๒๔๙
ไดแตหาไดใชใหเพียงพอไม อันถือไดวาเปนการกระทําในการปฏิบัติหนาที่โดยประมาทเลินเลอ
อยา งรายแรง
คดีมีปญหาท่ีตองวินิจฉัยตอไปวา นาย ธ. ในฐานะนายตรวจศุลกากรตองรับผิด
ชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูฟองคดี เพียงใด น้ัน แมผูฟองคดีและผูถูกฟองคดีท้ังสามจะไมได
อุทธรณโตแยงคําพิพากษาของศาลปกครองช้ันตนในประเด็นเกี่ยวกับการกําหนดสัดสวนความรับผิด
ท่ีผูถูกฟองคดีท้ังสามในฐานะทายาทของนาย ธ. ตองรับผิดชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีก็ตาม
แตศาลปกครองสูงสุดโดยมติที่ประชุมใหญตุลาการในศาลปกครองสูงสุดพิเคราะหแลวเห็นวา
คดีในกลุมท่ีเจาหนาที่ของกรมศุลกากรฟองคดีตอศาล ขอใหศาลมีคําพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่ง
กรมศุลกากรที่เรียกใหชดใชเงิน อันเนื่องมาจากการกระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาที่ กรณีมีการ
ทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรตามใบขนสินคาขาออก อันมีมูลเหตุจากมีบุคคลรองเรียน
ตอนายกรัฐมนตรีเมื่อป พ.ศ. ๒๕๔๐ หรือกรณีที่กรมศุลกากรฟองเรียกใหทายาทของเจาหนาท่ี
รับผิดชดใชคาเสียหายในกรณีเดียวกัน ในการวินิจฉัยกําหนดสัดสวนความรับผิดชดใชคาเสียหาย
ของเจาหนาที่หรือของทายาทของเจาหนาท่ี ศาลปกครองไดมีคําพิพากษาเปนแนวเดียวกัน
โดยกําหนดใหคํานวณหักสวนแหงความรับผิดของกรมศุลกากรออกเปนจํานวนรอยละ ๕๐
ของความเสียหายท่ีเกิดขึ้นแลวจึงกําหนดความรับผิดของนายตรวจศุลกากรใหรับผิดรอยละ ๗๐
ของจํานวนความเสียหายท่ีไดคํานวณหักความรับผิดของกรมศุลกากรออกแลว คดีนี้จึงสมควร
วินิจฉัยความรับผิดของทายาทของนาย ธ. ซ่ึงดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากร ตามแนวทางการ
วินิจฉัยดงั กลา ว เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา มีการนําบัตรภาษีท่ีออกสืบเนื่องจากใบขนสินคาขาออก
ท้ังแปดฉบับที่นาย ธ. มีสวนเก่ียวของไปใชแลว (วางฎีกา) เมื่อวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๙ วันท่ี
๑๗ เมษายน ๒๕๓๙ และวันท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๓๙ อันเปนวันที่มีการกระทําละเมิดตอผูฟองคดี
จึงเปนกรณีทีม่ ีการกระทําละเมิดของเจา หนา ที่กอ นที่ พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ จะมีผลใชบังคับในวันท่ี ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ กรณีจึงตองนําบทบัญญัติ
ตามประมวลกฎหมายแพง และพาณชิ ย อนั เปน กฎหมายที่ใชขณะท่ีมีการกระทําละเมิดมาใชบังคับ
กับกรณดี ังกลาว โดยที่ขณะเกิดเหตุรัฐบาลมีนโยบายสงเสริมการสงสินคาออกทําใหปริมาณสินคา
สงออกมีมาก แตก็ไมปรากฏวาผูฟองคดีไดจัดสรรอัตรากําลังเจาหนาท่ีในตําแหนงนายตรวจ
ศุลกากรและศลุ การักษเพ่ิมเติมใหเพียงพอกับปริมาณงานการตรวจปลอยสินคาสงออกท่ีบรรจุเขา
คอนเทนเนอร ซึ่งเพม่ิ มากขนึ้ แตอยา งใด ประกอบกับการท่ีผูฟองคดีกําหนดหลักเกณฑใหผูสงออก
เพียงแตนําใบขนสินคาขาออกฉบับมุมน้ําเงินพรอมกับเอกสารท่ีเก่ียวของไปยื่นขอรับเงินชดเชย
คาภาษีอากร แตในช้ันการตรวจสอบวาผูย่ืนคําขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรไดสงสินคาออกไป
จริงหรือไม กลับพิจารณาเปรียบเทียบรายการสินคาที่ปรากฏในใบขนสินคาขาออกกับรายการ
สินคาท่ีปรากฏในบัญชีสินคาสําหรับเรือ ซึ่งหากผูฟองคดีไดกําหนดใหมีการตรวจสอบใบขนสินคา
ขาออกกับบัญชีสินคาสําหรับเรือประกอบกันในข้ันตอนการพิจารณาคําขอรับเงินชดเชยคาภาษี
อากรดวยแลว ก็จะปองกันหรือลดทอนความเสียหายท่ีอาจเกิดขึ้นได จึงเห็นไดวาความเสียหาย
ทเี่ กิดข้ึนนัน้ สว นหน่งึ เกดิ จากความบกพรองของระบบการดําเนินงานของผูฟองคดี จึงเห็นสมควร
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๐
หกั สวนแหงความบกพรอ งของผฟู อ งคดีออกรอ ยละ ๕๐ ของจํานวนคาเสียหายท้ังหมดตามมาตรา ๔๓๘
วรรคหน่ึง ประกอบมาตรา ๔๔๒ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหนึ่ง แหงประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชย แตโดยท่ีเหตลุ ะเมิดในคดีนี้เกิดจากการปฏิบัติหนาท่ีของนายตรวจศุลกากรและเจาหนาท่ี
ศุลการักษ เม่ือพิจารณาถึงอํานาจหนาที่และสภาพความรายแรงแหงการกระทําแลวเห็นวา
นายตรวจศุลกากรมีหนาที่โดยตรงในการตรวจสินคาสวนศุลการักษเปนเพียงผูชวยเทานั้น
นายตรวจศุลกากรจึงตองรับผิดรอยละ ๗๐ ของจํานวนสวนแหงความรับผิดในรอยละ ๕๐
หลงั จากหักความรบั ผิดของผูฟ องคดแี ลว ท้งั นี้ ตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมาย
ดังกลาว ดังนั้น เมื่อมีการนําบัตรภาษีที่ออกสืบเน่ืองจากใบขนสินคาขาออกทั้งแปดฉบับดังกลาว
ไปใชแลว (วางฎีกา) เปนเงิน ๗๖๔,๗๘๙.๙๕ บาท หักสวนความรับผิดของผูฟองคดีออกรอยละ ๕๐
ของจํานวนคาเสียหายทั้งหมด นาย ธ. ในฐานะนายตรวจศุลกากรตองรับผิดรอยละ ๗๐
ของจํานวนสวนแหงความรับผิดในรอยละ ๕๐ หลังจากหักความรับผิดของผูฟองคดีแลว นาย ธ.
จึงตองรับผิดชดใชคาเสียหายเปนเงินจํานวน ๒๖๗,๖๗๖.๔๘ บาท สวนกรณีดอกเบี้ยของ
คาสินไหมทดแทนท่ีนาย ธ. ตองชําระใหแกผูฟองคดี น้ัน เม่ือหนี้ดังกลาวเปนหนี้อันเกิด
แตมูลละเมิด นาย ธ. ซึ่งเปนลูกหนี้ยอมไดชื่อวาผิดนัดมาแตเวลาท่ีทําละเมิด และขอเท็จจริง
ปรากฏวามีการนําบัตรภาษีท่ีออกสืบเน่ืองจากใบขนสินคาขาออกท้ังแปดฉบับไปใช (วางฎีกา)
ในวันที่ ๒ เมษายน ๒๕๓๙ มูลคาบัตรภาษี ๕๗๑,๒๑๕.๖๖ บาท คิดเปนคาเสียหายจํานวน
๑๙๙,๙๒๕.๔๘ บาท วันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๙ มูลคาบัตรภาษี ๑๙๒,๖๓๗.๓๕ บาท คิดเปน
คา เสียหายจํานวน ๖๗,๔๒๓.๐๗ บาท และวันท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๓๙ มูลคาบัตรภาษี ๙๓๖.๙๔ บาท
คิดเปนคาเสียหายจํานวน ๓๒๗.๙๓ บาท นาย ธ. จึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแก
ผูฟองคดีพรอ มดอกเบีย้ ในอตั รารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๑๙๙,๙๒๕.๔๘ บาท นับแต
วันท่ี ๒ เมษายน ๒๕๓๙ กับตนเงินจํานวน ๖๗,๔๒๓.๐๗ บาท นับแตวันที่ ๑๗ เมษายน ๒๕๓๙
และตนเงินจํานวน ๓๒๗.๙๓ บาท นับแตวันท่ี ๒ พฤษภาคม ๒๕๓๙ จนถึงวันฟองคดี คือวันท่ี
๑๕ ธันวาคม ๒๕๔๙ รวมเปนเงินทั้งสิ้น ๔๘๒,๓๗๓.๘๘ บาท (๒๖๗,๖๗๖.๔๘ + ๒๑๔,๖๙๗.๔๐)
ทงั้ น้ี ตามมาตรา ๒๐๖ ประกอบมาตรา ๒๒๔ วรรคหนง่ึ แหงประมวลกฎหมายเดยี วกนั
คดีมีประเด็นที่จะตองวินิจฉัยตอไปวา ผูถูกฟองคดีท้ังสามซ่ึงเปนทายาทโดยธรรม
ผูมีสิทธิไดรับมรดกของนาย ธ. ตองรวมกันหรือแทนกันชําระเงินคาสินไหมทดแทนพรอมดอกเบ้ีย
ตามคําขอของผูฟองคดีหรือไม เห็นวา เมื่อความรับผิดอันเกิดจากการกระทําละเมิดในการปฏิบัติ
หนาท่ีของนาย ธ. ตอผูฟองคดีเปนความรับผิดเก่ียวกับทรัพยสินเปนเงิน มิใชความรับผิด
ซ่ึงตามกฎหมายหรือวาโดยสภาพแลวเปนการเฉพาะตัวของนายธงชัยผูตายโดยแท ดังน้ัน
ผูถูกฟองคดีทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมของนายธงชัยจึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
พรอมดอกเบี้ยใหแกผูฟองคดีไมเกินกวาทรัพยมรดกท่ีตกทอดไดแกตนตามมาตรา ๑๖๐๐
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ท่ีศาลปกครองชั้นตนพิพากษาใหผูถูกฟองคดีทั้งสาม
รวมกันชําระเงินคาสินไหมทดแทนพรอมดอกเบ้ียใหแกผูฟองคดี จํานวน ๓๑๒,๖๔๑.๙๔ บาท
พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินคาสินไหมทดแทนจํานวน ๓๐๕,๙๑๕.๙๘ บาท
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๑
นับถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จใหแกผูฟองคดี ทั้งนี้ ไมเกินทรัพยมรดกนาย ธ.
(ผูตาย) ท่ีผูถูกฟองคดีทั้งสามไดรับและภายใตเง่ือนไขวาหากผูฟองคดีไดรับชําระหนี้
ตามคําพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ในคดีหมายเลขแดงที่ ๔๘๕/๒๕๔๙ แลว คาเสียหายที่
ผูถูกฟองคดีทั้งสามตองชดใชใหลดลงตามสวนท่ีผูฟองคดีไดรับชําระหนี้หรือใหพนความรับผิด
ในการชดใชคาเสียหายดังกลาว แลวแตกรณี โดยใหผูถูกฟองคดีท้ังสามชําระใหแลวเสร็จภายใน
๖๐ วัน นับแตวันท่ีคดีถึงท่ีสุด และใหคืนคาธรรมเนียมศาลบางสวนตามสวนของการชนะคดี
แกผฟู องคดี นนั้ ศาลปกครองสงู สุดเห็นพอ งดวยบางสวน
พิพากษาแก เปนใหผูถูกฟองคดีท้ังสามรวมกันหรือแทนกันรับผิดชดใชคาสินไหม
ทดแทนเปน เงินจํานวน ๔๘๒,๓๗๓.๘๘ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของเงินตน
จาํ นวน ๒๖๗,๖๗๖.๔๘ บาท นับถดั จากวันฟอ งเปน ตน ไปจนกวาจะชําระเสร็จแกผูฟองคดี ภายใน
๖๐ วัน นบั แตวันทศ่ี าลมีคําพิพากษา ทั้งนี้ ตอ งไมเ กินกวา ทรัพยมรดกทผ่ี ูถกู ฟองคดีแตละคนไดรับ
หากผฟู อ งคดไี ดรบั การชดใชเงินคืนหรือสามารถบังคับชําระหนี้จากผูไดรับเงินชดเชยคาภาษีอากร
ในกรณีน้ีเปนเงินจํานวนเทาใด ใหนําเงินนั้นหักหรือคืนตามสวนแหงความรับผิดใหแกผูถูกฟองคดี
ทงั้ สาม และใหค นื คาธรรมเนียมศาลในศาลปกครองชั้นตนและในชั้นอุทธรณบางสวนตามสวนของ
การชนะคดีใหแ กผฟู องคดี
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๓๖๒/๒๕๖๓
ผูฟองคดี (กรมศุลกากร) ฟองวา ขณะเกิดเหตุนาย ธ. ดํารงตําแหนงนายตรวจ
ศุลกากรในสังกัดของผูฟองคดีเปนผูทําการตรวจและควบคุมการบรรจุสินคารายบริษัท ฟ.
โดยบริษัท ฟ. มิไดนําสินคามาบรรจุเขาคอนเทนเนอรเพ่ือสงออกนอกราชอาณาจักร
แตไดใชหมายเลขคอนเทนเนอรมาแอบอางในการบรรจุสินคาของบริษัท ฟ. โดยบริษัท ฟ.
นําใบขนสินคาขาออกฉบับมุมสีนํ้าเงินไปขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร และนําบัตรภาษีไปใชแลว
ทําใหเกิดความเสียหายแกผูฟองคดี ความเสียหายท่ีเกิดขึ้นเช่ือวานายตรวจศุลกากรมิไดไปตรวจ
และควบคมุ การบรรจสุ ินคาเขาคอนเทนเนอรแตกลบั ลงนามรบั รองในเอกสารการสงออก ทั้งท่ีไมมี
สนิ คาของบรษิ ัท ฟ. สง ออกไปนอกราชอาณาจกั ร จนเปนเหตุใหผูสง ออกสามารถกระทําการทุจริต
ในการขอชดเชยคาภาษีอากรได ซึ่งเฉพาะนาย ธ. นายตรวจศุลกากรตองรับผิดชดใชคาเสียหาย
ใหแกผูฟองคดีเปนเงิน ๔๖๓,๒๘๓.๒๕ บาท ผูฟองคดีจึงมีคําส่ังใหเจาหนาท่ีตองรับผิดชดใช
คาเสียหายเมื่อวันท่ี ๖ มกราคม ๒๕๔๙ ผูถูกฟองคดีทั้งสามเปนทายาทโดยธรรมผูมีสิทธิรับมรดก
ของนาย ธ. จึงตองรับผิดในหนี้สินของเจามรดกใหแกผูฟองคดี ผูฟองคดีไดมีหนังสือแจงให
ผูถูกฟองคดีท้ังสามชดใชคาสินไหมทดแทนดังกลาวใหแกผูฟองคดี แตผูถูกฟองคดีทั้งสามเพิกเฉย
จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีทั้งสามรวมกันหรือแทนกันชําระเงิน
จาํ นวน ๗๙๘,๙๗๔.๕๙ บาท พรอมดวยดอกเบย้ี
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ขณะเกิดเหตุนาย ธ. ดํารงตําแหนงนายตรวจ
ศุลกากร เปนผูปฏิบัติหนาท่ีตรวจปลอยและควบคุมการบรรจุสินคาตามใบขนสินคาขาออก
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๒
เขาคอนเทนเนอร รายบริษัท ฟ. ซึ่งเปนหนาท่ีโดยตรงตามขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕ ของประมวลระเบียบ
ปฏบิ ัตศิ ุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และท่ีไขเพิ่มเติม ตามคําสั่งทั่วไปกรมศุลกากร ลงวันท่ี ๘ กรกฎาคม
๒๕๓๔ นาย ธ. จงึ ตอ งปฏบิ ตั ิหนา ทโ่ี ดยการตรวจสอบสนิ คา วาตรงตามทสี่ าํ แดงไวในใบขนสินคาขาออก
และเอกสารประกอบการสงออกหรือไม โดยนาย ธ. ไดถูกกําหนดชื่อใหเปนผูปฏิบัติหนาที่ตามใบ
ขนสงสินคาขาออก จํานวน ๓๓ ฉบับ นาย ธ. ไดบันทึกการตรวจปลอยและเปนผูควบคุม
การนําสินคาบรรจุในคอนเทนเนอรดวยตนเอง โดยนาย ธ. ไดบันทึกขอความโดยระบุเวลาเริ่มตน
และสนิ้ สุดของการเปด ตรวจวา มีสินคา ตรงตามที่สําแดงและสินคาดังกลาวบรรจุในคอนเทอนเนอร
หมายเลขใด แลวจึงลงลายมือช่ือรับรอง พรอมวัน เดือน ป ในใบขนสินคาขาออกและใบกํากับ
คอนเทนเนอรดังกลาว แตในบัญชีสินคาสําหรับเรือ ซ่ึงเปนเอกสารที่บริษัทตัวแทนเรือไดจัดทําข้ึน
เพ่ือจดั สงใหผูฟอ งคดีหลงั จากท่เี รือไดอ อกไปนอกราชอาณาจักรแลวระบุวาสินคาในคอนเทนเนอร
ดังกลาว ผูสงออกและชนิดสินคาไมตรงตามที่สําแดงในใบขนสินคาขาออกดังกลาว โดยบริษัท ฟ.
มใิ ชเ ปนผสู งออก เห็นวา การทน่ี าย ธ. มีหนาท่ีควบคุมการนําสินคาบรรจุในคอนเทนเนอรไดรับรอง
การตรวจปลอยสนิ คาทไ่ี มมีสินคาของบริษทั ฟ. แตอ ยา งใด ซึ่งหากนาย ธ. ปฏิบัติหนาท่ีโดยเปดตรวจ
สินคาตามอัตราท่ีกําหนดไวจริงหรือแมแตเปดตรวจเพียง ๑ หีบหอ จะพบวาสินคา
ในคอนเทนเนอรดังกลาวไมใชสินคาของบริษัท ฟ. และจากการสอบสวนของคณะกรรมการ
สอบสวนขอเท็จจริงกรณีบริษัท ฟ. ทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร นาย ธ. ไดใหถอยคําวา
จําไมไดวาไดไปทําการตรวจปลอยสินคาตามใบขนสินคาขาออกหรือไม และจําไมไดวาไดควบคุม
ศุลการักษร อยแถบ RTC หรือรอยดวงตราตะกั่ว กศก. หรือไม เนื่องจากปริมาณงานในแตละวันมีมาก
จงึ ตองใชวิธกี ารสมุ ตรวจเฉพาะรายทีม่ กี ารขอสิทธปิ ระโยชนในทางภาษีที่มีมลู คามาก กรณีจึงเช่ือได
วานาย ธ. มิไดทําการเปดตรวจสินคาตามใบขนสินคาขาออกฉบับดังกลาว แตกลับบันทึกและ
ลงนามรับรองวาไดเปดตรวจแลว เมื่อผูฟองคดีเปนหนวยงานของรัฐที่มีหนาที่หลักในการเก็บภาษี
อากรจากการนําสินคาเขาและสงสินคาออก ปองกันและปราบปรามการกระทําความผิด
ทางศุลกากร ซ่ึงเปนการปกปองผลประโยชนของชาติและประชาชน การท่ีนาย ธ. ซ่ึงดํารง
ตําแหนงนายตรวจศุลกากรและรับราชการในสังกัดผูฟองคดี ละเลยไมปฏิบัติหนาที่ตามข้ันตอน
ท่ีกําหนดไวในขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕ ของประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ประกอบกับ
คําสง่ั กองตรวจสินคาขาออก ลงวนั ท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๐ จึงเปน การละเลยตอหนาท่ีกอใหเกิดความ
เสียหายโดยตรงตอผูฟองคดีการละเลยตอหนาท่ีดังกลาวเปนการปฏิบัติหนาท่ีดวยความประมาท
เลินเลออยางรายแรงและเปนชองทางใหบริษัท ฟ. ทําการทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร
ซ่ึงไดมีการรับบัตรภาษี และไดนําบัตรภาษีไปใชประโยชนโดยไดมีการวางฎีกาแลว การละเลย
การปฏบิ ัติหนา ทีข่ องนาย ธ. ดังกลา ว จงึ เปนการกระทาํ ละเมดิ ตอ ผฟู องคดี
เมือ่ มูลเหตุขอ พิพาทในคดนี ี้เกดิ จากปญหาในการตรวจสินคาขาออกท่ีมีอัตรากําลัง
มีนอยแตปริมาณงานมีมากจนเจาหนาที่ไมอาจปฏิบัติงานตามประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากรท่ี
กําหนดไดอยางครบถวน ตลอดจนเคยแจงปญหาใหผูบังคับบัญชาทราบ แตก็ไมไดรับการแกไข
ดงั นัน้ การกระทําละเมิดของนาย ธ. กรณีบรษิ ทั ฟ. ทําการทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรใน
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๓
การสงออกจึงมีสวนที่เกิดจากความผิดหรือความบกพรองของผูฟองคดีที่ไมไดจัดสรรกําลัง
เจาหนาที่ท้ังศุลกากรและศุลการักษใหมีจํานวนมากพอกับปริมาณงานการตรวจปลอยสินคา
สงออกทบ่ี รรจเุ ขา คอนเทนเนอรท เี่ พ่ิมขึน้ อนั เน่ืองมาจากนโยบายการสงเสริมการสงสินคาออกของ
รัฐบาลในเวลาน้ัน อันเปนความบกพรองของระบบการดําเนินงานของผูฟองคดีที่ไมไดมีการแกไข
ปญหาหรือวางระบบการตรวจสอบใหรัดกุมย่ิงขึ้น มีการปลอยปละละเลยจนกระท่ังเกิดความ
เสียหายข้ึน กรณีจึงตองหักสวนแหงความรับผิดอันเกิดจากความบกพรองและระบบงานของ
ผูฟองคดอี อกรอ ยละ ๕๐ ของคาเสียหายตามใบขนสินคาขาออกแตละฉบับ ในสวนของนายตรวจ
ศุลกากรและศุลการักษ เม่ือนายตรวจศุลกากรมีหนาท่ีโดยตรงและมีสวนสําคัญในขั้นตอนการ
ตรวจปลอยสินคาและควบคุมสินคาเขาคอนเทนเนอร จึงมีความรับผิดชอบมากกวาศุลการักษ
สมควรรบั ผดิ ในอตั รารอยละ ๗๐ สวนศุลการักษหนาท่ีชวยเหลือการปฏิบัติงานของนายตรวจหรือ
สารวัตรศลุ กากรในการตรวจและบรรจสุ นิ คาเขา คอนเทนเนอร และมีหนาที่ตอเนื่องจากนายตรวจ
ศุลกากรในการรอ ยลวดประทับดวงตราตะกว่ั กศก. หรือแถบเหล็ก RTC และลงช่ือวาเปนผูปฏิบัติ
หนาที่ดังกลาวในใบกํากับคอนเทนเนอร สมควรรับผิดในอัตรารอยละ ๓๐ ดังน้ัน การท่ีผูฟองคดี
ไมไดหักสวนแหงความรับผิดอันเกิดจากความผิดหรือความบกพรองของตนออกจากจํานวน
คาเสียหายที่นายตรวจศุลกากรผูทําหนาที่ตรวจและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร
ออกรอยละ ๕๐ ของคาความเสียหายตามใบขนสินคาขาออกแตละฉบับ จึงไมถูกตองเหมาะสม
และไมเปน ธรรมแกผถู ูกฟอ งคดีท้ังสาม
เมื่อนาย ธ. กระทําละเมิดตอผูฟองคดีเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหาย
ตามใบขนสินคาขาออกจํานวน ๓๓ ฉบับ รวมเปนเงินจํานวน ๖๖๑,๘๓๓.๒๔ บาท เมื่อหักสวน
แหงความรับผิดของผูฟองคดีรอยละ ๕๐ ของคาเสียหายตามใบขนสินคาขาออกแตละฉบับ
และกําหนดสัดสวนความรับผิดใหนาย ธ. รับผิดรอยละ ๗๐ ของคาเสียหายตามใบขนสินคา
ขาออกแตละฉบับ หลังจากหักความรับผิดของผูฟองคดีแลว นาย ธ. ตองรับผิดเปนเงินจํานวน
๒๓๑,๖๔๑.๖๓ บาท นอกจากนี้ โดยท่ีคาสินไหมทดแทนท่ีผูทําละเมิดจะตองชดใชเปนหน้ีเงิน
ที่จะตองชําระทันทีนับแตวันท่ีผิดนัด คือ วันท่ีเกิดการกระทําละเมิดเปนตนไปตามมาตรา ๒๐๖
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย นาย ธ. จึงตองชําระดอกเบ้ียในระหวางเวลาผิดนัด
ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแตวันทําละเมิดตามมาตรา ๒๒๔ วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมาย
ดังกลาว เม่ือกรณีนี้ผูฟองคดีเรียกใหนาย ธ. รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน อันเน่ืองมาจากการ
กระทาํ ละเมิดตอ หนว ยงานของรัฐตามมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่
พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่งึ ถือวานาย ธ. ผูถึงแกความตายซ่ึงเปนลูกหนี้ตกเปนผูผิดนัดนับแตเวลาที่ทําละเมิด
ทั้งนี้ ในการออกบัตรภาษีใหแกบริษัท ฟ. เปนการออกตราสารแสดงสิทธิในหนี้ของรัฐบาล
ผูถือสิทธิในบัตรดังกลาวจะตองนําบัตรภาษีท่ีถืออยูไปใช (เบิกเงิน) อีกคร้ังหน่ึง จึงจะถือวา
ผูถือสิทธิในบัตรดังกลาวไดรับเงินชดเชยคาภาษีอากรท่ีเปนตัวเงินแลว เมื่อยังไมไดนําบัตรภาษีไปใช
(เบิกเงิน) ก็ยังไมถือวาผูฟองคดีจายเงินคาชดเชยใหแกผูถือสิทธิในบัตร กรณีจึงยังไมกอใหเกิด
ความเสียหายแกผูฟองคดีท่ีจะถือวาเปนการทําละเมิด อันจะทําใหผูฟองคดีใชสิทธิเรียกรองให
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๔
นาย ธ. ชดใชคาสินไหมทดแทนได เม่ือมีการนําบัตรภาษีไปใช และผูฟองคดีไดวางฎีกาเบิกเงิน
ชดเชยการสงสินคาตามใบขนสินคาขาออกท้ัง ๓๓ ฉบับ อันเปนเหตุใหมีความเสียหายเกิดข้ึน
แกผูฟองคดีแลว กรณีจึงถือวาวันวางฎีกาตามใบขนสินคาขาออกท้ัง ๓๓ ฉบับ ดังกลาวเปนวันที่
กระทําละเมิดแกผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงมีสิทธิไดรับดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป นับแต
วันดังกลาวตามมาตรา ๒๐๖ และมาตรา ๒๒๔ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ซ่ึงเมื่อคํานวณดอกเบ้ียสําหรับความรับผิดตามใบขนสินคาขาออกซ่ึงวางฎีกาคนละวันกันจนถึง
วันฟองคดีแลว นาย ธ. ตองชําระดอกเบ้ียแกผูฟองคดีเปนเงินจํานวน ๑๖๑,๘๑๑.๗๖ บาท
และเม่ือรวมกับคาสินไหมทดแทนจํานวน ๒๓๑,๖๔๑.๖๓ บาท แลว นาย ธ. ตองชําระคาสินไหม
ทดแทนพรอมดอกเบี้ยจนถึงวันฟองคดีใหแกผูฟองคดีเปนเงินจํานวนท้ังส้ิน ๓๙๓,๔๕๓.๓๙ บาท
ทัง้ น้ี ในกรณีทเ่ี จา หนา ทผี่ ูจะพึงตองชดใชคา สนิ ไหมทดแทนถงึ แกค วามตาย เปนเหตุใหความรับผิด
ของเจาหนาที่ผูนั้นในอันที่จะตองชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกหนวยงานของรัฐที่เสียหาย
เ ป น ม ร ด ก ต ก ท อ ด แ ก ท า ย า ท ข อ ง เ จ า ห น า ที่ ผู น้ั น ทั น ที ที่ เ จ า ห น า ที่ ผู นั้ น ถึ ง แ ก ค ว า ม ต า ย
ตามมาตรา ๑๕๙๙ และมาตรา ๑๖๐๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เม่ือนาย ธ.
ถึงแกความตายทรัพยสินทุกชนิดของนาย ธ. รวมทั้งสิทธิและหนาที่ความรับผิดชอบตางๆ
ของนาย ธ. จึงตกทอดแกผูถูกฟองคดีทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมของนาย ธ. และผูฟองคดี
ในฐานะเจาหนี้กองมรดกอันเกิดจากมูลละเมิด จึงยอมมีสิทธิไดรับชําระหน้ีจากทรัพยสิน
ในกองมรดก ผูฟองคดีจึงมีสิทธิเรียกใหผูถูกฟองคดีท้ังสามชําระหน้ีได ดังน้ัน ผูถูกฟองคดีทั้งสาม
ในฐานะทายาทโดยธรรมของนาย ธ. จึงตองรับผิดในมูลคาความเสียหายตามใบขนสินคาขาออก
ดังกลาวแกผูฟองคดีแทนนาย ธ. เปนเงินจํานวน ๓๙๓,๔๕๓.๓๙ บาท ที่ศาลปกครองช้ันตน
พิพากษาใหผูถูกฟองคดีทั้งสามรวมกันชดใชคาสินไหมทดแทน พรอมดอกเบี้ยนับแตวันทําละเมิด
ถงึ วนั ฟอ งคดใี หแกผูฟองคดี จํานวน ๓๓๗,๒๔๕.๘๔ บาท และดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป
จากตนเงินจํานวน ๑๙๘,๕๔๙.๙๗ บาท นับถัดจากวันฟองคดีเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ
โดยชาํ ระไมเกินกวาทรัพยมรดกท่ีผูถูกฟองคดีแตละคนไดรับไป ท้ังนี้ ภายใน ๓๐ วัน นับแตวันที่
คดีถึงท่ีสุด สวนคําขออ่ืนนอกจากนี้ใหยก และใหคืนคาธรรมเนียมศาลตามสวนของการชนะคดี
ใหแ กผูฟอ งคดี นัน้ ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พอ งดวยบางสวน
พิพากษาแก เปนใหผูถูกฟองคดีทั้งสามในฐานะทายาทโดยธรรมของนาย ธ.
รวมกันชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูฟองคดี จํานวน ๓๙๓,๔๕๓.๓๙ บาท พรอมดอกเบี้ย
ในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป ของตนเงินจํานวน ๒๓๑,๖๔๑.๖๓ บาท นับถัดจากวันฟองคดีเปนตนไป
จนกวาจะชําระเสร็จ โดยความรับผิดของผูถูกฟองคดีทั้งสามจะตองไมเกินกวาทรัพยมรดกของนาย ธ.
ท่ีตกทอดแกตน และใหคืนคาธรรมเนียมศาลในศาลปกครองช้ันตนและในช้ันอุทธรณใหแกผูฟองคดี
ตามสวนของการชนะคดี นอกจากท่ีแกใหเปนไปตามคําพิพากษาของศาลปกครองช้ันตน ทั้งนี้
มีขอสังเกตเก่ยี วกบั แนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเ ปน ไปตามคําพิพากษาวา หากผูฟองคดีไดรับ
ชําระหน้ีหรือสามารถบังคับชําระหน้ีจากบริษัท ฟ. ไดเปนจํานวนเงินเทาใด ใหผูฟองคดีนําเงิน
จํานวนดังกลาวมาหกั ออกหรือคืนตามสวนแหงความรับผิด แลวแตก รณี ใหแ กผ ถู กู ฟอ งคดีทง้ั สาม
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๕
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๒๑/๒๕๖๓ (ประชุมใหญ) อางแลวในประเด็นเง่ือนไข
การฟองคดี หนา ๑๓๒
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๔๒๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีทั้งสิบเกาฟองวา ในขณะท่ีผูฟองคดีท้ังสิบเกาเปนขาราชการพลเรือน
ตําแหนงศุลการักษ สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (กรมศุลกากร) และท่ี ๒ (อธิบดีกรมศุลกากร)
ผูฟองคดีทั้งสิบเกาไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งลงวันที่
๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดีท้ังสิบเกาชดใชคาสินไหมทดแทนรวมกับนายตรวจศุลกากร
กรณีบริษัท อ. ทุจริตในการสงออกสินคาเพ่ือขอรับเงินชดเชยภาษีอากรโดยจัดทําเอกสาร
ใบขนสนิ คา ขาออกมากเกินกวา ความจริงและแอบอางหมายเลขคอนเทนเนอรของผูสงออกรายอ่ืน
ที่มีการสงออกจริง โดยไมมีการสงสินคาออกไปนอกราชอาณาจักร และบริษัทดังกลาวไดรับเงิน
ชดเชยไปแลวจํานวน ๑,๐๘๑,๖๘๖.๗๒ บาท ผูถูกฟองคดีที่ ๑ พิจารณาแลวเห็นวา ผูฟองคดี
ท้ังสิบเกาปฏิบัติหนาที่ศุลการักษผูทําหนาท่ีรอยดวงตราตะกั่ว กศก. หรือแถบเหล็ก RTC มีหนาที่
รอยดวงตราตะก่ัว กศก. หลังจากท่ีนายตรวจศุลกากรไดทําการตรวจปลอยสินคาและ
ควบคุมสินคาเขาคอนเทนเนอรแลว และทําหนาท่ีเปนผูชวยผูควบคุมการบรรจุ ตามคําสั่ง
กองตรวจสินคาขาออก ท่ี ๑๓/๒๕๓๐ ลงวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๐ และคําสั่งท่ัวไปกรมศุลกากร
ลงวันท่ี ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ ผูฟองคดีท้ังสิบเกาลงนามในเอกสารในใบกํากับคอนเทนเนอร
โดยมิไดไปทาํ การรอ ยลวดประทับดวงตราตะกั่ว กศก. หรือแถบเหล็ก RTC ถือเปนการกระทําโดย
ประมาทเลินเลออยางรายแรงเปนเหตุใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับความเสียหาย จึงตองรับผิดชดใช
คาเสียหายตามจํานวนบัตรภาษีที่ใชแลวตามใบขนสินคาขาออกท่ีแตละคนเก่ียวของ ผูถูกฟองคดีที่ ๓
(กระทรวงการคลัง) เห็นชอบดวยกับความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตอมา ผูอํานวยการสํานักบริหาร
และพัฒนาบุคคลไดมีหนังสือลงวันท่ี ๗ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ และหนังสือลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๔๘
แจงใหผูฟองคดีท้ังสิบเกาชดใชคาสินไหมทดแทน ผูฟองคดีทั้งสิบเกาอุทธรณคําส่ังใหชดใช
คาสินไหมทดแทนดังกลาว ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ โดยรองอธิบดีกลุมภารกิจดานยุทธศาสตร
ไดยกอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสิบเกา ผูฟองคดีทั้งสิบเกาเห็นวา คําส่ังลงวันท่ี ๖ มิถุนายน ๒๕๔๘
และคําสั่งผูอํานวยการสํานักบริหารและพัฒนาบุคคล ตามหนังสือลงวันที่ ๗ กุมภาพันธ ๒๕๔๘
และหนังสือลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ ไมเปนธรรมและไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ และเพิกถอนคําส่ัง
ของผูอํานวยการสํานักบริหารและพัฒนาบุคคลตามหนังสือลงวันท่ี ๗ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ และ
หนังสือลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ ท่ีมีคําสั่งใหผูฟองคดีทั้งสิบเกาชดใชคาเสียหาย เห็นวา
ตามรายงานของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงปรากฏวา จากการตรวจสอบบัญชีสินคาสําหรับเรือ
คําขอรับเงินและตนฉบับ ใบขนสินคาขาออก รายบริษัท อ. มีความไมถูกตองในเอกสารบัญชี
สําหรับเรือหลายประการ คือ มีการจัดทํา แกไข แอบอางหมายเลขคอนเทนเนอรที่ใชบรรทุกสินคา
ของบริษัทอื่นๆ ซึ่งเปนรายท่ีตัวแทนบริษัทเรือรับรองและย่ืนตอกรมศุลกากรโดยถูกตอง
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๖
โดยในช้ันการใหถอยคําของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง ผูฟองคดีทั้งสิบเกาก็ไมไดโตแยง
ขอเท็จจริงดังกลาว และในชั้นการสอบสวนของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมดิ ตามรายงานผลการสอบสวนท่สี รปุ วา มีความไมถกู ตอ งในเอกสารบญั ชสี นิ คาสําหรับเรือ
ในรายบริษัท อ. หลายประการ ก็ไมปรากฏวามีการโตแยงเปนอยางอื่นเชนกัน กรณีจึงฟงไมไดวา
บริษัท อ. มีการสงออกจริง เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดออกบัตรภาษีในชวงเดือนเมษายน ๒๕๓๘
ถึงเดือนมีนาคม ๒๕๔๐ จากน้ัน ผูรับโอนบัตรภาษีจากบริษัท อ. ได นําบัตรภาษีดังกลาวไปใช
ประโยชนชําระคาภาษีอากรแทนจํานวนเงินที่บริษัทตองชําระตามนัยมาตรา ๑๘ แหง พ.ร.บ.
ชดเชยคาภาษีอากรสินคาสงออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๔ โดยไดมีการวางฎีกา
การเบิกเงินตามมูลคาบัตรภาษีในชวงเดือนตุลาคม ๒๕๓๘ ถึงเดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ ทําให
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับความเสียหายตามจํานวนมูลคาของบัตรภาษีท่ีไดนําไปใชประโยชน
อันเปนวันกระทําละเมิดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีสิทธิเรียกรองคาเสียหายจากผูฟองคดีท้ังสิบเกา
โดยเริ่มนับอายุความการใชสิทธิเรียกรองนับแตวันทําละเมิดดังกลาว ตามมาตรา ๔๔๘ วรรคหน่ึง
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เม่ือขอเท็จจริงปรากฏตอไปวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ดําเนินการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวย
หลักเกณฑการปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยรูถึง
การกระทําละเมิดและรูวาผูฟองคดีทั้งสิบเกาเปนผูกระทําละเมิดที่จะพึงใชคาสินไหมทดแทน
เม่ือวันที่ ๓ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ ซึ่งเปนวันส่ังการทายรายงานของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิด การทผี่ ถู กู ฟองคดีท่ี ๑ มีคาํ สั่งลงวันที่ ๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดีท้ังสิบเกา
ชดใชคาสนิ ไหมทดแทน ผูฟองคดีท้ังสิบเกาไดรับทราบคําสั่งและมีหนังสืออุทธรณตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒
จงึ เปนกรณีที่ผูถูกฟองคดที ่ี ๑ ไดดาํ เนินการออกคําสั่งใหใชเงินหรือใชสิทธิเรียกรองภายในกําหนด
ระยะเวลาสองปนับแตวันที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ รูถึงการกระทําละเมิดและรูตัวเจาหนาท่ีผูจะพึงตองใช
คาสนิ ไหมทดแทนตามมาตรา ๑๐ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ และ
เม่ือนับแตไดมีการวางฎีกาเบิกเงินชดเชยการสงสินคาออกในชวงเดือนตุลาคม ๒๕๓๘ ถึง
เดือนมิถุนายน ๒๕๔๐ ซ่ึงเปนวันกระทําละเมิดจนถึงวันที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันที่
๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดีท้ังสิบเกาชดใชคาสินไหมทดแทน ยังอยูภายในระยะเวลาสิบป
ตามมาตรา ๔๔๘ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ใชสิทธิเรียกรอง
ใหผูฟองคดีทั้งสิบเกาชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงเปนการใชสิทธิเรียกรอง
ภายในกําหนดระยะเวลาตามกฎหมายแลว การที่ผูฟองคดีทั้งสิบเกาในฐานะศุลการักษซ่ึงมีหนาท่ี
ประทบั ดวงตรา กศก. หรือรอยแถบเหล็ก RTC หลังจากท่ีนายตรวจศุลกากรไดทําการตรวจปลอย
สินคาเขาคอนเทนเนอรแลว และมีหนาท่ีชวยเหลือการปฏิบัติงานของนายตรวจศุลกากร
ในการตรวจและบรรจสุ นิ คา เขาคอนเทนเนอรตามขอ ๓ และขอ ๔ ของคําส่ังกองตรวจสินคาขาออก ท่ี
๑๓/๒๕๓๐ ลงวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๐ มิไดปฏิบัติหนาที่ดังกลาวอยางถูกตองครบถวน กลาวคือ
ไมไดชวยเหลือนายตรวจศุลกากรทําการตรวจและบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร อีกทั้งใบกํากับ
คอนเทนเนอรท่ีผูฟองคดีท้ังสิบเกาตองลงลายมือชื่อรับรองการดําเนินการน้ัน มีรายการท่ีแสดง
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๗
หมายเลขหีบหอของสินคาและรายชื่อของผูสงออก ซึ่งวิญูชนในฐานะดังเชนผูฟองคดีทั้งสิบเกา
ยอมตองตรวจดูหมายเลขหีบหอของสินคาน้ันกอนท่ีจะประทับดวงตรา กศก. หรือรอยแถบเหล็ก
RTC และถาไดทําการตรวจสอบเพียงเล็กนอยก็จะทราบไดเชนเดียวกันวาไมมีสินคาของผูสงออก
แมเพียงหีบหอเดียวอยางที่ไดสําแดงไวในใบขนสินคาขาออก การละเลยไมปฏิบัติหนาท่ีดังกลาว
จึงเปนชองทางใหผูสงออกสินคาสามารถกระทําการทุจริตไดโดยงาย และเมื่อบริษัท อ. ไดนํา
เอกสารรับรองการตรวจและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอรที่ลงลายมือช่ือรับรอง
โดยนายตรวจศุลกากรผูทําหนาท่ีตรวจสอบและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร
และใบกาํ กบั คอนเทนเนอรท่ีลงลายมือชื่อโดยผูฟองคดีท้ังสิบเกาในฐานะศุลการักษ ไปใชเสนอตอ
เจา หนาทีศ่ ลุ กากรในขั้นตอนอ่ืน จนสามารถยน่ื คําขอรบั เงินชดเชยคาภาษีอากรและไดนําบัตรภาษี
ไปใชประโยชนได อันเปนการกระทําการทุจริตไดสําเร็จ เมื่อผูฟองคดีมิไดทําหนาที่ชวยเหลือ
นายตรวจศุลกากรในการตรวจและบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร อันเปนการไมปฏิบัติหนาท่ี
ใหถูกตองตามประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และคําส่ังกองตรวจสินคาขาออก
ท่ี ๑๓/๒๕๓๐ ลงวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๐ พฤติการณของผูฟองคดีท้ังสิบเกายอมถือไดแลววา
เปนการกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในการปฏิบัติหนาที่ดวยความประมาทเลินเลอ
อยางรายแรง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีสิทธิเรียกรองใหผูฟองคดีท้ังสิบเกาชดใชคาสินไหมทดแทน
จากความเสียหายที่เกิดขึ้นไดตามมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี
พ.ศ. ๒๕๓๙ อยางไรก็ดี โดยท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดจัดสรรอัตรากําลังเจาหนาท่ีในขั้นตอน
การตรวจปลอยสินคาใหมีจํานวนเพียงพอกับปริมาณงาน และไมไดกําหนดมาตรการตรวจสอบ
ในการพิจารณาคําขอคืนภาษีเพ่ือปองกันและลดทอนความเสียหายที่อาจเกิดจากกรณีดังกลาว
ความเสียหายที่เกิดข้ึนกับผูถูกฟองคดีท่ี ๑ สวนหนึ่งยอมเกิดจากความบกพรองของระบบ
การดําเนินงานสวนรวมของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๒ จึงสมควรหักสวนแหงความรับผิดของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๒ ออกรอยละ ๕๐ ของความเสียหายตามมูลคาบัตรภาษีท่ีนําไปใช
ประโยชนแลว และโดยที่ความเสียหายดังกลาวเกิดข้ึนในขั้นตอนการตรวจปลอยสินคา
ซ่ึงมีนายตรวจศุลกากรเปนผูมีหนาที่ตรวจและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอรโดยตรง
โดยผูฟองคดีท้ังสิบเกามีหนาท่ีเปนเพียงผูชวยเหลือการปฏิบัติงานของนายตรวจศุลกากร
ในการตรวจและบรรจุสินคา เขา คอนเทนเนอร และประทับดวงตราตะกัว่ กศก. หรือรอยแถบเหล็ก
RTC เทานั้น ดังน้ัน เมื่อไดคํานึงถึงพฤติการณและความรายแรงแหงการกระทํา รวมถึงความเปนธรรม
ประกอบกันแลว จึงเห็นควรกําหนดใหผูฟองคดีทั้งสิบเกาในฐานะศุลการักษรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในสัดสวนรอยละ ๓๐ ของจํานวนสวนแหงความรับผิด
ในรอยละ ๕๐ หลังจากหักสวนความบกพรองของระบบงานสวนรวมของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๒
ออกแลว โดยแบงความรับผิดออกเปน ๒ ชวง คือ ชวงแรก การกระทําละเมิดท่ีเกิดกอนวันท่ี
พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ มีผลใชบังคับ นั้น การวินิจฉัยขอบเขต
ของความรบั ผิด ซึง่ เปน กฎหมายสว นสารบญั ญตั ิ ตองนําหลักเกณฑตามประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชยมาใชบังคับ สวนชวงท่ี ๒ การกระทําละเมิดเกิดภายหลัง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๘
ของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ มีผลใชบังคับตองนําหลักเกณฑตามพระราชบัญญัติดังกลาว
มาใชบังคับ ดังนั้น การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีคําส่ังลงวันท่ี ๖ มิถุนายน ๒๕๔๘
ใหผูฟองคดีท้ังสิบเการับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนรวมกับนายตรวจศุลกากรอยางลูกหนี้รวม
ตามจาํ นวนเงินท่ีระบไุ วใ นคําส่ังดังกลา วบางสวน จึงเปนคาํ สงั่ ที่ไมช อบดวยกฎหมาย
สวนคําส่ังของรักษาการแทนผูอํานวยการสํานักบริหารและพัฒนาบุคคล
ตามหนังสือลงวันท่ี ๗ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ และลงวันที่ ๘ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ ท่ีแจงใหผูฟองคดี
ท้ังสิบเกาชดใชคาสินไหมทดแทนนั้น เห็นวา คําสั่งดังกลาวไมไดออกโดยผูถูกฟองคดีที่ ๒
ซ่ึงเปนหัวหนาหนวยงานของรัฐท่ีเสียหายซ่ึงเปนเจาหนาที่ผูมีอํานาจออกคําสั่งใหเจาหนาชดใช
คาสินไหมทดแทนจากการกระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาท่ีตาม พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ หรือผูมีอํานาจกระทําการแทน คําสั่งดังกลาวจึงไมมีสถานะเปนคําสั่ง
ใหผูฟองคดีทั้งสิบเกาตองชดใชคาสินไหมทดแทนแตอยางใด ศาลจึงไมจําตองเพิกถอนคําสั่ง
ดังกลาว ดวยเหตุผลที่กลาวมาขางตน ท่ีศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่งกรมศุลกากร
ลงวันท่ี ๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ เฉพาะสวนที่ขาดอายุความสิทธิเรียกรองในสวนของผูฟองคดีท่ี ๑๔
จํานวน ๒๙,๑๙๙.๗๔ บาท และผูฟองคดีที่ ๑๘ จํานวน ๗๘,๗๘๒.๙๖ บาท และในสวนท่ีให
ผฟู องคดที ี่ ๑ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เกินกวาจํานวน ๗,๗๐๕.๔๖ บาท
ผูฟองคดีที่ ๒ เกินกวาจํานวน ๔,๒๐๘.๓๙ บาท ผูฟองคดีที่ ๓ เกินกวาจํานวน ๒,๖๒๒.๒๐ บาท
ผูฟองคดีท่ี ๔ เกินกวาจํานวน ๙,๙๙๓.๒๗ บาท ผูฟองคดีที่ ๕ เกินกวาจํานวน ๖,๐๘๓.๗๔ บาท
ผูฟองคดีท่ี ๖ เกินกวาจํานวน ๓,๓๒๙.๓๖ บาท ผูฟองคดีท่ี ๗ เกินกวาจํานวน ๔,๐๑๗.๙๓ บาท
ผูฟองคดีที่ ๘ เกินกวาจํานวน ๓,๑๙๒.๗๖ บาท ผูฟองคดีท่ี ๙ เกินกวาจํานวน ๑๕,๒๒๒.๘๒ บาท
ผูฟองคดีที่ ๑๐ เกินกวาจํานวน ๕,๙๒๖.๘๕ บาท ผูฟองคดีที่ ๑๑ เกินกวาจํานวน ๔,๖๑๖.๒๗ บาท
ผูฟองคดีที่ ๑๒ เกินกวาจํานวน ๒,๑๕๒.๘๕ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑๓ เกินกวาจํานวน ๓,๓๓๗.๓๒ บาท
ผูฟองคดีที่ ๑๔ เกินกวาจํานวน ๕,๖๓๘.๑๙ บาท ผูฟองคดีที่ ๑๕ เกินกวาจํานวน ๖,๐๙๒.๘๗ บาท
ผูฟองคดีท่ี ๑๖ เกินกวาจํานวน ๑,๓๙๔.๕๖ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑๗ เกินกวาจํานวน ๒,๑๗๗.๔๘ บาท
ผูฟองคดีที่ ๑๘ เกินกวาจํานวน ๖,๓๒๐.๗๓ บาท และผูฟองคดีท่ี ๑๙ เกินกวาจํานวน ๓,๓๓๗.๓๒ บาท
โดยใหมีผลยอนหลังนับแตวันท่ีออกคําส่ัง แตหากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับการชดใชคาสินไหมทดแทน
หรือสามารถบงั คบั ชําระหน้จี ากบรษิ ัท อ. หรือผูรับโอนบัตรภาษีจากบริษัทดังกลาวไดเปนจํานวนเทาใด
ใหนําเงินจํานวนดังกลาวมาหักหรือคืนตามสวนแหงความรับผิดแลวแตกรณีใหแกผูฟองคดีท้ังสิบเกา
คําขออน่ื นอกจากน้ีใหย ก น้ัน ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวยบางสว น
พิพากษาแก เปนใหเพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๖ มิถุนายน ๒๕๔๘ ในสวนที่ให
ผูฟองคดีที่ ๑ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ เกินกวาจํานวน ๑๑,๕๕๘.๒๐ บาท
ผูฟองคดีท่ี ๒ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๖,๓๑๒.๕๙ บาท ผูฟองคดีท่ี ๓
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๓,๙๓๓.๓๑ บาท ผูฟองคดีที่ ๔ รับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๑๔,๙๘๙.๙๐ บาท ผฟู องคดีท่ี ๕ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
เกินกวาจํานวน ๙,๑๒๕.๖๕ บาท ผูฟองคดีท่ี ๖ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๕๙
๔,๙๙๔.๐๔ บาท ผูฟองคดีท่ี ๗ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๖,๐๒๖.๙๐ บาท
ผูฟองคดีที่ ๘ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๔,๗๘๙.๑๔ บาท ผูฟองคดีท่ี ๙
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๒๒,๘๓๔.๒๓ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑๐ รับผิดชดใช
คา สนิ ไหมทดแทนเกนิ กวาจาํ นวน ๘,๘๙๐.๒๙ บาท ผูฟอ งคดีที่ ๑๑ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
เกินกวาจํานวน ๓,๔๐๘.๕๙ บาท ผูฟองคดีที่ ๑๒ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน
๓,๒๒๙.๒๔ บาท ผูฟองคดีที่ ๑๓ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๕,๐๐๕.๙๘ บาท
ผูฟองคดีที่ ๑๔ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๘,๔๕๗.๒๙ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑๕
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๙,๑๓๙.๓๑ บาท ผูฟองคดีที่ ๑๖ รับผิดชดใช
คาสนิ ไหมทดแทนเกินกวา จํานวน ๒,๐๙๑.๘๔ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑๗ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
เกินกวาจํานวน ๓,๒๖๖.๒๒ บาท ผูฟองคดีท่ี ๑๘ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน
๙,๔๘๑.๐๙ บาท และผูฟองคดีท่ี ๑๙ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๕,๐๐๕.๙๘ บาท
ท้ังนี้ มีขอสังเกตเก่ียวกับแนวทางการดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาวา หากผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดรับชดใชคาสินไหมทดแทนหรือสามารถบังคับชําระหน้ีจากบริษัท อ. หรือผูรับโอนบัตรภาษี
จากบริษัทดังกลาวไดเปนจํานวนเทาใด ใหนําเงินจํานวนดังกลาวมาหักหรือคืนตามสวน
แหงความรับผิดแลวแตกรณีใหแกผูฟองคดีท้ังสิบเกา นอกจากท่ีแกใหเปนไปตามคําพิพากษา
ของศาลปกครองชั้นตน
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๕๒๐/๒๕๖๓
ผูฟองคดีท้ังสี่ฟองวา ขณะเกิดเหตุผูฟองคดีทั้งสี่เปนขาราชการตําแหนงนายตรวจ
ศุลกากร สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (กรมศุลกากร) เม่ือวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ ผูถูกฟองคดีที่ ๒
(อธิบดีกรมศุลกากร) ไดมีคําสั่งลงวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดีทั้งสี่ชดใชคาเสียหายกรณี
หางหุนสวนจํากัด จ. ทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร โดยอางวาผูฟองคดีท้ังส่ีเปนนายตรวจ
ศุลกากรมีหนาที่ตรวจสอบความสมบูรณของใบขนสินคาขาออกและเอกสารประกอบใบขนสินคา
ขาออก ตรวจสอบสินคาใหตรงตามท่ีแสดงไวในใบขนสินคาขาออก เปดตรวจสินคาและตอง
ตรวจสอบคอนเทนเนอรวา มีสภาพเปนอยางไร แตปรากฏวาคอนเทนเนอรมิไดถูกนําเขามาภายใน
ส.ต.ส. เพือ่ บรรจสุ ินคา สงออกไปนอกราชอาณาจักร ผูฟองคดีท้ังสี่จึงมิไดปฏิบัติหนาที่ปลอยสินคา
และควบคุมการบรรจุสินคา คงเพียงแตลงลายมือช่ือรับรองเอกสารตางๆ ท่ีเกี่ยวของ การไมได
ไปตรวจปลอ ยสนิ คา และควบคมุ การบรรจสุ นิ คาเขา คอนเทนเนอรดงั กลาว เปนการไมปฏิบัติหนาที่
ตามระเบยี บของราชการอันเปนชองทางใหเกิดการทุจริต พฤติการณของผูฟองคดีท้ังส่ีถือเปนการ
ประมาทเลินเลออยางรายแรงเปนเหตุใหทางราชการไดรับความเสียหาย การทุจริตของผูสงออก
ดังกลาวเกิดขึ้นกอน พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ มีผลใชบังคับ
จึงใหเจาหนาท่ีผูเกี่ยวของรวมถึงผูฟองคดีทั้งส่ีรับผิดรวมกันอยางลูกหน้ีรวม ดังน้ี (๑) ผูฟองคดีที่ ๑
รับผิดชดใชคาเสียหายจํานวน ๔,๒๑๗,๖๖๗.๓๑ บาท (๒) ผูฟองคดีท่ี ๒ รับผิดชดใชคาเสียหาย
จํานวน ๓,๒๖๓,๙๕๑.๗๖ บาท (๓) ผูฟองคดีท่ี ๓ รับผิดชดใชคาเสียหายจํานวน
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๐
๑๖,๔๙๐,๑๔๔.๘๕ บาท และ (๔) ผูฟอ งคดีท่ี ๔ รับผดิ ชดใชคาเสียหายจํานวน ๙,๗๓๙,๘๕๗.๘๑ บาท
ตอมา ผูฟองคดีที่ ๑ มีหนังสือลงวันท่ี ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๘ ผูฟองคดีที่ ๒ มีหนังสือลงวันที่
๗ เมษายน ๒๕๔๘ ผูฟองคดีท่ี ๓ มีหนังสือลงวันท่ี ๗ เมษายน ๒๕๔๘ และผูฟองคดีที่ ๔
มีหนังสือลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๔๘ อุทธรณคําส่ังดังกลาวตอผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ตอมา วันที่
๒๗ พฤษภาคม ๒๕๔๘ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดพิจารณาคําอุทธรณของผูฟองคดีท้ังสี่โดยมีคําส่ัง
ยกอุทธรณของผูฟองคดีทั้งส่ี ผูฟองคดีทั้งสี่ไมเห็นดวยกับคําส่ังของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามคําสั่ง
กรมศุลกากร เรื่อง ใหชดใชคาสินไหมทดแทน ลงวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ และคําวินิจฉัย
ยกอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่ง
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ตามคําสั่งกรมศุลกากร ลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ เร่ือง ใหชดใชคาสินไหม
ทดแทน คําวินิจฉัยของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ียกอุทธรณ และความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๓
(กระทรวงการคลัง) ทใ่ี หผ ถู กู ฟอ งคดีท่ี ๒ ออกคําสั่งใหช ดใชค า สนิ ไหมทดแทน
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ซึ่งเปนเจาหนาท่ีผูมีหนาท่ีใน
การออกบตั รภาษใี หแ ก หางหุนสวนจํากัด จ. อันเปนการออกตราสารซ่ึงแสดงสิทธิในหน้ีของรัฐบาล
ผูถือสิทธิในบัตรภาษีดังกลาวจะตองนําบัตรภาษีท่ีถืออยูไปใช (เบิกเงิน) อีกครั้งหน่ึงจึงจะถือวา
หางหุนสวนจํากัด จ. ไดรับคาชดเชยภาษีอากรท่ีเปนตัวเงินแลว เมื่อยังไมไดนําบัตรภาษีไปใช
(เบิกเงิน) ก็ยังไมถือวาผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จายเงินคาชดเชยภาษีอากรใหแกผูถือสิทธิในบัตรภาษี
กรณีจึงยังไมกอใหเกิดความเสียหายแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีจะถือวาเปนการทําละเมิด ในอันท่ีจะ
ทําใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ใชสิทธิเรียกรองใหผูฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทนได ตอมา
เมื่อมีการนําบัตรภาษีไปใช (เบิกเงิน) และผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดวางฎีกาเบิกเงินฝากชดเชย
การสงสินคาออก ระหวางวันท่ี ๑๕ มกราคม ๒๕๓๘ ถึงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๓๙ เปนเหตุใหมีความ
เสียหายเปนเงินตามจํานวนทีร่ ะบุในบัตรภาษแี ตล ะฉบับเกดิ ข้ึนแกผูถ กู ฟองคดีท่ี ๑ กรณีจึงถือวาวันวาง
ฎีกาดังกลาวเปนวนั กระทําละเมดิ ตอผูถ ูกฟอ งคดีที่ ๑ เมื่อผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีคําสั่งลงวันท่ี ๙ มีนาคม
๒๕๔๘ สั่งใหผูฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทน จึงถือไดวาคําสั่งดังกลาวมีผลใชยันผูรับคําสั่ง
แลวตามนัยมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
กรณีจึงถือไดวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งใหผูฟองคดีท่ี ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทนภายใน
ระยะเวลาสิบปนับแตวันทําละเมิดตามมาตรา ๔๔๘ วรรคหน่ึง แหงประมวลกฎหมายแพงและ
พาณิชยแลว ยกเวนใบขนสินคาขาออกตามชุดคําขอรับเงินคาชดเชยภาษีอากร ลําดับที่ ๗๓
เทานั้น ทีไ่ ดวางฎกี าเบกิ เงนิ ฝากชดเชยการสงสินคาออกในวันที่ ๑๕ มกราคม ๒๕๓๘ จึงเปนกรณี
เดียวท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดมีคําสั่งใหผูฟองคดีท่ี ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทนเกินระยะเวลาสิบป
นับแตวันทําละเมิด สวนการที่ผูฟองคดีท่ี ๑ และที่ ๔ อางวา ไมมีการแจงขอกลาวหาและไมแจง
สิทธิใหแกผูถูกสอบสวนนั้น เม่ือขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๔ ไดมีโอกาส
ใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดในฐานะเจาหนาที่ผูเก่ียวของ
ผูฟองคดีที่ ๑ และที่ ๔ จึงมีโอกาสช้ีแจงขอเท็จจริงรวมทั้งอางพยานหลักฐานเก่ียวกับเร่ืองดังกลาวได
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๑
ตามขอ ๑๕ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิด
ทางละเมดิ ของเจา หนา ที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
คดีมีปญหาท่ีตองวินิจฉัยตอไปวา ผูฟองคดีทั้งสี่กระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีที่ ๑
ในการปฏิบัติหนาที่ดวยความจงใจหรือประมาทเลินเลออยางรายแรงหรือไม และหากผูฟองคดี
ท้ังสี่กระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการปฏิบัติหนาที่ดวยความจงใจหรือประมาทเลินเลอ
อยางรายแรงแลว ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒ ชอบท่ีจะเรียกใหผูฟองคดีทั้งส่ีชดใช
คาสินไหมทดแทนเปนจํานวนเทาใด นั้น การที่หางหุนสวนจํากัด จ. ไดนําใบขนสินคาขาออกและ
เอกสารท่ีเกี่ยวของไปยื่นขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรและไดนําบัตรภาษีไปใชแลว ยอมทําให
ผถู กู ฟองคดีที่ ๑ ไดรับความเสียหายจากการกระทําของเจาหนาที่ท่ีเก่ียวของกับขั้นตอนการตรวจ
ปลอยสินคา เมื่อความเสียหายดังกลาวเกิดขึ้นจากผูฟองคดีท้ังสี่ท่ีลงลายมือช่ือรับรองการปฏิบัติ
หนาที่ของตนโดยไมมีสินคาสงออกไปนอกราชอาณาจักร ซ่ึงหากผูฟองคดีทั้งส่ีไดปฏิบัติหนาที่
ตามใบขนสินคาขาออกทุกฉบับ ยอมจะทราบไดทันทีวาไมมีสินคาตามท่ีสําแดงไวในใบขนสินคา
ขาออกของหางหุนสวนจํากัด จ. แตอยางใด พฤติการณของผูฟองคดีท้ังส่ีดังกลาวยอมถือไดวา
เปนการกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในการปฏิบัติหนาที่ดวยความประมาทเลินเลอ
อยางรายแรง ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงมีสิทธิเรียกรองใหผูฟองคดีท้ังสี่ชดใชคาสินไหมทดแทน
จากความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ได เมื่อคดีนี้เปนกรณีท่ีการกระทําละเมิดเกิดข้ึนกอน พ.ร.บ. ความรับผิด
ทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงมีผลใชบังคับเมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ ดังน้ัน
การใชบังคับกฎหมายจึงตองแยกพิจารณาเปน ๒ สวน คือ หลักเกณฑในสวนที่เปนสารบัญญัติ
เชน ความรับผิดในทางละเมิด สิทธิไลเบี้ย ความรับผิดอยางลูกหนี้รวม ฯลฯ ใหเปนไป
ตามหลักเกณฑในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย ซ่ึงเปนกฎหมายท่ีใชในขณะท่ีกระทําละเมิด
แตถาเปนหลักเกณฑในสวนวิธีสบัญญัติ เชน ข้ันตอนการแตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิด การพิจารณาของผูมีอํานาจส่ังการ การรายงานกระทรวงการคลังเพื่อตรวจสอบ
การแจงผลการพิจารณา การเรียกใหเจาหนาท่ีผูกระทําละเมิดชดใชคาสินไหมทดแทน ฯลฯ
จะตองเปนไปตามหลักเกณฑแหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อพิจารณาตามพฤติการณแหงกรณีแลว การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไมไดจัดสรรอัตรากําลังเจาหนาท่ีในตําแหนงนายตรวจศุลกากรในขั้นตอนการตรวจปลอยสินคา
เพื่อใหเพียงพอกับปริมาณงานการตรวจปลอยสินคาสงออกท่ีบรรจุเขาคอนเทนเนอรเพ่ิมมากขึ้น
อันเปนผลสืบเน่ืองมาจากนโยบายการสงเสริมการสงสินคาออกของรัฐบาลในขณะน้ัน ซ่ึงหาก
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ กําหนดใหมีการตรวจสอบใบขนสินคาขาออกกับบัญชีสินคาสําหรับเรือ
ประกอบดวย ก็นาจะปองกันหรือลดทอนความเสียหายที่อาจเกิดข้ึนได เมื่อความเสียหายของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ เกิดจากความบกพรองของระบบงานของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมย่ิงหยอนไปกวา
การกระทําของผูฟองคดีทั้งสี่ หากใหผูฟองคดีท้ังสี่ตองรับผิดโดยลําพังยอมไมเปนธรรมกับ
ผูฟองคดีท้ังสี่ จึงสมควรหักสวนแหงความบกพรองของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ออกรอยละ ๕๐
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๒
ของคาความเสียหายที่ผูฟองคดีท้ังสี่ตองรับผิด ของจํานวนคาเสียหายทั้งหมดตามประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๔๔๒ และมาตรา ๒๒๓
วรรคหนึง่ คงเหลอื จาํ นวนท่จี ะตอ งนํามาพิจารณาสวนแหงความรับผิดเพียงรอยละ ๕๐ นายตรวจ
ศลุ กากรจะตอ งรับผดิ รอยละ ๗๐ ของจํานวนสว นแหง ความรบั ผิดในรอ ยละ ๕๐ หลังจากหักความ
รับผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว สวนศุลการักษตองรับผิดรอยละ ๓๐ ของจํานวนสวนแหงความ
รับผดิ ในรอยละ ๕๐ หลังจากหกั ความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แลวตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง
แหง ประมวลกฎหมายดังกลาว เมอ่ื ขอ เท็จจริงปรากฏวา หางหนุ สว นจาํ กัด จ. ไดย ื่นคําขอรับเงินชดเชย
คา ภาษอี ากรสาํ หรับสินคาสง ออกตอผูถกู ฟอ งคดีท่ี ๑ จาํ นวน ๑๓๑ ชุดคําขอ โดยใชใบขนสินคาขาออก
จาํ นวน ๒๐๑ ฉบบั และผูถือบัตรภาษีไดนําบัตรภาษีดังกลาวไปใชวางฎีกาแลวจํานวน ๑๘๒ ฉบับ
ซึ่งศาลนํามาพิจารณาเฉพาะใบขนสินคาขาออกจํานวน ๑๘๑ ฉบับ โดยไมนําใบขนสินคาขาออก
ท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ออกคําสั่งใหชดใชเงินเกินกําหนด ๑๐ ป นับแตวันวางฎีกามาพิจารณาดวย
ซึ่งในจํานวนนี้มีบัตรภาษีจํานวนหน่ึงไดไปใชวางฎีกาแลวบางสวน กรณีจึงตองหักมูลคาของ
บตั รภาษีท่ีไมมีการนําไปใช (ไมมีวันวางฎีกา) ดังกลาวออกจากมูลคาความเสียหายที่ผูฟองคดีทั้งสี่
ตองรับผิด ผฟู องคดีทง้ั ส่จี ึงตอ งรับผดิ ชดใชคาสนิ ไหมทดแทนใหแ กผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ดงั นี้
ผูฟองคดีที่ ๑ มีสวนที่ตองรับผิดรวมเปนคาเสียหาย ๓,๖๒๗,๐๘๗.๙๒ บาท
โดยเมื่อหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกรอยละ ๕๐ ของจํานวนคาเสียหายดังกลาว
และตามทไี่ ดกาํ หนดสัดสวนใหน ายตรวจศุลกากรตองรับผิดรอยละ ๗๐ ของจํานวนสวนแหงความรับ
ผิดหลังจากท่ีหักความรับผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว ผูฟองคดีท่ี ๑ จึงตองรับผิดชดใชคาสินไหม
ทดแทนใหแ กผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ เปน เงินทงั้ ส้นิ ๑,๒๖๙,๔๘๐.๗๗ บาท
ผูฟองคดีที่ ๒ มีสวนที่ตองรับผิดรวมเปนคาเสียหาย ๓,๒๖๗,๕๐๐.๑๖ บาท
โดยเม่ือหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกรอยละ ๕๐ ของจํานวนคาเสียหายดังกลาว
และตามที่ไดก าํ หนดสดั สว นใหน ายตรวจศุลกากรตองรับผิดรอยละ ๗๐ ของจํานวนสวนแหงความ
รับผิดหลังจากที่หักความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แลว ผูฟองคดีที่ ๒ จึงตองรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนใหแกผถู ูกฟองคดที ่ี ๑ เปนเงนิ ทั้งส้นิ ๑,๑๔๓,๖๒๕.๐๕ บาท
ผูฟองคดีที่ ๓ มีสวนท่ีตองรับผิดรวมเปนคาเสียหาย ๑๑,๕๑๔,๒๒๕.๒๒ บาท
โดยเมื่อหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ออกรอยละ ๕๐ ของจํานวนคาเสียหายดังกลาว
และตามที่ไดกําหนดสัดสวนใหนายตรวจศุลกากรตองรับผิดรอยละ ๗๐ ของจํานวนสวนแหง
ความรับผิดหลังจากท่ีหักความรับผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว ผูฟองคดีท่ี ๓ จึงตองรับผิดชดใช
คา สนิ ไหมทดแทนใหแ กผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๑ เปน เงนิ ทง้ั สนิ้ ๔,๐๒๙,๙๗๘.๘๒ บาท
ผูฟองคดีท่ี ๔ มีสวนที่ตองรับผิดรวมเปนคาเสียหาย ๙,๙๘๕,๗๐๖.๗๗ บาท
โดยเม่ือหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ออกรอยละ ๕๐ ของจํานวนคาเสียหายดังกลาว
และตามท่ีไดกําหนดสัดสวนใหนายตรวจศุลกากรตองรับผิดรอยละ ๗๐ ของจํานวนสวนแหง
ความรับผิดหลังจากท่ีหักความรับผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว ผูฟองคดีที่ ๔ จึงตองรับผิดชดใช
คาสนิ ไหมทดแทนใหแกผ ูถูกฟอ งคดีท่ี ๑ เปนเงินทง้ั สน้ิ ๓,๔๙๔,๙๙๗.๓๗ บาท
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๓
ดังน้ัน คําส่ังของกรมศุลกากร ลงวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ และคําวินิจฉัยอุทธรณ
ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เฉพาะในสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑
เกินกวา ๑,๒๖๙,๔๘๐.๗๗ บาท ในสวนท่ีใหผูฟองคดีท่ี ๒ ชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดี
ท่ี ๑ เกินกวา ๑,๑๔๓,๖๒๕.๐๕ บาท ในสวนที่ใหผูฟองคดีท่ี ๓ ชดใชคาสินไหมทดแทนแก
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เกินกวา ๔,๐๒๙,๙๗๘.๘๒ บาท ในสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๔ ชดใชคาสินไหม
ทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เกินกวา ๓,๔๙๔,๙๙๗.๓๗ บาท จึงเปนคําสั่งที่ไมชอบดวยกฎหมาย
ท่ีศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังกรมศุลกากร ลงวันที่ ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ และ
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ บางสวน ดังน้ี (๑) คําส่ังและคําวินิจฉัยอุทธรณของ
ผถู กู ฟอ งคดีที่ ๒ ท่ีใหผูฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาเสียหายในสวนที่เกินกวาจํานวนเงิน ๑๓๘,๑๔๗.๗๙ บาท
(๒) คําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ที่ใหผูฟองคดีท่ี ๒ ชดใชคาเสียหายท้ังหมด
(๓) คําสั่งและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ท่ีใหผูฟองคดีท่ี ๓ ชดใชคาเสียหายในสวนที่
เกินกวาจํานวนเงิน ๑,๘๘๑,๖๖๔.๓๐ บาท และ (๔) คําส่ังและคําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒
ใหผูฟองคดีท่ี ๔ ชดใชคาเสียหายในสวนท่ีเกินกวาจํานวนเงิน ๒,๔๑๘,๕๘๖.๔๑ บาท น้ัน
ศาลปกครองสูงสุดเหน็ พองดวยบางสวน
พิพากษาแก เปนใหเพิกถอนคําส่ังกรมศุลกากร ลงวันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๘ และ
คําวินิจฉัยอุทธรณของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เฉพาะในสวนท่ีใหผูฟองคดีท่ี ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทน
แกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เกินกวา ๑,๒๖๙,๔๘๐.๗๗ บาท ในสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๒ ชดใชคาสินไหม
ทดแทนแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ เกินกวา ๑,๑๔๓,๖๒๕.๐๕ บาท ในสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๓ ชดใช
คาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ เกินกวา ๔,๐๒๙,๙๗๘.๘๒ บาท ในสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๔
ชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ เกินกวา ๓,๔๙๔,๙๙๗.๓๗ บาท โดยใหมีผลยอนหลังไป
นับแตวันท่ีออกคําส่ัง และคําวินิจฉัยอุทธรณดังกลาว นอกจากที่แกใหเปนไปตามคําพิพากษา
ของศาลปกครองชั้นตน ทั้งน้ี มีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไปตาม
คําพิพากษาวา หากผถู กู ฟองคดีท่ี ๑ ไดรับการชดใชเงินคืนหรือสามารถบังคับชําระหนี้จากผูไดรับ
เงินชดเชยคาภาษีอากรในกรณีน้ีเปนเงินจํานวนเทาใด ใหนําเงินน้ันหักหรือคืนตามสวนแหง
ความรับผดิ ใหแ กผ ฟู องคดีทง้ั ส่ี
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ. ๕๙๗ - ๕๙๘/๒๕๖๓
ผฟู องคดที ง้ั หกฟอ งวา ผูฟองคดที ั้งหกไดร บั ความเดอื ดรอนเสียหายจากคําสงั่ ลงวนั ท่ี
๒๒ เมษายน ๒๕๔๘ ท่ีส่ังใหผูฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะศุลการักษรวมกับผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖
ในฐานะนายตรวจศุลกากรรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน กรณีหางหุนสวนจํากัด ร. ทุจริตในการ
สง ออกเพ่ือขอรับเงนิ ชดเชยคาภาษีอากรสําหรับสินคาสงออก ผูฟองคดีทั้งหกเห็นวาคําส่ังดังกลาว
ไมชอบดวยกฎหมาย จึงย่ืนอุทธรณคําส่ัง แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ (กรมศุลกากร) มีหนังสือแจงผลการ
พิจารณาอุทธรณใหยกอุทธรณ ผูฟองคดีท้ังหกจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่ง
เพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒๒ เมษายน ๒๕๔๘ ความเห็นของผูถูกฟองคดีที่ ๒ (กระทรวงการคลัง)
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๔
ที่ใหผฟู อ งคดีทง้ั หกชดใชค าสนิ ไหมทดแทน และเพิกถอนคําวินิจฉัยใหยกอุทธรณ ศาลปกครองช้ันตน
พิพากษาใหเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๘ และคําวินิจฉัยอุทธรณ ในสวนท่ีใหผูฟองคดี
ท้ังหกรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ บางสวน ผูฟองคดีที่ ๒ ถึงท่ี ๖
และผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ อุทธรณคําพิพากษาดงั กลาว
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา คดีน้ีขอเท็จจริงรับฟงไดวา ในขณะที่เกิดเหตุ
ผูฟองคดีที่ ๒ ถึงท่ี ๖ ดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากร ไดรับมอบหมายใหเปนผูทําหนาท่ีตรวจปลอย
และควบคมุ การบรรจุสินคาตามใบขนสินคาขาออกเขาคอนเทนเนอร มีหนาที่โดยตรงในการตรวจสินคา
ของหางหุนสวนจํากัด ร. ตามขอ ๐๘ ๐๕ ๐๑ และขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕ ของประมวลระเบียบปฏิบัติ
ศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และท่ีแกไขเพิ่มเติม และตามคําสั่งท่ัวไปกรมศุลกากร ที่ ๕๑/๒๕๓๑
ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ โดยผูฟองคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไดรับมอบหมายใหเปนผูทําหนาท่ี
ตรวจปลอยสินคาตามใบขนสินคาขาออกจํานวน ๖ ฉบับ ๑๗ ฉบับ ๒ ฉบับ ๑๘ ฉบับ และ ๗ ฉบับ
ตามลําดับ ผูฟองคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ จึงตองตรวจสอบสินคาวาตรงตามท่ีสําแดงไวในใบขนสินคาขาออก
และเอกสารประกอบการสงออกหรือไม แตจากการตรวจสอบหลักฐานการสงออกในบัญชีสินคา
สําหรบั เรือ พบวา หางหุน สวนจํากดั ร. มิไดสงสินคาออกไปจริงตามที่ไดส าํ แดงไวใ นใบขนสนิ คา ขาออก
โดยมีการจัดทําบัญชีสินคาสําหรับเรือเปนเท็จ และแอบอางหมายเลขคอนเทนเนอรที่ใชบรรจุสินคา
ของผูสงออกรายอ่ืนมาเปนคอนเทนเนอรบรรจุสินคาของตนเอง โดยผูฟองคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ รับวา
สาเหตุท่ีขอเท็จจริงที่สําแดงไวในใบขนสินคาขาออกไมตรงกับขอเท็จจริงที่สําแดงไวในบัญชีสินคา
สําหรับเรือน้ัน เนื่องจากผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖ ไดใชวิธีสุมตรวจสินคาตามใบขนสินคาขาออก
โดยจะเลือกตรวจสินคาที่มูลคาการสงออกสูง การสงออกถ่ี สินคาท่ีมีอัตราเงินชดเชยสูง สินคา
ทผี่ สู งออกอยูในบัญชีผูสงออกที่มีพฤติกรรมนาสงสัย สวนสาเหตุที่ผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖ ตองใชวิธี
สุมตรวจสินคาแทนการปฏิบัติตามประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ น้ัน เพราะใน
ขณะนั้น รัฐบาลและผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีนโยบายสงเสริมการสงออกโดยเนนใหตองอํานวย
ความสะดวกดานพิธีการศุลกากรเพ่ือใหผูสงออกไดรับความสะดวกและหวังใหมีปริมาณ
การสงออกเพิ่มมากข้ึน ซ่ึงการท่ีผูฟองคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ ไดใชวิธีการสุมตรวจใบขนสินคาขาออก
บางฉบับเทานั้น ถือวาเปนการขัดตอขอ ๐๘ ๐๕ ๐๑ และขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕ ของประมวลระเบียบ
ปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และคําสั่งกองตรวจสินคาขาออก ท่ี ๑๓/๒๕๓๐ ลงวันที่ ๒ มีนาคม
๒๕๓๐ เม่ือผูฟองคดีที่ ๒ ถึงท่ี ๖ ดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากร ยอมตองทราบถึงระเบียบ
ขอบังคับในการปฏิบตั หิ นาทใ่ี นสวนที่นายตรวจศุลกากรมีหนาท่ีปฏิบัติวาไมไดอนุญาตใหใชวิธีการ
สุมตรวจ โดยผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖ ไดทําการตรวจปลอยสินคาพรอมท้ังลงลายมือช่ือรับรองไว
ในใบขนสินคาขาออกและใบกํากับคอนเทนเนอรของหางหุนสวนจํากัด ร. แตเม่ือตรวจสอบ
กับบัญชีสินคาสําหรับเรือที่ตัวแทนเรือไดยื่นตอพนักงานเจาหนาท่ีฝายพิธีการสงออกของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามท่ีกําหนดไวมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. ศุลกากร พระพุทธศักราช ๒๔๖๙
กลับพบวาหมายเลขคอนเทนเนอรที่สําแดงไวในใบขนสินคาขาออกเพ่ือบรรจุสินคาสงออกไป
กับเรือในแตละเท่ียวน้ัน ปรากฏวาสินคาที่บรรจุและสงออกเปนของผูสงออกรายอ่ืน เม่ือ
แนวคาํ วนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๕
ขอเท็จจริงปรากฏวา ไมมีรายการสินคาปรากฏอยูในบัญชีสินคาสําหรับเรือฉบับท่ีตัวแทนเรือ
ไดย่ืนตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงถือวาหางหุนสวนจํากัด ร. มิไดสงสินคาออกนอกราชอาณาจักร
แตการที่หางหุนสวนดังกลาวไดนําใบขนสินคาขาออกฉบับมุมนํ้าเงินท่ีผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖
ลงลายมอื ชอ่ื รบั รองไวไ ปใชใ นการขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรจากผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดจ า ยเงินชดเชยคา ภาษอี ากรตามใบขนสนิ คา ขาออกที่ผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖ มีสวนเกี่ยวของใหแก
หางหุนสวนดังกลาว จึงถือวามีความเสียหายเกิดขึ้นแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว และเปนผลโดยตรง
มาจากการที่ผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖ ไมไดปฏิบัติหนาท่ีในการตรวจปลอยสินคาที่บรรจุในคอนเทนเนอร
วามีชนิดของสินคา ปริมาณสินคา น้ําหนักสินคา เครื่องหมาย หมายเลขหีบหอ ชื่อผูสงออกตรง
ตามท่ีสําแดงในใบขนสินคาขาออกท่ียื่นตอตนหรือไม อันเปนการไมปฏิบัติตามขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕
ของประมวลระเบียบปฏิบตั ศิ ลุ กากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และคาํ ส่งั กองตรวจสินคาขาออก ท่ี ๑๓/๒๕๓๐
ลงวนั ท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๐ การกระทําของผฟู องคดดี งั กลา วถือเปน การกระทาํ โดยประมาทเลินเลอ
อยางรายแรง ในการปฏิบัติหนาท่ีในฐานะนายตรวจศุลกากรเปนเหตุใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดรับความเสียหาย อันเปนการกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย เมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ไดมีการนําบัตรภาษีท่ีผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงที่ ๖
ปฏิบัติหนาท่ีเกี่ยวของไปใช (วางฎีกา) ระหวางวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๓๘ ถึงวันที่ ๑๙ มิถุนายน
๒๕๓๙ จึงถือวาวันวางฎีกาดังกลาวเปนวันที่กระทําละเมิดแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ กรณีจึงเปน
การกระทําละเมิดที่เกิดขึ้นกอนวันที่ พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
มีผลใชบ ังคบั เมอื่ วนั ที่ ๑๕ พฤศจกิ ายน ๒๕๓๙ ดังน้ัน การใชบงั คับกฎหมายจึงตองแยกพิจารณา
เปน ๒ สวน คือ หลักเกณฑในสวนที่เปนสารบัญญัติ เชน ความรับผิดในทางละเมิด สิทธิไลเบ้ีย
ความรับผิดอยางลูกหน้ีรวม ฯลฯ ใหเปนไปตามหลักเกณฑที่บัญญัติในประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชยซึ่งเปนกฎหมายที่ใชในขณะท่ีกระทําละเมิด แตถาเปนหลักเกณฑในสวนวิธีสบัญญัติ
เชน ขั้นตอนการตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด การพิจารณาของ
ผูมีอํานาจส่ังการ การรายงานกระทรวงการคลังเพ่ือตรวจสอบ การแจงผลการพิจารณา การเรียก
ใหเจาหนาที่ผูกระทําละเมิดชดใชคาสินไหมทดแทน ฯลฯ จะตองเปนไปตามหลักเกณฑ
แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ และระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙
เมื่อผูฟองคดีท้ังหกมิไดปฏิบัติหนาท่ีตามประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ โดยมิได
ตรวจสอบวามีสินคาตามท่ีหางหุนสวนจํากัด ร. สําแดงไวในใบขนสินคาขาออกเพื่อสงออก
นอกราชอาณาจักรหรือไม ซ่ึงหากผูฟองคดีท้ังหกไดใชความระมัดระวังในการปฏิบัติหนาที่ก็ยอม
จะทราบไดวาไมม สี นิ คาของหา งหนุ สว นจาํ กัดดังกลาวบรรจุอยใู นคอนเทนเนอร แตผูฟองคดีทั้งหก
กลับลงนามรับรองในเอกสารประกอบการสงออกวามีสินคาสงออกจริง อันเปนชองทางให
หางหุนสวนจํากัด ร. กระทําการทุจริตจนเปนเหตุใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกบัตรภาษีใหแก
หางหุนสวนจํากัดดังกลาวและมีการนําบัตรภาษีไปใชแลว อยางไรก็ตาม เมื่อพิจารณา
ตามพฤติการณแหงกรณีแลวเห็นวา ขณะเกิดเหตุในคดีนี้ ปริมาณการสงออกสินคาของผูสงออก
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๖
สินคาโดยรวมมีจํานวนมาก เน่ืองจากรัฐบาลในขณะนั้นและผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีนโยบายสงเสริม
การสงออก โดยรัฐไดใหนโยบายแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ท่ีจะตองอํานวยความสะดวกในการดําเนิน
พิธีการศุลกากรใหแกผูสงออกเพ่ือใหผูสงออกไดรับความสะดวกโดยหวังใหมีปริมาณการสงออก
มากข้ึน แตอัตรากําลังของเจาหนาที่ท่ีจะอํานวยความสะดวกตามนโยบายดังกลาวมีจํานวนนอย
จนไมสามารถเทียบเปนสัดสวนกับปริมาณงานที่เขามาได การแกปญหาในขณะนั้นจึงใชวิธีการ
สมุ ตรวจสินคา จากผูสงออกบางรายท่ีมีพฤติกรรมไมนาไววางใจ หรือสินคาที่มีมูลคาการสงออกสูง
มีการสงออกถี่และมีอัตราชดเชยคาภาษีอากรสูง เปนตน กรณีจึงเช่ือไดวา ปญหาที่ทําใหเกิด
ชองทางทุจริตในการขอรับเงินชดเชยภาษีอากรสวนหนึ่งมาจากปริมาณงานท่ีมากแตอัตรา
เจาหนาที่ไมเพียงพอ โดยผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในฐานะหนวยงานของรัฐมีภาระหนาท่ีที่จะตองวางระบบ
ตรวจสอบใหรดั กมุ ยิ่งข้ึนเพ่ือเปนการตรวจสอบและปองปรามมิใหมีการสําแดงเท็จหรือย่ืนคําขอชดเชย
คาภาษีอากรอันเปนเท็จ แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมสามารถแกปญหาในเชิงระบบการดําเนินงาน
โดยรวมได ดังน้ัน เหตุละเมิดที่เกิดแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในคดีนี้ จึงเกิดจากความบกพรองของ
ระบบการดําเนินงานของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดวย ไมยิ่งหยอนไปกวาการกระทําของผูฟองคดีท้ังหก
ซึ่งดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากรและศุลการักษ จึงสมควรหักสวนแหงความรับผิดของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ออกในอัตรารอยละ ๕๐ ของจํานวนคาเสียหายตามใบขนสินคาขาออก
แตละฉบับ ตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหน่ึง ประกอบกับมาตรา ๔๔๒ และมาตรา ๒๒๓ วรรคหน่ึง
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย คงเหลือจํานวนที่จะตองนํามาพิจารณาสวนแหงความรับผิด
ของผูฟองคดีท้ังหกเพียงรอยละ ๕๐ แตโดยที่เหตุละเมิดในคดีนี้มีผูกระทําผิดหลายคน ไดแก
นายตรวจศุลกากรและศุลการักษ การกําหนดคาสินไหมทดแทนจึงตองพิจารณาพฤติการณวา
ความเสียหายเกิดขึ้นเพราะฝายใดเปนผูกอยิ่งหยอนไปกวากันเพียงไร เม่ือการกระทําของ
เจา หนา ทแี่ ตล ะคนสามารถแยกจากกนั โดยนายตรวจศลุ กากรมีหนาที่ตรวจปลอยและควบคุมการ
บรรจสุ ินคา ตามใบขนสนิ คาขาออกเขาคอนเทนเนอร จงึ มีความรบั ผิดชอบในอํานาจหนาที่มากกวา
ศุลการักษ เน่ืองจากเปนผูรับผิดชอบโดยตรงในการตรวจสินคาและควบคุมการบรรจุสินคาเขา
คอนเทนเนอร สัดสวนแหงความรับผิดตามความรายแรงแหงการกระทําละเมิดในกรณีดังกลาว
นายตรวจศุลกากรจึงมีมากกวาศุลการักษ จึงเห็นควรใหผูฟองคดีที่ ๑ ซ่ึงดํารงตําแหนงศุลการักษ
รับผิดในอัตรารอยละ ๓๐ ของจํานวนความเสียหายหลังจากหักความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ออกรอยละ ๕๐ แลว และใหผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงท่ี ๖ ซ่ึงดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากร
รับผิดในอัตรารอยละ ๗๐ ของจํานวนความเสียหายหลังจากหักความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ออกรอยละ ๕๐ แลว ตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหนึ่ง แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
ผูฟองคดีท้ังหกจึงตองรับผิดตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดังนี้ ผูฟองคดีที่ ๑ ตองรับผิดเปนเงินท้ังส้ิน
๗๓,๐๖๗.๖๗ บาท ผูฟองคดีท่ี ๒ ตองรับผิดเปนเงินท้ังส้ิน ๗๙,๘๙๒.๐๕ บาท ผูฟองคดีท่ี ๓
ตองรับผิดเปนเงินทั้งส้ิน ๑๕๔,๓๗๐.๓๐ บาท ผูฟองคดีท่ี ๔ ตองรับผิดเปนเงินท้ังส้ิน
๑๔,๒๑๘.๔๗ บาท ผูฟองคดีท่ี ๕ ตองรับผิดเปนเงินท้ังสิ้น ๑๘๔,๔๙๗.๘๐ บาท ผูฟองคดีท่ี ๖
ตองรับผิดเปนเงินท้ังส้ิน ๖๘,๔๑๐.๗๗ บาท ดังน้ัน คําส่ังลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๘
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๗
เฉพาะในสวนที่ใหผูฟองคดีท่ี ๑ ถึงที่ ๖ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวนดังกลาว
จึงเปนคําส่ังท่ีไมชอบดวยกฎหมาย แตเนื่องจากคดีน้ีผูฟองคดีที่ ๑ ไมไดอุทธรณคําพิพากษาของ
ศาลปกครองชั้นตนท่ีพิพากษาใหผูฟองคดีท่ี ๑ รับผิดรวมกับนาง ป. (นายตรวจศุลกากร) เปนเงิน
๔๙,๐๖๕.๒๔ บาท รบั ผดิ รว มกับนาย ม. (นายตรวจศลุ กากร) เปนเงิน ๑๒๘,๖๓๙.๒๙ บาท และรับผิด
รวมกับนาย อ. (นายตรวจศุลกากร) เปนเงิน ๖๕,๘๕๔.๖๑ บาท ดังนั้น ในสวนความรับผิดของ
ผูฟองคดีที่ ๑ จึงตองรับฟงเปนยุติตามที่ศาลปกครองชั้นตนวินิจฉัย อยางไรก็ตาม
หากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับชําระหนี้หรือสามารถบังคับชําระหน้ีจากหางหุนสวนจํากัด ร.
หรือผูรับโอนบัตรภาษีไดเปนจํานวนเทาใด ใหนําเงินจํานวนดังกลาวมาหักหรือคืนตามสวนแหง
ความรับผิด แลวแตกรณี ใหแกผูฟองคดีท้ังหก นอกจากน้ี เมื่อปรากฏตามบันทึกการสอบสวน
รายหางหุนสวนจํากัด ร. วา คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไดมีหนังสือ
แจงเรื่องการทุจริตของหางหุนสวนจํากัด ร. ใหผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงที่ ๖ ในฐานะนายตรวจศุลกากร
ซึง่ เปนเจาหนา ทที่ ีเ่ ก่ยี วขอ งกับการตรวจปลอยและควบคุมการบรรจุสินคาตามใบขนสินคาขาออก
ที่พบการกระทําความผิดทราบแลว ท้ังยังไดแจงใหทราบวาผูฟองคดีที่ ๒ ถึงท่ี ๖ ปฏิบัติหนาท่ี
เกี่ยวของกับใบขนสินคาขาออกที่ตรวจพบการทุจริตฉบับใดบาง โดยผูฟองคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖
ไดใหถอยคําตอคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดวาจําไมไดวาไดตรวจสอบ
สินคาตามใบขนสินคาขาออกตามเลขท่ีท่ีคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
แจงหรือไม และในขณะเกิดเหตุ มีปริมาณงานมาก เกินความสามารถท่ีจะปฏิบัติตามประมวล
ระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ อยางเครงครัดได จึงตองใชวิธีการสุมตรวจสินคาเฉพาะ
ตามใบขนสินคาขาออกเพียงบางฉบับ ซ่ึงผูบังคับบัญชาไดทราบถึงปญหาและการปฏิบัติหนาที่
ดังกลาวมาโดยตลอด จึงเช่อื ไดวา ผฟู อ งคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ เขาใจและรูถึงการกลาวหาวาผูฟองคดีท่ี ๒
ถงึ ท่ี ๖ มีสวนเก่ียวของกับการกระทําความผิด และมีโอกาสโตแยงปฏิเสธความรับผิดโดยสามารถ
ยกพยานหลักฐานเพ่ือสนับสนุนขออางของตนไดแลว การสอบสวนขอเท็จจริงของคณะกรรมการ
สอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดจึงมิไดฝาฝนขอ ๑๕ ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี
วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
และมาตรา ๒๗ ประกอบกับมาตรา ๓๐ แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙
แตอยางใด และแมมาตรา ๑๒ แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙
กําหนดใหหนวยงานของรัฐเปนผูเสียหายในกรณีเจาหนาท่ีกระทําละเมิดในการปฏิบัติหนาที่
และใหหนวยงานของรัฐที่เสียหายมีอํานาจออกคําสั่งใหเจาหนาท่ีผูนั้นชําระเงินดังกลาวภายใน
เวลาที่กําหนด แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนนิติบุคคลซ่ึงโดยสภาพไมอาจใชอํานาจหนาท่ีของตนได
ดวยตนเอง ดังน้ัน ในช้ันการดําเนินการเพื่อนําไปสูการออกคําส่ังใหเจาหนาที่ผูกระทําละเมิด
ตอ หนวยงานของรฐั ชดใชคา สินไหมทดแทน จึงตองอาศัยเจาหนาที่ในองคกรเปนผูดําเนินการแทน
ในนามของผูถูกฟอ งคดีท่ี ๑ ซ่ึงระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเกี่ยวกับ
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ กําหนดใหหัวหนาหนวยงานของรัฐเปนผูมีอํานาจ
ดําเนินการทั้งเร่ืองของการแตงตั้งคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๘
จนถงึ การออกคาํ สง่ั ใหชาํ ระคาสินไหมทดแทน เม่ือผูถูกฟองคดีที่ ๓ (อธิบดีกรมศุลกากร) ในฐานะ
หัวหนาหนวยงานของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ อาศัยอํานาจตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีฉบับดังกลาว
ออกคําส่ังใหผ ูฟอ งคดีท่ี ๒ ถึงที่ ๖ ชดใชค าสนิ ไหมทดแทน กรณีจงึ เปนการใชอาํ นาจตามกฎหมายท่ี
กอใหเกิดผลกระทบตอสถานภาพของสิทธิและหนาท่ีของผูฟองคดีท่ี ๒ ถึงที่ ๖ ผูถูกฟองคดีที่ ๓
จงึ เปนผเู กย่ี วขอ งกับคําสง่ั พพิ าทโดยตรง ผฟู อ งคดีที่ ๒ ถึงที่ ๖ จงึ เปนผูม ีสิทธิฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๓
อยางไรก็ตาม แมศาลปกครองชั้นตนมีคําพิพากษายกฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๓ แตหากมีกรณีท่ี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตองปฏิบัติตามคําพิพากษาคดีนี้ ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ยอมยังมีหนาท่ีปฏิบัติการ
ดังกลาวแทนผูถูกฟองคดีที่ ๑ กรณีจึงไมทําใหผลแหงคําพิพากษาเปล่ียนแปลงไปแตอยางใด
ที่ศาลปกครองช้ันตนพิพากษาใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒๒ เมษายน ๒๕๔๘ และคําวินิจฉัย
อุทธรณ ในสวนท่ีใหผูฟองคดีทั้งหกรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ บางสวน
โดยใหม ผี ลยอ นหลังนับแตวันท่ีออกคําสั่ง ท้ังน้ี นับแตวันท่ีคดีถึงที่สุด โดยใหผูฟองคดีท้ังหกรับผิด
ดังน้ี ๑. ผูฟองคดีที่ ๑ รับผิดรวมกับนาง ป. (นายตรวจศุลกากร) เปนเงิน ๔๙,๐๖๕.๒๔ บาท
รับผิดรว มกบั นาย ม. (นายตรวจศลุ กากร) เปนเงิน ๑๒๘,๖๓๙.๒๙ บาท และรับผิดรวมกับนาย อ.
(นายตรวจศุลกากร) เปนเงิน ๖๕,๘๕๔.๖๑ บาท ๒. ผูฟองคดีที่ ๒ รับผิดรวมกับนาย น.
(ศุลการักษ) เปนเงิน ๗๓,๐๑๑.๑๔ บาท และรับผิดรวมกับนาย ส. (ศุลการักษ) เปนเงิน
๔๑,๑๒๐.๔๐ บาท ๓. ผูฟองคดีที่ ๓ รับผิดรวมกับนาย ภ. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๙๐,๙๔๙.๒๐ บาท
รับผิดรวมกับนาย ฉ. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๒๘,๘๔๒.๓๖ บาท รับผิดรวมกับนาย ร. (ศุลการักษ)
เปนเงิน ๓๙,๑๘๓.๖๗ บาท รับผิดรวมกับนาย ว. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๑๑,๖๙๕.๙๑ บาท
รับผิดรวมกับนาย ณ. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๒๗,๒๑๐ บาท และรับผิดรวมกับนาย จ. (ศุลการักษ)
เปนเงิน ๒๒,๖๔๗.๙๗ บาท ๔. ผูฟองคดีท่ี ๔ รับผิดรวมกับนาย ก. (ศุลการักษ) เปนเงิน
๒๐,๓๑๒.๑๒ บาท ๕. ผูฟองคดีท่ี ๕ รับผิดรวมกับนาย พ. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๗๘,๒๕๖.๓๔ บาท
รับผิดรว มกบั นาย ด. (ศุลการกั ษ) เปน เงิน ๑๒๐,๖๑๕.๘๖ บาท รับผิดรวมกับนาย ช. (ศุลการักษ)
เปนเงิน ๓๑,๗๔๓.๖๓ บาท รับผิดรวมกับนาย น. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๔๒,๗๗๖.๖๕ บาท
รับผิดรวมกับนาย ศ. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๕,๘๑๒.๕๖ บาท และรับผิดรวมกับนาย ท.
(ศุลการักษ) เปนเงิน ๖,๑๔๑.๖๙ บาท ๖. ผูฟองคดีท่ี ๖ รับผิดรวมกับนาย ต. (ศุลการักษ)
เปนเงิน ๖๔,๐๒๔.๒๒ บาท รับผิดรวมกับนาย ข. (ศุลการักษ) เปนเงิน ๑๐,๙๔๓.๘๕ บาท
และรบั ผดิ รว มกบั นาย ค. (ศลุ การักษ) เปนเงิน ๒๒,๗๖๑.๖๘ บาท ยกฟองผูถูกฟองคดีที่ ๒ และที่ ๓
คําขออน่ื นอกจากนใ้ี หยก นัน้ ศาลปกครองสูงสดุ เห็นพอ งดวยบางสวน
พิพากษาแก เปนใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒๒ เมษายน ๒๕๔๘ เฉพาะสวน
ที่ใหผูฟองคดีที่ ๒ ที่ ๖ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวาจํานวน ๗๙,๘๙๒.๐๕ บาท
๑๕๔,๓๗๐.๓๐ บาท ๑๔,๒๑๘.๔๗ บาท ๑๘๔,๔๙๗.๘๐ บาท และจํานวน ๖๘,๔๑๐.๗๗ บาท
ตามลําดับ โดยใหมีผลยอนหลังไปนับแตวันออกคําส่ัง นอกจากที่แกใหเปนไปตามคําพิพากษา
ของศาลปกครองชั้นตน ท้ังน้ี โดยมีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการดําเนินการใหเปนไป
ตามคําพพิ ากษาวา หากผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๑ ไดร บั ชําระหนี้หรือสามารถบังคับชําระหน้ีจากผูไดรับเงิน
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๖๙
ชดเชยคาภาษีอากรในกรณีนี้เปนเงินจํานวนเทาใด ใหนําเงินจํานวนดังกลาวมาหักออกหรือ
คืนตามสวนแหงความรับผดิ แลวแตกรณี ใหแ กผฟู องคดที ้งั หก
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๖๔๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ขณะที่ผูฟองคดีดํารงตําแหนงศุลการักษ งานตรวจคอนเทนเนอร
กองตรวจสินคาขาออก สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (กรมศุลกากร) มีหนาท่ีเก่ียวกับการรอยดวงตราตะก่ัว กศก.
และหรือประทับแถบเหล็กศุลกากรของคอนเทนเนอรเพื่อบรรจุสินคาลงเรือออกนอกราชอาณาจักร
ไดร บั ความเดือดรอนเสยี หายจากการท่ผี ูถกู ฟองคดที ี่ ๑ มีคาํ สั่งลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนรวมกับนายตรวจศุลกากร กรณีหางหุนสวนจํากัด ม. มีพฤติกรรมทุจริต
ในการสงออกสินคาเพ่ือขอรับเงินชดเชยภาษีอากร โดยจัดทําเอกสารใบขนสินคาขาออกมากเกินกวา
ความจริง และแอบอางหมายเลขคอนเทนเนอรของผูสงออกรายอ่ืนท่ีมีการสงออกจริง โดยไมมี
การสงสินคาออกไปนอกราชอาณาจักร ทําใหทางราชการไดรับความเสียหาย เปนเงินจํานวน
๔๔,๒๔๖.๑๙ บาท ผูฟองคดีไมเห็นดวยจึงไดมีหนังสืออุทธรณคําส่ังดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๑
พิจารณาอุทธรณวาฟงไมขึ้น ผูฟองคดีเห็นวา การที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยผูถูกฟองคดีท่ี ๒
(อธบิ ดีกรมศลุ กากร) มีคาํ สง่ั ลงวนั ท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ ใหผฟู องคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
รวมกับนายตรวจศุลกากรเปนการกระทําท่ีไมชอบดวยกฎหมาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาล
มีคําพิพากษาหรือคําส่ังเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ ท่ีใหผูฟองคดีรับผิดชดใช
คา สนิ ไหมทดแทนรวมกับนายตรวจศุลกากรจํานวน ๔๔,๒๔๖.๑๙ บาท
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อหนวยงานของรัฐสงสําเนาการสอบสวนขอเท็จจริง
ความรับผิดทางละเมิดไปใหผูถูกฟองคดีท่ี ๓ (กระทรวงการคลัง) พิจารณาตามขอ ๑๗ วรรคสอง
ของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑการปฏิบัติเก่ียวกับความรับผิดทางละเมิดของ
เจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ซ่ึงหากผูถูกฟองคดีท่ี ๓ โดยท่ี ๔ (ปลัดกระทรวงการคลัง) มีความเห็น
เชนใดแลว หนวยงานของรัฐตองมคี ําส่งั ตามความเห็นของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ตามขอ ๑๘ วรรคหน่ึง
ของระเบยี บดังกลาว โดยหนว ยงานของรัฐไมมีอาํ นาจมีคําส่ังเปนอยางอื่น ความเห็นของผูถกู ฟองคดที ่ี ๓
โดยที่ ๔ จึงเปนสาเหตุสําคัญท่ีกอใหเกิดความเดือดรอนเสียหายแกผูฟองคดี ผูฟองคดีจึงมีสิทธิ
ฟองผูถูกฟองคดีท่ี ๓ โดยที่ ๔ ได คดีน้ีเมื่อขอเท็จจริงปรากฏวา ผูฟองคดีเปนขาราชการพลเรือน
ตําแหนงศุลการักษ สังกัดผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีหนาที่ประทับดวงตรา กศก. หรือแถบเหล็กศุลกากร
ท่ีคอนเทนเนอร และทําหนาท่ีในฐานะผูชวยควบคุมการบรรจุ ไดลงชื่อตรวจปลอยสินคาในใบขน
สนิ คา ขาออกและลงช่ือในใบกํากับคอนเทนเนอร อันเปนเอกสารประกอบการสงออกตามใบขนสินคา
ขาออกของหางหุนสวนจํากัด ม. จํานวน ๒ ฉบับ คือ จํานวนเงินชดเชย ๓๑,๕๗๖.๘๗ บาท และ
๑๒,๖๖๙.๓๒ บาทตามลาํ ดับ แตหา งหนุ สวนจํากัด ม. มิไดมีการสงออกสินคาตามท่ีสําแดงไว และ
ไดนําใบขนสินคาขาออกและเอกสารประกอบไปยื่นคําขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรในรูปบัตรภาษี
โดยไดมีการวางฎีกาการเบิกเงินตามมูลคาบัตรภาษีเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ และวันท่ี
๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๘ ทําใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับความเสียหายตามจํานวนมูลคาของบัตรภาษี
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๐
ที่ไดนําไปใชประโยชน อันเปนกรณีครบองคประกอบของการกระทําละเมิดแลวในวันดังกลาว
วันวางฎีกาจึงเปนวันกระทําละเมิดท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ มีสิทธิเรียกรองคาเสียหายจากผูฟองคดี
โดยเร่ิมนับอายุความการใชสิทธิเรียกรองนับแตวันทําละเมิดดังกลาว ตามมาตรา ๔๔๘ วรรคหน่ึง
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย เม่ือขอเท็จจริงปรากฏตอไปวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ดําเนินการ
สอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี วาดวยหลักเกณฑ
การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ โดยรูถึงการกระทําละเมิดและ
รูวาผูฟองคดีเปนผูกระทําละเมิดที่จะพึงใชคาสินไหมทดแทนเม่ือวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ ๒๕๔๘ ซึ่งเปน
วันสั่งการในบันทึกท่ีฝายวินัยฯ ไดเสนอรายงานของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําสั่งลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน
เปนเงินจํานวน ๔๔,๒๔๖.๑๙ บาท ผูฟองคดีไดรับทราบคําส่ังและมีหนังสืออุทธรณคําส่ังดังกลาว
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงเปนกรณีท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดดําเนินการออกคําส่ังใหใชเงินหรือใชสิทธิ
เรียกรองภายในกําหนดระยะเวลาสองปนับแตวันท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ รูถึงการกระทําละเมิดและ
รูตัวเจาหนาที่ผูจะพึงตองใชคาสินไหมทดแทนตามมาตรา ๑๐ วรรคสอง แหง พ.ร.บ. ความรับผิด
ทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ และเม่ือนับแตไดมีการวางฎีกาเบิกเงินชดเชยการสงสินคาออก
เมื่อวันท่ี ๑๗ พฤศจิกายน ๒๕๓๘ และวันที่ ๑๕ ธันวาคม ๒๕๓๘ ซ่ึงเปนวันกระทําละเมิดจนถึงวันที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําส่ังลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนยังอยูภายใน
ระยะเวลาสิบป ตามมาตรา ๔๔๘ แหงประมวลกฎหมายดังกลา ว การท่ีผูถกู ฟองคดีท่ี ๑ ใชสิทธิเรียกรอง
ใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงเปนการใชสิทธิเรียกรองภายในกําหนดอายุ
ความตามกฎหมายแลว เมื่อผลการตรวจสอบของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงตามคําส่ังลงวันท่ี
๑๓ มกราคม ๒๕๔๓ ปรากฏวา หางหุนสวนจํากัด ม. ไดทําการทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร
ตาม พ.ร.บ. ชดเชยคาภาษีอากรสินคาสงออกที่ผลิตในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๒๔ ซ่ึงรวมถึง
ใบขนสินคาขาออกจํานวน ๒ ฉบับ ที่ผูฟองคดีทําหนาท่ีรอยดวงตราและประทับตรา กศก. และ
ลงนามรับรองในใบกํากับคอนเทนเนอรมีการแอบอางหมายเลขคอนเทนเนอรท่ีใชบรรจุสินคาของ
ผูสงออกรายอ่ืน ซ่ึงเปนรายท่ีตัวแทนเรือรับรองและย่ืนตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยถูกตองแลว
โดยมิไดสงสินคาตามใบขนสินคาขาออกดังกลาวออกไปนอกราชอาณาจักรจริง แตไดนําใบขน
สินคาขาออกฉบับมุมน้ําเงินไปย่ืนขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร ดังนั้น การท่ีผูฟองคดีในฐานะ
ศุลการักษซึ่งมีหนาท่ีประทับดวงตรา กศก. หรือรอยแถบเหล็ก RTC หลังจากท่ีนายตรวจศุลกากร
ไดทําการตรวจปลอยสินคาเขาคอนเทนเนอรแลว และมีหนาท่ีชวยเหลือการปฏิบัติงานของ
นายตรวจศุลกากรในการตรวจและบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอรตามขอ ๓ และขอ ๔ ของคําส่ัง
กองตรวจสินคาขาออก ที่ ๑๓/๒๕๓๐ เรื่อง การตรวจและบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร ลงวันท่ี
๒ มีนาคม ๒๕๓๐ ไมไดชวยเหลือนายตรวจศุลกากรทําการตรวจและบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร
อกี ทง้ั ใบกาํ กบั คอนเทนเนอรทผ่ี ูฟองคดีตองลงลายมือช่ือรบั รองการดําเนินการน้ัน มีรายการท่ีแสดง
หมายเลขหีบหอของสินคาและรายชื่อของผูสงออก ซึ่งวิญูชนในฐานะดังเชนผูฟองคดียอมตอง
ตรวจดูหมายเลขหีบหอของสินคานั้นกอนที่จะประทับดวงตรา กศก. หรือรอยแถบเหล็ก RTC และ
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๑
ถาไดทําการตรวจสอบเพียงเล็กนอยก็จะทราบไดเชนเดียวกันวาไมมีสินคาของผูสงออกแมเพียง
หีบหอเดียวอยางท่ีไดสําแดงไวในใบขนสินคาขาออก การละเลยไมปฏิบัติหนาที่ดังกลาวจึงเปน
ชองทางใหผูสงออกสินคาสามารถกระทําการทุจริตไดโดยงาย และเมื่อหางหุนสวนจํากัด ม. ไดนํา
เอกสารรับรองการตรวจและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอรที่ลงลายมือช่ือรับรอง
โดยนายตรวจศุลกากรผูทําหนาที่ตรวจสอบและควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร และ
ใบกํากับคอนเทนเนอรท่ีลงลายมือช่ือโดยผูฟองคดีในฐานะศุลการักษ ไปใชเสนอตอเจาหนาที่ศุลกากร
ในขัน้ ตอนอนื่ จนสามารถยนื่ คําขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรและไดนําบัตรภาษีไปใชประโยชนได
อันเปนการกระทําการทุจริตไดสําเร็จ เม่ือผูฟองคดีมิไดทําหนาท่ีชวยเหลือนายตรวจศุลกากรในการ
ตรวจและบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร อันเปนการไมปฏิบัติหนาท่ีใหถูกตองตามประมวลระเบียบ
ปฏบิ ัติศลุ กากร พ.ศ. ๒๕๓๐ และคาํ ส่งั กองตรวจสินคาขาออก ท่ี ๑๓/๒๕๓๐ ลงวันท่ี ๒ มีนาคม ๒๕๓๐
พฤติการณของผูฟองคดียอมถือไดแลววาเปนการกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีที่ ๑ ในการปฏิบัติหนาท่ี
ดวยความประมาทเลินเลออยางรายแรง ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงมีสิทธิเรียกรองใหผูฟองคดีชดใช
คาสินไหมทดแทนจากความเสียหายท่ีเกิดขึ้นไดตามมาตรา ๑๐ ประกอบกับมาตรา ๘ แหง พ.ร.บ.
ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือความเสียหายจากการกระทําละเมิดเกิดจาก
การกระทําของเจาหนาท่ีที่เกี่ยวของหลายคน ในสวนของผูฟองคดีเปนเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ตําแหนงศุลการักษมีหนาที่ประทับดวงตราตะก่ัว กศก. หรือรอยแถบเหล็ก RTC ท่ีคอนเทนเนอร
และลงลายมือช่ือรับรองในใบกํากับคอนเทนเนอร มิไดปฏิบัติหนาที่ดังกลาวหรือตรวจสอบวา
มีสินคาตามท่ีหางหุนสวนจํากัด ม. สําแดงในใบขนสินคาออกนอกราชอาณาจักรหรือไม ซึ่งหาก
ผูฟองคดีไดใชความระมัดระวังแตเพียงเล็กนอยในฐานะผูชวยผูควบคุมการบรรจุสินคายอม
จะทราบไดโดยงายวาไมมีสินคาของหางหุนสวนจํากัด ม. บรรจุอยูในคอนเทนเนอร แตผูฟองคดี
กลับลงนามรับรองในเอกสารประกอบการสงออกวามีสินคาสงออกจริง อันเปนชองทางใหหางหุนสวน
จํากัด ม. กระทําการทุจริตจนเปนเหตุใหผูถูกฟองคดีที่ ๑ ออกบัตรภาษีใหแกหางหุนสวนจํากัด ม.
และมีการนําบัตรภาษีไปใชแลว คิดเปนมูลคาความเสียหายจํานวนเงินท้ังส้ิน ๔๔,๒๔๖.๑๙ บาท
แตอยางไรก็ตาม เมื่อปรากฏขอเท็จจริงตามที่คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด
ไดตรวจสอบและรายงานผลการสอบขอเท็จจริงตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ วา ในชวงระยะเวลาเกิดเหตุ
รัฐบาลมีนโยบายสงเสริมการสงออก ทําใหปริมาณการสงออกเพ่ิมข้ึนมาก เจาหนาที่ในตําแหนง
นายตรวจศุลกากรหรือสารวัตรศุลกากร และศุลการักษในขั้นตอนการตรวจปลอยสินคา แตละคน
จะไดรับใบขนสินคาขาออกเปนจํานวนมากในแตละวัน โดยที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมไดจัดสรรอัตรากําลัง
เพ่ือใหมีจํานวนเพียงพอกับปริมาณงานการตรวจปลอยสินคาท่ีสงบรรจุเขาคอนเทนเนอรเพิ่มมากขึ้น
ปริมาณงานจึงมีมากไมสอดคลองกับจํานวนเจาหนาที่ศุลกากร หากเจาหนาท่ีปฏิบัติงานตามระเบียบ
โดยเครงครัดก็อาจสงผลกระทบตอการสงออกทําใหเกิดความลาชาไมทันเที่ยวเรือท่ีกําหนดไว
ปญหาดังกลาวไดรายงานใหผูบังคับบัญชาทราบแลว แตผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดแกปญหาดังกลาว
แตอยางใด กรณีจึงรับฟงไดวา ความเสียหายที่เกิดขึ้นสวนหน่ึงเกิดจากความบกพรองของระบบ
การดําเนินงานสวนรวมของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ รวมอยูดวยและเปนปญหาของระบบงานท่ีมีผลสําคัญ
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๒
ในการกอใหเกิดความเสียหายแกราชการไมย่ิงหยอนกวาการกระทําของผูฟองคดี จึงสมควรหักสวน
แหงความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๒ ออกรอยละ ๕๐ ของความเสียหายตามมูลคา
บัตรภาษีท่นี าํ ไปใชประโยชนแลว โดยท่ีความเสียหายดังกลาวเกิดขึ้นในขั้นตอนการตรวจปลอยสินคา
ซ่ึงมผี กู ระทําผิดหลายคน ไดแก นายตรวจศุลกากรและศุลการักษ โดยนายตรวจศุลกากรเปนผูมีหนาท่ีตรวจ
และควบคุมการบรรจุสินคาเขาคอนเทนเนอร ตามใบขนสินคาโดยตรง สวนผูฟองคดีซึ่งเปนศุลการักษ
มีหนาท่ีเปนเพียงผูชวยเหลือการปฏิบัติงานของนายตรวจศุลกากรในการตรวจและบรรจุสินคา
เขาคอนเทนเนอร และประทับดวงตราตะก่ัว กศก. หรือรอยแถบเหล็ก RTC เทาน้ัน ความบกพรอง
ของผูฟองคดีจึงเปนสัดสวนท่ีนอยกวา จึงเห็นควรกําหนดใหนายตรวจศุลกากรรับผิดรอยละ ๗๐
และกําหนดใหผูฟองคดีในฐานะศุลการักษรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑
รอยละ ๓๐ ของจํานวนสวนแหงความรับผิดในรอยละ ๕๐ หลังจากหักสวนความบกพรองของ
ระบบงานสวนรวมของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกแลว เมื่อมูลคาความเสียหายมีจํานวนท้ังส้ิน
๔๔,๒๔๖.๑๙ บาท เมื่อหักสวนแหงความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกรอยละ ๕๐ ของจํานวน
คาเสียหายตามมูลคาบัตรภาษีดังกลาว และหักสวนแหงความรับผิดของนายตรวจศุลกากร
ออกรอยละ ๗๐ ของจํานวนสวนแหงความรับผิดในรอยละ ๕๐ ของจํานวนคาเสียหายตามมูลคา
บัตรภาษี คิดเปนเงิน ๖,๖๓๖.๙๒ บาท ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําสั่ง
ลงวันที่ ๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ เฉพาะสวนที่ใหผูฟองคดีตองรับผิดเกินกวา ๖,๖๓๖.๙๒ บาท จึงเปน
คําสงั่ ทีไ่ มช อบดว ยกฎหมาย ท่ศี าลปกครองชัน้ ตนพิพากษาใหเพิกถอนคาํ สงั่ ลงวันที่ ๗ มถิ ุนายน ๒๕๔๘
เฉพาะในสวนที่ใหผูฟองคดีรวมรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนจํานวน ๔๔,๒๔๖.๑๙ บาท โดยใหมีผล
ยอนหลังไปนับแตวันที่มีคําส่ังดังกลาว คําขออื่นนอกจากน้ี ใหยก นั้น ศาลปกครองสูงสุดเห็นพองดวย
บางสว น
พิพากษาแกเปนใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ เฉพาะในสวนที่
ใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เกินกวาจํานวน ๖,๖๓๖.๙๒ บาท
โดยใหมีผลยอนหลังนับตั้งแตวันท่ีออกคําส่ัง โดยมีขอสังเกตวา หากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับชําระหนี้
หรือสามารถบังคับคดีชําระหน้ีจากหางหุนสวนจํากัด ม. ไวเปนจํานวนเงินเทาใด ใหนําเงินจํานวน
ดงั กลาวมาหกั หรือคืนตามสวนแหงความรับผิดแลวแตกรณีใหแกผูฟองคดี นอกจากท่ีแกใหเปนไป
ตามคาํ พิพากษาของศาลปกครองชัน้ ตน
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๗๑๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีท้ังส่ีฟองวา ผูฟองคดีที่ ๑ ถึงที่ ๓ เปนขาราชการสังกัดผูถูกฟองคดีที่ ๑
(กรมศุลกากร) และผฟู อ งคดีท่ี ๔ เปนขาราชการบํานาญ ขณะเกิดเหตุผูฟองคดีท้ังส่ีดํารงตําแหนง
นายตรวจศุลกากร ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒ (อธิบดีกรมศุลกากร) ไดมีคําส่ังลงวันท่ี
๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๔๙ ตามความเหน็ ของกระทรวงการคลังใหผูฟองคดีท้ังส่ีชดใชคาเสียหายใหแก
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ กรณีบริษัท อ. ทุจริตในการสงออกเพ่ือขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร ตามคําส่ัง
กรมศุลกากรลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ผูฟองคดีทั้งส่ีไมเห็นดวย จึงอุทธรณตอผูถูกฟองคดีที่ ๒
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๓
แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ พิจารณาอุทธรณของผูฟองคดีทั้งสี่แลว เห็นวาคําอุทธรณฟงไมข้ึน ผูฟองคดีท้ังสี่
ไมเห็นดวยกับผลการพิจารณาอุทธรณดังกลาวจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ัง
เพิกถอนคําส่ังลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ที่ใหผูฟองคดีท้ังสี่ชดใชคาสินไหมทดแทนใหแก
ผถู ูกฟอ งคดีที่ ๑
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา เมื่อผูฟองคดีท้ังส่ีดํารงตําแหนงนายตรวจศุลกากร
ไดรับมอบหมายใหเปนผูทําหนาท่ีตรวจปลอยและควบคุมการบรรจุสินคาตามใบขนสินคาขาออก
เขา คอนเทนเนอร ราย บริษัท อ. มีหนา ที่โดยตรงในการตรวจสินคา ของบรษิ ัทดังกลา วตามขอ ๐๘ ๐๕ ๐๑
ขอ ๐๘ ๐๕ ๐๔ ขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕ และขอ ๐๘ ๐๕ ๑๔ ของประมวลระเบียบปฏิบัติศุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐
และที่แกไ ขเพ่มิ เติมตามคําสั่งทวั่ ไปกรมศุลกากร ที่ ๕๑/๒๕๓๑ ลงวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๓๑ ผูฟองคดี
ทั้งส่ีจึงตองทําการตรวจสอบสินคาวาตรงตามท่ีสําแดงไวในใบขนสินคาขาออกและเอกสาร
ประกอบการสง ออกหรอื ไม แตเม่ือตรวจสอบกับบัญชีสินคาสําหรับเรือที่ตัวแทนเรือไดยื่นตอพนักงาน
เจาหนาที่ฝายพิธีการสงออกของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามที่กําหนดไวในมาตรา ๕๑ แหง พ.ร.บ. ศุลกากร
พระพุทธศักราช ๒๔๖๙ และหมายเลขคอนเทนเนอรท่ีผูสงออกกลาวอางวามีการบรรจุสินคา
สงออกไปกับเรือในแตละเท่ียวแลว พบวา หมายเลขคอนเทนเนอรที่ผูสงออกกลาวอางวา
มีการบรรจุสินคาสงออกไปจริงแตเปนสินคาของผูสงออกรายอื่นจึงเชื่อวาบริษัทดังกลาวไดจัดทํา
ใบขนสนิ คาขาออกแตไ มไ ดสง สินคาออก ตอมา บริษัท อ. ไดนําใบขนสินคาขาออกท่ีผูฟองคดีท้ังสี่
มสี ว นเก่ียวขอ ง จาํ นวน ๑๐๒ ฉบับ ไปย่ืนเปนหลักฐานขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรสําหรับสินคา
สงออกตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ รวมเปนมูลคาการสงออก ๗๕,๓๑๒,๐๐๗.๘๔ บาท และผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดออกบัตรภาษีตามใบขนสินคาขาออกดังกลาวใหแกบริษัท อ. และมีการนําบัตรภาษีบางสวนมูลคา
๑,๗๖๐,๓๕๕.๒๒ บาท ไปใช (วางฎกี า) แลว กรณีจึงถือไดว าผูฟองคดีท้ังสไ่ี มไ ดปฏิบัติหนาท่ีในตําแหนง
นายตรวจศลุ กากร ผทู าํ การตรวจปลอยและควบคุมการบรรจสุ ินคาตามใบขนสินคาขาออกเขาคอนเทนเนอร
รายบรษิ ัท อ. ใหเปน ไปตามที่กาํ หนดไวในประมวลระเบียบปฏิบตั ศิ ุลกากร พ.ศ. ๒๕๓๐ ขอ ๐๘ ๐๕ ๐๑
ขอ ๐๘ ๐๕ ๐๕ จนเปนเหตุใหผูสงออกอาศัยเอกสารจากการปฏิบัติหนาท่ีของผูฟองคดีท้ังส่ีมาใช
ในการทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรจากผูถูกฟองคดีที่ ๑ การกระทําดังกลาวของผูฟองคดีท้ังส่ี
จงึ ถือไดวาเปนการปฏิบัติหนาที่โดยประมาทเลินเลออยางรายแรงเปนเหตุใหเกิดความเสียหายตอ
ผถู กู ฟอ งคดีที่ ๑ ซึง่ เปน หนวยงานของรัฐทผี่ ฟู อ งคดที ้ังส่ีสังกัด การกระทําของผูฟองคดีทั้งสี่จึงเปน
การกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย
เม่ือในขณะเกิดเหตุละเมิดในคดีนี้ ปริมาณการสงออกสินคาของผูสงออกสินคาโดยรวมมีจํานวนมาก
เนอ่ื งจากรัฐบาลในขณะนัน้ และผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๑ มีนโยบายสงเสริมการสงออกโดยรัฐไดใหนโยบาย
แกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ที่จะตองอํานวยความสะดวกในการดําเนินพิธีการศุลกากรใหแกผูสงออก
เพื่อใหผูสงออกไดรับความสะดวกโดยหวังใหมีปริมาณการสงออกมากข้ึนเพื่อนําเงินตราตางประเทศ
เขา มาในราชอาณาจักรอันเปนผลดีตอเศรษฐกิจ แตอัตรากําลังของเจาหนาท่ีที่จะอํานวยความสะดวก
ตามนโยบายดังกลาวมีจํานวนนอยจนไมสามารถเทียบเปนสัดสวนกับปริมาณงานที่เขามาได
กรณีจึงเชื่อไดวาปญหาที่ทําใหเกิดชองทางทุจริตในการขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรสวนหนึ่ง
แนวคําวินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๔
มาจากปรมิ าณงานทมี่ ากแตอ ัตราเจาหนาท่ีไมเ พยี งพอโดยผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะหนวยงานของรัฐมี
ภาระหนา ที่ทจี่ ะตองวางระบบตรวจสอบใหรัดกุมย่ิงข้ึนเพ่ือเปนการตรวจสอบและปองปรามมิใหมี
การสําแดงเท็จหรือย่ืนคําขอชดเชยคาภาษีอากรอันเปนเท็จแตผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมสามารถแกปญหา
ในเชิงระบบการดําเนินงานโดยรวมได ดังนั้น มูลคดีละเมิดที่ผูฟองคดีท้ังส่ีจะตองรับผิดชดใช
คาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในคดีน้ีจึงเกิดจากความบกพรองและระบบการดําเนินงาน
ของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ดวย และเม่ือบริษัท อ. ทุจริตขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรสินคาขาออก
โดยไดน ําใบขนสินคา ขาออกจํานวน ๙๒ ฉบับ ซึ่งมีช่ือผูฟองคดีทั้งสี่เปนผูทําการตรวจปลอยสินคา
จํานวน ๖๐ ฉบับ ไปยื่นคําขอรับบัตรภาษี และไดมีการวางฎีกาตามบัตรภาษีดังกลาวในระหวางวันท่ี
๑๐ เมษายน ๒๕๔๐ ถึงวันท่ี ๒๐ มีนาคม ๒๕๔๑ จึงถือเปนการกระทําละเมิดท่ีเกิดขึ้นหลังจาก
ที่พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ มีผลใชบังคับ กรณีจึงตองหักสวนความรับผิด
อันเกิดจากความบกพรองและระบบการดําเนินงานของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกรอยละ ๕๐
ของจํานวนคาเสียหายท้ังหมด คงเหลือจํานวนท่ีจะตองนํามาพิจารณาสวนแหงความรับผิดเพียง
รอยละ ๕๐ แตโดยท่ีเหตุละเมิดในคดีนี้เกิดจากการปฏิบัติหนาที่ของนายตรวจศุลกากรและ
เจาหนาที่ศุลการักษ เม่ือพิจารณาถึงอํานาจหนาที่และสภาพความรายแรงแหงการกระทําแลว เห็นวา
นายตรวจศลุ กากรและเจา หนา ทศ่ี ลุ การักษเปนเจาหนาที่คนละตําแหนง ตางมีความรับผิดชอบในหนาที่
ทแ่ี ตกตางกนั โดยนายตรวจศลุ กากรเปนผทู ําการตรวจปลอยและควบคุมการบรรจุสินคาตามใบขนสินคา
ขาออกเขา คอนเทนเนอรจงึ มคี วามรับผิดชอบมากกวาศุลการักษ เน่อื งจากเปน ผูรบั ผิดชอบโดยตรง
ในการตรวจสินคา และควบคุมการบรรจสุ ินคาเขา คอนเทนเนอร สวนศุลการักษทําหนาท่ีเปนผูชวย
ของนายตรวจศุลกากรและเปนผูปฏิบัติหนาท่ีในขั้นตอนสุดทายในการรอยดวงตราตะก่ัว กศก.
หรือแถบเหล็ก RTC ท่ีประตูคอนเทนเนอร ดังน้ัน สัดสวนแหงความรับผิดตามความรายแรง
แหง การกระทําละเมิดในกรณีดังกลาว นายตรวจศุลกากรจึงมีมากกวาศุลการักษ โดยเห็นวานายตรวจศุลกากร
จะตองรับผิดรอยละ ๗๐ ของจํานวนสวนแหงความรับผิดในรอยละ ๕๐ หลังจากหักความรับผิด
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ แลว สวนศุลการักษตองรับผิดรอยละ ๓๐ ของจํานวนสวนแหงความรับผิด
ในรอยละ ๕๐ หลังจากหักความรับผิดของผูถูกฟองคดีที่ ๑ แลว ท้ังน้ี ตามมาตรา ๑๐ ประกอบมาตรา ๘
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว โดยบัตรภาษีท่ีออกตามชุดคําขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากรบางชุด
คําขอยังไมมีการวางฎีกา บางชุดคําขอมีการวางฎีกาบัตรภาษีครบถวนเต็มจํานวนที่ปรากฏ
ในชุดคําขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร และบางชุดคําขอมีการวางฎีกาบัตรภาษีเพียงบางสวน
ตามจํานวนท่ีปรากฏในชุดคําขอรับเงินชดเชยคาภาษีอากร ซ่ึงกรณีท่ีวางฎีกาบัตรภาษีเพียงบางสวนนั้น
การคํานวณคาความเสียหายในแตละใบขนสินคาขาออกจึงคํานวณจากการนําจํานวนเงินชดเชย
ที่ไดมีการวางฎีกาบัตรภาษีมาเฉลี่ยตามสวนของจํานวนเงินชดเชยของแตละใบขนสินคาขาออก
ทไ่ี ดมีการยนื่ ขอชดเชยคา ภาษีอากรเพ่อื ใหไ ดคา ความเสยี หายที่แทจริงของแตละใบขนสินคาขาออก
ท่ีปรากฏในชุดคําขอแลวนํามาคํานวณคาความเสียหายตามสัดสวนความรับผิดของแตละบุคคล
โดยผูฟอ งคดที ่ี ๑ มสี ว นตองรับผิดตามใบขนสินคาขาออกของบริษัท อ. ที่นําไปใช (วางฎีกา) แลว
จาํ นวน ๑๑ ฉบบั มยี อดเงินหลงั หกั สวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกแลว รวมเปนเงินจํานวน
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๕
๖๘,๕๙๙.๕๒ บาท ผูฟองคดีท่ี ๒ มีสวนตองรับผิดตามใบขนสินคาขาออกท่ีนําไปใช (วางฎีกา) แลว
จํานวน ๒๖ ฉบับ มียอดเงินหลังหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกแลว รวมเปนเงิน
จาํ นวน ๑๕๑,๒๖๐.๒๖ บาท ผูฟ อ งคดที ่ี ๓ มสี ว นตอ งรบั ผดิ ตามใบขนสนิ คา ขาออกท่ีนําไปใช (วาง
ฎีกา) แลว จํานวน ๓ ฉบับ มียอดเงินหลังหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกแลว รวม
เปนเงินจํานวน ๑๘,๒๓๗.๖๔ บาท ผูฟองคดีท่ี ๔ มีสวนตองรับผิดตามใบขนสินคาขาออกที่นําไปใช
(วางฎีกา) แลว จํานวน ๖ ฉบับ มียอดเงินหลังหักสวนความรับผิดของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ออกแลว
เปนเงินจํานวน ๖๔๔.๒๐ บาท ดังนั้น การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒ ออกคําสั่งลงวันที่
๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ ใหผูฟองคดีที่ ๑ ชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวา ๖๘,๕๙๙.๕๖ บาท
ใหผูฟองคดีที่ ๒ ชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวา ๑๕๑,๒๖๐.๒๖ บาท ใหผูฟองคดีที่ ๓ ชดใช
คาสินไหมทดแทนเกินกวา ๑๘,๒๓๗.๖๔ บาท และใหผูฟองคดีท่ี ๔ ชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวา
๖๔๔.๒๐ บาท ใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงเปนคําสั่งท่ีไมชอบดวยกฎหมาย สําหรับความเสียหาย
ตามใบขนสนิ คาขาออกจํานวน ๑๐ ฉบับ ที่มีชื่อผูฟองคดีที่ ๑ และท่ี ๓ เปนผูทําการตรวจปลอยสินคา
โดยบริษัท อ. ย่ืนคําขอรับบัตรภาษี เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๙ และวันท่ี ๒๗ ธันวาคม ๒๕๓๙ นั้น
ตามรายงานตรวจสอบสถานะบัตรภาษีที่ผูถูกฟองคดีท้ังสองชี้แจงตอศาลปกครองสูงสุด ไมปรากฏ
หลักฐานวามีการวางฎีกาเพื่อเบิกจายเงินตามบัตรภาษีดังกลาว จึงถือวาผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมไดรับ
ความเสยี หายจากใบขนสนิ คาขาออกทั้ง ๑๐ ฉบับดงั กลาว อันจะถอื ไดวา เปนการกระทําละเมิดตอ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดังน้ัน ผูฟองคดีท่ี ๑ และท่ี ๓ จึงไมตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนในสวน
ของใบขนสินคาขาออกดังกลาว การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ มีคําสั่งลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙
ใหผูฟองคดีที่ ๑ รับผิดรวมกับนาย ม. จํานวน ๕๖,๔๑๙.๖๗ บาท และรับผิดรวมกับนาย ศ.
จํานวน ๕๐,๕๖๕ บาท และใหผูฟองคดีท่ี ๓ รับผิดรวมกับนาย ม. จํานวน ๖๓,๘๖๔.๘๙ บาท
ตามใบขนสนิ คาขาออกดังกลา ว จึงเปนคาํ สัง่ ที่ไมชอบดวยกฎหมาย ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษา
ใหเพิกถอนคําสั่งลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ เฉพาะสวนท่ีใหผูฟองคดีท่ี ๑ รับผิดเกินกวา
๑๓๐,๐๑๓.๗๑ บาท เฉพาะสวนท่ีใหผูฟองคดีที่ ๒ รับผิดเกินกวา ๑๕๑,๙๘๙.๗๐ บาท
เฉพาะสวนท่ใี หผ ูฟอ งคดีที่ ๓ รับผิดเกินกวา ๘๔,๗๓๔.๖๒ บาท และเฉพาะสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๔
รับผดิ เกนิ กวา ๕๘,๐๑๙.๗๑ บาท คําขออนื่ นอกจากนใ้ี หยก นน้ั ศาลปกครองสงู สุดเห็นพอ งดว ยบางสว น
พิพากษาแกเปนใหเพิกถอนคําสั่งลงวันท่ี ๒ พฤศจิกายน ๒๕๔๙ เฉพาะสวนท่ีให
ผูฟองคดีท่ี ๑ รับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเกินกวา ๖๘,๕๙๙.๕๖ บาท เฉพาะสวนที่ใหผูฟองคดีที่ ๒
รับผิดเกินกวา ๑๕๑,๒๖๐.๒๖ บาท เฉพาะสวนท่ีใหผูฟองคดีที่ ๓ รับผิดเกินกวา ๑๘,๒๓๗.๖๔ บาท
และเฉพาะสวนท่ีใหผูฟองคดีที่ ๔ รับผิดเกินกวา ๖๔๔.๒๐ บาท นับแตวันที่มีคําส่ัง นอกจากท่ีแก
ใหเปนไปตามคําพิพากษาของศาลปกครองชั้นตน ทั้งน้ี มีขอสังเกตเกี่ยวกับแนวทางหรือวิธีการ
ดําเนินการใหเปนไปตามคําพิพากษาวา หากผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดรับชําระหนี้หรือสามารถบังคับ
ชําระหน้ีจากบริษัท อ. ไดเปนจํานวนเงินเทาใดใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ นําเงินจํานวนดังกลาวมา
หกั ออกหรือคนื ตามสวนแหง ความรับผิด แลวแตกรณีใหแกผูฟอ งคดีท้งั สี่
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๖
ฟอ งขอใหเพิกถอนคําสัง่ ยึดและอายดั ท่ีดินพรอมสิง่ ปลูกสรา ง
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ที่ อ.๓๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีดํารงตําแหนงผูอํานวยการของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
(องคการฟอกหนัง) ตั้งแตเดือนตุลาคม ๒๕๔๒ ถึงเดือนมกราคม ๒๕๔๔ ระหวางน้ันผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดจัดทําโครงการเส้ือเกราะออนปองกันกระสุนใหแกสํานักงานตํารวจแหงชาติ โดยไดดําเนินการ
ตามโครงการดังกลาวจนเสร็จสิ้น และตอมาไดมีการแตงต้ังคณะกรรมการสอบสวนหาขอเท็จจริง
เกี่ยวกับการดําเนินงานของผูฟองคดีวาไดกอใหเกิดความเสียหายตอผูถูกฟองคดีท่ี ๑ หรือไม
โดยคณะกรรมการสอบสวนฯ ไดสรุปผลการสอบสวนในประเด็นเร่ืองความเสียหาย เห็นควรให
ผถู กู ฟองคดีท่ี ๑ ฟองเรยี กคา เสียหายทางแพงตอ ไป รฐั มนตรีวาการกระทรวงกลาโหมจึงไดมีคําสั่ง
ลงวันท่ี ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๘ แตงต้ังคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ตอมา
รัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมไดวินิจฉัยส่ังการทายหนังสือลงวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๕๔๘
ใหดําเนินการตามผลการสอบขอเท็จจริงของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงฯ ผูถูกฟองคดีที่ ๑
จึงไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒ กันยายน ๒๕๔๘ ใหผูฟองคดีนําเงินจํานวน ๓,๑๙๐,๙๕๓.๕๐ บาท
ไปชําระแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ภายใน ๗ วัน นับแตวันที่ไดรับหนังสือดังกลาว ตอมา ประธาน
กรรมการของผูถูกฟองคดีที่ ๓ (คณะกรรมการผูชําระบัญชีขององคการฟอกหนัง) ไดมีหนังสือ
ลงวันท่ี ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ และลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แจงผูฟองคดีใหชดใช
คาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ เปนเงินจํานวน ๓,๑๙๐,๙๕๓.๕๐ บาท ภายใน ๑๕ วัน
นับแตวันท่ีไดรับหนังสือดังกลาว แตผูฟองคดีมิไดดําเนินการใดๆ จากน้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (นาย จ.)
ซ่ึงอางวาไดรับมอบอํานาจชวงจากผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือลงวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔
แจงการยึดที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๕๑๖๓ แขวงอนุสาวรีย เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร
พรอ มส่งิ ปลูกสราง ซ่ึงมีช่ือผฟู องคดีและนาง อ. เปน ผถู ือกรรมสิทธิ์รวมกัน เพ่ือใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔
(เจาพนักงานท่ีดินกรุงเทพมหานคร สาขาบางเขน) ทราบและบันทึกการยึดทรัพยสินดังกลาวไว
ในทะเบียนที่ดิน โดยผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดมีหนังสือลงวันท่ี ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ แจงผูฟองคดีวา
ไดทําการยึดที่ดินแปลงดังกลาวไวแลวและจะดําเนินการขายทอดตลาดเพื่อนําเงินมาชําระหนี้
ใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตอไป ผูฟองคดีจึงมีหนังสือลงวันท่ี ๑๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๕ อุทธรณ
มาตรการบังคับทางปกครองดวยการยึดทรัพยสินของผูฟองคดีตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ซ่ึงประธาน
กรรมการของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ไดแจงผลการพิจารณาอุทธรณใหผูฟองคดีทราบวา ผูถูกฟองคดี
ท่ี ๓ ในการประชุมเมื่อวันท่ี ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๕ ไดมีมติวา คงใหดําเนินการตามกฎหมายตอไป
ผูฟองคดเี หน็ วา ผถู ูกฟอ งคดีท่ี ๑ ไมสามารถมอบอํานาจชวงใหผ ถู กู ฟอ งคดีที่ ๒ ดาํ เนนิ การยึดหรือ
อายัดที่ดินของผูฟองคดีได การยึดหรืออายัดที่ดินของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมชอบดวยกฎหมายทํา
ใหผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาเพิกถอนรายงานผล
การสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด เพิกถอนคําสั่งของรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมที่
วินิจฉัยส่ังการใหดําเนินการตามผลการสอบขอเท็จจริงของคณะกรรมการสอบขอเท็จจริงฯ
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๗
เพิกถอนคําส่ังยึดท่ีดินโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๒๑๕๑๖๓ พรอมสิ่งปลูกสราง รวมทั้งเพิกถอนคําส่ัง
อายดั ทดี่ นิ พรอมส่งิ ปลูกสรา งดงั กลา ว โดยทีค่ ดีนี้ศาลปกครองช้ันตนมีคําสั่งไมรับคําฟองในขอหาท่ี
ผูฟองคดีขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งใหเพิกถอนรายงานผลการสอบขอเท็จจริงความรับผิด
ทางละเมิด และเพิกถอนคําสั่งใหดําเนินการตามผลการสอบขอเท็จจริงของคณะกรรมการสอบ
ขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดไวพิจารณา และศาลปกครองสูงสุดไดมีคําสั่งยืนตามคําส่ังของ
ศาลปกครองช้นั ตน คาํ ฟองในขอหาดังกลา วจงึ ยตุ ติ ามคําส่งั ของศาลปกครองชัน้ ตน คดมี ีประเด็นท่ี
ศาลปกครองสูงสุดตองวินิจฉัยแตเพียงวา การใชมาตรการบังคับทางปกครองกับผูฟองคดีในคดีนี้
เปนไปโดยชอบดว ยกฎหมายหรอื ไม เหน็ วา คาํ วินจิ ฉัยสง่ั การของรฐั มนตรีวา การกระทรวงกลาโหม
ที่เห็นชอบใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนดังกลาว เปนคําสั่งทางปกครองและใชยันตอผูฟองคดี
ตั้งแตวันท่ีผูฟองคดีไดรับแจงเปนตนไปตามนัยมาตรา ๕ ประกอบกับมาตรา ๔๒ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ เม่ือผูฟองคดีไดรับแจงคําส่ังดังกลาว
โดยชอบแลว แตผูฟองคดีไมชําระเงินภายในเวลาที่กําหนด ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ยอมมีอํานาจ
ใชมาตรการบังคับทางปกครองตามท่ีบัญญัติไวในมาตรา ๕๗ แหงพระราชบัญญัติดังกลาว
โดยตองมีหนังสือแจงเตือนใหผูฟองคดีชําระเงินภายในกําหนด แตตองไมนอยกวาเจ็ดวัน
หากไมมีการปฏิบัติตามคําเตือน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงอาจใชมาตรการบังคับทางปกครองโดยยึด
หรืออายัดทรัพยสินของผูฟองคดีและขายทอดตลาดเพื่อชําระเงินใหครบถวนได อยางไรก็ตาม
ขอเท็จจริงปรากฏตอมาวา ไดมี พ.ร.ฎ. ยุบเลิกองคการฟอกหนัง พ.ศ. ๒๕๕๐ ใหยุบเลิกองคการ
ฟอกหนัง กรณีจึงไมมีผูบริหารของรัฐวิสาหกิจท่ีจะเปนผูพิจารณาใชมาตรการบังคับทางปกครอง
ตามท่ีกําหนดไวในขอ ๑ (๔) ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความใน พ.ร.บ.
วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ ได แตโดยที่มาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.ฎ.
ยบุ เลิกองคก ารฟอกหนัง พ.ศ. ๒๕๕๐ บัญญตั ิวา ใหร ัฐมนตรีวา การกระทรวงกลาโหมแตงตั้งบุคคล
ขึ้นคณะหน่ึง จํานวนไมเกินเกาคนเปนคณะกรรมการผูชําระบัญชีขององคการฟอกหนัง
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ ซ่ึงไดรับแตงต้ังจากรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมจึงมีอํานาจและหนาท่ี
ในการชําระบัญชีเกี่ยวกับกิจการของผูถูกฟองคดีที่ ๑ ตามที่กําหนดไวในมาตรา ๕ วรรคสอง
แหงพระราชกฤษฎีกาดังกลาว โดยนําบทบัญญัติในหมวด ๕ ลักษณะ ๒๒ ในบรรพ ๓
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมาใชบังคับแกอํานาจและหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๓
โดยอนุโลม ซึง่ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา ๑๒๕๙ บัญญัติวา ผูชําระบัญชีทั้งหลาย
ยอมมีอํานาจดังจะกลาวตอไปนี้ คือ (๑) แกตางวาตางในนามของหางหุนสวนหรือบริษัทในอรรถ
คดีพิพาทอันเปนแพงหรืออาญาท้ังปวง และทําประนีประนอมยอมความ (๒) ดําเนินกิจการ
ของหางหุนสวนหรือบริษัทตามแตจําเปน เพ่ือการชําระสะสางกิจการใหเสร็จไปดวยดี (๓)
ขายทรัพยสินของหางหุนสวนหรือบริษัท (๔) ทําการอยางอ่ืนๆ ตามแตจําเปน เพื่อชําระบัญชี
ใหเสร็จไปดวยดี เมื่อผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดมีคําสั่งเรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน
อันเน่ืองมาจากการกระทําละเมิดตอหนวยงานของรัฐ ซึ่งเปนกรณีที่ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ในฐานะ
เจาหน้ีมูลละเมิดไดใชสิทธิเรียกรองท่ีมีตอผูฟองคดีซึ่งเปนลูกหนี้ผูกระทําละเมิด แตผูฟองคดี
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๘
ไมดําเนินการตามคําสั่งดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ซึ่งไดรับแตงตั้งจากรัฐมนตรีวาการ
กระทรวงกลาโหม จึงมีอํานาจที่จะดําเนินการใหเปนไปตามคําส่ังทางปกครองที่เรียกใหผูฟองคดี
ชดใชคาสนิ ไหมทดแทนโดยใชม าตรการบงั คับทางปกครอง ยดึ หรืออายัดทรพั ยส นิ ของผูฟองคดีและ
ขายทอดตลาดเพื่อชําระหนี้ใหครบถวนได เม่ือผูฟองคดีกระทําละเมิดในขณะดํารงตําแหนง
ผูอํานวยการองคการฟอกหนัง ซึ่งในขณะน้ันไมมีผูบริหารขององคการฟอกหนัง รัฐมนตรีวาการ
กระทรวงกลาโหมในฐานะผูกํากับดูแลและเปนผูรักษาการตาม พ.ร.ฎ. จัดต้ังองคการฟอกหนัง
พ.ศ. ๒๔๙๘ จึงเปนผูมีอํานาจออกคําส่ังเรียกใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทนได
สวนผูมีอํานาจใชมาตรการบังคับทางปกครองตองพิจารณาขอเท็จจริงในขณะท่ีมีการใชมาตรการ
บังคับทางปกครอง เมื่อปรากฏวาองคการฟอกหนังไดถูกยุบเลิกไปโดยผลของกฎหมายแลว
และรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหมไดแตงต้ังผูถูกฟองคดีท่ี ๓ เพ่ือดําเนินการชําระบัญชี
ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงตองดําเนินกิจการของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ตามแตจําเปนเพ่ือการชําระสะสาง
กิจการใหเสร็จไปดวยดี ซึ่งรวมถึงการดําเนินการใหเปนไปตามคําสั่งทางปกครองที่เรียกให
ผูฟองคดีชดใชเงินใหแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ดวย สําหรับการใชมาตรการบังคับทางปกครองกับ
ผูฟองคดีในคดีนี้ ปรากฏวา ประธานกรรมการของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดมีหนังสือลงวันที่
๒๘ พฤษภาคม ๒๕๕๑ และลงวันที่ ๒๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ แจงผูฟองคดีใหชดใชคาสินไหม
ทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๑ เปนเงินจํานวน ๓,๑๙๐,๙๕๓.๕๐ บาท ภายใน ๑๕ วัน นับแตวันท่ี
ไดรับหนังสือดังกลาว และไดประกาศใหผูฟองคดีชดใชคาเสียหายดังกลาวทางหนังสือพิมพดวย
จึงเปนกรณที ีผ่ ูถกู ฟอ งคดที ี่ ๑ ไดมหี นงั สือเตอื นใหผฟู องคดีชาํ ระเงนิ ภายในกําหนดเวลาพอสมควร
แลว แตเม่ือผูฟองคดีไมไดดําเนินการใดๆ ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงมีอํานาจใชมาตรการบังคับทาง
ปกครองโดยยึดหรืออายัดทรัพยสินของผูฟองคดีและขายทอดตลาดเพื่อชําระหนี้ใหครบถวนได
ตอมา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งไดรับมอบอํานาจจากผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดขออายัดท่ีดินพรอมส่ิงปลูกสราง
ตามหลักฐานโฉนดที่ดินเลขที่ ๒๑๕๑๖๓ ซ่ึงมีช่ือผูฟองคดีและนาง อ. ถือกรรมสิทธิ์รวมกัน
ตอผูถูกฟองคดีที่ ๔ และผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไดมีคําสั่งรับอายัดที่ดินแปลงดังกลาวแลวเมื่อวันท่ี
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ พรอมกันน้ันผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ก็ไดมีหนังสือแจงคําส่ังอายัดใหผูฟองคดี
ทราบเมื่อวันที่ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๕๔ ดวยแลว จึงมีปญหาที่ตองวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๓
มีอํานาจที่จะมอบอํานาจใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ซึ่งเปนเอกชนเปนผูดําเนินการแทนหรือไม เห็นวา
ขอ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบับท่ี ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ กําหนดวา การมอบอํานาจในการดําเนินการพิจารณาใชมาตรการ
บังคบั ทางปกครองของเจาหนาท่ีผูมีอาํ นาจทาํ คาํ สัง่ ทางปกครองในสังกัดรัฐวิสาหกิจหรือหนวยงาน
อ่ืนของรัฐ ใหเปนไปตามกฎหมายท่ีจัดตั้งรัฐวิสาหกิจหรือหนวยงานอื่นของรัฐน้ันๆ ดังน้ัน
การดําเนินการเกี่ยวกับการมอบอํานาจในการพิจารณาใชมาตรการบังคับทางปกครองในองคการ
ฟอกหนังซึ่งเปนรัฐวิสาหกิจท่ีจัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.ฎ. จัดต้ังองคการฟอกหนัง พ.ศ. ๒๔๙๘
จงึ ตองเปน ไปตามพระราชกฤษฎกี าดงั กลาว แตโดยที่ พ.ร.ฎ. จัดตงั้ องคการฟอกหนัง พ.ศ. ๒๔๙๘
ถูกยกเลิกโดยมาตรา ๓ แหง พ.ร.ฎ. ยุบเลิกองคการฟอกหนัง พ.ศ. ๒๕๕๐ แลว การมอบอํานาจ
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๗๙
ในการพจิ ารณาใชม าตรการบังคับทางปกครองในหนวยงานผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงไมอยูในบังคับของ
ขอ ๓ ของกฎกระทรวง ฉบับที่ ๘ (พ.ศ. ๒๕๔๒) ออกตามความใน พ.ร.บ. วิธีปฏิบัติราชการ
ทางปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ และเมื่อมาตรา ๖ แหง พ.ร.ฎ. ยุบเลิกองคการฟอกหนัง พ.ศ. ๒๕๕๐
กําหนดใหนําบทบัญญัติหมวด ๕ ลักษณะ ๒๒ ในบรรพ ๓ แหงประมวลกฎหมายพาณิชย
มาใชบังคบั แกอํานาจและหนา ที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ผูถูกฟองคดีท่ี ๓ จึงมีอํานาจโดยท่ัวไปตามท่ี
ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยบัญญัติไว ท่ีจะมอบอํานาจใหผูถูกฟองคดีที่ ๒ ดําเนินการแทน
ได ซึ่งขอเท็จจรงิ กป็ รากฏวา ในการแจง การดําเนินการใชมาตรการบังคับทางปกครองกับผูฟองคดี
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดแจงใหผูฟองคดีทราบดวยวาผูถูกฟองคดีท่ี ๒ เปนผูไดรับมอบอํานาจชวงจาก
ผูถูกฟองคดีที่ ๓ รวมถึงการแจงขายทอดตลาดที่ดินซ่ึงผูถูกฟองคดีที่ ๒ ไดช้ีแจงตอศาลปกครอง
ชั้นตนในชั้นไตสวนเพ่ือมีคําสั่งกําหนดมาตรการบรรเทาทุกขชั่วคราวกอนการพิพากษาวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดดําเนินการไปตามมติท่ีประชุมของผูถูกฟองคดีที่ ๓ เมื่อวันท่ี ๒๗ เมษายน
๒๕๕๕ ผถู ูกฟอ งคดที ่ี ๒ จึงมอี ํานาจดาํ เนินการใชมาตรการบังคับทางปกครองกับผูฟองคดีในกรณี
น้ีได คดีมีปญหาที่ตองวินิจฉัยตอไปวา ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดใชมาตรการบังคับทางปกครองกับ
ผูฟองคดีพอสมควรแกเ หตหุ รอื ไม เหน็ วา การทผี่ ูถ ูกฟองคดีท่ี ๑ จะใชม าตรการบงั คับทางปกครอง
เพื่อบังคับใหเปนไปตามคําสั่งท่ีเรียกใหชดใชเงิน โดยการยึดหรืออายัดทรัพยขายทอดตลาดนั้น
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จะตองยึดทรัพยของผูตองชดใชแตเพียงพอกับหนี้ท่ีตองชําระพรอมทั้ง
คาธรรมเนียม คาใชจายในการยึดทรัพยสินและขายทอดตลาดแลว ท้ังน้ีตามมาตรา ๒๘๔
แหงประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพงซึ่งนํามาใชบังคับโดยอนุโลมดวย เม่ือปรากฏวา
ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดตรวจสอบทรัพยสินของผูฟองคดีพบวาผูฟองคดีเปนเจาของกรรมสิทธ์ิรวม
ในท่ีดินโฉนดท่ีดินเลขที่ ๒๑๕๑๖๓ แขวงอนุสาวรีย เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร เน้ือที่
๒๙๑.๖ ตารางวา พรอมส่ิงปลูกสรางบนที่ดินดังกลาว ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไดมีหนังสือลงวันที่
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔ แจงใหผูถูกฟองคดีท่ี ๔ อายัดที่ดินโฉนดท่ีดินเลขที่ ๒๑๕๑๖๓
ของผูฟองคดีกับพวก โดยปรากฏวา ผูถูกฟองคดีที่ ๔ ไดมีหนังสือรับรองวาที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่
๒๑๕๑๖๓ (กอนแบงแยก เดิมเปนโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๑๕๕๙๖๑) มีราคาประเมินตารางวาละ
๒๕,๐๐๐ บาท ที่ดินเนื้อที่ ๒๙๑.๖ ตารางวา ราคาประเมินที่ดินทั้งแปลงรวม ๗,๒๙๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งราคาดังกลาวไมรวมสิ่งปลูกสราง เมื่อพิจารณาประกอบกับสัญญากูเงินซ่ึงผูฟองคดีกับนาง อ.
ไดนําที่ดินโฉนดท่ีดินเลขที่ ๑๕๕๙๖๑ เนื้อที่ ๑ ไร ๓ งาน ๓๙๔ ตารางวา พรอมส่ิงปลูกสรางเปน
ประกันเงินกูกับธนาคารอาคารสงเคราะหในวงเงิน ๙,๕๗๖,๐๐๐ บาท เม่ือวันท่ี ๒๘ พฤศจิกายน
๒๕๓๘ และตอมาไดมีการแบงแยกเปนโฉนดท่ีดินเลขท่ี ๒๑๕๑๖๓ เน้ือท่ี ๒๙๑.๖ ตารางวา
ซ่ึงเปนที่ดินพรอมส่ิงปลูกสรางบนท่ีดินที่ถูกยึดในคดีน้ี ราคาประมาณของทรัพยสินที่ถูกยึด
จึงนาจะมีราคาไมตํ่ากวาราคาประเมินที่ดิน ๗,๒๙๐,๐๐๐ บาท แตโดยที่ท่ีดินพรอมส่ิงปลูกสราง
ดังกลาวเปนกรรมสิทธิ์รวมระหวางผูฟองคดีกับนาง อ. หากนําออกขายทอดตลาด ยอมเปนสวน
ของผูฟองคดีเพียงกึ่งหน่ึง เม่ือปรากฏวาผูฟองคดีตองชดใชคาสินไหมทดแทนใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑
ตามท่ีไดมีหนังสือลงวันที่ ๒ กันยายน ๒๕๔๘ แจงผูฟองคดีจํานวน ๓,๑๙๐,๙๕๓.๕๐ บาท การที่
แนวคาํ วนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๐
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ซึ่งไดรับมอบอํานาจจากผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไดแจงอายัดท่ีดินพรอมส่ิงปลูกสรางท่ี
ผูฟองคดีเปนเจาของกรรมสิทธิ์รวมเพื่อขายทอดตลาดชําระหนี้ใหแกผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงเพียงพอ
กับหน้ีที่ตองชําระ พรอมท้ังคาธรรมเนียม คาใชจายในการยึดทรัพยสินและขายทอดตลาดแลว
ท้ังไมปรากฏวาผูฟองคดีมีทรัพยสินอยางอื่นท่ีจะสามารถบังคับชําระหน้ีได จึงเห็นไดวา ผูถูกฟอง
คดีท่ี ๑ และท่ี ๓ ใชมาตรการบังคับทางปกครองโดยการยึดและอายัดท่ีดินโฉนดที่ดินเลขที่
๒๑๕๑๖๓ พรอมส่ิงปลูกสรางบนท่ีดินดังกลาวโดยชอบดวยกฎหมายแลว ท่ีศาลปกครองชั้นตน
พิพากษายกฟอ ง นนั้ ศาลปกครองสงู สดุ เห็นพองดว ย
พิพากษายืน
ฟองขอใหชดใชคาเสียหายกรณีน้ําทว มทนี่ าของราษฎร
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสดุ ท่ี อ.๔๓/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนเจาของท่ีดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๓๖๘๔
ตําบลหวยลึก อําเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา ประกอบอาชีพทํานาในที่ดินแปลงดังกลาว
ไดรับความเดือดรอนเสียหายจากการที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (สํานักชลประทานที่ ๑๖) โดยความ
เห็นชอบของผถู ูกฟองคดที ี่ ๑ (กรมชลประทาน) ไดกอสรา งคลองสงน้ําในโครงการระบบสงนํ้าสายใหญ
ฝงซายสายที่ ๒ โดยปลายคลองสงน้ําสิ้นสุดบริเวณพ้ืนท่ีท่ีผูฟองคดีและราษฎรอ่ืนใชทํานา เปนเหตุให
เมื่อนํ้าหลากในฤดูฝน ปริมาณน้ําจํานวนมากที่ไหลมาจากเทือกเขาบรรทัดซึ่งโดยปกติจะไหล
กระจายไปทวั่ ทุกพ้นื ท่ี กลับไหลลงคลองสงนํ้าดงั กลาวและเออ ทวมบริเวณพื้นที่ทํานาของผูฟองคดี
และราษฎรอ่ืน ตั้งแตป พ.ศ. ๒๕๑๗ ตอเน่ืองถึงปจจุบัน ผูฟองคดีและราษฎรอ่ืนไดรองขอให
ผูถูกฟองคดีทั้งสองแกไขปญหาน้ําทวมโดยการกอสรางคลองสงน้ําเพิ่มเติมตอจากปลายคลองสงน้ําเดิม
ไปจรดทะเลสาบสงขลา เพ่ือใหนํ้าไหลลงสูทะเลสาบสงขลา แตผูถูกฟองคดีท้ังสองไมดําเนินการ
ผูฟองคดีเห็นวาผูถูกฟองคดีท้ังสองกอสรางคลองสงนํ้าโดยปลายคลองสงนํ้าสิ้นสุดบริเวณพื้นท่ี
ทํานาของผูฟองคดีและเพิกเฉยไมกอสรางคลองสงน้ําเพิ่มเติม เปนเหตุใหนํ้าทวมและผูฟองคดี
ไมสามารถทํานาได ผูถูกฟองคดีทั้งสองจึงตองรับผิดชดใชคาเสียหายอันเน่ืองมาจากการกระทํา
ดังกลาว จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังสองรวมกันชดใช
คาเสียหายใหแกผูฟองคดีเปนคาขาดรายไดจากการทํานา ปละ ๓๘,๐๐๐ บาท ตั้งแตป พ.ศ. ๒๕๑๗
จนถึงวนั ฟอ งรวม ๓๘ ป รวมเปนเงิน ๑,๔๔๔,๐๐๐ บาท พรอ มดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอป
ของตน เงนิ ดังกลาวนับแตว นั ถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ เห็นวา เม่ือขอเท็จจริง
ปรากฏวา คลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ มิใชคลองที่รับนํ้าจากเทือกเขาบรรทัดโดยตรง
และยังเปนคลองสงน้ําขนาดเล็กรูปส่ีเหล่ียมคางหมู กนคลองกวาง ๐.๕๐ เมตร ลึก ๐.๖๐ เมตร
ปลายคลองมีอาคารควบคุมบังคับน้ําขนาดเสนผาศูนยกลาง ๐.๖๐ เมตร พรอมติดตั้งบานระบายน้ํา
ควบคุมการเปดปด จึงไมสามารถรับน้ําในปริมาณมากได โดยการท่ีคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย
สายที่ ๒ มีระดับท่ีสูงกวาคลองรัตภูมิซึ่งเปนคลองธรรมชาติ ดังน้ัน ปริมาณนํ้าในฤดูฝนท่ีมี
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๑
น้าํ หลากหากจะไหลเขา สูคลองสงนา้ํ สายใหญฝ ง ซาย สายที่ ๒ ยอมตอ งเปน น้ําสวนที่เออลนมาจาก
นํ้าในคลองธรรมชาติในบริเวณใกลเคียง ประกอบกับในฤดูฝนน้ําท่ีไหลมาจากเทือกเขาบรรทัดท่ีมี
ความชัน +๓๐.๐๐๐ จากระดับนํ้าทะเลปานกลางไหลลงสูทะเลสาบสงขลาผานท่ีนาของผูฟองคดี
ที่มีความชัน +๑.๐๐๐ จากระดับนํ้าทะเลปานกลางซึ่งยอมไหลมาตามคลองธรรมชาติโดยเฉพาะ
คลองรัตภูมิดังกลาว กรณีจึงเห็นไดวาปริมาณนํ้าที่ไหลเขาคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๒
ในฤดูฝน ยอมไมมีปริมาณมากพอที่จะเปนสาเหตุโดยตรงท่ีทําใหเกิดนํ้าทวมขังที่ดินของผูฟองคดี
จนเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหายโดยไมอาจทํานาในที่ดินของตนได นอกจากน้ี
เมื่อพิจารณาสภาพท่ีต้ังท่ีดินของผูฟองคดีซ่ึงเปนท่ีลุมตํ่า ยอมรับน้ํามาจากพื้นที่ราบสูงอ่ืนดวย
แมจะมีคลองธรรมชาติไวระบายนํ้าหลายสายก็ตาม แตในขณะเกิดเหตุพิพาทคลองธรรมชาติ
ท่ีชวยระบายน้ําสูทะเลสาบสงขลามีสภาพตื้นเขินและมีตนไมปกคลุม ยอมมีผลใหการระบายนํ้า
ลงสูทะเลสาบสงขลาไมไดผลดีเทาที่ควร และสงผลใหท่ีดินของผูฟองคดีซึ่งอยูบริเวณที่ลุมต่ํา
เกิดนํ้าเออทวมเปนบริเวณกวางได ดังน้ัน กรณีจึงไมอาจถือไดวาเหตุที่นํ้าทวมที่ดินของผูฟองคดี
เกิดจากการกอสรางคลองสงนํ้าในโครงการระบบสงน้ําสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ แตเกิดข้ึน
ตามธรรมชาตแิ ละตามสภาพภมู ิประเทศ การที่ผถู กู ฟองคดที ่ี ๒ โดยความเห็นชอบของผูถกู ฟอ งคดีที่ ๑
กอสรางคลองสงนํา้ ในโครงการระบบสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ส้ินสุดบริเวณพื้นท่ีที่ผูฟองคดี
ใชประกอบอาชีพทํานา จึงไมเปนการกระทําละเมิดจากการใชอํานาจตอผูฟองคดี ตามมาตรา ๔๒๐
แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย และเม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา ผูถูกฟองคดีทั้งสอง
ไดรับทราบปญหานํ้าทวมและไดดําเนินการตามอํานาจหนาที่ในการแกไขปญหานํ้าทวมบริเวณ
ดังกลาวโดยการขดุ ลอกคลองธรรมชาติใหแลว สว นการกอสรา งคลองสง น้ําเพม่ิ เตมิ จากคลองสงน้ํา
สายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ ความยาวประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ไปสิ้นสุดจรดทะเลสาบสงขลาเพื่อให
นํ้าไหลลงทะเลสาบสงขลา อันเปนแนวทางแกไขปญหาน้ําทวมอีกสวนหน่ึงน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑
ไดอนุมัติในหลักการใหมีการกอสรางคลองสงนํ้าดังกลาวแลว แตมีปญหาในการจัดซื้อท่ีดิน
เพื่อกอสรางคลองสงนํ้าเพิ่มเติม เน่ืองจากราษฎรเจาของท่ีดินไดเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จัดซ้ือท่ีดินในราคาสูงกวาราคาประเมินของกรมที่ดินมาก ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมสามารถจัดซ้ือได
ดังน้ัน การกอสรางคลองสงน้ําดังกลาวผูถูกฟองคดีท้ังสองจึงยังไมอาจเขาดําเนินการสํารวจ
และออกแบบใดๆ ได กรณีจึงเห็นไดวาผูถูกฟองคดีท้ังสองไดปฏิบัติหนาท่ีในการปองกันนํ้าทวม
โดยความพยายามท่ีจะกอสรางคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ เพิ่มเติม แตมีปญหาอุปสรรค
เร่ืองการจัดซื้อที่ดินซ่ึงเปนปญหาเก่ียวกับงบประมาณและประสิทธิภาพในการใชจายเงินของรัฐ
กรณีจึงไมอาจถือไดวาผูถูกฟองคดีทั้งสองกระทําละเมิดจากการละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมาย
กําหนดใหตองปฏิบัติในการกอสรางคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ แตอยางใด และเม่ือ
วินิจฉัยแลววาผูถูกฟองคดีทั้งสองไมไดกระทําละเมิด ดังน้ัน ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงไมตองรับผิด
ชดใชคาเสยี หายตามฟองใหแกผูฟองคดี ท่ีศาลปกครองช้ันตนพิพากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครอง
สงู สุดเหน็ พอ งดว ย
พิพากษายืน
แนวคําวนิ ิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๒
คาํ พิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๔๖๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนผูครอบครองที่ดินตามหลักฐานแบบแจง
การครอบครองท่ีดิน (ส.ค.๑) เลขที่ ๒๔๔/๒๔๙๘ ตําบลหวยลึก อําเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา
เน้ือที่ ๕ ไร และประกอบอาชีพทํานาในที่ดินแปลงดังกลาว ตอมาในป พ.ศ. ๒๕๑๗ ผูถูกฟองคดีที่ ๒
(สํานักชลประทานท่ี ๑๖) ไดกอสรางคลองคอนกรีตสงน้ําในโครงการระบบสงนํ้าสายใหญฝงซาย
สายท่ี ๒ ลักษณะเปนคลองดาดคอนกรีตส่ีเหล่ียมคางหมูกนคลองมีความกวาง ๐.๕๐ เมตร ความลึก
๐.๖๐ เมตร ปลายคลองคอนกรีตสงน้ําสิ้นสุดบริเวณพื้นท่ีท่ีผูฟองคดีใชทํานา เปนเหตุใหน้ําหลากในฤดูฝน
ไหลลงคลองสงน้ําดังกลาวและเออทวมบริเวณพื้นท่ีทํานาของผูฟองคดี ผูฟองคดีไดรองขอให
ผูถูกฟองคดีท้ังสอง (กรมชลประทาน ท่ี ๑) แกไขปญหาน้ําทวม โดยขอใหกอสรางคลองคอนกรีตสงน้ํา
เพิ่มเตมิ ตอ จากปลายคลองสง นํ้าเดิมไปสนิ้ สุดจดทะเลสาบสงขลา เพื่อใหน ํา้ ไหลลงสูทะเลสาบสงขลา
แตผูถ กู ฟอ งคดที ้ังสองไมดาํ เนนิ การ เปนเหตใุ หน าํ้ ทว มพ้นื ทีท่ ํานาทุกป ต้งั แตป พ.ศ. ๒๕๑๗ จนถึง
ปจ จบุ นั ผถู กู ฟองคดที ้งั สองจงึ ตอ งรับผิดชดใชคาเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทําดังกลาวท่ีเปน
เหตุใหผูฟองคดีขาดรายไดจากการทํานาในแตละปเปนเงินจํานวนไรละ ๙,๕๐๐ บาท
โดยผูฟองคดีคิดคาเสียหายเปนคาขาดรายไดจากการทํานา ปละ ๔๗,๕๐๐ บาท ต้ังแตป
พ.ศ. ๒๕๑๗ จนถึงวันฟอง รวม ๓๘ ป เปนเงินจํานวน ๑,๘๐๕,๐๐๐ บาท ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟอง
ขอใหศ าลมีคาํ พิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังสองรวมกันชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีเปนเงิน
จํานวน ๑,๘๐๕,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบ้ียในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอปของตนเงินดังกลาว
นบั แตว ันถัดจากวันฟอ งเปน ตน ไปจนกวาจะชําระเสรจ็
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา แมขอเท็จจริงจะรับฟงไดวาพื้นที่นาของผูฟองคดี
เปนเขตประกาศภยั พบิ ตั กิ ็ตาม แตคลองสง นํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ก็มิใชคลองที่รับน้ําจากเทือกเขา
บรรทัดโดยตรง อีกทง้ั คลองสงนา้ํ ดังกลา วเปน คลองสง นา้ํ ขนาดเล็กจึงไมสามารถรบั นํ้าในปริมาณมากได
นอกจากนี้ การท่ีคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ มีระดับที่สูงกวาคลองรัตภูมิซ่ึงเปน
คลองธรรมชาติ ดังนี้ ปริมาณนํ้าในฤดูฝนที่มีนํ้าหลากหากจะไหลเขาสูคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒
ยอมตองเปนนํ้าสวนท่ีลนมาจากน้ําในคลองธรรมชาติในบริเวณใกลเคียง ประกอบกับขอเท็จจริง
ฟงไดวาในฤดูฝนนํ้าที่ไหลมาจากเทือกเขาบรรทัดท่ีมีความชัน + ๓๐.๐๐๐ เมตร จากระดับทะเล
ปานกลางไหลลงสูทะเลสาบสงขลาผานท่ีนาของผูฟองคดีท่ีมีความชัน + ๑.๐๐๐ เมตร จากระดับ
ทะเลปานกลางซึ่งยอมไหลมาตามคลองธรรมชาติโดยเฉพาะคลองรัตภูมิดังกลาว กรณีจึงเห็นไดวา
ปริมาณน้ําท่ีไหลเขาคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ในฤดูฝน น้ัน ยอมมีปริมาณไมมาก
พอที่จะเปนสาเหตุโดยตรงท่ีทําใหเกิดน้ําทวมขังที่ดินของผูฟองคดีจนเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับ
ความเสยี หายโดยไมอาจทํานาในท่ีดินของตนได นอกจากน้ี เมื่อพิจารณาสภาพท่ีตั้งท่ีดินของผูฟองคดี
ซง่ึ เปนทีล่ ุมตํ่า ยอ มรับนํ้ามาจากพืน้ ที่ราบสูงอืน่ ดวย แมจะมคี ลองธรรมชาติไวร ะบายน้ําหลายสายก็ตาม
แตขอเท็จจริงรับฟงไดวาในขณะเกิดเหตุพิพาท คลองปาลาม คลองเขตคลองนุย และคลองพรุ
ซ่ึงเปนคลองธรรมชาติที่ชวยระบายน้ําสูทะเลสาบสงขลามีสภาพตื้นเขินและมีตนไมปกคลุม
ยอมมีผลใหการระบายนํ้าลงสูทะเลสาบสงขลาไมไดผลดีเทาที่ควรและสงผลใหที่ดินของผูฟองคดี
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๓
ซ่ึงอยูบริเวณที่ลุมตํ่าเกิดน้ําทวมเปนบริเวณกวางไดดังน้ัน กรณีจึงไมอาจถือไดวาเหตุท่ีน้ําทวมท่ีดิน
ของผูฟองคดีเกิดจากการกอสรางคลองสงนํ้าในโครงการระบบสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒
แตเกิดขึ้นตามธรรมชาติและตามสภาพภูมิประเทศ การที่ผูถูกฟองคดีที่ ๒ กอสรางคลองสงน้ํา
ในโครงการระบบสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ สิ้นสุดบริเวณพ้ืนที่ที่ผูฟองคดีใชประกอบอาชีพทํานา
จึงไมเ ปน การกระทําละเมดิ จากการใชอาํ นาจตอผูฟองคดี ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมาย
แพงและพาณิชย เม่ือผูถูกฟองคดีทั้งสองมีหนาท่ีดําเนินการเก่ียวกับการปองกันความเสียหาย
อันเกิดจากนํ้า ตามมาตรา ๔ แหง พ.ร.บ.การชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ ซ่ึงแกไข
เพ่ิมเติม (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๘ และขอ ๒ ของกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมชลประทาน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ พ.ศ. ๒๕๕๔ การท่ีผูถูกฟองคดีท้ังสองไดดําเนินการตามอํานาจ
หนาที่ในการแกไขปญหานํ้าทวมบริเวณดังกลาวโดยการขุดลอกคลองธรรมชาติ จํานวน ๔ สาย
อันไดแก คลองปาลาม คลองเขต คลองนุย และคลองพรุ ใหแลว สวนการกอสรางคลองสงนํ้า
เพิ่มเติมจากคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ความยาวประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ไปสิ้นสุด
จรดทะเลสาบสงขลาเพ่ือใหน้ําไหลลงทะเลสาบสงขลา อันเปนแนวทางแกไขปญหานํ้าทวม
อีกสวนหน่ึงน้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไดอนุมัติในหลักการใหมีการกอสรางคลองสงน้ําดังกลาวเม่ือวันที่
๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตอมามีการประชุมเพื่อจัดซื้อที่ดินเพ่ือกอสรางคลองสงน้ําเพิ่มเติม โดยท่ีดิน
บริเวณดงั กลา วมีราคาประเมินไรละ ๓๐,๐๐๐ บาท ถึง ๕๐,๐๐๐ บาท แตราษฎรเจาของที่ดินยืนยัน
ราคาขายไรละ ๘๐๐,๐๐๐ บาท และตอมาเสนอขายในราคาที่ลดลงคงเหลือไรละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท
ซึ่งยังคงสูงกวาราคาประเมินของกรมที่ดินมาก ทําใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑ ไมสามารถจัดซื้อได ดังน้ัน
การกอสรางคลองสงน้ําดังกลาวผูถูกฟองคดีทั้งสองจึงยังไมอาจเขาดําเนินการสํารวจและออกแบบใดๆ ได
กรณีจึงเห็นไดวา ผูถูกฟองคดีทั้งสองไดปฏิบัติหนาที่ในการปองกันนํ้าทวมโดยความพยายามที่จะ
กอสรางคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ เพ่ิมเติม แตมีปญหาอุปสรรคเรื่องการจัดซ้ือที่ดิน
ซึ่งเปนปญหาเก่ียวกับงบประมาณและประสิทธิภาพในการใชจายเงินของรัฐ กรณีจึงไมอาจถือไดวา
ผถู ูกฟอ งคดีทง้ั สองกระทําละเมิดจากการละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติในการ
กอสรางคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ แตอยางใด และเมื่อวินิจฉัยแลววาผูถูกฟองคดีท้ังสองไมได
กระทําละเมิด ดังนั้น ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ จึงไมตองรับผิดชดใชคาเสียหายตามฟองใหแกผูฟองคดี
ที่ศาลปกครองชน้ั ตน พพิ ากษายกฟอง น้ัน ศาลปกครองสงู สุดเห็นพองดวย
พพิ ากษายืน
ฟองขอใหเพิกถอนคําส่ังใหชดใชเงิน กรณีดําเนินโครงการเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อยกระดับ
ชุมชนโดยไมชอบดวยกฎหมาย
คาํ พิพากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๙๑/๒๕๖๓ อางแลวในประเดน็ เง่อื นไขการฟองคดี หนา ๑๓๐
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๔
ฟองขอใหกรมชลประทานชดใชคาสินไหมทดแทนจากการละเลยไมตรวจสอบและซอมบํารุง
เคร่ืองสบู นํา้ สง ผลใหข าวแหง ตาย
คําพพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๙๔/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนเกษตรกรท่ีมีพื้นที่ทํานาในเขตชลประทานท่ีอยูใน
ความรับผิดชอบของสถานีสูบน้ําดวยไฟฟา P.๖/๑ บานเวินชัย ตําบลผือฮี อําเภอมหาชนะชัย จังหวัด
ยโสธร จํานวน ๒ แปลง ตามหนังสือรับรองการทําประโยชน (น.ส. ๓ ก.) เลขท่ี ๑๔๔ ตําบลผือฮี
อาํ เภอมหาชนะชยั จังหวดั ยโสธร เน้ือท่ี ๗ ไร ๑ งาน ๙๐ ตารางวา ซึ่งภรรยาของผูฟองคดีเปนผูมีสิทธิ
ครอบครอง และตามโฉนดที่ดินเลขท่ี ๒๗๕๒๘ ตําบลคูเมือง อําเภอมหาชนะชัย จังหวัดยโสธร เนื้อที่
๑๐ ไร ๓ งาน ๗๐ ตารางวา ซ่ึงเปนกรรมสิทธ์ิของผูฟองคดี ผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย
จากโครงการสงน้ําและบํารุงรักษาพัฒนาลุมน้ําชีตอนลางและเซบายตอนลาง ซึ่งเปนหนวยงาน
ในสังกัดของผูถูกฟองคดีท้ังสอง (สํานักชลประทานที่ ๗ ที่ ๑, กรมชลประทาน ที่ ๒) โดยโครงการ
ดังกลาวมีหนาท่ีสงน้ําหรือกระจายนํ้าของสถานีสูบน้ําดวยไฟฟา P.๖/๑ โดยในฤดูทํานาปรัง
ป ๒๕๕๔/๒๕๕๕ หลังจากท่ีผูฟองคดีไดปลูกขาวพรอมใสปุยจนขาวต้ังทองแลว ประมาณเดือน
ธันวาคม ๒๕๕๔ เคร่ืองสูบน้ําของสถานีสูบน้ํา P.๖/๑ ไดเกิดชํารุดทั้งหมด สงผลใหขาวนาปรังของ
ผูฟองคดีจํานวน ๑๘ ไร แหงตายในระหวางเดือนกุมภาพันธถึงเดือนมีนาคม ๒๕๕๕ ตอมา จังหวัด
ยโสธรไดจายเงินชวยเหลือเกษตรกรผูประสบภัยแลงใหผูฟองคดี ในอัตราไรละ ๖๐๖ บาท ผูฟองคดี
เห็นวา ความเสียหายขางตนเกิดจากความบกพรองของเจาหนาท่ีในหนวยงานของผูถูกฟองคดีที่ ๑
ที่ละเลยไมตรวจสอบและซอมบํารุงเคร่ืองสูบน้ํา จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังให
ผูถูกฟองคดีท้ังสองชดใชคาเสียหายจากการกระทําละเมิดแกผูฟองคดีในอัตราไรละ ๑๕,๐๐๐ บาท
จาํ นวน ๑๘ ไร เปน เงนิ ทง้ั ส้นิ ๒๗๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบีย้ อัตรารอ ยละ ๗.๕ ตอป
ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยวา ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มีอํานาจหนาที่ในการดําเนินการ
จัดใหไ ดมาซึง่ นํ้า หรือกัก เก็บ รักษา ควบคุม สง ระบายหรือจัดสรรนํ้าเพื่อการเกษตร โดยมีหนวยงาน
ที่รับผิดชอบในระดับพ้ืนท่ีในกรณีน้ีคือ ผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยมีโครงการสงนํ้าและบํารุงรักษาพัฒนา
ลุมนํ้าชีตอนลางและเซบายตอนลางเปนผูบริหารจัดการน้ําในพ้ืนท่ีเขตชลประทานท่ีอยูใน
ความรับผิดชอบ ซ่ึงรวมถึงสถานีสูบน้ําดวย ในขณะเดียวกันผูถูกฟองคดีที่ ๒ ก็มีอํานาจหนาที่ในการ
ดูแล บํารุงรักษา ซอมแซมและปรับปรุงโครงสรางพื้นฐานที่เกี่ยวกับงานชลประทาน ซึ่งรวมถึง
การบํารุงรักษาเครื่องสูบนํ้าท่ีใชในกิจการชลประทาน เพื่อใหการบริหารจัดการน้ําในเขตชลประทาน
บรรลุผลตามบทกฎหมายดังกลาวดวย ซ่ึงหากมีการละเลยตอหนาที่ตามที่กฎหมายกําหนดใหตอง
ปฏิบัติดังกลาว จนทําใหเกิดความเสียหายตอเกษตรกรผูใชนํ้า ผูถูกฟองคดีที่ ๒ ก็ตองรับผิดจากการ
กระทําละเมิดอันเกิดจากการละเลยตอหนาที่ของเจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีที่ ๒ เม่ือปรากฏวา
โครงการสงนํ้าฯ ไดดําเนินการสงนํ้าและกระจายนํ้าจากสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ ใหแกเกษตรกร
ในเขตชลประทานมาต้ังแตฤดูการผลิตขาวนาปรัง ป ๒๕๕๓/๒๕๕๔ และในระหวางฤดูการทํานาป
ในป พ.ศ. ๒๕๕๔ มฝี นทิง้ ชวง โครงการสงนํ้าฯ จึงดําเนินการสงน้ําและกระจายนํ้าใหเกษตรกรในพ้ืนที่
แนวคาํ วนิ ิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๕
ชลประทานของสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ โดยใชเคร่ืองสูบน้ําทั้ง ๕ เคร่ือง สับเปล่ียนหมุนเวียนกันสูบนํ้า
ใหเกษตรกร เปนเหตุใหเครื่องสูบนํ้าเครื่องท่ี ๑ ชํารุดเสียหาย โดยเพลาขาดและทอดูดน้ําแตก
สวนเคร่ืองที่ ๒ ที่ ๓ ท่ี ๔ และที่ ๕ มีอาการสั่นขณะสูบน้ํา ตอมา วิศวกรระดับ ๗ กองบํารุงรักษา
โรงไฟฟา (กฟผ. เขือ่ นอุบลรตั น) เขาตรวจสอบแกไขเครือ่ งสบู น้าํ ระหวางวนั ที่ ๘ ถึงวันท่ี ๑๔ กรกฎาคม
๒๕๕๔ ปรากฏวา เคร่ืองสูบนํ้าเครื่องที่ ๒ ท่ี ๔ และที่ ๕ สามารถใชงานไดตามปกติ สวนเครื่องที่ ๑
ไมส ามารถเดนิ เครอ่ื งได เน่อื งจากมชี นิ้ สวนชาํ รุดเสยี หาย จาํ เปนตอ งถอดอุปกรณหลักของเคร่ืองสูบน้ํา
เพื่อตรวจสอบและวิเคราะหหาสาเหตุของความเสียหาย และวางแผนการซอมแซม จึงไดนําอุปกรณหลัก
ของเครื่องสบู นํา้ เคร่ืองท่ี ๑ ท่ีชํารุดเสียหายไปซอม ณ ที่ทําการ กฟผ. เขื่อนอุบลรัตน แตการซอมแซม
เคร่ืองสูบนํ้าเคร่ืองที่ ๑ จําตองใชระยะเวลาในการดําเนินการ ประกอบกับไมสามารถหาอะไหลได
จึงตองผลติ อุปกรณข นึ้ มาเองโดยเจาหนา ที่จาก กฟผ. เข่ือนอุบลรัตน จนกระท่ังการซอมแซมแลวเสร็จ
เมื่อประมาณเดือนกมุ ภาพนั ธ ๒๕๕๕ และใชเ วลาตดิ ตั้งอีกประมาณ ๑ สปั ดาห จึงเปน กรณีทีเ่ จา หนาท่ี
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไดดูแล บํารุงรักษา และซอมแซมเคร่ืองสูบนํ้าเครื่องท่ี ๑ ตามอํานาจหนาท่ีแลว
สวนเครื่องสูบนํ้าเครื่องท่ี ๕ มีอาการสั่นอยางรุนแรงระหวางการสูบน้ําในฤดูการทํานาปในป
พ.ศ. ๒๕๕๔ จงึ ไดหยุดการใชง านเพอ่ื มิใหเ ครื่องสบู นํ้าไดร ับความเสยี หายมากข้ึน ซึ่งเปนไปตามคําแนะนํา
ของเจา หนา ท่จี าก กฟผ. เข่อื นอุบลรตั น และเจา หนา ที่ของ กฟผ. เขื่อนอุบลรัตน เขามาซอมแซมแกไข
เคร่อื งสูบนํ้าเคร่ืองท่ี ๕ ในชวงระหวางวันที่ ๘ ถึงวันท่ี ๑๔ กรกฎาคม ๒๕๕๔ แลวพบวา เคร่ืองสูบน้ํา
เครื่องท่ี ๕ ยังสามารถใชงานไดตามปกติ เม่ือมีการใชงานเคร่ืองสูบน้ําเคร่ืองที่ ๕ ตอไปอีกระยะหนึ่ง
ปรากฏวา เครื่องมีอาการสั่นรุนแรงมากขึ้น จึงตองหยุดการใชงาน และไดแจงใหเจาหนาที่จาก กฟผ.
เขอ่ื นอบุ ลรตั น เขา มาดาํ เนนิ การตรวจสอบแกไขแลว จงึ เปนกรณีท่เี จาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มิได
ละเลยตอหนาท่ีในการดูแล บํารุงรักษาและซอมแซมเครื่องสูบนํ้าเครื่องที่ ๕ แตอยางใด ประกอบกับ
เจาหนาที่ประจําสถานีสูบนํ้ามีหนาที่เพียงเปดและปดเครื่องสูบนํ้าเทาน้ัน ไมมีความสามารถในการ
แกไขซอมแซมเครื่องสูบนํ้าได อีกท้ังเจาหนาท่ีจาก กฟผ. เข่ือนอุบลรัตน ยังไมทราบวาอาการสั่นของ
เครื่องสูบน้ําเคร่ืองท่ี ๕ เกิดจากการท่ีมีทรายทับถมทอดูดนํ้าและใบพัดเครื่องสูบนํ้า จนกระท่ัง
เคร่ืองสูบน้ําเครื่องที่ ๒ เคร่ืองที่ ๓ และเคร่ืองที่ ๔ ชํารุดเสียหาย โครงการสงน้ําฯ จึงไดประสานกับ
เจาหนาท่ีจาก กฟผ. เข่ือนอุบลรัตน ใหเขาตรวจสอบแกไขเครื่องสูบนํ้าที่ชํารุดเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม
๒๕๕๕ และไดใหน กั ประดานํ้าลงไปตรวจสอบใตน้ํา พบวามีทรายทับถมใบพัดเครื่องสูบนํ้าอยูจํานวนมาก
จึงไดดําเนินการแกไขโดยดูดทรายออกไปกลางแมนํ้า ใชเวลาดูดทรายประมาณ ๑๕ วัน จึงทําให
เครื่องสูบนํ้าเคร่ืองที่ ๕ สามารถสูบน้ําไดเมื่อวันท่ี ๒๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๕ ขออางของผูฟองคดีที่วา
เจาหนาที่ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ละเลยตอหนาที่ไมดําเนินการซอมแซมเคร่ืองสูบนํ้าเคร่ืองที่ ๑ และ
เคร่ืองที่ ๕ ใหอยูในสภาพพรอมใชงานกอนฤดูการทํานาปรัง ป ๒๕๕๔/๒๕๕๕ จึงไมอาจรับฟงได
สําหรบั เครอ่ื งสูบน้าํ เคร่ืองที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ นั้น หลังจากที่สถานีสูบนํ้า P.๖/๑ เร่ิมสูบนํ้าเขาคลองสงน้ํา
ตง้ั แตวันท่ี ๘ ธนั วาคม ๒๕๕๔ จนถึงวันท่ี ๘ มกราคม ๒๕๕๕ เครื่องสูบนํ้าเคร่ืองท่ี ๔ มีอาการสั่นมาก
จนไมสามารถสูบน้ําตอไปได เม่ือวันที่ ๑๔ มกราคม ๒๕๕๕ เครื่องสูบน้ําเครื่องที่ ๓ ก็มีอาการสั่น
จนไมสามารถสูบนํ้าได และเมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๕๕ เคร่ืองสูบน้ําเคร่ืองที่ ๒ ก็มีอาการส่ัน
แนวคําวินิจฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๖
เชนเดียวกันจนไมอาจสูบน้ําได สถานีสูบน้ํา P.๖/๑ จึงไมสามารถสูบนํ้าใหเกษตรกรไดต้ังแตวันท่ี ๒๐
มกราคม ๒๕๕๕ เปนตนไป โดยเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๕๕ เจาหนาท่ีจาก กฟผ. เข่ือนอุบลรัตน
ไดเขาไปเพ่ือดําเนินการตรวจสอบและแกไข โดยไดใหนักประดาน้ําลงไปตรวจสอบใตนํ้า จึงพบวา
มีทรายทับถมใบพัดเครื่องสูบนํ้าจํานวนมาก โดยเฉพาะเครื่องสูบนํ้าเครื่องท่ี ๑ ท่ี ๒ และที่ ๓
สว นเครอ่ื งสบู นํ้าเคร่ืองที่ ๔ และท่ี ๕ กม็ ีทรายทับถมใบพัดอยเู ชน กัน ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงไดจาง กฟผ.
เขื่อนอุบลรัตน ทําการดูดทรายออกไป โดยใชเวลาดําเนินการประมาณ ๑๕ วัน เม่ือดูดเอาทราย
ออกไปแลว เครอ่ื งสูบน้ําจงึ สามารถสบู นา้ํ ตอ ไปได โดยเครอื่ งสูบนา้ํ เครือ่ งที่ ๒ สามารถสูบนํ้าไดเม่ือวันท่ี
๑๐ กุมภาพันธ ๒๕๕๕ เครื่องท่ี ๕ สามารถสูบน้ําไดเม่ือวันท่ี ๒๑ กุมภาพันธ ๒๕๕๕ และเครื่องที่ ๓
สามารถสูบน้ําไดเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๕ โดยมีการสูบน้ําสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันตลอด
เดือนมนี าคม ๒๕๕๕ และไดหยดุ สบู นํา้ เมอื่ เดอื นเมษายน ๒๕๕๕ เนื่องจากสิ้นสดุ ฤดูการทํานาปรังแลว
ประกอบกับ ขณะท่ผี ูถกู ฟอ งคดีที่ ๒ รับโอนสถานสี ูบนํา้ P.๖/๑ มาจากกรมพัฒนาและสงเสรมิ พลังงาน
ตาม พ.ร.ฎ. โอนกิจการบริหารและอํานาจหนาท่ีของสวนราชการใหเปนไปตาม พ.ร.บ. ปรับปรุง
กระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ แกไขเพม่ิ เติมโดย พ.ร.ฎ. โอนกิจการบริหารและอํานาจ
หนาที่ของสวนราชการใหเปนไปตาม พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ (ฉบับท่ี ๒)
พ.ศ. ๒๕๕๐ ไมปรากฏขอเท็จจริงวา กรมพัฒนาและสงเสริมพลังงานไดแจงใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒
ทราบวามีหรือเคยมีทรายมาทับถมทอดูดน้ําและใบพัดเครื่องสูบน้ํา และเม่ือเคร่ืองสูบน้ําท้ัง ๕ เครื่อง
ชาํ รดุ เสยี หาย เจา หนา ทีข่ องผถู กู ฟอ งคดีที่ ๒ ก็ไดประสานแจงให กฟผ. เข่ือนอุบลรัตน เขาดําเนินการ
ตรวจสอบซอมแซมโดยทันที จึงรับฟงไมไดวา การท่ีเครื่องสูบนํ้าของสถานีสูบน้ําดวยไฟฟา P.๖/๑
ซ่ึงอยใู นความรบั ผิดชอบของผถู ูกฟอ งคดีที่ ๒ ชํารุดเสียหายไมสามารถสูบน้ําเพื่อสงน้ําและกระจายนํ้า
ใหแกผูฟองคดีเพ่ือทํานาปรังตลอดฤดูการผลิตป ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ทําใหขาวนาปรังของผูฟองคดี
แหงตาย เกิดจากเจาหนาที่ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ไมดูแล บํารุงรักษา และซอมแซมเครื่องสูบน้ํา
ใหอยูในสภาพพรอมใชงานตามหนาท่ีท่ีกําหนดไวในขอ ๒ และขอ ๑๔ ของกฎกระทรวงแบงสวน
ราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบคําส่ังกรมชลประทาน
ที่ ๑๐๓/๒๕๕๑ เร่ือง การกําหนดโครงการสงนํ้าและบํารุงรักษาเพ่ิมใหม ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม
๒๕๕๑ เม่ือเจาหนาที่ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มิไดละเลยตอหนาท่ีตามที่กฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ
เจาหนาท่ีของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมไดกระทําละเมิดตอผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวล
กฎหมายแพงและพาณิชย ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ จึงไมตองรับผิดชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี
ตามมาตรา ๕ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ ประกอบกับ
เกษตรกรไดปลูกขาวนาปรังในเขตพื้นท่ีชลประทานของสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ เกินกวาพื้นท่ีท่ีกําหนดไว
ตามแผนบริหารจัดการนํ้าและแผนเพาะปลูกพืชฤดูแลง (นาปรัง) จึงเปนเหตุใหมีพื้นท่ีรับน้ํา
เพิ่มมากกวา ๑๕,๐๐๐ ไร เครื่องสูบน้ําจํานวน ๓ เคร่ืองท่ีมีอยู คือ เคร่ืองท่ี ๒ ที่ ๓ และท่ี ๔
จึงรับภาระในการสูบนํ้ามากกวาพื้นที่ท่ีกําหนดไว ที่ศาลปกครองชั้นตนพิพากษายกฟอง น้ัน
ศาลปกครองสูงสุดเห็นพอ งดวย
พพิ ากษายนื
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๗
คาํ พพิ ากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อ.๙๖/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนเกษตรกรที่มีพ้ืนที่ทํานาในเขตชลประทานท่ีอยูใน
ความรับผิดชอบของสถานีสูบนํ้าดวยไฟฟา P.๖/๑ บานเวินชัย ตําบลผือฮี อําเภอมหาชนะชัย
จังหวดั ยโสธร จาํ นวน ๓ แปลง ตามโฉนดที่ดินเลขท่ี ๒๕๖๗๓ เนื้อที่ ๒๙ ไร ๒ งาน ๑๐ ตารางวา
โฉนดที่ดินเลขท่ี ๕๒๐๙๑ เน้ือท่ี ๘ ไร ๒ งาน ๘๕ ๒/๑๐ ตารางวา และที่ดินตามหนังสือรับรอง
การทําประโยชนในท่ีดินที่ไมมีเอกสารสิทธิ เนื้อท่ี ๑๒ ไร ไดรับความเดือดรอนเสียหายจาก
โครงการสงนํ้าและบํารุงรักษาพัฒนาลุมนํ้าชีตอนลางและเซบายตอนลาง ซึ่งเปนหนวยงาน
ในสังกดั ของผูถ ูกฟองคดีทงั้ สอง (สาํ นักชลประทานท่ี ๗ ที่ ๑ กรมชลประทาน ท่ี ๒) โดยโครงการ
ดังกลาวมีหนาท่ีสงน้ําหรือกระจายน้ําของสถานีสูบนํ้าดวยไฟฟา P.๖/๑ ตามสัญญาในการสูบนํ้า
เพ่ือการเกษตร ลงวันที่ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ กลาวคือ ในฤดูทํานาปรัง ป ๒๕๕๔/๒๕๕๕
หลังจากท่ีผูฟองคดีไดปลูกขาวพรอมใสปุยจนขาวต้ังทองแลว ประมาณเดือนธันวาคม ๒๕๕๔
เคร่ืองสูบนํ้าของสถานีสูบน้ํา P.๖/๑ ไดชํารุดท้ังหมด สงผลใหขาวนาปรังของผูฟองคดีจํานวน
๓๘ ไร แหงตาย ผูฟองคดีเห็นวา ความเสียหายขางตนเกิดจากความบกพรองของเจาหนาที่
ในสังกัดของผถู ูกฟอ งคดที ี่ ๒ ท่ีละเลยไมต รวจสอบและซอมบํารุงเครื่องสูบน้ํา ซ่ึงหากเครื่องสูบนํ้า
ไมชํารุด ผูฟองคดีจะขายหรือจํานําขาวไดกิโลกรัมละ ๑๕ บาท หรือตันละ ๑๕,๐๐๐ บาทตอไร
โดยคิดจากตนทุน เปนเงิน ๔,๑๐๐ บาทตอไร และกําไรเปนเงิน ๑๐,๙๐๐ บาทตอไร
แตผูถูกฟองคดีท้ังสองเพิกเฉย ผูฟองคดีจึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งให
ผูถูกฟองคดีท้ังสองชดใชคาเสียหายจากการกระทําละเมิดในอัตราไรละ ๑๕,๐๐๐ บาท
จํานวน จํานวน ๓๘ ไร เปนเงินทั้งสิ้นจํานวน ๕๗๐,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ย เห็นวา ขณะที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ รับโอนสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ มาจากกรมพัฒนาและสงเสริมพลังงาน ตาม พ.ร.ฎ.
โอนกิจการบริหารและอํานาจหนาท่ีของสวนราชการใหเปนไปตาม พ.ร.บ. ปรับปรุงกระทรวง
ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ พ.ศ. ๒๕๔๕ แกไ ขเพม่ิ เติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ. ๒๕๕๐ นั้น ไมป รากฏวา กรม
พัฒนาและสงเสริมพลังงานไดแจงใหผูถูกฟองคดีท่ี ๒ ทราบวามีหรือเคยมีทรายมาทับถม
ทอดูดน้ําและใบพัดเครื่องสูบนํ้า และเมื่อเคร่ืองสูบนํ้าท้ัง ๕ เคร่ือง ชํารุดเสียหาย เจาหนาท่ี
ของผูถูกฟอ งคดที ี่ ๒ ก็ไดประสานแจงให กฟผ. เข่ือนอุบลรัตน เขาดําเนินการตรวจสอบซอมแซม
โดยทันที กรณีจึงรับฟงไมไดวา การท่ีเคร่ืองสูบนํ้าของสถานีสูบน้ําดวยไฟฟา P.๖/๑ ซ่ึงอยูในความ
รบั ผิดชอบของผถู ูกฟอ งคดีที่ ๒ ชาํ รดุ เสยี หาย ไมส ามารถสูบนา้ํ เพ่ือสง นาํ้ และกระจายน้ําใหกับผูฟองคดี
เพื่อทํานาปรังตลอดฤดูการผลิตป ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ทําใหขาวนาปรังของผูฟองคดีแหงตาย เกิดจาก
เจาหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ละเลยตอหนาที่ ไมดูแล บํารุงรักษา และซอมแซมเคร่ืองสูบน้ําใหอยูใน
สภาพพรอมใชงานตามหนาที่ท่ีกําหนดไวในขอ ๒ และขอ ๑๔ ของกฎกระทรวงแบงสวนราชการ
กรมชลประทาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ประกอบกับคําสั่งกรมชลประทาน
เรื่อง การกําหนดโครงการสงน้ําและบํารุงรักษาเพิ่มใหม ลงวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๕๕๑ เมื่อเจาหนาที่
ของผูถูกฟองคดีท่ี ๒ มิไดละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ เจาหนาที่ของ
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงไมไดกระทําละเมิดตอผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพง
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๘
และพาณิชย ผูถูกฟองคดีที่ ๒ จึงไมตองรับผิดชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีตามมาตรา ๕ วรรคหน่ึง
แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ สวนกรณีที่ผูฟองคดีอุทธรณวา
ตามหลักการทํางานของเคร่ืองสูบน้ําจะตองสูบน้ําพรอมกัน ๓ เคร่ือง และสํารอง ๒ เครื่อง น้ัน นาย ณ.
วิศวกรผูตรวจสอบบํารุงรักษาเครื่องสูบน้ําของสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ ไดใหถอยคําตอศาลปกครองช้ันตนวา
การสูบน้ําจากเคร่ืองสูบนํ้าดังกลาวปกติจะสูบนํ้าเพียง ๒ เครื่อง สวนอีก ๓ เคร่ือง เปนเคร่ืองสํารอง
เพราะหากสูบน้ําพรอมกันทั้ง ๓ เคร่ือง น้ําจะลนคลองสงน้ํา สวนกรณีท่ีจะตองสูบน้ําพรอมกัน
๓ เคร่ือง และสํารอง ๒ เคร่ือง น้ัน เปนกรณีที่เจาหนาที่ของผูถูกฟองคดีที่ ๒ ใชปฏิบัติสําหรับ
พื้นท่ีชลประทาน จํานวน ๓๕,๕๐๐ ไร และเคร่ืองสูบนํ้าของสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ พรอมใชงานท้ัง
๕ เคร่ือง แตในฤดูการผลิตขาวนาปรัง ป ๒๕๕๔/๒๕๕๕ ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ มีแผนการบริหาร
จัดการน้ําและเพาะปลูกพืชฤดูแลง (นาปรัง) จํานวน ๑๕,๐๐๐ ไร ซึ่งเปนการวางแผนการใชน้ํา
สําหรับเคร่ืองสูบนํ้าจํานวน ๓ เคร่ือง คือ เคร่ืองท่ี ๒ เครื่องท่ี ๓ และเครื่องที่ ๔ ซึ่งพรอมใชงาน
ในขณะนั้น โดยจะเริ่มสูบน้ําพรอมกันท้ัง ๓ เคร่ือง เพ่ือใหระดับนํ้าสูงกวาระดับทอสงนํ้าแลว
จึงหยุดพัก ๑ เครื่อง เพ่ือรักษาระดับนํ้าใหคงท่ี จากน้ันจึงใชเครื่องสูบนํ้าเพียง ๒ เครื่อง สลับกัน
หยุดหมุนเวียนตลอดไป นอกจากน้ี ยังปรากฏขอเท็จจริงดวยวาคณะกรรมการบริหารการใชน้ํา
ประจําสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ รับทราบแลวตั้งแตการประชุมรวมระหวางคณะกรรมการบริหารการใชน้ํา
กับหัวหนาฝายสงนํ้าและบํารุงรักษาที่ ๑ และเจาหนาท่ีประจําสถานีสูบน้ํา P.๖/๑ เม่ือวันที่
๒๒ พฤศจกิ ายน ๒๕๕๔ วา โครงการสง น้ําฯ กําหนดแผนการบริหารจัดการน้าํ และเพาะปลูกพืชฤดูแลง
จํานวน ๑๕,๐๐๐ ไร โดยผูอํานวยการโครงการสงนํ้าฯ ไดกลาวยํ้าในที่ประชุมวากลุมบริหาร
การใชน้ําตองปฏิบัติตามแผนการเพาะปลูก แตจากถอยคําของนาย ส. ผูใหญบานหมูที่ ๓ และ
นาย บ. ผูใหญบานหมูที่ ๗ ที่ไดใหถอยคําตอศาลปกครองชั้นตนในฐานะพยานทํานองเดียวกันวา
ฤดูทํานาปรังป ๒๕๕๔/๒๕๕๕ มีการทํานาปรังเพ่ิมขึ้นจากป ๒๕๕๓/๒๕๕๔ โดยหมูท่ี ๓ ตําบลผือฮี
เพ่ิมขึ้นรอยละ ๕ และหมูท่ี ๗ ตําบลสงยาง เพ่ิมขึ้นเกือบเทาตัว กรณีจึงรับฟงไดวา เกษตรกร
ไดปลูกขาวนาปรังในเขตพ้ืนท่ีชลประทานของสถานีสูบนํ้า P.๖/๑ เกินกวาพื้นที่ท่ีกําหนดไว
ตามแผนการบริหารจัดการนํ้าและเพาะปลูกพืชฤดูแลง (นาปรัง) จึงเปนเหตุใหมีพื้นท่ีรับน้ําเพิ่ม
มากกวา ๑๕,๐๐๐ ไร เครื่องสูบนํ้าจํานวน ๓ เคร่ือง ท่ีมีอยู คือ เคร่ืองที่ ๒ เครื่องที่ ๓ และเคร่ืองท่ี ๔
จึงรับภาระในการสูบน้ํามากกวาพื้นที่ที่กําหนดไว ที่ศาลปกครองชั้นตนมีคําพิพากษายกฟอง น้ัน
ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พองดวย
พิพากษายนื
ฟอ งขอใหดําเนนิ การกอ สรา งถนนโดยฝง ทอซีเมนตและกลบปด ใหเรยี บรอยโดยเร็ว
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๐๘/๒๕๖๓
ผูฟองคดีท้ังสามสิบฟองวา ผูฟองคดีทั้งสามสิบเปนผูพักอาศัยและประกอบอาชีพ
ตามแนวถนนเพชรเกษม ชวงระหวาง กม.๒๒๑ – กม.๒๒๓ ตําบลหนองแก อําเภอหัวหิน จังหวัด
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๘๙
ประจวบคีรีขันธ ซึ่งเปนชวงระยะทางท่ีผูถูกฟองคดีทั้งสอง (กรมทางหลวง ท่ี ๑ ผูอํานวยการ
แขวงทางหลวงประจวบคีรีขันธ (หวั หิน) (ผูอาํ นวยการแขวงการทางประจวบคีรีขันธ (หัวหิน) เดิม)
ที่ ๒) ไดมีโครงการกอสรางถนนเพ่ิมเติมจากถนนเพชรเกษมแนวเดิม โดยเม่ือประมาณเดือน
มกราคม ๒๕๕๖ ผูถูกฟองคดีทั้งสองไดดําเนินการขุดทางระบายนํ้าขนาดกวาง ๔ เมตร
ยาวประมาณ ๑๐ เมตร โดยไมฝงทอซีเมนตและกลบปดใหเรียบรอย โดยเฉพาะบริเวณส่ีแยก
ทางเขาวัดพุทธไชโย (ซอยหัวหิน ๑๑๖) ซึ่งมีการจราจรหนาแนน ทําใหประชาชนผูใชทางขับรถ
พลดั ตกลงไปในรองน้าํ ไดร ับบาดเจ็บหลายราย อีกทั้งรองน้ําดังกลาวยังกลายเปนที่ท้ิงขยะทําใหสง
กลิ่นเหม็นรบกวนผูฟองคดีทั้งสามสิบและประชาชนท่ัวไป ตอมา วันท่ี ๗ กุมภาพันธ ๒๕๕๘
ผูถูกฟองคดีท้ังสองไดนํารถแบคโฮเขามาขุดดินบริเวณดานหนาอาคารท่ีพักอาศัยของผูฟองคดี
ท้ังสามสิบ โดยเตรียมขุดเปนทางระบายน้ําขนาดใหญ ผูฟองคดีทั้งสามสิบและประชาชนในพ้ืนท่ี
ไมเห็นดวยจึงเขา ไปเจรจาเพื่อใหยุติการกระทาํ ดังกลาวจนเกดิ การโตเถียงกนั ซึ่งเหตุการณไดยุติลง
ดวยเจาหนาที่ทหารในพื้นท่ีไดเจรจาไกลเกล่ีย ผูฟองคดีท้ังสามสิบเห็นวา ผูถูกฟองคดีทั้งสอง
ไดทําการขุดทางระบายนํ้ามาต้ังแตเดือนมกราคม ๒๕๕๖ ซึ่งเม่ือนับระยะเวลาดังกลาวจนถึง
ปจจุบันเปนเวลากวา ๒ ป แลว ผูถูกฟองคดีทั้งสองก็ยังดําเนินการไมแลวเสร็จ กรณีดังกลาวนี้
เปนเหตุใหผูฟองคดีท้ังสามสิบไมอาจใชถนนเพชรเกษมไดโดยสะดวกและปลอดภัย นอกจากน้ี
ผูฟองคดีท้ังสามสิบไดมีการประชุมรวมกันและมีมติใหกอสรางทางระบายน้ําในลักษณะ
เปนทอซีเมนตและกลบปดใหเรียบรอย แตผูถูกฟองคดีทั้งสองไมดําเนินการโดยยังคงกอสราง
ตามรูปแบบเดิมท่ีทาํ เปน รางระบายนา้ํ แบบเปด อีกท้ังการกอสรางดังกลาวของผูถูกฟองคดีท้ังสอง
ไมไดมีการจัดทําแผนผังแสดงแนวเขตทางระบายน้ํา และปดประกาศไวในบริเวณท่ีจะกระทําการ
น้ัน รวมทั้งไมไดมีการแจงใหผูฟองคดีทั้งสามสิบทราบแนวเขตดังกลาวไมนอยกวาเกาสิบวัน
การกระทําของผูถูกฟองคดีทั้งสองดังกลาวเปนการกระทําตามอําเภอใจ โดยไมรับฟงความคิด
เห็นของผูมีสวนไดเสียซึ่งขัดตอมาตรา ๓๒ แหง พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ แกไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๙ จึงนําคดีมาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังสอง
ดําเนินการกอสรางถนนในบริเวณที่เกิดเหตุดังกลาวตามคําฟองนี้ใหอยูในสภาพเรียบรอย
โดยทําการฝงทอซีเมนตและกลบปดใหเรียบรอยโดยเร็ว เห็นวา เม่ือพิจารณาจากบทบัญญัติ
มาตรา ๔ มาตรา ๑๕ (๑) มาตรา ๑๙ มาตรา ๒๕ มาตรา ๓๒ วรรคหนึ่ง แหง พ.ร.บ. ทางหลวง
พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา ๓๒ แหง พ.ร.บ. ระเบียบบริหารราชการแผนดิน พ.ศ. ๒๕๓๔ ประกอบ
ขอ ๒ ของกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมทางหลวง กระทรวงคมนาคม พ.ศ. ๒๕๕๘ แลว
ผถู กู ฟอ งคดีที่ ๑ โดยอธบิ ดีกรมทางหลวงมอี าํ นาจหนา ที่เกี่ยวกับงานทางในการกอสราง การขยาย
การบูรณะ การบํารุงรักษา หรือการจราจรบนทางหลวงแผนดิน และมีอํานาจทําหรือ
แกทางระบายนํ้าท่ีไหลผานทางหลวงแผนดิน หรือทําหรือแกทางระบายนํ้าออกจากทางหลวง
แผนดินเพ่ือไปสูแหลงนํ้าสาธารณะที่ใกลเคียงตามความจําเปนได ซ่ึงอํานาจหนาท่ีดังกลาว
หมายความรวมถึงการกําหนดรูปแบบ มาตรฐานและลักษณะของทางหลวงใหเปนไป
ตามมาตรฐานทางวิศวกรรมดวย ดังนั้น การดําเนินการปรับปรุงพ้ืนท่ีเขตทางหลวงหมายเลข ๔
แนวคาํ วินิจฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๐
(ถนนเพชรเกษม) ตอนหวยทรายใต – วังยาว ซึ่งเปนทางหลวงแผนดิน โดยกอสรางรางระบายน้ํา
แบบเปด ระหวาง กม.๒๒๒+๗๐๐ – กม.๒๒๓+๒๐๐ พรอมทางขนาน จึงอยูในอํานาจหนาที่ของ
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยมีผูถูกฟองคดีที่ ๒ เปนเจาหนาท่ีในสังกัดท่ีปฏิบัติในพ้ืนที่ ผูถูกฟองคดี
ทั้งสองจึงสามารถพิจารณาใชดุลพินิจในการกําหนดรูปแบบวิธีการในการดําเนินการดังกลาวได
และการกอสรางในรูปแบบดังกลาวไดมีการสํารวจสภาพพื้นท่ี วิเคราะหและประเมินปริมาณนํ้าท่ี
ไหลจากพื้นที่ตาง ๆ และคํานวณอัตราการไหลของน้ําเพ่ือใหไดรูปแบบการกอสรางระบบระบาย
นา้ํ ท่ีเหมาะสม รวมทง้ั มกี ารจัดทําแผนที่โครงการและจดั ทําแบบรูปงานกอสรางดังกลาวโดยอางอิง
มาตรฐานและขอกําหนดของผถู ูกฟองคดีท่ี ๑ ประกอบกับผูถูกฟองคดีท้ังสองอางเหตุผลในการใช
ดุลพินิจพิจารณาความเหมาะสมวา การพัฒนาที่ดินเมืองหัวหินเติบโตอยางรวดเร็ว พ้ืนที่สองขาง
ทางหลวงมีการถมดินเหลือชองทางระบายน้ําออกสูทะเลอยางจํากัด โดยมีชองทางระบายออกสู
ทะเลผานทางคลองพระราชดาํ ริเลียบทางรถไฟทเ่ี ขาตะเกยี บเพียงจดุ เดยี ว ซึ่งโครงการกอสรางราง
ระบายนํ้าเพื่อแกไขปญหาน้ําทวมดังกลาวของผูถูกฟองคดีมีความสอดคลองกับแนวทางการ
ดําเนินการของกรมโยธาธิการและผังเมือง ในแงท่ีจะตองหาชองทางระบายนํ้าออกสูทะเล
ใหไดมากที่สุด แตในระหวางท่ีโครงการของกรมโยธาธิการและผังเมืองยังไมไดดําเนินการ
ผูถูกฟองคดีท้ังสองไดประชุมหารือรวมกับหนวยงานที่เก่ียวของในการวางแนวทางการแกปญหา
เฉพาะหนาดวยการขุดรางระบายน้ําเพื่อระบายออกไปทางเขตทางรถไฟ รวมทั้งใหขุดลอกเขต
ทางรถไฟเปน พ้นื ทีร่ บั นํ้าและระบายออกบริเวณอาคารระบายนํ้าใตทางรถไฟเพ่ือระบายลงสูคลอง
พระราชดําริตอไป การกอสรางรางระบายนํ้าแบบเปดมีจุดประสงคเพื่อชวยแบงเบาพ้ืนท่ีรับนํ้า
ท่ีหายไปจากสองขางทางถนนเพชรเกษมใหมากท่ีสุดในสภาพท่ีชองทางระบายน้ําออกสูทะเลมีจํากัด
ซ่ึงจะชวยใหไมเกิดนํ้าทวมบอยดังเชนที่ผานมา และหากโครงการจากกรมโยธาธิการและผังเมือง
แลวเสร็จสมบูรณจะยิ่งชวยใหปญหานํ้าทวมบรรเทาลงได และหากการกอสรางระบบระบายน้ํา
ในรูปแบบฝงทอซีเมนตตามที่ผูฟองคดีทั้งสามสิบตองการนั้นจะกอใหเกิดปญหาการอุดตันของ
ขยะทถี่ ูกทงิ้ ลงในเขตทางทําใหน้ําไหลไมสะดวกและจะรองรับนํ้าไดนอยกวารูปแบบรางระบายนํ้า
แบบเปด ซ่ึงถือเปนเหตุผลในการใชดุลพินิจพิจารณาความเหมาะสมท่ีรับฟงได อีกท้ังยังเห็นได
อยางชัดเจนวา ระบบระบายน้ํารูปแบบรางระบายน้ําแบบเปดสามารถรองรับปริมาณน้ําและ
มีอัตราความเร็วในการระบายนํ้าเพื่อแกไขปญหานํ้าทวมผิวทางจราจรไดอยางมีประสิทธิภาพ
ยิ่งกวาระบบระบายน้ํารูปแบบฝงทอซีเมนต สวนการเขาออกถนนหลักไมสะดวกนั้น ฟงไดวา
เปนกรณีกอนลดขนาดความกวางของรางระบายน้ํา กรณีจึงถือวา ผูถูกฟองคดีทั้งสอง
ไดใชดุลพินิจโดยอาศัยขอมูลเชิงวิชาการและมาตรฐานทางวิศวกรรมในการกําหนดรูปแบบ
การกอสรางระบบระบายนํ้าของทางหลวงตามความเหมาะสมแหงกรณีแลว สําหรับกรณีท่ี
ผูถูกฟองคดีทั้งสองลดขนาดรางระบายน้ําจากความกวาง ๑๑.๐๐ เมตร เหลือ ๖.๐๐ เมตร นั้น
ไมใชเหตุท่ีผูฟองคดีท้ังสามสิบจะนํามาอางไดวาเปนการละเมิดตอผูฟองคดีท้ังสามสิบแตอยางใด
และการใชดุลพินิจของผูถูกฟองคดีท้ังสองในกรณีนี้เปนไปตามสภาพปญหา สภาพพ้ืนท่ี
โดยไมจําตองนําไปเปรียบเทียบกับการกอสรางทางระบายนํ้าแบบฝงทอซีเมนต และไมจําตอง
แนวคาํ วนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๑
ขอความเห็นจากวิศวกรรมสถานแหงประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ สวนกรณีการกอสราง
รางระบายน้าํ แบบเปดทําใหเ กิดอุบัติเหตเุ พิ่มมากขน้ึ โดยมีรถยนตจํานวนหลายคันขับพลัดตกลงไป
ในรางระบายน้าํ อกี ทั้งยงั ทาํ ใหม ีนาํ้ ทวมขังเนา เสยี เปน แหลง เพาะพันธุยุง และมีขยะสะสมสงกล่ินเหม็น
อันเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดีท้ังสามสิบและประชาชนทั่วไป น้ัน สาเหตุของ
อุบัติเหตุดังกลาวจะตองพิจารณาถึงความระมัดระวังในการขับขี่รถของผูใชทาง รวมถึงการปฏิบัติ
หนาท่ีของเจาหนาท่ีท่ีเกี่ยวของในการติดตั้งปายจราจร เคร่ืองหมายจราจร เครื่องหมายสัญญาณ
หรือเคร่ืองหมายอื่นใด เปนสําคัญ เม่ือปรากฏวา ผูถูกฟองคดีท้ังสองไดกอสรางขอบคอนกรีต
ตลอดแนวขอบรางระบายนํ้าเพ่ือปองกันการพลัดตกของรถเสร็จสิ้นแลว หากผูฟองคดีทั้งสามสิบ
เห็นวา เครื่องหมายหรือสัญญาณปองกันความปลอดภัยทางจราจรยังไมเหมาะสมเพียงพอประการใด
หรือมีนํ้าทวมขังเนาเสีย เปนแหลงเพาะพันธุยุง และมีขยะสะสมสงกลิ่นเหม็น ผูฟองคดี
ทั้งสามสิบก็ยอมรองขอใหหนวยงานหรือเจาหนาท่ีที่เกี่ยวของดําเนินการติดตั้งเคร่ืองหมายหรือ
สัญญาณดังกลาวใหเหมาะสมเพียงพอ หรือดําเนินการแกไขปองกันปญหาดังกลาวตามอํานาจ
หนาที่ แลวแตกรณีได โดยท่ีผูถูกฟองคดีทั้งสองไมจําตองปรับเปล่ียนรูปแบบการกอสรางระบบ
ระบายน้ําแตอยางใด สวนกรณีผูถูกฟองคดีทั้งสองทําการกอสรางรางระบายน้ําแบบเปดดังกลาว
ตามอําเภอใจโดยไมมีการรับฟงความคิดเห็นของผูฟองคดีทั้งสามสิบและประชาชนผูมีสวนไดเสีย
รวมถงึ หนว ยงานทีเ่ กย่ี วของ อันเปน การมไิ ดป ฏิบัติตาม พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ และมาตรา
๕๗ และมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญแหงราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ นั้น
เม่ือโครงการกอสรา งของผถู กู ฟอ งคดีทั้งสองเปน โครงการกอ สรางขนาดเลก็ ซึ่งกระทาํ อยูในเขตทาง
หลวงแผนดิน มิใชโครงการหรือกิจกรรมท่ีอาจกอใหเกิดผลกระทบตอชุมชนอยางรุนแรง
ท้ังทางดานคุณภาพส่ิงแวดลอม ทรัพยากรธรรมชาติและสุขภาพ และไมถือวาเปนโครงการหรือ
กิจกรรมท่ีมีผลกระทบตอสวนไดเสียสําคัญของประชาชนและผูฟองคดีทั้งสามสิบ และกรณีมิใช
การทาํ หรือแกทางระบายนํ้าโดยธรรมชาติที่ไหลผานทางหลวงท่ีจะตองดําเนินการตามมาตรา ๓๒
แหง พ.ร.บ. ทางหลวง พ.ศ. ๒๕๓๕ ผูถูกฟองคดีทั้งสองจึงไมจําตองจัดใหมีการรับฟงความคิด
เห็นของผูฟองคดีทั้งสามสิบและประชาชน รวมท้ังไมจําตองมีหนังสือแจงใหผูฟองคดีทั้งสามสิบ
ทราบลว งหนาไมนอยกวาหกสบิ วันกอนเขาดําเนินการกอสรางรางระบายนํ้าพิพาท ตามนัยมาตรา ๓๒
แหงพระราชบัญญัติดังกลาว และมาตรา ๕๗ และมาตรา ๖๗ วรรคสอง ของรัฐธรรมนูญ
แหง ราชอาณาจักรไทย พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๐ แตอยา งใด ดังนั้น การกระทําของผูถูกฟองคดีท้ังสอง
จึงไมเปนการกระทําละเมิดตอผูฟองคดีท้ังสามสิบตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชย ผูถูกฟองคดีทั้งสองจึงไมตองรับผิดตอผูฟองคดีทั้งสามสิบ ท่ีศาลปกครองชั้นตน
พพิ ากษายกฟอ ง นน้ั ศาลปกครองสงู สุดเห็นพองดวย
พพิ ากษายนื
แนวคําวินิจฉัยศาลปกครองสูงสุด ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๒
ฟองขอใหชดใชคาสินไหมทดแทน กรณีกอสรางคลองสงน้ําในโครงการระบบสงนํ้าทําใหน้ํา
ทวมทดี่ นิ ของราษฎร
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สดุ ท่ี อ.๑๐๙/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา ผูฟองคดีเปนเจาของท่ีดินตามโฉนดที่ดินและครอบครองและ
ทําประโยชนในท่ีดินตามหนังสือรับรองการทําประโยชน (น.ส. ๓ ก.) รวม ๔ แปลง โดยประกอบ
อาชีพทํานาในท่ีดินดังกลาว ตอมา ในป พ.ศ. ๒๕๑๗ ผูถูกฟองคดีที่ ๒ (สํานักชลประทานท่ี ๑๖)
โดยความเห็นชอบของผูถูกฟองคดีท่ี ๑ (กรมชลประทาน) ไดกอสรางคลองคอนกรีตสงน้ํา
ในโครงการระบบสงนํ้าสายใหญฝงซายสายท่ี ๒ โดยปลายคลองคอนกรีตสงนํ้าส้ินสุดบริเวณพ้ืนท่ี
ท่ีผูฟองคดีและราษฎรขางตนใชทํานา เปนเหตุใหนํ้าหลากในฤดูฝน โดยปริมาณนํ้าจํานวนมาก
ท่ีไหลมาจากเทือกเขาบรรทัดปกติจะไหลกระจายไปท่ัวทุกพื้นท่ี กลับไหลลงคลองสงน้ําดังกลาว
และเออทวมบริเวณพ้ืนที่ทํานาของผูฟองคดีและราษฎรดังกลาว ผูฟองคดีและราษฎรขางตนได
แตงตั้งตัวแทนเพื่อรองขอใหผูถูกฟองคดีท้ังสองแกไขปญหาน้ําทวม โดยขอใหกอสรางคลอง
คอนกรีตสงนํ้าเพ่ิมเติมตอจากปลายคลองสงนํ้าเดิมไปสิ้นสุดจรดทะเลสาบสงขลา เพ่ือใหน้ําไหลลงสู
ทะเลสาบสงขลา แตผูถูกฟองคดีทั้งสองไมดําเนินการ เปนเหตุใหนํ้าทวมพื้นท่ีทํานาทุกป
ผูถูกฟองคดีท้ังสองจึงตองรับผิดชดใชคาเสียหายอันเน่ืองมาจากการกระทําดังกลาวท่ีเปนเหตุให
ผฟู อ งคดีขาดรายไดจากการทาํ นาในแตล ะปเ ปนเงนิ จาํ นวนไรละ ๙,๕๐๐ บาท ทั้งนี้ ตามราคาขาว
พนั ธุเ ลบ็ นกที่สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรเขต ๙ โดยผูฟองคดีคิดคาเสียหายเปนคาขาดรายไดจาก
การทํานา ปละ ๑๔๒,๕๐๐ บาท ต้ังแตป พ.ศ. ๒๕๑๗ จนถึงวันฟองรวม ๓๘ ป เปนเงินจํานวน
๕,๔๑๕,๐๐๐ บาท จึงนําคดีมาฟองตอ ศาลขอใหศ าลมคี าํ พพิ ากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังสอง
รวมกันชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดีเปนเงินจํานวน ๕,๔๑๕,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรา
รอยละ ๗.๕ ตอ ปข องตนเงินดังกลาวนับแตวันถัดจากวนั ฟอ งเปนตนไปจนกวา จะชําระเสรจ็ เห็นวา ผู
ถูกฟองคดีท่ี ๑ กอสรางฝายชะลอนํ้าท่ีตนคลองรัตภูมิเพ่ือรับนํ้าจากเทือกเขาบรรทัด
และชวยชะลอน้ําไมใหไหลกระจายลงสูเรือก สวน ไร นา เร็วเกินไป และผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดกอสรางคลองสงนํ้าสายใหญฝงขวา ความยาว ๖.๗ กิโลเมตร คลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายท่ี ๑
ความยาว ๑๘.๓๐๒ กิโลเมตร นอกจากนี้ ผูถ กู ฟอ งคดีที่ ๒ โดยความเหน็ ชอบของผูถูกฟองคดีท่ี ๑
ไดกอสรางคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ เพ่ือแกไขปญหาภัยแลงและภัยน้ําทวม
โดยเม่ือสิ้นสุดฤดูฝนจะทดนํ้าเขาคลองสงนํ้าสายใหญฝงขวา สายใหญฝงซาย สายท่ี ๑ และ
สายใหญฝงซาย สายที่ ๒ เน่ืองจากคลองรัตภูมิเปนคลองธรรมชาติเชนเดียวกับคลองธรรมชาติ
ทั่วไปที่มีสภาพต่ํากวาพ้ืนที่สองฝงคลอง จึงตองนําหลักการทดนํ้าหรือยกนํ้ามาใชเพ่ือยกนํ้าเขาสู
คลองสงนํ้าจึงจะสามารถสงน้ําตอไปยังพ้ืนท่ีทําการเกษตรตอไปได และในฤดูฝนที่มีปริมาณนํ้ามาก
นํ้าจะไหลจากเทือกเขาบรรทัดลงคลองรัตภูมิ และคลองอ่ืนๆ ในบริเวณใกลเคียง โดยนํ้าที่ไหลลง
คลองรัตภูมิจะไหลเขาสูฝายชะลอน้ําดังกลาว เพื่อชะลอน้ําไวไมใหไหลลงสูพ้ืนที่ดานลางท่ีมี
สภาพพ้นื ทต่ี ํ่ากวาเรว็ เกินไป และหากนํ้ามีปริมาณมากจนลน คลองรตั ภมู แิ ละเกินกวาท่ีจะกักเก็บไว
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๓
ในฝายชะลอน้ําไดแลว น้ําจึงจะไหลเขาสูคลองสงน้ําสายใหญฝงขวา คลองสงน้ําสายใหญฝงซาย
สายที่ ๑ และคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ และเน่ืองจากคลองสงน้ําท้ังสามสายดังกลาว
มีสภาพสูงกวาคลองรัตภูมิท่ีในฤดูแลงจะตองทดน้ําจากคลองรัตภูมิเขาสูคลองสงนํ้าสายใหญ
ฝงขวา คลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๑ และคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ดังน้ี
แมขอเท็จจรงิ จะรบั ฟงไดว า พื้นที่นาของผูฟ องคดีเปนเขตประกาศภยั พิบตั ิกต็ าม แตเมอื่ รบั ฟงไดอีก
เชนกันวา คลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ มิใชคลองท่ีรับน้ําจากเทือกเขาบรรทัดโดยตรง
อีกทง้ั คลองสง นํา้ ดังกลาวเปนคลองสงน้ําขนาดเลก็ รปู สเ่ี หล่ียมคางหมู กนคลองมีความกวาง ๐.๕๐ เมตร
ความลึก ๐.๖๐ เมตร ปลายคลองมีอาคารควบคุมบังคับนํ้าขนาดเสนผาศูนยกลาง ๐.๖๐ เมตร
พรอมติดต้ังบานระบายน้ําควบคุมการเปดปด จึงไมสามารถรับน้ําในปริมาณมากได นอกจากน้ี
การที่คลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ มีระดับที่สูงกวาคลองรัตภูมิซึ่งเปนคลองธรรมชาติ
ดังท่ีวินิจฉัยไปแลวขางตน ปริมาณน้ําในฤดูฝนที่มีน้ําหลากหากจะไหลเขาสูคลองสงนํ้าสายใหญ
ฝงซาย สายที่ ๒ ยอมตองเปนนํ้าสวนท่ีลนมาจากนํ้าในคลองธรรมชาติในบริเวณใกลเคียง
ประกอบกับขอ เทจ็ จรงิ ฟงไดวาในฤดูฝนนํา้ ที่ไหลมาจากเทอื กเขาบรรทดั ท่มี ีความชัน + ๓๐.๐๐๐ เมตร
จากระดับนํ้าทะเลปานกลางไหลลงสูทะเลสาบสงขลาผา นท่ีนาของผูฟองคดีท่ีมีความชัน + ๑.๐๐๐ เมตร
จากระดับนํ้าทะเลปานกลางซึ่งยอมไหลมาตามคลองธรรมชาติโดยเฉพาะคลองรัตภูมิดังกลาว
กรณีจึงเห็นไดวาปริมาณนํ้าที่ไหลเขาคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ ในฤดูฝน นั้น
ยอมไมมีปริมาณมากพอที่จะเปนสาเหตุโดยตรงที่ทําใหเกิดนํ้าทวมขังท่ีดินของผูฟองคดี
จนเปนเหตุใหผูฟองคดีไดรับความเสียหายโดยไมอาจทํานาในท่ีดินของตนได นอกจากน้ี
เมื่อพิจารณาสภาพท่ีต้ังท่ีดินของผูฟองคดีซึ่งเปนที่ลุมต่ํา ยอมรับนํ้ามาจากพื้นที่ราบสูงอื่นดวย
แมจะมีคลองธรรมชาติไวระบายนํ้าหลายสายก็ตาม แตในขณะเกิดเหตุพิพาท คลองปาลาม
คลองเขตคลองนุย และคลองพรุ ซึ่งเปนคลองธรรมชาติท่ีชวยระบายนํ้าสูทะเลสาบสงขลา
มีสภาพต้ืนเขินและมีตนไมปกคลุม ยอมมีผลใหการระบายนํ้าลงสูทะเลสาบสงขลาไมไดผลดี
เทาท่ีควร และสงผลใหที่ดินของผูฟองคดีซึ่งอยูบริเวณที่ลุมตํ่าเกิดน้ําทวมเปนบริเวณกวางได ดังนั้น
กรณีจึงไมอาจถือไดวาเหตุที่น้ําทวมท่ีดินของผูฟองคดีเกิดจากการกอสรางคลองสงนํ้าในโครงการ
ระบบสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ แตเกิดขึ้นตามธรรมชาติและตามสภาพภูมิประเทศ การที่
ผูถูกฟองคดีที่ ๒ โดยความเห็นชอบของผูถูกฟองคดีที่ ๑ กอสรางคลองสงนํ้าในโครงการระบบ
สงนํ้าสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ ส้ินสุดบริเวณพื้นที่ท่ีผูฟองคดีใชประกอบอาชีพทํานา จึงไมเปน
การกระทําละเมิดจากการใชอํานาจตอผูฟองคดี เมื่อผูถูกฟองคดีท้ังสองมีหนาท่ีดําเนินการ
เกี่ยวกับการปองกันความเสียหายอันเกิดจากนํ้า ตามมาตรา ๔ แหง พ.ร.บ. การชลประทานหลวง
พุทธศักราช ๒๔๘๕ และขอ ๒ ของกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมชลประทาน กระทรวงเกษตร
และสหกรณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซ่ึงขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูถูกฟองคดีท้ังสองไดรับทราบปญหานํ้าทวมแลว
ไดดําเนินการตามอํานาจหนาท่ีในการแกไขปญหาน้ําทวมบริเวณดังกลาวโดยการขุดลอก
คลองธรรมชาติ จํานวน ๔ สาย อันไดแก คลองปาลาม คลองเขต คลองนุย และคลองพรุ ใหแลว
สวนการกอสรางคลองสงน้ําเพิ่มเติมจากคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ ความยาวประมาณ
แนวคําวินจิ ฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๔
๑,๕๐๐ เมตร ไปสิ้นสุดจรดทะเลสาบสงขลาเพ่ือใหนํ้าไหลลงทะเลสาบสงขลา อันเปนแนว
ทางแกไขปญหาน้ําทวมอีกสวนหนึ่ง น้ัน ผูถูกฟองคดีที่ ๑ โดยรองอธิบดีฝายสงน้ําและบํารุงรักษา
ไดอนุมัติในหลักการใหมีการกอสรางคลองสงน้ําดังกลาวเมื่อวันท่ี ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓
แตย งั ไมอาจเขา ดาํ เนินการสํารวจและออกแบบใดๆ ได เน่ืองจากมีปญหาอุปสรรคเรื่องการจัดซ้ือท่ีดิน
ซึ่งเปนปญหาเก่ียวกับงบประมาณและประสิทธิภาพในการใชจายเงินของรัฐ กรณีจึงไมอาจถือไดวา
ผูถูกฟองคดีทั้งสองกระทําละเมิดจากการละเลยตอหนาที่ตามท่ีกฎหมายกําหนดใหตองปฏิบัติ
ในการกอสรางคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชยแตอยางใด และเมื่อวินิจฉัยแลววาผูถูกฟองคดีทั้งสองไมไดกระทําละเมิด ดังน้ัน
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงไมตองรับผิดชดใชคาเสียหายตามฟองใหแกผูฟองคดี ที่ศาลปกครองช้ันตน
พพิ ากษายกฟอง นน้ั ศาลปกครองสงู สดุ เหน็ พอ งดว ย
พพิ ากษายืน
คําพิพากษาศาลปกครองสูงสุดท่ี อ.๑๘๕/๒๕๖๓
ผฟู อ งคดีฟอ งวา ผูฟองคดีเปนเจาของท่ดี นิ โฉนดท่ดี ินเลขที่ ๑๙๓๗๗ ตําบลหวยลึก
อําเภอควนเนียง จังหวัดสงขลา เน้ือท่ี ๒ ไร๗๐ ตารางวา และประกอบอาชีพทํานาในที่ดินแปลง
ดังกลาว ตอมา ในป พ.ศ. ๒๕๑๗ ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (สํานักชลประทานท่ี ๑๖) โดยความเห็นชอบ
ของผูถกู ฟอ งคดที ี่ ๑ (กรมชลประทาน) ไดก อสรางคลองสงน้ําในโครงการระบบสงน้ําสายใหญฝงซาย
สายท่ี ๒ ลักษณะเปน คลองดาดคอนกรตี สี่เหล่ียมคางหมู กนคลองกวาง ๐.๕๐ เมตร ลึก ๐.๖๐ เมตร
ปลายคลองสงน้ําส้ินสุดบริเวณพื้นท่ีท่ีผูฟองคดีและราษฎรขางตนใชทํานา เปนเหตุใหน้ําหลาก
ในฤดูฝน โดยปริมาณนํ้าจํานวนมากที่ไหลมาจากเทือกเขาบรรทัดปกติจะไหลกระจายไปทั่วทุกพื้นที่
กลับไหลลงคลองสงนํ้าดังกลาวและเออทวมบริเวณพื้นท่ีทํานาของผูฟองคดีและราษฎรดังกลาว
ผฟู อ งคดีและราษฎรขางตนไดแตงต้ังตัวแทนเพ่ือรองขอใหผูถูกฟองคดีท้ังสองแกไขปญหาน้ําทวม
โดยขอใหกอสรางคลองสงน้ําเพิ่มเติมตอจากปลายคลองสงนํ้าเดิมไปสิ้นสุดจรดทะเลสาบสงขลา
เพื่อใหน้ําไหลลงสูทะเลสาบสงขลา แตผูถูกฟองคดีท้ังสองไมดําเนินการ เปนเหตุใหน้ําทวมพื้นที่
ทํานาทกุ ป ต้งั แตป พ.ศ. ๒๕๑๗ จนถึงปจจุบัน ผูฟอ งคดีเห็นวา ผถู ูกฟองคดีท้ังสองกอสรางคลองสงน้ํา
โดยปลายคลองสงนํ้าส้ินสุดบริเวณพื้นที่ทํานาของผูฟองคดี และเพิกเฉยไมกอสรางคลองสงนํ้า
เพ่ิมเติมตอจากปลายคลองสง นํ้าเดมิ ไปส้ินสุดท่ที ะเลสาบสงขลาเพ่ือใหน้ําไหลลงสูทะเลสาบสงขลา
เปนเหตุใหนํ้าทวมและผูฟองคดีไดรับความเดือดรอนเสียหาย ผูถูกฟองคดีทั้งสองจึงตองรับผิด
ชดใชคาเสยี หายอนั เนอื่ งมาจากการกระทําดังกลาวท่ีเปนเหตุใหผูฟองคดีขาดรายไดจากการทํานา
ในแตล ะปเปน เงินจาํ นวนไรละ ๙,๕๐๐ บาท ทั้งนี้ ตามราคาขาวพันธุเล็บนกท่ีสํานักงานเศรษฐกิจ
การเกษตรเขต ๙ โดยผูฟอ งคดคี ดิ คาเสยี หายเปนคาขาดรายไดจากการทํานา ปละ ๑๙,๐๐๐ บาท
ต้งั แตป พ.ศ. ๒๕๑๗ จนถึงวันฟองรวม ๓๘ ป เปนเงินจํานวน ๗๒๒,๐๐๐ บาท ผูฟองคดีจึงนําคดี
มาฟอ งขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําส่ังใหผูถูกฟองคดีท้ังสองรวมกันชดใชคาเสียหายใหแกผูฟองคดี
เปนเงินจํานวน ๗๒๒,๐๐๐ บาท พรอมดอกเบี้ยในอัตรารอยละ ๗.๕ ตอปของตนเงินดังกลาว
แนวคําวนิ จิ ฉัยศาลปกครองสูงสดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๕
นับแตวันถัดจากวันฟองเปนตนไปจนกวาจะชําระเสร็จ เห็นวา แมขอเท็จจริงจะรับฟงไดวา
พ้ืนที่นาของผูฟองคดีเปนเขตประกาศภัยพิบัติก็ตาม แตเมื่อคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒
มิใชค ลองทรี่ ับนํา้ จากเทือกเขาบรรทัดโดยตรง อีกทั้งคลองสงนํ้าดังกลาวเปนคลองสงนํ้าขนาดเล็ก
รูปส่ีเหลี่ยมคางหมู กนคลองกวาง ๐.๕๐ เมตร ลึก ๐.๖๐ เมตร ปลายคลองมีอาคารควบคุม
บังคับนํ้าขนาดเสนผาศูนยกลาง ๐.๖๐ เมตร พรอมติดต้ังบานระบายน้ําควบคุมการเปดปด
จึงไมสามารถรับน้ําในปริมาณมากได นอกจากน้ี การท่ีคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒
มีระดับท่ีสูงกวาคลองรัตภูมิซ่ึงเปนคลองธรรมชาติ ดังนี้ ปริมาณน้ําในฤดูฝนที่มีน้ําหลากหากจะ
ไหลเขาสูคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ยอมตองเปนนํ้าสวนที่เออลนมาจากน้ําในคลอง
ธรรมชาติในบริเวณใกลเคียง ประกอบกับในฤดูฝนนํ้าท่ีไหลมาจากเทือกเขาบรรทัดท่ีมีความชัน +
๓๐.๐๐๐ จากระดบั นํา้ ทะเลปานกลางไหลลงสูทะเลสาบสงขลาผานที่นาของผูฟองคดีที่มีความชัน
+๑.๐๐๐ จากระดับนํ้าทะเลปานกลาง ซ่ึงยอมไหลมาตามคลองธรรมชาติโดยเฉพาะคลองรัตภูมิ
ดังกลาว กรณีจึงเห็นไดวาปริมาณน้ําที่ไหลเขาคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย สายที่ ๒ ในฤดูฝน น้ัน
ยอมไมมปี รมิ าณมากพอที่จะเปนสาเหตโุ ดยตรงท่ที าํ ใหเกดิ น้ําทวมขังท่ีดินของผูฟองคดีจนเปนเหตุ
ใหผูฟองคดีไดรับความเสียหายโดยไมอาจทํานาในที่ดินของตนได นอกจากน้ี เม่ือพิจารณาสภาพ
ทตี่ ัง้ ทดี่ นิ ของผฟู องคดซี ่งึ เปน ที่ลุมตา่ํ ยอ มรบั น้าํ มาจากพื้นทีร่ าบสงู อนื่ ดวย แมจะมีคลองธรรมชาติ
ไวระบายน้าํ หลายสายกต็ าม แตขอเท็จจริงยังรับฟงไดวาในขณะเกิดเหตุพิพาทคลองปาลาม คลองเขต
คลองนุย และคลองพรุ ซึ่งเปนคลองธรรมชาติที่ชวยระบายน้ําสูทะเลสาบสงขลามีสภาพตื้นเขิน
และมีตนไมปกคลุม ยอมมีผลใหการระบายน้ําลงสูทะเลสาบสงขลาไมไดผลดีเทาท่ีควรและสงผล
ใหทด่ี นิ ของผฟู องคดีซ่ึงอยูบริเวณที่ลุมตํ่าเกิดน้ําเออทวมเปนบริเวณกวางได ดังนั้น กรณีจึงไมอาจ
ถอื ไดว า เหตุทน่ี ้ําทวมทดี่ ินของผูฟองคดเี กดิ จากการกอสรา งคลองสงนํ้าในโครงการระบบสงนํ้าสาย
ใหญฝงซาย สายท่ี ๒ แตเกิดขึ้นตามธรรมชาติและตามสภาพภูมิประเทศ การท่ีผูถูกฟองคดีที่ ๒
โดยความเหน็ ชอบของผถู กู ฟองคดที ่ี ๑ กอ สรางคลองสงน้าํ ในโครงการระบบสงน้ําสายใหญฝงซาย
สายท่ี ๒ สิ้นสุดบริเวณพื้นท่ีท่ีผูฟองคดีใชประกอบอาชีพทํานา จึงไมเปนการกระทําละเมิดอันเกิด
จากการใชอาํ นาจของผูถกู ฟอ งคดที ้งั สองตอผูฟองคดีตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพง
และพาณิชย สวนการท่ีผูถูกฟองคดีทั้งสองมิไดก อ สรางคลองสง นา้ํ เพ่ิมเตมิ นน้ั เมื่อผถู กู ฟอ งคดีท้ังสอง
มีหนาที่ดําเนินการเกี่ยวกับการปองกันความเสียหายอันเกิดจากน้ํา ตามมาตรา ๔ แหง พ.ร.บ.
การชลประทานหลวง พุทธศักราช ๒๔๘๕ และขอ ๒ ของกฎกระทรวงแบงสวนราชการกรมชลประทาน
กระทรวงเกษตรและสหกรณ พ.ศ. ๒๕๕๔ ซ่ึงขอเท็จจริงรับฟงไดวา ผูถูกฟองคดีทั้งสองไดรับทราบ
ปญหาน้ําทวมตามท่ีผูฟองคดีและตัวแทนชาวบานมีหนังสือถึงราชเลขาธิการและไดดําเนินการ
ตามอาํ นาจหนา ทใ่ี นการแกไขปญหานาํ้ ทวมบรเิ วณดงั กลาวโดยการขดุ ลอกคลองธรรมชาติ จํานวน
๔ สาย อนั ไดแก คลองปาลาม คลองเขต คลองนุย และคลองพรุ ใหแลว สวนการกอสรางคลองสงนํ้า
เพิ่มเติมจากคลองสงนํ้าสายใหญฝงซาย สายท่ี ๒ ความยาวประมาณ ๑,๕๐๐ เมตร ไปสิ้นสุด
จรดทะเลสาบสงขลาเพื่อใหน้ําไหลลงทะเลสาบสงขลา อันเปนแนวทางแกไขปญหานํ้าทวมอีกสวนหน่ึงนั้น
ผูถูกฟองคดีท่ี ๑ โดยรองอธิบดีฝายสงน้ําและบํารุงรักษาไดอนุมัติในหลักการใหมีการกอสราง
แนวคําวนิ จิ ฉยั ศาลปกครองสูงสดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๖
คลองสงนํา้ ดงั กลาวเมอื่ วันท่ี ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๓ ตอมามีการประชุมเพื่อจัดซ้ือท่ีดินเพื่อกอสราง
คลองสงนํ้าเพ่ิมเติม โดยที่ดินบริเวณดังกลาวมีราคาประเมินไรละ ๓๐,๐๐๐ – ๕๐,๐๐๐ บาท
แตราษฎรเจาของท่ีดินยืนยันราคาขายไรละ ๘๐๐,๐๐๐ บาท ซึ่งผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมสามารถ
ดําเนินการซื้อในราคาดังกลาวได หลังจากน้ันราษฎรเจาของที่ดินไดเสนอใหผูถูกฟองคดีท่ี ๑
จัดซื้อที่ดินในราคาไรละ ๕๐๐,๐๐๐ บาท ซ่ึงยังคงสูงกวาราคาประเมินของกรมที่ดินมาก ทําให
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ ไมสามารถจัดซ้ือได ดังนั้น การกอสรางคลองสงนํ้าดังกลาวผูถูกฟองคดีทั้งสอง
จึงยังไมอาจเขาดําเนินการสํารวจและออกแบบใดๆ ได กรณีจึงเห็นไดวาผูถูกฟองคดีท้ังสอง
ไดปฏิบัติหนาที่ในการปองกันน้ําทวมโดยความพยายามที่จะกอสรางคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย
สายที่ ๒ เพ่ิมเติม แตมีปญหาอุปสรรคเร่ืองการจัดซ้ือท่ีดินซ่ึงเปนปญหาเกี่ยวกับงบประมาณ
และประสิทธิภาพในการใชจายเงินของรฐั กรณีจึงไมอาจถือไดวาผูถูกฟองคดีทั้งสองกระทําละเมิด
จากการละเลยตอ หนา ที่ตามทก่ี ฎหมายกาํ หนดใหตอ งปฏบิ ตั ิในการกอสรา งคลองสงน้ําสายใหญฝงซาย
สายที่ ๒ แตอยางใด และเมื่อวินิจฉัยแลววาผูถูกฟองคดีท้ังสองไมไดกระทําละเมิด ดังนั้น
ผูถูกฟองคดีที่ ๑ จึงไมตองรับผิดชดใชคาเสียหายตามฟองใหแกผูฟองคดี ที่ศาลปกครองช้ันตน
พพิ ากษายกฟอง นน้ั ศาลปกครองสูงสุดเห็นพอ งดว ย
พิพากษายืน
ฟองขอใหเ พกิ ถอนคาํ สง่ั ใหช ดใชค าสินไหมทดแทนกรณีกาํ หนดราคากลางไมถกู ตอ ง
คําพพิ ากษาศาลปกครองสงู สุดที่ อ.๑๑๗/๒๕๖๓
ผูฟองคดีฟองวา เมื่อครั้งท่ีผูฟองคดีดํารงตําแหนงหัวหนากองชาง (นายชางโยธา ๕)
ในสังกัดของผูถูกฟองคดีที่ ๓ (เทศบาลตําบลปทุมราชวงศา (เทศบาลตําบลนาหวาใหญ เดิม))
ไดรับความเดือดรอนหรือเสียหายจากการท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ มีคําสั่งใหผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน
ความรับผิดทางละเมิดจากการปฏิบัติหนาที่คณะกรรมการกําหนดราคากลางงานกอสราง
รางระบายนํ้าจํานวน ๓ โครงการ และกอสรางถนนจํานวน ๒ โครงการ สืบเนื่องจากสํานักงาน
การตรวจเงินแผนดินภูมิภาคที่ ๕ จังหวัดอุบลราชธานี ไดตรวจสอบการดําเนินการจัดจาง
ประจําปงบประมาณ พ.ศ. ๒๕๔๔ ถึง พ.ศ. ๒๕๔๕ ของผูถูกฟองคดีท่ี ๓ โดยมีขอสังเกต
และขอ เสนอแนะวา คณะกรรมการกําหนดราคากลางงานกอ สรางของผถู กู ฟองคดีที่ ๓ ดําเนินการ
กําหนดราคากลางไมถ ูกตองเปน เหตใุ หทางราชการไดรับความเสยี หาย คดิ เปนเงนิ ๕๘๘,๒๖๒.๘๗ บาท
ใหดําเนินการหาตัวผูตองรับผิดและชดใชเงินจํานวนดังกลาว ผูถูกฟองคดีที่ ๓ จึงมีคําส่ังแตงตั้ง
คณะกรรมการสอบขอเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ซ่ึงคณะกรรมการดังกลาวมีความเห็นให
ผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนเปนเงินจํานวน ๕,๒๗๕.๓๒ บาท แตกระทรวงการคลัง
โดยผูถ กู ฟอ งคดที ่ี ๔ (กรมบัญชีกลาง) เห็นวา ผูฟองคดีจะตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนใหแก
ทางราชการเปนเงินจํานวน ๑๗๗,๘๙๘.๔๔ บาท ผูถูกฟองคดีท่ี ๒ (ผูวาราชการจังหวัด
อํานาจเจริญ) พิจารณาแลวเห็นชอบตามผลการพิจารณาดังกลาว ซ่ึงตอมาผูถูกฟองคดีท่ี ๓
แนวคาํ วินจิ ฉยั ศาลปกครองสงู สดุ ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๗
ไดมีคําส่ังลงวันท่ี ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ เรียกใหผูฟองคดีชดใชเงินจํานวน ๑๗๗,๘๙๘ บาท
ผูฟองคดีไมเห็นดวยจึงอุทธรณคําสั่งดังกลาว แตผูถูกฟองคดีที่ ๒ วินิจฉัยใหยกอุทธรณ จึงนําคดี
มาฟองขอใหศาลมีคําพิพากษาหรือคําสั่งเพิกถอนคําส่ังลงวันที่ ๒๔ สิงหาคม ๒๕๕๐ ที่เรียกให
ผูฟองคดีชดใชคาสินไหมทดแทน และคําวินิจฉัยอุทธรณลงวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๐ ท่ีให
ยกอุทธรณของผูฟองคดี เห็นวา เม่ือขอเท็จจริงปรากฏวา คณะกรรมการควบคุมราคากลาง
ตามคําสั่งของผูถูกฟองคดีที่ ๓ ดําเนินการกําหนดราคากลางในโครงการกอสรางรางระบายน้ํา
ค.ส.ล. และโครงการกอสรางถนน ค.ส.ล. ท้ัง ๕ สัญญา โดยไมใชสูตร FACTOR F ในการคํานวณ
และไมไดใชราคาหรือหนวยวัสดุทองถ่ินที่กระทรวงมหาดไทยหรือกระทรวงพาณิชยกําหนดไว
แตใชราคาท่ีสืบราคาเองมาคํานวณราคากลางในการกอสรางท้ัง ๕ สัญญา เปนการไมปฏิบัติ
ตามหนังสือสํานักนายกรัฐมนตรี ลับมาก ดวนท่ีสุด ท่ี นร ๑๓๐๕/ว ๓๑๓๙ ลงวันท่ี ๑๖ เมษายน
๒๕๔๒ หนังสือ ที่ มท ๐๒๐๒.๕/ว๙๐ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๒ และหนังสือ ท่ี มท
๐๓๑๓.๔/ว๙๙ ลงวันที่ ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๔๒ ท่ีแจงเวียนใหองคกรปกครองสวนทองถ่ินถือปฏิบัติ
ในการกําหนดราคากลางงานกอสราง เมื่อผูฟองคดีไดรับการแตงต้ังเปนกรรมการในคณะกรรมการ
ควบคุมราคากลางของผูถูกฟองคดีที่ ๓ แลว ยอมตองทราบวาตนมีหนาท่ีรับผิดชอบในการกําหนด
ราคากลางตามหลักเกณฑการคํานวณราคากลางงานกอสรางใหถูกตองตามความเปนจริงและ
ตามมาตรฐานวัสดุอุปกรณการกอสรางของสํานักงานพาณิชยจังหวัด ซ่ึงจากการไมปฏิบัติตามมติของ
คณะรัฐมนตรีและหนังสือแจงเวียนดังกลาวเปนเหตุใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ ถือเอาราคา
ตามที่คณะกรรมการควบคุมราคากลางกําหนดเปนราคากลางในการสอบราคาและไดทําสัญญาจาง
กับผูรับจางทั้ง ๕ โครงการ โดยจายสูงเกินความเปนจริง ทําใหผูถูกฟองคดีที่ ๓ เสียหาย
จาํ นวน ๕๘๘,๒๖๒.๖๗ บาท การกระทาํ ของผูฟอ งคดีจึงเปนการกระทําละเมิดตอผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ตามมาตรา ๔๒๐ แหงประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย และเปนการปฏิบัติหนาที่
โดยประมาทเลินเลออยางรายแรง ผูฟองคดีจึงตองรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทนแกผูถูกฟองคดีท่ี ๓
ตามมาตรา ๘ วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา ๑๐ วรรคหน่ึง แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิด
ของเจาหนาท่ี พ.ศ. ๒๕๓๙ อยางไรก็ตาม การท่ีผูถูกฟองคดีท่ี ๓ ไดรับความเสียหายจากราคากลาง
งานกอสรางที่สูงเกินความเปนจริง เปนผลมาจากการที่คณะกรรมการควบคุมราคากลาง
งานกอสรางนําขอมูลในการคํานวณออกแบบรายละเอียดการกอสรางและการประมาณการราคา
คากอสรางท่ีฝายชางซึ่งมีผูฟองคดีเปนผูรับผิดชอบจัดทําขึ้นมาใชพิจารณาในการกําหนดราคากลาง
โดยในคณะกรรมการควบคุมราคากลางดังกลาวมีผูฟองคดีในฐานะนายชางโยธา ๕ เปนกรรมการ
รวมกับเจาหนาที่การเงินและบัญชีหรือเจาหนาที่ธุรการ จึงเห็นไดวา นอกจากผูฟองคดีแลว
ไมมีกรรมการอื่นในคณะกรรมการควบคุมราคากลางมีความรูเก่ียวกับงานชางหรืองาน
การประมาณราคากอสรางทางดานวิศวกรรมรวมอยูดวย ซ่ึงหากมีขอบกพรองสําคัญเกี่ยวกับ
การประมาณราคากอสรางหรือมีปญหาท่ีตองใชความรูความเขาใจในงานดานวิศวกรรมแลวก็ไมมี
กรรมการอื่นท่ีมีความรูในงานดานดังกลาวชวยตรวจสอบกําหนดราคากลางนั้นไดอีก จึงถือวา
เปนความบกพรองของหนวยงานของรฐั หรอื ระบบการดําเนินการสวนรวม เม่ือคํานึงถึงพฤติการณ
แนวคาํ วินิจฉัยศาลปกครองสงู สดุ ฉบบั Day to Day ป ๒๕๖๓
๒๙๘
และระดับความรายแรงแหงการกระทําละเมิดและความเปนธรรม ตามมาตรา ๔๓๘ วรรคหน่ึง
แหง ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยแลว จึงใหหักสวนความบกพรองของหนวยงานของรัฐหรือ
ระบบการดําเนินงานสวนรวมออกรอยละ ๒๐ ของคาเสียหายท้ังหมดแตละกรณีตามมาตรา ๘
วรรคสาม แหง พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจาหนาที่ พ.ศ. ๒๕๓๙ เมื่อพิจารณาตามคําส่ัง
ลงวนั ท่ี ๒๔ สงิ หาคม ๒๕๕๐ ของผูถ กู ฟองคดีที่ ๓ ทีก่ ําหนดใหผูฟองคดีรับผิดชดใชคาสินไหมทดแทน
โดยกําหนดสัดสวนความรับผิดเปนกรณี และเมื่อหักสวนความบกพรองของหนวยงานของรัฐ
หรือระบบการดําเนนิ การสว นรวมออกรอ ยละ ๒๐ ของคาเสยี หายในแตละกรณีแยกพิจารณา ดังนี้
กรณีคณะกรรมการควบคุมราคากลางของเทศบาลกําหนดราคากลางใชราคาวัสดุกอสราง
ตามราคาตลาดทองถ่ินโดยไมใชราคาวัสดุของสํานักงานดัชนีเศรษฐกิจกระทรวงพาณิชย
เดือนกอนประกาศสอบราคาหรือประกวดราคา เปนเหตุใหราคากลางท่ีกําหนดสูงไป และ
ทําใหเทศบาลตําบลนาหวาใหญตองจายคากอสรางราคาสูงกวาราคากลางท่ีถูกตองเปนเงิน
๑๒๗,๘๙๙.๕๕ บาท คงเหลือความเสียหายจํานวน ๑๐๒,๓๑๙.๖๔ บาท ใหคณะกรรมการรับผิด
ชดใชในอัตรารอยละ ๗๕ ของคาเสียหาย คิดเปนเงิน ๗๖,๗๓๙.๗๓ บาท และใหกรรมการแตละ
คนรับผิดคนละสวนเทาๆ กัน คิดเปนเงินคนละ ๒๕,๕๗๙.๙๑ บาท กรณีการคํานวณปริมาณงาน
งานคอนกรีต ๑: ๒: ๔ สูงเกินไป ๓ ลูกบาศกเมตร เปนเงิน ๖,๖๕๕ บาท คงเหลือความเสียหาย
จาํ นวน ๕,๓๒๔ บาท ใหผูฟองคดีในฐานะผูควบคุมงานเปนผูสํารวจออกแบบและคํานวณปริมาณ
คา งานดนิ ขดุ และในฐานะคณะกรรมการกําหนดราคากลาง ซ่ึงมีความเช่ยี วชาญในงานชางมากกวา
คณะกรรมการคนอื่นแตไมใชความระมัดระวังใหผูฟองคดีรับผิดชดใชในอัตรารอยละ ๒๕
ของคาเสียหายจํานวน ๕,๓๒๔ บาท เปนเงินจํานวน ๑,๓๓๑ บาท กรณีไมไดคํานวณปริมาณ
คาวัสดุตามอัตราที่กําหนดในรูปแบบรายการละเอียดท่ีแนบสัญญาจางทําใหราคากลาง
งานกอสรางสูงเกินความจําเปน เปนเงิน ๒๘๐,๗๖๒ บาท แยกเปนสัญญากอสรางรางระบายน้ํา
ค.ส.ล. เปนเงิน ๙๕,๖๖๗ บาท คงเหลือคาเสียหายจํานวน ๗๖,๕๓๓.๖๐ บาท สัญญากอสรางถนน
ค.ส.ล. เปนเงิน ๑๘๕,๐๙๕ บาท คงเหลือคาเสียหายจํานวน ๑๔๘,๐๗๖ บาท ใหผูฟองคดีในฐานะ
ผูควบคุมงานเปนผูสํารวจออกแบบและคํานวณปริมาณคางานดินขุด และในฐานะคณะกรรมการ
กําหนดราคากลางงานกอสรางและมีความเชี่ยวชาญในงานชางแตไมใชความระมัดระวังใหผูฟองคดี
รับผิดชดใชในอัตรารอยละ ๒๕ ของคาเสียหายแตละกรณีโดยในสัญญากอสรางรางระบายน้ํา
ค.ส.ล. รับผิดชดใชเปนเงินจํานวน ๑๙,๑๓๓.๔๐ บาท สัญญากอสรางถนน ค.ส.ล. รับผิดชดใช
เปนเงินจํานวน ๓๗,๐๑๙ บาท กรณีการคิดคางานซํ้าซอนในคาแรงงานอีกอัตรารอยละ ๓๐
ของคางานดินขุดในสัญญากอสรางรางระบายนํ้า ค.ส.ล. ทําใหเทศบาลตําบลนาหวาใหญ
ตองจายคางานดินขุดสูงเกินไปเปนเงินจํานวน ๕,๒๗๕.๓๒ บาท คงเหลือคาเสียหาย ๔,๒๒๐.๒๕ บาท
ใหคณะกรรมการรับผิดชดใชในอัตรารอยละ ๒๕ ของคาเสียหายและใหกรรมการทั้งสาม
คนรับผิดคนละสวนเทาๆ กัน คิดเปนเงินคนละ ๑,๐๕๕.๐๖ บาท กรณีคํานวณราคาคางาน
คอนกรีต ๑ : ๒ : ๔ สูงเกินจริง เนื่องจากมีการคิดคํานวณคาแรงงานซํ้าอีกทําใหราคากลาง
ท่ีกําหนดสูงเกินไป เปนเงินทั้งส้ิน ๑๖๗,๖๗๑ บาท แยกเปนสัญญากอสรางรางระบายน้ํา ค.ส.ล.
แนวคําวนิ ิจฉยั ศาลปกครองสงู สุด ฉบับ Day to Day ป ๒๕๖๓