ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรุปผล
ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ
............../.................../...............
แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้
ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม
ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน
กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้
สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น
มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ
สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน
สมบรู ณ์
เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ
ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า
กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้
ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ
ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่
ถูกต้อง
เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรปุ ผล
ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............
ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย
เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนกั เรียน
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เร่ือง เซลลส์ ุริยะ
ประเด็นการ ค่านา้ หนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถกู ตอ้ งครบถ้วนทกุ ขอ้
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถูกต้องครบถ้วน 3 ข้อ
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ ูกต้องครบถ้วน 1-2 ขอ้
1 สรุปเน้อื หาท่ไี ดจ้ ากการศึกษาคน้ คว้าได้ถกู ต้องครบถว้ น
ด้าน 3 สรุปเนื้อหาทไี่ ด้จากการศกึ ษาค้นคว้าไดค้ ่อนขา้ งถูกต้องครบถว้ น
กระบวนการ 2 สรปุ เนอ้ื หาท่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้าได้ แตไ่ ม่ครบถว้ น
1 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด และเรียบรอ้ ยถกู ตอ้ งครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานท่ไี ดร้ ับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผดิ พลาดบางสว่ น
ดา้ น 2 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดข้อผดิ พลาดบางสว่ น
คุณลกั ษณะ 1
(A)
ระดบั คะแนน 3 หมายถงึ ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดับดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 9
รายวชิ า วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 กลุ่มสาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดับชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 5 ภาคเรียนที่ 2 เวลา 40 ชั่วโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกิต
หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 3 พลงั งาน เวลา 4 ชว่ั โมง
เรอื่ ง พลังงานนวิ เคลยี รแ์ ละเทคโนโลยีด้านพลังงาน เวลา 2 ช่ัวโมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ชี้วดั
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร
และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลื่น
แมเ่ หลก็ ไฟฟา้ รวมทงั้ นาความรู้ไปใช้ประโยชน์
ตัวช้วี ัด
ว 2.3 ม.5/1 สืบค้นข้อมูลและอธบิ ายพลังงานนวิ เคลียรฟ์ ิชชันและฟวิ ชันและความสมั พันธ์ระหว่างมวลกบั
พลงั งานทีป่ ลดปล่อยออกมาจากฟิชชันและฟิวชัน
ว 2.3 ม.5/2 สบื คน้ ขอ้ มลู และอธบิ ายการเปลย่ี นพลังงานทดแทนเป็นพลังงานไฟฟ้า รวมทัง้ สบื ค้นและ
อภปิ รายเกย่ี วกับเทคโนโลยีท่นี ามาแก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการทางดา้ นพลังงานโดยเนน้ ดา้ นประสิทธิภาพ
และความค้มุ ค่าดา้ นค่าใช้จ่าย
2. สาระสาคัญ
พลงั งานนิวเคลียร(์ nuclear energy) คือ พลังงานท่ีปลดปล่อยออกมาจากฟิชชันหรือฟิวชนั โดยฟิชชัน
(fission) เปน็ ปฏกิ ริ ิยาท่ีนวิ เคลียสที่มีมวลมากแตกออกเป็นนิวเคลียสที่มมี วลนอ้ ยกว่าฟชิ ชันที่เกิดข้ึนอยา่ งตอ่ เนื่อง
เรยี กวา่ ปฏกิ ริ ยิ าลกู โซ่ (chain reaction) ส่วนฟวิ ชนั (fusion) เปน็ ปฏิกริ ยิ าท่ีนิวเคลียสทีม่ ีมวลน้อยรวมตวั กัน
เกิดเปน็ นิวเคลยี สทม่ี มี วลมากขึ้น พลังงานนิวเคลียร์ท่ีปลดปลอ่ ยออกมาจากฟชิ ชนั และฟวิ ชันมคี า่ เปน็ ไปตาม
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลกับพลังงาน
โรงไฟฟ้าพลงั งานนวิ เคลยี ร์ (nuclear power plant) เปล่ยี นพลังงานนิวเคลียร์เป็นพลังงานไฟฟา้
โดยอาศัยเคร่อื งปฏกิ รณ์นิวเคลยี ร์ (nuclear reactor) ทที่ าหน้าทส่ี รา้ งและควบคุมปฏกิ ิริยาลูกโซ่ เพอื่ ให้มกี าร
ปลดปล่อยพลังงานนวิ เคลยี รใ์ นปริมาณท่เี หมาะสม สาหรบั นาไปถ่ายโอนให้กับนา้ สง่ ผลใหเ้ กดิ ไอนา้ ที่สามารถใช้
หมุนกังหันและเครอื่ งกาเนดิ ไฟฟ้า
แบตเตอรี่ เซลล์เชื้อเพลิง วัสดุฉนวนความร้อน เครือ่ งใชไ้ ฟฟา้ ประหยัดพลงั งาน เปน็ ตัวอยา่ งของเทคโนโลยี
ท่ีนามาใช้แก้ปัญหาหรือตอบสนองความต้องการทางด้านพลังงาน การพิจารณาเลือกเทคโนโลยีมาช่วยแก้ปัญหา
พลังงาน ไม่เพียงควรคานึงถึงประสิทธิภาพในการใช้งานเท่านั้น แต่ควรคานึงถึงความคุ้มค่าด้านค่าใช้จ่าย ขนาดที่
เหมาะสม และความจาเป็นตอ่ การใชง้ านจริง ๆ
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นักเรยี นอธบิ ายความหมายของฟชิ ชนั ได้
2) นกั เรียนอธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ งมวลกบั พลงั งานทป่ี ลดปลอ่ ยจากฟชิ ชันได้
3) นักเรยี นอธบิ ายกระบวนการเปลี่ยนพลงั งานนิวเคลียรเ์ ปน็ พลงั งานไฟฟ้าของโรงไฟฟา้ พลังงาน
นิวเคลยี ร์ได้
4) นักเรียนอธบิ ายความหมายของฟิวชนั ได้
5) นกั เรยี นอธบิ ายความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลกบั พลังงานท่ีปลดปล่อยจากฟิวชันได้
6) นกั เรยี นยกตัวอยา่ งเทคโนโลยดี ้านพลงั งานได้
7) นักเรยี นบอกแนวทางการนาเทคโนโลยีด้านพลังงานไปแกป้ ญั หาหรือตอบสนองความตอ้ งการด้าน
พลังงานได้
3.2 ดา้ นกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถจัดกระทาและสื่อความหมายของข้อมลู ทศี่ ึกษาค้นคว้าได้
3.3 ด้านคุณลกั ษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผูม้ คี วามมงุ่ ม่ันในการทางาน
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
ฟิชชนั
พลงั งานนวิ เคลยี ร์ เปน็ พลังงานท่ีเกยี่ วขอ้ งกบั การเปล่ียนแปลงของนวิ เคลยี สของอะตอม ซึง่ เกดิ
ข้ึนไดย้ ากกวา่ การเปล่ยี นแปลงในระดบั อะตอมของปฏิกริ ยิ าเคมีท่วั ไป วิธกี ารหนึ่งในการทาให้นิวเคลียสเกิด
การเปลย่ี นแปลงเพอ่ื ใหไ้ ดพ้ ลงั งานนวิ เคลียร์ออกมาเรียกว่า ฟิชชัน (fission) ซ่งึ เป็นปฏกิ ิริยาที่นิวเคลยี สท่ี
มมี วลมากแตกออกเป็นนิวเคลียสทมี่ มี วลน้อยกวา่ พรอ้ มกับมกี ารปลดปลอ่ ยพลงั งานนวิ เคลยี ร์ออกมา
ยกตัวอย่าง เชน่ การทาใหน้ วิ เคลยี สของยเู รเนียม-235 จานวนหนงึ่ นวิ เคลยี ส เกิดฟชิ ชนั ดงั รปู
3.9 เร่ิมจากการควบคุมให้อนุภาคนวิ ตรอนเคลื่อนทเ่ี ขา้ ไปพบกับนิวเคลียสของยูเรเนยี ม-235 จากนน้ั
นวิ เคลียสของยเู รเนยี ม-235 จะจับนิวตรอนไว้ แล้วเปลย่ี นเป็นยูเรเนยี ม-236 (23926U) ที่ไม่เสถยี ร จงึ เกิด
การแตกออกเป็นนิวเคลยี สใหมส่ องนวิ เคลียสท่ีมมี วลนอ้ ยกวา่ ซึ่งในทีน่ ้ี ได้แก่ นวิ เคลียสของครปิ ตอน-92
(3962Kr) และ นิวเคลยี สของแบเรยี ม-141 (15461Ba) พรอ้ มกันนี้ ไดม้ กี ารปล่อยอนุภาคนวิ ตรอนออกมา 3
อนภุ าคและพลงั งานนิวเคลยี ร์
รูป 3.9 การแตกตวั ของนิวเคลียสของยูเรเนียม-235 ในการเกดิ ฟชิ ชัน
ในการเกิดฟิชชันทุกครง้ั พบวา่ มวลรวมหลังการเกิดฟชิ ชนั มีค่าน้อยกวา่ มวลรวมก่อนการเกิด
ฟิชชนั กลา่ วคอื มวลรวมมีค่าลดลงน่นั เอง ยกตัวอยา่ งเชน่ ในกรณกี ารเกดิ ฟชิ ชนั ของ ยเู รเนียม-235
ดังรูป 3.9 สามารถเขียนสมการแทนปฏกิ ริ ยิ าท่ีเกิดข้ึนพรอ้ มแสดงค่ามวลของอนุภาคที่เกยี่ วขอ้ งใน
ก่อนและหลงั การเกิดปฏิกริ ยิ าไดด้ งั นี้
เม่อื พจิ ารณามวลรวมของอนภุ าคกอ่ นและหลงั การเกดิ ฟชิ ชันพบว่า มวลรวมกอ่ นการเกิดฟิชชัน
มีลดลง (391.979 - 391.623) x 10-27 = 0.356x 10-27 กโิ ลกรัม ซง่ึ มวลทหี่ ายไปนไ้ี ด้เปลย่ี นไปเปน็
พลังงานตามแนวคิดเกี่ยวกับความสมั พันธร์ ะหว่างมวลของสสารกับพลงั งานท่ีเสนอไวข้ องนกั วทิ ยาศาสตร์
ชอ่ื อลั เบริ ์ต ไอนส์ ไตน์
ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลของสสารกับพลงั งานตามข้อเสนอของไอนส์ ไตน์ เขยี นแทนไดด้ ว้ ย
สมการ
E = mc2
โดย E คอื พลังงานท่ปี ล่อยออกมา หน่วยเปน็ จูล (J)
m คอื มวลท่ีลดลงหลงั การเกดิ ฟชิ ชนั หน่วยเปน็ กโิ ลกรัม (kg)
c คือ อตั ราเรว็ ของแสง มคี ่า 3 x 108 เมตรต่อวินาที่ (m/s)
จากตัวอย่างการเกิดฟิชชันของยเู รเนียม-235 หน่ึงนิวเคลียสข้างตน้ เม่ือคานวณพลังงานจากมวล
ท่ลี ดลงโดยใช้สมการ E=mc2 จะไดค้ ่าพลังงานประมาณ 3.204 x 10-11 จูล ซงึ่ เม่อื เปรียบเทียบพลังงานท่ี
ได้จากฟชิ ชันกบั พลังงานที่ไดจ้ ากปฏกิ ริ ิยาเคมีของการเผาไหม้คาร์บอน 1 อะตอม พลังงานจากฟิชชันมีค่า
มากกว่าประมาณ 10 ล้านเทา่ (คาร์บอนเป็นธาตุทีเ่ ป็นองค์ประกอบหลักของเช้ือเพลิงซากดึกดาบรรพ์
ทกุ ชนิด) ดังน้ัน การทาให้เกดิ ฟิชชนั กบั นวิ เคลียสของยเู รเนียม-235 จานวนมาก จึงสามารถทาใหม้ ีการ
ปลอ่ ยพลังงานออกมาในปริมาณมหาศาล
รูป 3.10 เม็ดเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่มีส่วนผสมของยูเรเนียม-235 ขนาดประมาณเท่าข้อน้ิวก้อย
สามารถใหพ้ ลงั งานเทยี บเท่ากบั การเผาไหมน้ า้ มนั 447 ลิตร หรอื ถ่านหิน 1 ตัน
หรือ แก๊สธรรมชาติ 481 ลูกบาศก์เมตร หรือ ไม้ 2.5 ตนั
แนวทางหนง่ึ ของการทาใหเ้ กดิ ฟชิ ชันกบั นิวเคลียสจานวนมากคอื การทาให้เกิดฟิชชนั อยา่ ง
ตอ่ เนื่อง หรอื ปฏิกิรยิ าลูกโซ่ (chain reaction) ดังรูป 3.11
รปู 3.11 แผนภาพแสดงตัวอย่างการเกิดปฏิกริ ยิ าลกู โซ่ของยูเรเนียม-235
จากรูป 3.1 เมือ่ มกี ารควบคมุ ใหน้ วิ ตรอนเคล่อื นท่ีไปพบกบั นวิ เคลียสของยเู รเนียม-235 แล้วทาให้
เกิดฟิชชันครั้งแรก อนุภาคนวิ ตรอนทป่ี ล่อยออกมาจะถูกปรบั ใหม้ ีความเหมาะสมสาหรบั การทาให้เกิด
ฟิชชนั ครง้ั ทสี่ อง จากน้ันอนภุ าคนิวตรอนทป่ี ลอ่ ยออกมาจากฟชิ ชนั คร้ังทสี่ องจะทาให้เกิดฟิชชันคร้ังที่สาม
เปน็ เช่นนต้ี อ่ เน่อื งกนั ไป ทาให้พลังงานนวิ เคลียร์ที่ปลดปล่อยออกมาเพ่มิ ทวคี ูณ
ถา้ การเกดิ ปฏกิ ิรยิ าลูกโซไ่ มม่ ีการควบคมุ พลงั งานท่ปี ล่อยออกมาจะสามารถสง่ ผลให้เกิด
ความเสยี หายต่อส่ิงต่าง ๆ ทอ่ี ยู่บรเิ วณใกล้เคยี ง ดังเชน่ ในกรณีของระเบดิ นวิ เคลยี ร์ทปี่ ล่อยใหม้ กี าร
เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ โดยไมม่ กี ารควบคมุ หลังจากการจดุ ชนวนระเบดิ แตถ่ ้าหากปฏกิ ิริยาลกู โซไ่ ด้รบั การ
ควบคมุ พลังงานนวิ เคลยี ร์ท่ีปลอ่ ยออกมาสามารถนาไปใช้ประโยชน์ได้ ยกตัวอย่าง เชน่ การนาพลังงาน
นิวเคลยี รไ์ ปผลิตไฟฟา้ ของโรงไฟฟ้านวิ เคลียร์ หรือ การขบั เคลอ่ื นเรือขนาดใหญ่
การเปลีย่ นพลงั งานนิวเคลยี ร์จากฟิชชนั เป็นพลงั งานไฟฟ้า
การเปลีย่ นพลงั งานนิวเคลียรท์ ไ่ี ด้จากฟชิ ชันเปน็ พลงั งานไฟฟา้ ตอ้ งอาศยั อุปกรณส์ าคัญเรียกวา่
เครอ่ื งปฏกิ รณน์ วิ เคลยี ร์ (nuclear reactor) ซึง่ ทาหน้าท่ีสร้างและควบคุมปฏกิ ริ ิยาลกู โซ่ให้เกดิ ข้ึนใน
อตั ราท่เี หมาะสม เพอ่ื ใหม้ ีปรมิ าณพลังงานนวิ เคลียร์พอเหมาะสาหรบั การใช้ผลิตไฟฟ้า
ตวั อยา่ งเครอื่ งปฏกิ รณ์นวิ เคลียร์สาหรับทใ่ี ช้สาหรับงานวจิ ยั ดงั รปู 3.12
รูป 3.12 เครือ่ งปฏกิ รณ์นวิ เคลียรส์ าหรับใชใ้ นการวิจัยของสถาบันเทคโนโลยีนวิ เคลยี ร์แหง่ ชาติ (สทน.)
ในโรงไฟฟา้ นิวเคลียร์ พลังงานนิวเคลยี ร์ทีไ่ ดจ้ ากเคร่ืองปฏกิ รณ์นิวเคลยี ร์จะถูกนาไปใช้ผลติ ไฟฟ้า
โดยมีสว่ นท่เี กีย่ วข้อง 3 สว่ นหลักไดแ้ ก่ 1) ส่วนแลกเปลี่ยนความรอ้ นและผลิตไอนา้ 2) ส่วนผลติ ไฟฟา้ และ
3) สว่ นระบายความร้อน ดงั รูป 3.13
รูป 3.13 แผนภาพแสดงส่วนประกอบหลักของโรงไฟฟา้ นิวเคลยี ร์
ฟวิ ชนั
นอกจากการแตกตวั ของนิวเคลยี สจะมกี ารปลอ่ ยพลงั งานออกมาแลว้ การเปล่ียนแปลงของ
นิวเคลียสในลกั ษณะท่มี กี ารหลอมรวมกนั กม็ ีการปล่อยพลังงานออกมาเช่นกนั ปฏกิ ิรยิ าทน่ี วิ เคลยี สที่
มีมวลน้อยมารวมกนั แลว้ ทาใหเ้ กิดนิวเคลียสใหมท่ ี่มมี วลมากกว่า เป็นปฏกิ ริ ยิ าท่ีเรียกว่า ฟวิ ชัน (fusion)
ยกตัวอย่างเช่น ฟวิ ชนั ระหวา่ งนิวเคลียสของดวิ เทอเรยี ม (12H) กับนิวเคลียสของทริเทียม (31H) ซง่ึ เป็น
ฟวิ ชนั ที่เกดิ ข้ึนบนดวงอาทิตย์ ด้วยอุณหภูมิและความดนั ทสี่ งู มาก ทาให้นวิ เคลียสทัง้ สองเกิดการหลอม
รวมกนั ทาใหเ้ กดิ นวิ เคลยี สใหม่ทมี่ มี วลมากกวา่ นั่นคือ นวิ เคลียสของฮีเลยี ม (42H) พร้อมกบั ปลดปลอ่ ย
พลงั งานและอนภุ าคนิวตรอน 1 อนุภาคออกมา ดงั รูป 3.15
รูป 3.15 แผนภาพแสดงการเกิดฟวิ ชันของนิวเคลียสของดิวเทอเรยี มและทริเทยี ม
ในการเกดิ ฟวิ ชันมวลรวมของอนุภาคหลังเกดิ ฟวิ ชนั มคี า่ นอ้ ยกว่ามวลรวมกอ่ นฟวิ ชนั เช่นเดียวกับ
ในกรณีการเกิดฟิชชัน ยกตวั อย่างเช่น ในการเกิดฟิวชนั ระหว่างดิวเทอเรียมกบั ทรเิ ทียม ดังรูป 3.15
สามารถเขยี นสมการกปฏิกริ ิยาพรอ้ มค่ามวลก่อนและหลงั ปฏกิ ริ ยิ าไดด้ งั นี้
เมอื่ พจิ ารณามวลรวมก่อนและหลังการเกดิ ฟิวชัน พบวา่ มวลรวมมีค่าลดลง 0.031 x 10-27
กโิ ลกรมั ซึ่งมวลที่หายไปนไ้ี ดเ้ ปล่ยี นไปเปน็ พลงั งานตามความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งมวลและพลงั งานของ
อัลเบริ ต์ ไอนส์ ไตน์ และเม่อื คานวณโดยใช้สมการ E =mc2 พบว่า มวลท่ีลดลงขา้ งตนั เปล่ียนไปเป็น
พลงั งานประมาณ 28 x 10-12 จูล เม่ือพจิ ารณาเปรยี บเทยี บพลังงานต่อมวล ปริมาณพลงั งานนวิ เคลียรท์ ่ีได้
แบตเตอรี่
แบตเตอรท่ี ี่ใช้ในชวี ิตประจาวันมีหลากหลายรูปแบบ ดงั รูป 3.17 โดยเราอาจแบง่ ชนิดของ
แบตเตอรไ่ี ด้เป็น 2 ชนิด ไดแ้ ก่ ชนดิ ทไ่ี มส่ ามารถประจุหรือชาร์จได้ เรียกว่า แบตเตอรแี่ บบปฐมภมู ิ
(primary battery) และชนดิ ทสี่ ามารถประจุหรอื ชาร์จ (charge) เพ่อื นากลับมาใช้ซ้าไดห้ ลายครง้ั
เรียกวา่ แบตเตอร่ีแบบ
ทุตยิ ภูมิ (secondary battery)
รปู 3.17 ตัวอยา่ งแบตเตอร่ีชนิดต่าง ๆ
ถึงแม้แบตเตอร่ีแต่ละชนดิ จะได้รับการออกแบบมาใหใ้ ชก้ บั งานท่ีแตกต่างกัน แตห่ ลกั การพ้นื ฐาน
ของแบตเตอร่ีทุกชนดิ เหมือนกนั คือเปล่ียนพลังงานเคมีทส่ี ะสมไวเ้ ปน็ พลงั งานไฟฟา้
แบตเตอรยี่ ังไดร้ ับการนามาใช้เปน็ แหล่งจา่ ยพลังงานในการขบั เคลอ่ื นยานพาหนะ ทงั้ ยานพาหนะ
ทข่ี ับเคลือ่ นด้วยพลังงานจากแบตเตอร่เี พียงอยา่ งเดียว ดงั รปู 3.19 ก. และยานพาหนะทีข่ ับเคล่ือนดว้ ย
พลงั งานผสม (hybird vehicle) ดงั รูป 3.19 ข.
รูป 3.19 ก. รถสาหรับใช้ในการเดนิ ทางใกล้ๆ ขบั เคล่ือนดว้ ยพลงั งานจากแบตเตอร่เี ทา่ นนั้
ข. ระบบพลังงานภายในรถยนตพ์ ลงั งานผสม
เทคโนโลยีดา้ นพลังงานในอาคารและท่ีพกั อาศยั
เทคโนโลยีวัสดุ
1) การใชว้ ัสดุทีเ่ ปน็ ฉนวนความรอ้ นหรอื วัสดทุ ไ่ี มเ่ ก็บสะสมความร้อนสร้างผนังด้านนอก เชน่ การ
ใช้คอนกรตี มวลเบาสรา้ งผนัง หรอื การทาใหผ้ นงั มีสองชั้นโดยมีชอ่ งว่างตรงกลาง ดงั รปู 3.20 ก.
2) การใชก้ ระจกเขยี วตัดแสงสาหรับช่วยดดู ซับความรอ้ นจากแสงแดดไมใ่ ห้ถ่ายโอนเข้ามาภายใน
หรอื การใชฟ้ ลิ ์มติดบนผิวกระจกเพอ่ื ชว่ ยสะทอ้ นรงั สีความร้อนจากภายนอก ดงั รูป 3.20 ข.
3) การออกแบบและสร้างหลังคาดว้ ยวัสดุที่เปน็ ฉนวนความร้อน เชน่ ฉนวนใยแก้ว อะลูมิเนยี ม
ฟอยล์ หรือ การใชว้ ัสดุท่ีชว่ ยสะทอ้ นรังสีความร้อนอยา่ งอะลมู ิเนียมฟอยล์ ดงั รูป 3.20 ค.
,
รปู 3.20 ก. การใช้ผนงั สองชนั้ ข. การใชก้ ระจกเขียวตัดแสง ค. การใชว้ ัสดุท่ีเป็นฉนวนกันความร้อนทห่ี ลังคา
เครอ่ื งใช้ไฟฟา้ ประหยดั พลงั งาน
เปน็ เครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าที่ใช้พลังงานน้อยกวา่ เครื่องใชไ้ ฟฟ้าแบบธรรมดา และทางานได้ดไี มแ่ ตกตา่ งกัน
เชน่ หลอดแอลอีดี เครือ่ งปรับอากาศแบบอินเวอรเ์ ตอร์ ตู้เย็น แบบอนิ เวอรเ์ ตอร์ โดยเครอ่ื งไฟฟ้าแบบ
ประหยัดพลงั งานทมี่ ปี ระสิทธภิ าพในระดบั ดมี ากจะมีเลข 5 ระบบุ นฉลากของกระทวงพลังงานท่ตี ิดไวบ้ น
เครือ่ งใช้ไฟฟ้า ดงั รูป 3.21
รปู 3.21 เคร่อื งใชไ้ ฟฟ้าประหยดั พลังงาน
การเลอื กใชเ้ คร่อื งใชไ้ ฟฟา้ เพ่อื การประหยัดพลงั งานไม่เพยี งแต่ควรคานงึ ถงึ ประสทิ ธิภาพการใช้
งานเทา่ นน้ั แต่ควรคานึงถงึ ขนาดทีเ่ หมาะสมและความจาเปน็ ต่อการใชง้ านจรงิ ด้วย เพือ่ ไม่ให้เกิดการ
สน้ิ เปลืองพลงั งานในส่วนท่ไี ม่จาเปน็ เช่น การเลอื กซือ้ หลอดไฟควรเลอื กหลอดที่ให้แสงสวา่ งพอดกี ับการใช้
งาน หรอื การเลอื กซือ้ เครอ่ื งปรับอากาศควรเลือกซ้ือขนาดที่พอดีกับขนาดของห้อง นอกจากนี้การติดต้งั
การใชง้ าน และการบารงุ รักษาทถ่ี ูกวธิ ีล้วนมผี ลต่อประสิทธิภาพของการใชพ้ ลงั งานของเคร่อื งใช้ไฟฟา้ ดงั นัน้
จึงควรพิจารณาส่ิงเหลา่ นเ้ี พื่อใชง้ านของเครื่องใชไ้ ฟฟา้ อยา่ งมีประสทิ ธิภาพและความค้มุ ค่ากับค่าใช้จา่ ยที่
ตอ้ งเสยี
เทคโนโลยีดา้ นพลงั งานในภาคอุตสาหกรรม
ภาคอุตสาหกรรม เป็นภาคท่มี ีสัดสว่ นการใช้พลังงานมากเปน็ ลาดับทีส่ อง รองจากภาคขนสง่
การประหยัดพลังงานในโรงงานอตุ สาหกรรมได้เพยี งเล็กนอ้ ยจงึ สามารถช่วยลดการใชพ้ ลังงานโดยรวม
ของประเทศไดม้ าก
รปู 3.22 แผนภมู ิวงกลมแสดงสัดส่วนปรมิ าณการใชพ้ ลงั งานของแต่ละภาคสว่ น
ในช่วงเดอื นมกราคมถงึ กรกฎาคม พ.ศ. 2561 (ท่ีมา : กระทรวงพลงั งาน)
ตัวอย่างเทคโนโลยที ี่ชว่ ยเพ่ิมประสทิ ธิภาพหรอื ลดความสญู เสียพลังงานในภาคอตุ สาหกรรม เช่น
1) มอเตอร์ประสทิ ธิภาพสงู ท่ีมกี ารออกแบบและเลือกใชว้ ัสดใุ นการประกอบมอเตอรท์ ดี่ ีข้ึน
สามารถใช้งานได้ในลกั ษณะเดียวกับมอเตอร์มาตรฐาน แตล่ ดการสญู เสยี พลงั งานไดร้ ้อยละ 25 - 30
2) หลอดแอลอีดีท่ีมปี ระสทิ ธภิ าพในการเปลีย่ นพลังงานไฟฟา้ เป็นพลงั งานแสงมากกวา่ หลอดแบบ
ดงั้ เดิม ช่วยลดการใช้พลงั งานมากกว่ารอ้ ยละ 50 อกี ทั้ง มีอายุการใชง้ านนานกวา่
3) ระบบการนาความรอ้ นท้งิ กลบั มาใช้ประโยชน์ เปน็ ระบบทสี่ ามารถนาความร้อนทงิ้ เชน่ ไอเสีย
จากอปุ กรณท์ มี่ ีการเผาไหม้ แก๊สหรอื ลมร้อนจากกระบวนการผลติ กลบั มาใชเ้ พิ่มอุณหภูมิของน้าและ
อากาศ เพื่อลดการใช้เชอื้ เพลิงและลดอุณหภมู ิของแก๊สหรือน้าท่ีปลอ่ ยสู่สง่ิ แวดล้อม
4) การนาน้าเสยี หรอื ของเสยี จากโรงงานมาหมกั ยอ่ ยให้เกิดแก๊สชีวภาพ หรอื เปน็ เชอ้ื เพลงิ ชวี มวล
สาหรับการนาไปเปน็ เช้ือเพลิงผลติ ไฟฟา้ ใช้
เซลล์เชือ้ เพลงิ
เซลลเ์ ชอ้ื เพลิงเป็นแหลง่ กาเนิดไฟฟ้าทเ่ี ปลี่ยนพลงั งานเคมีเปน็ พลังงานไฟฟา้ คล้ายแบตเตอรี่
แตม่ ีวิธกี ารและสารทใี่ ช้ในการทาปฏกิ ิรยิ าเคมีแตกต่างกนั ตวั อยา่ งของเซลล์เชื้อเพลงิ สาธิตขนาดเล็ก
ดงั รูป 3.23 ก.
รปู 3.23 ก. เซลล์เชื้อเพลงิ สาธติ มีรปู ทรงลกู บาศก์ทปี่ ระกอบดว้ ยแผ่นสี่เหลี่ยมหลายแผ่นซ้อนกนั
ข. แผนภาพแสดงการทางานของเซลเช้อื เพลิง ซ่ึงผลผลติ ทไี่ ด้คือกระแสไฟฟ้าความร้อน อากาศ และน้า
การทางานของเซลล์เช้อื เพลงิ ตอ้ งมีการจา่ ยไฮโดรเจนเขา้ ไปทาปฏิกิรยิ ากบั ออกซิเจน (ท่ีได้จาก
อากาศ) ตลอดเวลา ดงั รปู 3.23 ข. ซึ่งแตกตา่ งจากแบตเตอรี่ที่มีสารเคมพี ร้อมทาปฏกิ ริ ิยาอยภู่ ายใน ท้งั นี้
การทาปฏกิ ริ ิยาเคมีในเซลล์เชือ้ เพลิงนอกจากจะใหพ้ ลังงานไฟฟา้ ท่ีนาไปใช้ประโยชน์ได้แลว้ ยงั มีการปล่อย
ความรอ้ นและนา้ ออกสู่สิ่งแวดล้อมซง่ึ ไม่เปน็ มลพิษ
เซลล์เชอ้ื เพลิงทีใ่ ห้พลงั งานไฟฟา้ มากพอสาหรับขับเคล่อื นรถยนต์ทว่ั ไปมขี นาดไม่ใหญ่มาก
มนี า้ หนกั เบา และไมท่ าให้เกิดเสยี งดงั อีกท้ังมีประสิทธภิ าพในการเปลยี่ นพลังงานเคมเี ป็นพลงั งานไฟฟา้ ได้
สูงถงึ 75% หรือประมาณสองเท่าของเคร่ืองยนต์ท่ใี ช้ในรถยนตท์ ่วั ไป จึงไดม้ ีการพยายามนาเซลลเ์ ชอื้ เพลิง
มาเปน็ แหล่งพลังงานสาหรับขบั เคลื่อนยานพาหนะ ดงั รูป 3.24
รปู 3.24 ก. องคป์ ระกอบภายในรถยนตท์ ข่ี ับเคล่ือนดว้ ยเซลลเ์ ช้อื เพลิง
ข. ตน้ แบบรถไฟในประเทศเยอรมนที ่ีขับเคล่อื นด้วยพลังงานจากเซลลเ์ ช้ือเพลิง
ถงึ แม้เชลล์เช้ือเพลิงจะมีขอ้ ดีอยู่หลายด้าน แต่การนาเซลล์เชอ้ื เพลงิ มาใช้ในชวี ิตประจาวันยงั ไม่
แพรห่ ลาย เนื่องจากเซลล์เชื้อเพลิงขนาดท่ีสามารถให้พลังงานมากพอกับการใช้งานท่วั ไปยงั มีราคาสงู
อกี ทัง้ ยงั มปี ัญหาเรือ่ งการสกึ กรอ่ นของเซลล์ และการไมม่ ีสถานสี าหรับเตมิ เชอ้ื เพลิงไฮโดรเจนในพนื้ ท่ี
ต่าง ๆ เพียงพอ อยา่ งไรก็ตาม ได้มกี ารทานายวา่ ถ้าเทคโนโลยีด้านเซลลเ์ ช้ือเพลิงไดร้ บั การพฒั นามากข้ึน
ไฮโดรเจนอาจเขา้ มามีบทบาทสาคัญในการเปน็ แหลง่ พลังงานหลกั ของการขบั เคล่ือนเศรษฐกิจ
และระบบเศรษฐกิจจะมกี ารเปล่ยี นแปลงเป็นระบบที่ดาเนนิ การบนพ้นื ฐานของการใช้พลงั งานจาก
ไฮโดรเจน เรยี กวา่ เศรษฐกจิ ไฮโดรเจน (hydrogen economy) ทมี่ ีความมั่นคงด้านพลงั งานและลด
ปญั หาส่ิงแวดล้อมของโลกอนาคต
4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสอื่ สาร (อ่าน ฟัง พูด เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วิเคราะห์ จัดกล่มุ สรปุ )
3) ความสามารถในการแก้ปัญหา (แก้ปญั หาและอุปสรรคตา่ งๆ ท่ีเผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใชท้ ักษะชวี ติ (ความรับผิดชอบ)
5) ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสบื ค้นผ่านคอมพิวเตอร์)
4.3 คณุ ลกั ษณะและค่านิยม
ใฝ่เรียนรูแ้ ละเปน็ ผมู้ คี วามม่งุ ม่ันในการทางาน
5. คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์ของผเู้ รยี น ซื่อสตั ย์สุจริต มงุ่ มน่ั ในการทางาน มวี ินัย
รกั ชาติ ศาสน์ กษัตรยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง มจี ิตสาธารณะ
รกั ความเปน็ ไทย ใฝ่เรียนรู้
6. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน
ความสามารถในการคิด: นกั เรียนสามารถอธิบายเร่อื งพลงั งานนวิ เคลยี ร์และเทคโนโลยีด้านพลังงานได้
7. กิจกรรมการเรียนรู้
ขนั้ ท่ี 1 ขั้นสรา้ งความสนใจ
1.1 ครนู าเขา้ สู่บทเรียนโดยต้ังคาถาม ดงั นี้
1) นักเรยี นเคยได้ยนิ หรือได้อ่านเกีย่ วกับพลงั งานนวิ เคลยี ร์หรอื ไม่
2) พลงั งานนวิ เคลียรค์ อื อะไร
1.2 ครอู ธิบายวา่ พลงั งานนวิ เคลียรเ์ ป็นพลังงานที่ไดจ้ ากการเปลีย่ นแปลงท่ีนิวเคลยี สของอะตอม
จากน้นั ครูทบทวนความรเู้ ดิมของนกั เรยี นเกีย่ วกบั โครงสรา้ งของอะตอม แลว้ ชี้ให้เห็นว่าพลังงานที่ใช้ใน
ชีวติ ประจาวันส่วนใหญ่เป็นพลังงานทีไ่ ดจ้ ากการเผาไหม้ของเช้ือเพลงิ ซากดึกดาบรรพ์ซึ่งเปน็
การเปลีย่ นแปลงในระดับอะตอมและโมเลกุลของสสารเท่านัน้
1.3 ครูตัง้ คาถามนาเข้าสกู่ ิจกรรม ดังน้ี
1) การทาใหน้ ิวเคลยี สของอะตอมมกี ารเปลยี่ นแปลงจะมกี ารให้พลงั งานออกมาอย่างไร
2) ถ้าจะนาพลงั งานนัน้ มาใช้ประโยชน์จะทาได้อย่างไร
ขน้ั ท่ี 2 ขน้ั สารวจและคน้ หา
2.1 นกั เรยี นแบ่งกล่มุ 3 กล่มุ
2.2 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มศึกษาคน้ คว้า สืบค้น และนาเสนอเก่ียวกับพลังงานนิวเคลยี ร์ในหวั ข้อ
ต่อไปนี้
ก. ฟชิ ชนั และพลังงานนิวเคลยี รจ์ ากฟชิ ชัน (กลมุ่ ท่ี 1)
ข. ฟวิ ชันและพลงั งานนวิ เคลียร์จากฟิวชนั (กลุม่ ท่ี 2)
ค. โรงไฟฟา้ พลงั งานนวิ เคลียร์ (กล่มุ ท่ี 3)
2.3 นักเรยี นแต่ละกลุ่มคน้ คว้า สืบค้น และนาเสนอ หวั ข้อท่ีไดร้ ับผิดชอบ
2.4 นักเรยี นแต่ละกลมุ่ ชว่ ยกนั สรปุ ความรู้ทีไ่ ดใ้ นการค้นควา้ สบื ค้นลงในกระดาษ A4 ที่ครูแจกให้
2.5 นกั เรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 3.2.1 3.2.2 และ 3.2.3 ในหนงั สือเรียน ลงใน
ใบกิจกรรมทคี่ รแู จกให้
ขัน้ ที่ 3 ขั้นอธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครสู ุม่ นักเรียนกลมุ่ ละ 1 คน ออกมานาเสนอผลการสบื คน้ ของกลมุ่ ตนเองหน้าชั้นเรยี น
3.2 ครูนานกั เรยี นอภปิ รายเพ่อื นาไปสกู่ ารสรุปโดยใช้คาถาม ดงั นี้
1) ฟิชชนั เกิดขน้ึ ได้อย่างไร (แนวการตอบ เม่อื บงั คบั ใหอ้ นุภาคนิวตรอนเคลอ่ื นที่เขา้ ไปพบ
กบั นิวเคลียสของธาตุหนกั บางชนิด ทาให้นิวเคลยี สน้นั มคี วามไมเ่ สถยี ร จงึ แตกออกจากกัน)
2) สง่ิ ทีไ่ ดจ้ ากฟชิ ชันมอี ะไรบา้ ง (แนวการตอบ นวิ เคลียสของธาตใุ หม่ 2 นวิ เคลียส
อนภุ าคนิวตรอน และพลงั งาน)
3) มวลท่ีลดลงหลงั จากการเกดิ ฟิชชันเปลยี่ นไปเป็นอะไร (แนวการตอบ พลังงาน
นิวเคลยี ร์)
4) เครื่องปฏิกรณน์ ิวเคลยี รม์ ีหนา้ ที่หลักคอื อะไร (แนวการตอบ ทาให้เกดิ ฟชิ ชันอยา่ ง
ตอ่ เนื่องหรอื ปฏกิ ริ ยิ าลูกโซ่ และสามารถควบคุมปฏกิ ริ ยิ าลกู โซท่ ่เี กิดขน้ึ ใหม้ ีอัตราที่เหมาะสม)
5) ในโรงไฟฟ้านวิ เคลยี รพ์ ลังงานนวิ เคลยี รน์ าไปผลติ ไฟฟ้าได้อย่างไร (แนวการตอบ
โรงไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลยี รใ์ ช้เคร่อื งปฏกิ รณ์นิวเคลียรส์ รา้ งและควบคมุ ปฏกิ ริ ยิ าลูกโซ่ ทาใหม้ กี าร
ปลดปล่อยพลงั งานนิวเคลียรใ์ นปรมิ าณท่ีเหมาะสมกับการนาไปถ่ายโอนใหก้ บั น้า เพอื่ ทาให้น้ากลายเป็นไอ
ซึ่งไอน้าท่ีไดจ้ ะนาไปหมุนกังหนั ทเ่ี ชื่อมต่อกับเคร่อื งกาเนิดไฟฟ้า ทาใหเ้ กดิ การผลติ ไฟฟา้ )
6) สาเหตุใดโรงไฟฟา้ พลังงานนวิ เคลียร์บางแห่งจงึ มีสถานท่ีต้งั ใกล้แหล่งนา้ (แนวการ
ตอบ เพราะโรงไฟฟ้าพลงั งานนวิ เคลยี รต์ ้องใชน้ า้ จานวนมากในการระบายความร้อนออกสสู่ ่งิ แวดลอ้ ม)
7) ในการเกิดฟิวชนั นวิ เคลยี สมกี ารเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร (แนวการตอบ ในการเกดิ ฟวิ ชนั
นิวเคลียสจะหลอมรวมกัน ทาใหไ้ ด้นวิ เคลยี สใหม่ทีม่ ีมวลมากกว่า)
8) พลังงานนิวเคลยี ร์ตอ่ มวลที่ไดจ้ ากฟวิ ชันแตกต่างจากพลังงานนิวเคลยี ร์ต่อมวลรวมที่
ได้จากฟิชชันอยา่ งไร (แนวการตอบ ปริมาณพลงั งานนิวเคลียร์ตอ่ มวลรวมนวิ เคลียสทไ่ี ด้จากฟิวชัน มีคา่
ประมาณ 3 - 5 เท่าของพลงั งานนวิ เคลยี ร์ทไ่ี ด้จากฟชิ ชัน)
9) เหตใุ ด การทาให้เกิดฟวิ ชันขนึ้ บนโลกจงึ ยากกวา่ ฟิชชนั (แนวการตอบ เพราะฟวิ ชนั จะ
เกดิ ขึ้นได้กต็ อ่ เม่อื อยูใ่ นสภาวะทอี่ ณุ หภมู ิและความดันสงู มาก ในขณะทฟี่ ิชชันสามารถเกิดขน้ึ ในในสภาวะท่ี
อุณหภูมิและความดันปกติ)
3.3 นกั เรียนและครรู ่วมกันอภปิ รายและสรปุ การศึกษาคน้ คว้าจนได้ข้อสรุป ดงั น้ี
1) ฟชิ ชัน เป็นปฏกิ ริ ิยาทเ่ี กิดขน้ึ จากการควบคุมให้นิวตรอนไปพบกับนวิ เคลียสที่มีมวล
มากแล้วนิวเคลียสจับนิวตรอนไว้ ทาให้นวิ เคลยี สไมเ่ สถียร จงึ แตกเปน็ สองนิวเคลียสทม่ี ีมวลนอ้ ยกวา่ พร้อม
ปลดปลอ่ ยนิวตรอนและพลงั งานออกมา
2) ฟิวชนั เปน็ ปฏิกริ ิยาทน่ี ิวเคลยี สซ่งึ มีมวลนอ้ ยเคลือ่ นท่มี าหลอมรวมกันเกิดเปน็
นิวเคลียสท่ีมีมวลมากขึ้น พรอ้ มปลดปล่อยอนุภาคบางชนิดและพลังงานออกมา
3) พลงั งานที่ปลดปล่อยออกมาจากฟิชชนั หรือฟิวชนั เรยี กว่าพลงั งานนวิ เคลียร์ซึง่ มี
ความสมั พนั ธ์กับมวลทีล่ ดลง
4) พลงั งานนิวเคลียรเ์ ปล่ียนเป็นพลงั งานไฟฟ้าด้วยการถา่ ยโอนพลงั งานนิวเคลียร์ในรูป
พลังงานความร้อนใหก้ บั นา้ จนนา้ กลายเป็นไอน้า จากน้ันไอนา้ ที่ได้ถกู นาไปใช้หมนุ กังหนั และเครอื่ งกาเนดิ
ไฟฟ้า
ขนั้ ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 จดั กลมุ่ นกั เรยี น กล่มุ ละ 4 คน โดยใหส้ มาชิกแต่ละกลุ่มมคี วามรู้ความสามารถท่ีคละกันกลุ่มนี้
จะเปน็ กลุ่มประจา
4.2 ครจู ัดแบ่งเนอื้ หาทีจ่ ะเรยี นเป็นเนอื้ หายอ่ ย ๆ เทา่ กับจานวนสมาชิกในกลุ่มของนกั เรียนอาจ
จดั ทาเปน็ บทเรยี นหนา้ เดียวก็ได้ (โดยใช้กระบวนการเรยี นการสอนของรปู แบบจก๊ิ ซอร์ (Jigsaw))
4.3 ให้สมาชิกในแต่ละกลุ่มจับฉลากหมายเลขของเน้ือหา คนละ 1 ฉลาก เพื่อรับผิดชอบใน
การศึกษาหวั ข้อย่อยของเนอ้ื หา คนละ 1 หวั ขอ้
4.4 ใหน้ ักเรยี นแต่ละคนศึกษาและทาความเข้าใจเนือ้ หาตามหมายเลขท่ีตัวเองได้ ซึ่งครูติดเน้อื หา
บนโต๊ะ
4.5 นักเรียนแต่ละคนท่ีศึกษาและทาความเข้าใจเน้ือหา (ใช้เวลา 15 นาที) ให้กลับไปยังกลุ่ม
ตนเองแลว้ อธิบายความร้ทู ่ไี ดจ้ ากการศกึ ษาและทาความเข้าใจในเนอ้ื หาทไี่ ด้รับมอบหมายให้เพ่อื นฟัง
4.6 นกั เรียนแตล่ ะกลมุ่ ชว่ ยกนั สรุปความรู้ทไี่ ดใ้ นการศกึ ษาลงในกระดาษปรฟู๊ (น้าตาล)
4.7 ครใู หน้ กั เรียนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 3.3 ในหนงั สือเรียน หน้า 115
ขนั้ ที่ 5 ข้ันประเมนิ ผล
5.1 นักเรยี นสง่ กระดาษ A4 ของแตล่ ะกลมุ่ ทีไ่ ด้จากการศกึ ษาค้นคว้า
5.2 นักเรียนส่งใบกจิ กรรม พลังงานนวิ เคลียร์
5.3 นกั เรียนสง่ กระดาษปรูฟ๊ (น้าตาล) ของแตล่ ะกลุ่มท่ไี ด้จากการศึกษาค้นคว้า
5.4 นกั เรยี นตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 3.3 ในหนงั สือเรยี น หนา้ 115
8. สอ่ื การเรียนรู้/แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนงั สอื เรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวทิ ยาศาสตร์ (วิทยาศาสตรก์ ายภาพ) ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ี่ 5 เลม่ 2
(ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอร์เน็ต
8.3 ใบกจิ กรรม เร่อื ง พลังงานนวิ เคลียร์
9. ช้ินงาน/ภาระงาน
-
10. การวัดและประเมินผล
10.1 การประเมนิ ระหวา่ งการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ตวั ช้ีวัด/ผลการเรยี นรู้ วิธีการวัด เคร่อื งมอื วัด เกณฑท์ ใ่ี ชใ้ นการ
ประเมิน
ด้านความรู้: 1) ตรวจใบกจิ กรรม 1) แบบประเมนิ 1) นกั เรยี นสามารถ
การทากจิ กรรม ตอบคาถามได้ระดบั ดี
1) นกั เรียนอธิบาย เรื่อง พลงั งาน 2) ใบกจิ กรรม ผา่ นเกณฑ์
เร่อื ง พลังงาน
ความหมายของฟชิ ชันได้ นวิ เคลียร์ นวิ เคลยี ร์
2) นักเรียนอธบิ าย 2) ตรวจการตอบ
ความสมั พนั ธร์ ะหว่างมวล คาถามตรวจสอบ
กบั พลังงานทีป่ ลดปล่อย ความเขา้ ใจ 3.3
จากฟชิ ชันได้
3) นกั เรยี นอธบิ าย
กระบวนการเปลยี่ น
พลงั งานนิวเคลียรเ์ ปน็
พลงั งานไฟฟ้าของ
โรงไฟฟา้ พลังงาน
นวิ เคลยี ร์ได้
4) นกั เรียนอธบิ าย
ความหมายของฟิวชนั ได้
5) นักเรียนอธิบาย
ความสัมพันธ์ระหวา่ งมวล
กบั พลังงานที่ปลดปล่อย
จากฟิวชนั ได้
6) นักเรียนยกตวั อยา่ ง
เทคโนโลยีด้านพลังงานได้
7) นกั เรียนบอกแนว
ทางการนาเทคโนโลยดี ้าน
พลงั งานไปแกป้ ญั หาหรือ
ตอบสนองความต้องการ
ด้าน
พลังงานได้
ดา้ นกระบวนการ: 1) ตรวจกระดาษ A4 1) แบบประเมนิ 1) นักเรียนสามารถ
เขียนสรุปความรทู้ ไ่ี ด้
1) นกั เรียนสามารถจดั ของแตล่ ะกลุ่มทไ่ี ด้ การทากจิ กรรม ศกึ ษาคน้ ควา้ ไดร้ ะดบั ดี
ผ่านเกณฑ์
กระทาและส่ือความหมาย จากการศกึ ษา
1) นกั เรยี นทาภาระงาน
ของข้อมูลที่ศึกษาค้นคว้าได้ คน้ คว้า ทไ่ี ด้รบั มอบหมายได้
ระดับดี ผา่ นเกณฑ์
2) ตรวจกระดาษ
ปรูฟ๊ (นา้ ตาล) ของ
แต่ละกลุม่ ท่ไี ด้จาก
การศึกษาคน้ คว้า
ด้านเจตคติ: 1) ตรวจสมดุ 1) แบบประเมนิ
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี นักเรียน การทากจิ กรรม
ความมุ่งมน่ั ในการทางาน 2) ตรวจกระดาษ A4
ของแตล่ ะกลมุ่ ท่ไี ด้
จากการศึกษา
ค้นควา้
3) ตรวจการตอบ
คาถามตรวจสอบ
ความเข้าใจ 3.3
4) ตรวจกระดาษ
ปรฟู๊ (น้าตาล) ของ
แตล่ ะกลุม่ ที่ได้จาก
การศกึ ษาคน้ ควา้
11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................
ลงช่ือ ผูส้ อน
(นางสาวจริ นันท์ ต่อมหล้า)
12. ข้อคิดเห็นของหัวหนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ...............................................................
( นายนันท์ กอ้ คา )
หัวหน้ากลุม่ สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
13. ข้อคิดเห็น/ขอ้ เสนอแนะผู้ช่วยผ้อู านวยการกลุม่ งานบริหารวชิ าการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชอื่ ...............................................................
(....................................................)
ผู้ช่วยผอู้ านวยการกลมุ่ งานบริหารวชิ าการ
การอนมุ ตั ิการใชแ้ ผนการจัดการเรียนรจู้ ากฝา่ ยบรหิ าร
ความคดิ เหน็ ของรองผอู้ านวยการฝา่ ยวชิ าการ
....................................................................................................................................................................................
เห็นสมควรอนุมตั ใิ ห้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
เห็นสมควรไม่อนุมัติใหใ้ ชใ้ นการจัดการเรียนการสอน เพราะ....................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)
รองผอู้ านวยการโรงเรียนฝ่ายบรหิ ารวชิ าการ
การอนุมัตจิ ากผูอ้ านวยการโรงเรียน
อนุมตั ิให้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
ไม่อนุมัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรียนการสอน เพราะ..............................................................
..............................................................................................................................................................
ลงช่ือ.......................................................................................
(นางวลิ าวัลย์ ปาลี)
ผูอ้ านวยการโรงเรียนราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวดั พะเยา
บนั ทึกผลการใชแ้ ผนการจัดการเรยี นรู้ท่ี 9
รายวิชา วิทยาศาสตร์ รหัสวิชา ว32103 ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปที ี่ 5
เรอื่ ง พลังงานนวิ เคลยี รแ์ ละเทคโนโลยีด้านพลังงาน เวลา 2 ช่วั โมง
……………………………………………………………….
1. จานวนนักเรยี นทสี่ อน
ระดับช้ัน จานวนนกั เรียน (คน)
ม.5/1 34
ม.5/2 35
ม.5/3 36
รวม 105
2. บนั ทกึ ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2.2 ขอ้ สังเกต/ขอ้ ค้นพบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
2.3 ปัญหา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแกไ้ ข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
3. การประเมินผลการสอน
รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ
1. ความเหมาะสมของระยะเวลา
2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา
3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน
4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้
5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน
6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ
หลังเรยี น
สรุปภาพรวม
4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ
2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ
3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ
การวดั ผลประเมนิ ผล
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
4. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเปน็ ร้อยละ
ลงชือ่ ............................................ครูผสู้ อน
(นางจิรนนั ท์ ตอ่ มหล้า)
ความคิดเห็น/ข้อเสนอแนะของผู้นิเทศ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชื่อ................................................ผ้นู เิ ทศ
(นายนันท์ กอ้ คา)
หัวหนา้ กล่มุ สาระการเรยี นร้วู ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ความคดิ เหน็ ของรองผ้อู านวยการโรงเรยี นฝ่ายบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงชอ่ื ........................................................
(นายนพดล ธรรมใจอดุ )
รองผู้อานวยการฝ่ายบริหารวชิ าการ
ความคิดเหน็ ของผู้อานวยการโรงเรยี น
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
...................................................................................................................................................................................
ลงช่อื ........................................................
(นางวลิ าวลั ย์ ปาลี)
ผู้อานวยการโรงเรยี นราชประชานุเคราะห์ ๒๔ จงั หวัดพะเยา
ลำดบั ท่ี ชอ่ื – สกลุ 1.กำรคิด 2.กำร 3.กำรใช้ รวม ระดับ สรุปประเมิน
ของผรู้ ับกำรประเมิน แก้ปัญหำ เทคโนโลยี คะแนน คุณภำพ
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรุปผล
ลงชือ่ ...................................................ผูป้ ระเมนิ
............../.................../...............
แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผ้เู รยี น
ประเด็นกำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดเี ย่ยี ม (3) ดี (2) พอใช/้ ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรงุ (0)
ข้นั ต่ำ (1)
มีพฤตกิ รรมบง่ ชี้
มีพฤติกรรมบ่งชี้ ดังน้ี มีพฤตกิ รรมบ่งชี้ มพี ฤติกรรมบง่ ชี้ 1 พฤติกรรมหรือไม่มี
1. จาแนกข้อมลู ได้ เลย
ควำมสำมำรถใน 2. จัดหมวดหมขู่ อ้ มูลได้ 3 พฤติกรรม 2 พฤตกิ รรม
กำรคิด 3. จัดลาดับความสาคญั
ของขอ้ มลู ได้
4. เปรียบเทียบขอ้ มูลได้
ปฏบิ ตั ติ ามแผนการ ปฏิบัตติ ามแผนการ ปฏิบตั ติ ามแผนการ ไมม่ ีการปฏิบัติตาม
ควำมสำมำรถใน แกป้ ัญหาที่กาหนดไว้ แกป้ ัญหาท่กี าหนดไว้ แก้ปัญหาทกี่ าหนด แผน
กำรแก้ปญั หำ ทุกขั้นตอนมีข้อมลู 2 ใน 3 ของชนั้ ตอน ไว้ การแก้ปญั หาทว่ี างไว้
สนบั สนนุ ครบถว้ นสมบูรณ์ และ 1 ใน 3 ของชั้น
มขี อ้ มูลสนบั สนนุ ตอน และ
สมบรู ณ์ มขี อ้ มลู สนบั สนุน
สมบรู ณ์
เลือกและใช้เทคโนโลยที ี่ เลอื กและใชเ้ ทคโนโลยี ใช้เทคโนโลยีในการ ใชเ้ ทคโนโลยีในการ
ควำมสำมำรถใน เหมาะสมในการสบื คน้ ที่เหมาะสมในการ สืบค้น สบื ค้น คน้ คว้า
กำรใช้เทคโนโลยี คน้ ควา้ รวบรวม สรุป สบื ค้น คน้ คว้า คน้ คว้า รวบรวม รวบรวม ความรู้ได้
ความรู้ไดด้ ว้ ยรูปแบบของ รวบรวมความรู้ได้ดว้ ย ความรู้ได้ โดยมี ผแู้ นะนาหรือ
ตนเองอย่างสร้างสรรค์ ตนเองอยา่ งถกู ต้อง ด้วยตนเองอยา่ ง ลอกเลยี นแบบผ้อู นื่
ถูกต้อง
เกณฑ์กำรสรุปผล 3 คะแนน
ระดับคณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดีเยี่ยม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
รวม ระดับ
มุ่งม่ันใน คะแนน คุณภำพ
ลำดบั ชอื่ – สกุล มีวนิ ัย ใฝ่ เรียนรู้ การทางาน สรปุ ประเมิน
ที่ ของผรู้ ับกำรประเมิน
(12)
321032103210 ผ่ำน ไมผ่ ่ำน
สรปุ ผล
ลงช่ือ...................................................ผู้ประเมิน
......................./....................../...............
ประเดน็ กำร ระดบั คณุ ภำพ
ประเมิน
ดีเยี่ยม (3) ดี (2) พอใช้/ผ่ำนเกณฑ์ ปรบั ปรุง (0)
มีวนิ ัย ขนั้ ต่ำ (1)
ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม
ใฝ่ เรยี นรู้ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมคี วาม ปฏิบตั ติ ามขอ้ ตกลง ปฏบิ ตั ติ ามขอ้ ตกลง ขอ้ ตกลง
ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ กฎเกณฑ์
มุ่งมนั่ ในการ กจิ กรรมตา่ ง ๆ สม่าเสมอ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมีความ กฎเกณฑ์ ระเบยี บมี ระเบียบไม่มี
ทางาน ตรงตอ่ เวลาในการปฏบิ ตั ิ ความตรงตอ่ เวลาใน ความตรงตอ่
ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ กิจกรรมตา่ ง ๆ บอ่ ยครงั้ การปฏิบตั กิ จิ กรรม เวลาในการ
เรยี น และมีความเพยี ร ตา่ ง ๆ บางครงั้ ปฏบิ ตั กิ ิจกรรม
พยายามในการเรียน ตา่ ง ๆ
สม่าเสมอ ตงั้ ใจเรียนเอาใจใสใ่ นการ ตงั้ ใจเรยี นเอาใจใส่
เรยี น และมคี วามเพยี ร ในการเรยี น และมี ไม่ตงั้ ใจเรียนไม่
มีความตงั้ ใจและพยายาม พยายามในการเรยี น ความเพยี รพยายาม
ในการทางานที่ไดร้ บั บอ่ ยครงั้ ในการเรยี นบางครงั้ เอาใจใสใ่ นการ
มอบหมายท่ีปฏบิ ตั ชิ ดั เจน เรียน และไม่
และสมา่ เสมอ มีความตงั้ ใจและพยายาม มีความตงั้ ใจและ ความเพยี ร
ในการทางานท่ีไดร้ บั พยายามในการ พยายามในการ
มอบหมายปฏิบตั ชิ ดั เจน ทางานที่ไดร้ บั เรยี น
และบอ่ ยครงั้ มอบหมายปฏิบตั ิ ไมม่ ีความตงั้ ใจ
บางครงั้ และไม่พยายาม
ในการทางานท่ี
ไดร้ บั มอบหมาย
เกณฑ์กำรสรปุ ผล 3 คะแนน
ระดบั คณุ ภำพ 2 13-15 คะแนน
1 9-12 คะแนน
ดเี ยย่ี ม 0 1-8 คะแนน
ดี
ผา่ นเกณฑ์ 0 คะแนน
ไม่ผา่ นเกณฑ์
เกณฑก์ ารประเมินผลงานนกั เรยี น
เกณฑ์การประเมนิ แบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เร่ือง พลงั งานนวิ เคลยี ร์
ประเดน็ การ ค่าน้าหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจไดถ้ ูกตอ้ งครบถ้วนทกุ ข้อ
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน 5-8 ขอ้
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจไดถ้ กู ตอ้ งครบถ้วน 1-4 ขอ้
1 สรปุ เน้ือหาทไ่ี ด้จากการศึกษาค้นคว้าได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน
ดา้ น 3 สรุปเนอ้ื หาทีไ่ ด้จากการศกึ ษาคน้ คว้าได้คอ่ นข้างถูกต้องครบถว้ น
กระบวนการ 2 สรุปเนอ้ื หาทไ่ี ดจ้ ากการศกึ ษาคน้ คว้าได้ แต่ไม่ครบถ้วน
1 ทาภาระงานที่ได้รับมอบหมายเสรจ็ ภายในเวลาที่กาหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถว้ น
(P) 3 ทาภาระงานทไี่ ด้รบั มอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แตง่ านยงั ผดิ พลาดบางสว่ น
ด้าน 2 ทาภาระงานที่ได้รบั มอบหมายเสร็จ แต่ลา่ ช้า และเกิดขอ้ ผิดพลาดบางส่วน
คุณลกั ษณะ 1
(A)
ระดับคะแนน 3 หมายถึง ระดับดมี าก
คะแนน 2 หมายถึง ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถงึ ระดบั พอใช้
คะแนน
เกณฑก์ ารประเมินแบบ Rubrics ของการทากิจกรรม เรือ่ ง เทคโนโลยดี า้ นพลงั งาน
ประเดน็ การ ค่าน้าหนกั แนวทางการใหค้ ะแนน
ประเมนิ คะแนน
ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถูกต้องครบถ้วนทุกข้อ
ด้านความรู้ 3 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถูกตอ้ งครบถ้วน 3 ขอ้
(K) 2 ตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจได้ถกู ตอ้ งครบถ้วน 1-2 ขอ้
1 สรุปเนอ้ื หาที่ได้จากการศกึ ษาคน้ คว้าได้ถูกตอ้ งครบถว้ น
ดา้ น 3 สรุปเนอ้ื หาท่ไี ด้จากการศกึ ษาคน้ คว้าไดค้ อ่ นขา้ งถูกต้องครบถ้วน
กระบวนการ 2 สรปุ เนื้อหาท่ีได้จากการศึกษาคน้ คว้าได้ แต่ไมค่ รบถ้วน
1 ทาภาระงานทีไ่ ดร้ บั มอบหมายเสร็จภายในเวลาที่กาหนด และเรียบร้อยถูกต้องครบถ้วน
(P) 3 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จภายในเวลาท่ีกาหนด แต่งานยังผิดพลาดบางสว่ น
ดา้ น 2 ทาภาระงานทไ่ี ดร้ ับมอบหมายเสร็จ แต่ล่าช้า และเกิดขอ้ ผิดพลาดบางส่วน
คณุ ลักษณะ 1
(A)
ระดับคะแนน 3 หมายถงึ ระดบั ดมี าก
คะแนน 2 หมายถงึ ระดบั ดี
คะแนน 1 หมายถึง ระดับพอใช้
คะแนน
ใบกิจกรรม เร่ือง พลังงานนวิ เคลียร์
รายชอื่ สมาชกิ กลมุ่ ท่ี …………………………………………………….. ชัน้ …………………………………
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
ชอื่ ……………………………………………………………………………....................................เลขท่ี...................
คาชแ้ี จง ใหน้ ักเรยี นตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจใหถ้ กู ต้อง
1) ฟชิ ชันเกดิ ขึ้นไดอ้ ยา่ งไร
ตอบ เมอ่ื บังคับให้อนภุ าคนิวตรอนเคล่ือนที่เข้าไปพบกับนวิ เคลยี สของธาตุหนักบางชนดิ ทาให้นิวเคลยี สน้ันมีความ
ไมเ่ สถียร จึงแตกออกจากกัน มี
2) สงิ่ ทีไ่ ดจ้ ากฟชิ ชนั มีอะไรบ้าง
ตอบ นิวเคลยี สของธาตุใหม่ 2 นวิ เคลยี ส อนภุ าคนิวตรอน และพลงั งาน f
3) มวลท่ีลดลงหลังจากการเกดิ ฟิชชนั เปลี่ยนไปเปน็ อะไร
ตอบ พลงั งานนิวเคลยี ร์ ด
4) เครือ่ งปฏิกรณน์ ิวเคลยี ร์มีหนา้ ที่หลักคอื อะไร
ตอบ ทาให้เกิดฟิชชันอย่างต่อเนือ่ งหรือปฏกิ ิริยาลูกโซ่ และสามารถควบคุมปฏกิ ริ ิยาลูกโซท่ เ่ี กดิ ข้นึ ให้มีอตั ราที่
เหมาะสม ด
5) ในโรงไฟฟ้านวิ เคลียรพ์ ลังงานนวิ เคลยี ร์นาไปผลติ ไฟฟ้าได้อยา่ งไร
ตอบ โรงไฟฟ้าพลงั งานนิวเคลยี ร์ใชเ้ ครอื่ งปฏกิ รณ์นวิ เคลยี ร์สร้างและควบคุมปฏกิ ิรยิ าลกู โซ่ ทาให้มกี ารปลดปล่อย
พลังงานนิวเคลียร์ในปริมาณทีเ่ หมาะสมกับการนาไปถ่ายโอนให้กับน้า เพ่อื ทาให้นา้ กลายเป็นไอ ซ่งึ ไอนา้ ทไ่ี ด้จะ
นาไปหมนุ กงั หันทีเ่ ช่อื มตอ่ กบั เครือ่ งกาเนดิ ไฟฟ้า ทาให้เกิดการผลิตไฟฟา้ ด
6) สาเหตุใดโรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลียรบ์ างแห่งจึงมสี ถานทต่ี ง้ั ใกลแ้ หล่งนา้ ด
ตอบ เพราะโรงไฟฟ้าพลังงานนวิ เคลียรต์ ้องใช้น้า จานวนมากในการระบายความรอ้ นออกส่สู งิ่ แวดลอ้ ม
7) ในการเกดิ ฟิวชนั นวิ เคลยี สมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร
ตอบ ในการเกดิ ฟวิ ชัน นิวเคลียสจะหลอมรวมกัน ทาใหไ้ ด้นวิ เคลยี สใหมท่ ีม่ มี วลมากกวา่ มี
8) พลังงานนวิ เคลียรต์ อ่ มวลที่ได้จากฟิวชันแตกต่างจากพลังงานนิวเคลยี ร์ต่อมวลรวมท่ีได้จากฟิชชันอยา่ งไร
ตอบ ปรมิ าณพลังงานนวิ เคลยี ร์ตอ่ มวลรวมนวิ เคลียสท่ีได้จากฟวิ ชัน มคี ่าประมาณ 3 - 5 เท่าของพลงั งานนิวเคลยี ร์
ทีไ่ ด้จากฟชิ ชนั f
ท่ไี ด้จากฟิชชนั f
9) เหตใุ ด การทาใหเ้ กิดฟิวชนั ขึ้นบนโลกจึงยากกว่าฟิชชนั
ตอบ เพราะฟิวชันจะเกดิ ขึ้นไดก้ ต็ ่อเมื่ออยใู่ นสภาวะทอี่ ณุ หภมู ิและความดนั สูงมาก ในขณะทฟี่ ชิ ชนั สามารถเกิดขึ้น
ในในสภาวะทอ่ี ุณหภูมิและความดนั ปกติ ด
ทีไ่ ดจ้ ากฟชิ ชนั f
เฉลยใบกิจกรรม เรื่อง พลงั งานนวิ เคลยี ร์
รายชือ่ สมาชกิ กลุ่มท่ี …………………………………………………….. ช้นั …………………………………
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ชอ่ื ……………………………………………………………………………....................................เลขที่...................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.่ี ..................
ช่ือ……………………………………………………………………………....................................เลขท่.ี ..................
ชื่อ……………………………………………………………………………....................................เลขท.ี่ ..................
คาชี้แจง ให้นกั เรยี นตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจให้ถูกต้อง
1) ฟิชชนั เกิดขึน้ ได้อย่างไร
ตอบ เมอื่ บงั คับใหอ้ นภุ าคนวิ ตรอนเคลื่อนท่ีเข้าไปพบกับนวิ เคลยี สของธาตหุ นักบางชนิด ทาใหน้ วิ เคลยี สนนั้ มคี วาม
ไม่เสถยี ร จงึ แตกออกจากกัน มี
2) สิง่ ท่ีได้จากฟชิ ชันมีอะไรบ้าง
ตอบ นิวเคลียสของธาตุใหม่ 2 นิวเคลยี ส อนุภาคนวิ ตรอน และพลงั งาน f
3) มวลท่ีลดลงหลงั จากการเกดิ ฟิชชันเปล่ียนไปเปน็ อะไร ด
ตอบ พลงั งานนวิ เคลียร์
4) เคร่อื งปฏกิ รณน์ วิ เคลยี ร์มหี นา้ ท่ีหลักคืออะไร
ตอบ ทาให้เกิดฟิชชนั อยา่ งตอ่ เนื่องหรอื ปฏิกริ ิยาลูกโซ่ และสามารถควบคุมปฏกิ ิรยิ าลูกโซท่ ่ีเกิดขึ้นให้มีอตั ราที่
เหมาะสม ด
5) ในโรงไฟฟ้านวิ เคลียร์พลงั งานนิวเคลียรน์ าไปผลติ ไฟฟา้ ได้อย่างไร
ตอบ โรงไฟฟ้าพลังงานนิวเคลยี ร์ใช้เครอ่ื งปฏกิ รณ์นวิ เคลียรส์ ร้างและควบคมุ ปฏิกิริยาลกู โซ่ ทาให้มีการปลดปล่อย
พลงั งานนวิ เคลียรใ์ นปริมาณที่เหมาะสมกับการนาไปถ่ายโอนให้กับนา้ เพื่อทาให้น้ากลายเปน็ ไอ ซง่ึ ไอนา้ ทีไ่ ด้จะ
นาไปหมุนกงั หนั ทเี่ ชื่อมต่อกบั เคร่ืองกาเนิดไฟฟา้ ทาให้เกิดการผลิตไฟฟ้า ด
นาไปหมนุ กังหนั ทเ่ี ชอ่ื มตอ่ กับเครอ่ื งกาเนิดไฟฟ้า ทาใหเ้ กิดการผลิตไฟฟา้ ด
นาไปหมนุ กงั หันทเ่ี ชอ่ื มต่อกับเครอ่ื งกาเนดิ ไฟฟ้า ทาให้เกิดการผลิตไฟฟ้า ด
6) สาเหตุใดโรงไฟฟา้ พลังงานนิวเคลียรบ์ างแห่งจงึ มสี ถานทต่ี ง้ั ใกลแ้ หล่งน้า ด
ตอบ เพราะโรงไฟฟ้าพลังงานนวิ เคลียรต์ ้องใชน้ า้ จานวนมากในการระบายความรอ้ นออกส่สู งิ่ แวดลอ้ ม
7) ในการเกดิ ฟิวชนั นวิ เคลยี สมีการเปล่ยี นแปลงอยา่ งไร
ตอบ ในการเกดิ ฟวิ ชัน นิวเคลียสจะหลอมรวมกนั ทาใหไ้ ด้นิวเคลียสใหม่ทีม่ มี วลมากกวา่ มี
8) พลังงานนวิ เคลียรต์ อ่ มวลที่ได้จากฟิวชันแตกต่างจากพลงั งานนิวเคลียร์ตอ่ มวลรวมท่ีได้จากฟิชชันอยา่ งไร
ตอบ ปรมิ าณพลังงานนวิ เคลยี ร์ตอ่ มวลรวมนิวเคลยี สท่ไี ด้จากฟวิ ชัน มคี ่าประมาณ 3 - 5 เท่าของพลงั งานนิวเคลยี ร์
ทีไ่ ด้จากฟชิ ชนั f
ท่ไี ด้จากฟิชชนั f
9) เหตใุ ด การทาใหเ้ กิดฟิวชนั ขึ้นบนโลกจึงยากกวา่ ฟชิ ชัน
ตอบ เพราะฟิวชันจะเกดิ ขึ้นไดก้ ต็ ่อเมื่ออยใู่ นสภาวะที่อุณหภมู แิ ละความดนั สูงมาก ในขณะทฟี่ ชิ ชนั สามารถเกิดขึ้น
ในในสภาวะทอ่ี ุณหภูมิและความดนั ปกติ ด
ทีไ่ ดจ้ ากฟชิ ชนั f
ฉลากหมายเลข
123 4
123 4
123 4
123 4
123 4
123 4
123 4
123 4
123 4
123 4
แบตเตอรี่ หมายเลข
1
แบตเตอรที่ ใ่ี ช้ในชวี ติ ประจาวันมหี ลากหลายรูปแบบ (ดังรูป) โดยเราอาจแบง่ ชนิดของ
แบตเตอรี่ได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่ ชนิดที่ไม่สามารถประจุหรือชาร์จได้ เรียกว่า แบตเตอรี่แบบ
ปฐมภูมิ (primary battery) และชนิดที่สามารถประจุหรือชารจ์ (charge) เพื่อนากลับมาใช้
ซา้ ได้หลายครัง้ เรยี กว่า แบตเตอร่ีแบบทตุ ิยภมู ิ (secondary battery)
ถึงแม้แบตเตอร่ีแต่ละชนิดจะได้รับการออกแบบมาให้ใช้กับงานที่แตกต่างกัน
แต่หลักการพื้นฐานของแบตเตอรี่ทุกชนิดเหมือนกันคือเปลี่ยนพลังงานเคมีท่ีสะสมไว้เป็น
พลังงานไฟฟ้าแบตเตอร่ียังได้รับการนามาใช้เป็นแหล่งจ่ายพลังงานในการขับเคล่ือน
ยานพาหนะ ทั้งยานพาหนะที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานจากแบตเตอรี่เพียงอย่างเดียว (ดังรูป
ก.) และยานพาหนะทีข่ ับเคลอื่ นด้วยพลังงานผสม (hybird vehicle) (ดังรูป ข.)
เซลล์เชอื้ เพลิง หมายเลข
2
เซลล์เชื้อเพลิงเป็นแหล่งกาเนิดไฟฟ้าที่เปล่ียนพลังงานเคมีเป็นพลังงานไฟฟ้าคล้าย
แบตเตอรี่แต่มีวิธีการและสารที่ใช้ในการทาปฏิกิริยาเคมีแตกต่างกัน ตัวอย่างของเซลล์
เชอ้ื เพลิงสาธติ ขนาดเล็ก (ดงั รปู )
การทางานของเซลลเ์ ชื้อเพลิงตอ้ งมีการจ่ายไฮโดรเจนเข้าไปทาปฏกิ ริ ยิ ากับ
ออกซิเจน ทไี่ ดจ้ ากอากาศตลอดเวลา (ดงั รปู ) ซงึ่ แตกตา่ งจากแบตเตอรี่ท่ีมีสารเคมพี รอ้ ม
ทาปฏกิ ริ ยิ าอย่ภู ายใน ทง้ั นกี้ ารทาปฏกิ ริ ยิ าเคมีในเซลลเ์ ชอ้ื เพลงิ นอกจากจะใหพ้ ลงั งาน
ไฟฟ้าที่นาไปใช้ประโยชนไ์ ด้แล้ว ยงั มกี ารปล่อยความร้อนและนา้ ออกสู่สง่ิ แวดลอ้ มซ่งึ ไม่
เป็นมลพิษ
เซลลเ์ ช้ือเพลิงที่ใหพ้ ลังงานไฟฟ้ามากพอสาหรับขับเคลือ่ นรถยนต์ทัว่ ไปมีขนาดไม่
ใหญม่ ากมีน้าหนกั เบา และไม่ทาใหเ้ กดิ เสยี งดัง อกี ทง้ั มีประสิทธภิ าพในการเปลีย่ นพลังงาน
เคมีเป็นพลังงานไฟฟา้ ไดส้ งู ถงึ 75% หรือประมาณสองเทา่ ของเคร่ืองยนต์ท่ใี ชใ้ นรถยนต์
ท่ัวไป จึงไดม้ ีการพยายามนาเซลลเ์ ชื้อเพลงิ มาเปน็ แหล่งพลงั งานสาหรบั ขบั เคล่ือน
ยานพาหนะ (ดงั รปู )
รปู ก. องค์ประกอบภายในรถยนตท์ ี่ขบั เคลือ่ นดว้ ยเซลลเ์ ชื้อเพลิง
รูป ข. ตน้ แบบรถไฟในประเทศเยอรมนีท่ขี บั เคลอ่ื นด้วยพลงั งานจากเซลลเ์ ช้ือเพลงิ
เทคโนโลยดี า้ นพลงั งานในอาคารและทพ่ี กั อาศยั หมายเลข
3
เทคโนโลยวี สั ดุ
1) การใช้วัสดทุ เ่ี ป็นฉนวนความรอ้ นหรือวสั ดุที่ไม่เก็บสะสมความร้อนสร้างผนังดา้ นนอก
เช่น การใช้คอนกรตี มวลเบาสรา้ งผนัง หรือ การทาให้ผนงั มสี องช้ันโดยมชี อ่ งวา่ งตรงกลาง
(ดงั รปู ก.)
2) การใชก้ ระจกเขยี วตัดแสงสาหรับช่วยดูดซบั ความร้อนจากแสงแดดไม่ให้ถ่ายโอนเขา้ มา
ภายใน หรอื การใชฟ้ ิลม์ ติดบนผิวกระจกเพอ่ื ชว่ ยสะท้อนรงั สีความรอ้ นจากภายนอก (ดังรปู )
3) การออกแบบและสรา้ งหลังคาดว้ ยวสั ดุท่ีเปน็ ฉนวนความร้อน เชน่ ฉนวนใยแกว้
อะลูมเิ นยี มฟอยล์ หรอื การใช้วัสดุทชี่ ว่ ยสะท้อนรงั สคี วามร้อนอย่างอะลูมิเนียมฟอยล์ (ดังรูป
ค.)
รูป ก. การใชผ้ นังสองชัน้ ข. การใชก้ ระจกเขียวตัดแสง
ค. การใช้วัสดุทเี่ ปน็ ฉนวนกนั ความร้อนทีห่ ลงั คา
เทคโนโลยดี ้านพลังงานในภาคอุตสาหกรรม หมายเลข
4
ภาคอุตสาหกรรม เป็นภาคท่มี ีสัดส่วนการใชพ้ ลังงานมากเป็นลาดับทส่ี อง รองจากภาค
ขนส่ง การประหยดั พลงั งานในโรงงานอตุ สาหกรรมไดเ้ พียงเล็กนอ้ ยจงึ สามารถช่วยลดการใช้
พลังงานโดยรวมของประเทศไดม้ าก
ตวั อยา่ งเทคโนโลยีทช่ี ว่ ยเพ่ิมประสิทธภิ าพหรือลดความสูญเสยี พลงั งานใน
ภาคอตุ สาหกรรม เชน่
1) มอเตอร์ประสิทธิภาพสูง ท่ีมีการออกแบบและเลือกใช้วัสดุในการประกอบ
มอเตอร์ที่ดีขึ้นสามารถใช้งานได้ในลักษณะเดียวกับมอเตอร์มาตรฐาน แต่ลดการสูญเสีย
พลังงานได้ร้อยละ 25 - 30
2) หลอดแอลอีดีที่มีประสิทธิภาพในการเปล่ียนพลังงานไฟฟ้าเป็นพลังงานแสง
มากกว่าหลอดแบบด้ังเดิม ช่วยลดการใช้พลังงานมากกว่าร้อยละ 50 อีกทั้ง มีอายุการใช้
งานนานกว่า
3) ระบบการนาความร้อนท้ิงกลับมาใช้ประโยชน์ เป็นระบบที่สามารถนาความ
ร้อนท้ิง เช่น ไอเสียจากอุปกรณ์ที่มีการเผาไหม้ แก๊สหรือลมร้อนจากกระบวนการผลิต
กลับมาใช้เพ่ิมอุณหภูมิของนา้ และอากาศ เพ่ือลดการใช้เช้ือเพลิงและลดอุณหภูมิของแก๊ส
หรือน้าทป่ี ล่อยส่สู งิ่ แวดล้อม
4) การนาน้าเสียหรือของเสียจากโรงงานมาหมักย่อยให้เกิดแก๊สชีวภาพ หรือเป็น
เชื้อเพลิงชีวมวลสาหรับการนาไปเปน็ เชอ้ื เพลิงผลติ ไฟฟ้าใช้
แผนการจัดการเรียนรทู้ ี่ 10
รายวชิ า วิทยาศาสตร์ รหัสวชิ า ว32103 กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ระดบั ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 5 ภาคเรยี นท่ี 2 เวลา 40 ช่ัวโมง จานวน 1.0 หนว่ ยกติ
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 4 ปรากฏการณข์ องคลื่นกล เวลา 6 ช่วั โมง
เรอื่ ง คลื่นกล และการสะท้อนของคล่ืน เวลา 2 ชัว่ โมง
1. มาตรฐานการเรยี นรู้และตวั ช้ีวดั
มาตรฐาน
ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปล่ียนแปลงและการถ่ายโอนพลังงานปฏิสัมพันธ์ระหว่างสสาร
และพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคล่ืน ปรากฏการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับเสียง แสง และคลื่น
แมเ่ หลก็ ไฟฟ้ารวมท้งั นาความรูไ้ ปใช้ประโยชน์
ตวั ชีว้ ัด
ว 2.3 ม.5/3 สังเกตและอธบิ ายการสะทอ้ น การหักเห การเลย้ี วเบน และการรวมคล่ืน
2. สาระสาคัญ
คล่นื อยูร่ อบตัวมนุษย์ ทั้งทีม่ องเหน็ และมองไมเ่ ห็น การศึกษาธรรมชาตขิ องคลน่ื จงึ มีความจาเปน็ เพอื่ นาไป
ประยุกต์ใช้ประโยชน์จากคลื่นต่อไป คลื่นกลเป็นคลื่นท่ีมีความเกี่ยวข้องในชีวิตประจาวัน ซ่ึงเป็นคลื่นที่อาศัย
ตัวกลางในการถ่ายโอนพลังงาน คลื่นกลมีปริมาณท่ีเก่ียวข้อง คือ แอมพลิจูด ความยาวคลื่น ความถี่และคาบ
สามารถแบ่งตามทิศทางการสน่ั ของอนภุ าคตัวกลางกบั ทศิ การเคล่อื นทขี่ องคลนื่ เปน็ คลื่นตามขวางและคลนื่ ตามยาว
คลนื่ กลมพี ฤตกิ รรมตา่ งๆ ไดแ้ ก่ การสะทอ้ น การหักเห การเลีย้ วเบน และการรวมคล่ืน
การสะท้อนของคลื่นเกดิ ข้ึนเม่อื คล่ืนเคลอื่ นทีไ่ ปตกกระทบสิ่งกดี ขวางและเคลือ่ นท่กี ลบั มาในตวั กลางเดิม
การหักเหของคลื่นเกิดขึ้นเม่อื คลน่ื เคลื่อนท่ีผ่านรอยต่อระหว่างตัวกลางที่มีสมบัติต่างกันอัตราเร็วคลื่นและ
ความยาวคล่นื จะเปลี่ยนไปและอาจทา ใหท้ ิศการเคล่ือนทเ่ี ปลย่ี นไปจากเดิม
การเลยี้ วเบนของคลนื่ เกดิ ข้ึนเม่ือคล่นื เคลื่อนที่ไปพบขอบสง่ิ กีดขวางหรอื ชอ่ งเปิด คลืน่ สว่ นหนึ่งจะสามารถ
อ้อมไปด้านหลังของสงิ่ กีดขวางหรือออ้ มขอบช่องเปดิ ได้
3. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
3.1 ด้านความรู้ (K)
1) นกั เรยี นอธบิ ายส่วนประกอบของคล่ืนได้
2) นักเรยี นบอกความแตกตา่ งของคลื่นตามยาวและคล่ืนตามขวางได้
3) นักเรยี นอธบิ ายการสะท้อนของคลน่ื ได้
3.2 ด้านกระบวนการ (P)
1) นกั เรียนสามารถสร้างและประดิษฐ์แผ่นพับ เร่ือง คล่นื กล (สว่ นประกอบของคล่นื และประเภทของ
คลืน่ กล) ได้
2) นกั เรยี นทดลองและสังเกตการสะทอ้ นของคลื่นบนขดลวดสปริงได้
3) นกั เรยี นทดลองและสังเกตการสะทอ้ นของคลื่นผวิ น้าได้
3.3 ดา้ นคุณลักษณะ (A)
1) ใฝ่เรียนรู้และเปน็ ผ้มู ีความมุ่งม่นั ในการทางาน
4. สาระการเรยี นรู้
4.1 ความรู้
เมือ่ รบกวนตัวกลางใหเ้ กดิ คลื่นต่อเน่ืองตามขวางทาใหต้ ัวกลางเปล่ยี นแปลงเกดิ ลกู คลื่นเคลือ่ นท่ี
ต่อเนื่องออกไปจากจุดที่รบกวนตวั กลาง
สว่ นประกอบของคล่ืน ประกอบดงั นี้
- สันคลื่น (Crest) คอื ตาแหน่งทีส่ ูงสุดของคล่นื
- ทอ้ งคล่ืน (Trough) คือ ตาแหนง่ ที่อยู่ตา่ ทสี่ ดุ
- การกระจดั คือ ระยะจากแนวสมดลุ ถงึ บนคล่นื คอื ระยะกระจัด y ใด ๆ
- แอมพลิจูด (Amplitude , A) คือ ขนาดการกระจัดจากตาแหน่งสมดุลถึงจุดสูงสุดหรือ
จดุ ตา่ สุด
- ความยาวคล่ืน (Wavelength , ) คือ เมื่ออนุภาคส่ันจากตาแหน่งสมดุลครบ 1 รอบ
พลังงานคล่ืนจะเคล่ือนที่ผ่านไป 1 ลูกคล่ืน ทาให้ตัวกลางปรากฏ 1 สันคล่ืน และ 1 ท้องคลื่น ซึ่งความยาว
ของคล่นื 1 ลูกในตัวกลางระยะระหว่าง โดยความยาวคลนื่ วัดระยะจากท้องคลืน่ ถึงท้องคลื่นที่อย่ตู ิดกัน หรือ
สนั คล่ืนกับสนั คลื่นท่ีอยูต่ ดิ กัน
- อตั ราเร็วคลน่ื (wave speed) คอื ระยะทางที่คล่ืนเคล่ือนทไ่ี ด้ในหนึ่งหนว่ ยเวลา
- คาบ (Period,T) คือ ช่วงเวลาทีค่ ล่ืน 1 ลูก เคลื่อนที่ผ่านจุดๆ หนึ่งจะเท่ากับช่วงเวลาท่ี
อนุภาคตวั กลางส่ันไดค้ รบหนง่ึ รอบ มีหนวยเปนวินาที (s)
- ความถ่ี (Frequency , f) คือ จานวนลูกคลื่นที่ผ่านจุดๆ หนึ่งในเวลาหนึ่งวินาทีจะ
เทา่ กับจานวนรอบที่อนุภาคตัวกลางสน่ั ได้ในเวลาหน่ึงวนิ าที มหี นว่ ยเปน็ รอบตอ่ วนิ าที หรือ เฮริ ตซ์ (Hz)
ประเกทของคลื่นกล
คล่นื กลหากพิจารณาทิศทางการเคลื่อนท่ีของคลืน่ และการสนั่ ของอนุภาคตัวกลางที่คลนื่ เคล่อื นที่
ผา่ น สามารถแบง่ ไดเ้ ปน็ 2 ประเภท คือ คล่ืนตามยาว และคล่นื ตามขวาง
คลนื่ ตามยาว ถา้ การถ่ายโอนพลงั งานให้อนภุ าคตวั กลางทาใหอ้ นภุ าคตวั กลางเคลื่อนที่กลบั ไป
กลบั มาในแนวเดียวกบั ทิศการเคลอื่ นที่ของคลืน่ ดังรปู 4.3 เรียกคลืน่ กลนีว้ ่า คลน่ื ตามยาว (longitudinal
wave)
รูป 4.3 การอดั ขดลวดสปริงเขา้ ออก
จากรูป 4.3 เมอ่ื เรายงั ไมไ่ ด้ถ่ายโอนพลังงานให้สปรงิ สปรงิ กจ็ ะอยูใ่ นสภาพสมดุล ดงั รูป 4.3 ก.
และเมอื่ เราเรมิ่ อดั สปรงิ ให้เคลื่อนท่ีไปทางขวาแลว้ ดึงกลบั ไปทางซ้าย อนุภาคสปริง (ซงึ่ ในทนี่ จี้ ะพิจารณา
ตาแหน่งทผ่ี กู โบว์สีแดง) จะเคล่ือนที่ไปทางขวาและกลบั มาทางซ้ายตามลาดบั ดงั รปู 4.3 ข. และ 4.3 ค.
โดยคล่ืนสปรงิ เดนิ ทางไปทางขวา หลังจากนั้นอนุภาของสปริงก็จะเคล่อื นท่กี ลับมาอยูใ่ นตาแหน่งสมดลุ
ขณะคล่ืนเดินทางผา่ นการส่นั ไปมาของอนุภาคสปริงทาใหเ้ กดิ บรเิ วณอัดตัว ซึ่งอนุภาคตัวกลางหนาแน่นมาก
และบรเิ วณขยายตัวซึ่งอนุภาคตัวกลางหนาแน่นนอ้ ยเคลื่อนท่ีไปในสปริง ดังนนั้ การเคลื่อนที่ของคล่ืนตามยาว
จะเกิดการอัดและการขยายตัวเคล่อื นท่ีไปในตวั กลางดงั ในรปู 4.4
รปู 4.4 ความหนาแน่นของอนภุ าคตัวกลางในคล่ืนตามยาว
คล่ืนตามขวาง
เม่อื วางสปรงิ อยบู่ นพน้ื ราบ แล้วสะบดั ปลายสปรงิ ไปทางซา้ ยและขวากลับไปกลับมาจะเกดิ
คลนื่ สปรงิ เคลอื่ นท่ีไปขา้ งหน้าโดยอนภุ าคของสปริงจะเคล่อื นทไี่ ปทางซา้ ยและขวากลับไปกลบั มา การถา่ ย
โอนพลังงานใหอ้ นุภาคตัวกลางทาให้อนภุ าคตวั กลางเคล่อื นท่กี ลับไปกลับมาในแนวตั้งฉากกบั ทิศการเคล่อื นท่ี
ของคลื่นดงั รูป 4.5 เรียกคล่ืนกลนีว้ ่า คล่นื ตามขวาง (transverse wave)
รปู 4.5 ทิศทางการเคลอ่ื นทขี่ องคลื่นและอนุภาคในคล่ืนตามขวาง
เม่ือคลื่นเคลื่อนท่ีจากแหล่งกาเนิดคล่ืนไปถึงปลายสุดของตัวกลางหน่ึง คลื่นส่วนหนึ่งจะเคลื่อนที่
กลับมาในตัวกลางเดิม การที่คลื่นเคลอ่ื นที่กลับมาในตัวกลางเดิม เรียกว่า การสะท้อนของคล่ืน และเรียก
คล่ืนที่สะท้อนกลับมาในตัวกลางเดิมว่า คล่ืนสะท้อน ส่วนคล่ืนท่ีเคล่ือนท่ีไปตกกระทบปลายสุดของ
ตวั กลางกอ่ นการสะทอ้ นเรียกวา่ คลน่ื ตกกระทบ
การสะท้อนของคลื่นในเส้นเชือก กรณีท่ปี ลายเชือกยดึ ตรงึ แน่นกบั กาแพง เมอ่ื คลนื่ เคลื่อนที่มาถึง
จุดท่ตี รงึ กับกาแพง กาแพงจะดงึ เชอื กลง (เพราะเชือกดงึ กาแพงขนึ้ กาแพงจึงออกแรงดึงเชอื กกลบั ตามกฎ
การเคล่ือนที่ข้อท่ี 3 ของนิวตนั ) ทาให้เกิดคล่ืนสะท้อนกลับที่มีรูปร่างกลบั ด้าน กลา่ วคือ มกี ารกระจัดของ
ตัวกลางเทียบกับแนวสมดลุ ตรงข้ามกับคลนื่ ตกกระทบหรือกล่าวได้ว่า คลื่นสะทอ้ นมีเฟสตรงข้ามกับคล่ืน
ตกกระทบ
แต่ถ้าปลายเชือกสามารถเคลื่อนที่ขึ้นลงได้อย่างอิสระ คลื่นท่ีสะท้อนออกมาจะมีการกระจัด
ตัวกลางที่มที ศิ ทางเดียวกบั คลนื่ ตกกระทบ หรือกลา่ วได้ว่า คล่นื สะทอ้ นมีเฟสตรงกนั กบั คล่ืนตกกระทบ
4.2 กระบวนการ
1) ความสามารถในการสือ่ สาร (อ่าน ฟัง พดู เขยี น)
2) ความสามารถในการคิด (สังเกต วเิ คราะห์ จัดกล่มุ สรุป)
3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา (แก้ปญั หาและอปุ สรรคต่างๆ ท่ีเผชญิ ได้)
4) ความสามารถในการใช้ทักษะชวี ติ (ความรับผดิ ชอบ)
5) ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ (ใชก้ ารสืบคน้ ผา่ นคอมพิวเตอร์)
4.3 คุณลกั ษณะและคา่ นยิ ม
ใฝเ่ รียนรแู้ ละเปน็ ผู้มีความมงุ่ มน่ั ในการทางาน
5. คุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผ้เู รยี น ซื่อสัตย์สจุ รติ มงุ่ มน่ั ในการทางาน มีวนิ ัย
รักชาติ ศาสน์ กษตั รยิ ์ อยู่อย่างพอเพียง มีจติ สาธารณะ
รกั ความเป็นไทย ใฝ่เรยี นรู้
6. สมรรถนะสาคัญของผ้เู รียน
ความสามารถในการคิด: นกั เรยี นสามารถอธิบายเร่ืองคล่ืนกล และการสะท้อนของคลื่นได้
7. กจิ กรรมการเรียนรู้
ขนั้ ท่ี 1 ขน้ั สรา้ งความสนใจ
1.1 ครูนาเข้าสู่บทเรียนโดยยกสถานการณ์การโยนก้อนหนิ ลงแหลง่ น้าพรอ้ มมพี ร้อมประกอบ ให้
นักเรียนสังเกต แลว้ ต้ังคาถามใหน้ ักเรยี นคดิ
ครู : เมือ่ โยนก้อนหนิ ลงแหล่งน้าเกิดอะไรขน้ึ
ครู : เมอ่ื ก้อนหนิ สมั ผสั ผิวนา้ จะเหน็ วา่ ผวิ น้าเกิดการเคล่อื นทใ่ี นลักษณะเป็นใด
(แนวการตอบ ผวิ น้าเกดิ การกระจายออกไป )
1.2 ครูสาธิตการอัดขดลวดสปริงเข้าออก โดยผูกโบว์ไว้ ให้นักเรียนสังเกตการเคล่ือนที่ของโบว์
และการเคลื่อนท่ขี องสปรงิ แล้วตงั้ คาถามเพ่อื นาเขา้ สู่การทากิจกรรม
1) เม่อื สะบดั ปลายสปริงในแนวต้งั ฉากกับตัวสปริง เกดิ การเปลยี่ นแปลงอยา่ งไร เชอื กหรือ
รบิ บ้ินเคลื่อนที่อย่างไร
2) เมอ่ื อัดปลายสปรงิ ในแนวตามยาวของตัวสปริง เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร เชือกหรือ
รบิ บน้ิ เคลอื่ นท่ีอยา่ งไร
3) การทาให้เกิดคลน่ื ทาได้ไดอ้ ย่างไร
ข้ันที่ 2 ข้นั สารวจและค้นหา
2.1 ครูแบง่ กลุ่มนักเรยี น ออกเป็น 10 กลุ่ม กลุ่มละ 3-4 คน
2.2 ครูให้นักเรียนศึกษาเนื้อหา เร่อื ง คลื่นกล ในหัวข้อ ดงั นี้
1) สว่ นประกอบของคล่ืน
2) ประเภทของคลืน่ กล
2.3 ครแู จกแบบ Box แผน่ พบั ให้นักเรียนแตล่ ะกลุ่ม
2.4 นักเรียนสรปุ องค์ความรู้ท่ไี ดล้ งใน Box แผ่นพับที่ครูแจกให้
2.5 นกั เรียนแต่ละคนตอบคาถามตรวจสอบความเข้าใจ 4.1.1 และ 4.1.2 ลงในสมดุ
2.6 นกั เรยี นแบง่ กลมุ่ ๆ ละ 5-6 คน โดยคละเพศ คละความสามารถ
2.7 นักเรียนแตล่ ะกลุ่มศึกษาใบกิจกรรม 4.1 การสะทอ้ นของคลนื่ บนขดลวดสปริง และใบกจิ กรรม
4.2 การสะท้อนของคลื่นผิวนา้
2.8 ครูแจง้ จดุ ประสงค์การเรียนรู้ อปุ กรณ์ และขั้นตอนการทากจิ กรรมอย่างละเอียด
2.9 นักเรียนรบั อุปกรณก์ ารทากิจกรรม พรอ้ มติดตั้งอุปกรณใ์ ห้เรยี บร้อย
2.10 นกั เรยี นแต่ละกลมุ่ ทากจิ กรรม สังเกตและบนั ทึกผลกิจกรรมลงในใบกิจกรรม
ข้นั ท่ี 3 ขนั้ อธบิ ายและลงขอ้ สรปุ
3.1 ครูสมุ่ นักเรียน 2 คน ออกมานาเสนอผลงานของตนเองหนา้ ชน้ั เรยี น
3.2 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายจนได้ข้อสรุป เรื่อง ส่วนประกอบของคล่ืน และประเภทของ
คลืน่ กล
3.3 ครูนานักเรยี นอภปิ รายเพอื่ นาไปสกู่ ารสรปุ โดยใชค้ าถามตอ่ ไปน้ี
1) นกั เรยี นแต่ละกลุ่มไดผ้ ลการทากจิ กรรมเหมอื นหรือแตกตา่ งกนั อย่างไร (แนวการตอบ
ได้ผลเหมอื นกัน)
2) เม่อื คล่นื ตามขวางบนขดลวดสปรงิ เคลือ่ นทไี่ ปถงึ ปลายสปริงทยี่ ึดไวแ้ ลว้ คลน่ื มีการ
เคลอื่ นท่ีอย่างไร (แนวการตอบ มีคล่นื ตามขวางจะเคลือ่ นทก่ี ลบั ออกมา ซ่ึงมที ิศการเคลื่อนที่ตรงขา้ มกับ
คลน่ื ท่ีเคลื่อนท่ีเข้าหาท่ยี ดึ )
3) เม่อื คลืน่ ตามยาวบนขดลวดสปรงิ เคล่ือนทีไ่ ปถึงปลายสปริงทีย่ ดึ ไว้แลว้ คล่ืนมีการ
เคล่อื นทอ่ี ยา่ งไร (แนวการตอบ มีคลนื่ ตามยาวจะเคล่ือนท่ีกลับออกมา ซง่ึ มที ศิ การเคล่ือนทต่ี รงขา้ มกบั
คลน่ื ท่ีเคลอื่ นทีเ่ ข้าหาท่ยี ึด)
4) เมอ่ื คล่นื ผวิ นา้ หน้าตรงไปกระทบตัง้ ฉากกับทีก่ ้ันแนวตรง คล่นื ผิวนา้ มกี ารเคลือ่ นที่
อย่างไร (แนวการตอบ คล่นื ผวิ น้าหน้าตรงจะเคลื่อนทก่ี ลบั ออกจากที่กัน้ ในแนวเดิม ซงึ่ มีทศิ ตรงขา้ มกบั คลน่ื
ทต่ี กกระทบ)
5) เมอื่ คลื่นผวิ นา้ หน้าตรงไปกระทบทา มมุ ตา่ งๆกบั ท่ีกั้นแนวตรง คลน่ื ผวิ นา้ มีการ
เคลอ่ื นที่อยา่ งไร (แนวการตอบ คลืน่ ผวิ นา้ หนา้ ตรงจะเคล่อื นท่ีกลับออกไปจากแผ่นกน้ั เป็นมมุ ท่ีไม่ใช่
แนวเดิม กับแนวคลน่ื ทไ่ี ปตกกระทบ)
3.4 นกั เรยี นและครรู ว่ มกนั อภิปรายและสรปุ ผลของกจิ กรรมจนสรปุ ได้ ดังน้ี
จากกจิ กรรมทงั้ คล่ืนบนขดลวดสปริงและคลื่นผวิ นา้ จะพบว่าเมอ่ื คลนื่ เคลื่อนท่ีจาก
แหล่งกาเนดิ ไปกระทบสิง่ กีดขวาง เรียกคลน่ื ทเี่ คลื่อนที่ไปกระทบแผ่นก้ันว่าคลื่นตกกระทบ หลงั การกระทบ
คลื่นจะเคลอ่ื นทีก่ ลบั มาในตวั กลางเดมิ เรียกวา่ การสะทอ้ นของคลนื่ และเรียกคลนื่ ทเ่ี คลอ่ื นทกี่ ลบั ออกมา
จากแผ่นก้นั ว่าคลื่นสะท้อน นนั่ คือ เมื่อคลืน่ ตกกระทบสงิ่ กีดขวางจะเกิดคลืน่ สะท้อนข้ึน
ขน้ั ที่ 4 ข้นั ขยายความรู้
4.1 ครใู หค้ วามรู้เพมิ่ เตมิ ดงั นี้
1) คล่ืนเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการรบกวนของแหล่งกาเนิด แล้วพลังงานในการรบกวนแผ่
กระจายออกไป โดยตวั กลางไม่ไดเ้ คล่อื นทตี่ ามไปดว้ ย
2) คลื่นที่พบในธรรมชาติมีหลายลักษณะ ในหลายตัวกลาง สามารถแบ่งแยกชนิดของคลื่นโดย
อาศัยตัวกลางไดด้ ังน้ี
2.1) คลื่นท่ีต้องอาศัยตัวกลางในการส่งผ่านพลังงานจึงแผ่ไปได้ เรียกคลื่นชนิดนี้ว่า คลื่น
กล (mechanical waves) ในขณะที่ส่งผ่านพลังงานจะทาให้อนุภาคของตัวกลางเคล่ือนที่กลับไปกลับมา
ไดแ้ ก่ คลืน่ ในสปริง คล่ืนแผน่ ดนิ ไหว คล่นื เสยี ง เปน็ ต้น
2.2) คล่ืนท่ีไม่ต้องอาศัยตัวกลางในการแผ่หรือเป็นคล่ืนที่สามารถแผ่ไปในบริเวณท่ีเป็น
สญุ ญากาศได้ เรียกคลนื่ ชนิดน้ีว่า คล่ืนแม่เหลก็ ไฟฟา้ (electromagnetic waves) ซ่ึงเป็นการเปล่ยี นแปลง
กลับไปกลับมาของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กที่แผ่ออกไปพร้อมๆ กัน เช่น คล่ืนวิทยุ ไมโครเวฟ
อนิ ฟราเรด แสงทีต่ ามองเหน็ อลั ตราไวโอเลต รงั สีเอ็กซ์
3) คล่ืนท่ีแบ่งชนิดของคล่ืนตามลักษณะการส่ันของอนุภาคเป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งได้ 2 ชนิด
ได้แก่ 1.คล่ืนตามยาว ซ่ึงมีลักษณะของคล่ืน คือ อนุภาคตัวกลางสั่นไปมาในแนวเดียวกับทิศทางการ
เคล่ือนที่ของคลื่นเช่น คล่ืนเสียง คลื่นอัดของสปริง 2.คล่ืนตามขวาง ซ่ึงมีลักษณะของคลื่น คือ อนุภาค
ตัวกลางสั่นข้ึนลงในแนวต้ังฉากกับทิศทางการเคลื่อนที่ของคลื่น เช่น คลื่นน้า คล่ืนในเส้นเชือก คล่ืน
แม่เหล็กไฟฟา้ คล่นื ในสปรงิ
4) คล่นื ทีแ่ บง่ ชนดิ ของคล่ืนตามตามความต่อเน่ืองของการให้กาเนิดคลน่ื เปน็ เกณฑ์สามารถแบ่งได้
2 ชนิด ได้แก่ 1.คลื่นดล ซ่งึ มีลักษณะของคล่ืน คือ เป็นคล่ืนที่เกิดจากการรบกวนตัวกลางแบบไม่ต่อเน่ือง
ทาให้เกิดคล่ืน 1-2 ลูกคลื่น 2.คลื่นต่อเนื่อง ซึ่งมีลักษณะของคลื่น คือ เป็นคล่ืนที่เกิดจากการรบกวน
ตัวกลางแบบต่อเน่อื ง ทาให้เกดิ คล่นื หลายลกู คล่ืนตอ่ เนือ่ งกัน
4.2 ครอู ธบิ ายให้ความรเู้ พิม่ เตมิ ดงั นี้
1) เม่ือคลื่นเคลื่อนท่ีจากแหล่งกาเนิดคล่ืนไปถึงปลายสุดของตัวกลางหนึ่ง คล่ืนส่วนหน่ึงจะ
เคล่ือนท่ีกลับมาในตัวกลางเดิม การที่คลื่นเคลื่อนท่ีกลับมาในตัวกลางเดิม เรียกว่า การสะท้อนของคลื่น
และเรียกคล่ืนที่สะท้อนกลับมาในตัวกลางเดิมว่า คล่ืนสะท้อน ส่วนคล่ืนท่ีเคลื่อนที่ไปตกกระทบปลายสุด
ของตัวกลางก่อนการสะทอ้ นเรยี กวา่ คลื่นตกกระทบ
2) การสะท้อนของคลื่นในเส้นเชือก กรณีที่ปลายเชือกยึดตรึงแน่นกับกาแพง เม่ือคล่ืนเคลื่อนท่ี
มาถึงจุดท่ีตรึงกับกาแพง กาแพงจะดึงเชือกลง (เพราะเชือกดึงกาแพงข้ึน กาแพงจึงออกแรงดึงเชือกกลับ
ตามกฎการเคลื่อนท่ีข้อท่ี 3 ของนิวตัน) ทาให้เกิดคลื่นสะท้อนกลับท่ีมีรูปร่างกลับด้าน กล่าวคือ มีการ
กระจัดของตัวกลางเทียบกับแนวสมดุล ตรงข้ามกบั คล่ืนตกกระทบหรือกล่าวได้ว่า คล่ืนสะท้อนมีเฟสตรง
ขา้ มกบั คล่นื ตกกระทบ
3) แต่ถ้าปลายเชือกสามารถเคลื่อนท่ีขึ้นลงได้อย่างอิสระ คล่ืนท่ีสะท้อนออกมาจะมีการกระจัด
ตัวกลางทม่ี ีทิศทางเดียวกบั คลน่ื ตกกระทบ หรอื กลา่ วไดว้ ่า คล่นื สะท้อนมเี ฟสตรงกนั กับคลน่ื ตกกระทบ
ขั้นที่ 5 ขนั้ ประเมนิ ผล
5.1 นกั เรียนส่ง Box แผน่ พับ เร่ือง สว่ นประกอบของคล่ืน และประเภทของคลื่นกล
5.2 นกั เรียนส่งสมุด ตอบคาถามตรวจสอบความเขา้ ใจ 4.1.1 และ 4.1.2 ลงในสมดุ
5.3 นกั เรยี นสง่ ใบกจิ กรรม 4.1 การสะท้อนของคลื่นบนขดลวดสปริง และใบกิจกรรม
4.2 การสะทอ้ นของคลื่นผวิ น้า
8. สอื่ การเรียนร/ู้ แหลง่ เรียนรู้
8.1 หนังสอื เรยี นรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตร์ (วิทยาศาสตร์กายภาพ) ชน้ั มธั ยมศกึ ษาปที ี่ 5 เล่ม 2
(ฉบบั ปรบั ปรุง พ.ศ.2560)
8.2 อินเทอร์เนต็
8.3 อปุ กรรส์ าธิตการอัดขดลวดสปริงเขา้ ออก
8.4 Box แผ่นพับ
8.5 ใบกิจกรรม 4.1 การสะทอ้ นของคลื่นบนขดลวดสปริง และใบกจิ กรรม 4.2 การสะท้อนของคลื่นผิวน้า
8.6 อุปกรณก์ ารทากจิ กรรมการสะทอ้ นของคลื่นบนขดลวดสปรงิ และการสะท้อนของคลน่ื ผิวนา้
9. ช้นิ งาน/ภาระงาน
-
10. การวัดและประเมนิ ผล
10.1 การประเมินระหว่างการจัดกิจกรรมการเรยี นรู้
ตัวชวี้ ัด/ผลการเรยี นรู้ วธิ กี ารวดั เครอ่ื งมอื วัด เกณฑ์ทใ่ี ช้ในการ
ประเมนิ
ดา้ นความรู้: 1) ตรวจสมุด 1) แบบประเมิน
1) นักเรยี นอธบิ าย นกั เรียนในการตอบ การทากจิ กรรม 1) นกั เรียนสามารถ
ส่วนประกอบของคล่นื ได้ คาถามตรวจสอบ ตอบคาถามไดร้ ะดับดี
2) นกั เรยี นบอกความ ความเขา้ ใจ 4.1.1 ผา่ นเกณฑ์
แตกต่างของคลืน่ ตามยาว และ 4.1.2
และคลื่นตามขวางได้ 2) ตรวจใบกจิ กรรม
3) นักเรยี นอธบิ ายการ 4.1
สะท้อนของคลนื่ ได้ การสะทอ้ นของคลน่ื
บนขดลวดสปริง
และใบกิจกรรม
4.2 การสะท้อนของ
คล่นื ผวิ น้า
ด้านกระบวนการ: 1) ตรวจ Box แผน่ 1) แบบประเมนิ 1) นักเรยี นสามารถ
การทากิจกรรม สร้างและประดิษฐแ์ ผน่
1) นกั เรียนสามารถสรา้ ง พบั เรื่อง พับ และสามารถสรุป
1) แบบประเมนิ องคค์ วามรู้ทไี่ ดจ้ าก
และประดิษฐ์แผน่ พับ เรอ่ื ง สว่ นประกอบของ การทากิจกรรม การศึกษาลงใน Box
แผ่นพับ ได้ระดับดี
คลน่ื กล (สว่ นประกอบของ คล่นื ผ่านเกณฑ์
คลืน่ และประเภทของคลน่ื 2) ตรวจใบกิจกรรม 1) นกั เรยี นทาภาระงาน
ทไ่ี ดร้ ับมอบหมายได้
กล) ได้ 4.1 ระดบั ดี ผ่านเกณฑ์
2) นกั เรียนทดลองและ การสะท้อนของคล่ืน
สังเกตการสะทอ้ นของ บนขดลวดสปรงิ
คลื่นบนขดลวดสปรงิ ได้ และใบกิจกรรม
3) นักเรียนทดลองและ 4.2 การสะทอ้ นของ
สังเกตการสะทอ้ นของคล่ืน คลนื่ ผวิ น้า
ผิวนา้ ได้
ด้านเจตคติ: 1) ตรวจสมุด
1) ใฝ่เรียนรู้และเป็นผู้มี นกั เรยี นในการตอบ
ความมุ่งมน่ั ในการทางาน คาถามตรวจสอบ
ความเขา้ ใจ 4.1.1
และ 4.1.2
2) ตรวจ Box แผ่น
พบั เรือ่ ง
สว่ นประกอบของ
คลื่น
3) ตรวจใบกิจกรรม
4.1
การสะทอ้ นของคลน่ื
บนขดลวดสปริง
และใบกิจกรรม
4.2 การสะท้อนของ
คลืน่ ผวิ น้า
11. กจิ กรรมเสนอแนะ
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………....................................................
ลงชือ่ ผู้สอน
(นางสาวจริ นนั ท์ ต่อมหล้า)
12. ข้อคิดเห็นของหวั หนา้ กลมุ่ สาระการเรียนรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
ลงช่ือ...............................................................
( นายนนั ท์ กอ้ คา )
หัวหนา้ กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
13. ขอ้ คดิ เหน็ /ขอ้ เสนอแนะผชู้ ว่ ยผ้อู านวยการกล่มุ งานบริหารวิชาการ
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงชื่อ...............................................................
(....................................................)
ผู้ช่วยผู้อานวยการกลมุ่ งานบริหารวชิ าการ
การอนุมัติการใช้แผนการจดั การเรยี นรูจ้ ากฝ่ายบรหิ าร
ความคดิ เหน็ ของรองผู้อานวยการฝ่ายวิชาการ
....................................................................................................................................................................................
เหน็ สมควรอนมุ ัติให้ใช้ในการจดั การเรียนการสอน
เห็นสมควรไมอ่ นมุ ัติให้ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เพราะ....................................................................
.....................................................................................................................................................................................
ลงช่อื ............................................................
(นายนพดล ธรรมใจอุด)
รองผอู้ านวยการโรงเรยี นฝา่ ยบรหิ ารวชิ าการ
การอนมุ ัตจิ ากผูอ้ านวยการโรงเรยี น
อนุมัตใิ หใ้ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน
ไมอ่ นมุ ัตใิ หใ้ ช้ในการจดั การเรยี นการสอน เพราะ..............................................................
..............................................................................................................................................................
ลงชือ่ .......................................................................................
(นางวิลาวัลย์ ปาล)ี
ผอู้ านวยการโรงเรียนราชประชานเุ คราะห์ ๒๔ จังหวดั พะเยา
บันทึกผลการใชแ้ ผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 10
รายวิชา วทิ ยาศาสตร์ รหสั วิชา ว32103 ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปที ี่ 5
เร่ือง คล่ืนกล และการสะท้อนของคล่ืน เวลา 2 ชวั่ โมง
……………………………………………………………….
1. จานวนนกั เรยี นทส่ี อน
ระดบั ชนั้ จานวนนักเรยี น (คน)
ม.5/1 34
ม.5/2 35
ม.5/3 36
รวม 105
2. บันทกึ ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
2.1 ผลการจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
................................................................................................................................................................
2.2 ข้อสงั เกต/ขอ้ ค้นพบ
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
2.3 ปญั หา/อุปสรรค
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................................
2.4 ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข
......................................................................................................................................................................................
......................................................................................................................................................................................
3. การประเมินผลการสอน
รายการประเมิน ดีมาก ระดบั คุณภาพ
ดี พอใช้ ปรับปรงุ
1. ความเหมาะสมของระยะเวลา
2. ความเหมาะสมของเนือ้ หา
3. ความเหมาะสมของกจิ กรรมการเรียนการสอน
4. ความเหมาะสมของสือ่ การสอนทใี่ ช้
5. พฤตกิ รรม/การมสี ว่ นรว่ มของนักเรียน
6. ผลการปฏิบัติกิจกรรม/ใบกจิ กรรม การทดสอบก่อนเรยี นและ
หลังเรยี น
สรุปภาพรวม
4. สรุปผลการวัดผลประเมนิ ผล 4 ระดับคุณภาพ 1
การวดั ผลประเมินผล 32 รวม
(คน)
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
จานวน (คน)
้รอยละ
1. ความรู้ ระดับคุณภาพ รวม
1.1 ใบกจิ กรรม 32 1 (คน)
1.2 ……..
1.3 .......
1.4 แบบทดสอบหลงั เรยี น
ระดับ 3 ข้นึ ไป คิดเป็นรอ้ ยละ
2. ทักษะ/กระบวนการ
2.1 กระบวนการทางานกลมุ่
2.2 ..........
ระดบั 3 ขึ้นไป คดิ เปน็ รอ้ ยละ
3. คณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์
ระดับ 3 ขึ้นไป คิดเปน็ ร้อยละ
การวัดผลประเมนิ ผล