The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-05-09 02:55:16

แนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ปี 2563 เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

แนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

Keywords: เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

(๔๘)

เลขคาํ
เรือ่ ง กฎหมาย มาตรา/ขอ พพิ ากษา หนา
/คําสัง่
๔.๖๐ ฟองขอใหชดใชคาเสียหาย กรณีเจาพนักงานที่ดิน พ.ร.บ. ความรบั ผดิ มาตรา ๕
ออกคําส่ังสอบสวนเปรียบเทียบการโตแยงสิทธิในที่ดิน ทางละเมิดของ วรรคหนง่ึ
ทขี่ อรังวัดออกโฉนดที่ดินโดยไมช อบดว ยกฎหมาย (ตอ ) เจาหนา ท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
๔.๖๑ ฟองขอใหชดใชคาเสียหายจากการเขารวมประมูล ประมวลกฎหมายแพง มาตรา ๔๒๐ อ.๗๕๕ ๔๑๕
รถจกั รยานยนต และพาณชิ ย
ระเบยี บการไฟฟา ฝา ย ขอ ๑๙๘
ผลติ แหงประเทศไทย
ฉบับท่ี ๒๖ วา ดวย
การพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๔๖
๔.๖๒ ฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งใหชดใชคาสินไหมทดแทน ประมวลกฎหมายแพง มาตรา ๔๒๐ อ.๗๕๖ ๔๑๕
และใหชดใชคาใชจายในการดําเนินคดี กรณีไมดําเนินการ และพาณิชย
เพื่อความปลอดภยั ของผูใ ชเสนทางเปน เหตใุ หเ กดิ อุบัตเิ หตุ ประมวลกฎหมายวธิ ี มาตรา ๕๗
พจิ ารณาความแพง วรรคหน่งึ (๓)
พ.ร.บ. ความรับผิด มาตรา ๘
ทางละเมิดของ และมาตรา ๑๒
เจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
พ.ร.บ. วธิ ปี ฏบิ ัตริ าชการ มาตรา ๑๓ (๑)
ทางปกครองพ.ศ.๒๕๓๙ และมาตรา ๑๖
ระเบียบสาํ นกั นายกรัฐมนตรี ขอ ๗๒
วาดว ยการพสั ดุ
พ.ศ. ๒๕๓๕
ระเบยี บสาํ นกั นายกรัฐมนตรี ขอ ๑๗
วาดวยหลกั เกณฑก าร และขอ ๑๘
ปฏบิ ัตเิ กีย่ วกับความ
รับผดิ ทางละเมิดของ
เจา หนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
๔.๖๓ ฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังใหชดใชคาสินไหมทดแทน ประมวลกฎหมายแพง มาตรา ๔๒๐ อ.๗๕๗ ๔๑๕
กรณีการยกเลิกประกวดราคาและการประกวดราคาใหม และพาณิชย และมาตรา ๔๔๘
โดยไมช อบดวยกฎหมาย พ.ร.บ. ความรบั ผดิ มาตรา ๘
ทางละเมิดของ มาตรา ๑๐
เจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และมาตรา ๑๒
พ.ร.บ. วธิ ีปฏิบตั ริ าชการ มาตรา ๕
ทางปกครองพ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๑๓ (๑)
มาตรา ๓๐

(๔๙)

เลขคาํ
เรื่อง กฎหมาย มาตรา/ขอ พพิ ากษา หนา
/คาํ สงั่
๔.๖๓ ฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังใหชดใชคาสินไหมทดแทน พ.ร.บ. วิธีปฏบิ ัติราชการ และมาตรา ๓๗
กรณีการยกเลิกประกวดราคาและการประกวดราคาใหม ทางปกครองพ.ศ.๒๕๓๙ วรรคหนงึ่
โดยไมชอบดวยกฎหมาย (ตอ ) (๑) และ (๒)
ระเบียบกระทรวงมหาดไทย ขอ ๔๓ (๑)
วาดว ยการพัสดขุ อง ขอ ๔๔
หนว ยการบริหาร ขอ ๔๕
ราชการสวนทอ งถ่ิน และขอ ๔๖
พ.ศ. ๒๕๓๕
ระเบยี บสํานักนายกรัฐมนตรี ขอ ๘
วาดวยหลกั เกณฑก าร และขอ ๑๕
ปฏิบัติเกยี่ วกับความ
รับผดิ ทางละเมิดของ
เจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
๔.๖๔ ฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งใหชดใชคาสินไหมทดแทน ประมวลกฎหมายแพง มาตรา ๔๒๐ อ.๗๕๘ ๔๑๙
จากการยกเลิกการประกวดราคา และพาณิชย และมาตรา ๔๔๘
วรรคหนง่ึ
พ.ร.บ. ความรับผิด มาตรา ๘
ทางละเมิดของ และมาตรา ๑๐
เจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙



ละเมดิ

เขตอํานาจศาล
กรณีเปนหนว ยงานทางปกครอง
คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ. ๔๖/๒๕๖๓

ผูฟองคดีท้ังเจ็ดฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ เปนผูมีสิทธิเชาชวงและครอบครองอาคาร
พาณิชย ๔ ช้ัน เลขที่ ๑๑๗/๕ และเลขที่ ๑๑๗/๖ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร ผูฟองคดีท่ี ๒ เปนนิติบุคคลประเภทบริษัทจํากัด สํานักงานแหงใหญตั้งอยูที่
อาคารพาณิชยดังกลาว มีวัตถุประสงคเพ่ือประกอบกิจการคาวัสดุกอสราง เครื่องจักรกล
เครื่องยนตตางๆ โดยมีผูฟองคดีท่ี ๑ เปนกรรมการผูมีอํานาจทําการแทน สวนผูฟองคดีที่ ๓ ถึงที่ ๗
เปนผูพักอาศัยรวมกับผูฟองคดีที่ ๑ ในอาคารพาณิชยดังกลาว อาคารพาณิชยท้ังสองหองอยูติดกับ
บริเวณท่ีมีการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงิน สวนตอขยายหัวลําโพง – บางแค และบางซ่ือ –
แยกทาพระ สัญญาที่ ๑ งานกอสรางโครงสรางใตดิน ชวงหัวลําโพง – แยกสนามไชย (สถานีวังบูรพา)
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (การรถไฟฟาขนสงมวลชลแหงประเทศไทย) ซึ่งวาจางใหผูถูกฟองคดีที่ ๓
(บริษัท อ.) เปนผูดําเนินการกอสราง ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ กอสรางอุโมงคใตดินและ
สถานีรถไฟฟาไมเปนไปตามแบบการกอสรางและวิธีการกอสรางท่ีไดตกลงไวกับผูถูกฟองคดีที่ ๑
โดยขดุ เจาะดินเพ่อื กอ สรา งโครงสรา งช้ันพื้นฐานรากไมถ กู ตองตามหลักวิศวกรรมศาสตร และไมได
ใชความระมัดระวังดังเชนผูมีวิชาชีพในการกอสรางจักตองมีตามวิสัยและพฤติการณ อันเปน
การกระทําดวยความประมาทเลินเลอ ทําใหดินมีการเคล่ือนตัวในระหวางขุดเจาะพื้นถนนบริเวณ
ท่ีกอสรางสถานีรถไฟฟาเกิดการทรุดตัวและทําใหฐานรากของอาคารพาณิชยทั้งสองหองเกิดการ
เคลื่อนที่ไปจากตําแหนงเดิมจนเอียงตัว กอใหเกิดความเสียหายเปนอยางมาก จึงเปนเหตุใหการ
ใชสอยอาคารไมเ กดิ ประโยชนตามวัตถุประสงคข องผูฟอ งคดีที่ ๑ และเกิดผลเสียตอการประกอบธุรกิจ
ของผูฟองคดีที่ ๒ อันเปนผลโดยตรงจากการกระทําของผูถูกฟองคดีทั้งเจ็ด (ผูวาการการรถไฟฟา
ขนสงมวลชนแหงประเทศไทย ที่ ๒ นาย ป. ที่ ๔ นาง น. ท่ี ๕ นาย ผ. ท่ี ๖ นาย ธ. ท่ี ๗)
ผูฟองคดีที่ ๑ จึงมีหนังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ แจงความเสียหายใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ทราบ
พรอมท้ังเรียกรองคาเสียหายท่ีเกิดจากการกอสรางสถานีรถไฟฟาใตดินดังกลาว ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๓
มาทาํ การซอมแซมความเสียหายใหเ พยี งบางสวน แตต วั อาคารยังคงเอียงอยู ทําใหผูฟองคดีทั้งเจ็ด
ไมสามารถใชประโยชนในการพักอาศัยและประกอบกิจการคาไดดังเดิมต้ังแตเดือนมีนาคม ๒๕๖๐
ผูฟองคดีท้ังเจ็ดจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหผูถูกฟองคดีทั้งเจ็ดรวมกัน
หรอื แทนกนั ใชคา เสียหายใหแ กผูฟอ งคดีท้งั เจ็ด

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนนิติบุคคลมีวัตถุประสงค
ดําเนินกิจการรถไฟฟาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามมาตรา ๗ (๑) แหง พ.ร.บ.
การรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนหนวยงาน

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓



ทางปกครองตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดวาจางให
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ดําเนินการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ โดยอยูภายใตการควบคุม
ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ คดีน้ีจึงเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครอง
หรือเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ที่อยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําส่ังของศาลปกครอง
เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ภายหลังจากท่ีผูฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐
แจงผลกระทบจากการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ทราบ พรอมท้ัง
เรียกรองใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีท้ังเจ็ดแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ยังคง
ดําเนินการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ (ในชวงบริเวณอาคารพาณิชยของผูฟองคดี)
ตอเน่ืองเรื่อยมา และไดกอสรางแลวเสร็จเม่ือวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ดังน้ัน เหตุแหงความ
เสียหายซ่ึงถือเปนการกระทําละเมิดที่ผูฟองคดีทั้งเจ็ดอางวาไดรับจากการกอสรางโครงการ
รถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ ยอมเกิดข้ึนติดตอกันตลอดมาจนถึงวันท่ีการกอสรางแลวเสร็จ คือ วันท่ี
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ผฟู องคดีทง้ั เจด็ จงึ ชอบทีจ่ ะนาํ คดมี าฟองตอศาลเพ่ือเรียกรองคาเสียหายได
ภายใน ๑ ป นับแตวันท่ี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ท้ังน้ี ตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. จัดต้ัง
ศาลปกครองฯ อยางไรก็ดี คดีนี้ขอเท็จจริงปรากฏตอมาวา ภายหลังจากท่ีการกอสรางโครงการ
รถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ (ในชวงบริเวณอาคารพาณิชยของผูฟองคดี) แลวเสร็จ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ และผูแทนอาคารพาณิชยข องผฟู อ งคดที ่ี ๑ ไดมีการประชุมหารือรวมกันเกี่ยวกับ
ความเสียหายท่ีเกิดขึ้นกับอาคารพาณิชยเม่ือวันที่ ๑๙ มกราคม ๒๕๖๑ และไดขอสรุปวาให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เขาตรวจสอบความเสียหายของอาคารพาณิชย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๓
จึงไดรวมกันตรวจสอบสภาพของอาคารพาณิชยเม่ือวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ หลังจากนั้น
ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๓ ไดม ีหนงั สือลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑ แจงใหผูฟองคดีท่ี ๑ ทราบวาผูถูกฟองคดีที่ ๓
ตกลงที่จะเขาดําเนินการซอมแซมอาคารพาณิชยของผูฟองคดีที่ ๑ โดยจะเร่ิมดําเนินการซอมแซม
ภายนอกอาคารกอน สวนการซอมแซมภายในอาคาร ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จะเขาดําเนินการหลังจาก
ตกลงแผนงานกับผูฟองคดีท่ี ๑ แลว จึงเปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๓ ไดกระทําการใดๆ
อันปราศจากขอสงสัยแสดงใหเปนปริยายวายอมรับสภาพหน้ีตามสิทธิเรียกรองในมูลหนี้ละเมิด
ท่ีทําใหผูฟองคดีทั้งเจ็ดไดรับความเสียหายตามฟองแลวตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) แหงประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย ซ่ึงมีผลทําใหอายุความสะดุดหยุดลงนับแตวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑
ระยะเวลาที่ลวงไปกอนน้ันไมนับเขาในอายุความและเริ่มนับอายุความใหมตั้งแตวันท่ีเหตุท่ีทําให
อายคุ วามสะดุดหยดุ ลงสิ้นสุดลงตามนัยมาตรา ๑๙๓/๑๕ แหงประมวลกฎหมายดังกลาว และเม่ือ
ขอเท็จจริงรับฟงไดวาภายหลังจากท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑
แจงใหผูฟองคดีที่ ๑ ทราบวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตกลงที่จะเขาดําเนินการซอมแซมอาคารพาณิชย
ของผูฟองคดีที่ ๑ แลว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๓ กลับเขาดําเนินการซอมแซมอาคารพาณิชยของ
ผูฟองคดีท่ี ๑ เพียงบางสวน โดยไมไดซอมแซมตามขอเรียกรองของผูฟองคดีที่ ๑ ท้ังหมด
และผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือการรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย ลงวันท่ี

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓



๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ถึงผูถูกฟองคดีที่ ๔ แจงวา ตามที่มีผูรองเรียนวาไดรับผลกระทบจาก
การกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ ซ่ึงรวมถึงอาคารพาณิชยของผูฟองคดีท่ี ๑ ดวยนั้น
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ พบวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ยังคงไมสามารถดําเนินการแกไขปญหา รวมถึงเจรจาและ
เยียวยาผูไดรับผลกระทบจนไดขอยุติ จึงขอใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ เรงรัดดําเนินการแกไขปญหา
รวมทั้งเจรจาและเยียวยาผูไดร ับผลกระทบเพ่อื ใหไ ดข อยุตโิ ดยเรงดว น แตห ลงั จากนั้น ผูถูกฟองคดี
ท่ี ๓ ก็ยังไมสามารถดําเนินการแกไขปญหาตามขอเรียกรองของผูฟองคดีท่ี ๑ ได จากขอเท็จจริง
ดังกลาวแสดงใหเห็นวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๓ ไมสามารถแกไขปญหาความเสียหายที่เกิดข้ึนกับ
อาคารพาณิชยของผูฟองคดีที่ ๑ จึงถือวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๓ ไดปฏิเสธความรับผิดตอผูฟองคดี
ท้ังเจ็ดแลว ผฟู องคดีท้ังเจ็ดจึงสามารถนําคดีมาฟองตอศาลได ดังนั้น การที่ผูฟองคดีทั้งเจ็ดนําคดี
นี้มาฟองตอศาลเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ จึงเปนการใชสิทธิเรียกรองคาสินไหมทดแทนจาก
ผูถูกฟองคดีทั้งเจ็ดภายในกําหนดอายุความหน่ึงปนับแตวันที่รูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี
ท้ังนี้ ตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟอง
ไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ คืนคาธรรมเนียมศาลท้ังหมดใหแกผูฟองคดี
ทงั้ เจ็ด นนั้ ศาลปกครองสูงสดุ ไมเห็นพองดวย

จึงมคี าํ สั่งกลับ เปน ใหร ับคําฟอ งไวพิจารณา
คาํ สัง่ ศาลปกครองสงู สดุ ที่ คผ. ๔๗/๒๕๖๓

ผูฟองคดีท้ังสี่ฟองวา ผูฟองคดีท่ี ๑ เปนผูมีสิทธิเชาชวงและครอบครองอาคาร
พาณิชย ๔ ช้ัน เลขท่ี ๑๑๗ เลขที่ ๑๑๗/๑ เลขท่ี ๑๑๗/๒ เลขที่ ๔๗๔ เลขท่ี ๔๗๖ เลขที่ ๔๗๘
และเลขท่ี ๔๘๐ ซึง่ เปนอาคารภายในโครงการสามยอดพลาซา ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย
เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร ผูฟองคดีท่ี ๒ เปนนิติบุคคลประเภทหางหุนสวนจํากัด มีสํานักงาน
สาขาตั้งอยูเลขท่ี ๑๑๗ เลขที่ ๑๑๗/๑ และเลขท่ี ๑๑๗/๒ ดังกลาว มีวัตถุประสงคเพื่อประกอบ
กิจการคาวัสดุกอสราง เครื่องจักรกล เคร่ืองยนตตางๆ โดยมีผูฟองคดีที่ ๑ เปนหุนสวนผูจัดการ
ผูมีอํานาจกระทําการแทนผูฟองคดีที่ ๒ สวนผูฟองคดีที่ ๓ เปนนองสาวของผูฟองคดีท่ี ๑
และเปนหุนสวนของผูฟองคดีที่ ๒ และผูฟองคดีท่ี ๔ เปนมารดาของผูฟองคดีที่ ๑ และที่ ๓
ซึ่งอาคารพาณิชยท้ังเจ็ดหองอยูติดกับบริเวณที่มีการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงิน
สวนตอขยาย หัวลําโพง – บางแค และบางซื่อ – แยกทาพระ สัญญาที่ ๑ งานกอสราง
โครงสรางใตดิน ชวงหัวลําโพง – แยกสนามไชย (สถานีวังบูรพา) ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(การรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย) ซ่ึงวาจางผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (บริษัท อ.)
เปนผูดําเนินการกอสราง ตอมา ผูฟองคดีท่ี ๑ เห็นวา การกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงิน
(ในชวงบริเวณอาคารพาณิชยของผูฟองคดีท้ังส่ี) ทําใหเกิดการทรุดตัวของพ้ืนถนนท่ีกอสราง
ซึ่งสงผลทําใหฐานรากของอาคารพาณิชยเกิดความเสียหาย ไมปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสิน
แกผูอยูอาศัย และสงผลกระทบตอการประกอบธุรกิจของผูฟองคดีที่ ๒ ผูฟองคดีท่ี ๑
จึงไดมหี นังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ แจงเร่ืองผลกระทบจากการกอสรางโครงการรถไฟฟา

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓



สายสีน้ําเงินฯ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ผูวาการการรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย) ทราบ
พรอมท้ังเรียกรองใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีท้ังส่ี แตไมมีการชดใช
คาเสียหายตามท่ีเรียกรอง ผูฟองคดีทั้งส่ีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให
ผูถูกฟองคดีท้ังเจ็ด (นาย ป. ที่ ๔ นาง น. ที่ ๕ นาง ผ. ที่ ๖ นาย ธ. ท่ี ๗) รวมกันหรือแทนกัน
ใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีท้ังส่ีรวมเปนเงินจํานวน ๑๑๘,๔๔๐,๐๐๐ บาท และเปนเงินเดือนละ
๑,๓๙๐,๐๐๐ บาท นบั ถัดจากวันฟอ งเปน ตน ไปจนกวา จะชําระเสรจ็

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนนิติบุคคลมีวัตถุประสงค
ดําเนินกิจการรถไฟฟาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามมาตรา ๗ (๑) แหง พ.ร.บ.
การรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนหนวยงาน
ทางปกครองตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดวาจาง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ใหเปนผูดําเนินการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ โดยยังอยูภายใต
การควบคุมของผูถูกฟองคดีที่ ๑ คดีนี้จึงเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดของหนวยงาน
ทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ที่อยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งของศาลปกครอง
ซ่ึงการฟองคดีดังกลาวตอศาลปกครองนั้น ผูฟองคดีท้ังส่ีตองย่ืนคําฟองภายในระยะเวลาท่ีกําหนดไว
ตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ภายหลังจากที่ผูฟองคดีที่ ๑
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ แจงผลกระทบจากการกอสรางโครงการรถไฟฟา
สายสีน้ําเงินฯ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ พรอมท้ังเรียกรองใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ชดใชคาเสียหาย
แลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ยังคงดําเนินการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ (ในชวงบริเวณ
อาคารพาณิชยของผูฟองคดีทั้งสี่) ตอเนื่องเร่ือยมา และไดกอสรางแลวเสร็จเมื่อวันท่ี
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ดังนั้น เหตุแหงความเสียหายซ่ึงถือเปนการกระทําละเมิดยอมเกิดข้ึน
ติดตอกันตลอดมาจนถึงวันท่ีการกอสรางแลวเสร็จ คือ วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ผูฟองคดีท้ังส่ีจึงชอบท่ีจะนําคดีมาฟองตอศาลเพื่อเรียกรองคาเสียหายไดภายใน ๑ ป นับแตวันที่
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ท้ังนี้ ตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ อยางไรก็ดี
คดีนี้ขอเท็จจริงปรากฏตอมาวา ภายหลังจากที่การกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ
(ในชวงบริเวณอาคารพาณิชยของผูฟองคดีท้ังสี่) แลวเสร็จ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ี ๓ และผูฟองคดีท่ี ๑
ไดมีการประชุมหารือรวมกันเก่ียวกับความเสียหายท่ีเกิดข้ึนกับอาคารพาณิชยเม่ือวันที่
๑๙ มกราคม ๒๕๖๑ และผถู ูกฟอ งคดีที่ ๑ และที่ ๓ ไดร วมกนั ตรวจสอบสภาพของอาคารพาณิชย
เม่ือวันท่ี ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ หลังจากนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๘ มิถุนายน ๒๕๖๑
แจงใหผูฟองคดีที่ ๑ ทราบวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะเปนผูชดเชยคาใชจายที่เกิดข้ึนจริง
ตามความเหมาะสม สวนของความเสียหายทางจิตใจและการขาดประโยชนจากการใชอาคาร
เพ่ือการคาและอยูอาศัย นั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เห็นวา ผูฟองคดีท่ี ๑ เรียกรองคาชดเชยเปน
จํานวนเงินท่ีสูงมาก ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จําเปนตองพิจารณาถึงความเสียหายดังกลาวโดยละเอียด
โดยจะขอหารือกับผูฟองคดีที่ ๑ เพิ่มเติม จึงเปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๓ ไดกระทําการใดๆ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓



อันปราศจากขอสงสัยแสดงใหเห็นเปนปริยายวายอมรับสภาพหนี้ตามสิทธิเรียกรองในมูลหน้ีละเมิด
ที่ทําใหผูฟองคดีทั้งสี่ไดรับความเสียหายตามฟองแลว ตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑) แหงประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย ซ่ึงมีผลทําใหอายุความสะดุดหยุดลงนับแตวันท่ี ๘ มิถุนายน ๒๕๖๑
ระยะเวลาท่ีลวงไปกอนน้ันไมนับเขาในอายุความ และเริ่มนับอายุความใหมตั้งแตวันที่เหตุท่ี
ทําใหอายุความสะดุดหยุดลงสิ้นสุดลงตามนัยมาตรา ๑๙๓/๑๕ แหงประมวลกฎหมายดังกลาว
และแมภายหลังจากที่ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๖๑ ดังกลาวแลว
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดดําเนินการเพ่ือใหการซอมแซมอาคารพาณิชยเปนไปตามขอตกลง
ท่ีไดเสนอตอผูฟองคดีที่ ๑ โดยมีหนังสือลงวันท่ี ๑๖ มิถุนายน ๒๕๖๑ เสนอรายช่ือ
สถาบันการศึกษาดานวิศวกรรมที่ผูฟองคดีท่ี ๑ ยอมรับ เพื่อดําเนินการวิเคราะหเสถียรภาพ
ของโครงสรางอาคารเพิ่มเติม และมีหนังสือลงวันที่ ๑๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เพื่อนําสงสําเนา
กรมกรรมประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสินตอบุคคลท่ี ๓ และมีหนังสือลงวันท่ี
๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เสนอแนวทางการแกไขปญหาความเสียหายของอาคารพาณิชย
เลขท่ี ๑๑๗ เลขท่ี ๑๑๗/๑ และเลขที่ ๑๑๗/๒ เพ่ิมเติม แลวก็ตาม แตจนถึงวันท่ีผูฟองคดีทั้งสี่
นําคดีมาฟองตอศาลปกครองช้ันตน ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ก็ยังมิไดดําเนินการซอมแซมอาคารพาณิชย
ใหแลวเสร็จตามขอเรียกรองของผูฟองคดีที่ ๑ ท้ังหมด จากขอเท็จจริงดังกลาวแสดงใหเห็นวา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๓ ยังไมสามารถแกไขปญหาความเสียหายที่เกิดข้ึนกับอาคารพาณิชย
ของผูฟองคดีที่ ๑ จึงถือวาผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๓ ไดปฏิเสธความรับผิดตอผูฟองคดีท้ังส่ีแลว
ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดีทั้งส่ีนําคดีน้ีมาฟองตอศาลเมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ จึงเปนการใชสิทธิ
เรียกรองคาสินไหมทดแทนจากผูถูกฟองคดีท้ังเจ็ดภายในกําหนดอายุความหน่ึงปนับแตวันท่ีรู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี ทั้งน้ี ตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ แลว
ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองนี้ไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ
คนื คาธรรมเนยี มศาลท้ังหมดใหแกผูฟ อ งคดที ง้ั ส่ี นนั้ ศาลปกครองสงู สุดไมเ ห็นพองดว ย

จึงมคี าํ สงั่ กลบั เปน ใหร บั คําฟอ งไวพิจารณา
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สุดที่ คผ. ๔๘/๒๕๖๓

ผูฟ อ งคดที งั้ หาฟองวา ผูฟอ งคดที ี่ ๑ เปนผูมีสิทธิเชาชวงและครอบครองอาคารพาณิชย
๔ ชั้น จํานวน ๒ หอง ผูฟองคดีท่ี ๒ เปนนิติบุคคลประเภทหางหุนสวนจํากัด สํานักงานแหงใหญ
ต้ังอยูท่ีอาคารพาณิชยด งั กลาว โดยมีผูฟองคดีท่ี ๑ เปนหุนสวนผูจัดการผูมีอํานาจกระทําการแทน
สวนผูฟ อ งคดีท่ี ๓ ถึงที่ ๕ เปนผพู กั อาศัยรวมกับผูฟองคดีท่ี ๑ ในอาคารพาณิชยดังกลาว อาคารพาณิชย
ท้ังสองหองอยูติดกับบริเวณที่มีการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(การรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย) ซ่ึงวาจางผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (บริษัท อ.) เปนผูดําเนินการ
กอสราง ปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ กอสรางอุโมงคใตดินและสถานีรถไฟฟาไมเปนไปตามแบบ
การกอ สรางและวธิ ีการกอสรา งท่ีไดตกลงกับผูถกู ฟองคดที ี่ ๑ ทาํ ใหเกิดการทรุดตัวของพื้นถนนบริเวณ
ท่ีกอ สรางสถานีรถไฟฟา และทําใหฐานรากของอาคารพาณิชยทั้งสองหองเกิดการเคล่ือนท่ีไปจาก

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓



ตําแหนงเดิมจนเอียงตัวกอใหเกิดความเสียหายอยางมาก ผูฟองคดีที่ ๑ จึงมีหนังสือลงวันท่ี
๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ แจงความเสียหายใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ผูวาการการรถไฟฟาขนสงมวลชน
แหง ประเทศไทย) ทราบพรอ มทั้งเรยี กรองคาเสยี หายทเี่ กิดจากการกอ สรา งสถานีรถไฟฟา ใตดนิ ดงั กลา ว
ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดทําการซอมแซมความเสียหายใหเพียงบางสวน แตตัวอาคารยังคงเอียงอยู
ทําใหผฟู อ งคดีทงั้ หา ไมสามารถใชประโยชนในการพักอาศัยและประกอบกิจการคาไดดังเดิมตั้งแต
เดอื นมนี าคม ๒๕๖๐ ผูฟองคดีท้ังหาจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ถงึ ท่ี ๗ (นาย ป. ท่ี ๔ นาง น. ท่ี ๕ นาย ผ. ท่ี ๖ นาย ธ. ที่ ๗) รวมกันหรือแทนกันใชคาเสียหายใหแก
ผูฟองคดีทั้งหารวมเปนเงินจํานวน ๕๖,๔๖๐,๐๐๐ บาท และใหผูถูกฟองคดีทั้งเจ็ดรวมกัน
หรอื แทนกนั ใชค า เสยี หายใหแกผฟู องคดีท้ังหารวมเปนเงนิ เดอื นละ ๙๔๐,๐๐๐ บาท นบั ถัดจากวันฟอง
เปนตนไปจนกวาจะชาํ ระเสร็จ เหน็ วา เมือ่ ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ เปน นติ บิ คุ คลมีวตั ถุประสงคดําเนนิ กจิ การ
รถไฟฟาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามมาตรา ๗ (๑) แหง พ.ร.บ. การรถไฟฟาขนสงมวลชน
แหงประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนหนวยงานทางปกครองตามมาตรา ๓
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดวาจางผูถูกฟองคดีที่ ๓ ใหเปนผูดําเนินการ
กอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ โดยยังอยูภายใตการควบคุมของผูถูกฟองคดีที่ ๑ คดีน้ี
จงึ เปน คดพี พิ าทเกย่ี วกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐอันเกิดจาก
การใชอ าํ นาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เมื่อขอเท็จจริง
ปรากฏวา ภายหลังจากท่ีผูฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๐ แจงผลกระทบ
จากการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ พรอมท้ังเรียกรองให
ผูถ ูกฟอ งคดีที่ ๒ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีทั้งหาแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ยังคงดําเนินการกอสราง
โครงการรถไฟฟาสายสีนํา้ เงนิ ฯ (ในชวงบรเิ วณอาคารพาณิชยของผูฟองคดีท้ังหา) ตอเนื่องเรื่อยมา
และไดกอสรางแลวเสร็จเมื่อวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ดังน้ัน เหตุแหงความเสียหายซ่ึงถือเปน
การกระทําละเมิดที่ผูฟองคดีทั้งหาอางวาไดรับจากการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ
ยอมเกิดขึ้นติดตอกันตลอดมาจนถึงวันที่การกอสรางแลวเสร็จ คือ วันท่ี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ผูฟองคดที ้งั หาจงึ ชอบท่จี ะนาํ คดมี าฟองตอศาลเพื่อเรียกรองคาเสียหายไดภายใน ๑ ป นับแตวันที่
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ทง้ั นี้ ตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัตเิ ดยี วกัน อยา งไรก็ดี คดนี ้ีขอเท็จจริง
ปรากฏตอมาวา ภายหลังจากทกี่ ารกอ สรา งโครงการรถไฟฟา สายสีน้าํ เงนิ ฯ (ในชวงบริเวณอาคารพาณิชย
ของผูฟองคดีทั้งหา) แลวเสร็จ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ ๓ และผูแทนอาคารพาณิชยของผูฟองคดีที่ ๑
ไดม ีการประชมุ หารือรว มกนั เกย่ี วกบั ความเสียหายที่เกิดข้ึนกับอาคารพาณิชยเมื่อวันท่ี ๑๙ มกราคม ๒๕๖๑
และไดขอสรปุ วา ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เขาตรวจสอบความเสียหายของอาคารพาณิชย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
และท่ี ๓ จึงไดรวมกันตรวจสอบสภาพของอาคารพาณิชยเม่ือวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๑ หลังจากน้ัน
ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๓ ไดม ีหนงั สือลงวนั ท่ี ๙ มนี าคม ๒๕๖๑ แจงใหผ ูฟอ งคดที ี่ ๑ ทราบวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ตกลงที่จะเขาดําเนินการซอมแซมอาคารพาณิชยของผูฟองคดีที่ ๑ จึงเปนกรณีที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑
และท่ี ๓ ไดก ระทําการใดๆ อันปราศจากขอสงสัยแสดงใหเห็นเปนปริยายวายอมรับสภาพหน้ีตามสิทธิ
เรียกรอ งในมูลหน้ีละเมดิ ท่ที ําใหผ ูฟอ งคดที ง้ั หา ไดรับความเสียหายตามฟองแลวตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ (๑)

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓



แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ซ่ึงมีผลทําใหอายุความสะดุดหยุดลงนับแตวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑
ระยะเวลาท่ีลวงไปกอนน้ันไมนับเขาในอายุความ และเริ่มนับอายุความใหมตั้งแตวันท่ีเหตุที่ทําให
อายคุ วามสะดุดหยดุ ลงสน้ิ สดุ ลงตามนัยมาตรา ๑๙๓/๑๕ แหง ประมวลกฎหมายดงั กลาว และเม่ือ
ขอเท็จจริงรับฟงไดวาภายหลังจากที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๖๑
แจงใหผูฟองคดีท่ี ๑ ทราบวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตกลงท่ีจะเขาดําเนินการซอมแซมอาคารพาณิชย
ของผฟู องคดที ี่ ๑ แลว แตผ ูถ ูกฟองคดที ่ี ๓ กลับเขาดําเนินการซอมแซมอาคารพาณิชยของผูฟองคดีที่ ๑
เพียงบางสวน โดยไมไดซอมแซมตามขอเรียกรองของผูฟองคดีท่ี ๑ ท้ังหมด และผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดมหี นงั สอื ลงวนั ที่ ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ถึงผูถูกฟองคดีท่ี ๔ แจงวา ตามที่มีผูรองเรียนวาไดรับ
ผลกระทบจากการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ ซ่ึงรวมถึงอาคารพาณิชยของผูฟองคดีท่ี ๑
ดวยน้นั ผถู กู ฟองคดีที่ ๑ พบวาผูถูกฟองคดที ่ี ๓ ยังคงไมสามารถดําเนินการแกไขปญหา รวมถึงเจรจา
และเยียวยาผูไดรับผลกระทบจนไดขอยุติ จึงขอใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ เรงรัดดําเนินการแกไขปญหา
รวมท้ังเจรจาและเยยี วยาผไู ดร ับผลกระทบเพอื่ ใหไดขอยุตโิ ดยเรง ดว น แตห ลงั จากน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๓
ก็ยังไมสามารถดําเนินการแกไขปญหาตามขอเรียกรองของผูฟองคดีที่ ๑ ได จากขอเท็จจริงดังกลาว
แสดงใหเหน็ วา ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๑ และที่ ๓ ไมสามารถแกไขปญหาความเสียหายท่ีเกิดขึ้นกับอาคารพาณิชย
ของผูฟองคดีที่ ๑ จึงถือวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๓ ไดปฏิเสธความรับผิดตอผูฟองคดีทั้งหาแลว
ดงั น้นั การท่ผี ูฟ อ งคดที งั้ หา นาํ คดนี ม้ี าฟอ งตอ ศาลเมื่อวนั ท่ี ๒๐ ธันวาคม ๒๕๖๑ จึงเปนการใชสิทธิ
เรียกรองคาสินไหมทดแทนจากผูถูกฟองคดีท้ังเจ็ดภายในกําหนดอายุความหน่ึงปนับแตวันท่ีรูหรือควรรู
ถึงเหตุแหงการฟองคดี ท้ังนี้ ตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองช้ันตน
มคี ําสงั่ ไมรบั คําฟองนไี้ วพ ิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ คืนคาธรรมเนยี มศาลทง้ั หมด
ใหแกผ ฟู อ งคดที ั้งหา นั้น ศาลปกครองสูงสดุ ไมเ ห็นพอ งดวย

จงึ มคี าํ ส่งั กลับ เปนใหร บั คําฟอ งไวพจิ ารณา
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ. ๔๙/๒๕๖๓

ผูฟองคดีทั้งสิบเอ็ดฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ เปนนิติบุคคลประเภทบริษัทจํากัด
มีวัตถุประสงคเพ่ือประกอบกิจการจําหนายทองรูปพรรณทุกชนิด โดยมีผูฟองคดีท่ี ๒ และที่ ๓
เปนกรรมการผูมีอํานาจทําการแทน โดยผูฟองคดีท่ี ๑ เปนผูเชาและครอบครองตึกแถว ๒ ช้ัน
เลขท่ี ๑๔๔ เลขที่ ๑๔๖ และเลขท่ี ๑๔๘ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร
เพอ่ื ใชป ระกอบกิจการดังกลาว ผูฟองคดีท่ี ๔ เปนนิติบุคคลประเภทหางหุนสวนจํากัด มีวัตถุประสงค
เพ่ือประกอบกิจการจําหนายอัญมณีและเครื่องประดับรูปพรรณทุกชนิด และเปนผูเชาและครอบครอง
ตึกแถว ๒ ช้ัน เลขที่ ๑๓๘ เลขท่ี ๑๔๐ และเลขที่ ๑๔๒ ถนนเจริญกรุง แขวงวังบูรพาภิรมย เขตพระนคร
กรุงเทพมหานคร เพื่อใชประกอบกิจการดังกลาว และผูฟองคดีท่ี ๑ ที่ ๓ และท่ี ๕ ถึงท่ี ๘
เปนเจาของที่ดินท่ีตั้งอาคารพักอาศัยคอนกรีตเสริมเหล็ก ๔ ช้ัน เลขที่ ๕๖๘ และเลขที่ ๕๗๐
ถนนมหาไชย แขวงวังบูรพาภิรมย เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร และผูฟองคดีที่ ๒ และท่ี ๖
เปนเจาของกรรมสิทธิ์รวมและผูครอบครองอาคารดังกลาว และผูฟองคดีท่ี ๒ และที่ ๑๑

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓



เปนผูพักอาศัยรวมในอาคารเลขที่ ๕๖๘ และผูฟองคดีที่ ๙ และที่ ๑๐ เปนผูพักอาศัยรวมในอาคาร
เลขท่ี ๕๗๐ ซ่งึ ตกึ แถวทั้งหกหองและอาคารพักอาศัยทั้งสองหองอยูใกลกับบริเวณท่ีมีการกอสราง
โครงการรถไฟฟา สายสนี ํา้ เงนิ สว นตอ ขยายหัวลําโพง – บางแค และบางซื่อ – แยกทาพระ สัญญาที่ ๑
งานกอสรางโครงสรางใตดิน ชวงหัวลําโพง – แยกสนามไชย (สถานีวังบูรพา) ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(การรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย) ซ่ึงวาจางใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (บริษัท อ.)
เปนผูดําเนินการกอสราง ตอมา ผูฟองคดีท่ี ๒ และท่ี ๕ เห็นวา การกอสรางโครงการรถไฟฟา
สายสีน้ําเงินฯ (ในชวงบริเวณตึกแถวและอาคารพาณิชยของผูฟองคดี) ทําใหพ้ืนถนนท่ีกอสราง
เกิดการทรุดตัว ซ่ึงสงผลทําใหฐานรากของตึกแถวและอาคารพาณิชยเกิดความเสียหาย
ไมปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสินแกผูอยูอาศัย และสงผลกระทบตอการประกอบธุรกิจของ
ผูฟอ งคดที ่ี ๑ และของผูฟองคดที ี่ ๔ ผฟู องคดีท่ี ๒ และท่ี ๕ จงึ ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๕ สิงหาคม ๒๕๕๗
วันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ และวันท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙ แจงผลกระทบจากการกอสราง
โครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ทราบ พรอมท้ังเรียกรองใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ซอมแซมความเสียหายท่ีเกิดจากการกอสรางดังกลาว แตผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมไดซอมแซม
ความเสียหายตามขอรองเรียน ผูฟองคดีทั้งสิบเอ็ดเห็นวาการกอสรางโครงการรถไฟฟาดังกลาว
ทําใหไดรับความเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังเจ็ด
(ผูวาการการรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย ท่ี ๒ นาย บ. ที่ ๔ นาง น. ท่ี ๕ นาย ผ. ท่ี ๖
นาย ธ. ท่ี ๗) รวมกนั หรอื แทนกันใชคา เสียหายใหแ กผ ูฟ องคดีท่ี ๒ ถงึ ที่ ๖ และที่ ๙ ถงึ ท่ี ๑๑

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนนิติบุคคลมีวัตถุประสงค
ดําเนินกิจการรถไฟฟาในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามมาตรา ๗ (๑) แหง พ.ร.บ.
การรถไฟฟาขนสงมวลชนแหงประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๔๓ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนหนวยงาน
ทางปกครองตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดวาจาง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เปนผูดําเนินการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ โดยยังอยูภายใต
การควบคุมของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ คดีน้ีจึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงาน
ทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ภายหลังจากท่ีผูฟองคดีท่ี ๒ และท่ี ๕
ไดม ีหนังสือลงวันท่ี ๕ สงิ หาคม ๒๕๕๗ วันท่ี ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ และวันท่ี ๙ ธันวาคม ๒๕๕๙
แจงผลกระทบจากการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ทราบ
แตผถู ูกฟอ งคดีที่ ๓ ยงั คงดาํ เนนิ การกอ สรางโครงการรถไฟฟา สายสีน้ําเงินฯ (ในชว งบริเวณตึกแถว
และอาคารพาณิชยของผูฟองคดี) ตอเน่ืองเรื่อยมาและไดกอสรางแลวเสร็จเม่ือวันท่ี
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ดังนั้น เหตุแหงความเสียหายซึ่งถือเปนการกระทําละเมิดท่ีผูฟองคดีทั้งสิบเอ็ด
อางวาไดรับจากการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีน้ําเงินฯ ยอมเกิดข้ึนติดตอกันตลอดมา
จนถึงวันท่ีการกอสรางแลวเสร็จ คือ วันท่ี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ผูฟองคดีท้ังสิบเอ็ดจึงสามารถ
ใชสิทธินําคดีมาฟองตอศาลปกครองเพื่อเรียกรองคาเสียหายจากการกระทําละเมิดดังกลาวได
อยางชาท่ีสุดภายใน ๑ ป นับแตวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ คือ ภายในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๑

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓


ทั้งนี้ ตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน อยางไรก็ดี ขอเท็จจริงปรากฏตอมาวา
กอนท่ีผูฟองคดีทั้งสิบเอ็ดจะนําคดีนี้มาฟองตอศาลปกครองเพ่ือเรียกรองคาเสียหายน้ัน ผูฟองคดีที่ ๑
ถึงที่ ๖ ไดเปนโจทกย่ืนฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๓ เปนจําเลยตอศาลแพงเม่ือวันท่ี
๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยที่คําฟองอางมูลเหตุแหงการกระทําละเมิดเชนเดียวกับคดีน้ีและยังมี
คําขอใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๓ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีที่ ๑ ถึงที่ ๖ รวมท้ัง
บรรดาเจาของกรรมสิทธิ์รวม ตลอดท้ังบริวารผูพักอาศัยดวย แตในระหวางการพิจารณาคดี
ของศาลแพง ผูฟองคดีท่ี ๑ ถึงท่ี ๖ เห็นวาคดีอยูในอํานาจของศาลปกครอง จึงย่ืนคํารองขอถอน
ฟองตอศาลแพงเพื่อนําคดีมาฟองตอศาลปกครอง และศาลแพงไดมีคําส่ังอนุญาตใหถอนฟอง
เม่ือวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดีท่ี ๑ ถึงที่ ๖ ย่ืนฟองคดีตอศาลแพง
ในขณะท่ียังไมพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตอศาลปกครอง และตอมา ไดถอนฟองคดี
ตอศาลแพงเพื่อนําคดีมาฟองตอศาลปกครองยอมทําใหกําหนดระยะเวลาการฟองคดีน้ีสะดุดหยุดอยู
เทาระยะเวลาตั้งแตวันที่ผูฟองคดีที่ ๑ ถึงท่ี ๖ ย่ืนคําฟองตอศาลแพงคือต้ังแตวันที่ ๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐
จนถึงวันที่คดีของศาลแพงน้ันถึงที่สุดคือถึงวันท่ีศาลแพงมีคําส่ังอนุญาตใหถอนฟองวันท่ี
๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ตามขอ ๓๑ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ การนับระยะเวลาการฟองคดีของผูฟองคดีทั้งสิบเอ็ดจึงตองเริ่มนับตอต้ังแตวันท่ี
๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ เม่ือผูฟองคดีท้ังสิบเอ็ดนําคดีน้ีมาฟองตอศาลปกครองในวันท่ี ๑๗ มกราคม ๒๕๖๒
จึงเปนการยื่นคําฟองภายในระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ประกอบกบั ขอ ๓๑ แหง ระเบียบของทีป่ ระชุมใหญฯ วาดว ยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ แลว

สําหรับคําฟองในสวนของผูฟองคดีที่ ๑ ที่ ๗ และที่ ๘ นั้น ไดรับความเสียหาย
จากการกอสรางโครงการรถไฟฟาสายสีนํ้าเงินฯ แตไมไดมีคําขอบังคับใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งอยางไร จึงเปนคําฟองที่ไมสมบูรณตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาล
ปกครองฯ แตขอท่ีไมสมบูรณครบถวนเชนวาน้ีเปนกรณีที่อาจแกไขใหถูกตองได ศาลปกครองชั้นตน
จึงชอบท่ีจะอาศัยอํานาจในขอ ๓๗ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ มีคําส่ังใหผูฟองคดีที่ ๑ ที่ ๗ และท่ี ๘ แกไขคําฟองใหถูกตองโดยให
ระบุวาประสงคจะขอใหศาลปกครองมีคําพิพากษาหรือมีคําส่ังอยางไรเสียกอน และศาลปกครองชั้นตน
จะรับคําฟองในสวนของผูฟองคดีที่ ๑ ที่ ๗ และท่ี ๘ ไวพิจารณาไดก็ตอเม่ือไดมีการแกไขคําฟอง
ใหถูกตองเปนไปตามเง่ือนไขการฟองคดีตามบทบัญญัติดังกลาว แลว การที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคําส่ังไมร ับคําฟอ งนี้ไวพ จิ ารณาและใหจ าํ หนายคดอี อกจากสารบบความ คืนคา ธรรมเนยี มศาลทัง้ หมด
ใหแกผ ฟู องคดที ี่ ๒ ถึงท่ี ๖ และที่ ๙ ถงึ ที่ ๑๑ นั้น ศาลปกครองสูงสุดไมเ หน็ พองดว ย

จึงมคี ําสงั่ กลับเปนใหรบั คําฟองในสวนของผฟู องคดีที่ ๒ ถึงท่ี ๖ และท่ี ๙ ถึงท่ี ๑๑
ไวพิจารณา สวนคําฟองในสวนของผูฟองคดีท่ี ๑ ท่ี ๗ และท่ี ๘ นั้น ใหศาลปกครองช้ันตน
ดําเนินการใหมีการแกไขคําฟองใหสมบูรณครบถวน และมีคําส่ังในสวนคําฟองของผูฟองคดีท่ี ๑
ที่ ๗ และที่ ๘ ตอ ไป

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐

คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ. ๖๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดี (การทาเรือแหงประเทศไทย) ฟองวา ผูถูกฟองคดีไมปฏิบัติตนใหอยู

ในระเบียบวินัยและไดอาศัยโอกาสในการปฏิบัติหนาที่ตามที่ไดรับมอบหมายจากผูอํานวยการ
ทาเรือแหลมฉบัง แสวงหาประโยชนอันมิควรไดโดยชอบดวยกฎหมาย โดยปฏิบัติหรือละเวน
การปฏิบัติอยางใด ในพฤติการณที่อาจทําใหผูอ่ืนเชื่อวาตนมีตําแหนงหรือหนาท่ีการบริหารงาน
และควบคุมการดําเนินการของทาเรือแหลมฉบัง รวมท้ังอนุมัติอนุญาตสั่งการในนามของผูอํานวยการ
ทาเรือแหลมฉบัง อนุญาตหรือปลอยปละละเลยใหบริษัท ป. เขาไปขุดทรายของการทาเรือแหลมฉบัง
ไปขาย ทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหายคิดเปนเงินจํานวน ๖๔,๗๗๘,๙๕๗.๓๒ บาท ผูฟองคดี
มีคําส่ังลงวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๓ ตามความเห็นของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมิดเรียกใหผูถูกฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงินจํานวน ๖๔,๗๗๘,๙๕๗.๓๒ บาท
ใหแกผูฟองคดีภายในเจ็ดวันนับแตไดรับหนังสือ แตผูถูกฟองคดีเพิกเฉย จึงนําคดีมาฟองตอศาล
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหผูถูกฟองคดีชําระเงินจํานวน ๑๐๗,๐๗๔,๒๑๘.๒๐ บาท
พรอมดอกเบีย้ ในอตั รารอ ยละ ๗.๕ ตอ ป ของตน เงนิ จาํ นวน ๖๔,๗๗๘,๙๕๗.๓๒ บาท นับถัดจากวันฟอง
จนกวา จะชําระเสรจ็ ส้ินใหแ กผ ฟู อ งคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา กรณีน้ีผูฟองคดีเปนรัฐวิสาหกิจตาม พ.ร.บ. การทาเรือ
แหงประเทศไทย พ.ศ. ๒๔๙๔ จึงเปนหนวยงานทางปกครองตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ผูฟองคดีไดอาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๐ ประกอบกับมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ออกคําส่ังเรียกใหผูถูกฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงินจํานวน
๖๔,๗๗๘,๙๕๗.๓๒ บาท ใหแกผูฟองคดี แตผูถูกฟองคดีเพิกเฉย จึงนําคดีมาฟองตอศาลขอให
ผูถูกฟองคดีชําระเงินพรอมดอกเบ้ีย นั้น กรณีเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดของเจาหนาท่ี
อันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
แตโดยที่มาตรา ๖ แหง พ.ร.บ. แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ พ.ศ. ๒๕๔๓ กําหนดบทนิยามคําวา “ลูกจาง”
หมายความวา ผูซ่ึงตกลงทํางานใหแกนายจางเพื่อรับคาจาง และคําวา “นายจาง” หมายความวา รัฐวิสาหกิจ
ซึ่งตกลงรับลูกจางเขา ทํางานโดยจายคา จางให เมอื่ ผูถูกฟองคดีเปนพนักงานในสังกัดของผูฟองคดี
ซ่ึงเปนรัฐวิสาหกิจ นิติสัมพันธระหวางผูฟองคดีกับผูถูกฟองคดีจึงอยูในฐานะลูกจางกับนายจาง
ตามพระราชบัญญัติดังกลาว ภายใตขอบังคับและระเบียบที่กําหนดความสัมพันธหรือสภาพการจาง
ระหวางกัน การขอใหผูถูกฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูฟองคดี จึงเปนขอพิพาท
เกี่ยวกับสิทธิหรือหนาที่ตามสัญญาจางแรงงานหรือขอตกลงเกี่ยวกับสภาพการจาง รวมท้ังเปนคดี
ที่เกิดแตมลู ละเมิดจากการปฏบิ ตั ิหนา ทข่ี องผูถกู ฟอ งคดี และโดยที่ไมมีพระราชกฤษฎกี าหรือบทบัญญัติ
แหงกฎหมายใดยกเวน ใหการจา งตามสัญญาจางแรงงานระหวางผถู กู ฟอ งคดีและผูฟองคดีไมอยูในบังคับ
แหงกฎหมายวาดวยการคุมครองแรงงานและกฎหมายวาดวยแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ คดีน้ี
จึงเปนคดีท่ีอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงานตามนัยมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง (๕)
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. ๒๕๒๒ ประกอบกับมาตรา ๙
วรรคสอง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ บัญญัติใหเปนคดีท่ีไมอยูในอํานาจศาลปกครอง

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑

ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองน้ีไวพิจารณา และใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ
กับใหค นื คา ธรรมเนยี มศาลทงั้ หมดแกผ ูฟองคดี นน้ั ศาลปกครองสูงสุดเห็นพอ งดว ย

จึงมีคําสั่งยืนตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้นั ตน
คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดที่ คผ. ๘๙/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เม่ือวันที่ ๒๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ ผูฟองคดีไดเขาใชบริการท่ีคลินิก
ทันตกรรมพิเศษ โรงพยาบาลทนั ตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (มหาวิทยาลัยมหิดล)
เพื่อทําฟนปลอม ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ทันตแพทยหญิง ภ.) ไดตรวจผูฟองคดีเบ้ืองตน โดยใหอาปาก
แตมิไดมีการเอกซเรยสภาพฟนของผูฟองคดี และวินิจฉัยวาตองถอนฟนของผูฟองคดี เมื่อผูฟองคดี
ไมเห็นดวย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงปฏิเสธการรักษาผูฟองคดี ตอมา เมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๐
ผฟู อ งคดีไดไปใชบรกิ ารทค่ี ณะทนั ตแพทยศาสตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ซ่ึงทันตแพทยผูใหการรักษา
ระบุวา ผูฟ อ งคดสี ามารถทาํ ฟนปลอมไดโดยไมมีความจําเปนตองถอนฟน หลังจากน้ัน ผูฟองคดีไดรองเรียน
ตอผถู กู ฟอ งคดีที่ ๑ ผานผอู ํานวยการโรงพยาบาลทันตกรรม คณะทนั ตแพทยศาสตร กรณีไมพอใจ
การใหบริการของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร
มีหนังสือลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๖๑ แจงผูฟองคดีวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดใหขอมูลตอการรักษา
ทางดานทันตกรรมประดิษฐในเบื้องตนและปฏิบัติตอผูปวยตามมาตรฐานของการดูแลผูปวย
และตามมาตรฐานการประกอบวิชาชีพทันตกรรมแลว ผูฟองคดีเห็นวา ผูถูกฟองคดีท้ังสองละเลย
ตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ เปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย เนื่องจาก
การปฏิเสธการรักษาพยาบาลผูฟองคดีเปนการเลือกปฏิบัติที่ไมเปนธรรม ละเมิดสิทธิข้ันพ้ืนฐาน
และศักด์ิศรีความเปนมนุษยของผูฟองคดี อันเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดี จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีทั้งสองชดใชคาสินไหมทดแทนจากการกระทําละเมิด
ใหแ กผ ฟู องคดี เปนเงนิ จาํ นวน ๒๐๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยตามกฎหมายนับถัดจากวันฟองเปนตนไป
จนกวา จะชาํ ระเสรจ็

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนนิติบุคคลท่ีโรงพยาบาล
ทันตกรรม คณะทันตแพทยศาสตร อยูในสังกัด มีฐานะเปนหนวยงานของรัฐตามมาตรา ๔
แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และเปนหนวยงานทางปกครอง
ตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ สวนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซ่ึงเปนทันตแพทย
ที่ปฏิบัติงานในโรงพยาบาลดังกลาว เปนเจาหนาที่ตามมาตรา ๔ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และเปนเจาหนาที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
ก็ตาม แตขอพิพาทในคดีน้ีเกิดจากการที่ผูฟองคดีไปพบผูถูกฟองคดีที่ ๒ เพื่อทําฟนปลอม
เม่ือผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตรวจอาการของผูฟองคดีแลววินิจฉัยวาการทําฟนปลอมในรายผูฟองคดี
จําเปนตองมีการถอนฟนเดิมออก แตผูฟองคดีไมประสงคใหมีการถอนฟนเดิมออก ผูถูกฟองคดีท่ี ๒
จึงไมไดดําเนินการรักษาพยาบาลผูฟองคดีตอโดยปลอยใหผูฟองคดีนั่งรอเปนเวลาหลายชั่วโมง
ภายหลงั ผฟู องคดีไดไ ปรับการรกั ษาท่อี ื่น และไดมกี ารวินจิ ฉยั ของทนั ตแพทยรายอ่ืนท่ีแตกตางจาก

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒

การวินจิ ฉัยของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งพฤติการณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท้ังการวินิจฉัยอาการและข้ันตอน
ในการพิจารณาทําฟนปลอมหรือการใชดุลพินิจของทันตแพทยวา กรณีของผูฟองคดีจําเปนตอง
ถอนฟนเดิมออกกอนการทําฟนปลอมหรือไม อยางไร ที่แตกตางจากความเห็นของทันตแพทยรายอ่ืน
ท่ีผูฟองคดีไปรับการตรวจรักษาภายหลัง น้ัน ลวนเปนข้ันตอนทั่วไปในการรักษาของทันตแพทย
ท่ีจําตองอาศัยความรูความชํานาญในวิชาชีพเฉพาะ อันเปนเพียงการปฏิบัติหนาที่ตามปกติท่ัวไป
ของทันตแพทยในการตรวจรกั ษาพยาบาลผปู วย มใิ ชเปน การกระทําท่ีเกิดจากการใชอํานาจทางปกครอง
หรือการใชอํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําส่ังทางปกครอง หรือคําส่ังอ่ืน หรือจากการละเลย
ตอ หนาท่ีทางปกครองตามทกี่ ฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ หรือปฏิบัติหนาที่ดังกลาวลาชาเกินสมควร
การที่ผูฟองคดีฟองเรียกใหผูถูกฟองคดีทั้งสองรวมกันรับผิดในทางละเมิดอันเนื่องมาจาก
การปฏิบัติหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดังกลาว จึงมิใชคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดของ
หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ
คาํ สั่งทางปกครองหรือคําสั่งอ่ืน หรือจากการละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ
หรือปฏบิ ัตหิ นา ทดี่ งั กลาวลาชาเกินสมควร ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ท่ีจะอยใู นอาํ นาจพิจารณาพพิ ากษาของศาลปกครอง ที่ศาลปกครองชั้นตน มคี ําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา
และใหจําหนา ยคดีออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพอ งดว ย

จึงมีคําสงั่ ยืนตามคําส่งั ของศาลปกครองช้นั ตน
คําส่งั ศาลปกครองสงู สุดที่ คร. ๑/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีไดข้ึนทะเบียนเปนผูคาตราสารหนี้กับผูถูกฟองคดี
(สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย) ตั้งแตป พ.ศ. ๒๕๕๓ และเสียคาใชจายในการข้ึนทะเบียนเปนเงิน
จํานวน ๑๐,๐๐๐ บาท ผูฟอ งคดไี ดเ ขารับการอบรมทบทวนความรูดานตราสารหน้ีท้ังหมด ๓ คร้ัง
ในป พ.ศ. ๒๕๕๗ ป พ.ศ. ๒๕๕๘ และป พ.ศ. ๒๕๕๙ ตอมา ในการอบรมทบทวนความรู
ในป พ.ศ. ๒๕๖๐ ผูถูกฟองคดีไดจัดใหมีการอบรมในวันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐ โดยผูฟองคดี
ไมไดรับแจงกําหนดการอบรมทางจดหมายอิเล็กทรอนิกสอยางในปท่ีผานๆ มา ตอมา ผูฟองคดี
ไดทราบกําหนดการอบรมดังกลาว จึงไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ แจงวาผูฟองคดี
ไมสามารถเขารวมอบรมในวันดังกลาวได ซึ่งในวันท่ี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๖๐ เจาหนาที่ของ
ผูถูกฟองคดีไดโทรศัพทแจงผูฟองคดีวา ผูฟองคดีตองเขาอบรมในวันท่ี ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐
มิฉะน้ันจะถูกคัดช่ือออกจากการเปนผูคาตราสารหน้ีข้ึนทะเบียนของผูถูกฟองคดี และยังแจงดวย
วา ไดแจงกําหนดการอบรมใหผ ูฟองคดีทราบทางจดหมายอิเล็กทรอนิกสแ ลว ผฟู องคดีเห็นวาการท่ี
ผูถูกฟองคดีคัดชื่อผูฟองคดีออกจากการเปนผูคาตราสารหน้ีขึ้นทะเบียนของผูถูกฟองคดี เปนการ
กระทาํ ละเมิด ทําใหผ ฟู อ งคดไี ดรบั ความเสยี หายเปน คาใชจา ยที่ตอ งเสียไปเพ่ือใหมีสถานะเปนผูคา
ตราสารหน้ีขึ้นทะเบียนของผูถูกฟองคดี จึงนําคดีมาฟองตอศาลขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
ใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินแกผูฟองคดี เปนเงินจํานวน ๔๓,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ีย เห็นวา
ผูถูกฟองคดีเปนสมาคมที่เกี่ยวเน่ืองกับธุรกิจหลักทรัพย โดยไดรับใบอนุญาตและจดทะเบียนกับ

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓
สํานักงาน ก.ล.ต. มีหนาท่ีสวนหนึ่งในการจัดทดสอบความรูเพ่ือข้ึนทะเบียนเปนผูคาตราสารหน้ี
และจัดสงทะเบียนผูคาตราสารหน้ีใหสํานักงาน ก.ล.ต. ทุกครึ่งป รวมถึงการกําหนดบทลงโทษ
ผูคาตราสารหนี้ อันเปนการใชอาํ นาจทางปกครองหรือดาํ เนินกิจการทางปกครอง ผลของการใชอํานาจ
ของผูถูกฟองคดีจึงมีผลกระทบตอสิทธิการเปนผูคาตราสารหนี้ ดังนั้น ผูถูกฟองคดีจึงเปน
หนวยงานท่ีไดรับมอบหมายใหใชอํานาจทางปกครองหรือใหดําเนินกิจการทางปกครอง อันเปน
หนวยงานทางปกครอง ตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ คดีนี้จึงเปนคดีพิพาท
เกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย
ท่ีอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตาม มาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓)
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะ
เดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดจากการกระทําดังกลาวของผูถูกฟองคดี ตามมาตรา ๔๒
วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ซ่ึงศาลสามารถออกคําบังคับโดยส่ังใหใชเงินหรือสงมอบ
ทรัพยสิน ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และกรณีนี้ไมมีกฎหมาย
กําหนดข้ันตอนหรอื วธิ กี ารสาํ หรบั แกไ ขความเดอื ดรอ นหรอื เสียหายไวโดยเฉพาะกอนนําคดีมาฟอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน อยางไรก็ตาม เมื่อการแจงกําหนดการ
อบรมทบทวนความรูดานตราสารหน้ีใหแกผูฟองคดีน้ัน เปนกระบวนการภายในของผูถูกฟองคดี
หากผูฟองคดีไมไดเขารับการอบรมดังกลาวก็ยังไมมีผลทําใหตองถูกคัดชื่อออกจากทะเบียนผูคา
ตราสารหน้ีแตอยางใด การที่ตอมาผูถูกฟองคดีไดนํารายชื่อผูฟองคดีออกจากทะเบียนผูคาตราสารหนี้
โดยอางวาผูฟองคดีไมไดเขาอบรมในวันท่ีกําหนด และไมปรากฏรายชื่อผูฟองคดีในทะเบียน
ผูคาตราสารหน้ีของผูถูกฟองคดี ตั้งแตวันท่ี ๑ มกราคม ๒๕๖๑ กรณีดังกลาวมีผลทําใหบริษัท
หลักทรัพยที่กฎหมายบังคับใหตองเปนสมาชิกของผูถูกฟองคดีไมสามารถแตงตั้งผูฟองคดีใหเปน
ผูรับผิดชอบซื้อขายตราสารหน้ีได หรือหากแตงต้ังแลวก็ตองยกเลิกการแตงตั้ง วันดังกลาวจึงเปน
วันทก่ี ระทบสทิ ธิตามกฎหมายของผูฟองคดีอันเปนเหตุแหงการฟองคดีนี้ และถือวาเปนวันท่ีผูฟองคดี
ไดร ูห รือควรรูถ ึงการกระทาํ อนั เปนเหตุแหง การฟองคดี ผฟู อ งคดีจึงมสี ทิ ธินาํ คดมี าฟองภายใน ๑ ป
นับแตวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี ตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
กลาวคือ ตองย่ืนฟองคดีภายในวันที่ ๑ มกราคม ๒๕๖๒ แตเน่ืองจากวันดังกลาว
เปนวันหยุดราชการ ผูฟองคดีจึงสามารถนําคดีมาฟองตอศาลในวันเร่ิมทําการใหมตอจากวันท่ี
หยดุ ทาํ การได ตามมาตรา ๑๙๓/๘ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ดังนั้น การที่ผูฟองคดี
นําคดีมาฟองตอศาลในวันท่ี ๒ มกราคม ๒๕๖๒ จึงเปนการยื่นฟองภายในกําหนดระยะเวลา
การฟองคดี การท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองไวพิจารณา และใหจําหนายคดีออกจาก
สารบบความ นนั้ ศาลปกครองสูงสดุ ไมเห็นพอ งดวย

จงึ มคี ําสง่ั กลับ เปนใหร ับคําฟองของผูฟองคดไี วพิจารณา

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔

คาํ สั่งศาลปกครองสูงสดุ ที่ คร. ๙๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดี (องคการบริหารสวนตําบลบัวขาว) ฟองวา ผูฟองคดีเปนราชการบริหาร

สว นทองถ่ิน มฐี านะเปน นิติบุคคล มีอาํ นาจหนาท่ใี นการจัดทําบริการสาธารณะในเขตพ้ืนที่ตําบลบัวขาว
อําเภอกุฉินารายณ จงั หวดั กาฬสนิ ธุ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๔๐
ตอมา เมื่อป พ.ศ. ๒๕๖๑ หางหุนสวนจํากัด อ. ไดกอสรางอาคารใชเปนโชวรูมขายสินคารถแทรกเตอร
พรอมอุปกรณตอพวงตางๆ ในที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๒๖๕๖ และเลขที่ ๒๓๑๗๓ ตําบลบัวขาว
อําเภอกุฉินารายณ จังหวัดกาฬสินธุ ซึ่งท่ีดินทั้งสองแปลงติดกันเปนผืนเดียวตั้งอยูในเขตพื้นที่
การปกครองของบานบุงคลา หางหุนสว นดังกลาวจงึ ตองขออนญุ าตกอ สรางอาคาร ยนื่ แบบแสดงรายการ
เพ่ือเสยี ภาษีโรงเรือนและที่ดิน และย่ืนแบบแสดงรายการภาษีปายตอผูฟองคดี แตหางหุนสวนดังกลาว
ไดขอออกบานเลขที่ตอนายทะเบียนอําเภอกุฉินารายณ โดยขออนุญาตกอสรางอาคาร และไดยื่น
แบบแสดงรายการเพื่อเสียภาษีโรงเรือนและท่ีดิน รวมท้ังแบบแสดงรายการภาษีปาย ประจําป ๒๕๖๑
ตอผถู ูกฟองคดี (องคการบรหิ ารสว นตําบลสมสะอาด) ผฟู อ งคดีจึงมีหนังสือแจงหางหุนสวนจํากัด อ. วา
การขออนุญาตกอสรางอาคารดังกลาวตอผูถูกฟองคดีน้ันไมถูกตอง จึงขอใหยื่นคําขออนุญาต
กอสรางอาคารตอผูฟองคดีภายในวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๖๒ แตหางหุนสวนจํากัด อ. เพิกเฉย
ผูฟองคดีเห็นวา ที่ดินตามโฉนดท่ีดินทั้งสองแปลงดังกลาวตั้งอยูในเขตตําบลบัวขาว แตเนื่องจาก
มีการปกปายแสดงแนวเขตระหวางตําบลบัวขาวกับตําบลสมสะอาดไมถูกตองตามแนวเขตที่แทจริง
ทําใหประชาชนหรือบุคคลทั่วไปเกิดความเขาใจผิดเก่ียวกับการย่ืนชําระภาษีหรือจัดเก็บภาษีโรงเรือน
และท่ีดิน และภาษีปายไมถูกตอง การที่ผูถูกฟองคดีจัดเก็บภาษีกับหางหุนสวนจํากัด อ. ที่ตั้งอยู
ในเขตพื้นทข่ี องผูฟอ งคดี จงึ เปนการกระทาํ ทไ่ี มช อบดว ยกฎหมาย กอใหเกิดความเสียหายแกผูฟองคดี
ผูฟองคดีจึงนําคดีมายื่นฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีชดใชคาเสียหาย
ท่ีผูฟองคดีควรจะไดรับเปนเงินภาษี และใหผูถูกฟองคดีชดใชคาเสียหายจากการกระทําละเมิด
และคาใชจายในการดําเนินคดี เห็นวา ผูฟองคดีและผูถูกฟองคดีเปนราชการสวนทองถิ่นที่จัดต้ังขึ้น
ตาม พ.ร.บ. สภาตําบลและองคการบริหารสวนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๗ จึงเปนหนวยงานทางปกครอง
ตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพิจารณา
ช้ีขาดการยุติขอพิพาทระหวางหนวยงานของรัฐและการดําเนินคดี พ.ศ. ๒๕๖๑ ท่ีออกโดยอาศัยอํานาจ
ตามมาตรา ๑๑ วรรคหน่ึง (๘) แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. ๒๕๓๔
เปนการที่นายกรัฐมนตรีโดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี ใชอํานาจตามกฎหมายออกระเบียบดังกลาว
เพอ่ื วางระเบียบปฏิบัติราชการในกรณีมีขอพิพาทระหวางหนวยงานของรัฐ หรือระหวางหนวยงานของรัฐ
กับเอกชน ระเบียบดังกลาวจึงมีสถานะเปนกฎที่มีผลผูกพันหนวยงานของรัฐ ทั้งนี้ ตามมาตรา ๓
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ เม่ือคดีน้ีเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดของหนวยงาน
ทางปกครองอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมายที่อยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว โดยผูฟองคดีและผูถูกฟองคดี
เปนหนวยงานของรัฐ ไดมีขอโตแยงที่เกิดข้ึนเก่ียวกับสิทธิและหนาที่ตามกฎหมายในการจัดเก็บ
หรือรบั ชําระภาษีโรงเรือนและที่ดิน และภาษีปายของหางหุนสวนจํากัด อ. อันเปนขอพิพาท ตามขอ ๓

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๕

ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพิจารณาช้ีขาดการยุติขอพิพาทระหวางหนวยงานของรัฐ
และการดําเนินคดี พ.ศ. ๒๕๖๑ ผูฟองคดีจึงตองแจงขอเรียกรองไปยังผูถูกฟองคดีซ่ึงเปนคูกรณี
ฝายท่ีถูกเรียกรอง โดยระบุใหทราบถึงขอเท็จจริงและขอเรียกรอง และหากผูถูกฟองคดีปฏิเสธ
หรือไมยอมชําระหน้ี ผูฟองคดีตองเสนอขอพิพาทไปยังสํานักงานอัยการสูงสุดภายในอายุความ
หรือกําหนดระยะเวลาการฟองคดีเพ่ือพิจารณาวินิจฉัยช้ีขาดตอไปตามขอ ๑๑ และขอ ๑๒ วรรคหนึ่ง
ของระเบยี บสํานักนายกรัฐมนตรดี งั กลา ว อันเปนขั้นตอนและวิธีการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหาย
ที่มีกฎหมายกําหนดไวในการดําเนินการยุติขอพิพาทระหวางหนวยงานของรัฐโดยเฉพาะ เมื่อไมปรากฏ
ขอเท็จจริงวา ผูฟองคดีไดดําเนินการตามข้ันตอนและวิธีการดังกลาว จึงเปนกรณีที่ผูฟองคดี
ยังไมไดด ําเนนิ การแกไ ขความเดอื ดรอนหรอื เสยี หายในเร่ืองดังกลาวตามขั้นตอนหรือวิธีการที่กฎหมาย
กําหนดไวกอนยื่นฟองคดี ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟองน้ีไวพิจารณาพิพากษาได ท้ังน้ี
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับ
คําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ คืนคาธรรมเนียมศาลท้ังหมด
แกผ ฟู องคดี นน้ั ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดว ย

จึงมคี าํ สง่ั ยนื ตามคําสั่งของศาลปกครองชั้นตน
คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คร. ๙๐/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๑๔

กรณีเปนเจาหนา ทีข่ องรฐั
คําส่ังศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ. ๗๖/๒๕๖๓

ผูฟ อ งคดีฟองวา ผูฟ องคดีมหี นังสือลงวนั ที่ ๒๖ กมุ ภาพันธ ๒๕๖๒ ถึงผูถูกฟองคดี
(นาย ม.) เพื่อขอใหชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายในมูลละเมิด เปนเงินจํานวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท
สืบเนื่องจากกรณีที่ผูถูกฟองคดีมีหนังสือลงวันท่ี ๓ มกราคม ๒๕๖๒ ถึงผูฟองคดี เพื่อสงสําเนา
ขอ บงั คบั สหกรณออมทรพั ยตํารวจภธู ร ภาค ๔ จํากัด ฉบับที่ ๑ ถึงฉบับที่ ๓ ตามท่ีผูฟองคดีขอคัดสําเนา
ผูฟองคดีเห็นวาการท่ีผูถูกฟองคดีเปนเจาหนาที่ของรัฐในสังกัดของสหกรณจังหวัดขอนแกน
ซ่ึงเปนหนวยงานสังกัดกรมสงเสริมสหกรณ กระทรวงเกษตรและสหกรณ ลงนามในเอกสาร
ทมี่ ีนยั ไมถ กู ตอ ง เปนการกระทําละเมิดตอผูฟอ งคดี และการท่ีผูถูกฟองคดีเพิกเฉยไมนําเงินจํานวนดังกลาว
ชําระใหแกผูฟองคดี ทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรอื คาํ สงั่ ใหผถู ูกฟอ งคดีชดใชคาความเสียหายใหแ กผูฟ อ งคดี เปน เงินจาํ นวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท

ศาลปกครองสงู สุดวนิ ิจฉัยวา คดนี ี้เปน คดีพิพาทเก่ยี วกับการกระทําละเมิดอันเกิดจาก
การใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ซึง่ ผฟู องคดีกลาวอางวาผูถูกฟองคดีซึ่งเปนเจาหนาที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
กระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาท่ีโดยการลงนามในเอกสารท่ีมีนัยไมถูกตอง ซึ่งตามมาตรา ๕ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ บัญญัติวา หนวยงานของรัฐตองรับผิด
ตอผูเสียหายในผลแหงละเมิดที่เจาหนาที่ของตนไดกระทําในการปฏิบัติหนาที่ ในกรณีนี้ผูเสียหาย

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๖

อาจฟองหนวยงานของรัฐดังกลาวไดโดยตรง แตจะฟองเจาหนาท่ีไมได เม่ือศาลปกครองชั้นตน
ไดมีคําส่ังใหผูฟองคดีชี้แจงและแกไขตัวผูถูกฟองคดีใหถูกตองตามที่กฎหมายกําหนด แตผูฟองคดี
ยืนยันความประสงคท่ีจะฟองผูถูกฟองคดีซ่ึงเปนเจาหนาที่ของรัฐใหรับผิดในผลแหงละเมิด
เปน การสว นตัว โดยไมป ระสงคจ ะฟองหนว ยงานของรฐั ตน สังกัดของผูถ ูกฟองคดีซึง่ เปนเจา หนา ท่ีของรัฐ
ตอศาลปกครองไดตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ท่ีศาลปกครองช้ันตน
มีคําส่ังไมร ับคําฟองนไ้ี วพจิ ารณา และใหจ าํ หนา ยคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดว ย

จงึ มีคาํ สง่ั ยืน
คําสัง่ ศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ. ๘๘/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีมีหนังสือลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ ถึงผูถูกฟองคดี
(นาง ก.) เพอื่ ขอใหชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายในมูลละเมิดเปนเงินจํานวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท
เนื่องจากผูฟองคดีซึ่งเปนสมาชิกสหกรณออมทรัพยตํารวจภูธร ภาค ๔ จํากัด ไดติดตอขอคัด
เอกสารสําเนาขอ บงั คับสหกรณออมทรัพยตํารวจภูธร ภาค ๔ จํากัด ฉบับที่ ๑ – ๓ โดยไดเจรจากับ
ผูถูกฟองคดีซึ่งเปนเจาหนาที่ของรัฐสังกัดสํานักงานสหกรณจังหวัดขอนแกน จนไดรับเอกสาร
ทมี่ นี ยั ทไ่ี มถูกตอง ซึ่งผูฟองคดีเห็นวาเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดี ผูถูกฟองคดีไดรับหนังสือ
ของผูฟองคดีแลวแตเพิกเฉยไมนําเงินจํานวนดังกลาวชําระใหแกผูฟองคดี ทําใหผูฟองคดีไดรับ
ความเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหผูถูกฟองคดีชดใชคาเสียหาย
ใหแ กผ ูฟอ งคดเี ปน เงนิ จาํ นวน ๑,๙๐๐,๐๐๐ บาท

ศาลปกครองสงู สดุ วนิ จิ ฉัยวา คดีนเ้ี ปน พพิ าทเก่ยี วกบั การกระทําละเมิดของเจาหนาท่ี
ของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมายที่อยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยผูฟองคดีกลาวอางวาผูถูกฟองคดีซ่ึงเปน
เจาหนาที่ของรัฐตามมาตรา ๓ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว กระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาท่ีโดยเปน
ผูรับเร่ืองการขอคัดเอกสารดังกลาวจากผูฟองคดี ทําใหผูฟองคดีไดรับเอกสารที่มีนัยไมถูกตอง
เม่ือคดีนี้ ศาลปกครองช้ันตนไดมีคําสั่งใหผูฟองคดีช้ีแจงและแกไขตัวผูถูกฟองคดีใหถูกตองตามท่ี
กฎหมายกําหนด แตผูฟองคดียืนยันความประสงคที่จะฟองผูถูกฟองคดีซึ่งเปนเจาหนาที่ใหรับผิดในผล
แหงละเมิดเปนการสวนตัว โดยไมประสงคจะฟองหนวยงานของรัฐตนสังกัดของผูถูกฟองคดี ผูฟองคดี
จึงไมอาจฟองผูถูกฟองคดีซึ่งเปนเจาหนาท่ีของรัฐตอศาลปกครองไดตามมาตรา ๕ แหง
พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ศาลจึงไมอาจรับคําฟองน้ีไวพิจารณาได
ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พองดว ย

จงึ มีคาํ สัง่ ยืนตามคําส่ังของศาลปกครองช้ันตน
คําสงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ. ๘๙/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๑๑

แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๗

กรณเี ปนคดีพพิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑)
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คผ. ๘/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีไดนําเงินจํานวน ๑๑๗,๑๙๓.๔๕ บาท ไปชําระคาสินไหมทดแทน
และดอกเบี้ยใหแกกรมศุลกากรครบถวนตามที่ผูถูกฟองคดี (อธิบดีกรมศุลกากร) มีคําส่ังลงวันที่
๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน กรณีผูฟองคดีในขณะท่ีปฏิบัติหนาท่ี
เปนนายตรวจศุลกากร ๖ ว สังกัดกรมศุลกากร ปฏิบัติหนาที่โดยประมาทเลินเลออยางรายแรง
ทาํ ใหมสี นิ คาของกลางขาดหายไประหวางการสง มอบและเกบ็ รกั ษาของเจา หนา ท่คี ลงั ของกลางท่ี ๒ แลว
ตอมา ผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๓ เมษายน ๒๕๖๑ แจงคําส่ังกรมศุลกากร ใหผูฟองคดี
ทราบวา เม่ือกรมศุลกากรไดดําเนินการใชมาตรการบังคับทางปกครอง และไดรับชําระเงิน
คาสินไหมทดแทนรวมท้ังดอกเบ้ียจากผูฟองคดีครบถวนแลว จึงมีคําส่ังใหเพิกถอนคําสั่ง
กรมศุลกากรท่ีใชมาตรการบังคับทางปกครองโดยวิธีการยึดหรืออายัดทรัพยสินของเจาหนาท่ีราย
ผูฟองคดี ตามคําสั่งลงวันท่ี ๓ มิถุนายน ๒๕๕๘ โดยใหมีผลนับแตวันถัดจากวันท่ีกรมศุลกากร
ไดรับชําระเงินคาสินไหมทดแทนและดอกเบี้ยครบถวน ผูฟองคดีอุทธรณคําส่ังดังกลาวตอ
ผูถูกฟองคดี และเห็นวา การสอบขอเท็จจริงไมตรงกับความจริง การต้ังขอกลาวหาไมตรงกับ
ความเปน จริง ทาํ ใหผ ูฟองคดไี มไดรับความเปนธรรม ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังเรียกพยานเอกสารเร่ืองรายงานของกลางหายและรายงานผลการตรวจสอบพบของกลางขาด
ของหัวหนาคลังของกลางที่ ๒ ซึ่งอยูในความครอบครองของผูถูกฟองคดีมาตรวจสอบขอเท็จจริง
เรียกพยานบุคคลที่เก่ียวของมาทําการไตสวน และใหพิจารณาพิพากษาวา ผูฟองคดีไดกระทํา
ความผิดตามท่ีกลาวหาหรือไม ถาไมไดกระทําความผิดก็ใหคืนสิทธิและทรัพยสินแกผูฟองคดี เห็นวา
ผฟู องคดีมีความประสงคจ ะใหศ าลพจิ ารณาวา คําส่ังของผูถูกฟองคดีตามคําส่ังลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕
ท่ีสั่งใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกทางราชการ เปนเงินจํานวน ๑๑๗,๑๙๓.๔๕ บาท
เปนคําส่ังที่ไมชอบดวยกฎหมาย เนื่องจากผูฟองคดีไมไดปฏิบัติหนาท่ีดวยความประมาทเลินเลอ
อยางรายแรง และขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังดังกลาว แลวใหผูถูกฟองคดีคืนเงินหรือทรัพยสินใหแก
ผฟู องคดี โดยใหศาลเรียกพยานเอกสารและพยานบุคคลมาไตสวนเพื่อประกอบการพิจารณาคดีนี้
จึงเปนคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ เมื่อขอเท็จจริง
ปรากฏวา หลังจากผูถูกฟองคดีไดมีคําสั่งลงวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ ผูถูกฟองคดีไดแจงสิทธิอุทธรณ
คําสง่ั ดงั กลาวใหผ ฟู องคดที ราบ แตผูฟอ งคดีไมไ ดใ ชส ิทธอิ ทุ ธรณและไมไดใชสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง
รวมทั้งไมไดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกทางราชการตามคําสั่งดังกลาว ผูถูกฟองคดีจึงไดมีคําสั่ง
เรื่อง ใหอายัดทรัพยสินของเจาหนาท่ี ลงวันที่ ๓ มิถุนายน ๒๕๕๘ และแจงไปยังธนาคาร อ. ใหอายัด
บัญชเี งินฝากของผฟู องคดี และไดม ีคําสัง่ และประกาศใหย ึดทรัพยส นิ ของผูฟองคดี โดยไดแจงสิทธิ
อุทธรณแ ละสิทธฟิ องคดตี อ ศาลใหผูฟองคดีทราบดวย ซ่ึงผูฟองคดีไดย่ืนคําอุทธรณตอผูถูกฟองคดี
และไดนําคดีมาฟองตอศาลปกครองช้ันตน ขอใหเพิกถอนคําส่ังและประกาศ รวมท้ังหนังสือที่เก่ียวของ
กับการอายัดและยึดทรัพยสินของผูฟองคดี และตอมาศาลปกครองช้ันตนไดมีคําสั่งไมรับคําฟอง

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๘
ไวพ ิจารณาโดยเหน็ วาผูฟอ งคดีย่ืนฟองคดีเมื่อพนระยะเวลาการฟองคดีแลว ผูฟองคดีไดยื่นคํารอง
อทุ ธรณคําส่งั ของศาลปกครองชนั้ ตน ตอมา ศาลปกครองสูงสุดไดม ีคาํ สงั่ ที่ ๕๐๘/๒๕๕๙ ยนื ตามคาํ สัง่
ศาลปกครองชน้ั ตนทีไ่ มรบั คําฟองไวพ ิจารณา ดังนั้น การท่ีผูฟองคดีนําคดีมาฟองเปนคดีน้ี ขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๕ มิถุนายน ๒๕๕๕ โดยผูฟองคดีไมไดยื่นอุทธรณคําส่ัง
ดังกลาวมาต้ังแตตน จึงเปนกรณีที่ผูฟองคดีไมไดดําเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไข
ความเดือดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมายกําหนด ศาลจึงไมอาจรับคําฟองของผูฟองคดีตามคําขอ
ดังกลาวไวพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่งไดตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
สว นกรณที ่ผี ูฟ อ งคดมี ีคาํ ขอใหผ ูถกู ฟอ งคดีคนื เงินหรือทรัพยสนิ ใหแกผูฟองคดีนั้น ขอเท็จจริงปรากฏวา
ผูฟองคดีเคยย่ืนคํารองลงวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๙ ตอผูถูกฟองคดี ขอใหพิจารณาคําสั่งทางปกครอง
ท่ีพนกําหนดอทุ ธรณใหม โดยผูฟองคดีเห็นวา มีพยานหลักฐานและขอเท็จจริงใหมเกี่ยวของโดยตรงกับ
กรณีท่ีของกลางขาดหายไป ซ่ึงผูฟองคดีไมเคยทราบมากอนโดยไมใชความผิดของผูฟองคดี
และผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๙ แจงผลการพิจารณาใหผูฟองคดีทราบวา
ขอ เท็จจรงิ และพยานหลกั ฐานท่ีผูฟองคดีกลาวอางไมใชพยานหลักฐานใหม กรณีไมเขาหลักเกณฑ
การขอใหพิจารณาคําสั่งทางปกครองใหม จึงไมรับพิจารณา ผูฟองคดีไดอุทธรณคําสั่งดังกลาว
แตไ มไดร ับแจง ผลการพิจารณาอทุ ธรณ จึงนาํ คดีมาฟองตอศาลปกครองชั้นตนเปนคดีหมายเลขดํา
ที่ ๑๘๕๙/๒๕๕๙ ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหผูถูกฟองคดีรับพิจารณาอุทธรณคํารอง
ขอใหพ จิ ารณาคาํ สง่ั ทางปกครองทพ่ี น กําหนดอุทธรณใหม ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งใหรับคําฟอง
ไวพิจารณา ตอมา ในระหวางการพิจารณาของศาลปกครองชั้นตนคดีดังกลาว ผูฟองคดีไดยื่นคําฟอง
เพมิ่ เตมิ วา มีขอเท็จจริงที่เปล่ียนแปลงไปไมตรงกับขอเท็จจริงที่เกิดขึ้น จึงขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคาํ สงั่ เพ่ิมเตมิ ซง่ึ ศาลปกครองชั้นตน พิจารณาแลวเห็นวา สาระคําฟองเพิ่มเติมและคําขอเพิ่มเติม
มีขอเท็จจริงเชนเดียวกับขอเท็จจริงในคําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี ๕๐๘/๒๕๕๙ ซ่ึงถึงที่สุดแลว
ตามมาตรา ๗๓ วรรคส่ี แหง พ.ร.บ. จดั ตั้งศาลปกครองฯ โดยประเดน็ ขอ พพิ าทท่ขี อใหศาลวินิจฉัย
ยังคงเปนมูลเหตุเดียวกันกับคดีกอนซ่ึงถึงที่สุดไปแลว กรณีจึงเปนการท่ีคูกรณีเดียวกันฟองคดี
ในประเดน็ ทไ่ี ดว ินจิ ฉยั โดยอาศยั เหตุอยางเดียวกันซึ่งศาลไดมีคําส่ังชี้ขาดคดีถึงท่ีสุดแลว จึงถือเปน
ฟองซํ้า ตอ งหา มตามขอ ๙๗ แหงระเบยี บของที่ประชมุ ใหญฯ วา ดวยวิธีพจิ ารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
ศาลปกครองช้ันตน จึงมีคาํ สั่งลงวนั ท่ี ๒๙ มนี าคม ๒๕๖๐ ไมรบั คําฟองเพิ่มเติมไวพิจารณา โดยผูฟองคดี
ไมไดยื่นคํารองอุทธรณคําสั่งศาลปกครองชั้นตนดังกลาวแตอยางใด ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดีย่ืนฟอง
ผูถูกฟองคดีอีกคร้ังเปนคดีน้ี โดยขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังวาผูฟองคดีไดกระทําความผิด
ตามท่กี ลา วหาหรือไม ถาไมไดกระทําความผิดก็ใหคืนสิทธิและทรัพยสินใหแกผูฟองคดี โดยอาศัยเหตุ
แหง การฟอ งคดอี ยา งเดยี วกนั กบั คาํ ฟอ งในคดีศาลปกครองสูงสุดคําส่ังท่ี ๕๐๘/๒๕๕๙ และคําฟองเพ่ิมเติม
ในคดีหมายเลขดําที่ ๑๘๕๙/๒๕๕๙ ของศาลปกครองชั้นตน ท่ีศาลปกครองไดมีคําสั่งชี้ขาดคดี
ถึงที่สุดแลว จึงเปนกรณีท่ีคูกรณีเดียวกันฟองกันอีกในประเด็นที่ไดวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน
อันเปนการฟอ งซํา้ ซงึ่ ตอ งหา มตามขอ ๙๗ แหงระเบียบดังกลาว ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟอง

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๙

ของผฟู อ งคดีไวพิจารณาได ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองนี้ไวพิจารณา และใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดวย

จึงมคี ําสัง่ ยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองช้ันตน
คําสั่งศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คผ. ๙/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงพนักงานบัญชี สถานธนานุบาล
เทศบาลเมืองวารินชําราบ ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(ผูวาราชการจังหวัดอุบลราชธานี) มีคําสั่งจังหวัดอุบลราชธานี ลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑
เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนความรับผิดทางละเมิด กรณีการทุจริตการจําหนาย
ทรัพยหลุดจํานําของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองวารินชําราบ ผูฟองคดีไมเห็นดวยจึงไดมีหนังสือ
อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดี โดยผูถูกฟองคดีไดรับหนังสืออุทธรณดังกลาวในวันที่
๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (รัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทย) ยังไมพิจารณา
อุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายใน ๖๐ วัน ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไมชอบดวยกฎหมาย สวนการกําหนดคาเสียหาย น้ัน เน่ืองจากความเสียหายคิดเปนเงินทั้งส้ิน
จํานวน ๓,๓๒๘,๙๙๕ บาท นาง ส. ไดชดใชคาเสียหายคืนแกเทศบาลวารินชําราบ เปนเงินจํานวน
๑,๖๒๓,๕๐๐.๖๙ บาท ความเสียหายจึงคงเหลือเปนเงินจํานวน ๑,๗๐๕,๔๙๔.๓๑ บาท
การที่คณะกรรมการสอบความรับผิดทางละเมิดยังคงใหเจาหนาท่ีรับผิดทางละเมิดเปนเงินทั้งส้ิน
๓,๓๒๘,๙๙๕ บาท จึงไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําส่ังจังหวัดอุบลราชธานี เร่ือง เรียกใหเจาหนาท่ีชดใชคาสินไหมทดแทนความรับผิด
ทางละเมดิ กรณีการทุจริตการจาํ หนายทรัพยหลุดจํานําของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองวารินชําราบ
ลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาอุทธรณภายในระยะเวลาที่กฎหมาย
กาํ หนด และเพกิ ถอนหนงั สอื จงั หวัดอุบลราชธานี เรื่อง การสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาท่ี กรณีการทุจริตการจําหนายทรัพยหลุดจํานําของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองวารินชําราบ
ลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ เห็นวา กรณีเปนคดีพิพาทตามนัยมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) และ (๒)
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ เมื่อผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ังจังหวัดอุบลราชธานี ลงวันท่ี
๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ดังกลาว ผูฟองคดีจึงไดใชสิทธิอุทธรณตามนัยมาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับคําอุทธรณ
ของผูฟองคดีเม่ือวันท่ี ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซ่ึงตามมาตรา ๔๕ วรรคหน่ึงและวรรคสอง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ไดกําหนดใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะเปนเจาหนาท่ีผูทําคําส่ัง
ทางปกครอง และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในฐานะเปนผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณตามขอ ๒ (๑๑)
ของกฎกระทรวง ฉบบั ที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ จะตองพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
ในฐานะเจา หนา ทผ่ี ทู ําคําสั่งทางปกครองไดรับคําอุทธรณ คือ จะตองพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จ
ภายในวนั ท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และหากมีเหตุจําเปนไมอาจพิจารณาใหแลวเสร็จภายในกําหนด

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๐

ระยะเวลาดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งเปนผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณตองมีหนังสือแจงให
ผูอุทธรณทราบกอนครบกําหนดหกสิบวัน ระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณจึงจะขยายออกไปอีก
สามสิบวันนับแตวันท่ีครบหกสิบวัน และเมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีการขยาย
ระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณคําสั่งทางปกครองดังกลาว กรณีจึงตองถือวาวันที่ครบหกสิบวัน คือ
วันท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เปนวันท่ีผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหาย
ครบตามขั้นตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดไวแลวและสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยถือวาวันถัดจากวันท่ีครบกําหนดหกสิบวัน คือ
วนั ท่ี ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เปน วันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีและนับเปนวันแรก
ท่ีเร่ิมใชสิทธิฟองคดีขอใหศาลเพิกถอนคําสั่งจังหวัดอุบลราชธานี เรื่อง เรียกใหเจาหนาที่ชดใช
คาสินไหมทดแทนความรับผิดทางละเมิด กรณีการทุจริตการจําหนายทรัพยหลุดจํานําของ
สถานธนานุบาลเทศบาลเมืองวารินชําราบ ลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ ซ่ึงตองยื่นฟองภายใน
เกาสิบวันนับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันท่ี ๗ ตุลาคม ๒๕๖๑ แตวันดังกลาวเปนวันอาทิตยซ่ึงเปน
วันหยุดทําการ ผูฟองคดีจึงตองนําคดีมาฟองตอศาลปกครองภายในวันจันทรที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๖๑
ซ่งึ เปน วันทําการใหมต อ จากวันหยดุ ทําการน้ัน ตามนัยมาตรา ๑๙๓/๘ แหงประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชย การที่ผูฟองคดีนําคดีมาย่ืนฟองขอใหศาลเพิกถอนคําสั่งดังกลาวเมื่อวันท่ี
๒๖ เมษายน ๒๕๖๒ จึงเปนการย่ืนฟองเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ สวนกรณีที่ผูฟองคดีมีคําขอใหเพิกถอนหนังสือจังหวัด
อุบลราชธานี เรื่อง การสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี กรณีการทุจริต
การจําหนายทรัพยหลุดจํานําของของสถานธนานุบาลเทศบาลเมืองวารินชําราบ ลงวันท่ี
๑๘ เมษายน ๒๕๖๑ น้ัน หนังสือดังกลาวเปนเพียงหนังสือแจงคําสั่งเรียกใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชในมูลละเมิดและแจงสิทธิอุทธรณคําส่ังดังกลาวเทานั้น มิใชคําส่ังทางปกครอง
ท่ีมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาท่ีของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงไมไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายจากหนังสือดังกลาวที่จะมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง
แหงพระราชบญั ญตั ิเดยี วกนั ทศี่ าลปกครองชน้ั ตนมคี ําสัง่ ไมร ับคําฟอ งนไี้ วพจิ ารณาและใหจําหนาย
คดีออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดวย

จงึ มีคําสง่ั ยนื ตามคําสง่ั ของศาลปกครองชัน้ ตน
คําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ที่ คผ. ๑๖/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเคยดํารงตําแหนงเจาพนักงานการคลัง สังกัดองคการ
บริหารสวนจังหวัดพะเยา ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑
(นายกองคการบริหารสวนจังหวัดพะเยา) ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ท่ีเรียกใหผูฟองคดีชดใช
คาสินไหมทดแทนใหกับทางราชการ กรณีการเบิกจายเงินเปนคาใชจายในโครงการแขงขัน
กีฬาทองถ่ินสัมพันธรวมพลังไทยขจัดภัยยาเสพติด ป ๒๕๕๔ โดยขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนง
ดังกลาว ผูฟองคดีไดลงนามในฐานะผูตรวจสอบเอกสารประกอบฎีกาเบิกเงินจายเปนคาเล้ียง

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๑

รับรองอาหารเย็น การแขงขันกีฬาทองถ่ินสัมพันธรวมพลังไทยขจัดภัยยาเสพติด ป ๒๕๕๔
จํานวน ๑,๒๐๐ คน โดยรับรองวา ไดตรวจสอบเอกสารประกอบฎีกาครบถวนถูกตองแลว ตอมา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดออกคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
และตอมา ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับ
องคการบริหารสวนจังหวัดพะเยา เปนเงิน ๑๘,๐๐๐ บาท ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี
๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อุทธรณคําสั่งตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ผูวาราชการ
จังหวัดพะเยา) ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ แจงผูฟองคดีทราบการขยายระยะเวลา
การพิจารณาอุทธรณ จากน้ันผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
แจง ผลการพิจารณาอุทธรณ โดยวินิจฉยั ยกอุทธรณของผฟู อ งคดี ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมคี าํ พพิ ากษาหรอื คาํ สั่งเพิกถอนคาํ ส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑
และเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เห็นวา เม่ือผูฟองคดีฟองวา องคการบริหาร
สวนจงั หวดั พะเยาโดยผูถกู ฟองคดที ่ี ๑ มคี าํ สั่งลงวนั ที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เรียกใหผูฟองคดีชดใช
คา สนิ ไหมทดแทนใหกบั องคการบรหิ ารสวนจังหวัดพะเยา ผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๒ มีคําวินิจฉัยยกอุทธรณ
ของผูฟองคดี โดยไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหศาลเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และ
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดังกลาว กรณีจึงเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการที่หนวยงาน
ทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมาย ซึ่งอยูในอํานาจพิจารณา
พิพากษาของศาลตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ แตโดยท่ี พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ไมไดบัญญัติขั้นตอนและวิธีการในการใชสิทธิ
อุทธรณคําส่ังใหชดใชเงินซ่ึงเปนคําสั่งทางปกครองไวเปนการเฉพาะ ผูฟองคดีจึงตองใชสิทธิ
อุทธรณตาม พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง และ
วรรคสอง ซึ่งระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณคําสั่งทางปกครองมีกําหนดระยะเวลาไมเกินหกสิบวัน
นับแตวันที่เจาหนาที่ผูทําคําสั่งทางปกครองไดรับคําอุทธรณ หากมีเหตุจําเปนไมอาจพิจารณา
ใหแลวเสร็จภายในกําหนดระยะเวลาดังกลาวได ผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณตองมีหนังสือแจงให
ผูอทุ ธรณท ราบกอนครบกําหนดหกสิบวัน ระยะเวลาพิจารณาอุทธรณจึงจะขยายออกไปอีกไมเกิน
สามสิบวันนับแตวันท่ีครบกําหนดหกสิบวัน ดังน้ัน ในกรณีท่ีผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณ
ไดมีหนังสือแจงเหตุจําเปนตองขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณใหผูอุทธรณทราบกอนครบหกสิบวัน
นบั แตวนั ทเ่ี จา หนาท่ีผูทําคําสั่งทางปกครองไดรับคําอุทธรณ ตองถือวาวันที่ครบเกาสิบวันดังกลาว
เปนวันท่ีผูอุทธรณไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบตามข้ันตอนหรือวิธีการท่ี
กฎหมายกําหนดไวแลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดเกาสิบวัน คือ วันที่เกาสิบเอ็ดเปนวันท่ี
ผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และนับเปนวันแรกที่เริ่มใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๙
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน เมื่อไมปรากฏวา ผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ังลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑
ท่ีเรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับทางราชการในวันใด แตผูฟองคด/ีแไลดะวมิธีีพหิจนารังณสา.ื.อ.
ลงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งเปนเจาหนาที่ผูทําคําส่ัง

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๒

ทางปกครอง และขอเท็จจริงปรากฏในเอกสารประกอบการแจงผลการพิจารณาอุทธรณคําส่ัง
ทางปกครองของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ วาผูฟองคดีย่ืนอุทธรณภายในกําหนดระยะเวลา จึงรับอุทธรณ
ไวพิจารณา กรณีจึงตองถือวาผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ังใหชดใชคาสินไหมทดแทนอยางชาที่สุด
ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับคําอุทธรณของผูฟองคดีในวันเดียวกัน
แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาแลวไมเห็นดวยกับอุทธรณของผูฟองคดีดังกลาวจึงไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๒๔ พฤษภาคม ๒๕๖๑ รายงานความเห็นตอผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๒ ในฐานะผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณ
ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาแลวเห็นวาระยะเวลาในการพิจารณาอุทธรณไมเพียงพอ
จึงมีหนังสือลงวันท่ี ๒๐ มิถุนายน ๒๕๖๑ แจงเหตุจําเปนตองขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณ
ออกไปอีก ๓๐ วัน นับแตวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ ใหผูฟองคดีทราบ ดังน้ัน ระยะเวลาในการ
พิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงขยายออกไปตามที่บัญญัติไวในมาตรา ๔๕ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีจึงครบกําหนดระยะเวลาท่ี
ผูถ ูกฟอ งคดีที่ ๒ จะตอ งพจิ ารณาอุทธรณใหแลว เสร็จภายในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และถือวาวัน
ดังกลาวเปนวันที่ผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบตามขั้นตอน
หรือวิธีการที่กฎหมายกําหนดไวแลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดดังกลาว คือ วันท่ี
๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เปนวันที่ผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และนับเปนวันแรก
ที่เรมิ่ ใชส ทิ ธิฟอ งคดขี อใหศาลเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ที่เรียกใหผูฟองคดีชดใช
คาสินไหมทดแทนใหกับทางราชการ ซ่ึงตองยื่นฟองภายในเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว คือ ภายใน
วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ โดยไมตองรอคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซึ่งเปนผูมีอํานาจ
พิจารณาอุทธรณอีกตอไป การท่ีผูฟองคดีนําคดีมาย่ืนฟองตอศาลขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี
๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ที่เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับทางราชการ เมื่อวันที่
๗ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ จึงเปนการยื่นฟองเม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙
แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว และคําฟองนี้เปนการฟองคดีเพ่ือประโยชนสวนตัวของผูฟองคดี
เทานั้น รวมท้ังมิไดมีเหตุจําเปนอ่ืนที่ศาลจะรับคําฟองนี้ไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ
วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองในขอหา
ท่ฟี อ งขอใหเ พิกถอนคาํ สั่งของผูถกู ฟองคดีที่ ๑ ตามคาํ ส่งั ลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ไวพิจารณา
น้ัน ศาลปกครองสูงสุดเห็นพอ งดว ย

จงึ มคี าํ สั่งยืนตามคําสั่งของศาลปกครองชนั้ ตน
คาํ สงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คผ.๑๗/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
(นายกองคการบรหิ ารสวนจงั หวัดพะเยา) ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เรียกใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชค าสนิ ไหมทดแทนใหแกอ งคก ารบริหารสวนจังหวัดพะเยา เปนเงินจาํ นวน ๒๓,๔๓๗.๕๐ บาท

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๓

ตามผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบขอ เท็จจรงิ ความรบั ผิดทางละเมิดท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แตงต้ัง
ซึง่ มคี วามเหน็ วา ผูฟองคดีกระทําโดยจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยวาดวยการรับเงิน
การเบิกจายเงิน การฝากเงิน การเก็บรักษาเงินและการตรวจเงินขององคกรปกครองสวนทองถ่ิน
พ.ศ. ๒๕๔๗ ประกอบกับระเบยี บกระทรวงมหาดไทย วาดวยคาใชจายในการฝกอบรมขององคกรปกครอง
สวนทองถ่ิน พ.ศ. ๒๕๔๙ ใหผูฟองคดีรวมรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนในกลุมการเบิกจายเงิน
ซึ่งมีผตู องรบั ผดิ ในกลุมนี้จํานวน ๔ คน รบั ผิดในอตั รารอ ยละ ๓๐ ของคาเสยี หายจํานวน ๓๑๒,๕๐๐ บาท
เปนเงินคนละ ๒๓,๔๓๗.๕๐ บาท ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑
แกไขเพิม่ เติมคําสั่งลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ เปลี่ยนแปลงจํานวนความรับผิด เปนใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน เปนเงินจํานวน ๓๑,๒๕๐ บาท ตามผลการพิจารณาของกระทรวงการคลัง
ซึ่งมีความเห็นวา ผูฟองคดีไมปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบของทางราชการ พฤติการณถือเปน
การกระทําโดยประมาทเลินเลอ อยางรา ยแรง จึงใหผ ูฟองคดีและนาย จ. รับผิดในอัตรารอยละ ๒๐
ของความเสียหายจํานวน ๓๑๒,๕๐๐ บาท เปนเงินจํานวน ๖๒,๕๐๐ บาท โดยใหรับผิดคนละสวนเทาๆ กัน
คิดเปนเงินคนละ ๓๑,๒๕๐ บาท ผูฟองคดีไดม หี นังสือลงวันท่ี ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อุทธรณคําสั่ง
ลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ และหนังสือลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ อุทธรณคําสั่งลงวันที่
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ตอผถู ูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาแลวยืนยันความเห็นเดิม
และสงคําอุทธรณของผูฟองคดีใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ผูวาราชการจังหวัดพะเยา) พิจารณา ตอมา
ผูถกู ฟองคดีท่ี ๒ ไดมหี นังสือจงั หวดั พะเยา ลงวนั ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ ถึงผูฟองคดี แจงขยายระยะเวลา
การพิจารณาอุทธรณออกไปอีก ๓๐ วัน นับแตวันท่ี ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑ จากนั้น ไดมีหนังสือ
จังหวดั พะเยา ลงวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ แจงผลการพิจารณายกอุทธรณใหผูฟองคดีทราบทางไปรษณีย
ลงทะเบียนเมื่อวันท่ี ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๑ ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และคําวินิจฉัย
อุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ซึ่งไดแกไขเพ่ิมเติมโดยคําสั่งลงวันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑
และเพิกถอนผลการพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามหนังสือจังหวัดพะเยา ลงวันท่ี
๑๗ ธนั วาคม ๒๕๖๑ เฉพาะสวนของผูฟองคดี เห็นวา กรณีเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหนวยงาน
ทางปกครองหรอื เจาหนา ท่ขี องรัฐออกคาํ สงั่ โดยไมช อบดว ยกฎหมาย ซึ่งอยใู นอาํ นาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลตามมาตรา ๙ วรรคหน่งึ (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ผูฟองคดีเปนผูอยูในบังคับ
ของคาํ สั่งดงั กลาว จึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายอันเน่ืองจากการกระทําของผูถูกฟองคดีทั้งสอง
และการแกไขหรือบรรเทาความเดือดรอนหรือเสียหายของผูฟองคดี โดยขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคาํ ส่ังเพิกถอนคาํ สั่งที่เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนและเพิกถอนคําวินิจฉัยอุทธรณ
เปนคําขอท่ีศาลมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหได ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน คดีน้ีภายหลังจากที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับองคการบริหาร
สวนจังหวัดพะเยา เปนเงินจํานวน ๒๓,๔๓๗.๕๐ บาท แลว ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังลงวันที่
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ แกไขเปลี่ยนแปลงจํานวนคาสินไหมทดแทนโดยใหผูฟองคดีรับผิดชดใช

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๔

คา สนิ ไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนเงินจํานวน ๓๑,๒๕๐ บาท กรณีจึงถือไดวาคําส่ังลงวันที่
๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เปนคําส่ังใหมที่ออกมาแทนที่คําส่ังลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ซ่ึงเปนคําสั่งเดิม
แมไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ังลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ ท่ีใหผูฟองคดี
ชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับองคการบริหารสวนจังหวัดพะเยา เปนเงินจํานวน ๒๓,๔๓๗.๕๐ บาท
และคําสั่งลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เมื่อใด แตการที่ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑
อุทธรณคําส่ังลงวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ท่ีแกไขเปล่ียนแปลงจํานวนคาสินไหมทดแทนตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ กรณีจึงถือไดวาผูฟองคดีไดรับแจงคําสั่งลงวันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑
อยางชาสุดในวันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และผูฟองคดียื่นอุทธรณคําสั่งภายในระยะเวลาสิบหาวัน
นับแตวันทีไ่ ดร บั แจง คําส่ัง เมอ่ื คดนี ไ้ี มปรากฏขอเท็จจริงวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับหนังสืออุทธรณ
ของผูฟองคดีดังกลาวเม่ือใด และผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดรับรายงานความเห็นพรอมเหตุผลจาก
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ไมเห็นดวยกับคําอุทธรณของผูฟองคดีเมื่อใด แตเมื่อพิจารณาวันที่ที่ผูฟองคดี
มีหนังสืออุทธรณคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ คือ วันท่ี ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และวันท่ีท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ไดม ีหนงั สือจังหวัดพะเยา ลงวันท่ี ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๑ แจงการขยายระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ
ใหผูฟองคดีทราบ โดยระบุวาอาศัยอํานาจตามมาตรา ๔๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ขยายระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณออกไปอีก ๓๐ วัน นับแตวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๖๑
เปน ตนไป จึงเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดแจงใหผูฟองคดีทราบแลววาจะพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี
ใหเสร็จภายในวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ กรณีจึงตองถือวาวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เปนวันที่
ผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบตามข้ันตอนหรือวิธีการที่กฎหมาย
กําหนดไวแลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
โดยถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดดังกลาว คือวันท่ี ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑ เปนวันที่ผูฟองคดีรู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และนับเปนวันแรกท่ีเริ่มใชสิทธิฟองคดีขอใหเพิกถอนคําส่ังของ
ผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ ดงั กลา ว โดยตอ งย่ืนฟอ งภายในระยะเวลาเกา สบิ วนั นับแตวันดังกลาว คือ ภายใน
วันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๕๖๑ ตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน โดยไมตองรอคําวินิจฉัย
อุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดีนําคดีมาฟองขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดังกลาวโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนเมื่อวันท่ี ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๒ จึงเปน
การย่ืนฟอ งเมื่อพนกาํ หนดระยะเวลาการฟอ งคดีตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ศาลจึงไมอาจรับคาํ ฟอ งในขอหาที่ผฟู องคดีมคี าํ ขอใหเ พิกถอนคาํ สั่งของผูถ กู ฟองคดีท่ี ๑ ตามคําสั่ง
ลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ และคําสั่งลงวันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ที่ใหผูฟองคดีรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนใหกับองคการบริหารสวนจังหวัดพะเยา เปนเงินจํานวน ๓๑,๒๕๐ บาท ไวพิจารณาได
แมตอมาผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๒ จะไดวนิ ิจฉยั อุทธรณของผูฟ อ งคดี และไดแจงผลการพจิ ารณาอุทธรณให
ผูฟองคดีทราบตามหนังสือจังหวัดพะเยา ลงวันที่ ๑๗ ธันวาคม ๒๕๖๑ พรอมท้ังแจงสิทธิการฟองคดี
ตอศาลปกครองภายในเกาสิบวันนับแตวันท่ีไดรับแจงคําวินิจฉัยอุทธรณใหผูฟองคดีทราบดวยก็ตาม
แตการดังกลาวก็ไมเปนเหตุใหวันเริ่มนับระยะเวลาการฟองคดีเพ่ือขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตองขยายออกไปเปนวันท่ีผูฟองคดีไดรับแจงผลคําวินิจฉัยอุทธรณของ

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๕

ผูถูกฟองคดีที่ ๒ แตอยางใด ท้ังคําฟองขอหานี้เปนการฟองคดีเพ่ือประโยชนสวนตัวของผูฟองคดี
เทานั้น มิใชการฟองคดีท่ีเก่ียวกับการคุมครองประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคลที่จะย่ืนฟองคดี
เม่ือใดก็ได รวมท้ังการฟองคดีมิไดเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอ่ืนท่ีศาลจะรับคําฟองน้ี
ไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ประกอบกับขอ ๓๐ วรรคสอง
แหง ระเบียบของท่ปี ระชุมใหญฯ วาดวยวธิ พี ิจารณาคดปี กครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ท่ีศาลปกครองชั้นตน
มีคาํ สง่ั ไมร บั คําฟองในสวนของคําขอทายฟองของผูฟองคดีท่ีขอใหเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ตามคําส่ังลงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๑ และคําสั่งลงวันท่ี ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ที่ใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกองคการบริหารสวนจังหวัดพะเยา เปนเงินจํานวน ๓๑,๒๕๐ บาท
ไวพ จิ ารณา น้นั ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดวยในผล

จึงมคี ําส่ังยืนตามคําสงั่ ของศาลปกครองชั้นตน
คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๒๑/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบล
หวยเหนือ ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (นายกองคการบริหาร
สวนตําบลหวยเหนือ) ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ เรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนใหกับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (องคการบริหารสวนตําบลหวยเหนือ) รวมเปนเงินท้ังสิ้น
๑,๗๒๖,๒๒๔ บาท กรณีท่ีผูฟองคดีขณะดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบลหวยเหนือ
ถูกกลาวหาวาไดรวมกันทุจริตเก่ียวกับการดําเนินโครงการในงบลงทุนที่ดินและส่ิงปลูกสราง
ตามขอบัญญัติงบประมาณรายจายประจําป พ.ศ. ๒๕๕๘ และงบประมาณที่ใชจายจากเงินสะสม
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ จํานวน ๕ โครงการ โดยดําเนินการเบิกจายเงินคาจางใหแกผูรับจาง
ท้ังท่ียังไมไดดําเนินการกอสรางตามโครงการ จํานวน ๔ โครงการ และดําเนินการเบิกจายเงิน
คาจางใหแกผูรับจางโดยที่งานกอสรางยังไมเสร็จเรียบรอยอีกจํานวน ๑ โครงการ เปนเหตุให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดรับความเสียหายเปนเงินจํานวน ๔,๔๖๔,๘๐๐ บาท ผูถูกฟองคดีทั้งสอง
ไมแจงคําสั่งดังกลาวใหผูฟองคดีทราบ ไมแจงสิทธิรองทุกขหรือฟองคดีตอศาลปกครอง ตอมา
เม่ือวันท่ี ๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ ผูฟองคดีไดทราบโดยบังเอิญจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ แจงตอ
ศาลปกครองอุบลราชธานี ในคดีหมายเลขดําท่ี บ. ๘๓/๒๕๖๑ วา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําส่ังดังกลาว โดยมีหนังสือลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ แจงคําสั่งเรียกใหชดใชเงินดังกลาว
ใหผูฟองคดีทราบ และมีหนังสือลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ แจงใหผูฟองคดีชดใช
คา สินไหมทดแทนอีกครงั้ หนึง่ หากไมช าํ ระภายในเวลาท่ีกําหนดจะใชมาตรการบังคับทางปกครอง
กับผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงไดมีหนังสือลงวันที่ ๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ อุทธรณคําส่ังใหชดใชเงิน
ตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๑ พิจารณาแลวมีหนังสือลงวันท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒
แจงคําส่ังไมรับอทุ ธรณข องผฟู อ งคดีไวพจิ ารณา เนอ่ื งจากผูฟองคดีย่ืนอุทธรณคําส่ังเม่ือพนกําหนด
ระยะเวลาอทุ ธรณ ผูฟอ งคดเี หน็ วาไมไ ดร บั ความเปนธรรม จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ เรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๖

ใหก บั ผถู ูกฟองคดีที่ ๒ และใหเ พกิ ถอนหนังสือลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ เรื่อง แจงคําส่ังใหชดใช
คาสินไหมทดแทนใหกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ เนื่องจากการกระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐ และ
เพิกถอนหนังสือลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เรื่อง แจงใหชดใชคาสินไหมทดแทนให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีวันละ ๕๐๐ บาท ตั้งแตวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๖๒
จนถึงวันฟองคดี รวมเปนเงินจํานวน ๓๓,๐๐๐ บาท และนับแตวันถัดจากวันฟองจนถึงวันที่
หยุดการกระทําละเมิด พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป จนกวาจะชําระเสร็จ เห็นวา
คดีนี้เปนคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) และ (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
โดยคําสงั่ ลงวันท่ี ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ทเ่ี รยี กใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนนั้น ออกโดยอาศัยอํานาจ
ตามมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงเปนการใชอํานาจ
ตามกฎหมายของเจาหนาท่ีท่ีมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดี
จึงเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
และผูฟองคดีเปนคูกรณีในคําส่ังทางปกครองดังกลาว ผูฟองคดีจึงอยูในบังคับท่ีจะตองอุทธรณ
คําสั่งภายในสิบหาวันนับแตวันไดรับแจงคําสั่งดังกลาว ตามนัยมาตรา ๓ ประกอบมาตรา ๔๔
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน เพื่อแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายกอนนําคดีมาฟองตอศาล
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยขอเท็จจริงปรากฏวาภายหลัง
จากท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ เรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใช
คา สินไหมทดแทนใหกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑
แจง คําสั่งทางปกครองดงั กลาวและแจงสิทธิการอทุ ธรณโ ตแยง คาํ สัง่ ภายในสบิ หาวันนับแตวันไดรับ
แจงคําสั่งใหผูฟองคดีทราบทางไปรษณียลงทะเบียนตอบรับไปยังภูมิลําเนาของผูฟองคดีที่แจงไว
กับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และปรากฏในใบตอบรับของไปรษณียวา มีผูลงลายมือชื่อเปนผูรับ
โดยมีความเกี่ยวพันเปนหลานของผูฟองคดีเมื่อวันท่ี ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ แตผูฟองคดีไดโตแยง
มาในคํารองอุทธรณวา ผูฟองคดีไมมีหลานอยูในจังหวัดศรีสะเกษและไมทราบวาผูที่ลงลายมือชื่อ
เปนผูรับหนังสือดังกลาวเปนผูใด การแจงคําส่ังดังกลาวใหแกผูฟองคดีเปนความบกพรอง
ของพนักงานไปรษณีย อยางไรก็ดี ผูฟองคดีไดยอมรับมาในคําฟองวาผูฟองคดีไดรับทราบคําสั่ง
เรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ โดยบังเอิญเมื่อวันท่ี
๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ จึงถือไดวาผูฟองคดีไดรับแจงคําสั่งดังกลาวอยางชาท่ีสุดเม่ือวันท่ี
๒๑ มกราคม ๒๕๖๒ ซึ่งในกรณีน้ีผูฟองคดีตองอุทธรณโตแยงคําสั่งตอผูฟองคดีที่ ๑ ภายใน
สิบหาวันนับแตวันดังกลาว คือ วันที่ ๕ กุมภาพันธ ๒๕๖๒ เม่ือผูฟองคดีมีหนังสือลงวันที่
๘ พฤษภาคม ๒๕๖๒ ย่ืนอุทธรณคําสั่งตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนการย่ืนอุทธรณเม่ือพนกําหนด
ระยะเวลาอุทธรณแลว กรณีจึงถือวา ผูฟองคดีไมไดดําเนินการตามข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับ
การแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามที่กฎหมายกําหนดกอนนําคดีมาฟองตอศาล
ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟองในสวนที่ฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑
เร่ือง เรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไวพิจารณาได
ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และไมอาจรับคําฟองในสวนท่ี

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๗

ฟองขอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ชดใชคาเสียหายจากการกระทําละเมิดอันเกิดจากคําสั่งทางปกครอง
ดังกลาวไดเชนกัน สวนกรณีหนังสือลงวันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๖๑ เรื่อง แจงคําส่ังใหชดใชคาสินไหม
ทดแทนใหกับผูถูกฟองคดีที่ ๒ เน่ืองจากกระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐ และหนังสือลงวันที่
๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เรื่อง แจงใหชดใชคาสินไหมทดแทน น้ัน หนังสือทั้งสองฉบับดังกลาว
เปน เพียงการแจงคําสั่งลงวันที่ ๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ เร่ือง เรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
ใหกับผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ใหผูฟองคดีทราบ และแจงเตือนใหผูฟองคดีปฏิบัติตามคําสั่งทางปกครอง
ดังกลาวเทาน้ัน ไมไดมีผลเปนการกระทบสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีแตอยางใด ผูฟองคดีจึงไมใช
ผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจ
หลีกเล่ียงไดอันเนื่องมาจากหนังสือทั้งสองฉบับดังกลาว ผูฟองคดีจึงไมมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอน
หนังสือท้ังสองฉบับดังกลาว ทั้งน้ี ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองนี้ไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ
และคืนคาธรรมเนียมศาลทั้งหมดแกผ ูฟอ งคดี น้นั ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พองดว ย

จงึ มคี ําสงั่ ยืนตามคาํ ส่ังของศาลปกครองช้นั ตน
คาํ สัง่ ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๕๐/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนพนักงานเทศบาล สังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๑ (เทศบาล
ตําบลศาลายา) ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑
กันยายน ๒๕๖๐ ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน จํานวน ๗๑,๙๑๘.๔๐ บาท กรณีที่
สํานักงานการตรวจเงินแผนดินไดเขาตรวจสอบงบการเงิน แลวพบวานาง อ. เจาหนาท่ีจัดเก็บ
รายได จัดเก็บเงินคาภาษีปาย คาภาษีโรงเรือนและที่ดิน แลวไมนําสงผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท้ังจํานวน
หรอื นาํ สง ต่าํ กวา จํานวนทีร่ บั จรงิ อันเปน การทุจริตตอหนาท่ีราชการ ความเสียหายเปนเงินจํานวน
๕๙๑,๗๔๓ บาท ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓ ใหนาง อ.
และผูบังคับบัญชาท่ีเก่ียวของตามลําดับรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน โดยผูฟองคดีตองชดใช
คาสินไหมทดแทนจํานวน ๕,๖๗๐.๖๔ บาท เนื่องจากเปนผูบังคับบัญชาของนาง อ. ทั้งน้ี
ผฟู องคดีไดช ดใชเ งินจํานวน ๕,๖๗๐.๖๔ บาท แลว เพอื่ ใหประเด็นดังกลาวยุติ ตอมา ผูถูกฟองคดี
ท่ี ๑ ไดรับหนังสือแจงผลการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดของกรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (นายกเทศมนตรีตําบลศาลายา) จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๑ กันยายน ๒๕๖๐ แกไข
คําสัง่ ลงวนั ท่ี ๒๗ ธนั วาคม ๒๕๕๓ ใหผ ฟู อ งคดีชดใชคาสินไหมทดแทนจํานวน ๗๑,๙๑๘.๔๐ บาท
ตามความเห็นของกรมบัญชีกลาง ผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงมีหนังสือ
ลงวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๖๐ และลงวันที่ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐ อุทธรณตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๕๖๐ แจงผลการพิจารณาอุทธรณวา
ใหยกอุทธรณ และไดจัดสงคําอุทธรณของผูฟองคดีไปใหผูวาราชการจังหวัดนครปฐมพิจารณา
ตอไป แตผูวาราชการจังหวัดนครปฐมยังพิจารณาอุทธรณไมแลวเสร็จ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําส่ังเทศบาลตําบลศาลายา ลงวันท่ี ๑ กันยายน

แนวคาํ วินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๘

๒๕๖๐ และคําสั่งอ่ืนท่ีใหผูฟองคดีตองชดใชคาสินไหมทดแทน และขอใหศาลกําหนดมาตรการ
หรือวิธีการใดๆ เพื่อบรรเทาทุกขใหแกผูฟองคดีกอนการพิพากษาคดี โดยขอใหศาลมีคําสั่งให
ผูถูกฟองคดที งั้ สองระงับการบังคบั ใหใ ชคาสินไหมทดแทนตามคาํ สัง่ เทศบาลตําบลศาลายา ลงวันที่
๑ กนั ยายน ๒๕๖๐ เหน็ วา กรณีเปน คดพี ิพาทเก่ยี วกับการที่หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ี
ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ัง
ศาลปกครองฯ และศาลมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาวทั้งหมดหรือบางสวนได
ตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง (๑) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว แตเมื่อปรากฏวา ผูวาราชการจังหวัด
นครปฐมไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๒ มกราคม ๒๕๖๑ แจงผลการพิจารณาอุทธรณถึงผูฟองคดี
และหนังสือลงวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๐ ท่ีแจงตอนายอําเภอพุทธมณฑล สรุปความไดวา
คําสั่งเทศบาลตําบลศาลายา ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๐ ขาดอายุความสิทธิเรียกรอง คําส่ัง
ดังกลาวจึงเสยี ไปท้งั หมด ตอ งบงั คบั ตามคาํ สั่งเทศบาลตาํ บลศาลายา ลงวันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๓
และใหผ ถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ดาํ เนนิ การหาตวั ผตู อ งรับผิดท่ที ําใหสิทธิเรียกรองคาสินไหมทดแทนไมอาจ
เรียกรองไดเพราะขาดอายุความ ดังน้ัน คําวินิจฉัยอุทธรณของผูวาราชการจังหวัดนครปฐม
ดังกลาว จึงเปนกรณีที่ผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณไดมีคําวินิจฉัยใหเพิกถอนคําส่ังเทศบาลตําบล
ศาลายา ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๐ อันเปนคําส่ังพิพาทในคดีนี้แลว เหตุแหงการฟองคดีนี้
ตามคําสั่งเทศบาลตําบลศาลายา ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๐ จึงหมดสิ้นไป ศาลจึงไมจําตอง
พจิ ารณาพิพากษาคดีเพอ่ื กําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาวตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑)
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาหนังสือลงวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๐
ซ่ึงเปนหนังสือแจงผลคําวินิจฉัยอุทธรณของผูวาราชการจังหวัดนครปฐม โดยขอความตอนทาย
ของหนังสือดังกลา วไดมีคําสั่งใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ดําเนินการแตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดเพื่อหาตัวผูตองรับผิดในกรณีที่ทําใหสิทธิเรียกรองขาดอายุความ
เพื่อมิใหเกิดความเสียหายแกทางราชการ ยอมมีความหมายวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมอาจเรียกให
เจาหนาที่ในสังกัดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เชน ผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนไดครบจํานวน
ความเสียหายของผูถ ูกฟอ งคดีท่ี ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตองแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ีใหมอีกกรณีหน่ึงวามีบุคคลใดบางที่เปนเหตุทําใหเกิดความลาชา
จนการใชสิทธิเรียกรองไมสามารถดําเนินการไดทันภายในกําหนดอายุความ มิใชใหแตงต้ัง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ีเพื่อหาตัวผูตองรับผิดทางละเมิด
จากเจาหนาที่ชุดเดิม ตอมาปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ ๒๕๖๑
แตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ีเพ่ือหาตัวผูตองรับผิด
ชดใชค าสนิ ไหมทดแทน แตคําสั่งดังกลาวไมไดระบุชัดเจนวา เปนการสอบขอเท็จจริงเพ่ือหาผูตอง
รับผิดชุดเดิมที่ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับความเสียหาย หรือหาผูตองรับผิดกรณีท่ีทําใหสิทธิ
เรียกรองขาดอายุความและทําใหคําส่ังเทศบาลตําบลศาลายา ลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๖๐ เสียไป
ทั้งหมด ซ่ึงเปนคนละสวนกัน หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม
๒๕๖๑ แจงใหผูฟองคดีทราบ แตมิไดระบุรายละเอียดดังกลาว ทําใหผูฟองคดีเขาใจวา ผูถูกฟองคดี

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๒๙

ทงั้ สองจะสอบขอ เท็จจริงความรบั ผดิ ทางละเมดิ กับผูฟอ งคดีใหมอ ีกคร้ัง ซึ่งไมแนชัดวาผูถูกฟองคดี
ท้ังสองจะดําเนินการสอบขอเท็จจริงใหมไปในทางใด อยางไรก็ตาม การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ออกคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเพื่อหาผูตองรับผิดในครั้งใหม
รวมทง้ั กระบวนการตางๆ ท่เี ก่ียวเน่อื ง เปนการเตรยี มการและการดําเนินการภายในของเจาหนาที่
เพื่อจัดใหมีคําส่ังทางปกครองตอไป กลาวอีกนัยหนึ่ง คือ เปนข้ันตอนการพิจารณาทางปกครอง
เพ่ือเสนอความเห็นใหผูสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของ
เจาหนาที่พิจารณาสั่งการ คําสั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของ
เจาหนาที่ตามคําส่ังเทศบาลตําบลศาลายา ลงวันที่ ๑ กุมภาพันธ ๒๕๖๑ จึงไมใชคําสั่ง
ทางปกครอง อันจะมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนาที่ของผูฟองคดีตามมาตรา ๕
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายหรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายจากคําส่ังดังกลาว อยางไรก็ตาม หากตอมา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยที่ ๒ มีคําส่ังใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนอีกคร้ังตามมูลเหตุแหง
การฟอ งคดนี อี้ ีก กรณีถอื วา เปน คําส่ังทางปกครองใหมท มี่ ีผลกระทบตอ สิทธิของผูฟอ งคดี ผูฟองคดี
ก็ชอบท่จี ะอุทธรณคาํ สั่งดังกลาวตอ ผทู มี่ อี าํ นาจพิจารณาอุทธรณ หากผูพิจารณาอุทธรณไมวินิจฉัย
อุทธรณหรือวนิ จิ ฉยั อุทธรณภายในระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนดแลวผูฟองคดีไมเห็นดวย ผูฟองคดี
ยอมมีสิทธินําคดมี าฟอ งตอศาลปกครองเพ่ือขอใหศาลพิพากษาเพิกถอนคําส่ังใหมของผูถูกฟองคดี
ท่ี ๑ และหรือคําวินิจฉัยอุทธรณภายในระยะเวลาการฟองคดีตามท่ีกฎหมายกําหนดตอไป
ทศี่ าลปกครองชน้ั ตนมคี ําสั่งจําหนายคดอี อกจากสารบบความ นน้ั ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พองดวย

จึงมคี ําสง่ั ยนื ตามคําสงั่ ของศาลปกครองชัน้ ตน
คําสง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ที่ คผ.๕๔/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ในขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงหัวหนาวิทยาศาสตรรากฐาน
สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (สสวท.) ไดรับมอบหมายใหจัดทําหนังสือเรียน
รายวิชาเพิ่มเติม โลก ดาราศาสตร และอวกาศ เลม ๓ กลุมสาระการเรียนรูวิทยาศาสตร
ช้ันมัธยมศึกษาปท่ี ๔ – ๖ โดย สสวท. ไดวาจางนาย ช. ยกรางหนังสือเรียนจํานวน ๖ บท
และคณะกรรมการไดอนุมัติจายเงินคาจางและสงมอบใหองคการคาของสํานักงานคณะกรรมการ
สงเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการศึกษา (สกสค.) พิมพหนังสือออกจําหนาย
แลวบางสวน แตตอมาพบวา นาย ช. ไดแปลเนื้อหาและใชรูปภาพจากหนังสือตางประเทศ
ซ่ึงมีลิขสิทธ์ิโดยมิไดรับอนุญาต สสวท. จึงไดมีการปรับปรุงหนังสือดังกลาวโดยตองเสียคาใชจาย
เปนเงิน ๑,๐๒๙,๑๙๙.๒๔ บาท ผูถูกฟองคดี (ผูอํานวยการสถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตร
และเทคโนโลยี) จึงมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบหาขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาท่ี และผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒๙ กันยายน ๒๕๕๙ แจงผูฟองคดีวา
ผลการสอบสวนฟงไดวา ผูฟองคดีเปนผูรับผิดชอบโดยตรงซึ่งตองควบคุมดูแลกระบวนการผลิต
ทั้งหมด แตกลับไมควบคุมดูแลใหการจัดทําหนังสือเปนไปตามระเบียบและแนวปฏิบัติที่เกี่ยวของ

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๐

เปนเหตุใหเกิดความเสียหายตอ สสวท. ผูฟองคดีจึงผิดสัญญาและกระทําละเมิดตอ สสวท. จึงให
ผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนใหแก สสวท. เปนเงิน ๓๖๐,๕๐๐ บาท ภายในกําหนด ๗ วัน
นับแตวันที่ไดรับหนังสือ ผูฟองคดีไมเห็นดวย จึงไดมีหนังสือลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙
ถึงคณะกรรมการอุทธรณและรองทุกข แตคณะกรรมการชุดดังกลาวเห็นวา เรื่องน้ีเปนอํานาจ
หนาท่ขี องกระทรวงการคลงั จงึ อยูนอกเหนอื อํานาจหนา ทขี่ องคณะกรรมการอุทธรณและรองทุกข
จะวนิ จิ ฉยั ผูฟอ งคดีจึงมหี นังสือลงวันท่ี ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดี
อีกคร้ัง แตผูฟองคดียังไมไดรับแจงผลการวินิจฉัยอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนตามหนังสือลงวันท่ี
๒๙ กนั ยายน ๒๕๕๙ และใหสัดสว นความรับผิดกรณีพิพาทนี้เปนไปตามหนังสือกระทรวงการคลัง
ลงวันที่ ๒๕ กนั ยายน ๒๕๕๐

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมการใชสิทธิเรียกรองใหผูฟองคดีชําระเงิน
ตามหนังสือลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๙ ไดระบุวา ผูถูกฟองคดีอาศัยอํานาจตามความในขอ ๗
ของสัญญาจางพนักงานระหวาง สสวท. กับผูฟองคดีก็ตาม แตเมื่อพิจารณาการดําเนินการของ
ผูถ กู ฟอ งคดเี พือ่ ทราบถงึ คา ความเสียหายและเจา หนาทีผ่ ูตองรับผิดชดใชค าสินไหมทดแทน รวมถึง
การพิจารณารายงานผลการสอบสวนของผูถูกฟองคดีในฐานะผูส่ังแตงต้ังคณะกรรมการ
สอบหาขอเท็จจริงความรบั ผิดทางละเมิดของเจา หนา ที่ และการเรียกใหผ ฟู อ งคดีชดใชค าสนิ ไหมทดแทน
เปนการออกคําสั่งใหเจาหนาที่ผูทําละเมิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกหนวยงานของรัฐที่ไดรับ
ความเสยี หายตามมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ เนื่องจาก
เจาหนาท่ีกระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐตามมาตรา ๑๐ วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา ๘
วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เมื่อผูฟองคดีเห็นวาคําส่ังใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน
เปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งดังกลาว คดีนี้จึงมีลักษณะ
เปนคดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐกระทําการโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนง่ึ (๑) แหง พ.ร.บ. จดั ตั้งศาลปกครองฯ มใิ ชคดีพิพาทเกี่ยวกับ
สัญญาทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๔) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เมื่อผูฟองคดี
อยูในบังคับใหตองชําระเงินคาสินไหมทดแทนแก สสวท. ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเน่ืองจากคําส่ังท่ีพิพาท
และศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําส่ังท่ีพิพาทไดตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑)
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ สวนการที่ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙
อุทธรณคําส่ังท่ีพิพาทตอคณะกรรมการอุทธรณและรองทุกขนั้น แมการย่ืนอุทธรณดังกลาว
มิใชการอุทธรณตอเจาหนาท่ีผูทําคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และไมมีการสงคําอุทธรณใหผูถูกฟองคดี
ซ่ึงเปนเจาหนาที่ผูทําคําส่ังทางปกครองเพ่ือพิจารณาตอไปก็ตาม แตเม่ือคําสั่งท่ีพิพาทมิไดระบุ
กรณีท่ีอาจอุทธรณ การยื่นคําอุทธรณ และระยะเวลาสําหรับการยื่นอุทธรณไวในคําสั่งดังกลาว

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๑

และผูถูกฟองคดีมิไดแจงหลักเกณฑการยื่นอุทธรณขางตนใหผูฟองคดีทราบอีกครั้ง จึงมีผลให
ระยะเวลาการย่ืนอุทธรณขยายเปนหน่ึงปนับแตวันที่ผูฟองคดีไดรับคําส่ังที่พิพาทตามมาตรา ๔๐
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว โดยเม่ือไมปรากฏวาผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ังที่พิพาทเมื่อใด
แตปรากฏวาผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙ อุทธรณตอคณะกรรมการอุทธรณ
และรองทุกข กรณีจึงถือไดวาผูฟองคดีไดรับแจงคําสั่งท่ีพิพาทอยางชาท่ีสุดในวันที่ ๕ ตุลาคม ๒๕๕๙
การที่ตอ มาผฟู องคดไี ดมีหนงั สือลงวนั ท่ี ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐ อทุ ธรณคาํ ส่งั ที่พิพาทตอผูถูกฟองคดี
ซงึ่ ปรากฏวา มกี ารลงลายมือช่ือของเจาหนาท่ีรับหนังสืออุทธรณของผูฟองคดีในวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐
จึงถือวาผูฟองคดีไดย่ืนอุทธรณตอผูถูกฟองคดีซ่ึงเปนเจาหนาท่ีผูทําคําส่ังทางปกครอง
ภายในระยะเวลาหนึ่งปนับแตวันที่ไดรับคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๔๐ วรรคสอง แหง
พระราชบัญญัตเิ ดยี วกนั เมือ่ ผถู กู ฟองคดไี ดรับหนงั สืออุทธรณของผูฟองคดีเม่ือวันท่ี ๑๓ กันยายน ๒๕๖๐
และผูถกู ฟองคดีไมมหี นงั สือแจง เหตุจําเปนตองขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ
ผูถูกฟองคดีและผูมีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณยอมมีหนาท่ีพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จภายใน
หกสิบวันนับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ จึงตองถือวาวันท่ีถัดจากวัน
ดังกลา ว คอื วันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เปนวันท่ีผูฟองคดีไดรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี
และเปนวันแรกที่เริ่มใชสิทธิฟองคดีตอศาลขอใหเพิกถอนคําส่ังท่ีพิพาทได เมื่อผูฟองคดีตองย่ืน
ฟองคดีตอศาลภายในวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ ๒๕๖๑ แตวันดังกลาวเปนวันเสาร ซ่ึงเปนวันหยุดทําการ
ผูฟองคดีจึงตองนําคดีมาฟองตอศาลปกครองภายในวันจันทรท่ี ๑๒ กุมภาพันธ ๒๕๖๑ ซึ่งเปน
วันทําการใหมตอจากวันหยุดทําการน้ันตามนัยมาตรา ๑๙๓/๘ แหงประมวลกฎหมายแพง
และพาณชิ ย โดยไมต อ งรอคําวนิ ิจฉยั อุทธรณของผูมีอํานาจพิจารณาคําอุทธรณอีกตอไป เมื่อผูฟองคดี
ไดดําเนินการตามข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามที่กฎหมาย
กําหนดไวโดยเฉพาะแลวกอนนําคดีมาฟองตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ และนําคดีน้ีมายื่นฟองตอศาลในวันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๖๑ จึงเปนการย่ืนฟองคดี
ภายในกําหนดระยะเวลาตามมาตรา ๔๙ แหง พระราชบัญญัตดิ ังกลาวแลว จึงชอบทีศ่ าลปกครองช้ันตน
จะรับคําฟองในสวนท่ีขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังที่ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน
ไวพิจารณาพิพากษาตอไป สําหรับคําขอใหศาลกําหนดสัดสวนความรับผิดใหเปนไปตามหนังสือ
กระทรวงการคลัง ลงวันท่ี ๒๕ กันยายน ๒๕๕๐ น้ัน เม่ือคําขอดังกลาวเปนเพียงขออางประการหนึ่ง
ซ่ึงผูฟองคดีอางวาเปนเหตุแหงความไมชอบดวยกฎหมายของคําส่ังที่พิพาท ซึ่งศาลปกครองสูงสุด
ไดวินิจฉัยแลววาสามารถรับคําขอดังกลาวไวพิจารณาได กรณีจึงไมจําเปนตองวินิจฉัยคําขอให
ศาลกาํ หนดสัดสวนความรับผิดใหเปนไปตามหนังสือกระทรวงการคลังดังกลาวอีก ท่ีศาลปกครองชั้นตน
มีคําส่ังไมรับคําฟองคดีน้ีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความน้ัน ศาลปกครองสูงสุด
ไมเ ห็นพอ งดวย

จึงมีคําสั่งกลับ เปนใหรับคําฟองในสวนที่ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
เพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีตามหนังสือลงวันที่ ๒๙ กันยายน ๒๕๕๙ ท่ีใหผูฟองคดีชดใช
คา สนิ ไหมทดแทนเปนเงิน ๓๖๐,๕๐๐ บาท ไวพิจารณาตอไปตามรปู คดี

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๒

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ. ๖๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีทั้งหกฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ ถึงท่ี ๖ ดํารงตําแหนงปลัดเทศบาล หัวหนา

สํานักปลัดเทศบาล ผูอํานวยการกองคลัง หัวหนาฝายบริหารงานคลัง นักวิชาการเงินและบัญชี
และนักวิชาการพัสดุ ตามลําดับ สังกัดผูถูกฟองคดี (เทศบาลตําบลภูเรือ) ไดรับความเดือดรอน
เสยี หายจากการทผ่ี ถู กู ฟองคดีมีคาํ ส่งั ลงวนั ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เรียกเงินคืนจากผูฟองคดีท้ังหก
กรณีเบิกจายคาจางเหมาประกอบอาหารและเครื่องด่ืมสําหรับอาสาสมัครปองกันภัยฝายพลเรือน
(อปพร.) ประจําป พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยไมชอบ ผูฟองคดีท้ังหกเห็นวาคําสั่งเรียกเงินคืนดังกลาว
ไมถูกตองตามระเบียบและหนังสือส่ังการของกระทรวงมหาดไทย จึงไดมีหนังสือลงวันท่ี
๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ อุทธรณคําส่ังดังกลาว และไดรับแจงการพิจารณาอุทธรณจากจังหวัดเลย
ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑ ผูฟองคดีทั้งหกไมเห็นดวยกับการพิจารณาวินิจฉัย
อุทธรณของผูวาราชการจังหวัดเลย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ัง
ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ และเพิกถอนการวินิจฉยั อุทธรณต ามหนงั สอื ลงวนั ที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑

ศาลปกครองสงู สดุ วินิจฉัยวา เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีโดยผูฟองคดีที่ ๑
รกั ษาราชการแทนนายกเทศมนตรีตําบลภูเรือ มีคําส่ังลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ใหเรียกเงินคืนจาก
เจา หนาทีร่ วม ๗ ราย ประกอบดวย นาย ภ. ตําแหนงนายกเทศมนตรีตําบลภูเรือ และผูฟองคดีท้ังหก
รวมเปนเงินจํานวน ๑๗,๘๕๖ บาท กรณีเบิกจายเงินคาจางเหมาประกอบอาหารและเคร่ืองดื่ม
สาํ หรับอาสาสมัครปองกันภัยฝา ยพลเรือน (อปพร.) ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๒ โดยไมชอบ
ดวยระเบียบและหนังสือส่ังการของกระทรวงมหาดไทย ซึ่งผูฟองคดีทั้งหกอางวา คําส่ังของ
ผถู ูกฟอ งคดีไมชอบดวยกฎหมาย ขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนคําส่ังดังกลาว คดีนี้จึงมีลักษณะ
เปนคดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐกระทําการโดยไมชอบ
ดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ผูฟองคดีที่ ๑ และ
ในฐานะผูร ับมอบอํานาจใหอทุ ธรณจากผฟู อ งคดที ี่ ๒ ถงึ ที่ ๖ ไดมหี นงั สอื ลงวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑
ยื่นอุทธรณคําสั่งพิพาทตอนายกเทศมนตรีตําบลภูเรือ ตอมา ผูวาราชการจังหวัดเลยในฐานะ
ผูมอี ํานาจพิจารณาอทุ ธรณตามกฎหมายพจิ ารณาแลวเหน็ วา คาํ สั่งลงวนั ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ท่ีใหเรียกเงินคืนจากนาย ภ. และผูฟองคดีทั้งหกเปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจาก
ไมถูกตองตามรูปแบบที่กฎหมายกําหนด และเปนการออกคําส่ังโดยเจาหนาที่ที่ไมมีอํานาจ
ตามมาตรา ๓๗ วรรคหนง่ึ ประกอบกับมาตรา ๑๓ (๑) แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง
พ.ศ. ๒๕๓๙ ผูวาราชการจังหวัดเลยจึงมีหนังสือจังหวัดเลย ลงวันท่ี ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑
ถึงนายอําเภอภูเรือ เพ่ือแจงใหผูถูกฟองคดีเพิกถอนคําสั่งพิพาท และหากความเสียหายที่เกิดขึ้น
มีเหตุอันควรเชื่อวาเกิดจากการกระทาํ ของเจาหนาท่ี ใหผูถูกฟองคดีดําเนินการแตงตั้งคณะกรรมการ
สอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑ
การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ เพ่ือหาผูตองรับผิดชดใช
คา สินไหมทดแทนใหแ กทางราชการตอไป เห็นไดวา ตามหนังสือจังหวัดเลยดังกลาว ผูวาราชการ
จังหวัดเลยยังมิไดพิจารณาอุทธรณเกี่ยวกับความชอบดวยกฎหมายในเน้ือหาของคําสั่งพิพาท

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๓

แตอยางใด คําวินิจฉัยอุทธรณของผูวาราชการจังหวัดเลยมีสาระสําคัญวา คําสั่งพิพาทเปนคําส่ัง
ท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากไมถูกตองตามรูปแบบตามท่ีกฎหมายกําหนด เชน ไมมีขอสนับสนุน
การใชดุลพินิจในการออกคําสั่ง และผูออกคําส่ังพิพาท คือ ผูฟองคดีที่ ๑ เปนผูไมมีอํานาจออกคําส่ัง
เพราะตองอยูในบังคับถูกเรียกเงินคืนดวย ซ่ึงผูวาราชการจังหวัดเลยไมไดสั่งใหเพิกถอน
คําสั่งพิพาทเอง แตสั่งใหผูถูกฟองคดีไปดําเนินการเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑
และคําส่ังอ่ืนๆ พรอมกับแตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
เพ่ือหาผูตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกทางราชการตอไป ซ่ึงหมายความวาผูถูกฟองคดี
ตองมีคําสั่งเพิกถอนคําส่ังพิพาทและดําเนินการแตงต้ังคณะกรรมการดังกลาวตอไป ตอมา
นายอําเภอภูเรือไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ แจงใหผูถูกฟองคดีดําเนินการ
ตามหนังสือจังหวัดเลยขางตน แตขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูถูกฟองคดียังไมไดเพิกถอนคําส่ังพิพาท
และไมไดดําเนินการแตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามหนังสือ
จงั หวัดเลยดังกลาว กรณีจึงไมอาจถือไดวาคําสั่งพิพาทถูกยกเลิกหรือเพิกถอนแลวตามมาตรา ๔๖ แหง
พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คําสั่งลงวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑
ซึ่งเปนมูลเหตุพิพาทในคดีน้ีจึงยังคงมีผลอยูตอไป ตราบเทาที่ยังไมมีการเพิกถอนหรือสิ้นผลลงโดย
เง่ือนเวลาหรือโดยเหตุอ่ืนตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และไมวาคําสั่ง
ลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จะเปนคําส่ังทางปกครองที่ชอบดวยกฎหมายหรือไมก็ตาม
ผูถูกฟองคดีอาจใชมาตรการบังคับทางปกครองตามคําสั่งพิพาทกับผูฟองคดีทั้งหกใหชําระเงิน
ใหครบถวนได ดังน้ัน ผูฟองคดีท้ังหกจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรือ
อาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเน่ืองจากคําสั่งดังกลาว และศาลปกครอง
มีอํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําส่ังพิพาทไดตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ ผูฟองคดีทั้งหกจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคหน่ึง แหง พระราชบัญญัติดังกลาว ประกอบกับผูฟองคดีท้ังหกไดดําเนินการตามขั้นตอนหรือ
วิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามที่กฎหมายกําหนดไวโดยเฉพาะแลว
กอนนําคดีมาฟองตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน จึงชอบที่
ศาลปกครองช้ันตนจะรับคําฟองคดีนี้ไวพิจารณาพิพากษาตอไป ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ัง
ไมรับคําฟองคดีน้ีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
ไมเ ห็นพองดวย

จงึ มีคาํ ส่ังกลับเปน ใหรับคําฟองคดนี ้ีไวพจิ ารณาตอไปตามรปู คดี
คําสัง่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๙๖/๒๕๖๓

ผูฟองคดีทั้งหกฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ ถึงท่ี ๖ ดํารงตําแหนงปลัดเทศบาล
หัวหนาฝายสงเสริมและสวัสดิการสังคม ผูอํานวยการกองคลัง หัวหนาฝายบริหารงานคลัง
นักวิชาการเงินและบัญชี และนักวิชาการพัสดุ ตามลําดับ ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่
ผูถูกฟองคดี (เทศบาลตําบลภูเรือ) ไดมีคําสั่งลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ เรียกเงินคืนจาก

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๔

ผฟู อ งคดที งั้ หก กรณีเบกิ จา ยเงนิ อุดหนุนใหกลุมหรือชุมชนดําเนินการเองในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๑
ถึง พ.ศ. ๒๕๕๒ เปนเงินจํานวน ๓๔๐,๐๐๐ บาท ผูฟองคดีทั้งหกไมเห็นดวยจึงไดมีหนังสือลงวันที่
๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๑ อุทธรณคําสั่งพิพาทตอนายกเทศมนตรีตําบลภูเรือ ตอมา ผูฟองคดีท้ังหก
ไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณจากผูวาราชการจังหวัดเลย ตามหนังสือลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑
วาคําส่ังเรียกเงินคืนดังกลาวเปนคําสั่งท่ีออกโดยไมถูกตองตามรูปแบบที่กฎหมายกําหนด
และเปนการออกคําส่ังโดยเจาหนาท่ีท่ีไมมีอํานาจ และใหผูถูกฟองคดีเพิกถอนคําสั่งดังกลาว
ผูฟองคดีท้ังหกเห็นวา ผูฟองคดีที่ ๑ ลงนามในคําสั่งแทนนายกเทศมนตรีตําบลภูเรือ จึงไมใช
คูกรณีในการออกคําสั่งพิพาท และผูฟองคดีทั้งหกเชื่อโดยสุจริตวาสามารถเบิกจายเงินอุดหนุน
ดังกลา วได และไมเหน็ ดวยกับคาํ สัง่ ดังกลาว จงึ นาํ คดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอน
คําส่ังลงวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ท่ีใหเรียกเงินคืนจากผูฟองคดีทั้งหก และเพิกถอนคําวินิจฉัย
อทุ ธรณข องผวู า ราชการจงั หวดั เลย ตามหนังสือลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีมีลักษณะเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ี
หนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙
วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ เมื่อผูวาราชการจังหวัดเลยในฐานะผูมีอํานาจ
พิจารณาอุทธรณตามกฎหมายพิจารณาแลวเห็นวา คําส่ังเรียกเงินคืนของผูถูกฟองคดีที่ให
เรียกเงินคืนจากผูฟองคดีท้ังหกเปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากไมถูกตองตามรูปแบบ
ท่ีกฎหมายกําหนด และเปนการออกคําส่ังโดยเจาหนาที่ท่ีไมมีอํานาจตามมาตรา ๓๗ วรรคหน่ึง
ประกอบกับมาตรา ๑๓ (๑) แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผูวาราชการ
จังหวัดเลยจึงมีหนังสือลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๖๑ ถึงนายอําเภอภูเรือเพื่อแจงใหผูถูกฟองคดี
เพิกถอนคําสั่งพิพาท และหากความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจากกรณีพิพาทมีเหตุอันควรเชื่อวา
เกิดจากการกระทําของเจาหนาท่ี ใหผูถูกฟองคดีดําเนินการแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผดิ ทางละเมดิ ตามกฎหมายเพื่อหาผูตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกทางราชการตอไป
จึงเหน็ ไดว า ตามหนงั สือดงั กลาวผูวาราชการจังหวัดเลยยังมิไดพิจารณาอุทธรณเก่ียวกับความชอบ
ดวยกฎหมายในเนื้อหาของคําส่ังพิพาทแตอยางใด เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูถูกฟองคดียังไมได
เพิกถอนคําส่ังพิพาทและไมไดดําเนินการแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมิดตามหนังสอื จงั หวดั เลยดังกลาวแตอ ยา งใด กรณีจึงไมอ าจถือไดวาคาํ สงั่ พพิ าทถูกยกเลิก
หรือเพิกถอนแลวตามมาตรา ๔๖ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
คําสั่งลงวันที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ซ่ึงเปนมูลเหตุพิพาทในคดีนี้จึงยังคงมีผลอยูตอไป
ตราบเทาที่ยังไมมีการเพิกถอนหรือสิ้นผลลงโดยเง่ือนเวลาหรือโดยเหตุอ่ืนตามมาตรา ๔๒
วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และไมวาคําส่ังลงวันท่ี ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ จะเปนคําส่ัง
ทางปกครองท่ีชอบดวยกฎหมายหรือไมก็ตาม ผูถูกฟองคดีก็อาจใชมาตรการบังคับทางปกครอง
ตามคําสั่งดังกลาวกับผูฟองคดีทั้งหกใหชําระเงินใหครบถวนได ดังนั้น ผูฟองคดีท้ังหกจึงเปน
ผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได
อันเน่ืองจากคําสั่งพิพาท และศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาวได

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๕

ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนงึ่ (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตง้ั ศาลปกครองฯ ผูฟองคดีท้ังหกจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดี
ตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบญั ญตั ดิ ังกลา ว ประกอบกับผูฟองคดีท้ังหก
ไดดําเนินการตามขั้นตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายตามท่ีกฎหมาย
กําหนดไวโดยเฉพาะแลวกอนนําคดีมาฟองตอศาลตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติ
เดยี วกนั จึงชอบทศ่ี าลปกครองชัน้ ตนจะรบั คําฟองคดีนี้ไวพ จิ ารณาพิพากษาตอไป ที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคําสงั่ ไมร บั คาํ ฟอ งคดีนี้ไวพจิ ารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
ไมเห็นพอ งดว ย

จงึ มีคําสง่ั กลบั เปน ใหรับคําฟองคดีน้ไี วพิจารณาตอไปตามรูปคดี
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๑๔/๒๕๖๓

ผฟู องคดีฟอ งวา ผูฟ องคดีไดร ับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(เลขาธิการคุรุสภา) มีคําสั่งแตงตั้งผูถูกฟองคดีที่ ๒ (คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมิด) สืบเน่ืองจากสํานักงานการตรวจเงินแผนดินแจงใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ สอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิด กรณีการดําเนินโครงการยกยองเชิดชูเกียรติผูทําคุณประโยชนตอคุรุสภา
ในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ โดยผูฟองคดีไดรับหนังสือเรียกใหผูฟองคดีชดใช
คา สินไหมทดแทนตามคําสั่งลงวันท่ี ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ เปนเงิน ๑๓,๙๕๐ บาท ผูฟองคดีจึงมี
หนังสือลงวันท่ี ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๒ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตอมา ผูฟองคดี
ไดรับหนังสือแจงคําสั่งลงวันท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ ซ่ึงแกไขเพ่ิมเติมคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ กรกฎาคม
๒๕๖๒ โดยแจงใหผูฟองคดีใชคาสินไหมทดแทน เปนเงิน ๒๔,๘๐๐ บาท ตามความเห็น
ของกรมบัญชีกลาง ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ อุทธรณคําสั่งดังกลาวตอ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งแตงตั้ง
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ คําสั่งเรียกใหชดใชคาสินไหมทดแทน ลงวันท่ี ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และคําส่ัง
เรยี กใหชดใชค าสนิ ไหมทดแทน ลงวันท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๖๒

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา กรณีที่ผูฟองคดีฟองขอใหเพิกถอนคําส่ัง
แตง ตง้ั ผูถกู ฟอ งคดีที่ ๒ นั้น เม่ือคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
เปน เพียงข้นั ตอนภายในของฝายปกครองเพ่ือดําเนินการแสวงหาขอเท็จจริงและพยานหลักฐานใน
เบ้ืองตนเกี่ยวกับบุคคลท่ีเก่ียวของในกรณีความรับผิดทางละเมิดในการดําเนินโครงการยกยอง
เชิดชูเกียรติผูทําคุณประโยชนตอคุรุสภา ในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ตามขอ ๘
วรรคหนง่ึ ของระเบยี บสํานักนายกรฐั มนตรี วาดวยหลกั เกณฑการปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจา หนา ท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ คําสัง่ ดงั กลาวจึงยังไมมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธหิ รือหนาที่ของ
บุคคลทจ่ี ะถอื เปนคําสัง่ ทางปกครองตามนัยมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.
๒๕๓๙ อันจะทําใหผูฟองคดีเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือ
เสยี หายโดยมิอาจหลีกเลย่ี งได ผูฟอ งคดจี งึ ไมมีสทิ ธฟิ อ งขอใหศาลปกครองเพกิ ถอนคําสั่งดังกลา ว สว น
ท่ีผูฟองคดีฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งท่ีใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนตามคําสั่งลงวันท่ี

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๖
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และคําส่ังลงวันท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ นั้น เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
กรมบัญชีกลางไดพิจารณากรณีที่สํานักงานการตรวจเงินแผนดินแจงใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ สอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดกรณีดําเนินโครงการยกยองเชิดชูเกียรติผูทําคุณประโยชนตอคุรุสภา
ในปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๕๔ และ พ.ศ. ๒๕๕๕ ซึ่งปรากฏความเสียหายและมีผูตองรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนเพ่ิมขึ้นตางไปจากที่สํานักงานเลขาธิการคุรุสภาสงใหกระทรวงการคลังตรวจสอบ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงไดมีคําส่ังลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ ใหยกเลิกในสวนท่ีใหผูฟองคดีรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนจากเดิมจํานวน ๑๓,๙๕๐ บาท เปนใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
จาํ นวน ๒๔,๘๐๐ บาท จึงตองถือวา คําส่ังลงวันที่ ๖ สงิ หาคม ๒๕๖๒ มีผลใชบังคับแทนท่ีคําส่ังลงวันที่
๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ แลว ดังน้ัน คําสั่งลงวันที่ ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ท่ีเปนเหตุแหงการฟองคดี
ในกรณีนี้จึงไมมีผลใชบังคับแลวในขณะที่มีการฟองคดีตอศาล ซึ่งในสวนของคําส่ังลงวันที่
๖ สิงหาคม ๒๕๖๒ น้ัน เม่ือผูฟองคดีฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาว กรณีจึงเปนคดีพิพาทเก่ียวกับ
การทเี่ จาหนา ทข่ี องรฐั กระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายอันอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาหรือมีคําสั่ง
ของศาลปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ และผูฟองคดี
เปนผูอยูในบังคับของคําสั่งดังกลาวซึ่งเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ผูฟ องคดียอมเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเน่ืองจากการกระทําของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๔๒
วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ และศาลปกครองมีอํานาจกําหนดคําบังคับได
ตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึง่ (๑) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว อยางไรก็ดี เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา
ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑
แมจะไมปรากฏหลกั ฐานวา เจา หนาทีท่ ่ีเก่ยี วของไดร ับอทุ ธรณข องผฟู องคดเี ม่ือใด แตอยางเร็วท่ีสุด
ที่เจาหนาที่ท่ีเก่ียวของจะไดรับหนังสืออุทธรณของผูฟองคดี คือ วันท่ี ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒
ซ่ึงจะครบระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดใหผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณจะตองพิจารณาอุทธรณ
ใหแลวเสร็จ คือ วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๖๒ ตามมาตรา ๔๕ วรรคหน่ึงและวรรคสอง แหง พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ การที่ผูฟองคดีนําคดีมาฟองตอศาลปกครองเม่ือวันท่ี
๒๔ กันยายน ๒๕๖๒ โดยที่ยังไมไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณและยังไมพนระยะเวลาที่กฎหมาย
กําหนดดังกลาว กรณีจึงตองถือวาผูฟองคดียังมิไดดําเนินการตามขั้นตอนและวิธีการสําหรับ
การแกไ ขความเดือดรอ นหรือเสยี หายในเรือ่ งดังกลาวและไดมีการสั่งการตามกฎหมายน้ันหรือมิได
มีการส่ังการภายในเวลาที่กฎหมายนั้นกําหนด ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟองของผูฟองคดี
ไวพิจารณาไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคําสั่งไมรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดเห็นพอ งดว ยในผล

จงึ มีคําส่ังยนื ตามคําส่งั ของศาลปกครองช้นั ตน

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๗

คําสัง่ ศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๑๔๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบลเมืองหมี

อําเภอเมืองหนองคาย จังหวัดหนองคาย ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒
(นายอําเภอโพธ์ิตาก) มีคําสั่งลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน
แกองคการบริหารสวนตําบลดานศรีสุข เปนเงิน ๕๒,๙๒๑.๖๐ บาท จากกรณีเมื่อครั้งผูฟองคดี
ดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหารสวนตําบลดานศรีสุข ในฐานะเปนผูบังคับบัญชาชั้นกลางและ
ผูผานงาน ในการดําเนินโครงการซอมแซมถนนลูกรังสายบานศูนยกลาง - ปูดดู กรณีกําหนด
ปริมาณลูกรังไมสอดคลองกับการคํานวณปริมาณลูกรังของคณะกรรมการกําหนดราคากลาง
เปนผลใหองคการบริหารสวนตําบลดานศรีสุขไดรับความเสียหาย ผูฟองคดีเห็นวา การปฏิบัติหนาท่ี
ของผูฟ อ งคดไี มถ ือวา เปน การประมาทเลินเลออยางรายแรง และการกําหนดจํานวนเงินคาสินไหมทดแทน
ไมถูกตองและไมเ ปนธรรม และผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๒ ไมใชหัวหนาหนวยงานของรัฐที่เสียหายจึงไมมีอํานาจ
ออกคําสั่งใหผูฟองคดีชําระคาสินไหมทดแทน คําส่ังพิพาทจึงเปนคําสั่งที่ออกโดยไมถูกตอง
ตามรูปแบบ ขน้ั ตอน หรือวิธีการอันเปนสาระสําคัญกฎหมาย นอกจากน้ี ผูฟองคดีจึงไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๗ เมษายน ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ แตไมไดรับแจงผลการพิจารณา
อุทธรณ ผูฟองคดีจึงไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ถึงผูถูกฟองคดีท้ังสอง (ผูวาราชการ
จังหวัดหนองคาย ที่ ๑) ขอทราบผลการพิจารณาอุทธรณ แตจนถึงวันฟองคดีก็ยังไมไดรับแจงผล
การพิจารณาอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่ง
ลงวันท่ี ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙ เฉพาะสวนที่ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงินจํานวน
๕๒,๙๒๑.๖๐ บาท และใหผถู ูกฟอ งคดที ั้งสองพิจารณาอทุ ธรณใ หแ ลวเสรจ็ ภายใน ๓๐ วัน

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีนี้ผูฟองคดีฟองและมีคําขอรวม ๒ ขอหา คือ
ขอหาท่ีหนึ่ง ผูฟองคดีฟองขอใหเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ลงวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ท่ีใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน กรณีจึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการท่ีเจาหนาที่ของรัฐ
ออกคําสั่งโดยไมช อบดว ยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
และเมื่อคําสั่งท่ีใหชดใชคาสินไหมทดแทนมีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิของผูฟองคดี
อันเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหาย
โดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดจากคําสั่งพิพาท และการแกไขหรือบรรเทาความเดือดรอนหรือเสียหาย
ดังกลาว ตองมีคําบังคับของศาลปกครอง โดยการสั่งเพิกถอนคําส่ังดังกลาว ผูฟองคดีจึงเปน
ผูมีสิทธิฟองในขอหาน้ีตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ซึ่งคําส่ังพิพาท
เปนการใชอํานาจตามมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
แตพระราชบัญญัติดังกลาวไมไดกําหนดข้ันตอนหรือวิธีการสําหรับการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายไวโดยเฉพาะ ผูฟองคดีจึงตองดําเนินการอุทธรณคําสั่งดังกลาว ตามมาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดี
ไดรับแจงคําส่ังดังกลาวตามหนังสือลงวันท่ี ๒๔ มีนาคม ๒๕๖๐ จากนั้น ผูฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๗ เมษายน ๒๕๖๐ อุทธรณคําสั่งตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๒

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๘

ไดรับอุทธรณดังกลาวเม่ือวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ และเมื่อครบกําหนดหกสิบวัน คือ วันท่ี
๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ ไมปรากฏวาผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณไดแจงผลการพิจารณาอุทธรณ
หรือมีหนังสือแจงการขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณใหแกผูฟองคดีทราบแตอยางใด ท้ังนี้
ตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว กรณียอมถือวาวันท่ี
๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ เปนวันท่ีผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบ
ตามข้ันตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว และผูฟองคดีสามารถใชสิทธิฟองคดีขอให
ศาลปกครองมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ได ท้ังน้ี ตามมาตรา ๔๒
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ วันถัดมา คือ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ จึงเปนวันที่
ผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และนับเปนวันแรกท่ีเริ่มใชสิทธิในการฟองคดี
เพ่ือขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งดังกลาว โดยจะตองยื่นฟองคดีภายในกําหนด
เกา สบิ วันนับแตวนั ดงั กลา ว ทงั้ นี้ ตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยไมจําตอง
รอผลคําวินิจฉัยอุทธรณของผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณอีกตอไป ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดีนําคดี
มายื่นฟองในขอหานี้ เม่ือวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๖๒ จึงเปนการย่ืนฟองเม่ือพนกําหนดระยะเวลา
การฟองคดี และคําฟองน้ีเปนการฟองคดีเพ่ือขอใหเพิกถอนคําสั่งทางปกครองที่เรียกใหผูฟองคดี
ชดใชคาสินไหมทดแทนอันเปนประโยชนสวนตัวของผูฟองคดีเทานั้น รวมทั้งมิไดมีเหตุจําเปนอื่น
ท่ีศาลจะรับคําฟองนี้ไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ศาลปกครอง
จึงไมอ าจรับคาํ ฟอ งขอ หานีไ้ วพิจารณาพพิ ากษาได

ขอหาที่สอง ผูฟองคดีฟองขอใหผูถูกฟองคดีท้ังสองพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จ
ภายในสามสิบวัน เปนกรณีที่ผูฟองคดีประสงคขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ในฐานะเจา หนาทผ่ี ูท าํ คําส่ังทางปกครอง และผูถ กู ฟอ งคดที ี่ ๑ ในฐานะผมู อี ํานาจพิจารณาอุทธรณ
ปฏิบัติหนาที่วินิจฉัยอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในระยะเวลาที่กําหนด กรณีจึงเปน
คดีพิพาทเกี่ยวกับการที่เจาหนาท่ีของรัฐละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ
หรอื ปฏบิ ัติหนาทีด่ งั กลา วลา ชาเกนิ สมควรตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๒) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
และการท่ีผมู อี ํานาจพจิ ารณาอุทธรณไ มไดแจงผลการพิจารณาอุทธรณหรือมีหนังสือแจงการขยาย
ระยะเวลาพิจารณาอุทธรณใหแกผูฟองคดีทราบภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีเจาหนาที่ของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดรับอุทธรณ ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะ
เดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดจากการกระทําของผูถูกฟองคดีท้ังสอง และ
เปนผูมีสิทธิฟองคดีในขอหานี้ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เมื่อ
ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดีไมไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณภายในหกสิบวันนับแตวันที่
เจาหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดรับอุทธรณเมื่อวันท่ี ๑๐ เมษายน ๒๕๖๐ คือ ภายในวันที่
๙ มิถุนายน ๒๕๖๐ วันถัดจากวันดังกลาว คือ วันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๖๐ จึงเปนวันท่ีผูฟองคดีรู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีวาผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ละเลยไมพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดี
หรือพิจารณาอุทธรณดังกลาวลาชาเกินสมควร และสามารถใชสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองได
ภายในเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว ทั้งน้ี ตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ดังนั้น

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๓๙

การท่ีผูฟองคดีนําคดีมายื่นฟองเมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๒ ในขอหานี้จึงเปนการยื่นฟองคดี
เมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดี ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟองขอหาน้ีไวพิจารณาพิพากษาได
สวนการที่ผูฟองคดีไดมีหนังสือหนังสือลงวันท่ี ๑๘ ตุลาคม ๒๕๖๑ ขอทราบผลการพิจารณา
อุทธรณของผูฟองคดี นั้น เปนเพียงหนังสือสอบถามความคืบหนาการพิจารณาอุทธรณคําอุทธรณ
จึงไมเปนเหตุใหการนับระยะเวลาการฟองคดีตองเร่ิมนับใหมหรือเปนการขยายกําหนดระยะเวลา
การฟองคดีที่เร่ิมนับไปแลวแตอยางใด ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคําฟองน้ีไวพิจารณา และ
ใหจ ําหนายคดอี อกจากสารบบความ น้นั ศาลปกครองสูงสุดเห็นพอ งดวย

จึงมคี าํ สง่ั ยืนตามคําสงั่ ของศาลปกครองชั้นตน
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๔๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเคยดํารงตําแหนงผูอํานวยการสวนบริหารการคลัง
สังกัดสํานักการคลัง เทศบาลนครปากเกร็ด ผูฟองคดีไดรับคําส่ังของผูถูกฟองคดี (ผูวาราชการ
จังหวัดนนทบุรี) ตามคําส่งั ลงวันที่ ๙ พฤศจกิ ายน ๒๕๖๑ เรยี กใหผ ูฟองคดชี ดใชคาสินไหมทดแทน
จํานวน ๒๗,๘๔๘.๐๘ บาท ใหแกเ ทศบาลนครปากเกร็ด ผฟู องคดมี หี นังสอื ลงวันที่ ๒๖ พฤศจิกายน
๒๕๖๑ อุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดี ซ่ึงผูถูกฟองคดีไดรับเม่ือวันที่ ๒๗ พฤศจิกายน
๒๕๖๑ แตผูฟองคดียังไมไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งของผูถูกฟองคดี
ไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ในสวนท่ีใหผูฟองคดชี ดใชค าสนิ ไหมทดแทน เปน เงนิ จาํ นวน ๒๗,๘๔๘.๐๘ บาท

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา กรณีเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีเจาหนาที่ของรัฐ
ออกคําส่ังโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
ซ่ึงศาลปกครองช้ันตนไดมีคําส่ังรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๖๒
ตอมา ในระหวางการพิจารณาคดีของศาลปกครองชั้นตน ความปรากฏวา กรมบัญชีกลาง
ไดตรวจสอบสํานวนการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกรณีดังกลาวแลว ผลการพิจารณา
ความรับผดิ ทางละเมิดของเจาหนาที่ ซ่ึงทําใหความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ีเปล่ียนแปลงไป
จากเดิม โดยในสวนของผูฟองคดี กรมบัญชีกลางมีความเห็นใหผูฟองคดีกับพวกรับผิดชดใช
คาสนิ ไหมทดแทนใหแกเ ทศบาลนครปากเกรด็ เฉพาะสว นของตนในอัตรารอยละ ๒๐ ของความเสียหาย
จํานวน ๑,๖๔๕,๔๕๙.๐๖ บาท ผูถูกฟองคดีจึงมีคําสั่งลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ลงวันท่ี
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ที่เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนสิ้นผลบังคับลง และแมคําส่ัง
ลงวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ มิไดระบุใหการยกเลิกคําส่ังลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑
มีผลยอนหลังไปถึงวันที่ออกคําสั่งก็ตาม แตเมื่อไมปรากฏวากอนท่ีผูถูกฟองคดีจะมีคําส่ังลงวันที่
๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ผูถูกฟองคดีไดใชมาตรการบังคับทางปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพยสิน
ของผูฟองคดีและขายทอดตลาดเพ่ือชําระเงินคาสินไหมทดแทนแตอยางใด และเม่ือคําสั่งลงวันท่ี
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ถูกยกเลิก ก็ยอมไมสามารถใชมาตรการบังคับทางปกครองตามคําส่ังดังกลาว
ทีส่ ้นิ ผลลงแลว ไดอกี ตอ ไป จึงเหน็ วา แมคาํ ส่ังจังหวัดนนทบุรี เร่ือง ใหเจาหนาที่เทศบาลนครปากเกร็ด

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๐

ชดใชคาสินไหมทดแทน ลงวันที่ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ จะเปนคําสั่งทางปกครองท่ีชอบหรือไม
ชอบดวยกฎหมายก็ตาม แตเมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวามีการใชมาตรการบังคับทางปกครอง
ตามคําสั่งดังกลาว กรณีจึงเปนการเพียงพอแลวท่ีผูถูกฟองคดีมีคําสั่งลงวันท่ี ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
โดยมิไดระบุใหมีผลยอนหลังไปถึงวันออกคําสั่งลงวันท่ี ๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เมื่อคําส่ังลงวันท่ี
๙ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน ท่ีกอความเดือดรอนหรือ
ความเสียหายแกผูฟองคดีและที่เปนเหตุแหงการฟองคดีนี้สิ้นผลบังคับลงแลว กรณีจึงไมมีประโยชน
ท่ีศาลจะพิจารณาคดีนี้และมีคําพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่งดังกลาวอีกตอไป การที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคาํ สง่ั จาํ หนายคดีออกจากสารบบความ น้นั ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวย

จึงมคี ําสัง่ ยืนตามคําสงั่ ของศาลปกครองชน้ั ตน
คาํ ส่ังศาลปกครองสูงสดุ ที่ คร.๑๐/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เมื่อประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ผูฟองคดีไดเขารับการรักษา
ตุมหนองท่ีเหงือกท่ีคลินิกพิเศษ คณะทันตแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยมหิดล โดยทันตแพทย
ไดทําการรักษาดวยวิธีการถอนฟนและรับประทานยาฆาเช้ือ พรอมทั้งไดรับเอกสารคําแนะนํา
การดูแลชองปากหลังการถอนฟน ภายหลังจากผูฟองคดีบวนปากดวยน้ํายาบวนปากทําใหเกิด
อาการอักเสบอยางรุนแรง ผูฟองคดีจึงมีหนังสือรองเรียนตอนายกทันตแพทยสภา ตอมา
ทันตแพทยสภาไดมีคําสั่งลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗ โดยมีมติยกขอกลาวหาทันตแพทย
ผูทําการรักษา ผูฟองคดีจึงมีหนังสือถึงสํานักงานเลขาธิการทันตแพทยสภาเพื่อขอสํานวน
การสืบสวนพรอมพยานหลักฐานทั้งหมด และคําวินิจฉัยของทันตแพทยสภาในคดีหมายเลขดํา
ที่ ๑๐/๒๕๕๔ ซ่งึ จากการตรวจสอบพบวา กระบวนการสืบสวนและการวินิจฉัยยังมีความขัดแยงกันอยู
ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองตอศาลขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง ดังน้ี ๑) ชี้ขาดวากระบวนการ
พิจารณาคดีของทันตแพทยสภา ในคดีหมายเลขดําท่ี ๑๐/๒๕๕๔ เปนไปตามขั้นตอน
ของกระบวนการยุติธรรมและชอบดวยกฎหมายหรือไม ๒) ช้ีขาดวากระบวนการพิจารณาคดี
ของทันตแพทยสภา คดีหมายเลขดําท่ี ๑๐/๒๕๕๔ มีการเอื้อประโยชนตอพวกพองละเมิดสิทธิ
และหลอกลวงประชาชนวา ไมมีการตัดกระดูกรองรับรากฟนหรือไม ๓) ขอใหเพิกถอนคําตัดสิน
ของทันตแพทยสภา ในคดีหมายเลขดําที่ ๑๐/๒๕๕๔ และ ๔) ใหกระทรวงศึกษาธิการ
อันเปนหนวยงานตนสังกัดของคณะทันตแพทยมหาวิทยาลัยมหิดล เยียวยาและชดใชคาเสียหาย
จนเสียโอกาสในการทํารากฟนเทียม เนื่องจากการปฏิบัติตามเอกสารคําแนะนําภายหลังการถอนฟน
ท่ีไมถูกตอง เห็นวา คําฟองตามคําขอท่ี ๓ เปนคดีพิพาทเก่ียวกับการที่หนวยงานทางปกครอง
หรือเจาหนาที่ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ ภายหลังจากผูฟองคดีไดรับแจงผลการพิจารณาตามคําส่ังทันตแพทยสภา
ลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗ แลว ผูฟองคดีไดมีหนังสือคัดคานคําสั่งดังกลาว และไดย่ืนฟองคดี
ตอศาลปกครองชั้นตนเพ่ือขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดี
ตอมาศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๑

ตามคดีหมายเลขแดงที่ ๑๒๐๙/๒๕๕๗ เน่ืองจากผูฟองคดียื่นฟองเมื่อพนกําหนดระยะเวลา
การฟองคดี และโดยท่ีผูฟองคดีมิไดยื่นคํารองอุทธรณคําสั่งของศาลปกครองช้ันตนภายในกําหนด
สามสิบวันนับแตวันที่ศาลไดมีคําส่ังดังกลาว คดีจึงเปนอันถึงท่ีสุด ตามมาตรา ๗๓ วรรคหน่ึง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เมื่อผูฟองคดีนําคดีมาฟองเปนคดีนี้ โดยมีคําขอใหเพิกถอนคําตัดสิน
ของทันตแพทยสภาคดีหมายเลขดําท่ี ๑๐/๒๕๕๔ ซ่ึงหมายถึงคําชี้ขาดตามคําส่ังทันตแพทยสภา
ลงวันท่ี ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗ ที่ผูฟองคดีมีคําขอใหเพิกถอนในคดีกอน จึงมีวัตถุแหงคดี
อยา งเดยี วกับคดกี อน สว นกรณีตามคาํ ขอขอ ๑) และ ๒) น้ัน เปนกรณีท่ีผูฟองคดีโตแยงกระบวนการ
พจิ ารณาเรื่องรอ งเรียนของคณะอนกุ รรมการจรรยาบรรณทนั ตกรรมแพทยสภา ในคดีหมายเลขดํา
ท่ี ๑๐/๒๕๕๔ ซ่ึงความเห็นของคณะอนุกรรมดังกลาวเปนเพียงข้ันตอนการเตรียมการและ
การดําเนินการของเจาหนาที่เพื่อจัดใหมีคําสั่งทางปกครอง คือ คําส่ังทันตแพทยสภา ลงวันที่
๒๙ มกราคม ๒๕๕๗ เทาน้ัน ความเห็นของคณะอนุกรรมการดังกลาวจึงเปนเพียงการพิจารณา
ทางปกครองกอนมีคําส่ังทางปกครอง ซ่ึงผูฟองคดีสามารถยกกรณีดังกลาวข้ึนวากลาว
ในคดีหมายเลขแดงท่ี ๑๒๐๙/๒๕๕๗ การท่ีผูฟองคดียื่นฟองคดีนี้ จึงเปนการนําคดีซึ่งศาลไดมี
คําสั่งชี้ขาดคดีถึงท่ีสุดแลวมาฟองกันอีกในประเด็นที่ศาลไดวินิจฉัยโดยอาศัยเหตุอยางเดียวกัน
อนั เปน การฟอ งซํ้าตองหามตามขอ ๙๗ แหงระเบยี บของทปี่ ระชมุ ใหญฯ วา ดว ยวธิ ีพจิ ารณาคดปี กครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ สําหรับกรณีที่ผูฟองคดีมีคําขอทายฟองขอท่ี ๔ ขอใหกระทรวงศึกษาธิการอันเปน
หนวยงานตนสังกัดของคณะทันตแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยมหิดลเยียวยาและชดใชคาเสียหาย
จนเสียโอกาสในการทํารากฟนเทียม เนื่องจากการปฏิบัติตามเอกสารคําแนะนําภายหลัง
จากการถอนฟนที่ไมถูกตอง น้ัน เห็นวา คําฟองและคําขอของผูฟองคดีในขอหาน้ีเปนคดีพิพาท
เกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐอันเกิดจากการใช
อํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ
เมื่อทันตแพทยสภามีหนังสือลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๗ ถึงผูฟองคดีเพื่อแจงคําส่ัง
ทันตแพทยสภา ลงวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๕๗ โดยในทายคําสั่งดังกลาวไดมีการแจงสิทธิ
การฟองคดีตอศาลใหผูฟองคดีทราบ แมไมปรากฏวาผูฟองคดีไดรับทราบคําส่ังดังกลาวในวันใด
แตอยางชาที่สุดไมเกินวันที่ ๑๒ กุมภาพันธ ๒๕๕๗ ซ่ึงเปนวันท่ีผูฟองคดีมีหนังสือคัดคานคําสั่ง
ของทนั ตแพทยสภาไปยงั สาํ นกั นายกรัฐมนตรี อันถือไดวาวันดังกลาวเปนวันที่ผูฟองคดีรูหรือควรรู
ถงึ เหตุแหง การฟองคดี และผฟู อ งคดีตอ งยื่นฟอ งขอใหก ระทรวงศกึ ษาธิการชดใชคาเสียหายภายใน
หนึ่งปนับแตวันท่ี ๑๒ กุมภาพันธ ๒๕๕๗ เปนตนไป ซึ่งตองไมเกินวันท่ี ๑๒ กุมภาพันธ ๒๕๕๘
การท่ีผูฟองคดีย่ืนฟองคดีโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียน เมื่อวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๖๒
จึงเปนการฟองคดีเม่ือพนกําหนดหนึ่งป นับแตวันที่รูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี ตามมาตรา
๕๑ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ทั้งการฟองคดีเพ่ือประโยชนของผูฟองคดีโดยเฉพาะ
กรณีจึงมิใชเปนการฟองคดีเก่ียวกับการคุมครองประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคล
ท่ีจะย่ืนฟองคดีเม่ือใดก็ได นอกจากน้ี คดีน้ีไมไดเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีขอเท็จจริง
ที่ทําใหผูฟองคดีไมอาจยื่นคําฟองภายในระยะเวลาตามท่ีกฎหมายกําหนด อันถือเปนเหตุจําเปนอื่น

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๒
ท่ีศาลจะมีคําสั่งใหรับคําฟองไวพิจารณาได ตามมาตรา ๕๒ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
ประกอบขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ ทศ่ี าลปกครองชนั้ ตนมคี ําสั่งไมรับคําฟองคดีนี้ไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจาก
สารบบความ นนั้ ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พอ งดวย

จงึ มคี ําสั่งยืนตามคําส่ังของศาลปกครองชน้ั ตน
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสดุ ที่ คร.๑๔๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนขาราชการบํานาญ สังกัดกรมขาวทหารอากาศ
เม่ือคร้ังผูฟองคดีชั้นยศพันจาอากาศเอก ไดไปปฏิบัติหนาที่ราชการประจําอยูในตางประเทศ
ตําแหนงเสมียนประจําสํานักงานผูชวยทูตฝายทหารอากาศไทย และทําหนาท่ีเสมียนประจํา
สํานักงานผูชวยทูตฝายทหารไทย ประจําสถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ
ราชอาณาจักรกัมพูชา ตั้งแตวันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๑ โดยไดรับเงินเพิ่มพิเศษสําหรับขาราชการ
ซ่ึงมีตําแหนงหนาที่ประจําอยูในตางประเทศ (พ.ข.ต.) ในอัตราที่เทียบเทากับขาราชการพลเรือน
ประเภทท่ัวไป ระดับปฏิบัติงาน ตามบัญชีการเทียบตําแหนงขาราชการทหารและขาราชการ
ตํารวจกับตําแหนงขาราชการพลเรือนตามระบบจําแนกตําแหนงใหม เพ่ือประโยชนในการเบิก
พ.ข.ต. และบัญชีอัตรา พ.ข.ต. ตามหนังสือกระทรวงการคลัง ลงวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒
และหนังสือลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ตอมา กระทรวงการคลังโดยผูถูกฟองคดี (กรมบัญชีกลาง)
มหี นังสอื ลงวันที่ ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึงปลัดกระทรวงกลาโหม แจงยกเลิกบัญชีการเทียบตําแหนงฯ
ตามทายหนังสือลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ และใหใชการเทียบตําแหนงขาราชการทหาร
กับตําแหนงขาราชการพลเรือนเพื่อประโยชนในการเบิก พ.ข.ต. ใหม โดยในสวนของผูฟองคดี
ซงึ่ เดิมกาํ หนดใหเ ทยี บเทากบั ขา ราชการพลเรือน ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน ไดมีการกําหนดใหม
ใหเทียบเทากับขาราชการพลเรือน ประเภทท่ัวไป ระดับชํานาญงาน ทั้งน้ี ใหมีผลบังคับใชต้ังแต
วันท่ี ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ เปนตนไป ผูฟองคดีเห็นวา การท่ีผูถูกฟองคดีไดกําหนดหลักเกณฑ
การเทียบตําแหนงฯ ทายหนังสือลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ และลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔
เปนการกําหนดหลักเกณฑที่ไมสอดคลองกับความเปนจริงและไมเปนไปตามหลักเกณฑ
และเงื่อนไขการเทียบตําแหนงอยางอ่ืนเทากับการดํารงตําแหนงของขาราชการพลเรือนสามัญ
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดียกเลิกการเทียบตําแหนง
ขาราชการทหารกับตําแหนงขาราชการพลเรือน เพื่อประโยชนในการเบิก พ.ข.ต. ตามหนังสือ
กระทรวงการคลังลงวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ และลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ใหผูถูกฟองคดี
แกไขการเทียบตําแหนงขาราชการทหารกับตําแหนงฯ ตามหนังสือดังกลาวใหสอดคลองกับ
ความเปนจริง และเปนไปตามหลักเกณฑและเง่ือนไขการเทียบตําแหนงอยางอื่นเทากับ
การดํารงตําแหนงขาราชการพลเรือนสามัญของ ก.พ. และใหผูถูกฟองคดีชดใชสวนตาง
ของเงินเพ่ิมพิเศษสําหรับขาราชการซ่ึงมีตําแหนงหนาที่ประจําอยูในตางประเทศ (พ.ข.ต.)

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๓

ตั้งแตวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ จํานวน ๔๕ เดือน ๒๑ วัน และ
สว นตางคา ใชจา ยในการยายถ่ินที่อยู (เทย่ี วกลบั ) ของขา ราชการและคูสมรส

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา โดยท่ีการเทียบตําแหนงขาราชการทหาร
กับตําแหนงขาราชการพลเรือน เพื่อประโยชนในการเบิกจาย พ.ข.ต. ตามหนังสือ
กระทรวงการคลังฉบับพิพาทมีผลบังคับเปนการทั่วไปโดยไมมุงหมายใหใชบังคับแกกรณีใด
หรือบุคคลใดเปนการเฉพาะ จึงอยใู นความหมายเปนกฎตามมาตรา ๓ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
และมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งหากผูฟองคดีเห็นวา
ตนไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากหลักเกณฑการเทียบตําแหนงของกฎตามหนังสือ
กระทรวงการคลงั ลงวนั ที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ และลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ท่ีมีความไมชอบ
ดวยกฎหมาย กอใหเกิดความเสียหายแกผูฟองคดีโดยไดรับ พ.ข.ต. ในจํานวนที่นอยกวา
ความเปนจริงอันเปนการละเมิดตอผูฟองคดีอยางไร และผูฟองคดีประสงคจะฟองขอใหศาล
เพิกถอนกฎตามหนังสือท้ังสองดังกลาว และใหหนวยงานทางปกครองท่ีเก่ียวของชดใชคาสินไหมทดแทน
ความเสียหายแกผฟู อ งคดี อันเปนการฟองในขอหาคดีพิพาทเกี่ยวกับการที่หนวยงานทางปกครอง
กระทาํ การ (ออกกฎ) โดยไมชอบดวยกฎหมาย และการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครอง
อนั เกดิ จากกฎ ตาม พ.ร.บ. จัดตง้ั ศาลปกครองฯ มาตรา ๙ วรรคหนงึ่ (๑) และ (๓) ตามลําดับ โดย
คําฟองในขอหาตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) น้ัน เห็นวา แมภายหลังจากมีการใชกฎตามหนังสือ
กระทรวงการคลัง ลงวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ แลว ตอมา ทางราชการจักไดมีกฎใหม
ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ออกมาใชบังคับ อันมีลักษณะเปนการยกเลิกกฎ
ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ และหลังจากน้ัน ยังไดมีกฎตามหนังสือ
ลงวันท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ออกมาใชบังคับอีก อันมีลักษณะเปนการยกเลิกกฎตามหนังสือ
ลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ แลว กต็ าม แตก ารยกเลิกกฎเดมิ ของหนงั สือลงวนั ที่ ๑๗ มถิ นุ ายน ๒๕๕๔
และลงวันท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘ ดังกลาว มิไดเปนการยกเลิกกฎเดิมโดยใหมีผลยอนหลังไปถึง
วันใชบังคับของกฎตามหนังสือกระทรวงการคลังฉบับเดิมที่ถูกยกเลิกแตอยางใดไม ดังนั้น
ความเดือดรอนหรือเสียหายอันเกิดจากฎตามหนังสือกระทรวงการคลังฉบับเดิมกอนหนาน้ันของ
ผูฟองคดีจึงยังคงมีอยู หาไดถูกยกเลิกไปดวยไม ผูฟองคดีจึงเปนผูไดรับความเดือดรอน
หรือเสียหายท่ีมีสิทธิฟองตามขอหาน้ีได โดยผูฟองคดีจะตองนําคดีมาฟองตอศาลปกครองชั้นตน
ภายในเกาสิบวันนับแตวันทีร่ ูห รอื ควรรูถงึ เหตแุ หงการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ซึ่งวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี คือ วันที่รูถึงการออกกฎตามหนังสือลงวันที่
๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ ที่มีผลใชบังคับต้ังแตวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ เปนตนไป และกฎ
ตามหนังสือลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ ท่ีมีผลใชบังคับต้ังแตวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๕๕๔ เปนตนไป
ซึ่งอยางชาที่สุดก็ในวันส้ินเดือนมกราคม ๒๕๕๒ สําหรับกฎตามหนังสือลงวันท่ี ๑๕ มกราคม
๒๕๕๒ และวันส้ินเดือนมิถุนายน ๒๕๕๔ สําหรับกฎตามหนังสือลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔
อันเปนวันส้ินเดือนแรกที่ผูฟองคดีไดรับ พ.ข.ต. ตามกฎของหนังสือกระทรวงการคลังแตละฉบับ
ดังกลาว เม่ือนับแตวันดังกลาวจนถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๒ อันเปนวันยื่นฟองคดีตามขอหาน้ี

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๔
เปนเวลาเกินกวาเกาสิบวันนับแตวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีแลวตามมาตรา ๔๙ แหง
พ.ร.บ. จัดต้งั ศาลปกครองฯ ไมอยูในเงอ่ื นไขการฟอ งคดีทศี่ าลปกครองช้ันตน จะรบั ไวพิจารณาได

สําหรับคําฟองในขอหาตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ัง
ศาลปกครองฯ ซ่ึงจะตองย่ืนฟองภายในหน่ึงปนับแตวันที่รูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี
ตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน น้ัน เห็นวา เนื่องจากความเดือดรอนหรือเสียหาย
ของผูฟองคดีท่ีไดรับ พ.ข.ต. ในแตละเดือนนอยกวาจํานวนความเปนจริงตามท่ีผูฟองคดีกลาวอาง
เร่มิ กอตง้ั ขึน้ นับแตวันทก่ี ระทรวงการคลงั ไดอ อกกฎตามหนังสือลงวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๕๒ และ
ลงวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ เกี่ยวเนื่องกันมาจนสําเร็จผลในวันที่ผูฟองคดีมีสิทธิไดรับ พ.ข.ต.
ในแตละเดือน จึงตองถือวาวันที่ผูฟองคดีมีสิทธิไดรับ พ.ข.ต. ในแตละเดือนดังกลาวเปนวันท่ี
ผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามขอหานี้ เมื่อผูฟองคดีมีสิทธิไดรับ พ.ข.ต.
เดือนสุดทายในวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๕ ดังน้ัน แมจะนับแตวันดังกลาวซึ่งเปนวันที่ผูฟองคดีรู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีในเดือนท่ีมีสิทธิไดรับ พ.ข.ต. คร้ังหลังสุด จนถึงวันที่ ๑๐ เมษายน ๒๕๖๒
อันเปนวันย่ืนฟองคดีนี้ เปนเวลาเกินกวาหนึ่งปนับแตวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี
ตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ไมอยูในเง่ือนไขการฟองคดีท่ีศาลปกครองช้ันตน
จะรับไวพ ิจารณาไดเชน กัน

สวนที่ผูถกู ฟอ งคดีมีหนังสอื ลงวนั ท่ี ๓๑ ตุลาคม ๒๕๖๑ ถึงปลัดกระทรวงกลาโหม น้ัน
เปนเพียงการแจงยืนยันใหทราบวา การเทียบตําแหนงตามหนังสือลงวันท่ี ๒๖ ตุลาคม ๒๕๕๘
โดยใหมีผลบังคับใชตั้งแตวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ มิไดมีผลบังคับใชยอนหลังไปนับแตวันที่
๑๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ ตามท่ีสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมขอใหพิจารณาแกไขปญหาดังกลาวเทาน้ัน
หาไดทําใหเปนการขยายกําหนดเวลาการฟองคดีของผูฟองคดีออกไปโดยนับแตวันท่ีไดรับแจง
หนังสือของผูถูกฟองคดีดังกลาวแตอยางใดไม และตามคําฟองนี้เปนการฟองเพ่ือประโยชนของ
ผูฟองคดีกับพวกท่ีฟองในลักษณะเดียวกันนี้ หาไดเกี่ยวกับการคุมครองประโยชนสาธารณะหรือ
จะเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอื่นที่ทําใหตองย่ืนฟองคดีเมื่อพนกําหนดเวลา
การฟอ งคดี อกี ทงั้ จาํ นวนคา สนิ ไหมทดแทนตามที่ผูฟ องคดีเรียกรองเพิ่มข้ึนจากทางราชการถาหากมี น้ัน
เปน เพียงสิทธิเรียกรองซึ่งทางราชการยังไมไดโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพยสินดังกลาวใหแกผูฟองคดี ดังนั้น
ผูฟองคดีจึงไมอยูในฐานะเปนเจาของทรัพยสินท่ีมีสิทธิติดตามเอาคืนซ่ึงทรัพยสินของตนจากบุคคล
ผูไมมีสิทธิจะยึดถือไว ซึ่งจะทําใหผูฟองคดีมีสิทธิฟองคดีในขอหาตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหง
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยไมมีกําหนดอายุความตามมาตรา ๑๓๓๖ แหงประมวลกฎหมาย
แพงและพาณิชย ตามท่ีผูฟองคดีกลาวอาง ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองไวพิจารณา
และใหจ ําหนายคดีออกจากสารบบความ นัน้ ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดวยในผล

จงึ มคี ําสงั่ ยืนตามคําส่ังของศาลปกครองชั้นตน

แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๕

คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๒๖๙/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดฟี อ งวา ผฟู อ งคดีดาํ รงตําแหนง ปลัดเทศบาลตําบลบา นใหม ไดรับการแตงต้ัง

จากผูถูกฟองคดีที่ ๑ (คณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดพิษณุโลก) ใหเปนผูอํานวยการ
การเลือกต้ังประจําเทศบาลตําบลบานใหม เพื่อจัดการเลือกต้ังนายกเทศมนตรีและสมาชิก
สภาเทศบาลตําบลบานใหม ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
ใหผ ูฟอ งคดพี นจากตาํ แหนง ผูอาํ นวยการการเลือกตั้งประจําเทศบาลตําบลบานใหม และแตงต้ังให
นาย ว. ใหดํารงตําแหนงดังกลาวแทน ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งดังกลาวทําใหผูฟองคดีไดรับความ
เสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ
๒๕๕๑ ที่ส่ังใหผูฟองคดีพนจากตําแหนงผูอํานวยการการเลือกตั้งประจําเทศบาลตําบลบานใหม
และแตงต้ังผูดํารงตําแหนงแทน และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (สํานักงานคณะกรรมการการเลือกต้ัง)
ชดใชคาสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิดจากคําสั่งเปนเงิน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ีย
ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับตั้งแตวันฟองไปจนกวาจะชําระเสร็จสิ้น เห็นวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําส่ังลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีพนจากตําแหนงผูอํานวยการการเลือกตั้ง
ประจําเทศบาลตําบลบานใหม อันเปนการใชอํานาจทางปกครอง ไมไดมีลักษณะเปนการใช
อํานาจวินิจฉัยชี้ขาดของคณะกรรมการการเลือกตั้งซึ่งเปนการใชอํานาจโดยตรงตามรัฐธรรมนูญ
เม่ือผูฟองคดีอางวาคําสั่งดังกลาวโดยไมชอบดวยกฎหมาย และขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
เพิกถอนคําส่ังดังกลาวพรอมใหชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูฟองคดี จึงเปนคดีพิพาทเก่ียวกับ
การท่ีหนว ยงานทางปกครองหรือเจาหนาทข่ี องรฐั ออกคาํ สั่งโดยไมชอบดวยกฎหมายและคดีพิพาท
เกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจากคําสั่ง
ทางปกครองตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๑) และ (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ เม่ือคําสั่ง
ดังกลาวมีผลกระทบตอสิทธิและหนาที่ของผูฟองคดีในฐานะที่ผูฟองคดีที่เปนผูอํานวยการ
การเลือกตั้งประจําเทศบาลตําบลบานใหม และทําใหผูฟองคดีเสียสิทธิท่ีจะไดรับคาตอบแทน
และผลประโยชนอันพึงมีพึงไดจากการทําหนาที่ดังกลาว ผูฟองคดีจึงเปนผูท่ีไดรับความเดือดรอน
เสยี หายจากคําสั่งดังกลาว และเปน คําขอที่ศาลอาจกาํ หนดคําบังคบั ได ทงั้ นี้ ตามมาตรา ๗๒ วรรคหน่ึง
(๑) และ (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง
ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ซึ่งกรณีที่ตองมีการเลือกตั้งสมาชิก
สภาทองถิ่นหรือผูบริหารทองถ่ินขององคกรปกครองสวนทองถิ่น คณะกรรมการการเลือกตั้ง
ประจําจังหวัดมีอํานาจในการแตงตั้งหัวหนาพนักงานสวนทองถิ่นเปนผูอํานวยการการเลือกตั้ง
ประจําองคกรปกครองสวนทองถ่ิน ตามมาตรา ๑๙ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิก
สภาทองถ่ินและผูบริหารทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ และในกรณีท่ีคณะกรรมการการเลือกต้ังประจําจังหวัด
เห็นวา ผูอํานวยการการเลือกตั้งประจําองคกรปกครองสวนทองถ่ินกระทําการอยางหนึ่งอยางใด
อันอาจเกิดความเสียหายแกการจัดการเลือกตั้งหรืออาจทําใหการเลือกตั้งดังกลาวไมสุจริต
หรือเที่ยงธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัดอาจมีคําสั่งใหผูอํานวยการการเลือกต้ัง
ประจําองคกรปกครองสวนทองถิ่นยุติการกระทําดังกลาวไวเปนการช่ัวคราวได ตามมาตรา ๑๐๗

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๖

วรรคหนง่ึ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และเปนอํานาจของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่จะส่ังให
ผูอํานวยการการเลือกตั้งประจําองคกรปกครองสวนทองถ่ินพนจากหนาที่และแตงต้ังผูอื่นเขาปฏิบัติ
หนาที่แทนได ตามมาตรา ๑๐๗ วรรคสอง แหง พระราชบญั ญัติเดียวกัน ดังน้ัน เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เปนคณะกรรมการการเลือกตั้งประจําจังหวัด ไมใชคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยอมไมมีอํานาจ
ในการสั่งใหผูฟองคดีพนจากตําแหนงผูอํานวยการการเลือกต้ังประจําเทศบาลตําบลบานใหม
การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีพนจากตําแหนง
ผูอ ํานวยการการเลือกต้ังประจําเทศบาลตําบลบานใหมและแตงตั้งใหนาย ว. ทําหนาท่ีแทนผูฟองคดี
จงึ เปนกรณีทผ่ี ูถกู ฟอ งคดที ่ี ๑ กระทําไปโดยปราศจากอํานาจ คําสง่ั ดังกลา วจงึ ไมชอบดวยกฎหมาย
และเมื่อคําสั่งดังกลาวเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย จึงเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดี
ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงเปนคณะบุคคล
ที่ไดรับการแตงตั้งใหทําหนาท่ีในการจัดการเลือกตั้ง ยอมตองเปนผูท่ีมีความรูความเขาใจเก่ียวกับ
กฎหมายที่เก่ียวของกับการจัดการเลือกตั้งเปนอยางดี ซึ่งบทบัญญัติแหงกฎหมายที่เกี่ยวของ
ไมไดมีลักษณะเปนปญหาขอกฎหมายท่ีตองมีการตีความหรือมีความสลับซับซอนอันจะทําให
ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๑ สับสนในอํานาจหนาที่ดังกลาวได กรณีจึงไมอาจฟงไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ทําหนาที่
โดยสุจริต เม่ือการกระทําละเมิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนการกระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ในฐานะท่ีเปนหนวยงานตนสังกัดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงตองรับผิดตอผูฟองคดี
ในผลแหงละเมิดดังกลา วตามนัยมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมดิ ของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
ดวยเหตุผลดังกลาว ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๑
เฉพาะในสวนที่สั่งใหผูฟองคดีพนจากตําแหนงผูอํานวยการการเลือกต้ังประจําเทศบาลตําบลบานใหม
โดยใหมผี ลยอ นหลังไปตั้งแตวันท่ีออกคําสั่ง แตมิใหกระทบกระเทือนตอการปฏิบัติหนาที่ของนาย ว.
ท่ีปฏิบัติหนาที่โดยชอบในตําแหนงดังกลาวแทน และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ชดใชคาสินไหมทดแทน
เปนเงิน ๒,๒๘๐.๓๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับตั้งแตวันฟองเปนตนไปจนกวา
จะชําระเสร็จส้ินแกผูฟองคดี ภายในหกสิบวันนับแตวันท่ีศาลมีคําพิพากษา คืนคาธรรมเนียมศาล
ตามสวนของการชนะคดแี กผ ฟู องคดี นน้ั ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวย

พิพากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ. ๖๓๘/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีดํารงตําแหนงหัวหนากลุมงานขอมูลสารสนเทศ
และการสื่อสาร สังกัดสํานักงานจังหวัดพิษณุโลก สํานักงานจังหวัดพิษณุโลกมีความจําเปน
ท่จี ะตองดาํ เนินการจัดซื้อเคร่ืองตรวจคนยาเสพติดดวยเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(ผูวาราชการจังหวัดพิษณุโลก) ไดใหความเห็นชอบในการจัดซื้อเครื่องมือดังกลาวโดยวิธีพิเศษ
สํานักงานจังหวัดพิษณุโลกจึงแตงต้ังคณะกรรมการจัดซื้อโดยวิธีพิเศษ มีผูฟองคดีเปนประธาน
กรรมการดังกลา ว คณะกรรมการจัดซอ้ื ฯ ไดศึกษารวบรวมขอมูล ทาํ รายงานผลการพิจารณาเสนอ
ตอผูถ ูกฟองคดีท่ี ๑ เพ่ือพิจารณาตามข้ันตอน และไดรับความเห็นชอบแลว หลังจากน้ัน เม่ือวันท่ี

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๗

๒๗ พฤษภาคม ๒๕๕๑ สํานักงานจังหวัดพิษณุโลกไดทําสัญญาซ้ือขายเคร่ืองตรวจหาทิศทาง
สารเสพติดและวัตถุระเบิด ราคา ๑,๖๔๗,๘๐๐ บาท จากบริษัท อ. ตอมา สํานักงานการตรวจเงิน
แผนดินภูมิภาคท่ี ๑๐ จังหวัดพิษณุโลก ไดมีหนังสือลงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ แจงรายงาน
การสืบสวนกรณีการรองเรียนวา โครงการยุทธศาสตรของศูนยปฏิบัติการตอสูเพื่อเอาชนะยาเสพติด
ของสํานักงานจังหวัดพิษณุโลก ซึ่งไดรับการสนับสนุนงบประมาณจากองคการบริหารสวน
จังหวัดพิษณุโลก ใหซื้อเครื่องตรวจคนยาเสพติด จํานวน ๓ เครื่อง วงเงิน ๑,๖๕๐,๐๐๐ บาท
แตสาํ นกั งานจังหวัดพิษณโุ ลกจัดซ้ือเครื่องตรวจหาทิศทางสารเสพติดและวัตถุระเบิด โดยวิธีพิเศษ
เพียง ๑ เครื่อง วงเงิน ๑,๖๔๗,๘๐๐ บาท ท้ังที่ตนทุนตอเคร่ืองราคาเพียง ๗๐๐,๐๐๐ บาท
และผูใชไ มม คี วามรูค วามชาํ นาญ อกี ทง้ั เคร่อื งตรวจหาทศิ ทางสารเสพติดและวัตถุระเบิดดังกลาว
ใชการไมได ซึ่งผลการตรวจสอบนาเช่ือวา มีการกระทําในลักษณะดังกลาวจริง เปนเหตุ
ใหทางราชการไดรับความเสียหายเปนเงินจํานวน ๑,๖๔๗,๘๐๐ บาท ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีคําสั่ง
แตง ต้งั ผูถกู ฟองคดีท่ี ๒ (คณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด) เพ่ือตรวจสอบ
กรณีดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ พิจารณาแลวเห็นวา ผูฟองคดีกระทําผิดเล็กนอย เห็นควรใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชเงินรอยละ ๕ คิดเปนเงิน ๘๒,๓๙๐ บาท แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ กลับมีคําส่ังลงวันที่
๑๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ เรียกใหผฟู องคดีชดใชคา สินไหมทดแทนจาํ นวน ๘๒๓,๙๐๐ บาท ตามความเห็น
ของกรมบัญชีกลาง ผูฟองคดีมีหนังสือลงวันท่ี ๘ มีนาคม ๒๕๕๖ อุทธรณคําสั่งดังกลาว ตอมา
ผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๑ ไดมหี นังสือลงวนั ท่ี ๑๕ มนี าคม ๒๕๕๖ วินจิ ฉยั ยืนตามคาํ สง่ั ที่เรียกใหผฟู องคดีชดใช
คาสินไหมทดแทน ผูฟองคดีทราบผลการพิจารณาอุทธรณเมื่อวันท่ี ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ที่เรียกให
ผฟู องคดีชดใชค า สินไหมทดแทนจํานวน ๘๒๓,๙๐๐ บาท ศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟอง
ของผูฟ องคดีในสว นทฟ่ี องผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๒ ไวพิจารณา

ศาลปกครองสูงสุดวนิ จิ ฉัยวา กรณเี ปนคดีพิพาทเก่ียวกับการท่ีหนวยงานทางปกครอง
หรือเจาหนาที่ของรัฐกระทําการโดยไมชอบดวยกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๑) แหง
พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ผูฟองคดีเปนผูอยูในบังคับของคําส่ังท่ีพิพาท จึงเปนผูไดรับ
ความเดือดรอนหรือเสียหายอันเน่ืองจากการกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และคําขอของผูฟองคดี
เปน คําขอทศี่ าลมีอํานาจกาํ หนดคําบังคับใหไดตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แหงพระราชบัญญัติ
ดงั กลา ว ผูฟ อ งคดจี งึ มีสิทธฟิ องคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหงพระราชบัญญัติ
เดียวกัน และโดยที่คําส่ังท่ีพิพาทออกโดยอาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิด
ทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่ง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ มิไดกําหนดข้ันตอนหรือวิธีการอุทธรณไวเปนการเฉพาะ ผูฟองคดีจึงตองดําเนินการ
ตามขั้นตอนและวิธีการท่ีกําหนดไวใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ตามมาตรา ๔๔ วรรคหนึ่ง ประกอบกับขอ ๒ (๑๑) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๔๐)
ออกตามความใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๔๘

ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ อุทธรณคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แจงตามคําส่ัง
ลงวันท่ี ๑๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เจาหนาที่ผูทําคําสั่งทางปกครอง
โดยเจาหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับคําอุทธรณไวในวันเดียวกัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะตอง
พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในสามสิบวันนับแตวันที่ไดรับอุทธรณ และหาก
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมเ ห็นดวยกบั คาํ อุทธรณตองรายงานความเห็นพรอมเหตุผลไปยังรัฐมนตรีวาการ
กระทรวงมหาดไทยซึ่งเปนผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณตามขอ ๒ (๑๑) ของกฎกระทรวงดังกลาว
และรัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทยตองพิจารณาคําอุทธรณใหแลวเสร็จภายในสามสิบวัน
นับแตวันที่ตนไดรับรายงานจากผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซึ่งถามีเหตุจําเปนไมอาจพิจารณาใหแลวเสร็จ
ภายในกําหนดเวลาดังกลาวได รัฐมนตรีวาการกระทรวงมหาดไทยตองมีหนังสือแจงใหผูฟองคดี
ทราบกอนครบกําหนดเวลาดังกลาว ใหขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณออกไปไดไมเกินสามสิบวัน
นบั แตว นั ทีค่ รบกําหนดเวลาดังกลาว ดังนนั้ จะตองมีการพจิ ารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จ
ภายในหกสิบวันนับแตวันท่ี ๗ มีนาคม ๒๕๕๖ คือ ภายในวันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๕๖ และ
เม่ือไมปรากฏวามีการแจงขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบตองถือวาวันท่ี
ครบกําหนดระยะเวลาหกสิบวันดังกลาวเปนวันที่ผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอน
หรือเสียหายตามขั้นตอนหรือวิธีการที่กฎหมายกําหนดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดเวลาดังกลาว คือวันท่ี ๗ พฤษภาคม
๒๕๕๖ เปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และเปนวันแรกที่เร่ิมใชสิทธิฟองคดี
ขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ โดยตองย่ืนฟองภายในระยะเวลาเกาสิบวัน
นับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันท่ี ๔ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตามมาตรา ๔๙ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาล
ปกครองฯ เมื่อผูฟองคดีย่ืนฟองคดีนี้ในวันท่ี ๒๓ กันยายน ๒๕๕๖ จึงเปนการย่ืนฟองคดี
เม่ือพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และปญหาวา
ผูฟองคดีย่ืนฟองคดีภายในระยะเวลาที่กฎหมายกําหนดหรือไม เปนปญหาอันเกี่ยวดวย
ความสงบเรียบรอยของประชาชน แมคูกรณีไมไดยกข้ึนกลาวอาง ศาลมีอํานาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัย
ไดตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
แมตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีหนังสือลงวันท่ี ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ พิจารณาคําอุทธรณโดยยืน
ตามความเห็นของกระทรวงการคลัง พรอมท้ังแจงสิทธิการฟองคดีตอศาลปกครองภายใน
เกาสิบวันนับแตวันที่ไดรับแจงคําวินิจฉัยอุทธรณใหผูฟองคดีทราบดวย ซ่ึงผูฟองคดีทราบผล
การพิจารณาอุทธรณเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๖ ก็ไมไดมีผลทําใหกําหนดระยะเวลาการฟองคดี
ขอใหเ พกิ ถอนคาํ สงั่ ของผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๑ ตามคาํ ส่งั ลงวนั ที่ ๑๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ตองเริ่มนับใหม
นับแตวันท่ีผูฟองคดีไดรับหนังสือแจงผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาว ศาลจึงไมอาจรับคําฟอง
ในสว นท่ีขอใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามคําส่ังลงวันท่ี ๑๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๖ ท่ีเรียกให
ผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนไวพิจารณาได แตโดยที่หนังสือวันท่ี ๑๕ มีนาคม ๒๕๕๖ แจงผล
พิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ยืนตามความเห็นของกระทรวงการคลัง
ซง่ึ คาํ วนิ จิ ฉัยดงั กลาวเปน คาํ สัง่ ทางปกครองทเ่ี กิดขึ้นใหมและมีผลเปนการยืนยันคําส่ังผูถูกฟองคดีที่ ๑

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version