The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ao_jiranan, 2022-02-15 10:40:17

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

2. การหาแรงลพั ธ์ดว้ ยวธิ กี ารสรา้ งรูปสีเ่ หลี่ยมด้านขนาน
การหาแรงลัพธ์ด้วยวิธีการสร้างรูปส่ีเหล่ียมด้านขนานระหว่างแรงที่ 1 ( ⃑ 1) และ แรงท่ี 2

( ⃑ 2) ที่กระทาต่อวัตถุ ดังรูป 1.14 ก. ทาได้โดยการนาหางของแรงที่ 1 ( ⃑ 1) ต่อกับหางของแรงท่ี 2 ( ⃑ 1)
แลว้ สร้างรูปสี่เหลีย่ มดา้ นขนานดังรูป 1.14 ข. แรงลัพธ์ คือ เวกเตอรข์ องเส้นทแยงมมุ ทล่ี ากจากมมุ ทีข่ องแรง
ทงั้ สองพบกันไปยงั มมุ ตรงขา้ ม ดังรปู 1.14 ค.

แรงกริ ิยาและแรงปฏกิ ิรยิ า
เมื่อออกแรงกระทาต่อลูกวอลเลย์บอล ดังรูป 1.16 ผู้เล่นจะรู้สึกเจ็บเมื่อแขนกระทบกับลูก
วอลเลย์บอล ย่ิงออกแรงมากเท่าไรก็จะย่ิงทาให้รู้สึกเจ็บที่บริเวณแขนมากข้ึนเท่านั้น แสดงว่าในขณะที่แขน
ออกแรงกระทาตอ่ ลกู วอลเลย์บอล ลกู วอลเลย์บอลก็ออกแรงกระทาต่อแขนเช่นกัน อาจทดลองโดยการใชส้ ัน
มือเคาะทีข่ อบโตะ๊ เบา ๆ จะรูส้ ึกเจ็บสนั มือเลก็ น้อย แตถ่ า้ เคาะแรงขน้ึ กจ็ ะเจ็บมากขึน้

รปู 1.16 การออกแรงกระทาตอ่ ลกู วอลเลย์บอล
ขณะท่วี ตั ถหุ น่งึ ออกแรงกระทาตอ่ วตั ถุอีกอันหน่ึง วตั ถุท่ีถกู แรงกะทาออกแรงตอบโต้กลับ เรยี กว่า
แรงทก่ี ระทาระหว่างวตั ถคุ หู่ นง่ึ ๆ วา่ แรงกิริยา (action force) กับแรงปฏกิ ริ ิยา (reaction force)
แรงทีเ่ คร่ืองชง่ั สปริงทั้งสองกระทาซง่ึ กนั และกัน เป็นแรงทีก่ ระทาคนละวตั ถุ ซ่ึงเกิดขนึ้ พร้อมกนั
มีขนาดเทา่ กัน แต่มีทศิ ทางตรงขา้ มกัน แรงคนู่ เี้ รยี กวา่ แรงกริ ยิ าและแรงปฏกิ ิรยิ า
ตวั อย่างของแรงกริ ิยาและแรงปฏกิ ริ ิยา เช่น เม่อื พายเรอื แรงกริ ิยาที่ไม้พายกระทากับนา้ ทาให้น้า
เคลือ่ นท่ไี ปข้างหลัง และจะเกดิ แรงปฏิกิริยาทน่ี ้ากระทากับไม้พายดว้ ยขนาดเทา่ กนั แต่ทิศทางตรงกันขา้ ม ทา
ใหไ้ มพ้ ายและเรอื เคลอื่ นท่ีไปข้างหน้า ดงั รปู

รูป 1.18 แรงกริ ยิ าที่ไม้พายกระทากบั นา้ จะเกิดแรงปฏิกริ ิยาทนี่ ้ากระทากบั ไม้พาย

4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลุม่ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (แก้ปญั หาและอปุ สรรคตา่ งๆ ท่ีเผชิญได้)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพิวเตอร์)

4.3 คุณลกั ษณะและค่านยิ ม
ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มคี วามมงุ่ มั่นในการทางาน

5. คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องผ้เู รียน

รักชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง ซอ่ื สัตย์สุจริต มงุ่ มั่นในการทางาน มีวินยั

รกั ความเป็นไทย  ใฝ่เรยี นรู้ มจี ติ สาธารณะ

6. สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รียน

 ความสามารถในการคดิ : นกั เรยี นสามารถอธิบายเรื่องแรงลัพธ์ได้

7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นท่ี 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ
1.1 ครทู บทวนความรเู้ ดิม เรื่อง แรงและความเรง่ โดยใช้คาถามดงั นี้
1.2 ครูตง้ั คาถามเพือ่ นาเข้าสู่การทากิจกรรม
1) ในกรณีที่มแี รงภายนอกกระทาต่อวัตถุมากกวา่ หน่ึงแรง นกั เรียนจะสามารถอธิบายการ
เคลอื่ นทขี่ องวัตถุได้อย่างไร (เปิดโอกาสให้นักเรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอสิ ระและไม่คาดหวังคาตอบที่
ถูกตอ้ ง)
2) การหาแรงลัพธท์ ่ีกระทาต่อวตั ถุของแรงหลายแรง โดยแรงดงั กล่าวทามมุ ใดๆ ต่อกนั
จะมีวธิ ีการอยา่ งไร
1.3 ครยู กตวั อยา่ งกรณีทแ่ี รงหลายแรงกระทา ต่อวัตถใุ นแนวเดยี วกนั ทง้ั กรณที ี่มีทิศทางเดียวกัน และ
กรณที ม่ี ที ศิ ทางตรงกันขา้ ม

1.4 ยกตัวอยา่ งสถานการณ์การออกแรงกระทาต่อวตั ถทุ ี่นกั เรียนคุ้นเคย เชน่ การใชแ้ ขนรบั ลูก
วอลเลย์บอล หรือใหน้ กั เรยี นใช้สันมือเคาะที่ขอบโต๊ะเบา ๆ แล้วตั้งคาถามให้นกั เรียนตอบ

1) ในขณะที่เราออกแรงกระทาต่อวตั ถุ วตั ถนุ ้นั จะมีการตอบสนองตอ่ แรงทีก่ ระทานนั้ หรือไม่
อยา่ งไร และสง่ ผลอย่างไรต่อผู้ออกแรงกระทา (เปิดโอกาสให้นักเรยี นแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอิสระและไม่
คาดหวงั คาตอบท่ถี กู ตอ้ ง)

1.5 ครูอภิปรายให้ความรู้ตามหนงั สือเรียน ขณะท่ีวตั ถุหนึ่งออกแรงกระทาตอ่ อีกวัตถุหน่ึง วัตถุทถี่ ูก
แรงกระทากอ็ อกแรงตอบโต้กลับ เรียกแรงท่ีกระทาระหว่างวตั ถุค่หู น่ึง ๆ วา่ แรงกริ ยิ ากับแรงปฏิกิรยิ า

1.6 จากนนั้ ครูใช้คาถามนาเข้าสู่กจิ กรรม
1) แรงทั้งสองนม้ี ขี นาดและทศิ ทางเปน็ อย่างไร (เปิดโอกาสใหน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็นอย่าง

อสิ ระและไมค่ าดหวงั คาตอบทถ่ี กู ตอ้ ง)

ข้นั ที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นหา
2.1 นกั เรยี นแบ่งกล่มุ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 1.3 การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธข์ องแรงสองแรงท่ี

ทามมุ ต่อกนั
2.3 นักเรยี นแตล่ ะกลุม่ ศึกษาใบกิจกรรม 1.4 แรงกิรยิ าและแรงปฏิกริ ยิ า
2.4 ครแู จ้งจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ อปุ กรณ์ และขั้นตอนการทากจิ กรรมอยา่ งละเอยี ด
2.5 นกั เรยี นรบั อปุ กรณ์การทากิจกรรม พรอ้ มติดตงั้ อปุ กรณ์ใหเ้ รียบรอ้ ย
2.6 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ทากิจกรรม สังเกตและบันทึกผลกิจกรรม

ขน้ั ท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูนานกั เรยี นอภปิ รายกิจกรรมท่ี 1.3 เพ่อื นาไปสูก่ ารสรุปโดยใชค้ าถามต่อไปนี้
1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุม่ ไดผ้ ลการทากจิ กรรมเหมือนหรอื แตกตา่ งกันอย่างไร (แนวการตอบ

ได้ผลเหมอื นกนั )
2) เม่อื นาขนาดของแรงท่ี 1 มารวมกบั ขนาดของแรงท่ี 2 จะเท่ากับขนาดของแรงที่ 3

หรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ ไม่เทา่ กนั โดยผลรวมขนาดของแรงที่ 1 กับแรงที่ 2 จะมีค่ามากกว่าขนาดของ
แรงท่ี 3)

3) แรงลัพธ์ของแรงท่ี 1 กับแรงท่ี 2 จากวธิ ใี นข้อ 4 มีขนาดและทิศทางเปน็ อย่างไร
เมื่อเทียบกบั แรงท่ี 3 (แนวการตอบ แรงลพั ธข์ องแรงท่ี 1 กับแรงท่ี 2 จากวิธใี นขอ้ 4 มีขนาดเทา่ กับขนาดของ
แรงที่ 3 แตท่ ิศทางตรงขา้ มกบั แรงท่ี 3)

4) แรงลัพธ์ของแรงที่ 1 กบั แรงท่ี 2 จากวธิ ใี นข้อ 5 มีขนาดและทิศทางเปน็ อยา่ งไร
เมือ่ เทยี บกบั แรงที่ 3 (แนวการตอบ แรงลัพธข์ องแรงที่ 1 กับแรงที่ 2 จากวธิ ีในข้อ 5 มีขนาดเทา่ กับขนาดของ
แรงที่ 3 แต่ทิศทางตรงกนั ขา้ มกับแรงที่ 3)

3.2 ครูนานกั เรียนอภปิ รายกจิ กรรมที่ 1.4 เพอื่ นาไปสูก่ ารสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้
1) นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ไดผ้ ลการทากจิ กรรมเหมอื นหรอื แตกต่างกันอยา่ งไร (แนวการตอบ

ได้ผลเหมอื นกัน)
2) แรงท่เี ครือ่ งชั่งสปริงอนั ที่ 2 กระทากบั เครอ่ื งช่ังสปริงอนั ท่ี 1 และ แรงทเ่ี ครอ่ื งช่ังสปรงิ

อันที่ 1 กระทากบั เครือ่ งช่งั สปริงอันท่ี 2 เกดิ ข้ึนพร้อมกนั หรือไม่ (แนวการตอบ เกิดขนึ้ พรอ้ มกนั )
3) แรงที่เครือ่ งชงั่ สปริงอันท่ี 2 กระทากับเครื่องชั่งสปริงอนั ท่ี 1 และ แรงที่เคร่อื งชัง่ สปริง

อนั ท่ี 1 กระทากับเคร่อื งชัง่ สปรงิ อนั ที่ 2 มขี นาดเป็นอย่างไร (แนวการตอบ มีขนาดเท่ากนั )
4) แรงที่เครือ่ งชั่งสปรงิ อันท่ี 2 กระทากับเครื่องชั่งสปรงิ อันที่ 1 และแรงท่เี คร่ืองช่ังสปรงิ

อันท่ี 1 กระทากับเคร่อื งชง่ั สปริงอันที่ 2 มีทิศทางเดยี วกนั หรือไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ มีทิศทาง
ตรงกันข้าม)

3.3 นกั เรียนและครูรว่ มกันอภปิ รายและสรุปผลของกจิ กรรมจนสรปุ ได้ ดังนี้
จากกิจกรรม 1.3 พบว่าในกรณีท่ีแรงกระทาต่อปมเชือกจานวน 3 แรง แล้วทาให้ปมเชือก

หยุดนิ่ง ผลรวมของแรงที่ 1 และแรงที่ 2 ซึ่งเรียกว่าแรงลัพธร์ ะหวา่ งแรงท่ี 1 และแรงท่ี 2 จะมีขนาดเท่ากับ
ขนาดของแรงท่ี 3 แต่มีทิศตรงกันข้าม จากกิจกรรมดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การหาแรงลัพธ์ของแรงสองแรง

สามารถทาได้ด้วยการเขียนแผนภาพที่เรียกว่า การรวมแบบเวกเตอร์ ซึ่งมี 2 วิธี คือ การสร้างรูปสามเหลี่ยม
และการสร้างรูปส่เี หลย่ี มดา้ นขนาน

จากกจิ กรรมท่ี 1.4 พบว่า แรงท่เี คร่อื งชั่งสปริงทั้งสองกระทาซึ่งกันและกันเปน็ แรงที่กระทา
คนละวัตถุ ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมกัน มีขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงข้ามกันแรงคู่น้ีเรียกว่า แรงกิริยาและแรง
ปฏกิ ิรยิ า

ขั้นที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครูอธบิ ายให้ความรู้เพิม่ เตมิ เก่ยี วกับการออกแบบสง่ิ ก่อสร้าง ตามหนังสอื เรียน หนา้ 23

4.2 ครูอธิบายใหค้ วามรู้เพมิ่ เตมิ เกย่ี วกบั กฎการเคล่อื นท่ี 3 ข้อของนวิ ตัน ตามรายละเอียดในหนังสือ
เรียน หนา้ 26

ขั้นท่ี 5 ขนั้ ประเมนิ ผล
5.1 นักเรียนสง่ ใบกิจกรรม 1.3 การหาขนาดและทศิ ทางของแรงลพั ธ์ของแรงสองแรง

ท่ีทามมุ ตอ่ กัน และใบกิจกรรม 1.4 แรงกริ ยิ าและแรงปฏกิ ิรยิ า
5.2 นกั เรียนส่งแบบฝกึ หัดทา้ ยบทที่ 1 ขอ้ 10. – 11. ลงในสมดุ

ประยุกตแ์ ละตอบแทนสังคม
-

8. สอื่ การเรียนรู/้ แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชัน้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 เล่ม 2

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอร์เน็ต
8.3 ใบกิจกรรม 1.3 การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธข์ องแรงสองแรงที่ทามมุ ตอ่ กัน
8.4 ใบกิจกรรม 1.4 แรงกริ ยิ าและแรงปฏิกิรยิ า
8.5 อุปกรณ์ทากจิ กรรม

9. ชิ้นงาน/ภาระงาน

-

10. การวัดและประเมนิ ผล

10.1 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวดั เคร่ืองมอื วัด เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการ

ประเมิน

ดา้ นความรู้ : 1) ตรวจใบ 1) แบบประเมินการทา 1) นกั เรยี นสามารถ

1) นกั เรียนอธิบายการหา กจิ กรรม 1.3 กิจกรรม บนั ทกึ และสรุปผล
แรงลัพธจ์ ากแรงหลายแรง การหาขนาด กิจกรรมไดร้ ะดับดี
ทกี่ ระทา กบั วัตถุในระนาบ และทศิ ทางของ ผ่านเกณฑ์
เดยี วกันได้ แรงลพั ธข์ องแรง
สองแรงท่ที ามุม

2) นักเรียนอธบิ ายแรง ต่อกัน

กิริยาและแรงปฏิกริ ิยา 2) ตรวจใบ

ระหวา่ งวัตถคุ ่หู น่งึ ๆ ได้ กิจกรรม 1.4

แรงกิริยาและ

แรงปฏิกริ ยิ า

ดา้ นกระบวนการ : 1) ตรวจสมุด 1) แบบประเมินการทา 1) นักเรียนสามารถทา

1) นกั เรยี นแสดงการหา นกั เรยี น กิจกรรม แบบฝกึ หดั ได้ระดับดี
แรงลพั ธ์จากแรงหลายแรง ผ่านเกณฑ์

ท่ีกระทากบั วัตถุในระนาบ

เดยี วกันได้

ด้านเจตคติ : 1) ตรวจสมดุ 1) แบบประเมินการทา 1) นักเรียนทาภาระ

1) ใฝ่เรยี นรู้และเปน็ ผู้มี นกั เรียน กจิ กรรม งานทีไ่ ด้รับมอบหมาย
ความมุ่งมนั่ ในการทางาน 2) ตรวจใบ ไดร้ ะดับดี ผา่ นเกณฑ์
กจิ กรรม 1.3

การหาขนาด

และทศิ ทางของ

แรงลัพธ์ของแรง

สองแรงที่ทามุม

ต่อกัน

3) ตรวจใบ

กิจกรรม 1.4

แรงกิริยาและ

แรงปฏกิ ริ ยิ า

11. กจิ กรรมเสนอแนะ
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………….......................................................…….

ลงชอ่ื ผูส้ อน
(นางสาวจิรนนั ท์ ตอ่ มหลา้ )

12. ขอ้ คิดเหน็ ของหวั หนา้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ...............................................................
( นายนันท์ กอ้ คา )

หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

13. ขอ้ คิดเหน็ /ข้อเสนอแนะผชู้ ว่ ยผูอ้ านวยการกลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ
.........................................................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ...............................................................
(....................................................)

ผู้ช่วยผู้อานวยการกลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ

การอนมุ ตั ิการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้จากฝา่ ยบริหาร
ความคดิ เห็นของรองผูอ้ านวยการฝ่ายวชิ าการ

....................................................................................................................................................................................
 เหน็ สมควรอนุมัติใหใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน
 เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ตั ใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ....................................................................

.....................................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )

รองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวชิ าการ

การอนมุ ัตจิ ากผอู้ านวยการโรงเรียน
 อนุมตั ิให้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน
 ไม่อนมุ ัตใิ ห้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ..............................................................

..............................................................................................................................................................

ลงชอ่ื .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาลี)

ผอู้ านวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

บนั ทึกผลการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรทู้ ่ี 3

รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว32103 ระดบั ช้ันมธั ยมศึกษาปที ่ี 5

เรื่อง แรงลัพธ์ เวลา 2 ชว่ั โมง

……………………………………………………………….

1. จานวนนักเรียนท่สี อน

ระดับชน้ั จานวนนักเรยี น (คน)

ม.5/1 34

ม.5/2 35

ม.5/3 36

รวม 105

2. บันทกึ ผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
2.1 ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................. ...............

2.2 ขอ้ สงั เกต/ขอ้ คน้ พบ
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................

2.3 ปญั หา/อปุ สรรค
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................

2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................

3. การประเมินผลการสอน

รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ

1. ความเหมาะสมของระยะเวลา

2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา

3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน

4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้

5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน

6. ผลการปฏิบัติกจิ กรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ

หลังเรยี น

สรุปภาพรวม

4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ

2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

3. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ ร้อยละ

การวดั ผลประเมนิ ผล

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน
(นางจริ นนั ท์ ต่อมหล้า)

ความคดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะของผูน้ เิ ทศ
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ................................................ผนู้ ิเทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)

หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ความคิดเหน็ ของรองผอู้ านวยการโรงเรยี นฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผอู้ านวยการฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ

ความคดิ เห็นของผอู้ านวยการโรงเรียน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงช่อื ........................................................
(นางวิลาวลั ย์ ปาล)ี

ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดบั สรุปประเมนิ
ของผรู้ ับกำรประเมิน แกป้ ัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ำ่ น

สรุปผล

ลงช่ือ...................................................ผปู้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมินสมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน

ประเดน็ กำร ระดับคุณภำพ
ประเมิน
ดเี ยย่ี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
ขั้นตำ่ (1)
มีพฤตกิ รรมบ่งช้ี
มพี ฤติกรรมบ่งช้ี ดังน้ี มีพฤติกรรมบง่ ชี้ มพี ฤตกิ รรมบง่ ชี้ 1 พฤตกิ รรมหรือไมม่ ี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จดั หมวดหมูข่ อ้ มูลได้ 3 พฤตกิ รรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคดิ 3. จดั ลาดบั ความสาคัญ
ของข้อมูลได้
4. เปรยี บเทียบข้อมลู ได้

ปฏบิ ัตติ ามแผนการ ปฏบิ ตั ิตามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ กี ารปฏิบตั ติ าม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาท่ีกาหนดไว้ แก้ปญั หาทกี่ าหนดไว้ แกป้ ัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปัญหำ ทกุ ข้ันตอนมีขอ้ มลู 2 ใน 3 ของช้ันตอน ไว้ การแก้ปัญหาทวี่ างไว้

สนับสนนุ ครบถ้วนสมบรู ณ์ และ 1 ใน 3 ของชนั้

มขี ้อมูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบูรณ์ มขี ้อมลู สนับสนุน

สมบูรณ์

เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยีที่ เลือกและใชเ้ ทคโนโลยี ใชเ้ ทคโนโลยใี นการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสืบค้น ทเ่ี หมาะสมในการ สบื ค้น สบื ค้น ค้นควา้

กำรใชเ้ ทคโนโลยี คน้ คว้า รวบรวม สรปุ สบื คน้ คน้ ควา้ คน้ ควา้ รวบรวม รวบรวม ความร้ไู ด้

ความรูไ้ ด้ด้วยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรูไ้ ด้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ

ตนเองอย่างสรา้ งสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอย่าง ลอกเลียนแบบผอู้ ่นื

ถกู ต้อง

เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คุณภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไมผ่ ่านเกณฑ์

แบบประเมนิ คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

รวม ระดบั
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกลุ มีวนิ ัย ใฝ่ เรยี นรู้ การทางาน สรุปประเมนิ
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมนิ
(12)

321032103210 ผ่ำน ไม่ผำ่ น

สรุปผล

ลงช่อื ...................................................ผปู้ ระเมิน

............../.................../...............

เกณฑ์กำรใหค้ ะแนนระดบั คณุ ภำพ

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ยย่ี ม (3) ดี (2) พอใช้/ผำ่ นเกณฑ์ ปรับปรงุ (0)
ขน้ั ต่ำ (1)
ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
มวี นิ ัย กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม กฎเกณฑ์
กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม กฎเกณฑ์ ระเบียบมี ระเบยี บไม่มี
ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบตั ิ ตรงตอ่ เวลาในการปฏิบตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
กิจกรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏิบตั กิ ิจกรรม
ตา่ ง ๆ
ใฝ่ เรยี นรู้ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพียร เรยี น และมีความเพียร ในการเรียน และมี ไม่ตงั้ ใจเรยี นไม่
พยายามในการเรียน พยายามในการเรยี น ความเพียรพยายาม
สม่าเสมอ บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
เรียน และไม่
มุ่งมนั่ ในการ มีความตงั้ ใจและพยายาม มคี วามตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ทางาน ในการทางานที่ไดร้ บั ในการทางานที่ไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายท่ีปฏิบตั ชิ ดั เจน มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และสมา่ เสมอ และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ คี วามตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย

เกณฑก์ ำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเย่ียม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผ่านเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรียน
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เรอื่ ง ตาแหน่ง ระยะทาง การกระจัด

ประเด็นการ ค่านา้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้
(K) 3 ตอบคาถามได้ถกู ต้องครบถว้ นทุกข้อ

ด้าน 2 ตอบคาถามได้ถูกต้อง เพยี ง 1 ข้อ
กระบวนการ
(P) 1 ตอบคาถามไมถ่ ูกตอ้ ง

ดา้ น 3 ทาแบบฝึกหดั ทา้ ยบทที่ 1 ไดถ้ กู ต้องครบถว้ นทกุ ข้อ
คณุ ลกั ษณะ
(A) 2 ทาแบบฝกึ หัดทา้ ยบทที่ 1 ไดถ้ กู ต้องครบถว้ น 1 ข้อ

1 ทาแบบฝกึ หดั ทา้ ยบทท่ี 1 ไม่ถูกตอ้ ง

3 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด และเรียบร้อยถกู ตอ้ งครบถว้ น

2 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน

1 ทาภาระงานท่ีได้รบั มอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
คะแนน

ใบกิจกรรม 1.3 การหาขนาดและทศิ ทางของแรงลพั ธ์ของแรงสองแรงทที่ ามมุ ตอ่ กนั

1. รายช่อื สมาชิกกลมุ่ ท่ี …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
วิเคราะห์ขนาดและทิศทางของแรงของแรงสองแรงท่กี ระทามุมใด ๆ ต่อกนั เพ่ือหาขนาดและทิศทางของแรงลพั ธ์

3. วสั ดุ-อุปกรณ์ 3 เครอ่ื ง
1) เครอื่ งชงั่ สปริง 3 เสน้
2) เชอื ก

4. วธิ ีทากจิ กรรม
1) นาปลายเชอื ก 3 เสน้ มาผูกรวมกนั เป็นปม สว่ นปลายของเชือกที่เหลอื ทาเปน็ หว่ งแล้ววางบนกระดาษขาว
2) ใช้เครอ่ื งชงั่ สปริง 3 อัน เกี่ยวกบั ห่วงเชือกแลว้ ดึงเคร่อื งช่ังสปรงิ ทั้งสามในแนวระดบั โดยเร่ิมจากดงึ เครือ่ งช่ังสปรงิ สอง
อันใหท้ ามุมค่าหนึง่ จากนน้ั พยายามดึงเครือ่ งชั่งสปรงิ ที่ 3 จนปมของเชือกหยุดน่ิง เขียนแนวแรงตามเสน้ เชอื กลงบน
กระดาษและบนั ทึกค่าของแรงทัง้ สาม ดังตวั อย่างในรูป ก.
3) เขียนเวกเตอร์ของแรงท้ังสามตามแนวแรงของเสน้ เชอื ก โดยใชอ้ ตั ราส่วนแรงขนาด 1 นวิ ตัน เทา่ กับเวกเตอรข์ นาด 1
เซนติเมตร ดังตัวอย่างในรูป ข.

4) หาแรงลัพธข์ องเวกเตอร์ของแรงท่ี 1 และแรงที่ 2 โดยการสรา้ งรูปสามเหลยี่ ม ดว้ ยการเขียนเวกเตอรข์ องแรงที่ 2 โดยให้
หางของเวกเตอร์ของแรงที่ 2 ตอ่ จากหัวเวกเตอร์ของแรงที่ 1 จากนั้นลากเวกเตอร์จากหางเวกเตอรข์ องแรงที่ 1 ไปยงั หัว
เวกเตอร์ของแรงที่ 2 เปน็ แรงลพั ธข์ องแรงท้ังสอง แลว้ เปรยี บเทยี บขนาดและทศิ ทางกบั เวกเตอร์ของแรงที่ 3

5) หาแรงลพั ธข์ องเวกเตอร์ของแรงท่ี 1 และแรงที่ 2 โดยการสรา้ งรปู สีเ่ หลี่ยมด้านขนานด้วยการเขียนใหห้ างของเวกเตอร์
ของแรงที่ 1 และแรงท่ี 2 เร่ิมจากตาแหน่งเดยี วกัน ลากเสน้ ประจากหวั ของเวกเตอรท์ ั้งสองให้เกิดเปน็ รปู สเ่ี หลย่ี มด้าน
ขนาน แล้วลากเวกเตอร์เส้นทแยงมมุ ของสเ่ี หลยี่ มด้านขนานจากหางเวกเตอร์ทัง้ สองไปทมี่ ุมตรงข้ามเปน็ แรงลัพธข์ องแรง
ทั้งสอง แล้วเปรียบเทยี บขนาดและทิศทางกับเวกเตอร์ของแรงที่ 3

5. ผลการทากจิ กรรม

6. คาถามท้ายกิจกรรม

1) เมอ่ื นาขนาดของแรงท่ี 1 มารวมกับขนาดของแรงท่ี 2 จะเทา่ กบั ขนาดของแรงที่ 3 หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ ไม่เท่ากัน โดยผลรวมขนาดของแรงที่ 1 กับแรงท่ี 2 จะมคี ่ามากกวา่ ขนาดของแรงท่ี 3 มี

2) แรงลพั ธข์ องแรงท่ี 1 กับแรงท่ี 2 จากวธิ ใี นข้อ 4 มีขนาดและทิศทางเปน็ อย่างไร เม่อื เทียบกบั แรงท่ี 3

ตอบ แรงลัพธข์ องแรงท่ี 1 กบั แรงที่ 2 จากวิธีในขอ้ 4 มีขนาดเท่ากับขนาดของแรงที่ 3 แตท่ ิศทางตรงขา้ มกับแรงท่ี 3เขตนา้

นา้ ลกึ แล ะเขตนา้ ตื้น ถา้ หน้าคลืน่ ตกกระ ทบทา

3) แรงลพั ธ์ของแรงท่ี 1 กบั แรงท่ี 2 จากวิธีในข้อ 5 มีขนาดและทิศทางเปน็ อยา่ งไร เมอ่ื เทียบกบั แรงที่ 3

ตอบ แรงลพั ธ์ของแรงที่ 1 กบั แรงท่ี 2 จากวิธีในขอ้ 5 มขี นาดเท่ากบั ขนาดของแรงท่ี 3 แต่ทิศทางตรงกนั ข้ามกับแรงท่ี 3เขต

นา้ ลกึ แล ะเขตน้าตื้น ถ้า หนา้ คล่นื ตกกระ ทบทา

7. สรุปผลการทากจิ กรรม

จากการทากจิ กรรม พบวา่ ในกรณีท่ีแรงกระทาต่อปมเชือกจานวน 3 แรง แล้วทาใหป้ มเชอื กหยุดนง่ิ

ผลรวมของแรงท่ี 1 และแรงท่ี 2 ซงึ่ เรียกวา่ แรงลัพธ์ระหว่างแรงท่ี 1 และแรงที่ 2 จะมีขนาดเท่ากบั ขนาดของแรงที่ 3

แตม่ ีทิศตรงกนั ขา้ ม การหาแรงลพั ธ์ของแรงสองแรงสามารถทาได้ดว้ ยการเขยี นแผนภาพทีเ่ รยี กวา่ การรวมแบบเวกเตอร์

ซึ่งมี 2 วธิ ี คอื การสร้างรูปสามเหลี่ยมและการสรา้ งรูปสี่เหลี่ยมด้านขนาน อ

b

เฉลยใบกจิ กรรม 1.3 การหาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์ของแรงสองแรงที่ทามุมตอ่ กนั

1. รายช่อื สมาชกิ กลมุ่ ท่ี …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
วเิ คราะหข์ นาดและทิศทางของแรงของแรงสองแรงทก่ี ระทามุมใด ๆ ตอ่ กันเพอ่ื หาขนาดและทิศทางของแรงลัพธ์

3. วสั ดุ-อปุ กรณ์ 3 เคร่ือง
1) เครื่องช่งั สปรงิ 3 เสน้
2) เชอื ก

4. วิธีทากจิ กรรม
1) นาปลายเชอื ก 3 เส้น มาผูกรวมกนั เป็นปม ส่วนปลายของเชอื กท่เี หลอื ทาเป็นหว่ งแล้ววางบนกระดาษขาว
2) ใช้เครื่องชง่ั สปริง 3 อัน เกี่ยวกบั ห่วงเชอื กแลว้ ดงึ เครื่องชง่ั สปรงิ ทง้ั สามในแนวระดบั โดยเร่ิมจากดึงเครอ่ื งชั่งสปริงสอง
อนั ให้ทามุมคา่ หนึง่ จากน้ันพยายามดึงเครอื่ งชง่ั สปรงิ ที่ 3 จนปมของเชอื กหยดุ น่งิ เขียนแนวแรงตามเสน้ เชอื กลงบน
กระดาษและบนั ทกึ ค่าของแรงทง้ั สาม ดงั ตัวอยา่ งในรปู ก.
3) เขยี นเวกเตอร์ของแรงทัง้ สามตามแนวแรงของเส้นเชือก โดยใช้อัตราสว่ นแรงขนาด 1 นิวตัน เท่ากบั เวกเตอร์ขนาด 1
เซนติเมตร ดงั ตัวอย่างในรูป ข.

4) หาแรงลพั ธข์ องเวกเตอรข์ องแรงท่ี 1 และแรงที่ 2 โดยการสรา้ งรปู สามเหลี่ยม ดว้ ยการเขียนเวกเตอร์ของแรงท่ี 2 โดยให้
หางของเวกเตอร์ของแรงท่ี 2 ต่อจากหัวเวกเตอร์ของแรงที่ 1 จากนนั้ ลากเวกเตอร์จากหางเวกเตอรข์ องแรงที่ 1 ไปยงั หวั
เวกเตอรข์ องแรงท่ี 2 เปน็ แรงลพั ธข์ องแรงทั้งสอง แลว้ เปรยี บเทียบขนาดและทิศทางกบั เวกเตอรข์ องแรงท่ี 3

5) หาแรงลัพธข์ องเวกเตอร์ของแรงที่ 1 และแรงท่ี 2 โดยการสรา้ งรูปส่ีเหลี่ยมด้านขนานดว้ ยการเขยี นให้หางของเวกเตอร์
ของแรงที่ 1 และแรงท่ี 2 เรม่ิ จากตาแหนง่ เดยี วกนั ลากเสน้ ประจากหัวของเวกเตอรท์ ้ังสองให้เกิดเปน็ รูปสี่เหล่ียมด้าน
ขนาน แล้วลากเวกเตอรเ์ สน้ ทแยงมมุ ของสเี่ หลยี่ มด้านขนานจากหางเวกเตอร์ท้ังสองไปทมี่ ุมตรงขา้ มเป็นแรงลพั ธ์ของแรง
ทงั้ สอง แล้วเปรยี บเทยี บขนาดและทศิ ทางกบั เวกเตอรข์ องแรงที่ 3

5. ผลการทากิจกรรม

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม

1) เมือ่ นาขนาดของแรงที่ 1 มารวมกับขนาดของแรงท่ี 2 จะเท่ากับขนาดของแรงที่ 3 หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ ไม่เท่ากัน โดยผลรวมขนาดของแรงท่ี 1 กับแรงที่ 2 จะมีค่ามากกวา่ ขนาดของแรงที่ 3 มี

2) แรงลัพธ์ของแรงที่ 1 กบั แรงที่ 2 จากวธิ ใี นขอ้ 4 มขี นาดและทิศทางเปน็ อย่างไร เมอื่ เทยี บกบั แรงที่ 3

ตอบ แรงลพั ธ์ของแรงท่ี 1 กบั แรงที่ 2 จากวิธีในขอ้ 4 มีขนาดเทา่ กบั ขนาดของแรงที่ 3 แต่ทิศทางตรงขา้ มกับแรงท่ี 3เขตน้า

น้าลกึ แล ะเขตน้าตน้ื ถ้า หน้าคลื่นตกกระ ทบทา

3) แรงลัพธข์ องแรงท่ี 1 กับแรงที่ 2 จากวิธีในข้อ 5 มีขนาดและทิศทางเปน็ อยา่ งไร เมอ่ื เทยี บกับแรงท่ี 3

ตอบ แรงลพั ธ์ของแรงที่ 1 กบั แรงที่ 2 จากวธิ ใี นข้อ 5 มขี นาดเท่ากบั ขนาดของแรงที่ 3 แต่ทิศทางตรงกันขา้ มกับแรงท่ี 3เขต

น้าลึกแล ะเขตน้าตน้ื ถา้ หนา้ คล่นื ตกกระ ทบทา

7. สรปุ ผลการทากิจกรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ ในกรณที ี่แรงกระทาตอ่ ปมเชือกจานวน 3 แรง แลว้ ทาใหป้ มเชอื กหยดุ นงิ่

ผลรวมของแรงที่ 1 และแรงท่ี 2 ซ่ึงเรียกวา่ แรงลัพธ์ระหวา่ งแรงท่ี 1 และแรงที่ 2 จะมขี นาดเท่ากับขนาดของแรงท่ี 3

แต่มีทิศตรงกันข้าม การหาแรงลัพธข์ องแรงสองแรงสามารถทาได้ด้วยการเขียนแผนภาพท่ีเรียกวา่ การรวมแบบเวกเตอร์

ซึง่ มี 2 วธิ ี คือ การสร้างรูปสามเหลยี่ มและการสร้างรูปส่เี หล่ียมดา้ นขนาน อ

b

ใบกจิ กรรม 1.4 แรงกริ ิยาและแรงปฏกิ ิรยิ า

1. รายชอ่ื สมาชิกกล่มุ ที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
วิเคราะหข์ นาดและทิศทางของแรงระหวา่ งวัตถคุ ่หู นง่ึ ๆ เพื่ออธบิ ายแรงกริยาและแรงปฏกิ ิรยิ า

3. วสั ดุ-อปุ กรณ์ 2 อัน
1) เครื่องชงั่ สปริง

4. วิธีทากจิ กรรม
1) นาปลายของเครอื่ งชงั่ สปรงิ ท้งั 2 อนั มาเก่ยี วกนั โดยยดึ ปลายอกี ด้านหนึง่ ของเคร่ืองช่งั สปริงอนั ทห่ี น่งึ กบั ท่ยี ึด จากน้นั
ออกแรงดงึ เครอ่ื งช่ังสปรงิ อนั ทสี่ อง (ดงั รปู ) สังเกตและอ่านค่าของแรงท่ีได้จากเคร่อื งชัง่ สปริงทั้งสองพร้อมกนั แล้ว
บันทกึ ผล
2) ทาการทดลองซา้ อีก 2 ครง้ั โดยเปล่ยี นขนาดของแรงดึงเครอ่ื งชั่งสปรงิ อนั ทีส่ อง

5. ผลการทากจิ กรรม แรงดงึ จาก แรงดงึ จาก
เครอ่ื งช่ังสปริงที่ 1 (นิวตัน) เคร่ืองช่ังสปรงิ ที่ 2 (นิวตนั )
คร้ังที่
1
2
3

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม
1) แรงท่เี ครอื่ งชง่ั สปริงอันที่ 2 กระทากบั เคร่อื งช่ังสปริงอนั ที่ 1 และ แรงท่ีเครอื่ งชั่งสปรงิ อันที่ 1 กระทากบั เครือ่ งชั่ง
สปรงิ อนั ท่ี 2 เกดิ ขนึ้ พร้อมกนั หรือไม่

ตอบ เกิดขึ้นพรอ้ มกัน มี

2) แรงทเ่ี ครอ่ื งชั่งสปริงอันที่ 2 กระทากับเคร่อื งชั่งสปริงอันท่ี 1 และ แรงท่เี ครอ่ื งช่ังสปริงอันท่ี 1 กระทากบั เครือ่ งช่งั
สปริงอันที่ 2 มขี นาดเป็นอยา่ งไร

ตอบ มขี นาดเท่ากนั f

3) แรงทเ่ี ครอื่ งช่ังสปริงอนั ที่ 2 กระทากับเครื่องช่ังสปริงอนั ที่ 1 และแรงท่ีเครอ่ื งชั่งสปรงิ อนั ท่ี 1 กระทากับเครื่องชง่ั สปรงิ
อนั ที่ 2 มีทศิ ทางเดียวกันหรือไม่ อย่างไร

7. สรปุ ตผอลบกาทรทิศาทกาจิงตกรรงรกมนั ข้าม ด

b
b
b
b
b
b

b
b
b
b

เฉลยใบกจิ กรรม 1.4 แรงกิริยาและแรงปฏกิ ริ ยิ า

1. รายช่อื สมาชกิ กล่มุ ท่ี …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
วิเคราะหข์ นาดและทิศทางของแรงระหว่างวตั ถคุ หู่ น่งึ ๆ เพื่ออธบิ ายแรงกรยิ าและแรงปฏิกิริยา

3. วสั ดุ-อุปกรณ์ 2 อัน
1) เครอื่ งชัง่ สปริง

4. วธิ ีทากจิ กรรม
1) นาปลายของเครือ่ งช่งั สปริงทัง้ 2 อนั มาเกยี่ วกนั โดยยดึ ปลายอีกด้านหนง่ึ ของเครอ่ื งช่งั สปรงิ อนั ท่ีหน่งึ กับที่ยดึ จากน้นั
ออกแรงดึงเครอ่ื งชง่ั สปรงิ อนั ทส่ี อง (ดังรูป) สังเกตและอา่ นค่าของแรงท่ีได้จากเครือ่ งชัง่ สปรงิ ท้ังสองพร้อมกัน แลว้
บันทึกผล
2) ทาการทดลองซ้าอีก 2 คร้งั โดยเปลี่ยนขนาดของแรงดงึ เครอื่ งช่งั สปรงิ อนั ที่สอง

5. ผลการทากจิ กรรม แรงดึงจาก แรงดงึ จาก
เครอ่ื งชั่งสปริงที่ 1 (นิวตนั ) เคร่ืองช่ังสปรงิ ที่ 2 (นิวตนั )
ครงั้ ที่
1 5 5
2
3 7 7

10 10

6. คาถามท้ายกิจกรรม
1) แรงที่เครื่องชั่งสปรงิ อันที่ 2 กระทากบั เครอ่ื งช่ังสปรงิ อนั ที่ 1 และ แรงทเี่ คร่อื งชงั่ สปรงิ อันท่ี 1 กระทากับเคร่ืองช่ัง
สปรงิ อนั ท่ี 2 เกิดข้นึ พร้อมกนั หรอื ไม่

ตอบ เกิดข้นึ พร้อมกัน มี

2) แรงทเ่ี ครื่องชง่ั สปรงิ อันท่ี 2 กระทากับเครอ่ื งช่งั สปรงิ อันที่ 1 และ แรงทเี่ ครอ่ื งช่ังสปริงอนั ท่ี 1 กระทากบั เคร่ืองชั่ง
สปริงอนั ท่ี 2 มีขนาดเปน็ อยา่ งไร

ตอบ มีขนาดเท่ากัน f

3) แรงท่เี คร่อื งชั่งสปริงอันท่ี 2 กระทากับเครื่องช่ังสปรงิ อนั ท่ี 1 และแรงท่ีเครือ่ งช่ังสปริงอนั ท่ี 1 กระทากบั เคร่อื งชง่ั สปรงิ
อันท่ี 2 มที ศิ ทางเดียวกนั หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ ทิศทางตรงกันขา้ ม ด
7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม

จากการทากจิ กรรม พบวา่ แรงท่เี ครือ่ งช่งั สปริงท้ังสองกระทาซง่ึ กนั และกนั เป็นแรงทกี่ ระทาคนละวัตถุ

ซงึ่ เกดิ ขึน้ พรอ้ มกนั มีขนาดเท่ากัน แต่มีทิศทางตรงขา้ มกนั แรงคนู่ ี้เรียกว่า แรงกริ ยิ าและแรงปฏกิ ริ ิยา อ

b

b

b

b

แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 4

รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 กลมุ่ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ระดับช้นั มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 40 ชัว่ โมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 1 การเคลอ่ื นท่แี ละแรง เวลา 8 ชั่วโมง

เรื่อง การเคล่อื นทีแ่ บบต่างๆ เวลา 2 ช่วั โมง

1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด
สาระที –
มาตรฐาน
ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชวี ติ ประจาวัน ผลของแรงท่ีกระทาต่อวตั ถลุ กั ษณะการเคล่ือนทแ่ี บบต่าง ๆ

ของวตั ถุ รวมทง้ั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตวั ชี้วัด
ว 2.2 ม.5/5 สังเกตและอธิบายผลของความเร่งที่มีต่อการเคลื่อนท่ีแบบต่าง ๆ ของวัตถุได้แก่ การเคลื่อนท่ี
แนวตรง การเคลื่อนที่แบบโพรเจกไทล์ การเคลื่อนท่ีแบบวงกลม และการเคลอ่ื นท่แี บบสัน่

2. สาระสาคญั
การเคล่ือนที่ของวัตถุเป็นการเปล่ียนตาแหน่งของวัตถุเม่ือเวลาเปลี่ยนแปลงไป โดยมีปริมาณที่เกี่ยวข้อง

ได้แก่ ระยะทาง การกระจดั อัตราเร็ว ความเรว็ และความเร่ง
เมื่อมีแรงภายนอกมากระทาต่อวัตถุโดยผลรวมของแรงลัพธ์ไม่เท่ากับศูนย์จะทาให้วัตถุเคลื่อนท่ี โดยมี

ความเรง่ ขนาดและทิศทางของความเรง่ ขนึ้ อยู่กับขนาดและทศิ ทางของแรงลัพธ์และมวลของวตั ถุ การหาแรงลัพธ์ที่
กระทา ต่อวัตถุสามารถทาได้โดยการรวมแบบเวกเตอร์ สาหรับวัตถุใด ๆ เม่ือมีแรงกระทาต่อวัตถุ วัตถุนั้นจะออก
แรงตอบโตก้ ลับ เรยี กแรงทีก่ ระทาระหว่างวัตถุว่า แรงกิรยิ าและแรงปฏิกิริยา ซึ่งแรงทง้ั สองนี้มขี นาดเท่ากันแต่มีทิศ
ทางตรงขา้ มกนั

ความรเู้ ร่ืองแรงและความเรง่ สามารถนามาใช้อธิบายการเคลื่อนที่แบบต่าง ๆ ได้ เชน่ การเคลื่อนท่ีแนวตรง
ซ่ึงเป็นการเคล่ือนที่ที่ความเร็วและความเร่งอยู่ในแนวเดียวกัน การตกแบบเสรีซ่ึงเป็นการเคล่ือนที่แนวตรงด้วย
ความเรง่ โน้มถ่วงของโลก การเคล่ือนที่แบบโพรเจกไทลซ์ ึ่งเป็นการเคล่อื นทแ่ี นวโค้งด้วยความเร่งคงตัว การเคลือ่ นท่ี
แบบวงกลมซึ่งเป็นการเคลื่อนทีแ่ นวโค้งดว้ ยความเร่งทีม่ ที ศิ ทางต้ังฉากกบั ความเรว็ ตลอดเวลา และการเคลอ่ื นที่แบบ
สน่ั ซึ่งเปน็ การเคลอ่ื นทก่ี ลบั ไปกลบั มาดว้ ยความเรง่ ท่มี ีทิศทางเขา้ สจู่ ุดท่ีแรงลพั ธ์เปน็ ศูนย์ซงึ่ เรียกวา่ ตาแหน่งสมดลุ

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นักเรียนอธิบายการเคลอ่ื นท่ีแบบโพรเจกไทลแ์ ละความเรง่ ทเ่ี ก่ียวขอ้ งได้
2) นักเรยี นอธิบายการเคลอ่ื นทีแ่ บบวงกลมและความเรง่ ทเ่ี กย่ี วข้องได้
3) นกั เรยี นอธบิ ายการเคลือ่ นทแ่ี บบส่ันและความเรง่ ท่เี กย่ี วขอ้ งได้

3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นสามารถจดั อปุ กรณ์เพือ่ ศกึ ษาการเคลอ่ื นที่ของวัตถุในแนวระดับและแนวดิง่ ได้
2) นกั เรียนทดลองการเคลอ่ื นที่แบบวงกลมได้
3) นักเรียนทดลองการเคล่อื นทีแ่ บบส่ันได้

3.3 ด้านคุณลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้และเปน็ ผมู้ คี วามมุง่ มนั่ ในการทางาน

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
การเคล่ือนทแ่ี บบโพรเจกไทล์
วตั ถุที่เคล่ือนท่ีในแนวด่ิงภายใต้แรงโน้มถ่วงของโลกจะเคลื่อนท่ีเป็นแนวตรง โดยมีความเร่งคงตัว
ซ่งึ ถ้าวตั ถุอยู่สูงจากพ้ืนโลกไมม่ ากนกั ความเร่งของวัตถุจะมคี า่ ประมาณ 9.8 เมตรต่อวินาที2
ถ้าเราโยนลูกบาสเกตบอล เราพบว่าลูกบาสเกตบอลจะมแี นวการเคลอ่ื นท่เี ป็นแนวโคง้ ดงั รปู

รปู 1.19 แนวการเคล่อื นทเ่ี ปน็ แนวโค้งของการโยนลูกบาสเกตบอล
การเคล่ือนท่เี ป็นแนวโคง้ ของลูกบาสเกตบอลประกอบด้วยการเคลือ่ นที่ทง้ั แนวระดับและแนวดิง่
พร้อมกัน

การเคลื่อนที่แบบวงกลม
การเคล่ือนท่ีแบบวงกลมเป็นการเคลื่อนท่ีที่มีแนวการเคลื่อนท่ีเป็นวงกลมหรือส่วนของวงกลม
วัตถุที่เคล่ือนที่เป็นวงกลม จะมีแรงกระทาตอ่ วตั ถุซึ่งมที ิศทางเข้าหาจดุ ศูนย์กลางของการเคลื่อนทีน่ ้ันเสมอ
โดยขนาดของแรงจะขึ้นอยู่กับอัตราเร็วของวัตถุ แรงน้ีเรียกว่า แรงสู่ศูนย์กลาง (centripetal force)
และแรงมีความสัมพันธ์ความเร่งและมีทิศเดยี วกนั เสมอ วตั ถุเคล่อื นท่เี ป็นวงกลมมีความเร่งในทิศทางเข้าสู่
ศูนย์กลางการเคลื่อนท่ี เรียกว่า ความเร่งสู่ศูนย์กลาง (centripetal acceleration) ส่วนความเร็ว
ขณะหนึ่งของวัตถุมีทิศทางอยู่ในแนวเส้นสัมผสั กับเส้นรอบวงกลม ซ่ึงต้ังฉากกับความเร่งสู่ศูนย์กลางเสมอ
ดงั รปู 1.25 การเคลอื่ นที่รปู แบบนี้เรียกวา่ การเคล่อื นท่ีแบบวงกลม (circular motion)

รูป 1.25 วตั ถุท่ีเคลือ่ นทแ่ี บบวงกลม
การเคล่ือนท่แี บบสน่ั
การเคลื่อนท่อี กี รปู แบบหน่งึ ทเ่ี ราพบเหน็ มากในชีวติ ประจาวัน คือ การเคลอื่ นท่ีแบบกลับไปกลับ
มาซ้าแนวเดิม เช่น การแกว่งของลูกตมุ้ นาฬิกา การแกว่งของชงิ ช้า การเคลอื่ นที่ของจุดๆ หน่งึ บนสายกีตาร์
เมื่อถูกดีด การแกว่งของเปล และการเคลอื่ นทขี่ องมวลติดปลายสปรงิ การเคลอ่ื นท่ีแบบนี้ เรียกว่า
การเคลอ่ื นทแ่ี บบสน่ั (oscillatory motion)

รปู 1.27 การแกว่งของชิงซ้าเปน็ ตัวอย่างของการเคลอื่ นทแ่ี บบส่นั
การแกวง่ ของลกู ตมุ้ จะเปน็ การเคลื่อนที่กลับไปกลบั มาซ้าแนวเดมิ ระหว่างจดุ A และจุด B โดยมี
จุด O อยู่ตรงลางซึง่ เป็นจุดท่แี รงลัพธท์ ่ีกระทากบั ลูกตุ้มเป็นศนู ย์ เรียกตาแหน่ง O ว่า ตาแหนง่ สมดลุ
(equilibrium position) ขนาดของการกระจัดจากตาแหน่ง O ถงึ ตาแหน่งลกู ตุ้มมคี วามเรง่ เข้าหาจุด O
ดงั รปู 1.29 ก. และมคี วามเรว็ สูงสุดท่จี ุด O ซง่ึ เป็นตาแหน่งที่มแี รงลพั ธก์ ระทาตอ่ ลกู ตุ้มเป็นศนู ย์ ดังรูป
1.29 ข. ขณะที่ลกู ตุ้มเคล่ือนท่อี อกจากจุด O ลูกตุ้มมีความเร็วลดลง และมคี วามเร็วเปน็ ศูนยท์ ่ีจุดไกลสดุ ท่ี
จดุ B แสดงว่าลูกตุ้มมีความเรง่ ตรงขา้ มกับความเร็ว และมที ิศเขา้ หาจุด O ดังรปู 1.29 ค. จากนั้นลกู ตุ้มจะ
เคล่อื นทย่ี ้อนกลบั ทางเดิมซงึ่ จะมีการเปล่ยี นแปลงความเรง่ ลกั ษณะเดมิ นน่ั คือ วตั ถุทม่ี ีการเคล่ือนที่แบบส่นั
จะมีทศิ ของความเรง่ เข้าจดุ O ซึง่ เปน็ จดุ ทีม่ ีแรงลัพธ์เปน็ ศูนย์

รปู 1.29 การเคลอ่ื นท่ีของลูกตุม้

4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟัง พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกล่มุ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้ปัญหาและอปุ สรรคต่างๆ ท่ีเผชิญได้)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชีวิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผ่านคอมพวิ เตอร)์

4.3 คณุ ลักษณะและคา่ นยิ ม
ใฝเ่ รยี นรแู้ ละเป็นผู้มีความมุ่งมน่ั ในการทางาน

5. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์ของผู้เรียน ซ่ือสตั ย์สุจริต ม่งุ มัน่ ในการทางาน มีวินยั
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง มีจติ สาธารณะ
รกั ความเปน็ ไทย  ใฝ่เรยี นรู้

6. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
 ความสามารถในการคิด: นักเรยี นสามารถอธิบายเร่ืองการเคลอ่ื นท่แี บบตา่ งๆได้

7. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั ท่ี 1 ขัน้ สร้างความสนใจ
1.1 ยกตัวอย่างการเคลอื่ นทีแ่ บบอนื่ ๆ นอกเหนือจากการเคลอ่ื นที่ในแนวตรงที่เกิดขนึ้ ใน
ชีวติ ประจาวนั
1.2 ให้นักเรยี นดวู ีดีทัศน์ ชู้ตบาสขนั้ เทพ แล้วครูต้ังคาถามให้นักเรยี นตอบ
1) นักเรยี นคิดว่าการเคลอื่ นที่ของลกู บาสมีลักษณะต่างกับการเคลอ่ื นทีใ่ นแนวเสน้ ตรง
อย่างไร (แนวการตอบ การเคลอื่ นทขี่ องลกู บาส เคล่อื นทีเ่ ปน็ วถิ ีโค้ง)
1.3 นกั เรยี นท้งั หมดร่วมกันยกตวั อย่างการเคล่ือนที่แนวโคง้ ของวัตถุ รว่ มกนั อภปิ รายถึงการ
พจิ ารณาความเร็วในแนวดิง่ และในแนวระดับ รวมทง้ั การนาไปใช้ประโยชน์
1.4 ให้นักเรยี นดูวีดีทศั น์ รถไฟตลี ังกา แลว้ ครูตง้ั คาถามใหน้ ักเรยี นตอบ

1) นักเรียนคิดว่าการเคลือ่ นท่ีของรถไฟเหาะตีลังกามีลักษณะต่างกบั การเคลื่อนทใ่ี นแนว
เส้นตรงอยา่ งไรอย่างไร (โดยครูเปิดโอกาสใหน้ ักเรยี นแสดงความคิดเห็นอย่างอสิ ระและไม่คาดหวงั คาตอบที่
ถกู ตอ้ ง)

1.5 ครูยกตวั อยา่ งวตั ถุท่เี คลอ่ื นทแ่ี บบวงกลม เช่น รถยนตห์ รอื รถจกั รยานยนตท์ ีก่ าลังเลย้ี วโค้ง
ดาวเทยี มทีโ่ คจรรอบโลก แลว้ ตั้งคาถามใหน้ กั เรียนตอบ

1) วตั ถุดงั กลา่ วเคลื่อนท่ใี นแนววงกลมหรอื สว่ นของวงกลมได้อยา่ งไร (โดยครูเปิดโอกาส
ใหน้ ักเรยี นแสดงความคดิ เห็นอย่างอิสระและไม่คาดหวงั คาตอบท่ถี ูกต้อง)

1.6 ครูยกตวั อย่างวัตถทุ ี่เคลื่อนทีแ่ บบกลับไปกลับมาซา้ แนวเดมิ เชน่ การแกวง่ ของลูกตุ้ม
การแกวง่ ของชิงชา้ การเคลือ่ นทขี่ องจดุ ๆ หนึ่งบนสายกีตาร์เมื่อถกู ดีด การแกว่งของเปล และการเคลอื่ นที่
ของมวลติดปลายสปรงิ แล้วต้ังคาถามให้นกั เรยี นตอบเพื่อเขา้ สกู่ ิจกรรม

1) การเคล่อื นที่ดงั กล่าว เหมอื นหรอื แตกต่างกบั การเคลอื่ นท่ีแนวตรง การเคลอ่ื นท่แี บบ
โพรเจกไทล์ และการเคลอ่ื นทแ่ี บบวงกลมหรือไม่ อย่างไร

2) วัตถดุ งั กลา่ วเคล่ือนทแ่ี บบกลับไปกลับมาซ้า แนวเดิมหรอื การเคล่ือนทแี่ บบสั่นได้
อยา่ งไร (โดยครใู หน้ กั เรียนแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอสิ ระและไม่คาดหวงั คาตอบท่ีถกู ต้อง)

ขัน้ ท่ี 2 ขั้นสารวจและค้นหา
2.1 นักเรยี นแบง่ กลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแต่ละกลุ่มศกึ ษาใบกิจกรรม 1.5 การเคล่ือนที่แนวโคง้ ภายใต้แรงโนม้ ถ่วง
2.3 นักเรยี นแต่ละกล่มุ ศึกษาใบกิจกรรม 1.6 การเคล่อื นทแ่ี บบวงกลมในแนวระดบั
2.4 นกั เรียนแต่ละกลุม่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 1.7 การเคล่ือนทแี่ บบสัน่
2.5 ครูแจ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และข้ันตอนการทากจิ กรรมอย่างละเอยี ด
2.6 นักเรียนรบั อปุ กรณ์การทากจิ กรรม พรอ้ มติดต้งั อุปกรณใ์ ห้เรยี บร้อย
2.7 นักเรยี นแต่ละกลุม่ ทากิจกรรม สงั เกตและบนั ทกึ ผลกิจกรรม

ขัน้ ท่ี 3 ขน้ั อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครนู านกั เรียนอภิปรายกจิ กรรมที่ 1.5 เพ่ือนาไปสู่การสรุปโดยใชค้ าถามตอ่ ไปน้ี
1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มไดผ้ ลการทากจิ กรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร (แนวการตอบ

ได้ผลเหมือนกัน)
2) เหรียญทั้งสองมีการเคลอ่ื นทเ่ี หมอื นหรอื แตกต่างกนั อยา่ งไร (แนวการตอบ แตกตา่ ง

กนั โดยเหรยี ญท่ี 1 เปน็ การเคลอ่ื นทแี่ นวโคง้ สว่ นเหรียญที่ 2 เปน็ การเคลือ่ นท่แี นวตรงโดยเปน็ การตกแบบ
เสรีในแนวดงิ่ )

3) เหรียญทัง้ สองตกถงึ พื้นพรอ้ มกนั หรือไม่ อย่างไร (แนวการตอบ พรอ้ มกนั โดยเสียงที่
กระทบพน้ื ของเหรียญทั้งสองเกดิ ขึน้ พร้อมกนั )

4) เหรียญทง้ั สองตกถงึ พื้นท่ตี าแหนง่ เดียวกนั หรือไม่ อย่างไร (แนวการตอบ คนละ
ตาแหน่ง โดยเหรยี ญที่ 1 ตกถงึ พื้นบรเิ วณท่ีไกลจากโตะ๊ สว่ นเหรยี ญที่ 2 ตกทบ่ี รเิ วณโต๊ะ)

5) เมื่อออกแรงเคาะไม้บรรทดั เพ่มิ ขนึ้ เพ่ือให้เหรยี ญท่ี 1 มีความเร็วเรมิ่ ตน้ ในแนวระดบั
เพิ่มขึน้ เหรยี ญท้งั สองตกถึงพืน้ พร้อมกันหรือไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ พรอ้ มกัน โดยยังคงได้ยินเสยี งที่
กระทบพ้ืนของเหรียญทัง้ สองเกิดขึ้นพรอ้ มกัน)

3.2 ครนู านกั เรยี นอภปิ รายกิจกรรมท่ี 1.6 เพ่ือนาไปสกู่ ารสรุปโดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี

1) ในแตล่ ะขณะที่จกุ ยางเคลอื่ นท่เี ปน็ วงกลม มแี รงดงึ เชอื กกระทาต่อจุกยางหรือไม่
ในทศิ ทางใด (แนวการตอบ มีแรงดงึ เชือกกระทาต่อจกุ ยาง โดยมีทิศทางเขา้ ส่ศู นู ย์กลางของการเคล่ือนที่)

2) ในแตล่ ะขณะท่ีจกุ ยางเคลื่อนที่เป็นวงกลม ความเร็วของจกุ ยางมที ศิ ทางอย่างไร
(แนวการตอบ ความเร็วของจุกยางมที ศิ ทางในแนวสมั ผสั กบั เสน้ ทางการเคล่ือนทีเ่ ป็นวงกลม)

3) ในแต่ละขณะท่จี ุกยางเคล่ือนทเ่ี ป็นวงกลม ขนาดของความเรว็ ในการเคลอ่ื นท่ีมีความ
สัมพันธ์กบั ขนาดของแรงที่ใชด้ งึ หรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ มีความสัมพันธ์กัน โดยถา้ เพม่ิ ขนาดของ
ความเร็วในการเคล่ือนที่ของจุกยาง ก็จะตอ้ งเพ่มิ ขนาดของแรงดึงจกุ ยาง)

3.3 ครนู านักเรยี นอภปิ รายกิจกรรมท่ี 1.7 เพอื่ นาไปสูก่ ารสรุปโดยใชค้ าถามต่อไปนี้
1) นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ไดผ้ ลการทากิจกรรมเหมอื นหรอื แตกตา่ งกันอยา่ งไร (แนวการตอบ

ไดผ้ ลเหมือนกนั )
2) ขณะลกู ตุ้มอยู่น่งิ ที่จุด O แรงลัพธท์ ่ีกระทาตอ่ ลูกตุ้มมีคา่ เท่าใด (แนวการตอบ แรงลัพธ์

ที่กระทาต่อลกู ตุ้มมีค่าเท่ากบั ศนู ย์)
3) หลังปล่อยใหล้ กู ตุม้ แกวง่ ตาแหนง่ ใดบา้ งที่ลูกตุ้มมีความเร็วเป็นศูนย์ และที่ตาแหน่ง

ใดลกู ตุ้มมีความเร็วสงู สุด (แนวการตอบ ลูกตมุ้ มีความเรว็ เป็นศนู ยท์ ี่ตาแหน่ง A และ B ลกู ตุ้มมีความเร็ว
สูงสดุ ท่ีตาแหน่ง O)

4) ความเร็วของลูกตมุ้ ขณะเคลือ่ นเข้าหาจดุ O และเคลอ่ื นทอ่ี อกจากจุด O มีการ
เปลยี่ นแปลงอยา่ งไร (แนวการตอบ ความเร็วของลกู ตมุ้ ขณะเคลือ่ นเขา้ หาจดุ O มคี ่าเพ่ิมข้ึน และความเรว็
ของลูกตุ้มขณะเคลื่อนที่ออกจากจุด O มีคา่ ลดลง)

5) ความเรง่ ของลูกตมุ้ ขณะเคลอ่ื นเข้าหาจุด O และเคลือ่ นทีอ่ อกจากจุด O มีทิศทางเป็น
อยา่ งไร เพราะเหตุใด (แนวการตอบ ความเร่งของลกู ต้มุ ขณะเคล่ือนเข้าหาจดุ O มีทิศทางเดยี วกับความเร็ว
หรอื มที ิศทางเข้าหาจุด O เพราะลกู ต้มุ เคล่อื นทีโ่ ดยมคี วามเร็วเพม่ิ ข้นึ และความเร่งของลกู ตุ้มขณะเคลือ่ น
ออกจากจุด O มีทศิ ทางตรงข้ามกบั ความเร็ว หรือมที ศิ ทางเขา้ หาจดุ O เพราะลกู ตุ้มเคล่ือนที่โดยมี
ความเรว็ ลดลง)

3.4 นกั เรยี นและครรู ่วมกนั อภิปรายและสรปุ ผลของกจิ กรรมจนสรุปได้ ดงั น้ี
กจิ กรรมที่ 1.5
เหรยี ญที่ 1 มีการเคลอื่ นทเี่ ปน็ เส้นโค้ง สว่ นเหรยี ญที่ 2 มีการเคล่ือนที่เป็นเส้นตรงใน

แนวดง่ิ โดยเหรยี ญทงั้ สองใช้เวลาในการตกถงึ พนื้ เท่ากัน แม้หรยี ญที่ 1 จะมคี วามเรว็ เร่มิ ตันในแนวระดบั
เพ่มิ ขึน้ แต่เหรยี ญดังกล่าวก็ยงั ตกถงึ พ้นื พรอ้ มกับเหรยี ญท่ี 2

กิจกรรมท่ี 1.6
ขณะจุกยางเคลอื่ นท่ีเป็นวงกลม จะมีแรงกระทาต่อจกุ ยางตลอดเวลาโดยมีทิศทางพุ่งเข้าสู่
ศูนย์กลางของการเคล่อื นท่ี สว่ นความเร็วของจุกยางมีทศิ ทางในแนวสัมผัสกบั เสน้ ทางการเคล่ือนทีเ่ ป็น
วงกลม โดยขนาดของแรงท่ีกระทาต่อจุกยางจะขึน้ อยู่กบั ขนาดความเรว็ ของจกุ ยาง ถ้าจกุ ยางมขี นาดของ
ความเร็วมากกจ็ ะต้องใช้แรงดึงทม่ี ีขนาดมาก
กิจกรรมท่ี 1.7

การแกว่งของลูกต้มุ เปน็ การเคลือ่ นทแี่ บบสนั่ หรือแบบกลับไปกลับมาซ้าแนวเดมิ ระหว่าง
จุด A และจดุ B โดยมีจุด O อยู่ตรงกลาง ขณะท่ีลูกตุ้มอยู่ทจ่ี ุดทีไ่ กลที่สดุ ท่ีจุด A และจุด B จะมคี วามเรว็
เป็นศูนย์ เม่ือลูกตมุ้ เคลือ่ นที่เข้าหาจดุ O ลูกตมุ้ มีความเรว็ เพมิ่ ขึ้น แสดงวา่ ลกู ตมุ้ มคี วามเร่งเข้าหาจุด O
และเมอื่ ลูกต้มุ เคลอ่ื นที่ออกจากจดุ O ลกู ตมุ้ มีความเรว็ ลดลง แสดงว่าลูกตุ้มมีความเร่งตรงขา้ มกับความเรว็
โดยมที ศิ ทางเขา้ หาจุด O

3.5 ครสู รุปเพมิ่ เติม ดังน้ี
เหรยี ญทีถ่ ูกแรงกระทาให้เคลอ่ื นที่ไปในแนวระดบั จะหลุดจากขอบโตะ๊ แลว้ เคลื่อนที่ตอ่ ไป

ภายใตแ้ รงโนม้ ถว่ งของโลก ทาให้เหรียญเคล่ือนที่ในแนวโค้งลงสพู่ ื้น ส่วนเหรยี ญท่ไี ม่มีแรงกระทาในแนว
ระดบั จะเคลอ่ื นที่เป็นเสน้ ตรงในแนวดิง่  ซง่ึ เหรียญทั้งสองใชเ้ วลาในการเคล่อื นที่เทา่ กนั และมรี ะยะทางท่ี
เคลื่อนท่ไี ดใ้ นแนวดิ่งเทา่ กนั  แต่เหรยี ญท่ีถกู แรงกระทาใหเ้ คลอ่ื นทใี่ นแนวระดับจะเคลอ่ื นท่ีในแนวโคง้
โดยเคล่อื นที่ถึงพนื้ ไกลจากโต๊ะ ส่วนเหรียญท่ไี มม่ แี รงกระทาในแนวระดับจะเคลือ่ นท่ถี งึ พืน้ ทบี่ รเิ วณใกล้
โตะ๊  การเพิ่มขนาดของแรงท่ีกระทาต่อเหรียญจะทาใหเ้ หรยี ญมคี วามเรว็ ตน้ ในแนวระดับมากขึน้ ส่งผลให้
เหรยี ญตกไกลจากโตะ๊ เพิ่มข้ึน แตร่ ะยะเวลาในการเคลอ่ื นท่ีมีค่าเท่าเดิม

ขน้ั ท่ี 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายใหค้ วามรเู้ พม่ิ เติม ดงั น้ี
1) การเคลื่อนที่แนวโค้งเปน็ การเคลือ่ นทท่ี ้ังในแนวระดับและแนวด่ิง โดยในแนวระดับ

เคลอ่ื นทด่ี ้วยความเรว็ คงตัวและในแนวดง่ิ เคลอื่ นทด่ี ว้ ยความเรง่ คงตวั เรียกการเคลอ่ื นท่แี บบน้ีว่า
การเคลื่อนท่แี บบโพรเจกไทล์

2) การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรเู้ รอ่ื งการเคล่ือนที่แบบโพรเจกไทล์ในชวี ติ ประจาวนั เชน่
การขวา้ งส่ิงของให้ไปตกไกลทส่ี ุด การพุ่งแหลน การทุ่มน้าหนัก การเตะลูกฟตุ บอล การฉีดน้ารดตน้ ไม้
และการโยนสิ่งของขา้ มสิ่งกีดขวาง

3) การยิงวัตถุขน้ึ จากพื้นออกไปเป็นมุมเงยที่มขี นาดตา่ ง ๆ (หนังสอื เรยี น หน้า 31)
4.2 ครูอธบิ ายให้ความร้เู พิม่ เตมิ ตามรายละเอียดในหนังสอื เรยี น ดงั น้ี

1) แรงที่ทาใหว้ ัตถเุ คลื่อนท่เี ปน็ วงกลมมที ิศทางเข้าหาจุดศนู ยก์ ลางของการเคลื่อนทีน่ น้ั
เสมอ แรงน้เี รียกวา่ แรงสู่ศนู ย์กลาง แรงท่กี ระทาต่อวัตถใุ หเ้ คล่อื นท่ีเปน็ วงกลมนท้ี าใหเ้ กดิ ความเร่งในทิศ
ทางเขา้ สูศนู ย์กลางการเคล่ือนที่ เรียกว่า ความเร่งส่ศู นู ยก์ ลาง ความเรว็ ขณะหนงึ่ ของวัตถมุ ีทศิ ทางอย่ใู น
แนวเสน้ สัมผัสกับเสน้ รอบวงกลม ซงึ่ ตง้ั ฉากกบั ความเร่งสู่ศนู ย์กลางเสมอ โดยการเคล่ือนท่รี ูปแบบนี้เรยี กว่า
การเคลือ่ นทแี่ บบวงกลม

2) การประยกุ ตใ์ ชค้ วามรูใ้ นเรือ่ งการเคล่ือนที่แบบวงกลมในชวี ติ ประจา วัน เชน่ การเล้ียว
โค้งใหป้ ลอดภัย และการออกแบบถนนสาหรบั ทางโค้ง

4.3 ครูอธบิ ายให้ความรเู้ พ่ิมเตมิ ดังนี้
1) ปัจจัยท่ีมผี ลตอ่ การเคลือ่ นท่ีของวัตถแุ บบกลับไปกลับมาซ้าแนวเดิม ในกรณีของการ

แกว่งลูกตุ้มอยา่ งงา่ ย สามารถทา ได้ 2 กรณี คือ

1.1) เพิม่ มวลของของลกู ตุ้มหรอื นอตด้วยการเพม่ิ ขนาดหรอื เพม่ิ จานวนทแ่ี ขวน
โดยใหค้ วามยาวของเชอื กและมมุ เร่ิมปล่อยมีคา่ คงตวั แล้วจับเวลาของการแกวง่ ครบ 20 รอบ จะพบว่า
เวลาเฉลย่ี ในการแกว่งครบ 1 รอบของลกู ตมุ้ มีคา่ เท่ากัน นัน่ คอื ทคี่ วามยาวเชือกเท่ากนั คาบของการแกว่ง
ของลูกต้มุ จะมีคา่ เทา่ กันแมม้ วลของลกู ตุ้มจะมกี ารเปลย่ี นแปลงไป

1.2) เปลย่ี นความยาวของเชือกโดยเรม่ิ ตน้ จาก 30 เซนตเิ มตร และเพิ่มขนึ้ ทีละ
10 เซนตเิ มตรจนถงึ ความยาว 80 เซนตเิ มตร โดยใหม้ วลของลูกตุม้ หรือนอตและมมุ มคี า่ คงตัวแลว้ จับเวลา
ของการแกวง่ ครบ 20 รอบ จะพบว่า เวลาเฉลีย่ ในการแกวง่ ครบ 1 รอบของลกู ตมุ้ มีค่าเพมิ่ ขึ้นเมอ่ื ความยาว
ของเชอื กเพิม่ ข้นึ

2) การเคลอ่ื นที่แบบสนั่ ท่มี แี อมพลจิ ูดคงตัวรูปฟังกช์ นั ไซน์ เรยี กว่า การเคลอ่ื นทแี่ บบ
ฮารม์ อนกิ อย่างง่าย (simple harmonic motion)

3) การเคลอื่ นทีแ่ บบส่นั สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ช้ในงานด้านต่างๆ เชน่ การออกแบบ
นาฬกิ าแบบลูกตุม้ ให้สามารถบอกเวลาไดอ้ ยา่ งแม่นยา การออกแบบเครอ่ื งดนตรแี บบสายเพื่อให้ผลิตเสียง
ตามโนต้ ดนตรีทต่ี ้องการ การออกแบบระบบกนั สะเทอื นของรถเพือ่ ใหก้ ารขบั ข่เี กิดขึ้นอยา่ งน่มิ นวลและเพิม่
การทรงตัวของรถ รวมท้งั การออกแบบเคร่ืองเล่นแบบแกวง่ ในสวนสนุกต่าง ๆ

ขน้ั ที่ 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นกั เรียนส่งใบกิจกรรม 1.5 การเคลอื่ นทแ่ี นวโค้งภายใต้แรงโน้มถ่วง
5.2 นักเรียนส่งใบกจิ กรรม 1.6 การเคลือ่ นท่ีแบบวงกลมในแนวระดับ
5.3 นักเรียนส่งใบกจิ กรรม 1.7 การเคลือ่ นที่แบบสน่ั

ประยกุ ตแ์ ละตอบแทนสงั คม
-

8. ส่ือการเรยี นรู้/แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนังสือเรียนรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เล่ม 2

(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม 1.5 การเคลื่อนทแี่ นวโค้งภายใตแ้ รงโน้มถว่ ง
8.3 ใบกิจกรรม 1.6 การเคลอ่ื นท่ีแบบวงกลมในแนวระดับ
8.4 ใบกิจกรรม 1.7 การเคลื่อนท่ีแบบส่นั
8.5 อปุ กรณก์ ารทากิจกรรม
8.6 วดี ีทศั น์

9. ชิ้นงาน/ภาระงาน
-

10. การวัดและประเมนิ ผล

10.1 การประเมินระหว่างการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้ วิธกี ารวดั เครอ่ื งมือวดั เกณฑท์ ีใ่ ช้ในการ
ประเมิน
ดา้ นความรู้ : 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมิน
1.5 การทากิจกรรม 1) นกั เรียนสามารถ
1) นักเรยี นอธบิ ายการ การเคลอื่ นทแี่ นวโค้ง บนั ทึกและสรุปผล
เคลื่อนท่ีแบบโพรเจกไทล์ ภายใต้แรงโนม้ ถว่ ง 1) แบบประเมนิ กจิ กรรมได้ระดบั ดี
และความเรง่ ทเี่ กี่ยวข้อง 2) ตรวจใบกิจกรรม การทากิจกรรม ผา่ นเกณฑ์
ได้ 1.6 การเคลอื่ นที่
2) นักเรยี นอธิบายการ แบบวงกลมในแนว 1) แบบประเมิน 1) นักเรียนสามารถ
เคล่ือนท่ีแบบวงกลมและ ระดับ การทากจิ กรรม ตดิ ต้ังอปุ กรณก์ ารทา
ความเรง่ ท่ีเก่ียวขอ้ งได้ 3) ตรวจใบกจิ กรรม กจิ กรรมได้ระดบั ดี
3) นกั เรียนอธบิ ายการ 1.7 ผา่ นเกณฑ์
เคลอ่ื นท่ีแบบสน่ั และ การเคลื่อนท่ีแบบส่ัน
ความเรง่ ทเ่ี ก่ียวข้องได้ 1) นกั เรียนทาภาระ
ดา้ นกระบวนการ : 1) ตรวจความสาเรจ็ งานท่ไี ดร้ บั มอบหมาย
ของการตดิ ต้งั ได้ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
1) นักเรียนสามารถจดั อุปกรณ์
อุปกรณเ์ พื่อศึกษาการ 2) ตรวจใบกิจกรรม
เคลื่อนท่ีของวัตถุในแนว 1.6 การเคลอ่ื นท่ี
ระดบั และแนวดิง่ ได้ แบบวงกลมในแนว
2) นักเรยี นทดลองการ ระดับ
เคลอ่ื นทแ่ี บบวงกลมได้ 3) ตรวจใบกจิ กรรม
3) นักเรยี นทดลองการ 1.7
เคลอ่ื นทแ่ี บบส่นั ได้ การเคลอ่ื นท่ีแบบสัน่

ดา้ นเจตคติ : 1) ตรวจความสาเร็จ
1) ใฝ่เรียนรูแ้ ละเปน็ ผมู้ ี ของการตดิ ต้งั
ความมุ่งมัน่ ในการทางาน อปุ กรณ์
2) ตรวจใบกิจกรรม
1.5
การเคลอื่ นท่แี นวโค้ง
ภายใต้แรงโนม้ ถว่ ง
3) ตรวจใบกจิ กรรม
1.6 การเคล่ือนท่ี
แบบวงกลมในแนว

ระดบั
4) ตรวจใบกจิ กรรม
1.7
การเคลื่อนท่ีแบบส่ัน

11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................

ลงชอ่ื ผสู้ อน
(นางสาวจิรนนั ท์ ตอ่ มหล้า)

12. ขอ้ คดิ เห็นของหวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงช่ือ...............................................................
( นายนนั ท์ ก้อคา )

หวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

13. ขอ้ คดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะผูช้ ว่ ยผู้อานวยการกลมุ่ งานบริหารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ...............................................................
(....................................................)

ผู้ชว่ ยผูอ้ านวยการกลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ

การอนุมัตกิ ารใชแ้ ผนการจัดการเรียนรูจ้ ากฝ่ายบริหาร
ความคดิ เหน็ ของรองผอู้ านวยการฝา่ ยวชิ าการ

....................................................................................................................................................................................
 เหน็ สมควรอนุมัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน
 เห็นสมควรไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน เพราะ....................................................................

.....................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )

รองผ้อู านวยการโรงเรียนฝา่ ยบริหารวิชาการ

การอนมุ ัติจากผ้อู านวยการโรงเรยี น
 อนมุ ตั ิใหใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน
 ไมอ่ นมุ ัตใิ ห้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ..............................................................

..............................................................................................................................................................

ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาล)ี

ผูอ้ านวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

บันทกึ ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ที่ 4

รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว32103 ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ี่ 5

เรอ่ื ง การเคล่ือนทแ่ี บบตา่ งๆ เวลา 2 ชวั่ โมง

……………………………………………………………….

1. จานวนนกั เรยี นท่ีสอน

ระดบั ชัน้ จานวนนกั เรียน (คน)

ม.5/1 34

ม.5/2 35

ม.5/3 36

รวม 105

2. บันทกึ ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................

2.2 ขอ้ สังเกต/ข้อค้นพบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

2.3 ปญั หา/อปุ สรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

3. การประเมินผลการสอน

รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ

1. ความเหมาะสมของระยะเวลา

2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา

3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน

4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้

5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน

6. ผลการปฏิบัติกจิ กรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ

หลังเรยี น

สรุปภาพรวม

4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ

2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

3. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ ร้อยละ

การวดั ผลประเมนิ ผล

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรียน
ระดับ 3 ขนึ้ ไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

ลงชอ่ื ............................................ครูผู้สอน
(นางจิรนนั ท์ ตอ่ มหล้า)

ความคดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะของผนู้ ิเทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ................................................ผู้นเิ ทศ
(นายนันท์ ก้อคา)

หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ความคดิ เหน็ ของรองผอู้ านวยการโรงเรยี นฝ่ายบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผอู้ านวยการฝ่ายบริหารวชิ าการ

ความคดิ เหน็ ของผอู้ านวยการโรงเรียน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นางวิลาวลั ย์ ปาล)ี

ผอู้ านวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน

สรุปผล

ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรับปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้

ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้

สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น

มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน

สมบรู ณ์

เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น ค้นคว้า

กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้

ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผู้แนะนาหรือ

ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลียนแบบผ้อู นื่

ถูกต้อง

เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)

321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน

สรปุ ผล

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............

ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย

เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนักเรยี น
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม

ประเด็นการ ค่าน้าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
บันทึกและสรปุ ผลกิจกรรมไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน
ด้านความรู้ 3 บนั ทกึ และสรปุ ผลกิจกรรมไดค้ ่อนข้างถกู ตอ้ ง
(K) 2 บันทึกและสรปุ ผลกจิ กรรมไม่ถูกต้อง
1 ติดตง้ั อุปกรณ์การทากิจกรรมไดถ้ ูกตอ้ ง
ดา้ น 3 ตดิ ตั้งอปุ กรณก์ ารทากจิ กรรมได้บางสว่ น
กระบวนการ 2 ติดตงั้ อปุ กรณ์การทากิจกรรมไมถ่ ูกต้อง
1 ทาภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด และเรยี บรอ้ ยถูกตอ้ งครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางส่วน
ด้าน 2 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางสว่ น
คุณลกั ษณะ 1
(A)

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

ใบกจิ กรรม 1.5 การเคล่ือนทแี่ นวโคง้ ภายใตแ้ รงโน้มถ่วง

1. รายช่อื สมาชกิ กลุม่ ท่ี …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
วเิ คราะหก์ ารเคล่ือนที่ของวัตถใุ นแนวระดับและแนวดิ่งเพอื่ อธบิ ายผลของความเรง่ ทีม่ ตี ่อการเคล่ือนที่แนวโค้งภายใตแ้ รงโนม้ ถว่ ง

3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 2 เหรียญ
1) เหรยี ญ 10 2 อัน
2) ไม้บรรทดั เหล็ก

4. วธิ ีทากิจกรรม
1) เตรียมเหรยี ญ 2 เหรียญ ทมี่ ีลกั ษณะเหมือนกันทุกประการ
2) วางเหรียญที่ 1 ไว้บริเวณมุมโต๊ะ โดยใหเ้ หรยี ญชดิ กบั ขอบโตะ๊ ด้านหน่งึ
3) วางไมบ้ รรทดั ให้ขนานขอบกบั โต๊ะดา้ นที่วางเหรยี ญที่ 1 ไว้ และให้ไมบ้ รรทดั สมั ผัสกับเหรียญนี้ โดยใหป้ ลายไมบ้ รรทัด
ด้านหนึง่ ยืน่ ออกไปนอกโต๊ะ จากนน้ั ใชม้ ือกดปลายไม้บรรทัดด้านท่ีอยู่บนโตะ๊ ไวเ้ พอ่ื ให้ปลายน้เี ป็นจุดหมนุ
4) วางเหรยี ญที่ 2 ไวบ้ นปลายไม้บรรทดั ดา้ นที่ยนื่ ออกมาจากโตะ๊ (ดงั รปู ) จากนน้ั ใชไ้ ม้บรรทดั อีกอนั เคาะปลายไมบ้ รรทัด
ดา้ นที่ย่ืนออกมาจากโตะ๊ โดยเรว็
5) สงั เกตและบันทึกการเคล่อื นท่ขี องเหรียญท้งั สองท่ตี กลงมา โดยอาจใช้นาฬกิ าจบั เวลา กล้องบันทกึ ภาพเคลื่อนไหว
หรือฟังเสียงกระทบพื้นของเหรยี ญท้ังสอง
6) ทาซา้ ขอ้ 1) – 5) โดยเปลยี่ นขนาดของแรงท่ีเคาะไมบ้ รรทัดให้เพ่มิ ขึ้น

5. ผลการทากิจกรรม (ให้วาดเส้นทางการเคลอื่ นท่ขี องเหรยี ญ) เหรยี ญท่ี 2
เหรียญที่ 1

6. คาถามท้ายกิจกรรม
1) เหรยี ญทงั้ สองมีการเคลอ่ื นที่เหมอื นหรือแตกต่างกนั อยา่ งไร

ตอบ แตกต่างกัน โดยเหรียญท่ี 1 เป็นการเคล่ือนทแี่ นวโคง้ ส่วนเหรยี ญที่ 2 เปน็ การเคลอ่ื นทแ่ี นวตรงโดยเป็นการ

ตกแบบเสรีในแนวด่ิง มี

2) เหรยี ญทัง้ สองตกถงึ พน้ื พรอ้ มกันหรอื ไม่ อยา่ งไร

ตอบ พรอ้ มกนั โดยเสียงทก่ี ระทบพืน้ ของเหรยี ญทง้ั สองเกิดขึ้นพร้อมกัน f

3) เหรยี ญทัง้ สองตกถงึ พ้ืนที่ตาแหน่งเดยี วกันหรือไม่ อย่างไร

ตอบ คนละตาแหน่ง โดยเหรียญท่ี 1 ตกถึงพน้ื บรเิ วณท่ไี กลจากโต๊ะ ส่วนเหรยี ญที่ 2 ตกที่บรเิ วณโต๊ะ ด

4) เมอื่ ออกแรงเคาะไม้บรรทดั เพ่มิ ขน้ึ เพ่อื ให้เหรยี ญที่ 1 มีความเรว็ เริ่มตน้ ในแนวระดบั เพม่ิ ขึน้ เหรียญท้งั สองตกถงึ พื้น
พรอ้ มกนั หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ พรอ้ มกัน โดยยงั คงไดย้ นิ เสยี งท่ีกระทบพืน้ ของเหรียญท้งั สองเกดิ ขึน้ พร้อมกนั ด

7. สรุปผลการทากิจกรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ เหรียญท่ี 1 มกี ารเคลอื่ นที่เปน็ เส้นโคง้ ส่วนเหรยี ญที่ 2 มีการเคลอ่ื นที่เป็นเส้นตรง

ในแนวดิง่ โดยเหรียญทัง้ สองใชเ้ วลาในการตกถึงพื้นเท่ากนั แมห้ รียญท่ี 1 จะมคี วามเรว็ เรมิ่ ตนั ในแนวระดบั เพิ่มข้นึ แต่

เหรยี ญดงั กลา่ วกย็ งั ตกถงึ พืน้ พรอ้ มกบั เหรียญท่ี 2 อ

เหรยี ญดังกล่าวกย็ งั ตกถงึ พ้ืนพร้อมกบั เหรยี ญที่ 2 อ

เฉลยใบกิจกรรม 1.5 การเคลื่อนทีแ่ นวโคง้ ภายใต้แรงโนม้ ถ่วง

1. รายชือ่ สมาชิกกลุ่มท่ี …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
วเิ คราะหก์ ารเคล่ือนที่ของวตั ถุในแนวระดบั และแนวดงิ่ เพื่ออธิบายผลของความเร่งทมี่ ตี อ่ การเคลื่อนทแี่ นวโค้งภายใตแ้ รงโนม้ ถ่วง

3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 2 เหรียญ
1) เหรียญ 10 2 อัน
2) ไม้บรรทดั เหลก็

4. วิธีทากิจกรรม
1) เตรียมเหรยี ญ 2 เหรยี ญ ที่มีลกั ษณะเหมอื นกนั ทกุ ประการ
2) วางเหรยี ญท่ี 1 ไวบ้ รเิ วณมมุ โต๊ะ โดยให้เหรยี ญชดิ กับขอบโตะ๊ ด้านหนง่ึ
3) วางไม้บรรทดั ให้ขนานขอบกบั โต๊ะด้านทีว่ างเหรยี ญที่ 1 ไว้ และให้ไม้บรรทดั สมั ผัสกับเหรยี ญนี้ โดยให้ปลายไม้บรรทดั
ดา้ นหนึง่ ยนื่ ออกไปนอกโต๊ะ จากน้นั ใชม้ ือกดปลายไมบ้ รรทัดด้านทีอ่ ยบู่ นโต๊ะไวเ้ พอ่ื ให้ปลายน้ีเปน็ จุดหมนุ
4) วางเหรยี ญที่ 2 ไว้บนปลายไม้บรรทัดด้านท่ยี น่ื ออกมาจากโตะ๊ (ดังรูป) จากนัน้ ใช้ไม้บรรทัดอกี อนั เคาะปลายไมบ้ รรทดั
ด้านทีย่ ่ืนออกมาจากโต๊ะโดยเร็ว
5) สังเกตและบนั ทกึ การเคลอื่ นท่ขี องเหรียญทั้งสองท่ตี กลงมา โดยอาจใชน้ าฬิกาจับเวลา กล้องบนั ทกึ ภาพเคล่อื นไหว
หรือฟังเสยี งกระทบพนื้ ของเหรยี ญทั้งสอง
6) ทาซ้าข้อ 1) – 5) โดยเปลีย่ นขนาดของแรงท่ีเคาะไม้บรรทดั ให้เพ่ิมขึ้น

5. ผลการทากิจกรรม (ให้วาดเส้นทางการเคลือ่ นที่ของเหรียญ) เหรียญท่ี 2
เหรียญที่ 1

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม
1) เหรยี ญทั้งสองมีการเคลือ่ นที่เหมือนหรือแตกต่างกนั อย่างไร

ตอบ แตกต่างกนั โดยเหรยี ญท่ี 1 เปน็ การเคลื่อนท่ีแนวโคง้ ส่วนเหรียญที่ 2 เปน็ การเคลอ่ื นท่แี นวตรงโดยเป็นการ

ตกแบบเสรีในแนวดงิ่ มี

2) เหรียญทง้ั สองตกถึงพื้นพร้อมกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร

ตอบ พรอ้ มกนั โดยเสยี งทก่ี ระทบพื้นของเหรยี ญทั้งสองเกิดขนึ้ พร้อมกัน f

3) เหรียญทัง้ สองตกถึงพืน้ ท่ตี าแหน่งเดียวกนั หรอื ไม่ อยา่ งไร ด
ตอบ คนละตาแหนง่ โดยเหรยี ญท่ี 1 ตกถึงพน้ื บรเิ วณทไี่ กลจากโต๊ะ ส่วนเหรียญท่ี 2 ตกที่บรเิ วณโต๊ะ

4) เมื่อออกแรงเคาะไมบ้ รรทดั เพ่ิมขน้ึ เพอื่ ให้เหรียญท่ี 1 มคี วามเรว็ เร่ิมต้นในแนวระดบั เพ่มิ ข้ึน เหรยี ญท้ังสองตกถงึ พ้นื
พร้อมกนั หรือไม่ อย่างไร

ตอบ พร้อมกัน โดยยังคงไดย้ ินเสียงท่กี ระทบพ้นื ของเหรียญท้ังสองเกิดขึ้นพร้อมกนั ด

7. สรุปผลการทากิจกรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ เหรียญที่ 1 มกี ารเคลอื่ นท่ีเป็นเสน้ โคง้ ส่วนเหรยี ญท่ี 2 มีการเคลือ่ นท่เี ป็นเสน้ ตรง

ในแนวดง่ิ โดยเหรียญทง้ั สองใช้เวลาในการตกถงึ พื้นเทา่ กัน แม้หรียญท่ี 1 จะมีความเรว็ เรม่ิ ตันในแนวระดับเพ่ิมข้ึนแต่

เหรยี ญดงั กล่าวก็ยงั ตกถึงพ้นื พร้อมกบั เหรียญที่ 2 อ

ใบกิจกรรม 1.6 การเคล่อื นท่ีแบบวงกลมในแนวระดบั

1. รายชือ่ สมาชิกกลมุ่ ท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
วเิ คราะห์การเคล่ือนท่ีของจุกยางเพ่อื อธิบายผลของความเร่งที่มีต่อการเคล่อื นที่แบบวงกลมในแนวระดับ

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 อัน
1) จุกยาง 1 เสน้
2) เชอื ก

4. วิธที ากิจกรรม
1) เหวี่ยงจุกยางท่ีผูกดว้ ยเชอื กให้เปน็ วงกลมในแนวระดบั เหนอื ศรี ษะ (ดงั รปู ) สังเกตเส้นทางเคลอ่ื นท่ขี องจุกยาง
ความเรว็ ในการเคลื่อนที่ของจกุ ยาง และแรงดงึ เชือก
2) เหวยี่ งจุกยางดว้ ยความเร็วในการเคล่อื นท่ีของจกุ ยางให้เพ่มิ ขนึ้ สังเกตแรงดึงเชอื ก

5. ผลการทากิจกรรม
ในขณะทจ่ี ุกยางเคลอ่ื นที่เป็นวงกลม เมอ่ื ความเรว็ ในการเคลอื่ นทข่ี องจุกยางเพิ่มขึน้ แรงดงึ เชือกจะมขี นาดเพิ่มขน้ึ

ในขณะที่จกุ ยางเคลอื่ นทีเ่ ป็นวงกลม เมือ่ ความเร็วในการเคลอ่ื นทีข่ องจกุ ยางเพิม่ ข้นึ แรงดงึ เชอื กจะมีขนาดเพิม่ ขึ้น

ในขณะท่จี กุ ยางเคลอ่ื นทเี่ ปน็ วงกลม เมือ่ ความเรว็ ในการเคลอ่ื นทข่ี องจุกยางเพิม่ ขึ้น แรงดงึ เชอื กจะมขี นาดเพิ่มข้ึน

ในขณะทจ่ี ุกยางเคล่ือนทีเ่ ปน็ วงกลม เมื่อความเรว็ ในการเคลอ่ื นท่ีของจกุ ยางเพิ่มขน้ึ แรงดึงเชือกจะมขี นาดเพมิ่ ขน้ึ

6. คาถามท้ายกิจกรรม มี
1) ในแตล่ ะขณะที่จกุ ยางเคลอ่ื นทเ่ี ป็นวงกลม มีแรงดงึ เชอื กกระทาต่อจกุ ยางหรือไมใ่ นทิศทางใด มี
ตอบ มีแรงดึงเชอื กกระทาต่อจุกยาง โดยมีทศิ ทางเข้าสู่ศูนย์กลางของการเคลื่อนท่ี
มีแรงดึงเชอื กกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ ส่ศู นู ยก์ ลางของการเคลอ่ื นที่
2) ในแต่ละขณะท่ีจุกยางเคลอ่ื นท่เี ปน็ วงกลม ความเรว็ ของจกุ ยางมที ิศทางอย่างไร

ตอบ ความเรว็ ของจกุ ยางมที ิศทางในแนวสมั ผัสกับเสน้ ทางการเคลื่อนท่ีเปน็ วงกลม f

มีแรงดึงเชอื กกระทาตอ่ จกุ ยาง โดยมีทิศทางเขา้ สู่ศูนย์กลางของก ารเคลื่อนท่ี มี

3) ในแตล่ ะขณะที่จกุ ยางเคลื่อนทเ่ี ปน็ วงกลม ขนาดของความเรว็ ในการเคล่ือนที่มีความสัมพนั ธ์กบั ขนาดของแรงที่ใชด้ งึ
หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ มีความสมั พนั ธก์ นั โดยถา้ เพมิ่ ขนาดของความเร็วในการเคลอ่ื นทขี่ องจกุ ยาง กจ็ ะตอ้ งเพิ่มขนาดของแรงดึงจกุ

ยาง ด

มีแรงดงึ เชือกกระทาตอ่ จุ กยาง โดยมีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางของการเคลือ่ นท่ี มี

7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม

จากการทากจิ กรรม พบว่า ขณะจกุ ยางเคล่อื นทีเ่ ป็นวงกลม จะมีแรงกระทาตอ่ จุกยางตลอดเวลาโดยมีทิศทาง

พงุ่ เขา้ สู่ศูนยก์ ลางของการเคลอื่ นท่ี สว่ นความเรว็ ของจกุ ยางมที ศิ ทางในแนวสมั ผัสกับเสน้ ทางการเคลอ่ื นท่เี ปน็ วงกลม

โดยขนาดของแรงที่กระทาต่อจุกยางจะขน้ึ อยกู่ ับขนาดความเร็วของจกุ ยาง ถา้ จกุ ยางมีขนาดของความเรว็ มากก็จะตอ้ งใช้

แรงดึงท่มี ขี นาดมาก อ

B

b

b

b

b

b

เฉลยใบกจิ กรรม 1.6 การเคลอ่ื นทแ่ี บบวงกลมในแนวระดับ

1. รายชือ่ สมาชิกกล่มุ ท่ี …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
วิเคราะหก์ ารเคลื่อนที่ของจุกยางเพือ่ อธบิ ายผลของความเรง่ ที่มีตอ่ การเคล่ือนที่แบบวงกลมในแนวระดบั

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 อัน
1) จุกยาง 1 เส้น
2) เชอื ก

4. วธิ ีทากจิ กรรม
1) เหวย่ี งจกุ ยางทีผ่ ูกด้วยเชอื กใหเ้ ปน็ วงกลมในแนวระดับเหนือศีรษะ (ดงั รูป) สงั เกตเส้นทางเคลอ่ื นท่ีของจุกยาง
ความเร็วในการเคลอ่ื นที่ของจกุ ยาง และแรงดงึ เชอื ก
2) เหว่ยี งจกุ ยางดว้ ยความเร็วในการเคล่ือนที่ของจกุ ยางให้เพิม่ ข้นึ สงั เกตแรงดงึ เชอื ก

5. ผลการทากิจกรรม
ในขณะทจี่ ุกยางเคล่อื นทเี่ ปน็ วงกลม เมือ่ ความเร็วในการเคลือ่ นทีข่ องจุกยางเพม่ิ ข้นึ แรงดงึ เชือกจะมขี นาดเพ่ิมขน้ึ

ในขณะทีจ่ ุกยางเคลือ่ นทเี่ ป็นวงกลม เม่ือความเร็วในการเคลื่อนท่ีของจุกยางเพิ่มขน้ึ แรงดึงเชือกจะมขี นาดเพม่ิ ขึ้น

ในขณะท่จี กุ ยางเคล่อื นท่ีเปน็ วงกลม เมอ่ื ความเร็วในการเคลื่อนทข่ี องจกุ ยางเพ่ิมข้นึ แรงดงึ เชือกจะมขี นาดเพม่ิ ข้ึน

ในขณะทจี่ กุ ยางเคลือ่ นที่เปน็ วงกลม เมื่อความเรว็ ในการเคลอ่ื นทขี่ องจกุ ยางเพ่ิมขน้ึ แรงดงึ เชือกจะมีขนาดเพิม่ ข้นึ

6. คาถามท้ายกิจกรรม มี
1) ในแตล่ ะขณะที่จกุ ยางเคลอ่ื นทเ่ี ป็นวงกลม มีแรงดงึ เชอื กกระทาต่อจุกยางหรือไมใ่ นทิศทางใด มี
ตอบ มีแรงดึงเชอื กกระทาต่อจุกยาง โดยมีทศิ ทางเข้าสู่ศูนย์กลางของการเคลื่อนท่ี
มีแรงดึงเชอื กกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ ส่ศู นู ยก์ ลางของการเคลอ่ื นที่
2) ในแต่ละขณะท่ีจุกยางเคลอ่ื นท่เี ปน็ วงกลม ความเรว็ ของจกุ ยางมที ิศทางอย่างไร

ตอบ ความเรว็ ของจกุ ยางมที ิศทางในแนวสมั ผัสกับเสน้ ทางการเคล่อื นท่ีเปน็ วงกลม f

มีแรงดึงเชอื กกระทาตอ่ จกุ ยาง โดยมีทิศทางเขา้ สู่ศูนย์กลางของก ารเคลื่อนท่ี มี

3) ในแตล่ ะขณะที่จกุ ยางเคลื่อนทเ่ี ปน็ วงกลม ขนาดของความเรว็ ในการเคล่ือนที่มีความสัมพนั ธ์กบั ขนาดของแรงที่ใชด้ งึ
หรือไม่ อยา่ งไร

ตอบ มีความสมั พนั ธก์ นั โดยถา้ เพมิ่ ขนาดของความเร็วในการเคลอ่ื นทขี่ องจกุ ยาง กจ็ ะตอ้ งเพิ่มขนาดของแรงดึงจกุ

ยาง ด

มีแรงดงึ เชือกกระทาตอ่ จุ กยาง โดยมีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางของการเคลือ่ นท่ี มี

7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม

จากการทากจิ กรรม พบว่า ขณะจกุ ยางเคล่อื นทีเ่ ป็นวงกลม จะมีแรงกระทาตอ่ จุกยางตลอดเวลาโดยมีทิศทาง

พงุ่ เขา้ สู่ศูนยก์ ลางของการเคลอื่ นท่ี สว่ นความเรว็ ของจกุ ยางมที ศิ ทางในแนวสมั ผัสกับเสน้ ทางการเคลอ่ื นท่เี ปน็ วงกลม

โดยขนาดของแรงที่กระทาต่อจุกยางจะขน้ึ อยกู่ ับขนาดความเร็วของจกุ ยาง ถา้ จกุ ยางมีขนาดของความเรว็ มากก็จะตอ้ งใช้

แรงดึงท่ีมขี นาดมาก อ

B

b

b

b

b

b


Click to View FlipBook Version