปรบั ใหเ้ ข้ากนั ?
(2) ปญั หาเรอ่ื งเชอื้ ชาตมิ ผี ลกระทบตอ่ กำ� ลงั คนในชาตเิ ปน็ สว่ นรวม
หรือไม?่

49

(3) ศาสนาอะไรบา้ งทปี่ ระชาชนเคารพนบั ถอื มากทสี่ ดุ ? ประชาชน
สามารถเลอื กนับถือศาสนาไดโ้ ดยอสิ ระหรือไม?่
(4) ภาษาประจ�ำชาตคิ ืออะไร? จ�ำนวนเปอรเ์ ซน็ ต์ของประชาชน
ท่พี ดู ภาษาประจำ� ชาติได?้ ประชาชนรหู้ นังสอื จำ� นวนเท่าใด?
(5) มกี ารกระจายการปฏบิ ตั งิ านในชนบททส่ี ำ� คญั ๆ ทว่ั ทง้ั ประเทศ
หรอื มีการจ�ำกดั เป็นพน้ื ที่ชนบทไว้บางแหง่ ?62
จ. การประเมนิ พลังอำ� นาจแหง่ ชาติ
ขดี ความสามารถของชาตทิ จี่ ะกอ่ ใหเ้ กดิ เปน็ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตนิ น้ั
อาจประเมนิ คา่ ออกมาเปน็ ตวั เลขทางคณติ ศาสตรไ์ ด้ โดยการเปรยี บเทยี บพลงั อำ� นาจ
แห่งชาติของประเทศอื่นประกอบด้วย เพ่ือจะได้ทราบว่าพลังอ�ำนาจแห่งชาติของ
ประเทศใดมมี ากนอ้ ยกวา่ กนั เทา่ ใด ทงั้ นี้ ไดม้ นี กั วชิ าการทมี่ ชี อ่ื เสยี งหลายทา่ นไดน้ ำ� เสนอ
สูตรการค�ำนวณพลังอ�ำนาจแห่งชาติไว้อยา่ งหลากหลาย ดังน้ี

1) สูตรของซงิ เกอร์ (Singer) และ สมอลล์ (Small)63

Power = (tpop + upop + sp + fc + mp + saf)

6

โดยก�ำหนดให้ Power = National power

tpop = Total population

upop = Urban population

sp = Steel production

fc = Fuel/coal production

mp = Military budget

saf = Military personnel

50

2) สูตรของไคลน์ (Cline)64
Power = (C + E + M) x (S + W)
โดยก�ำหนดให ้ Power = National power
C = Critical mass ประกอบดว้ ย Territory+Population
E = Economic strength
M = Military strength
S = Strategic purpose
W = National will

3) สตู รของเบ็คแมน (Beckman)65
Power = [steel + (pop x pol_stab)]
2
โดยก�ำหนดให้ Power = National power
steel = Percantage of world steel production
pop = Percantage of world population)
pol_stab= Score for political stability

4) สตู รของอลั คอ็ ก (Alcock) และนวิ คอมบ์ (Newcombe)66
Power = populat i o n x p o pGuNlPat i o n =
GNP

โดยก�ำหนดให้ Power = National power
GNP = Gross National Product

5) สูตรของฟุคส์ (Fucks)67
Power = (EP1/3) + (SP1/3)
2
โดยก�ำหนดให้ Power = National power
E = Energy production
P = Population
S = Steel production

51

6) สตู รของเจอร์มัน (German)68
Power = N (L + P + I + M)
โดยกำ� หนดให้ Power = National power
L = f1 (territory, use of territory)
P = f2 (workforce, use of workforce)
I = f3 (resources, use of resources)
M = 10 x (military personnel) in million
N = 2 if nuclear armed, = 1 if not
จากสตู รการประเมนิ คา่ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตดิ งั กลา่ วขา้ งตน้ เหน็ ไดว้ า่
สูตรของไคลน์ อาจมีปัญหาในเร่ืองของการประเมินค่าปัจจัยท่ีจับต้องไม่ได้ ได้แก่
จดุ ประสงคท์ างยทุ ธศาสตร์ (Strategic purpose) และเจตจำ� นงแหง่ ชาติ (National
will) ทงั้ นเ้ี นอ่ื งจากอาศยั การรบั รทู้ างดา้ นอตั วสิ ยั (Subjective perception) เปน็
หลกั สูตรการค�ำนวณของไคลน์ จึงวางน้�ำหนักไปที่ตัวแปรท่ีใช้ดุลยพินิจของบุคคล
มากเกินไป ในขณะที่สูตรการค�ำนวณของซิงเกอร์ และสมอลล์ มีองค์ประกอบท่ี
เป็นกล่มุ กอ้ นทน่ี �ำไปสกู่ ารบง่ ช้ีพลังอ�ำนาจแหง่ ชาตไิ ดม้ ากกวา่ ดงั น้นั ตวั อยา่ งของ
การประเมนิ คา่ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตทิ จ่ี ะแสดงใหเ้ หน็ ตอ่ ไปน้ี เปน็ การประเมนิ ทอ่ี าศยั
วธิ กี ารค�ำนวณท่ีผสมผสานวธิ ีการดังกล่าว โดยก�ำหนดหลักเกณฑท์ ่สี ำ� คญั ไว้ ดังนี้
1) ใชข้ อ้ มลู สถติ ริ วมประจำ� ปี โดยคำ� นวณสดั สว่ นรอ้ ยละของผลรวม
ของโลกในแตล่ ะตวั แปรของทกุ ประเทศในโลก (เวน้ แตก่ ารบรโิ ภคพลงั งานใหค้ ดิ เฉลย่ี
ตอ่ หวั ประชากร)
2) สำ� หรบั องคป์ ระกอบเพมิ่ เตมิ ไดก้ ำ� หนดใหม้ วลวกิ ฤต (Critical mass)
มีคะแนนเต็ม 200 คะแนน โดยแบ่งเป็นคะแนนของดินแดน (Territory) และ
ประชากร (Population) อย่างละ 100 คะแนน ในขณะท่ีความเข้มแข็งทาง
เศรษฐกจิ (Economic strength) และความเขม้ แขง็ ทางทหาร (Military strength)
กำ� หนดให้มีคะแนนเตม็ อย่างละ 200 คะแนน เพื่อความสะดวกในการคำ� นวณ

52

3) ในตัวแบบท่ีมีลักษณะปฏิสัมพันธ์กันน้ัน (Interactive model)
จะกำ� หนดดชั นวี ดั ขดี ความสามารถซง่ึ จะใชเ้ ปน็ ตวั คณู พลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ (Power
multiplier) โดยการลบการบริโภคพลังงานเฉลี่ยต่อหัวประชากรของแต่ละชาติ
ออกจากค่าเฉลยี่ การบริโภคพลงั งานต่อหัวประชากรของโลก
4) ลบคะแนนพลังอ�ำนาจแห่งชาติเป้าหมายออกจากคะแนนของชาติ
ทใี่ ชเ้ ปน็ ตัวต้งั เพอื่ ก�ำหนดดชั นอี ัตราสว่ น (Ratio Index) สำ� หรับขดี ความสามารถ
ท่ีใช้เปรยี บเทียบ (Relative capabilities)
จากวิธีการดังกล่าวมาแล้วข้างต้น สามารถก�ำหนดตัวแบบส�ำหรับ
การประเมนิ ค่าพลงั อ�ำนาจแหง่ ชาติแบบ ดงั นี้
(1) ตัวแบบท่ี 1 (Model 1)
Power = (Nation i’s GNP) x 200
World Total
(2) ตัวแบบที่ 2 (Model 2)
Power = (Critical Mass + Economic strength +
Military strength)
3
โดยก�ำหนดให้
Critical mass = (i’s POPU) x 100 + (i's AREA) x 100
World Total World Total
Economic strength = (i’s GNP) x 200
World Total
Military strength = (i's ME) x 200
World Total
(3) ตัวแบบที่ 3 (Model 3)
Power = Model 2 x (i's ENGY)
World Average

53

โดยกำ� หนดให้
GNP = Gross National Product
POPU = Total Population
AREA = Total Area
ME = Military Expenditures
ENGY = Energy Consumption per Capita
ตวั อยา่ งของการประเมนิ คา่ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตขิ องประเทศตา่ งๆ ทว่ั โลก
ในระหวา่ งปี ค.ศ.1978-1994 โดยการใชต้ วั แบบท่ี 1-3 (Model 1-3) และตวั แบบของ
ไคลน์ (Cline’s model) ดังทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วปรากฏอยใู่ นตารางท่ี 1-3 ขา้ งลา่ งน้ี

ตารางท่ี 1-3 การประเมนิ คา่ พลังอ�ำนาจแห่งชาติของประเทศตา่ งๆ
ทวั่ โลกในระหวา่ งปี ค.ศ.1978-1994

No. Model 1 Score Model 2 Score Model 3 Score Cline’s Score
Model
550
1 USA 46.657 USA 37.229 USA 196.497 USA 434
346
2 EC 46.195 USSR 35.608 USSR 111.760 Japan 328
250
3 Japan 27.299 EC 28.244 EC 63.266 Germany 240
240
4 USSR 24.789 Russia 16.453 Russia 59.080 Russia 240
220
5 Germany 13.124 China 14.911 Canada 24.003 Canada 216
195
6 W.Germany 11.928 Japan 11.820 Japan 23.951 China

7 France 9.601 Germany 7.682 Germany 23.043 UK

8 China 8.028 India 7.199 W.Germany 20.147 France

9 Italy 7.702 W.Germany 6.866 France 13.683 Italy

10 UK 7.164 France 6.204 UK 13.064 Brazil

11 Russia 6.323 UK 5.034 Australia 10.436 Taiwan

12 Canada 4.019 Canada 4.520 Italy 7.355 S.Korea 180
13 Brazil 3.633 Brazil
4.507 E.Germany 6.024 Indonesia 175

54

ตารางที่ 1-3 การประเมินคา่ พลังอ�ำนาจแหง่ ชาติของประเทศตา่ งๆ
ท่วั โลกในระหวา่ งปี ค.ศ.1978-1994 (ต่อ)

No. Model 1 Score Model 2 Score Model 3 Score Cline’s Score
Model

14 Spain 3.317 Italy 4.178 China 5.592 Australia 175

15 Netherland 2.288 Australia 3.004 S.Arabia 5.448 India 147

16 Poland 2.123 Saudi 2.562 Poland 4.839 Spain 140
Arabia

17 Mexico 2.111 Iran 2.275 Netherlands 4.431 Mexico 125

18 Australia 2.018 Indonesia 2.003 Ukraine 3.706 Turkey 117

19 Switzerland 1.919 Poland 1.976 Czech 3.696 S.Africa 114

20 India 1.887 Spain 1.969 Kazakhstan 3.199 Thailand* 110

21 Iran 1.777 Mexico 1.798 Sweden 2.770 Switzerland 105

22 Ukraine 1.741 Argentina 1.674 Belgium 2.684 Netherlands 102

23 E.Germany 1.733 E.Germany 1.561 Spain 2.476 Egypt 99

24 Belgium 1.557 Iraq 1.540 Romania 2.308 Belgium 94

25 Sweden 1.556 Netherlands 1.325 UAE 2.091 Ukraine 88

26 Argentina 1.457 Ukraine 1.300 Switzerland 1.988 Pakistan 84

27 S.Korea 1.454 S.Korea 1.253 Norway 1.766 Norway 80

28 Czech 1.340 Czech 1.139 Brazil 1.754 Vietnam 77

29 Austria 1.313 Pakistan 1.105 Bulgaria 1.685 N.Korea 77

30 Saudi Arabia 1.243 S.Africa 1.067 Argentina 1.585 Argentina 72

31 Romania 1.156 Romania 1.027 Mexico 1.577 Nigeria 72

32 Taiwan 1.088 Turkey 1.021 Iran 1.505 Iran 66

33 Denmark 1.028 Sweden .995 S.Africa 1.457 Austria 65

34 Yugoslavia .874 Switzerland .991 Denmark 1.424 Israel 63

35 S.Africa .868 Algeria .988 Libya 1.408 Philippines 63

55

ตารางที่ 1-3 การประเมนิ ค่าพลงั อ�ำนาจแห่งชาตขิ องประเทศต่างๆ
ทั่วโลกในระหวา่ งปี ค.ศ.1978-1994 (ตอ่ )

No. Model 1 Score Model 2 Score Model 3 Score Cline’s Score
Model
S.Korea 1.350
36 Norway .759 Egypt .980 Finland 1.269 Saudi Arabia 60
Kazakhstan .970 Austria 1.266
37 Finland .741 Taiwan .950 Czech Rep. 1.203 Kazakhstan 56
Nigeria .918 Hungary 1.139
38 Indonesia .740 Belgium .897 Kuwait 1.134 Hong Kong 55
Libya .845 N.Korea .970
39 Hungary .736 Zaire .827 Taiwan .958 Algeria 52
Sudan .813 Qatar .954
40 Turkey .708 Bangladesh .798 India .934 Poland 52
Thailand* .796 Venezuela .878
41 Czech Rep. .610 Yugoslavia .732 Yugoslavia .874 Sweden 50
Peru .685 Israel .873
42 Thailand* .564 Philippines .658 Denmark 50

43 Greece .558 N.Zealand 50

44 Iraq .544 Singapore 48

45 Bulgaria .532 Chile 48

46 Kazakhstan .529 Zaire 42

47 Belarus .526 Finland 40

48 Portugal .464 Morocco 40

ทม่ี า : Chin-Lung Chang, A Measure of National Power, Department of Political Science,
Yilan County : Fo-guang University, 1999.

3. สรุป
ความสัมพันธ์ระหว่างความม่ันคงแห่งชาติกับยุทธศาสตร์ชาติ เป็น
สง่ิ ทแี่ ยกจากกนั ไดย้ าก โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในการวางแผนและการปฏบิ ตั กิ ารตา่ งๆ
เพอ่ื ทจ่ี ะรกั ษาไวซ้ ง่ึ ผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ อยา่ งไรกต็ าม การดำ� เนนิ การตามนโยบาย
ความมน่ั คงแหง่ ชาติ เพอื่ ใหบ้ รรลเุ ปา้ หมายแหง่ ชาตติ ามทกี่ ำ� หนดนนั้ จำ� เปน็ ตอ้ งใช้
พลังอ�ำนาจแห่งชาติท้ังส้ินที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่จากการที่เราได้ศึกษา
และพิจารณาเกี่ยวกับพลังอ�ำนาจแห่งชาติมาพอสมควรแล้ว ก็พอสรุปได้ว่า

56

พลังอ�ำนาจแห่งชาติเป็นพลังอ�ำนาจทั้งส้ินของชาติ ทั้งท่ีเป็นรูปธรรมและเป็น
นามธรรม ซ่ึงสามารถน�ำไปใช้ให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติเป็นส่วนรวม
โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ทำ� ใหบ้ รรลซุ ง่ึ ประโยชนแ์ หง่ ชาติ แตใ่ หพ้ งึ ระลกึ อยเู่ สมอดว้ ยวา่
พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตทิ เ่ี ปน็ รปู ธรรมเชน่ กำ� ลงั ทหารหรอื อาวธุ ยทุ โธปกรณแ์ ตอ่ ยา่ ง
เดยี วนนั้ ไมส่ ามารถนำ� ไปใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนไ์ ดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ ถา้ ขาดการสนบั สนนุ
จากพลงั อำ� นาจทเ่ี ป็นนามธรรม เช่น ขวญั และกำ� ลงั ใจ อดุ มการณ์ และศรทั ธา
ความเช่ือถือต่อภาวะผู้น�ำ อีกท้ังแต่ละประเทศย่อมอาศัยพลังอ�ำนาจแห่งชาติ
ของตนเป็นเคร่ืองมือ เพื่อท�ำให้นโยบายต่างประเทศท่ีเลือกไว้บรรลุผลส�ำเร็จ
ตามวัตถุประสงค์แห่งชาติ บางประเทศสามารถใชอ้ งคป์ ระกอบพลงั อำ� นาจแหง่ ชาติ
ทง้ั 5 ประการ คอื กำ� ลงั อำ� นาจทางการเมอื ง ก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร ก�ำลังอ�ำนาจ
ทางเศรษฐกิจ ก�ำลังอ�ำนาจทางสังคมจิตวิทยา และกำ� ลงั อำ� นาจทางสารสนเทศ
ไปพรอ้ มๆ กบั การดำ� เนนิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศ แต่บางประเทศก็สามารถ
ใช้ได้เพียงบางองค์ประกอบ เพราะไม่มีขีดความสามารถที่จะใช้เครื่องมือเหล่าน้ี
ไดท้ ้งั หมด อยา่ งไรก็ตาม เคร่อื งมือสำ� คญั อย่างย่งิ ของชาติ อนั ไดแ้ ก่ กำ� ลงั อำ� นาจ
ทางเศรษฐกิจ และก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร เป็นเครื่องมือท่ีจ�ำเป็นต้องใช้เงินทุน
อย่างมหาศาล ซึ่งคงไม่มีประเทศใดในโลกน้ีที่สามารถใช้เคร่ืองมือตา่ งๆ เหลา่ นไ้ี ด้
อย่างเต็มท่ี แม้แต่ประเทศอภิมหาอ�ำนาจเอง หรือประเทศใดๆ ก็ยังมีข้อจ�ำกัด
เน่ืองจากสงครามทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต่างก็เป็นสงครามจ�ำกัดท้ังสิ้น
เพยี งแตม่ มี ากนอ้ ยแตกตา่ งกนั ออกไป ตามพลงั อำ� นาจของแตล่ ะประเทศและขอ้ จำ� กดั
ของสถานการณใ์ นขณะนัน้

57

อ้างองิ ท้ายบท

1 Liotta, 2002 cited in Czeslaw Mesjasz, Security as an Analytical Concept,
Poland: Cracow University of Economic, 2004, p.4.
2 พจน์ พงศ์สวุ รรณ, พลตร,ี หลกั ยทุ ธศาสตร์, กรงุ เทพฯ : โอ เอส พรนิ้ ติ้ง เฮาส,์ 2536,
หนา้ 42.
3 ค�ำว่า “ชาติ” (Nation) หมายถึง กลมุ่ ของคนผซู้ ง่ึ ผกู พนั อย่ใู นกลมุ่ เดยี วกนั โดยอาศัย
ประวัตศิ าสตร์ ขนบธรรมเนยี ม คา่ นิยม ภาษา วฒั นธรรม ประเพณี ศลิ ปะ และศาสนา
ในขณะท่ีค�ำว่า “รัฐ” (State) หมายถึง ผืนแผ่นดินที่มีรัฐบาลท่ีมีอ�ำนาจสูงสุด
ในการปกครองประเทศอย่างเปน็ อสิ ระ ค�ำวา่ “ชาติ” จงึ มีอัตลกั ษณท์ างดา้ นการเมอื ง
วัฒนธรรม (Politico-cultural entity) อันเป็นคุณลักษณะเฉพาะและสิทธิของ
ประชาชนโดยรวม ในขณะท่ีค�ำว่า “รัฐ” มีอัตลักษณ์ทางด้านการเมืองกฎหมาย
(Politico-judicial entity) ซึ่งจะได้รับการพิสูจน์ทราบโดยอาศัยสิทธิตามอ�ำนาจ
อธิปไตยของชาต.ิ
4 พจน์ พงศส์ ุวรรณ, อา้ งแล้ว, หนา้ 43.
5 Prabhakaran Paleri, National Security: Imperatives And Challenges, New
Delhi: Tata McGraw-Hill, 2008, p.521.
6 Macmillan Dictionary (online version), Definition of “national security”,
Macmillan Publishers Limited, retrieved on 22 September 2010.
7 Joseph J. Romm, Defining national security: the nonmilitary aspects, Pew
Project on America's Task in a Changed World (Pew Project Series), Council
on Foreign Relations, 1993, p.5.
8 bid., p.79.

58

9 Horold Brown, Thinking about national security: defense and foreign
policyin a dangerous world, 1983, as quoted in Cynthia Ann Watson, U.S.
national security: a reference handbook, Contemporary world issues (2
(revised) ed.), ABC-CLIO, 2008, p.281.
10 Charles S. Maier, Peace and security for the 1990s, Unpublished paperfor
the MacArthur Fellowship Program, Social Science Research Council, 12
June 1990, as quoted in Joseph J. Romm, Defining national security: the
nonmilitary aspects, Pew Project on America's Task in a Changed World
(Pew Project Series), Council on Foreign Relations, 1993, p.5.
11 Prabhakaran Paleri, op.cit, pp.52-54.
12 พ.ร.บ.ว่าดว้ ย การบรหิ ารราชการในสถานการณ์ฉกุ เฉิน พ.ศ. 2495 มาตรา 3, ให้ไว้ ณ
วันท่ี 8 มีนาคม พ.ศ.2495, เปน็ ปที ่ี 7 ในรชั กาล 9
13 พ.ร.บ.การรกั ษาความมนั่ คงภายในราชอาณาจกั ร พ.ศ. 2551, ราชกจิ จานเุ บกษา เลม่ 125
ตอนท่ี 39ก, 27 กมุ ภาพนั ธ์ 2551, หนา้ 34.
14 Security: a new framework for analysis, Lynne Rienner Publishers, 1998.
p.239.
15 Security, Dictionary of Military and Associated Terms, 2001 (As amended
through 31 July 2010), p.477.
16 Mark Rupert, International Relations Theory. Oxford: Oxford University
Press, 2007.
17 The American Heritage Science Dictionary, Sociology, http://dictionary.
reference.com/browse/sociology, retrieved on 13 July 2013.
18 John F. Stolte, Alan Gary Fine & Karen S. Cook, Sociological miniaturism:

59

seeing the big through the small in social psychology, Annual Review of
Sociology 27, 2001, pp.387–413.
19 ทพิ ยว์ รรณ นพวงศ์ ณ อยธุ ยา, จติ วทิ ยาพฒั นาคณุ ภาพคน, วารสารเสนาธปิ ตั ย์ ปที ่ี 39
ฉบับที่ 3, 2533, หน้า 118.
20 ในต�ำราบางเล่มอาจใช้ “ความมั่นคงทางไซเบอร์” หรือ “ความม่ันคงทางเครือข่าย
คอมพวิ เตอร”์ (Cyber Security) แทนคำ� วา่ “ความมนั่ คงทางสารสนเทศ” แตพ่ งึ เขา้ ใจ
ดว้ ยวา่ ความมนั่ คงทางสารสนเทศมขี อบเขตทก่ี วา้ งขวางมากกวา่ ความมน่ั คงทางไซเบอร์
เพราะความม่ันคงทางไซเบอร์ก็ถือเป็นส่วนหน่ึงของความมั่นคงทางสารสนเทศด้วย
ทั้งน้ี ความม่ันคงทางไซเบอร์ความม่ันคงหรือการรักษาความปลอดภัย หมายถึง
ทกุ สง่ิ ทกุ อยา่ งทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั ความมนั่ คงหรอื การรกั ษาความปลอดภยั ของไซเบอร์ ในขณะที่
ความม่ันคงหรือการรักษาความปลอดภัยทางสารสนเทศ หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่าง
ท่ีเกี่ยวข้องกับความมั่นคงหรือการรักษาความปลอดภัยของสารสนเทศหรือระบบ
สารสนเทศ ไม่วา่ จะอยู่ในรูปแบบใด รวมถึงระบบไซเบอร์ดว้ ย
21 44 U.S. Code § 3542–Definitions, Cornell University Law School, https://
www.law.cornell.edu/uscode/text/44/3542, retrieved on 19 May 2015.
22 ISO/IEC 27000:2009 (E), Information technology-Security techniques-
Information security management systems-Overview and vocabulary,
2009.
23 J.F. Rockart, M.J. Earl & J.W. Ross, Eight imperatives for the new IT
organization Sloan Management review, 1996.
24 William Jackson, Experts repeat: Security is a people-not technology-
problem, Government Computer News, March 18, 2003.
25 พจน์ พงศส์ ุวรรณ, อา้ งแล้ว, หนา้ 47.

60

26 เร่ืองเดยี วกนั , หน้า 47.
27 เรอื่ งเดยี วกัน, หน้า 47-48.
28 เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า 52.
29 เรื่องเดยี วกัน, หนา้ 48-50.
30 เรื่องเดียวกนั , หนา้ 50-51.
31 Victoriano Casas III, An Information Security Risk Assessment Model for
Public and University Administrators, Applied Research Project, Texas:
Texas State University, 2006.
32 เรอื่ งเดียวกนั , หนา้ 53.
33 เรอ่ื งเดียวกนั , หน้า 53-55.
34 เรอื่ งเดียวกนั , หน้า 60-61.
35 Inis L. Claude, Power and International Relations, New York: Random
House, 1962.
36 JP 1-02: Dictionary of Military and Associated Terms, Instruments of
national power in US & NATO Military Terminology Group, Pentagon,
Washington DC: Joint Chiefs of Staff, US Department of Defense, 2010,
p.229.
37 U.S. Command and General Staff College, Fort Leavenworth, Military
Environment, National Power, 1976, p.1-1.
38 พจน์ พงศ์สุวรรณ, อา้ งแล้ว, หนา้ 62.
39 เรื่องเดียวกัน, หนา้ 62.
40 เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา้ 62.

61

41 เรื่องเดยี วกัน, หน้า 62-64.
42 David Blair, ‘There is no military solution’? In diplomacy, sometimes,
the military are the only solution, The Telegraph, http://blogs.telegraph.
co.uk/news/davidblair/100243728/there-is-no-military-solution-in-
diplomacy-sometimes-the-military-is-the-only-solution/, retrieved
on 30 October 2013.
43 พจน์ พงศ์สุวรรณ, อ้างแลว้ , หนา้ 64-66.
44 เร่ืองเดียวกัน, หน้า 72-74.
45 เร่อื งเดียวกนั , หน้า 66.
46 World Economic Outlook Database, October 2016, International Monetary
Fund, updated on 4 October 2016.
47 มีช่ือทางการว่า “สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก” เดิมช่ือประเทศสาธารณรัฐซาอีร์
แต่ไดเ้ ปลี่ยนมาเป็นชือ่ ประเทศใหมท่ ่ีใชอ้ ยู่ในปัจจบุ ันในปี พ.ศ.2540.
48 World Trade Organization (WTO) statistics, The biggest exporters and
importers of food in 2013, http://www.wto.org/english/res_e/statis_e/
statis_e.htm, retrieved on 5 November 2014.
49 พจน์ พงศ์สุวรรณ, อา้ งแลว้ , หนา้ 66-67.
50 http://omrpublic.iea.org/omrarchive/12dec12sup.pdf, retrieved on 10
December 2014.
51 U.S. Energy Information Administration, Petroleum & Other Liquids: U.S.
Import by Country Origin, http://www.eia.gov/dnav/pet/pet_move_
impcus_a2_nus_epc0_im0_mbblpd_a.htm, retrieved on 10 December2014.

62

52 เคร่ืองปฏิกรณ์นิวเคลียร์ (Nuclear Reactor) คือ เครื่องผลิตพลังงานนิวเคลียร์
ทส่ี ามารถควบคมุ การแบง่ แยกนวิ เคลยี รแ์ ละปฏกิ ริ ยิ าลกู โซใ่ หเ้ กดิ ขนึ้ ในอตั ราทพี่ อเหมาะ
ทำ� ใหส้ ามารถนำ� เอาพลงั งานความรอ้ น นวิ ตรอน และรงั สที เ่ี กดิ ขน้ึ ไปใชใ้ หเ้ ปน็ ประโยชนไ์ ด้
53 กรมทรัพยากรธรณ,ี ความหมายของแร่ (Mineral), http://www.dmr.go.th/main
php?filename=min1, retrieved on 15 December 2014.
54 N.G. Connelly & T. Damhus (with R.M. Hartshorn & A.T. Hutton),
Nomenclature of Inorganic Chemistry: IUPAC Recommendations,
Cambridge: RSC Publ, 2005.
55 สทุ ศั น์ ยกสา้ น, ความสำ� คญั ของธาตหุ ายาก, ผจู้ ดั การออนไลน,์ คอลมั น์ โลกวทิ ยาการ,
18 กรกฎาคม 2557, http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.
aspx?NewsID=9570000081154, retrieved on 18 January 2015.
56 พจน์ พงศ์สวุ รรณ, อ้างแลว้ , หน้า 70-71.
57 JP 1: Doctrine for the Armed Forces of the United States, Washington DC:
Joint Chiefs of Staff, U.S. Department of Defense, 2013, p.I-11.
58 เรือ่ งเดยี วกนั , หน้า 74-76.
59 เรื่องเดียวกัน, หนา้ 76.
60 เรื่องเดยี วกัน, หนา้ 77-78.
61 เรื่องเดยี วกนั , หนา้ 78-79.
62 เร่ืองเดียวกัน, หน้า 79-81.
63 David J. Singer and Melvin Small, The Wages of War, 1816-1965:
A Statistical Handbook, New York: John Wiley, 1972.
64 Ray S. Cline, The Power of Nations in the 1990s: A Strategic Assessment,
Lanham: University Press of America, 1994.

63

65 Peter R. Beckman, World Politics in the Twentieth Century, Englewood
Cliffs: Prentice-Hall, 1984.
66 Norman Z. Alcock & Alan G. Newcombe, The perception of national power,
Journal of Conflict Resolution 14 (3), 1970.
67 Wilhelm Fucks, Formeln zur Macht: Prognosen über Völker, Wirtschaft,
Potentiale, Stuttgart: Deutsche Verlags-Anstalt [in German], 1965.
68 Clifford F. German, A Tentative Evaluation of World Power, Journal of
Conflict Resolution 4 (1), 1960, pp.138−144.

64

บทท่ี 2
หลกั พ้ืนฐานของสงคราม
(Fundamental of War)

1. กลา่ วน�ำ
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่สนใจศาสตร์และศิลป์ของสงคราม มักเร่ิมต้นด้วย
การศึกษาประวตั ศิ าสตร์ อย่างไรก็ตาม การศึกษาประวตั ศิ าสตร์น้อี าจไดป้ ระโยชน์
ไม่เต็มที่ หากผู้ศึกษาไม่ได้มีความรู้ความเข้าใจท่ีถูกต้องเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้
บทเรยี นจากประวัติศาสตร์ดังกล่าว เน้อื หาในบทนีเ้ ป็นการนำ� เสนอความรู้พ้ืนฐาน
เก่ียวกับสงคราม หลักการสงคราม กฎของสงคราม หลักนิยมทางทหาร และ
ประวัติศาสตร์ อันแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการและวิธีการท�ำสงครามในภาพรวม
ซ่ึงมีความสัมพันธ์กันต้ังแต่ในระดับยุทธศาสตร์ลงไปถึงระดับยุทธวิธี เพื่อให้ผู้อ่าน
ไดม้ ีความรคู้ วามเข้าใจเกี่ยวกบั หลกั พื้นฐานของสงครามอยา่ งเพียงพอ ส�ำหรับการ
กำ� หนดยุทธศาสตร์ทีจ่ ะกล่าวถึงในบทต่อไป
2. ความหมาย
คำ� ว่า “สงคราม” (War) มคี วามหมายหลากหลาย ดังนี้
“สงคราม” ตามกฎหมายระหวา่ งประเทศ หมายถงึ พฤตกิ รรมอนั ชอบ
ดว้ ยกฎหมายทอ่ี ำ� นวยใหก้ ลมุ่ คตู่ อ่ สทู้ ง้ั สองฝา่ ยหรอื มากกวา่ มโี อกาสเสมอกนั ทจี่ ะดำ� เนนิ
การเก่ยี วกับความขัดแย้งโดยก�ำลังรบ1
“สงคราม” ในทศั นะทางการเมอื ง เปน็ เครอ่ื งมอื ของนโยบายทใ่ี ชเ้ พอ่ื
ใหเ้ ปน็ ไปตามวัตถปุ ระสงคข์ องชาติ หลังจากท่ใี ช้วิธอี น่ื แล้วไมป่ ระสบผลส�ำเร็จ2
“สงคราม” ในทศั นะทางการทหาร หมายถงึ การใช้ก�ำลังเข้ากระท�ำ
การอย่างรนุ แรง เพื่อบีบบังคับใหฝ้ า่ ยศัตรูปฏบิ ตั ติ ามความประสงคข์ องฝ่ายตน3
“สงคราม” ในความหมายอยา่ งงา่ ยๆ หมายถงึ ความขดั แยง้ ระหวา่ ง
ประเทศ หรือระหว่างกลมุ่ ภายในประเทศ4 โดยมกี ารใชก้ ำ� ลงั หรอื ทหารประจ�ำการ

เขา้ ตอ่ สกู้ นั เพอื่ แยง่ ชงิ ดนิ แดนหรอื ทรพั ยากร แกป้ ญั หาความแตกตา่ งทางวฒั นธรรม
หรือในกรณีอื่นๆ ท่ีมีการโต้แย้งกัน โดยอาจมีการประกาศสงครามระหว่างกัน
หรือไมก่ ไ็ ด้ สงครามแตกต่างจากการฆาตกรรม (Murder) หรอื การฆา่ ล้างเผ่าพันธุ์
(Genocide) เนื่องจากสงครามมีลักษณะของการจัดการกับผู้เข้าร่วมสงคราม
อย่างเป็นระบบ
อย่างไรก็ตาม ข้อความเหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นค�ำจ�ำกัดความในบริบท
ท่ัวไปของสงครามโลก ในมุมมองระดับยุทธศาสตร์ ความหมายเหล่านี้อาจเป็น
ท่ีโตแ้ ยง้ กนั ได้ หากตอ้ งการสอ่ื ให้เหน็ ถึงความซบั ซอ้ นของสงคราม และในมมุ มอง
ที่หลากหลาย ซ่ึงเกื้อกูลต่อความส�ำเร็จของชาติในเวทีการเมืองระดับนานาชาติ
เพอื่ ปกปอ้ งตนเองและสง่ เสรมิ ผลประโยชนแ์ หง่ ชาติ สงครามกม็ ไิ ดม้ ขี อ้ จำ� กดั เฉพาะ
ความขัดแย้งท่ีใช้ก�ำลังติดอาวุธระหว่างรัฐหรือชาติต่างๆ เท่าน้ัน แต่อาจใช้พลัง
อ�ำนาจแห่งชาติ หรือเครื่องมือท้ังหมดที่มีอยู่เพ่ือการท�ำสงคราม ไม่ว่าจะเป็น
การเมือง การทูต อิทธิพลทางเศรษฐกิจ (กอปรด้วยความร่วมมือขององค์การ
นานาชาติ และองค์การภาคเอกชน) การปฏิบัติการข่าวสาร อิทธิพลทางสังคม
และอิทธิพลทางการศึกษา รวมถึงการใช้ก�ำลังทหาร เพื่อกระตุ้นให้ยึดถือหรือ
ใหเ้ ปน็ ไปตามเจตจำ� นงของฝา่ ยตน
ลักษณะทั่วไปของสงคราม จึงเป็นสภาพความขัดแย้งระหว่างคู่กรณี
ตง้ั แต่ 2 ฝา่ ยขนึ้ ไป และมกี ารใชค้ วามรนุ แรงโดยเจตนา โดยอาศยั องคก์ ารทมี่ กี ารจดั
ก�ำลังพลและได้รับการฝึกมาเพื่อการนี้โดยเฉพาะ สงครามในระดับชาติอาจเป็น
สงครามท่ีต่อสู้กันภายในระหว่างกลุ่มการเมืองที่เป็นคู่แข่งหรือสงครามกลางเมือง
(Civil War) และสงครามท่ีต่อสู้กับศัตรูนอกประเทศ สงครามอาจต่อสู้กันในนาม
ของศาสนา เพอื่ ปอ้ งกนั ตนเอง เพอ่ื แยง่ ชงิ ดนิ แดนหรอื ทรพั ยากร และเพอื่ สนบั สนนุ
เป้าหมายทางการเมืองของผู้น�ำทางการเมืองท่ีเป็นฝ่ายรุกราน5 สงครามมักเป็น
ความขัดแย้งที่มีผู้สร้างขึ้นและมีลักษณะยืดเยื้อ อาจด�ำเนินการโดยรัฐ (States
Actors) หรือมิใช่รัฐ (Non-State Actors) และเป็นรูปแบบหนึ่งของการใช้

66

ความรุนแรง หรือการแทรกแซงทางการเมืองก็ได้ เทคนิคท่ีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้
ในการท�ำสงคราม เรียกว่า “การท�ำสงคราม” (Warfare) และสภาพทีอ่ ยู่ตรงขา้ ม
กับสงคราม หรือไมม่ สี งคราม เรียกว่า “ยามสงบ” (Peace)
ดงั น้นั ความหมายของคำ� ว่า “สงคราม” ในยคุ ปัจจบุ ัน จงึ หมายถึง
การใช้เคร่ืองมือท่ีเชื่อมโยงกันเท่าที่มีอยู่ทั้งหมดของชาติ เพื่อให้ไปตามเจตจ�ำนง
ของชาตอิ ยา่ งเพยี งพอในเวทกี ารเมอื งระหวา่ งประเทศ โดยทวั่ ไปผนู้ ำ� ทางการเมอื ง
มกั ใชก้ ำ� ลงั ทหารเปน็ เครอื่ งมอื สดุ ทา้ ยในการตอ่ สกู้ นั ทางการเมอื ง เมอื่ เครอ่ื งมอื อนื่ ๆ
ของชาติใช้ไม่ได้ผลแล้ว เม่ือเกิดข้อพิพาทที่อาจน�ำไปสู่สงคราม ท้ังสองฝ่าย
จะพยายามใช้กำ� ลงั อ�ำนาจทางการเมอื ง เศรษฐกจิ สังคมจิตวทิ ยา และเทคโนโลยี
รวมทง้ั การดำ� เนนิ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งประเทศหรอื การทตู เพอื่ ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์
ของฝา่ ยตนกอ่ น หากความพยายามเหลา่ นไี้ มป่ ระสบผล กจ็ ะพจิ ารณาใชก้ ำ� ลงั ทหาร
เปน็ วธิ กี ารสดุ ทา้ ย อยา่ งไรกต็ าม การใชม้ าตรการรนุ แรงหรอื สงครามนี้ มขี อ้ พจิ ารณา
ทสี่ ำ� คญั กค็ อื สงครามจะตอ้ งใชใ้ หเ้ กดิ ประโยชนต์ รงกบั ความมงุ่ หมายทางการเมอื ง
และเป็นธรรมต่อสังคม เพราะสงครามเป็นเพียงผู้รับใช้นโยบายทางการเมือง
อยา่ ปลอ่ ยใหส้ งครามเปน็ ตวั บงการนโยบายการเมอื งเสยี เอง การทำ� สงครามจงึ ตอ้ ง
อยใู่ นขอบเขตของความมงุ่ หมายทางการเมอื ง โดยความมงุ่ หมายทางการเมอื งนเี้ อง
เป็นตัวก�ำหนดว่าเมื่อไรควรใช้หรือไม่ใช้สงคราม ใช้ในขอบเขตแค่ไหน และเมื่อไร
ควรยตุ ิ เปน็ ตน้ สงครามตอ้ งเปน็ เพยี งเครอ่ื งมอื มใิ ชเ่ ปน็ จดุ สนิ้ สดุ ของความขดั แยง้
เพราะผลลพั ธส์ ดุ ทา้ ยของสงคราม คอื สนั ตภิ าพทสี่ มบรู ณ์ และมสี ภาพความเปน็ อยู่
ท่ีดีข้ึนของประชาชน ต่อให้ได้รับชัยชนะ แต่ต้องแลกกับความสูญเสียที่ยาก
จะเยยี วยาบนคราบนำ้� ตาของประชาชน ชยั ชนะดงั กลา่ วกไ็ มม่ ปี ระโยชนใ์ ดๆ ทง้ั สน้ิ
3. รูปแบบของสงคราม
แมว้ า่ สงครามท้งั หมดจะเก่ยี วข้องกับการใชค้ วามรนุ แรง แต่สงคราม
มีลักษณะของการใช้ความรุนแรงไม่เหมือนกันทั้งหมด สงครามแบ่งออกได้
หลายรปู แบบ ตามลักษณะของบุคคลท่ีทำ� การสู้รบ ความรุนแรงของความขัดแยง้
และขอบเขตของการใช้ความรุนแรง โดยท่ัวไปแล้วนักวิชาการทหารแบ่งสงคราม
ออกเปน็ 5 รูปแบบ ดังนี้

67

ก. สงครามทั่วไป
สงครามทวั่ ไป (General War) เปน็ ลกั ษณะของการตอ่ สกู้ นั ดว้ ยการใช้
พลังอ�ำนาจแห่งชาติ และระบบอาวุธที่มอี ยู่ท้งั สิ้นของทง้ั สองฝ่าย โดยไมม่ ีขอ้ จ�ำกัด
หรือละเว้นของแต่ละฝ่าย6 สงครามท่ัวไปเป็นสงครามที่สร้างความเสียหาย
โดยเฉพาะกับพลเรือนอย่างมหาศาล เน่ืองจากการเอาชนะในสงครามท่ัวไป
มกั ใชก้ ำ� ลงั เพอ่ื ทำ� ลายความมงุ่ มนั่ ของประชาชนตอ่ การทำ� สงคราม สงครามโลกครงั้ ท1ี่
และสงครามโลกครง้ั ท่ี 2 เปน็ สงครามทวั่ ไป เหน็ ไดจ้ ากเปน็ สงครามแหง่ การทำ� ลาย
เศรษฐกจิ และสงั คมพลเมอื งในหลายๆ ประเทศ เชน่ ฝรง่ั เศส เยอรมนี สหภาพโซเวยี ต
อิตาลี สหราชอาณาจักร และญ่ีปุ่น เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สงครามจ�ำกัด
ซึ่งจะกล่าวต่อไป อาจขยายขอบเขตไปสู่แบบของสงครามทั่วไปได้ เม่ือฝ่ายใด
ฝ่ายหนึ่งเห็นว่า ความอยู่รอดของชาติอาจอยู่ในข้ันวิกฤต จนถึงกับเสียเอกราช
หรืออธปิ ไตยของชาติ
ข. สงครามจำ� กัด
สงครามจำ� กดั (Limited War) เปน็ ลกั ษณะของการตอ่ สทู้ ใี่ ชพ้ ลงั อำ� นาจ
แห่งชาติบางส่วน หรือเป็นลักษณะของสงครามท่ีจ�ำกัดขอบเขตและงดเว้น
การปฏิบัติบางประการ เพ่ือวัตถุประสงค์ไม่ให้สงครามขยายขอบเขตกว้างขวาง
ออกไปขอ้ จำ� กดั ทท่ี ง้ั สองฝา่ ยอาจนำ� ไปดำ� เนนิ การ ไดแ้ ก่ การจำ� กดั พนื้ ที่ หรอื ขอบเขต
ของยทุ ธบรเิ วณ (Theater of Operations) จำ� กดั ระบบอาวธุ ทใ่ี ชบ้ างประการหรอื
อาจใชร้ ะบบอาวธุ ทงั้ สนิ้ แตจ่ ำ� กดั ในเรอื่ งเปา้ หมาย กำ� ลงั รบหรอื วตั ถปุ ระสงคท์ างทหาร
(Military Objectives) และความมงุ่ หมายทางการเมอื ง (Political Purpose)7แมว้ า่
สงครามจ�ำกัดอาจท�ำให้เกิดการสูญเสียประชาชนเป็นจ�ำนวนมากแต่ก�ำลังทหาร
จะไม่ท�ำลายโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมของข้าศึกอย่างส้ินเชิง ท้ังนี้ก็
เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง ตัวอย่างของสงครามจ�ำกัด ได้แก่
สงครามอ่าวเปอร์เซียเน่ืองจากฝ่ายสหรัฐอเมริกา และพันธมิตร มีวัตถุประสงค์
จำ� กดั เพยี งตอ้ งการบงั คบั ใหก้ ำ� ลงั ทหารอริ กั เคลอ่ื นยา้ ยกำ� ลงั ออกจากคเู วตเท่านั้น
68

ค. สงครามกองโจร
สงครามกองโจร (Guerrilla War) เป็นสงครามท่ีทหารของฝ่ายใด
ฝ่ายหน่ึงหรือท้ังสองฝ่ายใช้หน่วยที่เป็นก�ำลังติดอาวุธเบา แทนท่ีจะเป็นทหาร
มืออาชีพ และกองทัพที่มีการจัดหน่วยมาเป็นอย่างดี8 นักรบในสงครามกองโจร
มกั แสวงหาวธิ กี ารโคน่ ลม้ รฐั บาล โดยอาศยั การสนบั สนนุ จากประชาชน สงครามกองโจร
จึงมักเป็นสงครามยืดเยื้อที่มีแนวโน้มและเกื้อกูลให้ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบเป็น
ฝ่ายชนะ เห็นได้จากชัยชนะของ เหมา เจ๋อตง ต่อเจียง ไคเชก ในประเทศจีน
ในทศวรรษที่ 1940 ชัยชนะของเวียดกงต่อสหรัฐอเมริกาในสงครามเวียดนาม
และชัยชนะของกลุ่มมูจาฮีดีนต่อสหภาพโซเวียตในอัฟกานิสถานในทศวรรษที่
1980 เปน็ ต้น
ง. สงครามกลางเมือง
สงครามกลางเมอื ง (Civil War) เปน็ สงครามทต่ี อ่ สกู้ นั ภายในประเทศ
ระหว่างกลมุ่ พลเมอื งท่ีแตกต่างกนั ผู้ซึง่ ต้องการควบคมุ รัฐบาล และไม่ยอมรับสิทธิ
ในการปกครองของอีกกลุ่มหนึ่ง9 ในความรู้สึกของแต่ละฝ่าย สงครามกลางเมือง
อาจเป็นสงครามทั่วไปได้ เน่ืองจากต่างฝ่ายต่างรู้สึกว่าจ�ำเป็นต้องท�ำลายฐาน
การสนบั สนนุ ทางการเมอื งของฝา่ ยตรงขา้ ม ความแตกแยกในภมู ภิ าค เชน่ สงคราม
กลางเมืองของสหรัฐอเมริการะหว่างฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้ มีลักษณะบางอย่าง
ของสงครามกลางเมอื ง ในขณะทส่ี งครามกลางเมอื งอน่ื ๆ มกั เปน็ สงครามทสี่ รู้ บกนั
ระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ ศาสนา และชนเผ่า โดยการปฏิวัติหรือ การเปลี่ยนแปลง
สงั คมอย่างฉับพลนั ทันใด อาจเปน็ ตวั เรง่ ไฟของสงครามกลางเมืองไดเ้ ช่นกัน
จ. สงครามตัวแทน
สงครามตัวแทน (Proxy War) เป็นสงครามที่เกิดขึ้นจากรัฐที่เป็น
มือท่ีสามแทนที่จะเป็นรัฐท่ีเป็นคู่สงครามเอง10 ความขัดแย้งทางทหารหลายๆ
เหตุการณ์ในระหว่างสงครามเย็น เช่น สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม
เป็นสงครามตัวแทนระหว่างสหรัฐอเมริกากับสหภาพโซเวียต เพราะทั้งสองฝ่าย
ไม่ต้องการท่ีจะสู้รบกับอีกฝ่ายหน่ึงโดยตรง ในบางคร้ังการเข้าไปมีส่วนร่วม

69

ของประเทศที่สามในสงครามกลางเมือง หรือในสงครามระหว่างรัฐต้ังแต่สองรัฐ
ข้ึนไปนั้น อาจมีบางรัฐแทรกแซงด้วยการส่งทหาร อาวุธ เงิน หรือสินค้า ไป
ชว่ ยเหลอื รฐั ใดรฐั หนงึ่ เพอ่ื ใหร้ ฐั นนั้ มคี วามพรอ้ มในการทำ� สงครามกไ็ ด้ ในระหวา่ ง
สงครามเยน็ จงึ เกดิ คำ� วา่ “การแทรกแซงทางทหาร” (Intervention) เพอ่ื ใชอ้ ธบิ าย
ถงึ เหตกุ ารณท์ ปี่ ระเทศมหาอำ� นาจเขา้ ไปเกย่ี วขอ้ งกบั สงครามในประเทศทเี่ ลก็ กวา่
ท่ีมักเป็นประเทศด้อยพัฒนา แต่บางคร้ังการแทรกแซงของรัฐดังกล่าว อาจเป็น
ไปเพอื่ ใหเ้ กดิ ความสงบสขุ ในพนื้ ทก่ี ไ็ ด้ รปู แบบของการแทรกแซงเชน่ นจ้ี ะเกดิ ขน้ึ เมอ่ื
ประเทศใดประเทศหนงึ่ หรอื หลายๆ ประเทศ ไดส้ ง่ กำ� ลงั ทหารไปยงั อกี ประเทศหนง่ึ
เพอื่ ทำ� หนา้ ทเ่ี ปน็ ผรู้ กั ษาสนั ตภิ าพ หรอื หยดุ การโจมตขี องกำ� ลงั รบอนื่ ๆ การแทรกแซง
เหล่าน้ี อาจจัดหน่วยหรือด�ำเนินการโดยองค์การสหประชาชาติหรือองค์การ
ระหว่างประเทศอื่นๆ ก็ได้ เช่น สหรัฐอเมริการ่วมกับประเทศสมาชิก
องค์การแอตแลนติกเหนือ ได้ส่งทหารเข้าไปยังอดีตยูโกสลาเวีย เพื่อปกป้อง
ประชาชนจากสงครามกลางเมือง การโจมตีด้วยการท้ิงระเบิดทางอากาศของ
สหรัฐอเมริกาในโคโซโวใน ค.ศ.1999 เพื่อหยุดย้ังการสังหารหมู่ของชาวโคโซโว
ตอ่ ชาวเซริ บ์ การเขา้ แทรกแซงในโซมาเลยี ในตน้ ทศวรรษ 1990 เปน็ ความพยายาม
ทีจ่ ะใหค้ วามช่วยเหลือดา้ นมนุษยธรรม เปน็ ต้น
4. หลักการสงคราม
ในการทำ� สงคราม ประเทศทเ่ี ขา้ สสู่ งครามยอ่ มตอ้ งมคี วามจำ� เปน็ ในการใช้
ทรัพยากรของชาตินับเป็นจ�ำนวนมหาศาล ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายชนะหรือฝ่ายแพ้
ก็ตาม ถึงแม้ว่าทรัพยากรของชาติจะมีอยู่ค่อนข้างจ�ำกัด และไม่เพียงพอท่ีจะต้อง
ใช้ในการด�ำเนินการสงคราม ประเทศที่มีทรัพยากรจ�ำกัดอาจต้องเจรจาขอกู้เงิน
จากประเทศอ่นื เพอ่ื รกั ษาไว้ซึ่งศกั ดศิ์ รีและความอยรู่ อดของชาติ ดว้ ยเหตนุ ี้ ซนุ วู
ซึ่งเป็นนักปราชญ์ทางยุทธศาสตร์ชาวจีน ได้ย�้ำเตือนเอาไว้ว่า “การทหารเป็น
ความสนิ้ เปลอื งอยา่ งใหญห่ ลวง การเคลอื่ นยา้ ยกำ� ลงั ทหารแมเ้ พยี งวนั เดยี วกต็ อ้ งใช้
ทรพั ยส์ นิ มหาศาล การทำ� สงครามยดื เยอ้ื ยอ่ มทำ� ใหท้ หารออ่ นลา้ ความหา้ วหาญลดลง
การเขา้ ตปี อ้ มคา่ ยขา้ ศกึ เปน็ เวลานานกำ� ลงั รบยอ่ มรอ่ ยหรอ ฉะนน้ั การใชก้ ำ� ลงั ทหาร

70

เป็นเวลานาน เศรษฐกิจของชาติจะย่อยยับ ถ้าทหารหาญเหน่ือยอ่อน ย่อม
ขาดความห้าวหาญ ถ้าเศรษฐกิจของชาติย่อยยับ ต่างชาติก็ย่อมจะรุกราน
แมม้ ผี มู้ คี วามสามารถสงู เพยี งไร กย็ ากทจี่ ะตอ่ ตา้ นทพั ตา่ งชาตทิ ยี่ กเขา้ มาได้ ดงั นน้ั
การทำ� สงครามตอ้ งรวดเรว็ และเฉยี บขาด เพราะในประวตั ศิ าสตรไ์ มเ่ คยมปี ระเทศใด
ได้ประโยชน์จากสงครามที่ยืดเย้ือ”11 ดังนั้น การท�ำสงครามจึงจ�ำเป็นต้องมี
มาตรการควบคมุ เพอ่ื ใหร้ ฐั สามารถใชท้ รพั ยากรไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ และประสบ
ความส�ำเร็จตามวัตถุประสงค์ที่ก�ำหนด มาตรการควบคุมอันหน่ึงที่สามารถใช้ได้
อย่างมีประสิทธิผล และช่วยให้ผู้บังคับบัญชาทุกระดับยึดถือเป็นหลักปฏิบัติใน
การดำ� เนินกลยทุ ธ์ กค็ อื “หลกั การสงคราม” (Principles of War) น่นั เอง
หลักการสงคราม เป็นหลักความจริงพ้ืนฐานที่ใช้ควบคุมการท�ำสงคราม
เพราะหลกั การสงครามเกดิ จากการรวบรวมแนวคดิ ทเ่ี ปน็ สามญั สำ� นกึ ของนกั การทหาร
ในอดีต การยึดถือหลักการสงครามย่อมให้ผลในทางที่เป็นคุณแก่การบังคับบัญชา
ทกุ ระดบั และสามารถปฏบิ ตั กิ ารทางทหารไดผ้ ลสำ� เรจ็ ดว้ ยดใี นทางตรงขา้ ม ถา้ ผนู้ ำ� ทพั
คนใดทำ� สงครามโดยไมค่ ำ� นงึ ถงึ หรอื ฝนื หลกั การสงครามแลว้ ไซร้ โอกาสทจี่ ะตกเปน็
ฝา่ ยแพห้ รอื ปราชยั กจ็ ะมมี ากขน้ึ ดว้ ย สงครามนบั วา่ เปน็ เรอื่ งใหญแ่ ละกว้างขวางมาก
เราจงึ ตอ้ งระลกึ เสมอวา่ เพยี งความรแู้ ละความเขา้ ใจตอ่ หลกั การสงคราม ยอ่ มไมพ่ อ
ทจี่ ะใชแ้ กป้ ญั หาในการทำ� สงครามไดท้ กุ เรอื่ ง เพราะมปี จั จยั พนื้ ฐานอน่ื ๆ ของมนษุ ย์
เข้ามาเกยี่ วขอ้ งมากมาย ซ่งึ ลว้ นมผี ลต่อความส�ำเร็จของการปฏิบตั ิการท้ังสนิ้ เช่น
ความกล้าหาญ ขวัญก�ำลงั ใจ วนิ ยั ทหาร และภาวะผ้นู ำ� ดังเชน่ เคลาเซวทิ ซ์ ไดเ้ คย
กล่าวไว้วา่ “ทกุ ส่ิงทุกอย่างในสงครามเปน็ เรือ่ งงา่ ยมาก แต่เรอ่ื งที่ง่ายทสี่ ดุ น้ี กอ็ าจ
เปน็ เร่ืองที่ยากท่ีสดุ ไดเ้ ชน่ กนั ” (Everything in war is very simple, but the
simplest thing is very difficult)12 ความยากล�ำบากท่ีจะตอ้ งประสบในสงคราม
ไดแ้ ก่ อนั ตราย ความเหนด็ เหนอ่ื ยเมอ่ื ยลา้ ความกลวั ความไมแ่ นน่ อนในการรบ ฯลฯ
ความยากลำ� บากเหลา่ นเี้ ปน็ สงิ่ ทหี่ นไี มพ่ น้ เปน็ อปุ สรรค หรอื ขอ้ จำ� กดั สำ� คญั ในสนามรบ
และเป็นตวั บน่ั ทอนทั้งกำ� ลังใจและก�ำลังกายของกำ� ลังพล ซง่ึ สง่ ผลกระทบโดยตรง
ต่อขวัญทหารโดยรวม

71

อย่างไรก็ตาม การน�ำหลักการสงครามไปใช้ ควรค�ำนึงถึงความสัมพันธ์
ระหว่างหลักการสงครามด้วยกัน และสภาวการณ์ประกอบด้วย เพราะหลักการ
เหล่าน้ี เม่ือน�ำไปใช้ร่วมกันในบางสถานการณ์ หลักการบางอย่างอาจขัดแย้งกัน
เชน่ หลกั การรวมกำ� ลงั อาจขดั กบั หลกั การออมกำ� ลงั ไดใ้ นบางครงั้ หลกั การบางอยา่ ง
เมื่อน�ำไปใช้ร่วมกันก็จะช่วยสนับสนุนซ่ึงกันและกัน และท�ำให้การปฏิบัติ
ประสบผลส�ำเร็จ เช่น การใช้หลักการรวมก�ำลัง ผสมผสานกับหลักการจู่โจม
อาจเป็นผลดีต่อหลกั การออมกำ� ลงั ด้วยก็ได้ เพราะลดการสญู เสียดว้ ยวธิ ีการจูโ่ จม
โดยไม่ให้ข้าศึกรู้ตัว และสามารถใช้ก�ำลังแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ดังน้ัน การน�ำ
หลกั การสงครามไปประยกุ ตใ์ ช้ จงึ ขน้ึ อยกู่ บั การนำ� ไปใชใ้ หเ้ หมาะสมและสอดคลอ้ ง
กับเหตุการณ์น้ันมากน้อยเพียงไร ตัวอย่างของการน�ำหลักการสงครามไปใช้
ดงั กลา่ วแลว้ นบั เปน็ หลกั พน้ื ฐานสำ� คญั ของยทุ ธศาสตรท์ หาร เพราะยทุ ธศาสตรท์ หาร
ตามความหมายเดิมนั้น หมายถึง “ศลิ ปะของผนู้ ำ� ทพั ” (The Art of General)
โดยผนู้ ำ� ทพั สามารถนำ� เอาหลกั การสงครามไปใช้ เปน็ เสมอื นหนง่ึ เครอื่ งมอื ในการยทุ ธ์
ให้บรรลุผลส�ำเร็จตามเป้าหมายท่ีวางไว้ ในขณะท่ีฝ่ายตนอยู่ในฐานะที่ได้เปรียบ
มากท่ีสุด13 แต่พึงระลึกด้วยว่า แม้เราสามารถเรียนรู้หลักการสงครามได้ในระยะ
เวลาอนั สน้ั แตเ่ ราอาจตอ้ งอทุ ศิ เวลาทงั้ ชวี ติ เพอ่ื ศกึ ษาวธิ กี ารใชม้ นั รวมถงึ ปจั จยั อนื่ ๆ
ทีเ่ ก่ยี วขอ้ งนอกเหนือจากหลักการสงครามดว้ ย
ก. ความหมาย
“หลักการสงคราม” คือ หลักการท่ีใช้ในการท�ำสงคราม เกิดจาก
การปฏบิ ตั ขิ องแมท่ พั นายกองผมู้ ชี อื่ เสยี งและประสบความสำ� เรจ็ ในการทำ� สงคราม
ในอดตี จนเปน็ ทย่ี อมรบั ของนกั การทหารดว้ ยกนั วา่ หากไดน้ ำ� หลกั การเหลา่ นไ้ี ปใช้
กจ็ ะเอาชนะขา้ ศกึ ได1้ 4ดงั นนั้ หลกั การสงครามจงึ เปน็ หลกั พน้ื ฐานของยทุ ธศาสตร์
ทไ่ี ดจ้ ากการรวบรวมหลกั ฐานตา่ งๆ จากการปฏบิ ตั กิ ารรบทมี่ ชี อ่ื เสยี งสำ� คญั ในอดตี
แลว้ น�ำมาศกึ ษา วเิ คราะห์ และวจิ ยั เพ่ือหาข้อสรุป และก�ำหนดเปน็ หลกั พน้ื ฐาน

72

ในการดำ� เนนิ การสงคราม การน�ำเอาหลกั การสงครามไปใชป้ ฏบิ ัตใิ นการวางแผน
และการอำ� นวยการสงคราม เรยี กวา่ “ยทุ ธศาสตร”์ และการนำ� เอาหลกั การสงคราม
ไปใช้ปฏิบัตใิ นสนามรบเรยี กวา่ “ยทุ ธวิธี” อย่างไรกต็ าม หลักการสงครามนี้ มิได้
ถกู สรา้ งขึ้นให้เป็นเชน่ เครื่องจกั รชนดิ ใหม่ หรอื ได้มาจากสูตรการค�ำนวณใหม่ๆ
ทางคณิตศาสตร์ แต่เป็นผลลัพธ์ท่ีได้มาจากการศึกษาเกี่ยวกับการท�ำสงคราม
อยา่ งระมดั ระวงั โดยอาศยั การลองผดิ ลองถกู ของหลายๆ ประเทศ สงิ่ ทน่ี า่ ประหลาด
ใจอยา่ งหนง่ึ กค็ อื หลกั การสงครามมลี กั ษณะของความสอดคลอ้ งกนั แมถ้ กู ใชใ้ นหว้ งเวลา
ทต่ี า่ งกนั ในสถานทที่ ตี่ า่ งกนั ทวั่ โลก และไมว่ า่ ผใู้ ชจ้ ะรหู้ รอื ไมร่ ู้ วา่ มหี ลกั การเหลา่ น้ี
ของผอู้ นื่ หรอื ไมก่ ็ตาม
ข. วิวฒั นาการของหลกั การสงคราม
หลกั การสงคราม ปรากฏอยใู่ นคมั ภรี โ์ บราณของจนี ทเ่ี รยี กวา่ “คมั ภรี ์
ศักดิ์สิทธ์ิแห่งสงคราม” (Sacred Books of War) ซึ่งเขียนข้ึนโดยนักปราชญ์
ชาวจีนหลายๆ ท่าน เช่น ซนุ วู และเล่าเตา๋ เปน็ ตน้ ในระหวา่ ง 500-1,150 ปีก่อน
คริสต์ศักราช หลังจากนั้นนับ 2,000 ปี มาเกียเวลลี ได้เขียนหนังสือว่าด้วย
กฎการท�ำสงครามของแม่ทัพที่เรียกว่า “General Rules” ข้ึนในปี ค.ศ.1521
หลังจากนั้นอีกกว่า 100 ปี เฮนรี ดยุคแห่งโรฮาน ได้ก�ำหนดแนวทางส�ำหรับ
การทำ� สงครามทเี่ รียกวา่ “Guides” ขึน้ ในปี ค.ศ.1644 มาควิส เดอ ซลิ วา ก็ได้
น�ำเสนอหลกั การสงครามของเขาในหนงั สือท่ชี ่อื ว่า “Principles” ในปี ค.ศ.1778
ในขณะที่ เฮนรี ลอยด์ ไดเ้ สนอกฎการทำ� สงครามของเขาในหนงั สอื เรอ่ื ง “Rules”
และสูตรในการท�ำสงครามในหนังสือเร่ือง “Axioms” ทั้งสองเล่มเขียนข้ึนในปี
ค.ศ.1781 หลังจากน้ัน ก็ถึงคราวของ โจมินี ที่ได้พิมพ์หนังสือหลักปฏิบัติของ
สงครามฉบับที่ 1 เรอื่ ง “Maxims” และฉบับท่ี 2 เรอื่ ง “Didactic Resume”
หลังจากน้ันไม่นาน เคลาเซวิทซ์ ก็ได้เขียนหลักการสงครามของตนเช่นกันโดย
รวบรวม และสรุปจากแนวคดิ ของนกั การทหารในอดีตในปี ค.ศ.181215

73

โดยทั่วไปแลว้ หลกั การสงคราม ตามแนวคดิ ของนักการทหารแต่ละทา่ น
ยงั คงหลากหลายและแตกตา่ งกนั แมแ้ ตห่ ลกั การสงครามในประเทศสมาชกิ องคก์ าร
แอตแลนติกเหนือ แต่ละประเทศก็ยังยึดถือหลักการสงครามท่ีแตกต่างกัน ค�ำว่า
“หลกั การสงคราม” ไดถ้ กู ระบไุ วอ้ ยา่ งชดั เจนในหนงั สอื เรยี งความเรอ่ื ง “Principles
of War” ซึ่งต่อมาได้รับการอธิบายเพ่ิมเติมในหนังสือ “ว่าด้วยการสงคราม”
(On War) ของ เคลาเซวิทซ์ ซึ่งแนวคิดของเคลาเซวิทซ์ในหนังสือทั้งสองเล่มนี้
ไดม้ อี ทิ ธพิ ลตอ่ แนวคดิ ทางทหารของนกั การทหารของประเทศในยา่ นแอตแลนตกิ เหนอื
ตราบจนถึงปัจจบุ นั

ค. หลกั การสงครามท่ีสำ� คญั ในอดีต
1) นโปเลยี น โบนาปารต์
แม้ว่านโปเลียน (Napoléon Bona-
parte) ไม่เคยเขียนรวบรวมวิธีการท�ำสงครามของเขา
ออกมาเปน็ หลกั หรอื สตู รของการสงครามเลย แตล่ กั ษณะ
ของการท�ำสงครามของนโปเลียนก็สอดคล้องกันกับ
หลกั การทำ� สงครามหลายๆ ขอ้ เชน่ หลกั การทำ� สงครามที่
เขาได้กล่าวไว้ว่า “ให้รวมก�ำลังของท่านให้เป็นหน่วย
อยา่ ปลอ่ ยให้มีจุดล่อแหลมให้ข้าศึกโจมตี และใช้ก�ำลัง
เอาชนะขา้ ศกึ ณ ตำ� บลทส่ี ำ� คญั อยา่ งรวดเรว็ สง่ิ เหลา่ น้ี
เปน็ หลกั การซง่ึ นำ� ไปสชู่ ยั ชนะ” (ตรงกบั หลกั การรวมกำ� ลงั ภาพท่ี 2-1 นโปเลียน
หลักการรุก หลักการด�ำเนินกลยุทธ์ และหลักการ โบนาปารต์

ระวังป้องกัน)“สงครามทุกครั้งควรมีจุดมุ่งหมายอย่างใดอย่างหน่ึง” (ตรงกับ
หลกั ความมงุ่ หมาย) “มแี มท่ พั เลว 1 คน ยงั ดกี วา่ มแี มท่ พั ทดี่ ใี นหนว่ ยเดยี วกนั 2 คน”
(ตรงกบั หลกั เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา) “แมท่ พั ควรถามตวั เองหลายๆ ครงั้ ตอ่ วนั วา่
หากกองทัพข้าศึกปรากฏอยู่ตรงหน้า ด้านขวา และด้านซ้ายแล้ว เขาควรจะท�ำ
อยา่ งไร” (ตรงกับหลักการระวังปอ้ งกัน)16

74

2) คาร์ล ฟอน เคลาเซวทิ ซ์
เคลา้ เซวทิ ซ์ (Carl von Clausewitz) ไดส้ รปุ
หลักการสงครามจากงานเขียนและแผนการทัพของ
นโปเลยี นในอดตี ออกมาเปน็ หลกั การสงคราม 4 ขอ้ ดงั นี้
ก) “ให้ใช้ก�ำลังทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ด้วย
พลงั อำ� นาจสงู สดุ ”(ตรงกบั หลกั การรวมกำ� ลงั หลกั การรกุ
และหลักการด�ำเนนิ กลยุทธ์)
ข) “ให้รวมก�ำลังของฝ่ายเราให้เป็น ภาพที่ 2-2 คาร์ล ฟอน
เคลาเซวิทซ์

กล่มุ ก้อนใหม้ ากทสี่ ดุ เท่าท่ีจะเป็นไปได้ ณ จดุ ที่สง่ ผลให้
เกดิ การรบแตกหกั ” (ตรงกบั หลกั การรวมกำ� ลัง)
ค) “อยา่ เสยี เวลา และโจมตขี า้ ศกึ โดยไมใ่ หร้ ตู้ วั ” (ตรงกบั หลกั การจโู่ จม)
ง) “ให้ขยายผลแห่งความส�ำเร็จที่ได้มาด้วยพลังอ�ำนาจสูงสุด”
(ตรงกบั หลักการรุก และหลักการด�ำเนนิ กลยุทธ)์ 17
3) องั ตวน อองรี โจมนิ ี
อังตวน อองรี โจมินี (Antoine Henri
Jomini) ได้ก�ำหนดหลักการสงครามของตนเป็น
2 ขอ้ คือ
ก) “ใหม้ เี สรใี นการปฏบิ ตั แิ ละเคลอื่ นยา้ ย
ก�ำลังอย่างรวดเร็ว เพ่ือให้ได้เปรียบเหนือข้าศึกด้วย
การน�ำก�ำลังที่เป็นกลุ่มก้อนของฝ่ายเราเข้าโจมตีต่อ
ก�ำลังข้าศึกที่แยกกันอยู่เป็นส่วนๆ” (ตรงกับหลักการ
รวมกำ� ลงั หลกั การดำ� เนนิ กลยทุ ธ์ และหลักการรกุ ) ภาพท่ี 2-3 อังตวน
อองรี โจมนิ ี

ข) “ให้เข้าโจมตีข้าศึกในทิศทางท่ีก่อ
ให้เกิดผลการรบแตกหักให้มากท่ีสดุ ” (ตรงกับหลกั การรกุ และหลกั การจ่โู จม)18

75

4) เจ.เอฟ.ซ.ี ฟูลเลอร์
เจ.เอฟ.ซี ฟูลเลอร์ (J.F.C Fuller)
นกั ยทุ ธศาสตรท์ หารชาวอังกฤษ และได้รับการยกย่องว่า
เป็นบิดาแห่งหลักการสงครามในปัจจุบัน ได้ศึกษาและ
พจิ ารณาประวตั ศิ าสตรก์ ารสงครามของนโปเลยี นในขณะ
ท่ีเขาได้มีโอกาสไปพักผ่อนทางตอนเหนือของเยอรมนี
ในปี พ.ศ.2454 ท�ำให้เขาเกิดแนวคิดขึ้นในใจว่าสงคราม
ในยุโรปอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ เพราะสถานการณ์บาง
ประเทศในขณะนนั้ เออ้ื อำ� นวย เมอื่ ฟลู เลอรไ์ ดเ้ ดนิ ทางกลบั ภาพที่ 2-4 เจ.เอฟ.ซี.
มาประเทศของตน เขาได้ใช้เวลาอย่างมากในการทุ่มเท ฟูลเลอร์

ศกึ ษาประวตั ศิ าสตรอ์ ยา่ งเตม็ ท่ี โดยเฉพาะไดใ้ หค้ วามสนใจประวตั ศิ าสตรแ์ ละผลงาน
ของนโปเลยี นเปน็ เวลานานถงึ 1 ปี ในทส่ี ดุ ฟลู เลอร์ กส็ รปุ หลกั การทนี่ โปเลยี นไดใ้ ช้
ออกมาเป็นหลักการสงครามได้ 6 ข้อ ดังน้ี
ก) หลักความมงุ่ หมาย (Maintenance of Objective)
ข) หลักการรกุ (Offensive Action)
ค) หลักการรวมกำ� ลงั (Concentration)
ง) หลักการจ่โู จม (Surprise)
จ) หลกั การระวงั ปอ้ งกนั (Security)
ฉ) หลกั การดำ� เนนิ กลยทุ ธ์ (Mobility)
ต่อมาในปี พ.ศ.2458 ฟูลเลอรไ์ ดเ้ พิ่มเตมิ หลักการสงครามอกี 2 ขอ้
คอื หลกั การออมกำ� ลงั (Economy of Force) และหลกั การรว่ มมอื (Cooperation)
ฉะนนั้ หลกั การสงครามตามแนวคดิ ของฟลู เลอรใ์ นสมยั นนั้ จงึ มที ง้ั สนิ้ 8 ขอ้ ดว้ ยกนั
ต่อมาฟูลเลอร์ได้เสนอให้กองทัพอังกฤษพิจารณาความเหมาะสมต่อไป ปรากฏว่า
กองทัพอังกฤษได้ยอมรับแนวคิดเรื่องหลักการสงครามของฟูลเลอร์ดังกล่าว
เปน็ หลกั การสงครามของกองทพั องั กฤษ โดยไดจ้ ดั พมิ พล์ งในระเบยี บราชการสนาม
ของกองทพั อังกฤษ ในปี พ.ศ.246319

76

ง. หลกั การสงครามของกองทัพบกสหรัฐอเมรกิ า
กองทัพบกสหรัฐอเมริกา ได้มองเห็นคุณค่าในผลงานของฟูลเลอร์
จึงได้น�ำหลักการสงครามของฟูลเลอร์มาใช้เป็นหลักการสงครามของกองทัพบก
สหรฐั อเมรกิ า แต่ไดเ้ พม่ิ “หลักความง่าย” รวมเขา้ ไปด้วย ท�ำใหห้ ลักการสงคราม
ของกองทพั สหรฐั อเมรกิ า มจี ำ� นวนทง้ั สน้ิ 9 ขอ้ โดยปรากฏอยใู่ นคมู่ อื ราชการสนาม
ของกองทัพบกสหรัฐฯ ตั้งแต่คู่มือราชการสนาม 100-1 (FM 100-1) ฉบับปี
ค.ศ.1981 มาจนถงึ คมู่ อื ราชการสนาม FM 3-0 ฉบบั ปี ค.ศ.2011 ในปจั จบุ นั ดงั นี้
1) หลักการด�ำรงความมงุ่ หมาย (Objective)
2) หลักการรุก (Offensive)
3) หลกั การจโู่ จม (Surprise)
4) หลกั การรวมก�ำลัง (Mass)
5) หลกั การออมกำ� ลงั (Economy of force)
6) หลกั การระวงั ปอ้ งกัน (Security)
7) หลักการด�ำเนินกลยุทธ์ (Maneuver)
8) หลกั เอกภาพในการบังคบั บญั ชา (Unity of command)
9) หลกั ความงา่ ย (Simplicity)20
ถ้าหากพิจารณาหลักการสงครามของ กองทัพบกสหรัฐอเมริกา
จะเหน็ ไดว้ า่ หลักการสงครามของกองทัพบกสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันมิได้มีแตกต่าง
ในสาระส�ำคัญจากแนวคิดของฟูลเลอร์เลย จะมีเพียงการเปลี่ยนช่ือหลักการบาง
ข้อเท่าน้ัน เช่น “Mobility” เปลี่ยนเป็น “Movement” หรือ “Maneuver”
“Concentration” เปลีย่ นเปน็ “Mass” “Cooperation” เปล่ยี นเป็น “Unity
of Command” และเพ่ิมหลักความงา่ ย (Simplicity) เขา้ ไปอีก 1 ข้อ21 หลักการ
สงครามอาจมกี ารประยกุ ตใ์ ชไ้ ดต้ ามความเหมาะสม ในกรณขี องการปฏบิ ตั กิ ารทม่ี ี
ลกั ษณะเฉพาะ เชน่ การยทุ ธร์ ว่ ม (Joint Operations) ทม่ี ลี กั ษณะของการปฏบิ ตั กิ าร
ร่วมกันระหว่างเหล่าทัพ กองทัพสหรัฐอเมริกาได้มีการเพ่ิมหลักการสงคราม
อีก 3 ข้อ รวมเขา้ กับหลกั การสงครามทมี่ ีอย่แู ลว้ 9 ขอ้ รวมเป็นหลกั การสงคราม

77

ส�ำหรับการยุทธ์ร่วมของกองทัพสหรัฐอเมริกาจ�ำนวน 12 ข้อ หลักการสงคราม
ท่ีเพิ่มข้ึนมาน้ี ได้แก่ หลักขันติหรือความอดทน (Restrain) หลักความเพียร
(Perseverance) และหลักความชอบธรรม (Legitimacy)22
จ. หลักการสงครามของไทย
ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ได้โปรดเกล้าฯ
ให้มีการช�ำระและรวบรวมต�ำราพิชัยสงครามต่างๆ ขึ้นเป็นฉบับหลวงครั้งแรก
เม่อื พ.ศ.2041 โดยกลา่ วถงึ วิธีการจดั กองทพั การเดินทัพ การต้ังคา่ ย และการใช้
กลยุทธต์ า่ งๆ ตำ� ราพิชยั สงครามฉบับนี้ ได้มกี ารปรบั ปรุงขน้ึ ใหม่ในสมัยสมเดจ็ พระ
นเรศวรมหาราชเพื่อใช้ในสงครามยุคน้ัน23 เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกในปี พ.ศ.2310
ปรากฏวา่ ต�ำราพิชยั สงครามไดก้ ระจัดกระจายสญู หายไปเปน็ จ�ำนวนมาก คงเหลือ
อยู่แต่ฉบับท่ีมีผู้คัดลอกไว้บ้างเพียงบางตอนแต่ไม่ครบชุด บางส่วนก็ได้มีการแต่ง
ข้ึนใหม่ ในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการคัดลอกต�ำราพิชัยสงครามฉบับปลีก
ที่ยังเหลืออยู่ไว้จ�ำนวนหลายสิบเล่มสมุดไทยเพื่อรักษาฉบับไว้ไม่ให้สาบสูญ จนถึง
สมยั กรุงรัตนโกสินทร์ในรัชสมัยรชั กาลที่ 3 ได้โปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวร
มหาศกั ดพิ ลเสพ กรมพระราชวงั บวรสถานมงคล เปน็ แมก่ องในการชำ� ระตำ� ราพชิ ยั
สงครามให้สมบูรณ์ โดยเชิญพระต�ำรับพิชัยสงครามฉบับข้างท่ี (ฉบับหลวง)
มาสอบสวนช�ำระท้ังหมด 14 เล่มสมุดไทย เม่ือช�ำระเสร็จแล้ว ได้คัดลงสมุดไทย
ได้จำ� นวน 2 ชดุ รวมเป็น 10 เล่มสมดุ ไทย ตำ� ราพิชยั สงครามฉบับนี้ จึงนบั เปน็
ต�ำราพิชัยสงครามฉบับสุดท้าย ที่ช�ำระอย่างสมบูรณ์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ในปี พ.ศ. 2368 24เนอื้ หาในตำ� ราพชิ ยั สงครามของไทยสว่ นใหญ่ แบง่ ออกเปน็ 3 สว่ น
ได้แก่ เหตุแห่งสงคราม อุบายสงคราม ยุทธศาสตร์และยุทธวิธี นอกจากน้ียังมี
เน้ือหาเก่ียวกับความเชื่อทางด้านโหราศาสตร์และไสยศาสตร์ ซ่ึงปรากฏมาต้ังแต่
สมัยโบราณ โดยเฉพาะสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย มักปรากฏความเชื่อในเรื่อง
ดงั กลา่ วเปน็ อย่างมาก25

78

ตำ� ราพชิ ยั สงครามโบราณของไทย
ได้ถูกลดความส�ำคัญลง เพราะในสมัย
รัชกาลท่ี 5 กองทพั ไทยได้ปรับรูปแบบกองทัพ
และเปล่ียนไปใช้ต�ำรายุทธศาสตร์ตามแบบ
ตะวันตก ต่อมาในสมัยก่อนเปลี่ยนแปลง
การปกครอง พ.ศ.2475 จอมพล สมเดจ็ เจา้ ฟา้ ฯ
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ซ่ึงทรงด�ำรง
ต�ำแหน่งเสนาธิการทหารบกในระหว่างปี
พ.ศ.2457-2463 ได้ทรงกล่าวถึงหลักการ
สงครามไว้ 2 ขอ้ คอื หลกั การออมกำ� ลงั และหลกั ทำ� การเปน็ อสิ ระ หลกั การออมกำ� ลงั
ทรงหมายถงึ การถนอมกำ� ลงั และการใชก้ ำ� ลงั ใหถ้ กู ตอ้ ง ซง่ึ เปน็ วธิ กี ารเพอื่ ใหไ้ ดม้ าซงึ่
การออมก�ำลังน้ันจะต้องมีการรวมก�ำลัง มียุทธวินัย การเคลื่อนที่ในสนามรบ
และความตอ่ เนอ่ื งระหวา่ งเหลา่ หลกั ทำ� การเปน็ อสิ ระ ทรงหมายถงึ การทำ� ตามใจเรา
ได้อย่างอสิ ระ ไม่ว่าขา้ ศึกจะอย่ทู ่ไี หนหรือท�ำอะไร ทงั้ น้กี โ็ ดยอาศัยการหาข่าว การ
วางแผนล่วงหนา้ และการระวังป้องกนั
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง พันเอก พระสงครามภักดี
(แม้น เหมะจุฑา) ได้เรียบเรียงและจัดท�ำต�ำรายุทธศาสตร์ว่าด้วยการน�ำทัพข้ึน
จึงได้มีการดัดแปลงหลักการสงครามของกองทัพอังกฤษ มาเป็นหลักการสงคราม
ของกองทพั บกไทย โดยมีอยู่ 7 ขอ้ ดงั นี้
1) หลกั การระวงั ป้องกนั
2) หลกั การออมกำ� ลัง
3) หลกั ความฉับพลนั (หลักการจโู่ จม)
4) หลกั การท�ำการใหเ้ ป็นเบีย้ บนข้าศึก
5) หลกั การคลอ่ งแคล่ว (ด�ำเนินกลยุทธ์)
6) หลกั การปอ้ งกันและการจ่โู จม
7) หลักการรวมก�ำลงั 26

79

ในปัจจุบัน เน่ืองจากกองทัพบกไทยมีการจัด การฝึก และอาวุธ
ยทุ โธปกรณ์ ตามอยา่ งของกองทพั บกสหรฐั อเมรกิ าเปน็ สว่ นใหญ่ ดงั นน้ั กองทพั บกไทย
จึงได้น�ำหลักการสงครามของกองทัพบกสหรัฐอเมริกามาใช้เป็นหลักการสงคราม
ของไทย แตไ่ ดเ้ พมิ่ หลกั การต่อสู้เบด็ เสรจ็ อีก 1 ขอ้ รวมเปน็ หลักการสงครามของ
กองทัพบกไทยท้ังสิน้ 10 ข้อ ดงั น้ี
1) หลกั ความมุ่งหมาย (Objective)
2) หลักการรกุ (Offensive)
3) หลกั การรวมก�ำลงั (Mass)
4) หลักการออมกำ� ลงั (Economy of Forces)
5) หลกั การด�ำเนนิ กลยุทธ์ (Maneuver)
6) หลกั เอกภาพในการบังคบั บัญชา (Unity of Command)
7) หลักการระวงั ป้องกนั (Security)
8) หลกั การจูโ่ จม (Surprise)
9) หลกั ความงา่ ย (Simplicity)
10) หลักการต่อสู้เบ็ดเสร็จ หรือการปฏิบัติการทุกรูปแบบ (Total
Defense) 27
ฉ. เนอื้ หาของหลกั การสงคราม
1) หลักความม่งุ หมาย
หลกั ความมงุ่ หมาย (Objective) มหี ลกั การวา่ “ทกุ ความพยายาม
จะตอ้ งมงุ่ ไปสเู่ ปา้ หมายทก่ี ำ� หนดไวอ้ ยา่ งชดั เจน ใหผ้ ลแตกหกั และสามารถบรรลไุ ด”้
วัตถุประสงค์ทางทหารสูงสุดของสงคราม ก็คือ การท�ำลายขีดความสามารถ
และความมุ่งม่ันท่ีจะสู้รบของข้าศึก หลักความมุ่งหมายนี้จึงเป็นหลักการสงคราม
ท่ีส�ำคัญท่ีสุด เนื่องจากเป็นหลักการสงครามที่ใช้ควบคุมหลักการสงครามอ่ืนๆ
ท้ังหมด ด้วยทุกกิจกรรมทางทหารต้องมีความมุ่งหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง หาก
ปราศจากหรือไม่ได้ยึดถือความมุ่งหมายแล้ว หลักการสงครามข้ออื่นๆ ก็จะ
ไรค้ วามหมายอยา่ งสนิ้ เชิง หลักความมุ่งหมายน้ีเป็นหลักการสงครามท่รี ะบุส่งิ ทเ่ี รา
ต้องกระท�ำ (What) ในขณะที่หลกั การสงครามข้ออน่ื ๆ เปน็ เพยี งหลักการทใี่ ชเ้ ปน็
แนวทางหรอื วิธกี าร (How) เพื่อบรรลุซง่ึ ความม่งุ หมายทกี่ �ำหนดเทา่ น้ัน28

80

2) หลักการรุก
หลักการรุก (Offensive) มีหลักการว่า “การรุก เป็นส่ิงจ�ำเป็นต่อ
การบรรลุผลการรบแตกหักและด�ำรงเสรีในการปฏิบัติของฝ่ายเรา” ด้วยการรุก
จะทำ� ใหฝ้ า่ ยเราไดม้ าซงึ่ ความรเิ รมิ่ มเี สรใี นการปฏบิ ตั ิ และบบี บงั คบั ใหข้ า้ ศกึ ปฏบิ ตั ิ
ตามสิ่งท่ีฝ่ายเราต้องการ ข้อดีอย่างยิ่งของการรุกนี้ก็คือ “ฝ่ายเราเป็นฝ่ายริเร่ิม
เข้ากระท�ำต่อฝ่ายข้าศึกก่อน” ซึ่งจะอ�ำนวยให้ฝ่ายเราสามารถเลือกท่ีหมาย
หรือวัตถุประสงค์ของการปฏิบัติการ (Objective) เวลา สถานท่ี และเคร่ืองมือ
สำ� หรับการบรรลภุ ารกิจไดก้ ่อนขา้ ศึก29
3) หลักการรวมก�ำลงั
หลักการรวมก�ำลัง (Mass) มีหลักการว่า “ณ เวลาและสถานท่ี
ทตี่ อ้ งการผลการรบแตกหกั ฝา่ ยเราจำ� เปน็ ตอ้ งใชก้ ำ� ลงั ทเี่ ปน็ กลมุ่ กอ้ นทมี่ อี ำ� นาจการรบ
ทเ่ี หนอื กวา่ ขา้ ศกึ ” ความเหนอื กวา่ ดา้ นอำ� นาจการรบ มไิ ดห้ มายถงึ ความเหนอื กวา่
เชิงปริมาณ แต่หมายถึงการใช้ส่ิงอ�ำนวยความสะดวกเท่าท่ีมีอยู่ท้ังหมด
และความเหนือกว่าด้านอ�ำนาจการยิง การสนับสนุนการช่วยรบ ทักษะการสู้รบ
ปณิธาน วินัย ความกล้าหาญ การบริหาร และภาวะผู้น�ำ รวมถึงการสร้างสมดุล
ต่อการใช้อ�ำนาจก�ำลังรบผสมเหล่าและก�ำลังรบร่วมอย่างรอบคอบ โดยการสนธิ
กำ� ลังรบภายในกองทพั บกกับกำ� ลงั รบของกองทัพเรอื และกองทพั อากาศ30
4) หลักการออมก�ำลงั
หลกั การออมกำ� ลงั (Economy of Forces) มหี ลกั การวา่ “การบรรลุ
กิจทุกกิจอย่างมีประสิทธิผล จ�ำเป็นต้องอาศัยการจัดสรรอ�ำนาจการรบที่มีอยู่
อยา่ งเหมาะสม” หลักการออมก�ำลงั นี้ ทำ� ใหเ้ กดิ การรวมกำ� ลงั ตามมา เพราะหาก
ไม่มีการออมก�ำลังไว้แล้ว ก็ไม่อาจมีก�ำลังไว้ใช้ในเวลาและสถานท่ีที่ต้องการได้
หลักการออมก�ำลังน้ี มิได้หมายถึงการใช้ก�ำลังแต่น้อยในท่ีท่ีหนึ่ง เพื่อให้มีพลัง
อ�ำนาจสูงสุดในอีกที่หนึ่ง หรือออมก�ำลังเอาไว้แต่เพียงอย่างเดียว แต่หมายถึง
การรวมก�ำลังเอาไว้อย่างเข้มแข็งและใช้เท่าที่จ�ำเป็น เพ่ือเอาไว้ใช้ในเวลาและ
สถานการณ์ทต่ี ้องการความไดเ้ ปรียบมากทสี่ ุด31

81

5) หลกั การด�ำเนนิ กลยทุ ธ์
หลักการด�ำเนินกลยุทธ์ (Maneuver) มีหลักการว่า “ทรัพยากร
ทางทหาร จะต้องถูกวางไว้ ณ สถานท่ีที่เกื้อกูลต่อการบรรลุภารกิจให้มากที่สุด”
วตั ถปุ ระสงคข์ องการดำ� เนนิ กลยทุ ธก์ ค็ อื การวางกำ� ลงั ของฝา่ ยเราในลกั ษณะทขี่ า้ ศกึ
อยู่ในสภาพท่ีเสียเปรียบต่อฝ่ายเราอย่างชัดเจน การด�ำเนินกลยุทธ์จึงหมายถึง
การเคลอ่ื นยา้ ยอำ� นาจการรบ เพอ่ื ใหส้ ามารถรวมกำ� ลงั ใหเ้ ปน็ กลมุ่ กอ้ น ในเวลาและ
สถานที่ทตี่ อ้ งการผลการรบแตกหกั และบรรลุวัตถปุ ระสงคท์ างทหารท่ตี ้องการ32
6) หลักเอกภาพในการบังคบั บัญชา
หลกั เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา (Unity of Command) มหี ลกั การวา่
“การใชอ้ ำ� นาจการรบทงั้ หมดอยา่ งแตกหกั จำ� เปน็ ตอ้ งมเี อกภาพของการปฏบิ ตั ิ และ
อยู่ภายใต้ผู้บังคับบัญชาท่ีเป็นผู้รับผิดชอบเพียงคนเดียว” เอกภาพของการปฏิบัติ
(Unity of Effort) ก็คือ ความประสานสอดคล้องของการปฏิบัติของก�ำลัง
ท้ังหมดที่มีอยู่ เพื่อบรรลุเป้าหมายและเจตนารมณ์ร่วมกัน ด้วยเหตุน้ี เอกภาพ
ในการบังคับบัญชา ควรเป็นหลักประกันให้กับเอกภาพของการปฏิบัติ และใช้
พลังอ�ำนาจของก�ำลังที่มีอยู่ ต่อท่ีหมายหรือวัตถุประสงค์ทางทหาร ในเวลาและ
สถานทีท่ ตี่ ้องการผลการรบแตกหัก33
7) หลกั การระวงั ปอ้ งกัน
หลักการระวังป้องกัน (Security) มีหลักการว่า “การระวังป้องกัน
เป็นส่ิงจ�ำเป็นต่อการสงวนอ�ำนาจการรบและด�ำรงเสรีในการปฏิบัติของฝ่ายเรา”
หากใชก้ ารระวงั ปอ้ งกนั ทเ่ี หมาะสม ขา้ ศกึ จะไมส่ ามารถขดั ขวาง รบกวนเสรใี นการ
ปฏบิ ตั ขิ องฝา่ ยเรา หรอื เขา้ ตโี ดยทฝี่ า่ ยเราไมร่ ตู้ วั ฝา่ ยเราสามารถดำ� รงความพรอ้ มรบ
ได้อย่างต่อเนื่อง ใช้กองหนุนและหน่วยระวังป้องกันเท่าที่จ�ำเป็น วางก�ำลังและ
จัดรูปขบวนได้อย่างเหมาะสม ด�ำรงการรุกอย่างต่อเน่ือง และครองความริเริ่ม
เพอ่ื ใหไ้ ด้มาซึ่งขา่ วสารหรือประเมินขา่ วสาร34

82


Click to View FlipBook Version