The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by E - Library, 2022-11-16 03:49:53

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

ยุทธศาสตร์กองทัพบก

8) หลกั การจโู่ จม
หลกั การจโู่ จม (Surprise) มีหลักการว่า “ให้โจมตีขา้ ศกึ ในเวลาและ
สถานท่ีที่ข้าศึกไม่คาดคิด หรือหากข้าศึกรู้ตัวก็เตรียมการตั้งรับไม่ทัน” ปัจจัย
ทเี่ กอ้ื กลู ตอ่ การจโู่ จมกค็ อื การรกั ษาความลบั ของแผน การซอ่ นพราง การเคลอ่ื นยา้ ย
และความเขม้ แขง็ ของกำ� ลงั ฝา่ ยเรา การเขา้ ตลี วงและการแสดงลวง และความรวดเรว็
ของการเคลอ่ื นยา้ ย รวมถงึ ความพรอ้ มของทรัพยากร วนิ ยั และความกลา้ หาญ35
9) หลักความง่าย
หลกั ความงา่ ย (Simplicity) มหี ลกั การวา่ “แผนทงี่ า่ ยและไมซ่ บั ซอ้ น
น�ำไปสู่การปฏิบัติการท่ีมีประสิทธิผล” การมีแผนท่ีง่าย และมีโอกาสท่ีจะประสบ
ผลส�ำเร็จมากกว่า ย่อมดีกว่าแผนที่ซับซ้อน เพราะโอกาสที่จะมีการซักซ้อมแผน
ย่อมมีไม่มากนัก และมีความเสี่ยงสูง แผนที่ง่ายจึงท�ำให้เกิดความอ่อนตัว ช่วยให้
การควบคมุ และการประสานการยงิ และการเคล่ือนยา้ ยทำ� ไดง้ ่ายย่ิงข้ึน ลดปัญหา
ดา้ นการส่งก�ำลงั บำ� รุง และสามารถปฏิบัตกิ ารไดอ้ ย่างตอ่ เนอ่ื ง เมอื่ ตอ้ งเผชิญหน้า
กบั มาตรการควบคุมตา่ งๆ ที่กำ� หนดข้ึน36
10) หลกั การต่อสเู้ บ็ดเสรจ็
หลักการต่อสู้เบ็ดเสร็จ (Total Defense) มีหลักการว่า “ให้ใช้
พลังอ�ำนาจแห่งชาติทุกประเภทร่วมกัน เพ่ือต่อสู้ให้ได้ชัยชนะต่อข้าศึก” หรือใช้
การปอ้ งกนั และตอบโตก้ ารปฏบิ ตั ขิ องฝา่ ยตรงขา้ ม โดยนาํ แผนการใชก้ าํ ลงั ทกุ ประเภท
มาผสมผสานกนั อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ ในทกุ ระดบั ของความขดั แยง้ ตลอดหว้ งเวลา
ของความขดั แยง้ และไมจ่ าํ กดั เวลา ดว้ ยการสนบั สนนุ ทกุ ประเภททมี่ อี ยแู่ ละแสวงหาได้
ทง้ั ดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คมจติ วทิ ยา การทหาร และสารสนเทศ โดยสอดคลอ้ ง
กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หลักการต่อสู้เบ็ดเสร็จมีลักษณะของ
การผนกึ กำ� ลงั ทง้ั มวล (กำ� ลงั รบ กำ� ลงั ประจำ� ถน่ิ และกำ� ลงั ประชาชน) เพอื่ ชดเชย
ความเสยี เปรยี บดา้ นอำ� นาจการรบกบั ฝา่ ยตรงขา้ ม และการรวมทรพั ยากรทกุ ชนดิ
ไดแ้ ก่ คน เครอ่ื งมอื ขวญั กำ� ลงั ใจ ฯลฯ เพอื่ ใหฝ้ า่ ยเรามอี ำ� นาจการรบสงู สดุ โดยเฉพาะ
ในเวลาและสถานที่ที่ฝ่ายเราต้องการผลการรบแตกหักกับฝา่ ยตรงขา้ ม37

83

5. กฎของสงคราม
ในการท�ำสงครามในปัจจุบัน โอกาสท่ีเราจะสามารถท�ำสงครามได้
อยา่ งเตม็ รปู แบบนนั้ แทบจะเปน็ ไปไมไ่ ด้ เนอ่ื งจากการทำ� สงครามทกุ ยคุ สมยั ตา่ งเปน็
สงครามจำ� กดั ทงั้ สนิ้ โดยขอ้ จำ� กดั ของการทำ� สงครามนี้ อาจอยใู่ นรปู แบบทงั้ ขอ้ หา้ ม
(ไม่ให้กระท�ำ) หรือข้อบังคับ (ต้องกระท�ำ) ก็ได้ โดยท่ัวไปแล้ว ข้อจ�ำกัดเหล่านี้
มักเกิดจากท้ังปัจจัยภายใน (เช่น การปฏิบัติการทางทหาร สภาพแวดล้อมของ
สนามรบ เปน็ ตน้ ) และปจั จยั ภายนอก (เชน่ ขอ้ จำ� กดั ทางการเมอื ง เศรษฐกจิ สงั คม
วฒั นธรรม เปน็ ตน้ ) กฎของสงคราม (Law of War) ถอื ไดว้ า่ เปน็ ขอ้ จำ� กดั อยา่ งหนงึ่
ของการท�ำสงคราม ทเ่ี กิดจากการเมอื งและกฎหมายระหวา่ งประเทศ และเป็นสงิ่
จำ� เปน็ ตอ่ นกั การทหาร ทจี่ ะตอ้ งศกึ ษาและทำ� ความเขา้ ใจเกยี่ วกบั กฎของสงครามน้ี
ให้ถ่องแท้ เพื่อป้องกันผลกระทบหรือผลเสียหายท่ีไม่เจตนาให้เกิดขึ้นจากการท�ำ
สงครามในปจั จบุ นั
ก. ทฤษฎสี งครามอนั ชอบธรรม
ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนาน มนุษย์มีความพยายามที่จะก�ำหนด
และควบคมุ ความประพฤตขิ องปจั เจกชน ชาติ และตวั แทนอน่ื ๆ ในการทำ� สงคราม
เพื่อบรรเทาผลกระทบท่ีร้ายแรงของสงครามอย่เู สมอ ทฤษฎีสงครามอนั ชอบธรรม
ถือก�ำเนิดข้ึนเป็นแนวความคิดครั้งแรกของโลกในมหากาพย์อินเดียท่ีชื่อว่า
“มหาภารตะ” ซึง่ ได้น�ำเสนอหลกั เกณฑว์ ่าด้วยสงครามอันชอบธรรม โดยกลา่ วถงึ
พฤติกรรมท่ียอมรับได้และพฤติกรรมท่ีไม่สมควรของคู่สงครามในสนามรบ
ความเปน็ มาของมหากาพยน์ ้ี เกดิ จากเรอ่ื งราวตอนหนงึ่ ทหี่ นง่ึ ในหา้ พนี่ อ้ งกษตั รยิ ไ์ ด้
ตง้ั คำ� ถามตอ่ บรรดาพนี่ อ้ งกษตั รยิ ด์ ว้ ยกนั วา่ ความทกุ ขท์ รมานทเ่ี กดิ จากสงครามนน้ั
เปน็ สงิ่ ที่ถกู ตอ้ งหรอื ไม่ ห้าพนี่ ้องกษัตริย์ได้ถกแถลงกันเก่ียวกับคำ� ถามนจ้ี นกระท่งั
บรรลุซ่ึงการก�ำหนดหลักเกณฑ์ในการทำ� สงคราม ไดแ้ ก่ “หลกั สดั ส่วนท่เี หมาะสม
ของการท�ำสงคราม” (proportionality) เช่น รถม้าศึกไม่สามารถโจมตีทหารม้า
รถม้าศึกย่อมโจมตีต่อรถม้าศึกด้วยกันของศัตรูเท่าน้ัน และจะไม่โจมตีต่อบุคคล
ท่ีทุกข์ยากหรือเจ็บปวด เป็นต้น “หลักการใช้เคร่ืองมืออันชอบธรรมในการท�ำ
สงคราม” (just means) เชน่ หา้ มใชย้ าพิษ หรือหัวธนทู ่ีมีเงย่ี งแหลม เปน็ ตน้ และ
“หลกั การปฏิบตั ิต่อเชลยและผูท้ ่ีไดร้ บั บาดเจ็บในสงครามทเ่ี หมาะสม”38
84

ในคมั ภรี โ์ บราณของชาวฮบี รู
(Book of Deuteronomy)
กไ็ ดก้ ำ� หนดหลกั เกณฑจ์ ำ� กดั ปรมิ าณ
ของความเสียหายท่ีไม่เจตนา และ
ความเสียหายต่อสภาพแวดล้อมท่ี
ยอมรับได้ในการท�ำสงครามไว้ว่า
“หากทา่ นจะลอ้ มเมอื งเปน็ เวลานานๆ
ในสงครามเพอื่ ยดึ เมอื ง ทา่ นจะตอ้ งไม่
ตัดต้นไม้ด้วยขวานเพราะท่านอาจ
ต้องเก็บกินผลของมันในภายหลัง
ทา่ นตอ้ งไมโ่ คน่ ตน้ ไมเ้ พอ่ื ใชม้ นั ในการโจมตี เพราะตน้ ไมม้ คี วามสำ� คญั ตอ่ ชวี ติ มนษุ ย์
ท่านอาจตัดหรือโค่นต้นไม้ลงได้ ก็เฉพาะต้นไม้ท่ีท่านรู้ดีท่ีสุดแล้วว่ากินไม่ได้แล้ว
เทา่ นน้ั ”39 กอ่ นการปดิ ลอ้ มเมอื ง หรอื แปรขบวนทพั เขา้ ตเี มอื ง ทา่ นตอ้ งยน่ื ขอ้ เสนอ
ให้ประชาชนในเมืองยอมจ�ำนนก่อน หากประชาชนในเมืองยอมจ�ำนนและ
เปิดประตูเมือง ประชาชนท้ังหมดในเมืองก็จะตกเป็นแรงงานให้ท่านไว้ใช้งานได้
หากประชาชนปฏเิ สธทจ่ี ะยอมจำ� นน และพยายามโจมตที า่ นในการรบ ทา่ นกส็ ามารถ
ปดิ ลอ้ มเมอื งน้ันได้”40
ในยุคกลาง โบสถ์โรมนั คาทอลกิ ได้เร่ิมเผยแพร่ค�ำสอนว่าด้วย “สงคราม
อันชอบธรรม” (Just War) โดยก�ำหนดข้อจ�ำกัดของการท�ำสงคราม โดยเฉพาะ
การปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน เหตุอันชอบธรรมในการท�ำสงคราม
ในสมัยโรมันก็คอื ความจำ� เปน็ ในการขบั ไลผ่ ู้รกุ ราน การตอบโต้ตอ่ การปลน้ สะดม
หรอื การละเมดิ หรอื ฝา่ ฝนื ตอ่ สนธสิ ญั ญาทที่ ำ� ระหวา่ งกนั สงครามจงึ ถอื เปน็ สง่ิ ทผ่ี ดิ
หรือสิ่งต้องห้าม เป็นมลทินแห่งพระศาสนา และเป็นส่ิงท่ีพระเจ้าไม่พึงประสงค4์ 1
ฉะนั้น สงครามอันชอบธรรมในสมัยโรมัน จึงต้องมีพิธีกรรมประกาศสงครามโดย
นักบวชโรมันที่บูชาเทพเจ้าจูปิเตอร์ในฐานะที่เป็นเทพเจ้าผู้คุ้มครองต่อผู้ศรัทธา
ต่อคุณงามความดี ดังนั้น อนุสัญญาอันเก่ียวกับสงคราม และการท�ำสนธิสัญญา

85

จึงเป็นส่วนหน่ึงของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่ก�ำหนดข้อผูกมัดทางศีลธรรม
อันเก่ียวกับความเป็นสากลและความเป็นมนุษย์42 ด้วยเหตุนี้ ทฤษฎีสงครามอัน
ชอบธรรม (jus bellum iustum: Just war theory) จงึ เปน็ หลกั นยิ มทางทหารทอ่ี า้ ง
ถงึ จารตี ของจรยิ ธรรมทางทหาร ซง่ึ ศกึ ษาโดยนกั การศาสนา นกั จรยิ ธรรม ผกู้ ำ� หนด
นโยบายทางการเมอื ง และผนู้ ำ� ทางทหาร วตั ถปุ ระสงคข์ องการมหี ลกั นยิ มน้ี กเ็ พอ่ื รบั
ประกนั วา่ สงครามเปน็ สงิ่ ทถ่ี กู ตอ้ งในทางศลี ธรรม โดยอาศยั การกำ� หนดหลกั เกณฑ์
ของการทำ� สงครามทถี่ ือไดว้ ่าชอบธรรมขึ้น
ทฤษฎสี งครามอนั ชอบธรรม มหี ลกั เกณฑท์ ส่ี ามารถแบง่ ออกได้ 2 กลมุ่
คอื กลมุ่ สทิ ธใิ นการเขา้ สสู่ งคราม (jus ad bellum: the right to go to war)
และกลมุ่ การกระทำ� ทถี่ กู ตอ้ งในสงคราม (jus in bello: right conduct in war)
หลักเกณฑ์ในกลุ่มแรกจะพิจารณาในแง่ศีลธรรมของการเข้าสู่สงคราม ในขณะที่
หลกั เกณฑใ์ นกลมุ่ ทส่ี องจะพจิ ารณาในแงข่ องการกระทำ� เชงิ ศลี ธรรมภายใตส้ งคราม43
โดยทั่วไปแล้วทฤษฎีสงครามอันชอบธรรม ตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่ว่า สงคราม
แม้เป็นส่ิงท่ีน่าเกลียดน่ากลัว แต่ก็ไม่ใช่ทางเลือกที่เลวร้ายท่ีสุดเสมอไป สงคราม
มีความรับผดิ ชอบทีส่ ำ� คัญกค็ ือ ต้องไม่ใช่สงครามทโี่ หดร้าย หรอื กอ่ ให้เกดิ ผลลพั ธ์
ทไี่ มพ่ งึ ปรารถนา สงครามเชน่ นจี้ งึ จะถกู เรยี กไดว้ า่ “สงครามอนั ชอบธรรม”44
1) หลกั เกณฑว์ ่าดว้ ยสิทธกิ ารเขา้ สู่สงคราม
การอ้างสิทธิของการเข้าสู่สงคราม (Just ad bellum) อาศัย
หลกั เกณฑ์ดงั น้ี
ก) เหตอุ นั ชอบธรรม (Just Cause) หมายถงึ เหตผุ ลของการเขา้ สู่
สงคราม จะต้องสมเหตุสมผล ฉะน้ัน การยกเหตผุ ลในการทำ� สงครามจากส่งิ ที่เคย
เกิดขนึ้ มาแล้วในอดตี หรือการลงโทษผูท้ ่กี ระทำ� ความผิดทีท่ ำ� ใหช้ วี ิตของผู้บริสทุ ธิ์
ตอ้ งอยใู่ นอนั ตราย และการแทรกแซงหรอื ขดั ขวางทกี่ ระทำ� ไปเพอ่ื รกั ษาชวี ติ ใหร้ อด
ยอ่ มกระทำ� ไมไ่ ด้ ทงั้ นโ้ี ดยยดึ ถอื หลกั การทว่ี า่ การใชค้ วามรนุ แรงใดๆ ตอ้ งไมล่ ะเมดิ
ตอ่ สิทธิมนุษยชนพ้นื ฐานของประชาชนท้งั หมด
86

ข) ความยุติธรรมเปรียบเทียบ (Comparative Justice) หมายถึง
การกระทำ� ของคขู่ ดั แยง้ อาจมที งั้ ถกู และผดิ เพอ่ื ปอ้ งกนั ไมใ่ หฝ้ า่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ตดั สนิ ใจ
ใช้ก�ำลังตามอ�ำเภอใจ แต่ต้องตัดสินใจใช้ก�ำลังโดยช่ังน้�ำหนักต่อการกระท�ำท่ีจะมี
ผลกระทบต่ออกี ฝา่ ยหน่งึ อย่างยุตธิ รรม
ค) อำ� นาจท่ีเพียงพอ (Competent Authority) หมายถึง อ�ำนาจของ
ผู้น�ำทางการเมืองที่จะประกาศสงคราม ต้องเป็นอ�ำนาจที่เหมาะสม โดยสงคราม
อนั ชอบธรรมจะตอ้ งถกู รเิ รมิ่ จากอำ� นาจทางการเมอื งทอี่ ยภู่ ายในระบอบทางการเมอื ง
ที่ถูกต้อง โดยท่ัวไปแล้วการประกาศสงครามโดยอาศัยอ�ำนาจเผด็จการ หรือ
การกระทำ� ทแ่ี ฝงนยั ทางทหาร ถอื ไดว้ า่ เปน็ การละเมดิ ตอ่ หลกั เกณฑข์ อ้ นี้ ความสำ� คญั
ของเงอื่ นไขนจี้ งึ เปน็ กญุ แจสำ� คญั ดว้ ยกระบวนการตดั สนิ ความชอบธรรมที่แท้จริง
ของสงครามท่ีตกอยู่ภายใต้ระบบซึ่งถูกควบคุมอย่างเข้มงวดย่อมไม่อาจเกิดข้ึนได้
สงครามอันชอบธรรม ต้องริเริ่มจากอ�ำนาจทางการเมืองภายใต้ระบอบการเมือง
ทเ่ี ป็นอสิ ระ และอ�ำนวยใหเ้ กิดความถกู ตอ้ งที่แทจ้ ริงได้เทา่ นน้ั
ง) เจตนาทถี่ กู ตอ้ ง (Right Intention) หมายถงึ การใชก้ ำ� ลงั ตอ้ งมสี าเหตุ
อนั ชอบธรรม และตามวตั ถปุ ระสงคท์ ก่ี ำ� หนดเทา่ นน้ั ฉะนน้ั การกอ่ สงครามเพอื่ ทำ� ให้
สงิ่ ทไี่ มถ่ กู ตอ้ งเปน็ สงิ่ ทถ่ี กู ตอ้ ง จงึ ถอื ไดว้ า่ มเี จตนาทถ่ี กู ตอ้ ง ในขณะทก่ี ารกอ่ สงคราม
เพอ่ื แสวงหาปัจจยั หรือการบ�ำรุงทางเศรษฐกจิ ถอื ได้ว่ามีเจตนาทไี่ มถ่ ูกตอ้ ง
จ) โอกาสของความสำ� เรจ็ (Probability of Success) หมายถงึ การใชก้ ำ� ลงั
ตอ้ งอาศยั โดยเหตทุ เ่ี ปน็ ความจรงิ หรอื มปี ระโยชน์ และตอ้ งใชม้ าตรการทเี่ ปน็ ธรรม
เพอ่ื ใหป้ ระสบผลสำ� เรจ็ มฉิ ะนน้ั สงครามอาจขยายตวั เปน็ สงครามยดื เยอื้ ทไี่ มร่ จู้ กั จบสนิ้
ฉ) มาตรการสุดท้าย (Last Resort) หมายถึง การใช้ก�ำลัง ควรเป็น
เครือ่ งมอื สุดทา้ ยภายหลงั จากการใชเ้ คร่ืองมืออนื่ ๆ แล้วไม่ประสบผลสำ� เร็จเทา่ นนั้
แมว้ า่ อกี ฝา่ ยหนงึ่ อาจใชก้ ารเจรจาตอ่ รองเปน็ กลยทุ ธเ์ พอื่ ถว่ งเวลา หรอื มไิ ดต้ อ้ งการ
อ่อนข้ออยา่ งแทจ้ ริงก็ตาม
ช) สดั สว่ นทเี่ หมาะสม (Proportionality) หมายถงึ การคำ� นงึ ถงึ ผลประโยชน์
ท่ีจะได้จากการท�ำสงคราม ตอ้ งได้สัดสว่ นท่ีเหมาะสมกับความเสยี หายและสง่ิ ทจี่ ะ

87

ตอ้ งสญู เสยี ไป หลกั เกณฑข์ อ้ นเ้ี ปน็ หลกั เกณฑท์ มี่ องสดั สว่ นทเี่ หมาะสมในภาพรวมซงึ่
แตกต่างจากหลักการสัดส่วนท่ีเหมาะสมของการท�ำสงคราม (jus in bello) ทจ่ี ะ
กลา่ วตอ่ ไปซงึ่ มมี มุ มองเกยี่ วกบั สดั สว่ นทเี่ หมาะสมในระดบั เลก็ กวา่
2) หลกั เกณฑ์ว่าด้วยการกระทำ� ท่ีถกู ตอ้ งในสงคราม
เมื่อสงครามเกิดขึ้นแล้ว ทฤษฎีสงครามอันชอบธรรมอันเกี่ยวกับ
หลักเกณฑ์การท�ำสงครามที่ถูกต้อง (Jus in bello) จะใช้เป็นตัวควบคุมทหาร
ใหป้ ระพฤตแิ ละปฏบิ ัติตัวอยา่ งถูกต้องและเหมาะสม ดังนี้
ก) ความแตกตา่ ง (Distinction) หมายถงึ สงครามยอ่ มมหี ลกั การเฉพาะ
การทำ� สงครามควรมงุ่ ไปทที่ หารของฝา่ ยศตั รู ไมใ่ ชค่ วรมงุ่ ไปทพ่ี ลเรอื นทตี่ กอยใู่ นสภาพ
แวดลอ้ มทพ่ี วกเขาไมไ่ ดเ้ ปน็ ผสู้ รา้ งขนึ้ การปฏบิ ตั ทิ ต่ี อ้ งหา้ ม ไดแ้ ก่ การทงิ้ ระเบดิ ตอ่
พน้ื ทพี่ กั อาศยั ของพลเรอื นพน้ื ทท่ี ม่ี ไิ ดเ้ ปน็ เปา้ หมายทางทหาร การใชก้ ารปฏบิ ตั กิ าร
ในลกั ษณะของการกอ่ การรา้ ย การแกแ้ คน้ ตอ่ พลเรอื น และการโจมตตี อ่ เปา้ หมาย
ทเ่ี ปน็ กลาง ยอ่ มกระทำ� ไมไ่ ด้ ยง่ิ ไปกวา่ นน้ั ทหารตอ้ งไมโ่ จมตตี อ่ ขา้ ศกึ ผทู้ ยี่ อมจำ� นนแลว้
ผู้ท่ีถูกจับกุม ผู้ท่ีได้รับบาดเจ็บซ่ึงมิได้เป็นภัยคุกคามร้ายแรงในขณะนั้นทันที ผทู้ ่ี
กำ� ลงั โดดรม่ จากอากาศยานทปี่ ระสบภยั (เวน้ แตก่ ารโดดรม่ ของหนว่ ยสง่ ทางอากาศ)
หรือผทู้ ีก่ ำ� ลงั สละเรอื ทกี่ ำ� ลังจม เป็นตน้
ข) สดั สว่ นทเ่ี หมาะสม (Proportionality) หมายถงึ ทหารตอ้ งแนใ่ จ
ไดว้ า่ ภยั อนั ตรายหรอื ความเสยี หายทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั พลเรอื น หรอื ทรพั ยส์ นิ ของพลเรอื น
มสี ดั สว่ นทไี่ มม่ ากเกนิ ความจำ� เปน็ เมอ่ื เทยี บกบั สงิ่ ทไี่ ดร้ บั ทางทหารโดยตรงและเปน็
รปู ธรรมจากการโจมตตี อ่ ทห่ี มายทางทหาร หลกั การขอ้ นี้ มงุ่ ทจี่ ะสรา้ งสมดลุ ระหวา่ ง
ขอ้ จำ� กดั ทก่ี ำ� หนดขน้ึ จากมาตรการควบคมุ กบั ความรนุ แรงทเ่ี กดิ จากการกระทำ� ทม่ี ี
ข้อหา้ มดงั กลา่ ว
ค) ความจำ� เปน็ ทางทหาร (Military Necessity) หมายถงึ การโจมตี
หรอื การปฏบิ ตั กิ ารทางทหาร ตอ้ งมเี จตนาเพอื่ ชว่ ยในการเอาชนะขา้ ศกึ เทา่ นนั้ ฉะนน้ั
การโจมตใี ดๆ ตอ้ งกระทำ� ตอ่ ทห่ี มายทางทหาร และภยั อนั ตรายหรอื ความเสยี หาย
ที่เกิดข้ึนกับพลเรือนหรือทรัพย์สินของพลเรือนต้องมีสัดส่วนท่ีเหมาะสมและ

88

ไมม่ ากเกนิ ความจำ� เปน็ เมอื่ เปรยี บเทยี บกบั สงิ่ ทจี่ ะไดร้ บั ทางทหารโดยตรงและเปน็
รูปธรรม หลักการข้อน้ีมุ่งจ�ำกัดการสูญเสียต่อชีวิตและความเสียหายต่อทรัพย์สิน
ท่ีไมจ่ �ำเปน็ หรอื เกินความจำ� เป็นตอ่ การปฏิบัตกิ ารทางทหาร
ง) การปฏิบัติที่เหมาะสมกับเชลยศึก (Fair Treatment of
Prisoners of War) หมายถึง ทหารข้าศึกผทู้ ่ียอมจำ� นน หรอื ผทู้ ่ถี ูกจับกุมซึง่ มิได้
เป็นภัยคุกคามอีกต่อไปแล้ว การทรมานหรือการปฏิบัติที่ไม่เหมาะสมต่อพวกเขา
ย่อมเป็นสงิ่ ทีไ่ ม่ถกู ต้อง
จ) หา้ มกระทำ� ในสงิ่ ทผี่ ดิ ศลี ธรรม(No means malum in se) หมายถงึ
ทหารไม่อาจใช้อาวุธหรือวิธีการอ่ืนๆ ท่ีชั่วร้ายในการท�ำสงคราม เช่น การข่มขืน
กระทำ� ชำ� เรา การบงั คบั ใหท้ หารขา้ ศกึ ตอ่ สกู้ บั พวกเดยี วกนั หรอื ใชอ้ าวธุ ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ
ผลกระทบทไ่ี มส่ ามารถควบคมุ ได้ (ไดแ้ ก่ อาวธุ นวิ เคลยี ร์ อาวธุ เคมี และอาวธุ ชวี ภาพ)
เป็นตน้ 45
ข. ความเปน็ มาของกฎของสงคราม
กฎของสงคราม มวี วิ ฒั นาการมาจากหลกั เกณฑข์ องสงครามอนั ชอบธรรม
โดยกำ� หนดใหอ้ ยใู่ นรปู แบบของกฎหมายระหวา่ งประเทศ คำ� วา่ “กฎของสงคราม”
จึงเป็นศัพท์เฉพาะทางกฎหมายระหว่างประเทศ ท่ีเกี่ยวกับข้อกล่าวอ้างท่ียอมรับ
ได้ว่า มีความชอบธรรมตามกฎหมายในการท�ำสงคราม และข้อจ�ำกัดในระหว่าง
การท�ำสงคราม กฎของสงครามสมยั ใหม่ ได้แก่ การประกาศสงคราม การยอมรับ
การยอมจ�ำนน และการปฏบิ ตั ิตอ่ เชลยศึก ความจำ� เปน็ ทางทหาร รวมถึงหลกั การ
ว่าดว้ ยการแยกฝา่ ย การใช้กำ� ลังในสัดสว่ นทเ่ี หมาะสม และขอ้ หา้ มตอ่ การใชอ้ าวุธ
เฉพาะแบบทอี่ าจกอ่ ใหเ้ กดิ ความทกุ ขท์ รมานโดยไมจ่ ำ� เปน็ 46 โดยทว่ั ไปแลว้ กฎของ
สงคราม มกั ถกู แยกใหอ้ ยู่ตา่ งหากจากกฎหมายอ่นื ๆ เชน่ กฎหมายภายในประเทศ
ของคูส่ งคราม ซง่ึ อาจมขี ้อจ�ำกดั ทางกฎหมายเพ่มิ เตมิ เก่ียวกบั การทำ� สงคราม หรือ
ขอ้ อ้างในความชอบธรรมตอ่ การทำ� สงครามกไ็ ด้

89

ค. กฎของสงครามในปจั จบุ นั
กฎของสงครามในปัจจุบนั ได้มาจากแหล่งสำ� คญั 3 แหล่ง คอื
1) การท�ำสนธิสัญญาหรืออนุสัญญา (Lawmaking Treaties or
Conventions) หรอื ทเี่ รยี กวา่ “สนธสิ ญั ญาระหวา่ งประเทศวา่ ดว้ ย “กฎของสงคราม”
2) จารีตประเพณี (Custom) เน่ืองจากกฎของสงคราม มิได้มีอยู่
เฉพาะในสนธสิ ญั ญาเทา่ นน้ั กฎของสงครามสามารถอา้ งถงึ ความสำ� คญั ของกฎหมาย
จารตี ประเพณไี ดด้ ้วย เช่น กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ท่ีใช้เป็นแนว
ปฏบิ ตั ทิ วั่ ไปของชาติต่างๆ เกยี่ วกับแนวปฏิบัติท่ยี อมรับได้ตามกฎหมาย
3) หลกั การทว่ั ไป (General Principles) เปน็ หลกั การพนื้ ฐานเฉพาะ
ทใี่ ชเ้ ปน็ แนวทางพน้ื ฐานของการทำ� สงคราม ไดแ้ ก่ หลกั การแบง่ แยกฝา่ ย การใชก้ ำ� ลงั
ในสดั สว่ นทเี่ หมาะสม ความจำ� เปน็ ในการใชก้ ำ� ลงั โดยหลกั การเหลา่ นเี้ ปน็ สว่ นหนง่ึ
ของกฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศ ว่าด้วยการใช้กำ� ลังในสงคราม47
ง. วตั ถุประสงคข์ องการมีกฎของสงคราม
หลกั การพื้นฐานท่ีเป็นรากฐานของกฎของสงคราม มีดังนี้
1) สงครามควรถกู จำ� กดั ตามการบรรลเุ ปา้ หมายทางการเมอื งซงึ่ เปน็
ปัจจัยเริ่มสงคราม (เช่น การควบคุมภูมิประเทศ การขับไล่ก�ำลังข้าศึกออกจาก
ดินแดน การยึดครองดินแดนทั้งหมดหรอื บางส่วน เป็นตน้ ) และไม่ควรทำ� ลายลา้ ง
ในสิ่งที่ไม่จ�ำเปน็
2) ควรยุตสิ งครามใหเ้ รว็ ท่ีสุดเท่าท่จี ะเปน็ ไปได้
3) ประชาชนและทรพั ยส์ นิ ทม่ี ไิ ดใ้ ชใ้ นสงคราม ควรไดร้ บั การปกปอ้ ง
จากการทำ� ลายลา้ ง และความยากลำ� บากทไี่ มจ่ ำ� เปน็
เพื่อบรรลุซ่งึ ผลลัพธ์ดังกลา่ วน้ี กฎของสงครามได้ถูกก�ำหนดขึ้นเพ่ือ
บรรเทาความยากล�ำบากต่างๆ จากการท�ำสงครามโดยใหม้ ีการดำ� เนินการ ดังน้ี
1) การปกปอ้ งทงั้ ทหารและพลเรอื นจากความทกุ ขท์ รมานทไี่ มจ่ ำ� เปน็
2) การปกปอ้ งสทิ ธมิ นษุ ยชนพนื้ ฐานของบคุ คลผตู้ กอยใู่ นมอื ของขา้ ศกึ
โดยเฉพาะเชลยศกึ ผู้ป่วยหรอื ผู้ไดร้ ับบาดเจบ็ และพลเรือน
3) การอ�ำนวยความสะดวกในการฟื้นฟสู นั ติภาพ
90

จ. ตัวอยา่ งของกฎของสงครามทีส่ ำ� คัญ
เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้น กฎของสงครามได้ก�ำหนด
ข้อจ�ำกัดต่อการใช้ก�ำลังตามกฎหมายของคู่สงคราม โดยทั่วไปกฎของสงคราม
จะกำ� หนดใหค้ สู่ งครามละเวน้ จากการใชค้ วามรนุ แรงทไี่ มจ่ ำ� เปน็ และสมเหตสุ มผล
สำ� หรบั วตั ถปุ ระสงคท์ างทหาร และใหค้ สู่ งครามแสดงความเปน็ คปู่ รปกั ษ์ โดยเคารพ
ต่อหลักการว่าด้วยมนุษยธรรมและเมตตาธรรม อย่างไรก็ตาม กฎของสงคราม
ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั ฉนั ทามตขิ องผทู้ เ่ี กยี่ วขอ้ ง ดงั นน้ั เนอื้ หาและการตคี วามกฎของสงคราม
จึงมีอยู่อย่างหลากหลาย อาจขัดแย้งกัน และมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ตัวอย่างของกฎของสงครามทีส่ �ำคญั ในปัจจุบันน้ี ไดแ้ ก่
1) การประกาศสงคราม (Declaration of War) ตามหมวด 3 ของ
อนสุ ญั ญากรงุ เฮก ค.ศ.1907 ตอ้ งการให้คูส่ งครามประกาศสงครามอย่างมเี หตผุ ล
หรือโดยการย่ืนค�ำขาดตามการประกาศสงครามอย่างมีเงื่อนไข หรือตามกฎบัตร
ขององค์การสหประชาชาติ ค.ศ.1945 มาตรา 2 และมาตราอื่นๆ ในกฎบัตร
ท่ีพยายามแสวงหาวิธีจ�ำกัดสิทธิของรัฐสมาชิกต่อการประกาศสงคราม ส�ำหรับ
การประกาศสงครามของประเทศไทย ได้ก�ำหนดหลักเกณฑ์ไว้ในรัฐธรรมนูญแห่ง
ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ.2560 มาตรา 177 โดยพระมหากษตั ริย์ทรงไว้ซ่งึ พระราช
อำ� นาจในการประกาศสงครามเมอ่ื ไดร้ บั ความเหน็ ชอบของรฐั สภา ซง่ึ ตอ้ งมคี ะแนน
เสยี งไมน่ อ้ ยกวา่ สองในสามของจำ� นวนสมาชกิ ทงั้ หมดเทา่ ทม่ี อี ยขู่ องทง้ั สองสภา48
2) การควบคุมความประพฤติของคู่สงคราม (Lawful Conduct
of Belligerent Actors) กฎของสงครามสมัยใหม่ ท่ีเกี่ยวกับความประพฤติของ
คู่สงครามในระหวา่ งสงคราม ไดแ้ ก่ อนสุ ัญญาเจนีวา ค.ศ.1949 (1949 Geneva
Conventions) ได้ก�ำหนดไว้ว่า คู่สงครามที่เข้าสู่การรบโดยไม่ยอมปฏิบัติตาม
ข้อก�ำหนดแห่งกฎหมายเฉพาะเช่น การสวมเคร่ืองแบบหรือติดเคร่ืองหมายอ่ืนๆ
ที่เห็นได้อย่างชัดเจนในระยะไกล เพ่ือให้สามารถแบ่งแยกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
การถอื อาวธุ อยา่ งเปดิ เผยและการดำ� เนนิ ปฏบิ ตั กิ ารทางทหารตามกฎและจารตี ประเพณี
ของสงคราม ถือได้ว่าเป็นการละเมิดต่อกฎของสงคราม และทหารต้องอยู่ภายใต้

91

การบงั คบั บญั ชาของนายทหารทเ่ี ปน็ ผรู้ บั ผดิ ชอบคนใดคนหนง่ึ อนั หมายถงึ ผบู้ งั คบั
บัญชาต้องเป็นผู้รับผิดชอบต่อการกระท�ำท่ีไม่ถูกต้องของผู้ใต้บังคับบัญชาของตน
ดว้ ย แต่กม็ ีข้อยกเวน้ ในกรณที ี่สงครามได้เกิดขึ้นอยา่ งทนั ทีทันใดจนกระทัง่ ผู้บงั คับ
บัญชาผู้น้ไี มม่ ีเวลาพอทีจ่ ะขัดขวางต่อการกระทำ� ดงั กลา่ วได้ เป็นต้น
3) การหา้ มโจมตตี อ่ ผทู้ โ่ี ดดรม่ ออกจากอากาศยานทปี่ ระสบเหตวุ กิ ฤต
กฎของสงครามสมัยใหม่ โดยเฉพาะพิธีสารฉบับท่ี 1 เพิ่มเติมอนุสัญญาเจนีวา
ค.ศ.1949 ได้ก�ำหนดข้อห้ามในการโจมตีต่อบุคคลผู้ที่ก�ำลังโดดร่มออกจาก
อากาศยานที่ประสบเหตุวิกฤต ไมว่ ่าอากาศยานนัน้ จะอยู่เหนอื ดนิ แดนของฝ่ายใด
หากบุคคลดังกล่าวได้โดดร่มลงในดินแดนของข้าศึก บุคคลนั้นจะต้องได้รับโอกาส
ในการยอมจ�ำนนก่อนที่จะถูกโจมตี เว้นแต่บุคคลผู้น้ัน ได้แสดงความเป็นปรปักษ์
อยา่ งชดั เจนหรอื พยายามทจี่ ะหลบหนี อยา่ งไรกต็ าม ขอ้ หา้ มดงั กลา่ วน้ี ไมไ่ ดร้ วมถงึ
การโดดรม่ ลงจากอากาศยานของหนว่ ยสง่ ทางอากาศ หนว่ ยรบพเิ ศษ หนว่ ยคอมมานโด
สายลบั นกั กอ่ วนิ าศกรรม นายทหารตดิ ตอ่ และเจา้ หนา้ ทส่ี ายขา่ วตา่ งๆ บคุ คลเหลา่ น้ี
ถือได้ว่าเป็นเป้าหมายอันชอบธรรม และอาจถูกโจมตีได้ แม้ว่าอากาศยานของ
พวกเขาจะก�ำลังประสบเหตุวิกฤตกต็ าม
4) การหา้ มโจมตตี อ่ บคุ คลหรอื ยานพาหนะทตี่ ดิ เครอ่ื งหมายกาชาด
หรือยกธงขาว กฎของสงครามสมัยใหม่ เช่น อนุสัญญาเจนีวา ค.ศ.1949
ได้ก�ำหนดข้อห้ามในการโจมตีต่อแพทย์ รถหรือเรือพยาบาล ท่ีติดเคร่ืองหมาย
กาชาด หรอื ตราอนื่ ๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั องคก์ ารกาชาดสากล (International Red Cross
and Red Crescent Movement) รวมถึงหา้ มทำ� การยงิ ใสบ่ คุ คลหรือยานพาหนะ
ที่ยกธงขาว (White Flag) ซ่ึงเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงความต้ังใจว่าจะยอมจ�ำนน
หรือต้องการติดต่อส่ือสารกับอีกฝ่ายหนึ่งอย่างชัดเจน เน่ืองจากบุคคลเหล่าน้ี
ถือได้ว่าด�ำรงความเป็นกลาง และต้องไม่ถูกกระท�ำเหมือนกับการสู้รบในสงคราม
อย่างไรก็ตาม บุคคลหรือยานพาหนะที่ใช้เคร่ืองหมายเหล่าน้ี ต้องไม่เข้าไปมี
สว่ นรว่ มกบั กจิ กรรมใดๆ ในสงคราม หากบคุ คลเหลา่ นี้ ไมย่ อมปฏบิ ตั ติ ามขอ้ กำ� หนดน้ี
ก็ถือได้ว่าเป็นการละเมิดต่อกฎของสงครามนี้ ต้องสูญเสียสถานภาพท่ีจะได้รับ
การปกปอ้ งและตกเปน็ เปา้ หมายทางทหารได้เชน่ กนั
92

ฉ. กฎหมายระหวา่ งประเทศทสี่ ำ� คญั และเกยี่ วขอ้ งกบั กฎของสงคราม
นอกเหนอื จากกฎของสงครามดงั กลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ กฎหมายระหวา่ ง
ประเทศท่ีส�ำคัญและเก่ียวข้องกับกฎของสงครามที่ควรศึกษาเพ่ิมเติม (มิได้จ�ำกัด
เพียงแคน่ ้ี) มีดงั นี้
1) อนสุ ัญญากรงุ เฮก ศ.ศ.1907 (1907 Hague Conventions)
2) พธิ สี ารเจนีวา ค.ศ.1925 วา่ ดว้ ยข้อห้ามการใชก้ า๊ ซพษิ สารพษิ หรอื
ก๊าซอื่นๆ และการใช้แบคทีเรียในสงคราม (1925 Geneva protocol for the
Prohibition of the Use in War of Asphyxiating, Poisonous or Other Gases,
and of Bacteriological Methods of Warfare)
3) อนุสญั ญาเจนวี า ค.ศ.1929 ว่าด้วยการปฏิบัติตอ่ เชลยศึก (Geneva
Convention, Relative to the Treatment of Prisoners of War)
4) อนุสัญญาฉบับที่ 4 ค.ศ.1949 ว่าด้วยการปกป้องพลเรือนในยาม
สงคราม (1949 Geneva Convention IV Relative to the Protection of
Civilian Persons in Time of War)
5) สนธิสญั ญาออตตาวา ค.ศ.1990 วา่ ดว้ ยการห้ามใช้ทนุ่ ระเบดิ (1990
Ottawa Treaty Banning the Use of Landmine)
6. หลักนยิ ม
ก. ความหมาย
คำ� วา่ “หลกั นยิ ม” นน้ั สถาบนั ทางทหารไดน้ ำ� มาใชก้ นั อยา่ งแพรห่ ลาย
ในปจั จบุ ัน ตรงกับค�ำในภาษาอังกฤษว่า “Doctrine” ความจรงิ แล้ว หลกั นิยมมใิ ช่
ของใหม่แต่อย่างใด เพราะหลักนิยมก็คือ หลักการพื้นฐาน (Fundamental
Principle) อนั หนง่ึ ซงึ่ มคี วามหมายเชน่ เดยี วกบั คำ� วา่ “หลกั การ” อยา่ งไรกต็ าม คำ� วา่
“หลกั นยิ ม” มคี วามหมายทหี่ ลากหลายตามมมุ มองของแตล่ ะประเทศทส่ี ำ� คญั ดงั น้ี
คำ� วา่ “หลกั นยิ มทางทหาร” (Military Doctrine) ของกองทพั สหรฐั ฯ
และกลุ่มประเทศสมาชิกสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หมายถึง หลักพ้ืนฐาน

93

ซ่ึงก�ำลังรบทางทหาร หรือส่วนของก�ำลังรบทางทหารยึดถือเป็นแนวปฏิบัติเพ่ือ
สนบั สนนุ วตั ถปุ ระสงคท์ างทหาร หรอื วตั ถปุ ระสงคข์ องชาติ (National Objectives)
หลกั นยิ มน้เี ป็นสง่ิ ท่ีเชอ่ื ถอื ได้ แตต่ อ้ งพจิ ารณาในการนำ� มาใช4้ 9
คำ� วา่ “หลกั นยิ ม” ของกองทพั บกแคนาดา หมายถงึ การแสดงความรู้
และความคิดทางทหารอย่างเป็นทางการซึ่งครอบคลุมธรรมชาติของความขัดแย้ง
การเตรียมการส�ำหรับความขัดแย้ง และวิธีจัดการกับความขัดแย้งเพื่อให้บรรลุ
ผลส�ำเร็จ50 หลักนิยมตามความหมายของกองทัพบกแคนาดา จึงมีลักษณะของ
การอธิบายหลักการ และวิธีการท่ีกองทัพบกคิดเกี่ยวกับการสู้รบที่ครอบคลุม
สถานการณ์รอบด้าน แต่ไม่ใช่กฎหรือหลักเกณฑ์ตายตัว รายการตรวจสอบตาม
ระเบยี บปฏบิ ตั ิ หรือวิธีการสู้รบ เพ่ือให้ผู้ใช้สามารถใช้ดุลพินิจพิจารณาใช้ได้เอง
ตามความเหมาะสม
คำ� วา่ “หลกั นยิ ม” ตามความหมายของอดตี สหภาพโซเวยี ต หมายถงึ
ระบบทไ่ี ดร้ บั การยอมรบั อยา่ งเปน็ ทางการของรฐั ของมมุ มองพนื้ ฐานทางวทิ ยาศาสตร์
เกี่ยวกับธรรมชาติของสงครามสมัยใหม่ และการใช้กองทัพในสงคราม หลักนิยม
ทางทหารของอดีตสหภาพโซเวยี ต มมี มุ มองสำ� คญั 2 ด้าน คือ มุมมองด้านสงั คม
การเมือง (Social-Political Side)51 และมุมมองด้านเทคนิคทางทหาร (Military
Technical Side) มุมมองด้านสังคมการเมือง กอปรด้วยค�ำถามท้ังหมดเกี่ยวกับ
ระเบยี บวธิ ี เศรษฐกจิ และฐานทางสงั คม รวมถงึ เปา้ หมายทางการเมอื งของการทำ�
สงคราม ในขณะที่มุมมองด้านเทคนิคทางทหารซึ่งต้องสอดคล้องกับเป้าหมาย
ทางการเมือง กอปรด้วยการจัดท�ำโครงสร้างทางทหาร การจัดหายุทโธปกรณ์
ทางเทคนคิ ใหก้ บั กองทพั การฝกึ การใหค้ วามหมายรปู แบบ และวธิ กี ารดำ� เนนิ การยทุ ธ์
และสงครามในภาพรวม52
กลา่ วโดยสรปุ “หลกั นิยมทางทหาร” หมายถงึ หลักพืน้ ฐานที่ก�ำลัง
ทหารใชเ้ ปน็ หลกั ปฏบิ ตั ใิ นการดำ� เนนิ การของตน เพอื่ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคท์ างทหาร
หรอื วตั ถปุ ระสงคข์ องชาติ หลกั นยิ ม จงึ มลี กั ษณะของขอ้ ความทวั่ ไปของหลกั การตา่ งๆ
ที่กล่าวถึงวิธีการที่ก�ำลังทหารใช้ในการสู้รบในสงคราม และเป็นตัวเชื่อมระหว่าง
94

ทฤษฎี ประวตั ิศาสตร์ การทดลองหรือการฝึก และการปฏิบัตจิ รงิ ไว้ด้วยกนั โดยมี
วตั ถุประสงคเ์ พือ่ สง่ เสรมิ ความรเิ ริม่ และการคดิ อยา่ งสร้างสรรค์ แมว้ า่ ความหมาย
ของหลกั นยิ มดงั กลา่ วคอ่ นขา้ งเปน็ หลกั ในเชงิ บงั คบั แตผ่ ใู้ ชต้ อ้ งพจิ ารณาในการนำ� ไป
ประยกุ ตใ์ ช้ อนั หมายความวา่ ตอ้ งใชอ้ ยา่ งรอบคอบในทกุ ๆ เรอ่ื ง จงึ จะเกดิ ประโยชน์
สงู สุดในการน�ำไปใช้
ข. ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งหลกั นยิ มกบั ยทุ ธศาสตร์ ยทุ ธการ และยทุ ธวธิ ี
โดยทั่วไป หลักนิยม แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ หลักนิยม
ทางยุทธศาสตร์ (Strategic Doctrine) และหลักนิยมทางยุทธวิธี (Tactical
Doctrine) ด้วยเหตุน้ี หลักการสงคราม ซึ่งเป็นหลักการที่ใช้ในการท�ำสงคราม
กถ็ อื ไดว้ า่ เปน็ หลกั นยิ มอยา่ งหนงึ่ ดว้ ยเชน่ กนั โดยเปน็ หลกั นยิ มในประเภทหลกั นยิ ม
พ้ืนฐานทางยุทธศาสตร์ หลักนิยมทางยุทธศาสตร์ในสมัยประธานาธิบดีคาร์เตอร์
ของสหรัฐอเมริกา ซ่ึงถูกเรียกว่า “หลักนิยมของคาร์เตอร์” (Carter Doctrine)
ได้เน้นในเรื่องการใช้ก�ำลังทหารในการป้องกันภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย โดยถือว่า
เป็นผลประโยชน์ส�ำคัญยิ่งของสหรฐั อเมรกิ า ทง้ั ทภ่ี มู ภิ าคดงั กลา่ วอยหู่ า่ งไกลจาก
ดนิ แดนสหรฐั อเมรกิ าถงึ 6,000 ไมล์ โดยหลักนิยมของคาร์เตอร์ ได้กล่าวไว้ว่า
“จุดยืนของเราชัดเจนอย่างย่ิงว่า ความพยายามจากก�ำลังภายนอกใดๆ ที่จะเข้า
ควบคุมภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ย่อมถือได้ว่าเป็นการโจมตีต่อผลประโยชน์ส�ำคัญย่ิง
ของสหรัฐอเมริกา และการโจมตีเช่นน้ี จะต้องถูกขับไล่ออกไปด้วยเครื่องมือใดๆ
ทจ่ี �ำเป็น รวมถงึ การใช้กำ� ลังทหาร”53
หลกั นยิ มไมใ่ ชย่ ทุ ธศาสตร์ ตามความหมายขององคก์ ารแอตแลนตกิ เหนอื
“ยุทธศาสตร์” คอื การนำ� เสนอลักษณะทอี่ ยใู่ นกำ� ลังอ�ำนาจทางทหาร ท่ีควรไดร้ บั
การพัฒนาและประยุกต์ใช้ เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์แห่งชาติ54 หรือกลุ่มของชาติ
ในขณะทคี่ ำ� จำ� กดั ความอยา่ งเปน็ ทางการของกระทรวงกลาโหมสหรฐั ฯ“ยทุ ธศาสตร”์
คือ ความคิด หรอื ชดุ ความคิดท่ีคัดสรรแลว้ อย่างรอบคอบ ส�ำหรับใชเ้ คร่อื งมอื ของ
พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตใิ นลกั ษณะทส่ี อดคลอ้ งและบรู ณาการ เพอ่ื ใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงค์
ของชาติ หรือนานาชาติ55 ข้อแตกต่างท่ีส�ำคัญระหว่างหลกั นยิ มกบั ยทุ ธศาสตรก์ ค็ อื

95

หลักนิยมจะกล่าวถึงวิธีการที่หน่วยก�ำลังรบใช้ปฏิบัติการและวิธีการท่ีกองทัพ
ใช้ส�ำหรับการสู้รบในการท�ำสงคราม ในขณะท่ียุทธศาสตร์จะกล่าวถึงวิธีการ
ในภาพรวมเพอื่ บรรลเุ ปา้ หมายทก่ี ำ� หนดเทา่ นนั้ ตวั อยา่ งทแ่ี สดงใหเ้ หน็ ความแตกตา่ ง
ระหว่างหลักนิยมกับยุทธศาสตรก์ ็คอื ในยทุ ธการพายทุ ะเลทราย (Desert Storm)
ผู้บัญชาการกองทัพสหรัฐอเมริกาใช้ยุทธศาสตร์ท�ำลายศูนย์บังคับบัญชาและ
ระบบการควบคมุ ทางทหารของฝา่ ยอริ กั โดยอาศยั การทงิ้ ระเบดิ ทางอากาศในขนั้ ตน้
ตามดว้ ยการโจมตขี องหนว่ ยจโู่ จมทางภาคพน้ื ดนิ โดยมกี ารสง่ หนว่ ยจโู่ จมหนว่ ยหนง่ึ
เขา้ โจมตที างดา้ นทศิ ใต้ อกี หนว่ ยหนงึ่ เขา้ โจมตใี นยา่ นกลาง และมีหน่วยยานเกราะ
อกี หนว่ ยหนง่ึ เขา้ โจมตดี ว้ ยการโอบลอ้ มทางปกี ทางดา้ นทศิ ตะวนั ตกของกำ� ลงั ทหาร
อริ กั เพ่ือเขา้ ตลบหลงั และบดขยก้ี �ำลังทหารของอิรกั ในขณะท่ีหลักนิยมท่ีกองทัพ
สหรัฐอเมริกาใช้ก็คือ “หลักนิยมการรบอากาศพื้นดิน”(AirLand Battle)
ทใี่ ชก้ ารปฏบิ ตั กิ าร3 ประเภทพรอ้ มกนั คอื การปฏบิ ตั กิ ารระยะใกล้ การปฏบิ ตั กิ ารทางลกึ
และการปฏบิ ตั กิ ารในพนื้ ทส่ี ว่ นหลงั ในการปฏบิ ตั กิ ารระยะใกล้ รปู ขบวนทางยทุ ธวธิ ี
ขนาดใหญ่ของกองทัพน้อยและกองพล จะเคล่ือนก�ำลังเข้าสู่การรบโดยอาศัย
การดำ� เนนิ กลยทุ ธ์ การรบระยะประชดิ และการยงิ สนบั สนนุ ในการปฏบิ ตั กิ ารทางลกึ
เปน็ การปฏบิ ตั กิ ารเพอ่ื ชว่ ยในการเอาชนะตอ่ การรบระยะใกล้ โดยเขา้ โจมตตี อ่ รปู ขบวน
ของข้าศึกในทางลึก โดยอาศัยการลวง การลาดตระเวนทางลึก การขัดขวาง
ทั้งทางภาคพื้นดินและการขัดขวางทางอากาศต่อกองหนุนของข้าศึก ท่ีหมาย
หรอื วตั ถปุ ระสงคข์ องการปฏบิ ตั กิ ารทางลกึ กเ็ พอื่ ตดั แยกสนามรบ และดำ� รงอทิ ธพิ ล
ต่อการรบท่ีจะมีตามมา ในการปฏิบัติการในพ้ืนที่ส่วนหลังก็ด�ำเนินการพร้อมกัน
กับการปฏิบัติการอื่นๆ โดยมุ่งไปสู่การรวมก�ำลังและการเคลื่อนย้ายกองหนุน
การเปล่ียนท่ีตั้งยิงสนับสนุน การด�ำรงแรงหนุนเน่ืองด้วยการส่งก�ำลังบ�ำรุงเพอ่ื
ดำ� รงสภาพการรบ และใหก้ ารบงั คบั บญั ชาและการควบคมุ การรบเปน็ ไปอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
ในขณะท่ีการปฏิบตั กิ ารระวงั ป้องกัน จะช่วยในเร่อื ง การควบคุมการจราจร และ
รกั ษาเส้นทางคมนาคม ท่ีมีความส�ำคัญย่ิงต่อการปฏิบัติการในพืน้ ท่ีสว่ นหลงั

96

ในทำ� นองเดยี วกนั หลกั นยิ มไมใ่ ชท่ ง้ั “ยทุ ธการ” (Operations) และ
“ยทุ ธวธิ ”ี (Tactics) เพราะหลกั นยิ ม เปน็ เพยี งกรอบแนวคดิ ทรี่ วมการทำ� สงคราม
ท้งั สามระดบั ไว้ด้วยกนั เท่าน้นั 56 หลกั นยิ ม มักแสวงหากรอบแนวคิดทว่ั ไปส�ำหรบั
การปฏิบัติการทางทหาร กล่าวคือ “รู้ตัวเอง” (รู้ว่าเราเป็นใคร) “รู้ภารกิจของ
ตวั เอง” (รสู้ ง่ิ ทเ่ี ราจะทำ� ) “รวู้ ธิ กี ารปฏบิ ตั ภิ ารกจิ ” (รวู้ า่ เราจะทำ� อยา่ งไร) “รวู้ ธิ กี าร
ปฏิบัติภารกิจท่ีเคยท�ำในอดีต” (รู้วิธีการที่เราเคยท�ำในอดีต) และ “รู้ส่ิงอ่ืนๆ
ท่ีเกย่ี วขอ้ ง” (รวู้ า่ มีปัญหาอืน่ ๆ อะไรบา้ ง)57 หลกั นิยมจึงสะทอ้ นใหเ้ ห็นถงึ ดุลพินจิ
ของนายทหารมืออาชีพเกี่ยวกับสิ่งท่ีเป็นไปได้ ส่ิงท่ีเป็นไปไม่ได้ ส่ิงที่จ�ำเป็น
และสงิ่ ทไ่ี มจ่ ำ� เปน็ ในทางทหาร โดยมปี จั จยั พจิ ารณาทสี่ ำ� คญั เชน่ เทคโนโลยที างทหาร
ภูมิศาสตร์ชาติ ขีดความสามารถของฝ่ายตรงข้าม และขีดความสามารถของ
หนว่ ยทหารฝา่ ยเรา เปน็ ตน้
ค. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างประวตั ิศาสตรก์ บั หลักนยิ มทางทหาร
ดงั ไดก้ ลา่ วมาแลว้ วา่ การกำ� หนดหลกั นยิ มจำ� เปน็ ตอ้ งอาศยั ปจั จยั ตา่ งๆ
หลายประการมาประกอบการพิจารณาปัจจัยส�ำคัญอีกอย่างหน่ึงในการก�ำหนด
หลักนิยมก็คือ “ประวัติศาสตร์” เพราะประวัติศาสตร์เป็นเร่ืองราวของ
ความเปน็ มาในอดตี ทม่ี นษุ ยเ์ ราไดท้ ำ� การบนั ทกึ ไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน ซง่ึ การบนั ทกึ เหลา่ น้ี
อาจประมวลมาจากประสบการณ์ท้ังหมดหรือเป็นบางส่วนก็ได้ ความรู้พ้ืนฐาน
ทางประวตั ศิ าสตรจ์ ะชว่ ยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจในเรอ่ื งตา่ งๆ ทผี่ า่ นมาไดช้ ดั เจนขน้ึ และ
เมอื่ ศกึ ษาเพมิ่ เตมิ เกยี่ วกบั บทเรยี นจากการรบใหถ้ กู ตอ้ งเหมาะสมแลว้ กจ็ ะสามารถ
บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคแ์ หง่ ชาตอิ นั เปน็ เปา้ หมายหลกั นอกเหนอื จากประวตั ศิ าสตรแ์ ลว้
การก�ำหนดหลักนิยมทางทหารจ�ำเป็นต้องอาศัยปัจจัยอื่นๆ ประกอบด้วย เช่น
บทเรียนจากการรบ การศึกษายุทธศาสตร์และยุทธวิธี หลักนิยมของชาติต่างๆ
และความกา้ วหนา้ ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็นตน้

97

ตามแนวคดิ ของนาวาอากาศโท เดนนสิ เอม็ ดรวู ์ (Dennis M. Drew)
ไดแ้ บง่ หลกั นิยมทางทหารเป็น 3 ประเภท คือ หลักนิยมพ้นื ฐาน (Fundamental
Doctrine) หลักนิยมพิเศษ หรือหลักนิยมท่ีเก่ียวกับสภาพแวดล้อมพิเศษ
(Environmental Doctrine) และหลกั นยิ มการจดั หนว่ ย หรอื หลกั นยิ มทางยทุ ธวธิ ี
(Organizational Doctrine)58 ตามแนวคิดดังกล่าวนี้ ได้เปรียบเทียบหลักนิยม
ทางทหารกบั โครงสร้างของตน้ ไมไ้ วอ้ ยา่ งน่าสนใจ กลา่ วคือ “ราก” เปรยี บเสมอื น
การศึกษาประวัติศาสตร์ และประสบการณต์ ่างๆ ท่ไี ด้รบั จากการศกึ ษา “ล�ำต้น”
เปรียบเสมือนหลักนิยมพ้ืนฐาน ซึ่งต้องอาศัยรากดูดกลืนอาหารมาเล้ียงล�ำต้น
ก่งิ กา้ น และใบ ตอ่ ไป “กง่ิ กา้ น” เปรียบเสมอื นหลักนิยมพิเศษ ซ่งึ แผข่ ยายไปตาม
ทศิ ต่างๆ และ “ใบ” เปรยี บเสมอื นหลักนิยมทางยุทธวธิ ี ซ่งึ จะเจรญิ เติบโตไดก้ ็ตอ้ ง
อาศยั กงิ่ กา้ น ลำ� ตน้ และราก ตามลำ� ดบั ภายหลงั จากนำ� เสนอแนวคดิ ดงั กลา่ ว ปรากฏวา่
แนวคิดของนาวาอากาศโท ดรูว์ ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในการศึกษา
และพัฒนาหลักนิยมทางทหารของสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะต้องพัฒนาให้เหมาะสม
และสอดคล้องกับความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่ีพัฒนาไป
อย่างรวดเร็ว โดยอาจกล่าวสรุปความสัมพันธ์ของการผสมผสานของสิ่งสองสิ่ง
ดังกล่าวให้ชัดเจนย่ิงขึ้นได้ว่า “แม้กองทัพที่มีอาวุธอันทันสมัย หากขาดหลักนิยม
ท่ีเหมาะสมก็ยากที่จะรบชนะข้าศึก และยากที่จะสนับสนุนให้ประเทศบรรลุ
วัตถุประสงค์แห่งชาติได้ตามที่ต้องการ” ดังน้ัน นักการทหารจึงจ�ำเป็นต้องศึกษา
และท�ำความเข้าใจในเร่ืองหลักนิยมทางทหารอย่างละเอียดรอบคอบ และให้
เหมาะสมทนั สมัยอย่างต่อเนือ่ งอยู่ตลอดเวลา59

98

ภาพท่ี 2-7 การเปรยี บเทยี บระหวา่ งหลักนิยมทางทหารกบั โครงสร้างของตน้ ไม้
ทม่ี า : Dennis M. Drew, Off Tree and Leaves a New View of Doctrine, Air University Review,
Vol.33 No.2 January-February, 1982.

ในการศึกษาประวัติศาสตร์ทหารหรือประวัติศาสตร์การสงครามนั้น
เป็นท่ียอมรับกันทั่วไปว่า “พระเจ้านโปเลียนมหาราช” (พ.ศ.2312–2364)
นับเป็นยอดขุนศึกท่ีเกรียงไกรท่ีสุดในสมรภูมิยุโรป พระองค์มีพระปรีชาสามารถ
เหนอื กวา่ นกั รบใดๆ ในสมยั นน้ั จากการศกึ ษาชวี ประวตั ขิ องพระองคเ์ ปน็ ทป่ี ระจกั ษ์
ชัดว่า การที่พระองค์มีพระปรีชาสามารถเช่นนั้นได้ เป็นเพราะพระองค์ได้ศึกษา
บทเรยี นจากการรบของขนุ ศกึ ทมี่ ชี อื่ เสยี งสำ� คญั ๆ ในอดตี มากอ่ น เชน่ พระเจา้ อเลก็ -
ซานเดอรม์ หาราช ฮนั นบิ าล ซซี าร์ กสุ ตาวสั อดอลฟสั ตแู รน เจา้ ชายยจู นี และพระเจา้
ฟรีดรชิ มหาราช เปน็ ต้น

99

จากผลการศกึ ษาประวตั ขิ องพระเจา้ นโปเลยี น ทำ� ใหท้ ราบวา่ พระองค์
มี“ศิลปะในการท�ำสงคราม” จนกระทั่งสร้างเป็นแนวคิดใหม่ๆ ที่เรียกว่า
“สตู รการสงคราม” (Maximes de Guerre) ขน้ึ เพอ่ื ใชเ้ ปน็ หลกั ในการดำ� เนนิ การสงคราม
สูตรการสงครามของพระองค์ในสมัยน้ัน มีด้วยกันถึง 112 สูตร ต่อมาก็พัฒนา
เพิ่มเติมรวมเป็น 115 สูตร ในเวลาต่อมา เคลาเซวิทซ์ ได้น�ำมาประมวลเป็น
“หลกั การสงคราม” ของตนเองขน้ึ และไดน้ ำ� ถวายความรใู้ หแ้ กม่ กฎุ ราชกมุ ารปรสั เซยี
ในปี พ.ศ.2355 โดยเรยี กชื่อวา่ “หลักการท�ำสงครามที่สำ� คญั ทสี่ ดุ ” (The Most
Important Principles for the Conduct of War) โดยเคลาเซวิทซ์ ได้เนน้ ถึง
ความสำ� คญั ในการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรท์ หารไวว้ า่ “การศกึ ษาประวตั ศิ าสตรท์ หาร
มคี วามสำ� คญั มาก เพราะการศกึ ษาประวตั ศิ าสตรท์ หาร จะชว่ ยใหม้ องเหน็ สง่ิ ตา่ งๆ
ดงั ทม่ี ันเปน็ อย่จู ริง และส่งิ เหล่าน้มี ผี ลตอ่ เนื่องเก่ียวกันอยา่ งไร ด้วยหลักการตา่ งๆ
ซงึ่ เราสามารถศกึ ษาไดจ้ ากทฤษฎนี นั้ เพยี งเพอ่ื เปน็ อปุ กรณ์ การศกึ ษาประวตั ศิ าสตร์
ทหาร และเพยี งเพอ่ื ใหเ้ ราสนใจตอ่ เรอ่ื งราวทสี่ ำ� คญั ยง่ิ ในประวตั ศิ าสตรก์ ารสงคราม
เท่านั้น ...เพียงแต่การศึกษาประวัติศาสตร์ทหารเท่านั้น ย่อมเพียงพอท่ีจะท�ำให้
ผู้อื่นที่ยังไม่มีความสันทัดจัดเจนกับสงคราม เกิดมีความคิดอันแจ่มแจ้งข้ึนได้
และมองเห็นบรรดาอุปสรรคต่างๆ ที่จะต้องแก้ไขได้อย่างชัดเจน...”60ดังนั้น
นกั ยทุ ธศาสตร์ จงึ จำ� เปน็ ตอ้ งแสวงประโยชนท์ ไี่ ดร้ บั จากการอา่ นหนงั สอื ประวตั ศิ าสตร์
และค้นคว้าวิจัยทางประวัติศาสตร์ เพ่ือให้ได้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่าจาก
ประวตั ิศาสตร์เหลา่ นั้น61

100

ประวตั ศิ าสตร์ทหาร ความมุ่งประสงค์แห่งชาติ
บทเรยี นจากการรบ ผลประโยชนแ์ ห่งชาติ
การศึกษายทุ ธศาสตร์ ยุทธวิธี วัตถุประสงคแ์ หง่ ชาติ
และหลักนิยมของชาติต่างๆ นโยบายแหง่ ชาติ
การพฒั นาหหลักนยิ มของประเทศอืน่
ตามความเจรญิ ทางวทิ ยาศาสตร์
และเทคโนโลยี ฯลฯ

หลักนิยมพ้นื ฐาน นโยบายทางทหาร

หลกั นยิ มสงครามแบบพิเศษ หลกั นยิ มทางยุทธวธิ ี ยทุ ธศาสตร์ชาติ
ยุทธศาสตรช์ าติ

ภาพท่ี 2-8 แผนภูมแิ สดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งการกำ� หนดหลกั นยิ มทางทหาร
กับการกำ� หนดยทุ ธศาสตร์

ทม่ี า : พจน์ พงศส์ วุ รรณ, พลตร,ี หลกั ยทุ ธศาสตร,์ กรงุ เทพฯ : โอ เอส พรน้ิ ตงิ้ เฮาส,์ 2536, หนา้ 27.

กล่าวโดยสรุป การจัดท�ำหลักนิยมทางทหารของแต่ละประเทศ
ย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลของเป้าหมายทางการเมือง และมุมมองต่อการท�ำสงคราม
ของแต่ละประเทศเป็นหลัก หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า เป็นมุมมองทางการเมือง
(Political Aspect) และมุมมองทางเทคนคิ (Technical Aspect) ก็ได้ มมุ มอง
เกยี่ วกบั การเมอื ง จะเกยี่ วขอ้ งกบั การประเมนิ คา่ ทางการเมอื งตอ่ ยทุ ธวธิ ที างทหาร
ของประเทศ ในขณะท่ีมุมมองทางด้านเทคนิคเก่ียวกับการท�ำสงคราม จะใช้เป็น
ค�ำตอบต่อปัญหาใดๆ ที่เกิดขึ้นกับลักษณะเฉพาะของความขัดแย้งในสงคราม
รว่ มสมยั ซึ่งมุมมองเหลา่ น้ีน่เี องเปน็ ตัวกำ� หนดกจิ ทางทหารของกองทัพ เครอ่ื งมอื
วธิ กี าร และรปู แบบของความขดั แยง้ เนอ่ื งจากหลกั นยิ มทางทหาร ถอื เปน็ สงิ่ สำ� คญั

101

และจ�ำเป็นส�ำหรับกองทัพ เมื่อผสมผสานหลักนิยมกับบทบาทและพันธกิจ
ของหน่วยแล้ว หลักนิยมทางทหารก็จะอ�ำนวยให้เหล่าทัพสามารถพิจารณาเรื่อง
ท่ีเก่ียวกับความม่ันคงแห่งชาติได้อย่างเหมาะสม เพราะหลักนิยมต่างๆ ตาม
ความหมายท่ีกล่าวมาแล้วน้ัน จะต้องมุ่งสนับสนุนต่อ “วัตถุประสงค์แห่งชาติ”
(National Objectives) น่นั เอง
7. สรุป
กล่าวโดยสรุป สงคราม เป็นเร่ืองของการเมือง ฉะนั้น ชัยชนะใน
สงครามในท้ายท่ีสุดแล้วจึงเป็นการวิเคราะห์ภายใต้กรอบทางการเมืองเป็นหลัก
ทั้งนี้ก็โดยอาศัยการหยั่งรู้หรือการท�ำความเข้าใจกับสิ่งท่ีจะท�ำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เหนือกว่าฝ่ายตรงข้ามในการท�ำสงคราม ดังน้ัน การวินิจฉัยสงครามจึงต้ังอยู่บน
ฐานของผลลัพธ์ ไม่ใช่การกระท�ำ ในระดับยุทธศาสตร์ ขนาดของการประเมิน
สงครามกค็ อื ผลทางการเมอื ง โดยอาศยั มมุ มองทางกายภาพหรอื มมุ มองทางทหาร
ซ่งึ เปน็ ปัจจัยพ้นื ฐานของความขัดแยง้ ทางการเมอื ง เช่น การสูญเสียทม่ี ีผลมาจาก
การทำ� สงคราม การเขา้ ยดึ ครอง หรอื การสญู เสยี ดนิ แดน เปน็ ตน้ เนอ่ื งจากสงคราม
เป็นการแข่งขันกันระหว่างความมุ่งม่ันในการท�ำสงครามของคู่สงคราม ฉะนั้น
ผปู้ ระเมนิ ผลสำ� เรจ็ ของการทำ� สงครามทแี่ ทจ้ รงิ กค็ อื รฐั บาล และประชาชนของชาติ
คสู่ งครามนนั่ เอง ดว้ ยเหตุน้ี หากฝ่ายใดฝ่ายหนึง่ ด�ำเนนิ การปฏิบัตกิ ารขา่ วสารทีไ่ ม่
เหมาะสม แม้ว่าฝ่ายดังกล่าวจะมีก�ำลังอ�ำนาจทางทหาร ทักษะทางการทูต หรือ
ก�ำลังอ�ำนาจทางเศรษฐกิจท่ีเหนือกว่า แต่ก็อาจประสบกับหายนะทางยุทธศาสตร์
จนถงึ กบั พา่ ยแพใ้ นสงครามกไ็ ด้ ดงั นน้ั การเขา้ ใจธรรมชาตขิ องสงครามในทกุ ระดบั
ท้ังในระดบั ยุทธศาสตร์ ยุทธการ และยทุ ธวิธี รวมถงึ ความสมั พันธ์ระหว่างสงคราม
ในแต่ละระดับ จึงเป็นสิ่งจ�ำเป็นส�ำหรับนักยุทธศาสตร์ เน่ืองจากการก�ำหนด
ยุทธศาสตร์ ซ่ึงจะกล่าวถึงในรายละเอียดในบทต่อไปก็คือ วิธีการต่อการเอาชนะ
สงครามในแต่ละระดบั ทต่ี ้องการนนั่ เอง

102

อา้ งอิงทา้ ยบท
1 Q. Wright, A study of war, vol.1, Chicago: University of Chicago Press,
1942/1965.
2 Carl von Clausewitz, On War [Vom Krieg], Translated and Edited by
Michael Howard & Peter Paret, New Jersey: Princeton University Press,
1984 [1832], p.87.
3 Clausewitz.com, What is war?, http://www.clausewitz.com/readings/
OnWar1873/BK1ch01.html, retrieved on 4 November 2014.
4 Oxford Dictionaries, war, http://www.oxforddictionaries.com/definition/
english/war, retrieved on 2 December 2014.
5 An Encyclopedia Britannica Company, War, http://www.merriam-webster.
com/dictionary/war?show=0&t=1415774991, retrieved on 10 December 2014.
6 พจน์ พงศ์สุวรรณ, พลตรี, หลักยุทธศาสตร์, กรุงเทพฯ : โอ เอส พร้ินติ้ง เฮาส์,
2536, หนา้ 22.
7 เรอ่ื งเดียวกนั .
8 Martin Van Creveld, Technology and War II: Postmodern War?, In Charles
Townshend, The Oxford History of Modern War, New York, USA: Oxford
University Press, 2000, pp.356–358.
9 James Fearon, Iraq's Civil War, in Foreign Affairs, March/April 2007.
10 Oxford Dictionaries, proxy war, http://www.oxforddictionaries.com/
definition/english/proxy-war, retrieved on 2 December 2014.
11 จอม ร่งุ สว่าง, นาวาอากาศเอก, ผู้แปล, ตำ� ราพิชยั สงครามซุนหวู : บทท่ี 2 เตรียมศึก,
http://www.novabizz.com/NovaAce/Manage/Suntzu.htm, retrieved
on 27 February 2015.
12 Wikiquote, Carl von Clausewitz, http://en.wikiquote.org/wiki/Carl_von_
Clausewitz, retrieved on 7 November 2014.
13 พจน์ พงศส์ ุวรรณ, อา้ งแลว้ , หน้า 30-31.
14 นพดล แสงพลสิทธิ์, วิชาวิทยาการทหาร, กรุงเทพฯ : กรมยุทธศึกษาทหาร

103

กองบญั ชาการกองทัพไทย, 2551, หน้า 20-22.
15 P612, War and Doctrine, U.S.Army Command and General Staff College,
Academic Year 1982-83, pp.174-175.
16 Ibid., p.177.
17 Ibid.
18 Ibid.
19 พจน์ พงศ์สวุ รรณ, อา้ งแล้ว, หน้า 28-29.
20 Headquarter, Department of The Army, FM 100–1: The Army, Washington,
DC, 14 August 1981.
21 พจน์ พงศส์ วุ รรณ, อา้ งแลว้ , หนา้ 29.
22 Joint Chief of Staff, Joint Operations, Joint Publication 3-0, 17 September2008
Incorporating Change 1 13 February 2011, p.xii.
23 การทหารของไทยสมยั อยธุ ยา รชั สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช (พ.ศ.2133-2147),
หอมรดกไทย, กระทรวงกลาโหม.
24 พิชัยสงคราม-ต�ำราในสารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑติ ยสถาน เล่ม 21 พายุ-ภกั ดี หน้า
13237, เวบ็ ไซตห์ อมรดกไทย กระทรวงกลาโหม.
25 ปัจจุบัน มีผู้เป็นเจ้าของต�ำราพิชัยสงครามได้น�ำต�ำราเหล่าน้ีมามอบให้หรือขายให้
หอสมดุ แหง่ ชาติเปน็ จำ� นวนมาก ตามบัญชีของหอสมุดแห่งชาติ มีตำ� ราพิชัยสงคราม
อยู่ทง้ั หมด 219 เลม่ ส่วนมากเปน็ คำ� ร้อยกรองแบบฉันท์ โคลง กลอน และร่ายบ้าง
แตง่ เปน็ คำ� รอ้ ยแกว้ บา้ ง ลา่ สดุ ไดม้ กี ารคน้ พบตำ� ราพชิ ยั สงครามสมยั กรงุ ธนบรุ ใี นสภาพ
สมบรู ณม์ ากจ�ำนวน 5 เลม่ ทจ่ี ังหวดั เพชรบรู ณ์ เมอ่ื เดอื นธันวาคม พ.ศ. 2551.
26 คณะทำ� งานพจิ ารณาและจดั ทำ� อทร. ดา้ นการศกึ ษาชน้ั สงู , เอกสารอา้ งองิ ของกองทพั เรอื
หมายเลข 8004: หลักการและทฤษฎกี ารท�ำสงคราม, กรกฎาคม 2543, หนา้ 157.
27 เรอื่ งเดียวกัน, หนา้ 158-159.
28 P612, op.cit., p.182.
29 Ibid., p.183.
30 Ibid., p.184.
31 Ibid., p.184.
32 Ibid., p.185.
104

33 Ibid., p.184.
34 Ibid., p.185.
35 Ibid., p.185.
36 Ibid., p.183.
37 คู่มือใช้เป็นแนวทางในการศึกษาตามหลักสูตรของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร
หลกั สตู รการปอ้ งกนั ราชอาณาจกั ร (วปอ.) และหลกั สตู รการปอ้ งกนั ราชอาณาจกั รภาค
รัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) ประจำ� ปีการศึกษา พทุ ธศักราช 2554-2555, หนา้ 12.
38 Paul F. Robinson, Just War in Comparative Perspective, Ashgate Publishing
Ltd., 2003.
39 Deuteronomy, from the holy Bible, King James version, Etext.virginia.edu,
retrieved 6 July 2013.
40 Deuteronomy, 20:10-12 NIV-When you march up to attack a city, Bible
Gateway, retrieved 6 July 2013.
41 William W. Fowler, The Roman Festivals of the Period of the Republic,
London, 1925, p.33ff.
42 De officiis Cicero & Marcia L. Colish, The Stoic Tradition from Antiquity to
the Early Middle Ages, Brill, 1980, p.150.
43 Charles Guthrie & Michael Quinlan, “III: The Structure of the Tradition”
Just War: The Just War Tradition: Ethics in Modern Warfare, United
Kingdom: Bloomsbury Publishing PLC, 2007, pp.11–15.
44 Ibid.
45 James F. Childress, Just-War Theories: The Bases, Interrelations, Priorities,
and Functions of Their Criteria, Theological Studies 39, pp.427–445.
46 The Program for Humanitarian Policy and Conflict Research at Harvard
University, "IHL PRIMER SERIES | Issue #1, http://www3.nd.edu/~cpence/
eewt/IHLRI2009.pdf, retrieved on 12 December 2014.
47 Ibid.
48 รฐั ธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 หมวด 8 คณะรฐั มนตรี มาตรา 177.
49 Department of Defense, Joint Publication 1-02: Dictionary of Military and

105

Associated Terms, 12 April 2001, p.166.
50 Canada Department of National Defence, The Conduct of Land Operations
B-GL-300-001/FP-000, 1998, pp.iv–v.
51 Moscow: Voenizdat, 1965, quoted in William Odom, Soviet Military
Doctrine, Foreign Affairs Magazine, Winter 1988/89.
52 A. Beleyev, the Military-Theoretical Heritage of M. V. Frunze, Krasnaya
Zvezda (Red Star), November 4, 1984, quoted in William Odom's article
in Foreign Affairs Magazine, Winter 1988/89.
53 Daniel Yergin, the Prize: The Epic Quest for Oil, Money, and Power, New
York: Simon & Schuster, 1991.
54 North Atlantic Treaty Organization (NATO) Standardization Agency (NSA),
AAP-6: NATO Glossary of Terms and Definitions (English and French), 2008,
p.2-D-9.
55 United States Southern Command Strategy 2016, www.southcom.mil/
AppsSC/files/0UI0I1177092386.pdf, retrieved on 29 January 2015.
56 สงคราม แบ่งออกไดเ้ ป็น 3 ระดับ คอื สงครามระดับยทุ ธศาสตร์ (Strategic Level of
War) สงครามระดบั ยทุ ธการ (Operational Level of War) และสงครามระดบั ยทุ ธวธิ ี
(Tactical Level of War).
57 Grint and Jackson, 'Toward “Socially Constructive” Social Constructions
of Leadership', Management Communication Quarterly, Vol.24, No.2, 2010.
58 Dennis M. Drew, Off Tree and Leaves a New View of Doctrine, Air University
Review, Vol.33 No.2 Jan-Feb, 1982.
59 พจน์ พงศ์สุวรรณ, อา้ งแลว้ , หนา้ 25.
60 Carl Von Clausewitz, Principles of War, Translated and edited by Hans W.
Gatzke, the Military Service Publishing Company, 1942.
61 B.H. Liddell Hearth, Thoughts on War, Spellmount Publishers Ltd; New
edition, 1999.
106

บทท่ี 3
หลักพืน้ ฐานของยทุ ธศาสตร์
(Fundamental of Strategy)

1. กลา่ วน�ำ
โดยท่ัวไปแล้ว “ยุทธศาสตร์” มีสถานะเป็นสะพานเช่ือมระหว่าง
นโยบายกับการปฏิบัติท่ีเป็นรูปธรรม “ยุทธศาสตร์” จึงมีองค์ประกอบท้ังกลุ่ม
เปา้ หมาย วตั ถปุ ระสงค์ และเจตจำ� นงทางยทุ ธศาสตร์ รวมถงึ วธิ กี ารใชพ้ ลงั อำ� นาจและ
ทรพั ยากรทงั้ ปวงของชาตทิ ส่ี ามารถนำ� มาใชไ้ ดจ้ รงิ ในระยะเวลาทก่ี ำ� หนด อยา่ งไรกต็ าม
ผู้ที่ศึกษาเรียนรู้ทั่วไปมักคิดว่ายุทธศาสตร์เป็นเร่ืองท่ีเข้าใจยาก เพราะโดยทั่วไป
มนุษย์มักมีวิธีคิดแบบแยกส่วนเฉพาะท่ีเก่ียวข้องกับตนเอง ไม่สามารถคิดแบบ
องค์รวมท่ีมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยและองค์ประกอบต่างๆ ได้ อีกท้ัง
ความเข้าใจยุทธศาสตร์ของมนุษย์ในแต่ละยุคสมัยก็แตกต่างกันในแต่ละยุคสมัย
ดงั นนั้ งานเขยี นนจี้ งึ มงุ่ อธบิ ายถงึ ความหมายและววิ ฒั นาการของคำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์
โดยพยายามแยกให้เห็นถึงความแตกต่างในแต่ละยุคสมัยอย่างชัดเจน ท้ังน้ีก็เพ่ือ
สรา้ งความเข้าใจอย่างถอ่ งแท้กับค�ำว่า “ยุทธศาสตร”์ ตอ่ ไป
2. ความหมายของค�ำวา่ “ยทุ ธศาสตร์”
ก่อนปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 6 คำ� ว่า “ยุทธศาสตร์” ไมเ่ คยปรากฏอยู่
ในเอกสารฉบับใดของโลก แม้แต่ในคัมภีร์พิชัยสงครามของซุนวู ก็ไม่เคยปรากฏ
ค�ำท่ีใช้แทนค�ำว่า “ยุทธศาสตร์” อย่างไรก็ตาม มีนักวิชาการทหารหลายท่าน
ไดพ้ ยายามนำ� เอาคำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ (strategy) ไปเทยี บเคยี งกบั ภาษากรกี โบราณ
และอนมุ านไดว้ า่ “ยทุ ธศาสตร”์ อาจมาจากคำ� ในภาษากรกี โบราณวา่ “στρατηγία”
(strategia) ซึง่ หมายถงึ “หน้าทข่ี องแม่ทพั (office of general) การบญั ชาการ
(command) และภาวะผนู้ ำ� ทพั (generalship)”1 หรอื อาจมาจากคำ� วา่ “στρατηγός”

(strategos) ซึง่ หมายถงึ “ผ้นู �ำทัพหรือผู้บญั ชาการกองทพั (leader) หรือแมท่ ัพ
(commander of an army)”2 หรอื อาจเกดิ จากการผสมคำ� ระหวา่ งคำ� วา่ “ατρατός”
(stratos) ซง่ึ หมายถงึ “กองทพั (army) หรอื ฝงู ชน (host)” กบั คำ� วา่ “αγός”(agos)
ซง่ึ หมายถึง “ผนู้ �ำ (leader) หรอื หวั หนา้ (chief)”หรอื อาจมาจากคำ� วา่ “σγω”(ago)
ซง่ึ หมายถงึ “การนำ� ทพั ”(to lead)”3กไ็ ด้
หลกั ฐานทเี่ กา่ แกท่ ส่ี ดุ ทปี่ รากฏคำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ อยา่ งชดั เจนกค็ อื
หนังสือช่ือ “strategikon” หรือ “strategicon” ซ่ึงมาจากภาษากรีกว่า
“Στρατηγικόν” ซ่ึงหมายถึง “คู่มือการท�ำสงคราม”(manual of warfare)
ซ่ึงเขียนข้ึนเพื่อยกย่องจักรพรรดิมอไรซ์แห่งไบเซนไทน์ (Byzantine Emperor
Maurice) ในปลายศตวรรษที่ 6 และพบมากที่สุดในงานเขียนท่ีกล่าวยกย่อง
จักรพรรดลิ ีโอท่ี 6 (จอมปราชญ์แหง่ ไบเซนไทน)์ ในช่วงปลายศตวรรษท่ี 7 ถงึ ตน้
ศตวรรษที่ 84 อย่างไรก็ตาม ยุทธศาสตร์ ก็ยังมิได้ถูกศึกษาหรืออยู่ในความสนใจ
อย่างจริงจัง ตราบจนกระท่ังศตวรรษท่ี 18 ค�ำว่า “strategie” ซ่ึงหมายถึง
“ยทุ ธศาสตร”์ ในภาษาเยอรมนั ไดป้ รากฏขนึ้ เปน็ ครงั้ แรกในปี ค.ศ.1777 หลงั จากนน้ั
ค�ำว่า “stratégie” ในภาษาฝรั่งเศสก็ได้ถูกอ้างอิงเป็นคร้ังแรกในภาษาอังกฤษ
ในปี ค.ศ.18105
ในปจั จบุ นั คำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ มใิ ชค่ ำ� ทใี่ ชเ้ ฉพาะดา้ นการทหารเทา่ นน้ั
แต่เป็นค�ำท่ีสามารถใช้ได้โดยทั่วไปในทุกวงการ โดยหมายถึง “การวางแผนช้ันสูง
เพื่อการบรรลุเป้าหมายภายใต้สภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน” เน่ืองจากยุทธศาสตร์
เป็นวิธีการวางแผนการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจ�ำกัดเพื่อการบรรลุเป้าหมาย
ทก่ี ำ� หนด รวมถงึ ยทุ ธศาสตรย์ งั เปน็ วธิ กี ารไดม้ าและรกั ษาตำ� แหนง่ ทไ่ี ดเ้ ปรยี บเหนอื
ฝ่ายตรงข้าม โดยอาศัยการขยายผลอย่างต่อเนื่องจากความเป็นไปได้ท่ีทราบหรือ
ทปี่ รากฏมากกวา่ ทจ่ี ะใชแ้ ผนการทต่ี ายตวั ความหมายของคำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ จงึ มี
อยอู่ ยา่ งหลากหลาย เชน่ เฮนรี มนิ ตซ์ เ์ บริ ก์ (Henry Mintzberg) จากมหาวทิ ยาลยั
แมคกลิ ล์ (McGill University) ไดใ้ หค้ วามหมายของยทุ ธศาสตรไ์ วว้ า่ “รปู แบบของ
กระแสการตดั สนิ ใจ”6 ซง่ึ แตกตา่ งจากมมุ มองทวั่ ไปทมี่ กั มองยทุ ธศาสตรว์ า่ เปน็ วธิ กี าร
เกี่ยวกับการวางแผนเท่าน้ัน ในขณะท่ีแม็กซ์ แม็กคิโอน (Max McKeown)
ก็อ้างว่ายุทธศาสตร์เป็นการก่อรูปเพ่ืออนาคตและเป็นความพยายามของมนุษย์
เพือ่ ใหไ้ ด้ผลลัพธ์ที่ต้องการดว้ ยเคร่อื งมือเท่าทม่ี ีอย7ู่
108

คำ� วา่ “ยทุ ธศาสตร”์ ในความหมายทางทหารหรอื “ยทุ ธศาสตรท์ หาร”
โดยทวั่ ไป หมายถงึ ชดุ ความคดิ อยา่ งหนงึ่ ทใี่ ชโ้ ดยองคก์ ารทางทหาร เพอื่ บรรลเุ ปา้ หมาย
ทางยุทธศาสตร์ท่ีต้องการ8 ค�ำว่ายุทธศาสตร์ทหารนี้ ในศตวรรษที่ 18 ยังคง
มคี วามหมายในวงแคบเพยี ง “ศลิ ปะการนำ� ทพั ของแมท่ พั ”(art of the general)9
หรอื “ศลิ ปะการจัดการหน่วยทหาร”(art of arrangement' of troops)10 เทา่ นน้ั
ยทุ ธศาสตรท์ หารในความหมายนี้ จงึ ถกู ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งมอื เพอื่ จดั การกบั การวางแผน
และการด�ำเนินการทัพ การเคล่ือนย้ายและการวางก�ำลังรบ และการลวงข้าศึก
คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์ (Carl von Clausewitz) บิดาแห่งยุทธศาสตร์ศึกษา
สมัยใหม่ ได้ให้ความหมายของค�ำว่า “ยุทธศาสตร์ทหาร” ที่มีขอบเขตกว้างมาก
ขนึ้ วา่ “การใชก้ ารรบเพอ่ื บรรลผุ ลลพั ธข์ องการทำ� สงคราม” ในขณะทล่ี ดิ เดลิ ฮารท์
(B.H. Liddell Hart) กไ็ ดใ้ หค้ วามหมายทไ่ี มไ่ ดม้ งุ่ เนน้ การรบมากนกั ตามความเหน็
ของฮาร์ท “ยุทธศาสตร์ทหาร” หมายถึง “ศิลปะของการกระจายและประยุกต์
ใช้เคร่ืองมือทางทหารเพ่ือบรรลุผลลัพธ์ทางการเมือง”11 ด้วยเหตุนี้ ยุทธศาสตร์
ทหารในความหมายของทงั้ เคลาเซวทิ ซ์ และฮารท์ จงึ มงุ่ ไปทวี่ ตั ถปุ ระสงคท์ างการเมอื ง
มากกว่าเปา้ หมายทางทหาร

3. แนวคดิ ของนักยทุ ธศาสตร์ท่ีมชี ื่อเสียงของโลก
ก. ซนุ วู
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของจีน
ได้ปรากฏนักปราชญ์และนักการทหารที่มีช่ือเสียงมาก
ทส่ี ดุ ท่านหน่ึงนามว่า “ซุน วู ซู” (Sun Wu Tzu) หรอื
เรียกส้ันๆ ว่า “ซุนวู” ได้เขียนคัมภีร์ศิลปะการสงคราม
(The Art of War) ไวเ้ ปน็ เล่มแรกของโลกเม่ือประมาณ
500 ปกี อ่ นครสิ ตศ์ กั ราช หรอื เกอื บสองพนั หา้ รอ้ ยปมี าแลว้
คัมภีร์ศิลปะการสงครามของซุนวู ถือได้ว่าเป็นสุดยอด
วรรณคดีทางวิทยาการทหารของจีน ดว้ ยถอ้ ยคำ� สำ� นวน
ในคัมภีร์ดังกล่าว ได้แสดงถึงสติปัญญาที่เฉียบแหลม
บ่งบอกถึงความเฉลียวฉลาดอย่างล้�ำลึกของขุนศึก ภาพท่ี 3-1 ซนุ วู

ผู้ย่ิงใหญ่น้ี แทบไม่น่าเชื่อเลยว่า ซุนวูได้เขียนวรรณกรรมท่ีทรงคุณค่าทางทหาร
ออกมาดว้ ยถอ้ ยคำ� อนั ลกึ ซง้ึ แจม่ แจง้ มเี หตผุ ลนา่ ฟงั และเปน็ อมตะตราบจนถงึ ปจั จบุ นั

109

คมั ภรี ศ์ ลิ ปะการสงครามของซนุ วู หาไดม้ ชี อ่ื เสยี งเฉพาะในประเทศจนี เทา่ นนั้
ปรากฏว่าได้มีผู้คัดลอกมาแปลเป็นภาษาของตน โดยมักอ้างว่าต้นฉบับของตน
ถูกต้องเป็นจ�ำนวนมาก แม้แต่หนังสือท่ีแปลออกมาเป็นภาษาไทยก็มีอยู่หลาย
เล่มด้วยกัน มีผู้กล่าวว่า ชาวญ่ีปุ่นจ�ำนวนไม่น้อยได้ให้ความนับถือคัมภีร์ศิลปะ
การสงครามของซนุ วมู ากกวา่ ชาวจนี ซง่ึ เปน็ ตน้ ตำ� รบั เสยี อกี เพราะชาวญปี่ นุ่ มองเหน็
คณุ คา่ ทจ่ี ะนำ� ไปใชป้ ระโยชนไ์ ดเ้ ปน็ อยา่ งดี ตรงกนั ขา้ มกบั ประเทศจนี ซงึ่ มผี พู้ ยายาม
กีดกันมใิ หค้ มั ภรี ข์ องซนุ วมู ชี อ่ื เสยี งมากไปกวา่ นี้ เพราะความอจิ ฉารษิ ยาเปน็ สำ� คญั
อย่างไรก็ตาม คัมภีร์ศิลปะการสงครามของซุนวูก็เป็นที่ยอมรับและได้รับ
การวพิ ากษว์ จิ ารณก์ นั มากมายไปทว่ั โลก แมแ้ ตน่ กั ยทุ ธศาสตรช์ าวองั กฤษทม่ี ชี อ่ื เสยี ง
ในเวลาต่อมา เช่น ลิดเดิล ฮาร์ท (Sir Basil Liddell Hart, พ.ศ.2434-2513)
ก็ยังได้กล่าวถึงคัมภีร์ของซุนวูว่า เป็นวรรณกรรมที่กล่ันกรองมาจากความฉลาด
หลกั แหลมในการทำ� สงคราม แมจ้ ะไมเ่ คยมใี ครทำ� ความเขา้ ใจไดก้ วา้ งไกลและลกึ ซงึ้
พอกต็ าม นอกจากนแ้ี ลว้ ฮารท์ ยงั ไดใ้ หค้ วามคดิ เหน็ ตอ่ ไปอกี วา่ คงจะมแี ตเ่ คลาเซวทิ ซ์
(Clausewitz) เทา่ นน้ั ทสี่ ามารถนำ� ไปเทยี บกบั ซนุ วไู ด้ แมว้ า่ เคลาเซวทิ ซจ์ ะมคี วามคดิ เหน็
ที่ทันสมัยกว่าซุนวูในบางเรื่อง ด้วยเคลาเซวิทซ์ได้เขียนคัมภีร์ทางทหารหลังจาก
ซุนวูถึงสองพันกว่าปี หากเทียบกันแล้วก็เป็นที่ยอมรับได้ว่าซุนวูเป็นผู้ที่มองการณ์
ไกล มคี วามลกึ ซง้ึ มากกวา่ และยงั สามารถน�ำเอาไปใชไ้ ดอ้ ย่างไมม่ ีวันส้ินสุด
แมแ้ ตส่ ถาบนั การศกึ ษาชนั้ สงู ในสหรฐั อเมรกิ าทส่ี ำ� คญั หลายแหง่ ในปจั จบุ นั
เชน่ วทิ ยาลยั ปอ้ งกนั ประเทศ วทิ ยาลยั การทพั บก และโรงเรยี นเสนาธกิ ารทหารบก
เป็นต้น ต่างก็น�ำเอาคัมภีร์ศิลปะการสงครามของซุนวูไปใช้ศึกษาและวิจัยกัน
เป็นประจ�ำทุกปี อาจมีผู้สงสัยว่าเพราะเหตุใดจึงมีผู้สนใจจ�ำนวนมากท่ีติดตาม
ผลงานของซนุ วู รวมทง้ั ได้ศกึ ษาแนวคิดของทา่ นอยู่ตลอดเวลา ทงั้ ๆ ท่ีคัมภีร์เล่มนี้
ไดเ้ ขยี นขนึ้ มานานนบั พนั ๆ ปแี ลว้ ลโี อเนล กลิ ส์ (Lionel Giles) ซงึ่ เปน็ ผหู้ นง่ึ ทแี่ ปล
คัมภีร์ศิลปะการสงครามของซุนวูและกวีนิพนธ์ของขงจื๊อ ได้ให้ความเห็นไว้ว่า
แนวคดิ ของซนุ วเู กย่ี วขอ้ งกบั หลกั พนื้ ฐานทางวทิ ยาการทหาร (Military Sciences)
และหลักการสงคราม (Principle of War) เป็นส่วนใหญห่ ลกั การดังกล่าวนี้ ไดร้ บั
การยอมรบั วา่ เปน็ รากเหงา้ ของยทุ ธศาสตรท์ หาร (Military Strategy) และสามารถ
น�ำไปประยกุ ตใ์ ช้ในสงครามสมัยปจั จุบันได้เป็นอยา่ งด1ี 2
110

อาจมผี กู้ ลา่ วไดว้ า่ ถงึ แมอ้ าวธุ ยทุ โธปกรณ์ และเทคโนโลยจี ะเปลย่ี นแปลง
ไปมากเพียงใดก็ตาม แต่หลักการสงครามก็ยังคงอยู่ และอาจน�ำไปใช้ได้อยู่เสมอ
ถงึ กบั มผี แู้ ตง่ เปน็ บทกวเี ปรยี บเทยี บไวว้ า่ “กาลเวลาผา่ นไป รถศกึ ลว่ งสมยั มวี วิ ฒั นาการ
ของอาวธุ ผนั ไปไมร่ จู้ บ แตห่ ลกั การเมอื่ 2400 ปกี อ่ นของทา่ นซนุ วู จอมปราชญท์ หาร
ชาวจนี ผนู้ ยี้ งั เปน็ อมตะ” แนวคดิ อนั ปราดเปรอ่ื งของซนุ วทู แ่ี สดงใหเ้ หน็ เปน็ ตวั อยา่ ง
ถงึ ความเปน็ อจั ฉรยิ ะของซนุ วู ไดก้ ลา่ วไวเ้ กย่ี วกบั ความเปน็ สดุ ยอดของนกั ยทุ ธศาสตร์
ไวว้ า่ “การรอู้ ยแู่ ลว้ วา่ จะไดช้ ยั ชนะ เมอ่ื นกึ เหน็ ไดอ้ ยา่ งนี้ ไมน่ บั วา่ เป็นยอดประเสริฐ
เม่ือเห็นง่ายๆ เสียแล้วว่าต้องชนะแน่ๆ ถึงท่านออกสู้รบแล้วได้ชัยชนะมาและ
คนทั้งแผ่นดินต่างสรรเสริญว่าดียิ่งแล้ว ก็ไม่อาจนับได้ว่าท่านเป็นสุดยอด
ของผูป้ ระเสรฐิ การยกปยุ นนุ่ ได้ มิไดแ้ สดงวา่ ทา่ นแขง็ แรง การมองเหน็ ดวงอาทติ ย์
และดวงจนั ทรไ์ ด้ มไิ ดแ้ สดงวา่ ทา่ นมสี ายตาทย่ี าวไกล การไดย้ นิ เสยี งฟา้ รอ้ งได้ มิได้
แสดงว่าท่านเป็นคนหูไว คนท่ีได้ช่ือว่านักรบผู้ชาญฉลาด คือคนท่ีไม่เพียงเอาชนะ
ข้าศึก แต่ยังต้องเอาชนะได้อย่างง่ายดายอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ชัยชนะท้ังหลาย
ของนักรบผชู้ าญฉลาด ย่อมไม่ใช่เร่อื งที่ทำ� ให้เขาได้ชื่อว่ามีสตปิ ญั ญา หรอื มีเกยี รติ
ว่าหาญกล้า นักรบผู้ชาญฉลาดย่อมชนะการยุทธ์ ด้วยกระท�ำการที่ไม่ผิดพลาด
การกระทำ� การท่ีไม่ผิดพลาดน้ัน ย่อมเป็นหลักฐานแห่งชัยชนะท่ีมั่นคง เพราะเมื่อ
กระทำ� การไม่ผิดพลาดเมื่อใด ก็เท่ากับชนะข้าศึกซ่ึงยอมแพ้อยู่แล้วเมื่อนั้น ฉะน้ัน
จงึ มหี ลกั ยดึ ถอื ไดว้ า่ ในการสงครามนน้ั นกั ยทุ ธศาสตรผ์ ทู้ หี่ วงั ชนะยอ่ มแสวงโอกาส
ท�ำการยุทธภ์ ายหลังทเี่ หน็ ชอ่ งทางว่าจะได้ชยั ชนะกอ่ นแลว้ ส่วนนกั ยุทธศาสตร์ผูท้ ี่
ไม่หวังชนะ ย่อมเขา้ สรู้ บกอ่ นแลว้ หาชอ่ งทางใหไ้ ดช้ ยั ชนะทหี ลงั ” หรอื ขอ้ บกพรอ่ ง
รา้ ยแรง 5 ประการของแมท่ พั อนั เปน็ เหตใุ หก้ ารดำ� เนนิ สงครามตอ้ งพนิ าศฉบิ หาย
ไดแ้ ก่ (1) ความประมาท อนั เปน็ เหตนุ ำ� พาไปสคู่ วามพนิ าศ (2) ความขข้ี ลาด อนั เปน็
เหตนุ ำ� ใหถ้ กู จบั เปน็ เชลย (3) ความหนุ หนั พลนั แลน่ อนั เปน็ เหตใุ หท้ นถกู ดหู มนิ่ เหยยี ด
หยามไมไ่ ด้ (4) ความมนี ำ�้ ใจรกั เกยี รติ จนทนอบั อายขายหนา้ ไมไ่ หว และ (5) ความมี
นำ้� ใจเปน็ หว่ งทหารเสยี จนเกนิ ไป อนั เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ โทษกงั วลไปตา่ งๆ นานา13 เปน็ ตน้

111

ข. นคิ โคโล มาเคียเวลลี (Niccolo Machiavelli)
แนวคดิ เกย่ี วกบั เรอื่ งยทุ ธศาสตรส์ มยั ใหมน่ น้ั
ได้เร่ิมข้ึนในตอนปลายศตวรรษที่ 15 หรือในตอนต้น
ศตวรรษที่ 16 กล่าวคือ ได้มีรัฐบุรุษที่มีช่ือเสียง
ชาวอิตาเลียนนามว่า นิคโคโล มาเคียเวลลี (Niccolo
Machiavelli, ค.ศ.1469-1527) บคุ คลผนู้ น้ี บั เปน็ บคุ คลแรก
ท่ีได้พัฒนากฎเกณฑ์ในการใช้ก�ำลังอ�ำนาจทางการเมือง
(Political Power) ในโลกปัจจุบัน มาเคยี เวลลี ได้เขียน
หนงั สอื ไวห้ ลายเลม่ ดว้ ยกนั สงิ่ สำ� คญั ทม่ี าเคยี เวลลกี ลา่ วถงึ ภาพที่ 3-2 นิคโคโล
คอื รปู แบบและวธิ กี ารตา่ งๆ ทเี่ กย่ี วกบั “พลงั อำ� นาจของรฐั ” มาเคียเวลลี
(Power of the State) ซงึ่ ตอ่ มาไดร้ บั การยอมรบั โดยทวั่ ไป
ว่าเป็น “องค์ประกอบของพลังอ�ำนาจแห่งชาติ” ตามแนวคิดของมาเคียเวลลีน้ัน
พลังอ�ำนาจแห่งชาติ ประกอบด้วยองค์ประกอบหลักส�ำคัญ 3 ประการ คือ
การเมอื ง สงั คม และการทหาร ซง่ึ แตล่ ะประเทศมพี ลงั อำ� นาจไมเ่ ทา่ กนั บางประเทศ
มีพลังอ�ำนาจมากมายมหาศาล แต่บางประเทศก็มีพลังอ�ำนาจน้อยมากจนเกือบ
จะไมม่ คี วามหมายอะไรมากนัก ฉะนนั้ อาจกลา่ วได้วา่ ประเทศทีม่ ีพลังอ�ำนาจมาก
ยอ่ มไดเ้ ปรยี บประเทศทม่ี พี ลงั อำ� นาจนอ้ ยในการทจี่ ะรกั ษาและสง่ เสรมิ ผลประโยชน์
แหง่ ชาติ รวมทง้ั สามารถใชพ้ ลงั อำ� นาจทม่ี มี ากกวา่ บบี บงั คบั ประเทศทมี่ ี พลงั อ�ำนาจ
นอ้ ยใหป้ ฏบิ ตั ติ ามในสงิ่ ทตี่ นตอ้ งการได้ เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ ในสมยั นน้ั ไมไ่ ดค้ ำ� นงึ ถงึ
องค์ประกอบส�ำคัญอีกอย่างหน่ึง ก็คือ “ก�ำลังอ�ำนาจทางเศรษฐกิจ” ซึ่งจะมี
ผลกระทบอย่างสำ� คญั ตอ่ องค์ประกอบอืน่ ๆ ในเวลาต่อมาจนถึงปัจจุบัน
เรอ่ื งของ “พลงั อำ� นาจแหง่ ชาต”ิ นน้ั นบั วา่ มคี วามสำ� คญั ยง่ิ ในการศกึ ษา
ยทุ ธศาสตรส์ มยั ใหม่ เพราะเหตวุ า่ พลงั อำ� นาจแหง่ ชาตเิ ปน็ เสมอื นเครอื่ งมอื (Means)
อาวุธ หรือพาหะที่จะน�ำไปสู่เป้าหมายอันพึงประสงค์ของชาติ ถ้าพลังอ�ำนาจ
แห่งชาติมีมากก็แสดงว่าชาตินั้นเข้มแข็ง เป้าหมายที่ก�ำหนดไว้ก็จะสามารถบรรลุ
ความสำ� เรจ็ และพทิ กั ษร์ กั ษาผลประโยชนแ์ หง่ ชาตไิ ดอ้ ยา่ งแนน่ อน แตใ่ นทางตรงขา้ ม
112

ถ้าหากพลังอ�ำนาจแห่งชาตมิ ีน้อย ชาติก็จะไมเ่ ข้มแขง็ และออ่ นแอ การทจี่ ะดำ� เนนิ
สง่ิ ใดใหบ้ รรลวุ ตั ถปุ ระสงคอ์ าจประสบกบั อปุ สรรคตา่ งๆ และยากทจี่ ะปฏบิ ตั ใิ หส้ ำ� เรจ็
ได้อย่างไรก็ดี แนวคิดเร่ืองการใช้พลังอ�ำนาจแห่งชาตินั้น หาใช่เป็นเรื่องใหม่
แตอ่ ยา่ งใด เพราะตงั้ แตไ่ ดม้ กี ารบนั ทกึ เรอ่ื งราวทางประวตั ศิ าสตรเ์ ปน็ ตน้ มา ไมว่ า่ ระบอบ
การปกครองจะเป็นรูปใดก็ตาม ต่างก็มีแนวคิดท่ีจะใช้พลังอ�ำนาจท่ีมีอยู่ปกป้อง
ผลประโยชน์ของตนแทบท้ังส้ิน ดังนั้น ประเทศเอกราชต่างๆ จึงจ�ำเป็นต้องสร้าง
พลงั อำ� นาจของตนไวใ้ หม้ ากพอ เพอื่ ปอ้ งกนั มใิ หป้ ระเทศอน่ื ใชพ้ ลงั อำ� นาจทม่ี ากกวา่
บบี บังคบั และท�ำลายความเป็นอสิ ระ หรือลม้ ล้างอำ� นาจสงู สุดของชาติตนได้
นคิ โคโล มาเคยี เวลลี ไดก้ ลา่ วถงึ ความสำ� คญั ของการขา่ ว เพอ่ื ใชเ้ ปน็ แนวทาง
ในการประมาณสถานการณ์เรื่องภัยคุกคามทางทหารว่า “ส�ำหรับนายพลแล้ว
ไมม่ อี ะไรมคี ่ามากไปกวา่ ความพยายามทีจ่ ะหาขา่ วว่า ฝา่ ยขา้ ศึกกำ� ลงั ท�ำอะไรอยู”่
เมอื่ พจิ ารณาแนวคดิ ทางยทุ ธศาสตรข์ องมาเคยี เวลลี ทำ� ใหเ้ หน็ ไดว้ า่ มลี กั ษณะของ
การมงุ่ เนน้ ไปสจู่ ดุ หมายปลายทาง (Ends) หรอื วตั ถปุ ระสงค์ (Objectives) และยงั
เนน้ ถงึ เครอื่ งมอื ตา่ งๆ ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพเปน็ สว่ นมาก โดยไมไ่ ดค้ ำ� นงึ ถงึ ความยตุ ธิ รรม
จริยธรรม และอุดมการณ์แต่อย่างใด ขอเพียงแต่ให้ได้มาซึ่งชัยชนะเท่านั้น
มาเคียเวลลี ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง “เจ้าชาย” (The Prince) ตอนหน่ึงว่า
“กษัตริย์ต้องท�ำทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าจะยุติธรรมหรือไม่ เพื่อรักษาไว้ซ่ึงความคงอยู่
และความเป็นเอกราชของชาติ กษัตริย์ไม่จ�ำเป็นต้องรักษาค�ำมั่นสัญญา ถ้าหาก
คำ� มนั่ สญั ญานนั้ เปน็ ผลรา้ ยตอ่ ประเทศของตน กษตั รยิ ไ์ มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเปน็ คนใจบญุ
ซื่อตรง หรือเคร่งศาสนาอย่างจริงจัง แต่ควรแสดงให้คนอื่นเห็นว่า เป็นคนใจบุญ
ซือ่ ตรง และเครง่ ศาสนา ทง้ั นี้ก็เพ่ือหลอกคนอน่ื ใหห้ ลงเชอื่ เท่านั้น กษัตริย์ต้องรจู้ ัก
ใช้วิธีการของสัตว์ โดยเฉพาะสิงโต และสุนัขจ้ิงจอก”14 อาจสรุปได้ว่า
มาเคยี เวลลีน้ันถือวา่ การใชก้ ำ� ลังหรือการหลอกลวงไม่ไดเ้ ปน็ ส่งิ น่าละอาย ถ้าหาก
วธิ กี ารนนั้ ทำ� ใหป้ ระเทศมน่ั คงขนึ้ ขอ้ คดิ ของมาเคยี เวลลดี งั กลา่ ว ปรากฏวา่ ไดม้ ผี นู้ ำ�
ไปใชแ้ กป้ ญั หาทง้ั ในทางประชาธปิ ไตยและทางอำ� นาจนยิ ม (Authoritarian) สำ� หรบั
ในทางประชาธปิ ไตยนนั้ ไมส่ จู้ ะมปี ญั หามากนกั แตใ่ นทางอำ� นาจนยิ มนนั้ ตอ้ งประสบ

113

กบั ภยั สงครามอยเู่ นอื งๆ เพราะผรู้ บชนะกจ็ ะเปน็ ฝา่ ยถกู เสมอ ซง่ึ เทา่ กบั การยดึ ถอื วา่
“อำ� นาจคอื ธรรม” กลา่ วกนั วา่ มาเคยี เวลลี ไดม้ สี ว่ นในการสรา้ งอทิ ธพิ ลอยา่ งสำ� คญั
ต่อนักยุทธศาสตร์และวีรบุรุษส�ำคัญๆ หลายท่าน ท้ังจากมาเคียเวลลีโดยตรงและ
จากสานุศิษย์ของมาเคียเวลลีด้วย ตัวอย่างของผู้ที่ได้รับอิทธิพลเหล่านี้ท่ีส�ำคัญ
กค็ ือ ทอมัส เจฟเฟอร์สัน นิโคไล เลนนิ และ อดอลฟ์ ฮติ เลอร์ เปน็ ตน้ 15
ค. คาร์ล ฟอน เคลาเซวทิ ซ์ (Carl Von Clausewitz)
คาร์ล ฟอน เคลาเซวิทซ์ (ค.ศ.1780–
1831) เป็นบุคคลท่ีได้รับอิทธิพลมาจากมาเคียเวลลี
มากทีส่ ุด เคลาเซวทิ ซ์เปน็ นายทหารปรัสเซีย เกดิ ในปี
พ.ศ.2323 ท่านผู้นี้มีโอกาสเข้ารับราชการทหาร
ต้ังแตใ่ นวยั เด็กในขณะทีอ่ ายเุ พยี ง 12 ปเี ท่าน้ัน ตอ่ มา
ได้มีโอกาสเข้าศึกษาในโรงเรียนการรบ หรือโรงเรียน
การสงคราม (War School) และเขา้ รว่ มทำ� สงครามกบั
นโปเลียนในปี พ.ศ.2394 และถูกฝรั่งเศสจับกุมเป็น ภาพที่ 3-3 คาร์ล ฟอน
เชลย เมอื่ พน้ จากการเปน็ เชลย เขาไดเ้ ขา้ รบั ตำ� แหนง่ เคลาเซวทิ ซ์
เป็นอาจารย์โรงเรียนการรบ และด้วยความสามารถ
ของเขา จงึ ไดร้ บั มอบหนา้ ทเ่ี ปน็ อาจารยด์ า้ นวทิ ยาการทหารสำ� หรบั เจา้ ชายเฟรดเดอรกิ
วลิ เลยี ม มกฎุ ราชกมุ ารแหง่ ปรสั เซยี เคลาเซวทิ ซไ์ ดเ้ รยี บเรยี งบนั ทกึ คำ� สอนทสี่ ำ� คญั ย่งิ
เก่ียวกับหลักการสงครามถวายแด่องค์มกุฎราชกุมารโดยให้ช่ือว่า “หลักการ
ทส่ี ำ� คญั ทส่ี ดุ สำ� หรบั การทำ� สงคราม” (The Most Important Principles for the
Conduct of War) ซงึ่ เปน็ ทยี่ อมรบั กนั วา่ หนงั สอื เลม่ นี้ เปน็ หลกั การอนั สำ� คญั ทสี่ ดุ
ของการดำ� เนนิ สงครามในเวลาตอ่ มา
หลังจากที่เยอรมนีได้ท�ำสัญญาสันติภาพกับฝร่ังเศสในปี พ.ศ.2355
เคลาเซวิทซ์ได้ลาออกจากราชการ เพ่ือไปรับราชการเป็นนายทหารรัสเซีย
โดยมวี ตั ถุประสงค์ท่ีจะหาประสบการณใ์ นการทำ� สงครามต่อไป เพราะในขณะน้ัน
รสั เซียก�ำลังทำ� สงครามกบั นโปเลยี นอยู่ ต่อมาเขาไดก้ ลับเขา้ รับราชการในกองทัพ
114

แห่งชาติของตนเองอีกครั้ง และได้รับยศเป็นพันเอก รวมท้ังได้มีโอกาสเข้าร่วมรบ
ในสงครามวอเตอร์ลู ในต�ำแหน่งเสนาธิการของกองทัพน้อยที่ 3 ในปี พ.ศ.2361
เคลาเซวิทซ์ได้รับการเลื่อนยศเป็นพลตรี และเข้าด�ำรงต�ำแหน่งเป็นผู้บัญชาการ
โรงเรียนการสงคราม ในระหว่างด�ำรงต�ำแหน่งเขาได้ผลิตผลงานทางด้านวิชาการ
ทหารอย่างมากมาย หนังสือวิชาการทหารท่ีมีช่ือเสียงมากท่ีสุดของเคลาเซวิทซ์
ซึ่งได้รับยกย่องกันท่ัวโลก ก็คือ หนังสือ เรื่อง “ว่าด้วยการสงคราม” (On War)
หนังสือเล่มนี้ เป็นผลมาจากความคิดและการสังเกตหลักทฤษฎีต่างๆ รวมทั้ง
ประสบการณท์ ไ่ี ดร้ บั มาจากการเขา้ รว่ มสงครามในสมรภมู ทิ ผี่ า่ นมา ฉะนน้ั จงึ ปรากฏ
ว่าสถาบันทางทหารช้ันสูงท่ัวโลกต่างได้ใช้แนวคิดนี้เป็นหลักพื้นฐานในการพัฒนา
ศลิ ปะการสงครามมาทกุ ยุคทุกสมยั ตราบจนถึงปจั จบุ นั
ในช่วงชีวิตของเคลาเซวิทซ์ เขาได้มีโอกาสเข้าร่วมรบในสงครามกับ
ฝรั่งเศสในสมัยจักรพรรดินโปเลียนด้วย เคลาเซวิทซ์ได้สังเกตเห็นความส�ำเร็จของ
นโปเลียนในการระดมทรัพยากรของชาติอย่างไดผ้ ล ในสมัยน้ัน นโปเลยี นนับเปน็
ยอดขุนศึกที่เกรียงไกรท่ีสุดในสมรภูมิยุโรปจนยากที่จะหานักรบใดๆ มาเทียบได้
ในทางยทุ ธศาสตรน์ นั้ อาจกลา่ วไดว้ า่ นโปเลยี นเปน็ นกั ยทุ ธศาสตรค์ นแรกของโลก
ฝา่ ยตะวนั ตก เพราะชยั ชนะในการยทุ ธข์ องนโปเลยี น เปน็ ผลเนอ่ื งมาจากการเคลอื่ น
ย้ายก�ำลังทางยุทธศาสตร์ด้วยวิธีการค�ำนวณอย่างระมัดระวัง แม้กระทั่ง
ในสงครามแปซฟิ กิ ในปี พ.ศ.2484 ญปี่ นุ่ กอ็ าศยั วธิ กี ารดงั กลา่ วในการเคลอ่ื นยา้ ยกำ� ลงั
ยุทธศาสตร์ของตนจากหมู่เกาะคูริล (Kuril Islands) ทางด้านเหนือของญ่ีปุ่นเข้า
โจมตีอย่างจู่โจมต่อฐานทัพเรือสหรัฐอเมริกาท่ีเพิร์ลฮาร์เบอร์อย่างได้ผล และ
สามารถสรา้ งความเสยี หายแกก่ �ำลังทางเรือของสหรฐั อเมริกาไดอ้ ย่างมากมาย
กลา่ วกนั วา่ ทง้ั โจมนิ แี ละเคลาเซวทิ ซซ์ งึ่ เปน็ นกั ยทุ ธศาสตรส์ ำ� คญั แหง่ ยคุ
ตา่ งไดส้ รา้ งการศกึ ษาจากทฤษฎกี ารสงครามของนโปเลยี นเปน็ สว่ นใหญ่ ซงึ่ ผลงาน
ของโจมินีน้นั ไดก้ ลายเป็นคมั ภรี ์ท่ใี ชใ้ นการท�ำสงครามกลางเมอื งของสหรัฐอเมริกา
ในเวลาตอ่ มา และอทิ ธพิ ลของเคลาเซวทิ ซ์ กไ็ ดป้ รากฏชดั ในสงครามระหวา่ งฝรงั่ เศสกบั
ปรสั เซยี เมอื่ ปี พ.ศ.2419 และในสงครามโลกในเวลาตอ่ มา เคลาเซวทิ ซไ์ ดเ้ นน้ ปจั จยั

115

ด้านก�ำลังใจ เช่น ความกล้าหาญชาญชัย และความเสียสละ เป็นต้น ซึ่งจะมี
ความส�ำคัญต่อการท�ำสงครามในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะมีผลกระทบ
อย่างส�ำคัญย่ิงต่อขวัญทหารของกองทัพ และต่อความคิดเห็นของประชาชน
เป็นส่วนรวม นอกจากน้ัน เขายังให้ความเห็นด้วยว่า การอุทิศตนให้แก่หน้าท่ี
ทั้งกายและใจ และคุณลักษณะท่ีเต็มไปด้วยความรอบรู้ย่อมเป็นรากฐานส�ำคัญ
สำ� หรบั ผบู้ งั คบั บญั ชาหนว่ ยทหารทกุ ระดบั เพราะสงิ่ เหลา่ นจี้ ะชว่ ยปดั เปา่ อปุ สรรค
ต่างๆ ท่ีมีอยู่ในสงครามให้หมดไปได้ และท�ำให้สามารถบรรลุถึงการตัดสินใจ
อันชอบด้วยเหตุผลเป็นอย่างดี ซ่ึงแสดงให้เห็นถึงความดีเด่นและความสามารถ
ของการบงั คบั บญั ชาอย่างแทจ้ รงิ
โดยอาศัยความรู้พื้นฐานจากมาเคียเวลลี และการศึกษาจากทฤษฎี
การสงครามของนโปเลียน เคลาเซวิทซ์ ได้พัฒนาแนวคิดเรื่ององค์ประกอบพลัง
แห่งชาติ โดยเพ่ิมองค์ประกอบท่ี 4 คือ “เศรษฐกิจ” ซ่ึงแต่เดิมมาเคียเวลลี
ก�ำหนดไว้เพียง 3 องค์ประกอบเท่านั้น ท�ำให้องค์ประกอบพลังอ�ำนาจแห่งชาติ
สมบรู ณ์ย่งิ ขน้ึ อันประกอบดว้ ย การเมอื ง เศรษฐกิจ การทหาร และสังคมจิตวทิ ยา
อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะ และมีสายตาอันยาวไกลของเคลาเซวิทซ์
จนเป็นท่ียอมรับกันท่ัวไปว่า แนวคิดของเขาสามารถท่ีจะน�ำไปเทียบเคียงได้กับ
แนวคิดของซุนวู นักปราชญ์จีนที่มีชื่อเสียงส�ำคัญของโลกเม่ือสองพันปีเศษมาแล้ว
อยา่ งไรกต็ าม แนวคดิ ทางยทุ ธศาสตรข์ องเคลาเซวทิ ซ์ ยงั มงุ่ เฉพาะแตเ่ รอ่ื งกำ� ลงั ทางบก
เพียงอย่างเดียว เพราะประสบการณ์ในการสงครามของเขาส่วนมากเก่ียวข้องอยู่
กบั เรอื่ งกำ� ลงั ทางบก เขาจงึ ไมไ่ ดก้ ลา่ วถงึ เรอื่ งแสนยานภุ าพทางเรอื เลย ดว้ ยเหตนุ เี้ อง
เคลาเซวทิ ซ์ จงึ ไดร้ บั สมญาวา่ เปน็ “บดิ าแหง่ กำ� ลงั ทางบก” และเปน็ เจา้ ของแนวคดิ
สำ� คญั ทวี่ า่ “สงครามคอื การดำ� เนนิ งานทางการเมอื งตอ่ ไปโดยวธิ อี นื่ ” (War is the
continuation of politics by other means)16 ซ่ึงยงั สามารถน�ำมาใช้กลา่ วอา้ ง
กนั อยตู่ ลอดมาตราบจนถงึ ปจั จบุ นั เปน็ ทนี่ า่ สงั เกตวา่ ผนู้ ำ� ของประเทศมหาอำ� นาจ
ฝา่ ยคอมมวิ นสิ ต์ เช่น เลนิน และเหมา เจ๋อตง ตา่ งก็นำ� เอาแนวคิดทางยทุ ธศาสตร์
ของเคลาเซวิทซ์ไปประยุกต์ใช้ท้ังส้ิน กล่าวคือ เลนิน ได้กล่าวไว้ว่า “สงครามคือ
116

ความตอ่ เนอ่ื งของการเมอื ง” (War is the Continuation of politics)17 ในขณะท่ี
เหมา เจอ๋ ตง ไดเ้ พมิ่ เตมิ คำ� กลา่ วของเลนนิ วา่ “สงครามคอื การเมอื งของการหลงั่ เลอื ด
และการเมอื งกค็ อื สงครามทปี่ ราศจากการหลงั่ เลอื ด”18 ดว้ ยเหตนุ ี้ คำ� กลา่ วของเคลา
เซวิทซท์ ี่นับว่าสำ� คญั และมคี ณุ ค่าตอ่ นกั ยทุ ธศาสตรเ์ ปน็ อยา่ งยิง่ ก็คอื “ไมม่ แี นวคิด
ทางยุทธศาสตร์ใดท่ีสามารถพิจารณาได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าปราศจาก
การพิจารณาเป้าหมายทางการเมือง”19
ง. อลั เฟรด เทเยอร์ มาฮาน (Alfred Thayer Mahan)
อัลเฟรด เทเยอร์ มาฮาน (พ.ศ.2383-
2457) เปน็ บตุ รของศาสตราจารยเ์ ดนนสิ ฮารท์ มาฮาน
แห่งโรงเรียนนายร้อยเวสท์พอยท์ของสหรัฐอเมริกา
เมื่ออายุได้ 16 ปี เขาได้เข้าศึกษาในโรงเรียนนายเรือ
และสำ� เรจ็ การศกึ ษาในปี พ.ศ.2402 (เปน็ ลำ� ดบั ท่ี 2 ใน
จำ� นวนทงั้ หมด 20 นาย) ระหวา่ งรบั ราชการในกองทพั เรอื
แทบไมม่ วี ีแ่ ววว่าเขาจะมคี วามสามารถใดๆ เปน็ พเิ ศษ
จนกระทง่ั เขาไดเ้ กษยี ณอายรุ าชการเมอ่ื อายุ 56 ปี และ
ได้รับยศเพียงนาวาเอกเท่านั้น แต่อีก 10 ปีต่อมา ภาพท่ี 3-4 อลั เฟรด เทเยอร์
เขาได้รับการเลื่อนยศเป็นพลเรือตรี ท้ังๆ ท่ีเป็น มาฮาน

นายทหารนอกราชการและรบั บำ� นาญอยู่ อาจเปน็ เพราะโชคหรอื ความสามารถหรอื
ทง้ั สองประการรวมกนั
ต่อเมื่อปี พ.ศ.2427 จุดเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิตของมาฮานก็ได้มาถึง
อยา่ งไมเ่ คยคดิ เมอื่ เขาไดร้ บั เชญิ จากนายพลเรอื สตเี ฟน บ.ี ลซู (Stephen B. Luce)
ผบู้ ญั ชาการวิทยาลยั การทัพเรอื สหรัฐอเมริกา ใหเ้ ปน็ ผู้บรรยายวชิ าประวตั ิศาสตร์
และยทุ ธวธิ ที างเรอื ในวทิ ยาลยั การทพั เรอื การทเี่ ขาไดม้ โี อกาสเขา้ ไปเปน็ ผบู้ รรยายดงั กลา่ ว
เขาไดส้ รา้ งผลงานตา่ งๆ ออกมามากมาย โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ยทุ ธศาสตรก์ ำ� ลงั อำ� นาจ
ทางทะเล (Sea Power Strategy) ซง่ึ ทำ� ใหเ้ ขามชี อ่ื เสยี งโดง่ ดงั ไปทวั่ โลก มหาอำ� นาจ
หลายประเทศ เชน่ เยอรมนี อติ าลี และญ่ปี ุ่น ตา่ งกน็ ำ� เอาแนวคิดของมาฮานไปใช้

117

พัฒนากองทัพของตน เพื่อกา้ วไปสคู่ วามเป็นมหาอ�ำนาจทางนาวี (Naval Power)
ท้ังส้ิน ส�ำหรับสหรัฐอเมริกานั้น ในตอนแรกก็ไม่ได้มีผู้ใดสนใจมากนัก จนกระทั่ง
ประธานาธบิ ดธี โี อดอร์ รสู เวลต์ (Theodore Roosevelt) ไดเ้ กดิ ความสนใจเปน็ พเิ ศษ
ผลท่ีสุดก็ยอมรับแนวคิดของเขา รวมถึงได้ตกลงยอมให้มีก�ำลังคุ้มครองการสร้าง
คลองปานามา (Isthmian Canal) ขยายการครอบครองดนิ แดนโพน้ ทะเลและสง่
กองเรือออกไปในต่างประเทศ เพ่ือแสดงถึงความเป็นมหาอ�ำนาจของโลกของ
สหรฐั อเมรกิ า
ผลงานในการบรรยายที่ส�ำคญั ของมาฮาน มอี ยู่ 3 เรื่อง คือ
(1) อทิ ธพิ ลของกำ� ลงั อำ� นาจทางทะเลตอ่ ประวตั ศิ าสตรใ์ นระหวา่ งปี
ค.ศ.1600-1783 (The Influence of Sea Power Upon History, 1600-1783)
(2) อิทธิพลของก�ำลังอ�ำนาจทางทะเลต่อการปฏิวัติและจักรวรรดิ
ฝร่ังเศสในระหวา่ งปี ค.ศ.1793 – 1812 (The Influence of Sea Power Upon
the French Revolution and Empire, 1793-1812)
(3) กำ� ลงั อำ� นาจทางทะเลในความสมั พนั ธก์ บั สงครามในปี ค.ศ.1812
(The Sea Power in its Relation to the War of 1812)
นอกจากนี้ มาฮานยังได้เขียนหนังสือเก่ียวกับยุทธศาสตร์ทางเรือ
(Naval Strategy) และกจิ กรรมระหวา่ งประเทศเพม่ิ เตมิ อกี เปน็ จำ� นวนถงึ 17 เลม่
กลา่ วกนั วา่ ขอ้ เขยี นของมาฮานสว่ นมากไดร้ บั อทิ ธพิ ลจากนกั ยทุ ธศาสตรส์ ำ� คญั ในอดตี
เช่น นโปเลียน (Napoleon Bonaparte) เนลสนั (Horatio Nelson) เคลาเซวทิ ซ์
(Carl von Clausewitz) และโจมนิ ี (Henri Jomini) โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ เขาไดพ้ ฒั นา
แนวคิดของเคลาเซวทิ ซ์ให้กว้างขวางยงิ่ ขนึ้ จากผลงานการศึกษาของเขาเอง ทำ� ให้
เขามคี วามม่ันใจว่า “สงครามเป็นการขยายขอบเขตนโยบายแห่งชาติ แต่การทจี่ ะ
ทำ� ใหป้ ระเทศใดเปน็ มหาอำ� นาจและมงั่ คง่ั ขนึ้ ไดน้ นั้ ตอ้ งอาศยั กำ� ลงั อำ� นาจทางทะเล
ซงึ่ มคี วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ ความเจรญิ เตบิ โตของชาติ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งและความ
มน่ั คงแหง่ ชาติ ซงึ่ อาศยั พน้ื ฐานจากยทุ ธศาสตรก์ ำ� ลงั อำ� นาจทางทะเล (Sea Power
Strategy) และอำ� นวยประโยชนต์ อ่ พลงั อำ� นาจของสหรฐั อเมรกิ าเชน่ เดยี วกบั ประเทศ
อังกฤษที่เคยเปน็ เจ้าอาณานคิ มของโลกในอดตี ”
118

เน่ืองจากมาฮาน ได้มีโอกาสเป็นผู้บรรยายเร่ืองประวัติศาสตร์และ
ยุทธวิธีทางเรอื เขาจงึ ไดอ้ าศยั ตวั อยา่ งเหตกุ ารณท์ างประวตั ศิ าสตร์ โดยเฉพาะสงคราม
ทางเรอื ระหวา่ งองั กฤษกบั ฝรง่ั เศสมาพฒั นาเปน็ แนวคดิ ของตวั เอง อยา่ งไรกต็ าม มาฮาน
ได้มุ่งเน้นความส�ำคัญของเศรษฐกิจ และความม่ังค่ัง ตลอดจนความอยู่ดีกินดี
ของประชาชน เพราะมาฮานตระหนกั ดวี า่ กำ� ลงั อำ� นาจทางทะเลจะนำ� ไปสคู่ วามมงั่ คงั่
และเพ่ิมพูนพลังอ�ำนาจให้กับประเทศที่มีชายแดนติดทะเล มาฮานได้ย้�ำถึง
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งกำ� ลงั อำ� นาจทางทะเลกบั กำ� ลงั อำ� นาจทางเศรษฐกจิ วา่ กำ� ลงั อำ� นาจ
ทางทะเลขึ้นอยู่กับความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ และความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ
ย่อมต้องการแหล่งวัตถุดิบและตลาดเป็นส�ำคัญ ท้ังสองส่ิงนี้เองเป็นท่ีปรากฏว่า
ไมว่ า่ ชาตใิ ดกต็ าม ยอ่ มไมส่ ามารถมที ง้ั สองสง่ิ ดงั กลา่ วไดเ้ ลย หากปราศจากกำ� ลงั อำ� นาจ
ทางทะเล มาฮานมแี นวคดิ อกี วา่ รฐั ใดกต็ ามทม่ี ขี ดี ความสามารถทางเรอื และมกี ารคา้ ขาย
ทางทะเล ยอ่ มไดเ้ ปรยี บเหนอื กวา่ รฐั อนื่ ๆ ทไ่ี มม่ ขี ดี ความสามารถดงั กลา่ ว และรฐั
จำ� เปน็ ตอ้ งเปดิ เสน้ ทางคมนาคมทางทะเลออกไปใหม้ ากพอ มาฮานไดก้ ลา่ วดว้ ยวา่
“สงครามไมใ่ ชก่ ารสู้รบ แตเ่ ปน็ ธรุ กจิ ” (War is not fighting but business)20
ซึง่ แสดงให้เห็นว่าเขาเปน็ สาวกของเคลาเซวทิ ซ์อยา่ งแท้จรงิ
องค์ประกอบของก�ำลังอ�ำนาจทางทะเลตามแนวคิดของมาฮาน
ประกอบดว้ ย องคป์ ระกอบหลกั 6 ประการ คอื ทตี่ งั้ ทางภมู ศิ าสตร์ รปู รา่ งทางกายภาพ
การขยายดินแดน จ�ำนวนพลเมือง คุณลักษณะของประชากร และคุณลักษณะ
ของรัฐบาล รวมทั้งได้กล่าวไว้ว่า “จุดมุ่งหมายของการสงครามทางเรือ คือ
“พันธกิจของผลประโยชน์และนโยบายแห่งชาติ” (Function of national
interests and national policy) อย่างไรก็ตาม มาฮานได้ใหข้ ้อสังเกตเก่ียวกบั
การวเิ คราะหเ์ รอ่ื งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งพลงั อำ� นาจของโลกไวว้ า่ การจำ� กดั การขยายตวั
ของสหภาพโซเวยี ตใหอ้ ยภู่ ายในดนิ แดนยเู รเซยี (Eurasia) นบั วา่ เปน็ สง่ิ จำ� เปน็ อยา่ งยงิ่
และสามารถกระทำ� ไดด้ ว้ ยแสนยานภุ าพทางทะเล และผสมผสานทรพั ยากรทง้ั ปวง
ของมหาอ�ำนาจท้ังสี่ของฝ่ายสัมพันธมิตร อันได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี
สหราชอาณาจักร และญี่ปุ่น ซ่ึงค�ำกล่าวของมาฮานน้ี ยังเป็นที่เช่ือถือกันอยู่
แม้ว่าในขณะน้ันยังไม่มีการพัฒนาอาวุธและเทคโนโลยีท่ีก้าวหน้าขึ้นมาอย่าง
มากมายเชน่ ในปจั จุบนั กต็ าม

119

การพฒั นาแนวคดิ ของมาฮานในระยะตอ่ มา ปรากฏวา่ ไดเ้ กดิ มแี นวคดิ
ใหมข่ นึ้ ทเี่ รยี กวา่ “กำ� ลงั อำ� นาจทางเรอื ” (Maritime Power) อนั หมายถงึ พลงั อำ� นาจ
ทกี่ วา้ งขวางและมรี ะบบซบั ซอ้ น กำ� ลงั อำ� นาจทางเรอื ประกอบดว้ ย กำ� ลงั อำ� นาจทาง
ทะเล (Sea Power) หรือสมุทรานุภาพ และพลังอ�ำนาจก�ำลังรบทางเรือ (Sea
Force = Navy) หรือนาวกิ านุภาพ เซอร์ วอลเตอร์ ราเลย์ (Sir Walter Raleigh)
ได้กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างการครองอ�ำนาจทางทะเลกับความเจริญก้าวหน้า
ทางเศรษฐกจิ อยา่ งกระจา่ งชดั วา่ “ใครกต็ ามทคี่ รองอำ� นาจทางทะเล จะเปน็ ผคู้ รอง
อำ� นาจทางการคา้ ใครกต็ ามทค่ี รองอำ� นาจทางการคา้ ของโลก จะเปน็ ผคู้ รองความ
รำ่� รวยของโลก”21
จ. เซอร์ ฮลั ฟอรด์ แมกคินเดอร์ (Sir Halford Mackinder)
เซอร์ ฮลั ฟอรด์ แมกคนิ เดอร์ (พ.ศ.2404-
2490) เป็นชาวอังกฤษ เคยดำ� รงต�ำแหน่งคณบดีคณะ
เศรษฐศาสตร์และการเมืองของมหาวิทยาลัยลอนดอน
นอกจากน้ี แมกคินเดอร์ได้เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทน
ราษฎรขององั กฤษมาแลว้ เขาจงึ มปี ระสบการณใ์ นดา้ น
การเมอื งมากพอสมควร แมกคนิ เดอรส์ นใจแนวคดิ ทาง
ยุทธศาสตร์ของมาฮานเป็นอย่างมาก เขาจึงได้ติดตาม
ผลการวิเคราะห์ของมาฮานอย่างต่อเนื่องและโดย
ใกลช้ ดิ อยา่ งไรกต็ าม แมกคนิ เดอรม์ แี นวคดิ ทตี่ รงกนั ขา้ ม ภาพที่ 3-5 เซอร์ ฮัลฟอร์ด
กับมาฮานอยู่บ้าง กล่าวคือ แมกคินเดอร์เชื่อว่าการ แมกคินเดอร์

เคล่ือนย้ายโดยทางรถไฟจะท�ำให้เกิดความคล่องตัวมากกว่าการเคลื่อนย้าย
ทางทะเล ดงั นัน้ แมกคินเดอร์ จึงได้ตั้งทฤษฎีของตนขน้ึ มาใหม่วา่ “กำ� ลงั อำ� นาจ
ทางภาคพื้นดินทม่ี งุ่ ไปสใู่ จกลางดนิ แดนยเู รเซยี (Eurasia) อนั กวา้ งใหญ่ จะอำ� นวย
ให้สามารถขยายผลเข้าควบคุมภาคพ้ืนทวีปได้ท้ังหมด เพราะเป็นการขัดขวาง
ไม่ให้ก�ำลงั อำ� นาจทางทะเลสามารถเขา้ ถงึ ได้”22

120

ต่อมาในปี พ.ศ.2462 แมกคนิ เดอรไ์ ดเ้ รยี กร้องใหเ้ ขา้ ยึดรกั ษาพนื้ ทีท่ ี่
เป็นใจโลก (Heartland) เพราะเขาเห็นว่าการเข้าควบคุมใจโลกได้ จะน�ำไปสู่
การควบคมุ ดนิ แดนแอฟรกิ ายเู รเซยี (Eurafrica) อนั กวา้ งใหญต่ อ่ ไปได้ ซงึ่ หากสามารถ
ทำ� ไดส้ ำ� เรจ็ จะอำ� นวยประโยชนใ์ นเรอ่ื งการเขา้ ควบคมุ ทรพั ยากรมนษุ ยแ์ ละทรพั ยากร
วัตถุของโลกได้อย่างสมบูรณ์ กล่าวกันว่า ทฤษฎีของแมกคินเดอร์เป็นทฤษฎีทาง
ภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ซ่ึงสรุปความส�ำคัญได้ว่า ประเทศใดก็ตาม ถ้าหาก
มภี มู ปิ ระเทศ หรอื สามารถยดึ ภมู ปิ ระเทศไดแ้ ลว้ ประเทศนนั้ กจ็ ะเปน็ ผคู้ รองอำ� นาจ
อันสูงสุด ทฤษฎีของแมกคินเดอร์ (Mackinder's Theory) เกิดข้ึนคร้ังแรกในปี
พ.ศ.2447 จุดสำ� คญั หรอื ใจโลกในครั้งน้ัน แมกคนิ เดอรไ์ ดก้ ำ� หนดเป็นพื้นที่บรเิ วณ
ภายในของยูเรเซีย ซง่ึ เขาไดก้ ล่าวไว้ว่า ใครกต็ ามทสี่ ามารถครองใจโลกได้กจ็ ะเปน็
ผู้ครองโลกได้ในที่สุด เป็นท่ีน่าสังเกตว่าใจโลกในครั้งน้ันก็คือ ดินแดนส่วนหน่ึง
ของยุโรปตะวันออกและเอเชียเหนือ ซึ่งมีลักษณะเป็นพื้นท่ีข้ัวโลก หรือเป็นพ้ืนท่ี
ของการระบายน้�ำภายในบริเวณใจโลกน้นั นนั่ เอง
ในเวลาตอ่ มาแมกคนิ เดอรไ์ ดเ้ ปลย่ี นแปลงแนวคดิ เกยี่ วกบั บรเิ วณใจโลก
โดยได้ขยายพ้ืนที่เพิ่มเติมออกไปจากเดิมบริเวณใจโลกใหมข่ องเขารวมถงึ ดนิ แดน
ทเิ บต มองโกเลยี และบางสว่ นของจนี จนจรดเอเชยี ใต้ สำ� หรบั ทางตอนเหนอื กร็ วมถงึ
ดินแดนแถบทะเลบอลติก ทางด้านตะวันออกรวมถึงแม่น�้ำดานูบ นีเปอร์ และ
เอเชียไมเนอร์ ซึ่งนับได้ว่าบริเวณใจโลกใหม่มีอาณาเขตกวา้ งใหญไ่ พศาล ทง้ั นี้
เพราะแมกคนิ เดอรไ์ ดพ้ จิ ารณาถงึ ความกา้ วหนา้ ในการขนสง่ ทางภาคพน้ื ดนิ จำ� นวน
ประชากรที่เพ่ิมข้ึน รวมทั้งการพัฒนาทางด้านอุตสาหกรรม นอกจากน้ันเขายังได้
พจิ ารณาถงึ ยโุ รปตะวนั ออก และยโุ รปกลาง ซงึ่ แมจ้ ะไมไ่ ดร้ วมอยใู่ นบริเวณใจโลก
แต่ก็มีความส�ำคัญทางยุทธศาสตร์ต่อการเข้าถึงพื้นท่ีเหล่านี้ด้วย โดยแมกคินเดอร์
ไดก้ ลา่ วตอ่ หนา้ รฐั บรุ ษุ ของประเทศตะวนั ตกในขณะนน้ั ไวว้ า่ “ผใู้ ดครองยโุ รปตะวนั ออก
ได้จะเป็นผู้ควบคุมใจโลก ผู้ใดครองใจโลกได้ จะเป็นผู้ควบคุมเกาะโลก ผู้ใด
ครองเกาะโลกได้ จะเป็นผู้ควบคุมโลก”23

121

ภาพที่ 3-6 ทฤษฎี“ใจโลก” ของแมกคนิ เดอร์

ด้วยเหตุท่ีแมกคินเดอร์ มีประสบการณ์ในเร่ืองเศรษฐกิจเป็นอย่างดี
เขาจึงเน้นถึงความส�ำคัญของการพัฒนาอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
อุตสาหกรรมขนาดเบาของกลุ่มประเทศต่างๆ ในอาณาบริเวณแอตแลนติกเหนือ
และมีความเห็นพ้องด้วยกับการวิเคราะห์ก�ำลังอ�ำนาจทางทะเลของมาฮาน เมื่อปี
พ.ศ.2483 ด้วยว่า ฝ่ายพันธมิตรควรพิจารณาด�ำเนินความร่วมมือกันป้องกัน
อาณาบริเวณแอตแลนติกเหนือ เพ่ือขัดขวางหรือป้องกันสหภาพโซเวียต
ทมี่ พี ลงั อำ� นาจสำ� คญั ในใจโลก มใิ หข้ ยายอทิ ธพิ ลออกมาซงึ่ การประเมนิ สถานการณ์
ดงั กลา่ วไดก้ ลายเปน็ ความจรงิ ขนึ้ ในเวลาตอ่ มากลา่ วคอื ไดม้ กี ารเกดิ ความรว่ มมอื กนั
กอ่ ตง้ั องคก์ รสนธสิ ญั ญาแอตแลนตกิ เหนอื (North Atlantic Treaty Organization)
หรือเป็นท่ีรู้จักกันดีว่า “NATO” ของฝ่ายสัมพันธมิตรข้ึน และจากแนวคิดของ
แมกคินเดอร์นี้เอง ท�ำให้เกิดนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา ภายหลัง
สงครามโลกคร้ังท่ี 2 ในรูปแบบของ “ยุทธศาสตร์การปิดล้อม” (Strategy of
Containment) ตอ่ อดตี สหภาพโซเวยี ตในขณะนนั้ ขึ้น24

122

ฉ. คารล์ เฮาส์โฮฟเฟอร์ (Karl Haushofer)
คาร์ล เฮาส์โฮฟเฟอร์ (พ.ศ.2403 - 2488)
เกิดที่เมืองมิวนิกอันเป็นเมืองหลวงของรัฐบาวาเรียของ
เยอรมนี เมอื่ ปี พ.ศ.2403 หลงั จากเขาไดส้ ำ� เรจ็ การศกึ ษา
ในขน้ั ตน้ ที่บ้านเกิดแล้ว เขาได้เบนชีวิตเข้าสู่อาชีพทหาร
ต้ังแต่ยังวัยเยาว์ เขาทุ่มเทความสนใจอย่างจริงจังในวิชา
ภูมิศาสตร์ และพยายามศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมด้วย
การทอ่ งเทย่ี วไปในทต่ี า่ งๆ เพอื่ ศกึ ษาภมู ปิ ระเทศ ในระหวา่ ง
รับราชการทหารเขาไดม้ โี อกาสดำ� รงตำ� แหนง่ ฝา่ ยเสนาธกิ าร ภาพที่ 3-7 คารล์
ของกองทัพบาวาเรีย และเคยเป็นอาจารย์ในโรงเรียน เฮาส์โฮฟเฟอร์
เสนาธกิ ารทหารเมอื่ มอี ายปุ ระมาณ 40 ปี เขาไดพ้ สิ จู นใ์ หเ้ หน็ ถงึ ความสามารถในเชงิ
วชิ าการเกย่ี วกบั การสงคราม ภูมิศาสตร์ และการสอนวชิ าการแขนงตา่ งๆ มากมาย
ผลงานทน่ี บั วา่ มชี อื่ เสยี งอยา่ งยงิ่ แกเ่ ฮาสโ์ ฮฟเฟอรก์ ค็ อื เอกสารวจิ ยั หรอื วทิ ยานพิ นธ์
ของเขาท่ีชื่อว่า“การมีส่วนร่วมของเยอรมนีต่อการเปิดประเทศญ่ีปุ่นและพื้นท่ี
อนุภูมิภาคญี่ปุ่นทางภูมิศาสตร์ และความก้าวหน้าโดยอาศัยอิทธิพลของสงคราม
และการปอ้ งกนั ประเทศ” (The German Share in the Geographical Opening-
Up of Japan and Sub-Japanese Earth Space and its advancement
through the Influence of War and Defense)25 สาระส�ำคญั ของเอกสารวจิ ัย
เล่มนี้เกี่ยวข้องกับประเทศญ่ีปุ่นโดยตรง ทั้งในทางด้านภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา
ประวัติศาสตร์ และแง่คิดต่างๆ เก่ียวกับยุทธศาสตร์ในการป้องกันประเทศ
ซ่ึงเฮาส์โฮฟเฟอร์ได้มีโอกาสเดนิ ทางไปศกึ ษาในกองทพั ญป่ี นุ่ เปน็ เวลานานถงึ 2 ปี
เอกสารวจิ ยั เรอ่ื งน้ี ไดน้ ำ� เสนอตอ่ มหาวทิ ยาลยั มวิ นกิ เพอื่ ขอรบั ปรญิ ญาดษุ ฎบี ณั ฑติ
ในปี พ.ศ.2475 และคณะกรรมการศึกษาของมหาวิทยาลัย ได้ลงมติให้เขาได้รับ
ปรญิ ญาดุษฎบี ัณฑติ (เกียรตินิยมสงู สุด) ท�ำให้เขามีชือ่ เสียงโด่งดังไปทวั่ โลก

123

เฮาสโ์ ฮฟเฟอรม์ คี วามสนใจทจ่ี ะศกึ ษาผลงานของ เฟรดเดอรชิ รสั เซล
(Friedrich Ratzel) ซ่ึงได้ให้ความรู้แก่เขาในเร่ืองความส�ำคัญทางภูมิศาสตร์
เป็นพเิ ศษ และชว่ ยกรยุ ทางท่ีจะกา้ วไปสูภ่ ูมริ ฐั ศาสตร์ (Geopolitics) ในข้นั ตอ่ ไป
โดยรัสเซลได้ให้แนวคิดไว้ว่า “การด�ำเนินชีวิตในกิจการต่างๆ ของมนุษย์ย่อมข้ึน
อยกู่ บั พน้ื ท”ี่ และ “ความกวา้ งใหญไ่ พศาลของพน้ื ทเี่ ปน็ ปจั จยั สำ� คญั ทชี่ ว่ ยเสรมิ สรา้ ง
พลังอ�ำนาจให้แก่ชาติท่ีครอบครองพื้นที่น้ัน” ต่อมาได้มีชาวสวิสผู้หนึ่งนามว่า
รูดอลฟ์ เจลเลน (Rudolf Kjellen) ไดน้ �ำเอาแนวคดิ ของรัสเซลไปพฒั นาต่อและ
ไดด้ ัดแปลงเป็นแนวคิดของตนเรียกว่า “รัฐเสมือนเป็นส่งิ มีชีวิตอยา่ งหน่งึ ” (State
as an organism) โดยอธบิ ายวา่ ชวี ติ ของรฐั กเ็ หมอื นกบั ชวี ติ มนษุ ยท์ ง้ั ปวง กลา่ วคอื
มีเกิดแล้วเจริญเติบโต มีความปรวนแปรเปล่ียนแปลง มีความเสื่อมสลายส้ินไป
ตามอทิ ธพิ ลของสงิ่ แวดลอ้ ม อนั ไดแ้ ก่ ภมู ปิ ระเทศ ดนิ ฟา้ อากาศ ปจั จยั ตามธรรมชาตอิ นื่ ๆ
ตลอดจนปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีบังเกิดข้ึน และจากผลการศึกษาเร่ืองปัจจัยต่างๆ
เหลา่ น้ี เจลเลน จงึ ไดจ้ ดั รวมเขา้ เปน็ วชิ ารฐั ศาสตรส์ าขาใหมเ่ รยี กวา่ “ภมู ริ ฐั ศาสตร”์
(Geopolitics)
ผลงานของแมกคินเดอร์ นับว่ามีความส�ำคัญและมีอิทธิพลต่อ
เฮาสโ์ ฮฟเฟอรเ์ ปน็ อยา่ งมาก กลา่ วกนั วา่ แมกคนิ เดอรเ์ ปน็ เสมอื นผมู้ อี ทิ ธพิ ลโดยตรง
ในการกอ่ ตงั้ สถาบนั รฐั ภูมศิ าสตร์ของเยอรมนี ณ กรงุ เบอรล์ นิ เม่อื ก่อนสงครามโลก
คร้ังท่ี 2 ซึ่งเฮาส์โฮฟเฟอร์ได้รับแต่งต้ังให้เป็นผู้อ�ำนวยการสถาบันเป็นคนแรก
เขาไดผ้ สมผสานแนวคดิ ของแมกคนิ เดอร์ ทกี่ ลา่ วถงึ เรอ่ื งความสมั พนั ธข์ องทรพั ยากร
และการสนองความต้องการด้านทรัพยากรให้แก่พลังอ�ำนาจของโลกกับแนวคิด
ของเจลเลน ทก่ี ลา่ วถงึ เรอื่ งการเมอื งของรฐั ซงึ่ เปน็ เสมอื นสงิ่ มชี วี ติ ทอี่ าจเจรญิ เตบิ โต
หรอื สน้ิ สดุ ลงได้ สถาบนั ภมู ริ ฐั ศาสตรข์ องเยอรมนภี ายใตก้ ารนำ� ของเฮาสโ์ ฮฟเฟอร์
ได้ศึกษาคน้ ควา้ และวจิ ยั ในเรอ่ื งความขดั แยง้ ทางยทุ ธศาสตรแ์ ละสงครามเบด็ เสรจ็
อยา่ งกวา้ งขวางผลที่สดุ ได้บัญญัติค�ำข้ึนใหม่เป็นภาษาเยอรมันวา่ “Lebensraum”

124

(Living space) หรอื “แดนยงั ชพี ” และคำ� วา่ “Autarchy” (Economic Self-Sufficiency)
เม่ือสงครามโลกครั้งที่ 1 เพ่ือกอบกู้สถานภาพของอาณาจักรไรซ์ให้ฟื้นข้ึนสู่
ความเปน็ มหาอำ� นาจของโลกอกี ครงั้ หนง่ึ เปา้ หมายของเยอรมนกี ค็ อื การมอี ทิ ธพิ ลตอ่
ประเทศเลก็ ทั้งสนิ้ ทงั้ ทางดา้ นตะวันตกและตะวันออกของทวีปยโุ รปอย่างสนิ้ เชงิ
แนวคดิ ของเฮาสโ์ ฮฟเฟอร์ นบั วา่ มอี ทิ ธพิ ลตอ่ ฮติ เลอรม์ ใิ ชน่ อ้ ย เพราะใน
ระหวา่ งทฮ่ี ติ เลอรถ์ กู คมุ ขงั อยใู่ กลเ้ มอื งมวิ นกิ ไดอ้ าศยั รดู อลฟ์ เฮสส์ (Rudolf Hess)
ซ่ึงเป็นอดีตนายทหารคนสนิทของเฮาส์โฮฟเฟอร์ และเป็นศิษย์คนแรกเก่ียวกับ
เรื่องภูมิรัฐศาสตร์ช่วยในการจัดท�ำหนังสือเรื่อง “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” (Mein
Kampt (My Struggle)) ของฮติ เลอร์ กลา่ วกนั วา่ หากเปดิ ดหู นงั สอื ของฮติ เลอร์
ดงั กลา่ วเพยี ง 2-3 หนา้ กจ็ ะทราบไดท้ นั ทวี า่ แนวคดิ ทางภมู ริ ฐั ศาสตรข์ องเฮาสโ์ ฮฟเฟอร์
ได้มีอิทธิพลต่อแนวคิดของฮิตเลอร์อย่างชัดเจน แนวคิดทางภูมิรัฐศาสตร์น้ี
อาจเปน็ สงิ่ ดลใจใหฮ้ ติ เลอรเ์ กดิ แนวคดิ ในการรกุ ราน รวมทง้ั กำ� หนดทศิ ทางในการรกุ
อยา่ งชดั เจน แตฮ่ ติ เลอรก์ ย็ งั เขา้ ใจผดิ เกยี่ วกบั แนวคดิ อนั แทจ้ รงิ ของเฮาสโ์ ฮฟเฟอร์
ซ่ึงยังเป็นข้อถกเถียงกันในเร่ืองของการใช้เคร่ืองมือมากกว่าการก�ำหนดเป้าหมาย
อย่างไรก็ตาม ความเข้าใจทางภูมิรัฐศาสตร์โดยปราศจากพื้นฐานของความรอบรู้
ที่ถูกต้อง ประกอบกับความหลงอ�ำนาจของฮิตเลอร์ เมื่อได้ส่ังการให้กองทัพนาซี
เข้าตีสหภาพโซเวียต นักภูมิรัฐศาสตร์เยอรมันท้ังปวงก็ไม่กล้าทัดทานยุทธศาสตร์
ของฮติ เลอรผ์ นู้ ำ� นาซซี งึ่ มอี ำ� นาจอยใู่ นขณะนน้ั แมแ้ ตต่ วั เฮาสโ์ ฮฟเฟอรเ์ องกถ็ กู จบั กมุ
เขา้ คา่ ยกักกันทเี่ มอื งคาเกาในปี พ.ศ.2487 และตวั บตุ รชายของเขาทชี่ ื่ออลั เบรชท์
ซงึ่ เปน็ นกั ภมู ริ ฐั ศาสตรเ์ ชน่ เดยี วกนั กถ็ กู พพิ ากษาใหป้ ระหารชวี ติ เพราะถกู กลา่ วหาวา่
มีส่วนเกี่ยวข้องกับการวางแผนล้มล้างอ�ำนาจฮิตเลอร์ในปี พ.ศ.2487 และเมื่อ
เยอรมนีประสบความพ่ายแพ้แก่ฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกคร้ังท่ี 2 การวิจัย
และพัฒนาทางภมู ิรฐั ศาสตร์ก็ตอ้ งสิน้ สดุ ลงไปด้วย26

125

ช. นิโคลสั สปคิ แมน (Nicholas Spykman)
ในปี พ.ศ.2487 มศี าสตราจารย์ชาวอเมรกิ นั
ชอื่ นโิ คลสั สปคิ แมน แหง่ มหาวทิ ยาลยั เยล แสดงความเหน็
เกย่ี วกบั แนวคดิ ทางยทุ ธศาสตรท์ มี่ เี หตผุ ลและนา่ จะนำ� มา
วิเคราะห์ตอ่ ไป กลา่ วโดยสรุปได้วา่ สปคิ แมนมคี วามเห็น
สอดคลอ้ งกบั แนวคดิ ทางยทุ ธศาสตรข์ องอลั เฟรด เทเยอร์
มาฮาน และเห็นดว้ ยกบั แนวคดิ กว้างๆ ของแมกคนิ เดอร์
แตเ่ ขากไ็ ดโ้ ตแ้ ยง้ แนวคดิ ทางยทุ ธศาสตรข์ องแมกคนิ เดอร์
เกยี่ วกบั การครอบครองบรเิ วณใจโลกในดนิ แดนของยเู รเซยี
ซึ่งอาจกระท�ำได้ยากหรือไม่สามารถปฏิบัติได้ เขาเห็นว่า ภาพท่ี 3-8 นิโคลสั
ดนิ แดนชายขอบยเู รเซยี ซง่ึ แมกคนิ เดอรเ์ รยี กวา่ “พระจนั ทร์ สปคิ แมน

เสี้ยวชายขอบ” (Marginal Crescent) ซึ่งรวมถึงเส้นทางเดินเรือในยุโรป
ตะวนั ออกกลาง อนิ เดยี เอเชยี ตะวันออกเฉยี งใต้ และจีน ดินแดนเหลา่ นี้ตา่ งเปน็
ดินแดนท่ีมีความส�ำคัญต่อการเข้าควบคุมโลกในอนาคต เพราะมีจ�ำนวนพลเมือง
จ�ำนวนมาก มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ และมีการเดินเรือติดต่อกันได้โดยตรง
สปคิ แมนเหน็ วา่ การจะเขา้ ครอบครองทรพั ยากรในยเู รเซยี ใหไ้ ดน้ น้ั ในขน้ั แรกควรเขา้
ครอบครองบรเิ วณรอบขอบโลกของยเู รเซยี กอ่ น รวมทง้ั ตอ้ งมกี ำ� ลงั อำ� นาจทางทะเล
ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพใหม้ ากพอ และใหเ้ หนอื กวา่ การใชก้ ารเคลอ่ื นยา้ ยกำ� ลงั อำ� นาจทาง
ภาคพ้ืนดินโดยทางรถไฟ สปิคแมนกล่าวเน้นเพ่ิมเติมอีกว่า นับต้ังแต่สงครามโลก
ครงั้ ท่ี 2 เปน็ ตน้ มา ประเทศสมั พนั ธมติ รตะวนั ตกไดท้ มุ่ เทความพยายามในการจดั ตง้ั
กองกำ� ลงั ของตนขนึ้ บรเิ วณขอบโลกอยา่ งเปน็ ระบบ เพอื่ ปอ้ งกนั การเขา้ ครอบครอง
โลกของฝ่ายคอมมิวนิสต์ท่ีอยู่ในใจโลก ด้วยเหตุน้ีเองจึงมีผู้เรียกช่ือแนวคิดทาง
ยุทธศาสตร์เช่นนี้ว่า “ยุทธศาสตร์ขอบโลก” (Rimland Strategy) ซึ่งโต้แย้งกับ
“ยทุ ธศาสตร์ใจโลก” (Heartland Strategy) ตามแนวคดิ ของแมกคินเดอร์ เหน็ ได้
จากสปคิ แมนไดก้ ลา่ วโตแ้ ยง้ แนวคดิ ของแมกคนิ เดอรว์ า่ “ผใู้ ดกต็ ามควบคมุ ขอบโลกได้
จะเปน็ ผคู้ รองยูเรเซยี ผู้ใดก็ตามครองยูเรเซยี ได้ จะเป็นผูค้ วบคมุ โลกได้ในท่ีสุด”27

126

ภาพท่ี 3-9 แผนท่ีภูมิรัฐศาสตร์ของสปิคแมน

ในปัจจุบันหลักนิยมของสปิคแมนได้ปรากฏชัดข้ึนมาเป็นล�ำดับว่า
ยังไม่มีความเหมาะสม เพราะความจริงได้ปรากฏออกมาว่าไม่มีพลังอ�ำนาจของ
ประเทศขอบโลกใดๆ ท่ีจะสามารถจัดตั้งหรือรวมพลังอ�ำนาจบริเวณขอบโลก
ไดท้ ง้ั หมด เพราะขอบโลกเองกม็ ลี กั ษณะเปน็ จดุ ออ่ นหรอื มคี วามลอ่ แหลมตอ่ พลงั อำ� นาจ
ของใจโลกเชน่ เดยี วกนั รวมทง้ั พลงั อำ� นาจของประเทศทอ่ี ยนู่ อกชายฝง่ั (Offshore
Powers) เพราะการแบ่งการควบคุมขอบโลกหรือปล่อยให้เป็นกลางบางส่วนยอ่ ม
หมายถงึ การทำ� ใหโ้ ลกเกดิ การสมดลุ มากขน้ึ เปน็ ทน่ี า่ สงั เกตวา่ การเขา้ ครองใจโลกกไ็ มไ่ ด้
หมายถงึ การควบคมุ เกาะโลกไดโ้ ดยอตั โนมตั ิ นบั ตง้ั แตส่ งครามโลกครง้ั ที่ 2 ไดย้ ตุ ลิ ง
เป็นต้นมา ปรากฏว่าได้มีนักยุทธศาสตร์หลายท่านต่างให้ความสนใจและพัฒนา
แนวคดิ เรอ่ื งฐานทตี่ ง้ั และทรพั ยากรพน้ื ฐานทมี่ คี วามสำ� คญั ทางยทุ ธศาสตรซ์ ง่ึ มาฮาน
และแมกคนิ เดอรไ์ ดว้ างรากฐานไว้ รวมทง้ั พยายามดดั แปลงฐานทตี่ งั้ ตา่ งๆ เหลา่ นน้ั
ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลยี่ นแปลงไปอยา่ งรวดเรว็ โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในเรื่องความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ในปี พ.ศ.2489
จอรจ์ เคนเเนน (George Kennan) อดตี นกั การทตู ของสหรฐั อเมรกิ า ทม่ี ปี ระสบการณ์
ทางการเมอื งเกยี่ วกบั สหภาพโซเวยี ต ซง่ึ เปน็ สง่ิ บอกเหตวุ า่ จะเปน็ ภยั คกุ คามทสี่ ำ� คญั
ต่อฝ่ายพนั ธมติ ร ไดเ้ รียกรอ้ งใหพ้ ิจารณาจัดระเบยี บโลก (World Order) ข้นึ ใหม่

127

เพราะเหน็ วา่ ในบรรดา 5 มหาอำ� นาจสำ� คญั อนั ไดแ้ ก่ สหรฐั อเมรกิ า สหภาพโซเวยี ต
ญ่ีปุ่น อังกฤษ และเยอรมนี ต่างมีขีดความสามารถในการผลิตอาวุธในการท�ำ
สงครามสมยั ใหม่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คอื อาวธุ นวิ เคลยี รท์ ใ่ี ชเ้ ครอื่ งสง่ ดว้ ยวธิ กี ารใช้
เทคโนโลยอี นั ทนั สมยั อยา่ งไรกต็ าม กย็ งั มผี ไู้ มเ่ หน็ ดว้ ยกบั แนวคดิ เรอ่ื งการวเิ คราะห์
ภัยคกุ คามของเคนแนนดงั กล่าว แต่ผลของการโต้แย้งและวิเคราะห์ภยั คุกคามของ
เขาไดน้ ำ� มาซงึ่ ขอ้ ยตุ จิ ากคำ� แถลงการณข์ องประธานาธบิ ดที รแู มน (Harry S. Truman)
เมอื่ วนั ที่ 12 มนี าคม พ.ศ.2490 ซง่ึ ไดป้ ระกาศอยา่ งเปน็ ทางการใหใ้ ชเ้ ปน็ นโยบายของ
สหรัฐอเมริกาเก่ียวกับยุทธศาสตร์การปิดล้อม (Strategy of Containment)
ต่อสหภาพโซเวียตอยา่ งชดั เจน นโยบายดงั กลา่ วนี้ แมว้ า่ เคนแนนจะไมเ่ หน็ พอ้ งดว้ ย
แตต่ อ่ มากป็ รากฏวา่ เขามสี ว่ นเขา้ รว่ มในการกำ� หนดยทุ ธศาสตรข์ องสหรฐั อเมรกิ ากบั
บคุ คลสำ� คญั หลายคนทไ่ี ดค้ รองตำ� แหนง่ ในระดบั สงู ทางการเมอื งในเวลาตอ่ มา เชน่
ดนี แอชชสิ นั (Dean Acheson) และ คลา๊ ค คลฟิ ฟอรด์ (Clark Clifford) เป็นต้น
นับตั้งแต่ได้มีการพัฒนายุทธศาสตร์การปิดล้อมขึ้นมา สหรัฐอเมริกา
ไดพ้ ยายามปรบั ปรงุ ใหส้ ามารถตอบสนองทง้ั ในดา้ นการพฒั นาทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละ
เทคโนโลยี อทิ ธพิ ลของระบบการเปน็ พนั ธมติ รรว่ มกนั และผลกระทบตอ่ การเปลยี่ นแปลง
ปัจจัยต่างๆ ทง้ั ทางดา้ นสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ บคุ คลส�ำคญั ของกระทรวง
การตา่ งประเทศสหรฐั อเมรกิ า เชน่ จอรช์ บอลล์ (George Wildman Ball) และ
เฮนรี คิสซินเจอร์ (Henry Kissinger) ได้ท�ำให้ยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา
มคี วามเหมาะสมและพฒั นาขน้ึ เปน็ อนั มาก อกี ทง้ั ความกา้ วหนา้ ในการประดษิ ฐแ์ ละ
ความร้ายแรงของอาวุธนิวเคลียร์ท�ำให้เกิดความคิดในการหาทางป้องปรามด้วย
วิธตี ่างๆ นกั ยทุ ธศาสตร์นวิ เคลียรท์ ีส่ ำ� คัญ เชน่ เฮอรม์ าน คาหน์ (Herman Kahn)
โทมัส เชลลิง (Thomas Schelling) และ อัลเบิร์ต โวลเซ็ตเตอร์ (Albert
Wohlsetter) ก็มีช่ือเสียงโดดเด่นขึ้นในเวลาต่อมา โดยเฉพาะเฮอร์มาน คาห์น
ซงึ่ มพี นื้ ฐานทางดา้ นการคำ� นวณและวทิ ยาศาสตร์ รวมทงั้ มปี ระสบการณใ์ นการทำ� งาน
128

ด้านวิเคราะห์และวิจัยจากบรรษัทแรนด์ (Rand Corporation) อันมีชื่อเสียง
ส�ำคัญของสหรัฐอเมริกา เขาได้ผลิตหนังสือส�ำคัญทางยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง
กับเทคโนโลยีนิวเคลียร์ในปี พ.ศ.2503 ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือเล่มแรกของโลกใน
เรื่องนี้ คือ “On Thermonuclear” หนังสือเล่มนี้ได้ชี้ให้เห็นถึงภัยอันร้ายแรง
อันเกิดจากการใช้อาวุธนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นที่น่ากลัวส�ำหรับผู้อ่านเป็นอย่างมาก
อยา่ งไรกต็ าม เขาไดใ้ หข้ อ้ เสนอแนะเกยี่ วกบั การปอ้ งปรามการใชอ้ าวธุ นวิ เคลยี รไ์ วด้ ว้ ย
ดว้ ย ผลงานทางดา้ นวชิ าการเกยี่ วกบั อาวธุ นวิ เคลยี รข์ องเฮอรม์ าน คาหน์ ทป่ี รากฏออกมา
มีจ�ำนวนมากมายทีเดียว ในปี พ.ศ.2533 เขาได้ผลิตหนังสือส�ำคัญออกมา
อีกเล่มหนึ่งช่ือ “ความมั่นคงทางยุทธศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ.1980”
(U.S. Strategic Security in The 1980) พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะแนวทาง
การแก้ปัญหาทั้งในระยะส้ัน ระยะปานกลาง และระยะยาว เพ่ือให้สหรัฐอเมริกา
ไดเ้ ปรียบเหนอื ฝ่ายรกุ รานในเร่อื งพลังอำ� นาจเปรยี บเทยี บ
หากพิจารณานโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกาในอดีตยุค
สงครามเย็นอยา่ งพนิ จิ พเิ คราะหแ์ ลว้ จะเหน็ ไดว้ า่ สหรฐั อเมรกิ าไดย้ อมรบั เอาแนวคดิ
พน้ื ฐานของนกั ยทุ ธศาสตร์ส�ำคัญ เชน่ มาฮาน และแมกคนิ เดอร์ มาใช้อย่างเตม็ ที่
ซ่ึงสหรัฐอเมริกาได้แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมาดปรารถนาหรือเจตจำ� นงทจี่ ะปดิ ลอ้ ม
สหภาพโซเวยี ตไวใ้ หไ้ ด้ และยงั ไดเ้ นน้ ถงึ ความสำ� คญั ของความมเี สรภี าพทางทะเล
รวมทั้งความเป็นอิสระในทางการค้าอันเป็นพ้ืนฐานของพลังอ�ำนาจแห่งชาติทาง
ทะเลด้วย แม้ว่าในปัจจุบัน สหภาพโซเวียตได้ล่มสลายไปแล้วหลังยุคสงครามเย็น
แต่รัสเซียซ่ึงเคยเป็นแกนหลักของอดีตสหภาพโซเวียตและจีนก็ก�ำลังก้าวข้ึนมา
ทา้ ทายอำ� นาจของสหรฐั อเมรกิ าอยา่ งตอ่ เนอ่ื ง ดว้ ยเหตนุ ี้ แนวคดิ วา่ ดว้ ยการปดิ ลอ้ ม
รัสเซียและจีนโดยอาศัยฐานคิดจากการปิดล้อมอดีตสหภาพโซเวียตเดิม จึงเป็น
รากฐานของยุทธศาสตร์ความม่นั คงของสหรัฐอเมริกาอย่ใู นปจั จบุ ัน28

129

4. ววิ ัฒนาการของยุทธศาสตร์
ก. ยทุ ธศาสตรก์ ารท�ำสงครามในยุคโบราณ
การทำ� สงครามในยคุ โบราณ (Ancient Warfare) เกดิ ขน้ึ ประมาณ 700 ปี
กอ่ นครสิ ตศ์ กั ราช–ปลายครสิ ตศ์ ตวรรษท่ี 5 เปน็ การทำ� สงครามทเี่ กดิ ขน้ึ ตง้ั แตม่ กี าร
บันทึกทางประวัติศาสตร์ โดยทั่วไปการท�ำสงครามในยุคน้ี เป็นการท�ำสงคราม
ระหวา่ งอาณาจกั รและจกั รวรรดติ า่ งๆ เนอื่ งจากศนู ยก์ ลางการควบคมุ โลกในสมยั นี้
จ�ำเป็นต้องใช้ก�ำลังทหาร และด้วยขีดความสามารถด้านการเกษตรที่จ�ำกัด
และมีพ้ืนที่ไม่เพียงพอกับปริมาณประชากรท่ีมากข้ึนเรื่อยๆ ท�ำให้เกิดการสู้รบ
ระหวา่ งกนั ขึน้ ในยโุ รปและตะวนั ออกกลาง การท�ำสงครามในยุคโบราณ ยุติลงเมื่อ
จักรวรรดิโรมันที่ย่ิงใหญ่ได้ล่มสลายลงในปี ค.ศ.467 และเร่ิมยุคสมัยของการเข้า
ครอบครองดินแดนโดยพวกมุสลิมในศตวรรษท่ี 7 ในขณะท่ีด้านเอเชีย การท�ำ
สงครามยุคโบราณในจีนยุติลงเม่ือเร่ิมเข้าสู่ยุคราชวงศ์ถังในปี ค.ศ.618 ในอินเดีย
ยุติลงเมื่อจักรวรรดิคุปตะได้ล่มสลายในศตวรรษท่ี 6 อันเป็นการเร่ิมยุคสมัยของ
ผู้ครอบครองดนิ แดนชมพูทวีปโดยชาวมสุ ลิม
การท�ำสงครามในยุคโบราณมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเม่ือ
มีพัฒนาการจากนครรัฐเป็นอาณาจักรหรือจักรวรรดิ เริ่มจากยุคเมโสโปเตเมีย
รฐั ตา่ งๆ สามารถสรา้ งผลติ ผลทางการเกษตรไดอ้ ยา่ งเพยี งพอจนกระทงั่ เกดิ ชนชน้ั สงู
และผู้น�ำทางทหารอย่างถาวร ในขณะท่ีก�ำลังทหารยังเป็นชาวนา เน่ืองจากสังคม
ตอ้ งการทำ� สงครามมากกวา่ ตอ้ งการทำ� งานเพอ่ื ใหไ้ ดม้ าซงึ่ พนื้ ทท่ี ำ� กนิ ในบางชว่ งของ
แต่ละปี ดว้ ยเหตุนี้ กองทพั จึงถูกจดั ตั้งขน้ึ เป็นครง้ั แรก เพื่อใช้เปน็ เครอ่ื งมอื ส�ำคัญ
ของรฐั ในการขยายดนิ แดนและกอ่ ใหเ้ กดิ การควบคมุ จากศนู ยก์ ลางมากขน้ึ อาวธุ ทใ่ี ช้
ทำ� สงครามในยคุ นี้ ยงั คงใชม้ ดี ดาบ ทวน กระบอง คทา ขวาน และธนู ซ่งึ เปน็ อาวุธเชน่
เดียวกับท่ีเคยใช้ล่าสัตว์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ นอกจากนี้แล้ว ยังรวมถึงเคร่ือง
เหว่ยี งกระสนุ หอสงู และเคร่อื งกระทงุ้ ประตูเมือง การจดั กองทัพทง้ั ในอียิปต์และ
จนี ตา่ งมลี กั ษณะทค่ี ลา้ ยกนั โดยอาศยั รปู แบบทใ่ี ชห้ นว่ ยทหารราบตดิ อาวธุ ดว้ ยดาบ
ทวน และธนู เปน็ หลกั เนอื่ งจากอานและโกลนทใี่ ชก้ บั อฐู และมา้ ยงั มไิ ดถ้ กู ประดษิ ฐ์
130

ข้ึนมาในยคุ นี้ การสรู้ บระหวา่ งทหารราบจึงต้องอาศยั การเขา้ ตีด้วยรปู ขบวนท่เี ป็น
แนวและการเขา้ ปะทะกนั อยา่ งรนุ แรงโดยมงุ่ รกั ษารปู ขบวนของตนเอาไว้ และพยายาม
เจาะแนวรูปขบวนของข้าศึกให้แตกออกจากกัน ยุทธวิธีการรบหลักในยุคสมัยนี้
กค็ อื การพยายามใหฝ้ า่ ยตรงขา้ มตกอยใู่ นสถานการณท์ คี่ บั ขนั รวมกำ� ลงั ของตนให้
เปน็ กลมุ่ กอ้ น ใหแ้ นวรบของฝา่ ยตรงขา้ มขาดออกจากกนั และขยายผลจากการเจาะ
อย่างรวดเร็วและรุนแรง เมื่อเทคโนโลยีการท�ำสงครามในยุคนี้ได้พัฒนามากข้ึน
จนกระทั่งมีการน�ำเอารถม้า ทหารม้า และปืนใหญ่เข้าสู่สงคราม ฝ่ายท่ีได้เปรียบ
จากเทคโนโลยีดังกล่าว ก็สามารถเล่นบทบาทเชิงรุกในสนามรบน้ีได้มากยิ่งขึ้น29
อย่างไรก็ตาม ทหารม้าในยุคนี้ ยังมิได้มีบทบาทส�ำคัญในการท�ำสงครามมากนัก
เน่ืองจากยังไม่มีการประดิษฐ์อานม้าและโกลนท่ีจะท�ำให้นักรบบนหลังม้า
สามารถทำ� การรบไดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ (เชน่ การใชห้ อกของอศั วนิ และการยงิ ธนขู องพลธนู
บนหลงั มา้ ในยคุ ตอ่ มา เป็นตน้ )

ภาพที่ 3-10 การทำ� สงครามในยุคโบราณ

นักยุทธศาสตร์ท่ีมีชื่อเสียงในการท�ำสงครามยุคโบราณ ได้แก่ ซุนวู
(Sun Tzu) จนิ๋ ซฮี อ่ งเต้ (Qin Shi Huangdi) จกู ัดเหลยี งหรือขงเบ้ง (Zhuge Liang)
ของจนี ชานกั เกยี (Chanakya) และพระเจ้าจันทรคุปต์มอริยะ (Chandragupta

131

Maurya) ของอินเดีย พระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชของมาซิโดเนีย ฮันนิบาล
(Hanibal) ของคารเ์ ธจ จเู ลยี ส ซซี าร์ (Julius Caesar) ของโรมนั เปน็ ตน้ ยทุ ธศาสตร์
ในยคุ โบราณทรี่ จู้ กั กนั ดี ไดแ้ ก่ การทำ� สงครามทำ� ลายลา้ ง (Annihilation) การปดิ ลอ้ ม
(Blockade) การลวง (Deception) และการเขา้ ตลี วง (Feint) เปน็ ตน้ โดยทว่ั ไปแลว้
ยุทธศาสตร์ของการท�ำสงครามในยุคโบราณน้ี ต่างมุ่งเน้นการบรรลุเป้าหมาย
2 ประการ คือ การท�ำให้ข้าศึกเชื่อว่า การท�ำสงครามจะก่อให้เกิดการสูญเสีย
มากกว่าการยอมจ�ำนน และการแสวงประโยชน์จากการท�ำสงครามให้มากที่สุด30
วิธีการบังคับให้ข้าศึกยอมจ�ำนน จึงอยู่ที่การเอาชนะกองทัพข้าศึกในสนามรบ
โดยเฉพาะการลอ้ มตกี �ำลงั ขา้ ศึกทอ่ี ยู่ในระหว่างการเดนิ ทพั การสรา้ งความสญู เสยี
ให้ตกอยกู่ บั ประชาชน และการสร้างสภาพการณ์อนื่ ๆ ในลักษณะท่ีท�ำข้าศึกตกอยู่
ในสถานการณท์ คี่ บั ขนั จนเปน็ ตวั บงั คบั ใหข้ า้ ศกึ ยอมเขา้ สโู่ ตะ๊ เจรจาและยอมจำ� นน
ไดเ้ รว็ ยงิ่ ขน้ึ อยา่ งไรกต็ าม เปา้ หมายเหลา่ นี้ อาจใชว้ ธิ กี ารอนื่ ทไ่ี มจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งใชก้ ำ� ลงั
ทหารกไ็ ด้ เชน่ การเผานาขา้ วของขา้ ศกึ เพอ่ื บบี ใหข้ า้ ศกึ ยอมจำ� นนหรอื บบี ใหข้ า้ ศกึ
ยอมตายในทม่ี ่นั ย่งิ ไปกวา่ นน้ั เปา้ หมายของการท�ำสงครามในยคุ น้ี อาจเปน็ เพียง
ผลประโยชนส์ ว่ นบคุ คลกไ็ ด้ เชน่ เงนิ ทอง ผลประโยชนท์ างการเมอื ง การหวงั ตำ� แหนง่ ทาง
ทหารหรือทางการเมืองที่สูงข้ึนภายหลังชนะสงคราม เป็นต้น ยุทธศาสตร์เหล่านี้
อาจขดั แยง้ กบั สามญั สำ� นกึ ของทหารในยคุ ปจั จบุ นั ทกี่ ารดำ� เนนิ การใดๆ ในการทำ� สงคราม
กเ็ พื่อผลประโยชนแ์ หง่ ชาตเิ ป็นหลกั
1) การท�ำลายลา้ ง
การทำ� ลายลา้ ง (Annihilation) เปน็ ยทุ ธศาสตรท์ างทหารของกองทพั
ทเ่ี ปน็ ฝา่ ยเขา้ ตที ม่ี งุ่ ทำ� ลายขดี ความสามารถของกองทพั ฝา่ ยตรงขา้ มในการรบหลกั
ตามแผนท่ีก�ำหนดเพียงคร้ังเดียว การท�ำลายล้างนี้จะประสบผลส�ำเร็จได้ก็โดย
อาศัยการใช้การจู่โจมทางยุทธวิธี การใช้ก�ำลังท่ีเหนือกว่า ณ จุดแตกหัก หรือ
ใชก้ ลยทุ ธอ์ น่ื ๆ อยา่ งทนั ทที นั ใดกอ่ นหรอื ระหวา่ งการรบ ความมงุ่ หมายของการใช้
ยทุ ธศาสตรน์ ้ี กเ็ พอื่ บบี บงั คบั ใหร้ ฐั บาลฝา่ ยตรงขา้ มยอมแพ้ (Sue for Peace) กอ่ นที่
ฝา่ ยเขา้ ตจี ะเขา้ ยดึ เมอื งหลวงหรอื พน้ื ทสี่ ำ� คญั อน่ื ๆ ยทุ ธศาสตรน์ ้ี ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งสงั หาร
132


Click to View FlipBook Version