The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by นคร เจือจันทร์, 2022-05-09 02:55:16

แนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ปี 2563 เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

แนวคำวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ปี 2563 เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

Keywords: เรื่องละเมิด เล่มที่ 1

๙๙

ในคํารองอุทธรณวาไดรูถึงเหตุแหงการกระทําอันไมเปนธรรมในวันท่ี ๕ มกราคม ๒๕๖๑ อันแสดงวา
ผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงการไดรับความเสียหายในวันดังกลาว และเกิดสิทธิที่ผูฟองคดีจะฟองเรียก
คาเสียหายไดไมวาจะฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ หรือท่ี ๒ แตไมไดดําเนินการ โดยผูฟองคดีไดยื่นฟองคดีน้ี
โดยมีคําขอใหเพิกถอนมติของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ยกอุทธรณของผูฟองคดีเทาน้ัน อันเปนการฟองคดี
ในขอหาหนวยงานทางปกครองหรอื เจา หนา ท่ขี องรฐั กระทาํ การโดยไมชอบดวยกฎหมาย ตามมาตรา ๙
วรรคหน่ึง (๑) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ เม่ือผูฟองคดีขอแกไขเพิ่มเติมคําฟอง
โดยมีคําขอใหผูถูกฟองคดีทั้งสองชดใชคาเสียหายเปนการเสนอขอหาตอศาล อันเปนคําฟอง
ในขอหาการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจ
ตามกฎหมาย หรือจากคําสั่งทางปกครอง ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
ซ่ึงเปนขอหาท่ีเพ่ิมเติมจากขอหาเดิม ดังน้ัน การที่ผูฟองคดีย่ืนคําฟองในขอหานี้ในวันที่
๒๘ มีนาคม ๒๕๖๒ จึงเปนการย่ืนฟองเม่ือพนกําหนดหนึ่งปนับแตวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหง
การฟอ งคดีตามมาตรา ๕๑ แหง พระราชบัญญตั ิดังกลาว ทศี่ าลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับคํารอง
ขอแกไขเพิ่มเติมคําขอทายฟอง ลงวันที่ ๒๘ มีนาคม ๒๕๖๒ ของผูฟองคดีไวพิจารณา และ
คนื คา ธรรมเนียมศาลทงั้ หมดใหแกผ ฟู องคดี นนั้ ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพอ งดวย

จงึ มคี าํ สง่ั ยนื ตามคําสัง่ ของศาลปกครองชน้ั ตน
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ คร.๑๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๔๐
คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คร.๙๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๑๔
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ คร.๑๔๕/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๔๒
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ. ๒/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนเจาของผูครอบครองรถยนตโดยสารปรับอากาศ
หมายเลขทะเบียน ๑๐ - ๒๐๐๘ ลําปาง ไดรับความเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดี (กรมทางหลวง)
กระทําการประมาทในการดูแลรักษาตนไมในเขตทางหลวงสายถนนพหลโยธิน เปนเหตุใหตนไม
ขนาดใหญซ่ึงอยูขางทาง บริเวณรองกลางถนน หักโคนลมขวางหนารถยนตโดยสารปรับอากาศ
ของผูฟองคดีที่กําลังแลนอยูบนเสนทางดังกลาวมุงหนาสูจังหวัดเชียงใหม ในระยะ ๑๐ เมตร
โดยพนักงานขับรถยนตของผูฟองคดีตองหามลอในระยะกระชั้นชิด ทําใหรถยนตโดยสารของ
ผูฟองคดีเสียหลักพุงตกลงขางทาง เปนเหตุใหรถยนตของผูฟองคดีไดรับความเสียหาย โดยผูฟองคดี
ไดทวงถามใหผูถูกฟองคดีรับผิดชดใชคาเสียหายแลว แตผูถูกฟองคดีเพิกเฉย ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีชดใชคาเสียหายจากการซอมแซมรถยนต
โดยสารเปนเงนิ ๒๑๑,๐๐๐ บาท คาขาดประโยชนเปนเวลา ๓๐ วัน วันละ ๕,๐๐๐ บาท เปนเงิน
๑๕๐,๐๐๐ บาท รวมเปนเงิน ๓๖๑,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงิน
๓๖๑,๐๐๐ บาท นับตั้งแตวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ เปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ เห็นวา
ขอเท็จจริงปรากฏวา คดีนี้เหตุละเมิดเกิดข้ึนเมื่อวันท่ี ๘ กันยายน ๒๕๕๑ ผูฟองคดีไดฟองคดี

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๐

ตอศาลแพง เม่ือวันท่ี ๔ กนั ยายน ๒๕๕๒ จงึ เปน การฟองคดีภายในหนง่ึ ปน บั แตวนั ทรี่ ูหรือควรรูถึง
เหตุแหงการฟองคดีแตไมเกินสิบปนับแตวันที่มีเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ แตโดยท่ีในระหวางพิจารณาคดีของศาลแพง ผูถูกฟองคดีย่ืนคํารองโตแยง
เขตอํานาจศาลวา คดอี ยูใ นอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง หลังจากน้ัน ศาลแพงไดสง
ความเหน็ โตแยงเขตอํานาจศาลเพ่ือใหศาลปกครองเชียงใหมทําความเห็น ตอมา ศาลปกครองเชียงใหม
พิจารณาแลวเห็นพองดวยกับความเห็นของศาลแพงวา คดีน้ีเขาลักษณะเปนคดีพิพาทเก่ียวกับ
การกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐอันเกิดจากการละเลยตอหนาท่ี
ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ ซ่ึงอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครองตามมาตรา ๙
วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ จึงไดสงความเห็นเกี่ยวกับอํานาจหนาท่ีระหวาง
ศาลใหศาลแพงทราบ ตอมา ศาลแพงมีคําส่ังลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความเพื่อใหคูความไปฟองคดีใหมตอศาลที่มีเขตอํานาจ ซ่ึงการที่ผูฟองคดีนําคดี
มาฟองใหมตอศาลปกครองเชยี งใหม เมื่อวันท่ี ๑๓ ธันวาคม ๒๕๕๓ นน้ั เปน การฟอ งคดีภายในหกสิบวัน
นับแตวันท่ีศาลแพงมีคําสั่งใหจําหนายคดีตามมาตรา ๑๐ วรรคหน่ึง (๒) ประกอบขอ ๑๓ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. วาดวยการวินิจฉัยช้ีขาดอํานาจหนาท่ีระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ในสวนเน้ือหาแหงคดีน้ัน
ภารกิจเกี่ยวกับการพัฒนาโครงสรางพ้ืนฐานดานทางหลวง การกอสรางและบํารุงรักษาทางหลวง
รวมถึงการดูแลรักษาพืชพันธุตนไมท่ีอยูในเขตทางหลวง และปองกันอุบัติเหตุท่ีอาจเกิดข้ึนในเขต
ทางตลอดจนการบรรเทาสาธารณภัยที่เกิดข้ึนในเขตทางจึงเปนอํานาจหนาที่ตามกฎหมายของ
ผูถูกฟองคดีตามมาตรา ๔ และมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ประกอบขอ ๑
ของกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๔๕ ซึ่งเปนกฎกระทรวง
ฉบับท่ีใชบังคับอยูในขณะนั้น เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา แมในวันเกิดเหตุจะมีพายุฝนฟาคะนอง
และลมกระโชกแรง แตปจจัยท่ีทําใหตนไมหักโคนลงจนทําใหเกิดอุบัติเหตุในบริเวณดังกลาว เกิดจาก
ฝนที่ตกตดิ ตอกันเปน เวลาหลายวันทําใหมีปริมาณนํ้าขังสะสมอยูบริเวณรองกลางถนนเปนจํานวนมาก
จนดินออนตวั ลงรากของตนไมไ มสามารถยึดเกาะดินไวได เมื่อมีลมกระโชกแรงตนไมจึงหักโคนลม
ลงไปบริเวณผิวทางจราจรทั้งสองดานในระยะกระช้ันชิด จนเปนเหตุทําใหรถยนตโดยสารปรับอากาศ
ของผูฟองคดีเสียหลักพุงลงขางทางไดรับความเสียหาย ซ่ึงกรณีดังกลาวผูถูกฟองคดีสามารถ
ระวังปองกันภัยไดโดยการจัดใหมีการตัดแตงก่ิงตนไมและคํ้าจุนตนไม หรือตัดทําลายตนไมท่ีมีสภาพ
ไมม่ันคงแข็งแรงใหอยูในสภาพปลอดภัยในชวงฤดูฝน เหตุละเมิดที่เกิดขึ้นจึงมิใชเหตุอันจะใหผลพิบัติ
ท่ีไมสามารถปองกันได อันถือเปนเหตุสุดวิสัยตามมาตรา ๘ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ที่ผูถูกฟองคดีไมตองรับผิดแตอยางใด แมผูถูกฟองคดีจะอางวาไดจึงตองตรวจตราและบํารุงรักษา
ตน ไมร วมท้งั สภาพของดนิ เปนพิเศษแลว แตเ หน็ ไดชัดวายังหาเพียงพอท่ีจะปองกันมิใหเกิดอันตราย
แกผูฟองคดีและผูใชทางหลวงอื่นไม เหตุละเมิดท่ีเกิดข้ึนจึงถือวาผูถูกฟองคดีละเลยตอหนาที่
ตามที่กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติในการดูแลบํารุงรักษาตนไมในเขตทางหลวง เปนเหตุทําให
ผูฟองคดีไดรับความเสียหาย อันเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดีที่ผูถูกฟองคดีตองรับผิดใช
คา สินไหมทดแทนใหแ กผ ฟู อ งคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายดังกลาว เมื่อขอเท็จจริง

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๑

ปรากฏวา ภายหลังเกิดเหตุผูฟองคดีซ่ึงเปนเจาของผูครอบครองเสียคาซอมแซมรถยนตเปนเงิน
๒๑๑,๐๐๐ บาท และในช้ันการฟองคดี ผูฟองคดีขอใหศาลส่ังใหผูถูกฟองคดีชดใชคาขาดประโยชน
จากการขาดรายไดในกรณีที่ไมสามารถใชรถรับสงผูโดยสารไดในระหวางการซอมเปนเวลา ๓๐ วัน
วันละ ๕,๐๐๐ บาท เปนเงิน ๑๕๐,๐๐๐ บาท คาเสียหายในสวนน้ีจึงเปนคาสินไหมทดแทนอันจะพึง
บงั คับใหผูถกู ฟองคดใี ชเพื่อความเสยี หายอยางใดๆ อันผูถูกฟองคดีไดกอข้ึนนั้นไดตามมาตรา ๔๓๘
วรรคสอง แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณชิ ย นอกจากนี้ ผูฟองคดีมีสิทธิไดดอกเบี้ยในจํานวนเงิน
ที่ผูถูกฟองคดีตองใชอีกสวนหนึ่งไดตามมาตรา ๒๐๖ ประกอบมาตรา ๒๒๔ วรรคหน่ึง แหงประมวล
กฎหมายเดียวกัน แตอยางไรก็ตาม เม่ือขณะเกิดเหตุมีฝนตกและมีลมกระโชกแรง อีกท้ังจากที่ปรากฏ
มตี น ไมอน่ื ลมดว ย แสดงวาฝนและลมมคี วามรุนแรงในระดับท่พี นักงานขบั รถสมควรตองใชความระมัดระวัง
เปน พเิ ศษทีจ่ ะหยุดรถไดทนั เมื่อเกิดอุบัติภัย แตพนักงานขับรถยนตของผูฟองคดีไดขับรถยนตโดยสาร
มาในชอ งทางดานขวาอันเปนการฝาฝน มาตรา ๓๕ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จราจรทางบก พ.ศ. ๒๕๒๒
ที่บัญญัติใหผูขับข่ีรถบรรทุก รถบรรทุกคนโดยสาร รถจักรยานยนตในทางเดินรถซ่ึงไดแบงชองเดินรถ
ในทิศทางเดียวกันไวต้ังแตสองชองข้ึนไปหรือไดจัดชองเดินรถประจําทางดานซายไวโดยเฉพาะ
ตองขับรถในชองเดินรถดานซายสุดหรือใกลเคียงกับชองเดินรถประจําทางแลวแตกรณี เมื่อมาถึง
ท่เี กิดเหตุตน ไมไมไ ดลม ตดั หนา รถยนตใ นระยะกระชัน้ ชดิ แตตนไมไดลมอยูกอนแลวในชองทางเดินรถ
ดา นขวา หากพนกั งานขับรถยนตไ ดใ ชความเรว็ ท่ีเหมาะสมแกสภาพการณในขณะน้ัน พนักงานขับรถยนต
สามารถเปล่ียนชองทางเดินรถจากชองขวามายังชองซาย ซ่ึงไมมีตนไมลมขวางอยูไดทัน การท่ี
พนกั งานขบั รถยนตไมสามารถเปลีย่ นชอ งทางเดินรถดงั กลา วได แตไดห กั หลบจนเสียหลกั ตกลงขางทาง
แสดงวาพนักงานขับรถยนตของผูฟองคดีไดใชความเร็วมากเกินกวาสภาวะท่ีสมควรในขณะนั้น
จึงฟงไดวา ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีสวนความผิดของฝายผูฟองคดีประกอบดวย ซ่ึงการพิจารณา
คาสินไหมทดแทนตองอาศัยพฤติการณเปนประมาณตามมาตรา ๔๔๒ ประกอบมาตรา ๒๒๓
วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย การที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษาใหผูถูกฟองคดี
รับผิดในคาซอมแซมรถยนตโดยสารปรับอากาศตามท่ีผูฟองคดีเรียกรองเปนเงิน ๒๑๑,๐๐๐ บาท
เต็มตามคําขอแตลดสวนคาขาดประโยชนในการใชรถคันดังกลาว รับสงผูโดยสารลงกึ่งหน่ึงเปนวันละ
๒,๕๐๐ บาท รวม ๓๐ วัน คิดเปนเงิน ๗๕,๐๐๐ บาท รวมเปนเงินคาเสียหายจํานวนทั้งส้ิน
๒๘๖,๐๐๐ บาท และรับผดิ ในดอกเบี้ยผิดนัดอีกรอยละ ๗.๕ ตอปของตนเงินดังกลาวนั้น จึงสูงเกินสวน
สมควรลดคาเสียหายลงอีกรอยละ ๒๐ คิดเปนคาเสียหายจํานวน ๒๒๘,๘๐๐ บาท ท่ีศาลปกครองช้ันตน
พิพากษาใหผูถูกฟองคดีรับผิดชดใชเงินคาเสียหาย เปนเงินจํานวน ๒๘๖,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ีย
ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาวนับแตวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ เปนตนไปจนกวา
จะไดช ําระเสรจ็ ส้นิ ใหแ กผูฟองคดีและใหคืนคาธรรมเนียมศาลตามสวนแหงการชนะคดีใหแกผูฟองคดี
สว นคําขออ่ืน นอกจากนี้ใหย ก น้นั ศาลปกครองสงู สุดเห็นพองดวยบางสวน

พิพากษาแก เปนใหผูถูกฟองคดีรับผิดชดใชเงินคาเสียหาย เปนเงินจํานวน
๒๒๘,๘๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาวนับแตวันท่ี
๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๑ เปนตนไปจนกวาจะไดชําระเสร็จส้ินใหแกผูฟองคดี ทั้งน้ี ภายใน ๖๐ วัน

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๒

นับแตวันท่ีศาลมีคําพิพากษาคืนคาธรรมเนียมศาลในศาลปกครองช้ันตนตามสวนแหงการชนะคดี
ใหแกผ ฟู องคดี และคืนคาธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณตามสวนแหงการชนะคดีใหแกผูถูกฟองคดี
นอกจากทแ่ี กใหเปนไปตามคําพพิ ากษาของศาลปกครองช้ันตน
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๒๒๒/๒๕๖๓

ผูฟองคดี (มหาวิทยาลัยนเรศวร) ฟองวา เม่ือป พ.ศ. ๒๕๕๒ คณะสังคมศาสตร
มหาวิทยาลัยนเรศวร ไดรับการรองเรียนจากนิสิตคณะสังคมศาสตรผูมีสิทธิไดรับทุนการศึกษาวา
ไมไดรับเงินทุนการศึกษา คณบดีคณะสังคมศาสตรจึงมีคําส่ังลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๒
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนขอเท็จจริง ผลการสอบสวนขอเท็จจริงพบวา ผูถูกฟองคดีในฐานะ
รองคณบดีฝา ยกิจการนิสิต คณะสังคมศาสตร ไมไดจายเงินทุนการศึกษาใหแกนิสิตอยางครบถวน
แตไดนําเงินทุนบางสวนไปใชสวนตัวตั้งแตปการศึกษา ๒๕๔๙ ถึงปการศึกษา ๒๕๕๑ ผูฟองคดี
โดยอธิการบดีจึงมีคําสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยผูถูกฟองคดี ตอมา ไดมีการกลาวหา
ผูถูกฟองคดีเพ่ิมเติมอีก ๒ กรณี ไดแก กรณีไมปฏิบัติตามระเบียบในเร่ืองการยืมเงินทดรองราชการ
ไมคืนเงินยืมทดรองราชการเพ่ือจัดทําโครงการจัดสรางวัตถุมงคลคณะสังคมศาสตรเม่ือป พ.ศ. ๒๕๕๐
และกรณีมปี ญหาเกี่ยวกบั การรับจายเงนิ นอกงบประมาณของสาขาวิชาประวัติศาสตร ผูฟองคดีจึงมีคําส่ัง
แตงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยใหสอบสวนเพ่ิมเติมตามขอกลาวหาดังกลาว คณะกรรมการสอบสวน
วินัยไดสอบสวนพิจารณาแลวไดรายงานผลการสอบสวนวา ผูถูกฟองคดีไดทุจริตตอหนาที่ราชการ
และทําผิดตามท่ีถูกกลาวหาจริง เห็นควรใหลงโทษปลดผูถูกฟองคดีออกจากงาน รวมท้ังใหดําเนินการ
หาผูรับผิดทางละเมิด ผูฟองคดีจึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสอบ
ขอ เทจ็ จรงิ ความรบั ผิดทางละเมิด จากนั้นคณะกรรมการดังกลาวมีหนังสือลงวันท่ี ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๓
รายงานผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด โดยแยกพิจารณาเปน ๓ กรณี ดังนี้
(๑) กรณีนิสิตไมไดรับเงินทุนการศึกษา ยังคงเหลือเงินที่ถูกเบียดบังไปอีก ๓๒๗,๕๐๐ บาท
จงึ สมควรใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินจํานวนท่ียังคางอยูดังกลาวใหแกทางราชการ พรอมดอกเบ้ียผิดนัด
ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๒ เปนตนไป จนกวาจะชําระเสร็จ
(๒) กรณีไมคืนเงินทดรองราชการ ทางราชการยังคงเสียหายคิดเปนเงิน ๑,๒๘๑,๔๔๔.๑๖ บาท
จึงสมควรใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินดังกลาว พรอมดอกเบ้ียตามอัตราดอกเบ้ียเงินฝากประจํา
ประเภท ๑๒ เดือน ท่ีธนาคารแหง ประเทศไทยกาํ หนดนบั แตว นั ที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เปนตนไป
จนกวาจะชําระเสร็จ และ (๓) กรณีการบริหารเงินสาขาประวัติศาสตร เน่ืองจากมิใชเงินของทางราชการ
หรือของหนวยงานของรัฐ จึงยุติเร่ือง ผูฟองคดีโดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวรไดรับทราบ
รายงานผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดแลว ไดรายงานใหกระทรวงการคลังเพ่ือพิจารณา
แตกระทรวงการคลังยังไมแจงผลการพิจารณา และเพื่อมิใหคดีขาดอายุความ อธิการบดีมหาวิทยาลัย
นเรศวรจึงมีคําสั่งลงวันที่ ๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ เรียกใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินพรอมดอกเบี้ย
ตามผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดดังกลาว โดยมีหนังสือลงวันท่ี ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕
สงคําส่ังพรอมท้ังแจงใหผูถูกฟองคดีชําระเงินภายใน ๓๐ วัน นับแตรับทราบคําสั่ง ผูถูกฟองคดี

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๓

ไดรับหนังสือดังกลาวทางไปรษณียลงทะเบียนดวนพิเศษ เม่ือวันท่ี ๒๐ กันยายน ๒๕๕๕ แตไมนําเงิน
มาชําระคืนใหแกทางราชการภายในเวลาท่ีกําหนด ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือมคี ําสง่ั ใหผถู กู ฟอ งคดีชดใชเงินจํานวน ๓๒๗,๕๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป
นับแตวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๒ ถึงวันฟองคดีเปนเงิน ๙๖,๒๙๘.๔๖ บาท และดอกเบี้ยในอัตรารอยละ
๗.๕ ตอป ของตนเงิน ๓๒๗,๕๐๐ บาท นับถัดจากวันฟองจนกวาผูถูกฟองคดีจะชําระเสร็จ
และใหชดใชเงินจํานวน ๑,๒๘๑,๔๔๔.๑๖ บาท พรอมดอกเบ้ียตามอัตราดอกเบ้ียเงินฝากประจํา
๑๒ เดือน ที่ธนาคารแหงประเทศไทยกําหนด ณ วันฟอง นับแตวันท่ี ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓
ถึงวันฟองคดีเปนเงิน ๙๗,๗๘๔.๗๒ บาท และอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจํา ๑๒ เดือน ที่ธนาคาร
แหง ประเทศไทยกําหนด ณ วันชําระเงินจากตนเงิน ๑,๒๘๑,๔๔๔.๑๖ บาท นับแตวันฟองจนกวา
ผูถูกฟองคดีจะชําระเสร็จ เห็นวา การกระทําตามกรณีท่ีมีคําสั่งใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินนั้น
เปนการกระทาํ ในฐานะเปนเจา หนาท่ีของผูฟองคดีท้ังในสวนเก่ียวกับเงินทุนการศึกษา และการยืมเงิน
ทดรองราชการเพ่ือใชในโครงการจัดสรางวัตถุมงคลของคณะสังคมศาสตร กรณีจึงเปนการกระทํา
ในการปฏบิ ัตหิ นา ที่ การเรียกใหรับผิดชดใชเงินยอมอยูในบังคับมาตรา ๑๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือผูฟองคดีโดยอธิการบดีมหาวิทยาลัย
นเรศวรไดม ีคาํ สั่งลงวันท่ี ๑๒ กรกฎาคม ๒๕๕๓ แตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมิด และคณะกรรมการดังกลาวเห็นวา ผูถูกฟองคดีจงใจทําใหทางราชการเสียหายทั้งสอง
กรณี นาย ช. รักษาการในตําแหนงหัวหนางานวินัยจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๔
เสนอรายงานผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตออธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร
และตอมา มหาวิทยาลัยนเรศวรไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ รายงานผลการสอบสวน
ขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไปยังกรมบัญชีกลางเพื่อพิจารณา โดยมีรองอธิการบดี ปฏิบัติหนาที่
แทนอธิการบดีเปนผูลงนามในหนังสือดังกลาว ถึงแมตอมา จะปรากฏขอเท็จจริงวา อธิการบดี
มหาวิทยาลัยนเรศวรไดลงนามในรายงานผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเม่ือวันที่
๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔ โดยเปนการลงนามเพ่ือใหมีการนําเขาวาระการประชุมกรรมการบริหาร
มหาวิทยาลัย กรณีจึงตองถือวา วันที่รองอธิการบดีไดลงนามในหนังสือถึงกรมบัญชีกลางเปนวันท่ี
อยางชาที่สุดที่ผูฟองคดีไดรูหรือควรรูถึงการกระทําละเมิดและรูตัวเจาหนาที่ผูพึงจะตองใช
คาสินไหมทดแทน เม่ือตอมา ผูฟองคดีโดยอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวรมีคําสั่งลงวันที่
๑๔ กันยายน ๒๕๕๕ เรียกใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินพรอมดอกเบ้ียตามผลการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดดังกลาว โดยมีหนังสือลงวันท่ี ๑๘ กันยายน ๒๕๕๕ สงคําส่ังพรอมแจงให
ผูถูกฟองคดีชําระเงินภายใน ๓๐ วัน นับแตรับทราบคําสั่ง ผูถูกฟองคดีไดรับหนังสือดังกลาว
โดยชอบแลว เม่อื วันที่ ๒๐ กนั ยายน ๒๕๕๕ แตไมไ ดน าํ เงินไปชําระภายในกําหนด คือ ภายในวันที่
๒๐ ตุลาคม ๒๕๕๕ จึงเปนกรณีท่ีผูฟองคดีไดมีคําส่ังใหผูถูกฟองคดีรับผิดภายในระยะเวลาสองป
ตามนัยมาตรา ๑๐ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติดังกลาวแลว อันเปนผลใหอายุความสะดุดหยุดลง
ตามมาตรา ๑๙๓/๑๔ แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย และเม่ือตอมาปรากฏขอเท็จจริงวา
หลังจากพนวันที่ครบกําหนดเรียกใหผูถูกฟองคดีชําระหนี้แลว แตผูถูกฟองคดีไมชําระ ผูฟองคดี

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๔

จึงไดนําคดีมาย่ืนฟองตอศาลปกครองชั้นตน อันเปนกรณีที่ผูฟองคดีแสดงออกวา ผูฟองคดี
ไดมีอุปสรรคหรือขอขัดของท่ีจะบังคับตามคําสั่งเรียกใหชดใชเงินดังกลาวนับแตวันที่ครบกําหนด
ใหผูถูกฟองคดีชําระหน้ี โดยไดยื่นฟองคดีตอศาลเม่ือวันท่ี ๓๑ มกราคม ๒๕๕๖ กรณีจึงเปน
การยื่นฟองเปนคดีพิพาทตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ภายใน
กําหนดอายุความหนึ่งปตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว การท่ีผูถูกฟองคดีอางวา
ผูฟอ งคดรี ถู ึงการละเมิดและรูตัวเจาหนาท่ีผูพึงตองใชคาสินไหมทดแทนเม่ือวันท่ี ๒๑ กันยายน ๒๕๕๓
อนั เปนวนั ท่ีมีการประชุมคณะกรรมการบรหิ ารมหาวทิ ยาลัย หรอื รถู งึ การละเมิดและรูตัวเจาหนาที่
ผูพึงตองใชคาสินไหมทดแทนเม่ือวันที่คณะกรรมการสอบสวนหาขอเท็จจริงตามคําสั่งคณะสังคมศาสตร
ไดรายงานผลการสอบสวนตออธิการบดีตามหนังสือลงวันท่ี – มิถุนายน ๒๕๕๒ ฝายกฎหมาย
ของสํานักงานอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร รับไวเมื่อวันท่ี ๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๒ หรือวันที่
รายงานการสอบสวน (แบบ สว. ๖) ของคณะกรรมการสอบสวนที่มีถึงอธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร
ตามคาํ สงั่ ลงวันท่ี ๒๙ มถิ ุนายน ๒๕๕๒ และคําส่ังลงวันท่ี ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ ประธานคณะกรรมการฯ
ดังกลา วทราบคําสั่งเม่ือวันท่ี ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๒ หรือตามคําส่ังลงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๕๓ น้ัน
การดําเนินการดังกลาวเปนการดําเนินการในข้ันตอนการสอบสวนขอเท็จจริงเกี่ยวกับความผิดทางวินัย
ไมใ ชการพจิ ารณาในสว นของความรับผดิ ทางละเมิดของเจาหนาที่ตามกฎหมายวาดวยความรับผิด
ทางละเมิด ดังน้ัน กรณีจึงไมอาจนํามากลาวอางวา ผูฟองคดีไดรูถึงการละเมิดและรูตัวเจาหนาที่
ผูพึงตองชดใชคาสินไหมทดแทนนับต้ังแตวันดังกลาวไดแตอยางใด และเมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา
กรณีเงินทุนการศึกษา นาย ว. และนางสาว ร. เปนเพียงเจาหนาที่ไดปฏิบัติหนาที่ตามคําสั่ง
จากผฟู องคดซี งึ่ เปนผูบังคับบัญชาโดยตรง อันเปนการกระทําตามหนาที่ที่ไดรับมอบหมายและตามคําส่ัง
ของผูบงั คับบญั ชา กับทัง้ ไมปรากฏวาบุคคลท้ังสองไดมีสวนเก่ียวของหรือมีสวนไดรับผลประโยชน
ตอบแทนโดยมิชอบดวยกฎหมายจากผูฟอ งคดี สวนกรณียมื เงนิ ทดรองราชการนั้น ถึงแมวานาย ช.
จะเปนผูลงนามในสัญญายืมเงินดังกลาวจริงตามที่ผูถูกฟองคดีกลาวอางก็ตาม แตเนื่องจาก
โครงการจัดทําวัตถุมงคลคณะสังคมศาสตร เปนโครงการที่อยูในความรับผิดชอบของผูถูกฟองคดี
โดยตรง และผูถูกฟองคดีก็ลงนามเปนผูรับเงินดวยตนเอง เมื่อผูถูกฟองคดีรับเงินมาแลว
กลับไมนําเอาเงินดังกลาวไปใชตามวัตถุประสงคของโครงการ ความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจึงเปนผล
โดยตรงจากการกระทําของผูถูกฟองคดี เม่ือขอเท็จจริงเก่ียวกับการกระทําละเมิดรับฟงไดตอไปวา
กรณีการทุจริตเงินทุนการศึกษาของนิสิตคณะสังคมศาสตร น้ัน ผูถูกฟองคดีในฐานะรองคณบดี
ฝายกิจการนิสิต คณะสังคมศาสตร และประธานคณะกรรมการกองทุนสงเสริมการศึกษา
ประจําคณะสังคมศาสตร มีหนาท่ีรับผิดชอบในการดําเนินการของกองทุนสงเสริมการศึกษา
คณะสงั คมศาสตร ภายหลังจากท่ีไดรบั การจัดสรรเงนิ แลว ผูถูกฟองคดไี มไ ดนําไปจัดสรรใหแ กนิสิต
ที่ไดรับทุนใหครบถวน โดยนําเงินท่ีไดรับมาโอนเขาบัญชีสวนตัวของผูถูกฟองคดีและเบียดบังเงิน
บางสวนไปใชประโยชนสวนตัว ตั้งแตปการศึกษา ๒๕๔๙ ถึงปการศึกษา ๒๕๕๑ เปนเงิน
ทุนการศึกษาของนิสิตท่ีมีสิทธิไดรับทุนท้ังหมด ๕๓ คน เปนเงินทั้งส้ินจํานวน ๑,๑๔๐,๐๐๐ บาท
ผูถูกฟองคดีนําไปจายใหแกนิสิตเพียง ๓๒ คน เปนเงินจํานวน ๓๗๒,๕๐๐ บาท ภายหลัง

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๕

นาํ มาคืนใหจ ํานวน ๔๔๐,๐๐๐ บาท จึงยังคงเหลือเงินท่ีถูกเบียดบังไปอีกจํานวน ๓๒๗,๕๐๐ บาท
สวนกรณีการใชเงินโครงการสรางวัตถุมงคล คณะสังคมศาสตรไมเปนไปตามวัตถุประสงค นั้น
ผูถูกฟองคดีเปนผูรับผิดชอบจัดทําโครงการดังกลาว แตเมื่อไดรับอนุมัติเงินทดรองราชการ
จากผูฟองคดีจํานวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท แลว ไมไดนําไปดําเนินการใหเปนไปตามวัตถุประสงค
ของโครงการ หลังจากท่ีครบกําหนดการยืมเงินทดรองราชการ ผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือขอขยาย
ระยะเวลาการคืนเงินออกไปจํานวนหลายครั้ง ซ่ึงครั้งสุดทายผูฟองคดีอนุมัติใหขยายระยะเวลา
การคืนออกไปจนถึงวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๒ แตเมื่อครบกําหนด ผูถูกฟองคดีก็ยังมิได
นําเงินมาคืน ผูฟองคดีไดใชมาตรการหักเงินเดือนของผูถูกฟองคดีมาชําระคาเสียหายตั้งแต
เดอื นสงิ หาคม ๒๕๕๒ ถึงเดือนกันยายน ๒๕๕๓ เปนเวลา ๑๔ เดือน เปนเงินจํานวน ๒๗๖,๐๑๒ บาท
เม่ือนําเงินที่หักจากเงินเดือนของผูถูกฟองคดีหักออกจากความเสียหายแลว ผูฟองคดียังคงไดรับ
ความเสียหายอีกเปนเงินจํานวน ๑,๒๘๑,๔๔๔.๑๖ บาท กรณีจึงเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีไดกระทําการ
อันผิดตอกฎหมาย โดยจงใจเบียดบังเงินของทางราชการและทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย
อันเปนความเสียหายโดยตรงจากการกระทําดังกลาว จึงเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดี
เมือ่ พิจารณาถงึ ความเสียหายท่ีเกิดข้ึนแกผูฟองคดีและพิจารณาถึงระดับความรายแรงแหงการกระทํา
และความเปนธรรม ตามมาตรา ๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี
พ.ศ. ๒๕๓๙ เห็นไดวา พฤติการณของผูถูกฟองคดีเปนการกระทําที่มีความรายแรง ผูถูกฟองคดี
จึงตองรับผิดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีเต็มตามจํานวนความเสียหาย อีกท้ังไมปรากฏวา
การละเมิดสวนหนึ่งเกิดจากความผิดหรือความบกพรองของหนวยงานของรัฐหรือจากระบบ
การดาํ เนินงานสวนรวม จงึ ไมม ีกรณที ี่ตองหกั สวนความรบั ผิดดังกลาวออกตามมาตรา ๘ วรรคสาม
แหง พระราชบญั ญัตดิ ังกลาว ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษาใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินคาสินไหมทดแทน
กรณีทุจริตเงินทุนการศึกษาใหแกผูฟองคดี จํานวน ๓๒๗,๕๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยอัตรารอยละ
๗.๕ ตอป นับแตวันที่ ๓ มีนาคม ๒๕๕๒ เปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ และชดใชเงินกรณี
ไมจายคืนเงินยืมทดรองราชการใหแกผูฟองคดี จํานวน ๑,๒๘๑,๔๔๔.๑๖ บาท พรอมดอกเบ้ีย
ตามอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประเภทฝากประจํา ๑๒ เดือน ท่ีธนาคารแหงประเทศไทยกําหนด ณ วันที่
ชําระเงิน นับแตวันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ และใหคืนคาธรรมเนียมศาล
ทั้งหมดแกผูฟองคดี น้ัน ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวย อยางไรก็ดี โดยท่ีศาลปกครองช้ันตน
มิไดกําหนดระยะเวลาการปฏิบัติตามคําพิพากษาตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ ไว อาจเปนเหตุใหการปฏิบัติตามคําพิพากษาไมเปนผลหรือเน่ินชาออกไป
ซ่ึงถือไดวาปญหาการปฏิบัติตามคําพิพากษาของศาลเปนปญหาอันเก่ียวดวยความสงบเรียบรอย
ของประชาชนตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ ศาลปกครองสงู สุดจึงยกขึ้นวินิจฉัยและกําหนดระยะเวลาการปฏิบัติตามคําพิพากษา
ดังกลาวไดต ามขอ กฎหมายดังกลา ว

พิพากษาแก เปนใหผูถูกฟองคดีชดใชเงินคาสินไหมทดแทนกรณีทุจริต
เงินทุนการศึกษาจํานวน ๓๒๗,๕๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ียอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันท่ี

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๖

๓ มีนาคม ๒๕๕๒ เปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ และชดใชเงินกรณีไมจายคืนเงินยืมทดรอง
ราชการจํานวน ๑,๒๘๑,๔๔๔.๑๖ บาท พรอมดอกเบี้ยตามอัตราดอกเบ้ียเงินฝากประเภท
ฝากประจํา ๑๒ เดือน ที่ธนาคารแหงประเทศไทยกําหนด ณ วันที่ชําระเงิน นับแตวันท่ี
๒๘ กันยายน ๒๕๕๓ เปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ ใหแกผูฟองคดีภายใน ๖๐ วัน นับแตวันที่
ศาลมีคําพพิ ากษา นอกจากที่แกใหเ ปนไปตามคาํ พพิ ากษาของศาลปกครองช้นั ตน
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๒๖๙/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๔๕
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๔๔๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนผูถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๒๙๔๓๓
ตําบลหนองขวาว อําเภอศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร เน้ือท่ี ๙๖ ตารางวา รับโอนมรดกท่ีดินพิพาท
มาจากนาย ม. บิดาของผูฟองคดี เมื่อวันท่ี ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ตอมา ประมาณเดือนเมษายน ๒๕๕๘
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ (กํานันตําบลหนองขวาว ที่ ๑ ผูใหญบาน บานหนองน้ําขุน หมูที่ ๖
ตําบลหนองขวาว ที่ ๒ องคการบริหารสวนจังหวัดสุรินทร ท่ี ๓) ไดดําเนินการกอสรางถนนคอนกรีต
เสรมิ เหล็กทับท่ดี ินพิพาทของผูฟองคดีเกือบทั้งแปลง ผูฟองคดีเห็นวากอนดําเนินการกอสรางถนนคอนกรีต
เสริมเหล็กทบั ท่ดี ินพิพาทของผฟู องคดี ผูถ ูกฟองคดที ่ี ๑ ถึงท่ี ๓ ไมไดตรวจสอบวาท่ีดินพิพาทมีเอกสาร
แสดงสทิ ธิในท่ีดนิ หรือไม และไมไดสรางทางสาธารณประโยชนตามทางเดิมท่ีมีอยูแลว เปนเหตุให
ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ถึงที่ ๔ (องคการบริหารสวนตําบลหนองขวาว) ร้ือถอนถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก
และขนยายออกไปจากทีด่ นิ ตามโฉนดท่ดี นิ เลขท่ี ๒๙๔๓๓ ของผฟู อ งคดใี หหมดส้ินภายใน ๓๐ วัน

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา นาย ม. บิดาผูฟองคดีไดอุทิศที่ดินพิพาทใหเปน
ทางสาธารณประโยชนเพ่ือใหประชาชนในหมูบานใชสัญจรรวมกันต้ังแตป ๒๕๒๒ โดยประชาชน
รวมกันขุดดินทําทางสาธารณะดังกลาวและใชสัญจรต้ังแตน้ันเปนตนมา ตอมา ในป ๒๕๓๗
ไดมกี ารลงหินคลุก และในป ๒๕๔๙ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดทําการกอสรางใหถนนดังกลาวเปนถนนคอนกรีต
เสริมเหล็กขึ้น ประกอบกับเมื่อไดพิจารณาแผนที่พิพาทที่สํานักงานท่ีดินจังหวัดสุรินทร สาขาศีขรภูมิ
สงตอศาลแลว ปรากฏวา ตําแหนงทางพิพาทสามารถเห็นไดอยางชัดเจนวาแตกตางจากแนวเขต
ทางสาธารณะเดิม เนื่องจากทางสาธารณะเดิมมีตําแหนงอยูที่แนวเขตที่ดินดานทิศเหนือของท่ีดิน
ผูฟองคดี แตตําแหนงทางพิพาทมีลักษณะโคงเขาไปในที่ดินของผูฟองคดี ทําใหที่ดินของผูฟองคดี
แยกออกเปนสองแปลง ตําแหนงทางพิพาทจึงมีลักษณะแตกตางจากทางสาธารณะเดิมอยางชัดเจน
และเม่ือพจิ ารณาภาพถายบริเวณท่ีพิพาทปรากฏวา ทางพิพาทโคงเขาไปในท่ีดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔๓๓
ของผูฟองคดี ทําใหบานของบิดาผูฟองคดีอยูใกลทางพิพาทสามารถเขาออกทางพิพาทไดสะดวกกวา
ทางสาธารณะเดิมอีกดวย การที่ทางพิพาทมีตําแหนงแตกตางจากทางสาธารณะเดิมจนสามารถ
เห็นไดอยางชัดเจน อีกท้ังทางพิพาทก็อยูใกลบานพักอาศัยของบิดาผูฟองคดี บิดาผูฟองคดียอมตองรู
ถึงตําแหนงทางพิพาทดังกลาวแลว แตก็ไมปรากฏหลักฐานใดที่แสดงใหเห็นวาบิดาผูฟองคดี
หรือผคู รอบครองที่ดนิ ตอ มาไดค ัดคานหวงหา มหรอื สงวนสิทธมิ ใิ หบุคคลท่ัวไปใชที่ดนิ บริเวณพิพาท

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๗

ในการสญั จรเปน ทางสาธารณะแตป ระการใด เมื่อเจาของที่ดินในขณะน้ันไดมีการอุทิศที่ดินใหเปน
ทางสาธารณประโยชนโ ดยปรยิ ายไปแลว กรณีจึงถือไดวา ท่ีดินในสวนพิพาทจึงตกเปนท่ีดินของรัฐ
หรือสาธารณสมบัติของแผนดินประเภททรัพยสินสําหรับพลเมืองใชรวมกัน ตามมาตรา ๑๓๐๔ (๒)
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ มีอํานาจหนาท่ีในการจัดใหมีและ
บํารุงรักษาทางบกรวมกับองคกรปกครองสวนทองถิ่นอื่น ตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง (๘) แหง พ.ร.บ.
องคการบริหารสวนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ ประกอบกับกฎกระทรวง (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความใน
พ.ร.บ. องคการบริหารสวนจังหวัด พ.ศ. ๒๕๔๐ และผูถูกฟองคดีท่ี ๔ มีอํานาจหนาที่ในการจัด
ใหมแี ละบํารุงรกั ษาทางบก ตามมาตรา ๑๖ (๒) แหง พ.ร.บ. กําหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอํานาจ
ใหแกองคกรปกครองสวนทองถิ่น พ.ศ. ๒๕๔๒ และมาตรา ๖๗ (๑) แหง พ.ร.บ. สภาตําบล
และองคการบริหารสวนตําบล พ.ศ. ๒๕๓๗ จึงยอมมีอํานาจหนาท่ีตามกฎหมายในกรณีการดําเนินการ
กอสรางถนนคอนกรีตเสริมเหล็กสายบานสําโรง ตําบลระแงง เช่ือมตอบานหนองน้ําขุน ตําบลหนองขวาว
ซ่ึงอยูในเขตการปกครองของผูถูกฟองคดีที่ ๓ และที่ ๔ โดยสามารถดําเนินการผานที่ดินโฉนดที่ดิน
เลขท่ี ๒๙๔๓๓ ซึ่งเปนท่ีดินพิพาทในคดีนี้บางสวนในสวนท่ีเปนทางสาธารณะสําหรับพลเมืองใชรวมกันได
การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ กอสรางถนนคอนกรีตเสริมเหล็กทับเขาไปในที่ดินโฉนดเลขท่ี ๒๙๔๓๓
ของผูฟองคดีบางสวนเนื้อท่ี ๓๒ ตารางวา จึงเปนการกอสรางถนนคอนกรีตเสริมเหล็กโดยที่มีอํานาจ
ตามกฎหมายใหส ามารถกระทําได จึงไมเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดี ตามประมวลกฎหมาย
แพงและพาณิชย มาตรา ๔๒๐ ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงไมตองรับผิดหรือตองกระทําการแกไข
ความเดือดรอนเสียหายใหแกผูฟองคดีดวยการรื้อถอนถนนคอนกรีตเสริมเหล็กในสวนที่กอสราง
ผานท่ีดนิ พิพาทแตอยางใด

สําหรับกรณีท่ีผูฟองคดีใชสิทธิยื่นฟองเม่ือพนระยะเวลาหรือไม นั้น เม่ือผูฟองคดี
ฟองวา ผูถกู ฟอ งคดที ่ี ๓ กอสรา งถนนคอนกรีตเสริมเหลก็ ทับที่ดินของตน ขอใหมีการร้ือถอนถนนคอนกรีต
ดงั กลาวออกไปจากทดี่ ิน จึงเปนการฟองคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานของรัฐ
อันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
เม่ือที่ดินพิพาทท่ีผูฟองคดีรับโอนมานั้นเปนการไดมาในทางมรดกจากบิดาซึ่งเปนผูมีสิทธิ
ครอบครองท่ีดินดังกลาวอยูเดิม และไดใหประชาชนทั่วไปใชที่ดินบางสวนเปนทางสาธารณประโยชน
ตอเนือ่ งตลอดมา โดยทีม่ ิไดคดั คา นหวงกนั หรือสงวนสิทธิไว ที่ดินสวนดังกลาวจึงตกเปนที่สาธารณสมบัติ
ของแผนดินท่ีพลเมืองใชรวมกันแลว และขณะท่ีมีการกอสรางถนนคอนกรีตเสริมเหล็กผานบนที่ดินพิพาท
บคุ คลทีเ่ ปนเจาของเดิมและผทู คี่ รอบครองตอมารับทราบถึงการกอสรางถนนดังกลาวแลวแตไมได
โตแยงคัดคาน จึงไมอาจยกขออางถึงการพรากเอาทรัพยไปแลวใชสิทธิติดตามเอาคืนซึ่งทรัพยดังกลาวได
เม่อื ผูฟอ งคดีในฐานะเจาของท่ีดินคนปจจุบันเปนเพียงผูรับโอนท่ีดินจากเจามรดก สิทธิท่ีผูฟองคดี
มอี ยูใ นฐานะผรู ับโอนยอมตอ งไมมีสทิ ธดิ ไี ปกวา ผูโอน ผูฟองคดีจึงไมอาจอางสิทธิเพื่อติดตามเอาทรัพย
ของตนคืนตามหลักกรรมสิทธ์ิไดเชนกัน ดังน้ัน การฟองคดีน้ีจึงมิใชเปนการฟองเพื่อติดตามเอาทรัพยคืน
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๑๓๓๖ อันจะทําใหคดีไมมีอายุความ ระยะเวลา
การฟองคดีนี้จึงตองนับแตมีการกอสรางถนนผานท่ีดินพิพาทแลว การรังวัดสอบเขตท่ีดินจึงไมใช

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๘

เปนเหตุท่ีจะใหเริ่มนับระยะเวลาการฟองคดีน้ีได เม่ือถนนคอนกรีตเสริมเหล็กดังกลาวไดดําเนินการ
กอสรางแลวเสร็จและสงมอบเม่ือวันที่ ๒๑ มีนาคม ๒๕๔๙ การที่ผูฟองคดีนําคดีมาย่ืนฟองตอ
ศาลปกครองช้ันตนเม่ือวันที่ ๔ กรกฎาคม ๒๕๕๘ จึงเปนการยื่นฟองคดีเม่ือพนระยะเวลา
การฟองคดแี ลว ท่ีศาลปกครองชนั้ ตน พพิ ากษาใหผถู ูกฟองคดีที่ ๓ และที่ ๔ รื้อถอนถนนคอนกรีต
เสริมเหล็กในสวนท่ีกอสรางผานท่ีดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๙๔๓๓ เนื้อที่ประมาณ ๓๒ ตารางวา
ตามแนวเสนสเี ขียวในรูปแผนทีพ่ พิ าท (ร.ว.๙) และดาํ เนนิ การปรบั สภาพที่ดินแปลงดังกลาวใหเปน
เชน เดมิ ทงั้ น้ี ภายในหกสิบวันนบั แตว นั ที่คดีถึงท่ีสดุ นัน้ ศาลปกครองสูงสุดไมเ หน็ พอ งดว ย

พิพากษากลบั เปนใหย กฟอ ง
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๖๖๗/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนผูมีชื่อถือสิทธิครอบครองที่ดินตามหลักฐาน
หนังสือรับรองการทําประโยชน (น.ส. ๓ ก.) ตําบลวังแดง อําเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ จํานวน
๒๒ แปลง โดยซ้อื มาจากนาง ส. ซง่ึ ซือ้ ตอ มาจากผูถูกฟองคดีที่ ๕ (นาย น.) และนาง ข. โดยสุจริต
เสียคาตอบแทน และจดทะเบียนตอพนักงานเจาหนาท่ีอยางถูกตอง แตภายหลังจากที่ผูฟองคดี
รับโอนท่ีดินตาม น.ส. ๓ ก. ท่ีพิพาททั้ง ๒๒ แปลงแลว ผูฟองคดีไดรับแจงการเพิกถอน น.ส. ๓ ก.
ท้ัง ๒๒ ฉบับดังกลาว โดยอางวาที่ดินทั้ง ๒๒ แปลง เปนท่ีดินที่แบงแยกมาจาก น.ส. ๓ ท่ีออก
โดยไมชอบดวยกฎหมาย เน่ืองจากเปน น.ส. ๓ ที่มีการปลอมแปลงข้ึนและออกในเขตที่ดิน
ปาสงวนแหงชาติ ปาดงชางดี ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (กรมที่ดิน) จึงมีคําส่ังลงวันท่ี ๑ กันยายน ๒๕๔๘
ใหเพิกถอน น.ส. ๓ ก. ทั้ง ๒๒ ฉบับของผูฟองคดี ผูฟองคดีเห็นวา การกระทําดังกลาวเกิดจาก
การทุจริตของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (นาย ส.) และผูถูกฟองคดีที่ ๕ รวมกันปลอมแปลงหนังสือ
รบั รองการทําประโยชนแ ละเอกสารตางๆ ที่เกี่ยวของ และรวมกันออกหนังสือรับรองการทําประโยชน
ในเขตปาสงวนแหงชาติ ทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหายท่ีตองเสียรายไดจากการนําที่ดิน
ดังกลาวไปจําหนาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังหา
(กรมการปกครอง ที่ ๑ นาย ม. ที่ ๔) รวมกันหรือแทนกันชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีเปนเงิน
๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท
นบั ถดั จากวันฟอ งคดีเปน ตนไปจนกวา จะชําระเสร็จ

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือผูฟองคดีนําคดีมาฟองตอศาลแพงเปน
คดีหมายเลขดําที่ ๔๓๙๐/๒๕๔๙ แตผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ถึงท่ี ๓ ในฐานะจําเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓
ในคดีดังกลาวย่ืนคํารองตอศาลแพงวา คําฟองของผูฟองคดีเปนคดีพิพาทท่ีอยูในอํานาจ
การพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง และขอใหศาลแพงดําเนินการตามมาตรา ๑๐
แหง พ.ร.บ. วาดวยการวินิจฉัยชี้ขาดอํานาจหนาท่ีระหวางศาล พ.ศ. ๒๕๔๒ ซึ่งศาลแพงและ
ศาลปกครองกลางมีความเห็นพองกันวา กรณีเปนขอพิพาทที่อยูในอํานาจพิจารณาพิพากษา
ของศาลปกครอง ศาลแพงจึงมีคําส่ัง ลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๕๐ ใหจําหนายคดีออกจาก
สารบบความ และผูฟองคดีนําคดีมาฟองตอศาลปกครองช้ันตน (ศาลปกครองกลาง) เปนคดีนี้

แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๐๙

โดยผูฟองคดีฟองวา การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําส่ังลงวันท่ี ๑ กันยายน ๒๕๔๘ เพิกถอน
น.ส. ๓ ก. เลขท่ี ๓๐๘๘ ถึงเลขที่ ๓๕๘๙ ตําบลวังแดง อําเภอตรอน จังหวัดอุตรดิตถ
ซ่ึงรวมถึงท่ีดินของผูฟองคดีท้ัง ๒๒ แปลงดวย ทําใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย ขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีทั้งหารวมกันหรือแทนกันชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี
เปนเงิน ๒,๒๐๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินดังกลาว
กรณีจึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาท่ีของรัฐ
อันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมายตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
ซึ่งมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน บัญญัติใหคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิด
ของหนว ยงานทางปกครองหรือเจา หนาทขี่ องรัฐมีระยะเวลาการฟองคดีภายในหนึ่งป นับแตวันที่รู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี ดังน้ัน เมื่อผูฟองคดีไดรับแจงคําสั่งลงวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๔๘
ซ่ึงเปนคําส่ังทางปกครองท่ีเปนเหตุแหงการฟองคดีน้ีเม่ือวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๘ ปรากฏ
ตามหลักฐานใบตอบรับไปรษณียลงทะเบียน วันดังกลาวจึงเปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรู
ถึงเหตุแหงการฟองคดี ผูฟองคดีจึงตองใชสิทธิฟองคดีตอศาลภายในหนึ่งปนับแตวันดังกลาว
คือ ภายในวันท่ี ๑๓ กันยายน ๒๕๔๙ เม่ือผูฟองคดีนําคดีมาฟองตอศาลแพงเปนคดีหมายเลขดํา
ท่ี ๔๓๙๐/๒๕๔๙ เม่ือวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๔๙ กรณีจึงเปนการยื่นฟองเมื่อพนกําหนดหน่ึงป
นับแตวันที่รูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๕๑ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
ประกอบกบั คดนี เี้ ปนการฟองเรยี กใหผ ถู กู ฟองคดีทั้งหา รวมกันหรอื แทนกนั ชําระคา สินไหมทดแทน
ในมูลละเมิด จึงเปนไปเพื่อประโยชนของผูฟองคดีโดยตรง มิใชเปนการฟองคดีท่ีเปนประโยชน
แกประชาชนท่ัวไปอันจะถือเปนประโยชนแกสวนรวม อีกทั้งไมปรากฏวามีเหตุจําเปนอ่ืน
ที่เปนอุปสรรคขัดขวางทําใหผูฟองคดีไมอาจยื่นฟองคดีตอศาลภายในกําหนดเวลาดังกลาว
ท่ีจะทําใหศาลมีอํานาจรับคําฟองของผูฟองคดีไวพิจารณาได ศาลปกครองจึงไมอาจใชดุลพินิจ
รับคําฟองท่ียื่นเมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีไวพิจารณาพิพากษาไดตามมาตรา ๕๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ อยางไรก็ตาม ขอเท็จจริงปรากฏในระหวางการพิจารณาคดี
ของศาลปกครองช้ันตนวาผูถูกฟองคดีที่ ๓ ถึงแกความตายในระหวางการพิจารณาของ
ศาลปกครองชั้นตนซ่ึงเปนกรณีท่ีศาลปกครองชั้นตนจะตองรอการพิจารณาไวจนกวาทายาท
ผูจัดการมรดก ผูปกครองทรัพยมรดก หรือผูสืบสิทธิของผูถูกฟองคดีที่ ๓ จะมีคําขอเขามาแทนท่ี
คูกรณีผูถึงแกความตาย ตามมาตรา ๕๓ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ การท่ีศาลปกครอง
ช้ันตน ดําเนินกระบวนพิจารณาตอ มาโดยทมี่ ไิ ดรอการพจิ ารณาไว จึงเปน กรณีท่ีศาลปกครองช้ันตน
มิไดปฏิบัติตามบทบัญญัติแหงกฎหมายหรือระเบียบในสวนท่ีวาดวยการแสวงหาขอเท็จจริง
ซึ่งศาลปกครองสูงสุดอาจมีคําสั่งยกคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตน แลวกําหนดให
ศาลปกครองชั้นตนพิจารณาคดีนี้ใหมทั้งหมดหรือบางสวนและพิพากษาใหมไดตามขอ ๑๑๒ (๒)
แหงระเบียบของที่ประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ แตเม่ือขอเท็จจริง
รับฟงไดวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ กระทําการตามท่ีถูกกลาวหาวาเปนการละเมิดผูฟองคดีในการปฏิบัติ
หนาท่ี และคดีน้ีเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองหรือเจาหนาที่

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๐

ของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหงพระราชบัญญัติ
เดียวกัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงไมอาจถูกฟองในคดีน้ีได ทั้งนี้ ตามมาตรา ๕ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ กรณีจึงไมมีเหตุอันสมควรที่จะยกคําพิพากษา
ของศาลปกครองชั้นตน เพื่อใหพิจารณาคดีน้ีใหมตามขอ ๑๑๒ (๒) แหงระเบียบขางตน เน่ืองจาก
ไมทําใหผลแหงคดีเปล่ียนแปลงไป ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําพิพากษายกฟองและใหคืน
คาธรรมเนยี มศาลท้งั หมดใหแ กผฟู อ งคดี ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดวย

พพิ ากษายนื
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๗๓๗/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนนักศึกษาหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา
ผูนําทางสังคม ธุรกิจ และการเมือง ของผูถูกฟองคดี (มหาวิทยาลัยรังสิต) ไดรับความเดือดรอน
เสียหายเนื่องจากในระหวางศึกษา ผูฟองคดีถูกกลั่นแกลงโดยผูชวยศาสตราจารย ป.
ซ่ึงเปนผูอํานวยการหลักสูตรดังกลาว เปนเหตุใหไมไดสอบวัดคุณสมบัติ โดยตองสอบซอม ๒ วิชา
และมีวิธีการสอบซอมไมเปนมาตรฐานเดียวกันกับนักศึกษารายอ่ืน ตอมา ผูฟองคดีไดสอบซอม
และไดสอบผานในการวัดคุณสมบัติดังกลาวแลว แตเมื่อผูฟองคดีไดตรวจสอบผลการเรียน
เมือ่ วนั ท่ี ๒๗ ธนั วาคม ๒๕๕๓ ปรากฏวา ผูฟอ งคดีไดแตมระดับขน้ั เฉลยี่ สะสม ๒.๙๐ ซ่ึงไมถูกตอง
เพราะผูท่ีจะมีสิทธิสอบวัดคุณสมบัติได จะตองมีแตมระดับขั้นเฉลี่ยสะสม ๓.๐๐ ข้ึนไป ผูฟองคดี
จึงขอใหแกไขผลการเรียนใหถูกตอง จากนั้น ประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ผูฟองคดี
ไดตรวจสอบผลการเรียนอีกครั้งหนึ่ง พบวามีการแกไขผลการเรียนจากแตมระดับขั้นเฉล่ียสะสม
๒.๙๐ เปน ๒.๙๑ ซึ่งผูฟองคดีเห็นวายังไมถูกตอง ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๒๗ พฤษภาคม
๒๕๕๔ ถึงผูชวยศาสตราจารย ป. ขอใหชวยเหลือเพื่อใหผูฟองคดีไดแตมระดับข้ันเฉลี่ยสะสม
๓.๐๐ ขึ้นไป แตผูชวยศาสตราจารย ป. กลับสั่งใหผูฟองคดีดําเนินการซอมดวยวิธีการเดิมท่ีได
ทําไปแลว ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๔ รองเรียนไปยังเลขาธิการ
คณะกรรมการการอุดมศึกษา ซ่ึงผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือช้ีแจงวา ผูถูกฟองคดีจะไมแกไข
แตมระดับข้ันเฉล่ียสะสมของผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงรองเรียนตอคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม
พรอมท้ังขอใหชดเชยคาเสียหาย เพราะลวงเลยกําหนดเวลาที่ผูฟองคดีจะนําผลการสอบผาน
วัดคุณสมบัติไปใชที่สถาบันอ่ืนได จากนั้น ผูถูกฟองคดีไดลงโทษผูชวยศาสตราจารย ป.
ดวยการปลดออกจากตําแหนงผูอํานวยการหลักสูตร ผูฟองคดีเห็นวา ตนเองไดรับความเสียหาย
จากการกระทาํ ของผชู ว ยศาสตราจารย ป. จงึ นาํ คดมี าฟองขอใหศ าลพิพากษาใหผูถูกฟองคดีชดใช
คาเสียหายแกผฟู อ งคดี รวมเปน เงนิ ทั้งสิ้น ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนนักศึกษาหลักสูตร
ปรัชญาดุษฎีบณั ฑติ ไดรับความเดอื ดรอนหรอื เสยี หายอนั เน่อื งจากการกระทําของผชู วยศาสตราจารย ป.
ซึ่งเปนอาจารยประจําของผูถูกฟองคดี ท่ีไมแกไขผลการเรียนของผูฟองคดีใหมีแตมระดับขั้น
เฉล่ียสะสม ๓.๐๐ ขึ้นไป ทําใหผูฟองคดีไมสามารถเสนอหัวขอเพ่ือทําดุษฎีนิพนธและสําเร็จ

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๑

การศึกษาได ขอใหศ าลพพิ ากษาใหผถู ูกฟองคดชี ดใชค าสินไหมทดแทนเปน เงิน ๑,๑๐๐,๐๐๐ บาท
แกผูฟองคดี จึงเปนคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครองอันเกิดจาก
การใชอํานาจตามกฎหมาย ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ
โดยเม่ือผูฟองคดีไดกลาวอางวา เมื่อประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๕๔ ผูฟองคดีไดตรวจสอบ
ผลการเรยี นทางอินเทอรเน็ตภายหลังจากไดแจงใหผูถูกฟองคดีแกไข ปรากฏวาไดมีการแกไขแตม
ระดับข้ันเฉล่ียสะสมเปน ๒.๙๑ ซ่ึงผูฟองคดีเห็นวายังไมถูกตอง ดังนั้น วันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๔
จงึ เปนวันทผ่ี ูฟ อ งคดรี ูหรอื ควรรถู ึงเหตุแหงการฟองคดีนี้อยางชาที่สุด ผูฟองคดีจึงตองย่ืนฟองคดีน้ี
ภายในวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๕ การที่ผูฟองคดียื่นฟองคดีนี้ตอศาลปกครองชั้นตนเมื่อวันที่
๙ ตุลาคม ๒๕๕๕ จึงเปนการย่ืนฟองคดีเมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๕๑
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และคดีน้ีมิใชเปนการฟองคดีปกครองที่เกี่ยวกับการคุมครอง
ประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคลที่จะยื่นฟองคดีเมื่อใดก็ได อีกทั้ง การฟองคดีนี้
เปนประโยชนแกเฉพาะผูฟองคดีเทาน้ัน มิใชคดีท่ีเปนประโยชนแกสวนรวมหรือมีเหตุจําเปนอ่ืนที่
ศาลจะรับไวพ จิ ารณาไดตามนัยมาตรา ๕๒ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ศาลจึงไมอาจรับคําฟอง
นี้ไวพิจารณาได และปญหาวาคําฟองคดีนี้อยูในเง่ือนไขเกี่ยวกับระยะเวลาการฟองคดีหรือไม
เปนปญหาขอกฎหมายอนั เกยี่ วดว ยความสงบเรียบรอยของประชาชน แมคูกรณีไมไดยกข้ึนกลาวอาง
ในช้ันอุทธรณ แตศาลปกครองสูงสุดมีอํานาจยกปญหาดังกลาวข้ึนวินิจฉัยแลวพิพากษาหรือมีคําส่ัง
ไดตามขอ ๙๒ ประกอบขอ ๑๑๖ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง
พ.ศ. ๒๕๔๓ เม่ือศาลไมอาจรับคําฟองนี้ไวพิจารณาได จึงไมจําตองวินิจฉัยวาผูถูกฟองคดีกระทํา
ละเมิดตอผูฟองคดีหรือไม และเมื่อคดีน้ีศาลไมสามารถรับคําฟองไวพิจารณาได จึงใหคืน
คาธรรมเนียมศาลท้ังหมดทั้งสองช้ันศาลแกผูฟองคดี ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง น้ัน
ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พองดว ยในผล

พพิ ากษายืน และใหค นื คาธรรมเนียมศาลท้ังหมดทั้งสองชน้ั ศาลแกผ ูฟอ งคดี

กรณไี มเปน คดพี พิ าทตามมาตรา ๙ วรรคหนึง่
คําสัง่ ศาลปกครองสูงสุดที่ ๓๓๐/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๖๒
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๑๒๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดี (เทศบาลตําบลพระบุ) ฟองวา ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๒๔ กันยายน
๒๕๖๒ ขอใหผูถูกฟองคดี (กรมบัญชีกลาง) ซ่ึงเปนหนวยงานท่ีกํากับดูแลคณะกรรมการพิจารณา
อุทธรณและขอรองเรียน ตาม พ.ร.บ. การจัดซื้อจัดจางและการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ. ๒๕๖๐
ชดใชคาเสียหายจากการกระทําละเมิดอันเกิดจากการปฏิบัติหนาท่ีลาชาเกินสมควรจากกรณีผูฟองคดี
ไดมปี ระกาศประกวดราคาอเิ ล็กทรอนกิ ส (e-bidding) โครงการซอมสรางถนนคอนกรีตเสริมเหล็ก
จํานวนสองโครงการ บริษัท ล. เปนผูชนะการประกวดราคาทั้งสองโครงการ ตอมา
หางหุนสวนจํากัด ท. ซ่ึงยื่นเสนอราคาและไมชนะการประกวดราคาฯ ทั้งสองโครงการดังกลาว

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๒

ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๖ มีนาคม ๒๕๖๒ อุทธรณประกาศผลการจัดซื้อจัดจางทั้งสองโครงการ
โดยอางวาตนเสนอราคาต่ํากวาผูชนะการประกวดราคาฯ ผูฟองคดีพิจารณาอุทธรณแลวเห็นวา
เหตุผลฟงไมขึ้น จึงไดมีหนังสือลงวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๒ รายงานความเห็นไปยังคณะกรรมการ
พิจารณาอุทธรณและขอรองเรียน สังกัดผูถูกฟองคดี ตอมา เมื่อวันท่ี ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒
ผูฟองคดีไดรับแจงผลการพิจารณาอุทธรณจากคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณและขอรองเรียน
ท้ังสองโครงการวา การตัดสิทธิผูเสนอราคารายผูรอง (หางหุนสวนจํากัด ท.) ไมถูกตอง
ใหผูฟองคดีกลับไปดําเนินการในข้ันตอนการพิจารณาผลการเสนอราคาของผูย่ืนขอเสนอราคา
ใหถูกตอง ผูฟองคดีจึงประกาศยกเลิกประกาศรายชื่อผูชนะการเสนอราคาเดิม ตามประกาศ
ลงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๖๒ และคณะกรรมการพิจารณาผลการประกวดราคาฯ เสนอความเห็น
ใหประกาศใหหางหุนสวนจํากัด ท. ผูรองเปนผูชนะการเสนอราคา โดยมีบริษัท ล. เปนผูไดรับ
คัดเลือกเปนลําดับที่ ๒ และเมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ซ่ึงเปนวันที่ลวงพนระยะเวลา
ใหผ เู สนอราคาย่ืนอทุ ธรณป ระกาศผลการประกวดราคาแลว ไมมผี ใู ดอทุ ธรณ ผูฟองคดีจึงมีหนังสือ
ลงวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ๒๕๖๒ แจงใหหางหุนสวนจํากัด ท. ซ่ึงเปนผูชนะการประกวดราคา
เขาทําสัญญาจางกับผูฟองคดีภายในเวลาท่ีกําหนด แตหางหุนสวนจํากัด ท. เพิกเฉยไมยอม
เขาทําสัญญาภายในเวลาที่กําหนดโดยไมแจงเหตุขัดของใดเปนหนังสือ คณะกรรมการพิจารณา
ผลการประกวดราคา จึงเรียกผูเสนอราคาที่ไดรับคัดเลือกลําดับถัดไปมาทําสัญญา ผูฟองคดี
จึงแจงใหบริษัท ล. ซ่ึงเปนผูไดรับคัดเลือกลําดับถัดไปมาทําสัญญา ถือวาหางหุนสวนจํากัด ท.
กระทาํ ผิดสญั ญาประกวดราคาไมทําสัญญากับผูฟองคดีภายในเวลาท่ีกําหนด เปนเหตุใหผูฟองคดี
ตองทําสัญญาจางกับผูเสนอราคารายอื่นแทน ซ่ึงมีวงเงินที่เปนราคาจางท่ีสูงกวาวงเงิน
ที่หางหุนสวนจํากัด ท. เสนอไว เปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย ผูฟองคดีเห็นวา
เหตุท่ีหางหุนสวนจํากัด ท. ไมเขาทําสัญญาตามกําหนดเวลาที่ผูฟองคดีกําหนด เน่ืองจาก
คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณและขอ รอ งเรียน ไดพิจารณาอุทธรณเกินกวาระยะเวลาท่ีกฎหมาย
กําหนด และเกินกําหนดระยะเวลายืนราคาท่ีผูฟองคดีไดกําหนดไว ๑๒๐ วัน ขอใหผูถูกฟองคดี
ชดใชคา เสียหายเปนเงินจํานวน ๑,๖๒๓,๙๓๑.๙๔ บาท ใหแกผูฟองคดีภายใน ๑๕ วัน นับแตวันที่
ไดรับหนังสือลงวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๖๒ ผูถูกฟองคดีไดรับหนังสือดังกลาวเมื่อวันท่ี ๒๖
กันยายน ๒๕๖๒ ผูถูกฟองคดีจึงตองออกใบรับคําขอใหแกผูฟองคดี แตจนถึงวันฟองคดี
ผูถูกฟองคดียังไมดําเนินการแตอยางใด จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให
ผูถูกฟองคดีออกใบรับคําขอใหแกผูฟองคดี ตามมาตรา ๑๑ แหง พ.ร.บ. ความรับผิด
ทางละเมดิ ของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ภายใน ๗ วัน นับแตว นั ทศี่ าลมคี าํ พิพากษาหรอื คําส่ัง

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ ไดบัญญัติหลักการเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ไว ๒ กรณี ไดแก
กรณีเจาหนาที่กระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐ และกรณีที่เจาหนาท่ีกระทําละเมิดตอผูไดรับ
ความเสียหายที่เปนบุคคลภายนอก โดยหลักเกณฑการยื่นคําขอตอหนวยงานของรัฐใหเจาหนาท่ี
ผูกระทําละเมิดสังกัดอยูใหพิจารณาชดใชคาสินไหมทดแทนสําหรับความเสียหายท่ีเกิดข้ึนแกตน

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๓

ตามมาตรา ๑๑ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ผูเสียหายท่ีจะมีสิทธิยื่นคําขอตอหนวยงานของรัฐ นั้น
หมายถึง บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่เปนบุคคลภายนอกท่ีไดรับความเสียหายจากการกระทํา
ละเมิดของเจาหนาที่ของรัฐเทานั้น ไมหมายรวมถึงหนวยงานของรัฐดวยกันเองตามมาตรา ๔
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน เม่ือปรากฏวา ผูฟองคดีเปนราชการสวนทองถิ่นและเปนหนวยงาน
ของรัฐตามมาตรา ๔ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว อางวาไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการ
กระทําของเจาหนาที่ในสังกัดของผูถูกฟองคดี ซึ่งเปนหนวยงานของรัฐเชนเดียวกัน และขอพิพาท
อันเกิดจากการที่เจาหนาท่ีกระทําละเมิดตอผูฟองคดีซ่ึงเปนหนวยงานของรัฐ ผูฟองคดีจึงหาใช
ผูเสียหายที่จะย่ืนคําขอตอหนวยงานของรัฐใหพิจารณาชดใชคาสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๑
แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน กรณีจึงไมมีขอพิพาทท่ีจะเปนคดีพิพาทเก่ียวกับการที่หนวยงาน
ทางปกครองละเลยตอหนาท่ีตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ หรือปฏิบัติหนาท่ีดังกลาวลาชา
เกินสมควรตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๒) แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองชั้นตน
มีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณา และใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดวย

จึงมีคําส่งั ยืนตามคําส่งั ของศาลปกครองชนั้ ตน
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ.๕๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเขารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลผูถูกฟองคดีที่ ๑
(โรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา) ดวยอาการปสสาวะบอย แพทยของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ วินิจฉัยวา
ผฟู อ งคดปี วยดวยอาการตอมลูกหมากโตและทําการรักษาโดยใหยานํากลับมาทานท่ีบาน แตไมได
สงตัวไปเอกซเรยหรือตรวจดวยเคร่ืองมือทางการแพทยที่ทันสมัย และมีการเปลี่ยนตัวแพทย
ผูรักษาตลอดระยะเวลาท่ีผูฟองคดีเขารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลผูถูกฟองคดีที่ ๑ จนถึงปจจุบัน
ซึ่งเปนระยะเวลาประมาณ ๖ ป ถึง ๗ ป จนกระท่ังในเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑
แพทยผูรักษาคนปจจุบันไดแนะนําใหผูฟองคดีตรวจรางกายดวยการเอกซเรยหรือตรวจดวยเครื่องมือ
ทางการแพทยท่ีทันสมัย โดยสงตัวผูฟองคดีไปตรวจรางกายที่โรงพยาบาลทหารผานศึกและสงผล
การตรวจใหแ พทยข องผถู กู ฟอ งคดีที่ ๑ วนิ ิจฉยั ผลปรากฏวาผูฟอ งคดปี วยเปนโรคมะเร็งตอมลูกหมาก
ตองเขารบั การรกั ษาตวั ดว ยการฉีดยาและสารอาหารเขาทางเสนเลือดรวมถึงการฉายรังสี ซึ่งทําให
ผูฟอ งคดตี องมีคาใชจายเพิ่มขึ้นอีกประมาณ ๒๗๐,๐๐๐ บาท ประกอบดวยคาใชจายในการฉีดยา
และสารอาหารเขาทางเสนเลือด ประมาณ ๘,๕๐๐ บาทตอคร้ัง จํานวน ๑๒ ครั้ง คาใชจายในการฉายรังสี
ประมาณ ๔,๐๐๐ บาทตอครง้ั จํานวน ๓๙ ครงั้ และคา ใชจ ายในการเริ่มตน รักษาโรคมะเรง็ อกี ประมาณ
๑๗,๐๐๐ บาท ผูฟองคดีเห็นวา ความเดือดรอนเสียหายอันเกิดจากคาใชจายในการรักษาโรคมะเร็ง
ที่มีคาใชจายจํานวนมากในปจจุบันเชนน้ีเกิดจากความบกพรองในการรักษาพยาบาลโดยแพทย
ของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ทําใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหายอยางมาก จึงนําคดีมาฟองขอให
ศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังสอง (ผูอํานวยการโรงพยาลพระมงกุฏเกลา ที่ ๒)
ชดใชคาเสียหายแกผูฟองคดีเปนเงินตามที่ศาลเห็นสมควร เห็นวา แมความเสียหายของผูฟองคดี

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๔

ที่เปนเหตุใหฟองคดีนี้ เกิดจากการกระทําของแพทยของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเปนโรงพยาบาลของรัฐ
แตการปฏิบัติหนาท่ีของแพทยในการตรวจรักษาโรคเปนเพียงการปฏิบัติหนาที่ปกติทั่วไป มิใช
การกระทําท่ีเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมายหรือจากกฎ คําสั่งทางปกครอง หรือคําส่ังอื่น
หรือจากการละเลยตอหนาท่ีตามที่กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติหรือปฏิบัติหนาที่ดังกลาวลาชา
เกินสมควรแตอ ยา งใด กรณีจึงมิใชคดีพิพาทเกี่ยวกับการกระทําละเมิดของหนวยงานทางปกครอง
หรือเจาหนาที่ของรัฐอันเกิดจากการใชอํานาจตามกฎหมาย หรือจากกฎ คําส่ังทางปกครอง
หรือคําสั่งอ่ืน หรือจากการละเลยตอหนาท่ีตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติหรือปฏิบัติหนาท่ี
ดังกลาวลาชาเกินสมควร คดีดังกลาวจึงไมอยูในอํานาจพิจารณาพิพากษาของศาลปกครอง
ตามมาตรา ๙ วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ แตเปนคดีพิพาทที่อยูในอํานาจ
พิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม ซึ่งผูฟองคดีสามารถย่ืนฟองคดีใหมตอศาลยุติธรรมไดภายใน
ระยะเวลาท่ีกฎหมายกําหนด ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ นนั้ ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดวย

จงึ มคี าํ สัง่ ยนื ตามคาํ ส่งั ของศาลปกครองชน้ั ตน
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ.๘๙/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๑๑
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดที่ คร.๑๑๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดฟี อ งวา ผฟู อ งคดีเปนผูถือกรรมสิทธ์ิในบานเลขที่ ๙/๒๖๕ หมูบานแสงธรรม
แขวงออเงิน เขตสายไหม กรุงเทพมหานคร ตอมา ผูถูกฟองคดี (ผูชวยผูอํานวยการฝายบริหาร NPA
ธนาคารอาคารสงเคราะห) ไดมอบอํานาจใหนางสาว พ. ดําเนินการขอคัดสําเนาทะเบียนบาน
พรอ มลงชือ่ เปนเจาบา นดังกลาวแทนผถู กู ฟอ งคดี ตามหนังสือมอบอํานาจ ลงวันท่ี ๒๑ มิถุนายน ๒๕๖๑
ผฟู อ งคดีเหน็ วา การกระทาํ ดังกลาวเปนการสวมสิทธิเปนเจา บานโดยผิดกฎหมาย และใหผูฟองคดี
เปนผูอาศัยโดยที่ผูฟองคดีไมไดยินยอม จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งลงโทษ
ผูถูกฟองคดีกรณีปฏบิ ตั หิ นาท่โี ดยมิชอบ และใหผถู ูกฟอ งคดชี ดใชคาสนิ ไหมทดแทนกรณีกระทาํ ละเมิด
เปนเงินจํานวน ๑,๐๐๐,๐๐๐ บาท เห็นวา การกระทําของผูถูกฟองคดีเปนการดําเนินการ
ตามปกติของพนักงานธนาคารเพ่ือประกอบธุรกิจของธนาคารอาคารสงเคราะห ขอพิพาทในคดี
จึงไมเก่ียวกับการใชอํานาจทางปกครองหรือดําเนินกิจการทางปกครอง ตามนัยมาตรา ๑๙๗
วรรคหนึ่ง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และไมใชคดีพิพาท
ตามมาตรา ๙ วรรคหน่ึง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ศาลปกครองจึงไมอาจรับคําฟองน้ี
ไวพิจารณาพิพากษาได ท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ น้นั ศาลปกครองสงู สุดเห็นพอ งดวย

จึงมีคําสัง่ ยนื ตามคําส่ังของศาลปกครองชั้นตน

กรณเี ปน คดที ไี่ มอ ยใู นอาํ นาจศาลปกครอง
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๖๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๑๐

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๕

คําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ที่ คผ.๑๑๗/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๙๐

เง่ือนไขการฟองคดี
ผูม สี ิทธิฟอ งคดี
คําสัง่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๖๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๕๕
คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดที่ ๒๓๗/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๕๐
คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๓๓๐/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๖๒
คําส่งั ศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๑๗/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๒๒
คาํ ส่งั ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๒๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๖๙
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คผ.๓๗/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๗๒
คําส่งั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คผ.๔๔/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๗๔
คําส่งั ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๕๑/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๗๖
คําสง่ั ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๕๔/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๒๙
คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๖๖/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๓๒
คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ.๗๒/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๘๒
คําสง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คผ.๘๖/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๘๓
คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ.๙๖/๒๕๖๓ อางแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๓๓
คําส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๐๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๘๖
คําสง่ั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๑๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๓๕
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๒๔/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๙๓
คําสง่ั ศาลปกครองสูงสดุ ที่ คผ.๑๔๔/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๓๗
คําส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คร.๑/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๑๒
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๑๙๗/๒๕๖๓

ผูฟองคดี (องคการบริหารสวนตําบลบานใหมไชยมงคล) ฟองวา ผูฟองคดีไดรับ
เร่ืองรองเรียนการปฏิบัติหนาท่ีของนาย ส. ผูถูกฟองคดีที่ ๕ ที่ ๖ และที่ ๗ ขณะดํารงตําแหนง
นายกองคการบริหารสวนตําบลบานใหมไชยมงคล ปลัดองคการบริหารสวนตําบลบานใหมไชยมงคล
หวั หนาสว นโยธา และหวั หนา สวนการคลังของผฟู องคดี ตามลําดับ นายอําเภอทุงเสลี่ยมจึงมีคําส่ัง
แตง ตั้งคณะกรรมการสอบสวนโดยผลการสอบสวน ปรากฏวา นาย ส. ปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบและ

แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๖

มีพฤติกรรมในทางทุจริต ผูฟองคดีมีคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมดิ ซึง่ ผลการสอบสวนปรากฏวา ระหวางวนั ที่ ๘ ตุลาคม ๒๕๔๔ ถึงวันท่ี ๓๐ กันยายน ๒๕๔๗
นาย ส. เปนผูลงนามอนุมัติการเบิกจายและลงนามในเช็คโดยมิไดขีดฆาคําวา “หรือผูถือ” ออก
และเม่ือเบิกเงินมาแลวกลับมิไดนําไปจายใหแกผูมีสิทธิ รวมท้ังจัดทําหลักฐานการเบิกเงินเปนเท็จ
โดยมีผูถูกฟองคดีท่ี ๕ เปนผูรวมทําหลักฐานเท็จและรวมลงนามในเช็ค ผูถูกฟองคดีท่ี ๖
ตรวจงานจางท้ังๆ ท่ีไมมีการจางงานจริง และขณะทําหนาท่ีหัวหนาสวนการคลังเปนผูรวบรวม
หลักฐานเพ่ือเบิกเงิน เมื่อเบิกเงินแลวก็มิไดนําไปหักออกจากการจายเงิน อีกทั้งมีการจัดทํา
หลักฐานการเบิกเงินเปนเท็จข้ึนเพ่ือขอเบิกเงิน และผูถูกฟองคดีที่ ๗ เขียนเช็คส่ังจายใหผูมีสิทธิ
โดยมิไดขีดฆาคําวา “หรือผูถือ” ออก จัดทําหลักฐานการเบิกเปนเท็จ และนําเช็คไปเบิกเงินสด
โดยไมปรากฏวานําไปจายใหแกผูมีสิทธิ คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงมีมติเห็นควรเรียก
คาเสียหายจากนาย ส. และผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ถึงท่ี ๗ เปนเงินท้ังสิ้น ๑๗,๓๐๘,๐๔๙.๗๑ บาท
ผูฟองคดีเห็นดวยกับความเห็นดังกลาว และสงสํานวนใหกระทรวงการคลังตรวจสอบ
ซึ่งกระทรวงการคลังพิจารณาแลวเห็นควรใหนาย ส. และผูถูกฟองคดีที่ ๕ ถึงท่ี ๗ เปนเงินทั้งสิ้น
๑๗,๓๐๘,๐๔๙.๗๑ บาท ผูฟองคดีจึงมีคําส่ังลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ ใหผูที่เกี่ยวของรวมกัน
ชดใชเงินคืนแกผูฟองคดี และแจงคําสั่งดังกลาวใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ซ่ึงเปนบุตรนาย ส.
ซึง่ ถึงแกค วามตาย และผูถกู ฟอ งคดีที่ ๕ ถึงท่ี ๗ ทราบแลว จึงนาํ คดมี าฟอ งขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคาํ สงั่ ใหผูถูกฟอ งคดที ้งั เจ็ดรวมกันคืนหรือใชเงินจํานวน ๑๗,๓๐๘,๐๔๙.๗๑ บาท พรอมดอกเบ้ีย
ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของเงินตนดังกลาวแกผูฟองคดีนับแตวันฟองจนกวาจะชําระแกผูฟองคดี
เห็นวา เมื่อนาย ส. ผูตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเสียชีวิตกอนท่ีผูฟองคดีจะออกคําสั่ง
ลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ สั่งใหนาย ส. และผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ถึงท่ี ๗ รวมกันรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนเปนเงินจํานวน ๑๗,๓๐๘,๐๔๙.๗๑ บาท ทําใหผูฟองคดีไมสามารถใชวิธีการ
ออกคําสั่งเรียกใหชําระเงินเพ่ือชดใชคาสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิด
ทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และไมสามารถใชมาตรการบังคับทางปกครองตามมาตรา ๕๗
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ได ผูฟองคดีจึงตองฟองคดีเพื่อบังคับ
ตามสิทธิเรียกรองตอศาลซ่ึงมีมูลเหตุแหงการฟองคดีเปนเร่ืองเดียวกันกับผูถูกฟองคดีที่ ๕ ถึงที่ ๗
และการแกไขเยียวยาความเดือดรอนเสียหายของผูฟองคดีศาลมีอํานาจกําหนดคําบังคับให
ผูถูกฟองคดีท้ังเจ็ดใหชดใชเงินดังกลาวไดตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๓) แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว เมื่อคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไดรายงานผลการสอบ
ขอ เท็จจริงใหนายกองคก ารบรหิ ารสวนตาํ บลบา นใหมไชยมงคลทราบเม่ือวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๔๘
จึงถือวาผูฟองคดีรูถึงการละเมิดและรูตัวเจาหนาที่เมื่อวันดังกลาว ผูฟองคดีจึงตองย่ืนฟอง
ตอศาลปกครองภายในสองปนับแตวันดังกลาว คือ ภายในวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๐ แตผูฟองคดี
กลับเปนโจทกย่ืนฟองผูถูกฟองคดีทั้งเจ็ดเปนจําเลยตอศาลจังหวัดสวรรคโลกเมื่อวันที่
๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซึ่งขณะนั้นกําหนดระยะเวลาการฟองคดียังคงเหลือเม่ือนับตั้งแตวันที่

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๗

๓๑ ธันวาคม ๒๕๔๘ ถึงวันที่ ๓ มกราคม ๒๕๕๐ อีกเปนจํานวน ๓๖๘ วัน โดยท่ีศาลจังหวัดสวรรคโลก
มีคําส่ังจําหนายคดีออกจากสารบบความ เนื่องจากคดีอยูในอํานาจของศาลปกครอง ผูฟองคดี
ในฐานะโจทกมิไดอุทธรณคําสั่ง ทําใหคดีถึงที่สุดเม่ือวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๙ ตามความใน
มาตรา ๑๔๗ วรรคสอง ประกอบมาตรา ๒๒๗ และมาตรา ๒๒๙ แหงประมวลกฎหมาย
วิธีพิจารณาความแพง จึงเปนกรณีที่มีการฟองคดีตอศาลอ่ืนซึ่งมิใชศาลปกครองและศาลสั่ง
ไมรับคําฟองไวพิจารณาเพราะไมมีอํานาจพิจารณาคดีน้ัน กําหนดระยะเวลาการฟองคดี
จงึ สะดดุ หยดุ อยตู ง้ั แตวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๘ ซงึ่ เปนวันย่ืนคําฟองจนถึงวันท่ีคําสั่งไมรับคําฟอง
ไวพจิ ารณาของศาลจังหวัดสวรรคโลกถงึ ทส่ี ดุ ตามขอ ๓๑ แหง ระเบียบของทป่ี ระชุมใหญฯ วาดวย
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ หากผูฟองคดีจะนําคดีมาฟองตอศาลปกครองจะตองย่ืนคําฟอง
ภายใน ๓๖๘ วัน ตามระยะเวลาการฟองคดีที่ยังคงเหลือ โดยเร่ิมนับต้ังแตวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๙
ผูฟองคดีจึงสามารถนําคดีมาฟองตอศาลปกครองไดตั้งแตวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๔๙ ถึงวันที่
๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๐ การที่ผูฟองคดีนําคดีมาฟองผูถูกฟองคดีทั้งเจ็ดตอศาลปกครองเมื่อวันที่
๒๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ จึงเปนการย่ืนฟองภายในสองปนับแตวันท่ีรูถึงการละเมิดและรูตัวเจาหนาที่
ผูจะพึงตองใชคาสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบขอ ๓๑ แหงระเบียบดังกลาว เมื่อระหวางวันที่ ๔ ตุลาคม ๒๕๔๕
ถึงวันท่ี ๒๒ เมษายน ๒๕๔๗ ผูฟองคดีไดรับความเสียหายจากการเบิกจายเงินงบประมาณ
โดยไมมีหลักฐานการจาย หรือมีการทําหลักฐานการเบิกจายเงินเปนเท็จหลายรายการ
ซึ่งในชวงเวลาดังกลาว นาย ส. ดํารงตําแหนงนายกองคการบริหารสวนตําบลบานใหมไชยมงคล
เปนผูรับผิดชอบในการบริหารราชการของผูฟองคดีใหเปนไปตามกฎหมาย ระเบียบและขอบังคับ
ของทางราชการ เปนผูสั่ง อนุญาต และอนุมัติเก่ียวกับราชการขององคการบริหารสวนตําบล
โดยเปนผูลงนามอนุมัติการเบิกจายเงินของผูฟองคดี ลงนามในเช็คโดยไมไดขีดฆาคําวา
“หรือผูถือ” ออก มีการจัดทําหลักฐานการเบิกเงินเปนเท็จขึ้นมาเพื่อเบิกจายเงินของผูฟองคดี
ไปเปนประโยชนสวนตนหรือของผูอ่ืน ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ดํารงตําแหนงปลัดองคการบริหาร
สวนตําบลบานใหมไชยมงคล เปนผูลงนามในฎีกาเบิกเงินและใบสําคัญตางๆ เพื่อเสนอนายก
องคก ารบริหารสวนตําบลบา นใหมไ ชยมงคลอนมุ ัติใหเบิกจายเงิน มีการจัดทําหลักฐานการเบิกเงิน
เปนเท็จขึ้นมาและรวมลงนามในเช็คโดยไมไดขีดฆาคําวา “หรือผูถือ” ออก และผูถูกฟองคดีท่ี ๗
ดํารงตําแหนงหัวหนาสวนการคลัง มีหนาที่เขียนเช็คส่ังจายใหผูมีสิทธิโดยไมไดขีดฆาคําวา
“หรือผูถือ” ออก เปนการไมปฏิบัติตามหลักเกณฑวาดวยการรับเงินเปนเช็คหรือตั๋วแลกเงิน
วิธีการเขียนเช็คส่ังจายเงิน และการมอบฉันทะในการรับเงินขององคกรปกครองสวนทองถ่ิน
พ.ศ. ๒๕๔๑ และเปน ผูน ําเช็คไปเบิกเงนิ สดโดยไมปรากฏหลักฐานวาเมื่อเบิกเงินสดมาแลวไดนําไปจาย
ใหผูมีสิทธิผูใดหรือไม พฤติการณและการกระทําของนาย ส. ผูถูกฟองคดีที่ ๕ และที่ ๗
ดังกลาวเปนการจงใจไมปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยวาดวยการรับเงิน การเบิกจายเงิน
การฝากเงิน การเก็บรักษาเงิน และการตรวจเงินขององคกรปกครองสวนทองถ่ิน พ.ศ. ๒๕๔๑
ซ่ึงมีผลใชบังคับอยูในขณะน้ัน และระเบียบกระทรวงมหาดไทย วาดวยการพัสดุของสภาตําบล

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๘

พ.ศ. ๒๕๓๘ และมีพฤติการณรวมกันกระทําการโดยทุจริตเปนเหตุใหทรัพยสินของผูฟองคดี
ไดรับความเสียหาย การกระทําของนาย ส. ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ และที่ ๗ จึงเปนการกระทําละเมิด
ตอผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย และตองรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนแกผูฟองคดีตามมาตรา ๑๐ วรรคหนึ่ง ประกอบกับมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ สวนกรณีของผูถูกฟองคดีที่ ๖ ไมปรากฏ
ขอเท็จจริงหรือพฤติการณอ่ืนใดท่ีแสดงใหเห็นวาผูถูกฟองคดีท่ี ๖ มีพฤติการณรวมกับนาย ส.
ผูถูกฟองคดีที่ ๕ และท่ี ๗ กระทําการทุจริตเบียดบังยักยอกเงินของทางราชการแตอยางใด
แตอยางไรก็ตาม เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ไดรับแตงต้ังใหทําหนาท่ีหัวหนาสวนการคลังอีกตําแหนงหน่ึง
มีหนาท่ีรวบรวมหลักฐานเพื่อเบิกจายเงิน เม่ือเบิกเงินแลวกลับมิไดนําหลักฐานมาหักลาง
การจายเงิน การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๖ รับผิดชอบงานคลังของผูฟองคดียอมตองมีหนาท่ีตรวจสอบ
การเบิกจายเงินของผูฟองคดีใหถูกตองตามระเบียบหรือหลักเกณฑที่ทางราชการกําหนด
แตกลับละเลยตอหนาท่ีในการตรวจสอบการลงนามเบิกจายเงินหรือส่ังจายเช็ความีการสั่งจาย
ใหแ กผ ูใ ด และมรี ายจา ยเกดิ ข้นึ จริงหรือไม อนั เปนชองทางกอ ใหเกิดการทจุ รติ เบียดบังเงินของทาง
ราชการทาํ ใหทางราชการเสียหาย ซึง่ หากผถู กู ฟองคดที ี่ ๖ ใชค วามระมัดระวังเพียงเล็กนอยในการ
ตรวจสอบหลักฐานการเบิกจายเงิน ความเสียหายของผูฟองคดียอมจะไมเกิดขึ้น การกระทําของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๖ จึงเปนการกระทําโดยประมาทเลินเลออยางรายแรงเปนเหตุใหผูฟองคดี
ไดรับความเสียหายอันเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมาย
แพงและพาณิชย และตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูฟองคดีตามมาตรา ๑๐ วรรคหน่ึง
ประกอบกับมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ. ความรบั ผดิ ทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ อยางไรก็ตาม
จากการตรวจสอบเอกสารการสอบสวนขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ในสวนของบัญชีสรุป
ความเสียหายดานการเงินของผูฟองคดีปรากฏวา รายการความเสียหายบางรายการเปนรายจาย
ที่เชื่อไดว า มกี ารจายจริง ประกอบกับบางรายการมีหลักฐานการสั่งจายเช็คธนาคาร พ. ซ่ึงเปนเช็ค
ขีดครอมเขาบัญชีผูรับเงินเทานั้น หรือมีหลักฐานการจายหรือรับเงินเปนใบเสร็จรับเงิน ใบสงของ
หรือหลักฐานใบสําคัญรับเงิน และไมปรากฏวาบุคคลหรือหนวยงานเหลานั้นไมไดรับเงินตาม
รายการดังกลาว จึงเชื่อไดวาผูฟองคดีไมไดรับความเสียหายรวมจํานวน ๕๙ รายการ เปนเงิน
ทั้งสิ้น ๕,๕๙๒,๑๐๗.๒๒ บาท ดังน้ัน จึงตองนําจํานวนเงินดังกลาวมาหักออกจากยอด
ความเสียหายของผูฟองคดีตามที่คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
และกระทรวงการคลังท่ีเห็นวา นาย ส. และผูถูกฟองคดีที่ ๕ ถึงที่ ๗ ตองรับผิดรวมกันชดใช
คาเสียหายแกผูฟองคดีเปนเงินท้ังสิ้น ๑๗,๓๐๘,๐๔๙.๗๑ บาท คงเหลือจํานวนเงินท่ีผูฟองคดี
ไดรับความเสียหายเปนเงิน ๑๑,๗๑๕,๙๔๒.๔๙ บาท เมื่อนาย ส. ผูถูกฟองคดีท่ี ๕ และท่ี ๗
มีพฤติการณรวมกันกระทําการเบียดบังยักยอกเงินงบประมาณของผูฟองคดีไปโดยทุจริต จึงตอง
รับผิดเต็มจํานวนความเสียหาย จึงแบงสวนความรับผิดชอบใหนาย ส. ผูถูกฟองคดีที่ ๕ และที่ ๗
รับผิดชดใชคาเสียหายทดแทนเปนเงินคนละ ๓,๙๐๕,๓๑๔.๑๖ บาท พรอมดอกเบ้ียของตนเงิน
ที่ตองรับผิดดังกลาวในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันฟองจนกวาจะชําระเสร็จตามคําขอของ

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๑๙

ผูฟองคดี ตามมาตรา ๒๒๔ ประกอบกับมาตรา ๒๐๖ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
เม่ือนาย ส. เสียชีวิตเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๔๘ ความรับผิดของนาย ส. ตอผูฟองคดียอมเปน
มรดกตกทอดแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ ถึงท่ี ๔ ซึ่งเปนทายาทโดยธรรม ตามมาตรา ๑๕๙๙ วรรคหน่ึง
และมาตรา ๑๖๐๐ แหงประมวลกฎหมายดังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ถึงท่ี ๔ จึงตองรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนในสวนของนาย ส. จํานวน ๓,๙๐๕,๓๑๔.๑๖ บาท แตไมจําตองรับผิดเกินกวา
ทรัพยม รดกทต่ี กทอดไดแกตน ตามมาตรา ๑๖๐๑ แหงประมวลกฎหมายเดียวกัน สวนผูถูกฟองคดีที่ ๖
ซึง่ ไมไ ดรวมกระทาํ ทุจรติ ดว ย แตเปน การกระทําโดยประมาทเลินเลออยางรายแรงเปนเหตุใหผูฟองคดี
ไดรับความเสียหาย จึงเปนความรับผิดในการปฏิบัติหนาท่ีตาม พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของ
เจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซึ่งจากการตรวจสอบตารางสรุปความเสียหายดานการเงินของผูฟองคดี
(เช็ค ๗๖ ฉบบั ) ท่ผี ฟู องคดกี าํ หนดใหผูถูกฟองคดที ี่ ๖ ตองรับผิดเพราะดํารงตําแหนงหัวหนาสวนโยธา
โดยมียอดรวมเปนเงิน ๒,๗๑๐,๕๓๖.๐๘ บาท ซึ่งรายการความเสียหายตามเอกสารหมาย ฟ. ๑
ลําดับท่ี ๒ ท่ี ๕ ท่ี ๘ และที่ ๙ รวมจํานวน ๒,๒๔๕,๗๖๗ บาท นั้น ผูฟองคดีไมเสียหาย
แตหักคาเสียหายสวนนี้ไวแลว จึงตองหักความเสียหายท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ในสวนน้ีเพียง
๔๖๔,๗๖๙.๐๘ บาท คงเหลือความเสียหายที่ผูฟองคดีไดรับจากการกระทําของผูถูกฟองคดีท่ี ๖
ในการเบิกจายเงินท่ีไมถูกตองตามท่ีกลาวไวขางตนเปนเงิน ๑๑,๒๕๑,๑๗๓.๔๑ บาท และเม่ือ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ไมไดกระทําการทุจริตรวมกับนาย ส. ผูถูกฟองคดีที่ ๕ และท่ี ๗ จึงไมจําตอง
รับผิดเต็มจํานวนความเสียหาย แตตองรับผิดดวยเหตุกระทําการดวยความประมาทเลินเลอ
อยางรายแรง เมื่อคํานึงถึงความรายแรงและความเปนธรรมในกรณีน้ีแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๖
สมควรรับผิดเพียง ๑ ใน ๑๐ สวนของความเสียหายท่ีผูฟองคดีไดรับจากตนเงิน
๑๑,๒๕๑,๑๗๓.๔๑ บาท คิดเปนเงิน ๑,๑๒๕,๑๑๗.๓๔ บาท และเม่ือพิจารณาการปฏิบัติงาน
ในหนวยงานของผูฟองคดี ซ่ึงดํารงตําแหนงหัวหนาสวนโยธาและรักษาการแทนหัวหนาสวนการคลัง
อีกตําแหนงหนึ่ง โดยปฏิบัติหนาท่ีเกี่ยวกับการเงินการบัญชี กรณีจึงเห็นไดวาผูถูกฟองคดีท่ี ๖
ไมมีความรูความสามารถในดานการเงินการบัญชีและกฎหมายท่ีเกี่ยวของในการปฏิบัติหนาที่
หัวหนาสวนการคลัง เนื่องจากไมตรงตามวุฒิการศึกษาที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ใชในการสมัคร
เขาทํางานในหนวยงานของผูฟองคดี ประกอบกับเม่ือผูฟองคดีมีคําส่ังใหผูถูกฟองคดีที่ ๖
รกั ษาการในตําแหนง หวั หนา งานการเงิน ผูฟอ งคดียังคงปลอ ยใหผ ูถูกฟองคดีท่ี ๗ ซึ่งสํานักงานการ
ตรวจเงินแผนดินมีหนังสือทักทวงไมใหผูถูกฟองคดีที่ ๗ ปฏิบัติหนาที่ในดานการเงินของผูฟองคดี
ดังนั้น การที่นาย ส. ผูถูกฟองคดีที่ ๕ และท่ี ๗ รวมกันกระทําการทุจริตเงินงบประมาณของผูฟองคดี
สาเหตุสวนหนึ่งเกิดจากผูฟองคดีไดจัดเจาหนาที่ท่ีไมมีความรูความสามารถตรงตามตําแหนง
สายงานท่ีรับผิดชอบ จึงสมควรหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๖ เนื่องจากความบกพรอง
หรือระบบการดําเนินงานโดยสวนรวมของผูฟองคดีออกรอยละ ๕๐ ของความเสียหายในสวนท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ ตองรับผิดเปนเงิน ๕๖๒,๕๕๘.๖๗ บาท ตามมาตรา ๘ วรรคสาม แหง พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ คงเหลือจํานวนเงินที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๖
ตองรับผดิ เปนเงนิ ๕๖๒,๕๕๘.๖๗ บาท ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ถึงท่ี ๔

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๐

รวมกันรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูฟองคดีเปนเงิน ๔,๓๒๗,๐๑๒.๔๓ บาท โดยผูถูกฟองคดี
ทั้งส่ีไมจําตองรับผิดในคาสินไหมทดแทนเกินกวาทรัพยมรดกท่ีตกทอดไดแกตน สวนผูถูกฟองคดีท่ี ๕
ใหรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงิน ๔,๓๒๗,๐๑๒.๔๓ บาท ผูถูกฟองคดีท่ี ๖ รับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนเปนเงิน ๔,๓๒๗,๐๑๒.๔๓ บาท และผูถูกฟองคดีที่ ๗ รับผิดชดใชคาสินไหม
ทดแทนเปนเงิน ๔,๓๒๗,๐๑๒.๔๓ บาท ท้ังน้ี ใหชําระดอกเบี้ยของเงินจํานวนดังกลาวในอัตรา
รอยละ๗.๕ ตอป นับแตวันฟองคดีเปนตนไปจนถึงวันที่ชําระเสร็จสิ้นใหแกผูฟองคดี โดยใหชําระ
ใหแลวเสร็จภายใน ๖๐ วัน นับแตวันที่คดีถึงท่ีสุด คําขออื่นนอกจากนี้ใหยกและใหคืน
คา ธรรมเนียมศาลทัง้ หมดใหแ กผูฟอ งคดี น้นั ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดว ยบางสวน

พิพากษาแก เปนใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ถึงท่ี ๔ ในฐานะทายาทโดยธรรมของนาย ส.
รวมกันหรือแทนกันชําระเงินจํานวน ๓,๙๐๕,๓๑๔.๑๖ บาท โดยใหรับผิดชําระเงินไมเกินกวา
ทรัพยมรดกที่แตละคนไดรับจากกองทรัพยสินของนาย ส. และใหผูถูกฟองคดีท่ี ๕ ชําระเงิน
จํานวน ๓,๙๐๕,๓๑๔.๑๖ บาท ผูถูกฟองคดีที่ ๖ ชําระเงิน จํานวน ๕๖๒,๕๕๘.๖๗ บาท และ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๗ ชําระเงินจํานวน ๓,๙๐๕,๓๑๔.๑๖ บาท แกผูฟองคดี พรอมดวยดอกเบี้ย
ของตนเงินที่ตองรับผิดดังกลาวในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระ
เสร็จส้ิน และคนื คาธรรมเนียมศาลใหแกผ ูฟองคดีตามสวนของการชนะคดี นอกจากท่ีแกใหเปนไป
ตามคําพิพากษาของศาลปกครองช้ันตน โดยมีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการ
ใหเปนไปตามคําพิพากษาวา หากผูฟองคดีไดรับชําระหน้ีจากผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ถึงท่ี ๕ และที่ ๗
ครบถวนแลว ใหค นื เงินสว นที่ผถู กู ฟองคดีที่ ๖ ตองรบั ผิดชดใชค า เสียหายใหแกผ ูฟอ งคดตี อไป
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ. ๒๖๙/๒๕๖๓ อางแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๔๕
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ.๔๕๙/๒๕๖๓

ผูฟองคดีท้ังสองฟองวา ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (เลขาธิการคณะกรรมการการ
อุดมศึกษา) มีคําส่ังแตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด กรณีการกําหนด
คาปรับในสัญญาจางกอสรางอาคารอเนกประสงคไมตรงกับเง่ือนไขในเอกสารประกวดราคา และ
คณะกรรมการดงั กลา วสอบสวนแลวไดเสนอความเห็นตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ วา เจาหนาท่ีไมไดจงใจ
หรือประมาทเลินเลออยางรายแรง ไมมีผูใดตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกทางราชการ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ เห็นดวย จึงไดมีหนังสือสงสํานวนสอบสวนไปใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(กระทรวงการคลัง) ตรวจสอบ ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ โดยกรมบัญชีกลาง เห็นวา ผูฟองคดีที่ ๑ และที่ ๒
ตองรับผิด และมีหนังสือลงวันที่ ๑๙พฤศจิกายน ๒๕๕๐ แจงผลการพิจารณาใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ทราบ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงมีคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ใหผูฟองคดีทั้งสองรับผิดชดใชเงิน
คนละ ๑๕๑,๒๘๘ บาท ตามความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๔ ผูฟองคดีทั้งสองไดย่ืนอุทธรณคําสั่ง
ดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ (รัฐมนตรีวาการกระทรวงศึกษาธิการ) ไดวินิจฉัยยกอุทธรณของ
ผูฟองคดีทั้งสอง และมีหนังสือลงวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๑ แจงผลการพิจารณาอุทธรณให
ผูฟองคดีทั้งสองทราบ ผูฟองคดีท้ังสองจึงฟองคดีขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ัง

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๑

ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ลงวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ และหนังสือกรมบัญชีกลาง ลงวันที่
๑๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ เห็นวา เมื่อหนวยงานของรัฐสงสํานวนการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมิดไปใหผ ูถกู ฟองคดีท่ี ๔ พิจารณาตามขอ ๑๗ วรรคสอง ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และ
ผูถูกฟองคดีที่ ๔ พิจารณามีความเห็นเชนใดแลว หนวยงานของรัฐตองมีคําส่ังตามความเห็นของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๔ ตามขอ ๑๘ วรรคหน่ึง ของระเบียบดังกลาว ความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๔
จึงเปนสาเหตุโดยตรงท่ีทําใหผูฟองคดีทั้งสองไดรับความเสียหาย ผูฟองคดีท้ังสองจึงมีสิทธิฟอง
ผูถกู ฟองคดีท่ี ๔ ตอ ศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึง่ แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ

เมื่อเอกสารประกวดราคาจาง สถาบันราชภัฏรอยเอ็ด ลงวันท่ี ๙ เมษายน ๒๕๔๗
ท่ีผูฟองคดีที่ ๑ เปนผูจัดทํา และผูฟองคดีที่ ๒ เปนผูพิจารณาใหความเห็นชอบ ไดกําหนดอัตรา
คาปรับไวในขอ ๙ ของเอกสารประกวดราคาจางดังกลาววา คาปรับตามแบบสัญญาจางขอ ๑๕
จะตองกําหนดในอัตรารอยละ ๐.๑ ของคาจางตามสัญญาตอวัน ดังนั้น อัตราคาปรับดังกลาว
จึงมีผลผูกพันผูฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๒ ในการจัดทําสัญญาจางกับผูชนะการประกวดราคา อีกทั้ง
ยังเปนเงื่อนไขที่ตองประกาศใหผูประสงคจะเขาประกวดราคาไดทราบกอนเขาประกวดราคาวา
หากผูเขาประกวดราคารายใดเปนผูชนะการประกวดราคาจะตองเขาทําสัญญากับทางราชการ
ตามเงื่อนไขคาปรับอัตรารอยละ ๐.๑ ของอัตราคาจางตามสัญญาตอวัน ดังนั้น การท่ีกําหนด
คาปรับในสัญญาใหถูกตองตรงตามท่ีระบุไวในเอกสารประกวดราคาจาง จึงถือเปนสาระสําคัญ
ของสัญญา เมื่อผูฟองคดีที่ ๑ จัดทําสัญญาจาง ใหผูฟองคดีที่ ๒ พิจารณาลงนามกับผูรับจาง
โดยกาํ หนดคาปรับในขอ ๑๕ ของสัญญาจางดังกลาววา ในกรณีผูรับจางไมสามารถทํางานใหแลวเสร็จ
ตามเวลาที่กําหนดไวในสัญญา ผูรับจางจะตองชําระคาปรับในอัตราวันละ ๖๔๘ บาท ซ่ึงเทากับ
อัตรารอยละ ๐.๐๑ ของคาจางตามสัญญา (คาจางตามสัญญา เปนเงิน ๖,๔๗๒,๙๐๐ บาท)
และนอยกวาท่ีกําหนดในเอกสารประกวดราคา เปนเหตุใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ (สํานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษา) ซ่งึ เปนผูวาจางไดรับความเสียหายจากการท่ีผูรับจางทํางานไมแลวเสร็จ
ตามเวลาที่กําหนดในสัญญาและไมอาจปรับผูรับจางในอัตรารอยละ ๐.๑ ของคาจางตามสัญญาตอวัน
หรือวันละ ๖,๔๗๓ บาท ไดตามท่ีกําหนดในเอกสารประกวดราคา การกระทําดังกลาวของ
ผูฟองคดีที่ ๑ และที่ ๒ จึงเปนการกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดวยความประมาทเลินเลอ
อยางรายแรง เพราะหากผูฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๒ ไดใชความระมัดระวังแตเพียงเล็กนอยดวย
การตรวจสอบดูวาอัตราคาปรับท่ีกําหนดในขอ ๑๕ ของสัญญาจาง ถูกตองตรงกันกับท่ีกําหนด
ในขอ ๙ ของเอกสารประกวดราคาจางหรือไม ก็จะไมเกิดความเสียหายดังกลาว สวนที่ผูฟองคดีที่ ๑
อางวา ไมเคยไดรบั มอบหมายใหเ ปน ผดู ําเนินการจดั ซอื้ จัดจางของสวนราชการมากอน ขาดความรู
และประสบการณเกี่ยวกับงานพัสดุ สวนผูฟองคดีที่ ๒ มีภาระงานมาก ไมสามารถตรวจสอบ
เอกสารไดหมดทุกหนากระดาษและทุกตัวอักษร น้ัน ผูฟองคดีที่ ๑ ก็เพียงแตกําหนดใหถูกตอง
ตรงกันกับอัตราที่กําหนดในเอกสารประกวดราคาจางเทานั้น ซ่ึงไมตองอาศัยความรูหรือ
ประสบการณพเิ ศษแตอยา งใด เพยี งแตใชค วามระมัดระวังเพยี งเล็กนอยก็จะไมเกิดขอผิดพลาดข้ึน

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๒

สวนผูฟองคดีที่ ๒ แมจะอางวามีภาระงานมาก ไมอาจตรวจเอกสารไดทุกหนากระดาษและ
ตัวอักษรก็ตาม แตผูฟองคดีท่ี ๒ ก็สามารถตรวจสอบเฉพาะสวนท่ีเปนสาระสําคัญของสัญญาจาง
ซ่ึงมีอยูไมม ากได เชน อัตราคา จา ง กาํ หนดเวลาจา ง อัตราคา ปรับ เปนตน โดยเฉพาะอัตราคาปรับ
ตองตรวจสอบวาในสัญญาจางถูกตองตรงกันกับที่กําหนดในเอกสารประกวดราคาจางหรือไม
ซึ่งไมตองใชความรูความสามารถพิเศษหรือประสบการณในการจัดซื้อจัดจาง และไมตองตรวจ
เอกสารสัญญาจางทุกหนากระดาษและทุกตัวอักษรแตอยางใด โดยใชแตเพียงความระมัดระวัง
และเวลาเพียงเล็กนอยก็สามารถตรวจสอบได และแมวาการกําหนดคาปรับในสัญญาจางในอัตรา
รอยละ ๐.๐๑ ของราคาจางตอวัน จะไมขัดตอขอ ๑๓๔ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวย
การพัสดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ ก็ตาม แตการกําหนดอัตราคาปรับดังกลาวจะตองตรงกันกับที่กําหนดไว
ในเอกสารการประกวดราคาจาง การกําหนดคาปรับในสัญญาจางในภายหลังใหต่ํากวาอัตรา
คาปรับท่ีกําหนดในเอกสารประกวดราคาจางที่ไดประกาศใหผูเขาประกวดราคาทราบโดยท่ัวกันแลว
ยอมทาํ ใหผ รู บั จางไดป ระโยชน และผูถ ูกฟอ งคดที ่ี ๑ ซึง่ เปนผวู า จางตองเสียประโยชนดังท่ีวินิจฉัยไวแลว
ซึ่งไมอาจกระทําได แตเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ในชวงการจัดจางกอสรางอาคารอเนกประสงค
ดังกลาวเปนชวงท่ีมีการปรับเปลี่ยนโครงสรางของทางราชการ โดยที่เดิมสถาบันราชภัฏรอยเอ็ด
เปนเพียงสวนราชการภายในสํานักงานสภาสถาบันราชภัฏ ไมเคยมีเจาหนาที่พัสดุและไมเคย
มีประสบการณในการจัดซื้อจัดจางพัสดุมากอน การจัดจางกอสรางอาคารอเนกประสงค
เปนโครงการแรกที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรอยเอ็ดจะตองดําเนินการเองทั้งหมดทุกข้ันตอน
พฤติการณดังกลาวถือเปนความบกพรองของหนวยงานของรัฐและระบบการดําเนินงานสวนรวมดวย
ซึ่งผูถูกฟองคดีที่ ๔ โดยกรมบัญชีกลาง ไดหักสวนความรับผิดของหนวยงานออกรอยละ ๕๐
ของความเสียหายท้ังหมดแลว คงเหลือความรับผิดจํานวน ๓๐๒,๕๗๖ บาท ท้ังน้ี ตามมาตรา ๘
วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ อยางไรก็ตาม
เมอื่ พิจารณาถงึ ระดับความรา ยแรงแหง การกระทําและความเปนธรรมในกรณีของผูฟองคดีทั้งสองแลว
เห็นวา ผูฟองคดีที่ ๑ เปนอาจารยอัตราจาง โปรแกรมวิชาเทคโนโลยีการเกษตร มีหนาท่ี
สอนหนงั สือ ไมใชเ จา หนา ท่พี สั ดุโดยตรง และไมเ คยไดรบั มอบหมายใหเ ปน ผดู าํ เนนิ การจดั ซ้อื จดั จา งมา
กอน แตไดรับมอบหมายจากมหาวิทยาลัยราชภัฏรอยเอ็ดใหเปนเจาหนาท่ีดูแลงานดานพัสดุของ
มหาวิทยาลัยและรับผิดชอบในการจัดทําสัญญาจางดังกลาว จึงเปนกรณีท่ีผูฟองคดีที่ ๑ จะตอง
ปฏิบัติหนาที่ท่ีไดรับมอบหมายท้ังที่ตนเองมิไดมีหนาท่ีโดยตรงและมิไดมีความรูความชํานาญใน
หนาท่ีท่ีไดรับมอบหมาย โดยมิอาจหลีกเล่ียงได สวนผูฟองคดีท่ี ๒ ซ่ึงดํารงตําแหนงอธิการบดี
มหาวิทยาลัยราชภัฏรอยเอ็ด ในขณะที่มหาวิทยาลัยราชภัฏรอยเอ็ดมีรองอธิการบดี
เพียงคนเดียว และอยูในระหวางการถายโอนงานจากสถาบันราชภัฏรอยเอ็ดมาเปนงานของ
มหาวทิ ยาลัยราชภฎั รอ ยเอ็ดจงึ มีภาระงานท่ีตองรับผิดชอบจํานวนมาก ประกอบกับความเสียหาย
ที่เกิดขึ้นแกมหาวิทยาลัยราชภัฏรอยเอ็ดจากการกระทําของผูฟองคดีท้ังสองก็มีเพียงแตความเสียหาย
ท่ีเกิดจากมหาวิทยาลัยราชภัฏรอยเอ็ดไดรับคาปรับจากผูรับจางนอยกวาที่ควรจะเปนเทาน้ัน
และวงเงินคาปรับดังกลาวก็อยูในกรอบท่ีกําหนดไวในขอ ๑๓๔ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๓

วา ดว ยการพสั ดุ พ.ศ. ๒๕๓๕ อกี ทัง้ การกระทาํ ละเมดิ ดังกลาวมิไดเกิดจากการทุจริตของผูฟองคดี
ท้ังสอง ดังนั้น เม่ือคํานึงถึงระดับความรายแรงแหงการกระทําและความเปนธรรมตามมาตรา ๘
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ แลว จึงเปนกรณีท่ี
ผฟู อ งคดีท่ี ๑ ควรรับผิดชดใชค าสินไหมทดแทนเพียงรอยละ ๕ ของคาเสียหายจํานวน ๓๐๒,๕๗๖ บาท
เปนเงิน ๑๕,๑๒๘.๘๐ บาท สวนผูฟองคดีท่ี ๒ ควรรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนรอยละ ๑๐
ของคาเสียหายจํานวน ๓๐๒,๕๗๖ บาท เปนเงิน ๓๐,๒๕๗.๖๐ บาท การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑
โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ออกคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีท้ังสองรับผิดชดใชเงินคนละ ๑๕๑,๒๘๘ บาท
ตามความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๔ จึงเปนการออกคําส่ังเรียกใหเจาหนาท่ีของรัฐชดใชคาสินไหม
ทดแทนโดยไมคาํ นึงถึงระดบั ความรา ยแรงแหงการกระทําและความเปน ธรรมแกก รณีของผูฟองคดี
ทัง้ สอง ซ่งึ ไมช อบดวยมาตรา ๘ วรรคสอง แหง พระราชบญั ญัติดังกลาว และศาลมีอํานาจเพิกถอน
คําส่ังดังกลาวในสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๑ รับผิดเกินกวา ๑๕,๑๒๘.๘๐ บาท และในสวนท่ีให
ผูฟองคดีท่ี ๒ รับผิดเกินกวา ๓๐,๒๕๗.๖๐ บาท ไดตามมาตรา ๗๒ วรรคหนึ่ง (๑) แหง พ.ร.บ.
จดั ต้งั ศาลปกครองฯ ทศี่ าลปกครองช้ันตน พพิ ากษายกฟอ ง นัน้ ศาลปกครองสูงสุดไมเห็นพองดว ย

พิพากษากลับ เปนใหเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒
ตามคําสั่งลงวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๐ ในสวนที่เรียกใหผูฟองคดีที่ ๑ รับผิดชดใชคาเสียหาย
เปนเงินเกินกวาจํานวน ๑๕,๑๒๘.๘๐ บาท และในสวนท่ีเรียกใหผูฟองคดีท่ี ๒ รับผิดชดใช
คาเสียหายเปนเงินเกินกวาจํานวน ๓๐,๒๕๗.๖๐ บาท โดยใหมีผลยอนหลังไปนับแตวันท่ี
ผถู กู ฟอ งคดีที่ ๑ ออกคําสงั่ ดังกลาว
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ. ๖๓๘/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๔๖
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสดุ ที่ อ. ๗๕๕/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เม่ือวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ผูฟองคดีไดลงทะเบียนเปนผูเขารวม
ประมูลรถจักรยานยนตตามเอกสารชักชวนของผูถูกฟองคดี (การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย)
ประกาศ ณ วันที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ผูฟองคดีประสงคเขารวมประมูลรายการที่ ๑๗ รถจักรยานยนต
ยห่ี อคาวาซากิ (KAWASAKI) เคร่อื งยนตเ บนซนิ ทะเบียน นบ. กจง ๒๑๙ กฟผ. ๐๔ – ๐๓๒๔ รป.
ป พ.ศ. ๒๕๔๒ รายการเดยี ว ผูฟอ งคดีทราบภายหลังจากการประมูลเสร็จส้ินลงวา ผูท่ีลงทะเบียน
เขารวมประมูลรถจักรยานยนตมีเพียง ๒ คน แตคณะกรรมการกําหนดราคาขายและพิจารณา
ผลการประมูล กลับยินยอมใหบุคคลซ่ึงมิไดลงทะเบียนเพ่ือประมูลรถจักรยานยนตเขารวมประมูล
ซ่งึ บคุ คลดงั กลาวไดย กปายเสนอราคาทใี่ ชสําหรับการประมูลรถยนตเพื่อประกอบการขานราคาประมูล
รถจักรยานยนตคันพิพาทอยางตอเน่ืองจนชนะราคา ผูฟองคดีเห็นวาพฤติการณและการกระทําดังกลาว
ของคณะกรรมการฯ เปนการกระทําโดยไมสุจริต มีลักษณะเปนการเลือกปฏิบัติโดยไมเปนธรรม
และฝา ฝนตอ ขอ กาํ หนดทค่ี ณะกรรมการฯ กําหนด จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให
ผูถกู ฟอ งคดีชดใชค า เสียหาย พรอมดอกเบ้ีย

แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๔

ศาลปกครองสูงสดุ วนิ ิจฉัยวา ผูถ ูกฟอ งคดไี ดจ ัดใหมีการจําหนายพัสดุประเภทรถยนต
รถจักรยานยนต และเครือ่ งจักรกลทีใ่ ชง านแลวจํานวน ๑๘ รายการ ซงึ่ ชาํ รดุ และไมไดใ ชงานแกผูท่ีสนใจ
ดวยวิธีการแขงขนั เสนอราคาดวยวาจา ตามประกาศการไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย ประกาศ
ณ วันที่ ๒๐ มถิ ุนายน ๒๕๕๖ ในเอกสารประกาศประมูลราคาดังกลาวกําหนดใหมีการลงทะเบียน
เขารวมประมูลราคาในวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ปรากฏวามีผูสนใจมาลงทะเบียนประมูลราคา
รถจักรยานยนต ๒ คน ไดแก ผูถือปายเสนอราคาหมายเลข ๑ และผูฟองคดีเปนผูถือปายเสนอราคา
หมายเลข ๒ แตเม่อื ถึงเวลาประมลู รถจักรยานยนตไดม ีผทู ่ีลงทะเบยี นประมูลรถยนตแ ตม ิไดล งทะเบียน
ประมูลรถจักรยานยนตเขารวมยกปายเสนอราคารถจักรยานยนตเพ่ิมขึ้นอีก ๓ คน ประกอบดวย
ผูถือปายเสนอราคาหมายเลข ๕ หมายเลข ๓๑ และหมายเลข ๕๑ รวมท้ังหมด ๕ คน โดยผูฟองคดี
มิไดโตแยงหรือคัดคาน คณะกรรมการกําหนดราคาขายและพิจารณาผลการประมูลจึงดําเนินการ
จําหนา ยพสั ดดุ งั กลาวดวยวิธีการแขงขนั เสนอราคาดวยวาจาตอไป ปรากฏวา ผูเขารวมประมูลทั้งหมด
ไดยกปา ยเสนอราคารวม ๑๑ คร้ัง ในสวนของผฟู องคดีไดย กปา ยเสนอราคารวม ๓ ครั้ง โดยคร้ังสุดทาย
ผูฟองคดียกปายเสนอราคา ๕,๘๐๐ บาท หลังจากนั้น ไดมีผูถือปายเสนอราคารายอื่น
ยกปา ยเสนอราคาอกี โดยผถู อื ปา ยเสนอราคาหมายเลข ๑ ไดยกปายเสนอราคาครั้งที่ ๑๐ เปนเงิน
๖,๘๐๐ บาท และผูถือปายเสนอราคาหมายเลข ๕ ไดยกปายเสนอราคาครั้งท่ี ๑๑ เปนเงิน
๗,๐๐๐ บาท ซ่ึงเปนคร้ังสุดทายของการเสนอราคาประมูลรถจักรยานยนตและเปนราคาท่ีสูงสุด
ของการประมูลคร้งั นี้ กรณีจึงเห็นไดวา การท่คี ณะกรรมการกําหนดราคาขายและพิจารณาผลการประมูล
ของผูถูกฟองคดีมีคําสั่งรับคําเสนอซ้ือรถจักรยานยนต ยี่หอคาวาซากิ เคร่ืองยนตเบนซิน
ทะเบียน นบ. กจง ๒๑๙ กฟผ. ๐๔ – ๐๓๒๔ รป. จากผูถอื ปายเสนอราคาหมายเลข ๕ ซง่ึ มิไดล งทะเบียน
เปนผูเขารวมประมูลราคารถจักรยานยนต จึงเปนการกระทําท่ีไมชอบเน่ืองจากเปนการฝาฝนเง่ือนไข
การประมลู ขอ ๒.๑ ของเงื่อนไขและหลักประกันการประมูลทายประกาศการไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย
แตโดยท่ีขอเท็จจริงปรากฏวา ภายหลังการประมูลราคาเสร็จสิ้น ผูฟองคดีไดโตแยงตอคณะกรรมการ
กําหนดราคาขายและพิจารณาผลการประมูลวา การประมูลพัสดุรายการรถจักรยานยนตครั้งนี้ดําเนินการ
ผิดเง่ือนไขการประมูลท่ีผูถูกฟองคดีกําหนดไว ซึ่งคณะกรรมการฯ ไดพิจารณาคําโตแยงคัดคาน
ของผูฟองคดีแลวเห็นพองดวย และในที่สุด ผูถูกฟองคดีไดยกเลิกการประมูลครั้งนี้ โดยอาศัยอํานาจ
ตามขอ ๑๙๘ ของระเบียบการไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย ฉบับที่ ๒๖ วาดวยการพัสดุ พ.ศ. ๒๕๔๖
ท่ีกําหนดวา ในกรณีไมมีผูเขาประมูลหรือกรณีท่ีคณะกรรมการกําหนดราคาขายและพิจารณา
ผลการประมูลเห็นสมควรยกเลิกการประมูลครั้งนั้น ใหคณะกรรมการดังกลาวเสนอขอยกเลิก
การประมูลคร้งั นั้นเพื่อดาํ เนนิ การใหม เม่อื ผลการประมลู รถจกั รยานยนตค รั้งนีป้ รากฏวา ผูฟองคดี
ยกปายเสนอราคาเพยี ง ๓ ครง้ั โดยครั้งที่ ๕ ผูฟองคดียกปายเสนอราคาท่ี ๕,๘๐๐ บาท ขณะที่ผูถือปาย
เสนอราคาหมายเลข ๑ ซงึ่ เปน ผูเขา รวมประมลู รถจกั รยานยนตโ ดยถูกตองเชนเดียวกับผูฟองคดีไดยกปาย
เสนอราคาครัง้ ท่ี ๑๐ เปนเงิน ๖,๘๐๐ บาท ซึ่งแมผลการประมูลจะปรากฏวา ผูถือปายเสนอราคาหมายเลข ๕
ซ่งึ มิไดลงทะเบยี นเขา รว มประมลู รถจกั รยานยนตไ ดย กปายเสนอราคาที่ ๗,๐๐๐ บาท ซ่ึงเปนราคาที่สูงท่ีสุด
ของการประมูลรถจักรยานยนตในคร้ังน้ี แตผูที่ไดรับความเสียหายจากการดําเนินการประมูลรถจักรยานยนต

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๕

ท่ไี มถูกตองของคณะกรรมการกาํ หนดราคาขายและพจิ ารณาผลการประมูลของผูถูกฟองคดี ยอมไดแก
ผูถือปายเสนอราคาหมายเลข ๑ ซ่ึงเปนผูลงทะเบียนประมูลราคาจักรยานยนตอยางถูกตอง
และเปนผูเสนอราคา ๖,๘๐๐ บาท อันเปนราคาที่สูงสุดรองจากผูถือปายเสนอราคาหมายเลข ๕
ซ่ึงชนะการประมลู สว นผูฟองคดีที่เสนอราคาสุดทายที่ ๕,๐๐๐ บาท น้ัน แมจะเปนผูไดรับความเดือดรอน
หรอื เสยี หายจากการท่คี ณะกรรมการกาํ หนดราคาขายและพจิ ารณาผลการประมูลของผูถูกฟองคดี
ดําเนินการประมูลราคารถจักรยานยนตโดยไมชอบ จึงเปนผูมีสิทธิฟองคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ก็ตาม แตการที่ผูฟองคดีจะมีสิทธิไดรับการชดใชคาสินไหมทดแทน
จากการกระทําละเมิด จะตองปรากฏวาผูฟองคดีเปนผูไดรับความเสียหายจากการกระทํา
โดยไมชอบดวยกฎหมายของคณะกรรมการกําหนดราคาขายและพิจารณาผลการประมูล
ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย แตเม่ือผูฟองคดีมิใชผูมีโอกาสชนะ
การประมูลรถจักรยานยนตคันพิพาท ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเสียหายจากการท่ีคณะกรรมการ
กําหนดราคาขายและพิจารณาผลการประมูลดําเนินการประมูลจักรยานยนตคันท่ีพิพาทโดยไมชอบ
เน่ืองจากเปนการฝาฝน เง่อื นไขการประมูล ขอ ๒.๑ ของเงื่อนไขและหลักเกณฑการประมูลทายประกาศ
การไฟฟา ฝายผลติ แหงประเทศไทยดงั กลา ว จงึ ถือไมไดว าคณะกรรมการกําหนดราคาขายและพิจารณา
ผลการประมูล ซ่ึงเปนเจาหนาที่ในสังกัดของผูถูกฟองคดีกระทําละเมิดตอผูฟองคดี ผูถูกฟองคดี
จงึ ไมต องรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูฟองคดี ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง นั้น
ศาลปกครองสูงสดุ เหน็ พอ งดว ย

พิพากษายืน
คําส่ังศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๖๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๕๖
คาํ ส่ังศาลปกครองสงู สดุ ท่ี ๑๔๙/๒๕๖๓

ผูฟองคดีทั้งส่ีฟองวา ผูฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๒ เปนบุตรของนาย ป. สวนผูฟองคดีที่ ๓
และที่ ๔ เปนหลานของนาย ป. เม่ือครั้งนาย ป. มีที่ดินจํานวน ๒ แปลง อยูท่ีตําบลตรึม
อําเภอศขี รภมู ิ จังหวัดสุรินทร ซ่งึ ไดแ จงการครอบครองท่ีดิน (ส.ค. ๑) ไวกับพนักงานเจาหนาท่ีแลว
ตอมาเม่ือป พ.ศ. ๒๕๒๓ นาย ป. ไดเสียชีวิตลงโดยมิไดมอบท่ีดินดังกลาวใหแกผูใด แตนาย ป.
ไดสัง่ เสยี กบั ผูฟอ งคดที ี่ ๑ และที่ ๒ วา ใหผ ฟู อ งคดีท่ี ๑ และที่ ๒ นํามาแบงปนใหกับพี่นองทุกคนตาม
แตปรากฏวานาง ค. บุตรของนาย ป. ไดนําที่ดินทั้งสองแปลงไปออกหนังสือรับรองการทําประโยชน
(น.ส. ๓ ก.) เลขที่ ๕๕๗๓ และเลขที่ ๕๖๒๗ โดยผถู กู ฟอ งคดีที่ ๑ เจาพนักงานท่ีดินจังหวัดสุรินทร
สาขาศีขรภูมิ) มิไดปฏิบัติหนาที่ตามที่กฎหมายกําหนดในการสอบสวนสิทธิท่ีดินท้ังสองแปลง
ใหถูกตองวานาย ป. ไดยกที่ดินใหแกนาง ค. เพียงคนเดียว จริงหรือไม รวมทั้งมีการปลอมลายมือช่ือ
ผูปกครองทองที่อีกดวย เปนเหตุใหนาง ค. ไดรับที่ดินท้ังสองแปลงไปเปนของตัวเองเพียงคนเดียว
โดยทีน่ าย ป. และทายาทไมเคยทราบเรื่องมากอน ผูฟองคดีทั้งสี่จึงนําคดีมาฟองตอศาลขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่ง ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ รวมกันหรือแทนกันกับผูถูกฟองคดีที่ ๒
ชดใชคาเสียหายเปนเงิน ๑,๒๗๕,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ีย เห็นวา นาง ค. ไดนําท่ีดินตามแบบแจง

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๖

การครอบครองทด่ี ิน (ส.ค. ๑) ที่นาย ป. เปนผูแจงการครอบครอง จํานวน ๒ แปลง ไปยื่นขอออก
หนังสือรับรองการทําประโยชน (น.ส. ๓ ก.) โดยนาง ค. แจงตอเจาหนาที่วาไดที่ดินดังกลาว
โดยการรับใหจากนาย ป. ผูเปนบิดา และพนักงานเจาหนาที่ไดออก น.ส. ๓ ก. ใหแกนาง ค.
ตั้งแตวันท่ี ๑๐ กันยายน ๒๕๑๘ แลว ดังน้ัน หากนาย ป. เห็นวาการออก น.ส. ๓ ก. ทั้งสองฉบับ
ใหแกนาง ค. ไมชอบดวยกฎหมายในขั้นตอนใดก็ควรที่จะโตแยงตอผูถูกฟองคดีทั้งสองหรือนําคดี
มาฟองตอศาล ซึ่งขณะนั้น ศาลปกครองยังไมเปดทําการ นาย ป. สามารถใชสิทธิทางศาล
โดยยน่ื ฟองคดตี อ ศาลยุติธรรม แตไมปรากฏขอเท็จจริงวานาย ป. ไดยื่นฟองโตแยงการออก น.ส. ๓ ก.
ทั้งสองฉบับดังกลาวแตอยางใด ดังน้ัน เมื่อนาย ป. ไดถึงแกความตายเมื่อป พ.ศ. ๒๕๒๓
ที่ดินตาม น.ส. ๓ ก ทั้งสองฉบับจึงไมไดเปนทรัพยสินของนาย ป. ในขณะท่ีนาย ป. ถึงแกความตาย
ท่ีดินพิพาทจึงไมไดเปนทรัพยมรดกของนาย ป. ตามมาตรา ๑๖๐๐ แหงประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชย ผูฟองคดีท้ังสี่ในฐานะทายาทของนาย ป. จึงไมไดเปนผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย
หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเนื่องจากการออก น.ส. ๓ ก. ดังกลาว
ผูฟองคดีทั้งสี่จึงไมมีสิทธิฟองคดีนี้ตอศาลปกครอง ตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดตั้ง
ศาลปกครองฯ สวนคํารอง ลงวันท่ี ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ พรอมพยานหลักฐานของผูฟองคดี
ทั้งส่ีท่ีย่ืนตอศาลปกครองสูงสุดขอเพ่ิมเติมคํารองอุทธรณคําส่ังของศาลปกครองช้ันตนที่ไมรับคําฟอง
ไวพิจารณา เพื่อใหศาลปกครองสงู สุดรบั ไวพ จิ ารณาพรอ มกบั คํารองอทุ ธรณค ําสั่งของศาลปกครอง
ช้ันตนท่ีไดยื่นไวกอนหนาท่ีแลว น้ัน เม่ือผูฟองคดีทั้งส่ีไดรับแจงคําสั่งของศาลปกครองช้ันตน
ลงวนั ท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๖๒ ท่ีไมรับคําฟองของผูฟองคดีทั้งส่ีไวพิจารณาเม่ือวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๒
ดังน้ัน การที่ผูฟองคดีทั้งส่ีย่ืนคํารอง ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ พรอมพยานหลักฐาน
ทางไปรษณียล งทะเบียนตอศาลปกครองสูงสุดเม่ือวันท่ี ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ จึงเปนการย่ืนคํารอง
อุทธรณคําส่ังของศาลปกครองช้ันตนเพิ่มเติมเมื่อพนกําหนดระยะเวลาสามสิบวันนับแตวันที่
ไดรับแจงคําสั่งของศาลปกครองชั้นตนตามขอ ๔๙/๑ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวย
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ จึงไมอาจรับคํารอง ลงวันท่ี ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๒
พรอมพยานหลักฐาน ของผูฟองคดีทั้งส่ีไวพิจารณาได ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟอง
ของผูฟองคดีทั้งส่ีไวพิจารณา และใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดวยในผล

จึงมีคําสั่งยืนตามคําส่ังของศาลปกครองช้ันตน และไมรับคํารองอุทธรณคําสั่ง
เพ่ิมเตมิ ของผฟู อ งคดที ั้งสี่ไวพจิ ารณา
คําสงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คบ.๙๕/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๕๔
คาํ สงั่ ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๒/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ขณะผูฟองคดีรับราชการตํารวจ ขาราชการตํารวจ
ผูใตบังคับบัญชาของผูถูกฟองคดีที่ ๔ (กองบังคับการตํารวจทางหลวง) ไดรวมกันจัดทําหนังสือ
รอ งเรยี น (บัตรสนเทห) ท่ีมีขอความหม่ินประมาทผูฟองคดีในฐานะผูบังคับบัญชา สงไปยังสถานที่

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๗

ตางๆ ในสังกัดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ (สํานักงานตํารวจแหงชาติ) และสงไปยังผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(กองบังคับการตํารวจทางหลวง) ทาง Gmail ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงมีบันทึกขอความลงวันที่
๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕ แจงใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ (กองกํากับการ ๗ กองบังคับการตํารวจทางหลวง
สถานีตํารวจทางหลวง ๔ กองกํากับการ ๗) ตรวจสอบขอเท็จจริงในกรณีดังกลาวแลวรายงาน
ผลการดําเนินการใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ทราบ ซึ่งตอมาพันตํารวจโท ธ. ผูไดรับมอบหมายให
ตรวจสอบขอเท็จจริงในกรณีดังกลาวไดมีบันทึกขอความลงวันที่ ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ รายงาน
ผลการตรวจสอบขอเทจ็ จรงิ ใหผ ูถูกฟอ งคดีที่ ๓ ทราบโดยเห็นวา ขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียน
ไมมีมูลความผิด เห็นควรยุติเรื่อง ผูฟองคดีเห็นวา พฤติการณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ ๓
และขาราชการตํารวจผูใตบังคับบัญชาของผูถูกฟองคดีที่ ๔ เปนการรวมกันสรางเร่ืองเท็จข้ึนมา
กลั่นแกลงใสความผูฟองคดี และรวมกันใชอํานาจนําหนังสือรองเรียนกลาวโทษผูฟองคดีท่ีมี
ขอความเท็จไปตรวจสอบขอเท็จจริงแลวดําเนินการทางวินัยกับผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงมีหนังสือ
ลงวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๖๒ รองขอใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะหนวยงานตนสังกัดของ
ผถู กู ฟองคดีท่ี ๒ ท่ี ๓ และขาราชการตํารวจผูใตบังคับบัญชาของผูถูกฟองคดีท่ี ๔ ผูกระทําละเมิด
ท่ีนําหนังสือรองเรียนที่มีขอความเท็จไปกลาวหาใสความหมิ่นประมาทผูฟองคดี ชดใชคาสินไหม
ทดแทนใหแ กผูฟอ งคดเี ปนเงนิ ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท พรอ มดอกเบี้ยในอตั รารอยละ ๑๕ ตอป ภายใน
๑๕ วัน นับแตไดรับหนังสือ แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ เพิกเฉย ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาเสียหายแกผูฟองคดีเปนเงิน ๗,๐๐๐,๐๐๐ บาท
นับแตวันทําละเมิดจนถึงวันยื่นฟอง พรอมดอกเบี้ยรอยละ ๗.๕ ตอป จนกวาจะชําระเสร็จ
แกผูฟองคดี เห็นวา การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีบันทึกขอความลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๕
แจงใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตรวจสอบขอเท็จจริงในกรณีท่ีมีหนังสือรองเรียนทาง Gmail เกี่ยวกับ
ผูฟองคดีและการที่พันตํารวจโท ธ. ไดมีบันทึกขอความลงวันท่ี ๖ สิงหาคม ๒๕๕๕ รายงาน
ผลการตรวจสอบขอเท็จจริงใหผ ูถูกฟอ งคดีที่ ๓ ทราบโดยเห็นวา ขอกลาวหาตามหนังสือรองเรียน
ไมม ีมูลความผิด เห็นควรยุติเร่ือง น้ัน เปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒ ถึงท่ี ๔ ไดดําเนินการตรวจสอบ
ขอเทจ็ จรงิ เพอื่ ใหไดขอเท็จจริงในเบื้องตนวา บคุ คลท่ีถูกรองเรียนไดกระทําผิดวินัยหรือไม อยางไร
ซึ่งเปนเพียงขั้นตอนของการพิจารณาภายในฝายปกครองในการเตรียมการและดําเนินการ
ของเจาหนาทเี่ พ่ือจดั ใหมคี ําสง่ั ทางปกครอง เม่ือผลการตรวจสอบขอ เท็จจริงปรากฏวา ขอกลาวหา
ไมมีมูลความผิด กรณีจึงไมมีการดําเนินการทางวินัยในประเด็นดังกลาวกับผูฟองคดี ผูฟองคดี
จงึ มิใชผไู ดรับความเดอื ดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจ
หลีกเล่ียงได อันเนื่องมาจากการกระทําหรือการงดเวนการกระทําของผูถูกฟองคดีทั้งสี่ที่จะมีสิทธิ
ฟองคดีตามมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ัง
ไมรับคําฟองคดีนี้ไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ นั้น ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พอ งดวยในผล

จึงมีคาํ สงั่ ยนื ตามคาํ ส่ังของศาลปกครองชั้นตน
คําสัง่ ศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คผ.๙/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๑๙

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๘

คําสั่งศาลปกครองสูงสดุ ที่ คผ.๒๑/๒๕๖๓ อางแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๒๕
คําสั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๓๓/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (นายกเทศมนตรีนครนครสวรรค) มีคําส่ังลงวันที่
๑๑ เมษายน ๒๕๕๑ ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงินจํานวน ๕,๙๓๕,๓๒๐.๕๘ บาท
ผูฟองคดีเห็นวาคําสั่งดังกลาวไมชอบดวยกฎหมายจึงนําคดีมาฟองตอศาล ซ่ึงศาลปกครองสูงสุด
มีคําพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่งดังกลาวและคําวินิจฉัยอุทธรณเฉพาะสวนท่ีใหผูฟองคดีชดใช
คาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๕๙๓,๕๓๒.๐๖ บาท ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีหนังสือลงวันท่ี
๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ แจงใหผูฟองคดีนําเงินจํานวน ๕๙๓,๕๓๒.๐๖ บาท พรอมดอกเบ้ียรอยละ
๗.๕ ตอป นับแตวันท่ีผิดนัด ไปชําระใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (เทศบาลนครนครสวรรค) ภายในสิบหาวัน
นับแตวันที่ไดรับหนังสือ พรอมท้ังแจงดวยวาหากพนกําหนดเวลา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จะดําเนินการ
ตามขน้ั ตอนของกฎหมายตอ ไป ผูฟอ งคดจี ึงมีหนงั สือลงวันท่ี ๕ มีนาคม ๒๕๖๑ อุทธรณการปฏิบัติ
ตามหนังสือฉบับดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีหนังสือลงวันที่
๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ แจงผูฟองคดีวา หนังสือแจงใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน
เปนการดําเนินการบังคับคดีตามคําพิพากษา ไมทําใหผูฟองคดีเกิดสิทธิอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา
หลังจากศาลปกครองสูงสุดพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่งใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนเฉพาะ
สวนที่เกินกวาจํานวน ๕๙๓,๕๓๒.๐๖ บาท ผูถูกฟองคดีทั้งสองยังไมมีคําส่ังใดๆ ท่ีเปนการเพิกถอนคําส่ัง
ดังกลาว อันจะถือไดวาเปนการปฏิบัติตามคําพิพากษาศาลปกครองสูงสุด ดังน้ัน หนังสือลงวันที่
๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ จึงยังไมมีผลตามกฎหมายท่ีจะนํามาใชบังคับกับผูฟองคดี และไมอาจอางไดวา
เปนการบังคับคดีตามคําพิพากษา ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนหนังสือลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ ท่ีแจงใหผูฟองคดีนําเงินจํานวน ๕๙๓,๕๓๒.๐๖ บาท
ไปชําระใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๒ และหนังสือลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ ท่ีไมรับคําอุทธรณของ
ผูฟ องคดไี วพจิ ารณา

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมวาในคดีน้ีผูฟองคดีจะเปนผูอยูภายใตบังคับของ
หนังสือลงวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ ที่แจงใหผูฟองคดีนําเงินจํานวน ๕๙๓,๕๓๒.๐๖ บาท ไปชําระ
ใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๒ และหนังสือท่ีไมรับคําอุทธรณของผูฟองคดีไวพิจารณาก็ตาม แตการท่ี
หนงั สือทงั้ สองฉบับออกโดยอาศัยผลบังคับผูกพันตามคําพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๘๔๗/๒๕๕๙
ที่ศาลปกครองสูงสุดไดกําหนดคําบังคับใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๑๑ เมษายน ๒๕๕๑ ที่ใหผูฟองคดีชดใช
คาสินไหมทดแทน และคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามหนังสือลงวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๑
ที่ใหยกอุทธรณของผูฟองคดี เฉพาะในสวนที่เกินกวาจํานวนเงิน ๕๙๓,๕๓๒.๐๖ บาท ซึ่งคําพิพากษา
ของศาลปกครองสูงสุดดังกลาวมีผลเปนการเพิกถอนคําส่ังทางปกครองบางสวนในทันที
โดยท่ีผูถูกฟองคดีทั้งสองไมจําตองออกคําส่ังทางปกครองใหมเพ่ือเรียกใหผูฟองคดีชําระเงิน
ตามคําพิพากษาของศาลแตอยางใด และผูถูกฟองคดีทั้งสองชอบท่ีจะอาศัยผลบังคับผูกพัน
ของคําพิพากษาดําเนินการบังคับใหเปนไปตามคําส่ังใหชดใชคาสินไหมทดแทนไดในทันที การที่

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๒๙

ผูถูกฟองคดีทั้งสองมีหนังสือลงวันท่ี ๑๘ เมษายน ๒๕๖๐ แจงใหผูฟองคดีนําเงินจํานวน ๕๙๓,๕๓๒.๐๖ บาท
ไปชําระใหแ กผ ูถ กู ฟองคดที ี่ ๒ และหนังสอื ลงวนั ที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๖๑ ท่ีไมรับคําอุทธรณของผูฟองคดี
ไวพิจารณา จึงเปนเพียงการท่ีผูถูกฟองคดีทั้งสองแจงใหผูฟองคดีนําคาสินไหมทดแทนมาชําระ
ดวยความสมัครใจ กอนที่จะมีการดําเนินการบังคับใหเปนไปตามคําส่ังใหชดใชคาสินไหมทดแทน
ตอไปเทานั้น ดังนั้น หนังสือทั้งสองฉบับดังกลาวจึงไมมีสภาพบังคับท่ีมีผลกระทบตอสิทธิเสรีภาพ
ของผูฟองคดีแตอยางใด ผูฟองคดีจึงมิใชผูที่ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรอื เสียหายโดยมอิ าจหลกี เลี่ยงไดอนั เนอ่ื งจากหนงั สือทั้งสองฉบับดังกลาวตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ ผูฟองคดีจึงมิใชผูมีสิทธิฟองคดี การที่ศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ัง
ไมรับคําฟองคดีน้ีไวพิจารณาและใหจําหนายคดีออกจากสารบบความ น้ัน ศาลปกครองสูงสุด
เหน็ พองดวย

จึงมีคําส่งั ยืนตามคาํ ส่ังของศาลปกครองชน้ั ตน
คําส่ังศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๔๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๗๔
คําสงั่ ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คผ.๑๑๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๙๐
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สดุ ที่ คร.๑๓๑/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีถูกคนรายใชเครื่องมือส่ือสารติดตามตัวระยะไกล
ปลอยคล่ืนแมเหล็กไฟฟาโดยสงผานคล่ืนความถี่ต่ํามารบกวนและทํารายผูฟองคดี ผูฟองคดี
จึงแจงเร่ืองรองเรียนไปยังสํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศนและกิจการ
โทรคมนาคมแหงชาติ เขต ๑๓ (สํานักงาน กสทช. เขต ๑๓ (สุพรรณบุรี)) และผูถูกฟองคดี
(สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศนและกิจการโทรคมนาคมแหงชาติ
(สํานักงาน กสทช.)) ขอใหดําเนินการตรวจสอบคล่ืนความถี่ดังกลาว และแกไขความเดือดรอน
ใหแกผูฟองคดี แตยังไมไดรับการแกไขปญหาความเดือดรอนจากคลื่นความถ่ีดังกลาว ผูฟองคดี
เห็นวา ผูถูกฟองคดีมีอํานาจหนาที่ตามกฎหมายในเร่ืองดังกลาว แตละเลยตอหนาที่ตามที่กฎหมาย
กําหนดใหตอ งปฏิบตั ิ จึงนาํ คดมี าฟอ ง ขอใหศ าลมีคําพพิ ากษาหรือคาํ ส่งั ใหผ ูถ ูกฟองคดใี ชอ ํานาจหนา ที่
ตามกฎหมายไปดาํ เนนิ การตรวจเชค็ รางกายของผูฟองคดีวาคล่ืนความถ่ีที่เกาะตัวผูฟองคดีเปนคล่ืนความถี่
ของหนวยงานใด และนําผูฟองคดีไปตรวจคลื่นสมองผานเคร่ืองมือ EEG ท่ีมหาวิทยาลัยมหิดล
และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกลาธนบุรี รวมทั้งใหชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี
จาํ นวน ๑๕๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา กอนฟองคดีน้ี ผูฟองคดีไดรองเรียนตอสํานักงาน
กสทช. เขต ๑๓ (สุพรรณบุรี) ซึ่งเปนหนวยงานในสังกัดของผูถูกฟองคดี และหนวยงานดังกลาว
ไดด าํ เนนิ การตรวจสอบการใชงานคลนื่ ความถี่ที่บานเลขท่ี ๔๓๙ หมูที่ ๒ ตําบลตล่ิงชัน อําเภอเมืองสุพรรณบุรี
จงั หวดั สุพรรณบุรี ซึ่งเปนพ้ืนท่ีประสบเหตุตามที่ผูฟองคดีอางในหนังสือรองเรียน โดยใชเคร่ืองมือ
ตรวจสอบหาทิศความถ่ีวิทยุตราอักษร Rohde & Schwarz รุน DF – ๕๕๐ และเครื่องมือตรวจสอบ
Spectrum Analyzer ตราอักษร Rohde & Schwarz รุน FSH๘ ตรวจสอบการใชงานความถ่ี

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๐

ที่ ๙ – ๕๐ KHz ผลการตรวจสอบไมพบการใชงานความถ่ีดังกลาวแตอยางใด และไดตรวจสอบ
ยานความถี่ ๒๐ – ๓๐๐ MHz มีการใชงานตามปกติ ซ่ึงสํานักงาน กสทช. เขต ๑๓ (สุพรรณบุรี)
ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๗ มิถุนายน ๒๕๖๒ แจงผลการตรวจสอบดังกลาวใหผูฟองคดีทราบแลว
กอนท่ีผูฟองคดีจะนําคดีนี้มาฟองตอศาลปกครอง อันเปนการดําเนินการตามคํารองเรียน
ตามอํานาจหนา ท่ีแลว ผฟู อ งคดจี ึงไมอาจอางไดว า ไดรบั ความเดือดรอนหรือเสียหาย หรืออาจจะเดือดรอน
หรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดอันเน่ืองจากการกระทําหรือการงดเวนการกระทําของผูถูกฟองคดี
หรือ กสทช. ที่จะมีสิทธิฟองคดีน้ีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองไวพิจารณาและใหจําหนายคดี
ออกจากสารบบความ นนั้ ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพอ งดว ย

จึงมีคาํ ส่ังยืนตามคาํ ส่ังของศาลปกครองชัน้ ตน
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๙๑/๒๕๖๓

ผูฟองคดีทั้งเกาฟองวา ผูฟองคดีท้ังเกาเปนคณะกรรมการชุมชนพอเพียง
บานหนองขาม หมูที่ ๙ ตําบลบานเปด อําเภอเมืองขอนแกน จังหวัดขอนแกน ผูฟองคดีท่ี ๑
ในฐานะประธานกรรมการดังกลาวไดจัดทําโครงการเล้ียงโค โดยขอรับการจัดสรรงบประมาณ
ตามระเบียบคณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับชุมชน วาดวย
แนวทางการดาํ เนนิ งานตามโครงการเศรษฐกจิ พอเพียงเพือ่ ยกระดับชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓ และไดรับ
อนุมตั เิ งินตามโครงการเปนเงิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท โดยผูฟองคดีท่ี ๑ ไดดําเนินการจัดซ้ือโคเพศเมีย
จํานวน ๓๓ ตัว ตอมา ผูฟองคดีที่ ๑ ไดประชุมประชาคมหมูบานเรื่องใหราษฎรรับโคไปเล้ียง
ครอบครัวละ ๑ ตัว แตในระหวางนั้นปรากฏวาโคบางตัวปวย ทําใหโคตายไป ๓ ตัว เมื่อราษฎร
ทราบวาโคปวยก็เกรงวาจะเปนโรคติดตอรายแรง จึงบอกเลิกการรับเล้ียงโค ทําใหไมมีราษฎร
คนใดรับโคไปเล้ียง ผูฟองคดีทั้งเกาจึงมีมติที่ประชุมขายโคที่เหลือไปในราคา ๒๙๐,๐๐๐ บาท
หักคาใชจาย เปนเงิน ๔๐,๐๐๐ บาท คงเหลือเงิน ๒๕๐,๐๐๐ บาท แตผูถูกฟองคดี (สํานักงาน
ปลัดสาํ นกั นายกรฐั มนตรี) ไดมหี นงั สือลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ แจงวา ผูฟองคดีทั้งเกาบริหาร
จัดการโครงการขัดตอแนวทางการดําเนินงานตามโครงการชุมชนพอเพียงหรือโดยไมชอบดวย
กฎหมาย อาจกอใหเ กิดความเสียหายตอประโยชนสวนรวมของประชาชนในชุมชน จึงใหผูฟองคดี
ทั้งเกาชดใชเงินจํานวน ๖๐๐,๐๐๐ บาท แตเน่ืองจากไดมีการขายโคไปแลว จึงใหผูฟองคดีท้ังเกา
ชดใชเงินจํานวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท ผูฟองคดีท้ังเกามีหนังสืออุทธรณคําส่ังดังกลาว แตไดรับแจงวา
ใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีท้ังเกาจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือมีคําสั่งเพิกถอนคําสั่ง
ของผูถูกฟองคดีตามหนังสือลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ และหนังสือแจงผลอุทธรณ และมีคําส่ัง
ใหผูฟองคดีทั้งเกาไมตองชดใชเงินจํานวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท คืนใหแกบานหนองขาม เห็นวา
เม่ือมูลเหตุแหงคดีเกิดจากการที่ผูถูกฟองคดีอาศัยอํานาจตามขอ ๒๔ และขอ ๒๖ ของระเบียบ
คณะกรรมการบริหารโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือยกระดับชุมชน วาดวยแนวทาง
การดําเนินงานตามโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพ่ือยกระดับชุมชน พ.ศ. ๒๕๕๓ มีหนังสือลงวันที่

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๑

๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ แจงใหผูฟองคดีท้ังเกาชดใชเงินคืนใหแกบานหนองขามจํานวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท
หากไมดําเนินการ ผูถูกฟองคดีจะดําเนินการท้ังทางอาญาและทางแพงตอไป โดยมิไดมุงท่ีจะใช
มาตรการบังคับทางปกครองตามกฎหมายตอไป จึงเห็นไดวา หนังสือของผูถูกฟองคดีดังกลาว
มิใชคําส่ังทางปกครอง ตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
หรือคําสั่งอื่นใดท่ีจะมีผลในทางกฎหมายใหผูฟองคดีทั้งเกาตองปฏิบัติตามได หนังสือดังกลาว
จึงมีผลเทากับเปนการแจงใหผูฟองคดีทั้งเกาคืนเงินเทานั้น หากผูฟองคดีทั้งเกาไมปฏิบัติตาม
ก็ไมสามารถนําไปสูการใชมาตรการบังคับทางปกครอง และผูถูกฟองคดีตองใชสิทธิทางศาล
เพ่ือใหศาลมีคําบังคับแกผูฟองคดีท้ังเกาตอไป ซ่ึงก็ไมปรากฏวาผูถูกฟองคดีไดใชสิทธิฟองแยงแก
ผฟู องคดที ั้งเกาในคดีนี้แตอยางใด เมือ่ หนังสือลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ มิใชคําส่ังทางปกครอง
การที่ผูฟองคดีทั้งเกามีหนังสืออุทธรณ จึงเปนหนังสือเพื่อรองขอความเปนธรรม และการที่
ผูถูกฟองคดีไดมีหนังสือแจงผลวินิจฉัยการรองขอความเปนธรรมใหแกผูฟองคดีทั้งเกา จึงมิใช
คําวินิจฉัยคําอุทธรณตามมาตรา ๔๕ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
แตเปนเพียงหนังสือยืนยันใหผูฟองคดีทั้งเกานําเงินจํานวน ๓๕๐,๐๐๐ บาท ชดใชคืนแก
บานหนองขาม ซึ่งมิใชคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหงพระราชบัญญัติดังกลาวเชนเดียวกัน
ดังน้ัน หากผูฟองคดีทั้งเกาเห็นวา ผูถูกฟองคดีไมมีสิทธิเรียกรองเงินจากผูฟองคดีท้ังเกา ผูฟองคดี
ทั้งเกาก็ชอบที่จะปฏิเสธไมคืนเงินตามที่ผูถูกฟองคดีทวงถาม โดยไมอาจยื่นฟองคดีตอศาลขอใหมี
คาํ พพิ ากษาหรอื คําสงั่ เพิกถอนหนงั สอื ลงวันท่ี ๓๐ เมษายน ๒๕๕๕ และหนังสือแจงผลการรองขอ
ความเปนธรรมแตอยางใด ผูฟองคดีจึงมิใชผูไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายหรืออาจจะ
เดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเลี่ยงไดที่จะมีสิทธิฟองคดีน้ีตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒
วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และโดยท่ีปญหาเก่ียวกับความเปนผูมีสิทธิฟองคดี
ตอศาลเปนปญหาเกี่ยวกับเงื่อนไขแหงการฟองคดี ซ่ึงเปนปญหาขอกฎหมายอันเกี่ยวดวย
ความสงบเรียบรอยของประชาชน แมไมมีคูกรณีฝายใดยกขึ้นวากลาวในชั้นอุทธรณ ศาลปกครอง
สูงสุดก็มีอํานาจยกปญหาขอกฎหมายดังกลาวขึ้นวินิจฉัย แลวพิพากษาหรือมีคําส่ังไดตามขอ ๙๒
ประกอบขอ ๑๑๖ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓
เมื่อศาลไดวินิจฉัยแลววา ผูฟองคดีไมมีสิทธิฟองคดีนี้ตอศาลปกครองตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ศาลจึงไมอาจรับคําฟองนี้ไวพิจารณาได กรณีไมจําตองวินิจฉัย
ประเด็นอืน่ ที่ศาลปกครองชั้นตน พพิ ากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดว ยในผล

พพิ ากษายนื
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๔๒๑/๒๕๖๓ (ประชมุ ใหญ)

ผูฟองคดีทั้งสองฟองวา ผูฟองคดีท้ังสองรับราชการสังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(กรมศุลกากร) ตําแหนงนายตรวจศลุ กากร มหี นา ท่ีตรวจสอบความสมบูรณข องใบขนสินคาขาออก
และเอกสารประกอบของบริษัทผูสงออก ตรวจสอบสินคาใหตรงกับท่ีสําแดงไวในใบขนสินคา
โดยเปดตรวจตามอัตราที่กําหนดไว สลักการตรวจปลอยและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๒

ผูฟองคดีทั้งสองไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (อธิบดีกรมศุลกากร)
ไดมีคําสั่งเม่ือวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗ ใหผูฟองคดีท้ังสองชดใชคาสินไหมทดแทน ตามหนังสือ
ฝายวนิ ยั ลงวันที่ ๑๕ ธนั วาคม ๒๕๔๗ เร่อื ง รายงานผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
รายบริษัท ท. กระทําการทุจริตในการขอรับเงินชดเชยคาภาษี รวมเปนเงิน ๒,๔๖๓,๗๑๕.๓๖ บาท
โดยผูฟองคดีทั้งสองตองรวมรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนในฐานะลูกหน้ีรวม ซ่ึงผูอํานวยการ
สํานักบริหารและพัฒนาบุคคลไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘ แจงใหผูฟองคดีทั้งสอง
ไปชดใชค า สนิ ไหมทดแทนภายใน ๑๕ วัน นบั แตว นั ท่ีไดรับหนงั สือดังกลาว ผูฟองคดีทั้งสองเห็นวา
ผูฟองคดีทั้งสองมิไดเปนผูกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังให
ผูฟอ งคดีท้ังสองชดใชคาสินไหมทดแทนดังกลาวเปนการออกคําสั่งทางปกครองที่ไมชอบดวยกฎหมาย
จึงมีหนังสือลงวันที่ ๒ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ อุทธรณตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ แตตอมาผูถูกฟองคดีที่ ๒
กลับออกคําส่ังลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘ สั่งใหผูฟองคดีท้ังสองชดใชคาสินไหมทดแทน
ตามคาํ ส่ังเดิมทุกประการ ผูฟอ งคดีท้ังสองทราบคาํ ส่ังเม่อื วนั ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘ จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมคี ําพพิ ากษาหรอื คาํ ส่ังเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และที่ ๒ ตามหนังสือลงวันที่
๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๗ และคําส่ังลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ที่ใหผูฟองคดีท้ังสองชดใชคาสินไหมทดแทน
กับเพิกถอนความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ โดยกรมบัญชีกลางท่ีใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ออกคําสั่งใหผูฟองคดีทั้งสองชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ ศาลปกครองสูงสุด
โดยมติที่ประชุมใหญพิเคราะหแลว เห็นวา คําวินิจฉัยสั่งการท่ีผูแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดวินิจฉัยส่ังการวา มีเจาหนาท่ีผูใดตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนหรือไม
และเปนจํานวนเทาใดตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเกี่ยวกับ
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ขอ ๑๗ วรรคหน่ึง ก็ดี ขอ ๑๘ วรรคหน่ึงทั้งฉบับเกา
และฉบับแกไขปรับปรุง ก็ดี มิไดมีฐานะทางกฎหมายเปนคําส่ังทางปกครองใหเจาหนาที่ชําระเงิน
คาสินไหมทดแทนตามนัยมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
แตอยางใด ดังนนั้ คาํ วนิ ิจฉัยส่งั การดงั กลา วไมวา จะไดม กี ารแจงใหเ จาหนา ท่ีทถี่ ูกวินิจฉัยวาตองรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนอันเน่ืองจากการกระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาท่ีหรือไมก็ตาม ก็ไมมีสถานะ
เปนคําสง่ั ทางปกครองทม่ี ีผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิหรือหนา ทีข่ องเจาหนา ทท่ี จ่ี ะทาํ ใหเจา หนาท่ี
ผนู ้นั มสี ทิ ธิฟองคดตี อ ศาลปกครองเพ่อื ขอใหศ าลปกครองมีคําพิพากษาเพิกถอนคําวินิจฉัยสั่งการดังกลาว
แตอยางใด การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงวันท่ี ๓ กันยายน ๒๕๔๗ แตงต้ัง
คณะกรรมการสอบขอเทจ็ จรงิ ความรบั ผดิ ทางละเมิดกรณีดังกลาว ซึ่งคณะกรรมการฯ มีความเห็นวา
ผฟู องคดีทง้ั สองปฏบิ ัติหนาท่ียังไมถงึ ขนาดเปนการจงใจหรอื ประมาทเลนิ เลอ อนั จะทําใหผูถูกฟองคดีที่ ๑
เสียหาย แตฝายวินัยและจริยธรรม สํานักบริหารและพัฒนาบุคคล ซึ่งไดรับมอบหมายใหตรวจ
พิจารณารายงานการสอบสวนขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดดังกลาว ไดเสนอความเห็นตอรอง
อธิบดีกลุมภารกิจดานยุทธศาสตรปฏิบัติราชการแทนผูถูกฟองคดีท่ี ๒ วา การปฏิบัติหนาท่ี
ของผูฟองคดีท้ังสองและศุลการักษ เปนการกระทําโดยประมาทเลินเลอกอใหเกิดความเสียหาย
แกผูถูกฟองคดีที่ ๑ ผูฟองคดีท้ังสองและศุลการักษตองรวมกันรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน

แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๓

โดยรองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดวินิจฉัยสั่งการเม่ือวันท่ี ๒๔ ธันวาคม ๒๕๔๗
ทายหนังสือลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๗ วา หากเปนไปตามแนวทางท่ีกรมเคยสั่งการไว ดําเนินการ
ตามเสนอ ซึ่งกรณีดังกลาวน้ัน มีความหมายเพียงวา ผูแตงต้ังคณะกรรมการฯ ไดมีคําวินิจฉัยสั่งการ
ใหผูฟองคดีท้ังสองรวมรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนตามความเห็นที่ฝายวินัยฯ เสนอ คําวินิจฉัย
สั่งการของผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงไมมีลักษณะเปนคําส่ังทางปกครองตามมาตรา ๕ แหง พ.ร.บ.
วธิ ีปฏบิ ัตริ าชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ แมจะปรากฏขอเท็จจริงดวยวา ผูอํานวยการสํานักเทคโนโลยีฯ
รักษาราชการแทนผูอํานวยการสํานักบริหารและพัฒนาบุคคลไดมีบันทึกขอความ ลงวันท่ี ๑๘ มกราคม ๒๕๔๘
ซึ่งเปนการนําเอาผลการวินิจฉัยส่ังการของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไปขอใหผูอํานวยการ สอย. แจงให
ผูฟองคดีทั้งสองทราบและใหไปติดตอขอชดใชคาสินไหมทดแทนกับนิติกร ฝายวินัย ภายใน ๑๕ วัน
นับแตวันที่ไดรับหนังสือ พรอมแจงสิทธิอุทธรณและสิทธิฟองคดีตอศาลปกครอง ผูฟองคดีทั้งสอง
ไดล งช่อื รับทราบในหนังสอื ดงั กลาวแลวก็ตาม แตก ็ยังเปน การแจงใหผ ฟู องคดีท้งั สองไดรับทราบถึง
ผลการวินิจฉัยส่ังการของหัวหนาหนวยงานท่ีมีความเห็นวาผูฟองคดีทั้งสองตองรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนเทานั้น ไมมีลักษณะเปนคําสั่งทางปกครองเชนกัน ผูฟองคดีทั้งสองจึงมิใชผูไดรับ
ความเดอื ดรอนหรอื เสียหาย หรืออาจจะเดือดรอนหรือเสียหายโดยมิอาจหลีกเล่ียงไดอันเนื่องจาก
การกระทาํ หรอื การงดเวน การกระทาํ ของผูถูกฟองคดที ี่ ๒ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. จัดต้ัง
ศาลปกครองฯ ผูฟองคดีทั้งสองจึงไมมีสิทธิฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาว สําหรับคําสั่งลงวันท่ี
๑ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ที่เรียกใหผูฟองคดีทั้งสองชดใชคาสินไหมทดแทนนั้น เมื่อในขณะเกิดเหตุ
ผูฟองคดีท้ังสองดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากร ไดรับมอบหมายใหเปนผูทําหนาท่ีตรวจปลอย
และควบคุมการบรรจุสนิ คาตามใบขนสินคา ขาออกของบริษทั ท. เขาคอนเทนเนอรตามที่กําหนดไว
ผูฟองคดีท้ังสองจึงมีหนาท่ีโดยตรงในการตรวจสินคาตามขอ ๐๘ ๐๕ ๐๑ (๑) (๓) ขอ ๐๘ ๐๕ ๐๔
ขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕ และขอ ๐๘ ๑๑ ๑๔ (๓) ของประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐
ประกอบกับท่ีแกไขเพ่ิมเติมตามคําส่ังท่ัวไปกรมศุลกากร ที่ ๕๑/๒๕๓๑ ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๑
และขอ ๒ ของคําส่ังกองตรวจสินคาขาออก ที่ ๑๓/๒๕๓๐ ลงวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๐ เร่ือง การตรวจ
และบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอรที่กําหนดใหผูฟองคดีท้ังสองตองตรวจสอบความสมบูรณของ
ใบขนสินคาขาออกและเอกสารประกอบการสง ออกทเ่ี กย่ี วขอ งรวมทั้งของท่ีจะสงออก โดยการเปด
ตรวจตามอัตราที่กําหนดไววามีของตรงตามท่ีสําแดงหรือไม ซึ่งหากผูฟองคดีทั้งสองปฏิบัติหนาท่ี
ตามทรี่ ะเบยี บขอบังคับท่ีเก่ยี วของกาํ หนดไวอ ยา งครบถวน โอกาสทผ่ี สู ง ออกจะทําการทุจริตขอรับ
เงินชดเชยคาภาษีอากรสินคาสงออกโดยการแอบอางหมายเลขคอนเทนเนอรของผูสงออกรายอ่ืน
ยอมไมอ าจเกิดข้นึ ได แตคดีนีผ้ ูฟองคดีทัง้ สองรับวา สาเหตทุ ขี่ อ เทจ็ จรงิ ที่สาํ แดงไวใ นใบขนสนิ คาขาออก
ของบริษัท ท. ไมตรงกับขอเท็จจริงที่สําแดงไวในบัญชีสินคาสําหรับเรือ เน่ืองจากรัฐบาลในขณะนั้น
และผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีนโยบายสงเสริมการสงออกโดยเนนการอํานวยความสะดวกดานพิธีการ
ศุลกากรเพ่ือใหผูสงออกไดรับความสะดวกทําใหปริมาณการสงออกเพิ่มมากขึ้น ผูฟองคดีทั้งสอง
จงึ ใชว ธิ สี ุมตรวจสินคา ตามใบขนสินคาขาออกเพียงบางฉบบั โดยจะเลอื กตรวจเฉพาะสินคาท่ีมูลคา
การสง ออกสูง การสงออกถ่ี สินคาที่มีอัตราเงินชดเชยสูง หรือสินคาที่ผูสงออกมีรายช่ืออยูในบัญชี

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๔

ผสู งออกทม่ี พี ฤติกรรมนาสงสัย โดยที่ผูฟองคดีทั้งสองซึ่งดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากรยอมตอง
ทราบดีวาไมมีระเบียบขอบังคับใดท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติหนาที่ในเรื่องดังกลาวอนุญาตใหใชวิธีการ
สุมตรวจได เม่ือบริษัท ท. มิไดสงสินคาออกไปนอกราชอาณาจักรจริงตามท่ีสําแดงไวในใบขนสินคาขาออก
แตผูฟองคดีทั้งสองกลับลงนามในใบขนสินคาขาออกของบริษัทดังกลาวเพ่ือรับรองวาไดตรวจปลอย
และควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอรแลว จึงเช่ือไดวา ผูฟองคดีทั้งสองไมไดปฏิบัติหนาท่ี
ในตําแหนงนายตรวจศุลกากรใหเปนไปตามท่ีประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และ
ระเบียบขอบังคับที่เกี่ยวของกําหนดไว เปนเหตุใหบริษัทดังกลาวอาศัยเอกสารที่ผูฟองคดีท้ังสอง
รับรองในการปฏิบัติหนาท่ีกระทําการทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรจากผูถูกฟองคดีท่ี ๑
การกระทําของผฟู องคดที ้งั สองจงึ ถอื เปนการปฏิบัติหนาที่ดวยความประมาทเลินเลออยางรายแรง
ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ซ่ึงเปนหนวยงานของรัฐที่ผูฟองคดีทั้งสองสังกัดไดรับความเสียหาย จึงเปน
การกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
เมอื่ วันวางฎีกาซ่ึงเปนวันท่กี ระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ เกิดข้ึนกอน พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงมีผลใชบังคับในวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ หลักเกณฑในสวนที่
เปนสารบัญญัติ จึงตองเปนไปตามหลักเกณฑในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เม่ือความเสียหาย
ดังกลาวท่ีเกิดจากความผิดหรือความบกพรองของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เชนกัน เน่ืองจากท่ีไมไดจัดสรร
อตั รากําลงั เจา หนา ที่ในตําแหนงนายตรวจศุลกากรหรือสารวัตรศุลกากร และศุลการักษในข้ันตอน
การตรวจปลอยสินคา เพ่ือใหมีจํานวนเพียงพอกับปริมาณงานการตรวจปลอยสินคาท่ีบรรจุเขาคอนเทนเนอร
เพิ่มมากขึ้น อันเปนผลสืบเนื่องจากนโยบายการสงเสริมการสงสินคาออกของรัฐบาลในเวลานั้น
ประกอบกบั หลักเกณฑของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ท่ีกําหนดใหผูสงออกใชใบขนสินคาขาออกฉบับมุมนํ้าเงิน
พรอมกับเอกสารท่ีเก่ียวของมาเปนหลักฐานในการย่ืนคําขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร โดยไมมีการนําบัญชี
สินคาสําหรับเรือมาพิจารณาประกอบในการจายบัตรภาษีใหแกผูสงออก ซ่ึงหากไดกําหนดใหใช
บัญชีสินคา สาํ หรบั เรอื มาตรวจสอบในการพิจารณาคําขอดงั กลา วแลว ก็จะเปนการปองกันหรือลดทอน
ความเสยี หายท่เี กดิ ขึ้นจากกรณีดงั กลาวได อีกทัง้ ไมป รากฏขอ เทจ็ จริงวาเจาหนาที่ของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๑
ทุจริตหรอื มสี ว นรว มทจุ ริตกบั ผูสงสินคาออกดวยแตอยางใด เม่ือคํานึงถึงความบกพรองและระบบ
การดาํ เนินงานสว นรวมของผูถูกฟอ งคดที ่ี ๑ มสี ว นทําความผิดอยางใดอยางหนึ่งประกอบดวยแลว
ตามมาตรา ๔๔๒ ประกอบมาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย จึงเห็นควร
ใหหักสวนความรับผิดในอัตรารอยละ ๕๐ ของความเสียหายทั้งหมด คงเหลือสวนความรับผิด
ของเจาหนาที่รอยละ ๕๐ และเนื่องจากการกระทําละเมิดดังกลาวเกิดจากเจาหนาท่ีหลายคน
ซ่ึงพจิ ารณาถึงพฤตกิ ารณแ หง การกระทําและอํานาจหนาที่และความรับผิดชอบของเจาหนาที่แลว
นายตรวจศุลกากรและศุลการักษมีหนาท่ีความรับผิดชอบท่ีแตกตางกัน คือ นายตรวจศุลกากร
มีหนาที่โดยตรงในการตรวจสอบสินคาและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร รวมท้ัง
ควบคุมศุลการักษประทับดวงตราหรือรอยแถบเหล็กที่คอนเทนเนอร สวนศุลการักษมีหนาท่ีชวย
การปฏิบัติงานของนายตรวจศุลกากรในการตรวจและบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร และประทับ
ดวงตราหรือรอยแถบเหลก็ ท่คี อนเทนเนอร นายตรวจศลุ กากรจึงมีหนาท่หี ลักในการตรวจสอบและ

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๕

ควบคุมความถูกตองของสินคาท่ีบรรจุเขาคอนเทนเนอร พฤติการณและความรายแรงแหงละเมิด
ของนายตรวจศุลกากรและศุลการกั ษจ งึ แตกตางกัน ความรับผิดของนายตรวจศุลกากรจึงสามารถ
แบงแยกไดจากความรับผิดของศุลการกั ษ ซึ่งเมื่อพจิ ารณาจากพฤติการณและความรายแรงแหงละเมิด
ตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย จึงใหแบงสวนแหงความรับผิด
ใหแกผูฟองคดีท้ังสองในฐานะนายตรวจศุลกากร โดยใหรับผิดในสัดสวนรอยละ ๗๐ ของจํานวนเงิน
ที่ตองรับผิดรวมกับศุลการักษ หลังจากหักสวนแหงความรับผิดของหนวยงานของรัฐรอยละ ๕๐
ออกแลว เมือ่ ความเสยี หายท่ผี ถู กู ฟอ งคดีที่ ๑ ไดรับโดยมีผูฟองคดีทั้งสองเขาไปเก่ียวของมีจํานวน
๒,๔๖๓,๗๑๕.๓๖ บาท ผฟู อ งคดที ี่ ๑ ตองรบั ผดิ ตามคําสั่งของผถู กู ฟอ งคดที ี่ ๑ ตามใบขนสินคาขาออก
จํานวน ๗ ฉบับ ซึ่งไดนําไปวางฎีกาแลวเปนเงินจํานวน ๒๒๔,๕๘๖.๐๓ บาท สวนผูฟองคดีท่ี ๒
ตองรบั ผิดตามใบขนสินคาขาออก จํานวน ๘๓ ฉบบั โดยมกี ารนําใบขนสนิ คาขาออกฉบับมุมน้ําเงิน
ไปขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรและไดออกบัตรภาษีแลวจํานวน ๒,๒๓๙,๑๒๙.๓๓ บาท แตไมมี
การนําบัตรภาษีไปใชเปนเงินจํานวน ๓๒,๐๐๐ บาท กรณีจึงถือไดวาการออกบัตรภาษีดังกลาว
ยังไมก อ ใหเกดิ ความเสยี หายข้ึน จึงตอ งหกั ความเสยี หายในสวนนี้ออกดวย จึงคงเหลือมูลคาความเสียหาย
ท่ผี ฟู องคดที ่ี ๒ ตอ งรับผดิ ดว ยเปนเงินจาํ นวน ๒,๒๐๗,๑๒๙.๓๓ บาท เมอ่ื การกระทําของผูฟองคดีท่ี ๑
เปนเหตุใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับความเสียหายตามใบขนสินคาขาออกท่ีไดวางฎีกาแลวเปนเงิน
๒๒๔,๕๘๖.๐๓ บาท การกระทําของผูฟอ งคดที ี่ ๒ เปนเหตใุ หผถู ูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับความเสียหาย
ตามใบขนสนิ คาขาออกที่ไดวางฎีกาแลวเปนเงิน ๒,๒๐๗,๑๒๙.๓๓ บาท เม่ือหักสวนแหงความรับผิด
ดังกลาวออกรอยละ ๕๐ และผูฟองคดีทั้งสองตองรับผิดในอัตรารอยละ ๗๐ ของเงินจํานวนหลังจาก
หักสว นความรบั ผดิ ดังกลา ว ผูฟองคดีท่ี ๑ จึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เปนเงนิ ๗๘,๖๐๕.๑๑ บาท ผฟู องคดีที่ ๒ ตอ งรบั ผิดชดใชค าสนิ ไหมทดแทนใหแ กผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เปนเงิน ๗๗๒,๔๙๕.๒๗ บาท การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําส่ังลงวันท่ี ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ในสวนท่ี
ใหผูฟองคดีท้ังสองชดใชคาสินไหมทดแทนในฐานะลูกหน้ีรวมและเกินจํานวนดังกลาว คําส่ัง
ในสวนดังกลาวจึงไมชอบดวยกฎหมาย ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่งของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ส่ังตามหนังสือลงวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๗ และคําสั่งลงวันที่ ๙ พฤษภาคม ๒๕๔๘
เฉพาะสวนที่เรียกใหผูฟองคดีทั้งสองชดใชคาสินไหมทดแทนโดยรับผิดรวมกันกับเจาหนาที่อื่น
ที่เก่ียวขอ งในลักษณะลกู หนรี้ ว ม ตามทรี่ ะบใุ นคาํ สัง่ ดังกลา ว และในสว นของจํานวนเงินคาสินไหมทดแทน
ที่ผถู กู ฟองคดที ี่ ๒ กําหนดใหผูฟองคดีท่ี ๑ รับผิดชดใชเกินกวา ๘๙,๘๓๔.๔๑ บาท และผูฟองคดีที่ ๒
รับผิดชดใชเกินกวา ๘๙๕,๖๕๑.๗๓ บาท โดยใหมีผลยอนหลังไปนับแตวันที่ออกคําส่ัง คําขออ่ืน
นอกจากน้ี ใหยก น้ัน ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดว ยบางสวน

พพิ ากษาแก เปนใหเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ตามคําส่ังลงวันท่ี ๙พฤษภาคม๒๕๔๘
เฉพาะสว นที่สั่งใหผูฟองคดีที่ ๑ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๗๘,๖๐๕.๑๑ บาท
และเฉพาะสวนทสี่ ่งั ใหผ ฟู อ งคดที ่ี ๒ รบั ผดิ ชดใชคา สินไหมทดแทนเกนิ กวา จาํ นวน ๗๗๒,๔๙๕.๒๗ บาท
โดยใหมีผลยอนหลังไปนับแตวันที่ออกคําสั่ง คําขออื่นนอกจากนี้ใหยก โดยมีขอสังเกตเก่ียวกับ
แนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาวา หากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับชําระหน้ี

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๖

หรือสามารถบังคับชําระหนี้เงินชดเชยคาภาษีอากรอันเน่ืองจากใบขนสินคาขาออกที่พิพาทดังกลาว
จากบริษัท ท. หรือผูรับโอนบัตรภาษีแลว ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ หักสวนที่ผูฟองคดีท้ังสองตองชดใช
คา สินไหมทดแทนหรือใหคืนเงินที่ผูฟองคดีท้ังสองไดชดใชคาสินไหมทดแทนดังกลาวตามสวนของ
ความเสยี หายจริงแกผ ฟู อ งคดีท้งั สอง
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ. ๗๕๖/๒๕๖๓

ผูฟองคดีท้ังส่ีฟองวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (กรมทางหลวง) ทําสัญญาจางเหมา
หางหุนสวนจํากัด บ. ทําการกอสรางทางหลวงหมายเลข ๑๑๕ สายแยกทางหลวงหมายเลข ๑๑๗ –
เทศบาลพิจิตร โดยไดมีคําส่ังแตงต้ังผูฟองคดีที่ ๑ เปนนายชางโครงการ (Project Engineer)
ซึ่งเปนกรรมการตรวจการจางโดยตําแหนง และแตงต้ังผูฟองคดีที่ ๒ เปนผูชวยนายชางโครงการ
ผูฟองคดีท่ี ๓ และท่ี ๔ เปนชางควบคุมงาน ตอมา ผูฟองคดีท่ี ๑ ไดมีหนังสือแจงใหผูรับจาง
ดําเนินการติดต้ังไฟฟาแสงสวางบริเวณสองฝงคอสะพานท่ีกอสราง เนื่องจากเปนบริเวณท่ีอาจ
เกิดความไมปลอดภัยแกผูขับขี่ยวดยาน โดยผูฟองคดีที่ ๑ ไดออกคําสั่งแตงต้ังผูฟองคดีท่ี ๒ ที่ ๓
และท่ี ๔ ใหมหี นาทค่ี วบคมุ ดูแลการติดต้ังปายเตือน ปายจราจร ไฟฟาแสงสวางบริเวณคอสะพาน
และทางเบี่ยงท่ีอยูระหวางการกอสราง ใหอยูในสภาพใชงานไดดี ตอมา บริษัท ว. ผูรับประกันภัย
รถยนตในฐานะผูรับชวงสิทธิ ไดเปนโจทกยื่นฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนจําเลย ฐานความผิดละเมิด
โดยฟองวา นาย ฐ. ไดขับรถยนตถึงบริเวณที่เกิดเหตุซ่ึงเปนทางที่อยูระหวางการกอสรางและ
เปนทางเบ่ียงไปทางขวา ประสบอุบัติเหตุรถยนตเสียหลักตกถนนไดรับความเสียหาย และนาย ฐ.
เสียชีวิต ขอใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ใหชดใชคาเสียหาย ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยสํานักกอสรางทางท่ี ๑
จึงมีคําส่ังแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ตอมา คณะกรรมการฯ
ไดเสนอรายงานผลการสอบสวนวา อุบัติเหตุท่ีเกิดข้ึนเกิดจากความประมาทปราศจากความ
ระมัดระวังของผูขับขี่ เปนเหตุใหทรัพยสินเสียหาย ไมไดมีสวนท่ีเกิดขึ้นจากการกระทําโดยจงใจ
หรือประมาทเลินเลอของเจาหนาท่ี เจาหนาท่ีจึงไมตองรับผิด แตศาลแพงไดมีคําพิพากษา
ในคดีหมายเลขแดงที่ ๓๐๒๕/๒๕๕๐ ใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะนายจางตองรับผิด
โดยกําหนดใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทนสองในสามสวนของคาเสียหายทั้งหมด
เปนเงิน ๖๗๙,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับถัดจากวันฟองจนกวา
จะชําระเสร็จ ซ่ึงตอมา ศาลอุทธรณไดมีคําพิพากษาถึงท่ีสุดแลว โดยพิพากษายืนตามคําพิพากษา
ของศาลช้นั ตน แตผ ถู ูกฟองคดที ่ี ๑ พจิ ารณาแลว เห็นวา อุบัติเหตุไมไดเกิดจากการกระทําโดยจงใจ
หรือประมาทเลินเลออยางรายแรงของเจาหนาท่ี ตามความเห็นคณะกรรมการฯ จึงมีหนังสือ
รายงานผลการสอบสวนและความเห็นตอผูถูกฟองคดีท่ี ๔ (กระทรวงการคลัง) ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๓
(กรมบัญชีกลาง) ไดแจงผลการพิจารณาวา ผูฟองคดีทั้งสี่ละเวนการปฏิบัติหนาที่ตามกฎหมาย
ถือเปนการกระทําโดยประมาทเลินเลออยางรายแรง ตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
โดยใหชดใชในอัตรารอยละ ๗๕ ของความเสียหาย คิดเปนเงิน ๕๐๙,๒๕๐ บาท รับผิดเปนสวนๆ
เทากัน เปนเงินคนละ ๑๒๗,๓๑๒.๕๐ บาท และใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ เรียกใหผูรับจางชดใช

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๗

คาเสียหายเนื่องจากตองรับผิดตามสัญญา โดยเมื่อไดรับการชดใชคาเสียหายจากผูรับจางแลว
ใหน าํ มารวมกับจาํ นวนเงนิ ท่ีผูฟองคดีท้ังส่ีชดใชไว หากมีจํานวนเงินเกิน ใหคืนสวนที่ไดรับชําระไวเกิน
ใหแกผูฟองคดีทั้งสี่ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เรียกให
ผูฟองคดีทั้งส่ีชดใชคาเสียหาย และมีหนังสือลงวันท่ี ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒ ติดตามเรงรัดให
ผูฟองคดีทั้งส่ีนําเงินไปชําระ ผูฟองคดีทั้งส่ีจึงมีหนังสืออุทธรณคําสั่งพิพาท โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒
(กระทรวงคมนาคม) มีคําสั่งใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีท้ังสี่เห็นวา การออกคําส่ังพิพาทเปนการ
ใชดุลพินิจที่ไมถูกตองกับขอเท็จจริง พฤติการณการกระทําของผูฟองคดีท้ังสี่ จึงไมใชการกระทํา
โดยจงใจหรือประมาทเลินเลออยางรายแรง ผูฟองคดีท้ังสี่จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษา
หรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามหนังสือลงวันท่ี ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
และหนังสือลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒ ที่มีคําส่ังใหผูฟองคดีท้ังส่ีชดใชคาเสียหาย และให
ผูถูกฟองคดีท้ังส่ีรวมกันชดใชคาใชจายในการดําเนินคดีใหแกผูฟองคดีทั้งส่ีเปนคาพาหนะ
คาน้ํามันเช้ือเพลิงในการเดินทาง คาถายเอกสารและคาอากรแสตมป คาปรึกษาทนาย
รวมเปน เงินทง้ั สนิ้ ๖๐,๐๐๐ บาท

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ในการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่กรณีที่นาย ฐ. ประสบอุบัติเหตุจากการใชถนนท่ีอยูระหวาง
กอสราง น้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําส่ังแตงต้ังใหนาย ธ. ซ่ึงเปนกรรมการตรวจการจาง
เปนประธานคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดดังกลาว ซึ่งเม่ือพิจารณา
จากคูมือนายชางโครงการ พ.ศ.๒๕๔๖ และคําสั่งโครงการฯ เรื่อง กําหนดหนาที่และ
ความรับผิดชอบโครงการ เห็นไดวา การที่นาย ฐ. ประสบอุบัติเหตุดังกลาวเกิดจากการที่ไมมีการ
ควบคุมใหมีการติดต้ังสัญญาณไฟกระพริบ หรือจัดใหจัดมีแสงสวางใหเห็นปายทางเบ่ียง
อยางชัดเจน อยูในอํานาจหนาท่ีของผูฟองคดีท้ังสี่โดยตรง และไมปรากฏวา ผูฟองคดีทั้งสี่
ไดรายงานปญหาอุปสรรคเก่ียวกับการติดต้ังปายจราจร หรือสัญญาณไฟใหคณะกรรมการตรวจ
การจางท่ีมีนาย ธ. รวมเปนกรรมการอยูดวยพิจารณา ซ่ึงคณะกรรมการตรวจการจางมีอํานาจ
หนาท่ีตามท่ีกําหนดไวในขอ ๗๒ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยการพัสดุ พ.ศ.๒๕๓๕
ประกอบกับการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดตองอยูภายใตการพิจารณาตรวจสอบของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตามขอ ๑๗ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติ
เกีย่ วกับความรับผดิ ทางละเมดิ ของเจา หนา ท่ี พ.ศ.๒๕๓๙ อกี ชั้นหนึ่ง ซ่ึงกรณดี ังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๔
ในฐานะผูรับมอบอํานาจของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดพิจารณารายงานผลการสอบขอเท็จจริง
ที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ สงมาใหพิจารณา ก็มิไดมีความเห็นใหนาย ธ. ในฐานะกรรมการตรวจการจาง
ตองรับผิดในความเสียหายดังกลาวดวยแตอยางใด นาย ธ. จึงมิใชผูมีสวนไดเสียท่ีจะตองรับผิด
ชดใชคาเสียหายจากกรณีดังกลาว จึงมิใชคูกรณีเองตามมาตรา ๑๓ (๑) แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติ
ราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ นอกจากนี้ คณะกรรมการสอบขอ เท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาที่ที่มีนาย ธ. รวมเปนกรรมการไดมีรายงานผลการสอบขอเท็จจริงและความเห็นวา
ไมมีเจาหนาที่ผูใดปฏิบัติหนาที่โดยจงใจหรือประมาทเลินเลออยางรายแรง จึงไมมีเจาหนาท่ีผูใด

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๘

ตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนคุณกับผูฟองคดีท้ังสี่ การกระทํา
ของนาย ธ. มไิ ดมพี ฤตกิ ารณอ ันมสี ภาพรายแรงอนั อาจทําใหการพจิ ารณาทางปกครองไมเปนกลาง
ตามมาตรา ๑๖ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว การสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดของ
เจาหนา ท่ีจึงชอบดว ยกฎหมายแลว เมอื่ ขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดทําสัญญาจางพิพาท
โดยอธิบดีกรมทางหลวงไดมีคําส่ังแตงตั้งใหผูฟองคดีท่ี ๑ เปนนายชางโครงการ ผูฟองคดีที่ ๒
ซึ่งเปนผูชวยนายชางโครงการ ผูฟองคดีท่ี ๓ และท่ี ๔ เปนผูควบคุมงาน มีหนาที่สําคัญประการหน่ึง
คือ ตรวจสอบใหมีปายจราจร เคร่ืองหมาย และสัญญาณไฟจราจรใหถูกตอง ไฟฟาสวาง
เพ่ือปองกันอุบัติเหตุ ตรวจสอบดูแลรักษาทางใหมีจราจรผานไดสะดวกและปลอดภัยแกผูใชทาง
ในระหวางกอสรางตามที่กําหนดไวในคูมือนายชางโครงการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และคําสั่งโครงการฯ
เรอื่ ง กําหนดหนาท่ีและความรับผิดชอบโครงการ เมื่อพิจารณาจากตามคําพิพากษาของศาลแพง
ในคดีหมายเลขแดงท่ี ๓๐๒๕/๒๕๕๐ และศาลอุทธรณ บันทึกการสอบสวนของคณะกรรมการ
สอบสวนความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ เห็นไดวา สภาพถนนบริเวณท่ีเกิดเหตุเปนถนน
ที่มีสภาพผิวถนนเปนทางลูกรังอยูระหวางกอสราง และเปนทางเบ่ียงเพ่ือเปล่ียนชองจราจร
เปดใหใชทางไดเพียงไดดานเดียวและรถยนตตองว่ิงสวนทางกัน การติดตั้งปายเครื่องหมายและ
สัญญาณไฟจรจรจึงตองคํานึงถึงความปลอดภัยเปนพิเศษ โดยเฉพาะในเวลากลางคืนที่ทัศนวิสัย
การมองเห็นของผูขับขี่ลดลง จึงเปนกรณีที่จําเปนตองจัดใหมีสัญญาณไฟกระพริบ หรือไฟแสงสวาง
เพ่ือใหผูใชทางใหมองเห็นทางเบี่ยงและปายเคร่ืองหมายทางเบ่ียงและลดความเร็วลงได
ในระยะไกลตามขอ ๑๑ และขอ ๑๔.๓ ของคูมือนายชางโครงการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และเมื่อพิจารณา
แบบรายงานผลการปฏิบัติงานประจําวันท่ีผูฟองคดีท่ี ๓ และท่ี ๔ เสนอตอผูฟองคดีท่ี ๑
ผานผูฟองคดีท่ี ๒ และบันทึกสรุปรายงานผลการปฏิบัติงานประจําสัปดาหของผูฟองคดีที่ ๑
เสนอตอประธานกรรมการตรวจการจาง เห็นไดวา ชวงกอนเกิดอุบัติเหตุ ผูฟองคดีทั้งส่ี
ไมไดติดตามกําชับแจงใหผูรับจางดําเนินการติดตั้งสัญญาณไฟกระพริบและไฟสองสวางในท่ีบริเวณ
ที่เกิดเหตุ จึงฟงไมไดวาผูฟองคดีท้ังสี่ปฏิบัติหนาที่กํากับดูแลการติดปายสัญญาณเตือน
สัญญาณไฟจราจร แสงไฟฟาสวางเพื่อใหเกิดความปลอดภัยอยางเพียงพอ อันเปนการละเลย
ไมปฏิบัติตามขอ ๑๑ และขอ ๑๔.๓ ของคูมือนายชางโครงการ พ.ศ. ๒๕๔๖ และเปนการ
ไมตระหนักถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสินของผูใชเสนทางในชวงเวลากลางคืน จึงถือวา
เปนปฏิบัติหนาที่ดวยความประมาทเลินเลออยางรายแรง และการที่นาย ฐ. ไดขับรถยนต
ประสบอุบัติเหตุ เปนเหตุใหนาย ฐ. เสียชีวิตและรถยนตไดรับความเสียหายดังกลาว จึงเปนผล
จากการละเลยตอ หนาที่ดังกลาวของผูฟองคดีทั้งส่ี การกระทําของผูฟองคดีทั้งสี่จึงเปนการกระทํา
ละเมดิ ตอ นาย ฐ. ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดวางเงนิ ชาํ ระหนคี้ าเสยี หายใหแกบรษิ ัท ว. ผรู ับชว งสทิ ธผิ เู สียหายในฐานะผรู บั ประกันภัยรถยนต
ตามคําพิพากษาของศาลแพงในคดีหมายเลขแดงท่ี ๓๐๒๕/๒๕๕๐ แลว ผูฟองคดีทั้งสี่จึงตองรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ อยางไรก็ตาม เม่ือสัญญาจางทําการกอสรางพิพาทไดกําหนดใหผูรับจาง

แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๓๙

เปน ผมู หี นาที่จัดหาและตดิ ตงั้ ปายเครื่องหมาย สญั ญาณจราจร และสัญญาไฟจราจร เพื่อความปลอดภัย
ในบริเวณพ้ืนที่กอสราง รวมท้ังตองรับผิดตออุบัติเหตุความเสียหาย หรือภยันตรายใดๆ
อันเกิดจากการปฏิบัติงานของผูรับจาง อันเปนการกําหนดใหผูรับจางรับผิดในความเสียหาย
จากการไมดําเนินการดังกลาว ผูฟองคดีทั้งส่ีจึงไมใชผูมีหนาท่ีรับผิดชอบในเร่ืองดังกลาวโดยตรง
ดังนั้น เม่ือพิจารณาถึงพฤติการณและระดับความรายแรงแหงการกระทํารวมท้ังความเหมาะสม
และเปน ธรรมกรณีแลว ตามมาตรา ๘ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี
พ.ศ. ๒๕๓๙ เห็นวา การท่ีศาลปกครองช้ันตนกําหนดใหผูฟองคดีทั้งส่ีรับผิดชดใชคาสินไหม
ทดแทนในอัตราสวนรอยละ ๒๕ ของความเสียหายคิดเปนเงินคนละ ๔๒,๔๓๗.๕๐ บาท นั้น
เหมาะสมและเปน ธรรมกบั ผูฟอ งคดีแลว ดังน้ัน คําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๑ สวนที่เรียกใหผูฟองคดี
ท้ังสีร่ ับผดิ ชดใชคา สนิ ไหมทดแทนในกรณีดังกลาวเกินกวาจํานวนดังกลาว จึงไมชอบดวยกฎหมาย
และคาํ วินิจฉยั อุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ที่ยกอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสี่จึงไมชอบดวยกฎหมาย
เชนกัน เม่ือผูถกู ฟองคดีที่ ๑ ไดช ดใชคา เสยี หายใหก บั ผเู สยี หายแลว ยอมมีสิทธิเรียกรองไลเบี้ยให
ผูรับจางใหรับผิดตามสัญญาจางและมีสิทธิไลเบ้ียจากผูฟองคดีทั้งสี่ใหชดใชคาสินไหมทดแทนได
และแมผูถูกฟองคดีที่ ๑ มิไดขอใหศาลเรียกใหหางหุนสวนจํากัด บ. ผูรับจางเขาเปนจําเลยรวม
ในคดแี พง ดังกลาวตามตามมาตรา ๕๗ วรรคหนง่ึ (๓) แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพง
ก็ตาม แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ ยังสามารถใชสิทธิเรียกรองโดยฟองคดีผูรับจางใหรับผิดตามสัญญา
ภายในอายคุ วามไดเ ม่อื ผูถกู ฟอ งคดีที่ ๑ ยงั มไิ ดรับชาํ ระหนี้จากผูรับจาง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีสิทธิ
ออกคําสั่งเรียกใหผูฟองคดีท้ังส่ีชดใชคาสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๒ ประกอบมาตรา ๘ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ และหากไดรับชดใชคาเสียหาย
จากผูรับจางแลว เมื่อนํามารวมกับจํานวนเงินที่ผูฟองคดีทั้งส่ีชดใชไวเกินจํานวนความเสียหาย
ใหคืนเงินสวนท่ีไดรับชําระไวเกินใหแกผูฟองคดีทั้งส่ีตอไป ท้ังนี้ การพิจารณาและความเห็นของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๔ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดดําเนินการตามขอ ๑๗ และขอ ๑๘ ของระเบียบสํานัก
นายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ เปนเพยี งข้นั ตอนการดาํ เนนิ การภายในของหนว ยงานทางปกครองท่ียังไมมีผลกระทบ
ตอ สิทธิและหนา ทข่ี องผฟู อ งคดที งั้ สี่ ประกอบกบั เมอื่ ศาลไดวินจิ ฉยั ขางตนแลววาการท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
มีคําสั่งเรียกใหผูฟองคดีท้ังสี่ชดใชคาสินไหมทดแทน ซึ่งส่ังตามความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๔
ไมชอบดวยกฎหมาย ถือไดวาศาลไดวินิจฉัยเก่ียวกับความชอบดวยกฎหมายของความเห็นของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๔ ดวยแลว และไมมีความจําเปนตองมีคําบังคับใหเพิกถอนความเห็นดังกลาว
ผูฟองคดีท้ังสี่จึงมิใชผูมีสิทธิฟองคดีกับผูถูกฟองคดีท่ี ๓ และที่ ๔ ตามมาตรา ๔๒ วรรคหนึ่ง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ สวนท่ีผูฟองคดีทั้งส่ีมีคําขอใหผูถูกฟองคดีท้ังส่ีชดใชคาใชจาย
ในการดําเนินคดีใหแกผูฟองคดีทั้งสี่ น้ัน เม่ือการดําเนินการในการออกคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีท้ังส่ี
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนของผูถูกฟองคดีท้ังส่ีเปนไปโดยชอบดวยกฎหมาย และการท่ี
ผูฟองคดีทั้งส่ีไดใชสิทธิโตแยงความชอบดวยกฎหมายของคําสั่งดังกลาว ก็เปนไปเพื่อประโยชน
ของผูฟองคดีท้ังสี่ คาใชจายของผูฟองคดีทั้งส่ีในการดําเนินการดังกลาว ไมวาจะเปนคาพาหนะ

แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๐

และคา นํ้ามันเชื้อเพลงิ ในการเดินทาง คาถายเอกสารและคาอากรแสตมป คาปรึกษาทนาย จึงมิใช
เปนความเสียหายที่เกิดจากการกระทําของผูถูกฟองคดีทั้งส่ีโดยตรง การกระทําของผูถูกฟองคดีท้ังส่ี
จึงไมเปนการละเมิดตอผูฟองคดีทั้งสี่ ผูถูกฟองคดีท้ังส่ีจึงไมตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแก
ผูฟองคดีทั้งสี่ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ท้ังนี้ คําส่ังที่กระทบตอสิทธิ
ของผูฟองคดีท้ังสี่ยอมเปนคําสั่งใหชดใชคาสินไหมทดแทนตามหนังสือลงวันท่ี ๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒
สวนคําสั่งตามหนังสือลงวันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๕๒ เปนแตเพียงการเรงรัดติดตามใหชําระเงิน
ตามคําส่ังใหชดใชคาสินไหมทดแทนเทานั้นมิไดกระทบตอสิทธิผูฟองคดีท้ังส่ีแตอยางใด
ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่งของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามหนังสือลงวันท่ี
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๒ เฉพาะสวนท่ีส่ังใหผูฟองคดีท้ังส่ีรับผิดชดใชคาเสียหายเกินกวาคนละ
๔๒,๔๓๗.๕๐ บาท โดยใหมีผลยอนหลังไปถงึ วันทอี่ อกคาํ ส่ัง ทง้ั นี้ นบั แตวนั ที่คดีถึงท่สี ุด และใหยกฟอง
ผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๓ และท่ี ๔ คําขออื่นนอกจากนี้ ใหยก นน้ั ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดวย

พพิ ากษายนื
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๘๘/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๘๕
คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๘๙/๒๕๖๓ อางแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๑๑
คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๕๐/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๒๗
คาํ ส่งั ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๕๔/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๒๙
คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๖๖/๒๕๖๓ อางแลว ในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๓๒
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี คผ.๙๖/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๓๓
คําสง่ั ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๑๑๔/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๓๕
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๒๖๙/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๔๕
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๔๕๙/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเง่อื นไขการฟองคดี หนา ๑๒๐
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๖๓๘/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๔๖
คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี ๖๑/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๕๕
คาํ ส่งั ศาลปกครองสงู สุดที่ ๒๓๗/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๕๐
คําสั่งศาลปกครองสงู สุดท่ี ๓๓๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๖๒
คาํ สัง่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๒๔/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๖๙
คาํ ส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๒๘/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๗๐
คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๓๗/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๗๒
คําสงั่ ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๗๒/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๘๒

แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๑

คําสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๘๖/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๘๓
คาํ สงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๐๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๘๖
คําส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๒๔/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๙๓
คาํ สง่ั ศาลปกครองสูงสุดที่ คร.๑/๒๕๖๓ อางแลว ในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๑๒
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๙๗/๒๕๖๓ อางแลว ในประเดน็ เงอ่ื นไขการฟองคดี หนา ๑๑๕
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดท่ี อ.๒๖๙/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเดน็ เขตอาํ นาจศาล หนา ๔๕
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสุดที่ ๖๗/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๕๖
คําส่ังศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๔๔/๒๕๖๓ อางแลว ในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๗๔
คําส่ังศาลปกครองสงู สุดท่ี คบ.๙๕/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๕๔
คําส่งั ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๕๐/๒๕๖๓ อางแลวในประเด็นเขตอํานาจศาล หนา ๒๗

การดาํ เนินการตามขัน้ ตอนหรือวิธีการสําหรบั การแกไ ขความเดอื ดรอนหรือเสยี หายกอ นฟองคดี
คําสงั่ ศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๙/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๑๙
คาํ ส่งั ศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๑๖/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๒๐
คําสงั่ ศาลปกครองสูงสุดท่ี คผ.๑๗/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๒๒
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสดุ ท่ี คผ.๔๑/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เดิมผูฟองคดีเปนหนึ่งในคณะกรรมการกําหนดราคากลาง
ในการดําเนนิ โครงการจางกอสรางถนนลาดยางแอสฟลทต ิกคอนกรีต บริเวณทางเขาพรุจิก ตําบลไมขาว
อําเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต ของหนวยงานผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (องคการบริหารสวนตําบลไมขาว)
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีในฐานะ
คณะกรรมการกําหนดราคากลาง และในฐานะหัวหนาสวนโยธา ชดใชคาสินไหมทดแทนใหกับ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนจํานวนเงิน ๖๔๐,๗๘๐ บาท และ ๔๕๗,๗๐๐ บาท ตามลําดับ จากกรณีที่
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (อําเภอกลาง) ไดแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
แลวพบวา ผฟู องคดีไดกําหนดราคากลางโดยใชประมาณราคากอสรางโดยไมมีการประมาณราคากลาง
ตามความเปนจริง อันเปนการไมปฏิบัติตามหนังสือสํานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เปนเหตุใหราชการ
ไดรับความเสียหายเปนจํานวนเงิน ๔,๕๗๗,๐๐๐ บาท ผูฟองคดีไมเห็นดวยกับคําสั่งดังกลาว
จึงมีหนังสือลงวันท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ อุทธรณคําสั่งตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดรบั คาํ อทุ ธรณของผฟู องคดีไวภายในวันเดียวกัน แตนับจนถึงวันที่ย่ืนฟองคดีน้ี ผูฟองคดียังไมได
รับแจงผลการพิจารณาอุทธรณ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่ง
ดังกลาว เห็นวา ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ อุทธรณคําส่ังเรียกให

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๒

ผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับคําอุทธรณของผูฟองคดีไวภายใน
วันเดียวกัน หลังจากนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๕ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ถึงผูถูกฟองคดีที่ ๒
เพื่อสงคําอุทธรณของผูฟองคดีใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณา และผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๒ ถึงผูวาราชการจังหวัดภูเก็ต เพ่ือพิจารณาดําเนินการวินิจฉัยอุทธรณ
ของผฟู อ งคดี โดยไมปรากฏขอเท็จจริงวา ผูวาราชการจังหวัดภูเก็ตซึ่งเปนผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณ
ตามมาตรา ๔๕ วรรคสาม แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับ
ขอ ๒ (๑๐) ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ไดมีการแจงเหตุจําเปนเพ่ือขยายระยะเวลาพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบ
กรณจี งึ ถือวาไมม ีการขยายระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณตามมาตรา ๔๕ วรรคสอง แหงพระราชบัญญัติ
ดังกลาว ผูวาราชการจังหวัดภูเก็ตจึงตองพิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในหกสิบวัน
นับแตว นั ท่ผี ถู กู ฟองคดีที่ ๑ ไดร บั อุทธรณ คือ ภายในวันที่ ๓๐ สิงหาคม ๒๕๖๒ จึงตองถือวาวันที่
ครบหกสิบวันดังกลาว เปนวันท่ีผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหาย
ครบตามข้ันตอนหรือวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดไวแลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒
วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ และถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดหกสิบวัน คือ
วันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๖๒ เปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดี และนับเปน
วันแรกท่ีเร่ิมใชสิทธิฟองคดีขอใหศาลเพิกถอนคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีใหผูฟองคดีรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนดังกลาวได ซ่ึงผูฟองคดีตองยื่นฟองภายในเกาสิบวันนับแตวันดังกลาว
คือ ภายในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
การที่ผูฟองคดีนําคดีมายื่นฟองตอศาลปกครองช้ันตนเม่ือวันที่ ๒๖ ธันวาคม ๒๕๖๒ จึงเปน
การยื่นฟองคดีเมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน
และการฟองคดีน้ีเปนประโยชนสวนตัวของผูฟองคดีเทาน้ัน รวมทั้งมิไดมีเหตุจําเปนอื่นท่ีศาล
จะรับคําฟองน้ีไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ศาลจึงไมอาจรับ
คําฟองคดีนี้ไวพิจารณาได การท่ีศาลปกครองช้ันตนมีคําส่ังไมรับคําฟองนี้ไวพิจารณาและใหจําหนาย
คดอี อกจากสารบบความ นัน้ ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพองดว ย

จึงมีคาํ สง่ั ยืนตามคําสัง่ ของศาลปกครองชน้ั ตน
คาํ สงั่ ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๕๔/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๒๙
คาํ สงั่ ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๖๖/๒๕๖๓ อา งแลว ในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๓๒
คาํ สั่งศาลปกครองสูงสุดที่ คผ.๖๙/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา ขณะท่ีผูฟองคดีเปนพนักงานจางตามภารกิจในตําแหนงผูชวยชางโยธา
สังกัดองคการบริหารสวนตําบลทายเหมือง อําเภอทายเหมือง จังหวัดพังงา ผูฟองคดีไดรับการ
แตงต้ังจากองคการบริหารสวนตําบลทายเหมืองใหเปนผูชวยชางโยธาควบคุมงานจางโครงการ
กอสรา งระบบไฟฟา สองสวางสาธารณะขององคการบริหารสวนตําบลทายเหมืองจํานวน ๓ โครงการ
ตอมา สํานักตรวจสอบพิเศษภาค ๑๓ ไดตรวจสอบกรณีรองเรียนเก่ียวกับงานกอสรางดังกลาววา

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๓

มีการกําหนดราคากลางสูงกวาท่ีควรจะเปน และการกอสรางไมเปนไปตามรูปแบบรายการ
ซึ่งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกรณีดังกลาวไดรายงานผลการสอบ
ขอเท็จจริงวา ผูฟองคดีประมาทเลินเลออยางรายแรงในการปฏิบัติหนาที่ในฐานะผูควบคุม
งานกอสรางท้ังสามโครงการเปนเหตุใหทางราชการไดรับความเสียหาย เห็นควรใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงิน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และที่ ๒
(อธบิ ดกี รมสงเสรมิ การปกครองทองถิ่นท่ี ๑ และนายกองคการบริหารสวนตําบลทายเหมือง ที่ ๒)
ไดรวมกันมีคําสั่งลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ใหผูฟองคดีชําระคาสินไหมทดแทนแกกรมสงเสริม
การปกครองทองถิ่นเปนเงิน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม
๒๕๖๐ อุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่
๑๐ มกราคม ๒๕๖๑ แจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓
(รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหนากลุมภารกิจดานการพัฒนาชุมชนและสงเสริมการปกครอง
สวนทองถิ่น) ไดมีคําส่ังใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีเห็นวา คําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๑ และที่ ๒
ตามคําส่ังลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ท่ีเรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน และคําวินิจฉัย
ของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดีดังกลาวไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ที่ใหผูฟองคดี
ชดใชคาสินไหมทดแทนแกกรมสงเสริมการปกครองทองถ่ิน เปนเงินจํานวน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท
และคําวนิ ิจฉัยอทุ ธรณ

ศาลปกครองสูงสุดวนิ จิ ฉยั วา เมอ่ื ผฟู องคดไี ดร ับแจง คําส่ังลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐
ใหชาํ ระคา สนิ ไหมทดแทนใหแ กก รมสงเสริมการปกครองทองถ่ินเปนเงินจํานวน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท
เม่ือวันท่ี ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตอ มา ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําสั่ง
ดังกลาว โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดรับหนังสืออุทธรณของผูฟองคดีในวันท่ี ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐
ดังนั้น ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงตองพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในหกสิบวัน
นบั แตวันทีผ่ ูถ กู ฟอ งคดที ่ี ๑ ไดรับคาํ อุทธรณของผูฟองคดีตามมาตรา ๔๕ วรรคหน่ึงและวรรคสอง
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ คือ ภายในวันท่ี ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐
และเมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดมีหนังสือแจงเหตุจําเปนที่ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ไมอาจพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จภายในระยะเวลาดังกลาว จึงถือวาวันดังกลาวเปนวันท่ีผูฟองคดี
ไดด ําเนนิ การแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบตามข้ันตอนหรือวิธีการที่กฎหมายกําหนดไวแลว
และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ โดยถือวา
วันท่ี ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งเปนวันถัดจากวันที่ครบกําหนดหกสิบวันเปนวันที่ผูฟองคดีรู
หรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีนี้ และนับเปนวันแรกที่เร่ิมใชสิทธิฟองคดีเพื่อขอใหศาล
เพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ซึ่งผูฟองคดีตองย่ืนฟองตอศาลภายในเกาสิบวัน
นับแตวันดังกลาว ตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว ดังนั้น ผูฟองคดีชอบที่จะย่ืนฟอง
คดีขอใหเพกิ ถอนคําส่งั ลงวนั ที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ตอศาลภายในระยะเวลาเกาสิบวันนับแตวันท่ี
๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ กลาวคือ ตองยื่นฟองภายในวันท่ี ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมิตองรอคําวินิจฉัย

แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๔

อุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ อีกตอไป การท่ีผูฟองคดียื่นฟองคดีตอศาลขอใหเพิกถอนคําส่ัง
ดังกลาวโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนเมื่อวันท่ี ๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ จึงเปนการยื่นฟองคดี
เม่ือพนกําหนดระยะเวลาเกาสิบวันนับแตวันท่ีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๔๙
แหงพระราชบัญญัติเดียวกันทั้งคําฟองในขอหานี้เปนการฟองคดีเพื่อประโยชนสวนตัวของผูฟองคดี
เทานั้น มใิ ชการฟอ งคดีเกย่ี วกับการคุมครองประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคลที่จะย่ืนฟองคดี
เมอ่ื ใดก็ได รวมทงั้ มิไดม ีเหตุจาํ เปน อืน่ ที่ศาลจะรับคําฟองนี้ไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ แหง พ.ร.บ.
จัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับขอ ๓๐ วรรคสอง แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวย
วิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ศาลจึงไมอาจรับคําฟองในขอหาท่ีผูฟองคดีมีคําขอให
เพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ไวพิจารณาได และเม่ือศาลไมอาจรับคําฟองในขอหา
ดังกลาวไวพิจารณาดวยเหตุดังกลาว ศาลจึงไมอาจรับคําฟองในสวนท่ีฟองผูถูกฟองคดีที่ ๑
และที่ ๒ ซ่ึงเปนผูออกคําสั่งดังกลาวไวพิจารณาไดเชนกัน ท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําส่ังไมรับ
คําฟองในขอหาที่ผูฟองคดีมีคําขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ท่ีใหผูฟองคดี
ชดใชสินไหมทดแทนแกกรมสงเสริมการปกครองทองถ่ินเปนเงินจํานวน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท
รวมทัง้ ในสวนทีฟ่ องผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๑ และท่ี ๒ ไวพิจารณา นนั้ ศาลปกครองสงู สุดเหน็ พอ งดวย

จึงมคี าํ สงั่ ยนื
คาํ สง่ั ศาลปกครองสงู สดุ ท่ี คผ.๗๐/๒๕๖๓

ผูฟ องคดีฟองวา ขณะท่ีผูฟ อ งคดีรบั ราชการในตําแหนงวิศวกรโยธา สังกัดองคการ
บริหารสวนตําบลทายเหมือง ไดรับการแตงต้ังจากองคการบริหารสวนตําบลทายเหมืองใหเปน
ผูควบคุมงานจางโครงการกอสรางระบบไฟฟาสองสวางสาธารณะ ตามสัญญาจางลงวันที่
๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๒ ลงวันที่ ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๕๒ และลงวนั ที่ ๑๖ ธนั วาคม ๒๕๕๒ ขององคการ
บรหิ ารสว นตําบลทา ยเหมือง ซงึ่ ไดร บั การจัดสรรงบประมาณเงินอดุ หนุนเฉพาะกจิ จากกรมสงเสริม
การปกครองทองถ่ิน หลังจากท่ีไดดําเนินการกอสรางท้ังสามโครงการเสร็จแลว สํานักงานการตรวจเงินแผนดิน
โดยสํานักตรวจสอบพิเศษภาค ๑๓ ไดตรวจสอบพบงานกอสรางท้ังสามโครงการมีการกําหนด
ราคากลางสูงกวาท่ีควรจะเปน และการกอสรางไมเปนไปตามรูปแบบรายการ รวมความเสียหาย
เปนเงินท้ังส้ิน ๗,๑๒๓,๗๓๙.๘๔ บาท ผูถูกฟองคดีที่ ๑ (อธิบดีกรมสงเสริมการปกครองทองถิ่น)
จึงมอบอํานาจใหผูวาราชการจังหวัดพังงารวมกับองคการบริหารสวนตําบลที่เกี่ยวของแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดกรณีดังกลาว ซ่ึงคณะกรรมการดังกลาว
ไดรายงานผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดวา มีผูเกี่ยวของตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
หลายคน โดยในสวนของผูฟองคดี คณะกรรมการมีความเห็นวา ผูฟองคดีประมาทเลินเลออยางรายแรง
ในการปฏิบัติหนาท่ีในฐานะผูควบคุมงานกอสรางทั้งสามโครงการ เปนเหตุใหทางราชการไดรับ
ความเสียหาย เห็นควรเรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงิน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท
ซ่ึงผูแตงต้ังเห็นดวยกับความเห็นของคณะกรรมการดังกลาวและไดสงสํานวนการสอบขอเท็จจริง
ความรบั ผดิ ทางละเมดิ ไปใหกระทรวงการคลังตรวจสอบ แตกระทรวงการคลังไมไดแจงผลการตรวจสอบ

แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๕

ใหผูแตงต้ังทราบภายในเวลาท่ีกําหนดตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติ
เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กรมสงเสริมการปกครองทองถ่ิน
โดยผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒ (นายกองคการบริหารสวนตําบลทายเหมือง) จึงไดรวมกันมีคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ใหผูฟองคดีชําระคาสินไหมทดแทนแกกรมสงเสริมการปกครองทองถ่ิน
เปนเงิน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท ผูฟองคดีไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ัง
ดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑ แจงผลการพิจารณา
อุทธรณใหผูฟองคดีทราบวา ผูถูกฟองคดีที่ ๓ (รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหนากลุมภารกิจ
ดานการพัฒนาชุมชนและสงเสริมการปกครองทองถ่ิน) ไดมีคําสั่งใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟอ งขอใหศ าลมคี าํ พพิ ากษาหรือคําสัง่ เพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ที่ใหผูฟองคดี
ชดใชคาสินไหมทดแทนแกกรมสงเสริมการปกครองทองถิ่น เปนเงินจํานวน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท
และเพกิ ถอนคาํ วินิจฉัยอทุ ธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ แจงตามหนังสือลงวันท่ี ๑๐ มกราคม ๒๕๖๑
ท่ีใหย กอุทธรณของผูฟ อ งคดี

ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ัง
ลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ที่แจงใหผูฟองคดีชําระคาสินไหมทดแทนใหแกกรมสงเสริมการปกครอง
ทองถ่ินเปนเงินจํานวน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท เม่ือวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ตอมา ผูฟองคดีไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๖๐ อุทธรณคําส่ังดังกลาว โดยผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับหนังสืออุทธรณของ
ผูฟองคดีในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ดังนั้น ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงตองพิจารณาคําอุทธรณของ
ผูฟองคดีใหแลวเสร็จภายในหกสิบวันนับแตวันที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับคําอุทธรณของผูฟองคดี
ตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่งและวรรคสอง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
คือ ภายในวันที่ ๑๕ กันยายน ๒๕๖๐ และเมื่อไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือ
แจงเหตุจําเปนที่ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไมอาจพิจารณาอุทธรณใหแลวเสร็จภายในระยะเวลาดังกลาว
จึงถือวาวันดังกลาวเปนวันท่ีผูฟองคดีไดดําเนินการแกไขความเดือดรอนหรือเสียหายครบตามขั้นตอน
หรือวิธีการที่กฎหมายกําหนดไวแลว และสามารถใชสิทธิฟองคดีไดตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง
แหง พ.ร.บ. จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยถือวาวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ ซึ่งเปนวันถัดจากวันที่
ครบกําหนดหกสิบวัน เปนวันท่ีผูฟองคดีรูหรือควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีนี้ และนับเปนวันแรก
ที่เร่ิมใชสิทธิฟองคดีเพ่ือขอใหศาลเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ซ่ึงผูฟองคดี
ตองยื่นฟองตอศาลภายในเกาสิบวันนับแตวันดังกลาวตามนัยมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
ดังนั้น ผูฟองคดีชอบที่จะยื่นฟองคดีขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ตอศาล
ภายในระยะเวลาเกาสิบวันนับแตวันที่ ๑๖ กันยายน ๒๕๖๐ กลาวคือ ตองยื่นฟองภายในวันที่
๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๐ โดยมพิ ักตองรอคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ อีกตอไป การที่ผูฟองคดี
ยื่นฟองคดีตอศาลขอใหเพิกถอนคําส่ังดังกลาวโดยสงทางไปรษณียลงทะเบียนเม่ือวันที่
๑๗ เมษายน ๒๕๖๑ จึงเปนการยื่นฟองคดีเม่ือพนกําหนดระยะเวลาเกาสิบวันนับแตวันท่ีรูหรือ
ควรรูถึงเหตุแหงการฟองคดีตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติเดียวกัน ท้ังคําฟองในขอหานี้
เปนการฟองคดีเพื่อประโยชนสวนตัวของผูฟองคดีเทาน้ัน มิใชการฟองคดีเก่ียวกับการคุมครอง

แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๖

ประโยชนสาธารณะหรือสถานะของบุคคลที่จะย่ืนฟองคดีเมื่อใดก็ได รวมท้ังมิไดมีเหตุจําเปนอ่ืน
ที่ศาลจะรับคําฟองนี้ไวพิจารณาไดตามมาตรา ๕๒ แหง พ.ร.บ. จัดตั้งศาลปกครองฯ ประกอบกับ
ขอ ๓๐ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณาคดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ ศาลจึงไมอาจ
รับคําฟอ งในขอหาที่ผูฟองคดีมีคําขอใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ไวพิจารณาได
และเม่ือศาลไมอาจรับคําฟองในขอหาดังกลาวไวพิจารณาดวยเหตุดังกลาว ศาลจึงไมอาจรับคําฟอง
ในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่ ๒ และที่ ๓ ซ่ึงเปนผูออกคําสั่งดังกลาวไวพิจารณาไดเชนกัน
การท่ีศาลปกครองชั้นตนมีคําสั่งไมรับคําฟองในขอหาท่ีผูฟองคดีมีคําขอใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี
๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ ท่ีใหผูฟองคดีชดใชสินไหมทดแทนแกกรมสงเสริมการปกครองทองถิ่น
เปนเงินจํานวน ๓๔๕,๔๖๑.๐๑ บาท รวมท้ังในสวนที่ฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๒ ไวพิจารณา
เม่ือศาลมีคําส่ังไมรับคําฟองในขอหานี้ไวพิจารณาแลว จึงไมจําตองพิจารณาคําขอเกี่ยวกับวิธีการช่ัวคราว
ของผฟู อ งคดที ข่ี อใหท ุเลาการบังคับตามคําสัง่ ลงวนั ท่ี ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ นั้น ศาลปกครองสูงสุด
เห็นพองดวย

จงึ มคี าํ สง่ั ยืนตามคําสงั่ ของศาลปกครองชั้นตน
คาํ สั่งศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๙๖/๒๕๖๓ อา งแลวในประเดน็ เขตอํานาจศาล หนา ๓๓
คาํ สัง่ ศาลปกครองสงู สุดที่ คผ.๑๔๔/๒๕๖๓ อา งแลวในประเด็นเขตอาํ นาจศาล หนา ๓๗
คําพิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๔๙๘/๒๕๖๓

ผูฟองคดีฟองวา เม่ือคร้ังที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงปลัดเทศบาลเมืองนครนายก
ผูฟองคดีเปนผูพิจารณางบประมาณรายจายหมวดเงินอุดหนุนสําหรับดําเนินโครงการรักษา
ความสะอาด ตัดหญา และตัดแตงก่ิงไม ประจําปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ ถึง พ.ศ. ๒๕๕๐ เสนอ
ตอนายกเทศมนตรีเมืองนครนายก เพื่อพิจารณาขออนุมัติเบิกจายเงินอุดหนุนใหกับชุมชน
ซึ่งนายกเทศมนตรีเมืองนครนายกไดพิจารณาอนุมัติใหมีการเบิกจายเงินตามโครงการดังกลาว
หลังจากนั้น สํานักงานการตรวจเงินแผนดินภูมิภาคที่ ๑ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไดมีหนังสือ
ลงวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๕๑ แจงผลการตรวจสอบการเบิกจายเงินอุดหนุนโครงการดังกลาววา
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ต้ังงบประมาณไมเปนไปตามหนังสือกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๔๗
สง ผลใหก ารเบิกจายเงินอุดหนุนไมชอบดวยกฎหมาย หลังจากน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (ผูวาราชการ
จงั หวดั นครนายก) ไดมคี าํ สั่งลงวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ ๒๕๕๒ แตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดในกรณีดังกลาว ประธานคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไดมีหนังสือลงวันท่ี
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๒ แจงผูฟองคดีใหไปถอยคําซึ่งผูฟองคดีไดไปใหถอยคําแลว หลังจากน้ัน
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงไดจัดทํารายงานผลการสอบสวน ลงวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๕๕๒
ตอผถู กู ฟอ งคดที ่ี ๒ วา ยงั ไมปรากฏความชัดเจนเพียงพอท่ีจะชี้ชัดไดวาการกระทําของผูเกี่ยวของ
กอใหเกดิ ความเสยี หายแกท างราชการ จงึ ไมมีผตู อ งรับผิดชอบทางละเมิด คงมีเพียงความบกพรอง
ของเจา หนา ที่และผูบังคับบญั ชาที่เกยี่ วของซ่งึ ผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ (เทศบาลเมืองนครนายก) จะตองพิจารณา
ดําเนินการทางวินัยตามควรแกกรณีตอไป ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เห็นชอบตามความเห็นของคณะกรรมการ

แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๗

สอบขอเท็จจริง จึงไดมีหนังสือลงวันที่ ๓๑ สิงหาคม ๒๕๕๒ สงสํานวนการสอบขอเท็จจริง
ใหกระทรวงการคลังตรวจสอบ ตอมา กระทรวงการคลังโดยกรมบัญชีกลางไดมีหนังสือลงวันท่ี
๑๘ มิถุนายน ๒๕๕๓ แจงผูถูกฟองคดีที่ ๒ วา ผูฟองคดีซึ่งดํารงตําแหนงปลัดเทศบาลเมืองนครนายก
ในขณะน้ัน ในฐานะผูพิจารณาโครงการเงินอุดหนุนดังกลาว กระทําขัดตอหลักเกณฑของทางราชการ
และเปนการเบิกจายเงินอุดหนุนท่ีมีจํานวนสูงกวาจํานวนคาดูแลรักษาความสะอาดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
เคยจางเอกชนดําเนินการในป พ.ศ. ๒๕๔๘ พฤติการณดังกลาวถือไดวา เปนการปฏิบัติหนาที่
ดวยความประมาทเลินเลออยา งรา ยแรง เปนเหตุใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับความเสียหาย ผูฟองคดี
จึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในอัตรารอยละ ๒๕ ของคาเสียหาย
จํานวน ๑,๕๐๐,๐๐๐ บาท คิดเปนเงินจํานวน ๓๗๕,๐๐๐ บาท ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๑๖ กรกฎาคม ๒๕๕๓ แจงผลการสอบสวนของกรมบัญชีกลางใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ทราบ
ผถู กู ฟอ งคดีท่ี ๑ จึงไดมคี าํ สัง่ ลงวันท่ี ๑ กมุ ภาพนั ธ ๒๕๕๔ เรยี กใหผ ฟู อ งคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
ใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามความเห็นของกรมบัญชีกลางดังกลาว และมีหนังสือลงวันท่ี ๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๔
แจงคําส่ังดังกลาวใหผูฟองคดีทราบ ซึ่งผูฟองคดีไดรับคําสั่งเม่ือวันที่ ๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๔
จึงมีหนังสือลงวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ อุทธรณคําสั่งดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตอมา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีความเห็นยืนยันตามคําสั่งเดิม และไดรายงานความเห็นไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๒
ซ่ึงผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เห็นดวยกับผลการพิจารณาอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามหนังสือลงวันที่
๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ แจงผล
การพิจารณาวินิจฉัยคําอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ใหผูฟองคดีทราบ ผูฟองคดีไมเห็นพองดวย
จึงฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่ง เร่ือง ใหชดใชคาสินไหมทดแทน ลงวันที่
๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ เฉพาะในสวนท่ีใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน เปนเงินจํานวน
๓๗๕,๐๐๐ บาท และใหเพิกถอนผลการวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามหนังสือลงวันที่
๑๒ เมษายน ๒๕๕๔

ศาลปกครองสูงสุดวนิ จิ ฉัยวา ผูถกู ฟอ งคดีท่ี ๑ ไดมคี ําส่ังลงวนั ที่ ๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๔
เรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน อันเปนคําสั่งที่อาศัยอํานาจตามมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และถือเปนคําสั่งทางปกครองตามมาตรา ๕
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงผูฟองคดีตองอุทธรณคําส่ังดังกลาว
ตามมาตรา ๔๔ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว เมื่อผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ังดังกลาวเมื่อวันที่
๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๔ และไดมีหนังสือลงวันท่ี ๑๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๑ อุทธรณคําส่ังตอผูถูกฟองคดีที่ ๑
โดยเจา หนา ทขี่ องผูถูกฟอ งคดีที่ ๑ ไดรบั คําอุทธรณของผูฟองคดีไวในวันท่ี ๒๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๔
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีหนังสือลงวันที่ ๑๘ มีนาคม ๒๕๕๔ แจงใหผูฟองคดีทราบวาไมเห็นดวยกับ
คําอุทธรณของผูฟองคดีและไดสงเร่ืองใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณา ตอมา ผูถูกฟองคดีที่ ๒
ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๒ เมษายน ๒๕๕๔ แจงไปยังผูถูกฟองคดีที่ ๑ เพ่ือใหแจงผูฟองคดีวา
มีคําวินจิ ฉัยยืนยนั ตามคาํ สัง่ ของผูถกู ฟอ งคดีที่ ๑ ผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๑ ไดม หี นังสือลงวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔
แจงใหผูฟองคดีทราบ ซึ่งเม่ือพิจารณาตามมาตรา ๔๕ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง แหงพระราชบัญญัติ

แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓

๑๔๘

เดียวกันแลวน้ัน ไมปรากฏขอเท็จจริงวาผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซ่ึงเปนผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณ
ตามมาตรา ๔๕ วรรคสาม แหงพระราชบัญญัติขางตนประกอบกับขอ ๒ (๑๐) ของกฎกระทรวง
ฉบับท่ี ๔ (พ.ศ. ๒๕๔๐) ออกตามความใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
ไดแจง เหตุจําเปน ตอ งขยายระยะเวลาพิจารณาอทุ ธรณใ หผ ูฟองคดที ราบ จงึ ตอ งถือวา วันท่ีครบหกสิบวัน
คือ วันท่ี ๒๒ เมษายน ๒๕๕๔ เปนวันท่ีผูฟองคดีไดดําเนินการ ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง แหง พ.ร.บ.
จัดต้ังศาลปกครองฯ โดยถือวาวันถัดจากวันครบกําหนดนั้น คือ วันท่ี ๒๓ เมษายน ๒๕๕๔
เปน วนั ทผี่ ูฟองคดีรหู รือควรรูถ ึงเหตุแหงการฟอ งคดี ดังน้ัน ผูฟองคดีจะตองย่ืนคําฟองภายในวันที่
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๔ ทัง้ น้ี ตามมาตรา ๔๙ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว โดยไมตองรอคําวินิจฉัย
อุทธรณของผูมีอํานาจพิจารณาอุทธรณอีกตอไป การที่ผูฟองคดีไดย่ืนคําฟองตอศาลในวันที่
๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔ จึงเปน การย่ืนฟองเมื่อพนกําหนดระยะเวลาการฟองคดี ที่ศาลปกครองช้ันตน
รบั คาํ ฟองในขอ หานไ้ี วพิจารณา ศาลปกครองสงู สุดไมเห็นพองดวย เม่ือปญหาดังกลาว เปนปญหา
อันเกี่ยวดวยความสงบเรียบรอยของประชาชน แมคูกรณีไมไดยกข้ึนกลาวอาง ศาลปกครองสูงสุด
มีอํานาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองไดตามขอ ๙๒ แหงระเบียบของท่ีประชุมใหญฯ วาดวยวิธีพิจารณา
คดีปกครอง พ.ศ. ๒๕๔๓ สว นคาํ วินิจฉัยอุทธรณข องผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ท่ีใหยกอุทธรณของผูฟองคดี
เปน การย่ืนฟอ งคดภี ายในเกา สบิ วนั นับแตวนั ทร่ี หู รอื ควรรูถ ึงเหตุแหงการฟองคดี ศาลจึงรับคําฟอง
ขอ หาน้ีไวพิจารณาได ซึ่งการที่ศาลจะพิจารณาวาคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดังกลาว
ชอบดวยกฎหมายหรือไม ศาลจําตองพิจารณาความชอบดวยกฎหมายของคําส่ังของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ที่เรียกใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมดวย ซ่ึงในกรณีน้ีแมนายกเทศมนตรีเมืองนครนายก
จะมีฐานะเปนหัวหนาหนวยงานผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนผูมีอํานาจแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวน
ความรับผิดทางละเมิดตามขอ ๘ วรรคหน่ึง ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑ
การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ก็ตาม แตเมื่อนายกเทศมนตรี
เมืองนครนายกเปนผูมีสวนไดเสียหรือเกี่ยวของกับการพิจารณาความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี
ในเรื่องนั้น จึงตองปฏิบัตติ ามหนงั สอื ของกรมสง เสรมิ การปกครองทองถิน่ ลงวันที่ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๑
ทกี่ าํ หนดใหตองรายงานและเสนอเรื่องใหผูบังคับบัญชาหรือผูกํากับดูแลการปฏิบัติหนาที่สูงข้ึนไป
หน่ึงระดับเปนผูพิจารณาแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามขอ ๑๒
ของระเบียบดงั กลาว ดังน้นั การทผ่ี ถู ูกฟอ งคดีที่ ๒ ซง่ึ มอี ํานาจหนาที่ควบคุมดูแลเทศบาลในจังหวัดนั้น
ตามมาตรา ๗๑ แหง พ.ร.บ. เทศบาล พ.ศ. ๒๔๙๖ ไดม คี าํ สั่งแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดในกรณีดังกลาว จึงเปนไปตามหลักเกณฑที่กําหนดไวในขอ ๑๒ ของระเบียบ
เดียวกันแลว ประกอบกับกระบวนการและข้ันตอนในการออกคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีใหชดใช
คาสินไหมทดแทนไดดําเนินการตามหลักเกณฑและวิธีการท่ีกฎหมายกําหนดแลว สวนประเด็นวา
ผูฟองคดีไดกระทําละเมิดหรือไม น้ัน เห็นวา เม่ือผูฟองคดีซ่ึงเปนผูพิจารณางบประมาณรายจาย
หมวดเงินอุดหนุนสําหรับดําเนินโครงการรักษาความสะอาด ตัดหญา และตัดแตงกิ่งไม ประจําป
งบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๙ เสนอตอนายกเทศมนตรเี มอื งนครนายก เพ่ือพิจารณาอนุมัติเบิกจายเงิน
อุดหนุนใหกับชุมชนยอยท้ัง ๘ ชุมชน ตามท่ีไดขอรับการสนับสนุนงบประมาณ วงเงิน ๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท

แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓


Click to View FlipBook Version