The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ao_jiranan, 2022-02-15 10:40:17

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ

ลงชอ่ื ............................................ครูผสู้ อน
(นางจิรนนั ท์ ตอ่ มหลา้ )

ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นเิ ทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ................................................ผูน้ ิเทศ
(นายนันท์ กอ้ คา)

หวั หน้ากลุม่ สาระการเรียนรวู้ ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงช่อื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )

รองผูอ้ านวยการฝา่ ยบรหิ ารวิชาการ

ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นางวลิ าวัลย์ ปาล)ี

ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวัดพะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน

สรุปผล

ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้

ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้

สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น

มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน

สมบรู ณ์

เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า

กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้

ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ

ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่

ถูกต้อง

เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)

321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน

สรปุ ผล

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............

ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย

เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรียน
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เร่อื ง คลื่นกล

ประเดน็ การ คา่ นา้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วนทกุ ข้อ
ดา้ นความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถูกตอ้ งครบถ้วน 4-5 ขอ้
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วน 1-3 ข้อ
1 สรา้ งและประดษิ ฐแ์ ผ่นพับไดถ้ ูกตอ้ ง และสรุปองค์ความรู้ พร้อมตกแตง่ สวยงาม
ดา้ น 3 สรา้ งและประดิษฐแ์ ผ่นพบั ไดค้ อ่ นข้างถกู ตอ้ ง และสรปุ องค์ความรู้ พร้อมตกแตง่ สวยงาม
กระบวนการ 2 สร้างและประดษิ ฐแ์ ผน่ พับไดค้ ่อนข้างถูกต้อง และสรุปองค์ความรู้ แตไ่ มส่ วยงาม
1 ทาภาระงานท่ีไดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด และเรยี บรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานที่ไดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางสว่ น
ด้าน 2 ทาภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผิดพลาดบางสว่ น
คณุ ลักษณะ 1
(A)

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่อื ง การสะทอ้ นของคล่นื

ประเด็นการ คา่ น้าหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
สรุปผลของกิจกรรมได้ถูกต้องครบถว้ น
ด้านความรู้ 3 สรุปผลของกจิ กรรมไดค้ อ่ นขา้ งถูกต้อง
(K) 2 สรุปผลของกจิ กรรมไม่ถกู ตอ้ ง
1 บนั ทกึ ผลของกจิ กรรมได้ถกู ต้องครบถว้ น
ด้าน 3 บนั ทกึ ผลของกิจกรรมไดค้ อ่ นขา้ งถกู ตอ้ ง
กระบวนการ 2 บนั ทกึ ผลของกจิ กรรมไม่ถูกตอ้ ง
1 ทาภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด และเรียบรอ้ ยถูกต้องครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
ดา้ น 2 ทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ข้อผิดพลาดบางส่วน
คุณลักษณะ 1
(A)

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

ใบกิจกรรม 4.1 การสะทอ้ นของคลน่ื บนขดลวดสปริง

1. รายชือ่ สมาชิกกลุม่ ท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
สังเกตและอธบิ ายการสะทอ้ นของคลื่นบนขดลวดสปรงิ

3. วสั ด-ุ อุปกรณ์

1) ขดลวดสปริง 1 ขด
เสน้
2) เส้นเชอื กสา หรบั ผูกสปรงิ 1

4. วธิ ที ากิจกรรม
1) จัดวางลวดสปรงิ บนพนื้ หอ้ ง ยึดปลายคน้ หนึ่งของสปรงิ ทว่ี างบนพน้ื ให้ตรงึ อยูก่ ับที่ผกู เสน้ เชอื กไวท้ ่ตี วั สปริงเพ่ือเป็นจุด
สงั เกต จากนน้ั ดงึ ปลายสปรงิ อีกขา้ งหนง่ึ ให้ยึดแล้วสะบัดปลายอกี ด้านหนงึ่ ในแนวระดับขนานกบั พ้นื ซา้ ย-ขวา
เพอ่ื สร้างคล่นื ตามขวางหนง่ึ ลูก (ดงั รปู ก.) สังเกตผลเมอ่ื คล่นื เคล่ือนทไี่ ปพบกับปลายสปริงด้านทยี่ ึดไว้

2) ทาซา้ ในขอ้ 1) แต่เปล่ยี นเป็นการดึงและดันปลายสปรงิ 1 ครั้ง เพ่อื สร้างคล่นื ตามยาว 1 ลกู (ดงั รปู ข.) สังเกตผลเม่อื คลนื่
เคล่อื นทไี่ ปพบกับปลายสปรงิ ด้านท่ยี ดึ ไว้

5. ผลการทากจิ กรรม
ดึงปลายสปริงอกี ข้างหนึง่ ให้ยดึ แลว้ สะบดั ปลายอีกดา้ นหน่ึงในแนวระดับขนานกบั พืน้ ซา้ ย-ขวา คล่ืนจะเคลอ่ื นท่ี

กลับออกมา ซ่งึ มีทศิ การเคลอ่ื นทต่ี รงข้ามกับคลื่นทีเ่ คล่อื นทเ่ี ข้าหาทีย่ ดึ เม่ือดึงและดนั ปลายสปริง 1 คร้ัง เพื่อสรา้ ง

คลืน่ ตามยาว 1 ลูก คล่ืนจะเคลือ่ นท่ีกลับออกมา ซึ่งมที ศิ การเคลอื่ นที่ตรงข้ามกับคลืน่ ที่เคลื่อนท่ีเข้าหาทีย่ ดึ ท่จี ุกยาง

เคลอื่ น ท่เี ปน็ วงกลม เมอ่ื ความเรว็ ในก ารเคล่อื นทีข่ องจกุ ยางเพม่ิ ขึ้น แรงดงึ

ในขณะทจี่ ุกยางเคลอื่ นที่เป็นวงกลม เมื่อความเร็วในก ารเคล่อื นท่ีของจกุ ยางเพิ่มขึ้น แรงดงึ เชอื กจะ

6. คาถามทา้ ยกิจกรรม

1) เมอ่ื คลืน่ ตามขวางบนขดลวดสปริงเคลื่อนที่ไปถงึ ปลายสปริงที่ยึดไวแ้ ล้ว คลน่ื มีการเคล่อื นท่ีอย่างไร มี
ตอบ มีคลน่ื ตามขวางจะเคลื่อนที่กลบั ออกมา ซง่ึ มีทศิ การเคลอื่ นทตี่ รงข้ามกบั คล่ืนทีเ่ คลอ่ื นท่ีเขา้ หาทีย่ ดึ

มแี รงดงึ เชอื กกระทา ตอ่ จุกยาง โดยมที ิศทางเข้าสูศ่ ูนยก์ ลางของการเคลือ่ นท่ี มี

2) เม่อื คลน่ื ตามยาวบนขดลวดสปริงเคลื่อนทีไ่ ปถงึ ปลายสปริงทีย่ ึดไว้แล้ว คลน่ื มกี ารเคล่อื นท่อี ย่างไร

ตอบ มคี ลนื่ ตามยาวจะเคลอื่ นที่กลบั ออกมา ซง่ึ มที ศิ การเคลื่อนท่ีตรงข้ามกบั คลนื่ ท่ีเคลือ่ นท่ีเขา้ หาท่ยี ดึ f

มแี รงดึงเชือกกระทาต่อจุกยาง โดยมที ศิ ทางเข้าสู่ศนู ยก์ ลางของก ารเคลอ่ื นท่ี มี

7. สรุปผลการทากจิ กรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ เมอื่ คลน่ื ตกกระทบท่ีปลายสดุ ของสปริงท่ีถูกตรงึ ไว้ จะเกิดคลื่นสะท้อนมที ิศตรงกัน

ขา้ มกบั คลื่นตกกระทบ อ

B

B

B

B

B

ใบกจิ กรรม 4.2 การสะท้อนของคลืน่ ผิวน้า

1. รายช่อื สมาชิกกลุ่มท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
สังเกตและอธิบายการสะท้อนของคลื่นผวิ นา้

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชุด
1) ชดุ ถาดคลื่น 1 อัน
2) แผ่นก้นั

4. วิธที ากจิ กรรม
1) จัดเตรยี มชดุ ถาดคลน่ื เตมิ น้าให้มีความลึกที่เหมาะสม
2) วางที่กน้ั แนวเส้นตรงห่างแหลง่ กาเนดิ (ดังรูป) ผลติ คลืน่ หน้าตรงไปกระทบตงั้ ฉากกับที่ก้ันแนวเส้นตรง สังเกตผลจากภาพ
ของคลน่ื ผิวน้าบนฉากใต้ถาดคลนื่
3) จัดท่กี ้ันแนวเส้นตรงให้คลืน่ ไปกระทบในทศิ ทามุมตา่ งๆ กับทกี่ ้ันแนวตรง แลว้ สังเกตผลจากภาพของคล่นื ผิวนา้ บนฉากใต้
ถาดคล่นื

รปู การจัดอปุ กรณก์ จิ กรรมสาธิตการสะท้อนของคลื่นผิวน้า

5. ผลการทากจิ กรรม

6. คาถามทา้ ยกิจกรรม มี
1) เม่อื คลื่นผิวน้าหน้าตรงไปกระทบตัง้ ฉากกบั ทีก่ ้ันแนวตรง คลน่ื ผิวน้ามีการเคล่อื นท่ีอยา่ งไร มี
ตอบ คล่ืนผิวนา้ หนา้ ตรงจะเคลอื่ นท่กี ลับออกจากที่กัน้ ในแนวเดมิ ซง่ึ มีทศิ ตรงขา้ มกับคล่นื ท่ีตกกระทบ
มีแรงดงึ เชือกกระทา ตอ่ จุกยาง โดยมีทิศทางเขา้ สู่ศนู ย์กลางของการเคลอื่ นที่
2) เมอื่ คล่นื ผวิ น้าหนา้ ตรงไปกระทบทา มมุ ตา่ งๆ กบั ทกี่ ้นั แนวตรง คลน่ื ผวิ นา้ มกี ารเคล่ือนทอ่ี ย่างไร

ตอบ คลื่นผิวนา้ หน้าตรงจะเคลอ่ื นท่กี ลับออกไปจากแผ่นกน้ั เปน็ มมุ ทไี่ มใ่ ช่แนวเดมิ กบั แนวคล่ืนท่ไี ปตกกระทบ

มแี รงดึงเชือกกระทาต่อจุกยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ สู่ศูนย์กลางของก ารเคลอื่ นที่ มี

7. สรุปผลการทากจิ กรรม

จากการทากิจกรรม พบว่า เมือ่ มีคล่ืนหน้าตรงไปตกกระทบกับที่กัน้ แนวเส้นตรงจะเกิดคล่ืนหน้าตรงสะทอ้ น

ออกจากแผน่ กนั้ ซึง่ มีทศิ ตรงขา้ มกบั คลื่นนา้ ทตี่ กกระทบแผ่นกัน้ และเม่อื เปล่ยี นมมุ แผ่นกัน้ ทาให้คล่นื ตกกระทบในทิศ

ทามุมใดๆ กับแผน่ กั้น จะมีคลน่ื สะทอ้ นออกจากแผน่ กัน้ ทามุมนั้นๆ ทไ่ี ม่ได้อยใู่ นแนวเดิมกับคล่ืนตกกระทบ อ

B

B

B

B

B

เฉลยใบกจิ กรรม 4.1 การสะท้อนของคลน่ื บนขดลวดสปริง

1. รายช่ือสมาชิกกลมุ่ ที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
สงั เกตและอธิบายการสะท้อนของคล่ืนบนขดลวดสปริง

3. วัสด-ุ อุปกรณ์

1) ขดลวดสปริง 1 ขด
เสน้
2) เส้นเชอื กสา หรับผูกสปรงิ 1

4. วิธที ากิจกรรม
1) จดั วางลวดสปรงิ บนพื้นหอ้ ง ยึดปลายคน้ หนง่ึ ของสปริงทีว่ างบนพนื้ ใหต้ รึงอยู่กับทผ่ี ูกเส้นเชือกไวท้ ่ตี ัวสปริงเพื่อเปน็ จุด
สังเกต จากนน้ั ดึงปลายสปริงอกี ข้างหนง่ึ ให้ยดึ แล้วสะบดั ปลายอีกด้านหนงึ่ ในแนวระดบั ขนานกบั พืน้ ซ้าย-ขวา
เพือ่ สรา้ งคลน่ื ตามขวางหนึง่ ลกู (ดงั รูป ก.) สงั เกตผลเม่อื คลืน่ เคลือ่ นท่ีไปพบกับปลายสปริงด้านทย่ี ึดไว้

2) ทาซ้าในขอ้ 1) แตเ่ ปลยี่ นเป็นการดงึ และดนั ปลายสปริง 1 คร้งั เพือ่ สรา้ งคลน่ื ตามยาว 1 ลกู (ดังรปู ข.) สงั เกตผลเม่ือคล่นื
เคล่ือนทไี่ ปพบกับปลายสปรงิ ด้านท่ียึดไว้

5. ผลการทากจิ กรรม
ดึงปลายสปริงอกี ข้างหนึง่ ให้ยดึ แลว้ สะบดั ปลายอีกดา้ นหน่ึงในแนวระดับขนานกบั พืน้ ซา้ ย-ขวา คล่ืนจะเคลอ่ื นท่ี

กลับออกมา ซ่งึ มีทศิ การเคลอ่ื นทต่ี รงข้ามกับคลื่นทีเ่ คล่อื นทเ่ี ข้าหาทีย่ ดึ เม่ือดึงและดนั ปลายสปริง 1 คร้ัง เพื่อสรา้ ง

คลืน่ ตามยาว 1 ลูก คล่ืนจะเคลือ่ นท่ีกลับออกมา ซึ่งมที ศิ การเคลอื่ นที่ตรงข้ามกับคลืน่ ที่เคลื่อนท่ีเข้าหาทีย่ ดึ ทจ่ี ุกยาง

เคลอื่ น ท่เี ปน็ วงกลม เมอ่ื ความเร็วในก ารเคล่อื นทีข่ องจกุ ยางเพม่ิ ขึ้น แรงดงึ

ในขณะทจี่ ุกยางเคลอื่ นที่เป็นวงกลม เมื่อความเรว็ ในก ารเคล่อื นท่ีของจกุ ยางเพิ่มขึ้น แรงดงึ เชอื กจะ

6. คาถามทา้ ยกิจกรรม

1) เมอ่ื คลืน่ ตามขวางบนขดลวดสปริงเคลื่อนที่ไปถงึ ปลายสปริงที่ยึดไวแ้ ล้ว คลน่ื มีการเคล่อื นท่ีอย่างไร มี
ตอบ มีคลน่ื ตามขวางจะเคลื่อนที่กลบั ออกมา ซง่ึ มีทศิ การเคลอื่ นทตี่ รงข้ามกบั คล่ืนทีเ่ คลอ่ื นท่ีเขา้ หาทีย่ ดึ

มแี รงดงึ เชอื กกระทา ตอ่ จุกยาง โดยมที ิศทางเข้าสูศ่ ูนยก์ ลางของการเคลือ่ นท่ี มี

2) เม่อื คลน่ื ตามยาวบนขดลวดสปริงเคลื่อนทีไ่ ปถงึ ปลายสปริงทีย่ ึดไว้แล้ว คลน่ื มกี ารเคล่อื นท่อี ย่างไร

ตอบ มคี ลนื่ ตามยาวจะเคลอื่ นที่กลบั ออกมา ซง่ึ มที ศิ การเคลื่อนท่ีตรงข้ามกบั คลนื่ ท่ีเคลือ่ นท่ีเขา้ หาท่ยี ดึ f

มแี รงดึงเชือกกระทาต่อจุกยาง โดยมที ศิ ทางเข้าสู่ศูนยก์ ลางของก ารเคลอ่ื นท่ี มี

7. สรุปผลการทากจิ กรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ เมอื่ คลน่ื ตกกระทบท่ีปลายสดุ ของสปริงท่ีถูกตรงึ ไว้ จะเกิดคลื่นสะท้อนมที ิศตรงกัน

ขา้ มกบั คลื่นตกกระทบ อ

B

B

B

B

B

เฉลยใบกิจกรรม 4.2 การสะทอ้ นของคลนื่ ผิวนา้

1. รายช่ือสมาชกิ กล่มุ ที่ …………………………………………………….. ช้นั …………………………………

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
สงั เกตและอธิบายการสะท้อนของคลน่ื ผวิ นา้

3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ
1) ชุดถาดคล่ืน 1 อัน
2) แผน่ ก้นั

4. วิธีทากิจกรรม
1) จัดเตรยี มชุดถาดคลนื่ เติมนา้ ให้มีความลกึ ท่เี หมาะสม
2) วางทกี่ ั้นแนวเส้นตรงห่างแหล่งกาเนิด (ดงั รูป) ผลติ คลน่ื หน้าตรงไปกระทบตัง้ ฉากกับทกี่ นั้ แนวเสน้ ตรง สงั เกตผลจากภาพ
ของคลนื่ ผวิ น้าบนฉากใต้ถาดคล่ืน
3) จดั ทก่ี ั้นแนวเส้นตรงใหค้ ลนื่ ไปกระทบในทิศทามมุ ตา่ งๆ กบั ท่กี น้ั แนวตรง แลว้ สังเกตผลจากภาพของคลนื่ ผิวน้าบนฉากใต้
ถาดคลน่ื

รูปการจัดอุปกรณก์ จิ กรรมสาธิตการสะทอ้ นของคลืน่ ผวิ น้า

5. ผลการทากจิ กรรม

6. คาถามทา้ ยกิจกรรม มี
1) เม่อื คลื่นผิวน้าหนา้ ตรงไปกระทบตัง้ ฉากกบั ทีก่ ้ันแนวตรง คลน่ื ผิวนา้ มีการเคล่อื นท่อี ย่างไร มี
ตอบ คล่ืนผิวนา้ หนา้ ตรงจะเคลื่อนทีก่ ลับออกจากที่กัน้ ในแนวเดมิ ซ่ึงมีทศิ ตรงข้ามกบั คลื่นที่ตกกระทบ
มีแรงดงึ เชือกกระทา ตอ่ จุกยาง โดยมีทิศทางเขา้ สู่ศนู ย์กลางของการเคลื่อนท่ี
2) เมอื่ คล่นื ผวิ น้าหน้าตรงไปกระทบทา มมุ ตา่ งๆ กบั ทกี่ ้นั แนวตรง คลื่นผวิ นา้ มกี ารเคลอื่ นท่อี ยา่ งไร

ตอบ คลื่นผิวนา้ หน้าตรงจะเคลื่อนท่กี ลับออกไปจากแผ่นกน้ั เปน็ มุมทีไ่ ม่ใช่แนวเดมิ กบั แนวคลื่นทไี่ ปตกกระทบ

มแี รงดึงเชือกกระทาต่อจกุ ยาง โดยมที ศิ ทางเขา้ สู่ศูนย์กลางของก ารเคลือ่ นที่ มี

7. สรุปผลการทากจิ กรรม

จากการทากิจกรรม พบว่า เมือ่ มีคล่ืนหน้าตรงไปตกกระทบกบั ทกี่ ้ันแนวเสน้ ตรงจะเกิดคลืน่ หน้าตรงสะทอ้ น

ออกจากแผน่ กนั้ ซึง่ มีทศิ ตรงข้ามกับคลื่นนา้ ทตี่ กกระทบแผ่นกัน้ และเมอ่ื เปลี่ยนมุมแผ่นกน้ั ทาใหค้ ลื่นตกกระทบในทศิ

ทามุมใดๆ กับแผน่ ก้ัน จะมีคลืน่ สะทอ้ นออกจากแผน่ กัน้ ทามุมนั้นๆ ท่ไี มไ่ ด้อย่ใู นแนวเดมิ กบั คลื่นตกกระทบ อ

B

B

B

B



คล่นื กล

ส่วนประกอบของคลื่นและประเภทของคล่ืนกล

จดั ทาโดย
………………………………..……………………………..
………………………………..……………………………..
………………………………..……………………………..
………………………………..……………………………..

เสนอ
ครู ..........................................................

รายวชิ า ...............................
ภาคเรียนท่ี ...........ปีการศึกษา...................
โรงเรียน …………………………………………………………

\

]



แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 11

รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 กล่มุ สาระการเรียนรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 40 ชว่ั โมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 ปรากฏการณ์ของคลน่ื กล เวลา 6 ชวั่ โมง

เร่ือง การหักเหของคล่ืน และการเล้ยี วเบนของคลืน่ เวลา 2 ชั่วโมง

1. มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวช้ีวดั
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร

และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และคล่ืน
แม่เหลก็ ไฟฟา้ รวมทั้งนาความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์

ตวั ช้วี ัด
ว 2.3 ม.5/3 สงั เกตและอธบิ ายการสะทอ้ น การหกั เห การเลยี้ วเบน และการรวมคล่นื

2. สาระสาคัญ
คลื่นกลมพี ฤตกิ รรมต่างๆ ได้แก่ การสะทอ้ น การหักเห การเล้ยี วเบน และการรวมคลน่ื
การสะทอ้ นของคล่ืนเกิดขนึ้ เมอื่ คล่ืนเคลอื่ นท่ไี ปตกกระทบส่งิ กดี ขวางและเคลื่อนทีก่ ลับมาในตวั กลางเดิม
การหักเหของคลื่นเกิดขึ้นเม่ือคล่ืนเคลื่อนท่ีผา่ นรอยต่อระหว่างตัวกลางที่มีสมบัตติ ่างกันอัตราเร็วคลื่นและ

ความยาวคล่ืนจะเปลย่ี นไปและอาจทา ให้ทิศการเคล่อื นทเ่ี ปลีย่ นไปจากเดมิ
การเลย้ี วเบนของคลน่ื เกดิ ข้ึนเม่ือคลื่นเคลื่อนที่ไปพบขอบส่งิ กีดขวางหรอื ชอ่ งเปิด คลืน่ ส่วนหน่ึงจะสามารถ

ออ้ มไปดา้ นหลงั ของสงิ่ กดี ขวางหรือออ้ มขอบชอ่ งเปดิ ได้

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรียนอธิบายการหักเหของคล่ืนได้
2) นกั เรยี นอธิบายการเลี้ยวเบนของคลื่นได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนทดลองและสังเกตการหักเหของคล่ืนได้
2) นกั เรยี นทดลองและสังเกตการเลีย้ วเบนของคล่ืนได้
3.3 ด้านคณุ ลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรู้และเปน็ ผู้มีความมุง่ มนั่ ในการทางาน

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
เม่อื คลน่ื เคลอ่ื นทผ่ี ่านรอยตอ่ จากนา้ ลึกเข้าสูน่ ้าตนื้ ความยาวคลื่นผิวน้าเปลีย่ นแปลงโดยมีขนาด
ลดลง และทิศทางของคลื่นผวิ นา้ มที ิศทางเดิมเมอ่ื คลน่ื ตกกระทบมีทิศตงั้ ฉากกบั รอยต่อนา้ ลกึ กบั นา้ ตืน้
แต่มที ิศทางเปล่ยี นไปจากเดิมเมอื่ คล่นื ตกกระทบมที ิศไมต่ ้ังฉากกับรอยต่อน้าลกึ น้าตื้น
การทค่ี ลื่นเคลื่อนทผ่ี ่านรอยตอ่ ของตวั กลางต่างกนั ทาใหอ้ ตั ราเร็วคลน่ื และความยาวคลืน่
เปลย่ี นไป แตค่ วามถ่ีของคลน่ื คงเดิม โดยทิศทางของคล่นื อาจเปล่ียนแปลงไป หรือยงั มีทศิ ทางเดิมกไ็ ด้
เรยี กว่า การหักเห (refraction) ของคลืน่ และเรยี กคล่นื ทผี่ ่านรอยต่อเข้าไปในตัวกลางใหมว่ า่ คลื่นหกั เห
(refracted wave)

รูป 4.9 การหกั เหของคล่ืนผวิ น้า โดยท่ีทศิ การเคล่ือนทข่ี องคล่นื ต้งั ฉากกับรอยตอ่
การหกั เหของคลื่นผิวน้ากรณีคลืน่ เดินทางผ่านรอยตอ่ น้าลึก-น้าต้ืนในทิศตง้ั ฉากกบั รอยต่อ พบวา่
ทศิ ทางการเคล่อื นท่ีของคลื่นไมเ่ ปลย่ี นแปลง แตค่ วามยาวคล่ืนบริเวณนา้ ตน้ื มีคา่ น้อยกวา่ บริเวณน้าลึก
ดงั รปู 4.9

รูป 4.10 การหกั เหของคลื่นผวิ น้า โดยที่ทิศการเคลอื่ นทขี่ องคลื่นไม่ตั้งฉากกบั รอยต่อ
ถ้าการหักเหของคลน่ื ผิวนา้ กรณีคลืน่ เดนิ ทางผ่านรอยต่อนา้ ลึก-น้าต้ืนในทิศทางไมต่ ้งั ฉากกับ
รอยต่อ พบว่า ทศิ ทางการเคลือ่ นทข่ี องคลนื่ เบยี่ งเบนไปจากแนวเดิม และความยาวคล่นื บริเวณนา้ ต้ืน มคี า่
นอ้ ยว่าบริเวณนา้ ลกึ ดงั รูป 4.10
เมื่อคล่ืนเคลอื่ นทผี่ ่านขอบส่ิงกดี ขวาง คลื่นส่วนหนึ่งจะสามารถแผก่ ระจายอ้อมไปยังด้านหลังของ
ส่ิงกดี ขวางนนั้ ได้ เรยี กว่า การเล้ียวเบน (dffraction) ของคลน่ื ดงั รูป 4.12 ก. เม่ือคลนื่ ผา่ นช่องเปิด
ถา้ ซ่องเปดิ มคี วามกว้างนอ้ ยกว่าระยะห่างระหวา่ งสนั คล่นื หรอื นอ้ ยกว่าความยาวคลน่ื คล่ืนที่เคลอ่ื นทผ่ี ่าน
ซ่องเปิดออกมาจะมีลักษณะเลย้ี วเบนออกมาเปน็ โคง้ วงกลม ดังรปู 4.12 ข. เมอื่ ชอ่ งเปิดมีขนาดกวา้ งขน้ึ

คลื่นทเี่ คลอื่ นผา่ นชอ่ งเปิดจะมลี ักษณะโคง้ เฉพาะบรเิ วณใกล้ขอบ แต่คลน่ื ท่ีเคล่ือนท่ีผ่านซ่องบรเิ วณตรง
กลางจะเป็นคล่ืนหนา้ ตรงตามเดิม ดงั รปู 4.12 ค.

รูป 4.12 การเลย้ี วเบนของคล่ืนผวิ น้า

ในธรรมชาตจิ ะพบว่า คล่ืนเคล่อื นที่โดยมีสิ่งกดี ขวางตา่ ง ๆ อยเู่ สมอ เชน่ คล่ืนน้าท่ีเคล่อื นที่กระทบโขดหนิ
หรือ เสาสะพาน คลนื่ สว่ นหน่ึงจะสามารถแผก่ ระจายออ้ มไปยังดา้ นหลงั ของส่งิ กีดขวางขั้นได้ เรียกว่าการเลยี้ วเบน
ของคลืน่ ในชวี ติ ประจาวนั เราอาจสังเกตคล่ืนนา้ เมื่อเคลื่อนท่ีผา่ นซ่องเปดิ ชนประตรู ะบายนา้ ดงั รูป 4.13

รปู 4.13 คลื่นน้าเล้ียวเบนบริเวณประตรู ะบายน้า

4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการส่อื สาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลุม่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปญั หา (แก้ปัญหาและอปุ สรรคต่างๆ ท่ีเผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใชก้ ารสบื ค้นผ่านคอมพวิ เตอร)์

4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝเ่ รียนรู้และเปน็ ผู้มีความมุ่งม่นั ในการทางาน

5. คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ของผู้เรียน ซื่อสัตย์สุจริต มุ่งมน่ั ในการทางาน มีวินยั
รกั ชาติ ศาสน์ กษตั ริย์ อยู่อย่างพอเพียง มีจติ สาธารณะ
รักความเป็นไทย  ใฝ่เรียนรู้

6. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน
 ความสามารถในการคดิ : นักเรยี นสามารถอธิบายเร่อื งการหักเหของคลนื่ และการเล้ียวเบนของคล่ืนได้

7. กิจกรรมการเรยี นรู้
ข้นั ที่ 1 ขนั้ สร้างความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความรเู้ ดมิ เร่อื ง การสะทอ้ นของคลนื่
1.2 ครูยกสถานการณ์คล่ืนผา่ นจากตัวกลางหน่งึ เขา้ ส่อู ีกตัวกลางหนึง่ แล้วครตู ้งั คาถาม ดังน้ี
1) นักเรยี นคดิ ว่าเม่อื คลื่นผ่านตวั กลางหนง่ึ เข้าสตู่ วั กลางหน่ึงเกดิ การสะท้อนหรือไม่
2) นกั เรยี นคดิ วา่ คล่นื ที่ผา่ นเข้าสู่อีกตัวกลางหนึง่ จะเกิดการเปลย่ี นแปลงหรือไม่ อย่างไร
(เปดิ โอกาสใหน้ กั เรียนแสดงความคิดเหน็ อยา่ งอิสระไมค่ าดหวังคาตอบทีถ่ ูกต้อง)
1.3 ครตู งั้ คาถามเพอ่ื นาเขา้ สู่การทากิจกรรม ดังน้ี
1) นักเรียนเคยสังเกตคลน่ื นา้ ทะเลจากน้าลึกเคลอ่ื นทเ่ี ข้าหาชายฝ่ังทีเ่ ปน็ น้าตน้ื หรอื ไม่
วา่ มลี ักษณะอย่างไร
(เปดิ โอกาสให้นักเรยี นแสดงความคดิ เหน็ อย่างอิสระไมค่ าดหวงั คาตอบท่ถี ูกต้อง)

ขั้นที่ 2 ขั้นสารวจและค้นหา
2.1 นักเรียนแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรยี นแตล่ ะกล่มุ ศึกษาใบกิจกรรม 4.3 การหักเหของคล่นื
2.3 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ศึกษาใบกิจกรรม 4.4 การเล้ียวเบนของคลืน่ ผวิ น้า
2.4 ครแู จ้งจดุ ประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และขั้นตอนการทากจิ กรรมอย่างละเอียด
2.5 นกั เรยี นรับอปุ กรณ์การทากจิ กรรม พรอ้ มติดตง้ั อปุ กรณใ์ หเ้ รยี บรอ้ ย
2.6 นักเรียนแต่ละกลุม่ ทากจิ กรรม สงั เกตและบนั ทึกผลกจิ กรรมลงในใบกิจกรรม

ขนั้ ท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรุป
3.1 ครสู ่มุ นักเรียน 2 คน ออกมานาเสนอผลการทากจิ กรรมหน้าชนั้ เรยี น
3.2 ครนู านกั เรียนอภปิ รายเพือ่ นาไปสกู่ ารสรุปโดยใช้คาถามตอ่ ไปนี้
1) นักเรยี นแตล่ ะกล่มุ ได้ผลการทากจิ กรรมเหมอื นหรอื แตกตา่ งกันอยา่ งไร (แนวการตอบ

ไดผ้ ลเหมือนกนั )
2) เม่ือคลืน่ ผิวนา้ เคลื่อนทผี่ า่ นรอยตอ่ ระหวา่ งน้าลึกและน้าต้ืน คล่ืนผิวนา้ มีความยาคลื่น

และทศิ การเคลอื่ นที่เปลย่ี นแปลงอยา่ งไร (แนวการตอบ เม่ือวางแผ่นกระจกขนานกับหน้าคลน่ื เมื่อคลืน่
หนา้ ตรงเคลอ่ื นท่ผี ่านน้าลึกไปสู่นา้ ตน้ื ทิศทางของคลืน่ หกั เหไมเ่ ปลยี่ นแปลงแต่ความยาวคล่ืนลดลง เมื่อวาง
ใหแ้ ผน่ กระจกทามมุ กับหนา้ คลนื่ เม่อื คลืน่ หน้าตรงเคลอ่ื นทีผ่ ่านน้าลกึ ไปสนู่ า้ ตื้นจะเห็นความยาวคล่ืนในน้า
ตน้ื ส้นั กวา่ ในน้าลึก และทิศทางการเคลือ่ นท่ีของคล่ืนเบนไปจากแนวเดมิ )

3.3 นักเรยี นและครรู ว่ มกันอภปิ รายและสรปุ ผลของกิจกรรมจนสรุปได้ ดังนี้
เม่อื คลืน่ เคล่อื นท่ผี ่านรอยต่อระหวา่ งตัวกลางท่ีต่างกนั จะเกิดการหกั เหของคลืน่ และเรียก

คลื่นที่ผ่านรอยต่อเข้าไปในตัวกลางใหม่ว่าคลื่นหักเห โดยความยาวคล่ืนจะเปล่ียนไป ส่วนทิศทางของการ
เคลื่อนทจ่ี ะเปลยี่ นแปลงหรือไมเ่ ปลย่ี นแปลงกไ็ ด้ แต่ความถคี่ งทีเ่ นือ่ งจากมาจากแหลง่ กาเนิดเดียวกนั

3.4 ครนู านักเรียนอภิปรายเพอ่ื นาไปสกู่ ารสรุปโดยใชค้ าถามต่อไปน้ี
1) นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มไดผ้ ลการทากิจกรรมเหมือนหรือแตกต่างกันอยา่ งไร (แนวการตอบ

ได้ผลเหมอื นกัน)
2) คล่ืนน้าเมอื่ ผา่ นขอบแผ่นก้ันจะสามารถพบคล่ืนด้านหลงั ขอบแผ่นกน้ั หรือไม่ อย่างไร

(แนวการตอบ พบคลืน่ ด้านหลงั ขอบส่ิงกีดขวางมีลกั ษณะเป็นส่วนโคง้ วงกลม ท่ีต่อจากหนา้ คลน่ื ตรงที่ผ่าน
ขอบสงิ่ กดี ขวางไปแล้ว)

3) คล่นื ที่เคลอ่ื นที่ผ่านชอ่ งเปดิ มีความกว้างนอ้ ยกว่าระยะหา่ งระหวา่ งสันคลื่น มลี ักษณะ
อยา่ งไร และแตกตา่ งจากคล่ืนที่ผ่านชอ่ งเปิดมีขนาดกวา้ งขน้ึ หรอื ไม่ อย่างไร (แนวการตอบ เม่อื ชอ่ งเปดิ มี
ความกว้างน้อยกวา่ ความยาวคล่นื เล็กนอ้ ย หรอื ประมาณเท่ากบั ความยาวคลน่ื พบวา่ หนา้ คลื่นโค้งไป
ทางดา้ นหลังขอบชอ่ งเปิดทาให้คลืน่ มีลักษณะเปน็ โคง้ วงกลมเคลือ่ นที่ออกจากช่องเปิด ถ้าช่องเปดิ มีความ
กว้างมากกวา่ ความยาวคลืน่ พบว่าหน้าคล่ืนท่ีผา่ นชอ่ งเปิดตรงกลางจะเปน็ แนวตรงเหมอื นเดมิ ปลายทงั้
สองดา้ นจะโค้งไปทางดา้ นหลงั ขอบช่องเปดิ นอ้ ยลงไมช่ ัดเจน)

3.4 นกั เรียนและครูรว่ มกนั อภปิ รายและสรุปผลของกจิ กรรมจนสรปุ ได้ ดงั นี้
เมอื่ การเคล่ือนทข่ี องคลื่นผา่ นขอบส่งิ กีดขวาง สงั เกตเห็นสว่ นทีค่ ลนื่ สามารถอ้อมขอบสิง่

กีดขวางไปทางดา้ นหลงั ของสงิ่ กดี ขวางได้เรยี กวา่ การเล้ยี วเบนของคลื่น เม่อื ทาให้ช่องเปิดทมี่ ีความกวา้ ง
น้อย ๆ แล้วค่อยๆ กว้างมากขน้ึ ลกั ษณะคลนื่ ท่ีผ่านชอ่ งเปิดจะแตกต่างกัน ถ้าช่องเปิดมีความกวา้ งน้อยกวา่
หรอื เทา่ กบั ความยาวคล่นื คลน่ื ที่เล้ยี วเบนผ่านชอ่ งเปิดออกมาจะเปน็ สว่ นโค้งถ้าความกวา้ งช่องเปดิ มากกวา่
ความยาวคลื่น หนา้ คล่ืนท่ีผา่ นช่องเปิดตรงกลางจะเป็นแนวตรงเหมือนเดิม ปลายทงั้ สองด้านจะโค้งอ้อมไป
ทางดา้ นหลงั ขอบช่องเปิดน้อยลง

ขั้นที่ 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครูอธบิ ายให้ความรูเ้ พม่ิ เติม ดงั นี้
เมื่อคล่ืนกระทบรอยตอ่ ของตวั กลาง คลื่นส่วนหนงึ่ สะท้อนกลับไปในตัวกลางเดิม อีกส่วน

หน่ึงเคล่ือนท่ีผ่านไปในอีกตัวกลางหน่ึง เรียกว่า คลื่นหักเห (refracted waves) หรือบางครั้งเรียกว่า
คล่ืนท่ผี า่ นไป (transmitted waves)

ในกรณีท่ีเคลื่อนท่ีผ่านจากตัวกลางหน่ึงไปยังอีกตัวกลางหน่ึง ในท่ีน้ีจะศึกษาจากคล่ืนใน
เส้นเชือกที่เกิดจากการนาเชือก 2 เส้นมาต่อกัน โดยแรงดึงเชือกเท่ากัน แต่มีค่าความหนาแน่นเชิงเส้นไม่
เทา่ กนั สิ่งท่เี กดิ ข้นึ คอื เม่ือคล่ืนเคลอื่ นทีม่ าถงึ รอยต่อ จะเกิดทงั้ การสะทอ้ นกลับและการหกั เห ดังรปู

จากรูปพบวา่
- ท้ังคลื่นสะท้อนแลคล่ืนหักเหนั้นมีแอมพลิจูดเล็กกว่าคลื่นตกกระทบ โดยผลรวมของ
พลงั งานคลื่นสะทอ้ นกบั คล่ืนหักเห จะเทา่ กับพลังงานของคลนื่ ตกกระทบ
- คลื่นหักเหจะมีอัตราเร็วที่ตา่ งไปจากคลืน่ ตกกระทบ เพราะเคล่อื นทีใ่ นตวั กลางที่มีสมบัติ
ต่างกนั แต่มีการกระจัดของตวั กลางในทิศเดยี วกบั คลนื่ ตกกระทบ
- คล่ืนสะท้อนจะมีการกระจัดของตัวกลางในทิศทางตรงข้ามกับคล่ืนตกกระทบ (หรือ มี
เฟสตรงขา้ มกัน) ถ้าคลื่นเคล่อื นที่จากเชือกท่ีความหนาแนน่ เชิงเส้นตา่ ไปตกกระทบเชือกทีม่ ีความหนาแน่น
เชงิ เสน้ สงู กวา่
- ถ้าคล่ืนเคลื่อนท่ีจากเชือกที่มีความหนาแน่นเชิงเส้นสูงไปตกกระทบเชือกที่มีความ
หนาแน่นเชิงเส้นต่ากวา่ คลื่นสะท้อนจะมีการกระจดั ของตัวกลางช้ีในทิศทางเดียวกบั คลื่นตกกระทบ (หรือ
เฟสตรงกนั )
4.2 ครูอธบิ ายให้ความรเู้ พิ่มเตมิ เก่ยี วกบั การรวมคล่นื โดยสาธิตการสะบัดปลายขดลวดสปริงให้
เกิดคลน่ื ทม่ี กี ารกระจดั ในทิศทางเดยี วกัน และการกระจัดในทิศทางตรงข้ามกนั ตามหนังสอื เรียน

ข้ันท่ี 5 ข้ันประเมินผล
5.1 นักเรยี นสง่ ใบกิจกรรม 4.3 การหักเหของคลน่ื
5.2 นักเรียนส่งใบกิจกรรม 4.4 การเล้ยี วเบนของคล่ืนผิวนา้

8. สอ่ื การเรยี นร้/ู แหล่งเรยี นรู้
8.1 หนังสอื เรียนรายวชิ าพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ช้นั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5 เล่ม 2

(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม 4.3 การหักเหของคลน่ื
8.3 อุปกรณก์ ารทากิจกรรมการหกั เหของคล่ืน
8.4 ใบกิจกรรม 4.4 การเลีย้ วเบนของคลืน่ ผิวน้า
8.5 อุปกรณ์การทากิจกรรมการเลี้ยวเบนของคลื่นผิวนา้

9. ชิน้ งาน/ภาระงาน
-

10. การวัดและประเมนิ ผล

10.1 การประเมินระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ตวั ชีว้ ัด/ผลการเรยี นรู้ วิธกี ารวัด เคร่อื งมือวดั เกณฑ์ทีใ่ ช้ในการ
ประเมนิ
ด้านความรู้: 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมิน
การทากจิ กรรม 1) นกั เรยี นสามารถ
1) นกั เรยี นอธิบายการหัก 4.3 สรปุ ผลของกิจกรรมได้
1) แบบประเมิน ระดบั ดีผ่านเกณฑ์
เหของคลื่นได้ การหักเหของคลนื่ การทากิจกรรม
1) นกั เรียนสามารถ
2) นักเรยี นอธบิ ายการ 2) ตรวจใบกิจกรรม บันทึกผลของกจิ กรรม
ได้ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์
เลย้ี วเบนของคลืน่ ได้ 4.4

การเลย้ี วเบนของ

คลื่นผวิ น้า

ดา้ นกระบวนการ: 1) ตรวจใบกจิ กรรม

1) นักเรียนทดลองและ 4.3

สงั เกตการหักเหของคลน่ื ได้ การหกั เหของคลื่น

2) นกั เรยี นทดลองและ 2) ตรวจใบกจิ กรรม

สงั เกตการเล้ียวเบนของ 4.4

คล่ืนได้ การเลยี้ วเบนของ

คล่นื ผิวน้า

ดา้ นเจตคติ: 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมิน 1) นักเรียนทาภาระงาน
การทากจิ กรรม ที่ได้รับมอบหมายได้
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี 4.3 ระดับดี ผ่านเกณฑ์

ความมงุ่ มน่ั ในการทางาน การหักเหของคลน่ื

2) ตรวจใบกิจกรรม

4.4

การเล้ียวเบนของ

คลืน่ ผิวนา้

11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................

ลงชอื่ ผู้สอน
(นางสาวจริ นันท์ ต่อมหลา้ )

12. ข้อคดิ เหน็ ของหัวหนา้ กลุม่ สาระการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ...............................................................
( นายนันท์ ก้อคา )

หวั หนา้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

13. ข้อคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผู้ช่วยผอู้ านวยการกลุม่ งานบรหิ ารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ...............................................................
(....................................................)

ผู้ชว่ ยผูอ้ านวยการกล่มุ งานบริหารวิชาการ

การอนมุ ตั กิ ารใช้แผนการจัดการเรยี นรจู้ ากฝ่ายบริหาร
ความคดิ เห็นของรองผูอ้ านวยการฝ่ายวิชาการ

....................................................................................................................................................................................
 เหน็ สมควรอนมุ ตั ิให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน
 เห็นสมควรไม่อนุมตั ิใหใ้ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน เพราะ....................................................................

.....................................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )

รองผอู้ านวยการโรงเรียนฝ่ายบริหารวชิ าการ

การอนมุ ัตจิ ากผูอ้ านวยการโรงเรยี น
 อนุมัตใิ หใ้ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน
 ไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ..............................................................

..............................................................................................................................................................

ลงชือ่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาลี)

ผอู้ านวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

บนั ทกึ ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11

รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วชิ า ว32103 ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี 5

เรอื่ ง การหักเหของคลื่น และการเลี้ยวเบนของคลน่ื เวลา 2 ชั่วโมง

……………………………………………………………….

1. จานวนนักเรียนทสี่ อน

ระดับช้นั จานวนนักเรียน (คน)

ม.5/1 34

ม.5/2 35

ม.5/3 36

รวม 105

2. บันทกึ ผลการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้

......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.............................................................................................................................. ..................................

2.2 ข้อสังเกต/ข้อคน้ พบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

2.3 ปญั หา/อปุ สรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

3. การประเมินผลการสอน

รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ

1. ความเหมาะสมของระยะเวลา

2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา

3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน

4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้

5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน

6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ

หลังเรยี น

สรุปภาพรวม

4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ

2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ

การวดั ผลประเมนิ ผล

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ

ลงชือ่ ............................................ครูผสู้ อน
(นางจิรนนั ท์ ตอ่ มหล้า)

ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นิเทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ................................................ผ้นู เิ ทศ
(นายนันท์ กอ้ คา)

หัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรยี นฝ่ายบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )

รองผู้อานวยการฝ่ายบริหารวชิ าการ

ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงช่อื ........................................................
(นางวลิ าวลั ย์ ปาลี)

ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวัดพะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน

สรุปผล

ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้

ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้

สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น

มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน

สมบรู ณ์

เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า

กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้

ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ

ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่

ถูกต้อง

เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)

321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน

สรปุ ผล

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............

ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย

เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรียน
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่อื ง การหกั เหของคลื่น

ประเดน็ การ คา่ น้าหนัก แนวทางการให้คะแนน
ประเมนิ คะแนน
สรปุ ผลของกิจกรรมไดถ้ กู ต้องครบถ้วน
ด้านความรู้ 3 สรุปผลของกจิ กรรมได้ค่อนข้างถูกต้อง
(K) 2 สรุปผลของกจิ กรรมไม่ถกู ตอ้ ง
1 บนั ทึกผลของกจิ กรรมได้ถกู ต้องครบถว้ น
ด้าน 3 บันทึกผลของกจิ กรรมได้คอ่ นขา้ งถูกต้อง
กระบวนการ 2 บนั ทกึ ผลของกจิ กรรมไมถ่ กู ต้อง
1 ทาภาระงานทีไ่ ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด และเรียบร้อยถูกตอ้ งครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด แตง่ านยงั ผิดพลาดบางส่วน
ดา้ น 2 ทาภาระงานท่ไี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกดิ ขอ้ ผดิ พลาดบางส่วน
คุณลักษณะ 1
(A)

ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เร่อื ง การสะทอ้ นของคล่นื

ประเด็นการ คา่ น้าหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
สรุปผลของกิจกรรมได้ถูกต้องครบถว้ น
ด้านความรู้ 3 สรุปผลของกจิ กรรมไดค้ อ่ นขา้ งถูกต้อง
(K) 2 สรุปผลของกจิ กรรมไม่ถกู ตอ้ ง
1 บนั ทกึ ผลของกจิ กรรมได้ถกู ต้องครบถว้ น
ด้าน 3 บนั ทกึ ผลของกิจกรรมไดค้ อ่ นขา้ งถกู ตอ้ ง
กระบวนการ 2 บนั ทกึ ผลของกจิ กรรมไม่ถูกตอ้ ง
1 ทาภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด และเรียบรอ้ ยถูกต้องครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผิดพลาดบางส่วน
ดา้ น 2 ทาภาระงานท่ีได้รับมอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ข้อผิดพลาดบางส่วน
คุณลักษณะ 1
(A)

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดบั พอใช้
คะแนน

ใบกิจกรรม 4.3 การหกั เหของคลน่ื

1. รายช่อื สมาชกิ กล่มุ ที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
สังเกตและอธบิ ายการหกั เหของคลืน่ ผวิ น้า

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชุด
1) ชดุ ถาดคลืน่ 1 อัน
2) แผน่ กระจก

4. วธิ ที ากจิ กรรม
1) จัดเตรียมชดุ ถาดคลืน่ แลว้ เตมิ นา้ ลงไปให้เหมาะสม
2) นาแผน่ กระจกไปวางไวใ้ นถาดคล่ืนเพอื่ จัดให้เป็นบริเวณนา้ ลึก-นา้ ตน้ื (ดังรปู )
3) ผลิตคลนื่ ผิวนา้ หน้าตรง และสงั เกตลกั ษณะความยาวคลนื่ และทศิ การเคลอ่ื นทีข่ องคล่นื

เมอ่ื ผา่ นรอยตอ่ ระหวา่ งบริเวณนา้ ลกึ -น้าตืน้ จากภาพของคล่นื ผิวน้าบนฉากใตถ้ าดคล่นื
4) ทาซ้าขอ้ 3) โดยจดั ให้ขอบแผ่นกระจกทามุมต่าง ๆ กับทศิ การเคลอ่ื นท่ีของคล่นื ตกระทบ และสังเกตลกั ษณะความยาวคลน่ื

และทิศการเคลอ่ื นที่ของคล่นื เม่ือผา่ นรอยตอ่ ระหวา่ งบริเวณนา้ ลึก-น้าตืน้ จากภาพของ คลนื่ ผิวนา้ บนฉากใต้ถาดคลน่ื

5. ผลการทากิจกรรม

6. คาถามทา้ ยกิจกรรม

1) เม่ือคล่ืนผวิ นา้ เคลอื่ นท่ีผา่ นรอยตอ่ ระหวา่ งน้าลึกและน้าตื้น คลืน่ ผวิ น้ามีความยาวคล่นื และทิศการเคลือ่ นทเี่ ปลีย่ นแปลง
อย่างไร

ตอบ เม่ือวางแผน่ กระจกขนานกบั หนา้ คลนื่ เมื่อคล่ืนหน้าตรงเคลื่อนทผ่ี ่านนา้ ลกึ ไปสู่นา้ ต้นื ทิศทางของคลน่ื หักเหไม่

เปล่ียนแปลงแต่ความยาวคลนื่ ลดลง เมื่อวางใหแ้ ผ่นกระจกทามุมกบั หนา้ คลนื่ เม่อื คลืน่ หน้าตรงเคล่ือนทผ่ี า่ นน้าลกึ

ไปสู่นา้ ต้นื จะเห็นความยาวคลืน่ ในน้าต้ืนส้ันกวา่ ในนา้ ลึก และทิศทางการเคล่ือนท่ีของคลืน่ เบนไปจากแนวเดมิ มี

มีแรงดึงเชอื กกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมีทศิ ทางเข้าสู่ศนู ยก์ ลางของการเคลื่อนท่ี มี

มแี รงดึงเชือกกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมที ิศ ทางเข้าส่ศู ูนย์กลางของการเคล่ือนท่ี

มีแรงดึงเชอื กกระทา ต่อจุกยาง โดยมที ศิ ทางเข้าส่ศู ูนย์กลางของการเคลื่อนท่ี

มีแรงดึงเชอื กกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมที ิศ ทางเข้าส่ศู นู ย์กลางของการเคล่อื นท่ี

มแี รงดงึ เชือกกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมที ิศ ทางเข้าสศู่ นู ย์กลางของการเคล่อื นที่

7. สรปุ ผลการทากิจกรรม

จากการทากจิ กรรม พบว่า เมอ่ื คล่ืนเคลอ่ื นท่ีผา่ นรอยต่อระหว่างตวั กลางทีต่ า่ งกันจะเกดิ การหกั เหของคลน่ื

และเรยี กคลื่นทผี่ ่านรอยต่อเข้าไปในตัวกลางใหม่วา่ คล่ืนหกั เห โดยความยาวคลื่นจะเปลยี่ นไป สว่ นทศิ ทางของการ

เคล่ือนทจี่ ะเปลีย่ นแปลงหรอื ไมเ่ ปล่ยี นแปลงก็ได้ แต่ความถ่ีคงท่เี นือ่ งจากมาจากแหล่งกาเนดิ เดียวกัน อ

B

B

B

B

B

]

เฉลยใบกจิ กรรม 4.3 การหกั เหของคลืน่

1. รายช่อื สมาชกิ กลมุ่ ที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
สงั เกตและอธิบายการหกั เหของคลืน่ ผิวนา้

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชดุ
1) ชุดถาดคลนื่ 1 อัน
2) แผ่นกระจก

4. วธิ ที ากิจกรรม
1) จดั เตรียมชุดถาดคลื่นแลว้ เติมนา้ ลงไปให้เหมาะสม
2) นาแผ่นกระจกไปวางไว้ในถาดคล่นื เพอ่ื จดั ใหเ้ ป็นบริเวณนา้ ลกึ -น้าตน้ื (ดงั รูป)
3) ผลิตคล่ืนผวิ น้าหน้าตรง และสังเกตลกั ษณะความยาวคลนื่ และทิศการเคลอ่ื นท่ีของคลนื่

เมือ่ ผ่านรอยต่อระหวา่ งบรเิ วณน้าลกึ -นา้ ต้นื จากภาพของคล่ืนผิวนา้ บนฉากใต้ถาดคล่นื
4) ทาซา้ ขอ้ 3) โดยจัดให้ขอบแผ่นกระจกทามุมต่าง ๆ กบั ทิศการเคล่อื นที่ของคล่ืนตกระทบ และสังเกตลกั ษณะความยาวคลน่ื

และทิศการเคล่ือนทขี่ องคลืน่ เมือ่ ผา่ นรอยตอ่ ระหวา่ งบริเวณน้าลกึ -นา้ ตน้ื จากภาพของ คล่นื ผิวน้าบนฉากใต้ถาดคลน่ื

5. ผลการทากิจกรรม

6. คาถามท้ายกจิ กรรม

1) เม่ือคลนื่ ผิวน้าเคล่อื นท่ีผ่านรอยต่อระหว่างน้าลึกและนา้ ตืน้ คล่นื ผวิ น้ามคี วามยาวคลน่ื และทิศการเคล่อื นทเี่ ปล่ยี นแปลง
อย่างไร

ตอบ เมือ่ วางแผ่นกระจกขนานกบั หนา้ คลน่ื เมือ่ คล่ืนหน้าตรงเคลอื่ นทผ่ี ่านนา้ ลกึ ไปสนู่ า้ ตื้นทิศทางของคลน่ื หกั เหไม่

เปลย่ี นแปลงแต่ความยาวคล่นื ลดลง เม่ือวางใหแ้ ผ่นกระจกทามมุ กบั หนา้ คลน่ื เมือ่ คล่ืนหน้าตรงเคลื่อนทผ่ี า่ นนา้ ลกึ

ไปสนู่ า้ ตืน้ จะเหน็ ความยาวคลน่ื ในนา้ ตื้นสั้นกวา่ ในน้าลึก และทิศทางการเคลอื่ นทข่ี องคลื่นเบนไปจากแนวเดมิ มี

มแี รงดงึ เชือกกระทา ต่อจุกยาง โดยมีทศิ ทางเข้าสศู่ นู ย์กลางของการเคลือ่ นท่ี มี

มีแรงดึงเชอื กกระทา ตอ่ จุกยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ สู่ศูนย์กลางของการเคลอ่ื นท่ี

มีแรงดงึ เชอื กกระทา ต่อจุกยาง โดยมีทศิ ทางเขา้ ส่ศู ูนย์กลางของการเคลื่อนท่ี

มแี รงดงึ เชือกกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมที ิศ ทางเข้าสู่ศูนย์กลางของการเคลื่อนท่ี

มแี รงดึงเชือกกระทา ต่อจกุ ยาง โดยมที ศิ ทางเขา้ สศู่ นู ย์กลางของการเคลอ่ื นที่

7. สรุปผลการทากจิ กรรม

จากการทากจิ กรรม พบว่า เมอ่ื คลื่นเคล่ือนท่ีผ่านรอยตอ่ ระหวา่ งตัวกลางท่ตี ่างกนั จะเกดิ การหักเหของคล่นื

และเรียกคลน่ื ที่ผ่านรอยตอ่ เข้าไปในตัวกลางใหมว่ ่าคล่นื หักเห โดยความยาวคลน่ื จะเปลยี่ นไป ส่วนทิศทางของการ

เคล่อื นท่ีจะเปลี่ยนแปลงหรือไม่เปลีย่ นแปลงก็ได้ แตค่ วามถ่ีคงทเี่ นือ่ งจากมาจากแหล่งกาเนดิ เดยี วกัน อ

B

B

B

B

B

ใบกจิ กรรม 4.4 การเล้ยี วเบนของคลื่น

1. รายชอ่ื สมาชิกกลมุ่ ที่ …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
1) สังเกตและอธิบายการเลย้ี วเบนของคลนื่ ผิวนา้ เม่ือพบขอบส่งิ กีดขวาง
2) สงั เกตและอธิบายการเลี้ยวเบนของคลนื่ ผวิ นา้ เมอื่ ผ่านช่องเปดิ

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชดุ
1) ชุดถาดคลน่ื 2 อัน
2) แผน่ กนั้

4. วธิ ีทากิจกรรม
1) จัดเตรยี มชุดถาดคล่ืนแล้วเติมน้าลงไปให้เหมาะสม
2) นาแผน่ ก้นั ไปวางไวใ้ นถาดคล่นื เพื่อจัดให้เป็นส่ิงกีดขวางวางตัวในแนวขนานกบั แหล่งกาเนิดคลืน่ หนา้ ตรง (ดงั รูป ก.)
3) ผลิตคล่ืนผิวน้าหน้าตรง และสังเกตการเคลือ่ นที่ของคลนื่ เมือ่ คลน่ื น้าเคลือ่ นท่ีผา่ นขอบแผ่นกัน้ จากภาพท่ปี รากฏบนฉาก
ใต้ถาดคลืน่
4) นาแผน่ กั้นสองอนั วางในแนวเส้นตรงและขนานกบั แหลง่ กาเนิดคลื่นหนา้ ตรงโดยเวน้ ระยะหา่ งให้เกดิ เป็นช่องเปิดมีความกวา้ ง
น้อยกวา่ ระยะห่างระหวา่ งสันคลื่น (ดังรปู ข.) สังเกตคล่นื เม่ือคล่นื น้าเคลอ่ื นท่ีผ่านช่องเปิด
5) เพิม่ ระยะห่างชอ่ งเปิดใหก้ วา้ งข้นึ และสงั เกตคล่นื ท่ีผ่านช่องเปดิ
ก.

5. ผลการทากจิ กรรม

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม

1) คล่นื นา้ เม่ือผ่านขอบแผ่นกั้นจะสามารถพบคล่ืนดา้ นหลังขอบแผน่ ก้ันหรอื ไม่ อย่างไร

ตอบ พบคลืน่ ด้านหลงั ขอบสง่ิ กดี ขวางมีลกั ษณะเป็นสว่ นโค้งวงกลม ที่ต่อจากหน้าคลนื่ ตรงทีผ่ ่านขอบสิง่ กดี ขวางไป

แล้ว มี

2) คลน่ื ที่เคลอื่ นทผี่ า่ นช่องเปดิ มีความกว้างน้อยกว่าระยะหา่ งระหว่างสันคลน่ื มลี ักษณะอยา่ งไร และแตกต่างจากคลน่ื ที่ผา่ น
ช่องเปิดมีขนาดกว้างข้ึนหรอื ไม่ อยา่ งไร

ตอบ เมอ่ื ช่องเปิดมีความกวา้ งนอ้ ยกว่าความยาวคลืน่ เล็กน้อย หรอื ประมาณเทา่ กับความยาวคลนื่ พบวา่ หนา้ คลื่น

โค้งไปทางด้านหลังขอบชอ่ งเปิดทาให้คลื่นมีลกั ษณะเป็นโคง้ วงกลมเคลื่อนท่ีออกจากช่องเปดิ ถ้าช่องเปดิ มคี วาม

กว้างมากกว่าความยาวคล่ืน พบวา่ หนา้ คลนื่ ท่ีผ่านชอ่ งเปดิ ตรงกลางจะเปน็ แนวตรงเหมือนเดิมปลายท้ังสองดา้ นจะ

โค้งไปทางด้านหลงั ขอบช่องเปดิ น้อยลงไม่ชดั เจน มี

มีแรงดงึ เชอื กกระทา ต่อจุกยาง โดยมีทิศทางเข้าส่ศู ูนยก์ ลางของการเคลือ่ นท่ี มี

7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ เมอ่ื การเคลื่อนท่ขี องคลืน่ ผา่ นขอบส่ิงกดี ขวาง สังเกตเห็นส่วนท่คี ลื่นสามารถออ้ ม

ขอบสงิ่ กดี ขวางไปทางด้านหลงั ของสงิ่ กีดขวางไดเ้ รียกว่าการเลย้ี วเบนของคลนื่ เมือ่ ทาให้ช่องเปดิ ที่มคี วามกวา้ งน้อย ๆ

แลว้ คอ่ ยๆ กว้างมากข้ึน ลกั ษณะคล่ืนที่ผ่านช่องเปิดจะแตกต่างกนั ถา้ ชอ่ งเปิดมีความกว้างน้อยกวา่ หรือเท่ากับความยาว

คล่ืน คลื่นที่เลีย้ วเบนผ่านชอ่ งเปดิ ออกมาจะเปน็ ส่วนโคง้ ถ้าความกวา้ งช่องเปิดมากกว่าความยาวคล่ืน หน้าคล่นื ที่ผ่านชอ่ ง

เปิดตรงกลางจะเปน็ แนวตรงเหมอื นเดิม ปลายทัง้ สองดา้ นจะโค้งออ้ มไปทางดา้ นหลงั ขอบช่องเปดิ น้อยลง อ

เฉลยใบกจิ กรรม 4.4 การเล้ยี วเบนของคลน่ื

1. รายช่อื สมาชิกกลุม่ ที่ …………………………………………………….. ชน้ั …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
1) สงั เกตและอธบิ ายการเล้ียวเบนของคล่นื ผวิ น้าเมือ่ พบขอบสิ่งกีดขวาง
2) สังเกตและอธบิ ายการเลีย้ วเบนของคลนื่ ผิวน้าเม่อื ผา่ นช่องเปดิ

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชุด
1) ชุดถาดคลืน่ 2 อัน
2) แผ่นกั้น

4. วิธที ากจิ กรรม
1) จดั เตรียมชุดถาดคลนื่ แล้วเติมน้าลงไปให้เหมาะสม
2) นาแผ่นกน้ั ไปวางไว้ในถาดคลื่นเพอื่ จัดใหเ้ ปน็ สิ่งกดี ขวางวางตวั ในแนวขนานกบั แหล่งกาเนดิ คล่ืนหน้าตรง (ดงั รปู ก.)
3) ผลิตคล่นื ผิวน้าหนา้ ตรง และสังเกตการเคล่อื นทีข่ องคลื่นเมอ่ื คล่ืนนา้ เคลื่อนที่ผา่ นขอบแผ่นกนั้ จากภาพทีป่ รากฏบนฉาก
ใต้ถาดคลน่ื
4) นาแผน่ ก้ันสองอนั วางในแนวเส้นตรงและขนานกบั แหลง่ กาเนิดคล่ืนหน้าตรงโดยเว้นระยะหา่ งให้เกิดเปน็ ช่องเปดิ มคี วามกว้าง
นอ้ ยกวา่ ระยะห่างระหว่างสันคลื่น (ดังรปู ข.) สังเกตคลน่ื เมือ่ คลน่ื นา้ เคลอื่ นที่ผา่ นชอ่ งเปดิ
5) เพ่ิมระยะห่างชอ่ งเปดิ ใหก้ วา้ งข้นึ และสงั เกตคล่ืนท่ีผ่านชอ่ งเปิด
ก.

5. ผลการทากจิ กรรม

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม

1) คล่นื นา้ เม่ือผ่านขอบแผ่นกน้ั จะสามารถพบคล่ืนดา้ นหลังขอบแผน่ ก้ันหรือไม่ อย่างไร

ตอบ พบคลืน่ ด้านหลงั ขอบสง่ิ กดี ขวางมีลกั ษณะเป็นสว่ นโค้งวงกลม ที่ตอ่ จากหน้าคลนื่ ตรงทีผ่ ่านขอบสิง่ กดี ขวางไป

แล้ว มี

2) คลน่ื ที่เคลอื่ นทผี่ ่านช่องเปดิ มีความกวา้ งนอ้ ยกว่าระยะหา่ งระหว่างสันคลนื่ มลี ักษณะอยา่ งไร และแตกต่างจากคลน่ื ที่ผา่ น
ช่องเปิดมีขนาดกว้างข้ึนหรอื ไม่ อยา่ งไร

ตอบ เมอ่ื ช่องเปิดมีความกวา้ งนอ้ ยกว่าความยาวคลืน่ เล็กน้อย หรอื ประมาณเทา่ กับความยาวคลนื่ พบวา่ หนา้ คลื่น

โค้งไปทางด้านหลังขอบช่องเปดิ ทาให้คลนื่ มีลกั ษณะเป็นโคง้ วงกลมเคลื่อนท่ีออกจากช่องเปดิ ถ้าช่องเปดิ มคี วาม

กว้างมากกว่าความยาวคลนื่ พบวา่ หน้าคลนื่ ท่ีผ่านชอ่ งเปดิ ตรงกลางจะเป็นแนวตรงเหมอื นเดิมปลายท้ังสองดา้ นจะ

โค้งไปทางด้านหลงั ขอบช่องเปดิ น้อยลงไม่ชัดเจน มี

มีแรงดงึ เชอื กกระทา ต่อจุกยาง โดยมีทิศทางเข้าส่ศู ูนยก์ ลางของการเคลือ่ นท่ี มี

7. สรปุ ผลการทากจิ กรรม

จากการทากิจกรรม พบวา่ เม่อื การเคลื่อนท่ขี องคลืน่ ผา่ นขอบสิ่งกดี ขวาง สังเกตเหน็ ส่วนท่คี ลื่นสามารถออ้ ม

ขอบสงิ่ กดี ขวางไปทางด้านหลงั ของสงิ่ กดี ขวางไดเ้ รียกว่าการเลย้ี วเบนของคลนื่ เมือ่ ทาให้ช่องเปดิ ที่มคี วามกวา้ งน้อย ๆ

แลว้ คอ่ ยๆ กว้างมากข้ึน ลกั ษณะคล่ืนท่ีผ่านชอ่ งเปิดจะแตกต่างกนั ถา้ ชอ่ งเปดิ มีความกวา้ งน้อยกวา่ หรือเท่ากับความยาว

คล่ืน คลื่นที่เลีย้ วเบนผ่านชอ่ งเปดิ ออกมาจะเปน็ ส่วนโคง้ ถ้าความกวา้ งช่องเปดิ มากกว่าความยาวคล่ืน หน้าคล่นื ที่ผ่านชอ่ ง

เปิดตรงกลางจะเปน็ แนวตรงเหมอื นเดิม ปลายทัง้ สองดา้ นจะโค้งออ้ มไปทางด้านหลงั ขอบชอ่ งเปดิ น้อยลง อ

แผนการจดั การเรยี นรู้ที่ 12

รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ระดบั ชนั้ มัธยมศึกษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หน่วยกิต

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 4 ปรากฏการณข์ องคลื่นกล เวลา 6 ชวั่ โมง

เรือ่ ง ความถธี่ รรมชาตแิ ละการสั่นพอ้ ง เวลา 2 ชวั่ โมง

1. มาตรฐานการเรียนรแู้ ละตัวชี้วัด
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร

และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลื่น
แม่เหล็กไฟฟ้ารวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์

ตัวช้วี ัด
ว 2.3 ม.5/4 สงั เกตและอธบิ าย ความถ่ีธรรมชาติการส่นั พอ้ ง และผลทเ่ี กดิ ขนึ้ จากการสนั่ พ้อง

2. สาระสาคัญ
เม่ือปลอ่ ยใหว้ ัตถุสนั่ หรือแกว่งอยา่ งอสิ ระ วตั ถจุ ะส่ันดว้ ยความถี่ค่าหนง่ึ เรียกวา่ ความถธ่ี รรมชาติ ซ่ึงมีคา่

ข้นึ กับสมบตั ิบางประการของวตั ถุ
การกระตุ้นวตั ถุด้วยความถท่ี ่ีตรงกับความถ่ธี รรมชาติ วัตถุจะสั่นแรงข้ึน เรียกว่า การส่ันพ้องของวัตถุซ่ึงอาจทา ให้
วตั ถทุ ีเ่ กิดการส่ันพ้องชารดุ เสียหายได้

3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรยี นอธิบายความถ่ขี องธรรมชาตไิ ด้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนทดลองและสงั เกตความถ่ขี องธรรมชาตไิ ด้
3.3 ด้านคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรยี นรูแ้ ละเปน็ ผูม้ คี วามมงุ่ มั่นในการทางาน

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
ความถีธ่ รรมชาตเิ ปน็ ความถใ่ี นการส่นั สะเทือนของวตั ถุท่ีทาใหว้ ัตถุสนั่ หรือแกวง่ อย่างอสิ ระ
การเกดิ ความถ่ีธรรมชาตไิ ด้จากสงิ่ ของตา่ งๆ ท่ีอยู่รอบตวั ภายในการใชช้ ีวิตประจาวัน โดยประเภทแรกท่ี

สามารถพบไดบ้ ่อยๆ คอื ความถธี่ รรมชาตใิ นการแกวง่ ของลกู ตุ้มนาฬกิ า โดยเม่อื ให้ลูกตุ้มนาฬกิ าทถี่ ูกแขวน
ไว้ดว้ ยเชือกแกวง่ อย่างอิสระ

การสน่ั พอ้ ง คอื เป็นปรากฏการณ์ท่รี ะบบกวัดแกวง่ หนึง่ ๆ ถกู กระทาโดยแรงขับเคลอื่ นภายนอกท่ี
มีความถเี่ ท่ากับความถ่ีธรรมชาตขิ องระบบ แล้วทาใหแ้ อมพลิจูดในการกวัดแกวง่ ของระบบนน้ั ๆ เพมิ่ มาก
ขึน้ จะเรียกความถขี่ องแรงขบั เคลอ่ื นที่ใช้กระตนุ้ ว่า ความถีส่ ั่นพ้อง

- การส่ันพ้องด้วยแรง หมายถงึ การส่นั พ้องทีเ่ กดิ ข้นึ โดยการออกแรงกระทากับวตั ถเุ ปน็
จงั หวะท่มี ีความถเี่ ท่ากับความถธ่ี รรมชาติของวัตถุเป็นเวลานาน เช่น เม่อื ลมพัดท่ีความเรว็ คงตัวคา่ หน่ึงเป็น
เวลานาน ซงึ่ แรงลมพอดกี ับความถธี่ รรมชาตขิ องสะพาน ทาให้สะพานเกิดการส่นั พอ้ ง แอมพลิจูดของการ
สนั่ ท่มี ากข้นึ ทาใหส้ ะพานขาด

- การสน่ั พ้องดว้ ยคล่ืน หมายถึง การสั่นพ้องท่ีเกิดขน้ึ โดยการสง่ คลืน่ ที่มคี วามถเ่ี ท่ากบั ความถี่
ธรรมชาติของวตั ถุกระทบกับวัตถเุ ปน็ เวลานาน

การแกว่งอย่างอสิ ระของลูกตุ้มเม่ือออกแรงเพียงครัง้ เดยี ว จะไมเ่ กดิ การส่นั พอ้ ง ทาให้วตั ถจุ ะหยุดแกว่ง
ในท่สี ดุ

การแกวง่ อย่างอิสระของลูกตมุ้ เมอื่ ออกแรงผลักที่ความถี่ใดๆ จะไม่เกิดการส่นั พอ้ ง ทาใหว้ ัตถุแกวง่ ด้วย
ความถเ่ี ท่ากับแรงทีผ่ ลัก

การแกว่งอยา่ งอสิ ระของลูกตมุ้ เมือ่ ออกแรงผลกั ด้วยความถีธ่ รรมชาติของวตั ถุ จะเกิดการสน่ั พ้อง ทาให้
วัตถแุ กวง่ ด้วยความถธ่ี รรมชาตแิ ละแอมพลิจูดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เรียกว่าปรากฏการณน์ ีว้ า่ การส่ันพอ้ ง

4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟงั พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลุม่ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (แก้ปญั หาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสืบคน้ ผ่านคอมพวิ เตอร)์

4.3 คณุ ลักษณะและค่านยิ ม
ใฝ่เรยี นรู้และเปน็ ผมู้ ีความมุ่งมั่นในการทางาน

5. คุณลักษณะอันพึงประสงคข์ องผเู้ รยี น ซอ่ื สตั ย์สจุ รติ มุง่ มน่ั ในการทางาน มีวนิ ัย
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง มจี ิตสาธารณะ
รักความเป็นไทย  ใฝ่เรยี นรู้

6. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รยี น
 ความสามารถในการคดิ : นักเรียนสามารถอธิบายเรอื่ งความถ่ีธรรมชาตแิ ละการสนั่ พอ้ งได้

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขนั้ ที่ 1 ข้ันสรา้ งความสนใจ
1.1 ครูทบทวนความหมาย หนว่ ย และตัวแปรของคาบและความถ่ี
1.2 ครตู ง้ั คาถามเพื่อนาเข้าส่กู ารทากิจกรรม
1) หากตอ้ งการผลักชิงชา้ ให้แกว่งสูงขนึ้ กว่าเดิมจะตอ้ งออกแรงผลักอยา่ งไร
2) ถ้าการแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเม่ือออกแรงเพียงคร้ังเดียว ลูกตุ้มจะเคล่ือนด้วย
ความถีอ่ ยา่ งไร
3) ถ้าการแกว่งอยา่ งอิสระของลูกตุ้มเม่ือออกแรงผลักท่ีความถี่ใดๆ ลูกตุ้มจะเคล่ือนด้วย
ความถ่ีอยา่ งไร
4) ถ้าการแกว่งอย่างอิสระของลูกตุ้มเมื่อออกแรงผลักด้วยความถี่ธรรมชาติของวัตถุ
ลกู ตมุ้ จะเคลื่อนดว้ ยความถี่อย่างไร

ข้นั ที่ 2 ข้ันสารวจและค้นหา
2.1 นักเรยี นแบง่ กลุม่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.2 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 4.6 ความถ่ีธรรมชาตขิ องลูกต้มุ
2.3 ครแู จ้งจุดประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และขั้นตอนการทากิจกรรมอยา่ งละเอยี ด
2.4 นกั เรยี นรบั อปุ กรณก์ ารทากจิ กรรม พร้อมตดิ ต้ังอปุ กรณใ์ หเ้ รยี บรอ้ ย
2.5 นักเรยี นแต่ละกลุ่มทากิจกรรม สังเกตและบันทกึ ผลกิจกรรมลงในใบกิจกรรม

ขัน้ ท่ี 3 ข้นั อธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครสู มุ่ นกั เรียน 2 คน ออกมานาเสนอผลการทากจิ กรรมหนา้ ช้นั เรียน
3.2 ครนู านักเรียนอภปิ รายเพ่ือนาไปสกู่ ารสรุปโดยใชค้ าถามตอ่ ไปน้ี
1) นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ไดผ้ ลการทากิจกรรมเหมอื นหรือแตกตา่ งกนั อย่างไร (แนวการตอบ

ได้ผลเหมอื นกนั )
2) เมื่อมวลลูกตุม้ คา่ หนึ่ง และความยาวเชอื กคา่ หน่งึ ความถ่ีการแกวง่ ของลกู ตมุ้ แตล่ ะครง้ั

เปลย่ี นไปหรือไมอ่ ย่างไร (แนวการตอบ มคี ่าความถใ่ี กล้เคยี งกนั หรอื ประมาณได้วา่ มีค่าเท่าเดิม)
3) เมือ่ มวลลกู ตุ้มคงเดิม แตค่ วามยาวเชือกเปลี่ยนไป ความถข่ี องการแกวง่ จะเปลี่ยนไป

หรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ ความถ่ขี องการแกวง่ เปลีย่ นไป โดยความถขี่ องการแกว่งเพม่ิ ข้นึ เม่อื ความ
ยาวเชอื กลดลง และเม่อื เชือกยาวขึ้น ความถ่ีของการแกว่งลดลง)

4) เมอ่ื ความยาวเชอื กเท่าเดมิ แตม่ วลของลกู ตมุ้ เปลย่ี นไป ความถ่ีของการแกวง่ จะเปล่ียน
ไปหรอื ไม่ อยา่ งไร (แนวการตอบ ความถ่ีของการแกว่งมีคา่ ใกล้เคยี งกนั หรือประมาณไดว้ า่ มีค่าเท่าเดิม)

3.3 นกั เรียนและครูร่วมกนั อภิปรายและสรปุ ผลของกจิ กรรมจนสรุปได้ ดงั นี้
เมอ่ื ปล่อยให้ลูกตมุ้ แกวง่ อยา่ งอิสระลกู ตุ้มจะแกว่งดว้ ยความถค่ี ่าหนึ่งทขี่ ึ้นอย่กู บั ความยาว

เชือก แต่ไม่ข้นึ กับมวลของลูกตมุ้ ความถีน่ ีเ้ รียกว่า ความถธ่ี รรมชาติของลูกต้มุ ความถี่ธรรมชาตขิ องวตั ถุ
ข้ึนกับสมบตั ิบางประการของวัตถุ เชน่ ความถ่ธี รรมชาตกิ ารแกวง่ ของลูกตุม้ ขน้ึ กับความยาวเชือก ความถ่ี

ธรรมชาติของเคร่ืองดนตรปี ระเภทสายขึน้ อยกู่ ับความยาว ความตึงและขนาดสายของเครื่องดนตรีนนั้ ๆ
เปน็ ต้น

ขน้ั ที่ 4 ขนั้ ขยายความรู้
4.1 ครอู ธิบายให้ความรเู้ พิ่มเติมเกี่ยวกบั การสน่ั พ้องและผลทเี่ กดิ จากการสัน่ พอ้ ง โดยสาธิต

กิจกรรมการสั่นพอ้ งตามหนังสอื เรียน แลว้ ตงั้ คาถามให้นักเรียนช่วยกันตอบ พร้อมเฉลยคาถามที่ถกู ตอ้ ง
ดังน้ี

1) การออกแรงกระตุ้นลกู ตุ้มเปน็ จังหวะขณะลกู ตุม้ อยู่ทตี่ าแหน่งไกลสุดด้านใดด้านหนงึ่
ความถ่ีของการกระตนุ้ กบั ความถ่กี ารแกว่งของลกู ตมุ้ เท่ากันหรอื ไม่ อย่างไร และแอมพลิจูดการแกว่งของ
ลกู ตุ้มเปน็ อยา่ งไร (แนวการตอบ ความถ่ีในการกระต้นุ ลูกตุม้ เท่ากบั ความถกี่ ารแกวง่ ของลูกตุม้ และแอม
พลิจูดการแกวง่ กวา้ งข้ึน)

2) เม่อื เปลย่ี นจงั หวะการออกแรงการกระตุ้นลกู ตมุ้ ใหไ้ ม่ตรงกับความถกี่ ารแกวง่ ของ
ลกู ตมุ้ แอมพลิจูดการแกว่งของลูกตุ้มเป็นอย่างไร (แนวการตอบ เมือ่ เปลย่ี นจงั หวะการกระตนุ้ ให้ไมต่ รงกบั
ความถ่กี ารแกว่งของลกู ตุ้มแอมพลจิ ดู การแกวง่ ของลกู ต้มุ ลดลง)

ข้ันที่ 5 ข้นั ประเมินผล
5.1 นกั เรยี นสง่ ใบกจิ กรรม 4.6 ความถธี่ รรมชาติของลกู ตมุ้

8. สอื่ การเรียนรู/้ แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสือเรยี นรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตร์ (วิทยาศาสตรก์ ายภาพ) ช้ันมัธยมศกึ ษาปีที่ 5 เล่ม 2

(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 ใบกจิ กรรม 4.6 ความถ่ธี รรมชาติของลูกตุ้ม
8.3 อปุ กรณก์ ารทากิจกรรมความถ่ีธรรมชาติของลกู ต้มุ
8.4 อุปกรณ์สาธิตการส่นั พ้อง

9. ช้ินงาน/ภาระงาน

-

10. การวัดและประเมินผล

10.1 การประเมนิ ระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้

ตวั ชี้วัด/ผลการเรียนรู้ วธิ ีการวดั เครื่องมอื วัด เกณฑท์ ่ีใช้ในการ
ประเมนิ
ดา้ นความรู้: 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมิน
1) นักเรียนสามารถ
1) นักเรยี นอธิบายความถ่ี 4.6 ความถ่ธี รรมชาติ การทากิจกรรม สรุปผลของกจิ กรรมได้
ระดบั ดผี า่ นเกณฑ์
ของธรรมชาตไิ ด้ ของลกู ตมุ้

ดา้ นกระบวนการ: 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมิน 1) นกั เรยี นสามารถ
บันทึกผลของกิจกรรม
1) นกั เรยี นทดลองและ 4.6 ความถี่ธรรมชาติ การทากิจกรรม ไดร้ ะดับดี ผา่ นเกณฑ์

สงั เกตความถ่ขี องธรรมชาติ ของลกู ตุม้ 1) นกั เรียนทาภาระงาน
ท่ีได้รบั มอบหมายได้
ได้ ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์

ด้านเจตคติ: 1) ตรวจใบกิจกรรม 1) แบบประเมนิ

1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี 4.6 ความถีธ่ รรมชาติ การทากจิ กรรม

ความมงุ่ มัน่ ในการทางาน ของลกู ตุม้

11. กิจกรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................

ลงช่ือ ผสู้ อน
(นางสาวจิรนันท์ ต่อมหล้า)

12. ข้อคดิ เหน็ ของหัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงช่ือ...............................................................
( นายนนั ท์ ก้อคา )

หัวหน้ากลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

13. ข้อคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะผ้ชู ่วยผูอ้ านวยการกล่มุ งานบรหิ ารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ...............................................................
(....................................................)

ผู้ชว่ ยผู้อานวยการกล่มุ งานบริหารวิชาการ


Click to View FlipBook Version