The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ao_jiranan, 2022-02-15 10:40:17

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

ใบกจิ กรรม 1.7 การเคล่อื นทแี่ บบส่นั

1. รายช่ือสมาชิกกล่มุ ท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
วิเคราะหก์ ารแกว่งของลูกตมุ้ เพื่ออธบิ ายผลของความเรง่ ทมี่ ตี อ่ การเคลอ่ื นทแี่ บบส่ัน

3. วัสด-ุ อุปกรณ์

1) ลกู ตมุ้ 1 อัน
เสน้
2) เชอื ก 1 อัน

3) ขาต้ังสา หรบั แขวนลกู ตมุ้ 1

4. วธิ ที ากจิ กรรม
1) ผูกลกู ตมุ้ กับเชือกและนาไปแขวนโดยให้ความยาวเชอื กจากจุดแขวนประมาณ 50 เชนตเิ มตร
กาหนดใหต้ าแหนง่ ของลกู ตมุ้ อยนู่ ง่ิ เปน็ จดุ O
2) ดึงลูกตุ้มใหแ้ นวเชือกเบนจากแนวด่ิงเป็นมุมน้อย ๆ จากตาแหน่ง O ไปที่ตาแหนง่ A (ดังรูป)
จากน้นั ปล่อยให้ลกู ต้มุ แกว่ง สงั เกตการเปลี่ยนแปลงความเร็วของลกู ตมุ้ ขณะเคลือ่ นเขา้ หา
จดุ O ที่จุด O และเคลอื่ นทอ่ี อกจากจุด O

5. ผลการทากจิ กรรม
ความเร็วของลกู ตุม้ ขณะเคล่อื นเขา้ หาจดุ  O มีคา่ เพิม่ ขึ้น และความเร็วของลูกตุ้มขณะเคล่อื นทอ่ี อกจากจุด O มคี า่

ลดลง ในขณะท่จี กุ ยาง

เคล่อื นท่ีเป็นวงกลม เมอื่ ความเร็วในก ารเคลือ่ นทขี่ องจุกยางเพม่ิ ข้นึ แรงดงึ เชือกจะมีขนาดเพิ่มข้ึน

ลดลง ในขณะท่จี ุกยาง

เคลื่อนที่เปน็ วงกลม เมื่อความเรว็ ในก ารเคลื่อนทีข่ องจุกยางเพิ่มขน้ึ แรงดึงเชอื กจะมีขนาดเพิ่มข้ึน

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม

1) ขณะลกู ตมุ้ อย่นู ง่ิ ทจี่ ดุ O แรงลพั ธ์ท่ีกระทาตอ่ ลูกตุ้มมีค่าเทา่ ใด มี
ตอบ แรงลัพธ์ที่กระทาตอ่ ลกู ตมุ้ มีคา่ เทา่ กับศนู ย์

มีแรงดงึ เชอื กกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมที ศิ ทางเข้าสู่ศนู ย์กลางของการเคลื่อนที่ มี

2) หลงั ปล่อยให้ลูกตุ้มแกว่ง ตาแหน่งใดบ้างท่ีลูกตุ้มมคี วามเรว็ เปน็ ศนู ย์ และท่ตี าแหน่งใดลกู ตมุ้ มีความเรว็ สูงสุด

ตอบ ลกู ตมุ้ มคี วามเร็วเป็นศนู ยท์ ีต่ าแหน่ง A และ B ลกู ตมุ้ มีความเร็วสงู สุดท่ตี าแหนง่ O f

มีแรงดงึ เชอื กกระทาตอ่ จกุ ยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ สู่ศนู ย์กลางของก ารเคลื่อนที่ มี

3) ความเร็วของลกู ตมุ้ ขณะเคลอื่ นเขา้ หาจุด O และเคลอ่ื นที่ออกจากจุด O มกี ารเปลย่ี นแปลงอย่างไร
ตอบ ความเร็วของลกู ตมุ้ ขณะเคลอ่ื นเข้าหาจดุ O มีคา่ เพ่ิมขึน้ และความเรว็ ของลกู ต้มุ ขณะเคลื่อนท่อี อกจากจุด O

มีคา่ ลดลง ด

4) ความเรง่ ของลูกตุ้มขณะเคล่อื นเข้าหาจุด O และเคลอื่ นทอ่ี อกจากจุด O มที ิศทางเปน็ อยา่ งไร เพราะเหตใุ ด

ตอบ ความเรง่ ของลกู ตุ้มขณะเคลอ่ื นเข้าหาจดุ O มีทศิ ทางเดยี วกบั ความเร็วหรอื มที ิศทางเข้าหาจุด O เพราะ

ลูกตมุ้ เคลอื่ นทีโ่ ดยมคี วามเรว็ เพ่มิ ขน้ึ และความเร่งของลูกตมุ้ ขณะเคลอ่ื นออกจากจุด O มีทิศทางตรงข้ามกบั

ความเรว็ หรอื มที ศิ ทางเขา้ หาจุด O เพราะลกู ตุม้ เคลื่อนที่โดยมีความเรว็ ลดลง ด

มีแรงดงึ เชอื กกระทาตอ่ จุกยาง โดยมที ิศทางเข้าสู่ศูนยก์ ลางของก ารเคลือ่ นท่ี มี

มีแรงดงึ เชือกกระทาตอ่ จุกยาง โดยมที ศิ ทางเข้าสู่ศนู ย์กลางของก ารเคล่อื นที่ มี

มีแรงดึงเชือกกระทาตอ่ จุกยาง โดยมที ิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางของก ารเคลื่อนท่ี มี

7. สรปุ ผลการทากิจกรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ การแกวง่ ของลูกตุม้ เป็นการเคลอ่ื นทีแ่ บบสัน่ หรือแบบกลบั ไปกลับมาซ้าแนวเดิม

ระหว่างจดุ A และจดุ B โดยมีจดุ O อยูต่ รงกลาง ขณะทล่ี ูกตมุ้ อยู่ทจ่ี ดุ ทไ่ี กลทส่ี ุดทีจ่ ุด A และจุด B จะมคี วามเร็วเป็น

ศนู ย์ เม่ือลกู ตุ้มเคล่อื นที่เข้าหาจดุ O ลูกตมุ้ มีความเรว็ เพ่ิมข้ึน แสดงว่าลูกตุม้ มีความเรง่ เขา้ หาจุด O และเมอ่ื ลูกต้มุ

เคลื่อนทอ่ี อกจากจุด O ลกู ต้มุ มีความเรว็ ลดลง แสดงว่าลกู ตุ้มมีความเรง่ ตรงขา้ มกบั ความเร็วโดยมีทิศทางเข้าหาจุด Oอ
B

เฉลยใบกิจกรรม 1.7 การเคลอื่ นท่แี บบส่ัน

1. รายชือ่ สมาชกิ กลุ่มท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
วิเคราะหก์ ารแกว่งของลูกตุ้มเพ่อื อธิบายผลของความเร่งที่มตี ่อการเคล่อื นทแ่ี บบสน่ั

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์

1) ลกู ต้มุ 1 อัน
เส้น
2) เชอื ก 1 อัน

3) ขาตง้ั สา หรับแขวนลูกตมุ้ 1

4. วิธที ากจิ กรรม
1) ผูกลกู ตมุ้ กบั เชอื กและนาไปแขวนโดยให้ความยาวเชอื กจากจุดแขวนประมาณ 50 เชนตเิ มตร
กาหนดใหต้ าแหน่งของลูกตมุ้ อยูน่ งิ่ เป็นจุด O
2) ดงึ ลกู ตมุ้ ใหแ้ นวเชือกเบนจากแนวด่ิงเป็นมุมน้อย ๆ จากตาแหน่ง O ไปที่ตาแหน่ง A (ดงั รปู )
จากนัน้ ปลอ่ ยให้ลูกตุ้มแกว่ง สังเกตการเปลย่ี นแปลงความเร็วของลูกตมุ้ ขณะเคลือ่ นเขา้ หา
จุด O ท่ีจดุ O และเคลอ่ื นทอี่ อกจากจุด O

5. ผลการทากจิ กรรม
ความเร็วของลูกตุ้มขณะเคลื่อนเขา้ หาจุด O มีคา่ เพ่ิมขน้ึ และความเร็วของลูกตุม้ ขณะเคลื่อนทอ่ี อกจากจดุ O มีค่า

ลดลง ในขณะท่จี กุ ยาง

เคลื่อนท่เี ป็นวงกลม เมื่อความเร็วในก ารเคลอ่ื นท่ขี องจกุ ยางเพม่ิ ข้นึ แรงดึงเชอื กจะมีขนาดเพ่ิมขน้ึ

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม

1) ขณะลกู ตมุ้ อย่นู ง่ิ ทจี่ ดุ O แรงลพั ธ์ท่ีกระทาต่อลูกตมุ้ มีค่าเทา่ ใด มี
ตอบ แรงลัพธ์ที่กระทาต่อลกู ตุ้มมีค่าเท่ากับศูนย์

มีแรงดงึ เชอื กกระทา ต่อจุกยาง โดยมที ศิ ทางเขา้ สศู่ ูนยก์ ลางของการเคลื่อนที่ มี

2) หลงั ปล่อยให้ลูกตุ้มแกวง่ ตาแหน่งใดบ้างท่ีลูกตุ้มมีความเรว็ เปน็ ศนู ย์ และท่ตี าแหน่งใดลกู ต้มุ มีความเรว็ สูงสดุ

ตอบ ลกู ตมุ้ มคี วามเร็วเป็นศนู ยท์ ต่ี าแหนง่ A และ B ลูกตุ้มมีความเร็วสงู สุดท่ตี าแหนง่ O f

มีแรงดงึ เชอื กกระทาต่อจุกยาง โดยมีทิศทางเขา้ สู่ศนู ย์กลางของก ารเคลื่อนที่ มี

3) ความเร็วของลกู ตมุ้ ขณะเคลือ่ นเข้าหาจดุ O และเคล่อื นที่ออกจากจุด O มกี ารเปลย่ี นแปลงอย่างไร
ตอบ ความเร็วของลูกตมุ้ ขณะเคลื่อนเข้าหาจดุ O มีคา่ เพ่มิ ขน้ึ และความเรว็ ของลกู ต้มุ ขณะเคลื่อนท่อี อกจากจุด O

มีคา่ ลดลง ด

4) ความเรง่ ของลูกตุ้มขณะเคลอื่ นเข้าหาจุด O และเคลอ่ื นทีอ่ อกจากจุด O มที ิศทางเปน็ อยา่ งไร เพราะเหตใุ ด

ตอบ ความเรง่ ของลูกตุ้มขณะเคล่อื นเข้าหาจุด O มีทิศทางเดียวกบั ความเร็วหรอื มที ิศทางเข้าหาจุด O เพราะ

ลูกตมุ้ เคลอื่ นทีโ่ ดยมคี วามเรว็ เพ่ิมข้นึ และความเร่งของลูกตุ้มขณะเคลอ่ื นออกจากจุด O มีทิศทางตรงข้ามกบั

ความเรว็ หรอื มที ศิ ทางเขา้ หาจุด O เพราะลกู ตุ้มเคลือ่ นท่ีโดยมีความเรว็ ลดลง ด

มีแรงดงึ เชอื กกระทาต่อจกุ ยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ สู่ศูนยก์ ลางของก ารเคลือ่ นท่ี มี

มีแรงดงึ เชือกกระทาตอ่ จกุ ยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ สู่ศนู ย์กลางของก ารเคล่อื นที่ มี

มีแรงดึงเชือกกระทาต่อจกุ ยาง โดยมที ิศทางเขา้ สู่ศนู ย์กลางของก ารเคลื่อนท่ี มี

7. สรปุ ผลการทากิจกรรม

จากการทากิจกรรม พบว่า การแกว่งของลูกตุ้มเป็นการเคลอ่ื นที่แบบสัน่ หรือแบบกลบั ไปกลับมาซ้าแนวเดิม

ระหว่างจดุ A และจดุ B โดยมีจดุ O อยูต่ รงกลาง ขณะที่ลูกตมุ้ อยู่ทจ่ี ดุ ทไ่ี กลทส่ี ุดทีจ่ ุด A และจดุ B จะมคี วามเร็วเป็น

ศนู ย์ เม่ือลกู ตุ้มเคล่อื นที่เข้าหาจดุ O ลกู ตุ้มมีความเร็วเพ่ิมข้ึน แสดงว่าลูกตุม้ มีความเรง่ เขา้ หาจุด O และเมอ่ื ลูกต้มุ

เคลื่อนทอ่ี อกจากจุด O ลกู ตุม้ มีความเร็วลดลง แสดงวา่ ลกู ตมุ้ มคี วามเรง่ ตรงขา้ มกบั ความเร็วโดยมีทิศทางเข้าหาจุด Oอ
B

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 5

รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 กล่มุ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ระดับชั้นมธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หน่วยกติ

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 แรงในธรรชาติ เวลา 6 ชว่ั โมง

เรอ่ื ง แรงโนม้ ถว่ งกบั การเคลอ่ื นที่ของวัตถุต่างๆ รอบโลก และสนามแมเ่ หลก็ เวลา 2 ชวั่ โมง

1. มาตรฐานการเรียนรูแ้ ละตัวช้ีวดั
สาระที –
มาตรฐาน
ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชวี ิตประจาวัน ผลของแรงทกี่ ระทาต่อวัตถุลักษณะการเคลอ่ื นทแ่ี บบตา่ ง ๆ

ของวัตถุ รวมทัง้ นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวช้ีวัด
ว 2.2 ม.5/6 สบื คน้ ข้อมลู และอธบิ ายแรงโน้มถ่วงท่เี กีย่ วกบั การเคลอ่ื นที่ของวตั ถตุ ่างๆ รอบโลก
ว 2.2 ม.5/7 สงั เกตและอธิบายการเกดิ สนามแม่เหล็กเนอื่ งจากกระแสไฟฟ้า

2. สาระสาคญั
แรงในธรรมชาตมิ าจากแรงพื้นฐานทั้งหมด 4 ประเภท ได้แก่ แรงโน้มถว่ ง แรงแม่เหลก็ ไฟฟ้า แรงอ่อนและ

แรงเข้ม แรงแต่ละประเภทมสี มบตั แิ ละมีอนุภาคที่เก่ยี วข้องแตกตา่ งกัน แรงโนม้ ถว่ งเปน็ แรงทเ่ี กดิ ข้นึ กบั วัตถุทม่ี มี วล
ตามกฎความโน้มถว่ งสากล ความรู้เกี่ยวกับแรงโนม้ ถ่วงสามารถนามาอธิบายการโคจรของดวงจันทร์หรือดาวเทียม
รอบโลก และการส่งดาวเทียมขน้ึ สู่อวกาศ

แรงประเภทท่ีสอง คอื แรงแมเ่ หล็กไฟฟ้า สามารถแยกไดเ้ ป็นแรงไฟฟ้ากับแรงแมเ่ หลก็ โดยแรงไฟฟ้าเป็น
แรงที่เกิดขึ้นกับอนุภาคที่มปี ระจุไฟฟา้ เมื่ออยใู่ นสนามไฟฟ้า สาหรบั แรงแม่เหล็กนอกจากจะเกิดข้ึนกับสารแม่เหล็ก
เม่ืออยู่ในสนามแม่เหล็ก ยังสามารถเกิดข้ึนกับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในเส้นลวดตัวนาท่ีอยู่ใน
สนามแมเ่ หล็ก เมื่อแนวการเคล่ือนที่ของประจุหรือแนวเส้นลวดตัวนาไม่ขนานกบั ทิศสนามแม่เหล็ก ในทางกลับกัน
เมื่ออนุภาคมีประจุไฟฟ้าเคลื่อนท่ี หรือมีกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนาจะเกิดสนามแม่เหล็กรอบอนุภาคหรือ
เสน้ ลวดตัวนานน้ั นอกจากนี้เม่อื มกี ารเปล่ียนแปลงสนามแมเ่ หลก็ ท่ผี ่านขดลวดตวั นาจะเกิดอีเอม็ เอฟเหนี่ยวนา และ
กระแสเหน่ยี วนาในขดลวด ความรทู้ างดา้ นน้ีนาไปสู่สงิ่ ประดษิ ฐ์ท่ีช่วยอานวยความสะดวก เช่น มอเตอรไ์ ฟฟ้า เคร่อื ง
กาเนดิ กระแสไฟฟา้ ลาโพง ไมโครโฟน เป็นต้น

แรงประเภทท่ีสาม คอื แรงออ่ น ซงึ่ มีความเกี่ยวข้องกบั การสลายใหอ้ นุภาคบตี าของนิวเคลียสกมั มันตรงั สี
ทาใหไ้ ด้นวิ เคลยี สท่ีมเี สถยี รภาพมากขนึ้ การนาความรูด้ า้ นนี้มาประยุกต์ใช้ เชน่ การหาอายุของวัตถุโบราณ

แรงประเภททสี่ ี่ คอื แรงเข้ม ซงึ่ เป็นแรงทยี่ ึดเหน่ียวระหวา่ งอนุภาคควาร์กในนวิ คลีออน และเปน็ ผลทาให้
เกิดแรงนิวเคลยี รท์ ่ียึดเหนี่ยวอนุภาคในนวิ เคลียส ทาให้นิวเคลียสมีเสถียรภาพ

ความเขม้ ของแรงสามารถเรยี งจากมากไปนอ้ ยได้ดังน้ี แรงเข้ม แรงแมเ่ หล็กไฟฟา้ แรงออ่ น และแรงโน้ม
ถ่วง สาหรบั ระยะทางทีแ่ รงส่งผล จะพบวา่ แรงโนม้ ถ่วงและแรงแม่เหล็กไฟฟา้ จะยงั มผี ลแมร้ ะยะทางมาก ๆ ในขณะ
ทผ่ี ลของแรงออ่ นและแรงเขม้ จะถูกจากัดอยใู่ นนวิ เคลยี สเท่าน้ัน

3. จุดประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธบิ ายสนามโน้มถว่ งและแรงโน้มถว่ งของวตั ถตุ า่ งๆ รอบโลกได้
2) นกั เรยี นอธิบายการส่งดาวเทยี มไปโคจรรอบโลกได้
3) นกั เรียนอธบิ ายสนามแม่เหล็กที่เกดิ จากกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนาได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถจัดกระทาและสื่อความหมายของขอ้ มูลท่ีศึกษาคน้ คว้าได้
2) นกั เรียนนาความรเู้ รือ่ งแรงโน้มถ่วงไปใช้ประโยชน์ได้
3) นักเรียนเขียนทิศสนามแม่เหล็กทเ่ี กิดจากเสน้ ลวดตวั นาทม่ี กี ระแสไฟฟ้าผ่านได้
3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้และเปน็ ผูม้ คี วามมงุ่ มนั่ ในการทางาน

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
แรงโน้มถ่วงกบั แรงดึงดูดระหว่างมวล
บริเวณท่ีมีสนามโน้มถ่วง วัตถุท่ีมมี วลจะมีแรงโนม้ ถว่ งกระทาต่อวัตถุน้ันในทิศพงุ่ เข้าหาวัตถุท่ีเป็น
แหล่งสนามโน้มถ่วง เช่น การเล่นบันจีจัมป์ขณะท่ีผู้เล่นกระโดดออกจากฐาน มแี รงโน้มถ่วงของโลกกระทา
กับผู้เล่น หรือการเคลื่อนท่ีของดาวเทียมรอบโลก เพราะดาวเทียมมีมวลและอยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลก
แสดงว่ามีแรงโน้มถ่วงของโลกกระทากับดาวเทียม โดยมีทิศพุ่งเข้าหาศูนย์กลางของโลก ดังเส้นสีฟ้าในรูป
2.2 ก. โดยขนาดของระยะห่างระหว่างตาแหน่งที่พิจารณากับศูนย์กลางของโลกมีค่ามากข้ึน ขนาดของ
สนามโนม้ ถว่ ง ณ ตาแหนง่ นน้ั จะมีค่าลดลง เม่ือพิจารณาในบริเวณท่ีมีพ้ืนท่ีเล็ก ๆ ใกลผ้ ิวโลก ดังรปู 2.2 ข.
สนามโน้มถว่ งจะมีลักษณะที่ขนานกัน จนกระทั่งประมาณได้ว่าสนามโน้มถ่วงมีค่าสม่าเสมอมีทิศขนานกัน
และตา่ งพงุ่ ลงสู่ผิวโลก ดังรปู 2.2 ค.

รูป 2.2 ทิศทางของสนามโน้มถ่วง เม่อื พจิ ารณาที่ระยะจากจุดศูนย์กลางโลกต่างๆกนั

แรงโน้มถ่วงดังกล่าวเป็นผลมาจากแรงดึงดูดระหว่างมวล โดยในธรรมชาติวัตถุจะมีแรงดึงดูด
ระหว่างกัน ตามกฎความโน้มถ่วงสากล (law of universal gravitation) ท่ีเสนอโดยไอแชค นิวตัน
แรงโนม้ ถว่ งน้ีเป็นแรงในธรรมชาติแรงหนงึ่

การเคล่ือนทีข่ องดาวเทียมและดวงจนั ทร์รอบโลก
ในกรณีของดาวเทียม หรือ ดวงจันทร์ที่โคจรรอบโลก วัตถุเหล่าน้ีอยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลกจึง
เกิดแรงโน้มถ่วงกระทากับวัตถุในทิศทางที่พุ่งเข้าหาศูนย์กลางของโลก แรงโน้มถ่วงทาหน้าที่เป็นแรง
สู่ศูนยก์ ลาง ทาใหว้ ัตถุเหล่าน้ีเคล่ือนท่ีแบบวงกลมรอบโลกได้เม่ือมีอัตราเร็วที่เหมาะสม ขึ้นอยกู่ ับระยะห่าง
จากศูนย์กลางโลก โดยวตั ถุท่ีอย่ใู กล้กว่าจะมีอัตราเร็วมากกว่า เชน่ ดาวเทยี มส่ือสารจะมีอัตราเร็วมากกว่า
ดวงจันทร์เนือ่ งจากดาวเทียมส่ือสารอยใู่ กล้โลกมากกว่าดวงจันทร์ ดงั รูป 2.3

รปู 2.3 ดาวเทยี มและดวงจนั ทร์โคจรรอบโลกเป็นผลจากแรงโนม้ ถ่วงของโลก
การประยกุ ต์ใช้ประโยชนจ์ ากเรอื่ งแรงโนม้ ถว่ งและสนามโน้มถ่วง
ความรเู้ ก่ียวกบั เร่ืองแรงโนม้ ถว่ งและสนามโนม้ ถ่วงสามารถนาไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ เช่น
ด้านการก่อสรา้ ง ดา้ นการผลิตไฟฟ้า ดา้ นการพยาบาล ดังน้ี
1) ด้านการก่อสรา้ ง

การตอกเสาเข็ม (pile driving) การสร้างบ้านหรืออาคารส่วนใหญ่จาเป็นจะต้องมีเสา
เพื่อให้เปน็ แกนเสริมใหส้ ิ่งก่อสร้างมคี วามแข็งแรงจึงต้องมีการตอกเสา ดังรูป 2.4 ซง่ึ การตอกเสาเข็มลงบน
พ้ืนซ่งึ มีความแขง็ อาศยั หลกั ของความโนม้ ถว่ งโดยพจิ ารณาจากนา้ หนกั ของเสาเข็มเปน็ หลกั

รูป 2.4 การตอกเสาเขม็
ลูกดิ่งสาหรับงานก่อสรา้ ง (plumb bob) เน่ืองจากวัตถุจะตกลงสู่ผิวโลกในแนวดิ่งเสมอ
จงึ มีแนวคิดในการใชต้ ุ้มเหล็กปลายแหลมผูกติดกับเชือกหรือเอน็ เรียกว่า ลูกดิ่งก่อสร้าง ดังรูป 2.5 สาหรับ
ใช้ในการหาแนวด่ิงตั้งฉากกับผิวโลกเพ่ือกาหนดเป็นเส้นอ้างอิงในงานก่อสร้าง เช่น การหาแนวเทคอนกรีต
หรอื สาหรับงานชา่ งและงานศลิ ปะประเภทอนื่

รูป 2.5 ลูกด่งิ ก่อสรา้ ง
2) ดา้ นการผลิตไฟฟา้

ไฟฟ้าจากพลังน้า (hydropower plant) โรงไฟฟ้าพลังงานน้าสามารถผลิตกระแส
ไฟฟ้าโดยอาศัยหลักการของความโน้มถ่วง โดยการเปล่ียนพลังงานศักย์ของน้าในเข่ือนท่ีอยู่พื้นที่ที่สูงกว่า
เปน็ พลงั งานจลน์เมื่อนา้ ไหลลงมาในพื้นที่ท่ตี า่

รปู 2.6 เขอื่ นภมู ิพล จ.ตาก
โคมไฟความโน้มถ่วง (gravity lamp) สาหรับพ้ืนท่ีท่ีไฟฟ้าไม่สามารถเข้าถึงได้ ได้มี
นวัตกรรมในการผลิตโคมไฟที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้เอง โดยอาศัยหลักการของแรงโนม้ ถ่วงจากการ
ถ่วงด้วยถุงกระสอบท่ีบรรจุด้วยหิน เมื่อถุงกระสอบค่อย ๆ เลื่อนลงสู่พ้ืนจะทาให้โคมไฟเกิดแสงสว่างโดย
กลไกภายในโคมไฟอาศัยความรู้เรื่องการเหน่ียวนาแม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic induction)
ซึ่งโคมไฟนี้เมื่อแขวนไว้ที่ความสูงประมาณ 1.8 เมตรจะสามารถส่องแสงสว่างได้นานครงั้ ละ 25-30 นาที
และสามารถใชซ้ า้ ได้เร่ือย ๆ ดังรปู 2.7

รูป 2.7 ส่วนประกอบภายในโคมไฟความโนม้ ถว่ งโดย
พื้นฐานประกอบดว้ ย หลอด LED เคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ เฟือง A เฟอื ง B และ เฟือง C
3) ด้านการพยาบาล

การรักษาโดยการดึงถ่วงน้าหนัก (traction) สาหรับการรักษาผู้ป่วยที่กระดูกหักใน
บางกรณี อาจใช้วิธีการดึงถ่วงน้าหนักกระดูกที่หักให้ประสานกันโดยไม่ต้องทาการผ่าตัด ดังรูปท่ี 2.8
การดงึ ถ่วงน้าหนักทาไดโ้ ดยใช้ตุ้มนา้ หนกั ถ่วงให้เกดิ แรงดึงอวยั วะที่กระดูกหักเพ่ือจากดั การเคลอ่ื นไหวของ
อวัยวะไมใ่ หก้ ดทบั เส้นประสาทหรอื อวัยวะสาคัญอื่น ๆ และเพอ่ื ใหก้ ระดกู ที่หักกลับเข้าสู่ท่ีเดิม

รูป 2.8 การดงึ ถว่ งน้าหนกั ใช้ในการรกั ษากระดูกหกั บางกรณีโดยไม่ต้องผา่ ตัด
การจัดท่าผ้ปู ่วยเพื่อเอานา้ ออกจากปอด (postural drainage) กรณผี ปู้ ว่ ยมีนา้ ในปอด

เช่น เกิดจากการจมน้า วิธีหนึ่งท่ีสามารถทาให้น้าออกจากปอด คือให้ผู้ป่วยนอนคว่าหน้าลงบนเตียงหรือ
แผ่นกระดานท่ีมีความลาดชัน โดยให้ส่วนศีรษะและอกอยู่ต่ากว่าระดับเตียงแล้วให้น้าไหลออกจากปอด
โดยหลักการน้ีอาศัยผลของแรงโน้มถ่วงของโลกดังรูป 2.9 (หมายเหตุ: การปฐมพยาบาลด้วยวิธีน้ีควรอยู่
ภายใตค้ าแนะนาของแพทยผ์ ูเ้ ช่ยี วชาญ)

รูป 2.9 การนาน้าออกจากปอดโดยอาศยั แรงโน้มถ่วง

สนามแม่เหล็กจากเส้นลวดทีม่ ีกระแสไฟฟา้ ผ่าน

รปู 2.10 ก. กระด่งิ ไฟฟ้า ข. ส่วนประกอบของกระดิง่ ไฟฟา้
สนามแม่เหลก็ สามารถเกดิ ขน้ึ ไดต้ ามธรรมชาติ เช่น สนามแมเ่ หลก็ ท่เี กิดจากแมเ่ หลก็ โลกหรือจาก
แทง่ แม่เหล็ก ซ่งึ เราสามารถนามาประยุกต์ใช้ประโยชน์ได้ เช่น การประดษิ ฐเ์ ขม็ ทิศเพ่อื ความสะดวกในการ
เดินทางหรอื การใช้สนามแม่เหลก็ จากแท่งแม่เหล็กเพือ่ ใชด้ ูดวตั ถุทีเ่ ปน็ โลหะ สนามแม่เหล็กตามธรรมชาติ
มขี ้อจากัด คือเกดิ ขึน้ ตลอดเวลา ดงั น้ันถ้าเราสามารถสร้างสนามแม่เหลก็ จากอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้ จะสามารถ
ประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนไ์ ดห้ ลากหลายขึน้ เช่น กระด่ิงไฟฟ้า ดงั รูป 2.10 ก. เปน็ อุปกรณ์ท่ีสรา้ งสนามแม่เหลก็
จากกระแสไฟฟา้ เพอ่ื ดูดใหฆ้ อ้ นตีกระดิง่ เป็นระยะ ๆ เม่อื เปิดสวิตช์ ดงั รปู 2.10 ข.
เมื่อใหก้ ระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นา จะเกดิ สนามแม่เหลก็ รอบลวดตัวนาเป็นวง ทราบไดจ้ ากการ
วางตวั ของผงตะไบเหลก็ สาหรบั ทิศทางของสนามแมเ่ หล็ก ทราบไดจ้ ากการดูเข็มทิศที่วางรอบลวดตัวนา
มกี ารเรียงตัวเปน็ วงรอบลวดตวั นาและมที ิศทางช้ี ดังรูป 2.11 ก. และแนวของทิศทางสนามเหล็กที่เกดิ ข้ึน
รอบลวดตัวนาดังรูป 2.11 ข. ซ่ึงสามารถใช้มือขวา เพ่ือหาทิศทางของสนามแม่เหล็ก โดยการใชม้ ือขวากา

รอบเส้นลวดตวั นา ให้หวั แมม่ ือช้ีไปในทิศทางของกระแสไฟฟา้ ทิศทางการวนของนิ้วท้งั สจ่ี ะชี้ทศิ ทางของ
สนามแมเ่ หลก็ รอบเสน้ ลวดตวั นาดังรูป 2.11 ค. เมื่อกลบั ทิศทางของกระแสไฟฟ้า ทศิ ทางของ
สนามแมเ่ หล็กจะกลับทิศทางไปดว้ ย

รูป 2.11 ก. เมือ่ กระแสไฟฟา้ ผ่าน รปู 2.11 ข. ทิศของสนามแม่เหล็ก รปู 2.11 ค.ทิศของสนามแมเ่ หล็ก
เสน้ ลวด จะทาให้เข็มทิศทวี่ างอยู่ ท่เี กิดสามารถหาได้จากการเขียน จะวนรอบเส้นลวดเป็นวงกลมหา
รอบเปลี่ยนแนวการวางตวั จากใน ทศิ การวางตวั ของเข็มทิศใน ไดจ้ ากกฎของมือขวา
แนวเหนือ-ใต้ของขวั้ โลก เปน็ ใน แต่ละตาแหนง่ รอบเสน้ ลวด
แนวรอบเสน้ ลวด แสดงว่ามสี นาม
แมเ่ หลก็ เกิดข้ึน

4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จัดกลมุ่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้ปญั หาและอุปสรรคตา่ งๆ ที่เผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชีวติ (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผา่ นคอมพวิ เตอร์)

4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝเ่ รยี นรู้และเป็นผู้มีความมงุ่ ม่ันในการทางาน

5. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงคข์ องผ้เู รียน ซือ่ สัตย์สจุ ริต มงุ่ มน่ั ในการทางาน มวี ินยั
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง มจี ติ สาธารณะ
รกั ความเปน็ ไทย  ใฝ่เรยี นรู้

6. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รยี น
 ความสามารถในการคดิ : นักเรยี นสามารถอธิบายเรื่องแรงโนม้ ถว่ งกบั การเคล่อื นที่ของวัตถตุ ่างๆ รอบโลก และ
สนามแมเ่ หล็กได้

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขั้นท่ี 1 ข้นั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูสาธิตกจิ กรรมโดยนาแก้วน้า พลาสติกใสน่ ้า ครง่ึ แก้วแล้ววางบนแผ่นไมท้ ่ีผกู เชอื กไว้และ
แกว่งเป็นวงกลมในแนวดงิ่ ดงั รูป

ครูตั้งคาถามให้นักเรียนตอบ
1) เหตุใดน้าไม่หกออกจากแกว้ (โดยครูให้นักเรยี นแสดงความคดิ เห็นอยา่ งอสิ ระและไม่

คาดหวงั คาตอบทถี่ ูกตอ้ ง)
1.2 ครแู ละนักเรียนอภิปรายร่วมกันเก่ียวกับสาเหตุที่นา้ ในแก้วน้าสามารถเคลอ่ื นที่เป็นวงกลมอยู่

ได้โดยไม่หก จนได้ข้อสรุปว่า การท่ีน้าสามารถเคลื่อนที่เป็นวงกลมได้น้ัน เนื่องจากมีแรงสู่ศูนย์กลางท่ีมา
จากเชอื กและน้าหนกั ของน้า เปรียบเทยี บกบั การโคจรของดวงจนั ทรห์ รือดาวเทียมรอบโลก

1.3 ครตู ง้ั คาถามให้นักเรยี นตอบเพอ่ื เข้าสู่กจิ กรรม
1) ทาไมดาวเทยี มหรือดวงจันทร์จงึ โคจรรอบโลกไดโ้ ดยไม่ตกสพู่ ืน้ (โดยครใู หน้ กั เรยี น

แสดงความคิดเหน็ อย่างอิสระและไมค่ าดหวังคาตอบทถ่ี ูกต้อง)
1.4 ใหน้ กั เรยี นเปรยี บเทียบสถานการณท์ น่ี ้าไม่หกออกจากแก้ว กับสถานการณ์ท่ีดาวเทยี มโคจร

รอบโลกโดยไมต่ กสู่พนื้ จนได้ขอ้ สรุปวา่ ดาวเทียมหรือดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกได้โดยไม่ตกส่พู ้ืน เน่ืองจาก
แรงโนม้ ถว่ งของโลกทกี่ ระทาตอ่ ดาวเทียมหรอื ดวงจนั ทร์ ทาหน้าทเี่ ป็นแรงสู่ศูนยก์ ลาง ดาวเทยี มหรือดวง
จนั ทรจ์ ึงสามารถโคจรรอบโลกได้

1.5 ครูให้นักเรียนวดี ีทศั นด์ หู ลักการทางานของกระดงิ่ ไฟฟา้ ทีต่ อ้ งอาศยั สนามแม่เหล็กจาก
แมเ่ หล็กไฟฟ้าในการเคาะเปน็ จังหวะตามการให้สัญญาณ (ในช่วงนาทีท่ี 1.18 – 4.50) แลว้ ตงั้ คาถาม

https://www.youtube.com/watch?v=HpTp227586s&vl=en
1) มนษุ ย์สามารถสร้างสนามแมเ่ หลก็ จากอปุ กรณ์ต่าง ๆ เพือ่ นามาใช้ประโยชน์ได้หรือไม่
1.6 ครูตง้ั คาถามเพ่อื เข้าสู่กิจกรรม
1) กระแสไฟฟา้ สามารถทา ให้เกิดสนามแม่เหล็กได้อย่างไร

2) ทศิ ทางของสนามแมเ่ หล็กทเ่ี กดิ ขน้ึ มกี ารวางตวั อยา่ งไร
(โดยครูให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่างอสิ ระและไม่คาดหวังคาตอบท่ีถกู ตอ้ ง)

ขนั้ ที่ 2 ขนั้ สารวจและคน้ หา
2.1 จดั กลุม่ นกั เรียน กล่มุ ละ 5 คน โดยใหส้ มาชิกแต่ละกล่มุ มีความรู้ความสามารถที่คละกนั กลมุ่ น้ี

จะเปน็ กลุ่มประจา
2.2 ครจู ดั แบ่งเนอ้ื หาทีจ่ ะเรียนเปน็ เนอื้ หายอ่ ยๆ เทา่ กบั จานวนสมาชิกในกลมุ่ ของนกั เรยี นอาจ

จัดทาเปน็ บทเรยี นหน้าเดียวกไ็ ด้
2.3 ให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มจับฉลากหมายเลขของเน้ือหา คนละ 1 ฉลาก เพ่ือรับผิดชอบใน

การศึกษาหัวข้อย่อยของเนื้อหา คนละ 1 หัวข้อ (โดยใช้กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจ๊ิกซอร์
(Jigsaw))

2.4 ให้นักเรียนแต่ละคนศึกษาและทาความเข้าใจเนอื้ หาตามหมายเลขท่ีตวั เองได้ ซงึ่ ครูติดเนื้อหา
บนโต๊ะ

2.5 นักเรียนแต่ละคนท่ีศึกษาและทาความเข้าใจเน้ือหา (ใช้เวลา 10 นาที) ให้กลับไปยังกลุ่ม
ตนเองแลว้ อธบิ ายความร้ทู ไ่ี ดจ้ ากการศึกษาและทาความเข้าใจในเนอ้ื หาทไี่ ด้รบั มอบหมายให้เพือ่ นฟัง

2.6 นกั เรียนแต่ละกลมุ่ ชว่ ยกนั สรุปความรทู้ ี่ได้ในการศกึ ษาลงในกระดาษปร๊ฟู (น้าตาล)
2.7 นักเรียนแต่ละกลุ่มศกึ ษาใบกิจกรรม 2.1 สนามแมเ่ หลก็ จากลวดตัวนา
2.8 ครแู จ้งจุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ อปุ กรณ์ และข้ันตอนการทากจิ กรรมอย่างละเอียด
2.9 นกั เรยี นรับอปุ กรณ์การทากจิ กรรม พร้อมติดต้ังอปุ กรณใ์ หเ้ รียบร้อย
2.10 นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ทากิจกรรม สงั เกตและบนั ทกึ ผลกิจกรรม

ข้นั ท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครูสุม่ นกั เรยี น 1 กล่มุ ออกมานาเสนอผลการสืบค้นของกลุม่ ตนเองหน้าชัน้ เรียน
3.2 ครูนานักเรยี นอภิปรายเพือ่ นาไปสู่การสรุปโดยใชค้ าถามตอ่ ไปนี้
1) วัตถทุ มี่ มี วลจะมีแรงโนม้ ถ่วงกระทาตอ่ วัตถุน้นั ในทิศใดกับวตั ถุ (แนวการตอบ ทศิ พุ่ง

เข้าหาวตั ถ)ุ
2) ขนาดของระยะห่างระหว่างตาแหน่งท่ีพจิ ารณากบั ศนู ย์กลางของโลกมคี า่ มากข้ึน

ขนาดของสนามโนม้ ถว่ ง ณ ตาแหนง่ น้ันจะมีคา่ เป็นอย่างไร เมือ่ พจิ ารณาในบรเิ วณท่ีมพี ้นื ทเ่ี ลก็ ๆ ใกล้ผวิ
โลก (แนวการตอบ ค่าลดลง)

3) โดยในธรรมชาตวิ ตั ถุจะมแี รงดึงดดู ระหวา่ งเปน็ ไปตามกฎใด (แนวการตอบ กฎความ
โน้มถว่ งสากล (law of universal gravitation))

4) นกั วิทยาศาสตร์ท่านใดเสนอกฎความโนม้ ถ่วงสากล (law of universal gravitation)
(แนวการตอบ เซอร์ ไอแชค นิวตัน)

5) ในกรณีของดาวเทยี ม หรือ ดวงจันทร์ท่โี คจรรอบโลก แรงโนม้ ถว่ งทาหน้าท่ีอย่างไร
(แนวการตอบ แรงโนม้ ถ่วงทาหน้าท่เี ปน็ แรงส่ศู นู ย์กลาง)

6) ความรูเ้ กีย่ วกบั เรอ่ื งแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถว่ งสามารถนาไปประยกุ ตใ์ หเ้ กิด
ประโยชน์ด้านใดบ้าง (แนวการตอบ ด้านการกอ่ สรา้ ง ดา้ นการผลิตไฟฟา้ และด้านการพยาบาล)

3.3 นักเรียนและครรู ว่ มกนั อภปิ รายและสรุปการศึกษาคน้ คว้าจนได้ข้อสรปุ เรือ่ ง แรงโน้มถ่วงกับ
การเคลือ่ นท่ขี องวตั ถุต่างๆ รอบโลก

3.4 ครนู านักเรียนอภิปรายเพอ่ื นาไปส่กู ารสรุปโดยใช้คาถามต่อไปน้ี
1) เมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นเสน้ ลวดตัวนา การเรยี งตัวของผงเหลก็ มลี ักษณะอย่างไร

(แนวการตอบ ผงเหลก็ จะเรยี งตัวเป็นวงรอบเส้นลวดตวั นา)
2) เม่ือมีกระแสไฟฟ้าผา่ นเส้นลวดตวั นา การวางตัวของเข็มทศิ มีลกั ษณะอย่างไร

(แนวการตอบ เข็มทิศจะเรยี งเปน็ วงรอบเสน้ ลวดตัวนา)
3) จากการวางตัวของเข็มทิศ สนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดตัวนา มที ิศทางอยา่ งไร

(แนวการตอบ ทิศของสนามแม่เหลก็ จะวนรอบเสน้ ลวดเป็นวงกลมหาไดจ้ ากกฎของมอื ขวา)
4) เม่อื กลบั ทิศของกระแสไฟฟา้ สนามแมเ่ หลก็ รอบเสน้ ลวดตวั นา มีทศิ ทางอยา่ งไร

(แนวการตอบ สนามแมเ่ หลก็ รอบลวดตัวนา จะกลบั ทิศรอบลวดตัวนา)
5) ทิศทางของกระแสไฟฟา้ ท่ีผ่านเสน้ ลวดตัวนา มีความสัมพันธก์ ับทศิ ของสนามแม่เหล็ก

หรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ มโี ดยความสมั พนั ธข์ องทศิ ทางกระแสไฟฟา้ กับทศิ ทางของสนามแม่เหลก็ หา
ได้โดย ใชน้ วิ้ หวั แม่มอื ขวาชไี้ ปตามทิศของกระแส ทิศการวนของนิ้วท้งั ส่จี ะมที ศิ เดยี วกบั สนามแม่เหลก็ ที่
เกดิ ขนึ้ )

3.5 นกั เรยี นและครูรว่ มกนั อภิปรายและสรุปผลของกจิ กรรมจนสรุปได้ ดงั น้ี
เมอ่ื ใหก้ ระแสไฟฟ้าผ่านลวดตวั นา จะเกดิ สนามแมเ่ หลก็ รอบลวดตวั นาเปน็ วง ทราบได้

จากการวางตัวของผงตะไบเหล็ก สาหรับทศิ ทางของสนามแมเ่ หลก็ ทราบไดจ้ ากการดูเขม็ ทิศท่วี างรอบลวด
ตัวนามกี ารเรียงตัวเปน็ วงรอบลวดตวั นาและมที ิศทางชี้ และแนวของทิศทางสนามเหล็กทเ่ี กดิ ขึน้ รอบลวด
ตวั นา ซึ่งสามารถใชม้ อื ขวา เพอื่ หาทศิ ทางของสนามแมเ่ หลก็ โดยการใชม้ อื ขวาการอบเสน้ ลวดตัวนา
ใหห้ วั แมม่ ือชไ้ี ปในทิศทางของกระแสไฟฟ้า ทศิ ทางการวนของนิ้วทง้ั สจี่ ะชที้ ศิ ทางของสนามแม่เหลก็ รอบ
เส้นลวดตวั นา เมือ่ กลับทิศทางของกระแสไฟฟ้า ทิศทางของสนามแม่เหล็กจะกลับทิศทางไปดว้ ย

ขน้ั ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูอธบิ ายให้ความรู้ชวนคดิ ในหนงั สือเรียน หน้า 47 – 48
4.2 ครูอธิบายให้ความรู้เพิ่มเติม เร่ือง กฎมือขวาไปใช้หาทิศทางของสนามแม่เหล็กที่ผ่านลวด

ตวั นาวงกลมและโซเลนอยด์

ข้นั ที่ 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นักเรยี นสง่ กระดาษปร๊ฟู (นา้ ตาล) ของแตล่ ะกลุ่มทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้า
5.2 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 2.1 สนามแม่เหลก็ จากลวดตัวนา

ประยุกต์และตอบแทนสังคม
-

8. ส่อื การเรียนรู้/แหล่งเรียนรู้
8.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชัน้ มัธยมศกึ ษาปีท่ี 5 เล่ม 2

(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม 2.1 สนามแม่เหล็กจากลวดตัวนา
8.3 อนิ เทอรเ์ น็ต
8.4 อปุ กรณก์ ารทากจิ กรรมสนามแม่เหลก็ จากลวดตวั นา
8.5 วีดที ัศน์ การทางานของกระด่ิงไฟฟ้า
- เวบ็ ไซต์ https://www.youtube.com/watch?v=HpTp227586s&vl=en

9. ช้นิ งาน/ภาระงาน

-

10. การวัดและประเมินผล

10.1 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

ตัวช้วี ัด/ผลการเรยี นรู้ วิธกี ารวดั เครอ่ื งมอื วัด เกณฑท์ ใ่ี ชใ้ นการ
ประเมิน
ดา้ นความรู้ : 1) ตรวจกระดาษ 1) แบบประเมนิ
การทากิจกรรม 1) นักเรยี นสามารถ
1) นักเรยี นอธิบายสนาม ปรฟู๊ (น้าตาล) ของ สรปุ ผลของกิจกรรมได้
1) แบบประเมิน ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
โน้มถว่ งและแรงโน้มถว่ ง แตล่ ะกลุม่ ที่ได้จาก การทากิจกรรม
1) นกั เรยี นสามารถ
ของวตั ถตุ า่ งๆ รอบโลกได้ การศกึ ษาค้นควา้ บันทกึ ผลของกจิ กรรม
2) นกั เรยี นอธิบายการสง่ 2) ตรวจใบกจิ กรรม ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
ดาวเทยี มไปโคจรรอบโลก 2.1 สนามแม่เหล็ก

ได้ จากลวดตวั นา
3) นักเรยี นอธิบาย

สนามแมเ่ หลก็ ท่ีเกิดจาก

กระแสไฟฟา้ ในลวดตวั นา

ได้

ดา้ นกระบวนการ : 1) ตรวจกระดาษ

1) นักเรยี นสามารถจดั ปร๊ฟู (นา้ ตาล) ของ

กระทาและสอื่ ความหมาย แตล่ ะกลุ่มทไี่ ดจ้ าก

ของข้อมลู ที่ศกึ ษาคน้ คว้าได้ การศึกษาคน้ คว้า

2) นกั เรียนนาความรูเ้ รื่อง 2) ตรวจใบกจิ กรรม

แรงโน้มถว่ งไปใช้ประโยชน์ 2.1 สนามแม่เหล็ก

ได้ จากลวดตัวนา

3) นกั เรยี นเขียนทิศ

สนามแมเ่ หล็กที่เกิดจาก

เสน้ ลวดตวั นาทมี่ ี 1) ตรวจกระดาษ 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรียนทาภาระ
กระแสไฟฟ้าผา่ นได้ ปรูฟ๊ (น้าตาล) ของ การทากิจกรรม งานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย
ดา้ นเจตคติ : แตล่ ะกลุ่มท่ไี ด้จาก ไดร้ ะดับดี ผ่านเกณฑ์
1) ใฝ่เรยี นรู้และเปน็ ผู้มี การศกึ ษาค้นควา้
ความม่งุ มั่นในการทางาน 2) ตรวจใบกจิ กรรม

2.1 สนามแม่เหลก็

จากลวดตวั นา

11. กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................

ลงช่ือ ผสู้ อน
(นางสาวจริ นันท์ ต่อมหลา้ )

12. ข้อคิดเหน็ ของหัวหน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ...............................................................
( นายนันท์ ก้อคา )

หัวหน้ากลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

13. ขอ้ คดิ เหน็ /ข้อเสนอแนะผ้ชู ว่ ยผู้อานวยการกลมุ่ งานบรหิ ารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ...............................................................
(....................................................)

ผู้ชว่ ยผู้อานวยการกลมุ่ งานบรหิ ารวชิ าการ

การอนุมัตกิ ารใชแ้ ผนการจดั การเรียนรูจ้ ากฝ่ายบริหาร
ความคิดเห็นของรองผอู้ านวยการฝา่ ยวชิ าการ

....................................................................................................................................................................................
 เหน็ สมควรอนุมัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน
 เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะ....................................................................

.....................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผ้อู านวยการโรงเรียนฝา่ ยบริหารวชิ าการ

การอนมุ ัตจิ ากผูอ้ านวยการโรงเรยี น
 อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน
 ไมอ่ นุมตั ใิ ห้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ..............................................................

..............................................................................................................................................................

ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาล)ี

ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา

บันทกึ ผลการใชแ้ ผนการจดั การเรยี นรู้ท่ี 5

รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปที ี่ 5

เรื่อง แรงโนม้ ถ่วงกับการเคลื่อนทีข่ องวตั ถุต่างๆ รอบโลก และสนามแมเ่ หลก็ เวลา 2 ชั่วโมง

……………………………………………………………….

1. จานวนนกั เรยี นท่ีสอน

ระดับชัน้ จานวนนักเรยี น (คน)

ม.5/1 34

ม.5/2 35

ม.5/3 36

รวม 105

2. บันทึกผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................

2.2 ขอ้ สังเกต/ขอ้ คน้ พบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

2.3 ปัญหา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

3. การประเมินผลการสอน

รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ

1. ความเหมาะสมของระยะเวลา

2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา

3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน

4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้

5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน

6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ

หลังเรยี น

สรุปภาพรวม

4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ

2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ

การวดั ผลประเมนิ ผล

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ

ลงช่อื ............................................ครผู ้สู อน
(นางจิรนนั ท์ ต่อมหลา้ )

ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นเิ ทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ................................................ผู้นเิ ทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)

หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผู้อานวยการฝ่ายบริหารวิชาการ

ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงช่อื ........................................................
(นางวิลาวลั ย์ ปาลี)

ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน

สรุปผล

ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้

ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้

สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น

มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน

สมบรู ณ์

เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า

กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้

ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ

ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่

ถูกต้อง

เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)

321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน

สรปุ ผล

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............

ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย

เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

เกณฑ์การประเมนิ ผลงานนกั เรยี น
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่ือง แรงโน้มถ่วงกับการเคลอื่ นทขี่ องวัตถุตา่ งๆ รอบโลก

ประเดน็ การ คา่ น้าหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ สรปุ เนอื้ หาท่ีศึกษาและทาความเข้าใจไดถ้ ูกต้องครบถว้ น
(K) 3 สรุปเน้ือหาท่ีศกึ ษาและทาความเข้าใจได้ค่อนข้างถกู ต้องครบถ้วน
2 สรุปเนือ้ หาที่ศึกษาและทาความเขา้ ใจได้ แตไ่ ม่ครบถว้ น
ดา้ น 1 จัดกระทาและส่ือความหมายของขอ้ มูลท่ศี กึ ษาค้นคว้าได้ถกู ตอ้ งครบถว้ น สะอาดและ
กระบวนการ 3 สวยงาม
จัดกระทาและสอ่ื ความหมายของข้อมูลท่ีศกึ ษาค้นควา้ คอ่ นขา้ งถกู ต้องครบถว้ น สะอาด
(P) 2 และสวยงาม
จดั กระทาและสื่อความหมายของขอ้ มูลทศี่ ึกษาค้นคว้าได้ค่อนข้างถกู ตอ้ งครบถ้วน
ด้าน 1 สะอาดและสวยงาม
คุณลกั ษณะ ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถ้วน
3 ทาภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แตง่ านยังผิดพลาดบางส่วน
(A) 2 ทาภาระงานท่ไี ด้รับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น
1

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่ือง สนามแม่เหล็กจากเสน้ ลวดทีม่ ีกระแสไฟฟา้ ผา่ น

ประเดน็ การ คา่ นา้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
สรปุ ผลของกิจกรรมได้ถูกตอ้ งครบถ้วน
ดา้ นความรู้ 3 สรปุ ผลของกจิ กรรมไดค้ อ่ นขา้ งถกู ตอ้ ง
(K) 2 สรุปผลของกจิ กรรมไม่ถูกตอ้ ง
1 บนั ทกึ ผลของกิจกรรมไดถ้ กู ตอ้ งครบถว้ น
ด้าน 3 บันทึกผลของกิจกรรมได้คอ่ นขา้ งถูกตอ้ ง
กระบวนการ 2 บันทกึ ผลของกิจกรรมไม่ถกู ต้อง
1 ทาภาระงานท่ไี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด และเรียบรอ้ ยถูกตอ้ งครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด แตง่ านยังผดิ พลาดบางส่วน
ด้าน 2 ทาภาระงานทไี่ ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางส่วน
คณุ ลกั ษณะ 1
(A)

ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

ฉลากหมายเลข 2 3
5
1

4

แรงโนม้ ถว่ งกับแรงดึงดดู ระหวา่ งมวล หมายเลข
1

บริเวณทมี่ ีสนามโนม้ ถว่ ง วัตถุทม่ี ีมวลจะมีแรงโนม้ ถว่ งกระทาตอ่ วตั ถุน้นั ในทศิ พุ่ง

เข้าหาวัตถุท่ีเป็นแหล่งสนามโน้มถ่วง เช่น การเล่นบันจีจัมป์ขณะที่ผู้เล่นกระโดดออกจาก

ฐาน มีแรงโน้มถ่วงของโลกกระทากับผู้เล่น หรือการเคลื่อนที่ของดาวเทียมรอบโลก เพราะ

ดาวเทียมมีมวลและอยู่ในสนามโน้มถ่วงของโลก แสดงว่ามีแรงโน้มถ่วงของโลกกระทากับ

ดาวเทียม โดยมีทิศพุ่งเข้าหาศูนย์กลางของโลก ดังเส้นสีฟ้าในรูป 2.2 ก. โดยขนาดของ

ระยะห่างระหวา่ งตาแหน่งท่ีพิจารณากับศูนยก์ ลางของโลกมีคา่ มากข้ึน ขนาดของสนาม

โน้มถ่วง ณ ตาแหน่งนั้นจะมีค่าลดลง เมื่อพิจารณาในบรเิ วณที่มีพ้ืนท่เี ล็ก ๆ ใกล้ผวิ โลก

ดังรูป 2.2 ข.สนามโน้มถ่วงจะมีลักษณะที่ขนานกัน จนกระทั่งประมาณได้ว่าสนามโน้มถ่วง

มคี า่ สม่าเสมอมที ิศขนานกนั และตา่ งพงุ่ ลงสผู่ วิ โลก ดังรูป 2.2 ค.

รูป 2.2 ทิศทางของสนามโน้มถว่ ง เมื่อพจิ ารณาทรี่ ะยะจากจดุ ศูนยก์ ลางโลกตา่ งๆ กัน

แรงโน้มถ่วงดังกล่าวเป็นผลมาจากแรงดึงดูดระหว่างมวล โดยในธรรมชาติวัตถุจะมี
แรงดึงดูดระหว่างกัน ตามกฎความโน้มถ่วงสากล (law of universal gravitation) ท่ี
เสนอโดยไอแชค นวิ ตนั แรงโน้มถ่วงนีเ้ ป็นแรงในธรรมชาติแรงหนงึ่

การเคล่ือนท่ีของดาวเทยี มและดวงจันทร์รอบโลก หมายเลข
2

ในกรณีของดาวเทียม หรือ ดวงจันทรท์ ี่โคจรรอบโลก วัตถุเหล่าน้ีอยใู่ นสนามโน้มถ่วง
ของโลกจึงเกดิ แรงโน้มถว่ งกระทากับวัตถใุ นทิศทางท่ีพุ่งเข้าหาศูนยก์ ลางของโลก

แรงโน้มถว่ งทาหน้าที่เป็นแรงสู่ศูนย์กลาง ทาให้วัตถุเหล่านี้เคล่ือนท่ีแบบวงกลมรอบ
โลกได้เมื่อมีอัตราเร็วท่ีเหมาะสม ขึ้นอยู่กับระยะห่างจากศูนย์กลางโลก โดยวัตถุท่ีอยู่ใกล้
กว่าจะมีอัตราเร็วมากกว่า เช่น ดาวเทียมส่ือสารจะมีอัตราเร็วมากกว่าดวงจันทร์เน่ืองจาก
ดาวเทียมสื่อสารอยใู่ กล้โลกมากกว่าดวงจนั ทร์ ดังรูป 2.3

รูป 2.3 ดาวเทยี มและดวงจันทรโ์ คจรรอบโลกเป็นผลจากแรงโนม้ ถ่วงของโลก

การประยกุ ต์ใช้ประโยชน์จากเรอ่ื งแรงโน้มถว่ งและสนามโนม้ ถ่วง หมายเลข
3
“ดา้ นการกอ่ สร้าง”

การตอกเสาเข็ม (pile driving) การสร้างบ้านหรืออาคารส่วนใหญ่จาเป็นจะต้องมี
เสาเพื่อใหเ้ ป็นแกนเสริมให้ส่ิงก่อสร้างมีความแขง็ แรงจึงต้องมีการตอกเสา ดังรูป 2.4 ซ่ึงการ
ตอกเสาเข็มลงบนพ้ืนซึ่งมีความแข็งอาศัยหลักของความโน้มถ่วงโดยพิจารณาจากน้าหนัก
ของเสาเขม็ เปน็ หลัก

รูป 2.4 การตอกเสาเขม็

ลูกดิ่งสาหรับงานก่อสร้าง (plumb bob) เน่ืองจากวัตถุจะตกลงสู่ผิวโลกในแนวดิ่ง
เสมอ จึงมีแนวคิดในการใช้ตุ้มเหล็กปลายแหลมผูกติดกับเชือกหรือเอ็น เรียกว่า ลูกดิ่ง
กอ่ สร้าง ดังรูป 2.5 สาหรับใช้ในการหาแนวดิง่ ต้ังฉากกับผวิ โลกเพื่อกาหนดเป็นเส้นอ้างอิงใน
งานกอ่ สร้าง เชน่ การหาแนวเทคอนกรีต หรอื สาหรับงานช่างและงานศลิ ปะประเภทอ่ืน

รปู 2.5 ลูกด่ิงกอ่ สรา้ ง

การประยกุ ต์ใช้ประโยชน์จากเร่ืองแรงโน้มถ่วงและสนามโน้มถ่วง หมายเลข
4
“ด้านการผลิตไฟฟา้ ”

ไฟฟ้าจากพลังน้า (hydropower plant) โรงไฟฟ้าพลังงานน้าสามารถผลิตกระแส
ไฟฟ้าโดยอาศัยหลักการของความโน้มถ่วง โดยการเปลยี่ นพลงั งานศักยข์ องน้าในเข่ือนที่อยู่
พน้ื ท่ีทสี่ ูงกว่าเป็นพลังงานจลนเ์ ม่ือน้าไหลลงมาในพืน้ ทที่ ีต่ า่

รปู 2.6 เขอื่ นภมู พิ ล จ.ตาก
โคมไฟความโนม้ ถ่วง (gravity lamp) สาหรบั พนื้ ที่ท่ไี ฟฟ้าไมส่ ามารถเข้าถึงได้ ได้
มนี วัตกรรมในการผลิตโคมไฟทส่ี ามารถผลติ กระแสไฟฟ้าได้เอง โดยอาศยั หลักการของแรง
โน้มถ่วงจากการถ่วงด้วยถุงกระสอบที่บรรจุด้วยหิน เมื่อถุงกระสอบค่อย ๆ เล่ือนลงสู่พื้น
จะทาให้โคมไฟ เกิดแสงสว่างโดยกลไกภายในโคมไฟ อาศัยความรู้เร่ือง การเห น่ียวน า
แม่เหล็กไฟฟ้า (electromagnetic induction) ซึ่งโคมไฟน้ีเมื่อแขวนไว้ที่ความสูง
ประมาณ 1.8 เมตรจะสามารถส่องแสงสว่างได้นานคร้ังละ 25-30 นาที และสามารถใช้ซ้า
ไดเ้ รื่อย ๆ ดังรปู 2.7

รปู 2.7 สว่ นประกอบภายในโคมไฟความโนม้ ถ่วงโดยพน้ื ฐานประกอบด้วย หลอด LED
เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้า เฟือง A เฟือง B และ เฟือง C

การประยุกต์ใชป้ ระโยชน์จากเรื่องแรงโนม้ ถว่ งและสนามโน้มถ่วง หมายเลข
5
“ดา้ นการพยาบาล”

การรักษาโดยการดึงถ่วงน้าหนัก (traction) สาหรับการรกั ษาผู้ป่วยที่กระดูกหกั ใน
บางกรณี อาจใชว้ ิธีการดึงถว่ งน้าหนักกระดูกที่หักให้ประสานกันโดยไม่ต้องทาการผ่าตดั ดัง
รูปท่ี 2.8 การดึงถ่วงน้าหนักทาได้โดยใช้ตุ้มน้าหนักถ่วงให้เกิดแรงดึงอวัยวะท่ีกระดูกหักเพ่ือ
จากดั การเคล่ือนไหวของอวยั วะไม่ให้กดทับเส้นประสาทหรืออวัยวะสาคัญอื่น ๆ และเพ่ือให้
กระดกู ทหี่ กั กลบั เขา้ สทู่ เ่ี ดมิ

รูป 2.8 การดึงถ่วงน้าหนักใชใ้ นการรกั ษากระดกู หักบางกรณโี ดยไม่ต้องผา่ ตัด
การจัดท่าผู้ป่วยเพ่ือเอาน้าออกจากปอด (postural drainage) กรณีผู้ป่วยมี

น้าในปอด เช่น เกิดจากการจมน้า วิธีหนึ่งที่สามารถทาให้น้าออกจากปอด คือให้ผู้ป่วย
นอนคว่าหน้าลงบนเตยี งหรอื แผ่นกระดานทีม่ ีความลาดชัน โดยใหส้ ว่ นศรี ษะและอกอยู่ต่า
กว่าระดับเตียงแล้วให้น้าไหลออกจากปอด โดยหลักการน้ีอาศัยผลของแรงโน้มถ่วงของ
โลกดังรูป 2.9 (หมายเหตุ: การปฐมพยาบาลด้วยวิธีน้ีควรอยู่ภายใต้คาแนะนาของแพทย์
ผเู้ ชยี่ วชาญ)

รปู 2.9 การนานา้ ออกจากปอดโดยอาศัยแรงโน้มถ่วง

ใบกจิ กรรม 2.1 สนามแมเ่ หล็กจากลวดตัวนา

1. รายชอื่ สมาชกิ กลุม่ ท่ี …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
หาทิศสนามแม่เหลก็ ทีเ่ กิดจากเสน้ ลวดตัวนาทมี่ กี ระแสไฟฟา้ ผ่าน

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 เส้น 4) เขม็ ทิศ 8 อัน
1) เสน้ ลวดตัวนา 1 เครือ่ ง 5) สายไฟ 2 เสน้
2) หมอ้ แปลงโวลต์ต่า 1 แผน่ 6) ผงเหล็ก 1 ขวด
3) กระดาษแขง็

4. วธิ ที ากจิ กรรม
1) สอดเส้นลวดตัวนาผ่านกระดาษแขง็ แล้วต่อปลายทงั้ สองของเสน้ ลวดตวั นากบั หม้อแปลงโวลตต์ า่ 5 โวลต์ ไฟฟ้า
กระแสตรง ดงั รปู

2) จากนน้ั โรยผงเหลก็ ไว้โดยรอบเส้นลวดตวั นา เปิดสวติ ช์ แลว้ เคาะแผ่นกระดาษเบา ๆ สังเกตการเรยี งตัวของผงตะไบเหล็ก
จากนัน้ ปดิ สวติ ซ์

3) วางเขม็ ทศิ บนกระดาษแข็ง ณ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ เป็นวงรอบเสน้ ลวดตัวนา แทนผงเหล็ก สงั เกตการวางตัวของเขม็ ทศิ จากนั้น
เปดิ สวิตช์ แลว้ สงั เกตการวางตัวของเข็มทิศอกี คร้งั จากน้นั ปดิ สวิตช์ และเขียนทศิ สนามแมเ่ หลก็ ทเ่ี กิดจากเสน้ ลวดตัวนาท่มี ี
กระแสไฟฟา้ ผา่ น

4) ทาซา้ ข้อ 3) โดยสลบั ข้ัวการต่อไฟฟา้ เพ่อื กลับทิศกระแสไฟฟ้าในเสน้ ลวดตวั นา

5. ผลการทากิจกรรม
เมอื่ มีกระแสไฟฟ้าผ่านเสน้ ลวดตัวนาและการวางตวั ของเข็มทศิ การเรียงตวั ของผงเหลก็ มลี กั ษณะเรียงตัวใเป็ใน

วงรอบเส้นลวดตวั นาในขณะทีจ่ ุกยางเคล่อื นท่เี ป็นวงกลม เมือ่ ความเร็วในก ารเคลอื่ นท่ขี องจุกยาง

6. คาถามทา้ ยกิจกรรม

1) เมอื่ มีกระแสไฟฟา้ ผ่านเสน้ ลวดตัวนา การเรียงตวั ของผงเหล็กมลี กั ษณะอยา่ งไร

ตอบ ผงเหลก็ จะเรียงตวั เปน็ วงรอบเส้นลวดตัวนา มี

2) เมื่อมกี ระแสไฟฟ้าผ่านเสน้ ลวดตวั นา การวางตวั ของเข็มทศิ มลี กั ษณะอย่างไร

ตอบ เขม็ ทศิ จะเรยี งเปน็ วงรอบเส้นลวดตัวนา f

3) จากการวางตัวของเข็มทิศ สนามแม่เหล็กรอบเสน้ ลวดตัวนา มีทิศทางอยา่ งไร ด
ตอบ ทิศของสนามแม่เหล็กจะวนรอบเส้นลวดเป็นวงกลมหาไดจ้ ากกฎของมือขวา

4) เม่อื กลบั ทิศของกระแสไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็กรอบเส้นลวดตัวนา มีทิศทางอย่างไร

ตอบ สนามแมเ่ หลก็ รอบลวดตัวนา จะกลับทศิ รอบลวดตวั นา ด

มแี รงดงึ เชอื กกระทาตอ่ จกุ ยาง โดยมที ศิ ทางเขา้ สู่ศนู ย์กลางของก ารเคลือ่ นท่ี มี

5) ทศิ ทางของกระแสไฟฟา้ ท่ผี า่ นเสน้ ลวดตวั นา มคี วามสมั พันธก์ บั ทิศของสนามแม่เหลก็ หรอื ไม่ อยา่ งไร
ตอบ มี โดยความสมั พนั ธข์ องทศิ ทางกระแสไฟฟา้ กบั ทศิ ทางของสนามแม่เหล็กหาได้โดย ใชน้ ิว้ หวั แมม่ อื ขวาชไ้ี ป

ตามทิศของกระแส ทิศการวนของนว้ิ ทง้ั ส่จี ะมีทิศเดียวกบั สนามแมเ่ หล็กท่เี กดิ ขน้ึ ด

มีแรงดงึ เชือกกระทาตอ่ จกุ ยาง โดยมีทศิ ทางเข้าสู่ศูนยก์ ลางของก ารเคลอ่ื นท่ี มี

7. สรุปผลการทากิจกรรม
จากการทากิจกรรม พบว่า เมื่อให้กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนา จะเกิดสนามแม่เหล็กรอบลวดตัวนาเป็นวง

ทราบได้จากการวางตัวของผงตะไบเหลก็ สาหรบั ทิศทางของสนามแม่เหลก็ ทราบได้จากการดูเขม็ ทิศท่ีวางรอบลวดตัวนา
มีการเรียงตัวเป็นวงรอบลวดตัวนาและมีทิศทางชี้ และแนวของทิศทางสนามเหล็กทเ่ี กิดขึ้นรอบลวดตัวนา ซึ่งสามารถใช้
มือขวา เพื่อหาทิศทางของสนามแม่เหล็ก โดยการใช้มือขวาการอบเส้นลวดตัวนา ให้หัวแม่มือช้ีไปในทิศทางของ
กระแสไฟฟ้า ทศิ ทางการวนของนิ้วทงั้ ส่จี ะชี้ทิศทางของสนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดตวั นา เม่ือกลับทิศทางของมือขวา เพื่อ
หาทิศทางของสนามแม่เหล็ก โดยการใช้มือขวาการอบเส้นลวดตัวนา ให้หัวแม่มือชี้ไปในทิศทางของกระแสไฟฟ้า ทิศ
ทางการวนของน้ิวท้ังสี่จะชี้ทิศทางของสนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดตัวนา เมื่อกลับทิศทางของมือขวา เพือ่ หาทิศทางของ
สนามแม่เหลก็ โดยการใช้มือขวาการอบเส้นลวดตัวนา ให้หวั แม่มือชีไ้ ปในทิศทางของกระแสไฟฟ้า ทศิ ทางการวนของน้ิว
ทง้ั สี่จะชี้ทิศทางของสนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดตัวนา เมื่อกลับทิศทางของมอื ขวา เพื่อหาทิศทางของสนามแมเ่ หล็ก โดย
การใชม้ อื ขวาการอบเสน้ ลวดตวั นา ใหห้ วั แม่มอื ช้ีไปในทศิ ทางของกระแสไฟฟา้ ทศิ ทางการวนของนว้ิ ท้ังสีจ่ ะชที้ ศิ ทางของ

เฉลยใบกิจกรรม 2.1 สนามแมเ่ หลก็ จากลวดตัวนา

1. รายช่ือสมาชกิ กลมุ่ ท่ี …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
หาทิศสนามแม่เหล็กทเี่ กิดจากเส้นลวดตัวนาที่มีกระแสไฟฟา้ ผ่าน

3. วสั ด-ุ อุปกรณ์ 1 เสน้ 4) เข็มทิศ 8 อัน
1) เส้นลวดตวั นา 1 เครอ่ื ง 5) สายไฟ 2 เสน้
2) หมอ้ แปลงโวลต์ตา่ 1 แผน่ 6) ผงเหลก็ 1 ขวด
3) กระดาษแขง็

4. วิธีทากิจกรรม
1) สอดเสน้ ลวดตัวนาผ่านกระดาษแข็ง แลว้ ตอ่ ปลายทง้ั สองของเสน้ ลวดตัวนากบั หมอ้ แปลงโวลต์ต่า 5 โวลต์ ไฟฟ้า
กระแสตรง ดังรูป

2) จากนั้นโรยผงเหลก็ ไว้โดยรอบเส้นลวดตวั นา เปดิ สวิตช์ แล้วเคาะแผน่ กระดาษเบา ๆ สงั เกตการเรียงตัวของผงตะไบเหล็ก
จากนัน้ ปดิ สวิตซ์

3) วางเขม็ ทิศบนกระดาษแข็ง ณ ตาแหนง่ ตา่ ง ๆ เป็นวงรอบเสน้ ลวดตัวนา แทนผงเหลก็ สงั เกตการวางตวั ของเข็มทิศ จากนั้น
เปดิ สวติ ช์ แล้วสงั เกตการวางตวั ของเขม็ ทิศอีกคร้งั จากนั้นปดิ สวิตช์ และเขียนทิศสนามแม่เหลก็ ท่ีเกิดจากเส้นลวดตวั นาที่มี
กระแสไฟฟา้ ผา่ น

4) ทาซ้าขอ้ 3) โดยสลับขวั้ การต่อไฟฟา้ เพอื่ กลบั ทศิ กระแสไฟฟ้าในเส้นลวดตวั นา

5. ผลการทากจิ กรรม
เมอื่ มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นเส้นลวดตวั นาและการวางตวั ของเข็มทิศ การเรียงตัวของผงเหลก็ มลี กั ษณะเรยี งตวั เปน็

วงรอบเสน้ ลวดตัวนาในขณะทจี่ ุกยางเคล่ือนที่เปน็ วงกลม เม่อื ความเรว็ ในก ารเคลื่อนที่ของจกุ ยาง

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม

1) เม่อื มีกระแสไฟฟา้ ผ่านเส้นลวดตัวนา การเรยี งตวั ของผงเหลก็ มลี กั ษณะอย่างไร มี
ตอบ ผงเหลก็ จะเรียงตวั เปน็ วงรอบเส้นลวดตวั นา

2) เม่อื มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นเสน้ ลวดตวั นา การวางตัวของเข็มทศิ มลี กั ษณะอย่างไร

ตอบ เข็มทิศจะเรยี งเปน็ วงรอบเสน้ ลวดตวั นา f

3) จากการวางตัวของเข็มทิศ สนามแม่เหลก็ รอบเส้นลวดตวั นา มีทิศทางอย่างไร

ตอบ ทิศของสนามแมเ่ หล็กจะวนรอบเส้นลวดเป็นวงกลมหาได้จากกฎของมือขวา ด

4) เมอ่ื กลบั ทศิ ของกระแสไฟฟ้า สนามแมเ่ หล็กรอบเส้นลวดตัวนา มที ิศทางอยา่ งไร

ตอบ สนามแม่เหลก็ รอบลวดตวั นา จะกลับทศิ รอบลวดตวั นา ด

มแี รงดึงเชือกกระทาต่อจุกยาง โดยมีทิศทางเข้าสู่ศูนย์กลางของก ารเคล่ือนท่ี มี

5) ทิศทางของกระแสไฟฟ้าทผ่ี ่านเส้นลวดตัวนา มคี วามสัมพันธ์กับทิศของสนามแมเ่ หล็กหรอื ไม่ อยา่ งไร
ตอบ มี โดยความสมั พันธข์ องทิศทางกระแสไฟฟา้ กับทศิ ทางของสนามแมเ่ หล็กหาได้โดย ใชน้ ิว้ หวั แม่มอื ขวาช้ีไป

ตามทิศของกระแส ทิศการวนของน้วิ ท้ังสี่จะมที ศิ เดยี วกับสนามแมเ่ หลก็ ทเี่ กิดขน้ึ ด

มีแรงดึงเชอื กกระทาตอ่ จกุ ยาง โดยมที ิศทางเข้าสู่ศนู ย์กลางของก ารเคลื่อนท่ี มี

7. สรปุ ผลการทากิจกรรม

จากการทากิจกรรม พบว่า เม่ือให้กระแสไฟฟ้าผ่านลวดตัวนา จะเกิดสนามแม่เหล็กรอบลวดตัวนาเป็นวง

ทราบไดจ้ ากการวางตัวของผงตะไบเหลก็ สาหรบั ทศิ ทางของสนามแม่เหลก็ ทราบได้จากการดเู ขม็ ทศิ ท่ีวางรอบลวดตวั นา

มีการเรียงตัวเป็นวงรอบลวดตัวนาและมีทิศทางช้ี และแนวของทิศทางสนามเหล็กท่เี กิดขึ้นรอบลวดตัวนา ซึ่งสามารถใช้

มือขวา เพื่อหาทิศทางของสนามแม่เหล็ก โดยการใช้มือขวาการอบเส้นลวดตัวนา ให้หัวแม่มือช้ีไปในทิศทางของ

กระแสไฟฟ้า ทิศทางการวนของน้ิวท้ังสี่จะช้ีทิศทางของสนามแม่เหล็กรอบเส้นลวดตัวนา เม่ือกลับทิศทางของ

กระแสไฟฟ้า ทศิ ทางของสนามแม่เหลก็ จะกลบั ทิศทางไปดว้ ย อ

B

แผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 6

รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 กลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ระดับชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 40 ชว่ั โมง จานวน 1.0 หน่วยกติ

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 2 แรงในธรรชาติ เวลา 6 ชวั่ โมง

เรอื่ ง แรงแม่เหลก็ เวลา 2 ชั่วโมง

1. มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวดั
มาตรฐาน
ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวิตประจาวนั ผลของแรงทีก่ ระทาตอ่ วัตถุลักษณะการเคลอื่ นทแ่ี บบต่างๆ

ของวตั ถุ รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์

ตวั ชว้ี ัด
ว 2.2 ม.5/8 สังเกตและอธิบายแรงแม่เหลก็ ทก่ี ระทาตอ่ อนภุ าคที่มีประจุไฟฟา้ ท่ีเคลือ่ นท่ีในสนามแมเ่ หล็ก
และแรงแม่เหล็กที่กระทาต่อลวดตัวนาที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านในสนามแม่เหล็กรวมท้ังอธิบายหลักการทางานของ
มอเตอร์
2. สาระสาคัญ
แรงในธรรมชาตมิ าจากแรงพื้นฐานท้ังหมด 4 ประเภท ไดแ้ ก่ แรงโน้มถ่วง แรงแมเ่ หล็กไฟฟ้า แรงอ่อนและ
แรงเข้ม แรงแต่ละประเภทมสี มบัตแิ ละมอี นภุ าคท่ีเกยี่ วข้องแตกต่างกัน แรงโน้มถ่วงเปน็ แรงทเี่ กิดขนึ้ กับวตั ถุทีม่ มี วล
ตามกฎความโน้มถว่ งสากล ความรู้เก่ียวกับแรงโนม้ ถ่วงสามารถนามาอธิบายการโคจรของดวงจันทร์หรือดาวเทียม
รอบโลก และการส่งดาวเทยี มข้ึนสอู่ วกาศ
แรงประเภทที่สอง คอื แรงแม่เหล็กไฟฟ้า สามารถแยกไดเ้ ป็นแรงไฟฟ้ากับแรงแม่เหลก็ โดยแรงไฟฟ้าเป็น
แรงท่ีเกิดขึ้นกับอนุภาคท่ีมีประจุไฟฟา้ เม่ืออยใู่ นสนามไฟฟ้า สาหรับแรงแมเ่ หล็กนอกจากจะเกดิ ข้ึนกับสารแม่เหล็ก
เมื่ออยู่ในสนามแม่เหล็ก ยังสามารถเกิดข้ึนกับอนุภาคที่มีประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในเส้นลวดตัวนาท่ีอยู่ใน
สนามแม่เหล็ก เม่ือแนวการเคล่ือนที่ของประจหุ รือแนวเส้นลวดตวั นาไม่ขนานกบั ทิศสนามแมเ่ หล็ก ในทางกลับกัน
เมื่ออนุภาคมีประจุไฟฟ้าเคลื่อนที่ หรือมีกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนาจะเกิดสนามแม่เหล็กรอบอนุภาคหรือ
เสน้ ลวดตัวนาน้ัน นอกจากนีเ้ มือ่ มกี ารเปล่ียนแปลงสนามแม่เหล็กทผ่ี า่ นขดลวดตวั นาจะเกดิ อีเอ็มเอฟเหน่ียวนา และ
กระแสเหน่ียวนาในขดลวด ความรู้ทางดา้ นนีน้ าไปสู่ส่ิงประดษิ ฐท์ ่ีช่วยอานวยความสะดวก เชน่ มอเตอร์ไฟฟา้ เครื่อง
กาเนดิ กระแสไฟฟ้า ลาโพง ไมโครโฟน เปน็ ตน้
แรงประเภทท่ีสาม คอื แรงออ่ น ซ่ึงมคี วามเกี่ยวข้องกบั การสลายใหอ้ นุภาคบตี าของนวิ เคลยี สกัมมันตรงั สี
ทาให้ได้นวิ เคลียสทมี่ ีเสถยี รภาพมากข้นึ การนาความรู้ดา้ นนมี้ าประยุกต์ใช้ เช่น การหาอายุของวตั ถโุ บราณ
แรงประเภททสี่ ่ี คือ แรงเขม้ ซง่ึ เป็นแรงที่ยึดเหนย่ี วระหวา่ งอนุภาคควาร์กในนวิ คลีออน และเปน็ ผลทาให้
เกิดแรงนิวเคลยี รท์ ่ียดึ เหนี่ยวอนภุ าคในนวิ เคลยี ส ทาให้นิวเคลียสมีเสถียรภาพ

ความเข้มของแรงสามารถเรยี งจากมากไปน้อยไดด้ ังน้ี แรงเข้ม แรงแม่เหลก็ ไฟฟ้า แรงออ่ น และแรงโนม้
ถว่ ง สาหรบั ระยะทางทแ่ี รงสง่ ผล จะพบวา่ แรงโนม้ ถ่วงและแรงแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าจะยังมีผลแมร้ ะยะทางมาก ๆ ในขณะ
ที่ผลของแรงออ่ นและแรงเขม้ จะถกู จากัดอย่ใู นนวิ เคลียสเท่านั้น

3. จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรียนอธิบายแรงแม่เหลก็ ทเี่ กิดข้นึ กับอนุภาคมีประจไุ ฟฟ้าทเี่ คลอ่ื นท่ีในสนามแม่เหลก็ ได้
2) นกั เรียนอธบิ ายแรงแม่เหล็กทีเ่ กดิ ขนึ้ กบั ลวดตวั นาทมี่ กี ระแสไฟฟา้ ผา่ นในสนามแมเ่ หล็กได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นกั เรยี นเขียนแนวลารังสีแคโทดเพอ่ื อธบิ ายแรงแมเ่ หลก็ ท่ีเกดิ ข้นึ กับอนุภาคทีม่ ปี ระจุไฟฟา้ ได้
2) นักเรียนเขยี นแผนภาพแสดงทศิ ทางของกระแสไฟฟ้าทศิ ทางของสนามแม่เหล็กและทิศทางการ
เคลื่อนท่ขี องลวดตัวนาได้
3.3 ด้านคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้และเป็นผ้มู คี วามมงุ่ มน่ั ในการทางาน

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
แรงแม่เหล็กท่ีระทากบั อนกุ าดทม่ี ปี ระจไุ ฟฟ้า
เมื่ออนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้าอยู่ในสนามไฟฟ้า จะเกิดแรงไฟฟ้ากระทาให้อนุภาคเปล่ียนสภาพการ
เคลื่อนท่ี แต่ถ้าอนภุ าคท่มี ปี ระจไุ ฟฟา้ น้อี ยูใ่ นสนามแมเ่ หลก็ จะเกดิ แรงกระทากบั อนุภาคนนั้
เมื่ออิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้าลบ เคล่ือนที่ในทิศทางตั้งฉากกับสนามแม่เหล็กที่มี
ทศิ ทางพงุ่ เขา้ และต้ังฉากกับจอเรือแสง ดังรูป 2.13 ก. แนวการเคล่ือนทขี่ องอเิ ล็กตรอนจะเบนโค้งลง แสดง
ว่า มีแรงกระทาต่ออิเล็กตรอนในทิศทางลง เมื่อกลับทิศทางของสนามแม่เหล็ก แนวการเคลื่อนท่ีของ
อิเล็กตรอนจะเบนโค้งขึ้น แสดงว่ามีแรงกระทาต่ออิเล็กตรอนในทิศทางขึ้น ดังรูป 2.13 ข. แรงดังกล่าวจะ
เกดิ เมอื่ นภุ าคที่มปี ระจุไฟฟ้าเคลื่อนที่โดยการเคลื่อนทีไ่ ม่อยใู่ นแนวเดยี วกับสนามแม่เหลก็

รูป 2.13 ก. ลาอนภุ าคอิเล็กตรอนโคง้ ลงเม่อื นาขั้วเหนอื ของแทง่ แมเ่ หลก็ ช้เี ข้าใกลห้ ลอดรงั สีแคโทดตามรูป

รปู 2.13 ข. ลาอนุภาคอิเลก็ ตรอนโค้งข้ึนเมื่อนาขัว้ ใตข้ องแท่งแม่เหลก็ ช้เี ข้าใกล้หลอดรังสแี คโทดตามรปู
เมื่อลวดตัวนามีกระแสไฟฟ้าผ่านขณะอยู่ในสนามแม่เหล็กจะมีแรงกระทาต่อลวด และเม่ือกลับ

ทิศทางของสนามแม่เหลก็ หรอื ทิศทางของกระแสไฟฟ้า พบว่าแรงกระทาจะกลบั ทศิ ทางด้วย แสดงว่าแรงท่ี
กระทาตอ่ ลวดตวั นา มีความสัมพันธก์ ับทศิ ทางของกระแสไฟฟา้ และสนามแม่เหล็ก ดงั รปู 2.14

รูป 2.14 แผนภาพแสดงทิศทางของแรงท่ีกระทาตอ่ ลวดตวั นา
ทิศทางของกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหลก็

แรงสนามแม่เหลก็ กระทากบั ลวดตวั นาทีม่ ีกระแสไฟฟา้ ผา่ นดังกล่าวจะเกิดขึ้น เมอ่ื กระแสไฟฟ้าใน
ลวดตวั นาไม่อยู่ในแนวเดียวกบั สนามแมเ่ หล็ก

4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จดั กลุม่ สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แกป้ ัญหาและอปุ สรรคต่างๆ ท่ีเผชิญได้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพวิ เตอร์)

4.3 คณุ ลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝ่เรียนรแู้ ละเป็นผูม้ คี วามมงุ่ มนั่ ในการทางาน

5. คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรยี น ซอื่ สตั ย์สุจรติ ม่งุ มัน่ ในการทางาน มวี ินัย
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง มจี ติ สาธารณะ
รกั ความเป็นไทย  ใฝ่เรียนรู้

6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
 ความสามารถในการคดิ : นกั เรยี นสามารถอธิบายเร่ืองแรงแม่เหล็กได้

7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ขนั้ ท่ี 1 ขั้นสร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรู้ท่ีได้จากการเรียนรู้ในคาบที่ผ่านมาในหัวข้อ การเคลื่อนที่ของอนุภาคท่ีมี
ประจไุ ฟฟา้ หรอื กระแสไฟฟา้ ในลวดตัวนา ทาใหเ้ กดิ สนามแมเ่ หลก็ รอบอนภุ าคหรือเส้นลวดตวั นาได้
1.2 ครตู ้ังคาถามเพ่อื เขา้ สกู่ จิ กรรม
1) เมอ่ื อนภุ าคมีประจไุ ฟฟา้ เคล่ือนท่ีในสนามแมเ่ หล็ก จะเกิดแรงกระทาต่ออนภุ าคหรือไม่
(โดยครใู หน้ กั เรยี นแสดงความคิดเห็นอยา่ งอสิ ระ และไมค่ าดหวงั คาตอบที่ถกู ต้อง)

ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นหา
2.1 ครูใหน้ ักเรยี นดูวดี ีทัศน์สาธติ การทากจิ กรรมเกี่ยวกบั หลอดรงั สีแคโทด เพอื่ ศกึ ษาแรงแม่เหล็ก

ทกี่ ระทาต่ออนภุ าคทมี่ ีประจุไฟฟา้ ทเี่ คล่ือนท่ีในสนามแม่เหล็ก

https://youtu.be/buTSbCsmvQm
2.2 นกั เรียนสังเกตและเขยี นแนวลารงั สีแคโทดเมื่อนาขว้ั แม่เหล็กเหนือและขว้ั แมเ่ หลก็ ใต้เข้าใกล้
หลอด ลาอเิ ล็กตรอนเบนแตกต่างกันอย่างไร ลงในสมุด
2.3 นกั เรยี นแบ่งกลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.4 นักเรียนแตล่ ะกลุม่ ศึกษาใบกิจกรรม 2.3 แรงแมเ่ หลก็ ทก่ี ระทากับลวดตัวนาทม่ี ีกระแสไฟฟ้าผา่ น
2.5 ครแู จง้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และข้ันตอนการทากิจกรรมอยา่ งละเอียด
2.6 นักเรยี นรับอปุ กรณ์การทากิจกรรม พร้อมตดิ ตั้งอุปกรณใ์ หเ้ รยี บร้อย
2.7 นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ทากิจกรรม สงั เกตและบันทกึ ผลกจิ กรรม
ข้ันท่ี 3 ขน้ั อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครนู านกั เรียนอภปิ รายเพ่อื นาไปสู่การสรปุ โดยใช้คาถามตอ่ ไปน้ี

1) เม่ือหลอดรงั สีแคโทดทางาน แนวลารังสีแคโทดวางตวั อย่างไร (แนวการตอบ แนวลา
รังสแี คโทดพุ่งเปน็ เสน้ ตรง)

2) เมอื่ นาขว้ั เหนอื และขว้ั ใต้ของแทง่ แม่เหล็กช้ีเข้าใกลห้ ลอด แนวลา รังสีแคโทดมกี าร
เปล่ียนแปลงอย่างไร (แนวการตอบ แนวลารงั สีแคโทดมีการเบนขน้ึ หรอื ลง ข้นึ อยู่กบั ขวั้ ของแม่เหล็ก
เนอ่ื งจากมีแรงกระทากบั อเิ ล็กตรอนในลารังสแี คโทด)

3) ทศิ ทางของแรงท่กี ระทาต่ออเิ ล็กตรอนในลารังสแี คโทดขน้ึ กับทิศทางของสนาม
แมเ่ หล็กอยา่ งไร (แนวการตอบ ทิศทางของแรงตง้ั ฉากกบั ทิศของสนามแม่เหล็ก และเม่ือกลับทศิ สนาม
แมเ่ หลก็ แรงทเ่ี กิดข้ึนจะมที ิศตรงกันข้าม)

4) เม่ือนาด้านข้างของแทง่ แม่เหล็กเข้าใกลห้ ลอดซ่ึงทา ใหส้ นามแม่เหล็กขนานกบั ลารงั สี
แคโทด แนวลารังสีแคโทดมีการเปลี่ยนแปลงหรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ แนวลา รังสีแคโทดพุ่งเปน็
เส้นตรง ไมม่ ีการเบน แสดงวา่ ไม่เกดิ แรงกระทากับรังสแี คโทด)

3.2 นักเรยี นและครรู ว่ มกนั สรุปได้ ดงั น้ี
ครูนาอภิปรายรว่ มกันเกยี่ วกบั สาเหตุท่ีทาให้ลาอเิ ล็กตรอนเบ่ยี งเบนไปจากแนวเดิม เพอ่ื

นาไปสูข่ อ้ สรุปเกย่ี วกับแรงแม่เหลก็ ท่กี ระทาตอ่ อนุภาคทมี่ ปี ระจไุ ฟฟา้ เคล่ือนทใ่ี นสนามแม่เหลก็
3.3 ครูนานกั เรยี นอภปิ รายเพือ่ นาไปสูก่ ารสรุปโดยใช้คาถามต่อไปนี้
1) ขณะสนามแม่เหล็กมที ิศทางพุ่งลง กระแสไฟฟา้ มที ิศทางจาก B ไป A ลวดตัวนา

เคล่อื นทไ่ี ปทางใด (แนวการตอบ ลวดตวั นาเคล่ือนทอ่ี อกดา้ นนอก)
2) ขณะสนามแม่เหล็กมที ิศทางพงุ่ ลง กระแสไฟฟา้ มีทิศทางจาก A ไป B ลวดตวั นา

เคลื่อนที่ไปทางใด (แนวการตอบ ลวดตัวนาเคลือ่ นทเี่ ข้าด้านใน)
3) ลวดตวั นาเคลื่อนท่ีได้เพราะเหตุใด (แนวการตอบ เน่อื งจากมีแรงแมเ่ หลก็ กระทากบั

ลวดตัวนาท่ีมกี ระแสไฟฟ้าผ่าน)
4) ถา้ เรากลบั ทิศของสนามแม่เหลก็ โดยไม่กลับทิศกระแสไฟฟ้า ทศิ การเคลือ่ นท่ีของลวด

ตัวนาจะเป็นอย่างไร (แนวการตอบ ลวดตัวนาจะเคลอ่ื นที่ในทิศตรงกันข้าม)
3.4 นักเรียนและครูร่วมกันอภปิ รายและสรุปผลของกิจกรรมจนสรปุ ได้ ดังนี้
เม่ือลวดตัวนามีกระแสไฟฟ้าผ่านขณะอยู่ในสนามแม่เหล็กจะมีแรงกระทาต่อลวด และ

เมื่อกลับทิศทางของสนามแม่เหลก็ หรือทศิ ทางของกระแสไฟฟ้า พบวา่ แรงกระทาจะกลับทิศทางดว้ ย แสดง
วา่ แรงทก่ี ระทาต่อลวดตวั นา มีความสัมพันธ์กับทศิ ทางของกระแสไฟฟา้ และสนามแม่เหลก็

ขน้ั ที่ 4 ขน้ั ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายให้ความรู้เพิ่มเติม เรื่อง หลอดรังสีแคโทด (cathode ray tube) ตามเน้ือหาใน

หนงั สอื เรียน
4.2 ครูยกตวั อยา่ งปรากฏการณท์ ่ีเป็นผลมาจากการเปลี่ยนทิศทางการเคล่ือนที่ของอนุภาคมีประจุ

ไฟฟ้าเมอ่ื อยใู่ นสนามแมเ่ หล็ก เช่น การเกิดแสงเหนอื แสงใต้
4.3 ครูอธบิ ายให้ความรู้เพมิ่ เตมิ ดงั น้ี
เม่ื อ มี อ นุ ภ า ค ท่ี มี ป ร ะ จุ ไ ฟ ฟ้ า เค ล่ื อ น ที่ ห รื อ ก ร ะ แ ส ไ ฟ ฟ้ า ผ่ าน ล ว ด ตั ว น า ที่ อ ยู่ ใน

สนามแม่เหล็ก ทาให้เกิดแรงแม่เหล็กกระทากับอนุภาคหรือลวดตัวนา ที่มีกระแสไฟฟ้าผ่านโดยเน้นว่าทิศ
การเคลือ่ นท่ขี องอนภุ าคหรอื ทศิ กระแสจะต้องไมอ่ ย่ใู นแนวเดียวกับทิศสนามแม่เหลก็

4.4 ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมเก่ียวกับหลักการทางานของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง ตามหนังสือเรียน
หนา้ 62 - 65

ข้นั ท่ี 5 ขั้นประเมินผล
5.1 นกั เรยี นสง่ สมุด
5.2 นักเรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 2.3 ขอ้ 1 หน้า 66 ในหนังสือเรยี น
5.3 นกั เรียนส่งใบกิจกรรม 2.3 แรงแมเ่ หลก็ ท่กี ระทากบั ลวดตัวนาที่มีกระแสไฟฟา้ ผ่าน

8. ส่ือการเรยี นรู/้ แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สือเรียนรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ) ชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เลม่ 2

(ฉบับปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ น็ต
8.3 วีดีทศั น์ กจิ กรรมเกี่ยวกบั หลอดรังสแี คโทด
- เว็บไซต์ https://youtu.be/buTSbCsmvQm
8.4 ใบกิจกรรม 2.3 แรงแมเ่ หลก็ ทกี่ ระทากบั ลวดตัวนาที่มีกระแสไฟฟ้าผ่าน
8.5 อุปกรณก์ ารทากจิ กรรม เรอื่ ง แรงแม่เหลก็ ทก่ี ระทากับลวดตวั นาท่ีมีกระแสไฟฟา้ ผา่ น

9. ช้ินงาน/ภาระงาน

-

10. การวัดและประเมินผล

10.1 การประเมนิ ระหว่างการจดั กิจกรรมการเรียนรู้

ตัวชว้ี ัด/ผลการเรียนรู้ วิธีการวดั เคร่ืองมอื วัด เกณฑ์ทีใ่ ช้ในการ
ประเมนิ
ด้านความรู้ : 1) ตรวจกระดาษ 1) แบบประเมนิ
1) นกั เรียนสามารถ
1) นกั เรียนอธิบายแรง ปรูฟ๊ (น้าตาล) ของ การทากจิ กรรม สรปุ ผลของกิจกรรมได้
ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
แมเ่ หลก็ ท่ีเกดิ ข้ึนกบั แตล่ ะกลุม่ ที่ได้จาก
1) นกั เรียนสามารถ
อนภุ าคมปี ระจไุ ฟฟ้าท่ี การศกึ ษาคน้ คว้า เขยี นแนวลารังสแี คโทด
2) ตรวจใบกจิ กรรม ไดร้ ะดบั ดี ผ่านเกณฑ์
เคล่อื นท่ีในสนามแม่เหลก็
2.1 สนามแมเ่ หลก็
ได้
2) นกั เรียนอธิบายแรง จากลวดตวั นา

แมเ่ หล็กที่เกิดข้ึนกับลวด

ตวั นาทม่ี กี ระแสไฟฟ้าผ่าน

ในสนามแมเ่ หล็กได้

ด้านกระบวนการ : 1) ตรวจตรวจสมุด 1) แบบประเมนิ

1) นักเรียนเขยี นแนวลา ของนกั เรยี น การทากจิ กรรม

รงั สีแคโทดเพอื่ อธิบายแรง 2) ตรวจใบกจิ กรรม

แม่เหลก็ ที่เกดิ ข้นึ กบั 2.3

อนภุ าคทม่ี ปี ระจุไฟฟา้ ได้ แรงแมเ่ หล็กที่กระทา

2) นักเรียนเขียนแผนภาพ กบั ลวดตวั นาทม่ี ี

แสดงทิศทางของ กระแสไฟฟา้ ผ่าน

กระแสไฟฟ้าทศิ ทางของ

สนามแม่เหลก็ และทิศ

ทางการเคล่อื นท่ขี องลวด

ตัวนาได้

ดา้ นเจตคติ 1) ตรวจตรวจสมุด 1) แบบประเมิน 1) นักเรียนทาภาระงาน
การทากจิ กรรม ท่ไี ดร้ ับมอบหมายได้
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี ของนักเรยี น ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์

ความมุ่งมัน่ ในการทางาน 2) ตรวจใบกจิ กรรม

2.3 แรงแมเ่ หลก็ ท่ี

กระทากบั ลวดตัวนา

ท่มี กี ระแสไฟฟา้ ผ่าน

11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................

ลงชื่อ ผสู้ อน
(นางสาวจริ นันท์ ตอ่ มหล้า)

12. ขอ้ คิดเห็นของหัวหนา้ กลุม่ สาระการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ...............................................................
( นายนนั ท์ ก้อคา )

หัวหนา้ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

13. ขอ้ คิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผชู้ ่วยผูอ้ านวยการกลุ่มงานบริหารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ...............................................................
(....................................................)

ผู้ชว่ ยผู้อานวยการกลมุ่ งานบริหารวิชาการ

การอนุมัตกิ ารใชแ้ ผนการจดั การเรียนรูจ้ ากฝ่ายบริหาร
ความคิดเห็นของรองผอู้ านวยการฝา่ ยวชิ าการ

....................................................................................................................................................................................
 เหน็ สมควรอนุมัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน
 เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะ....................................................................

.....................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผ้อู านวยการโรงเรียนฝา่ ยบริหารวชิ าการ

การอนมุ ัตจิ ากผูอ้ านวยการโรงเรยี น
 อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน
 ไมอ่ นุมตั ใิ ห้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ..............................................................

..............................................................................................................................................................

ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาล)ี

ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา

บนั ทึกผลการใช้แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 6

รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปีที่ 5

เร่ือง แรงแมเ่ หลก็ เวลา 2 ช่ัวโมง

……………………………………………………………….

1. จานวนนกั เรยี นทส่ี อน

ระดับช้นั จานวนนักเรยี น (คน)

ม.5/1 34

ม.5/2 35

ม.5/3 36

รวม 105

2. บันทกึ ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................

2.2 ขอ้ สงั เกต/ขอ้ ค้นพบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

2.3 ปญั หา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2.4 ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

3. การประเมินผลการสอน

รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ

1. ความเหมาะสมของระยะเวลา

2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา

3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน

4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้

5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน

6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ

หลังเรยี น

สรุปภาพรวม

4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ

2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ

การวดั ผลประเมนิ ผล

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ

ลงช่อื ............................................ครผู ้สู อน
(นางจิรนนั ท์ ต่อมหลา้ )

ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นเิ ทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ................................................ผู้นเิ ทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)

หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผู้อานวยการฝ่ายบริหารวิชาการ

ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงช่อื ........................................................
(นางวิลาวลั ย์ ปาลี)

ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน

สรุปผล

ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้

ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้

สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น

มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน

สมบรู ณ์

เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า

กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้

ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ

ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่

ถูกต้อง

เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์


Click to View FlipBook Version