The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by ao_jiranan, 2022-02-15 10:40:17

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

แผนการสอนวิทยาศาสตร์กายภาพ 2

5. ผลการทากิจกรรม ผลกิจกรรมจาก แสงสีท่ีได้
ผสมแสงสี กลอ่ งผสมแสงสี

1. แสงสแี ดง+แสงสีเขยี ว

2. แสงสีน้าเงนิ +แสงสเี ขยี ว

3. แสงสนี า้ เงิน+แสงสีแดง

4. แสงสีแดง+แสงสีเขยี ว+แสงสนี ้าเงิน

6. คาถามทา้ ยกิจกรรม
1) เมอ่ื ฉายแสงสีแดงกบั สีเขยี ว แสงสีแดงผสมกับสีนา้ เงิน และแสงสีน้าเงินผสมกับสเี ขยี วไปผสมกนั บนฉากขาวจะเหน็
เป็นแสงสใี ด ตามลาดับ

ตอบ แสงสเี หลือง แสงสแี ดงมว่ ง และแสงสีน้าเงนิ เขยี ว ตามลาดับ ทท

2) เมือ่ ฉายแสงสีเขยี ว สแี ดง และสนี า้ เงนิ ไปผสมกนั บนฉากขาวจะเห็นแสงสใี ด ท
ตอบ   แสงสีขาว

7. อธปิ รายและสรุปผลการทากิจกรรม
    เมือ่ ฉายแสงสแี ดงกับสเี ขยี วผสมกนั บนฉากขาวจะได้แสงสเี หลือง แสงสแี ดงผสมกับสนี ้าเงนิ กันบนฉากขาวจะ

ได้แสงสแี ดงมว่ ง และแสงสนี า้ เงนิ ผสมกับสเี ขยี วไปผสมกันบนฉากขาวไดแ้ สงสีน้าเงินเขียว และเมอ่ื ฉายแสงท้ัง 3 สี ไป

ผสมกนั บนฉากขาวจะเหน็ แสงสีขาว ขึ้

น คว า

ใบกจิ กรรม 6.4 การผสมสารสี

1. รายชอื่ สมาชกิ กลุม่ ท่ี …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์การทากิจกรรม
สงั เกตและอธิบายการผสมสารสี

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชดุ
1) สีโปสเตอร์หรอื สีน้าท่มี ีสใี กลเ้ คียงกับ สีหมกึ พมิ พส์ ีแดงมว่ ง (magenta)
สีนา้ เงินเขียว (cyan) และสเี หลอื ง (yellow) 1 แผน่
2) กระดาษขาว 1 อัน
3) จานผสมสี 1 ด้าม
4) พูก่ นั

4. วิธที ากิจกรรม
1) เตรียมสีนา้ สีแดงมว่ ง สีนา้ เงนิ เขียว และสีเหลอื ง และใชพ้ ู่กันระบายสแี ต่ละสีลงในวงกลมตามหมายเลข 1, 2 และ 3
ตามลาดบั
2) ผสมสที ีละคู่ตามหมายเลขโดยพยายามใหป้ รมิ าณเน้อื สีมีสัดสว่ นทเ่ี ท่า ๆ กนั คนเนื้อสใี หเ้ ขา้ กนั แล้วนามาระบายใส่ลง
ในชอ่ งว่างตามหมายเลข

5. ผลการทากจิ กรรม

2 . เหลอื ง

1+2 2+3

1. นา้ เงนิ เขยี ง 1+3 3. แดง

มว่ ง

6. คาถามท้ายกจิ กรรม
1) เมื่อผสมสารสีเหลอื งกับสีนา้ เงนิ เขียว สีเหลืองกบั สีแดงมว่ ง สแี ดงม่วงกับสีน้าเงนิ เขยี ว ไดผ้ ลเป็นสใี ดตามลาดับ

ตอบ ในการทากจิ กรรมจะได้สีที่ใกล้เคยี งสเี ขยี ว สแี ดง และสีนา้ เงินตามลาดับ ท้ังน้คี รตู ้องอธบิ ายวา่ โดยทฤษฎี

ตามลา ดับ ทท

2) เมือ่ ผสมสารสที ั้ง 3 สี ได้ผลเป็นสีใด ท
ตอบ   สีดา

7. อธปิ รายและสรุปผลการทากิจกรรม
    เมื่อผสมสารสีเหลืองกับสีน้าเงินเขียวไดส้ ี ผสมสารสเี หลืองกับสแี ดงม่วงจะได้สแี ดง ผสมสารสีแดงมว่ งกบั

สนี า้ เงินเขยี วจะไดส้ ีนา้ เงนิ และเมื่อผสมสารสีท้งั 3 สี จะได้สีดา อ

ข้ึ น คว



เฉลยใบกิจกรรม 6.3 การผสมแสงสี

1. รายช่อื สมาชิกกลุม่ ที่ …………………………………………………….. ช้ัน …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
สังเกตและอธบิ ายการผสมแสงสี

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชดุ
1) ชดุ กล่องผสมแสงสีหรอื แหล่งกาเนดิ แสงอนื่ ทใ่ี ห้สีเขยี ว สนี ้าเงิน สแี ดง 1 แผน่
2) ฉากขาว

4. วธิ ีทากจิ กรรม
1) นาชดุ กล่องผสมแสงสไี ปรับแสงขาว แลว้ ปรับแสงสีทลี ะคู่ให้ฉายไปผสมกันบนฉากสขี าวอาจใช้แสงจากแหลง่ กาเนดิ
แสงอ่นื แทน เชน่ หลอดไฟทีใ่ ห้แสงสีเขียว สนี ้าเงิน สีแดง หรอื แสงท่ีผ่านแผ่นกรองแสงสี สงั เกตสีที่เกิดข้นึ
2) ฉายแสงสที ั้งสามแสงสีผสมกันบนฉากสีขาว สงั เกตสที ่ีเกิดข้ึน

5. ผลการทากจิ กรรม ตัวอยา่ งผลกิจกรรมจาก แสงสีที่ได้
ผสมแสงสี กล่องผสมแสงสี แสงสีเหลอื ง

1. แสงสแี ดง+แสงสีเขียว

2. แสงสีน้าเงิน+แสงสเี ขยี ว แสงสีน้าเงินเขียว

3. แสงสีนา้ เงนิ +แสงสีแดง แสงสแี ดงม่วง

4. แสงสีแดง+แสงสีเขยี ว+แสงสีน้าเงิน แสงสีขาว

6. คาถามท้ายกิจกรรม
1) เม่อื ฉายแสงสแี ดงกบั สีเขียว แสงสีแดงผสมกับสีน้าเงนิ และแสงสนี ้าเงินผสมกบั สีเขียวไปผสมกันบนฉากขาวจะเห็น
เป็นแสงสใี ด ตามลาดบั

ตอบ แสงสเี หลือง แสงสแี ดงม่วง และแสงสีน้าเงินเขียว ตามลาดับ ทท

2) เม่ือฉายแสงสีเขยี ว สีแดง และสีนา้ เงนิ ไปผสมกันบนฉากขาวจะเหน็ แสงสีใด ท
ตอบ   แสงสีขาว

7. อธิปรายและสรปุ ผลการทากจิ กรรม
    เมือ่ ฉายแสงสีแดงกับสีเขียวผสมกันบนฉากขาวจะได้แสงสีเหลือง แสงสแี ดงผสมกบั สีน้าเงินกันบนฉากขาวจะ

ไดแ้ สงสแี ดงม่วง และแสงสนี ้าเงินผสมกบั สเี ขยี วไปผสมกนั บนฉากขาวไดแ้ สงสนี ้าเงนิ เขยี ว และเม่อื ฉายแสงทั้ง 3 สี ไป

ผสมกนั บนฉากขาวจะเห็นแสงสีขาว ข้ึ

น คว า

เฉลยใบกิจกรรม 6.4 การผสมสารสี

1. รายช่อื สมาชิกกลมุ่ ท่ี …………………………………………………….. ชั้น …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชือ่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

2. จดุ ประสงค์การทากจิ กรรม
สงั เกตและอธิบายการผสมสารสี

3. วัสด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชดุ
1) สีโปสเตอร์หรือสีนา้ ทมี่ ีสีใกลเ้ คยี งกับ สีหมกึ พิมพ์สีแดงมว่ ง (magenta)
สนี า้ เงนิ เขยี ว (cyan) และสเี หลือง (yellow) 1 แผ่น
2) กระดาษขาว 1 อัน
3) จานผสมสี 1 ดา้ ม
4) พู่กนั

4. วิธที ากิจกรรม
1) เตรียมสีน้าสีแดงมว่ ง สนี า้ เงนิ เขยี ว และสีเหลอื ง และใช้พู่กนั ระบายสีแตล่ ะสีลงในวงกลมตามหมายเลข 1, 2 และ 3
ตามลาดับ
2) ผสมสีทีละคตู่ ามหมายเลขโดยพยายามให้ปรมิ าณเนอื้ สมี ีสัดส่วนท่เี ทา่ ๆ กัน คนเนื้อสใี ห้เขา้ กัน แล้วนามาระบายใส่ลง
ในช่องวา่ งตามหมายเลข

5. ผลการทากจิ กรรม

6. คาถามทา้ ยกจิ กรรม
1) เมอ่ื ผสมสารสีเหลอื งกบั สนี า้ เงนิ เขยี ว สีเหลืองกบั สีแดงม่วง สแี ดงม่วงกบั สีน้าเงนิ เขยี ว ไดผ้ ลเป็นสใี ดตามลาดบั

ตอบ ในการทากจิ กรรมจะได้สที ี่ใกลเ้ คยี งสีเขียว สแี ดง และสีน้าเงนิ ตามลาดับ ท้ังน้คี รูต้องอธบิ ายวา่ โดยทฤษฎี

ตามลา ดับ ทท

2) เมอื่ ผสมสารสที ัง้ 3 สี ไดผ้ ลเปน็ สใี ด ท
ตอบ   สีดา

7. อธปิ รายและสรปุ ผลการทากจิ กรรม
    เม่ือผสมสารสเี หลืองกับสนี า้ เงินเขียวได้สี ผสมสารสีเหลอื งกบั สแี ดงมว่ งจะได้สแี ดง ผสมสารสีแดงม่วงกับ

สนี า้ เงินเขียวจะไดส้ นี ้าเงิน และเมื่อผสมสารสีทั้ง 3 สี จะได้สีดา อ

ขึ้ น คว

ใบกจิ กรรม 6.5 การเหน็ สขี องวตั ถภุ ายใตแ้ สงสีตา่ ง ๆ

1. รายชอ่ื สมาชกิ กลุม่ ท่ี …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

2. จุดประสงค์การทากจิ กรรม
สังเกตและอธบิ ายการมองเหน็ สขี องวัตถุภายใต้แสงสีตา่ งๆ

3. วสั ด-ุ อปุ กรณ์ 1 ชุด
1) แผ่นกรองแสงสสี แี ดง สนี ้าเงิน และสเี ขยี ว 1 ชดุ
2) แหลง่ กาเนดิ แสงขาว 1 ชุด
3) วตั ถหุ รือแผน่ กระดาษสีสนี ้าเงิน สีแดง สีเขียว สเี หลือง สขี าว สีดา

4. วธิ ีทากจิ กรรม
1) ฉากแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงผา่ นแผ่นกรองแสงสีแดงไปบนวตั ถุสีขาว สงั เกตสวี ัตถุในตาแหนง่ ที่แสงสีตกกระทบ
บันทึกผลลงในตาราง
2) ทาซา้ ขอ้ 1) โดยเปลีย่ นวัตถุเปน็ สีดา สแี ดง สเี ขียว สเี หลือง สนี า้ เงิน ตามลาดบั
3) ทาซา้ ขอ้ 1) และ ข้ อ 2) โดยเปล่ยี นแผน่ กรองแสงสเี ปน็ สนี ้าเงนิ และสีเขียว ตามลาดบั

5. ผลการทากจิ กรรม แสงสที ่ีฉายลงวตั ถุ สขี องวตั ถทุ ่ีเหน็ เมื่อฉายแสงสี
สขี องวัตถุเดิม สแี ดง

1. สีน้าเงนิ

2. สีแดง สแี ดง

สีของวตั ถเุ ดิม แสงสที ่ฉี ายลงวตั ถุ สีของวตั ถุท่เี ห็นเมือ่ ฉายแสงสี
3. สีเขยี ว สีแดง
4. สเี หลือง
5. สขี าว สแี ดง
6. สีนา้ เงิน
7. สแี ด สีแดง
8. สเี ขยี ว
9. สเี หลอื ง สนี า้ เงิน
10. สีขาว
สนี ้าเงิน

สนี า้ เงิน

สนี ้าเงิน

สนี ้าเงนิ

สขี องวัตถุเดมิ แสงสที ี่ฉายลงวตั ถุ สขี องวัตถทุ ่เี หน็ เม่อื ฉายแสงสี
11. สดี า สนี า้ เงนิ
12. สีนา้ เงิน
13. สแี ดง สเี ขยี ว
14. สเี ขียว
15. สีเหลือง สเี ขียว
16. สีขาว
17. สีดา สเี ขียว

สเี ขยี ว

สเี ขยี ว

สีเขยี ว

6. คาถามท้ายกิจกรรม
1) เมอื่ ฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสีแดงไปบนวัตถสุ ีขาว เรามองเหน็ เปน็ สอี ะไร เพราะเหตุใด

ตอบ เห็นวตั ถุเป็นสีแดง เนื่องจากวัตถุสขี าวไม่ได้ดูดกลนื แสงสีใดไวเ้ ม่อื ฉายแสงสีแดงลงไปจึงสะทอ้ นสีแดงออกมา

เห็นวัตถุเป็นสีแดง เน่ืองจากวตั ถุสขี าวไมไ่ ด้ดูดกลนื แสงสีใดไวเ้ มื่อฉายแสงสีแดงลงไปจึงสะท้อนสแี ดงออกมา

2) เม่ือฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสเี ขียวไปบนวัตถสุ ีดา เรามองเหน็ เป็นสอี ะไร เพราะเหตใุ ด v
ตอบ เห็นวัตถุเปน็ สดี า เนอ่ื งจากวตั ถสุ ีดา ดูดกลืนทุกแสงสจี งึ ไม่มแี สงสใี ดสะท้อนออกมา

เหน็ วัตถเุ ปน็ สีแดง เน่อื งจากวัตถุสีขาวไมไ่ ด้ดูดกลนื แสงสีใดไวเ้ มอื่ ฉายแสงสีแดงลงไปจึงสะท้อนสแี ดงออกมา

3) เมอ่ื ฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสนี ้าเงนิ ไปบนวตั ถสุ แี ดง เรามองเหน็ เปน็ สีอะไรเพราะเหตุใด b
ตอบ เหน็ วัตถุเปน็ สดี า เนอื่ งจากวตั ถสุ ีแดงจะดูดกลืนแสงสีนา้ เงิน จึงไม่มีแสงสีใดสะท้อนออกมา

เหน็ วตั ถเุ ป็นสแี ดง เน่อื งจากวตั ถุสขี าวไม่ไ ด้ดูดกลืนแสงสีใดไว้เม่ือฉายแสงสีแดงลงไปจึงสะทอ้ นสีแดงออกมา

4) เมอื่ ฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสีแดงไปบนวตั ถุสีเหลอื ง เรามองเหน็ เป็นสีอะไรเพราะเหตใุ ด
ตอบ เห็นวัตถุเปน็ สีแดง เน่อื งจากวัตถุสีเหลอื งสะทอ้ นแสงสเี ขียวและสีแดงออกมา เมือ่ ฉายแสงสีแดงลงบนวัตถสุ ี

เหลอื งจงึ สะท้อนแสงสแี ดงออกมาทาใหเ้ ห็นเป็นวัตถุสีแดง v

เห็นวตั ถุเปน็ สีแดง เนื่องจากวัตถุสขี าวไม่ไ ด้ดูดกลนื แสงสีใดไวเ้ มื่อฉายแสงสีแดงลงไปจึงสะทอ้ นสแี ดงออกมา

7. อธิปรายและสรุปผลการทากจิ กรรม
    เมอ่ื ฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสีแดงไปบนวตั ถุสีขาวเรามองเห็นเป็นสแี ดง เมอ่ื ฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ

แสงสีเขียวไปบนวัตถุสีดา เรามองเหน็ เป็นสีดา เม่ือฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสีน้าเงินไปบนวตั ถสุ ีแดง เรามองเห็นเป็น

สีดา เมอื่ ฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสแี ดงไปบนวัตถุสีเหลอื ง เรามองเห็นเปน็ สีแดง ด

    เมื่อฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสีแดงไปบนวตั ถสุ ีขาวเรามองเห็นเป็นสีแดง เ มื่อฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ

แสงสเี ขียวไปบนวตั ถุสีดา เรามองเหน็ เป็นสีดา เม่ือฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสนี า้ เงินไปบนวตั ถสุ แี ดง เรามองเหน็ เปน็

สีดา เมอื่ ฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสแี ดงไปบนวัตถสุ ีเหลือง เรามองเห็นเป็นสีแดง ด

    เมอ่ื ฉายแสงจากแหลง่ กาเนิดแสงสแี ดงไปบนวตั ถสุ ีขาวเรามองเห็นเป็นสแี ดง เมื่อฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสีเขยี ว

ไปบนวตั ถุสดี า เรามองเห็นเปน็ สีดา เมื่อฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสนี ้าเงินไปบนวัตถสุ แี ดง เรามองเห็นเป็นสดี า เม่อื

ฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสีแดงไปบนวตั ถสุ เี หลอื ง เรามองเหน็ เปน็ สแี ดง ด

เฉลยใบกจิ กรรม 6.5 การเห็นสขี องวตั ถุภายใต้แสงสีตา่ ง ๆ

1. รายชื่อสมาชกิ กลมุ่ ที่ …………………………………………………….. ชนั้ …………………………………

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที.่ ..................

ช่อื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................

ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................

ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................

2. จุดประสงค์การทากิจกรรม
สงั เกตและอธิบายการมองเหน็ สขี องวตั ถภุ ายใต้แสงสตี ่างๆ

3. วัสด-ุ อุปกรณ์ 1 ชุด
1) แผ่นกรองแสงสสี ีแดง สีน้าเงนิ และสเี ขยี ว 1 ชดุ
2) แหล่งกาเนดิ แสงขาว 1 ชดุ
3) วัตถุหรือแผน่ กระดาษสีสนี า้ เงิน สีแดง สีเขยี ว สีเหลือง สีขาว สีดา

4. วิธีทากิจกรรม
1) ฉากแสงจากแหล่งกาเนิดแสงผา่ นแผ่นกรองแสงสีแดงไปบนวัตถุสขี าว สังเกตสีวัตถุในตาแหนง่ ท่แี สงสีตกกระทบ
บนั ทึกผลลงในตาราง
2) ทาซา้ ข้อ 1) โดยเปลี่ยนวตั ถุเปน็ สีดา สแี ดง สีเขยี ว สีเหลือง สีน้าเงนิ ตามลาดับ
3) ทาซา้ ขอ้ 1) และ ข้ อ 2) โดยเปล่ยี นแผน่ กรองแสงสเี ป็นสนี ้าเงิน และสีเขียว ตามลาดับ

5. ผลการทากจิ กรรม แสงสีท่ฉี ายลงวตั ถุ สขี องวตั ถทุ ่ีเห็นเมอ่ื ฉายแสงสี
สขี องวัตถเุ ดมิ สีแดง สดี า

1. สนี า้ เงนิ

2. สแี ดง สีแดง
สีแดง

สีของวัตถุเดิม แสงสที ี่ฉายลงวตั ถุ สีของวัตถุทีเ่ หน็ เมอื่ ฉายแสงสี
3. สเี ขียว สีแดง สดี า
4. สเี หลือง สแี ดง สีแดง
5. สีขาว สีแดง สีแดง
6. สีน้าเงิน สนี า้ เงิน สีนา้ เงนิ
7. สแี ด สนี ้าเงนิ สดี า
8. สีเขยี ว สีนา้ เงิน สดี า
9. สเี หลอื ง สีนา้ เงิน สดี า
10. สีขาว สีน้าเงนิ สนี ้าเงนิ

สีของวัตถเุ ดิม แสงสีที่ฉายลงวัตถุ สีของวตั ถุที่เห็นเม่อื ฉายแสงสี
11. สดี า สีนา้ เงิน สดี า
12. สีนา้ เงนิ สีเขียว สดี า
13. สแี ดง สเี ขยี ว สดี า
14. สเี ขียว สเี ขยี ว สีเขียว
15. สีเหลอื ง สเี ขยี ว สเี ขียว
16. สีขาว สีเขียว สเี ขยี ว
17. สีดา สเี ขยี ว สีดา

6. คาถามท้ายกิจกรรม
1) เมอื่ ฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสีแดงไปบนวัตถุสีขาว เรามองเห็นเปน็ สอี ะไร เพราะเหตุใด

ตอบ เห็นวตั ถุเป็นสีแดง เนื่องจากวัตถุสขี าวไม่ได้ดูดกลนื แสงสีใดไว้เม่ือฉายแสงสีแดงลงไปจงึ สะท้อนสีแดงออกมา

เห็นวัตถุเป็นสีแดง เน่ืองจากวตั ถุสขี าวไม่ไ ด้ดูดกลืนแสงสีใดไวเ้ ม่อื ฉายแสงสีแดงลงไปจงึ สะท้อนสแี ดงออกมา

2) เม่ือฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสเี ขียวไปบนวัตถสุ ีดา เรามองเหน็ เป็นสอี ะไร เพราะเหตใุ ด v
ตอบ เห็นวัตถุเปน็ สดี า เนอ่ื งจากวตั ถสุ ีดา ดูดกลืนทุกแสงสีจึงไม่มีแสงสใี ดสะทอ้ นออกมา

เหน็ วัตถเุ ปน็ สีแดง เน่อื งจากวัตถุสีขาวไมไ่ ด้ดดู กลืนแสงสีใดไวเ้ มือ่ ฉายแสงสีแดงลงไปจึงสะทอ้ นสแี ดงออกมา

3) เมอ่ื ฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสนี ้าเงนิ ไปบนวตั ถสุ แี ดง เรามองเหน็ เป็นสอี ะไรเพราะเหตุใด b
ตอบ เหน็ วัตถุเปน็ สดี า เนอื่ งจากวตั ถสุ ีแดงจะดูดกลืนแสงสีนา้ เงิน จึงไม่มีแสงสีใดสะทอ้ นออกมา

เหน็ วตั ถเุ ป็นสแี ดง เน่อื งจากวตั ถุสขี าวไมไ่ ด้ดูดกลืนแสงสีใดไวเ้ มอ่ื ฉายแสงสีแดงลงไปจึงสะทอ้ นสแี ดงออกมา

4) เมอื่ ฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสีแดงไปบนวตั ถสุ ีเหลอื ง เรามองเหน็ เปน็ สอี ะไรเพราะเหตใุ ด
ตอบ เห็นวัตถุเปน็ สีแดง เน่อื งจากวัตถสุ ีเหลอื งสะทอ้ นแสงสีเขียวและสีแดงออกมา เมื่อฉายแสงสีแดงลงบนวตั ถสุ ี

เหลอื งจงึ สะท้อนแสงสแี ดงออกมาทาใหเ้ หน็ เป็นวัตถสุ ีแดง v

เห็นวตั ถุเปน็ สีแดง เนื่องจากวัตถุสขี าวไม่ไ ด้ดดู กลนื แสงสีใดไว้เมอ่ื ฉายแสงสีแดงลงไปจงึ สะทอ้ นสแี ดงออกมา

7. อธิปรายและสรุปผลการทากจิ กรรม
    เมอ่ื ฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสีแดงไปบนวตั ถสุ ขี าวเรามองเห็นเป็นสีแดง เมือ่ ฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ

แสงสีเขียวไปบนวัตถุสีดา เรามองเหน็ เป็นสีดา เม่ือฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสีน้าเงนิ ไปบนวัตถุสแี ดง เรามองเหน็ เป็น

สีดา เมอื่ ฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสแี ดงไปบนวัตถุสีเหลือง เรามองเห็นเปน็ สีแดง ด

    เมื่อฉายแสงจากแหลง่ กาเนดิ แสงสีแดงไปบนวตั ถุสีขาวเรามองเห็นเป็นสีแดง เ มอ่ื ฉายแสงจากแหล่งกาเนิด

แสงสเี ขียวไปบนวตั ถุสีดา เรามองเหน็ เป็นสีดา เม่ือฉายแสงจากแหลง่ กาเนิดแสงสนี ้าเงนิ ไปบนวตั ถสุ ีแดง เรามองเหน็ เปน็

สีดา เมอื่ ฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสแี ดงไปบนวัตถสุ ีเหลอื ง เรามองเหน็ เป็นสแี ดง ด

    เมอ่ื ฉายแสงจากแหลง่ กาเนิดแสงสแี ดงไปบนวตั ถสุ ีขาวเรามองเห็นเปน็ สแี ดง เมอื่ ฉายแสงจากแหล่งกาเนิดแสงสีเขยี ว

ไปบนวตั ถุสดี า เรามองเห็นเปน็ สีดา เมื่อฉายแสงจากแหลง่ กาเนิดแสงสนี า้ เงินไปบนวตั ถุสีแดง เรามองเหน็ เปน็ สีดา เม่อื

ฉายแสงจากแหล่งกาเนดิ แสงสีแดงไปบนวตั ถุสเี หลอื ง เรามองเหน็ เป็นสีแดง ด

แผนการจดั การเรยี นรทู้ ี่ 19

รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว32103 กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ระดบั ชั้นมัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรยี นที่ 2 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 6 แสงสี เวลา 4 ช่วั โมง

เรือ่ ง สว่ นประกอบของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า

และหลกั การทางานของอุปกรณ์ที่ใชค้ ลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ เวลา 2 ชวั่ โมง

1. มาตรฐานการเรยี นรูแ้ ละตวั ชี้วดั
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร

และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟา้ รวมทงั้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์

ตวั ชี้วัด
ว 2.3 ม.5/11 สืบค้นข้อมูลและอธิบายคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนประกอบคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า และหลกั การ
ทางานของอปุ กรณ์บางชนดิ ที่อาศัยคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า

2. สาระสาคญั
คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ (electromagnetic waves)

เกิดจากการรบกวนประจุไฟฟ้า ซง่ึ ทาใหเ้ กิดการถ่ายโอนพลังงานของการรบกวนประจุไฟฟ้าไปยังบริเวณรอบ ๆ ใน
รูปของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าท่ีประกอบด้วยสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ความรู้เก่ียวกับ
คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถนาไปประยุกต์ใช้สร้างอุปกรณ์ที่ช่วยอานวยความสะดวกในชีวิตประจาวัน เช่น เคร่ือง
ควบคุมระยะไกล (remote control) เครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (Computed Tomography Scan)
และ เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก (Magnetic Resonance Imaging) นอกจากน้ี ความรู้เกี่ยวกับคลื่น
แมเ่ หล็กไฟฟ้ายังนาไปประยุกต์ใชใ้ นการส่อื สารไดอ้ ีกดว้ ย

3. จุดประสงค์การเรียนรู้
3.1 ดา้ นความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธิบายการเกดิ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าได้
2) นกั เรียนบอกส่วนประกอบหลกั ของคลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้
3) นกั เรียนระบุคล่นื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ ทีใ่ ช้ในการทางานของเคร่ืองควบคุมระยะไกล เครื่องถ่ายภาพ
เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ และเครอ่ื งถ่ายภาพการสั่นพ้องแมเ่ หลก็ ได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นักเรยี นสามารถจัดกระทาและสอ่ื ความหมายของขอ้ มลู ที่ศกึ ษาคน้ ควา้ ได้

3.3 ด้านคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรแู้ ละเปน็ ผ้มู ีความมุ่งมั่นในการทางาน

4. สาระการเรียนรู้

4.1 ความรู้

คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า เกิดจากการรบกวนอนุภาคท่ีมีประจุไฟฟ้า เช่น การทาให้อิเล็กตรอน

เคลื่อนที่กลบั ไปกลับมา ส่งผลให้เกิดการสง่ ผ่านพลงั งานของการรบกวนไปยังบรเิ วณรอบ ๆ ในรูปของคล่ืน

แม่เหลก็ ไฟฟ้า

คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าประกอบด้วยสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหลก็ ท่ีสะสมพลังงานสาหรบั การสง่ ผา่ น

ไปยังบริเวณรอบ ๆ เนื่องจากสนามแม่เหล็กและสนามไฟฟ้าสามารถเกิดขึ้นได้แม้ในบริเวณท่ีไม่มีสสาร

คลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟ้าจึงสามารถเคลื่อนทแี่ ละส่งผ่านพลังงานได้โดยไม่ตอ้ งอาศัยตัวกลาง สาหรบั บรเิ วณท่ีเป็น

สุญญากาศ คล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถเคล่ือนท่ีผ่านด้วยความเร็วประมาณ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที

แตส่ าหรับในตวั กลางอนื่ เช่น อากาศ หรอื น้า คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าจะเคลื่อนทีไ่ ดช้ า้ ลง

ตาราง 7.1 ความเร็วของคลนื่ แม่เหลก็ ไฟฟา้ (แสง) ในตัวกลางต่างๆ

ตัวกลาง ความเร็ว (m/s)

สญุ ญากาศ 300,000

อากาศ ตา่ กวา่ 300,000 เลก็ น้อย

นา้ 226,000

แกว้ 200,000

เพชร 124,000

สนามไฟฟ้าและสนามแม่เหลก็ ท่ีเป็นส่วนประกอบของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้ามีทิศทางต้ังฉากกันและ
ต้ังฉากกับทิศทางของความเร็วของการเคลื่อนท่ีของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า ยกตัวอย่างเช่น ถ้าให้สนามไฟฟ้า

แทนด้วยเวกเตอร์ ⃑ สนามแม่เหล็กแทนด้วยเวกเตอร์ ⃑ และความเร็วของคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าแทนด้วย
เวกเตอร์ จะไดว้ ่าเวกเตอรท์ ั้งสามมีลักษณะต้ังฉากกันดังแสดงในรูปท่ี 7.2 ดังนั้นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจึง
เปน็ คล่นื ตามขวาง

รูป 7.2 ภาพจาลองแสดงสว่ นประกอบหลกั ของคลื่นแม่เหล็กไฟฟา้ ทต่ี าแหนง่ ตา่ ง ๆ ณ ขณะหน่งึ

เนื่องจากคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางมีความเร็วประมาณ 300,00 กิโลเมตรต่อ
วินาที และสามารถสะท้อน หักเห เลี้ยวเบน และรวมคลื่น ได้เช่นเดียวกับคลื่นชนิดอ่ืน ๆ จึงทาให้สามารถนามา
ประยุกต์ใชไ้ ด้หลายหลายดา้ น

หลกั การทางานของอปุ กรณท์ ี่ใช้คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้า
เคร่ืองควบคุมระยะไกล
เครื่องควบคุมระยะไกล หรือ รีโมทคอนโทรลเลอร์ (Remote Controller) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า

รีโมท เช่น รีโมทโทรทัศน์ ดังรูป 7.3 ก. ที่ใช้คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงรังสีอินฟราเรด (infrared หรือ IR)
สาหรบั สง่ ผ่านขอ้ มูลไปยงั โทรทัศน์

โดยทัว่ ไปรโี มทมีส่วนประกอบหลกั 3 สว่ นไดแ้ ก่ ปมุ่ คาสั่งต่าง ๆ แผงวงจรอเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ และสว่ น
สง่ สญั ญาณ ดังรปู 7.3 ข.

รูป 7.3 ก. ตัวอยา่ งรโี มทโทรทัศน์ ข. ส่วนประกอบของรีโมทโทรทัศน์
ค. โทรทัศนท์ ี่ใชก้ ับรโี มท และ ง. ส่วนรับรงั สอี นิ ฟราเรดจากรีโมทโทรทัศน์
เม่ือกดที่ปุ่มใดปุ่มหน่ึงบนรีโมท แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ภายในรีโมทจะทาหน้าที่ประมวลผลการ
กดป่มุ เป็นรหสั คาสัง่ จากนั้นรหสั คาส่ังจะถูกแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าแลว้ สง่ ต่อไปยังส่วนส่งสัญญาณซึ่งจะ
สง่ รังสอี ินฟราเรดไปยังเครื่องใชไ้ ฟฟ้า แผนภาพแสดงขัน้ ตอนการทางานของรโึ มท ดงั รูป 7.4 ก.
เม่ือส่วนรับสัญญาณของโทรทัศน์ไดร้ ับรังสีอนิ ฟราเรดท่ีสง่ มา จะแปลงกลับมาเป็นสัญญาณไฟฟ้า
และส่งต่อไปยังส่วนต่าง ๆ ของเครื่องเพ่ือการทางานตามคาส่ังท่ีได้มาจากรีโมทต่อไป แผนภาพแสดง
ขั้นตอนการทางานของส่วนรับสญั ญาณ ดังรปู 7.4 ข.

รูป 7.4 แผนภาพแสดงขั้นตอนการทางานของ
ก. เคร่อื งควบคมุ ระยะไกลของโทรทศั น์ ข.สว่ นรบั สญั ญาณของโทรทัศน์

สาหรบั เคร่ืองควบคุมระยะไกลของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าอืน่ ๆ หรือของเล่น เชน่ คีย์บอร์ดไร้สาย เมาสไ์ ร้
สาย ดังรูป 7.5 ก. หรือเครื่องควบคุมระยะไกลของรถหรือโดรนของเล่น ดังรูป 7.5 ข. ต่างมีข้ันตอนการ

ทางานหลักเหมือนกับรีโมทของโทรทัศน์ดังท่ีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ส่ิงที่แตกต่างคือเครื่องใช้และของ
เลน่ เหล่าน้ใี ช้คล่ืนวทิ ยุ (radio wave) ในการส่งสญั ญาณ

รปู 7.5 ก. คียบ์ อร์ดและเมาส์ของคอมพิวเตอร์แบบไร้สาย และ
ข. เครอื่ งควบคุมโดรนแบบไรส้ าย

เคร่ืองถา่ ยภาพเอกซเรย์คอมพวิ เตอร์

รูป 7.6 เครื่องถ่ายภาพเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์
เครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือ เครื่อง CT Scan (Computed Tomography
Scan) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้สร้างภาพของอวัยวะภายในร่างกายโดยอาศัยคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าในช่วงของรังสี
เอกซ์ (x-rays) ดังรปู 7.6 สว่ นใหญ่เครือ่ ง CT Scan มลี กั ษณะเป็นกล่องทม่ี ีชอ่ งวงกลมขนาดใหญ่ที่บรเิ วณ
ตรงกลาง และมีเตียงเป็นแทน่ ยาวสอดเข้าไปทีช่ อ่ งสาหรับให้ผู้รับการวินิจฉยั ไดน้ อน ดังรูป 7.7 ก.

รูป 7.7 ก. ผ้รู บั การวินจิ ฉยั นอนบนเตียงของเครอื่ ง CT Scan
ข. ส่วนประกอบหลกั และการฉายภาพของเครื่อง CT Scan
ในการสรา้ งภาพสาหรับการวนิ ิจฉัยเครอ่ื ง CT Scan จะควบคุมให้แหล่งกาเนิดรังสีเอกซ์เคล่ือนที่
ไปรอบ ๆ พร้อมฉายรังสีไปยังอวัยวะที่ต้องการวินิจฉัย รังสีเอกซ์ท่ีฉายผ่านอวัยวะในมุมต่าง ๆ จะถูก
ตรวจวัดด้วยอุปกรณ์อีกช้ินท่ีอยู่ตาแหนง่ ตรงข้าม ดังรปู 7.7 ข. จากน้ัน อปุ กรณ์ตรวจวดั รังสีเอกซ์จะส่งผล
การตรวจวดั รังสีไปใหร้ ะบบคอมพิวเตอร์เพ่อื ประมวลผลและสร้างรปู 3 มติ ิของอวยั วะที่ต้องการวินจิ ฉยั

ภาพที่ได้จากเคร่ือง CT Scan มีมิติของความลึกและสร้างจากภาพย่อย ๆ ของอวัยวะในมุมท่ี
แตกต่างกนั จานวนหลายสบิ ภาพ จึงชว่ ยใหแ้ พทย์สามารถใชว้ ินจิ ฉัยความผิดปกติของอวัยวะได้ละเอียดและ
แมน่ ยากว่ารปู ท่ีไดจ้ ากเคร่อื งฉายรังสีเอกซ์ทวั่ ไป ตัวอยา่ งภาพทไ่ี ด้จากเครอ่ื ง CT Scan ดงั รูป 7.8

รูป 7.8 ตัวอย่างของภาพทีไ่ ด้จากเคร่ือง CT Scan
เครื่องถา่ ยภาพการสน่ั พอ้ งแมเ่ หล็ก หรอื เคร่อื ง MRI เปน็ อปุ กรณ์ท่ใี ช้สนามแมเ่ หล็ก และคล่ืน
แม่เหลก็ ไฟฟา้ ในชว่ งคล่ืนวิทยุ สาหรับการสร้างภาพอวัยวะภายในรา่ งกาย เครื่อง MAI สว่ นใหญ่มรี ปู ร่าง
คล้ายเครื่องถา่ ยภาพเอกซเรย์คอมพวิ เตอร์ คือ มีลักษณะคล้ายกลอ่ งสเี่ หลย่ื มท่ีมีช่องว่างวงกลมขนาดใหญ่
ตรงกลางและมีเคยี งสาหรับให้ผูร้ บั การวินจิ ฉยั นอน ลักษณะเป็นแทน่ ยาวยน่ื เข้าไปในชอ่ ง ดังรปู 7.9

รปู 7.9 เคร่ืองถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็ก
เครอื่ ง MRI มสี ่วนประกอบหลักสาคัญคอื แม่เหล็ก เครื่องกาเนดิ คลน่ื วิทยุ และ สแกนเนอร์
ดังรูป 7.10

รูป 7.10 สว่ นประกอบหลกั ของเครอื่ ง MRI
4.2 กระบวนการ

1) ความสามารถในการส่ือสาร (อ่าน ฟงั พดู เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วเิ คราะห์ จัดกลมุ่ สรปุ )
3) ความสามารถในการแกป้ ัญหา (แก้ปญั หาและอุปสรรคต่างๆ ที่เผชิญได้)
4) ความสามารถในการใช้ทกั ษะชีวิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ (ใช้การสบื ค้นผา่ นคอมพวิ เตอร)์

4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นยิ ม
ใฝ่เรยี นรู้และเปน็ ผ้มู ีความมงุ่ มั่นในการทางาน

5. คุณลักษณะอันพงึ ประสงคข์ องผูเ้ รียน ซอ่ื สัตย์สจุ ริต มงุ่ มัน่ ในการทางาน มวี นิ ัย
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง มจี ติ สาธารณะ
รกั ความเป็นไทย  ใฝ่เรียนรู้

6. สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน
 ความสามารถในการคิด: นกั เรียนสามารถอธิบายเรอื่ งส่วนประกอบของคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าและหลกั การทางาน
ของอปุ กรณท์ ี่ใช้คลน่ื แมเ่ หล็กไฟฟา้ ได้

7. กิจกรรมการเรียนรู้
ข้นั ที่ 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ
1.1 ครูนาคลปิ วีดีทศั นแ์ สดงอปุ กรณ์ทท่ี างานโดยอาศัยคลน่ื แม่เหล็กไฟฟา้ เชน่ เตาไมโครเวฟ
จานดาวเทยี ม โทรศัพท์เคลื่อนที่ รโี มทคอนโทรลของโทรทัศน์

https://www.youtube.com/watch?v=vlzfIXMyvtw

1.2 ครนู าเข้าสู่บทเรยี นหัวขอ้ 7.1 โดยให้นกั เรียนพิจารณาการเกิดและการสง่ ผ่านพลงั งานของ
คล่ืนน้า และคลนื่ เสียง แล้วถามนักเรียนวา่ ถ้าเปรียบเทยี บกบั คลืน่ นา้ และคลนื่ เสยี ง คลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟา้
นา่ จะเกดิ จากอะไรและมีการส่งผา่ นพลังงานอยา่ งไร (โดยครูเปิดโอกาสให้นกั เรียนแสดงความคิดเห็นอย่าง
อิสระ)

ขนั้ ที่ 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา
2.1 ครูให้นกั เรยี นศึกษาและทาความเข้าใจเนื้อหา เร่ือง สว่ นประกอบหลกั ของคล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้

ในหนงั สือเรยี น หนา้ 207 - 208
2.2 นกั เรียนสรุปองค์ความรทู้ ไ่ี ด้ลงในกระดาษ A4 ในรูปแบบ Mind mapping
2.3 นกั เรียนตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 7.1 ลงในสมุด
2.4 ครูแบ่งกลุม่ นักเรยี น 3 กลมุ่ แล้วใหศ้ กึ ษาและนาเสนอเก่ยี วกับการทางานของอุปกรณ์ที่

ทางานโดยอาศัยคลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟ้าในหัวขอ้ ที่ไดร้ ับผดิ ชอบ

กลุม่ ที่ 1 เคร่อื งควบคมุ ระยะไกล
กลมุ่ ที่ 2 เครือ่ งถ่ายภาพเอกซเรยค์ อมพิวเตอร์
กลุม่ ที่ 3 เครือ่ งถ่ายภาพการส่นั พอ้ งแม่เหล็ก
2.5 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ สรปุ องคค์ วามรทู้ ไ่ี ด้ลงในกระดาษ A4 โดยใหน้ กั เรียนสรา้ งสรรคว์ ิธีการนา
เสนอในรูปแบบต่าง ๆ
2.6 นกั เรยี นตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 7.2 ลงในสมุด
ขั้นท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงข้อสรปุ
3.1 ครสู ุ่มนกั เรียน 2 คน ออกมานาเสนอผลงานของตนเองหนา้ ช้ันเรียน
3.2 นกั เรียนและครูร่วมกันอภปิ รายจนไดข้ อ้ สรปุ เร่ือง ส่วนประกอบหลกั ของคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า
ดังนี้
คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าเกิดจากการรบกวนประจุไฟฟา้ ทาใหม้ ีการถ่ายโอนพลงั งานในรูปของคลน่ื
แมเ่ หล็กไฟฟา้ ท่มี สี นามแม่เหลก็ และสนามไฟฟา้ เปล่ยี นแปลงตลอดเวลา โดยมกี ารเปลี่ยนทศิ กลับไปกลบั มา
และสนามทง้ั สองมที ิศทางตงั้ ฉากกัน และตั้งฉากกับทศิ ทางการเคล่อื นที่ของคลืน่
3.3 นกั เรียนและครรู ว่ มกันอภิปรายจนได้ข้อสรปุ เก่ยี วกับหลกั การทางานของอุปกรณ์ทง้ั 3 ชนิด
ดงั นี้
• เคร่ืองควบคุมระยะไกลใชแ้ ผงวงจรอเิ ล็กทรอนกิ ส์แปลงคาสั่งต่าง ๆ ให้อยใู่ นรูปของการ
สง่ รงั สีอนิ ฟราเรด หรอื คลน่ื วิทยุ ไปยงั เคร่อื งใชห้ รอื อปุ กรณไ์ ฟฟ้า ดังแผนภาพ

• เครือ่ งถา่ ยภาพเอกซเรยค์ อมพวิ เตอรค์ วบคมุ ใหแ้ หลง่ กาเนิดรงั สเี อกซฉ์ ายรังสเี อกซ์ไปยัง
อวัยวะที่ตอ้ งการวินิจฉัยพร้อมเคลอื่ นท่ีไปรอบ ๆ และบนั ทึกผลการฉายรังสีที่มุมต่าง ๆ แล้วส่งขอ้ มูลไปยัง
คอมพวิ เตอรส์ าหรับการประมวลผลและสร้างภาพ 3 มิติ ดังแผนภาพ

• เครื่องถ่ายภาพการสั่นพ้องแม่เหล็กสร้างสนามแม่เหล็กความเข้มสูงรอบ ๆ อวัยวะท่ี
ต้องการวินิจฉัย ส่งผลให้นิวเคลียสของไฮโดรเจนในน้า และไขมันมีการเรียงตัวกันตามสนามแม่เหล็ก
จากนน้ั จะมีการส่งคล่นื วทิ ยทุ ี่มีความถสี่ ั่นพ้องกับนิวเคลียสของไฮโดรเจน ซึ่งสง่ ผลให้นิวเคลยี สมีการปล่อย
คล่ืนวิทยุออกมา และถูกตรวจวัดด้วยเคร่ืองตรวจวดั คลื่นวิทยุรอบ ๆ ก่อนจะส่งไปยังคอมพิวเตอร์สา หรับ
ประมวลผลและสรา้ งภาพ 3 มิติ ดังแผนภาพ

ข้ันท่ี 4 ขัน้ ขยายความรู้
4.1 ครูอธบิ ายเฉลยคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 7.1
4.2 ครอู ธบิ ายเฉลยคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 7.2

ขั้นที่ 5 ขน้ั ประเมนิ ผล
5.1 นักเรียนส่งสรปุ องค์ความรู้ท่ไี ดล้ งในกระดาษ A4 ในรปู แบบ Mind mapping
5.2 นกั เรียนส่งสมดุ นักเรียน (คาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 7.1 ในหนังสือเรยี น)
5.3 นักเรียนส่งสมดุ นักเรยี น (คาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 7.2 ในหนงั สือเรยี น)

8. สอ่ื การเรยี นรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสือเรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตร์กายภาพ) ช้นั มัธยมศึกษาปที ่ี 5 เลม่ 2

(ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อนิ เทอรเ์ นต็

9. ชิน้ งาน/ภาระงาน

-

10. การวัดและประเมินผล

10.1 การประเมนิ ระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

ตวั ชว้ี ัด/ผลการเรยี นรู้ วิธีการวดั เครอื่ งมอื วัด เกณฑ์ทใี่ ชใ้ นการ
ประเมนิ
ด้านความรู้: 1) ตรวจสมุด 1) แบบประเมิน
1) นักเรียนอธิบายการ นกั เรียน ในตอบ การทากจิ กรรม 1) นักเรยี นสามารถ
เกดิ คลื่นแม่เหลก็ ไฟฟ้าได้ คาถามตรวจสอบ ตอบคาถามถูกต้องได้
2) นกั เรยี นบอก ความเข้าใจ 7.1 ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
สว่ นประกอบหลกั ของ 2) ตรวจสมดุ
คลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้าได้ นักเรยี น ในตอบ
3) นักเรยี นระบคุ ลืน่ คาถามตรวจสอบ
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทีใ่ ช้ในการ ความเข้าใจ 7.2
ทางานของเครื่องควบคมุ
ระยะไกล เครือ่ งถา่ ยภาพ

เอกซเรย์คอมพิวเตอร์

และเคร่อื งถ่ายภาพการ

ส่ันพอ้ งแมเ่ หล็กได้

ด้านกระบวนการ: 1) ตรวจ Mind 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรียนสามารถ
การทากจิ กรรม สรปุ องคค์ วามร้ทู ไี่ ด้ได้
1) นกั เรยี นสามารถจดั mapping ระดับดี ผ่านเกณฑ์

กระทาและส่ือความหมาย 2) ตรวจใบสรุปองค์

ของข้อมูลทศ่ี กึ ษาค้นควา้ ได้ ความร้ทู ่ไี ด้

ด้านเจตคติ: 1) ตรวจสมุด 1) แบบประเมิน 1) นกั เรยี นทาภาระงาน
การทากจิ กรรม ท่ีได้รับมอบหมายได้
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี นกั เรียน ในตอบ ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์

ความมุง่ มน่ั ในการทางาน คาถามตรวจสอบ

ความเขา้ ใจ 7.1

2) ตรวจ Mind

mapping

3) ตรวจสมุด

นักเรยี น ในตอบ

คาถามตรวจสอบ

ความเข้าใจ 7.2

4) ตรวจใบสรปุ องค์

ความรู้ทไ่ี ด้

11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................

ลงชือ่ ผสู้ อน
(นางสาวจิรนนั ท์ ตอ่ มหล้า)

12. ขอ้ คดิ เห็นของหัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ...............................................................
( นายนนั ท์ กอ้ คา )

หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

13. ขอ้ คดิ เห็น/ข้อเสนอแนะผ้ชู ว่ ยผูอ้ านวยการกล่มุ งานบริหารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ...............................................................
(....................................................)

ผชู้ ่วยผูอ้ านวยการกลมุ่ งานบริหารวิชาการ

การอนมุ ตั ิการใช้แผนการจัดการเรยี นร้จู ากฝา่ ยบริหาร
ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการฝ่ายวชิ าการ

....................................................................................................................................................................................
 เหน็ สมควรอนมุ ัติให้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
 เหน็ สมควรไมอ่ นุมตั ิให้ใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน เพราะ....................................................................

.....................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผ้อู านวยการโรงเรียนฝา่ ยบรหิ ารวชิ าการ

การอนมุ ตั จิ ากผอู้ านวยการโรงเรยี น
 อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน
 ไมอ่ นมุ ตั ใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ..............................................................

..............................................................................................................................................................

ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาลี)

ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

บนั ทกึ ผลการใช้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 19

รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว32103 ระดบั ชน้ั มัธยมศึกษาปที ี่ 5

เร่ือง สว่ นประกอบของคลื่นแมเ่ หล็กไฟฟ้า

และหลักการทางานของอุปกรณ์ทใ่ี ชค้ ล่นื แม่เหลก็ ไฟฟ้า เวลา 2 ชั่วโมง

……………………………………………………………….

1. จานวนนกั เรยี นท่สี อน

ระดบั ช้ัน จานวนนักเรียน (คน)

ม.5/1 34

ม.5/2 35

ม.5/3 36

รวม 105

2. บันทึกผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจดั กจิ กรรมการเรียนรู้

......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
............................................................................................................................. ...................................

2.2 ขอ้ สังเกต/ข้อคน้ พบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

2.3 ปญั หา/อปุ สรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2.4 ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

3. การประเมินผลการสอน

รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ

1. ความเหมาะสมของระยะเวลา

2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา

3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน

4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้

5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน

6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ

หลังเรยี น

สรุปภาพรวม

4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ

2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ

3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ

การวดั ผลประเมนิ ผล

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ

ลงช่อื ............................................ครผู ้สู อน
(นางจิรนนั ท์ ต่อมหลา้ )

ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นเิ ทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ................................................ผู้นเิ ทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)

หวั หน้ากล่มุ สาระการเรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)

รองผู้อานวยการฝ่ายบริหารวิชาการ

ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรียน
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงช่อื ........................................................
(นางวิลาวลั ย์ ปาลี)

ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน

สรุปผล

ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้

ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้

สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น

มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน

สมบรู ณ์

เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า

กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้

ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ

ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่

ถูกต้อง

เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)

321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน

สรปุ ผล

ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............

ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย

เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์

เกณฑ์การประเมินผลงานนักเรยี น
เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรือ่ ง สว่ นประกอบหลกั ของคลืน่ แมเ่ หล็กไฟฟ้า

ประเดน็ การ ค่าน้าหนัก แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ดา้ นความรู้ ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถกู ตอ้ งครบถ้วนทุกขอ้
(K) 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ กู ต้องครบถ้วน 2 ข้อ
2 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถกู ต้องครบถ้วน 1 ขอ้ หรอื ไมถ่ กู ตอ้ ง
ดา้ น 1 จดั กระทาและสอ่ื ความหมายของขอ้ มูลที่ศกึ ษาค้นควา้ ไดถ้ ูกต้องครบถว้ น สะอาดและ
กระบวนการ 3 สวยงาม
จดั กระทาและสื่อความหมายของข้อมูลทีศ่ กึ ษาค้นคว้าคอ่ นข้างถกู ต้องครบถ้วน สะอาด
(P) 2 และสวยงาม
จัดกระทาและสื่อความหมายของข้อมูลทศี่ ึกษาค้นคว้าได้ค่อนขา้ งถูกต้องครบถ้วน
ด้าน 1 สะอาดและสวยงาม
คุณลักษณะ ทาภาระงานทไ่ี ด้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด และเรยี บรอ้ ยถูกตอ้ งครบถ้วน
3 ทาภาระงานทไ่ี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผดิ พลาดบางสว่ น
(A) 2 ทาภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสรจ็ แต่ลา่ ช้า และเกดิ ขอ้ ผิดพลาดบางส่วน
1

ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดีมาก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน

เกณฑ์การประเมินแบบ Rubrics ของการทากจิ กรรม เรอื่ ง หลักการทางานของอปุ กรณท์ ีใ่ ช้คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้

ประเด็นการ คา่ นา้ หนกั แนวทางการให้คะแนน
ประเมิน คะแนน
ด้านความรู้ ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถูกตอ้ งครบถ้วนทุกขอ้
(K) 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถูกตอ้ งครบถ้วน 2 ข้อ
2 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจไดถ้ ูกต้องครบถ้วน 1 ข้อ หรอื ไมถ่ กู ตอ้ ง
ด้าน 1 จดั กระทาและสอ่ื ความหมายของข้อมูลทีศ่ ึกษาค้นควา้ ได้ถกู ต้องครบถ้วน สะอาดและ
กระบวนการ 3 สวยงาม
จัดกระทาและส่ือความหมายของขอ้ มูลทศ่ี กึ ษาค้นคว้าคอ่ นข้างถูกต้องครบถ้วน สะอาด
(P) 2 และสวยงาม
จัดกระทาและสอ่ื ความหมายของขอ้ มูลทีศ่ ึกษาค้นควา้ ได้คอ่ นขา้ งถกู ต้องครบถว้ น
ด้าน 1 สะอาดและสวยงาม
คุณลกั ษณะ ทาภาระงานท่ไี ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด และเรยี บร้อยถกู ตอ้ งครบถว้ น
3 ทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด แต่งานยงั ผิดพลาดบางสว่ น
(A) 2 ทาภาระงานท่ไี ด้รบั มอบหมายเสรจ็ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางสว่ น
1

ระดบั คะแนน 3 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน

แผนการจดั การเรยี นร้ทู ่ี 20

รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

ระดบั ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 40 ช่วั โมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 7 คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟ้า เวลา 4 ชว่ั โมง

เร่ือง การสอื่ สารโดยอาศัยคลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้า เวลา 2 ชวั่ โมง

1. มาตรฐานการเรยี นร้แู ละตัวช้ีวดั
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร

และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ที่เก่ียวข้องกับเสียง แสง และคล่ืน
แม่เหลก็ ไฟฟ้ารวมทั้งนาความร้ไู ปใช้ประโยชน์

ตวั ช้วี ัด
ว 2.3 ม.5/11 สืบค้นขอ้ มูลและอธิบายคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้าส่วนประกอบคล่ืนแม่เหล็กไฟฟ้า และหลักการ
ทางานของอุปกรณ์บางชนดิ ท่อี าศัยคลน่ื แมเ่ หลก็ ไฟฟา้
ว 2.3 ม.5/12 สืบค้นข้อมูลและอธิบายการส่ือสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าในการส่งผ่านสารสนเทศ
และเปรยี บเทยี บการสอื่ สารดว้ ยสัญญาณแอนะลอ็ กกับสัญญาณดิจิทลั

2. สาระสาคญั
ในการสื่อสารโดยอาศัยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพือ่ ส่งผ่านสารสนเทศจากที่หนึ่งไปอีกท่ีหน่ึงสารสนเทศจะถูก

แปลงให้อยู่ในรูปสัญญาณสาหรับส่งไปยังปลายทางซึ่งจะมีการแปลงสัญญาณกลับมาเป็นสารสนเทศที่เหมือนเดิม
สัญญาณท่ีใช้ในการส่ือสารมีสองชนิดคือแอนะล็อก (analog signal)และดิจิทัล (digital signal) การส่งผ่าน
สารสนเทศดว้ ยสัญญาณดิจิทัลสามารถสง่ ผ่านได้โดยมคี วามผิดพลาดน้อยกวา่ สญั ญาณแอนะล็อก

3. จุดประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรยี นยกตวั อยา่ งการสื่อสารโดยอาศัยคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้าได้
2) นกั เรียนบอกความหมายของสญั ญาณแอนะล็อกและสัญญาณดจิ ทิ ัลได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรยี นสามารถจดั กระทาและสอ่ื ความหมายของข้อมูลท่ศี ึกษาค้นควา้ ได้
2) นักเรียนเปรยี บเทียบการสื่อสารด้วยสัญญาณแอนะลอ็ กกับสัญญาณดิจิทัลได้
3.3 ดา้ นคณุ ลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรูแ้ ละเป็นผู้มีความม่งุ มน่ั ในการทางาน

4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
การสื่อสารโดยอาศัยคลน่ื แม่เหล็กไฟฟ้า

รูป 7.11 จานรบั สญั ญาณดาวเทยี มรับไมโครเวฟจากดาวเทียมเพือ่ การติดต่อส่อื สาร
คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าทน่ี ามาใช้ส่งสัญญาณเพือ่ การสือ่ สาร ไดแ้ ก่ คล่ืนวทิ ยุ (radio wave) ไมโครเวฟ
(microwaves) และแสงทต่ี ามองเหน็ (visible light) โดยสัญญาณท่ใี ช้มี 2 ชนิด ได้แก่ สญั ญาณแอนะล็อก
และสัญญาณดิจทิ ลั
การสอื่ สารโดยอาศัยคล่ืนวิทยุ
คล่ืนวิทยุเปน็ คลน่ื แม่เหลก็ ไฟฟา้ ทน่ี ามาใชใ้ นการสื่อสารมากทีส่ ุด ซงึ่ มีรูปแบบการใชท้ ี่หลากหลาย
ในท่ีนี้จะกล่าวถึงการใช้คล่ืนวิทยุในการสื่อสาร 3 แบบ คือ กระจายสัญญาณเสียงของสถานีวิทยุ การส่ง
และรับสัญญาณโทรศพั ท์เคล่อื นท่ี และการสง่ และรับสญั ญาณอินเทอร์เนต็ แบบไรส้ าย

1) การกระจายสัญญาณเสียงของสถานีวิทยุ มีข้ันตอนหลักตามแผนภาพในรูป 7.12
โดยเรมิ่ จากคลื่นเสียงท่พี ูดผ่านไมโครโฟนไดร้ ับการแปลงเป็นสญั ญาณไฟฟ้า จากน้ันสญั ญาณไฟฟ้าท่ีได้จะ
ถูกนาไปผสมกบั คล่ืนวิทยุ คล่ืนท่ีผสมแล้ว เรียกวา่ สัญญาณเสียงของสถานีวิทยุ ซ่ึงจะถูกขยายให้มีกาลัง
สงู ขึ้นแล้วส่งไปยังสายอากาศเพ่ือกระจายออกจากสถานีวทิ ยุ และเมื่อสญั ญาณเสยี งเดนิ ทางไปถงึ เครอื่ งรับ
วิทยุ คล่ืนวิทยุจะถูกแยกออกจากสัญญาณไฟฟ้า แล้วสัญญาณไฟฟ้าจะถูกแปลงกลับไปเป็นเสียงท่ี
เหมอื นกบั ส่งมาจากสถานี

รูป 7.12 การสง่ สัญญาณเสยี งของสถานีวิทยแุ ละการรับสัญญาณเสยี งของเครอื่ งรบั วิทยุ
ในการผสมคลื่นวิทยุกับสัญญาณไฟฟ้า มีวิธีการผสม 2 แบบด้วยกันคือ แบบเอเอ็ม (AM หรือ
amplitude modulation) และ แบบเอฟเอ็ม (FM หรือ frequency modulation) ซึ่งระบบกระจาย

สัญญาณวิทยุท่ีใช้การผสมแต่ละแบบเรียกว่า ระบบวิทยุเอเอ็ม (AM radio) และ ระบบวิทยุเอฟเอ็ม (FM
radio) ตามลาดบั

การผสมแบบเอเอ็ม เป็นการผสมในลักษณะท่ี แอมพลิจูด (amplitude) ของคล่ืนวิทยุมีการ
ปรับแต่งตามลักษณะของสัญญาณไฟฟ้าที่นามาผสม ในขณะท่ีความถี่ของคลื่นวิทยุไม่มีการเปล่ียนแปลง
ดังรูป 7.13 ก. ส่วนการผสมแบบเอฟเอ็ม เป็นการผสมในลักษณะท่ีความถ่ี (frequency) ของคล่ืนวิหยุ
มีการปรบั แต่งตามสัญญาณไฟฟ้าทนี่ ามาผสม ในขณะที่แอมพลิจดู ของคลืน่ วิทยไุ มเ่ ปลีย่ นแปลง ดังรปู 7.13
ข.

รปู 7.13 การผสมคลื่นวทิ ยกุ ับสัญญาณไฟฟา้ ก. แบบเอเอ็ม ข. แบบเอฟเอม็
2) การสื่อสารด้วยโทรศัพท์เคลื่อนที่ มีข้ันตอนของการสง่ และรับสัญญาณคล้ายกบั การ

กระจายสัญญาณเสียงของสถานีวิทยุ แต่มีความแตกต่างท่ีการแบ่งขอบเขตพ้ืนที่การรับและส่งสัญญาณ
หรือ เซลล์ (cell) ออกเป็นพ้ืนท่ีไม่กวา้ งมาก โดยแต่ละเซลล์มีสถานีฐาน (base station) ท่ีทาหน้าท่ีรับ
และส่งต่อสญั ญาณระหวา่ งกนั ดังรปู 7.14

รูป 7.14 การสง่ และรบั สัญญาณของเครอื ขา่ ยโทรศัพทเ์ คล่อื นท่ี
การส่ือสารโดยใช้โทรศัพท์เคล่ือนที่เริ่มจากการที่เสียงพูดหรือข้อมูลต่าง ๆ ถูกแปลงเป็น
สัญญาณไฟฟ้า จากนั้นสัญญาณไฟฟ้าที่ได้จะนาไปผสมกับคล่ืนวิทยุลายเป็นสัญญาณสียงหรือสัญญาณ
ข้อมูลท่ีถูกส่งต่อไปยังสายอากาศนาดเล็กของโทรศัพท์เพื่อการกระจายอออกไปยังเสารับสัญญาณท่ีอยู่
ใกล้เคียง จากนั้นเสารับสัญญาณจะส่งสัญญาณต่อไปยังสถานีฐานท่ีมีขอบเขตพื้นท่ีให้บริการครอบคลุม
บริเวณท่ีผู้ใช้โทรศัพท์อยู่ ลาดับต่อมาสถานีฐานจะทาหน้าท่ีรับแล้วส่งต่อสัญญาณเสียงหรือข้อมูลไปยัง
สถานีฐานอ่ืนๆ ที่อยู่ใกล้เคียงจนกระท่ังถึงสถานีฐานที่มีขอบเขตพ้ืนท่ีให้บริการครอบคลุมบริเวณที่ผู้รับ
ปลายทางอยู่ มือสญั ญาณเสยี งหรอื ขอ้ มลู ไปถึงสายอากาศของโทรศัพทเ์ คล่ือนทขี่ องผ้รู บั จะถกู แยกออกเป็น
คล่ืนวิทยุและสัญญาณไฟฟ้าซ่ึงสัญญาณไฟฟ้าจะถูกแปลงกลับเป็นเสียงหรือข้อมลู ท่ีเหมือนกับท่ีส่งมาจาก
ต้นทาง

3) การส่งและรับสัญญาณอินเทอร์น็ตแบบไร้สาย Wi-fi ปัจจุบันเป็นมาตรฐานท่ีได้รับ
ความนิยมมากที่สุดในการส่งและรับสัญญาณอินเทอร์เน็ต ดังจะเห็นป้ายระบุการให้บริการสัญญาณ Wi-fi
ในร้านค้าหรือในสถานที่สาธารณะ ดงั รปู 7.15 ก. กระบวนการของการส่งและรบั สญั ญาณ Wi-fi คล้ายกับ
การส่งและรับสัญญาณโทรศัพท์เคล่ือนที่ แต่สัญญาณ Wi-fi จะใช้คล่ืนไมโครเวฟขนาดความถ่ี 2.4 GHz
หรือ 5 GHz ท่ีแตกต่างจาก ความถ่ีของคลื่นวิทยุจากเครือข่ายโทรศัพท์เคล่ือนท่ีอ่ืน ๆ เพ่ือไม่ให้เกิดการ
รบกวนของสัญญาณ

รูป 7.15 ก.ร้านอาหารท่ีมกี ารใหบ้ รกิ ารสัญญาณ Wi-fi และ
ข. อปุ กรณจ์ ดั ส้นทาง หรอื เราเตอร์ของสญั ญาณ Wi-fi

ในการส่งและรับสัญญาณ Wi-fi จะมีอุปกรณ์จัดส้นทาง หรือ เราเตอร์ (router) เป็น
ตัวกลางที่ทาหน้าท่ีเชื่อมโยงอุปกรณ์หลายชนิดที่ใช้ Wi-fi เข้าด้วยกัน ดังรูป 7.15 ข. และจัดเส้นทางที่
เหมาะสมสาหรับการสง่ และรบั ขอ้ มูลผา่ นเครือข่ายอนิ เทอรเ์ นต็

การส่ือสารโดยอาศัยไมโครเวฟ ไมโครเวฟเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าอีกช่วงความถ่ีท่ีใช้ในกรส่ือสาร
ทั้งในระบบเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนท่ีและระบบสัญญาณดาวเทียม โดยการส่งและรับสัญญาณ
มกี ระบวนการคลา้ ยกับการสื่อสารของโทรศัพท์เคล่ือนท่ี แต่เน่ืองจากไมโครเวฟไมส่ ามารถเคลอื่ นท่ีผ่านสิ่ง
กดี ขวางได้ดีเท่ากับคลื่นวิทยุ การใชไ้ มโครเวฟในการสือ่ สารจึงจากดั เฉพาะในกรณีที่อุปกรณ์สาหรบั ส่งและ
รับสัญญาณไม่มอี าคาร ภูเขา หรอื ส่ิงใดมากีดขวางหรอื บดบงั เส้นทางการเคล่ือนท่ีของสัญญาณ ยกตัวอยา่ ง
เช่น การส่งและรับสัญญาณระหว่างดาวเทียมกับจานรับสัญญาณดาวเทียม หรือระหว่างเสาส่งและรับ
สญั ญาณท่อี ยบู่ นทส่ี งู ดงั รูป 7.16

รปู 7.16 การสง่ และรับสัญญาณดาวเทยี มโดยใชค้ ล่ืนไมโครเวฟ

การส่ือสารโดยอาศัยแสง นอกจากคล่ืนวิทยุและไมโครเวฟแล้ว แสงยังสามารถนามาใช้ในการ
ส่ือสารได้เช่นกัน แต่เนื่องจากแสงไม่สามารถเคลื่อนที่ผ่านวัตถุทึบแสงได้ และได้รับผลกระทบจาก
สิ่งแวดล้อมได้ง่าย จึงต้องมีการใช้อุปกรณ์เชื่อมต่อระหว่างระบบส่งกับระบบรับสัญญาณโดยตรง
โดยอปุ กรณ์ทีใ่ ชอ้ ย่างแพร่หลายคือ เสน้ ใยนาแสง (fiber optics หรือ optical fiber) ซ่ึงมีลักษณะเป็นเส้น
ใยขนาดเล็กสมารถนาแสงให้เคล่ือนท่ีไปตามสายโค้งได้และสมารถส่งข้อมูลได้จานวนมากในระยะเวลา
ส้ัน ๆ

รปู 7.17 ก. เส้นใยนาแสงที่นามาใสใ่ นแจกันสาหรับงานจัดแสดงและ
ข เส้นใยนาแสงในสายเคเบิลที่ใชใ้ นการส่งสญั ญาณ

สัญญาณแอนะล็อกและสัญญาณดจิ ิทลั
สัญญาณท่ีใช้ในการสื่อสารมี 2 ชนิดคือ สัญญาณแอนะล็อก (analog signal) และสัญญาณดิจิทัล

(digital signal) โดยสัญญาณแอนะล็อก เป็นสัญญาณท่ีมีค่าต่าง ๆ ของสัญญาณเปล่ียนแปลงอย่างต่อเน่ืองตาม
เวลา ยกตัวอย่างเช่น การเปล่ียนแปลงของความต่างศักย์ของสัญญาณแอนะล็อกดังแสดงในรูป 7.18 ก. ส่วน
สญั ญาณดิจิทัล เป็นสัญญาณที่มีค่าต่าง ๆ ของสัญญาณเปลี่ยนแปลงเพียงสองสถานะ เช่น มีหรือไม่มี เปิดหรือ
ปิด ยกตวั อยา่ งเช่น การเปลีย่ นแปลงของความต่างศักยข์ องสญั ญาณดิจทิ ัลดงั แสดงในรูป 7.18 ข.

รปู 7.18 กราฟระหวา่ งความตา่ งศกั ยข์ องสัญญาณไฟฟา้ กับเวลาซงึ่ เป็นตัวอยา่ งลักษณะของ
ก. สญั ญาณแอนะล็อก ข. สญั ญาณดิจิทัล

4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสื่อสาร (อ่าน ฟัง พูด เขียน)
2) ความสามารถในการคิด (สงั เกต วิเคราะห์ จัดกลุ่ม สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้ปญั หาและอปุ สรรคต่างๆ ท่ีเผชิญได้)
4) ความสามารถในการใชท้ กั ษะชวี ิต (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใช้การสบื ค้นผา่ นคอมพวิ เตอร)์

4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นิยม
ใฝ่เรียนรแู้ ละเปน็ ผ้มู ีความมุ่งม่ันในการทางาน

5. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงคข์ องผเู้ รียน ซอื่ สัตย์สจุ รติ มงุ่ ม่นั ในการทางาน มีวนิ ยั
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง มจี ิตสาธารณะ
รักความเป็นไทย  ใฝ่เรียนรู้

6. สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน
 ความสามารถในการคดิ : นักเรยี นสามารถอธิบายเร่ืองการสอ่ื สารโดยอาศยั คลืน่ แม่เหล็กไฟฟ้าได้

7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั สร้างความสนใจ
1.1 ครนู าเขา้ สู่บทเรยี นโดยตั้งคาถามวา่ การสื่อสารดว้ ยโทรศพั ท์เคลือ่ นท่ีมีการใชค้ ล่นื
แม่เหลก็ ไฟฟ้าชว่ งความถี่ใดเป็นตวั นาสญั ญาณจากผู้สง่ ไปยงั ผรู้ ับ (โดยครเู ปิดโอกาสใหน้ กั เรียนแสดงความ
คิดเห็นอย่างอิสระ ไม่คาดหวงั คาตอบทีถ่ กู ตอ้ ง)

ขนั้ ท่ี 2 ข้นั สารวจและคน้ หา
2.1 ครแู บ่งกลมุ่ นกั เรียน 5 กลุม่ แล้วใหศ้ กึ ษาและนาเสนอเกย่ี วกบั การสอื่ สารโดยอาศยั คลนื่

แม่เหล็กไฟฟ้า ในหัวขอ้ ที่ได้รับผิดชอบ
กลุ่มท่ี 1 การกระจายสัญญาณเสียงของสถานีวทิ ยุ
กลุ่มที่ 2 การสง่ และรบั สัญญาณโทรศัพท์เคลอื่ นท่ี
กลมุ่ ท่ี 3 การส่งและรบั สัญญาณอินเทอรเ์ นต็ แบบไรส้ าย
กลมุ่ ท่ี 4 การสือ่ สารโดยอาศัยไมโครเวฟ
กล่มุ ที่ 5 การสอ่ื สารโดยอาศยั แสง

2.2 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ สรุปองค์ความรทู้ ่ีไดล้ งในกระดาษ A4 โดยใหน้ กั เรยี นสร้างสรรคว์ ิธีการนา
เสนอในรปู แบบตา่ ง ๆ

2.3 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ศกึ ษาใบกิจกรรม 7.1 สง่ รบั สญั ญาณระยะไกล
2.4 ครแู จ้งจดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้ อุปกรณ์ และข้ันตอนการทากจิ กรรมอย่างละเอยี ด
2.5 นกั เรียนทากจิ กรรม สงั เกตและบันทึกผลกิจกรรมลงในใบกิจกรรม
2.6 นกั เรียนตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 7.3 ลงในสมดุ

ขนั้ ท่ี 3 ข้ันอธิบายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูสุ่มนักเรียนแต่ละกลุ่ม ออกมานาเสนอผลงานของตนเองหน้าช้ันเรียน โดยเรียงกลุ่มท่ี 1

กลมุ่ ที่ 2 กลมุ่ ที่ 3 กล่มุ ที่ 4 และ กลุ่มท่ี 5
3.2 นักเรียนและครรู ่วมกนั อภปิ รายจนได้ข้อสรปุ เร่ือง การสอื่ สารโดยอาศัยคล่นื แม่เหล็กไฟฟ้า
3.3 ครูนานกั เรยี นอภิปรายผลกจิ กรรม 7.1 เพ่ือนาไปสูก่ ารสรุปโดยใช้คาถาม ดงั น้ี
1) เม่อื เปรียบเทยี บภาพวาดที่ไดจ้ ากการสง่ สัญญาณแอนะลอ็ กกบั ภาพวาดทไ่ี ด้จากการ

สง่ สญั ญาณดจิ ิทัล ภาพใดเหมอื นกบั ภาพต้นฉบบั มากกวา่ เพราะเหตใุ ด (แนวการตอบ ภาพวาดท่ไี ดจ้ าก
การส่งสัญญาณดจิ ทิ ัล เพราะมตี ารางท่ีมเี พยี งสีขาวกับสดี า ท่สี ามารถสือ่ สารได้ง่ายและผิดพลาดนอ้ ยกว่า)

2) ถา้ ขณะการสง่ สญั ญาณมเี สยี งรบกวน การสง่ สัญญาณแอนะล็อกหรอื การสง่ สญั ญาณ
ดิจิทัลที่จะมีโอกาสผดิ พลาดมากกว่า เพราะเหตุใด (แนวการตอบ การสง่ สญั ญาณแอนะลอ็ กจะมโี อกาส
ผิดพลาดมากกวา่  เนื่องจากสัญญาณที่ใชส้ อื่ สารเป็นไปได้ทกุ ค่า ทาให้เกิดความสบั สนในการรบั สารของผู้รับ
ปลายทาง)

3) ถ้าต้องการส่งสญั ญาณดิจิทัลให้ผรู้ ับสัญญาณวาดภาพแบบแอนะล็อกไดเ้ หมอื นกบั
ภาพต้นฉบับมากทส่ี ุด ควรทาอย่างไร (แนวการตอบ มกี ารเปลี่ยนภาพวาดแบบแอนะล็อกเปน็ ภาพวาดแบบ
ดิจิทัล โดยมกี ารทาตารางกาหนดส่วนที่มีการระบายสีดา และสว่ นทไี่ ม่มสี ี เพื่อให้การส่งสญั ญาณมีเพียง 2 ค่า)

3.4 นักเรียนและครรู ่วมกันอภิปรายและสรุปผลกจิ กรรม 7.1 ดังน้ี
การส่งสัญญาณดิจิทัลทาให้ผู้รับสัญญาณวาดภาพได้เหมือนกับภาพต้นฉบับท่ีผู้ส่ง

สัญญาณพยายามสื่อสารมากกว่า เพราะมีการทาตารางท่ีระบุลักษณะของภาพแต่ละตาแหนง่ อย่างชัดเจน 
และสัญญาณแบบดิจิทัลมีความแตกต่างจากสัญญาณรบกวนรอบ ๆ  ทาให้ผู้รับสัญญาณสามารถแยกแยะ
สญั ญาณรบกวนออกได้ดีกว่า

ข้นั ท่ี 4 ข้ันขยายความรู้
4.1 ครูอธิบายให้ความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับวิวัฒนาการของระบบโทรศัพท์ ตามรายละเอียดหนังสือ

เรียน หนา้ 221
4.2 ครอู ธบิ ายใหค้ วามรูเ้ พมิ่ เติมเก่ียวกับการปฏวิ ัติดิจิทัล ตามรายละเอยี ดหนังสอื เรียน หนา้ 228

ขัน้ ที่ 5 ขน้ั ประเมินผล
5.1 นกั เรียนส่งใบสรุปองค์ความรูท้ ไี่ ด้ศึกษา เรอื่ ง การส่ือสารโดยอาศัยคลืน่ แม่เหลก็ ไฟฟา้
5.2 นักเรียนสง่ ใบกจิ กรรม 7.1 ส่งรบั สญั ญาณระยะไกล
5.3 นกั เรยี นสง่ สมุดนกั เรียน (ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 7.3 ในหนงั สอื เรยี น)

8. ส่อื การเรียนร้/ู แหลง่ เรยี นรู้
8.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตร์ (วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ) ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5 เลม่ 2

(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอรเ์ นต็
8.3 ใบกจิ กรรม 7.1 สง่ รบั สญั ญาณระยะไกล

9. ชน้ิ งาน/ภาระงาน
-

10. การวัดและประเมนิ ผล

10.1 การประเมนิ ระหว่างการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้

ตวั ชี้วัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ กี ารวัด เครือ่ งมอื วัด เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการ
ประเมนิ
ดา้ นความรู้: 1) ตรวจใบสรุปองค์ 1) แบบประเมิน
การทากิจกรรม 1) นักเรียนยกตวั อย่าง
1) นักเรยี นยกตัวอย่าง ความร้ทู ไ่ี ดศ้ ึกษา การสอื่ สารโดยอาศัย
1) แบบประเมนิ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าได้
การสอ่ื สารโดยอาศัยคล่ืน เรอื่ ง การส่อื สารโดย การทากจิ กรรม ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์

แมเ่ หลก็ ไฟฟ้าได้ อาศัยคล่ืน 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรียนสามารถ
การทากจิ กรรม สรปุ องคค์ วามรู้ที่ไดไ้ ด้
2) นักเรยี นบอก แม่เหลก็ ไฟฟา้ ระดับดี ผ่านเกณฑ์

ความหมายของสัญญาณ 2) ตรวจใบสรปุ องค์ 1) นักเรยี นทาภาระงาน
ท่ไี ดร้ ับมอบหมายได้
แอนะลอ็ กและสัญญาณ ความรทู้ ไี่ ด้ศึกษา ระดบั ดี ผา่ นเกณฑ์

ดิจทิ ัลได้ เรือ่ ง การสื่อสารโดย

อาศัยคลืน่

แมเ่ หลก็ ไฟฟ้า

ด้านกระบวนการ: 1) ตรวจใบสรุปองค์

1) นักเรยี นสามารถจดั ความรู้ทไ่ี ด้ศกึ ษา

กระทาและส่อื ความหมาย เรื่อง การส่อื สารโดย

ของขอ้ มลู ท่ีศกึ ษาคน้ คว้าได้ อาศยั คลน่ื

2) นักเรยี นเปรียบเทียบ แม่เหลก็ ไฟฟ้า

การส่ือสารดว้ ยสัญญาณ 2) ตรวจใบกจิ กรรม

แอนะลอ็ กกบั สัญญาณ 7.1 สง่ รบั สญั ญาณ

ดจิ ทิ ัลได้ ระยะไกล

ด้านเจตคติ: 1) ตรวจใบสรุปองค์

1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี ความรู้ท่ไี ด้ศึกษา

ความม่งุ มัน่ ในการทางาน เร่อื ง การสอ่ื สารโดย

อาศัยคลื่น

แมเ่ หลก็ ไฟฟา้

2) ตรวจใบสรุปองค์

ความรู้ทไี่ ด้ศกึ ษา

เรอ่ื ง การสอื่ สารโดย

อาศยั คล่นื

แมเ่ หล็กไฟฟา้

3) ตรวจใบกจิ กรรม

7.1 สง่ รับสญั ญาณ

ระยะไกล

11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................

ลงชือ่ ผ้สู อน
(นางสาวจิรนันท์ ต่อมหลา้ )

12. ข้อคดิ เหน็ ของหัวหนา้ กลุม่ สาระการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ...............................................................
( นายนันท์ ก้อคา )

หวั หน้ากลมุ่ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

13. ข้อคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผู้ชว่ ยผู้อานวยการกลุ่มงานบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

ลงชือ่ ...............................................................
(....................................................)

ผ้ชู ่วยผู้อานวยการกลุ่มงานบรหิ ารวิชาการ

การอนมุ ตั กิ ารใช้แผนการจดั การเรยี นรจู้ ากฝา่ ยบรหิ าร
ความคดิ เห็นของรองผู้อานวยการฝา่ ยวชิ าการ

....................................................................................................................................................................................
 เหน็ สมควรอนมุ ตั ิใหใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน
 เห็นสมควรไม่อนมุ ัตใิ ห้ใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน เพราะ....................................................................

.....................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )

รองผ้อู านวยการโรงเรียนฝา่ ยบริหารวิชาการ

การอนมุ ตั จิ ากผอู้ านวยการโรงเรยี น
 อนมุ ัติใหใ้ ช้ในการจัดการเรยี นการสอน
 ไมอ่ นมุ ตั ใิ หใ้ ช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ..............................................................

..............................................................................................................................................................

ลงชอื่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาลี)

ผู้อานวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา

บนั ทกึ ผลการใช้แผนการจดั การเรียนร้ทู ี่ 20

รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหัสวิชา ว32103 ระดบั ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5

เรอ่ื ง การสือ่ สารโดยอาศยั คล่ืนแมเ่ หลก็ ไฟฟา้ เวลา 2 ช่ัวโมง

……………………………………………………………….

1. จานวนนักเรยี นท่สี อน

ระดับชนั้ จานวนนักเรยี น (คน)

ม.5/1 34

ม.5/2 35

ม.5/3 36

รวม 105

2. บนั ทึกผลการจดั กิจกรรมการเรียนรู้
2.1 ผลการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้

......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................

2.2 ขอ้ สงั เกต/ข้อค้นพบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

2.3 ปัญหา/อปุ สรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................

2.4 ขอ้ เสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

3. การประเมนิ ผลการสอน

รายการประเมนิ ดีมาก ระดบั คณุ ภาพ
ดี พอใช้ ปรบั ปรุง

1. ความเหมาะสมของระยะเวลา

2. ความเหมาะสมของเนื้อหา

3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรยี นการสอน

4. ความเหมาะสมของสอื่ การสอนท่ใี ช้

5. พฤตกิ รรม/การมีสว่ นรว่ มของนกั เรียน

6. ผลการปฏิบัตกิ จิ กรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรียนและ

หลังเรียน

สรปุ ภาพรวม

4. สรุปผลการวดั ผลประเมินผล 4 ระดับคณุ ภาพ 1
การวัดผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

1. ความรู้ ระดบั คณุ ภาพ รวม
1.1 ใบกิจกรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลังเรียน
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ ร้อยละ

2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกล่มุ
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ

3. คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
ระดบั 3 ขน้ึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ

การวดั ผลประเมนิ ผล

จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ

4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ

ลงชอ่ื ............................................ครูผ้สู อน
(นางจริ นันท์ ต่อมหล้า)

ความคดิ เห็น/ข้อเสนอแนะของผ้นู ิเทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชื่อ................................................ผนู้ เิ ทศ
(นายนนั ท์ กอ้ คา)

หวั หน้ากล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี

ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรยี นฝ่ายบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................

ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )

รองผ้อู านวยการฝา่ ยบริหารวชิ าการ

ความคดิ เหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................

ลงชอื่ ........................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาล)ี

ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา

ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)

321032103210 ผำ่ น ไมผ่ ่ำน

สรุปผล

ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ

............../.................../...............

แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น

ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้

ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม

ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน

กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้

สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น

มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ

สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน

สมบรู ณ์

เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ

ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า

กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้

ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ

ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่

ถูกต้อง

เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์


Click to View FlipBook Version