6. คาถามทา้ ยกิจกรรม
1) เม่อื แหล่งกาเนดิ เสยี งเคล่อื นท่ีเขา้ หาผ้ฟู ังและเคลื่อนท่ีออกจากผฟู้ ัง เสียงที่ได้ยินในแต่ละช่วงแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ ขณะแหล่งกาเนดิ เสยี งเคลอื่ นทเ่ี ข้าหาผฟู้ ัง ผู้ฟงั จะไดย้ ินเสียงแหลมขน้ึ ขณะแหล่งกาเนดิ เสียงเคล่ือนทอี่ อก
จากผู้ฟัง ผฟู้ งั จะไดย้ ินเสียงทมุ้ ลง ททททททมี
จากผู้ฟงั ผฟู้ ังจะได้ยนิ เสียงท้มุ ลง ททททททมี
2) เมื่อแกว่งแหลง่ กาเนิดเสยี งใหม้ ีอัตราเรว็ เพมิ่ ขึน้ ขณะเคลอ่ื นที่เข้าหาผูฟ้ งั และเคลื่อนท่ีออกจากผู้ฟัง เสียงที่ไดย้ ินใน
แต่ละชว่ งแตกตา่ งกันอยา่ งไร
ตอบ ขณะแหล่งกาเนิดเสียงเคล่ือนท่เี ข้าหาผู้ฟัง ผู้ฟังจะได้ยินเสียงแหลมมากย่งิ ข้นึ ขณะแหล่งกาเนิดเสียงเคลือ่ นที่
ออกจากผ้ฟู ัง ผ้ฟู ังจะไดย้ ินเสยี งทมุ้ ลงยงิ่ ขึ้น อ
ขณะมีสิง่ กดี ขวาง เสียงสะท้อนทไี่ ด้ยนิ จะชัดเจนกว่าเมื่อไม่มีส่งิ กดี ขว าง
7. อธิปรายและสรปุ ผลการทากจิ กรรม
เมื่อแหล่งกาเนิดเสียงเคลื่อนท่ีเป็นวงกลมโดยผู้ฟังอยู่นิ่ง ผู้ฟังจะได้ยินเสียงแหลมขึ้นขณะแหล่งกาเนิดเสียง
เคล่ือนท่ีเข้าหาผู้ฟังและจะได้ยนิ เสียงทุ้มลง ขณะแหล่งกาเนิดเสียงเคลื่อนที่ออกจากผู้ฟัง จากกิจกรรมเม่ือแหล่งกาเนิด
เสียงเคล่ือนทท่ี าใหผ้ ู้ฟังทอ่ี ย่นู ง่ิ ได้ยนิ เสียงมคี วามถี่เปลย่ี นไปจากเดิมเรียกปรากฏการณน์ ว้ี ่า ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ขึ้ น
ดนตรีประเภทสายขึ้นอยกู่ ับความยาว ความตงึ และขนาดสายของเคร่อื งดนตรนี นั้ ๆ เป็นต้นขึ้น ความถ่ีของการแกว่งลดลง
ดนตรีประเภทสายขึ้นอยู่กบั ความยาว ความตึงและขนาดสายของเครอ่ื งดนตรนี น้ั ๆ เปน็ ต้นขน้ึ ความถข่ี องการแกว่งลดลง
ดนตรีประเภทสายขน้ึ อยกู่ บั ความยาว ความตึงและขนาดสายของเครือ่ งดนตรนี ั้นๆ เปน็ ตน้ ขน้ึ ความถ่ขี องการแกวง่ ลดลง
ขนึ้ ความถีข่ องการแก ว่งลดลง
ดนตรปี ระเภทสายขนึ้ อยกู่ บั ความยาว ความตงึ และขนาดสายของเครื่องดนตรนี น้ั ๆ เป็นตน้ ข้นึ ความถี่ของการแกวง่ ลดลง
ดนตรีประเภทสายขน้ึ อยูก่ ับความยาว ความตึงและขนาดสายของเครอ่ื งดนตรนี นั้ ๆ เป็นตน้ ขนึ้ ความถข่ี องการแกวง่ ลดลง
ดนตรปี ระเภทสายข้ึนอยู่กบั ความยาว ความตึงและขนาดสายของเครื่องดนตรีนน้ั ๆ เป็นต้นข้ึน ความถี่ของการแกว่งลดลง
เฉลยใบกจิ กรรม 5.6 ดอปเพลอร์
1. รายชือ่ สมาชิกกลมุ่ ที่ …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
สังเกตและอธบิ ายปรากฏการณด์ อปเพลอร์
3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชุด
1) แหล่งกาเนดิ เสยี ง พร้อมถุงผ้า 1 เสน้
2) เชือกยาวประมาณ 1 เมตร
4. วธิ ที ากจิ กรรม
1) นาแหลง่ กาเนดิ เสยี งใส่ถงุ ผ้าโปร่ง ๆ ทีไ่ มเ่ ก็บเสียง มีความแขง็ แรง และผูกปากถงุ ด้วยเชือกใหแ้ น่น ใหเ้ หลอื ปลาย
เชอื กยาว 50-100 เซนตเิ มตร
2) เปดิ แหล่งกาเนดิ เสียงใหม้ คี วามถ่ีทไ่ี ด้ยินได้ชัดเจน อาจเลือกใช้ประมาณ 1,000 เฮริ ตซ์
3) ขณะแหลง่ กาเนดิ เสยี งอยู่น่งิ ใหน้ กั เรียนท่ีเหลือสังเกตเสียงทไ่ี ด้ยนิ
4) จบั เชอื กดา้ นหนง่ึ ไว้ให้แน่น ค่อยๆ แกว่งใหแ้ หล่งกาเนดิ เคลอ่ื นท่ีเปน็ วงกลมในแนวระดับเหนอื ศีรษะ ดว้ ยอตั ราเรว็ คงตวั
คา่ หนึ่ง สงั เกตเสียงท่ไี ดย้ ินขณะแหลง่ กาเนิดเคล่ือนที่เข้าหาผฟู้ งั และขณะแหล่งกาเนดิ เคลอ่ื นทอ่ี อกจากผู้ฟัง เปลีย่ นแปลง
อยา่ งไร
5) ทาซา้ ขอ้ 4) โดยแกวง่ ให้มอี ตั ราเรว็ เพมิ่ ข้ึน
5. ผลการทาการทดลอง
ขณะแหล่งกาเนิดเสียงเคล่ือนที่เข้าหาผู้ฟัง ผู้ฟังจะได้ยินเสียงแหลมขึ้น ขณะแหล่งกาเนิดเสียงเคล่ือนที่ออกจากผู้ฟัง
ผู้ฟังจะได้ยินเสียงทุ้มลง เสียง
ทไ่ี ดย้ ินจากแหล่งกา เนิ ดเสียงสองแหล่งทีม่ คี วามถี่ตา่ งกันเล็กน้อยจะเป็นเสยี งทดี่ ังและค่อยสลบั กันเปน็ จังหวะคง
ที่ไดย้ ินจากแหล่งกา เนิ ดเสยี งสองแหล่งที่มีความถ่ีต่างกันเล็กน้อยจะเป็นเสียงที่ดังและค่อยสลับกันเป็นจังหวะคง
ทีไ่ ดย้ นิ จากแหล่งกา เนิ ดเสียงสองแหล่งทม่ี คี วามถี่ต่างกันเลก็ นอ้ ยจะเป็นเสยี งท่ีดังและค่อยสลบั กันเป็นจังหวะคง
ที่ไดย้ นิ จากแหลง่ กา เนิ ดเสียงสองแหลง่ ท่มี ีความถ่ีต่างกนั เลก็ น้อยจะเปน็ เสียงท่ีดงั และคอ่ ยสลบั กนั เป็นจังหวะคง
6. คาถามทา้ ยกิจกรรม
1) เมอื่ แหลง่ กาเนดิ เสยี งเคลอ่ื นทเี่ ขา้ หาผฟู้ ังและเคลือ่ นท่อี อกจากผู้ฟงั เสยี งท่ไี ด้ยินในแตล่ ะชว่ งแตกต่างกนั อยา่ งไร
ตอบ ขณะแหลง่ กาเนดิ เสียงเคลือ่ นทเี่ ข้าหาผ้ฟู งั ผู้ฟังจะได้ยินเสียงแหลมขนึ้ ขณะแหลง่ กาเนิดเสียงเคลือ่ นทอี่ อก
จากผูฟ้ ัง ผู้ฟงั จะได้ยนิ เสยี งทมุ้ ลง ททททททมี
2) เมอื่ แกว่งแหล่งกาเนดิ เสียงใหม้ ีอัตราเร็วเพ่ิมขึ้น ขณะเคลอ่ื นทเี่ ขา้ หาผูฟ้ ังและเคลื่อนทีอ่ อกจากผู้ฟงั เสยี งที่ได้ยินใน
แต่ละช่วงแตกต่างกันอย่างไร
ตอบ ขณะแหลง่ กาเนิดเสียงเคลื่อนทีเ่ ข้าหาผฟู้ งั ผู้ฟังจะได้ยินเสยี งแหลมมากย่งิ ข้นึ ขณะแหลง่ กาเนดิ เสียงเคล่ือนที่
ออกจากผู้ฟงั ผฟู้ งั จะได้ยินเสียงทุ้มลงยง่ิ ขนึ้ อ
ขณะมสี ิง่ กดี ขวาง เสยี งสะทอ้ นที่ไดย้ นิ จะชัดเจนกวา่ เม่อื ไมม่ ีสงิ่ กีดขว าง
7. อธปิ รายและสรปุ ผลการทากิจกรรม
เม่ือแหล่งกาเนิดเสียงเคล่ือนท่ีเป็นวงกลมโดยผู้ฟังอยู่น่ิง ผู้ฟังจะได้ยินเสียงแหลมขึ้นขณะแหล่งกาเนิดเสียง
เคล่ือนท่ีเข้าหาผู้ฟังและจะได้ยินเสียงทุ้มลง ขณะแหล่งกาเนิดเสียงเคลือ่ นท่ีออกจากผู้ฟัง จากกิจกรรมเม่ือแหล่งกาเนิด
เสยี งเคลือ่ นทที่ าใหผ้ ฟู้ ังที่อยู่นิ่งไดย้ ินเสยี งมีความถเี่ ปลีย่ นไปจากเดิมเรยี กปรากฏการณน์ ี้วา่ ปรากฏการณ์ดอปเพลอร์ขึ้ น
ดนตรปี ระเภทสายขนึ้ อยกู่ ับความยาว ความตึงและขนาดสายของเครอ่ื งดนตรีน้ันๆ เปน็ ต้นขึ้น ความถี่ของการแกวง่ ลดลง
ดนตรปี ระเภทสายขึ้นอยกู่ ับความยาว ความตึงและขนาดสายของเคร่ืองดนตรนี ้นั ๆ เปน็ ต้นขึ้น ความถ่ีของการแกวง่ ลดลง
ดนตรปี ระเภทสายขน้ึ อย่กู ับความยาว ความตงึ และขนาดสายของเครื่องดนตรีนน้ั ๆ เป็นตน้ ขน้ึ ความถ่ขี องการแกว่งลดลง
ขนึ้ ความถ่ขี องการแก ว่งลดลง
ดนตรปี ระเภทสายขน้ึ อยกู่ บั ความยาว ความตึงและขนาดสายของเคร่ืองดนตรนี ้ันๆ เป็นต้นขนึ้ ความถ่ขี องการแกว่งลดลง
ดนตรีประเภทสายข้ึนอยกู่ บั ความยาว ความตึงและขนาดสายของเครื่องดนตรีนนั้ ๆ เปน็ ต้นขน้ึ ความถขี่ องการแกวง่ ลดลง
ดนตรีประเภทสายขน้ึ อยู่กบั ความยาว ความตงึ และขนาดสายของเคร่อื งดนตรนี นั้ ๆ เป็นต้นขึน้ ความถ่ีของการแกว่งลดลง
แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 17
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 กล่มุ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดับช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 6 แสงสี เวลา 4 ชัว่ โมง
เรื่อง การมองเห็นสขี องวัตถุ ตากับการเหน็ สี ตาบอดสีและแผ่นกรองแสงสี เวลา 2 ช่วั โมง
1. มาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร
และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเกี่ยวข้องกับเสียง แสง และคล่ืน
แมเ่ หล็กไฟฟ้ารวมทงั้ นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ตัวชี้วัด
ว 2.3 ม.5/9 สังเกตและอธบิ ายการมองเหน็ สีของวัตถุ และความผดิ ปกติในการมองเห็นสี
ว 2.3 ม.5/10 สังเกตและอธิบายการทางานของแผ่นกรองแสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสีและการ
นาไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวนั
2. สาระสาคัญ
สีสันจากวตั ถุและแสงสีท่ีเรามองเห็นได้นนั้ เกิดจากแสงสที สี่ ะท้อนจากวัตถุมาเข้าตาเรา โดยสารสีของวัตถุ
ดดู กลนื บางแสงสีไวซ้ ่ึงจะไปกระตุ้นการทางานของเซลลร์ ูปกรวย 3 ชนดิ ให้ทางานเพ่ือแปลผลการรับรสู้ ี สาหรับตาท่ี
มีอาการมองเห็นสผี ดิ ไปจากความเป็นจริง เนื่องจากเซลลร์ ูปกรวยทางานผิดปกติ เรยี กวา่ การบอดสี
แผน่ กรองแสงสีเป็นแผ่นโปร่งแสงที่ยอมใหแ้ สงสีทมี่ ีสีเดยี วกบั แผน่ กรองแสงสีผ่านออกมาไดแ้ สงสอี ่ืนจะถูก
ก้ันเอาไว้ทาให้เราได้แสงสีที่ต้องการผา่ นออกมา
3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรียนอธบิ ายการมองเหน็ สีของวตั ถไุ ด้
2) นักเรยี นอธบิ ายตากับการมองเหน็ ของมนษุ ยไ์ ด้
3) นกั เรียนอธิบายการบอดสีได้
4) นักเรียนอธิบายการทางานของแผน่ กรองแสงสีได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรยี นสงั เกตการมองเห็นสีของวตั ถแุ ละความผดิ ปกติในการมองเห็นสีได้
2) นกั เรียนสงั เกตการบอดสีได้
1) นกั เรยี นสงั เกตการณ์ทางานของแผ่นกรองแสงสีได้
3.3 ด้านคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรแู้ ละเป็นผู้มคี วามมุ่งมนั่ ในการทางาน
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
การมองเหน็ สขี องวตั ถุ
ทุกส่ิงรอบตัวท่ีมองเห็นท้ังจากธรรมชาติ เช่น ดอกไม้ ต้นไม้ ดิน แม่น้า และจากการกระทาของ
มนุษย์ เช่น เส้ือผ้า เครื่องประดับ ท่ีอยู่อาศัย งานศิลปะ จะพบว่าสิ่งต่างๆ เหล่าน้ีมีสีสันมากมายแตกต่าง
กนั ไป บางอยู่มีสีเดียว บางอย่างมีหลายสีปะปนกัน มนุษย์ใชป้ ระโยชน์จากสีสันในด้านตา่ งๆ ทั้งเพื่อความ
สวยงาม ด้านอารมณค์ วามรสู้ กึ และส่อื ความหมายจากสสี นั
นัยนต์ าสามารถมองเห็นวัตถุต่าง ๆ ได้ เพราะมีแสงจากวัตถุมาเข้าตาเรา ในธรรมชาติเรามองเห็น
วัตถุได้โดยอาศัยแสงอาทิตย์หรือแสงขาวท่ีตกกระทบวัตถุน้ันซ่ึงประอบไปด้วย แสงสีต่าง ๆ ได้แก่ สีม่วง
สนี ้าเงนิ สเี ขียว สีเหลือง สีแสด และสแี ดง ดังรูป 6.1
รปู 6.1 การกระจายแสงของแสงขาวผา่ นปรซิ ึมสามเหล่ียม
เม่ือแสงขาวตกกระทบวัตถุ วัตถุจะดูดกลืนแสงสีบางสีเอาไว้ และสะท้อนแสงสีบางสีออกมา
จึงสามารถมองเห็นวัตถุเป็นสีน้ัน ๆ ได้ เนื่องจากสารสี (pigment) ในวัตถุดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ เอาไว้ได้
มากกว่าแสงสีท่ีเป็นสีเดียวกับวัตถุทาให้แสงสีเดียวกับวัตถุสะท้อนออกมาเข้าตาเรามากกว่าแสงสีอ่ืน ๆ
จึงเห็นวัตถุเป็นสีน้ัน เช่น การเห็นดอกกุหลาบเป็นสีแดงดังรูป 6.2 เม่ือแสงขาวตกกระพบที่ดอกกุหลาบ
ดอกกุหลาบจะดูดกลืนแสงสีอื่น ๆ ได้มากว่าสีแดง เนื่องจากในดอกกุหลาบมีสารสีแดงท่ีทาหน้าท่ีในการ
ดดู กลืนแสงสีอ่ืนไว้จึงสะท้อนแสงสีแดงออกมาได้ดีกว่าแสงสีอน่ื ทาให้มองเห็นดอกกุหลาบมีสีแดง สาหรับ
วตั ถุทีม่ องเห็นเป็นสีขาว แสดงวา่ สารสขี องวตั ถุน้ันสามารถสะทอ้ นแสงสที ุกสีออกมาโดยไมด่ ูดกลนื แสงสใี ด
เลยจึงเห็นวัตถเุ ปน็ สขี าว
รูป 6.2 ดอกกหุ ลาบสีแดง
ตากบั การเหน็ สี
การท่ตี าของมนษุ ยม์ องเห็นสีต่าง ๆ ได้นนั้ เกดิ จากแสงจากวตั ถุมาเขา้ ตา ผ่านเลนสต์ าและถกู ทาให้
เกิดภาพไปตกท่ีจอตา (retina) ซงึ่ ประกอบด้วยเซลลส์ องชนิดทาหน้าท่ีรับแสง คือ เซลล์รูปแท่ง และเซลล์
รูปกรวย ดังรูป 6.3 เม่ือมีแสงมาตกกระทบท่ีจอตา เซลล์รูปกรวยจะทาหน้าที่รับรู้เก่ียวกับการเห็นสีและ
เซลล์จะทางานได้ดีในทแ่ี สงสวา่ งเพียงพอ แต่สามารถในการับรสู้ ีต่างๆ จะลดลงในท่ีมีแสงไมเ่ พยี งพอ ส่วน
เซลลร์ ปู แท่งจะทาหนา้ ที่รบั รคู้ วามมดื และความสวา่ ง โดยทาหนา้ ทไ่ี ด้ดใี นที่แสงนอ้ ยและไม่เกย่ี วข้องกบั การ
เหน็ สี
รูป 6.3 สว่ นประกอบของนัยนต์ ามนษุ ย์ บริเวณจอตา เชลล์รปู กรวย และรปู แทง่
เซลล์รูปกรวยมี 3 ชนิด คือ ชนิดที่มีความไวสูงสุดต่อแสงสีน้าเงิน ชนิดท่ีมีความไวสูงสุดต่อแสง
สีเขียว และชนิดที่มีความไวสูงสุดต่อแสงสีแดง ดังนั้นเมื่อแสงสีใดสีหนึ่งในสามสีดังกล่าวมาเข้านัยน์ตา
เซลล์รูปกรวยท่ีไวต่อแสงสีนั้น จะถูกกระต้นุ ให้เห็นเปน็ สีน้ัน เช่น เมื่อแสงสีน้าเงินสเี ดียวจากวัตถุมาเขา้ ตา
และไปตกที่จอตา เซลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้าเงินจะถูกกระตุ้น แล้วส่งสัญญาณจากการกระตุ้นผ่าน
เสน้ ประสาทตาไปสู่สมองให้แปลผลเปน็ การเห็นสีน้าเงิน แต่ถ้ามีแสงสีอ่นื ๆ นอกจากน้แี สงสีน้าเงิน สเี ขยี ว
และสีแดง มาเข้าตา เซลล์รับแสงรปู กรวยมากกว่าหนึ่งชนิดจะถูกกระตุ้นให้ทางานรว่ มกัน จากน้นั สญั ญาณ
การกระตนุ้ จะถกู ส่งไปสู่สมอง เพอ่ื แปลผลออกมาเปน็ การมองเหน็ สนี ัน้
การบอดสี
ในการสอบใบขับข่ีรถจักรยานยนต์ และรถยนต์ จะพบว่าต้องผ่านการทดสอบการมองเห็นสีของ
วัตถุ ทั้งนี้เพ่ือความปลอดภยั ในการขับข่ี นอกจากนี้ อาชีพบางประเภท เชน่ แพทย์ พยาบาล ทหาร ตารวจ
นักบิน ชา่ งศิลป์ ต้องสามารถแยกสตี ่าง ๆ ไดถ้ ูกต้องท้ังเพ่อื ความปลอดภัยและเพ่อื การใช้สใี ห้ตรงตามความ
ต้องการ ความบกพร่องในการมองเห็นสีเป็นอุปสรรคในการประกอบอาชีพเหล่านี้ สาหรบั ตาทม่ี องเห็นสไี ด้
ไม่ตรงความเป็นจริง เน่ืองจากเกิดความบกพร่องของเซลล์รับแสงรูปกรวยที่ไวต่อแสงสีใดสีหนึ่ง เรียกว่า
การบอดสี (color blindness) เช่น ถ้าเซลล์รบั แสงรูปกรวยที่ไวต่อแสงสีเขียวบกพรอ่ งแต่เซลล์รับแสงรูป
กรวยท่ไี วต่อแสงสแี ดงและสีน้าเงนิ สามารถทางานไดต้ ามปกติจะไม่สามารถมองเห็นแสงสีเขยี วไดต้ ามความ
เปน็ จรงิ มองเห็นได้แต่แสงสแี ดงและแสงสีนา้ เงนิ รวมถึงแสงสที ีผ่ สมกนั ระหว่างสีแดงและสีนา้ เงินเน่อื งจาก
เซลล์รปู กรวยท่ีไวต่อแสงสีเขียวไม่ตอบสนองการกระตุ้นของแสงสีเขียว สาหรับคนที่มีการบอดสีของแสงสี
ใด เรยี กว่า คนตาบอดสีแสงสนี ั้น สาหรบั วิธีตรวจสอบการบอดสีทาไดโ้ ดยการใช้แผ่นตรวจตาบอดสี โดยให้
ผู้รับการตรวจอ่านหมายเลขทอี่ ยูบ่ นแผน่ ตรวจถา้ อ่านไดถ้ กู ตอ้ งแสดงว่าตาไมบ่ อดสีในเบื้องตนั
แผน่ กรองแสงสี
รูป 6.4 ก. แผ่นกรองแสงสี ข. การทางานของแผ่นกรองแสงสีแดง
แผ่นกรองแสงสีเป็นแผ่นโปร่งแสงที่มีสีต่างๆ ดังรูป 6.4 ก. ในแสงขาวแผ่นกรองแสงสียอมให้แสง
สเี ดียวกับสขี องแผ่นกรองแสงสที ะลุผ่านออกมาได้ เราจงึ มองเห็นแสงสีทีผ่ ่านแผ่นกรองแสงสีออกมาเป็นสี
ตามแผ่นกรองแสงสีน้ัน โดยแผ่นกรองแสงสีจะกั้นแสงสีอื่น ๆ เอาไว้ แผ่นกรองแสงสีมาตรฐานที่ใช้ในงาน
ตา่ ง ๆ ที่ตอ้ งการความถูกต้องสงู เช่น งานวิจยั ทางวทิ ยาศาสตร์ งานถ่ายรูปจะมีสมบัติดงั กลา่ ว สาหรบั วัสดุ
โปร่งแสงสีท่ัวไปอาจไม่สามารถกนั้ แสงสอี ื่นไว้ได้ทั้งหมดโดยยังมีบางส่วนผ่านมาไดแ้ ต่มีปริมาณน้อย ดังรูป
6.4 ข. แผน่ กรองแสงสีแดงจะกนั้ แสงสีอ่ืนไวย้ กเวน้ แสงสีแดงที่ผา่ นออกมาได้โดยอาจมีแสงสแี สดและแสงสี
เหลืองผ่านออกมาบางส่วนด้วย แผ่นกรองแสงสีสามารถนามาประยุกต์ใช้ประโยชน์เพื่อกนั้ บางแสงสีเอาไว้
และให้แสงสีบางสีเท่าน้นั ที่ผ่านออกมาได้ตามทต่ี อ้ งการ เชน่ แผ่นกรองแสงกลอ้ งถา่ ยรปู แผน่ กรองแสงสีไฟ
บนเวทีให้เปลี่ยนแสงสีได้ตามตอ้ งการ
4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จดั กล่มุ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้ปัญหาและอุปสรรคตา่ งๆ ที่เผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสืบค้นผา่ นคอมพวิ เตอร)์
4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นยิ ม
ใฝเ่ รยี นรู้และเป็นผู้มคี วามมุ่งม่ันในการทางาน
5. คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ของผูเ้ รยี น ซื่อสัตย์สจุ รติ มงุ่ มัน่ ในการทางาน มวี ินยั
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง มีจติ สาธารณะ
รกั ความเป็นไทย ใฝ่เรยี นรู้
6. สมรรถนะสาคญั ของผ้เู รียน
ความสามารถในการคิด: นกั เรยี นสามารถอธิบายเรอ่ื งการมองเหน็ สขี องวตั ถุ ตากบั การเหน็ สี ตาบอดสีและแผ่น
กรองแสงสีได้
7. กจิ กรรมการเรยี นรู้
ข้นั ท่ี 1 ขนั้ สร้างความสนใจ
1.1 ครนู าภาพนกท่ีมสี สี นั สวยงามมาให้นักเรยี นศึกษา แล้วตง้ั คาถามให้นักเรียนอภิปรายร่วมกัน
ดงั น้ี
1) นักเรียนเหน็ ภาพแลว้ มีความรสู้ ึกอย่างไร มีสีสันสวยงามหรือไม่
2) นักเรียนคิดวา่ เรา สามารถมองเหน็ แสงสีและสีสนั ท่ีมากมายหลากหลายไดอ้ ยา่ งไร
(โดยครใู ห้นักเรียนแสดงความคดิ เหน็ อยา่ งอิสระและไม่คาดหวงั คาตอบทีถ่ กู ต้อง)
1.2 ครแู ละนักเรียนรว่ มกนั อภปิ รายทบทวนแนวการเดินทางของแสงจนได้ขอ้ สรุปว่าแสงเดนิ ทาง
เปน็ เสน้ ตรงและเมื่อแสงไปตกกระทบวตั ถแุ ล้วสะทอ้ นเขา้ ตาเราจึงมองเห็นวัตถุนน้ั ไดแ้ ละสเปกตรัมของแสง
ขาวซ่ึงประกอบไปดว้ ยแสงสีตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ สมี ว่ ง สีนา้ เงนิ สีเขียว สีเหลอื ง สีแสด และสแี ดง
1.3 ครตู ัง้ คาถามเพ่อื นาเข้าสู่กิจกรรม ดังน้ี
1) นักเรยี นวา่ สีสันตา่ ง ๆ มีประโยชนต์ อ่ เราอยา่ งไร
2) การมองเหน็ วัตถุเปน็ สีตา่ งๆ เก่ยี วขอ้ งกับแสงสีในแสงขาวที่ตกกระทบกบั วัตถหุ รือไม่
เพราะเหตใุ ด
3) การทตี่ าของเราสามารถเหน็ สีต่าง ๆ ของวตั ถไุ ด้นนั้ เมื่อมีแสงจากวัตถมุ าเข้าตาเรา
แล้วตาของเราทาหนา้ ท่ใี นการรบั รูแ้ สงสีตา่ ง ๆ ได้อยา่ งไร
1.4 ครูตงั้ คาถามใหน้ ักเรียนตอบเพื่อเขา้ ส่บู ทเรียน ดงั น้ี
1) นกั เรยี นเคยนาแผ่นพลาสตกิ หรือกระจกท่มี ลี ักษณะโปรง่ แสงสที ่มี ตี า่ ง ๆ มารบั แสง
ขาว เพ่ือทาใหไ้ ด้เป็นแสงสีตา่ ง ๆ หรือมองผ่านแล้วเหน็ เปน็ สนี ั้นหรอื ไม่
2) แสงขาวประกอบดว้ ยแสงสีตา่ ง ๆ เหตใุ ดแสงขาวท่ผี ่านแผ่นพลาสตกิ หรือกระจกทม่ี ีสี
ตา่ ง ๆ จงึ เหลือสที ี่คล้ายกบั สีของแผ่นวัสดุเหล่านไ้ี ด้ (ใหน้ ักเรียนตอบอย่างอสิ ระ)
ขั้นที่ 2 ข้ันสารวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นักเรยี นทกุ คนศกึ ษาเน้อื หา เรือ่ ง การมองเห็นสีของวตั ถุ ในหนงั สอื เรียนหนา้ 184
แล้วตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 6.1
2.2 ครูให้นกั เรียนทกุ คนศึกษาเน้ือหา เร่ือง ตากับการเห็นสี ในหนังสือเรียนหน้า 185 แลว้ ตอบ
คาถามตรวจสอบความเข้าใจ 6.2
2.3 นักเรียนทกุ คนศึกษาใบกิจกรรม 6.1 การทดสอบการบอดสี
2.4 ครแู จง้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ อปุ กรณ์ และขั้นตอนการทากิจกรรมอย่างละเอยี ด
2.5 นักเรียนทากจิ กรรม สงั เกตและบนั ทกึ ผลกิจกรรมลงในใบกิจกรรม
2.6 นกั เรียนทกุ คนศึกษาใบกิจกรรม 6.2 แผน่ กรองแสงสี
2.7 ครูแจ้งจดุ ประสงค์การเรียนรู้ อุปกรณ์ และขั้นตอนการทากจิ กรรมอย่างละเอยี ด
2.8 นักเรยี นทากิจกรรม สังเกตและบันทึกผลกิจกรรมลงในใบกจิ กรรม
2.9 นกั เรียนตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 6.4 ลงในสมุด
ขนั้ ท่ี 3 ขัน้ อธิบายและลงข้อสรปุ
3.1 ครูและนกั เรยี นร่วมกันอภปิ รายการมองเห็นสีของวัตถจุ นได้ข้อสรุปว่า เมือ่ แสงขาวตกกระทบ
วัตถุสารสี (pigment) ในวัตถุดูดกลืนแสงสีอ่ืน ๆ เอาไว้ได้มากกว่าแสงสีท่ีเป็นสีเดียวกับวตั ถทุ ำให้แสงสี
เดยี วกับวัตถุสะทอ้ นออกมาเข้าตาเรามากกว่าแสงสอี ่ืน ๆ จึงเห็นวตั ถุเป็นสนี ั้น สำหรับวัตถุทม่ี องเห็นเป็นสี
ขาว แสดงวา่ สารสีของวตั ถุน้ันสามารถสะท้อนแสงสีทุกสอี อกมาโดยไม่ดูดกลืนแสงสีใดเลย เราจงึ เห็นวัตถุ
เป็นสีขาว
3.2 ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปรายอวัยวะของดวงตามนุษย์ท่ีทาหน้าท่ีรับรู้แสงสีโดยอาจใช้
ภาพประกอบในหนงั สอื เรียน จนไดข้ อ้ สรุปวา่ เซลล์ท่ีทาหนา้ ท่รี ับรู้การเห็นสีคือ เซลล์รปู กรวย 3 ชนิด ไดแ้ ก่
ชนิดท่ีมคี วามไวสงู สดุ ต่อแสงสีนา้ เงนิ ชนิดท่มี ีความไวสงู สุดต่อแสงสเี ขียว และชนิดทีม่ ีความไวสงู สุดต่อแสง
สีแดง เมอื่ มแี สงสเี หล่าน้มี าเข้าดวงตา เซลลร์ ับแสงรูปกรวยทไ่ี วต่อแสงสนี ้นั จะถูกกระตนุ้
3.3 ครูนานักเรยี นอภิปรายผลกิจกรรม 6.1 ตอนที่ 1 เพ่ือนาไปสู่การสรุปโดยใช้คาถาม ดังน้ี
1) การจอ้ งสแี ดงเป็นเวลานานจะทาให้ภาพวัตถุท่ีมองบนพน้ื ขาวมีสีเปลยี่ นไป สามารถ
เทียบเคียงกบั อาการตาบอดแสงสใี ด (แนวการตอบ เทยี บเคยี งได้กบั อาการตาบอดสแี ดง เน่อื งจากการจ้อง
แสงสีแดงเป็นเวลานานทาใหเ้ ซลล์รปู กรวยท่ีไวตอ่ แสงสแี ดงออ่ นลา้ ลง ทาให้ทางานผดิ ปกติไป และเห็นสีผิด
ไปจากเดิม)
2) เมื่อจ้องสแี ดงนานพอสมควรแล้วเปลีย่ นไปมองบนฉากขาวทันทจี ะเหน็ สีใด (แนวการ
ตอบ มองเห็นเป็นสนี ้าเงนิ เขียวเนื่องจากเซลล์รูปกรวยท่ีไวตอ่ แสงสแี ดงอ่อนล้าลง)
3) ความผิดปกติการมองเห็นสใี นกิจกรรมตอนที่ 1 แตกต่างจากตาบอดสอี ยา่ งไร
(แนวการตอบ จากกิจกรรมตอนท่ี 1 เม่ือพกั สายตาสกั ครหู่ นึง่ กจ็ ะกลับมามองเหน็ สแี ดงไดต้ ามปกติเรยี กว่า
ตาบอดสชี ว่ั คราว แตกตา่ งจากอาการตาบอดสซี งึ่ จะมองเหน็ สผี ดิ ไปอย่างถาวร)
3.4 นกั เรียนและครูรว่ มกนั อภิปรายและสรุปการทากจิ กรรม 6.1 ตอนท่ี 1 ดงั นี้
เมอ่ื เราจ้องดูสีใดสีหน่งึ เปน็ เวลานานเชน่ สแี ดง จะทาให้เซลลร์ ับแสงรูปกรวยท่ีไวต่อแสงสี
แดงอ่อนล้าลงได้ ทาให้เซลล์รับแสงรูปกรวยชนิดอ่ืนทางานรับรู้แสงสีได้ดีกว่า เมื่อมองไปท่ีฉากขาวซึ่ง
สะท้อนทุกแสงสีออกมา จึงไปกระตุ้นการทางานของเซลล์รับแสงรูปกรวยที่ไวต่อแสงสีน้าเงินและแสงสี
เขียวได้ดีกว่าจึงมองเห็นภาพวัตถุท่ีมองบน ฉากขาวเป็น สีน้าเงิน เขียว แต่เม่ือพักสายตาสักครู่หน่ึงก็จะ
กลบั มามองเห็นสีไดต้ ามปกติเรียกว่า ตาบอดสีชัว่ คราว
ขั้นที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครอู ธิบายให้ความรเู้ ก่ยี วกับการตรวจสอบความบกพรอ่ งการมองเห็นสีในเบื้องต้น โดยครูนา
ชุดแผ่นตรวจสอบความบกพร่องการมองเห็นสีมาให้นักเรียนทดสอบอ่านตัวเลข ถ้าอ่านตัวเลขได้ถูกต้อง
แสดงว่าอาจไม่มีความบกพร่องการมองเห็นสีในเบื้องต้น แต่ถ้าอ่านตัวเลขผิดไปจากความจริงอาจมีความ
บกพร่องการมองเห็นสีได้ซึง่ จะต้องไดร้ ับการวินิจฉยั จากจักษุแพทย์
4.2 ครใู ห้ความรู้เพ่ิมเติมถึงอาการตาบอดสีเปน็ ผลมาจากพันธกุ รรม เป็นอาการตาบอดสีถาวรตาม
กรอบ “รู้หรือไม่” จนไดข้ ้อสรปุ ว่าคนท่ตี าบอดสีมาแตก่ าเนดิ นั้นเป็นผลมาจากพนั ธกุ รรม
4.3 ครูให้ความรเู้ พิ่มเติมวา่ แผ่นกรองแสงสีมาตรฐานที่ใช้ในงานตา่ ง ๆ ท่ตี ้องการความถกู ต้องสูง
เช่น งานวิจัยทางวทิ ยาศาสตร์งานถ่ายภาพ เป็นต้น จะมสี มบัติดังกล่าว สาหรบั วัสดุโปรง่ แสงสที ว่ั ไปอาจไม่
สามารถกั้นแสงสีอนื่ ไวไ้ ดท้ ัง้ หมด โดยยงั มบี างส่วนผ่านมาได้แต่มปี รมิ าณน้อย
ขนั้ ท่ี 5 ข้ันประเมินผล
5.1 นกั เรียนสง่ ใบกิจกรรม 6.1 เรอ่ื ง การทดสอบการบอดสี
5.2 นักเรยี นสง่ สมุดนกั เรียน (ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 6.1 6.2 และ 6.3 ในหนงั สือ
เรียน)
5.3 นกั เรียนสง่ ใบกิจกรรม 6.2 เรื่อง แผน่ กรองแสงสี
5.4 นกั เรียนสง่ สมดุ นกั เรียน (ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 6.4 ในหนงั สอื เรยี น)
8. สอื่ การเรยี นร/ู้ แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ 2
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 ชุดแผ่นตรวจสอบความบกพร่องการมองเหน็ สี
8.3 ใบกิจกรรม 6.1 เรอ่ื ง การทดสอบการบอดสี
8.4 วสั ดุและอุปกรณ์ในการทากจิ กรรมการทดสอบการบอดสี
8.5 ใบกจิ กรรม 6.2 เรอื่ ง แผน่ กรองแสงสี
8.6 วัสดุและอปุ กรณ์ในการทากิจกรรมแผน่ กรองแสงสี
9. ชิน้ งาน/ภาระงาน
-
10. การวัดและประเมินผล
10.1 การประเมนิ ระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ตัวช้ีวัด/ผลการเรียนรู้ วธิ กี ารวัด เครอ่ื งมอื วัด เกณฑท์ ่ใี ชใ้ นการ
ประเมนิ
ดา้ นความรู้: 1) ตรวจสมดุ 1) แบบประเมนิ
1) นักเรียนอธบิ ายการ นักเรยี น ในตอบ การทากิจกรรม 1) นกั เรยี นสามารถ
มองเหน็ สขี องวัตถุได้ คาถามตรวจสอบ ตอบคาถามไดร้ ะดับดี
ผา่ นเกณฑ์
2) นักเรียนอธิบายตากบั ความเข้าใจ 6.1 6.2
การมองเห็นของมนษุ ยไ์ ด้ 6.3 และ 6.4
3) นักเรียนอธิบายการ
บอดสีได้
4) นักเรียนอธบิ ายการ
ทางานของแผน่ กรองแสง
สีได้
ด้านกระบวนการ: 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมิน 1) นักเรียนบันทึกและ
การทากิจกรรม สรปุ ผลกิจกรรมได้
1) นกั เรยี นสังเกตการ 6.1 เรอ่ื ง การ ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
1) แบบประเมิน
มองเห็นสีของวัตถุและ ทดสอบการบอดสี การทากจิ กรรม 1) นักเรยี นทาภาระงาน
ทไ่ี ด้รบั มอบหมายได้
ความผิดปกตใิ นการ 2) ตรวจใบกิจกรรม ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
มองเหน็ สีได้ 6.2 เรอ่ื ง แผน่ กรอง
2) นกั เรยี นสังเกตการบอด แสงสี
สไี ด้
3) นกั เรยี นสงั เกตการ
ทางานของแผ่นกรองแสงสี
ได้
ด้านเจตคติ: 1) ตรวจสมุด
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี นกั เรียน ในตอบ
ความมงุ่ มน่ั ในการทางาน คาถามตรวจสอบ
ความเข้าใจ 6.1 6.2
6.3 และ 6.4
2) ตรวจใบกิจกรรม
6.1 เรอื่ ง การ
ทดสอบการบอดสี
3) ตรวจใบกิจกรรม
6.2 เรือ่ ง แผน่ กรอง
แสงสี
11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................
ลงช่ือ ผู้สอน
(นางสาวจิรนนั ท์ ต่อมหล้า)
12. ข้อคดิ เหน็ ของหัวหน้ากลมุ่ สาระการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ...............................................................
( นายนนั ท์ ก้อคา )
หวั หนา้ กล่มุ สาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
13. ข้อคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะผชู้ ่วยผู้อานวยการกลุม่ งานบรหิ ารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชือ่ ...............................................................
(....................................................)
ผู้ช่วยผ้อู านวยการกลุ่มงานบริหารวชิ าการ
การอนมุ ตั กิ ารใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้จากฝา่ ยบริหาร
ความคดิ เห็นของรองผอู้ านวยการฝา่ ยวชิ าการ
....................................................................................................................................................................................
เหน็ สมควรอนุมตั ใิ ห้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
เหน็ สมควรไมอ่ นุมตั ใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ....................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชื่อ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)
รองผ้อู านวยการโรงเรยี นฝา่ ยบรหิ ารวชิ าการ
การอนมุ ตั จิ ากผอู้ านวยการโรงเรยี น
อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน
ไมอ่ นมุ ตั ใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ..............................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาลี)
ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
บันทกึ ผลการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรู้ท่ี 17
รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 ระดับชั้นมธั ยมศึกษาปีที่ 5
เรอ่ื ง การมองเหน็ สีของวตั ถุ ตากับการเหน็ สี ตาบอดสีและแผ่นกรองแสงสี เวลา 2 ช่วั โมง
……………………………………………………………….
1. จานวนนกั เรียนทสี่ อน
ระดบั ชน้ั จานวนนักเรียน (คน)
ม.5/1 34
ม.5/2 35
ม.5/3 36
รวม 105
2. บันทึกผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................
2.2 ขอ้ สังเกต/ขอ้ ค้นพบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
2.3 ปญั หา/อปุ สรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2.4 ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
3. การประเมนิ ผลการสอน
รายการประเมนิ ดีมาก ระดบั คณุ ภาพ
ดี พอใช้ ปรบั ปรุง
1. ความเหมาะสมของระยะเวลา
2. ความเหมาะสมของเนื้อหา
3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรยี นการสอน
4. ความเหมาะสมของสอื่ การสอนท่ใี ช้
5. พฤตกิ รรม/การมีสว่ นรว่ มของนกั เรียน
6. ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรียนและ
หลังเรียน
สรปุ ภาพรวม
4. สรุปผลการวดั ผลประเมินผล 4 ระดับคณุ ภาพ 1
การวัดผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
1. ความรู้ ระดบั คณุ ภาพ รวม
1.1 ใบกิจกรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลังเรียน
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ ร้อยละ
2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกล่มุ
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ
3. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ระดบั 3 ขน้ึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ
การวดั ผลประเมนิ ผล
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ
ลงช่อื ............................................ครผู ้สู อน
(นางจิรนนั ท์ ต่อมหลา้ )
ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นเิ ทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ................................................ผู้นเิ ทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)
หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)
รองผู้อานวยการฝ่ายบริหารวิชาการ
ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
ลงช่อื ........................................................
(นางวิลาวลั ย์ ปาลี)
ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)
321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน
สรุปผล
ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ
............../.................../...............
แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้
ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม
ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน
กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้
สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น
มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ
สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน
สมบรู ณ์
เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ
ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า
กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้
ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ
ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่
ถูกต้อง
เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรปุ ผล
ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............
ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ำมขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ ำม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วำม ปฏิบตั ติ ำมขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ำมขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลำในกำรปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตำ่ ง ๆ สม่ำเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีควำม กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลำในกำรปฏบิ ตั ิ ควำมตรงตอ่ เวลำใน ควำมตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอำใจใสใ่ นกำร กิจกรรมตำ่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ กำรปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลำในกำร
เรยี น และมีควำมเพยี ร ตำ่ ง ๆ บำงครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยำยำมในกำรเรียน ตำ่ ง ๆ
สม่ำเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอำใจใสใ่ นกำร ตงั้ ใจเรยี นเอำใจใส่
เรยี น และมคี วำมเพยี ร ในกำรเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีควำมตงั้ ใจและพยำยำม พยำยำมในกำรเรยี น ควำมเพยี รพยำยำม
ในกำรทำงำนที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในกำรเรยี นบำงครงั้ เอำใจใสใ่ นกำร
มอบหมำยท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมำ่ เสมอ มีควำมตงั้ ใจและพยำยำม มีควำมตงั้ ใจและ ควำมเพยี ร
ในกำรทำงำนท่ีไดร้ บั พยำยำมในกำร พยำยำมในกำร
มอบหมำยปฏิบตั ชิ ดั เจน ทำงำนที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมำยปฏิบตั ิ ไมม่ ีควำมตงั้ ใจ
บำงครงั้ และไม่พยำยำม
ในกำรทำงำนท่ี
ไดร้ บั มอบหมำย
เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่ือง การมองเหน็ สีของวัตถุ ตากบั การเหน็ สี และตาบอดสี
ประเดน็ การ คา่ น้าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วนทกุ ขอ้
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถกู ต้องครบถ้วน 5-8 ขอ้
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจไดถ้ กู ต้องครบถ้วน 1-4 ข้อ
1 บนั ทกึ และสรปุ ผลของกิจกรรมไดถ้ กู ต้องครบถว้ น
ดา้ น 3 บันทกึ และสรุปผลของกิจกรรมไดค้ ่อนข้างถกู ต้องครบถ้วน
กระบวนการ 2 บนั ทกึ และสรุปผลของกจิ กรรมไม่ถูกต้อง
1 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด และเรียบร้อยถกู ตอ้ งครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานท่ไี ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผิดพลาดบางสว่ น
ด้าน 2 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผิดพลาดบางส่วน
คุณลักษณะ 1
(A)
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
เกณฑก์ ารประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรือ่ ง แผ่นกรองแสงสี
ประเดน็ การ ค่านา้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจไดถ้ กู ต้องครบถ้วนทกุ ข้อ
ดา้ นความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถูกตอ้ งครบถ้วน 2 ข้อ
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน 1 ข้อ หรือไม่ถูกตอ้ ง
1 บนั ทกึ และสรุปผลของกจิ กรรมได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน
ด้าน 3 บนั ทกึ และสรปุ ผลของกิจกรรมไดค้ ่อนขา้ งถกู ต้องครบถว้ น
กระบวนการ 2 บนั ทึกและสรปุ ผลของกจิ กรรมไม่ถกู ต้อง
1 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด และเรียบรอ้ ยถกู ต้องครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผิดพลาดบางสว่ น
ดา้ น 2 ทาภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น
คณุ ลักษณะ 1
(A)
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน
ใบกิจกรรม 6.1 การทดสอบการบอดสี
1. ชอื่ …………………………………………………………................................ชั้น.......................... เลขท่ี…………………………………
2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
สงั เกตและอธิบายอาการการบอดสี
3. วสั ด-ุ อุปกรณ์ 1 ชดุ 3) แผ่นกระดาษสีแดง 1 แผ่น
1) แผน่ ตรวจตาบอดสี 1 แผ่น
2) กระดาษขาวขนาด A4
4. วิธที ากิจกรรม
1) ใหจ้ ้องมองไปท่ีวตั ถุสีแดงทีว่ างอยูใ่ นบริเวณทมี่ ีแสงสวา่ งจา้ หรอื จ้องมองหน้าจอคอมพิวเตอรท์ ่ีปรบั ใหม้ พี ้ืนสหี นา้ จอ
เปน็ สีแดงสกั ครู่หนึง่ ประมาณ 1 นาที แลว้ หันไปมองที่กระดาษขาวหรอื ผนงั หอ้ งสขี าวทันที สังเกตสีภาพวัตถุที่จ้อง
มองท่ีปรากฏบนพนื้ ขาว
2) พักสายตาสักครู่ แลว้ มองกระดาษขาวหรือผนังหอ้ งสขี าวเดิมอกี ครง้ั จะเห็นสีใดปรากฏขน้ึ
5. ผลการทาการทดลอง k
นกั เรียนบางคนอาจอา่ นตวั เลขในแผ่นตรวจสอบตาบอดสไี ดถ้ ูกตอ้ ง แสดงวา่ ตาไม่บอดสใี นเบ้อื งต้น
6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม
1) การจอ้ งสแี ดงเปน็ เวลานานจะทา ใหภ้ าพวัตถุที่มองบนพื้นขาวมีสีเปล่ียนไป สามารถเทียบเคยี งกับอาการตาบอด
แสงสใี ด
ตอบ เทยี บเคียงไดก้ ับอาการตาบอดสีแดง เน่อื งจากการจอ้ งแสงสแี ดงเป็นเวลานานทาใหเ้ ซลล์รูปกรวยท่ไี วตอ่ แสง
สีแดงออ่ นลา้ ลงทาให้ทางานผดิ ปกตไิ ป และเห็นสีผดิ ไปจากเดิม ทททท
2) เม่อื จอ้ งสแี ดงนานพอสมควรแล้วเปลยี่ นไปมองบนฉากขาวทันทจี ะเหน็ สีใด
ตอบ มองเห็นเปน็ สนี า้ เงินเขียวเนอื่ งจากเซลลร์ ูปกรวยท่ีไวตอ่ แสงสีแดงออ่ นลา้ ลง ท
3) ความผิดปกติการมองเห็นสีแตกตา่ งจากตาบอดสีอย่างไร
ตอบ เม่อื พักสายตาสักครูห่ นงึ่ กจ็ ะกลับมามองเหน็ สแี ดงไดต้ ามปกตเิ รียกว่า ตาบอดสชี วั่ คราว แตกต่างจากอาการ
ตาบอดสซี ึ่งจะมองเห็นสีผิดไปอย่างถาวร ท
7. อธปิ รายและสรุปผลการทากจิ กรรม
เมอ่ื เราจ้องดูสใี ดสหี น่งึ เป็นเวลานานเช่นสีแดง จะทาให้เซลล์รบั แสงรูปกรวยท่ีไวต่อแสงสีแดงอ่อนล้าลงไดท้ าให้
เซลลร์ ับแสงรูปกรวยชนดิ อน่ื ทางานรับร้แู สงสีได้ดีกว่า เมอ่ื มองไปท่ฉี ากขาวซง่ึ สะท้อนทกุ แสงสีออกมา จงึ ไปกระตุ้นการ
ทางานของเซลลร์ ับแสงรปู กรวยทไ่ี วต่อแสงสีน้า เงินและแสงสเี ขยี วได้ดกี ว่าจึงมองเห็นภาพวัตถทุ ี่มองบนฉากขาวเป็น
สีนา้ เงินเขียว แต่เมอื่ พักสายตาสักครู่หนึง่ ก็จะกลับมามองเหน็ สไี ด้ตามปกตเิ รยี กวา่ ตาบอดสีช่ัวคราวขึ้ น ความ
เฉลยใบกิจกรรม 6.1 การทดสอบการบอดสี
1. ช่ือ…………………………………………………………................................ชัน้ .......................... เลขท่ี…………………………………
2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
สังเกตและอธบิ ายอาการการบอดสี
3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ 3) แผน่ กระดาษสีแดง 1 แผน่
1) แผน่ ตรวจตาบอดสี 1 แผ่น
2) กระดาษขาวขนาด A4
4. วธิ ีทากิจกรรม
1) ให้จ้องมองไปทว่ี ัตถุสีแดงทว่ี างอยู่ในบริเวณท่มี ีแสงสว่างจา้ หรอื จอ้ งมองหนา้ จอคอมพวิ เตอรท์ ี่ปรบั ใหม้ ีพนื้ สีหนา้ จอ
เป็นสีแดงสักครหู่ นึ่งประมาณ 1 นาที แล้วหนั ไปมองท่กี ระดาษขาวหรือผนงั ห้องสขี าวทนั ที สงั เกตสีภาพวตั ถทุ ี่จ้อง
มองท่ปี รากฏบนพ้ืนขาว
2) พกั สายตาสักครู่ แลว้ มองกระดาษขาวหรือผนังหอ้ งสีขาวเดมิ อกี คร้งั จะเหน็ สีใดปรากฏข้นึ
5. ผลการทาการทดลอง k
นกั เรียนบางคนอาจอา่ นตัวเลขในแผน่ ตรวจสอบตาบอดสไี ดถ้ กู ต้อง แสดงว่าตาไม่บอดสใี นเบ้อื งต้น
6. คาถามท้ายกจิ กรรม
1) การจอ้ งสแี ดงเปน็ เวลานานจะทา ให้ภาพวัตถุที่มองบนพนื้ ขาวมสี เี ปลี่ยนไป สามารถเทียบเคยี งกบั อาการตาบอด
แสงสใี ด
ตอบ เทียบเคยี งได้กับอาการตาบอดสีแดง เนื่องจากการจอ้ งแสงสแี ดงเป็นเวลานานทาให้เซลล์รปู กรวยทีไ่ วต่อแสง
สแี ดงออ่ นล้าลงทาให้ทางานผิดปกติไป และเห็นสผี ิดไปจากเดิม ทททท
2) เมือ่ จ้องสีแดงนานพอสมควรแล้วเปลย่ี นไปมองบนฉากขาวทันทจี ะเหน็ สีใด
ตอบ มองเห็นเป็นสนี า้ เงินเขียวเน่ืองจากเซลลร์ ูปกรวยที่ไวตอ่ แสงสีแดงออ่ นลา้ ลง ท
3) ความผิดปกตกิ ารมองเห็นสีแตกต่างจากตาบอดสีอย่างไร
ตอบ เมอื่ พกั สายตาสักคร่หู นึง่ ก็จะกลบั มามองเห็นสีแดงได้ตามปกติเรยี กว่า ตาบอดสีชว่ั คราว แตกต่างจากอาการ
ตาบอดสซี งึ่ จะมองเหน็ สีผิดไปอยา่ งถาวร ท
7. อธิปรายและสรุปผลการทากิจกรรม
เมอ่ื เราจ้องดสู ีใดสีหนึ่งเปน็ เวลานานเช่นสีแดง จะทาให้เซลล์รบั แสงรูปกรวยท่ไี วต่อแสงสีแดงอ่อนลา้ ลงไดท้ าให้
เซลลร์ ับแสงรปู กรวยชนดิ อน่ื ทางานรับรแู้ สงสีได้ดกี ว่า เมอื่ มองไปท่ฉี ากขาวซึง่ สะท้อนทุกแสงสอี อกมา จึงไปกระต้นุ การ
ทางานของเซลล์รับแสงรปู กรวยท่ไี วตอ่ แสงสนี า้ เงินและแสงสเี ขียวไดด้ กี ว่าจงึ มองเหน็ ภาพวัตถทุ ่มี องบนฉากขาวเป็น
สีนา้ เงินเขียว แต่เมือ่ พักสายตาสักครหู่ นง่ึ ก็จะกลับมามองเห็นสไี ดต้ ามปกตเิ รยี กวา่ ตาบอดสีช่ัวคราวข้ึ น ความ
ใบกจิ กรรม 6.2 แผ่นกรองแสงสี
1. ช่ือ…………………………………………………………................................ช้นั .......................... เลขที่…………………………………
2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
สังเกตและอธิบายการทา งานของแผน่ กรองแสงสี
3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชดุ 3) ฉากขาว
1) แผน่ กรองแสงสสี แี ดง สีนา้ เงนิ สีเขียว 1 ชดุ
2) แหล่งกาเนดิ แสงขาว หรอื แสงดวงอาทติ ย์
4. วธิ ที ากิจกรรม
1) นาชุดกลอ่ งผสมแสงสไี ปรับแสงขาว แล้วปรบั แสงสีทีละคู่ใหฉ้ ายไปผสมกนั บนฉากสขี าวอาจใชแ้ สงจากแหล่งกาเนดิ
แสงอืน่ แทน เช่น หลอดไฟทีใ่ หแ้ สงสีเขียว สีนา้ เงิน สีแดง หรือแสงท่ีผา่ นแผน่ กรองแสงสี สังเกตสที ่ีเกิดข้ึน
2) ฉายแสงสที ้งั สามแสงสีผสมกันบนฉากสีขาว สงั เกตสที ่ีเกดิ ขึน้
5. ผลการทาการทดลอง ผลแสงสีท่ีได้ แสงสที เี่ กดิ ขน้ึ
แผน่ กรองแสงสี
1. แผน่ กรองแสงสีแดง
2. แผ่นกรองแสงสีน้าเงิน
3. แผ่นกรองแสงสีเขยี ว
6. คาถามท้ายกจิ กรรม ทททท
1) แสงสที ่ีผา่ นออกมามีความเก่ยี วข้องกับสีของแผ่นกรองแสงสอี ย่างไร
ตอบ แสงสีท่ผี อ่ อกมาจะมีสีคลา้ ยกบั สีของแผน่ กรองแสงสี
2) จากกจิ กรรมแผ่นกรองแสงสมี กี ารทางานอยา่ งไร ท
ตอบ จากกิจกรรมพบว่าแผน่ กรองแสงสจี ะยอมให้แสงสีเดยี วกบั แผ่นกรองแสงสผี า่ นได้และกั้นแสงสีอืน่ ไว้ ท
ตาบอดสีซ่ึงจะมองเห็นสีผดิ ไปอยา่ งถาวร
7. อธปิ รายและสรปุ ผลการทากจิ กรรม น ควา
แผ่นกรองแสงสีจะยอมใหแ้ สงสีเดยี วกับแผ่นกรองแสงสีผ่านออกมาได้ โดยกัน้ แสงสอี ืน่ เอาไว้ขึ้ น ควา
แผน่ กรองแสงสจี ะยอมให้แสงสีเดียวกบั แผน่ กรองแสงสผี า่ นออกมาได้ โดยกนั้ แสงสีอ่ืนเอาไว้ขึ้ น ควา
แผ่นกรองแสงสีจะยอมให้แสงสเี ดยี วกับแผ่นกรองแสงสีผา่ นออกมาได้ โดยกัน้ แสงสอี น่ื เอาไว้ข้ึ น ควา
แผ่นกรองแสงสีจะยอมใหแ้ สงสเี ดียวกบั แผ่นกรองแสงสีผ่านออกมาได้ โดยกนั้ แสงสอี น่ื เอาไว้ข้ึ
เฉลยใบกิจกรรม 6.2 แผน่ กรองแสงสี
1. ชือ่ …………………………………………………………................................ชน้ั .......................... เลขที่…………………………………
2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
สงั เกตและอธิบายการทางานของแผ่นกรองแสงสี
3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชุด 3) ฉากขาว
1) แผน่ กรองแสงสีสแี ดง สีนา้ เงนิ สเี ขียว 1 ชดุ
2) แหล่งกาเนิดแสงขาว หรอื แสงดวงอาทิตย์
4. วิธที ากจิ กรรม
1) นาชดุ กล่องผสมแสงสีไปรับแสงขาว แล้วปรับแสงสีทลี ะคู่ใหฉ้ ายไปผสมกันบนฉากสีขาวอาจใช้แสงจากแหล่งกาเนดิ
แสงอ่นื แทน เช่น หลอดไฟที่ให้แสงสีเขียว สีน้าเงนิ สแี ดง หรือแสงท่ีผา่ นแผน่ กรองแสงสี สังเกตสีที่เกิดขนึ้
2) ฉายแสงสที ้งั สามแสงสผี สมกนั บนฉากสขี าว สงั เกตสีที่เกิดขึ้น
5. ผลการทาการทดลอง ตวั อย่างผลแสงสีทไ่ี ด้ แสงสที ี่เกิดข้นึ
แผน่ กรองแสงสี
1. แผ่นกรองแสงสแี ดง แสงสแี ดง
2. แผ่นกรองแสงสนี า้ เงนิ แสงสีนา้ เงนิ
3. แผน่ กรองแสงสีเขยี ว แสงสีเขยี ว
6. คาถามท้ายกจิ กรรม ทท
1) แสงสที ่ีผา่ นออกมามีความเกีย่ วขอ้ งกับสขี องแผ่นกรองแสงสอี ยา่ งไร
ตอบ แสงสีท่ผี า่ นออกมาจะมสี ีคล้ายกบั สีของแผ่นกรองแสงสี
2) จากกจิ กรรมแผ่นกรองแสงสีมีการทางานอย่างไร ท
ตอบ จากกิจกรรมพบว่าแผ่นกรองแสงสีจะยอมให้แสงสเี ดียวกับแผน่ กรองแสงสผี า่ นได้และกั้นแสงสอี ่นื ไว้ ท
ตาบอดสีซ่ึงจะมองเห็นสีผดิ ไปอย่างถาวร
7. อธปิ รายและสรปุ ผลการทากจิ กรรม น ควา
แผ่นกรองแสงสีจะยอมใหแ้ สงสเี ดยี วกับแผ่นกรองแสงสผี ่านออกมาได้ โดยกัน้ แสงสีอ่ืนเอาไว้ข้ึ น ควา
แผน่ กรองแสงสจี ะยอมใหแ้ สงสีเดยี วกบั แผน่ กรองแสงสีผา่ นออกมาได้ โดยกั้นแสงสอี น่ื เอาไวข้ ึ้ น ควา
แผ่นกรองแสงสีจะยอมให้แสงสีเดยี วกบั แผ่นกรองแสงสผี ่านออกมาได้ โดยกน้ั แสงสอี ่นื เอาไว้ข้ึ น ควา
แผ่นกรองแสงสีจะยอมใหแ้ สงสีเดยี วกับแผ่นกรองแสงสผี า่ นออกมาได้ โดยก้ันแสงสอี น่ื เอาไวข้ ้ึ
ชดุ แผน่ ตรวจสอบความบกพร่องการมองเหน็ สี
แผนการจัดการเรยี นร้ทู ี่ 18
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดับชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หน่วยกิต
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 6 แสงสี เวลา 4 ชวั่ โมง
เร่ือง การผสมแสงสี การผสมสารสี และการมองเห็น เวลา 2 ชั่วโมง
1. มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวช้ีวดั
มาตรฐาน
ว 2.3 เขา้ ใจความหมายของพลงั งาน การเปล่ียนแปลงและการถา่ ยโอนพลงั งานปฏิสมั พันธ์ระหวา่ งสสาร
และพลังงาน พลงั งานในชีวติ ประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณท์ ี่เกย่ี วขอ้ งกบั เสียง แสง และคล่นื
แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมทั้งนาความรไู้ ปใช้ประโยชน์
ตัวช้วี ัด
ว 2.3 ม.5/10 สังเกตและอธิบายการทางานของแผ่นกรองแสงสี การผสมแสงสี การผสมสารสีและการ
นาไปใช้ประโยชน์ในชวี ติ ประจาวัน
2. สาระสาคญั
แสงสีท่ีเราเห็นมีมากมายหลากหลายซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รูปกรวยให้ทางานรับรู้แสงสี แสงสีปฐมภูมิ 3 สี
คอื สีแดง สีเขียว และสนี ้าเงิน ซึ่งจะไปกระตุ้นเซลล์รปู กรวยท่ีไวต่อแสงสีน้ัน ๆ ให้ทางาน การผสมแสงสีปฐมภูมทิ ั้ง
3 สีในสัดส่วนที่พอเหมาะจะได้แสงขาว เมื่อนาแสงสีปฐมภูมิมาผสมกันจะได้แสงสีใหม่ท่ีนอกเหนือจาก 3 สีนี้เรา
สามารถมองเห็นแสงสอี ่ืน ๆ ได้นนั้ เกดิ จากการทางานร่วมกันของเซลล์รูปกรวยทง้ั 3 ชนิด
สารสีปฐมภูมิคือ สีแดงม่วง สนี ้าเงินเขียว และสเี หลือง การผสมสารสีปฐมภูมทิ ั้ง 3 สีในสัดส่วนทเ่ี หมาะสม
จะไดส้ ดี า เมือ่ สารสปี ฐมภมู มิ าผสมกนั จะไดส้ ารสีใหม่
การมองเห็นสตี ่างๆของวัตถุนนั้ นอกจากพิจารณาถงึ สารสีบนวัตถแุ ลว้ ยังต้องพจิ ารณาถึงแสงสีทฉ่ี ายลงบน
วัตถุด้วย ซ่ึงแสงสีต่างๆ ท่ีฉายลงบนวัตถุอาจทาให้มองเห็นสีของวัตถุท่ีผิดไปจากสารสีเดิมของวัตถุเมื่อมองภายใต้
แสงขาว
3. จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธิบายการผสมแสงสไี ด้
2) นักเรียนอธิบายแสงสีปฐมภูมิได้
3) นกั เรยี นอธิบายการผสมสารสีได้
4) นักเรียนอธิบายสารสีปฐมภูมไิ ด้
5) นักเรยี นอธิบายการมองเหน็ สขี องวตั ถุภายใตแ้ สงสตี ่างๆ ได้
6) นกั เรียนอธบิ ายการผสมแสงสแี ละการผสมสารสสี ามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ในชวี ิตประจาวนั ได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรียนสงั เกตการผสมแสงสีได้
2) นกั เรียนสังเกตการณผ์ สมสารสีได้
3) นักเรยี นสังเกตการมองเห็นสขี องวตั ถภุ ายใต้แสงสีตา่ งๆ ได้
3.3 ดา้ นคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรูแ้ ละเปน็ ผู้มีความมงุ่ มั่นในการทางาน
4. สาระการเรียนรู้
4.1 ความรู้
การผสมแสงสี
แสงสปี ฐมภูมิ ไดแ้ ก่ แสงสีเขียว แสงสีแดง และแสงสนี ้าเงนิ ซ่ึงเป็นแสงสีท่ีกระตุ้นเซลลร์ ูปกรวยท่ี
ไวต่อแสงสีเขียว แสงสีแดง และแสงสีน้าเงิน เพียงแสงสเี ดียว ตามลาดับ เม่ือนาแสงสีปฐมภูมมิ าผสมกันจะ
ไดแ้ สงสีใหม่ดังรูป 6.6 เชน่ แสงสีเขียวผสมกับแสงสีแดงได้เปน็ แสงสีเหลือง เพราะการมองเหน็ แสงสเี หลอื ง
เชลล์รูปกรวยที่ไวต่อแสงสีแดงและแสงสีเขียวจะถูกกระตุ้นให้ทางานร่วมกัน จากนั้นสัญญาณการกระตุ้น
ทงั้ หมดจะถูกส่งไปสู่สมอง เพ่ือแปลผลออกมาเป็นการมองเห็นสีเหลือง และเม่ือผสมแสงสีปฐมภูมิท้ัง 3 สี
ในสัดส่วนท่ีเหมาะสม จะไดแ้ สงขาว
รปู 6.6 การผสมแสงสปี ฐมภูมิ
แสงสีคู่ใดเม่ือผสมกันแล้วเป็นแสงขาว เรียกแสงสีคู่น้ันว่า แสงสีเติมเต็ม เช่น แสงสีแดงกับแสงสี
น้าเงนิ เขยี วผสมกนั จะได้แสงขาว
การผสมสารสี
รูป 6.7 การผสมสารสีปฐมภมู ิ
เมื่อนาสารสีต่าง ๆ มาผสมกันจะได้สารสีใหม่ท่ีต่างไปจากเดิม ดังรูป 6.8 สีแดงม่วง
สเี หลือง และสีน้าเงินเขียว เป็นสารสปี ฐมภูมิซึ่งสามารถนาสารสีปฐมภูมิเหล่านี้มาผสมกันได้เป็นสารสี
ทีต่ า่ งจากเดมิ และเมอื่ นาสารสีปฐมภมู ทิ ั้ง 3 สี มาผสมกนั ด้วยสัดส่วนท่ีเหมาะสมจะได้สารสีดา
เมื่อมีแสงขาวมากระทบวัตถุที่มีสารสีเหลือง สารสีเหลืองจะสะท้อนแสงสีเหลืองออกมา
ซง่ึ เซลลร์ บั แสงรูปกรวยทไี่ วตอ่ แสงสเี ขียวและแสงสีแดงจะถูกกระตุ้นจงึ มองเห็นเป็นสีเหลอื ง ดงั รูป
6.9 ก. และเมื่อมีแสงขาวมากระทบวัตถุที่มีสารสีน้าเงินเขียวน่ันคือวัตถุจะสะท้อนแสงสีเขียวและ
แสงสีนา้ เงินออกมา สว่ นแสงสีแดงจะถูกดูดกลนื ไว้ ซ่ึงเซลล์รับแสงรูปกรวยที่ไวต่อแสงสีเขยี วและ
แสงสนี ้าเงินจะถกู กระต้นุ จงึ มองเห็นวตั ถุน้ีมีสีน้าเงินเขยี ว ดังรูป 6.9 ข. ข้อสังเกต สารสปี ฐมภูมิ 2
สารสี เมอ่ื ผสมกันแลว้ สที ไ่ี ดจ้ ะมสี ีตรงกบั แสงสีปฐมภมู ิ คอื สารสเี ขยี ว สารสแี ดง และ สารสนี ้าเงนิ
รูป 6.9 การสะทอ้ นของแสงสขี อง ก.วตั ถุท่ีมีสารสีเหลอื ง และ ข.วัตถุท่ีมีสารสนี า้ เงินเขียว
การมองเหน็ สขี องวตั ถุภายใต้แสงสตี า่ งๆ
รูป 6.10 กหุ ลาบสีแดงภายใต้แสงขาวและแสงสนี ้าเงิน
จากรูป 6.10 สามารถอธิบายการเห็นสีของกุหลาบภายใต้แสงสขี าวและแสงสีน้าเงนิ ได้ดงั น้ี
สาหรับสีแดงของกหุ ลาบเมอ่ื อยู่ภายใตแ้ สงขาวจะเหน็ เป็นสีแดง น่นั คอื สารสีแดงของกหุ ลาบ
สะทอ้ นแสงสแี ดงและดูดกลืนแสงสีอน่ื ทง้ั หมด แต่เม่อื ฉายแสงสีนา้ เงนิ ลงบนสีแดงของกหุ ลาบ สารสีแดงจะ
ดูดกลนื แสงสีน้าเงินไว้ จงึ ไม่มีแสงสีใดสะท้อนออกมา ดังนน้ั บรเิ วณทเี่ ป็นสแี ดงจงึ เห็นเปน็ สีดา
ในกรณีเม่ือนาวตั ถุสเี ขยี วไปไว้ในแสงสีเหลืองซึ่งเปน็ แสงสที ี่ผสมกันระหว่างแสงสเี ขียวและแสงสี
แดง วตั ถสุ ีเขยี วจะดดู กลนื แสงสีแดไวแ้ ละสะท้อนแสงสีเขียวออกมา เราจึงมองเหน็ วัตถุเป็นสีเขียว สาหรับ
วัตถสุ เี หลอื ง ซ่ึงสะท้อนไดเ้ ฉพาะแสงสเี ขยี วและแสงสแี ดง เมอื่ นาไปวางไว้ในแสงสีแดงมว่ งซ่ึงเป็นแสงสี
ผสมกันของแสงสแี ดงและแสงสนี า้ เงนิ วัตถุสเี หลืองจะดดู กลนื สีน้าเงนิ ไว้แล้วสะทอ้ นออกมาเฉพาะแสงสี
แดง เราจงึ มองเหน็ วตั ถุเป็นสแี ดง
การนาไปใชป้ ระโยชนข์ องสารสีและแสงสี
เคร่ืองอุปโภคสง่ิ ของเครอ่ื งใช้ มนษุ ย์มีการใช้สีในชีวิตประจาวันมาต้ังแต่โบราณ ทัง้ ใช้สีที่ได้จาก
พชื และสตั ว์ในการย้อมตกแตง่ เสือ้ ผา้ เครอื่ งประดบั และสง่ิ ของเครอ่ื งใชต้ า่ ง ๆ ในปัจจุบนั ไดม้ ีวิธีสังเคราะห์
สไี ด้หลากหลายสี และสามารถผลิตสไี ด้ในปริมาณมาก ทาใหม้ กี ารใช้สีอย่างกวา้ งขวาง เช่น สีผสมอาหาร
สียอ้ มผ้า
สที าบ้าน การใช้สีทาท่อี ยู่อาศัยอาคารบา้ นเรือน นอกจากชว่ ยให้สวยงาม ยงั ช่วยปอ้ งกันความ
เสยี หายจากการใช้งานและทนทานต่อสภาพอากาศ เชน่ ป้องกันแสงแดด ปอ้ งกนั ความช้นื ป้องกนั สนมิ
ด้านสิง่ พิมพ์ โรงพิมพข์ นาดใหญ่ หรือ เคร่อื ง printer พิมพ์สที ่ีใชส้ ว่ นตวั มีสที ใี่ ชเ้ ป็นหมึกพมิ พ์
เพียง 4 สี คือ สนี ้าเงินเขยี ว (Cyan) สีแดงมว่ ง (Magenta) สีเหลือง (Yellow) สีดา (Black) โดยหมึกพิมพ์
4 สนี ้ี สามารถผสมกนั ในปริมาณต่าง ๆ ซึ่งสามารถพิมพ์งานได้เฉดสมี ากมายตามต้องการ
จอแสดงผลกับแสงสี สีสนั มากมายทเ่ี ราเหน็ บนหนา้ จอแสดงผลสมาร์ทโฟน หนา้ จอคอมพวิ เตอร์
เป็นระบบสี RGB ซ่ึงแสดงแสงสีหลกั คอื Red Green Blue โดยหนา้ จอจะมพี ิกเซลจานวนมากแต่ละ
พกิ เซลจะสามารถผสมแสงสี RGB ด้วยปรมิ าณตา่ ง ๆ กัน ทาให้ได้เฉดสีอน่ื ๆ นับไม่ถ้วน
จราจรกับแสงสี สัญญาณไฟจราจรต่าง ๆ ใช้สอื่ ความหมายในทางจราจรเพอื่ ใหผ้ ขู้ ับขเ่ี ข้าใจและ
ปฏิบัติตามกฎหมายเพื่อความปลอดภยั ในการเดนิ ทาง
4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอ่ื สาร (อ่าน ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จดั กลุ่ม สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (แกป้ ญั หาและอปุ สรรคตา่ งๆ ท่ีเผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสบื คน้ ผ่านคอมพิวเตอร)์
4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นยิ ม
ใฝ่เรยี นร้แู ละเป็นผ้มู ีความมงุ่ มัน่ ในการทางาน
5. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของผูเ้ รียน ซ่ือสัตย์สุจรติ มงุ่ มนั่ ในการทางาน มวี นิ ยั
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อยู่อย่างพอเพียง มีจิตสาธารณะ
รกั ความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้
6. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
ความสามารถในการคิด: นกั เรียนสามารถอธิบายเรือ่ งการผสมแสงสี การผสมสารสี และการมองเหน็ ได้
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขัน้ ท่ี 1 ขนั้ สร้างความสนใจ
1.1 ครเู ปดิ คลิปวีดีทัศน์การแสดงบนเวทีที่ใชแ้ สงสีตา่ งๆ ให้นกั เรยี นสงั เกตและตอบอยา่ งอสิ ระ
เพื่อนาเข้าส่กู จิ กรรม
https://www.youtube.com/watch?v=Zvb1rNuJ2C4
นกั เรียนเคยสงั เกตแสงสตี า่ ง ๆ ท่ีสอ่ งมาบนเวทกี ารแสดงว่าแสงท่ตี กบนเวทีเปล่ียนสไี ป
จากสีเดมิ ไดห้ รอื ไม่
1.2 ครตู ั้งคาถามนาเข้าสบู่ ทเรยี น เรอ่ื ง การผสมสารสี
ในวิชาศิลปะในการระบายสีนา้ ถ้านกั เรียนไม่มีสที ่ีต้องการสามารถนาสนี า้ มาผสมสกี ัน
ทาให้เกิดสีใหม่ได้หรอื ไม่
ขนั้ ท่ี 2 ขนั้ สารวจและค้นหา
2.1 นกั เรยี นแบง่ กลุ่มๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแต่ละกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 6.3 การผสมแสงสี และใบกจิ กรรม 6.4 การผสมสารสี
2.3 ครูแจง้ จุดประสงค์การเรียนรู้ อุปกรณ์ และข้ันตอนการทากิจกรรมอยา่ งละเอียด
2.4 นักเรียนทากิจกรรม สงั เกตและบนั ทึกผลกจิ กรรมลงในใบกจิ กรรม
2.5 นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ศกึ ษาใบกิจกรรม 6.5 การเหน็ สขี องวตั ถุภายใต้แสงสตี ่าง ๆ
2.5 นักเรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 6.5 – 6.8 ลงในสมดุ
ขน้ั ท่ี 3 ขั้นอธบิ ายและลงข้อสรุป
3.1 ครนู านกั เรียนอภิปรายผลกิจกรรม 6.3 เพื่อนาไปสู่การสรปุ โดยใช้คาถาม ดงั นี้
1) เมื่อฉายแสงสแี ดงกับสีเขยี ว แสงสีแดงผสมกับสีนา้ เงิน และแสงสนี า้ เงนิ ผสมกบั สีเขยี ว
ไปผสมกนั บนฉากขาวจะเหน็ เปน็ แสงสีใด ตามลาดบั (แนวการตอบ แสงสเี หลอื ง แสงสแี ดงม่วง และแสงสี
น้าเงนิ เขียว ตามลาดับ)
2) เมอ่ื ฉายแสงสีเขียว สีแดง และสีนา้ เงิน ไปผสมกันบนฉากขาวจะเห็นแสงสีใด (แนวการ
ตอบ แสงสีขาว)
3.2 นกั เรยี นและครูรว่ มกันอภิปรายและสรุปผลกจิ กรรม 6.3 ดังน้ี
แสงสีปฐมภูมิ คือ แสงสีแดง แสงสีเขียว และแสงสีน้าเงิน ซึ่งจะกระตุ้นการทางานของ
เซลล์รับแสงรูปกรวยที่ไวต่อแสงสีชนิดน้ัน เม่ือนาแสงสีปฐมภูมิมาผสมกันจะได้แสงสีใหม่ การนาแสงสี
ปฐมภูมทิ ัง้ 3 สมี าผสมกนั ในสดั สว่ นทีพ่ อเหมาะจะไดแ้ สงขาว
3.3 ครูนานกั เรยี นอภิปรายผลกจิ กรรม 6.4 เพ่อื นาไปสกู่ ารสรปุ โดยใชค้ าถาม ดังนี้
1) เม่อื ผสมสารสีเหลอื งกับสนี า้ เงินเขียว สีเหลืองกบั สีแดงม่วง สแี ดงม่วงกับสีน้าเงนิ เขยี ว
ไดผ้ ลเป็นสีใดตามลาดบั (แนวการตอบ ในการทากจิ กรรมจะไดส้ ที ่ีใกลเ้ คยี งสีเขยี ว สแี ดง และสีนา้ เงิน
ตามลาดบั ท้ังน้ีครตู ้องอธิบายวา่ โดยทฤษฎีจะต้องได้เปน็ สีเขยี ว สีแดง และสนี ้าเงนิ ตามลาดบั )
2) เม่อื ผสมสารสีท้ัง 3 สี ได้ผลเป็นสใี ด (แนวการตอบ ในการทากิจกรรมอาจได้สที ี่
ใกล้เคยี งสีดา ครูตอ้ งอธิบายวา่ โดยทฤษฎีจะตอ้ งได้เป็นสดี า)
3.4 นกั เรียนและครรู ่วมกันอภิปรายและสรปุ ผลกจิ กรรม 6.4 ดังน้ี
สารสีปฐมภูมิประกอบด้วย สารสีแดงม่วง สารสีนา้ เงินเขยี ว และสารสีเหลือง การนาสาร
สีมาผสมกันจะได้สารสีใหม่ และเม่ือนาสารสีปฐมภมู ิท้ัง 3 สี มาผสมกันด้วยสัดส่วนที่เหมาะสมจะไดส้ ารสี
ดา
3.5 ครนู านกั เรียนอภิปรายผลกจิ กรรม 6.5 เพื่อนาไปสูก่ ารสรุปโดยใชค้ าถาม ดังน้ี
1) เมอ่ื ฉายแสงจากแหลง่ กาเนิดแสงสีแดงไปบนวัตถุสขี าว เรามองเหน็ เป็นสอี ะไร เพราะ
เหตุใด (แนวการตอบ เหน็ วัตถุเป็นสีแดง เนอื่ งจากวตั ถสุ ขี าวไมไ่ ด้ดูดกลนื แสงสีใดไวเ้ มื่อฉายแสงสีแดงลงไป
จงึ สะทอ้ นสแี ดงออกมา)
2) เมอ่ื ฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสีเขยี วไปบนวัตถสุ ดี า เรามองเหน็ เป็นสีอะไร เพราะ
เหตใุ ด (แนวการตอบ เห็นวัตถุเป็นสดี า เนือ่ งจากวตั ถสุ ีดา ดดู กลืนทุกแสงสีจึงไม่มแี สงสใี ดสะท้อนออกมา)
3) เมอื่ ฉายแสงจากแหลง่ กาเนิดแสงสนี ้า เงินไปบนวัตถสุ ีแดง เรามองเหน็ เป็นสอี ะไร
เพราะเหตุใด (แนวการตอบ เห็นวตั ถเุ ป็นสีดา เนอ่ื งจากวัตถสุ แี ดงจะดดู กลืนแสงสีนา้ เงิน จึงไม่มีแสงสใี ด
สะทอ้ นออกมา)
4) เม่ือฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสีแดงไปบนวตั ถุสีเหลอื ง เรามองเหน็ เป็นสีอะไร
เพราะเหตุใด (แนวการตอบ เหน็ วตั ถุเปน็ สีแดง เน่ืองจากวตั ถุสีเหลืองสะท้อนแสงสีเขยี วและสีแดงออกมา
เมอ่ื ฉายแสงสแี ดงลงบนวตั ถุสเี หลืองจึงสะทอ้ นแสงสแี ดงออกมาทาใหเ้ ห็นเป็นวตั ถสุ ีแดง)
3.6 นกั เรยี นและครูร่วมกนั อภปิ รายและสรุปผลกจิ กรรม 6.5 ดงั นี้
การมองเห็นสีของวัตถุภายใต้แสงสีต่าง ๆ นั้น ต้องพิจารณาถึงสารสีของวัตถุสามารถ
ดูดกลืนและสะท้อนแสงสีใดไดร้ วมถึงแสงสีท่ีฉายลงบนวตั ถุโดยจะเหน็ สีวัตถุจากแสงสที ส่ี ะท้อนออกมา เช่น
สาหรบั วัตถสุ ีแดงเมื่ออยูภ่ ายใต้แสงขาวจะเห็นเป็นสีแดง เพราะวัตถสุ ีแดงจะสะท้อนแสงสีแดง และดูดกลืน
แสงสอี นื่ แตเ่ ม่ือฉายแสงสีนา้ เงินลงบนวตั ถุสีแดง วตั ถุสแี ดงจะดูดกลืนแสงสนี ้าเงินไว้จงึ ไม่มแี สงสีใดสะทอ้ น
ออกมา ดังน้ันวัตถุสแี ดงจงึ เห็นเปน็ สดี า ภายใต้แสงสีนา้ เงิน
ขนั้ ที่ 4 ขั้นขยายความรู้
4.1 ครใู ห้ความรู้เพ่ิมเติม การเหน็ แสงสีอืน่ ๆ ท่ีไมใ่ ช่แสงสีปฐมภูมิเป็นการทางานรว่ มกนั ของเซลล์
รปู กรวยชนิดต่าง ๆ เช่น เม่อื ผสมแสงสีแดงกับแสงสีเขียว ตาเห็นเป็นแสงสีเหลืองเพราะเซลล์รูปกรวยที่ไว
ต่อแสงสีแดงและแสงสีเขยี วจะถกู กระตุ้นให้ทางานร่วมกันแลว้ ส่งให้สมองแปลการรับรู้แสง แสงสคี ใู่ ดทผี่ สม
กันแล้วได้แสงขาว เรียกว่า แสงสีเตมิ เตม็
4.2 ครูให้ความรูเ้ พ่มิ เติม เมอื่ แสงขาวตกกระทบวัตถุ วัตถจุ ะดดู กลืนแสงสบี างแสงสไี ว้และสะทอ้ น
บางแสงสีมาเข้าตาเราจึงทาให้เราเห็นวัตถุมีสีนั้น เช่น วัตถสุ ีเหลือง เม่ือมีแสงขาวมากระทบวัตถุท่ีมีสารสี
เหลือง สารสีเหลืองจะดูดกลืนแสงสีอ่ืนไว้แล้วสะท้อนแสงสีแดงและแสงสีเขียวออกมา เม่ือแสงท้ังสองสี
กระทบจอตา เซลลร์ ูปกรวยที่ไวต่อแสงสเี ขียวและแสงสีแดงจะถกู กระตุน้ ใหท้ างานร่วมกนั
4.3 ครูให้ความรู้เพิ่มเติม การผสมสารสีนั้น สีใหม่ท่ีได้จะดูดกลืนแสงสีได้มากข้ึน ทาให้เห็นสารสี
ผสมมสี ีใหม่ เช่น การผสมสารสีน้าเงินเขียวกับสารสีเหลืองจะได้สารสีเขียวออกมาเพราะสารสีนา้ เงินเขียว
จะสะท้อนแสงสีน้าเงินกับแสงสีเขียวออกมาแต่ดูดกลนื แสงสีอื่น ส่วนสารสีเหลืองจะสะท้อนแสงสีแดงกับ
แสงสีเขยี วออกมาและดดู กลืนแสงสีอนื่ ดังนั้นเมื่อผสมสารสีน้าเงินเขียวกับสารสีเหลือง จงึ เหลอื เพียงแสงสี
เขยี วทีส่ ะทอ้ นออกมาได้ จงึ ทาให้ตาเห็นเปน็ สเี ขยี ว
4.4 ครูให้ความรู้เพ่ิมเติมเก่ียวกับการนาไปใช้ประโยชน์ของสารสีและแสงสี ตามรายละเอียดใน
หนงั สือเรยี น หน้า 201
ขั้นท่ี 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นกั เรียนสง่ ใบกจิ กรรม 6.3 การผสมแสงสี
5.1 นักเรียนสง่ ใบกิจกรรม 6.4 การผสมสารสี
5.2 นักเรยี นสง่ ใบกิจกรรม 6.5 การเหน็ สีของวตั ถุภายใตแ้ สงสีต่าง ๆ
5.2 นักเรยี นส่งสมุดนกั เรียน (ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 6.5 และ 6.8 ในหนงั สอื เรยี น)
8. สอื่ การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ชน้ั มัธยมศึกษาปีที่ 5 เล่ม 2
(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม 6.3 การผสมแสงสี
8.3 ใบกิจกรรม 6.4 การผสมสารสี
8.4 ใบกจิ กรรม 6.5 การเห็นสขี องวัตถุภายใต้แสงสีตา่ ง ๆ
8.5 วัสดุและอุปกรณ์ในการทากจิ กรรมการผสมแสงสี
8.6 วสั ดุและอปุ กรณ์ในการทากิจกรรมการผสมสารสี
8.7 วสั ดุและอปุ กรณ์ในการทากิจกรรมการเห็นสีของวตั ถุภายใต้แสงสตี า่ ง ๆ
8.8 วีดที ศั น์การแสดงบนเวทีท่ใี ช้แสงสตี ่างๆ
- https://www.youtube.com/watch?v=Zvb1rNuJ2C4
9. ช้นิ งาน/ภาระงาน
-
10. การวัดและประเมนิ ผล
10.1 การประเมินระหว่างการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
ตัวชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ ีการวดั เคร่ืองมือวัด เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการ
ประเมนิ
ดา้ นความรู้: 1) ตรวจสมดุ 1) แบบประเมนิ
1) นักเรียนอธิบายการ นกั เรียน ในตอบ การทากจิ กรรม 1) นักเรยี นสามารถ
ผสมแสงสีได้ คาถามตรวจสอบ ตอบคาถามได้ระดับดี
2) นกั เรยี นอธิบายแสงสี ความเขา้ ใจ 6.5 6.6 ผ่านเกณฑ์
ปฐมภมู ไิ ด้ 6.7 และ 6.8
3) นักเรยี นอธิบายการ
ผสมสารสไี ด้
4) นักเรยี นอธิบายสารสี
ปฐมภมู ไิ ด้
5) นกั เรียนอธิบายการ
มองเหน็ สีของวัตถุภายใต้
แสงสตี ่างๆ ได้
6) นักเรยี นอธิบายการ
ผสมแสงสีและการผสม
สารสสี ามารถนาไปใช้
ประโยชนใ์ น
ชีวิตประจาวันได้
ดา้ นกระบวนการ: 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรียนบันทกึ และ
สรุปผลกิจกรรมได้
1) นกั เรียนสงั เกตการ 6.3 การผสมแสงสี การทากจิ กรรม ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
ผสมแสงสีได้ 2) ตรวจใบกิจกรรม 1) นกั เรียนทาภาระงาน
ทไี่ ดร้ ับมอบหมายได้
2) นักเรียนสังเกตการผสม 6.4 การผสมสารสี ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
สารสไี ด้ 3) ตรวจใบกิจกรรม
6.5 การเหน็ สีของวตั ถุ
ภายใต้แสงสีตา่ ง ๆ
ด้านเจตคติ: 1) ตรวจสมุด 1) แบบประเมนิ
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี นักเรียน ในตอบ การทากิจกรรม
ความม่งุ มัน่ ในการทางาน คาถามตรวจสอบ
ความเขา้ ใจ 6.5 6.6
6.7 และ 6.8
2) ตรวจใบกิจกรรม
6.3 การผสมแสงสี
3) ตรวจใบกิจกรรม
6.4 การผสมสารสี
4) ตรวจใบกจิ กรรม
6.5 การเห็นสีของวัตถุ
ภายใตแ้ สงสีต่าง ๆ
11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................
ลงช่ือ ผ้สู อน
(นางสาวจริ นันท์ ต่อมหล้า)
12. ข้อคดิ เหน็ ของหัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ...............................................................
( นายนันท์ กอ้ คา )
หวั หนา้ กล่มุ สาระการเรียนร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
13. ข้อคิดเหน็ /ขอ้ เสนอแนะผชู้ ่วยผอู้ านวยการกลมุ่ งานบริหารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ...............................................................
(....................................................)
ผชู้ ว่ ยผ้อู านวยการกลุ่มงานบรหิ ารวชิ าการ
การอนมุ ตั กิ ารใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้จากฝ่ายบริหาร
ความคดิ เห็นของรองผู้อานวยการฝา่ ยวชิ าการ
....................................................................................................................................................................................
เหน็ สมควรอนุมตั ิให้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
เหน็ สมควรไมอ่ นุมัตใิ หใ้ ชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน เพราะ....................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชือ่ ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )
รองผอู้ านวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวชิ าการ
การอนมุ ตั จิ ากผอู้ านวยการโรงเรยี น
อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน
ไมอ่ นมุ ตั ใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ..............................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาลี)
ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
บันทกึ ผลการใช้แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 18
รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5
เรอ่ื ง การผสมแสงสี การผสมสารสี และการมองเหน็ เวลา 2 ชั่วโมง
……………………………………………………………….
1. จานวนนกั เรียนท่ีสอน
ระดับชั้น จานวนนกั เรยี น (คน)
ม.5/1 34
ม.5/2 35
ม.5/3 36
รวม 105
2. บนั ทึกผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2.2 ขอ้ สังเกต/ข้อค้นพบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
2.3 ปัญหา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
3. การประเมินผลการสอน
รายการประเมนิ ดีมาก ระดบั คณุ ภาพ
ดี พอใช้ ปรบั ปรุง
1. ความเหมาะสมของระยะเวลา
2. ความเหมาะสมของเนื้อหา
3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรยี นการสอน
4. ความเหมาะสมของสอื่ การสอนท่ใี ช้
5. พฤตกิ รรม/การมีสว่ นรว่ มของนกั เรียน
6. ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรียนและ
หลังเรียน
สรปุ ภาพรวม
4. สรุปผลการวดั ผลประเมินผล 4 ระดับคณุ ภาพ 1
การวัดผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
1. ความรู้ ระดบั คณุ ภาพ รวม
1.1 ใบกิจกรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลังเรียน
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ ร้อยละ
2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกล่มุ
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ
3. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ระดบั 3 ขน้ึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ
การวดั ผลประเมนิ ผล
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ
ลงชอ่ื ............................................ครูผ้สู อน
(นางจริ นันท์ ต่อมหล้า)
ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผ้นู ิเทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชื่อ................................................ผนู้ เิ ทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)
หวั หน้ากล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรยี นฝ่ายบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )
รองผ้อู านวยการฝา่ ยบริหารวชิ าการ
ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ........................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาล)ี
ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)
321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน
สรุปผล
ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ
............../.................../...............
แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้
ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม
ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน
กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้
สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น
มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ
สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน
สมบรู ณ์
เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ
ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า
กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้
ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ
ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่
ถูกต้อง
เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรปุ ผล
ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............
ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย
เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรยี น
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรอื่ ง การผสมแสงสแี ละการผสมสารสี
ประเดน็ การ คา่ นา้ หนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วนทุกขอ้
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน 4-7 ขอ้
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถูกตอ้ งครบถ้วน 1-3 ขอ้ หรอื ไมถ่ กู ต้อง
1 บนั ทึกและสรปุ ผลของกจิ กรรมไดถ้ ูกต้องครบถ้วน
ด้าน 3 บนั ทกึ และสรุปผลของกิจกรรมไดค้ อ่ นข้างถกู ต้องครบถ้วน
กระบวนการ 2 บนั ทึกและสรุปผลของกิจกรรมไมถ่ กู ตอ้ ง
1 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด และเรยี บร้อยถกู ตอ้ งครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด แต่งานยังผดิ พลาดบางส่วน
ดา้ น 2 ทาภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดบางสว่ น
คุณลกั ษณะ 1
(A)
ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดับพอใช้
คะแนน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เรอ่ื ง การเหน็ สีของวัตถภุ ายใตแ้ สงสีต่าง ๆ
ประเดน็ การ คา่ นา้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ กู ต้องครบถ้วนทกุ ขอ้
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถูกต้องครบถ้วน 2 ข้อ
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน 1 ขอ้ หรอื ไมถ่ กู ต้อง
1 บนั ทึกและสรุปผลของกิจกรรมไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วน
ดา้ น 3 บนั ทกึ และสรุปผลของกิจกรรมได้คอ่ นข้างถกู ต้องครบถว้ น
กระบวนการ 2 บันทึกและสรุปผลของกจิ กรรมไม่ถูกตอ้ ง
1 ทาภาระงานที่ไดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด และเรียบรอ้ ยถูกตอ้ งครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แตง่ านยังผดิ พลาดบางสว่ น
ด้าน 2 ทาภาระงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางสว่ น
คุณลักษณะ 1
(A)
ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
ใบกิจกรรม 6.3 การผสมแสงสี
1. รายชื่อสมาชิกกลมุ่ ที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
สงั เกตและอธิบายการผสมแสงสี
3. วสั ด-ุ อุปกรณ์ 1 ชุด
1) ชุดกล่องผสมแสงสหี รือแหลง่ กาเนิดแสงอน่ื ทีใ่ ห้สเี ขียว สีนา้ เงนิ สแี ดง 1 แผ่น
2) ฉากขาว
4. วิธที ากิจกรรม
1) นาชุดกล่องผสมแสงสไี ปรบั แสงขาว แล้วปรบั แสงสที ีละคู่ใหฉ้ ายไปผสมกันบนฉากสขี าวอาจใช้แสงจากแหลง่ กาเนดิ
แสงอนื่ แทน เชน่ หลอดไฟทีใ่ ห้แสงสีเขียว สนี า้ เงิน สีแดง หรือแสงท่ีผ่านแผ่นกรองแสงสี สังเกตสีท่ีเกดิ ขน้ึ
2) ฉายแสงสที ัง้ สามแสงสีผสมกันบนฉากสีขาว สังเกตสที ่ีเกิดขึน้