รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรปุ ผล
ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............
ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย
เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมินผลงานนักเรยี น
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรื่อง แรงแม่เหล็กท่กี ระทากับอนภุ าคที่มีประจุไฟฟา้
ประเดน็ การ คา่ นา้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามได้ถูกต้องครบถ้วน
(K) 2 ตอบคาถามได้ แตไ่ มค่ รบถ้วน
1 ตอบคาถามไมถ่ ูกตอ้ ง
ดา้ น 3 เขียนแนวลารงั สแี คโทดได้ถกู ต้องครบถว้ น
กระบวนการ 2 เขียนแนวลารังสีแคโทดได้แตไ่ ม่ถูกต้องครบถ้วน
(P) 1 เขยี นแนวลารังสแี คโทดไมถ่ ูกตอ้ ง
ด้าน 3 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด และเรยี บร้อยถูกต้องครบถ้วน
คุณลักษณะ 2 ทาภาระงานทไี่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยงั ผดิ พลาดบางสว่ น
(A) 1 ทาภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกดิ ขอ้ ผิดพลาดบางส่วน
ระดับคะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่อื ง แรงแม่เหลก็ ทก่ี ระทากบั ลวดตัวนาทมี่ กี ระแสไฟฟ้าผ่าน
ประเด็นการ ค่านา้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ด้านความรู้ 3 สรุปผลของกจิ กรรมไดถ้ ูกต้องครบถ้วน
(K) 2 สรุปผลของกิจกรรมไดค้ ่อนขา้ งถกู ตอ้ ง
1 สรุปผลของกจิ กรรมไม่ถกู ตอ้ ง
ด้าน 3 บนั ทึกผลของกจิ กรรมไดถ้ ูกต้องครบถว้ น
กระบวนการ 2 บันทกึ ผลของกจิ กรรมไดค้ อ่ นข้างถกู ต้อง
(P) 1 บันทกึ ผลของกิจกรรมไม่ถูกตอ้ ง
ดา้ น 3 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด และเรยี บรอ้ ยถูกต้องครบถว้ น
คณุ ลักษณะ 2 ทาภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางสว่ น
(A) 1 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางส่วน
ระดับคะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
ใบกิจกรรม 2.3 แรงแม่เหลก็ ทกี่ ระทากับลวดตวั นาท่มี กี ระแสไฟฟา้ ผ่าน
1. รายช่อื สมาชิกกลุ่มท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
สังเกตการเคล่ือนท่ีของลวดตวั นาท่ีมีกระแสไฟฟ้าผ่านเมือ่ วางอย่ใู นสนามแมเ่ หล็กเพ่ืออธิบายแรงแมเ่ หลก็ ทเี่ กิดข้นึ กับลวด
ตวั นา
3. วัสด-ุ อปุ กรณ์
1) แม่เหล็กขั้วข้าง 2 อัน 4) ฐานรองรับรูปตวั ยู 1 อัน
2) หม้อแปลงโวลต์ต่า 1 เครือ่ ง 5) สายไฟ 4 เส้น
3) ลวดตวั นาอะลมู เิ นยี ม 1 ชุด
4. วิธที ากจิ กรรม
1) ติดแม่เหลก็ ข้วั ข้างทง้ั สองอนั กับฐานรองรับรปู ตัว U
โดยหนั ขวั้ ตรงข้ามเข้าหากนั ดังรปู
2) ยืดลวด A และ B เขา้ กับฐานรองรับรปู ตัว U จากนนั้ วางลวดตวั นาอะลมู เิ นียมบนลวด A และลวด B ดังรูปในข้อ 1
3) ต่อหม้อแปลงโวลตต์ า่ จ่ายไฟฟา้ กระแสตรง 5 โวลต์เขา้ กับลวด A และ B ดังรปู
4) เปิดสวิตช์หม้อแปลงโวลต์ต่า สงั เกตการณเ์ คล่ือนที่ของลวดตัวนา แลว้ ปดิ สวติ ช์
5) เขียนแผนภาพแสดงทศิ ทางของกระแสไฟฟ้าทศิ ทางของสนามแมเ่ หล็กและทิศทางการเคลอื่ นทข่ี องลวดตวั นา
6) ทาซา้ ขอ้ 1) – 5) โดยสลบั ขวั้ ไฟฟา้ ทตี่ อ่ กับลวด A และ B
5. ผลการทากจิ กรรม
เมื่อทิศสนามแม่เหล็กชีล้ ง ก.กระแสไฟฟา้ ผ่านจาก B ไป A ลวดตัวนา เคลือ่ นออกดา้ นนอก ข.กระแสไฟฟ้าผา่ นจาก
A ไป B ลวดตัวนา เคลอื่ นเขา้ ด้านในในขณะท่ีจกุ ยางเคล่ือนท่ีเป็นวงก ลม เมอื่ ความเร็วในก าร
BB
ด้านใน ด้านใน
ดา้ นนอก ด้านนอก
AA
ก. กระแสไฟฟา้ ผา่ จาก B ไป A ข. กระแสไฟฟ้าผา่ จาก A ไป B
6. คาถามทา้ ยกิจกรรม
1) ขณะสนามแม่เหล็กมีทิศทางพุ่งลง กระแสไฟฟา้ มีทศิ ทางจาก B ไป A ลวดตวั นาเคลอื่ นทไี่ ปทางใด มี
ตอบ ลวดตวั นาเคลอื่ นทีอ่ อกด้านนอก
2) ขณะสนามแมเ่ หล็กมีทศิ ทางพงุ่ ลง กระแสไฟฟ้ามีทศิ ทางจาก A ไป B ลวดตัวนาเคล่อื นท่ไี ปทางใด
ตอบ ลวดตวั นาเคลอื่ นทเ่ี ขา้ ดา้ นใน f
3) ลวดตัวนาเคลอ่ื นท่ีได้เพราะเหตุใด ด
ตอบ เนื่องจากมแี รงแมเ่ หล็กกระทากับลวดตวั นาที่มีกระแสไฟฟา้ ผา่ น
4) เถา้ เรากลับทศิ ของสนามแม่เหลก็ โดยไมก่ ลับทิศกระแสไฟฟา้ ทศิ การเคลอ่ื นที่ของลวดตัวนาจะเปน็ อย่างไร
ตอบ ลวดตัวนาจะเคลอ่ื นที่ในทศิ ตรงกนั ขา้ ม ด
7. สรปุ ผลการทากิจกรรม
จากการทากิจกรรม พบว่า เม่ือลวดตัวนามีกระแสไฟฟ้าผ่านขณะอยู่ในสนามแม่เหล็กจะมีแรงกระทาต่อลวด
และเมอื่ กลับทศิ ทางของสนามแม่เหล็กหรือทิศทางของกระแสไฟฟ้า พบวา่ แรงกระทาจะกลับทิศทางด้วย แสดงวา่ แรงท่ี
กระทาต่อลวดตวั นา มีความสมั พนั ธก์ ับทิศทางของกระแสไฟฟา้ และสนามแม่เหลก็ อ
กระทาตอ่ ลวดตัวนา มคี วามสัมพันธก์ ับทศิ ทางของกระแสไฟฟ้าและสนามแมเ่ หล็ก อ
เฉลยใบกิจกรรม 2.3 แรงแม่เหล็กท่กี ระทากับลวดตัวนาท่มี กี ระแสไฟฟ้า
ผา่ น
1. รายชอื่ สมาชกิ กลุม่ ท่ี …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
สังเกตการเคลือ่ นท่ีของลวดตัวนาท่ีมกี ระแสไฟฟา้ ผา่ นเมอ่ื วางอย่ใู นสนามแมเ่ หล็กเพอ่ื อธบิ ายแรงแม่เหล็กทเ่ี กิดขึ้นกับลวด
ตัวนา
3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 2 อัน 4) ฐานรองรบั รูปตวั ยู 1 อัน
1) แมเ่ หลก็ ข้วั ขา้ ง 1 เครือ่ ง 5) สายไฟ 4 เส้น
2) หม้อแปลงโวลต์ต่า 1 ชุด
3) ลวดตวั นาอะลูมิเนียม
4. วิธที ากิจกรรม
1) ตดิ แมเ่ หล็กขวั้ ข้างท้ังสองอันกับฐานรองรับรูปตัว U
โดยหนั ข้ัวตรงขา้ มเข้าหากนั ดงั รูป
2) ยดื ลวด A และ B เขา้ กับฐานรองรบั รูปตัว U จากนนั้ วางลวดตัวนาอะลมู ิเนยี มบนลวด A และลวด B ดังรปู ในข้อ 1
3) ตอ่ หมอ้ แปลงโวลตต์ ่าจ่ายไฟฟา้ กระแสตรง 5 โวลตเ์ ข้ากับลวด A และ B ดงั รปู
4) เปดิ สวิตช์หมอ้ แปลงโวลต์ต่า สังเกตการณ์เคลื่อนทข่ี องลวดตัวนา แล้วปดิ สวติ ช์
5) เขียนแผนภาพแสดงทิศทางของกระแสไฟฟา้ ทศิ ทางของสนามแมเ่ หลก็ และทิศทางการเคล่ือนท่ีของลวดตัวนา
6) ทาซ้าข้อ 1) – 5) โดยสลบั ข้วั ไฟฟ้าทตี่ ่อกับลวด A และ B
5. ผลการทากจิ กรรม
เมอื่ ทิศสนามแม่เหลก็ ช้ลี ง ก.กระแสไฟฟ้าผ่านจาก B ไป A ลวดตัวนา เคลือ่ นออกด้านนอก ข.กระแสไฟฟา้ ผา่ นจาก
A ไป B ลวดตัวนา เคลอ่ื นเข้าด้านในในขณะทีจ่ ุกยางเคล่ือนทเี่ ปน็ วงก ลม เมอ่ื ความเรว็ ในก าร
6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม
1) ขณะสนามแมเ่ หล็กมที ิศทางพ่งุ ลง กระแสไฟฟา้ มีทิศทางจาก B ไป A ลวดตวั นาเคลอื่ นท่ไี ปทางใด มี
ตอบ ลวดตวั นาเคล่ือนท่ีออกด้านนอก
2) ขณะสนามแมเ่ หล็กมีทศิ ทางพงุ่ ลง กระแสไฟฟ้ามีทิศทางจาก A ไป B ลวดตัวนาเคล่อื นทไี่ ปทางใด
ตอบ ลวดตวั นาเคลอื่ นที่เขา้ ดา้ นใน f
3) ลวดตัวนาเคล่ือนทไ่ี ดเ้ พราะเหตุใด ด
ตอบ เนือ่ งจากมีแรงแม่เหล็กกระทากบั ลวดตัวนาที่มกี ระแสไฟฟา้ ผา่ น
4) เถ้าเรากลับทิศของสนามแม่เหล็กโดยไมก่ ลับทิศกระแสไฟฟ้า ทศิ การเคลอ่ื นท่ีของลวดตวั นาจะเป็นอยา่ งไร
ตอบ ลวดตัวนาจะเคล่ือนที่ในทศิ ตรงกนั ข้าม ด
7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม
จากการทากิจกรรม พบว่า เม่ือลวดตัวนามีกระแสไฟฟ้าผ่านขณะอยู่ในสนามแม่เหล็กจะมีแรงกระทาต่อลวด
และเมอ่ื กลับทิศทางของสนามแม่เหล็กหรือทิศทางของกระแสไฟฟ้า พบว่าแรงกระทาจะกลับทิศทางด้วย แสดงว่าแรงที่
กระทาตอ่ ลวดตวั นา มีความสมั พันธก์ ับทิศทางของกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก อ
B
แผนการจัดการเรียนร้ทู ี่ 7
รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว32103 กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ระดบั ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 40 ชัว่ โมง จานวน 1.0 หน่วยกติ
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 แรงในธรรชาติ เวลา 6 ชวั่ โมง
เร่อื ง การเกดิ อเี อ็มเอฟ หลกั การทางานของเครือ่ งกาเนิดไฟฟา้ และแรงเข้มแรงอ่อน เวลา 2 ชวั่ โมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวัด
มาตรฐาน
ว 2.2 เข้าใจธรรมชาตขิ องแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงทก่ี ระทาต่อวัตถลุ ักษณะการเคลอ่ื นทแ่ี บบตา่ งๆ
ของวัตถุ รวมท้ังนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ตัวช้วี ัด
ว 2.2 ม.5/9 สังเกตและอธิบายการเกดิ อีเอม็ เอฟ รวมทัง้ ยกตวั อย่างการนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ว 2.2 ม.5/10 สบื คน้ ข้อมลู และอธิบายแรงเขม้ และแรงอ่อน
2. สาระสาคญั
แรงในธรรมชาตมิ าจากแรงพ้ืนฐานท้ังหมด 4 ประเภท ไดแ้ ก่ แรงโน้มถ่วง แรงแม่เหล็กไฟฟ้า แรงอ่อนและ
แรงเข้ม แรงแต่ละประเภทมสี มบัตแิ ละมีอนุภาคที่เกี่ยวขอ้ งแตกตา่ งกัน แรงโนม้ ถ่วงเปน็ แรงท่ีเกดิ ขึน้ กบั วัตถุทมี่ ีมวล
ตามกฎความโน้มถว่ งสากล ความรู้เก่ียวกับแรงโนม้ ถ่วงสามารถนามาอธิบายการโคจรของดวงจันทร์หรือดาวเทียม
รอบโลก และการส่งดาวเทยี มข้นึ สูอ่ วกาศ
แรงประเภทที่สอง คอื แรงแม่เหล็กไฟฟา้ สามารถแยกได้เป็นแรงไฟฟ้ากับแรงแมเ่ หลก็ โดยแรงไฟฟ้าเป็น
แรงท่ีเกดิ ขึ้นกับอนุภาคที่มีประจุไฟฟา้ เมื่ออยูใ่ นสนามไฟฟ้า สาหรับแรงแม่เหล็กนอกจากจะเกดิ ข้ึนกับสารแม่เหล็ก
เม่ืออยู่ในสนามแม่เหล็ก ยังสามารถเกิดข้ึนกับอนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้าและกระแสไฟฟ้าในเส้นลวดตัวนาท่ีอยู่ใน
สนามแมเ่ หล็ก เมื่อแนวการเคล่ือนท่ีของประจุหรือแนวเส้นลวดตวั นาไม่ขนานกบั ทิศสนามแม่เหล็ก ในทางกลบั กัน
เมื่ออนุภาคมีประจุไฟฟ้าเคล่ือนที่ หรือมีกระแสไฟฟ้าในลวดตัวนาจะเกิดสนามแม่เหล็กรอบอนุภาคหรือ
เสน้ ลวดตัวนาน้ัน นอกจากนเี้ มอื่ มีการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหลก็ ท่ผี า่ นขดลวดตวั นาจะเกิดอเี อ็มเอฟเหน่ียวนา และ
กระแสเหน่ียวนาในขดลวด ความรทู้ างด้านน้นี าไปสู่ส่งิ ประดษิ ฐท์ ี่ชว่ ยอานวยความสะดวก เช่น มอเตอร์ไฟฟ้า เครอ่ื ง
กาเนดิ กระแสไฟฟ้า ลาโพง ไมโครโฟน เป็นตน้
แรงประเภททสี่ าม คอื แรงอ่อน ซึง่ มีความเก่ยี วขอ้ งกับการสลายให้อนุภาคบตี าของนิวเคลียสกัมมันตรงั สี
ทาให้ได้นิวเคลยี สท่มี ีเสถียรภาพมากขน้ึ การนาความรู้ด้านนมี้ าประยุกตใ์ ช้ เช่น การหาอายขุ องวตั ถุโบราณ
แรงประเภททีส่ ่ี คือ แรงเขม้ ซึ่งเป็นแรงท่ยี ึดเหนีย่ วระหวา่ งอนุภาคควาร์กในนิวคลีออน และเปน็ ผลทาให้
เกดิ แรงนวิ เคลียร์ที่ยึดเหนี่ยวอนภุ าคในนวิ เคลียส ทาให้นิวเคลยี สมเี สถียรภาพ
ความเข้มของแรงสามารถเรียงจากมากไปน้อยไดด้ งั นี้ แรงเข้ม แรงแม่เหลก็ ไฟฟ้า แรงอ่อน และแรงโน้ม
ถว่ ง สาหรับระยะทางทีแ่ รงสง่ ผล จะพบว่าแรงโน้มถว่ งและแรงแม่เหล็กไฟฟ้าจะยังมีผลแม้ระยะทางมาก ๆ ในขณะ
ท่ีผลของแรงออ่ นและแรงเขม้ จะถกู จากัดอยใู่ นนวิ เคลยี สเท่านน้ั
3. จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธบิ ายอีเอม็ เอฟเหนยี่ วนาจากการที่สนามแม่เหลก็ เปลย่ี นแปลงตดั ผ่านลวดตวั นาได้
2) นักเรียนอธิบายหลกั การทางานของเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟา้ ได้
3) นักเรียนอธิบายสมบตั ขิ องแรงออ่ นและแรงเขม้ ได้
4) นกั เรียนอธบิ ายการนาความรจู้ ากแรงอ่อนและแรงเข้มไปใชป้ ระโยชนไ์ ด้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นสามารถติดต้ังอุปกรณ์การทากจิ กรรมอีเอ็มเอฟเหน่ยี วนาและกระแสไฟฟ้าเหนีย่ วนาได้
2) นกั เรยี นสามารถติดตงั้ อุปกรณก์ ารทากจิ กรรมเครื่องกาเนิดไฟฟ้าอยา่ งง่ายได้
3) นกั เรยี นสามารถสรา้ งและประดิษฐ์ลูกเต๋า เรอื่ ง แรงอ่อนและแรงเข้มได้
3.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้และเปน็ ผู้มคี วามมุ่งมัน่ ในการทางาน
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
เม่ือแทง่ แม่เหลก็ วางนง่ิ ในขดลวดทองแดง เขม็ แกลแวนอมิเตอร์ไม่เบนแสดงวา่ ไมเ่ กิดกระแสไฟฟ้า
ในขดลวดทองแดง แตเ่ ม่ือเคล่อื นแทง่ แมเ่ หล็กเขา้ หาหรือออกจากขดลวดทองแดงจะพบว่าเข็มของแกล
แวนอมิเตอรเ์ บนไปจากตาแหนง่ เดิมแสดงว่าเกิดกระแสไฟฟา้ ในขดลวดทองแดงในทางกลับกัน เม่อื ใหแ้ ทง่
แม่เหล็กอยูน่ ง่ิ แต่เคล่อื นท่ีขดลวดทองแดงเข้าหาหรือออกจากแทง่ แมเ่ หลก็ เขม็ ของแกลแวนอมิเตอรจ์ ะเบน
ไปมาตาแหนง่ เช่นกัน แสดงวา่ เกดิ กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดทองแดงในกรณนี ี้ดว้ ย โดยอธิบายการเกิด
กระแสไฟฟา้ ไดด้ งั นี้
การเคลือ่ นแท่งแม่เหลก็ เข้าหาหรอื ออกจากขดลวด หรอื การเคลื่อนขดลวดเข้าหาหรือออกจาก
แท่งแม่เหลก็ มีผลใหส้ นามแม่เหลก็ ท่ีผา่ นขดลวดตวั นามกี ารเปลยี่ นแปลง ซงึ่ จะทาให้เกดิ ความตา่ งศักย์
ระหว่างปลายทง้ั สองของขดลวด ความต่างศกั ย์ดงั กลา่ วเรียกวา่ อีเอ็มเอฟเหน่ียวนา (induced
electromotive force หรือ induced emf) จงึ เกิดกระแสไฟฟา้ ผา่ นขดลวดตัวนา โดยกระแสไฟฟา้ ที่
เกดิ ขนึ้ จากวิธีน้เี รยี กว่า กระแสไฟฟ้าเหนีย่ วนา (induced current) และกระบวนการท่ที าใหเ้ กดิ
กระแสไฟฟ้าในลักษณะน้เี รยี กวา่ การเหน่ยี วนาแมเ่ หล็กไฟฟา้ (electromagnetic induction) ซึ่งพบ
โดยไมเคลิ ฟาราเดย์ ในปี พ.ศ. 2374
หลักการทางานของเครอื่ งกาเนดิ ไฟฟา้
การเคลอ่ื นทีแ่ ทง่ แมเ่ หล็กหรอื ขดลวดตวั นา ทาให้สนามแม่เหลก็ ท่ีผา่ นขดลวดมีการเปล่ยี นแปลงจึง
มอี ีเอ็มเอฟเหน่ียวนาเกดิ ขน้ึ จากหลกั การดงั กล่าวสามารถนามาประดิษฐอ์ ปุ กรณ์ท่ีผลติ กระแสไฟฟ้าได้
หลกั การทางานของเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าทป่ี ระกอบด้วยขดลวดวางตัวอย่ใู นสนามแม่เหลก็ จะทาให้
สนามแมเ่ หลก็ ทผี่ า่ นขดลวดมีการเปลี่ยนแปลงจึงเกิดอีเอม็ เอฟเหนยี่ วนาขน้ึ ทข่ี ดลวด ทาให้มีกระแสไฟฟ้า
เหนยี่ วนาผ่านหลอดไฟ แอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์ สังเกตไดจ้ ากความสวา่ งของหลอดไฟ การเบนของเข็ม
แอมมเิ ตอร์และโวลต์มเิ ตอร์ เปน็ การชใ้ี หเ้ ห็นว่าพลงั งานกลเปล่ยี นไปเป็นพลงั งานไฟฟา้ และเม่อื หมนุ แกน
เคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้าด้วยอัตราเรว็ ที่สูงขึน้ หลอดไฟจะสว่างมากขึ้นและเขม็ ของแอมมเิ ตอร์และโวลต์มเิ ตอร์
เบนมากข้ึน เปน็ การชี้ให้เหน็ วา่ พลงั งานกลท่ีมากข้ึนเปลยี่ นไปเปน็ มีพลงั งานไฟฟ้าได้มากขึ้น
การประยกุ ตใ์ ชป้ ระโยชนจ์ ากเรอ่ื งการเหน่ียวนาแมเ่ หล็กไฟฟ้า
ความร้เู กย่ี วกับเรอ่ื งการเหนี่ยวนาแม่เหลก็ ไฟฟ้าสามารถนาไปประยกุ ตใ์ ห้เกิดประโยชน์ได้
หลากหลาย ดงั น้ี
1) เคร่อื งกาเนดิ ไฟฟา้ ในโรงไฟฟ้า เป็นเครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลับแบบ 3 เฟส คอื ผลติ
กระแสไฟฟา้ สลับท้ังหมด 3 ชดุ สลับกนั ไป เพื่อท่ีจะสามารถสง่ กระแสไฟฟา้ ไปตามบ้านเรอื นได้ไกลกว่า
กระแสไฟฟา้ ตรง โดยชดุ สาธิตเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ แบบนี้ ดังรูป 2.16 ซ่งึ ประกอบดว้ ยขดลวดตัวนา 3 ขดท่ี
วางทามุมกัน 120 องศา และมแี ท่งแม่เหล็กวางอย่ตู รงกลาง ซง่ึ สามารถหมนุ ในระนาบเดียวกบั การวางตัว
ของแกนขดลวด
รูป 2.16 ชดุ สาธติ เคร่อื งกาเนิดไฟฟ้ากระแสสลับแบบ 3 เฟส
2) เครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้าในรถจักรยาน เครือ่ งกาเนิดไฟฟ้าอย่างงา่ ยทไ่ี ดศ้ กึ ษามาแลว้ นนั้ พบวา่ จะ
เกดิ กระแสไฟฟ้าโดยการหมุนขดลวดในแม่เหล็ก สาหรบั เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าบางประเภทใชว้ ธิ หี มนุ แท่ง
แมเ่ หล็กในขดลวดตัวนา กระแสไฟฟ้าเหนีย่ วนาทีเ่ กดิ ขนึ้ ภายในลวดตวั นาสามารถผ่านสายไฟออกไปได้
ทันทีไมต่ อ้ งมีคอมมิวเทเตอรว์ งแหวนผ่าซกี และแปรงสัมผัสมาประกอบ เช่น เครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้าของ
รถจักรยาน ดงั รูป 2.17
รูป 2.17 เคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ ในรถจักรยาน
3) ลาโพง มหี ลายแบบ แตล่ าโพงแบบท่ใี ชง้ านกนั มากทีส่ ุดคอื แบบไดนามกิ ซึ่งหลกั การทางานคือ
เม่ือใหส้ ัญญาณไฟฟ้าจากเคร่ืองขยายเสียง เข้าไปในขดลวดขนาดเล็กท่ีวางอยใู่ นสนามแมเ่ หลก็ ของแท่ง
แม่เหล็กถาวร เมื่อลวดตัวนาท่มี ีกระแสไฟฟ้าผ่าน วางอยใู่ นสนามแม่เหล็กจะเกิดแรงกระทาต่อขดลวดนน้ั
ทาให้ขดลวดตัวนาของลาโพงเคลือ่ นท่ีเข้าออกดว้ ยความถี่เดียวกบั ความถี่ของสัญญาณไฟฟ้าทปี่ อ้ นและ
เน่อื งจากขดลวดยดึ ติดกับแผน่ ไดอะแฟรม เมอ่ื ขดลวดเคลอื่ นท่ี แผ่นไดอะแฟรมกจ็ ะเคลอ่ื นท่ไี ปดว้ ย ดังนัน้
แผน่ ไดอะแฟรมของลาโพงจะล่ันดว้ ยความถี่เดียวกบั สญั ญาณไฟฟ้า ทาให้เกิดเสยี งออกมา โดย
ส่วนประกอบของลาโพงดงั รูป 2.18
รูป 2.18 สว่ นประกอบของลาโพง
4) ไมโครโฟน มหี ลายแบบเช่นเดยี วกบั ลาโพง และแบบท่ีใชง้ านกนั มากทส่ี ุดคือ แบบไดนามกิ
เช่นกัน หลักการทางานคือ เม่ือคลน่ื เสยี งตกกระทบไมโครโฟน ไดอะแฟรมสั่นดว้ ยความถขี่ องคล่นื เสยี งทา
ใหข้ ดลวดตวั นาทตี่ ิดกบั ไดอะแฟรมส่ันดว้ ยความถี่เดียวและท่ีแกนของขดลวดตัวนามแี ท่งเหลก็ อยู่ จึงเกิด
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาสง่ ไปยังเคร่อื งขยายเสยี งดงั รปู 2.19
แรงออ่ นและแรงเข้ม รปู 2.19 ส่วนประกอบของไมโครโฟน
2113Na
รปู 2.20 สัญลักษณ์นิวเคลียรข์ องธาตโุ ซเดยี ม
จากรปู 2.20 เปน็ สัญลักษณ์นิวเคลยี รข์ องธาตโุ ซเดียม ซ่งึ Na คือสัญลกั ษณ์ของธาตุโซเดยี มตัวเลข
11 คือ เลขอะตอม (atomic number) หมายถึง จานวนโปรตอนในนวิ เคลียส และตัวเลข 23 คอื
เลขมวล (mass number) หมายถึง ผลรวมของจานวนโปรตอนและจานวนนวิ ตรอนในนิวเคลียส ดงั น้ัน
ในนิวเคลียสของธาตุโซเดียมจะมจี านวนโปรตอนเท่ากับ 11 และจานวนนวิ ตรอนเทา่ กับ 23 - 11 = 12
ในนวิ เคลียสของธาตุ มีโปรตอนและนิวตรอน โดยโปรตอนมีประจเุ ป็นบวกเหมือนกันและอยใู่ กล้
กนั มาก เปน็ ผลให้แรงผลกั ไฟฟ้าระหวา่ งโปรตอนมคี ่าสงู มาก แรงผลกั ไฟฟา้ นีม้ ีคา่ สูงกวา่ แรงดงึ ดดู ระหวา่ ง
มวลมาก ดังนนั้ การทีโ่ ปรตอนสามารถอยู่รวมกันในนิวเคลยี สไดแ้ ละนวิ เคลียสมีเสถยี รภาพจะต้องมแี รง
ดงึ ดูดอกี ประเภทหน่ึงท่มี คี ่าสูงกว่าแรงผลักไฟฟา้ และแรงน้เี รียกว่า แรงนิวเคลียร์ (nuclear force)
ดงั รูป 2.23
รปู 2.23 แผนภาพแสดงแรงนวิ เคลยี ร์ทกี่ ระทากบั นิวคลอี อนตวั ใดตวั หน่ึง ในนิวเคลียสของอะตอม
แรงนวิ เคลยี ร์เป็นแรงทีเ่ กดิ ขน้ึ ภายในนิวเคลยี สของอะตอม ทาหน้าทีย่ ึดเหนย่ี วนิวคลอี อนใหอ้ ยู่
รวมกันในนวิ เคลยี ส แรงนวิ เคลียร์เปน็ แรงทีเ่ กิดขึ้นในระยะทางส้นั มาก ๆ ระหว่างนิวคลีออนท่อี ยู่ตดิ กนั
เมือ่ พ้นระยะทางคา่ หน่ึงไปแลว้ ผลของแรงนวิ เคลียรจ์ ะหมดไป ต่างจากแรงโน้มถ่วงและแรงแมเ่ หล็กไฟฟา้ ท่ี
สามารถเกิดแม้ระยะทางไกลมาก ๆ
แรงนวิ เคลียร์เกย่ี วข้องกบั แรงพน้ื ฐานในธรรมชาติแรงหน่งึ ทีเ่ รยี กว่า แรงเขม้ (Strong force)
ซ่งึ เกย่ี วขอ้ งกบั อนุภาคท่ีเลก็ กวา่ นวิ คลีออน นอกจากน้ียังมแี รงพนื้ ฐานในธรรมชาตทิ ่ีเกยี่ วข้องกบั นิวเคลยี ส
อีกแรงหน่งึ คือ แรงออ่ น (weak force) ซึง่ เกี่ยวขอ้ งกบั การสลายของนวิ เคลยี สกัมมันตรังสี
แรงอ่อน (เดิมใชแ้ รงนิวเคลียร์อย่างอ่อน) เกีย่ วขอ้ งกบั การสลายของธาตกุ ัมมันตรังสี เกิดข้นึ ใน
นิวเคลยี สท่ีสลายใหอ้ นุภาคบีตา ตัวอย่างของการสลายให้อนุภาคบีตา เช่น การสลายของคาร์บอน-14
(146C)ไปเป็นไนโตรเจน-14 (174N) ดงั รูป 2.24 ก. ซงึ่ เกดิ จากการที่นวิ ตรอนในนิวเคลยี สเดิมสลายไป
เป็นโปรตอน อนุภาคบตี าลบ (อิเล็กตรอน) และอนภุ าคเป็นกลางตวั หน่งึ (แอนตนิ ิวตรโิ นอิเลก็ ตรอน) ดงั รูป
2.24 ข. เพ่ือทาใหน้ วิ เคลยี สใหมม่ ีเสถียรภาพมากข้นึ
รปู 2.24 ก. การสลายของคารบ์ อน-14 ไปเปน็ ไนโตรเจน-14 และใหอ้ นุภาคบีตาลบ (อเิ ลก็ ตรอน)
และอนภุ าคทีเ่ ป็นกลางทางไฟฟ้าตวั หน่ึง (แอนตินวิ ตริโนอิเล็กตรอน)
รปู 2.24 ข. การสลายให้อนุภาคบีตาของคารบ์ อน-14 เกดิ จากการทีน่ ิวตรอนสลายไปเป็นโปรตอน
อิเล็กตรอนและแอนตนิ วิ ตริโนอเิ ลก็ ตรอน
การสลายของธาตุกัมมันตรังสีซงึ่ เป็นผลมาจากแรงอ่อนถูกนาไปประยกุ ต์ใช้ในงานดา้ นโบราณคดี
และธรณีวิทยา เช่น การอาศัยความรูเ้ กี่ยวกบั การสลายของคาร์บอน-14 ในการตรวจสอบอายขุ องซาก
สิ่งมชี ีวิต ถา่ น กระดูก หรอื เปลอื กหอย ทีม่ ีอายอุ ยู่ในชว่ ง 1,000 ถึง 25,000 ปีก่อน
อีกตวั อยา่ งหนง่ึ ของผลจากแรงออ่ น คอื ความร้อนใตผ้ วิ โลกสว่ นใหญม่ าจากการสลายของธาตุ
กัมมนั ตรงั สใี นระดับชั้นแมนเทลิ (mantle) และ ช้ันเปลือกโลก (crust) อนั เนื่องมาจากแรงออ่ น ดังรูป
2.25
รูป 2.25 รูปจาลองเปลือกโลก แมนเทลิ และแกนโลก ซึง่ ความร้อนใตผ้ วิ โลกสว่ นใหญม่ าจาก
การสลายของธาตุกมั มนั ตรงั สใี นระดบั ชน้ั แมนเทิล และชัน้ เปลอื กโลก
แรงเขม้ (เดมิ ใชแ้ รงนิวเคลียรอ์ ย่างเขม้ ) เป็นแรงยึดเหน่ียวอนภุ าคท่ีเล็กกว่านวิ คลีออนทาให้เกดิ
เป็นนิวคลีออน ดังรปู 2.26 โดยอนุภาคที่เล็กกวา่ นวิ คลีออนนี้ เรยี กวา่ ควารก์ (quark)
ดงั รปู 2.26 แบบจาลองแรงทย่ี ดึ เหนี่ยวควารก์ ทาใหเ้ กดิ เปน็ นวิ คลีออน
4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้ปญั หาและอุปสรรคตา่ งๆ ที่เผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ติ (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสบื คน้ ผา่ นคอมพวิ เตอร)์
4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นยิ ม
ใฝเ่ รยี นรู้และเป็นผ้มู ีความมงุ่ มั่นในการทางาน
5. คุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้เรยี น ซือ่ สัตย์สุจริต มงุ่ ม่ันในการทางาน มีวนิ ัย
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง มีจติ สาธารณะ
รักความเปน็ ไทย ใฝ่เรยี นรู้
6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
ความสามารถในการคดิ : นกั เรียนสามารถอธิบายเรอ่ื งการเกิดอีเอม็ เอฟ หลักการทางานของเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟา้ และ
แรงเขม้ แรงอ่อนได้
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขัน้ ที่ 1 ข้ันสร้างความสนใจ
1.1 ครูนาเขา้ สู่บทเรยี นโดยการทบทวนส่ิงที่ได้ศกึ ษาไปในหัวขอ้ ท่ีแลว้ ว่า การทก่ี ระแสไฟฟ้าผา่ น
ลวดตัวนา ทาให้เกดิ สนามแม่เหลก็
ข้นั ที่ 2 ขน้ั สารวจและค้นหา
2.1 นักเรียนแบ่งกลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรียนแต่ละกลมุ่ ศึกษาใบกิจกรรม 2.5 อีเอ็มเอฟเหนยี่ วนาและกระแสไฟฟ้าเหนย่ี วนา
2.3 ครแู จง้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ อปุ กรณ์ และขั้นตอนการทากิจกรรมอย่างละเอียด
2.4 นักเรียนรบั อุปกรณ์การทากิจกรรม พร้อมติดตง้ั อปุ กรณใ์ ห้เรียบร้อย
2.5 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ทากจิ กรรม สังเกตและบนั ทกึ ผลกิจกรรม
2.6 นักเรียนแต่ละกลุ่มศกึ ษาใบกิจกรรม 2.6 เครื่องกาเนิดไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย
2.7 ครแู จ้งจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ อุปกรณ์ และข้ันตอนการทากิจกรรมอยา่ งละเอยี ด
2.8 นกั เรียนรบั อุปกรณ์การทากิจกรรม พรอ้ มติดตง้ั อุปกรณ์ให้เรยี บร้อย
2.9 นักเรียนแต่ละกลุ่มทากจิ กรรม สังเกตและบนั ทกึ ผลกจิ กรรม
ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูนานกั เรียนอภิปรายเพ่อื นาไปส่กู ารสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปน้ี
1) นกั เรยี นแต่ละกลุ่มไดผ้ ลการทากิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอยา่ งไร (แนวการตอบ
ได้ผลเหมอื นกนั )
2) ขณะแทง่ แมเ่ หลก็ วางนิง่ ในขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมเิ ตอรเ์ ปลย่ี นแปลงอย่างไร
(แนวการตอบ เข็มแกลแวนอมเิ ตอรไ์ มเ่ บน)
3) ขณะแท่งแม่เหล็กเคลือ่ นท่ีเข้าหาและออกจากขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมิเตอร์
เปล่ยี นแปลงอย่างไร (แนวการตอบ เข็มแกลแวนอมเิ ตอรเ์ บน โดยเมอ่ื เคลือ่ นแท่งแมเ่ หล็กออก ทิศการเบน
ของเข็มแกลแวนอมเิ ตอรจ์ ะตรงขา้ มกับเมอ่ื เคลอ่ื นแทง่ แมเ่ หลก็ เขา้ )
4) เม่อื เปล่ยี นให้ขดลวดทองแดงเคลือ่ นท่เี ข้าหาและออกจากแทง่ แมเ่ หล็กเขม็ แกลแวนอ
มเิ ตอร์เปล่ียนแปลงอยา่ งไร (แนวการตอบ เข็มแกลแวนอมิเตอรเ์ บน โดยเม่ือเคลอื่ นขดลวดออกทิศการเบน
ของเข็มแกลแวนอมิเตอรจ์ ะตรงขา้ มกับเม่อื เคลื่อนขดลวดเข้า)
3.2 นกั เรยี นและครูรว่ มกนั อภปิ รายและสรุปผลของกิจกรรมจนสรปุ ได้ ดงั น้ี
เมื่อแท่งแม่เหล็กวางน่ิงในขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมิเตอร์ไม่เบนแสดงว่าไม่เกิด
กระแสไฟฟา้ ในขดลวดทองแดง แตเ่ ม่อื เคลือ่ นแท่งแมเ่ หล็กเข้าหาหรอื ออกจากขดลวดทองแดงจะพบวา่ เข็ม
ของแกลแวนอมิเตอร์เบนไปจากตาแหน่งเดิม แสดงว่าเกดิ กระแสไฟฟ้าในขดลวดทองแดง ในทางกลับกัน
เม่ือให้แท่งแม่เหล็กอยู่น่ิง แต่เคลื่อนที่ขดลวดทองแดงเข้าหาหรือออกจากแท่งแม่เหล็กเข็มของ
แกลแวนอมิเตอร์จะเบนไปมาตาแหน่งเช่นกนั แสดงวา่ เกดิ กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดทองแดงในกรณนี ้ดี ว้ ย
3.3 ครนู านักเรยี นอภิปรายเพื่อนาไปสู่การสรุปโดยใช้คาถามต่อไปน้ี
1) ความเร็วในการหมุนแกนเครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ มคี วามสมั พนั ธก์ บั ความสว่างของ
หลอดไฟและการเบนของเข็มของแกลแวนอมเิ ตอร์อย่างไร (แนวการตอบ เมื่อหมนุ แกนเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟา้
เร็วข้นึ หลอดไฟจะสวา่ งมากขนึ้ และเข็มของแกลแวนอมเิ ตอร์จะเบนมากข้ึน)
2) เมอื่ หมนุ แกนเคร่อื งกาเนดิ ไฟฟา้ ในทศิ ทางตรงขา้ ม ผลทไี่ ดม้ คี วามแตกต่างกบั ครง้ั แรก
อย่างไร (แนวการตอบ หลอดไฟจะสวา่ ง แต่เข็มของแอมมิเตอรแ์ ละโวลต์มเิ ตอรจ์ ะเบนในทิศตรงขา้ ม)
3) เหตใุ ดเมอื่ หมนุ แกนเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟา้ จงึ ทาให้เกดิ กระแสไฟฟ้าได้ (แนวการตอบ
เมอื่ หมุนแกนเครือ่ งกาเนิดไฟฟา้ ซงึ่ ประกอบดว้ ยขดลวดวางตวั ในสนามแมเ่ หล็ก ขดลวดหมุนตัดกับ
สนามแมเ่ หลก็ ทาให้เกดิ อเี อ็มเอฟเหน่ยี วนา และกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนา)
3.4 นกั เรียนและครรู ่วมกันอภปิ รายและสรปุ ผลของกิจกรรมจนสรปุ ได้ ดงั นี้
การท่ีหลอดไฟสว่างเข็มของแอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์เบน เนื่องจากเกิดกระแสไฟฟ้า
เหนี่ยวนา และอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาข้ึนในวงจร และกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา ท่ีเกิดขึ้นเป็นผลจากอีเอ็มเอฟ
เหน่ียวนาในขดลวด
ขนั้ ที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายใหค้ วามรู้เพ่ิมเตมิ ดังน้ี
กระแสไฟฟ้าเหนีย่ วนาในขดลวดเกดิ จากการทข่ี ดลวดอยใู่ นบริเวณที่มีการเปลี่ยนแปลง
สนามแม่เหลก็ หรือกล่าวได้วา่ เม่อื ขดลวดอยู่ในบริเวณท่มี ีการเปลย่ี นแปลงของสนามแม่เหล็ก จะทาใหเ้ กิด
ความต่างศกั ย์ระหว่างปลายขดลวด เรียกว่า อเี อม็ เอฟเหนี่ยวนา ทาใหม้ กี ระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนาเกิดขึ้นใน
ขดลวด กระบวนการนีเ้ รียกวา่ การเหนี่ยวนาแม่เหลก็ ไฟฟา้
4.2 ครูอธิบายให้ความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับการประยุกต์ใช้ประโยชน์จากเรื่องการเหนี่ยวนา
แมเ่ หล็กไฟฟา้
ความรู้เก่ียวกับเร่ืองการเหนี่ยวนาแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถนาไปประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ได้
หลากหลาย ดังน้ี
1) เครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้าในโรงไฟฟ้า เป็นเคร่อื งกาเนดิ ไฟฟ้ากระแสสลบั แบบ 3 เฟส คอื ผลิต
กระแสไฟฟ้าสลบั ทงั้ หมด 3 ชดุ สลับกันไป เพ่อื ทจี่ ะสามารถส่งกระแสไฟฟา้ ไปตามบา้ นเรอื นไดไ้ กลกวา่
กระแสไฟฟา้ ตรง โดยชุดสาธิตเคร่อื งกาเนิดไฟฟ้าแบบนี้ ดังรูป 2.16 ซึ่งประกอบดว้ ยขดลวดตัวนา 3 ขดท่ี
วางทามมุ กัน 120 องศา และมแี ท่งแม่เหลก็ วางอยู่ตรงกลาง ซงึ่ สามารถหมุนในระนาบเดียวกับการวางตวั
ของแกนขดลวด
รูป 2.16 ชุดสาธิตเครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ กระแสสลบั แบบ 3 เฟส
2) เครื่องกาเนดิ ไฟฟ้าในรถจกั รยาน เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ อย่างง่ายท่ไี ดศ้ ึกษามาแลว้ น้ัน พบวา่ จะ
เกิดกระแสไฟฟา้ โดยการหมนุ ขดลวดในแมเ่ หล็ก สาหรับเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้าบางประเภทใช้วธิ ีหมุนแท่ง
แม่เหล็กในขดลวดตวั นา กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนาทเี่ กิดขึน้ ภายในลวดตัวนาสามารถผ่านสายไฟออกไปได้
ทันทีไมต่ ้องมคี อมมวิ เทเตอรว์ งแหวนผา่ ซกี และแปรงสมั ผัสมาประกอบ เช่น เครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ ของ
รถจกั รยาน ดงั รปู 2.17
รูป 2.17 เครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ ในรถจกั รยาน
3) ลาโพง มีหลายแบบ แตล่ าโพงแบบที่ใช้งานกันมากทสี่ ุดคอื แบบไดนามกิ ซง่ึ หลกั การทางานคือ
เมอื่ ให้สญั ญาณไฟฟ้าจากเครือ่ งขยายเสียง เข้าไปในขดลวดขนาดเล็กทว่ี างอย่ใู นสนามแมเ่ หล็กของแทง่
แม่เหล็กถาวร เม่ือลวดตัวนาที่มกี ระแสไฟฟ้าผา่ น วางอยู่ในสนามแม่เหล็กจะเกดิ แรงกระทาตอ่ ขดลวดนน้ั
ทาใหข้ ดลวดตัวนาของลาโพงเคล่อื นทเ่ี ข้าออกด้วยความถี่เดยี วกับความถ่ขี องสัญญาณไฟฟา้ ท่ปี อ้ นและ
เนื่องจากขดลวดยดึ ติดกับแผน่ ไดอะแฟรม เม่อื ขดลวดเคล่อื นท่ี แผน่ ไดอะแฟรมก็จะเคลื่อนท่ไี ปด้วย ดงั นนั้
แผ่นไดอะแฟรมของลาโพงจะล่ันดว้ ยความถเี่ ดยี วกับสญั ญาณไฟฟ้า ทาให้เกิดเสยี งออกมา โดย
สว่ นประกอบของลาโพงดังรูป 2.18
รูป 2.18 สว่ นประกอบของลาโพง
4) ไมโครโฟน มีหลายแบบเช่นเดียวกบั ลาโพง และแบบที่ใชง้ านกนั มากที่สุดคือ แบบไดนามกิ
เชน่ กนั หลกั การทางานคือ เม่ือคล่นื เสยี งตกกระทบไมโครโฟน ไดอะแฟรมสนั่ ดว้ ยความถีข่ องคลืน่ เสียงทา
ใหข้ ดลวดตวั นาท่ีติดกบั ไดอะแฟรมสนั่ ดว้ ยความถี่เดยี วและที่แกนของขดลวดตัวนามแี ท่งเหลก็ อยู่ จึงเกิด
กระแสไฟฟา้ เหนยี่ วนาสง่ ไปยงั เครื่องขยายเสียงดงั รูป 2.19
รปู 2.19 สว่ นประกอบของไมโครโฟน
4.3 ครใู หน้ กั เรียนศกึ ษาเนื้อหา เรอื่ ง แรงอ่อนและแรงเข้ม ในหนังสือเรียน หนา้ 76 – 81
4.4 ครูแจกแบบ Box ลกู เต๋าใหน้ กั เรียน
4.5 นักเรยี นสรปุ องคค์ วามรูท้ ่ีไดล้ งใน Box ลูกเต๋าทคี่ รแู จกให้
4.6 ครูให้นักเรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 2.5 โดยเฉลยคาตอบและอภิปรายคาตอบ
ร่วมกัน
4.7 ครูอธิบายใหค้ วามร้เู พ่มิ เติมเกีย่ วกบั ความกา้ วหน้าทางเทคโนโลยี ตามหนงั สอื เรยี น หน้า 82
ขน้ั ที่ 5 ขัน้ ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรียนส่งใบกจิ กรรม 2.5 อเี อม็ เอฟเหนยี่ วนาและกระแสไฟฟ้าเหน่ยี วนา
5.2 นกั เรยี นสง่ ใบกิจกรรม 2.6 เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ อยา่ งง่าย
5.3 ตรวจความสาเร็จของการตดิ ตัง้ อุปกรณ์การทากจิ กรรม
5.4 นักเรียนสง่ Box ลกู เตา๋ เรื่อง แรงออ่ นและแรงเข้ม
8. ส่ือการเรยี นร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตรก์ ายภาพ) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 2
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ใบกิจกรรม 2.5 อเี อม็ เอฟเหนย่ี วนาและกระแสไฟฟ้าเหน่ยี วนา
8.3 อปุ กรณ์การทากิจกรรม เรอื่ ง อีเอม็ เอฟเหน่ียวนาและกระแสไฟฟ้าเหน่ยี วนา
8.4 ใบกจิ กรรม 2.6 เคร่อื งกาเนิดไฟฟ้าอย่างง่าย
8.5 อุปกรณ์การทากิจกรรม เรอ่ื ง เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้าอยา่ งง่าย
8.6 อินเทอรเ์ น็ต
9. ชนิ้ งาน/ภาระงาน
-
10. การวัดและประเมนิ ผล
10.1 การประเมนิ ระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ตัวช้ีวัด/ผลการเรียนรู้ วธิ ีการวัด เครือ่ งมือวัด เกณฑ์ทีใ่ ชใ้ นการ
ประเมนิ
ด้านความรู้ : 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมิน
1) นักเรียนอธิบายอเี อม็ 2.5 การทากิจกรรม 1) นักเรียนสามารถ
เอฟเหนยี่ วนาจากการท่ี อเี อ็มเอฟเหน่ยี วนา สรุปผลของกิจกรรมได้
สนามแมเ่ หลก็ และกระแสไฟฟ้า ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
เปล่ยี นแปลงตัดผ่านลวด เหนี่ยวนา 2) นกั เรยี นสามารถ
ตวั นาได้ 2) ตรวจใบกิจกรรม สรุปองค์ความรูท้ ่ีได้
จากการศึกษาลงใน
2) นกั เรียนอธิบาย 2.6 เคร่อื งกาเนิด Box ลูกเต๋าไดร้ ะดบั ดี
ผา่ นเกณฑ์
หลกั การทางานของ ไฟฟ้าอย่างง่าย
1) นกั เรียนสามารถ
เครื่องกาเนิดไฟฟ้าได้ 3) ตรวจ Box ลกู เต๋า ติดตงั้ อปุ กรณ์การทา
กิจกรรมไดร้ ะดับดี
3) นักเรยี นอธิบายสมบตั ิ เร่ือง แรงอ่อนและ ผา่ นเกณฑ์
2) นกั เรยี นสามารถ
ของแรงอ่อนและแรงเข้ม แรงเข้ม สรา้ งและประดษิ ฐ์ Box
ลูกเตา๋ ได้ระดบั ดี ผ่าน
ได้ เกณฑ์
4) นักเรยี นอธบิ ายการนา 1) นกั เรยี นทาภาระงาน
ที่ได้รบั มอบหมายได้
ความรจู้ ากแรงอ่อนและ ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
แรงเขม้ ไปใชป้ ระโยชน์ได้
ด้านกระบวนการ: 1) ตรวจความสาเร็จ 1) แบบประเมนิ
1) นักเรยี นสามารถตดิ ต้งั ของการตดิ ต้ัง การทากจิ กรรม
อุปกรณ์การทากิจกรรม อุปกรณ์
อเี อม็ เอฟเหนีย่ วนาและ 2) ตรวจ Box ลกู เต๋า
กระแสไฟฟ้าเหนย่ี วนาได้ เรอื่ ง แรงอ่อนและ
2) นกั เรียนสามารถติดตง้ั แรงเขม้
อปุ กรณก์ ารทากิจกรรม
เครื่องกาเนิดไฟฟ้าอย่างงา่ ย
ได้
3) นกั เรยี นสามารถสรา้ ง
และประดษิ ฐล์ กู เต๋า เรือ่ ง
แรงอ่อนและแรงเขม้ ได้
ด้านเจตคติ: 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมิน
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี 2.5 อีเอ็มเอฟ การทากิจกรรม
ความมุ่งมนั่ ในการทางาน เหนย่ี วนาและ
กระแสไฟฟ้า
เหนีย่ วนา
2) ตรวจใบกิจกรรม
2.6 เครือ่ งกาเนิด
ไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย
3) ตรวจความสาเร็จ
ของการตดิ ตั้ง
อุปกรณ์
4) ตรวจ Box ลกู เตา๋
เรอ่ื ง แรงอ่อนและ
แรงเข้ม
11. กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................
ลงชื่อ ผู้สอน
(นางสาวจิรนันท์ ตอ่ มหลา้ )
12. ข้อคดิ เห็นของหวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ...............................................................
( นายนันท์ กอ้ คา )
หัวหน้ากลุม่ สาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
13. ขอ้ คดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะผู้ชว่ ยผู้อานวยการกล่มุ งานบรหิ ารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ...............................................................
(....................................................)
ผู้ช่วยผู้อานวยการกล่มุ งานบริหารวิชาการ
การอนุมัติการใช้แผนการจดั การเรียนร้จู ากฝ่ายบรหิ าร
ความคิดเหน็ ของรองผู้อานวยการฝา่ ยวิชาการ
....................................................................................................................................................................................
เห็นสมควรอนุมตั ใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน
เหน็ สมควรไม่อนมุ ัตใิ ห้ใชใ้ นการจัดการเรียนการสอน เพราะ....................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชือ่ ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)
รองผ้อู านวยการโรงเรียนฝา่ ยบริหารวิชาการ
การอนมุ ัตจิ ากผูอ้ านวยการโรงเรยี น
อนุมัตใิ หใ้ ชใ้ นการจดั การเรยี นการสอน
ไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ..............................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชือ่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาล)ี
ผอู้ านวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
บันทกึ ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรทู้ ี่ 7
รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 ระดับชนั้ มัธยมศึกษาปีท่ี 5
เรอ่ื ง การเกิดอเี อม็ เอฟ หลกั การทางานของเครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ และแรงเข้มแรงออ่ น เวลา 2 ชั่วโมง
……………………………………………………………….
1. จานวนนกั เรยี นท่สี อน
ระดับชั้น จานวนนักเรียน (คน)
ม.5/1 34
ม.5/2 35
ม.5/3 36
รวม 105
2. บันทึกผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
2.2 ข้อสงั เกต/ข้อคน้ พบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
2.3 ปญั หา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
3. การประเมินผลการสอน
รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ
1. ความเหมาะสมของระยะเวลา
2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา
3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน
4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้
5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน
6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ
หลังเรยี น
สรุปภาพรวม
4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ
2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ
3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ
การวดั ผลประเมนิ ผล
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ
ลงช่อื ............................................ครผู ้สู อน
(นางจิรนนั ท์ ต่อมหลา้ )
ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นเิ ทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ................................................ผู้นเิ ทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)
หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)
รองผู้อานวยการฝ่ายบริหารวิชาการ
ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
ลงช่อื ........................................................
(นางวิลาวลั ย์ ปาลี)
ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)
321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน
สรุปผล
ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ
............../.................../...............
แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้
ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม
ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน
กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้
สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น
มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ
สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน
สมบรู ณ์
เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ
ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า
กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้
ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ
ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่
ถูกต้อง
เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรปุ ผล
ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............
ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย
เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เรื่อง อเี อ็มเอฟเหน่ียวนาและกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนา
ประเดน็ การ คา่ น้าหนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
สรปุ ผลของกจิ กรรมไดถ้ ูกต้องครบถ้วน
ด้านความรู้ 3 สรปุ ผลของกิจกรรมได้คอ่ นข้างถกู ตอ้ ง
(K) 2 สรุปผลของกิจกรรมไม่ถกู ต้อง
1 ติดตง้ั อปุ กรณก์ ารทากจิ กรรมได้ถกู ต้อง
ด้าน 3 ตดิ ต้ังอุปกรณก์ ารทากิจกรรมได้บางสว่ น
กระบวนการ 2 ติดตง้ั อุปกรณ์การทากิจกรรมไมถ่ ูกต้อง
1 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ต้องครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
ด้าน 2 ทาภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ข้อผดิ พลาดบางสว่ น
คณุ ลกั ษณะ 1
(A)
ระดบั คะแนน
คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เรือ่ ง หลกั การทางานของเครื่องกาเนิดไฟฟา้
ประเดน็ การ คา่ นา้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
สรุปผลของกิจกรรมได้ถกู ต้องครบถ้วน
ด้านความรู้ 3 สรุปผลของกิจกรรมไดค้ อ่ นข้างถูกตอ้ ง
(K) 2 สรุปผลของกิจกรรมไมถ่ กู ต้อง
1 ตดิ ตงั้ อุปกรณก์ ารทากจิ กรรมได้ถกู ตอ้ ง
ด้าน 3 ติดตั้งอุปกรณ์การทากิจกรรมได้บางส่วน
กระบวนการ 2 ติดตง้ั อปุ กรณก์ ารทากิจกรรมไมถ่ กู ต้อง
1 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด และเรียบร้อยถกู ตอ้ งครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด แตง่ านยังผิดพลาดบางสว่ น
ดา้ น 2 ทาภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกดิ ข้อผิดพลาดบางส่วน
คุณลักษณะ 1
(A)
ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่ือง แรงออ่ นและแรงเข้ม
ประเดน็ การ คา่ น้าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
สรุปองค์ความรู้ได้ถูกต้องครบถ้วน
ดา้ นความรู้ 3 สรปุ องค์ความรู้ได้ค่อนข้างถูกตอ้ งครบถ้วน
(K) 2 สรปุ องคค์ วามรูไ้ ด้ แต่ไม่ถกู ตอ้ งครบถ้วน
1 สร้างและประดิษฐ์ Box ลูกเตา๋ ได้ถูกตอ้ ง และสวยงาม
ดา้ น 3 สร้างและประดษิ ฐ์ Box ลูกเตา๋ ไดค้ อ่ นขา้ งถกู ตอ้ ง และสวยงาม
กระบวนการ 2 สร้างและประดษิ ฐ์ Box ลกู เต๋า ได้ค่อนข้างถกู ตอ้ ง แต่ไม่สวยงาม
1 ทาภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด และเรยี บร้อยถูกต้องครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางสว่ น
ด้าน 2 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดขอ้ ผิดพลาดบางสว่ น
คณุ ลักษณะ 1
(A)
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดีมาก
2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
คะแนน
ใบกิจกรรม 2.5 อีเอ็มเอฟเหนีย่ วนาและกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนา
1. รายช่ือสมาชกิ กลุ่มท่ี …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
สงั เกตการเบนของเขม็ แกลแวนอมเิ ตอรเ์ พ่อื อธิบายการเกิดกระแสไฟฟา้ เหน่ียวนาในลวดตวั นา
3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 1 ขด 3) แท่งแม่เหลก็ 1 แทง่
1) ขดลวดทองแดงอาบนา้ ยา 1 เครอื่ ง 4) สายไฟ 2 เส้น
2) แกลแวนอมเิ ตอร์
4. วิธีทากจิ กรรม
1) นาขดลวดทองแดงอาบนา้ ยามาตอ่ กบั แคลแวนอมเิ ตอร์
2) นาแทง่ แม่เหลก็ ไปวางนง่ิ ในขดลวด สังเกตการเบนของเขม็ แกลแวนอมิเตอร์
3) เคลอ่ื นแหง่ แม่เหลก็ โดยขดลวดทองแดงอยู่นง่ิ ดังรูป
4) สงั เกตการเบนของเขม็ แกลแวนอมเิ ตอร์ ขณะแท่งแมเ่ หล็กเคลื่อนเขา้ หาและออกจากขดลวดทองแดง
5) เปลย่ี นให้ขดลวดทองแดงเคลือ่ นท่ีแตแ่ ท่งแม่เหล็กหยดุ น่ิง ดงั รูป
5. ผลการทากิจกรรม
เม่ือเคลือ่ นแทง่ แม่เหล็กเข้าหาหรอื ออกจากขดลวดทองแดง จะพบวา่ เข็มของแกลแวนอมิเตอรเ์ บนไปจากตาแหนง่ เดิม
และเม่ือใหแ้ ทง่ แมเ่ หล็กอยนู่ ่ิง แตเ่ คลอื่ นขดลวดทองแดงเขา้ หาหรอื ออกจากแทง่ แม่เหลก็ เข็มของแกลแวนอมเิ ตอรจ์ ะ
เบนไปมาจากตาแหนง่ เดิมเชน่ กันในขณะท่จี กุ ยางเคลื่อนท่เี ป็นวงก ลม เมอ่ื ความเร็วในก าร
เบนไปมาจากตาแหนง่ เดมิ เชน่ กนั ในขณะทจ่ี ุกยางเคลอ่ื นทเี่ ป็นวงก ลม เม่อื ความเรว็ ในก า
รเบนไปมาจากตาแหนง่ เดิมเชน่ กันในขณะทจ่ี ุกยางเคล่อื นท่ีเป็นวงก ลม เมอื่ ความเร็วในก า
รเบนไปมาจากตาแหน่งเดมิ เชน่ กันในขณะทจ่ี กุ ยางเคลอื่ นที่เป็นวงก ลม เมอ่ื ความเรว็ ในก าร
6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม
1) ขณะแทง่ แม่เหลก็ วางนิ่งในขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมเิ ตอร์เปลย่ี นแปลงอยา่ งไร มี
ตอบ เข็มแกลแวนอมิเตอร์ไมเ่ บน
2) ขณะแท่งแม่เหลก็ เคลือ่ นทีเ่ ขา้ หาและออกจากขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมเิ ตอรเ์ ปลย่ี นแปลงอย่างไร
ตอบ เข็มแกลแวนอมเิ ตอรเ์ บน โดยเมื่อเคลื่อนแท่งแม่เหลก็ ออก ทิศการเบนของเข็มแกลแวนอมิเตอรจ์ ะตรงข้าม
กับเมือ่ เคลือ่ นแทง่ แมเ่ หล็กเข้า f
3) เมื่อเปลีย่ นใหข้ ดลวดทองแดงเคลอ่ื นท่เี ข้าหาและออกจากแท่งแมเ่ หล็กเข็มแกลแวนอมิเตอรเ์ ปล่ยี นแปลงอย่างไร
ตอบ เขม็ แกลแวนอมิเตอร์เบน โดยเมอ่ื เคลอ่ื นขดลวดออกทิศการเบนของเขม็ แกลแวนอมเิ ตอรจ์ ะตรงข้ามกับเมือ่
เคลอ่ื นขดลวดเข้า ด
7. สรุปผลการทากิจกรรม
จากการทากิจกรรม พบว่า เม่ือแท่งแม่เหล็กวางนิ่งในขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมิเตอรไ์ มเ่ บนแสดงว่าไม่
เกดิ กระแสไฟฟ้าในขดลวดทองแดง แต่เมื่อเคลื่อนแท่งแม่เหล็กเขา้ หาหรือออกจากขดลวดทองแดงจะพบวา่ เขม็ ของแกล
แวนอมิเตอร์เบนไปจากตาแหน่งเดิม แสดงวา่ เกิดกระแสไฟฟ้าในขดลวดทองแดง ในทางกลับกัน เมื่อให้แท่งแม่เหล็กอยู่
น่ิง แต่เคล่ือนที่ขดลวดทองแดงเข้าหาหรือออกจากแท่งแม่เหล็กเข็มของแกลแวนอมิเตอร์จะเบนไปมาตาแหน่งเช่นกัน
แสดงว่าเกดิ กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดทองแดงในกรณีน้ีดว้ ย อ
B
เฉลยใบกจิ กรรม 2.5 อเี อ็มเอฟเหนีย่ วนาและกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา
1. รายชอ่ื สมาชกิ กล่มุ ที่ …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
สงั เกตการเบนของเขม็ แกลแวนอมิเตอร์เพ่อื อธบิ ายการเกดิ กระแสไฟฟา้ เหน่ียวนาในลวดตวั นา
3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 1 ขด 3) แท่งแมเ่ หลก็ 1 แท่ง
1) ขดลวดทองแดงอาบนา้ ยา 1 เครือ่ ง 4) สายไฟ 2 เส้น
2) แกลแวนอมเิ ตอร์
4. วิธีทากิจกรรม
1) นาขดลวดทองแดงอาบนา้ ยามาต่อกับแคลแวนอมิเตอร์
2) นาแท่งแม่เหลก็ ไปวางนิง่ ในขดลวด สังเกตการเบนของเข็มแกลแวนอมิเตอร์
3) เคลอ่ื นแห่งแม่เหล็กโดยขดลวดทองแดงอย่นู ิ่ง ดงั รูป
4) สังเกตการเบนของเขม็ แกลแวนอมเิ ตอร์ ขณะแทง่ แม่เหล็กเคลอื่ นเข้าหาและออกจากขดลวดทองแดง
5) เปลีย่ นให้ขดลวดทองแดงเคลอ่ื นที่แตแ่ ท่งแม่เหล็กหยดุ นง่ิ ดังรปู
5. ผลการทากจิ กรรม
เมอ่ื เคลอื่ นแทง่ แมเ่ หลก็ เข้าหาหรอื ออกจากขดลวดทองแดง จะพบวา่ เข็มของแกลแวนอมิเตอร์เบนไปจากตาแหนง่ เดิม
และเมือ่ ใหแ้ ท่งแม่เหลก็ อยนู่ งิ่ แต่เคลอ่ื นขดลวดทองแดงเข้าหาหรอื ออกจากแทง่ แม่เหล็ก เข็มของแกลแวนอมเิ ตอรจ์ ะ
เบนไปมาจากตาแหนง่ เดมิ เชน่ กันในขณะที่จุกยางเคล่ือนทเี่ ปน็ วงก ลม เมือ่ ความเร็วในก าร
เบนไปมาจากตาแหน่งเดมิ เช่นกันในขณะท่ีจกุ ยางเคลือ่ นทเ่ี ปน็ วงก ลม เมือ่ ความเร็วในก า
รเบนไปมาจากตาแหน่งเดมิ เช่นกนั ในขณะทีจ่ กุ ยางเคลื่อนทเ่ี ป็นวงก ลม เมื่อความเรว็ ในก า
6. คาถามทา้ ยกิจกรรม
1) ขณะแทง่ แม่เหล็กวางน่ิงในขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมเิ ตอรเ์ ปลีย่ นแปลงอย่างไร
ตอบ เข็มแกลแวนอมิเตอรไ์ มเ่ บน มี
2) ขณะแทง่ แมเ่ หล็กเคลื่อนทเ่ี ข้าหาและออกจากขดลวดทองแดง เขม็ แกลแวนอมเิ ตอรเ์ ปลยี่ นแปลงอยา่ งไร
ตอบ เขม็ แกลแวนอมิเตอรเ์ บน โดยเม่อื เคลือ่ นแท่งแมเ่ หลก็ ออก ทิศการเบนของเข็มแกลแวนอมิเตอรจ์ ะตรงข้าม
กบั เมอ่ื เคล่ือนแท่งแมเ่ หล็กเข้า f
3) เม่ือเปลย่ี นใหข้ ดลวดทองแดงเคล่ือนทเี่ ข้าหาและออกจากแทง่ แม่เหลก็ เขม็ แกลแวนอมิเตอรเ์ ปล่ยี นแปลงอย่างไร
ตอบ เขม็ แกลแวนอมิเตอรเ์ บน โดยเม่ือเคล่ือนขดลวดออกทศิ การเบนของเข็มแกลแวนอมเิ ตอร์จะตรงข้ามกบั เมือ่
เคล่อื นขดลวดเข้า ด
7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม
จากการทากจิ กรรม พบว่า เมื่อแทง่ แม่เหล็กวางน่ิงในขดลวดทองแดง เข็มแกลแวนอมิเตอร์ไมเ่ บนแสดงว่าไม่
เกดิ กระแสไฟฟ้าในขดลวดทองแดง แต่เมื่อเคล่ือนแท่งแมเ่ หล็กเข้าหาหรือออกจากขดลวดทองแดงจะพบว่าเข็มของแกล
แวนอมิเตอรเ์ บนไปจากตาแหน่งเดิม แสดงวา่ เกิดกระแสไฟฟ้าในขดลวดทองแดง ในทางกลับกัน เม่ือให้แทง่ แม่เหล็กอยู่
นิ่ง แต่เคล่ือนที่ขดลวดทองแดงเข้าหาหรือออกจากแท่งแม่เหล็กเข็มของแกลแวนอมิเตอร์จะเบนไปมาตาแหน่งเช่นกัน
แสดงวา่ เกดิ กระแสไฟฟ้าผา่ นขดลวดทองแดงในกรณีนีด้ ว้ ย อ
B
b
ใบกิจกรรม 2.6 เครอ่ื งกาเนิดไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย
1. รายช่อื สมาชิกกล่มุ ที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
อธิบายหลักการทางานของเครอื่ งกาเนิดไฟฟ้าอย่างงา่ ย
3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 เคร่อื ง 4) หลอดไฟพร้อมฐาน 1 ชุด
1) ชุดเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้า 1 เครอ่ื ง 5) สายไฟ 5 เส้น
2) แอมมเิ ตอร์ 1 เครอื่ ง
3) โวลตม์ เิ ตอร์
4. วธิ ที ากิจกรรม
1) ตอ่ หลอดไฟและแอมมิเตอรก์ บั ชดุ เครื่องกาเนดิ ไฟฟา้ แบบอนกุ รม และต่อโวลตม์ ิเตอรก์ ับชดุ เคร่อื งกาเนิดไฟฟ้าแบบ
ขนาน ดังรูป
2) หมุนแกนเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้าในทิศทางหนงึ่ ด้วยอตั ราเรว็ ตา่ งๆ กนั สังเกตความสว่างของหลอดไฟและการเบนของเขม็ ของ
แอมมเิ ตอร์และโวลต์มเิ ตอร์
3) ทาซา้ ในขอ้ 2) โดยหมนุ แกนเครือ่ งกาเนดิ ไฟฟ้าในทิศทางตรงกนั ขา้ ม
5. ผลการทากจิ กรรม
เม่ือหมุน แกน เครื่องกาเนิดไฟ ฟ้าที่ต่อเข้ากับ หลอดไฟ แอมมิเตอร์และ โวลต์มิเตอร์จะพ บว่า หลอดไฟ สว่าง
เข็มแอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์เบน และเมื่อหมนุ แกนเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าดว้ ยอัตราเร็วท่ีมากข้ึน หลอดไฟจะสวา่ ง
มากขึ้น เข็มแอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์จะเบนมากขึ้น และเม่ือกลบั ทิศการหมุนแกนเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้า หลอดไฟ
สว่างเขม็ แอมมิเตอรแ์ ละโวลต์มเิ ตอร์เบนในทศิ ตรงข้ามในขณะท่ีจกุ ยางเคลอ่ื นทีเ่ ปน็ วงก ในก
เบนไปมาจากตาแหน่งเดมิ เช่นกันในขณะทจี่ กุ ยางเคล่อื นที่เปน็ วงก ลม เมื่อความเร็วในก า
รเบนไปมาจากตาแหนง่ เดมิ เช่นกันในขณะท่ีจกุ ยางเคล่อื นทเ่ี ปน็ วงก ลม เมอ่ื ความเรว็ ในก า
6. คาถามท้ายกจิ กรรม
1) ความเร็วในการหมุนแกนเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้า มคี วามสมั พันธก์ บั ความสวา่ งของหลอดไฟและการเบนของเขม็ ของ
แอมมเิ ตอรแ์ ละโวลตม์ ิเตอรอ์ ยา่ งไร
ตอบ เมือ่ หมุนแกนเคร่อื งกาเนิดไฟฟา้ เร็วขึ้น หลอดไฟจะสวา่ งมากขน้ึ และเขม็ ของแกลแวนอมเิ ตอร์จะเบนมากขึน้
มี fด
2) เม่ือหมนุ แกนเครอื่ งกาเนิดไฟฟา้ ในทศิ ทางตรงขา้ ม ผลท่ไี ดม้ ีความแตกต่างกับครั้งแรกอยา่ งไร f
ตอบ หลอดไฟจะสว่าง แต่เขม็ ของแอมมเิ ตอร์และโวลตม์ ิเตอร์จะเบนในทศิ ตรงข้าม
3) เหตุใดเมือ่ หมนุ แกนเคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ จึงทาให้เกิดกระแสไฟฟ้าได้
ตอบ เม่ือหมุนแกนเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าซ่ึงประกอบด้วยขดลวดวางตัวในสนามแม่เหล็ก ขดลวดหมุนตัดกับ
สนามแมเ่ หล็ก ทาให้เกิดอีเอ็มเอฟเหน่ียวนา และกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนา อ
มี fด
7. สรุปผลการทากิจกรรม
จากการทากิจกรรม พบว่า การท่ีหลอดไฟสว่างเข็มของแอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์เบน เนื่องจากเกิด
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา และอีเอ็มเอฟเหนี่ยวนาขึ้นในวงจร และกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา ท่ีเกิดข้ึนเป็นผลจากอีเอ็มเอฟ
เหนย่ี วนาในขดลวด อ
B
b
เฉลยใบกิจกรรม 2.6 เคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ อยา่ งงา่ ย
1. รายช่อื สมาชกิ กลมุ่ ท่ี …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
อธิบายหลักการทางานของเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้าอย่างงา่ ย
3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 เคร่อื ง 4) หลอดไฟพร้อมฐาน 1 ชดุ
1) ชุดเครอื่ งกาเนิดไฟฟา้ 1 เครื่อง 5) สายไฟ 5 เส้น
2) แอมมเิ ตอร์ 1 เครื่อง
3) โวลตม์ ิเตอร์
4. วิธีทากจิ กรรม
1) ตอ่ หลอดไฟและแอมมเิ ตอร์กบั ชุดเคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ แบบอนุกรม และตอ่ โวลต์มิเตอร์กบั ชุดเคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ แบบ
ขนาน ดงั รูป
2) หมุนแกนเครื่องกาเนิดไฟฟ้าในทิศทางหน่งึ ด้วยอัตราเร็วตา่ งๆ กนั สงั เกตความสวา่ งของหลอดไฟและการเบนของเข็มของ
แอมมเิ ตอรแ์ ละโวลตม์ เิ ตอร์
3) ทาซา้ ในขอ้ 2) โดยหมุนแกนเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟา้ ในทศิ ทางตรงกนั ข้าม
5. ผลการทากจิ กรรม
เม่ือหมุน แกน เครื่องกาเนิดไฟ ฟ้าที่ต่อเข้ากับ หลอดไฟ แอมมิเตอร์และ โวลต์มิเตอร์จะพ บว่า หลอดไฟ สว่าง
เข็มแอมมิเตอร์และโวลต์มเิ ตอร์เบน และเม่ือหมนุ แกนเครื่องกาเนดิ ไฟฟ้าดว้ ยอัตราเร็วท่ีมากข้ึน หลอดไฟจะสวา่ ง
มากข้ึน เข็มแอมมิเตอรแ์ ละโวลต์มิเตอร์จะเบนมากขึ้น และเม่ือกลบั ทิศการหมุนแกนเครื่องกาเนิดไฟฟ้า หลอดไฟ
สว่างเข็มแอมมเิ ตอร์และโวลตม์ ิเตอร์เบนในทศิ ตรงข้ามในขณะที่จุก ยางเคล่อื นที่เปน็ วงก ในก
เบนไปมาจากตาแหนง่ เดิมเช่นกนั ในขณะท่จี กุ ยางเคลื่อนท่ีเปน็ วงก ลม เม่อื ความเร็วในก า
6. คาถามท้ายกิจกรรม
1) ความเรว็ ในการหมุนแกนเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟ้า มคี วามสัมพันธ์กับความสว่างของหลอดไฟและการเบนของเขม็ ของ
แอมมเิ ตอรแ์ ละโวลต์มเิ ตอร์อยา่ งไร
ตอบ เมือ่ หมุนแกนเคร่ืองกาเนดิ ไฟฟา้ เร็วขึ้น หลอดไฟจะสวา่ งมากข้ึน และเข็มของแอมมเิ ตอร์และโวลตม์ ิเตอรจ์ ะ
เบนมากข้นึ มี
2) เมือ่ หมนุ แกนเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟา้ ในทศิ ทางตรงข้าม ผลที่ไดม้ ีความแตกต่างกบั ครัง้ แรกอย่างไร f
ตอบ หลอดไฟจะสวา่ ง แตเ่ ข็มของแอมมเิ ตอร์และโวลต์มเิ ตอร์จะเบนในทศิ ตรงขา้ ม
3) เหตุใดเมื่อหมนุ แกนเครอื่ งกาเนิดไฟฟา้ จึงทาใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้าได้
ตอบ เมื่อหมุนแกนเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าซ่ึงประกอบด้วยขดลวดวางตัวในสนามแม่เหล็ก ขดลวดหมุนตัดกับ
สนามแม่เหล็ก ทาใหเ้ กดิ อเี อม็ เอฟเหนีย่ วนา และกระแสไฟฟา้ เหนี่ยวนา อ
มี fด
7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม
จากการทากิจกรรม พบว่า การท่ีหลอดไฟสว่างเข็มของแอมมิเตอร์และโวลต์มิเตอร์เบน เน่ืองจากเกิด
กระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา และอีเอ็มเอฟเหน่ียวนาข้ึนในวงจร และกระแสไฟฟ้าเหนี่ยวนา ท่ีเกิดข้ึนเป็นผลจากอีเอ็มเอฟ
เหน่ยี วนาในขดลวด อ
B
b
]
แผนการจดั การเรียนรูท้ ี่ 8
รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดบั ชั้นมธั ยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรียนท่ี 2 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต
หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 3 พลงั งาน เวลา 4 ช่วั โมง
เร่ือง เซลลส์ รุ ยิ ะ เวลา 2 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชี้วัด
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร
และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และคล่ืน
แม่เหล็กไฟฟ้ารวมท้ังนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 2.3 ม.5/2 สืบค้นข้อมลู และอธิบายการเปล่ยี นพลงั งานทดแทนเปน็ พลังงานไฟฟ้า รวมทั้งสบื คน้ และ
อภปิ รายเกย่ี วกบั เทคโนโลยีที่นามาแกป้ ัญหาหรือตอบสนองความตอ้ งการทางด้านพลังงานโดยเน้นด้านประสทิ ธภิ าพ
และความคุ้มค่าดา้ นค่าใชจ้ ่าย
2. สาระสาคญั
เซลล์สรุ ิยะ (solar cell)คือ อุปกรณ์ที่เปลยี่ นพลังงานแสงเป็นพลังงานไฟฟ้า เซลล์สุริยะท่ใี ช้ทั่วไปทาจาก
สารก่ึงตัวนา เมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบเซลล์สุริยะ จะทาให้เกิดความต่างศักย์ระหว่างวัสดุทั้งสอง และเม่ือต่อ
วงจรไฟฟ้าจะทาให้เกดิ กระแสไฟฟ้าในวงจร ทา ใหอ้ ุปกรณ์ไฟฟ้าสามารถทางานได้โดยประสทิ ธิภาพของเซลล์สรุ ยิ ะ
(solar cell efficiency)หมายถงึ อัตราส่วนระหว่างพลงั งานไฟฟา้ ทไี่ ด้จากเซลล์สรุ ยิ ะกบั พลังงานแสงอาทติ ย์ทั้งหมด
ท่ตี กกระทบเซลลส์ รุ ิยะ ซ่งึ โดยสว่ นใหญจ่ ะระบุเป็นเปอรเ์ ซน็ ต์
3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรียนอธิบายการเปล่ียนพลงั งานแสงอาทิตย์เป็นพลังงานไฟฟา้ ของเซลล์สรุ ิยะได้
2) นกั เรยี นบอกแนวทางการนาเซลล์สรุ ิยะมาใช้งานในชวี ิตประจาวนั ได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสามารถจดั กระทาและสอ่ื ความหมายของข้อมูลท่ีศึกษาคน้ ควา้ ได้
3.3 ด้านคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มีความมุง่ มน่ั ในการทางาน
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
เซลลส์ ุริยะ (solar call)
พลังงานแสงอาทติ ยเ์ ป็นแหลง่ พลงั งานทีส่ าคญั กับสิ่งมชี ีวติ บนโลก พลงั งานแสงอาทติ ยท์ ่ตี กลงบน
พนื้ โลกเฉลี่ยทุก 1 ตารางเมตร สามารถทาใหห้ ลอดไฟฟ้าขนาด60 วตั ต์จานวน 20 หลอด สวา่ งพร้อมกัน
ได้การนาพลังงานจากแสงอาทติ ย์มาเปลย่ี นเป็นพลงั งานไฟฟ้าเพ่ือการนามาใช้ประโยชนส์ ว่ นใหญ่ใช้
อุปกรณท์ ี่มชี ื่อเรียกทว่ั ไปว่าเซลลส์ รุ ิยะ หรือ เซลลแ์ สงอาทิตย์ (solar cell)หรอื ในทางวิทยาศาสตรม์ ี
ช่อื เรียกว่า เซลลโ์ ฟโตโวลตาอิก (photovoltaic cell หรือ PV cell)ซึ่งในอดตี เซลล์สรุ ยิ ะมรี าคาแพง
และมีประสิทธิภาพในการเปลย่ี นพลงั งานแสงอาทิตยเ์ ปน็ พลงั งานไฟฟ้าเพยี งประมาณ 4% จึงได้มีการ
นาไปใช้เฉพาะในงานคน้ คว้าวจิ ัยทางวทิ ยาศาสตร์ หรอื การสารวจทางอวกาศเท่านัน้
ประสิทธิภาพของเซลล์สรุ ยิ ะ (solar cell efficiency) หมายถึงอตั ราส่วนระหวา่ งพลงั งานไฟฟ้า
ที่ได้จากเซลล์สุรยิ ะกบั พลังงานแสงอาทติ ย์ทง้ั หมดทีต่ กกระทบเซลล์สรุ ยิ ะซึ่งโดยส่วนใหญ่จะระบุเปน็
เปอร์เซ็นต์ เขยี นเป็นความสมั พนั ธ์ทางคณิตศาสตร์ไดว้ ่า
ประสิทธิภาพของเซลล์สรุ ยิ ะ = พลงั งานไฟฟา้ ที่ไดจ้ ากเซลลส์ ุริยะ 100
พลังงานแสงอาทิตย์ท้งั หมดที่ตกกระทบเซลล์สุรยิ ะ
เมือ่ การพัฒนาทางด้านวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กา้ วหนา้ มากขึ้น เซลลส์ รุ ิยะได้มีราคาต่าลง
และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นเรือ่ ย ๆ จนกระท่ังในปจั จุบัน เชลล์สุริยะที่มีขายทัว่ ไปมปี ระสิทธิภาพประมาณ
13%- 20%
เซลล์สรุ ิยะมีหลายชนิด แต่ละชนดิ มีประสทิ ธิภาพและราคาแตกต่างกนั เซลล์สรุ ิยะทใี่ ชท้ ัว่ ไป
ทาจากสารกึง่ ตัวนา (semiconductor)เมอ่ื แสงอาทติ ย์ตกกระทบเซลลส์ ุริยะ พลังงานแสงอาทติ ย์จะทา
ให้เกดิ ความต่างศกั ย์ และเม่อื ตอ่ เซลลส์ รุ ิยะเขา้ กับสายไฟและเครือ่ งใช้ไฟฟ้า จะทาใหม้ กี ระแสไฟฟา้
เคลือ่ นที่ในวงจร ทาให้มีการถ่ายโอนพลงั งานไฟฟ้าให้กบั เครอื่ งใชไ้ ฟฟา้ ช่วยให้เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าทางานได้
ดงั รูป 3.3
รปู 3.3 แผนภาพแสดงการทางานของเชลล์สุรยิ ะ
การนาเซลลส์ รุ ยิ ะมาใชง้ านในชีวติ ประจาวันในการนาเซลลส์ รุ ยิ ะมาใช้งานในชีวติ ประจาวัน
เน่อื งจากกาลังไฟฟ้าจากเซลลส์ ุรยิ ะเซลล์เดียวไมเ่ พียงพอกบั การนาไปใช้งาน จงึ ตอ้ งมกี ารนาเซลลส์ ุริยะ
หลายเชลล์มาตอ่ กนั เรยี กวา่ มอดูลเซลลส์ ุรยิ ะ (solar module หรอื PV module)และถา้ ต้องการ
กาลังไฟฟ้าที่สงู ขน้ึ อกี จะตอ้ งนามอดูลเซลล์สรุ ยิ ะหลายมอดูลมาต่อกนั เรยี กวา่ แผงเซลลส์ ุริยะ (solar
panel หรือ PV panel)ดงั แสดงในรปู 3.4
รปู 3.4 เชลล์สุรยิ ะ มอดูลเซลลส์ รุ ยิ ะและ แผงเซลล์สรุ ยิ ะ
ไฟฟ้าท่ีได้จากเซลล์สรุ ิยะเป็นไฟฟ้ากระแสตรง(direct current หรือ DC)เชน่ เดยี วกัน
กระแสไฟฟา้ ท่ไี ดจ้ ากแบตเตอรี่ ดงั นัน้ ถ้าจะนากระแสไฟฟ้าจากเซลล์สรุ ิยะมาใชก้ บั เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ภายใน
บา้ น ซง่ึ สว่ นใหญ่ใช้กบั ไฟฟ้ากระแสสลับ (alternating current หรือAC)จาเป็นต้องมกี ารแปลง
กระแสไฟฟ้าจากกระแสตรงเป็นกระแสสลับเสียก่อน จึงจะสามารถทาให้เครือ่ งใช้ไฟฟ้าทางานได้ โดย
อุปกรณ์ทท่ี าหนา้ ที่แปลงกระแสไฟฟา้ ดงั กลา่ ว คือ เครื่องแปลงกระแสไฟฟา้ หรือ
อินเวอรเ์ ตอร(์ inverter)ดงั แสดงตัวอยา่ งในรูป 3.5
รูป3.5 เครือ่ งแปลงกระแสไฟฟา้ หรือ อินเวอรเ์ ตอร์
เน่ืองจากเซลลส์ ุรยิ ะสามารถใหพ้ ลังงานไฟฟา้ ไดเ้ ฉพาะในชว่ งเวลาทมี่ แี สงแดดสาหรับในชว่ งเวลาท่ี
ท้องฟ้ามดื ครึม้ หรอื ในเวลากลางคืน เซลล์สุรยิ ะจะให้พลังงานไฟฟา้ ไดน้ ้อย หรือไม่มกี ารให้พลงั งานไฟฟ้า
ออกมาเลย การนาพลังงานไฟฟ้าทไี่ ดจ้ ากเซลลส์ ุริยะมาใชใ้ นเวลาดังกลา่ ว จึงต้องมีอุปกรณ์ที่สามารกกั
เก็บพลงั งานไฟฟ้าทผ่ี ลิตได้มากในชว่ งเวลาท่มี ีแสงแดด สาหรบั นาไปใช้ในชว่ งเวลากลางคนื หรอื ชว่ งท่มี ี
แสงแดดนอ้ ย อุปกรณท์ ่ีทาหนา้ ทดี่ ังกลา่ วคอื แบตเตอร่ี (battery)ดังรูป 3.6 ก.
รูป 3.6 ก. แบตเตอร่แี บบตะก่วั -กรด เปน็ แบตเตอรี่ชนิดท่ีนยิ มใชก้ ับเชลลส์ รุ ยิ ะมากท่สี ุด
ข. เคร่อื งควบคุมการประจุ
การนาพลังงานจากเซลลส์ รุ ิยะไปเก็บไวใ้ นแบตเตอรี่จาเป็นตอ้ งมอี ุปกรณ์ทสี่ ามารถควบคมุ
กระแสไฟฟ้าที่ไดจ้ ากเซลล์สุรยิ ะใหม้ ีความสม่าเสมอ เพอื่ ไมใ่ ห้เกดิ ความเสยี หายกับแบตเตอร่ี อปุ กรณ์
ดังกล่าวเรยี กว่า เครือ่ งควบคมุ การประจุ(charge controller)ดังรปู 3.6 ข.ตัวอย่างการตอ่ แผงเซลล์
สุรยิ ะกับอปุ กรณเ์ สรมิ ต่าง ๆ ดังรปู 3.7
รปู 3.7 แผนภาพแสดงการต่อแผงเซลล์สุรยิ ะกับเครอ่ื งควบคมุ การประจุ เครอื่ งแปลงกระแสไฟฟา้
แบตเตอรี่ และเครอื่ งใชไ้ ฟฟา้
4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟัง พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แกป้ ญั หาและอปุ สรรคต่างๆ ท่ีเผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื ค้นผา่ นคอมพวิ เตอร์)
4.3 คณุ ลกั ษณะและค่านยิ ม
ใฝ่เรยี นรูแ้ ละเปน็ ผมู้ คี วามมุ่งม่ันในการทางาน
5. คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของผ้เู รียน ซ่ือสัตย์สจุ รติ มุ่งมนั่ ในการทางาน มีวินัย
รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง มจี ิตสาธารณะ
รักความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้
6. สมรรถนะสาคญั ของผู้เรยี น
ความสามารถในการคิด: นักเรยี นสามารถอธิบายเร่อื งเซลล์สรุ ิยะได้
7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ขั้นท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครูนาภาพ เคร่อื งบนิ Solar Impulse 2 มาให้นักเรียนศึกษา แลว้ ต้งั คาถามใหน้ ักเรยี น
อภปิ รายร่วมกัน ดงั น้ี
1) เซลล์สุริยะมีหลกั การทางานอยา่ งไร
2) เซลล์สรุ ิยะเปลย่ี นพลังงานแสงอาทิตยเ์ ปน็ พลงั งานไฟฟ้าไดอ้ ย่างไร
(โดยครใู ห้นักเรียนแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระและไม่คาดหวังคาตอบทถี่ ูกตอ้ ง)
ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นหา
2.1 นกั เรียนแบ่งกลมุ่ ๆ ละ 5-6 คนโดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นักเรียนแตล่ ะกลมุ่ ศึกษาคน้ ควา้ และทาความเข้าใจการทางานของเซลล์สรุ ยิ ะในหนังสอื เรียน
และอินเทอรเ์ นต็
2.3 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ สรุปสิ่งท่ศี ึกษาได้ลงในกระดาษท่ีครูแจกให้
2.4 นกั เรยี นแต่ละกลุ่มช่วยกนั สรปุ ความรทู้ ไี่ ดใ้ นการศกึ ษาลงในกระดาษ A4 ทคี่ รูแจกให้
2.5 นักเรยี นตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 3.1 ในหนงั สือเรยี น ลงในสมดุ นกั เรียน
ขั้นท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครสู ุ่มนกั เรยี น 1 กลุ่ม ออกมานาเสนอผลการสืบค้นของกลุม่ ตนเองหน้าชน้ั เรียน
3.2 ครนู านักเรียนอภิปรายเพอื่ นาไปส่กู ารสรุปโดยใชค้ าถาม ดงั น้ี
1) เซลล์สุริยะมีหลักการทางานอย่างไร (แนวการตอบ เซลล์สุริยะเป็นอปุ กรณ์ทีเ่ ปลี่ยน
พลงั งานแสงอาทิตยเ์ ป็นพลงั งานไฟฟ้า โดยการใชว้ ัสดทุ ี่ทาจากสารก่งึ ตัวนา เม่อื เซลล์สรุ ยิ ะได้รบั แสง
จะทาใหเ้ กิดกระแสไฟฟ้า)
2) เซลล์สรุ ิยะเปลยี่ นพลังงานแสงอาทิตยเ์ ป็นพลงั งานไฟฟา้ ได้อยา่ งไร (แนวการตอบ
เซลล์สุริยะประกอบดว้ ยวัสดสุ องชน้ิ ที่ทาจากสารก่ึงตวั นา เมือ่ แสงอาทิตย์ตกกระทบเซลลส์ รุ ยิ ะ พลังงาน
แสงอาทิตยจ์ ะทาใหเ้ กิดความต่างศักย์ระหวา่ งวัสดทุ งั้ สอง และเมือ่ ตอ่ เซลล์สุริยะเข้ากบั สายไฟและ
เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าจะทาให้มีกระแสไฟฟา้ และการถา่ ยโอนพลงั งานไฟฟา้ ชว่ ยให้เครอื่ งใชไ้ ฟฟ้าช้ินน้นั ทางาน)
3) ถา้ ต้องการหาประสิทธิภาพของเซลล์สุริยะหาไดอ้ ย่างไร (แนวการตอบ หาได้จาก
อตั ราสว่ นระหวา่ งพลงั งานไฟฟ้าทีไ่ ด้จากเซลล์สรุ ยิ ะกบั พลังงานแสงอาทิตยท์ ง้ั หมดท่ตี กกระทบเซลล์สรุ ยิ ะ
ซ่ึงสว่ นใหญจ่ ะระบเุ ปน็ เปอร์เซน็ ต์)
4) การนาเซลล์สรุ ยิ ะมาใช้กบั เคร่ืองใช้ไฟฟา้ ทีใ่ ช้ในบ้านเรือนท่วั ไป ต้องใชอ้ ปุ กรณ์เสริม
อะไร ให้ระบุมา 2 ชน้ิ (แนวการตอบ อินเวอเตอร์สาหรบั แปลงกระแสไฟฟ้าจากไฟฟา้ กระแสงตรงเป็น
ไฟฟา้ กระแสสลบั และแบตเตอร่ีเพ่อื ใชก้ กั เก็บพลังงานไฟฟ้าไว้ใช้ในช่วงเวลากลางคืน)
5) การเปลี่ยนมาใชเ้ ซลล์สรุ ยิ ะแทนการใชไ้ ฟฟ้าปกตทิ ้ังหมด ทาใหไ้ มต่ ้องเสียค่าใช้จ่าย
ดา้ นพลังงานไฟฟ้าหรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ การนาเซลล์สุริยะมาเป็นอปุ กรณ์ให้พลงั งานไฟฟา้ แทน
การใช้ไฟฟ้าปกติ ถึงแม้จะไม่ตอ้ งเสียคา่ ไฟ แตจ่ ะมคี ่าใช้จ่ายในการจัดซ้ือแผงเซลล์สรุ ยิ ะค่าตดิ ต้งั
คา่ อุปกรณเ์ สรมิ อืน่ ๆ คา่ บารงุ รกั ษาและค่าอปุ กรณ์ทีม่ ีอายกุ ารใช้งานจากดั เชน่ แบตเตอร่ี)
3.3 นักเรยี นและครรู ว่ มกนั อภิปรายและสรุปการศึกษาคน้ คว้าจนไดข้ ้อสรุป เรื่อง เซลล์สรุ ยิ ะ
ข้นั ที่ 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธบิ ายใหค้ วามรู้เก่ียวกบั แนวทางการนาเซลล์สุริยะมาใชง้ านดังน้ี
1) การนาเซลล์สุรยิ ะมาใชง้ านตอ้ งมีการนา เซลล์สรุ ิยะมาต่อกนั หลายเซลลเ์ ป็นมอดูล
เซลล์สรุ ิยะหรือแผงเซลลส์ รุ ยิ ะ
2) กระแสไฟฟา้ ท่ไี ดจ้ ากเซลล์สุรยิ ะเปน็ ไฟฟ้ากระแสตรง การนามาใชก้ ับเครื่องใช้หรอื
อุปกรณไ์ ฟฟา้ ท่ัวไปซึ่งใช้กับกระแสสลบั ตอ้ งมกี ารใชอ้ ินเวอร์เตอรใ์ นการแปลงกระแสไฟฟ้า
3) สามารถใชแ้ บตเตอร่กี กั เก็บพลงั งานไฟฟา้ ท่ีได้จากเซลล์สุรยิ ะไว้ใช้ในเวลาท่ีมี
แสงอาทิตยน์ ้อยหรอื ในเวลากลางคืน
ขน้ั ที่ 5 ขัน้ ประเมินผล
5.1 นกั เรียนส่งกระดาษ A4 ของแตล่ ะกล่มุ ทไี่ ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้า
5.2 นักเรียนสง่ สมดุ นกั เรียน (คาถามตรวจสอบความเข้าใจ 3.1 ในหนงั สอื เรยี น)
8. สอื่ การเรยี นรู้/แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรียนรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชัน้ มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 5 เลม่ 2
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอร์เน็ต
9. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
-
10. การวัดและประเมนิ ผล
10.1 การประเมนิ ระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
ตวั ช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เคร่ืองมือวัด เกณฑท์ ใ่ี ช้ในการ
ประเมนิ
ด้านความรู้: 1) ตรวจสมดุ 1) แบบประเมนิ
1) นกั เรยี นสามารถ
1) นกั เรยี นอธบิ ายการ นักเรียน การทากจิ กรรม ตอบคาถามไดร้ ะดับดี
ผ่านเกณฑ์
เปล่ียนพลงั งาน
1) นกั เรยี นสามารถ
แสงอาทติ ยเ์ ปน็ พลงั งาน เขียนสรปุ ความรทู้ ไี่ ด้
ศึกษาค้นควา้ ไดร้ ะดับดี
ไฟฟ้าของเซลล์สรุ ยิ ะได้ ผา่ นเกณฑ์
2) นักเรยี นบอกแนว
ทางการนาเซลลส์ ุริยะมา
ใช้งานในชวี ติ ประจาวันได้
ดา้ นกระบวนการ: 1) ตรวจกระดาษ A4 1) แบบประเมิน
1) นกั เรยี นสามารถจดั ของแตล่ ะกลุ่มท่ไี ด้ การทากจิ กรรม
กระทาและส่ือความหมาย จากการศึกษา
ของข้อมูลทศ่ี กึ ษาค้นคว้าได้ ค้นคว้า
ดา้ นเจตคติ: 1) ตรวจสมุด 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรยี นทาภาระงาน
ทไี่ ดร้ บั มอบหมายได้
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี นักเรยี น การทากิจกรรม ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
ความมงุ่ ม่ันในการทางาน 2) ตรวจกระดาษ A4
ของแตล่ ะกลุ่มทีไ่ ด้
จากการศึกษา
ค้นควา้
11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................
ลงชื่อ ผสู้ อน
(นางสาวจิรนนั ท์ ต่อมหล้า)
12. ข้อคดิ เหน็ ของหัวหนา้ กลุ่มสาระการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ...............................................................
( นายนันท์ กอ้ คา )
หวั หน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
13. ขอ้ คิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผชู้ ว่ ยผู้อานวยการกล่มุ งานบริหารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชื่อ...............................................................
(....................................................)
ผู้ช่วยผ้อู านวยการกล่มุ งานบรหิ ารวิชาการ
การอนุมัตกิ ารใชแ้ ผนการจดั การเรียนรูจ้ ากฝ่ายบริหาร
ความคิดเห็นของรองผอู้ านวยการฝ่ายวชิ าการ
....................................................................................................................................................................................
เหน็ สมควรอนุมัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน
เหน็ สมควรไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ....................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )
รองผู้อานวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
การอนมุ ัตจิ ากผูอ้ านวยการโรงเรยี น
อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน
ไมอ่ นุมตั ใิ ห้ใช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ..............................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวลิ าวัลย์ ปาล)ี
ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
บนั ทึกผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรทู้ ี่ 8
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 ระดับชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 5
เรื่อง เซลล์สุริยะ เวลา 2 ชัว่ โมง
……………………………………………………………….
1. จานวนนกั เรยี นท่ีสอน
ระดบั ชนั้ จานวนนกั เรียน (คน)
ม.5/1 34
ม.5/2 35
ม.5/3 36
รวม 105
2. บนั ทึกผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2.2 ข้อสังเกต/ขอ้ คน้ พบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
2.3 ปัญหา/อปุ สรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
3. การประเมินผลการสอน
รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ
1. ความเหมาะสมของระยะเวลา
2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา
3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน
4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้
5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน
6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ
หลังเรยี น
สรุปภาพรวม
4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ
2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ
3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ
การวัดผลประเมนิ ผล
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ
ลงชอ่ื ............................................ครูผสู้ อน
(นางจิรนนั ท์ ตอ่ มหลา้ )
ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นเิ ทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ................................................ผูน้ ิเทศ
(นายนันท์ กอ้ คา)
หวั หน้ากลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงช่อื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )
รองผูอ้ านวยการฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นางวลิ าวัลย์ ปาล)ี
ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา